Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สค21001

สค21001

Published by สกร.อำเภอพรรณานิคม, 2020-07-05 04:46:50

Description: สค21001

Search

Read the Text Version

หนังสือเรียนสาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) หามจําหนา ย หนงั สือเรียนเลมน้ี จัดพมิ พด วยเงนิ งบประมาณแผน ดนิ เพ่อื การศึกษาตลอดชีวติ สําหรบั ประชาชน ลขิ สทิ ธิ์เปน ของ สาํ นกั งาน กศน. สํานักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร สํานกั งานสงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ

หนงั สอื เรียนสาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าสังคมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) เอกสารทางวิชาการลาํ ดับท่ี 36/2557

คาํ นาํ สํานกั งานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ไดด ําเนินการจัดทําหนังสือ เรยี นชุดใหมน ีข้ ึน้ เพ่ือสาํ หรับใชใ นการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขน้ั พน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 ท่ีมีวัตถุประสงคในการพัฒนาผูเ รียนใหมีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปญญา และศักยภาพในการประกอบอาชีพการศึกษาตอ และสามารถดํารงชีวติ อยูในครอบครัว ชมุ ชน สังคมได อยา งมีความสุขโดยผูเรียนสามารถนําหนังสือเรียนไปใชดว ยวิธีการศึกษาคน ควา ดวยตนเอง ปฏิบัติ กิจกรรม รวมทัง้ แบบฝก หัด เพอ่ื ทดสอบความรูค วามเขาใจในสาระเน้อื หา โดยเม่ือศึกษาแลว ยังไมเ ขาใจ สามารถกลับไปศึกษาใหมไ ด ผูเรยี นอาจจะสามารถเพ่ิมพูนความรูห ลังจากศึกษาหนังสือเรียนนี้ โดยนํา ความรไู ปแลกเปลยี่ นกบั เพอ่ื นในชนั้ เรยี น ศึกษาจากภูมิปญ ญาทองถิน่ จากแหลงเรยี นรูและจากส่อื อื่น ๆ ในการดาํ เนนิ การจดั ทาํ หนงั สอื เรยี นตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ไดร บั ความรวมมอื ทด่ี จี ากผทู รงคุณวุฒิและผูเกี่ยวขอ งหลายทา นท่ีคนควาและเรียบเรียง เนื้อหาสาระจากส่ือตา ง ๆ เพื่อใหไดส ื่อท่ีสอดคลอ งกับหลักสูตรและเปนประโยชนต อผูเ รียนท่ีอยู นอกระบบอยางแทจริง สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอขอบคุณ คณะทปี่ รกึ ษา คณะผเู รียบเรยี ง ตลอดจนคณะผูจัดทาํ ทกุ ทานทไี่ ดใหค วามรว มมือดว ยดีไว ณ โอกาสนี้ สํานักงานสงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หวังวาหนังสือเรียนชุดน้ี จะเปนประโยชนใ นการจัดการเรียนการสอนตามสมควร หากมีขอเสนอแนะประการใด สํานักงาน สงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ขอนอมรบั ไวดวยความขอบคุณยิง่ สํานักงาน กศน. กันยายน 2557

สารบัญ หนา คาํ นํา คาํ แนะนํา โครงสรางรายวชิ าสงั คมศกึ ษา (สค21001) ขอบขา ยเนอื้ หา บทที่ 1 ภูมิศาสตรก ายภาพทวีปเอเชีย...............................................................1 เรื่องที่ 1 ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศ ในทวปี เอเชยี .............................................................................. 3 เรื่องที่ 2 การเปล่ียนแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ.................................. 9 เร่ืองที่ 3 วิธีใชเคร่ืองมอื ทางภมู ิศาสตร ....................................................17 เร่ืองที่ 4 สภาพภมู ิศาสตรก ายภาพของไทย ท่ีสงผลตอทรัพยากรตาง ๆ .......................................................23 เร่ืองท่ี 5 ความสําคัญของการดาํ รงชวี ติ ใหส อดคลอ ง กบั ทรัพยากรในประเทศ ...........................................................29 บทที่ 2 ประวัติศาสตรท วีปเอเชีย....................................................................41 เรือ่ งท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรส ังเขปของประเทศในทวปี เอเชีย.........................43 เร่ืองที่ 2 เหตกุ ารณส าํ คัญทางประวตั ิศาสตรที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และประเทศในทวีปเอเชยี .........................................................62 เรื่องท่ี 3 พระราชกรณยี กิจของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช (รชั กาลท่ี 9) และสมเดจ็ พระนางเจา สิรกิ ติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ ทส่ี งผลตอ การเปล่ยี นแปลงของประเทศไทย..............................82 บทที่ 3 เศรษฐศาสตร.................................... ...............................................109 เรือ่ งที่ 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรม หภาค และจุลภาค.............................................................................110 เรอ่ื งที่ 2 ระบบเศรษฐกจิ ในประเทศไทย................................................112 เรอื่ งที่ 3 คุณธรรมในการผลติ และการบริโภค........................................125 เรอ่ื งที่ 4 กฎหมายและขอมลู การคมุ ครองผบู รโิ ภค................................127 เรอ่ื งท่ี 5 ระบบเศรษฐกิจของประเทศตา ง ๆ ในเอเชีย...........................130 เรื่องท่ี 6 ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น....................................................135

สารบัญ (ตอ) บทที่ 4 การเมืองการปกครอง.............................................................................. 146 เรื่องท่ี 1 การเมอื งการปกครองทใี่ ชอยใู นปจ จุบัน ของประเทศไทย .....................................................................147 เรอ่ื งท่ี 2 เปรียบเทียบรูปแบบทางการเมืองการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยและระบบอนื่ ๆ.....................................158 แนวเฉลยกจิ กรรม ……………………………………………………………………………………….167 บรรณานกุ รม ……………………………………………………………………………………….175 คณะผูจัดทาํ ……………………………………………………………………………………….179

คาํ แนะนาํ ในการใชห นงั สือเรยี น หนังสือสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) ระดับมัธยมศึกษาตอนตน เปนหนังสือเรียนที่จัดทําขึ้นสําหรับผูเรียนท่ีเปนนักศึกษานอกระบบในการศึกษาหนังสือสาระ การพัฒนาสงั คม รายวิชาสงั คมศึกษา (สค21001) ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน ผเู รยี นควรปฏิบัติ ดังนี้ ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเ ขา ใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง และขอบขาย เน้ือหาของรายวิชาน้นั ๆ โดยละเอยี ด 1. ศึกษารายละเอียดเน้อื หาของแตล ะบทอยางละเอียด และทํากจิ กรรมตามทีก่ ําหนด แลวตรวจสอบกบั แนวตอบกจิ กรรมตามท่กี ําหนด ถา ผูเรยี นตอบผดิ ควรกลับไปศึกษาและทําความเขา ใจ ในเน้อื หานั้นใหมใ หเ ขาใจ กอ นท่จี ะศกึ ษาเรอื่ งตอ ๆ ไป 2. ปฏิบัติกิจกรรมทา ยเรื่องของแตละเรื่อง เพื่อเปน การสรุปความรู ความเขาใจของเนื้อหา ในเรอ่ื งนนั้ ๆ อีกครง้ั และการปฏบิ ัติกิจกรรมของแตละเนอ้ื หา แตล ะเร่อื ง ผูเ รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบ กับครแู ละเพอื่ น ๆ ที่รว มเรียนในรายวชิ าและระดับเดียวกนั ได 3. หนงั สอื เรยี นเลมน้มี ี 4 บท คอื บทท่ี 1 ภมู ศิ าสตรก ายภาพทวปี เอเชีย บทท่ี 2 ประวตั ศิ าสตรทวีปเอเชีย บทที่ 3 เศรษฐศาสตร บทท่ี 4 การเมอื งการปกครอง

โครงสรางรายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001) สาระสาํ คญั การศึกษาเรียนรูเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอ มทางกายภาพทั้งของประเทศไทย และทวีปเอเชีย วิวัฒนาการความสัมพันธข องมนุษยกับส่ิงแวดลอม การจัดการทรัพยากรท่ีมีอยูอยา ง จํากัด เพ่ือใหใ ชอยางเพียงพอในการผลิตและบริโภค การใชขอ มูลทางประวัติศาสตรเพื่อวิเคราะห เหตกุ ารณใ นอนาคต การเรียนรเู รอ่ื งการเมืองการปกครอง สามารถนําไปใชป ระโยชนในการดําเนินชีวิต ประจาํ วันได ผลการเรยี นรทู คี่ าดหวงั 1. อธิบายขอ มูลเก่ียวกับภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมืองการปกครองที่ เกี่ยวของกับประเทศในทวีปเอเชยี 2. นําเสนอผลการเปรียบเทียบสภาพภูมิศาสตร ประวัติศาสตร เศรษฐศาสตร การเมือง การปกครองของประเทศในทวีปเอเชยี 3. ตระหนกั และวิเคราะหถึงการเปลีย่ นแปลงท่ีเกิดขนึ้ กับประเทศในทวปี เอเชยี ทมี่ ีผลกระทบตอ ประเทศไทย ขอบขา ยเนอื้ หา บทท่ี 1 ภูมิศาสตรก ายภาพทวปี เอเชีย เรอื่ งท่ี 1 ลักษณะทางภูมิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวปี เอเชีย เร่อื งที่ 2 การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ศิ าสตรก ายภาพ เรอ่ื งท่ี 3 วิธใี ชเ ครอ่ื งมือทางภมู ศิ าสตร เรอ่ื งที่ 4 สภาพภมู ิศาสตรก ายภาพของไทยทส่ี ง ผลตอทรพั ยากรตาง ๆ เร่ืองที่ 5 ความสําคญั ของการดํารงชีวติ ใหส อดคลอ งกับทรพั ยากรในประเทศ บทที่ 2 ประวตั ศิ าสตรท วีปเอเชยี เรื่องท่ี 1 ประวตั ศิ าสตรสังเขปของประเทศในทวีปเอเชีย เรื่องท่ี 2 เหตุการณส าํ คญั ทางประวัตศิ าสตรทเ่ี กดิ ขน้ึ ในประเทศไทยและ ประเทศในทวปี เอเชีย เรือ่ งท่ี 3 พระราชกรณียกจิ ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช (รัชกาลที่ 9) และสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ ท่ีสงผล ตอ การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย

บทท่ี 3 เศรษฐศาสตร เร่อื งท่ี 1 ความหมายความสําคญั ของเศรษฐศาสตรมหภาคและจุลภาค เร่อื งที่ 2 ระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย เรอื่ งท่ี 3 คุณธรรมในการผลติ และการบรโิ ภค เรื่องท่ี 4 กฎหมายและขอ มูลการคุมครองผูบรโิ ภค เร่ืองท่ี 5 ระบบเศรษฐกจิ ของประเทศตา ง ๆ ในเอเชยี เรอ่ื งท่ี 6 ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น บทท่ี 4 การเมอื งการปกครอง เรอ่ื งท่ี 1 การเมืองการปกครองทใ่ี ชอ ยใู นปจ จุบนั ของประเทศไทย เรอื่ งที่ 2 รูปแบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยและระบบอื่น ๆ สื่อประกอบการเรียนรู 1. หนังสือเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบและระดับการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. เครือ่ งมือทางภมู ศิ าสตร เชน แผนที่ ลูกโลก เข็มทิศ รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ย จากดาวเทยี ม 3. เวบ็ ไซต 4. หนังสือพิมพ วารสาร เอกสารทางวิชาการตามหองสมุดและแหลงเรียนรูใ นชุมชน และหองสมุดประชาชน หอ งสมุดเฉลิมราชกุมารใี นทองถิ่น

1 บทท่ี 1 ภูมศิ าสตรกายภาพทวีปเอเชยี สาระสําคัญ ภูมิศาสตรกายภาพ คือวิชาท่ีเกี่ยวของกับลักษณะการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดลอม ทางกายภาพ (Physical Environment) ท่ีอยูรอบตัวมนุษย ทั้งสวนท่ีเปนธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาค และชีวภาค ตลอดจนความสัมพันธทางพื้นที่ (Spatial Relation) ของส่ิงแวดลอม ทางกายภาพตาง ๆ ดงั กลาวขา งตน การศกึ ษาภูมศิ าสตรท างกายภาพทวีปเอเชียทําใหสามารถวิเคราะหเหตุผลประกอบกับการ สังเกตพิจารณาสิ่งที่ผันแปรเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคตาง ๆ ของทวีปเอเชียไดเปนอยางดี การศึกษา ภูมิศาสตรกายภาพแผนใหมตองศึกษาอยางมีเหตุผล โดยอาศัยหลักเกณฑทางภูมิศาสตรหรือ หลกั เกณฑสถติ ิ ซง่ึ เปน ขอ เทจ็ จริงจากวชิ าในแขนงท่ีเกยี่ วของกันมาพิจารณาโดยรอบคอบ ผลการเรียนรูท่คี าดหวัง 1. อธิบายลกั ษณะทางภูมิศาสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชียได 2. มคี วามรทู างดานภูมิศาสตรก ายภาพ สามารถเขาใจสภาพกายภาพของโลกวา มอี งคประกอบและมกี ารเปลยี่ นแปลงที่มผี ลตอสภาพความเปน อยูของมนษุ ยอ ยางไร 3. สามารถอธิบายการใชและประโยชนของเคร่ืองมอื ทางภมู ิศาสตรไ ด 4. อธบิ ายความสมั พนั ธของสภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยที่สงผลตอทรัพยากรตาง ๆ และสงิ่ แวดลอ มได 5. อธิบายความสัมพันธของการดํารงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรในประเทศไทย และประเทศในทวปี เอเชียได ขอบขายเนอื้ หา เร่อื งท่ี 1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี 1.1 ทต่ี งั้ และอาณาเขต 1.2 ลักษณะภูมปิ ระเทศ 1.3 สภาพภูมิอากาศ เรอ่ื งที่ 2 การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ 2.1 การเปลีย่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพทส่ี งผลกระทบตอ วิถีชวี ิต ความเปนอยูของคน

2 เรอื่ งท่ี 3 วิธใี ชเ คร่อื งมอื ทางภมู ิศาสตร 3.1 แผนท่ี 3.2 ลกู โลก 3.3 เข็มทิศ 3.4 รปู ถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทยี ม 3.5 เคร่อื งมอื เทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษาภมู ศิ าสตร เร่อื งท่ี 4 สภาพภูมิศาสตรกายภาพของไทยทสี่ ง ผลตอทรพั ยากรตา ง ๆ และสง่ิ แวดลอม เรือ่ งท่ี 5 ความสาํ คญั ของการดาํ รงชีวติ ใหส อดคลองกบั ทรัพยากรในประเทศ 5.1 ประเทศไทย 5.2 ประเทศในเอเชยี ส่ือประกอบการเรยี นรู 1. แบบเรียนรายวิชาสังคมศึกษา สาระการพัฒนาสังคม ระดับมัธยมศึกษาตอนตน หลักสูตร การศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขน้ึ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 2. เครื่องมือทางภมู ิศาสตร เชน แผนที่ ลกู โลก เข็มทิศ รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทียม 3. เวบ็ ไซต

3 เรอ่ื งที่ 1 ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวปี เอเชยี 1.1 ทต่ี ้งั และอาณาเขต ทวปี เอเชียเปนทวีปทม่ี ีขนาดใหญที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 44,648,953 ลา นตารางกิโลเมตร มดี ินแดนทีต่ อเนื่องกบั ทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา แผนดินของทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย ท่ีตอเน่ืองกัน เรียกรวมวา ยูเรเชีย พื้นท่ีสวนใหญอยูเหนือเสนศูนยสูตรมีทําเลที่ตั้งตามพิกัดภูมิศาสตร คือ จากละติจูด 11 องศาใต ถึงละติจูด 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ บริเวณแหลมเชลยูสกิน (Chelyuskin) สหพันธรัฐรัสเซีย และจากลองจิจูดท่ี 26 องศา 04 ลิปดาตะวนั ออก บริเวณแหลมบาบา (Baba) ประเทศตุรกี ถงึ ลองจิจดู 169 องศา 30 ลิปดาตะวันตก ทีบ่ ริเวณแหลมเดชเนฟ (Dezhnev) สหพันธรัฐรัสเซยี โดยมอี าณา- เขตติดตอ กบั ดินแดนตา ง ๆ ดงั ตอ ไปนี้ ทิศเหนือ จรดมหาสมุทรอารกติก มีแหลมเชลยูสกินของสหพันธรัฐรัสเซียเปนแผนดินอยูเหนือสุด ท่ลี ะตจิ ูด 77 องศาเหนือ ทิศใต จรดมหาสมทุ รอินเดีย มีเกาะโรติ (Roti) ของติมอร-เลสเต เปน ดินแดนอยูใตท่ีสุดท่ีละติจูด 11 องศาใต ทศิ ตะวนั ออก จรดมหาสมทุ รแปซิฟก มีแหลมเดชเนฟของสหพันธรัฐรัสเซียเปน แผนดนิ อยูตะวันออก ท่สี ุด ที่ลองจจิ ูด 170 องศาตะวนั ตก ทศิ ตะวันตก จรดทะเลเมดเิ ตอรเ รเนยี นและทะเลดํา มีทวิ เขาอูราลกั้นดนิ แดนกบั ทวปี ยุโรป และมี ทะเลแดงกับคาบสมุทรไซไน (Sinai) ก้ันดินแดนกับทวีปแอฟริกา มีแหลมบาบาของตุรกีเปนแผนดิน อยตู ะวันตกสดุ ท่ลี องจิจดู 26 องศาตะวนั ออก 1.2 ลักษณะภูมิประเทศ ทวีปเอเชียมีลักษณะภูมิประเทศแตกตางกันหลายชนิดในสวนท่ีเปน ภาคพน้ื ทวปี แบงออกเปนเขตตา ง ๆ ได 5 เขต คือ 1) เขตทีร่ าบตา่ํ ตอนเหนอื เขตที่ราบตาํ่ ตอนเหนือ ไดแก ดินแดนทีอ่ ยูทางตอนเหนอื ของทวีปเอเชีย ในเขตไซบีเรีย สวนใหญอยูในเขตโครงสรางแบบหินเกา ท่ีเรียกวา แองการาชีลด มีลักษณะภูมิประเทศ เปนท่ีราบขนาดใหญ มีแมน้ําออบ แมนํ้าเยนิเซและแมนํ้าลีนาไหลผาน บริเวณน้ีมีอาณาเขตกวางขวางมาก แตไมคอยมีผูคนอาศัยอยู ถึงแมวาจะเปนที่ราบ เพราะเน่ืองจากมีภูมิอากาศหนาวเย็นมากและทําการ เพาะปลกู ไมได 2) เขตที่ราบลุมแมน้ํา เขตที่ราบลุมแมนํ้า ไดแก ดินแดนแถบลุมแมน้ําตาง ๆ ซึ่งมีลักษณะ ภูมปิ ระเทศเปน ท่รี าบและมกั มีดินอุดมสมบูรณเหมาะแกการเพาะปลกู สว นใหญอยูทางเอเชียตะวันออก เอเชียใต และเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแก ทร่ี าบลุมฮวงโห ท่รี าบลุมแมน ้าํ แยงซเี กยี งในประเทศจีน ทีร่ าบลุมแมน้ําสินธุ ที่ราบลุมแมน้ําคงคาและท่ีราบลุมแมนํ้าพรหมบุตรในประเทศปากีสถาน อินเดีย และบังกลาเทศ ท่ีราบลุม แมน้ําไทกริส ท่ีราบลุมแมนํ้ายูเฟรทีสในประเทศอิรัก ท่ีราบลุมแมนํ้าโขงตอนลางในประเทศกัมพูชาและ เวยี ดนาม ทีร่ าบลุมแมน ้าํ แดงในประเทศเวียดนาม ท่ีราบลุมแมน้ําเจาพระยาในประเทศไทย ที่ราบลุมแมนํ้า สาละวนิ ตอนลา ง ที่ราบลุมแมน ํ้าอิระวดใี นประเทศสาธารณรัฐแหงสหภาพพมา

4 3) เขตเทอื กเขาสูง เปนเขตเทือกเขาหินใหมตอนกลาง ประกอบไปดวยท่ีราบสูงและเทือกเขา มากมาย เทือกเขาสูงเหลาน้ีสวนใหญเปนเทือกเขาท่ีแยกตัวไปจากจุดรวม ท่ีเรียกวา ปามีรนอต หรือภาษา พน้ื เมอื งเรียกวา “ปามรี ด ุนยา” แปลวา หลังคาโลกจากปามรี นอต มเี ทือกเขาสูง ๆ ของทวีปเอเชียหลายแนว ซึง่ อาจแยกออกไดด งั น้ี เทือกเขาท่ีแยกไปทางทิศตะวนั ออก ไดแก เทอื กเขาหมิ าลยั เทือกเขาอาระกันโยมาและเทือกเขา ทม่ี แี นวตอเน่อื งลงมาทางใต มีบางสวนทจ่ี มหายไปในทะเลและบางสว นโผลข ึน้ มาเปน เกาะในมหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟก ถัดจากเทือกเขาหิมาลัยข้ึนไปทางเหนือมีเทือกเขาที่แยกไปทางตะวันออก ไดแก เทือกเขาคุนลุน เทือกเขาอัลตินตัก เทือกเขานานซานและแนวท่ีแยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไดแก เทือกเขาเทียนชาน เทือกเขาอัลไต เทือกเขาคินแกน เทือกเขายาโบลนอย เทือกเขาสตาโนวอยและ เทือกเขาโกลมี า เทือกเขาทีแ่ ยกไปทางทศิ ตะวันตกแยกเปนแนวเหนือและแนวใต แนวเหนือ ไดแก เทือกเขา ฮินดูกูช เทือกเขาเอลบูชร สวนแนวทิศใต ไดแก เทือกเขาสุไลมาน เทือกเขาซากรอส ซ่ึงเมื่อเทือกเขาท้ัง 2 นี้ มาบรรจบกันทอ่ี ารเ มเนยี นนอตแลว ยังแยกออกอีกเปน 2 แนวในเขตประเทศตรุ กี คือ แนวเหนือเปน เทอื กเขา ปอนตกิ และแนวใตเ ปน เทอื กเขาเตารัส 4) เขตท่รี าบสงู ตอนกลางทวปี เขตที่ราบสงู ตอนกลางเปน ทร่ี าบสูงอยูระหวางเทือกเขาหินใหม ที่สําคัญ ๆ ไดแก ที่ราบสูงทิเบตซึ่งเปนที่ราบสูงขนาดใหญและสูงท่ีสุดในโลก ที่ราบสูงยูนนาน ทางใตของ ประเทศจีนและที่ราบสูงท่ีมีลักษณะเหมือนแองช่ือ “ตากลามากัน” ซ่ึงอยูระหวางเทือกเขาเทียนซานกับ เทอื กเขาคุนลนุ แตอ ยสู ูงกวาระดบั นา้ํ ทะเลมากและมีอากาศแหง แลง เปน เขตทะเลทราย

5 5) เขตที่ราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต เขตที่ราบสูงตอนใตและตะวันตกเฉียงใต ไดแก ที่ราบสูงขนาดใหญทางตอนใตของทวีปเอเชีย ซึ่งมีความสูงไมมากเทากับท่ีราบสูงทางตอนกลางของทวีป ที่ราบสูงดังกลาว ไดแก ที่ราบสูงเดคคานในประเทศอินเดีย ที่ราบสูงอิหรานในประเทศอิหรานและ อฟั กานสิ ถานทรี่ าบสูงอนาโตเลียในประเทศตรุ กแี ละทร่ี าบสูงอาหรับในประเทศซาอุดีอาระเบยี 1.3 สภาพภมู อิ ากาศ สภาพภมู ศิ าสตรและพืชพรรณธรรมชาติในทวปี เอเชยี แบงได ดังน้ี 1) ภูมิอากาศแบบปาดิบชื้น เขตภูมิอากาศแบบปาดิบชื้น อยูระหวางละติจูดที่ 10 องศาเหนือ ถึง 10 องศาใต ไดแก ภาคใตของประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟลิปปนส มีความแตกตางของ อณุ หภูมริ ะหวางกลางวันและกลางคืนไมมากนกั มีปรมิ าณน้ําฝนมากกวา 2,000 มิลลิเมตร (80 นิ้ว) ตอป และมี ฝนตกตลอดป พืชพรรณธรรมชาตเิ ปน ปาดงดบิ ซึ่งไมม ฤี ดูที่ผลัดใบและมีตนไมหนาแนน สวนบริเวณปากแมน้ํา และชายฝง ทะเลมพี ืชพรรณธรรมชาตเิ ปนปาชายเลน 2) ภูมอิ ากาศแบบมรสมุ เขตรอ นหรือรอ นช้ืนแถบมรสุม เปน ดินแดนที่อยูเ หนือละตจิ ดู 10 องศา เหนอื ขึ้นไป มฤี ดูแลงและฤดฝู นสลับกนั ประมาณปล ะเดือน ไดแก บริเวณคาบสมุทรอินเดีย และคาบสมุทร อนิ โดจนี เขตน้เี ปนเขตท่ไี ดรบั อิทธิพลของลมมรสุม ปริมาณน้ําฝนจะสูงในบริเวณดานตนลม (Winward side) และมีฝนตกนอยในดานปลายลม (Leeward side) หรือเรยี กวา เขตเงาฝน (Rain shadow) พืชพรรณธรรมชาติเปนปามรสุมหรือปาไมผลัดใบในเขตรอน พันธุไมสวนใหญเปนไมใบกวาง และเปนไมเน้ือแข็งทมี่ คี าในทางเศรษฐกิจหรือปาเบญจพรรณ เชน ไมสกั ไมจ นั ทน ไมประดู เปนตน ปามรสุม มีลักษณะเปนปาโปรงมากกวาปาไมในเขตรอนชื้น บางแหงมีไมขนาดเล็กข้ึนปกคลุมบริเวณดินชั้นลางและ บางแหง เปน ปา ไผห รือหญา ปะปนอยู 3) ภูมิอากาศแบบทุงหญาเมืองรอน มีลักษณะอากาศคลายเขตมรสุม มีฤดูแลงกับฤดูฝน แตปริมาณนํ้าฝนนอยกวา คือ ประมาณ 1,000 - 1,500 มิลลิเมตร (40 - 60 น้ิว) ตอป อุณหภูมิเฉล่ียตลอดป ประมาณ 21 องศาเซลเซยี ส (70 องศาฟาเรนไฮต) อณุ หภูมกิ ลางคืนเย็นกวากลางวัน ไดแก บริเวณตอนกลาง ของอินเดีย สาธารณรฐั แหง สหภาพพมา และคาบสมทุ รอินโดจีน พืชพรรณธรรมชาติเปนปาโปรงแบบเบญจพรรณ ถัดเขาไปตอนในจะเปนทุงหญาสูงตั้งแต 60 - 360 เซนตเิ มตร (2 - 12 ฟุต) ซง่ึ จะงอกงามดีในฤดูฝน แตแ หงเฉาตายในฤดหู นาวเพราะชวงนอี้ ากาศแหงแลง 4) ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตอบอุน อยูในเขตอบอุนแตไดรับอิทธิพลของลมมรสุมมีฝนตก ในฤดูรอน ฤดูหนาวคอนขางหนาว ไดแก บริเวณภาคตะวันตกของจีน ภาคใตของญ่ีปุน คาบสมุทรเกาหลี ฮอ งกง ตอนเหนอื ของอนิ เดียในสาธารณรัฐประชาชนลาวและตอนเหนอื ของเวียดนาม พืชพรรณธรรมชาตเิ ปนไมผลดั ใบหรอื ไมผ สม มที ้ังไมใ บใหญท ่ผี ลดั ใบและไมสนท่ีไมผ ลัดใบ ในเขต สาธารณรฐั ประชาชนจนี เกาหลี ทางใตข องเขตนเี้ ปนปา ไมผ ลัดใบ สว นทางเหนือมีอากาศหนาวกวาปาไมผสม และปา ไมผ ลัดใบ เชน ตนโอก เมเปล ถา ขึ้นไปทางเหนืออากาศหนาวเย็นจะเปน ปา สนท่มี ีใบเขียวตลอดป 5) ภูมิอากาศแบบอบอุนภาคพ้ืนทวีป ไดแก ทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีเหนือ ภาคเหนือของญ่ีปุนและตะวันออกเฉียงใตของไซบีเรีย มีฤดูรอน

6 ทอี่ ากาศรอ น กลางวันยาวกวากลางคืน นาน 5 - 6 เดือน เปนเขตปลูกขาวโพดไดดีเพราะมีฝนตกในฤดูรอน ประมาณ 750 - 1,000 มม. (30 - 40 นวิ้ ) ตอ ป ฤดูหนาวอณุ หภูมเิ ฉล่ียถึง 7 องศาเซลเซียส (18 องศาฟาเรน ไฮต) เปน เขตที่ความแตกตางระหวา งอุณหภมู ิมีมาก พืชพรรณธรรมชาติเปนปาผสมระหวางไมผลัดใบและปาสนลึกเขาไปเปนทุงหญา สามารถ เพาะปลกู ขาวโพด ขาวสาลแี ละเลี้ยงสัตวพวกโคนมได สว นแถบชายทะเลมีการทาํ ปาไมบางเลก็ นอ ย 6) ภูมิอากาศแบบทุงหญากึ่งทะเลทรายแถบอบอุน มีอุณหภูมิสูงมากในฤดูรอนและอุณหภูมิ ตา่ํ มากในฤดูหนาว มฝี นตกบา งในฤดใู บไมผลแิ ละฤดูรอ น ไดแ ก ภาคตะวนั ตกของคาบสมทุ รอาหรับ ตอนกลาง ของประเทศตุรกี ตอนเหนอื ของภาคกลางของอิหรา น ในมองโกเลียทางตะวนั ตกเฉยี งเหนือของจีน พชื พรรณธรรมชาตเิ ปน ทุงหญาสน้ั (Steppe) ทุงหญา ดงั กลา ว มีการชลประทานเขาถงึ ใชเลี้ยงสัตว และเพาะปลกู ขาวสาลี ขาวฟาง ฝา ย ไดดี 7) ภมู อิ ากาศแบบทะเลทราย มคี วามแตกตางระหวา งอณุ หภูมิกลางวันกับกลางคืนและฤดูรอน กบั ฤดหู นาวมาก ไดแ ก ดินแดนท่ีอยภู ายในทวีปท่มี ีเทอื กเขาปดลอม ทําใหอิทธิพลจากมหาสมุทรเขาไปไมถึง ปริมาณฝนตกนอ ยกวาปละ 250 มม. (10 นวิ้ ) ไดแ ก บริเวณคาบสมุทรอาหรับ ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายธาร และที่ราบสูงทเิ บต ท่ีราบสูงอิหรา น บรเิ วณทีม่ ีนา้ํ และตน ไมข นึ้ เรยี กวา โอเอซสิ (Oasis) พืชพรรณธรรมชาติเปนอินทผลัม ตะบองเพชรและไมประเภทมีหนาม ชายขอบทะเลทราย สวนใหญเปนทุงหญาสลับปาโปรง มีการเล้ียงสัตวประเภทที่เลี้ยงไวใชเนื้อและทําการเพาะปลูกตองอาศัย การชลประทานชว ย 8) ภูมิอากาศแบบเมดิเตอรเรเนียน อากาศในฤดูรอน รอนและแหงแลงในเลบานอน ซีเรีย อสิ ราเอลและตอนเหนอื ของอิรกั พืชพรรณธรรมชาติเปนไมตนเต้ีย ไมพุมมีหนาม ตนไมเปลือกหนาท่ีทนตอความแหงแลง ในฤดู รอนไดด ี พืชที่เพาะปลูก ไดแ ก สม องนุ และมะกอก 9) ภูมิอากาศแบบไทกา (กึ่งข้ัวโลก) มีฤดูหนาวยาวนานและหนาวจัด ฤดูรอนสั้น มีน้ําคางแข็ง ไดท ุกเวลาและฝนตกในรปู ของหิมะ ไดแก ดนิ แดนทางภาคเหนอื ของทวปี บริเวณไซบเี รีย พืชพรรณธรรมชาตเิ ปนปาสน เปน แนวยาวทางเหนือของทวีป ท่ีเรียกวา ไทกา (Taiga) หรือ ปาสนของไซบเี รยี 10) ภมู อิ ากาศแบบทนุ ดรา (ขวั้ โลก) เขตนี้มีฤดหู นาวยาวนานมาก อากาศหนาวจัด มีหิมะปกคลุม ตลอดป ไมมีฤดูรอน พืชพรรณธรรมชาติเปนพวกตะไครนํา้ และมอสส 11) ภูมิอากาศแบบที่สูง ในเขตที่สูงอุณหภูมิจะลดลงตามระดับความสูงในอัตราความสูงเฉลี่ย ประมาณ 1 องศาเซลเซียสตอ ความสูง 10 เมตร จงึ ปรากฏวา ยอดเขาสงู บางแหงแมจะอยูในเขตรอน ก็มีหิมะ ปกคลมุ ทง้ั ป หรือเกอื บตลอดป ไดแก ที่ราบสงู ทเิ บต เทอื กเขาหมิ าลัย เทอื กเขาคุนลุน และเทือกเขาเทยี นชาน ซึ่งมีความสูงประมาณ 5,000 - 8,000 เมตร จากระดับนํ้าทะเล มีหิมะปกคลุมและมีอากาศหนาวเย็นแบบ ขว้ั โลก พชื พรรณธรรมชาติเปน พวกตะไครนํา้ และมอสส

7 การแบง ภูมิภาค ทวีปเอเชยี นอกจากจะเปน อนภุ มู ิภาคของทวีปยเู รเชีย ยงั อาจแบงออกเปนสว นยอ ย ดังน้ี เอเชียเหนือ หมายถึง รัสเซีย เรียกอีกอยางวาไซบีเรีย บางครั้งรวมถึงประเทศทางตอนเหนือของ เอเชียดว ย เชน คาซัคสถาน เอเชยี กลาง ประเทศในเอเชยี กลาง ไดแก - สาธารณรฐั ในเอเชยี กลาง 5 ประเทศ คอื คาซัคสถาน อซุ เบกิสถาน ทาจกิ สิ ถาน เตริ ก เมนสิ ถาน และคีรก ซี สถาน - ประเทศแถบตะวนั ตกของทะเลสาบแคสเปย น 3 ประเทศ คือ จอรเ จีย อารเ มเนยี และ อาเซอรไ บจานบางสว น เอเชียตะวนั ออก ประเทศในเอเชียตะวันออก ไดแ ก - เกาะไตห วันและญ่ีปนุ ในมหาสมทุ รแปซิฟก - เกาหลีเหนือและเกาหลีใตบ นคาบสมุทรเกาหลี - สาธารณรัฐประชาชนจีนและมองโกเลยี เอเชียตะวันออกเฉียงใต ดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต คือ ประเทศบนคาบสมุทรมลายู คาบสมุทรอินโดจีน เกาะตาง ๆ ในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟก เอเชียตะวันออกเฉียงใต ประกอบดวย - ประเทศตาง ๆ ในแผนดินใหญ ไดแก สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา ไทย สาธารณรัฐ- ประชาธิปไตยประชาชนลาว กัมพูชาและเวียดนาม - ประเทศตาง ๆ ในทะเล ไดแก มาเลเซีย ฟลิปปนส สิงคโปร อินโดนีเซีย บรูไนและติมอร ตะวันออก (ตมิ อร - เลสเต) ประเทศอินโดนีเซียแยกไดเปน 2 สวน โดยมที ะเลจีนใตคั่นกลาง ทั้งสองสวนมีท้ัง พ้นื ท่ที ่ีเปนแผน ดินใหญแ ละเกาะ เอเชียใต เอเชยี ใตอ าจเรียกอกี อยางวาอนุทวีปอินเดยี ประกอบดว ย - บนเทือกเขาหมิ าลยั ไดแก อนิ เดยี ปากสี ถาน เนปาล ภฏู านและบังกลาเทศ - ในมหาสมุทรอินเดยี ไดแ ก ศรลี ังกาและมลั ดีฟส เอเชียตะวนั ตกเฉียงใต (หรอื เอเชียตะวันตก) ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกามักเรียก ภูมิภาคน้ีวาตะวันออกกลางบางคร้ัง “ตะวันออกกลาง” อาจหมายรวมถึงประเทศในแอฟริกาเหนือ เอเชีย ตะวันตกเฉยี งใตแบงยอยไดเ ปน - อะนาโตเลยี (Anatolia) ซ่ึงกค็ อื เอเชียไมเนอร (Asia Minor) เปนพื้นที่สวนท่ีเปนเอเชียของ ตรุ กี - ประเทศตุรกี 97 % ของตรุ กี - ทเ่ี ปนเกาะ คอื ไซปรสั ในทะเลเมดเิ ตอรเ รเนียน - กลุมเลแวนตหรือตะวันออกใกล ไดแ ก ซเี รีย อิสราเอล จอรแ ดน เลบานอนและอริ กั

8 - ในคาบสมุทรอาหรับ ไดแก ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส บาหเรน กาตาร โอมาน เยเมนและอาจรวมถึงคเู วต - ท่ีราบสูงอิหราน ไดแ ก อิหรานและพ้นื ที่บางสว นของประเทศอืน่ ๆ - อัฟกานิสถาน กิจกรรมที่ 1.1 ลักษณะทางภูมศิ าสตรก ายภาพของประเทศในทวีปเอเชยี 1) ใหผ เู รียนอธิบายจดุ เดนของลกั ษณะภมู ปิ ระเทศในทวปี เอเชีย ทั้ง 5 เขต .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2) ภูมิอากาศแบบใดทม่ี หี ิมะปกคลมุ ตลอดปแ ละพชื พรรณทป่ี ลกู เปนประเภทใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

9 เรอื่ งที่ 2 การเปลย่ี นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตรกายภาพ หมายถึง ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดลอม ทางกายภาพท่ีอยูรอบตัวมนุษย ทั้งสวนที่เปนธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาคและชีวภาค ตลอดจน ความสมั พันธทางพ้ืนท่ขี องส่งิ แวดลอ มทางกายภาพตา ง ๆ ดงั กลา วขา งตน การเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตรกอใหเกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ทั้งภูมิประเทศและ ภมู ิอากาศในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย สวนมากเกิดจากปรากฏการณตามธรรมชาติและเกิดผล กระทบตอ ประชาชนทอี่ าศยั อยู รวมท้ังสงิ่ กอ สรางปรากฏการณต า ง ๆ ท่มี กั จะเกดิ มีดงั ตอไปน้ี 2.1 การเกิดแผนดินไหว แผนดินไหวเปนปรากฏการณธรรมชาติที่เกิดจากการเคล่ือนที่ของ แผน เปลือกโลก (แนวระหวางรอยตอธรณีภาค) ทําใหเกิดการเคลื่อนตัวของช้ันหินขนาดใหญเลื่อนเคลื่อนที่ หรือแตกหักและเกิดการโอนถายพลังงานศักยผานในช้ันหินที่อยูติดกัน พลังงานศักยนี้อยูในรูปเคลื่อนไหว สะเทือน จุดศูนยกลางการเกิดแผนดินไหว (focus) มักเกิดตามรอยเลื่อน อยูในระดับความลึกตาง ๆ ของ ผวิ โลก สว นจดุ ท่อี ยูใ นระดับสงู กวา ณ ตาํ แหนง ผิวโลก เรยี กวา “จดุ เหนือศูนยก ลางแผน ดินไหว” (epicenter) การส่ันสะเทือนหรอื แผน ดนิ ไหวนี้จะถกู บันทกึ ดว ยเครือ่ งมอื ทเ่ี รยี กวา ไซสโ มกราฟ 1) สาหตุการเกดิ แผนดินไหว - แผนดินไหวจากธรรมชาติ เปนธรณีพิบัติภัยชนิดหน่ึง สวนมากเปนปรากฏการณ ทางธรรมชาตทิ ่เี กิดจากการสน่ั สะเทือนของพื้นดิน อันเน่ืองมาจากการปลดปลอยพลังงานท่ีสะสมไว ภายใน โลกออกมาอยางฉบั พลนั เพื่อปรบั สมดลุ ของเปลอื กโลกใหค งท่ีโดยปกติเกิดจากการเคล่ือนไหวของรอยเลื่อน ภายในช้ันเปลือกโลกท่ีอยูดานนอกสุดของโครงสรางของโลก มีการเคลื่อนท่ีหรือเปล่ียนแปลงอยางชา ๆ อยูเสมอ แผน ดินไหวจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ภาวะน้ีเกิดข้ึนบอยในบริเวณขอบเขตของ แผนเปลือกโลกท่ีแบงชั้นเปลือกโลกออกเปนธรณีภาค (lithosphere) เรียกแผนดินไหวที่เกิดขึ้นบริเวณ ขอบเขตของแผนเปลือกโลกน้ีวา แผนดินไหวระหวางแผน (interpolate earthquake) ซ่ึงเกิดไดบอยและ รนุ แรงกวา แผนดินไหวภายในแผน (intraplate earthquake) - แผน ดินไหวจากการกระทาํ ของมนษุ ย ซ่ึงมีท้ังทางตรงและทางออ ม เชน การทดลองระเบิด ปรมาณู การทําเหมือง สรางอางเก็บนํ้าหรือเขื่อนใกลรอยเลื่อน การทํางานของเคร่ืองจักรกล การจราจร เปน ตน 2) การวัดระดับความรุนแรงของแผนดินไหว โดยปกติจะใชมาตราริคเตอร ซึ่งเปนการวัดขนาด และความสัมพนั ธข องขนาดโดยประมาณกบั ความส่นั สะเทือนใกลศูนยก ลาง ระดบั ความรุนแรงของแผนดินไหว 1 - 2.9 เล็กนอย ผูคนเร่ิมรสู กึ ถึงการมาของคล่นื มอี าการวงิ เวียนเพยี งเลก็ นอ ยในบางคน 3 - 3.9 เล็กนอย ผคู นทีอ่ ยใู นอาคารรสู ึกเหมือนมอี ะไรมาเขยาอาคารใหส ่นั สะเทอื น 4 - 4.9 ปานกลาง ผทู ่อี าศัยอยทู ้ังภายในอาคารและนอกอาคาร รสู กึ ถึงการส่ันสะเทือน วัตถหุ อย แขวนแกวง ไกว 5 - 5.9 รุนแรงเปน บรเิ วณกวาง เคร่อื งเรอื นและวตั ถุมกี ารเคล่ือนที่

10 6 - 6.9 รุนแรกมาก อาคารเร่มิ เสยี หาย พงั ทลาย 7.0 ข้ึนไป เกดิ การสนั่ สะเทือนอยางมากมาย สงผลทําใหอาคารและสิ่งกอสรางตาง ๆ เสียหาย อยางรนุ แรง แผน ดินแยก วัตถบุ นพน้ื ถูกเหวี่ยงกระเดน็ 3) ขอ ปฏบิ ตั ใิ นการปอ งกันและบรรเทาภยั จากแผนดินไหว กอ นเกดิ แผน ดินไหว 1. เตรียมเครื่องอุปโภคบริโภคท่ีจําเปน เชน ถานไฟฉาย ไฟฉาย อุปกรณดับเพลิง น้ํา อาหารแหง ไวใ ชใ นกรณไี ฟฟา ดบั หรอื กรณฉี ุกเฉินอนื่ ๆ 2. จัดหาเคร่ืองรับวิทยุท่ีใชถานไฟฉายหรือแบตเตอร่ีสําหรับเปดฟงขาวสาร คําเตือน คําแนะนาํ และสถานการณต าง ๆ 3. เตรยี มอปุ กรณนริ ภยั สําหรบั การชวยชีวิต 4. เตรยี มยารกั ษาโรคและเวชภัณฑใหพรอมท่ีจะใชใ นการปฐมพยาบาลเบือ้ งตน 5. จัดใหม ีการศึกษาถึงการปฐมพยาบาล เพ่ือเปนการเตรียมพรอมที่จะชวยเหลือผูที่ไดรับ บาดเจบ็ หรืออนั ตรายใหพ น ขดี อนั ตรายกอ นท่ีจะถงึ มือแพทย 6. จําตาํ แหนงของวาลว เปด-ปดน้ํา ตําแหนงของสะพานไฟฟา เพ่ือตัดตอนการสงนํ้าและ ไฟฟา 7. ยึดเครอ่ื งเรือน เคร่ืองใชไมส อยภายในบา น ที่ทาํ งานและในสถานศกึ ษาใหม น่ั คง แนนหนา ไมโ ยกเยกโคลงเคลงเพื่อไมใหไ ปทาํ ความเสยี หายแกช ีวิตและทรัพยสนิ 8. ไมค วรวางสิ่งของที่มนี ํา้ หนกั มาก ๆ ไวใ นทสี่ ูง เพราะอาจรว งหลน มาทาํ ความเสยี หายหรือเปน อนั ตรายได 9. เตรยี มการอพยพเคลื่อนยา ย หากถึงเวลาทจี่ ะตองอพยพ 10. วางแผนปองกันภัยสําหรับครอบครัว ท่ีทํางานและสถานที่ศึกษา มีการชี้แจงบทบาท ทสี่ มาชิกแตล ะบุคคลจะตองปฏิบัติ มีการฝกซอมแผนที่จัดทําไว เพ่ือเพิ่มลักษณะและความคลองตัว ในการ ปฏิบัตเิ ม่ือเกิดเหตกุ ารณฉ กุ เฉิน ขณะเกดิ แผนดินไหว 1. ต้งั สติ อยูใ นท่ีทแี่ ข็งแรงปลอดภยั หา งจากประตู หนาตา ง สายไฟฟา เปนตน 2. ปฏิบัติตามคําแนะนํา ขอควรปฏิบัติของทางราชการอยางเครงครัด ไมต่ืนตระหนก จนเกนิ ไป 3. ไมค วรทําใหเกิดประกายไฟ เพราะหากมกี ารร่วั ซึมของแกส หรอื วตั ถไุ วไฟ อาจเกดิ ภัยพิบตั ิ จากไฟไหม ไฟลวก ซาํ้ ซอนกับแผนดินไหวเพมิ่ ข้นึ อีก 4. เปดวิทยรุ บั ฟงสถานการณ คําแนะนํา คําเตอื นตา ง ๆ จากทางราชการอยางตอ เนอ่ื ง 5. ไมควรใชลิฟต เพราะหากไฟฟาดับอาจมีอนั ตรายจากการติดอยูภายในลิฟต 6. มุดเขาไปนอนใตเตยี งหรอื ตง่ั อยาอยใู ตค านหรอื ทที่ ่มี นี าํ้ หนกั มาก

11 7. อยูใ ตโตะ ทแ่ี ขง็ แรง เพื่อปอ งกนั อนั ตรายจากส่งิ ปรักหักพังรวงหลน ลงมา 8. อยหู างจากสงิ่ ที่ไมม่นั คงแขง็ แรง 9. ใหร บี ออกจากอาคารเมอ่ื มีการสง่ั การจากผูท ค่ี วบคุมแผนปองกนั ภยั หรอื ผทู ีร่ บั ผิดชอบในเรอื่ งน้ี 10. หากอยใู นรถ ใหห ยุดรถจนกวาแผนดนิ จะหยดุ ไหวหรอื ส่ันสะเทอื นหลงั เกดิ แผน ดินไหว 11. ตรวจเช็คการบาดเจ็บและทําการปฐมพยาบาลผูท่ีไดรับบาดเจ็บ แลวรีบนําสง โรงพยาบาลโดยดว นเพื่อใหแพทยไ ดท าํ การรักษาตอไป 12. ตรวจเช็คระบบน้ํา ไฟฟา หากมีการรั่วซึมหรือชํารุดเสียหาย ใหปดวาลวเพื่อปองกันน้ําทวม เออ ยกสะพานไฟฟา เพ่อื ปอ งกนั ไฟฟารัว่ ไฟฟา ดูดหรือไฟฟา ช็อต 13. ตรวจเช็คระบบแกส โดยวิธีการดมกลิ่นเทานั้น หากพบวามีการรั่วซึมของแกส (มีกล่ิน) ใหเปดประตูหนาตา ง แลว ออกจากอาคารแจงเจา หนา ทีป่ อ งกนั ภัยฝายพลเรอื นผูท ร่ี ับผิดชอบไดท ราบในโอกาส ตอ ไป 14. ไมใชโทรศพั ทโ ดยไมจาํ เปน 15. อยา กดนํา้ ลางสวมจนกวา จะมีการตรวจเช็คระบบทอเปนทเ่ี รยี บรอยแลว เพราะอาจเกิด การแตกหกั ของทอในสว มทาํ ใหนํ้าทวมเออ หรือสงกล่ินทไ่ี มพ ึงประสงค 16. ออกจากอาคารท่ีชํารดุ โดยดวน เพราะอาจเกดิ การพงั ทลายลงมา 17. สวมรองเทา ยางเพ่อื ปอ งกันส่ิงปรักหกั พัง เศษแกว เศษกระเบือ้ ง 18. รวมพล ณ ทห่ี มายที่ไดต กลงนดั หมายกันไวแ ละตรวจนบั จาํ นวนสมาชิกวาอยูครบหรอื ไม 19. รวมมือกับเจาหนาท่ีในการเขาไปปฏิบัติงานในบริเวณท่ีไดรับความเสียหายและผูไมมี หนาท่ีหรือไมเกยี่ วของไมค วรเขาไปในบรเิ วณนั้น ๆ หากไมไ ดร ับการอนุญาต 20. อยาออกจากชายฝง เพราะอาจเกิดคลื่นใตน าํ้ ซดั ฝง ได แมวา การสั่นสะเทือนของแผนดิน จะสนิ้ สดุ ลงแลว ก็ตาม ผลกระทบตอประชากรท่ีเกดิ จากแผน ดนิ ไหว จากเหตุการณแผนดนิ ไหวคร้ังรายแรงลา สุดในทวีปเอเชีย ในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 มคี วามรุนแรงอยทู ีข่ นาด 7.9 รกิ เตอร ทีค่ วามลกึ : 19 กิโลเมตร โดยจุดศูนยกลาง การสน่ั อยทู ่ี เขตเหวินฉวน มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของนครเฉิงตู 90 กิโลเมตร แผนดินไหวครั้งน้ี สรางความเสียหายใหกับประเทศจีนอยางมหาศาล ทั้งชีวิตประชาชน อาคารบานเรือน ถนนหนทาง โดยมี ผูเสียชีวิต 68,516 คน บาดเจ็บ 365,399 คน และสูญหาย 19,350 คน (ตัวเลขอยางเปนทางการ วันท่ี 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551) นอกจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแลว แผนดินไหวก็ยังสามารถรูสึกไดในประเทศ เพอื่ นบานของจนี อาทเิ ชน ประเทศไทย ประเทศบงั กลาเทศ ประเทศอนิ เดยี ประเทศปากสี ถาน แมว า การเกิดแผนดินไหวไมส ามารถปอ งกันได แตเ ราควรเรียนรูขอปฏิบัติในการปองกันท้ังกอน การเกดิ แผน ดนิ ไหวและขณะเกิดแผนดินไหว เพือ่ ปองกนั ความเสียหายทเ่ี กดิ กบั ชีวิต

12 2.2 การเกิดพายุ พายุ คือ สภาพบรรยากาศท่ีถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะท่ีมีผลกระทบตอ พ้ืนผวิ โลกและบง บอกถงึ สภาพอากาศทร่ี ุนแรง เมอ่ื พูดถึงความรุนแรงของพายุจะกลาวถึงความเร็วท่ีศูนยก ลาง ซง่ึ อาจสูงถึง 400 กม./ชม. ความเร็วของการเคลื่อนตัว ทิศทางการเคล่ือนตัวของพายุและขนาดความกวาง หรือเสนผาศูนยกลางของตัวพายุ ซึ่งบอกถึงอาณาบริเวณท่ีจะไดรับความเสียหายวา ครอบคลุมเทาใด ความรนุ แรงของพายุจะมหี นวยวัดความรุนแรงคลายหนว ยริกเตอรข องการวัดความรนุ แรงแผนดนิ ไหว มักจะมี ความเรว็ เพม่ิ ขน้ึ เรือ่ ย ๆ ประเภทของพายุ พายแุ บง เปน ประเภทใหญ ๆ ได 3 ประเภท คือ 1) พายฝุ นฟา คะนอง มีลักษณะเปน ลมพดั ยอ นไปมาหรือพัดเคล่ือนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจเกิด จากพายุท่ีออ นตวั และลดความรุนแรงของลมลงหรือเกดิ จากหยอ มความกดอากาศต่ํา รองความกดอากาศต่ํา อาจไมมีทศิ ทางที่แนนอนหากสภาพการณแวดลอมตา ง ๆ ของการเกิดฝนเหมาะสมกจ็ ะเกดิ ฝนตก มลี มพัด 2) พายุหมนุ เขตรอ นตาง ๆ เชน เฮอรร ิเคน ไตฝุนและไซโคลน ซึ่งลวนเปนพายุหมุนขนาดใหญ เชน เดยี วกนั และจะเกดิ ข้นึ หรอื เร่ิมตนกอ ตัวในทะเล หากเกิดเหนือเสน ศนู ยสูตรจะมีทิศทางการหมุนทวนเข็ม นาฬิกาและหากเกิดใตเ สนศนู ยสูตรจะหมุนตามเขม็ นาฬิกา โดยมีชอ่ื ตา งกนั ตามสถานท่เี กิด กลาวคอื พายเุ ฮอรรเิ คน (Hurricane) เปน ชื่อเรยี กพายุหมุนทีเ่ กดิ บรเิ วณทิศตะวนั ตกของมหาสมุทร แอตแลนติก เชน บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อาวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เปนตน รวมท้ังมหาสมุทร แปซิฟกบริเวณชายฝง ประเทศเม็กซิโก พายไุ ตฝ ุน (Typhoon) เปนชื่อพายหุ มนุ ทเี่ กิดทางทศิ ตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟกเหนือ เชน บรเิ วณทะเลจนี ใต อาวไทย อาวตงั เกย๋ี ประเทศญ่ปี นุ พายุไซโคลน (Cyclone) เปนชื่อพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเหนือ เชน บริเวณอาว เบงกอล ทะเลอาหรับ เปนตน แตถาพายุน้ีเกิดบริเวณทะเลติมอรและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ออสเตรเลยี จะเรยี กวา พายวุ ลิ ลี - วลิ ลี (Willy - Willy) พายุโซนรอน (Tropical Storm) เกิดขึ้นเม่ือพายุเขตรอนขนาดใหญออนกําลังลงขณะ เคลอื่ นตัวในทะเลและความเรว็ ท่จี ุดศูนยก ลางลดลงเม่ือเคล่ือนเขาหาฝง มคี วามเรว็ ลม 62 - 117 กโิ ลเมตรตอ ชั่วโมง พายุดีเปรสชนั่ (Depression) เกดิ ข้นึ เมอื่ ความเร็วลดลงจากพายุโซนรอ น ซ่งึ กอ ใหเ กิดพายุ ฝนฟา คะนองธรรมดาหรอื ฝนตกหนกั มีความเรว็ ลมนอยกวา 61 กิโลเมตรตอช่วั โมง 3) พายทุ อรน าโด (Tornado) เปนช่ือเรยี กพายุหมนุ ทเ่ี กิดในทวีปอเมริกา มีขนาดเนื้อทีเ่ ล็กหรือ เสนผา ศนู ยกลางนอ ย แตหมนุ ดวยความเร็วสงู หรือความเรว็ ที่จดุ ศนู ยกลางสูงมากกวา พายหุ มุนอืน่ ๆ กอ ความ เสยี หายไดรุนแรงในบริเวณที่พัดผาน เกิดไดทั้งบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเล จะเรียกวา นาคเลนน้ํา (water spout) บางครงั้ อาจเกิดจากกลมุ เมฆบนทอ งฟาแตหมุนตัวยื่นลงมาจากทองฟาไมถึงพ้ืนดิน มีรูปราง เหมือนงวงชาง จึงเรยี กกันวา ลมงวงชาง

13 ความเร็วของพายุ สามารถแบง ออกเปน 5 ระดบั ไดแ ก 1) ระดับท่ี 1 มีความเร็วลม 119 - 153 กิโลเมตรตอช่ัวโมง ทําลายลางเล็กนอย ไมสงผลตอสิ่ง ปลกู สรา ง มีน้ําทว มขังตามชายฝง 2) ระดับที่ 2 มีความเร็วลม 154 - 177 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางเล็กนอย ทําใหหลังคา ประตู หนา ตางบา นเรือนเสยี หายบาง ทําใหเกิดนา้ํ ทว มขงั 3) ระดับที่ 3 มีความเร็วลม 178 - 209 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางปานกลางทําลาย โครงสรา งท่ีอยูอาศัยขนาดเล็ก นา้ํ ทว มขังถึงพ้ืนบานช้ันลาง 4) ระดับที่ 4 มีความเร็วลม 210 - 249 กิโลเมตรตอชั่วโมง ทําลายลางสูง หลังคาบานเรือน บางแหงถูกทําลาย น้ําทว มเขามาถงึ พน้ื บา น 5) ระดับที่ 5 มีความเร็วลมมากกวา 250 กิโลเมตรตอช่ัวโมง จะทําลายลางสูงมาก หลังคา บา นเรอื น ตึกและอาคารตาง ๆ ถูกทาํ ลาย พังทลาย นํา้ ทวมขงั ปรมิ าณมาก ถึงขั้นทําลายทรพั ยสินในบา น อาจตอ งประกาศอพยพประชาชน ลําดบั ชน้ั การเกดิ พายุฝนฟา คะนอง 1) ระยะเจรญิ เตบิ โต โดยเร่ิมจากการที่อากาศรอนลอยตัวข้ึนสูบรรยากาศ พรอมกับการมีแรง มากระทําหรอื ผลักดันใหมวลอากาศยกตวั ข้นึ ไปสูความสูงระดับหนึ่ง โดยมวลอากาศจะเย็นลงเมื่อลอยสูงขึ้น และเร่ิมที่จะเคล่ือนตัวเปนละอองน้ําเล็ก ๆ เปนการกอตัวของเมฆคิวมูลัส ในขณะที่ความรอนแฝงจากการ กล่นั ตวั ของไอนา้ํ จะชว ยใหอัตราการลอยตัวของกระแสอากาศภายในกอนเมฆเร็วมากย่ิงขึ้น ซึ่งเปนสาเหตุให ขนาดของเมฆคิวมูลัสมีขนาดใหญข้ึนและยอดเมฆสูงเพิ่มข้ึนเปนลําดับ จนเคลื่อนท่ีข้ึนถึงระดับบนสุดแลว (จุดอ่มิ ตัว) จนพฒั นามาเปนเมฆควิ มโู ลนิมบัส กระแสอากาศบางสวนก็จะเร่ิมเคล่ือนที่ลงและจะเพ่ิมมากข้ึน จนกลายเปนกระแสอากาศที่เคลอื่ นทีล่ งอยา งเดยี ว 2) ระยะเจริญเตบิ โตเตม็ ที่ เปน ชวงทีก่ ระแสอากาศมที งั้ ไหลข้นึ และไหลลงปริมาณความรอ นแฝง ท่ีเกิดขึ้นจากการกล่ันตัวลดนอยลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากการท่ีหยาดน้ําฟาท่ีตกลงมามีอุณหภูมิตํ่า ชวยทําให อณุ หภูมิของกลมุ อากาศเยน็ กวา อากาศแวดลอม ดังน้นั อตั ราการเคลื่อนที่ลงของกระแสอากาศจะมคี าเพ่ิมข้ึน เปน ลําดับ กระแสอากาศที่เคลื่อนท่ีลงมา จะแผขยายตัวออกดานขางกอใหเกิดลมกระโชกรุนแรง อุณหภูมิ จะลดลงทนั ทีทันใด และความกดอากาศจะเพ่ิมขึน้ อยา งรวดเร็วและยาวนาน แผออกไปไกลถึง 60 กโิ ลเมตร ได โดยเฉพาะสวนท่ีอยูดานหนาของทิศทาง การเคลื่อนที่ของพายุฝนฟาคะนอง พรอมกันน้ันการท่ีกระแส อากาศเคลอ่ื นทข่ี ้ึนและเคล่อื นท่ีลงจะกอ ใหเ กดิ ลมเชยี รร ุนแรงและเกดิ อากาศปน ปวนโดยรอบ 3) ระยะสลายตัว เปนระยะที่พายุฝนฟาคะนองมีกระแสอากาศเคล่ือนที่ลงเพียงอยางเดียว หยาดนาํ้ ฝนตกลงมาอยา งรวดเร็วและหมดไปพรอม ๆ กับกระแสอากาศที่ไหลลงก็จะเบาบางลง การหลบเลี่ยงอันตรายจากพายุฝนฟาคะนอง เน่ืองจากพายุฝนฟาคะนองสามารถ ทําใหเกิด ความเสียหายตอทรัพยส ินและอันตรายตอ ชีวิตของมนษุ ยไ ด จึงควรหลบเลย่ี งจากสาเหตุดงั กลาว คือ 1) ในขณะปรากฏพายฝุ นฟาคะนอง หากอยูใกลอาคารหรือบานเรือนที่แข็งแรงและปลอดภัย จากนาํ้ ทวม ควรอยแู ตภ ายในอาคารจนกวา พายุฝนฟา คะนองจะยุตลิ ง ซงึ่ ใชเวลาไมนานนัก การอยูในรถยนต

14 จะเปน วิธีการทป่ี ลอดภยั วิธีหนง่ึ แตค วรจอดรถใหอยูหางไกลจากบริเวณท่ีน้ําอาจทวมได อยูหางจากบริเวณ ท่เี ปนน้ําข้นึ จากเรอื ออกหางจากชายหาดเมอื่ ปรากฏพายุฝนฟาคะนอง เพือ่ หลกี เล่ยี งอนั ตรายจากนํ้าทว มและ ฟา ผา 2) ในกรณที ่ีอยูในปา ในทงุ ราบหรือในท่ีโลง ควรคุกเขาและโนมตัวไปขางหนา แตไมควรนอน ราบกับพ้ืน เนือ่ งจากพืน้ เปย กเปน สื่อไฟฟา และไมควรอยูในทตี่ ่ํา ซง่ึ อาจเกดิ น้าํ ทวมฉับพลันได ไมควรอยูในที่ โดดเดีย่ วหรืออยูส ูงกวา สภาพสง่ิ แวดลอม 3) ออกหางจากวัตถุที่เปนสื่อไฟฟาทุกชนิด เชน ลวด โลหะ ทอน้ํา แนวร้ัวบาน รถแทรกเตอร จักรยานยนต เครอ่ื งมอื อปุ กรณทําสวนทุกชนิด รางรถไฟ ตนไมสูง ตนไมโดดเดี่ยวในท่ีแจง ไมควรใชอุปกรณ ไฟฟา เชน โทรทัศน ฯลฯ และควรงดใชโทรศัพทช่วั คราว นอกจากกรณีฉุกเฉิน ไมควรใสเคร่ืองประดับโลหะ เชน ทองเหลอื ง ทองแดง ฯลฯ ในทแ่ี จงหรือถือวัตถุโลหะ เชน รม ในขณะปรากฏพายฝุ นฟา คะนอง นอกจากน้ี ควรดแู ลสงิ่ ของตา ง ๆ ใหอยูในสภาพที่แขง็ แรงและปลอดภยั อยูเ สมอโดยเฉพาะสงิ่ ของท่อี าจจะหกั โคนได เชน หลงั คาบา น ตนไม ปายโฆษณา เสาไฟฟา ฯลฯ ผลกระทบตอ ประชากรที่เกดิ จากพายุ จากกรณีการเกดิ พายไุ ซโคลน “นารก สี ” (Nargis) ทีส่ าธารณรฐั แหงสหภาพพมา ถอื เปน ขาวใหญ ท่ีทั่วโลกใหความสนใจอยางยิ่ง เพราะมหันตภัยคร้ังนี้ ไดคราชีวิตชาวพมาไปนับหม่ืนคน สูญหายอีกหลาย หมน่ื ชีวิต บา นเรอื น ทรพั ยส ินและสาธารณูปโภคตาง ๆ เสยี หายยับเยิน “นารกีส” เปนชื่อเรียกของพายุหมุนเขตรอน มีผลพวงมาจากการเกิดภาวะโลกรอน มคี วามเร็วลม 190 กโิ ลเมตรตอช่วั โมง พายุ “นารก สี ” เรม่ิ กอ ตัว เม่อื วนั ท่ี 27 เมษายน 2551 ในอาวเบงกอล ตอนกลางและพัดเขาบริเวณสามเหลี่ยมปากแมน้ําอิระวดี ที่นครยางกุงและบาสเซน สาธารณรัฐแหง สหภาพพมา ในเชา วันท่ี 3 พฤษภาคม 2551 ความรุนแรงของไซโคลน “นารกีส” จัดอยูในความรุนแรงระดับ 3 คือ ทําลายลางปานกลาง ทาํ ลายโครงสรางที่อยูอาศัยขนาดเล็ก นํ้าทวมขังถึงพื้นบานช้ันลางพัดหลังคาบานเรือนปลิววอน ตนไมและ เสาไฟฟาหักโคน ไฟฟาดับทั่วเมือง ในขณะที่ทางภาคเหนือและภาคใตของประเทศไทยก็เจอหางเลข อทิ ธพิ ล “นารกีส” เล็กนอ ย ซึ่งทาํ ใหห ลายจงั หวดั เกดิ ฝนตกชกุ มีนํ้าทว มขัง พิบตั ิภยั ธรรมชาตไิ มม ีทางเลยี่ งได ไมวาจะประเทศไหนหรอื แผนดินใด แตมีวธิ ปี องกันทด่ี ีทส่ี ดุ คือ รัฐบาลตองมีหนวยงานซ่ึงทําหนาที่ early warning คือ เตือนประชาชนคนของตนแตแรกดวยขอมูลท่ีมี ประสิทธิภาพและทันการณ จากน้ันก็ตองรีบดําเนินการตาง ๆ อยางเหมาะสม เชน ยายผูคนใหไปอยูในท่ี ปลอดภัย ท้ังน้ี นับเปนโชคดีของประเทศไทยท่ีเม่ือ นารกีส มาถึงบานเราก็ลดความแรงลงคงมีแตฝนเปน สวนใหญ แมจะทําความเสียหายแกพืชไรของเกษตรกรไมนอยแตก็เพิ่มประมาณน้ําในเข่ือนสําคัญ ๆ แตอยา งไรกต็ ามผลพวงภัยพบิ ัติทางธรรมชาติที่เกดิ ขนึ้ ท้ังหมดมาจาก “ภาวะโลกรอน” ซึ่งก็เกิดจากฝมอื มนุษย ทั้งส้นิ

15 2.3 การเกิดคล่ืนสนึ ามิ คลนื่ สึนามิ (Tsunami) คือ คลนื่ ในทะเลหรอื คล่ืนยักษใ ตนาํ้ จะเกดิ ภายหลัง จากการส่ันสะเทือนของแผนดินไหว แผนดินถลม การระเบิดหรือการปะทุของภูเขาไฟท่ีพ้ืนทองสมุทร อยางรุนแรง ทําใหเกิดรอยแยก นํ้าทะเลจะถูกดูดเขาไปในรอยแยกน้ี ทําใหเกิดภาวะนํ้าลดลงอยางรวดเร็ว จากนัน้ แรงอัดใตเปลือกโลกจะดันน้ําทะเลขึ้นมากอ พลงั คลืน่ มหาศาล คล่ืนสนึ ามิอาจจะเคลื่อนท่ีขามมหาสมุทร ซึ่งหางจากจุดท่ีเกิดเปนพัน ๆ กิโลเมตร โดยไมมีลักษณะผิดสังเกต เพราะมีความสูงเพียง 30 เซนติเมตร เคล่ือนท่ีดวยความเร็ว 600 - 1,000 กิโลเมตรตอช่ัวโมง แตเมื่อเคลื่อนตัวเขามาในเขตน้ําต้ืน จะเกิดแรงดัน ระดบั น้ําใหส ูงข้นึ อยา งรวดเร็วและมแี รงปะทะอยางมหาศาลกลายเปนคลนื่ ยกั ษทมี่ ีความสงู 15 - 30 เมตร สึนามิ สวนใหญเกดิ จากการเคลอ่ื นตัวของเปลอื กโลกใตท ะเลอยางฉบั พลนั อาจจะเปน การเกดิ แผน ดิน ถลม ยบุ ตัวลงหรือเปลอื กโลกถูกดันข้นึ หรือยุบตัวลง ทาํ ใหมนี ํา้ ทะเลปรมิ าตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือทรุดตัวลง อยา งฉับพลนั พลังงานจํานวนมหาศาลก็ถายเทไปใหเ กิดการเคลือ่ นตัวของนาํ้ ทะเลเปน คลน่ื สนึ ามทิ เ่ี หนือทะเล ลึก จะดูไมตางไปจากคล่ืนทั่ว ๆ ไปเลย จึงไมสามารถสังเกตไดดวยวิธีปกติ แมแตคนบนเรือเหนือทะเลลึก ทคี่ ลน่ื สึนามิเคลอื่ นผา นใตท องเรือไป กจ็ ะไมรูสกึ อะไรเพราะเหนือทะเลลึก คล่ืนน้ีสูงจากระดับนํ้าทะเลปกติ เพยี งไมกฟี่ ตุ เทานน้ั จึงไมส ามารถแมแตจ ะบอกไดด ว ยภาพถายจากเครื่องบนิ หรอื ยานอวกาศ นอกจากนี้แลว สึนามิ ยังเกิดไดจ ากการเกดิ แผน ดนิ ถลมใตทะเลหรอื ใกลฝ งทที่ ําใหม วลของดินและหนิ ไปเคลอื่ นยา ยแทนทม่ี วลน้าํ ทะเลหรอื ภเู ขาไฟระเบดิ ใกลทะเล สง ผลใหเกิดการโยนสาดดินหนิ ลงน้ําจนเกิดเปน คล่ืนสนึ ามิได ดังเชน การระเบดิ ของภเู ขาไฟกระกะตว้ั ในป ค.ศ. 1883 ซงึ่ สง คลื่นสนึ ามิออกไปทาํ ลายลางชีวติ และทรพั ยส ินของผคู นในเอเชยี มจี าํ นวนผูตายถึงประมาณ 36,000 ชีวติ

16 คล่นื สนึ ามิกบั ผลกระทบตอสิง่ แวดลอม การเกดิ คลน่ื สึนามิกระทบตอ สง่ิ แวดลอมและสังคม ในหลาย ๆ ดา น เชน เกิดการเปล่ยี นแปลงของพน้ื ทชี่ ายฝง ในชวงเวลาอันสนั้ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทีอ่ ยอู าศยั ของสัตวนํา้ บางประเภท ปะการังถูกทําลาย ประชาชนขาดทีอ่ ยูอ าศยั ไรท รัพยส ินสิน้ เนือ้ ประดาตวั กระทบตอ อาชพี ไมว า จะเปน ชาวประมง อาชพี ทเ่ี กยี่ วกบั การบรกิ ารดานทองเท่ียว สิง่ ปลูกสรางอาคารบา นเรอื นเสียหาย ฯลฯ ผลกระทบตอ ประชากรทีเ่ กดิ จากคลื่นสึนามิ จากกรณีการเกดิ คลนื่ สึนามิ ในวนั ที่ 26 ธนั วาคม 2547 เวลา 0:58:50 น. (UT) หรอื เวลา 7:58:50 น. ตามเวลาในประเทศไทย ไดเกิดแผนดินไหวขนาด 8.9 ตามมาตราริกเตอร ท่ีนอกชายฝงตะวันตกทางตอน เหนอื ของเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย จุดศูนยกลางอยูลึก 10 กม. หางจากเมืองบันดาเอเช ประมาณ 250 กม. และหางจากกรุงเทพฯ 1,260 กม. แผนดินไหวน้ีเปนแผนดินไหวที่ใหญเปนอันดับท่ี 5 นับตั้งแตป ค.ศ. 1900 และใหญที่สุดนับต้ังแตแผนดินไหวอลาสกาในป ค.ศ. 1964 เหตุการณดังกลาวทําใหเกิดการ สั่นสะเทือนรับรูไดในประเทศมาเลเซีย สิงคโปรและไทย แรงคล่ืนสูงประมาณ 6 เมตร ไดถาโถมตามแนว ชายฝงสรางความเสียหายในวงกวาง ทําใหเกิดผูเสียชีวิตและบาดเจ็บเปนจํานวนมาก ในประเทศอินเดีย ศรีลงั กา มาเลเซยี และจังหวัดทองเทยี่ วทางใตของประเทศไทย มีผเู สยี ชวี ติ นบั รอ ยและมีผูบาดเจ็บเปนจํานวน มากในจงั หวัดภเู ก็ต พงั งา ตรงั และกระบ่ี กิจกรรมที่ 1.2 การเปลยี่ นแปลงสภาพภูมศิ าสตรก ายภาพ 1) ใหผูเรียนอธิบายวาการเกิดแผนดินไหวอยางรุนแรงจะสงผลกระทบตอประชากรและ ส่งิ แวดลอ มอยางไรบาง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ....................................................................... 2) ใหบอกความแตกตา งและผลกระทบทเี่ กิดตอประชากรและส่งิ แวดลอมของพายฝุ นฟาคะนอง พายหุ มุนเขตรอนและพายุทอรนาโด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................................

17 3) คล่ืนสึนามิกับผลกระทบตอสิ่งแวดลอมมากมายหลายอยาง ในความคิดเห็นของผูเรียน ผลกระทบดานใดที่เสยี หายมากท่ีสุด พรอมใหเ หตผุ ลประกอบ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..................................................................................... เรอ่ื งที่ 3 วธิ ใี ชเ ครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร เครื่องมือทางภูมิศาสตร หมายถึง สิ่งที่มนุษยสรางขึ้นมาเพื่อตรวจสอบและบันทึกขอมูลทางดาน ภมู ิศาสตร เคร่อื งมอื ภูมิศาสตรที่สําคญั ไดแก แผนที่ ลูกโลก เขม็ ทศิ รปู ถา ยทางอากาศ ภาพถายจากดาวเทียม และเครื่องมือเทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษาภูมิศาสตร ฯลฯ 3.1 แผนที่ เปนส่ิงที่มนุษยสรางขึ้นเพ่ือแสดงลักษณะที่ต้ังของส่ิงตาง ๆ ที่ปรากฏอยูบนพื้นผิวโลก ทัง้ ทีเ่ กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติและสง่ิ ทม่ี นษุ ยสรา งขน้ึ โดยการยอสวนใหมีขนาดเล็กลงตามทต่ี อ งการ พรอ มท้ังใช เคร่อื งหมายหรือสัญลักษณแ สดงลักษณะแทนสง่ิ ตา ง ๆ ลงในวัสดพุ ้นื แบนราบ ความสําคัญของแผนที่ แผนที่เปนท่ีรวบรวมขอมูลประเภทตาง ๆ ตามชนิดของแผนที่ จึงสามารถใชป ระโยชนจ ากแผนทไ่ี ดตามวตั ถุประสงค โดยไมจําเปนตอ งเดินทางไปเห็นพื้นท่ีจรงิ แผนที่ชวยให ผูใชส ามารถรูสิ่งทป่ี รากฏอยบู นพน้ื โลกไดอ ยางกวางไกล ถูกตอ งและประหยดั ประโยชนข องแผนที่ แผนที่มีประโยชนตองานหลาย ๆ ดาน คือ 1. ดานการเมืองการปกครอง เพื่อรักษาความม่ันคงของประเทศชาติใหคงอยูจําเปนจะตองมี ความรูในเรอ่ื งภมู ิศาสตรก ารเมอื งหรอื ทเ่ี รียกกันวา “ภูมิรัฐศาสตร” และเครื่องมือทสี่ ําคัญของนกั ภมู ริ ฐั ศาสตร ก็คอื แผนที่ เพ่อื ใชศึกษาสภาพทางภูมิศาสตรและนํามาวางแผนดําเนินการเตรียมรับหรือแกไขสถานการณ ท่เี กดิ ขึ้นได 2. ดานการทหาร ในการพิจารณาวางแผนทางยุทธศาสตรของทหาร จําเปนตองหาขอมูลหรือ ขาวสารทเ่ี กี่ยวกบั สภาพภูมิศาสตรและตําแหนงทางสิ่งแวดลอมท่ีถูกตองแนนอนเก่ียวกับระยะทาง ความสูง เสน ทาง ลกั ษณะภูมิประเทศทส่ี าํ คัญ 3. ดา นเศรษฐกจิ และสังคม ดานเศรษฐกิจ เปนเคร่อื งบง ชคี้ วามเปน อยขู องประชาชนภายในชาติ การดาํ เนนิ งานเพือ่ พัฒนาเศรษฐกจิ ของแตละภูมิภาคท่ีผานมา แผนท่ีเปนส่ิงแรกท่ีตองผลิตขึ้นมาเพื่อการใช งานในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหงชาติ ก็ตองอาศยั แผนที่เปนขอมูลพ้ืนฐานเพ่ือใหทราบทําเล ท่ตี ัง้ สภาพทางกายภาพแหลงทรัพยากร

18 4. ดานสังคม สภาพแวดลอมทางสังคมมีการเปล่ียนแปลงอยูเสมอที่เห็นชัดคือสภาพแวดลอม ทางภมู ิศาสตร ซงึ่ ทาํ ใหส ภาพแวดลอ มทางสังคมเปล่ียนแปลงไป การศึกษาสภาพการเปล่ียนแปลงตองอาศัย แผนท่เี ปน สําคัญและอาจชวยใหการดาํ เนนิ การวางแผนพัฒนาสังคมเปนไปในแนวทางทีถ่ กู ตอง 5. ดานการเรียนการสอน แผนท่ีเปนตัวสงเสริมกระตุนความสนใจและกอใหเกิดความเขาใจ ในบทเรียนดีข้ึน ใชเ ปน แหลงขอมูลทั้งทางดา นกายภาพ ภูมิภาค วฒั นธรรม เศรษฐกิจ สถติ ิและการกระจายของ สง่ิ ตา ง ๆ รวมท้ังปรากฏการณทางธรรมชาตแิ ละปรากฏการณตา ง ๆ ใชเปนเคร่อื งชว ยแสดงภาพรวมของพ้ืนที่ หรอื ของภูมิภาค อนั จะนาํ ไปศกึ ษาสถานการณแ ละวิเคราะหค วามแตกตา งหรอื ความสมั พันธของพ้นื ท่ี 6. ดา นสง เสรมิ การทอ งเทย่ี ว แผนทม่ี คี วามจําเปนตอนักทองเท่ียวในอันท่ีจะทําใหรูจักสถานที่ ทอ งเท่ียวไดงา ย สะดวกในการวางแผนการเดนิ ทางหรอื เลือกสถานทท่ี องเที่ยวตามความเหมาะสม ชนิดของแผนที่ แบงตามการใชงานได 3 ชนดิ ไดแก 1. แผนทีภ่ ูมิประเทศ เปนแผนท่ีแสดงความสูงตํ่าของพื้นผิวโลก โดยใชเสนช้ันความสูงบอกคา ความสูงจากระดบั นา้ํ ทะเลปานกลาง แผนทชี่ นดิ น้ีเปน พ้นื ฐานท่ีจะนาํ ไปทําขอ มูลอื่น ๆ เกี่ยวกับแผนท่ี 2. แผนท่ีเฉพาะเร่ือง เปนแผนที่ท่ีแสดงลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ ไดแก แผนท่ีรัฐกิจ แสดงเขตการปกครองหรืออาณาเขต แผนท่แี สดงอณุ หภูมขิ องอากาศ แผนที่แสดงปริมาณนํ้าฝน แผนที่แสดง การกระจายตัวของประชากร แผนท่เี ศรษฐกิจ แผนท่ปี ระวตั ศิ าสตร เปน ตน 3. เปน แผนทที่ รี่ วบรวมเร่ืองตาง ๆ ทง้ั ลักษณะทางกายภาพ ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม ทางดาน ประชากร และอ่นื ๆ ไวในเลม เดยี วกนั องคป ระกอบของแผนทม่ี หี ลายองคป ระกอบ คือ 1. สัญลักษณ คือ เคร่ืองหมายที่ใชแ ทนสิ่งตาง ๆ ตามที่ตองการแสดงไวในแผนท่ี เพ่ือใหเขาใจ แผนทไี่ ดง า ยข้ึน เชน จุด วงกลม เสน ฯลฯ 2. มาตราสว น คือ อัตราสวนระยะหางในแผนทก่ี บั ระยะหางในภูมิประเทศจริง 3. ระบบอางองิ ในแผนที่ ไดแ ก เสน ขนานละติจดู และเสน ลองตจิ ดู (เมรเิ ดยี น) เสน ละติจดู เปนเสนสมมติที่ลากไปรอบโลกตามแนวนอนหรือแนวทิศตะวันออก ตะวันตก แตละเสนหางกัน 1 องศา โดยมีเสน 0 องศา (เสนศูนยสูตร) แบงก่ึงกลางโลก เสนท่ีอยูเหนือเสนศูนยสูตร เรียกวา “เสนองศาเหนือ” เสน ทอ่ี ยูใตเสน ศนู ยสูตร เรยี กวา “เสนองศาใต” ละติจดู มที ้งั หมด 180 เสน เสน ลองตจิ ูด เปน เสน สมมติท่ลี ากไปรอบโลกในแนวตั้งจากขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต แตละ เสนหางกัน 1 องศา กําหนดใหเสนท่ีลากผานตําบลกรีนิช กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เปนเสน 0 องศา (เมริเดยี นปฐม) ถา นับจากเสน เมริเดยี นปฐม ไปทางตะวันออก เรยี กเสนองศาตะวันออก ถา นบั ไปทางตะวนั ตก เรยี กเสน องศาตะวนั ตก ลองตจิ ูด มที ้งั หมด 360 เสน พิกัดภูมิศาสตร เปนตําแหนงที่ตั้งของจุดตาง ๆ บนพื้นผิวโลก เกิดจากการตัดกันของ เสน ขนานละตจิ ดู และเสนเมรเิ ดยี น โดยเสน สมมตทิ งั้ สองน้ีจะตง้ั ฉากซึ่งกันและกนั 4. ขอบระวาง แผนทีท่ กุ ชนิดควรมขี อบระวาง เพอื่ ชว ยใหด เู รียบรอยและเปนการกําหนดขอบเขต ของแผนท่ดี วย ขอบระวางมักแสดงดว ยเสน ตรงสองเสนหรือเสนเดียว

19 5. ระบบอา งองิ บนแผนท่ี คือระบบที่กาํ หนดขน้ึ เพ่อื อาํ นวยความสะดวกในการคํานวณหาตําแหนง ที่ตง้ั และคาํ นวณหาเวลาของตําแหนงตาง ๆ บนพนื้ ผิวโลก ซึง่ แยกไดดงั น้ี การคํานวณหาตําแหนงท่ีต้ัง จะใชละติจูดและลองติจูดเปนเกณฑ วิธีนี้เรียกวา การพิกัด ภูมศิ าสตร การคาํ นวณหาเวลา โดยใชหลักการวา 1 นาที = 15 ลิปดา และ 4 นาที = 1 ลองติจูด หรือ 1 องศา 6. สที ่ีใชในการเขียนแผนที่แสดงลกั ษณะภูมิประเทศ สดี าํ หมายถงึ สง่ิ สาํ คญั ทางวฒั นธรรมท่มี นษุ ยส รางขึ้น เชน อาคาร วดั สถานท่รี าชการ สนี ้าํ ตาล หมายถงึ ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศทม่ี ีความสูง สีน้าํ เงนิ หมายถึง ลกั ษณะภูมิประเทศทเ่ี ปน น้าํ เชน ทะเล แมน ํ้า หนองบงึ สแี ดง หมายถึง ถนนสายหลัก พื้นท่ยี า นชมุ ชนหนาแนน และลกั ษณะภมู ปิ ระเทศสาํ คัญ สเี ขียว พชื พนั ธุไ มต า ง ๆ เชน ปา สวน ไร 3.2 ลูกโลก เปนเครื่องมือทางภูมิศาสตรอยางหนึ่งที่ใชเปนอุปกรณในการศึกษาคนควาหรือใช ประโยชนใ นดา นอื่น ๆ ลกู โลกจําลองเปน การยอสว นของโลกมลี กั ษณะทรงกลม บนผิวของลูกโลกจะมีแผนท่ี โลก แสดงพ้ืนดิน พน้ื น้าํ สภาพภูมปิ ระเทศ ท่ตี ั้งประเทศ เมืองและเสนพิกัดทางภูมิศาสตร เพ่ือสามารถบอก ตําแหนงตาง ๆ บนพ้นื ผิวโลกได ลูกโลกจําลองสรา งคลา ยลกู โลกจริง แสดงสแี ทนลักษณะภูมิประเทศตา ง ๆ

20 องคประกอบของลกู โลก ไดแก เสน เมรเิ ดยี น เปน เสนสมมติที่ลากจากขว้ั โลกเหนือไปยังข้ัวโลกใต ซง่ึ กําหนดใหม ีคาเปน 0 องศา ทีเ่ มอื งกรนี ชิ ประเทศอังกฤษ เสน ขนาน เปนเสน สมมติท่ลี ากไปรอบโลกในแนวนอน ทุกเสน จะขนานกับเสนศูนยสตู ร 3.3 เข็มทิศ เปนเคร่ืองมือสําหรับใชในการหาทิศทางของจุดหรือวัตถุ โดยมีหนวยเปนองศา เปรยี บเทยี บกับจดุ เร่มิ ตน อาศยั แรงดงึ ดูดระหวา งสนามแมเ หลก็ ขั้วโลกกบั เข็มแมเหล็ก ซึ่งเปนองคประกอบที่ สําคญั ทส่ี ุด เข็มแมเหลก็ จะแกวง ไกวอิสระในแนวนอนเพอ่ื ใหแ นวเขม็ ชอ้ี ยใู นแนว เหนือ - ใต ไปยังข้ัวแมเ หล็ก โลกตลอดเวลา เข็มทิศมปี ระโยชนเพ่ือใชในการเดินทาง ไดแ ก การเดินเรอื ทะเล เคร่อื งบิน การใชเ ขม็ ทศิ จะตอ ง มีแผนทป่ี ระกอบและตอ งหาทิศเหนอื กอ น 3.4 รูปถา ยทางอากาศและภาพถา ยจากดาวเทียม เปนรูปหรือขอมูลตัวเลขท่ีไดจากการเก็บขอมูล ภาคพ้นื ดินจากกลองทีต่ ดิ อยูกบั ยานพาหนะ เชน เครอื่ งบนิ หรือดาวเทียม ประโยชนของรูปถายทางอากาศและภาพถายจากดาวเทียม รูปถายทางอากาศและภาพถาย จากดาวเทียมใหขอมูลพ้ืนผิวของเปลือกโลกไดเปนอยางดี ทําใหเห็นภาพรวมของการใชพื้นที่และ การเปลี่ยนแปลงตางๆ ตามท่ีปรากฏบนพื้นโลกเหมาะแกการศึกษาทรัพยากรผิวดิน เชน ปาไม การใช ประโยชนจ ากดิน หนิ และแร 3.5 เครอื่ งมอื เทคโนโลยีเพ่อื การศกึ ษาภมู ิศาสตร เทคโนโลยีทีส่ ําคัญดานภมู ศิ าสตร คือ 1) ระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร (GIS) หมายถงึ การเก็บ รวบรวมและบันทกึ ขอ มลู ทางภูมิศาสตร ดว ยระบบคอมพิวเตอรโดยขอ มูลเหลานี้สามารถปรับปรุงแกไขใหถูกตองทันสมัย และสามารถแสดงผลหรือ นําออกมาเผยแพรเปนตัวเลข สถิติ รูปภาพ ตาราง แผนที่และขอความทางหนาจอคอมพิวเตอรหรือพิมพ ออกมาเปนเอกสารได

21 ประโยชนข องระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร (GIS) คือชว ยใหป ระหยัดเวลาและงบประมาณ ชวยใหเห็นภาพจําลองพ้ืนที่ชัดเจนทําใหการตัดสินใจวางแผนจัดการและพัฒนาพื้นท่ีมีความสะดวกและ สอดคลอ งกับศกั ยภาพของพืน้ ที่น้ันและชว ยในการปรบั ปรุงแผนท่ีใหทนั สมยั 2) ระบบพกิ ดั พ้นื ผิวโลก (GPS) เปน เครอ่ื งมอื รบั สัญญาณพกิ ัดพ้นื ผวิ โลกอาศัยระยะทางระหวา ง เคร่ืองรับดาวเทียม GPS บนพ้ืนผิวโลกกับดาวเทียมจํานวนหน่ึงท่ีโคจรอยูในอวกาศและระยะทางระหวาง ดาวเทยี มแตละดวง ปจ จุบันมดี าวเทยี มชนิดน้อี ยูป ระมาณ 24 ดวง เครื่องมือรับสัญญาณ มีขนาดและรูปราง คลา ยโทรศพั ทม ือถือ เม่ือรับสัญญาณจากดาวเทียมแลวจะทราบคาพิกัด ณ จุดท่ีวัดไว โดยอาจจะอานคาเปน ละตจิ ูดและลองจิจดู ได ความคลาดเคลือ่ นขึ้นอยูกบั ชนิดและราคาของเครือ่ งมือ ประโยชนของเครื่องมือเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษาภูมิศาสตร จะคลายกับการใชประโยชน จากแผนทสี่ ภาพภูมิประเทศและแผนท่ีเฉพาะเรือ่ ง เชน จะใหคาํ ตอบวาถาจะเดินทางจากจุดหน่ึงไปยังอีกจุด หน่ึง ในแผนท่ีจะมีระยะทางเทาใด ถาทราบความเร็วของรถจะทราบวาใชเวลานานเทาใด บางครั้งขอมูล มีความสับสนมาก เชน ถนนบางชว งมสี ภาพถนนไมเ หมือนกัน คอื บางชวงเปนถนนกวา งทสี่ ภาพผวิ ถนนดี บางชวงเปน ถนนลกู รัง บางชวงเปนหลมุ เปนบอ ทาํ ใหการคิดคํานวณเวลาเดนิ ทางลําบากแตระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตรจะชว ยใหค ําตอบได

22 กิจกรรมที่ 1.3 วิธใี ชเ ครือ่ งมอื ทางภมู ศิ าสตร 1) ถาตองการทราบระยะทางจากที่หน่ึงไปยังอีกที่หน่ึง ผูเรียนจะใชเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร ชนดิ ใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 2) ภาพถา ยจากดาวเทียม มีประโยชนอ ยา งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 3) แผนที่มปี ระโยชนอยางไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................................................... 4) ถาตองการทราบวาประเทศไทยอยูพิกัดภูมิศาสตรที่เทาไหร ผูเรียนจะใชเครื่องมือทาง ภูมิศาสตรชนิดใดไดบ าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ....................................................................................................

23 เรอ่ื งท่ี 4 สภาพภมู ศิ าสตรกายภาพของไทยท่ีสง ผลตอทรัพยากรตา ง ๆ และสงิ่ แวดลอ ม ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางสภาพภูมิศาสตรกายภาพ เน่ืองจากมีปจจัยท่ีกอใหเกิดลักษณะ ภมู ปิ ระเทศ คือ 1) การผันแปรของเปลือกโลก เกิดจากพลังงานภายในโลกท่ีมีการบีบ อัด ใหยกตัวสูงขึ้นหรือ ทรดุ ตา่ํ ลง สว นที่ยกตัวสงู ขึน้ ไดแ ก ภเู ขา ภูเขาไฟ เนินเขา ทีร่ าบสงู สวนท่ีลดตํา่ ลง ไดแก หุบเขา ทรี่ าบลุม 2) การกระทาํ ของตวั กระทาํ ตา ง ๆ เมอื่ เกิดการผนั แปรแบบแรกแลว กจ็ ะเกิดการกระทาํ จากตวั ตาง ๆ เชน ลม น้าํ คล่ืน ไปกัดเซาะพังทลายภูมิประเทศหลัก ลักษณะของการกระทํามี 2 ชนิด คือ การกัดกรอน ทาํ ลาย คอื การทําลายผวิ โลกใหตํา่ ลง โดย ลม อากาศ นาํ้ นํา้ แข็ง คล่นื ลมและ การสะสมเสรมิ สรา ง คือ การปรบั ผิวโลกใหราบโดยเปน ไปอยางชา ๆ แตตอ เนอ่ื ง 3) การกระทาํ ของมนุษย เชน การสรา งเข่ือน การระเบิดภเู ขา ดว ยเหตดุ งั กลาว นกั ภูมศิ าสตรไดใ ชห ลกั เกณฑความแตกตางทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ ภูมิอากาศของทอ งถ่นิ มาใชในการแบง ภาคภมู ิศาสตร จงึ ทําใหประเทศไทยมีสภาพภมู ศิ าสตรท ี่แบง เปน 6 เขต คือ 1. เขตภูเขาและหุบเขาทางภาคเหนือ ลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขามากกวาภาคใด ๆ และ เทือกเขาจะทอดยาวในแนวเหนือใตสลับกับท่ีราบหุบเขา โดยมีท่ีราบหุบเขาแคบ ๆ ขนานกันไป อันเปนตน กําเนิดของแมน้ําลาํ คลองหลายสาย แควใหญนอยในภาคเหนือทําใหเกิดที่ราบลุมแมนํ้า ซึ่งอยูระหวางหุบเขา อันอุดมสมบูรณไปดวยทรัพยากรธรรมชาติ ราษฎรสวนใหญประกอบอาชีพเพาะปลูก เลี้ยงสัตวและทํา เหมอื งแร นอกจากนท้ี รพั ยากรธรรมชาตยิ งั เออ้ื อาํ นวยใหเ กดิ อุตสาหกรรมในครวั เรอื นทมี่ ชี ือ่ เสยี ง เปนท่ีรูจกั กนั มาชา นาน ภาคเหนอื จะอยูในเขตรอ นท่มี ลี ักษณะภูมิอากาศคลา ยคลึงกับภูมิอากาศทางตอนใตของเขตอบอุน ของประเทศทมี่ ี 4 ฤดู 2. เขตเทือกเขาทางภาคตะวันตก ลักษณะภูมิประเทศเปนพ้ืนที่แคบ ๆ ทอดยาวขนานกับ พรมแดนประเทศพมา สวนใหญเปน ภเู ขา มีแหลง ทรัพยากรแรธาตแุ ละปา ไมของประเทศ มีปริมาณฝนเฉลี่ย ตํ่ากวาทุกภาคและเปนภูมิภาคท่ีประชากรอาศัยอยูนอย สวนใหญอยูในเขตท่ีราบลุมแมนํ้าและชายฝงและ มักประกอบอาชีพปลกู พชื ไรแ ละการประมง ลกั ษณะภมู อิ ากาศโดยทว่ั ไป มคี วามแหงแลง มากกวาในภาคอน่ื ๆ เพราะมีเทอื กเขาสงู เปน แนวกาํ บงั ลม ทําใหอ ากาศในฤดูรอนและฤดูหนาวแตกตางกันอยางเดนชัด เนื่องจาก แนวเทือกเขาขวางกั้น ทิศทางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต กอใหเกิดบริเวณเงาฝนหรือพื้นท่ีอับลม ฝนจะตก ดา นตะวันตกของเทอื กเขามากกวา ดานภาคตะวันออก 3. เขตท่รี าบของภาคกลาง ลกั ษณะภูมปิ ระเทศสว นใหญเปน ท่รี าบลุมแมน ํา้ อนั กวางใหญ มีลักษณะเอียงลาดจากเหนือลงมาใต เปนท่ีราบที่มีความอุดมสมบูรณมากท่ีสุดเพราะเกิดการทับถมของ ตะกอน เชน ที่ราบลุม แมน้ําเจา พระยา และทาจีน เปน แหลง ที่ทาํ การเกษตร (ทํานา) ที่ใหญท่ีสุด มีเทือกเขา เปนขอบของภาค ทง้ั ดานตะวันตกและตะวันออก 4. เขตภเู ขาและท่ีราบบรเิ วณชายฝง ทะเลตะวนั ออก ลกั ษณะภูมปิ ระเทศเปน เทอื กเขาสงู และ

24 ทีร่ าบ ซ่งึ สวนใหญเปน ท่รี าบลูกฟูกและมีแมน ํา้ ทีไ่ หลลงสอู าวไทย แมนํ้าในภาคตะวันออกสวนมากเปนแมนํ้า สายสน้ั ๆ ซ่ึงไดพดั พาเอาดนิ ตะกอนมาทิง้ ไว จนเกดิ เปนทร่ี าบแคบ ๆ ตามท่ีลุมลักษณะชายฝงและมีลักษณะ ภูมิประเทศเปน เกาะ อา ว และแหลม ลกั ษณะภูมอิ ากาศ ภาคตะวนั ออกมีชายฝง ทะเลและมเี ทือกเขาเปนแนว ยาว เปด รบั ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใตจากอาวไทยอยางเต็มที่ จึงทําใหภาคน้ีมีฝนตกชุกหนาแนนบางพ้ืนที่ ไดแ ก พนื้ ที่รับลมดานหนาของเทือกเขาและชายฝงทะเล อุณหภูมิของภาคตะวันออกจะมีคาสมํ่าเสมอตลอด ท้งั ปและมีความชนื้ คอนขางสงู เหมาะแกการทาํ สวน 5. เขตทีร่ าบสงู ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ลักษณะภมู ิประเทศเปน ทรี่ าบสงู ขนาดตา่ํ ทางบริเวณ ตะวนั ตกของภาคจะมีภูเขาสูง ทางบริเวณตอนกลางของภาคมีลักษณะเปนแองกะทะ เรียกวา “แองที่ราบ- โคราช” มแี มน้าํ ชแี ละแมนา้ํ มูลไหลผา น ยังมีทร่ี าบโลงอยูห ลายแหง เชน ทงุ กุลารองไห ทงุ หมาหิว ซึง่ สามารถ ทาํ นาไดแตไ ดผลผลติ ตํ่าและมีแนวทวิ เขาภพู านทอดโคง ยาวคอ นไปทางตะวนั ออกเฉียงเหนือของภาคถัดเลยจาก แนวทิวเขาภูพานไปทางเหนือมีแอง ทรดุ ตํ่าของแผนดนิ เรยี กวา “แอง สกลนคร” 6. เขตคาบสมุทรภาคใต ลักษณะภมู ิประเทศเปนคาบสมุทรย่ืนไปในทะเล มีเทือกเขาทอดยาว ในแนวเหนือใต ที่เปนแหลงทับถมของแรดีบุก และมีความสูงไมมากนักเปนแกนกลางบริเวณชายฝงทะเล ทงั้ สองดานของภาคใตเปนท่ีราบ มีประชากรอาศยั อยูหนาแนน ภาคใตไ ดร บั อิทธพิ ลความช้ืนจากทะเลท้ังสอง ดาน มีฝนตกชกุ ตลอดป และมีปริมาณฝนเฉลยี่ สูง เหมาะแกการเพาะปลกู พืชผลเมืองรอน ที่ตองการความชื้นสูง ลกั ษณะภมู ิอากาศไดร ับอิทธพิ ลของลมมรสุมท้ังสองฤดู จึงเปนภาคท่ีมีฝนตกตลอดท้ังป ทําใหเหมาะแกการ ปลูกพืชเมืองรอ นทีต่ อ งการความชุม ชน้ื สูง เชน ยางพารา ปาลมนํา้ มัน เปนตน องคประกอบของสิ่งแวดลอมทางกายภาพของไทย ที่สําคัญมี 3 องคประกอบ ไดแก ลักษณะ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงมีความเกี่ยวพันซึ่งกันและกันและมีผลตอความเปนอยูของ มนษุ ยท ัง้ ทางตรงและทางออม 1) ลกั ษณะภูมิประเทศ ลกั ษณะของเปลือกโลกทเ่ี ห็นเปนรูปแบบตา งๆ แบงเปน 2 ประเภท คือ ลักษณะภูมิประเทศหลัก ไมเปลี่ยนรูปงาย ไดแก ที่ราบ ที่ราบสูง ภูเขา และเนนิ เขา ลกั ษณะภูมิประเทศรองเปลย่ี นแปลงรปู ไดง า ย ไดแ ก หุบเขา หว ย เกาะ อาว แมน ้าํ สนั ดอนทราย แหลม ทะเลสาบ 2) ลักษณะภูมิอากาศ หมายถึง คาเฉล่ียของลมฟาอากาศที่เกิดข้ึนเปนประจําในบริเวณใด บรเิ วณหนึง่ ในชว งระยะเวลาหนึง่ ซ่ึงมปี จ จัยควบคุมอากาศ เชน ตาํ แหนงละตจิ ูด 3) ทรัพยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ หมายถึง ส่ิงที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติและมนุษย สามารถนําไปใชประโยชนในการดํารงชีวิตได แบงออกเปน 4 ประเภท คือ ทรัพยากรดิน ทรัพยากรนํ้า ทรพั ยากรปาไมและทรพั ยากรแรธ าตุ ทรัพยากรธรรมชาติ แบง เปน 3 ประเภท คือ - ทรพั ยากรทใ่ี ชแลวหมดไปไมส ามารถเกดิ มาทดแทนใหมไ ด เชน นํ้ามนั แรธ าตุ - ทรัพยากรท่ีใชแลวสามารถสรา งทดแทนได เชน ปา ไม สตั วบ ก สตั วนํา้ - ทรัพยากรทใ่ี ชแลว ไมห มดไป เชน นาํ้ อากาศ เปน ตน

25 การอนุรกั ษท รพั ยากรธรรมชาติ การอนรุ ักษ หมายถึง การรูจ ักใชท รพั ยากรธรรมชาตอิ ยางคมุ คา และใหเกิดประโยชนมากทส่ี ุด โดยมวี ัตถุประสงค คอื 1. เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของมนุษย หมายถึง การใชประโยชนสูงสุด และรักษาสมดุลของ ธรรมชาติไวดว ย โดยใชเทคโนโลยีทท่ี ําใหเกิดผลเสยี ตอสภาพแวดลอมนอยท่ีสุด 2. เพ่ือรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดลอมใหอยูในสภาพสมดุล โดยไมเกิดส่ิงแวดลอมเปนพิษ (Polution) จนทําใหเ กดิ อันตรายตอมนุษยและส่งิ แวดลอม 1) ทรัพยากรดิน ดินเกิดจากการสลายตัวของหิน แรธาตุและอินทรียวัตถุตาง ๆ อันเน่ืองมาจากการ กระทาํ ของลม ฟา อากาศและอน่ื ๆ สวนประกอบท่ีสาํ คัญของดนิ ไดแ ก อนินทรยี ว ัตถหุ รอื แรธ าตุ ปญ หาของการใชท รัพยากรดนิ เกดิ จาก 1. การกระทําของธรรมชาติ เชน การสึกกรอนพังทลายท่ีเกิดจากลม กระแสนํ้าและ การชะลางแรธ าตตุ า ง ๆ ในดิน 2. การกระทาํ ของมนุษย เชน การทาํ ลายปาไม การปลูกพชื ชนิดเดียวซ้ําซาก การเผาปาและ ไรน า ทําใหสูญเสียหนา ดนิ ขาดการบาํ รุงรักษาดนิ การอนรุ ักษทรัพยากรดิน โดยการปลกู พืชหมนุ เวยี น การปลูกพืชแบบข้นั บันไดปอ งกนั การเซาะ ของนํา้ ปลกู พืชคลมุ ดิน ปอ งกนั การชะลางหนา ดนิ ไมตัดไมทาํ ลายปาและการปลูกปาในบริเวณท่ีมีความลาดชัน เพ่ือปองกันการพงั ทลายของดิน

26

27 2) ทรัพยากรน้ํา น้ําเปนทรัพยากรที่จําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษยและสิ่งมีชีวิต ใชแลว ไมหมดสน้ิ ไป แบงเปน - น้ําบนดนิ ไดแก แมน้ํา ลําคลอง หนอง บึง ทะเลสาบ ปรมิ าณน้ํา ขึน้ อยูกบั ปริมาณน้ําฝน - นาํ้ ใตดนิ หรือน้าํ บาดาล ปริมาณนาํ้ ขน้ึ อยูกบั นํ้าท่ไี หลซมึ ลงไปจากพื้นดนิ และความสามารถ ในการกักนาํ้ ในชนั้ หนิ ใตดนิ - น้ําฝน ไดจากฝนตก ซ่ึงแตละบริเวณจะมีปริมาณนํ้าแตกตางกัน ซึ่งในประเทศไทย เกิดปญ หาวกิ ฤติการณเ กีย่ วกับทรพั ยากรนาํ้ คอื เกิดภาวะการขาดแคลนน้าํ และเกิดมลพิษทางน้ํา เชน นํ้าเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรม การอนุรักษท รัพยากรนาํ้ โดยการ 1. การพฒั นาแหลงน้าํ ไดแก การขดุ ลอกหนอง คลองบึงและแมน้ําที่ตื้นเขิน เพื่อใหสามารถ กักเก็บนํ้าไดมากข้ึน ตลอดจนการสรางเขื่อนและอา งกักเก็บนํา้ 2. การใชน ้ําอยางประหยัด ไมป ลอยใหน้าํ สญู เสยี ไปโดยเปลา ประโยชนแ ละสามารถนํานํา้ ทีใ่ ช แลวกลับมาหมนุ เวยี นใชไ ดใ หมอ ีก เชน น้าํ จากโรงงานอตุ สาหกรรม 3. การควบคุมรักษาตนน้ําลาํ ธาร ไมม กี ารอนญุ าตใหม กี ารตดั ตนไมทาํ ลายปา อยางเดด็ ขาด 4. ควบคุมมิใหเกิดมลพิษแกแหลงน้ํา มีการดูแลควบคุมมิใหมีการปลอยส่ิงสกปรกลงไป ในแหลงนํา้ 3) ทรพั ยากรปา ไม ปาไมม คี วามสําคัญตอมนุษยท ั้งทางตรงและทางออม เชน ชวยรักษาสภาพ ดนิ นํา้ อากาศ บรรเทาความรุนแรงของลมพายุและยังไดรับผลิตภัณฑจากปาไมหรือใชเปนแหลงทองเท่ียว พกั ผอ นหยอ นใจได ปา ไม แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. ปา ไมไมผลัดใบ เชน ปา ดงดิบ หรือปาดิบเปนปา ไมบรเิ วณท่ีมีฝนตกชุก พบมากทางภาคใต และภาคตะวันออก ปา ดิบเขา พบมากในภาคเหนอื ปาสนเขา พบทางภาคเหนอื และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปา ชายเลนนํ้าเค็ม เปนปาไมต ามดนิ เลน น้าํ เค็มและนาํ้ กรอ ย 2. ปาไมผลัดใบ เชน ปาเบญจพรรณ เปนปาผลัดใบผสม พบมากที่สุดในภาคเหนือ ปาแดง ปา โคก ปาแพะ เปน ปา โปรงพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปาชายหาด เปน ตน ไมเลก็ ๆ ข้ึนตามชายหาด ปา พรุ หรือปา บึง เปนปาไมท ่ีเกิดตามดนิ เลน การอนุรักษทรัพยากรปาไม สามารถทําไดโดยการออกกฎหมายคุมครองปาไม คือ พระราชบัญญัติปาสงวนแหงชาติ พ.ศ. 2507 การปองกันไฟไหมปา การปลูกปาทดแทนไมที่ถูกทําลายไป การปอ งกนั การลักลอบตดั ไมแ ละการใชไมใ หเ กิดประโยชนและคุม คามากท่ีสุด 4) ทรัพยากรแรธ าตุ แรธ าตุ หมายถงึ สารประกอบเคมีทเ่ี กิดขนึ้ เองตามธรรมชาติ แบง ออกเปน - แรโลหะ ไดแ ก เหลก็ ทองแดง สังกะสี ดีบุก ตะกวั่ - แรอโลหะ ไดแ ก ยิปซมั่ ฟลูออไรด โปแตช เกลอื หนิ - แรเ ช้อื เพลงิ ไดแ ก ลกิ ไนต หินนํ้ามนั ปโ ตรเลยี ม กา ซธรรมชาติ

28 การอนรุ ักษท รัพยากรแรธ าตุ 1. ขดุ แรมาใชเ ม่อื มีโอกาสเหมาะสม 2. หาวธิ ีใชแรใ หมีประสิทธิภาพและไดผ ลคมุ คา มากทสี่ ดุ 3. ใชแรอ ยา งประหยัด 4. ใชว ัสดุหรือส่งิ อ่ืนแทนสงิ่ ทีจ่ ะตอ งทาํ จากแรธ าตุ 5. นาํ ทรพั ยากรแรกลบั มาใชใหม เชน นําเศษเหล็ก เศษอลูมิเนยี ม มาหลอมใชใ หม เปนตน ปจ จัยท่มี ีผลกระทบตอ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ ม ไดแก 1. การเพ่ิมประชากรมีผลทาํ ใหต องใชทรัพยากรและสิ่งแวดลอมมากขึ้น จึงเกิดปญหาความ เสื่อมโทรมของสภาพแวดลอ มตามมามากขนึ้ 2. การใชเ ทคโนโลยีทนั สมยั ซงึ่ อาจทําใหเ กดิ ทงั้ ผลดแี ละผลเสยี ตอ ธรรมชาติและสิง่ แวดลอม กิจกรรมที่ 1.4 สภาพภมู ิศาสตรกายภาพของไทยทีส่ ง ผลตอทรพั ยากรตา งๆ และสิ่งแวดลอ ม 1) ใหผ เู รียนอธิบายวาสภาพภมู ิศาสตรของประเทศไทย ทั้ง 6 เขต มีอะไรบาง และแตละเขตสวนมาก ประกอบอาชพี อะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2) ผูเรียนคิดวาประเทศไทยมีทรัพยากรอะไรท่ีมากท่ีสุด บอกมา 5 ชนิด แตละชนิดสงผลตอ การดําเนินชีวติ ของประชากรอยางไรบา ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

29 เรอื่ งที่ 5 ความสาํ คญั ของการดํารงชีวิตใหสอดคลอ งกบั ทรพั ยากรในประเทศ 5.1 ความสําคัญของการดํารงชวี ิตใหสอดคลองกับทรัพยากรของประเทศไทย จากท่ีไดกลาวมาแลววา ประเทศไทยมีความแตกตางกันทางดานกายภาพ เชน ภูมิประเทศ ภูมอิ ากาศของทองถ่ิน จึงทําใหแตละภาคมีทรัพยากรที่แตกตางกันตามไปดวย สงผลใหประชากร ในแตละ ภมู ภิ าคประกอบอาชพี ตา งกันไปดวย เชน ภาคเหนือ ในภาคเหนือมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ จากการที่ลักษณะภูมิประเทศของ ภาคเหนือสวนใหญเปนทิวเขาและมีที่ราบหุบเขาสลับกันแตพ้ืนที่ราบมีจํากัด ทําใหประชากรต้ังถิ่นฐาน อยา งหนาแนนตามทีร่ าบลุมแมน า้ํ ทรพั ยากรทส่ี ําคัญ คือ 1) ทรัพยากรดนิ ท้ังดินทรี่ าบหบุ เขา ดนิ ทม่ี นี าํ้ ทว มถงึ และดินทเ่ี หลอื คา งจากการกัดกรอ น 2) ทรพั ยากรนํา้ แบง เปน 2 ประเภท คือ 1. น้ําบนผิวดิน ไดแก แมนํ้าลําธาร หนองบึงและอางเก็บนํ้าตาง ๆ แมวาภาคเหนือจะมี แมนา้ํ ลาํ ธาร แตบ างแหง ปรมิ าณนาํ้ กไ็ มเ พียงพอ เนอื่ งจากเปนแมนํ้าสายเลก็ ๆ และปจจุบันปริมาณนํ้าในแมน้ํา ลาํ ธารในภาคเหนือลดลงมาก ทั้งน้ีเน่ืองจากการตัดไมทําลายปาในแหลงตนนํ้า แตอยางไรก็ตามยังมีแมน้ํา หลายสาย เชน แมนํ้าปง วัง ยม นาน แมนํ้าปงจังหวัดเชียงใหมและแมนํ้ากกจังหวัดเชียงรายท่ีมีนํ้าไหล ตลอดป แมในฤดูแลงก็ยังมีน้ําที่ทําการเกษตรไดบาง นอกจากน้ี ยังมีบึงน้ําจืดขนาดใหญ คือ กวานพะเยา จังหวดั พะเยา บงึ บอระเพด็ จังหวดั นครสวรรค 2. น้าํ ใตด ิน ภาคเหนือมีนํ้าใตดินท่ีอยูในรูปของนํ้าบอและบอบาดาล จึงสามารถใชบริโภค และทาํ การเกษตรได 3) ทรพั ยากรแร มีเหมอื งแรใ นทกุ จงั หวดั ของภาคเหนือ แรท่ีสําคัญไดแก ดีบุก ทังสเตน พลวง ฟลอู อไรด ดนิ ขาว ถานลิกไนตและนํา้ มนั ปโ ตรเลียม 4) ทรพั ยากรปาไม ภาคเหนอื มอี ตั ราพ้ืนทีป่ า ไมตอ พ้ืนที่ทงั้ หมดมากกวาทกุ ภาค จังหวดั ที่มปี าไม มากท่ีสดุ คือ เชียงใหม ปาไมส วนใหญเ ปน ปา เบญจพรรณและปาแดง ไมท ส่ี ําคัญคือ ไมส ัก 5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว ภาคเหนือมีธรรมชาติที่สวยงาม สามารถดึงดูดนักทองเท่ียว ใหม าชมวิวทิวทัศน มที ง้ั น้ําตก วนอุทยาน ถ้ํา บอนํ้ารอน เชน ดอยอินทนนทจังหวัดเชียงใหม ภูช้ีฟาจังหวัด เชยี งราย ประชากร ภาคเหนือเปนภาคที่ประชากรอาศัยอยูเบาบาง เนื่องจากภูมิประเทศ เต็มไปดวยภูเขา ประชากรสวนใหญอาศัยอยูหนาแนนตามท่ีราบลุมแมน้ํา สวนใหญสืบเชื้อสายมาจากไทยลานนา นิยม เรียกคนภาคเหนอื วา “คนเมือง” ประชากรในภาคเหนือสามารถรักษาวัฒนธรรมดงั้ เดิมไวไดอยางเหนียวแนน เชน ประเพณสี งกรานต ประเพณที านสลากหรือตานกว ยสลาก ประเพณีลอยกระทง

30 นอกจากนี้ยังมชี าวไทยภเู ขาอาศัยอยูเปนจํานวนมาก เชน เผามง มูเซอ เยา ลีซอ อกี อ กะเหรยี่ ง ฯลฯ จังหวดั ท่ีมีชาวเขามากท่สี ุด คอื เชียงใหม แมฮองสอนและเชียงราย การอพยพของชาวเขาเขามาในประเทศ ไทยจํานวนมากทําใหเกิดปญหาติดตามมา คือ ปญหาการตัดไมทําลายปา เพ่ือทําไรเล่ือนลอย ปญหา การปลูกฝน รฐั บาลไดแกไ ขปญ หา โดยหามาตรการตาง ๆ ที่ทําใหชาวเขาหันมาปลูกพืชเมืองหนาว เชน ทอ กาแฟ สตรอเบอร่ี บวย อะโวคาโด และดอกไมเมืองหนาว ฯลฯ นอกจากน้ีหนวยงานท่ีเกี่ยวของ ยังไดจัด การศกึ ษาเพอื่ ใหชาวเขาไดเ รียนภาษาไทย ปลูกจิตสาํ นึกความเปนคนไทย เพอ่ื ใหเขา ใจถึงสิทธิหนาที่ การเปน พลเมืองไทยคนหนึ่ง การประกอบอาชพี ของประชากรในภาคเหนอื ประชากรในภาคเหนือจะมีอาชีพทํานา ซ่ึงปลูกท้ัง ขา วเจาและขา วเหนยี ว ในพื้นที่ราบลุมแมน ้ํา เนอื่ งจากมดี ินอดุ มสมบรู ณแ ละมกี ารชลประทานท่ีดี จึงสามารถ ทํานาไดปล ะ 2 คร้งั แตผลผลิตรวมยงั นอยกวาภาคกลางและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นอกจากน้ี ยังประกอบ อาชีพทําไร (ขาวโพด ถ่ัวเหลือง ถั่วลิสง หอม กระเทียม ออย) การทําสวนผลไม (ล้ินจี่ ลําไย) อุตสาหกรรม (โรงบมใบยาสูบ การผลิตอาหารสาํ เรจ็ รปู และอาหารกระปอง) อุตสาหกรรมพ้ืนเมือง (เคร่ืองเขิน เคร่ืองเงิน การแกะสลักไมสัก การทํารมกระดาษ) อุตสาหกรรมการทองเท่ียวเน่ืองจากภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัด เชยี งใหม มที ัศนียภาพที่สวยงาม มโี บราณสถานมากมายและมวี ัฒนธรรมที่เกาแกทง่ี ดงาม ภาคตะวนั ตก เนือ่ งจากทวิ เขาในภาคตะวันตกเปนทวิ เขาที่ทอดยาวมาจากภาคเหนือ ดังน้ันลักษณะ ภมู ิประเทศจงึ คลายกับภาคเหนอื คอื เปนทิวเขาสูงสลบั กบั หุบเขาแคบ ซงึ่ เกดิ จากการเซาะของแมนํ้า ลําธาร

31 อยางรวดเร็ว ทิวเขาสวนใหญเปนหินคอนขางเกา สวนใหญเปนหินปูน พบมากที่จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี ภเู ขาหนิ ปนู เหลานี้จะมยี อดเขาหยกั แหลมตะปมุ ตะปา นอกจากน้ยี งั มหี นิ ดนิ ดาน หินแกรนติ และ หนิ ทราย และมที ่รี าบในภาคตะวนั ตก ไดแ ก ท่รี าบลุมแมนาํ้ แควใหญ ท่ีราบลมุ แมนา้ํ แควนอย ทร่ี าบลมุ แมน า้ํ แมก ลองมที รพั ยากรทีส่ ําคญั คือ 1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคตะวันตกสวนใหญเกิดจากการผุพังของหินปูน ดินจึงมีสภาพเปน กลางหรือดา ง ซ่ึงถอื วาเปนดนิ ที่อดุ มสมบรู ณ เหมาะกับการเพาะปลูก 2) ทรพั ยากรนา้ํ ภาคตะวนั ตกเปนภาคท่ีมีฝนตกนอยกวาทุกภาคในประเทศ เพราะอยูในพื้นท่ี อับฝน แบงเปน 2 ประเภท คอื 1. น้ําบนผิวดิน ไดแก แมนํ้า ลําธาร หนองบึงและอางเก็บนํ้าตาง ๆ แมวาจะมีฝนตกนอย เพราะมที วิ เขาตะนาวศรแี ละทิวเขาถนนธงชัยขวางลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต ดังนั้นฝนจึงตกมากบนภูเขา ซึ่งใน ภาคตะวันตกมีปาไมและแหลงตนน้ําลําธารอุดมสมบูรณ จึงทําใหตนนํ้าลําธารมีนํ้าหลอเลี้ยงอยูเสมอ เชน แมน้ําแควใหญ แมนาํ้ แควนอย และแมน า้ํ แมกลอง นอกจากน้ีลักษณะภูมิประเทศในภาคตะวันตก มีลักษณะ เปนหบุ เขาจํานวนมาก จงึ เหมาะอยางย่งิ ในการสรา งเขอ่ื น เชน เขือ่ นภมู ิพล เขื่อนศรนี ครนิ ทร เขื่อนวชิราลงกรณ เขือ่ นเขาแหลม เขื่อนแกง กระจาน และเขือ่ นปราณบรุ ี 2. นํ้าใตดิน ภาคตะวันตกมีการขุดบอบาดาล ปริมาณน้ําที่ขุดไดไมมากเทากับนํ้าบาดาล ในภาคกลาง 3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวันตกมีหินอคั นแี ละหนิ แปร มีดีบุกซ่ึงพบในหินแกรนิต ทังสเตน ตะก่ัว สงั กะสี เหลก็ รัตนชาติ และหินนาํ้ มนั 4) ทรัพยากรปาไม ภาคตะวันตกมคี วามหนาแนนของปาไมรองจากภาคเหนือ จังหวัดท่ีมีปาไม มากทส่ี ุด คือ จังหวดั กาญจนบุรี 5) ทรัพยากรดานการทอ งเทยี่ ว สถานที่ทอ งเทย่ี วสว นใหญเปนภูเขา ถํ้า น้ําตก เขื่อน อุทยาน- แหง ชาติ ฯลฯ ประชากร ภาคตะวันตกเปน ภาคท่มี ีความหนาแนนของประชากรนอ ยทส่ี ุด จงั หวดั ที่มีประชากร หนาแนน ทส่ี ดุ คือ จงั หวัดราชบรุ ี เพราะมีพืน้ ทเี่ ปน ท่รี าบลมุ แมนํา้ การประกอบอาชีพของประชากร ภาคตะวันตกมีลักษณะภูมิประเทศเปนภูเขาคลายกับ ภาคเหนอื และมพี ืน้ ท่รี าบคลา ยกบั ภาคกลาง ประชากรสวนใหญจงึ อาศยั ในพ้ืนทรี่ าบและมอี าชีพเกษตรกรรม อาชีพท่ีสําคัญคือการทําไรออย (โดยเฉพาะท่ีจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี) ปลูกสับปะรด ขาวโพด มนั สําปะหลัง ฝาย องนุ การทาํ นา ตามท่ีราบลุมแมน้ํา การเลี้ยงโคนม การทําโองเคลือบดินเผา ทํานาเกลือ อาชีพการประมง การทําเคร่ืองจักสาน นอกจากนี้ยังมี การทําเหมืองแรดีบุก ทังสเตน ตะกั่ว สังกะสี เหล็ก รตั นชาตแิ ละหินนํ้ามนั ภาคกลาง ภมู ปิ ระเทศในภาคกลางเปนท่รี าบลมุ แมน้ํา เพราะแมนํ้าหลายสายไหลผานทําใหเกิดการ ทับถมของตะกอนและมภี เู ขาชายขอบ พน้ื ที่แบงไดเ ปน 2 เขตยอ ย คือ ภาคกลางตอนบน เปนทร่ี าบลุมแมนํ้า และท่ีราบลูกฟูก มีเนินเขาเต้ีย ๆ สลับเปนบางตอน ในเขตภาคกลางตอนลาง คือต้ังแตบริเวณจังหวัด

32 นครสวรรคลงมาจนถึงอา วไทย มลี ักษณะเปน ท่ีราบลมุ น้าํ ทว มถงึ และเปน ลานตะพกั ลํานํา้ (Stream Terrace) ทรพั ยากรที่สาํ คญั คอื 1) ทรัพยากรดิน ภาคกลางมีดินที่อุดมสมบรู ณกวาภาคอ่นื ๆ เพราะเกดิ จากการทับถมของโคลน ตะกอนที่มากบั แมน า้ํ ประกอบกบั มกี ารชลประทานทดี่ ี จึงทาํ การเกษตรไดด ี เชน การทํานา 2) ทรัพยากรนา้ํ ภาคกลางเปน ภาคที่มีนาํ้ อุดมสมบูรณ แบงเปน 2 ประเภท คอื 1. น้ําบนผิวดิน มีแมนํ้าท่ีสําคัญหลอเลี้ยง คือ แมน้ําเจาพระยา ซึ่งจะมีนํ้าไหลตลอดทั้งป เนื่องจากมแี มน ้าํ สายเล็ก ๆ จํานวนมากไหลลงมาสแู มน ้ําเจาพระยา มกี ารชลประทานท่ีดี เพื่อกักเก็บน้ําไวใช ในฤดูแลง นอกจากน้ยี ังมีทะเลสาบขนาดใหญ คอื บึงบอระเพ็ด ซึ่งเปนแหลงเพาะพันธุปลาน้ําจืดท่ีใหญที่สุด ในโลก 2. น้าํ ใตด นิ เน่อื งจากภาคกลางมีลักษณะเปนแองขนาดใหญ จงึ มีบริเวณนา้ํ บาดาลมากท่ีสุด ของประเทศ 3) ทรัพยากรแร หนิ ในภาคกลางสวนใหญเ ปน หินเกิดใหมท่ีมีอายุนอย มีหินอัคนีซ่ึงเปนหินเกา พบไดท างตอนเหนือและชายขอบของภาคกลางและมีน้าํ มนั ท่จี งั หวดั กาํ แพงเพชร 4) ทรัพยากรปาไม ภาคกลางมีพ้ืนที่ปาไมนอยมาก จังหวัดท่ีมีปาไมมากคือจังหวัดท่ีอยูทาง ตอนบนของภาค คือ จงั หวดั เพชรบูรณ พษิ ณุโลก อุทยั ธานี สโุ ขทยั และกําแพงเพชร 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว สถานท่ีทองเท่ียวสวนใหญเปนน้ําตกและแมนํ้า ซ่ึงปจจุบัน แมนํ้าหลายสายจะมีตลาดนํ้าใหนักทองเที่ยวไดมาเย่ียมชมมีวนอุทยาน หวยขาแขง จังหวัดอุทัยธานี นอกจากนี้ยงั มีโบราณสถานที่เปน มรดกโลก เชน อุทยานประวตั ิศาสตรท ่ีจังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา ประชากร ภาคกลางเปน ภาคท่ีมปี ระชากรมากเปน อนั ดบั สองรองจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชากรสว นใหญจะหนาแนนมากในบริเวณท่ีราบลมุ แมนาํ้ เจาพระยา เพราะความอุดมสมบูรณเ หมาะแกก าร เพาะปลกู จังหวดั ท่ตี ดิ กับชายทะเลก็จะมีประชากรอาศัยอยหู นาแนน นอกจากนภี้ าคกลางจะมอี ัตราการเพิ่มของ ประชากรรวดเร็วมาก เน่อื งจากมกี ารอพยพเขา มาหางานทาํ ในเมอื งใหญก นั มาก การประกอบอาชีพของประชากร ภาคกลางมีความอุดมสมบูรณ ทั้งทรัพยากรดิน และนํ้า นับเปนแหลงอูข า วอนู ้ําของประเทศ ในภาคกลางตอนบนประกอบอาชีพทํานาขาวและทําไร (ขาวโพด ออย มันสําปะหลัง) รองลงมาคือ อุตสาหกรรม ภาคกลางตอนลางจะมีอาชีพปลูกขาวในบริเวณราบลุมแมนํ้า เนอ่ื งจากทด่ี นิ เปน ดนิ เหนียวมนี า้ํ แชขังและมีระบบการชลประทานดี จึงสามารถทํานาไดปละ 2 ครั้ง นับเปน แหลง ปลูกขา วท่ีใหญท ส่ี ดุ ในประเทศและมีการทาํ นาเกลอื นากงุ ในแถบจังหวดั ชายทะเล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเปนภาคท่ีเล็กท่ีสุด ตอนเหนือของภาคมีภูมิประเทศเปน ที่ราบลุม เกดิ จากการเคลอ่ื นไหวและการบีบอัดตัวของเปลือกโลก ทําใหตอนกลางของภาคโกงตัวเปนทิวเขาไปจนถึง ดานตะวันออกเฉียงใต ขณะเดียวกันตอนเหนือของภาคเกิดการทรุดตัวเปนแองกลายเปนท่ีราบลุมแมน้ํา และเกดิ การทับถมของโคลนและตะกอน ตอนกลางของภาคเปนทวิ เขา ภูมิประเทศสวนใหญเ ปน หุบเขาแคบ ๆ

33 มีท่ีราบตามหุบเขา เรียกวา ท่ีราบดินตะกอนเชิงเขาตอนใตของภาคเปนท่ีราบชายฝงทะเลภาคตะวันออก มที รัพยากรท่สี ําคัญ คอื 1) ทรพั ยากรดนิ ดินสว นใหญไมค อ ยสมบรู ณ เพราะเปนดินรวนปนทรายและน้ําฝน จะชะลาง ดิน เหมาะแกก ารปลูกพืชสวน เชน ทุเรียน เงาะ ระกาํ สละ มังคดุ ฯลฯ และใชปลูกพืชไร เชน มันสําปะหลัง ออย ฯลฯ การทํานาก็มบี า งบริเวณตอนปลายของแมน ํา้ บางปะกง 2) ทรัพยากรน้ํา ภาคตะวันออกมีนํ้าอยางอุดมสมบูรณ แตเนื่องจากแมนํ้าในภาคตะวันออกเปน แมน้ําสายส้ัน ๆ ทําใหการสะสมน้ําในแมน้ํามีนอย เม่ือถึงชวงหนาแลงมักจะขาดแคลนน้ําจืด เพราะเปน ภูมภิ าคท่ีมนี กั ทองเที่ยวจํานวนมาก นอกจากน้ีในหนา แลงนํ้าทะเลเขา มาผสมทาํ ใหเ กิด น้ํากรอย ซง่ึ ไมส ามารถ ใชบริโภคหรือเพาะปลกู ได การสรางเขอื่ นกไ็ มสามารถทําไดเ พราะสภาพภูมปิ ระเทศไมอ าํ นวย 3) ทรัพยากรแร ภาคตะวันออกมีแรอยูบาง เชน เหล็ก แมงกานีส พลวง แตมีแรท่ีมีช่ือเสียง คอื แรรตั นชาติ เชน พลอยสีแดง พลอยสนี ้ําเงินหรือไพลินและพลอยสีเหลอื ง โดยผลิตเปนสนิ คาสง ออกไปขาย ยังตา งประเทศ 4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกจะเปนปาดงดิบและปาชายเลน แตก็ลดจํานวนลง อยางรวดเร็ว เพราะมกี ารขยายพืน้ ทกี่ ารเกษตร สรา งนคิ มอุตสาหกรรม ฯลฯ 5) ทรัพยากรดานการทอ งเทยี่ ว เปนภาคทม่ี ที รัพยากรทองเที่ยวมากมาย โดยเฉพาะจังหวดั ท่อี ยูชายทะเล เกาะตางๆ นาํ้ ตก ฯลฯ ประชากร ภาคตะวนั ออกเปนอกี ภาคหนึ่งท่ีมีการเพิ่มของประชากรคอนขางสูง เน่ืองจากมีการ ยายมาทํามาหากิน การเจริญเตบิ โตของเขตอตุ สาหกรรม รวมท้งั การทองเทย่ี วเปน เหตุจงู ใจใหคนเขามาตั้งถ่ิน ฐานเพิ่มมากขนึ้ การประกอบอาชีพของประชากร มีอาชพี ที่สําคญั คือ 1. การเพาะปลูก มกี ารทาํ นา ทาํ สวนผลไม ท้ังเงาะ ทเุ รียน มงั คุด ระกํา สละ สวนยางพารา ทาํ ไรอ อย และมนั สําปะหลัง 2. การเลยี้ งสตั ว เปน แหลงเล้ยี งเปดและไก โดยเฉพาะท่ีจงั หวัดชลบุรีและฉะเชงิ เทรา 3. การทําเหมืองแร ภาคตะวันออกเปนแหลงที่มีแรรัตนชาติมากที่สุด เชน ทับทิม ไพลิน บษุ ราคัม สง ผลใหป ระชากรประกอบอาชีพเจยี รนยั พลอยดว ย โดยเฉพาะจงั หวัดจนั ทบุรแี ละตราด 4. อตุ สาหกรรมในครวั เรือน เชน การผลติ เสอ่ี จันทบุรี เคร่อื งจกั สาน 5. การทองเที่ยว เน่ืองจากมีทัศนียภาพที่สวยงามจากชายทะเลและเกาะตาง ๆ อุตสาหกรรมการ ทองเทีย่ วจึงสรา งรายไดใ หก บั ภมู ิภาคนี้เปน อยางมาก ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ลกั ษณะภมู ิประเทศสว นใหญ เปนทรี่ าบสูงแองกะทะและยังมีท่ีราบลุมแมนํ้าชี และแมนาํ้ มูลทเ่ี รยี กวา แอง โคราช ซ่งึ เปนทีร่ าบลมุ ขนาดใหญท ี่สดุ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เพราะมีแมน า้ํ มลู และแมน ํ้าชไี หลผาน จึงมกั จะมนี าํ้ ทวมเมอื่ ฤดนู าํ้ หลาก มีทรพั ยากรทส่ี าํ คัญ คอื 1) ทรัพยากรดิน ดินในภาคนี้มักเปนดินทราย ไมอุมน้ํา ทําใหการเพาะปลูกไดผลนอย แตก ส็ ามารถแบงไดตามพนื้ ท่ี คือ

34 บริเวณทีร่ าบลุมแมนํ้า แมน าํ้ ชี แมน ํา้ มูลและแมน้ําโขง จะมีความอุดมสมบูรณคอนขางมาก นิยมปลูกผกั และผลไม สวนท่ีเปน นา้ํ ขงั มักเปน ดนิ เหนียว ใชทํานา บริเวณลาํ ตะพักลาํ นํา้ สว นใหญเ ปน ดินทราย ใชทํานาไดแตผลผลิตนอย เชน ทุงกุลารองไห บริเวณทส่ี ูงกวา นี้ นิยมปลกู มนั สําปะหลงั บรเิ วณท่สี งู และภูเขา เนอ้ื ดินหยาบเปนลูกรัง ท่ดี ินนี้มักเปนปา ไม 2) ทรัพยากรนํา้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื จะมีปญ หาในเรอ่ื งของน้ํามากกวาภาคอน่ื ๆ แมวาฝน จะตกหนัก แตใ นหนาแลง จะขาดแคลนน้าํ เพอ่ื การเกษตรและการบรโิ ภค นาํ้ ในภาคนี้ จะแบงเปน 2 ประเภท คือ น้ําบนผิวดิน ไดแก น้ําในแมนํ้าชี แมนํ้ามูลและแมนํ้าสายตาง ๆ ในฤดูฝน จะมีปริมาณ นาํ้ มาก แตใ นฤดูแลงน้ําในแมนํ้าจะมนี อย เนอ่ื งจากพ้นื ดนิ เปน ดนิ ทราย เมื่อฝนตกไมสามารถอุมนํ้าได สวนนํ้า ในแมน า้ํ ลาํ คลองกม็ ีปรมิ าณนอย เพราะน้ําจะซึมลงพืน้ ทราย แตภาคนถี้ ือวา โชคดีท่ีมเี ขอื่ น อางเก็บน้าํ และฝาย มากกวา ทกุ ๆ ภาค นํา้ ใตด นิ ปริมาณนํ้าใตดนิ มมี าก แตมปี ญหานํา้ กรอ ยและนํ้าเค็ม การขุดบอตองขุดใกลแหลง แมนา้ํ เทา นัน้ หรอื ตอ งขดุ ใหลึกจนถงึ ช้นั หนิ แข็ง 3) ทรพั ยากรแร ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีแรโพแทชมากท่ีสุด จะมีอยูมากบริเวณตอนกลาง และตอนเหนอื ของภาค นอกจากนยี้ ังมแี รเ กลอื หนิ มากทส่ี ุดในประเทศไทย 4) ทรัพยากรปาไม ปาไมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเปนปาแดง ซึ่งเปนปาผลัดใบเปน ปา โปรง ปาแดงชอบดินลกู รงั หรือดนิ ทราย เชน ไมเตง็ รัง พลวง พะเยา ฯลฯ 5) ทรัพยากรดานการทองเท่ียว มีแหลงทรัพยากรธรรมชาติและที่มนุษยสรางข้ึน เชน วิวทวิ ทัศน (ภกู ระดงึ ) เขื่อน ผาหนิ (จังหวดั อุบลราชธานี) หลกั ฐานทางโบราณคดี (จงั หวดั อุดรธานี) ประชากร ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื มปี ระชากรหนาแนน อาศัยอยูตามแองโคราชบรเิ วณที่ราบลมุ ของแมน ํา้ ชีและแมน ํ้ามูล การประกอบอาชีพของประชากร ประชากรประกอบอาชีพทีส่ าํ คญั คอื - การเพาะปลกู เชน การปลกู ขาว การทําไร (ขาวโพด มันสําปะหลัง ออย ปอ ยาสบู ) - การเล้ยี งสัตว เชน โค กระบือ และการประมงตามเขอื่ นและอางเกบ็ นา้ํ - อตุ สาหกรรม สวนใหญเ ปน การแปรสภาพผลผลิตทางการเกษตร เชน โรงสีขา ว โรงงานมนั สําปะหลงั อดั เมด็ โรงงานทําโซดาไฟ (จากแรเ กลอื หนิ และแรโ พแทช) ภาคใต ลกั ษณะภูมปิ ระเทศของภาคใตเ ปนคาบสมุทร มีทิวเขาสูงทอดยาวจากเหนือจรดใต มีทะเล ขนาบทั้ง 2 ดา น ทิวเขาที่สําคัญ คอื ทวิ เขาภูเก็ต ทิวเขานครศรีธรรมราชและทิวเขาสันกาลาคีรี และมีแมน้ํา ตาปซ่ึงเปนแมนํ้าที่ยาวและมีขนาดใหญท่ีสุดของภาคใต ที่เหลือจะเปนแมนํ้าสายเล็กๆ และส้ัน เชน แมนํ้า ปต ตานี แมน ้ําสายบรุ ี และแมนาํ้ โก-ลก มีชายฝงทะเลทั้งทางดานอาวไทย ซึ่งมีลักษณะเปนชายฝงแบบยกตัว เปน ทร่ี าบชายฝง ทเ่ี กดิ จากคลืน่ พดั พาทรายมาทบั ถม จนกระท่งั กลายเปนหาดทรายทสี่ วยงาม และมีชายฝงทะเล ดา นทะเลอันดามนั ท่ีมลี กั ษณะเวา แหวงเพราะเปน ฝงทะเลทจ่ี มนํ้าและมปี า ชายเลนข้ึนอยา งหนาแนน

35 1) ทรัพยากรดิน ลกั ษณะดินของภาคใตจ ะมี 4 ลักษณะ คอื 1. บรเิ วณชายฝง เปนดนิ ทราย ท่ีเหมาะแกการปลกู มะพราว 2. บริเวณที่ราบ ดินบริเวณท่ีราบลุมแมนํ้า เกิดจากการทับถมของตะกอนเปนชั้นๆ ของอนิ ทรียว ัตถุ นยิ มทํานา 3. บรเิ วณที่ดอนยังไมไดบ อกลกั ษณะดิน นยิ มปลูกปาลม นํ้ามนั และยางพารา 4. บริเวณเขาสูง มีลกั ษณะเปนดินที่มหี นิ ติดอยู จงึ ไมเ หมาะแกการเพาะปลูก 2) ทรัพยากรน้ํา แมน ้าํ สวนใหญใ นภาคใตเ ปน สายสน้ั ๆ แตกม็ ีนํา้ อุดมสมบูรณ เนื่องจากมฝี นตก เกือบตลอดป แตบ างแหง ยังมีการขดุ นา้ํ บาดาลมาใช 3) ทรัพยากรแร แรทส่ี าํ คญั ในภาคใต ไดแก ดบี ุก (จงั หวัดพังงา) ทังสเตน เหล็ก ฟลูออไรด ยิปซ่ัม ดินขาว ถา นหนิ ลิกไนต 4) ทรัพยากรปาไม ปา ไมใ นภาคใตเปนปาดงดิบและปา ชายเลน 5) ทรัพยากรดานการทองเที่ยว มีทรัพยากรดานการทองเท่ียวมาก เชน ทิวทัศนตามชายฝงทะเล เกาะ และอทุ ยานแหงชาตทิ างทะเล นาํ้ ตก สุสานหอยลานปท ่ีจงั หวัดกระบ่ี ประชากร ประชากรอาศยั อยหู นาแนนตามท่ีราบชายฝงต้ังแตจังหวัดนครศรีธรรมราชลงไปถึง จังหวัดปตตานี เพราะเปน ท่ีราบผนื ใหญ การประกอบอาชีพของประชากร อาชีพทส่ี าํ คญั คอื - การทาํ สวน เชน ยางพารา ปาลม นา้ํ มันและสวนผลไม - การประมง ทํากนั ทกุ จังหวัดท่มี ชี ายฝงทะเล - การทาํ เหมอื งแรด ีบกุ - การทองเที่ยว ภาคใตมีภูมิประเทศที่สวยงาม ทําใหมีแหลงทองเที่ยวตามธรรมชาติมากมาย หลายแหง เชน ทิวทัศนชายฝงทะเล เกาะแกงตาง ๆ ฯลฯ สามารถทํารายไดจากการทองเที่ยวมากกวา ภาคอื่น ๆ 5.2 ความสาํ คัญของการดาํ รงชีวิตใหสอดคลองกับทรัพยากรของประเทศในเอเชีย ลกั ษณะประชากรของทวีปเอเชีย เอเชยี เปนทวปี ทใ่ี หญแ ละมีประชากรมากเปน อันดับ 1 ของโลก ถือเปนทวีปแหลง อารยธรรม เพราะเปน ดินแดนท่คี วามเจริญเกิดขึ้นกอนทวีปอื่น ๆ ประชากรรูจักและตั้งถ่ิน ฐานกันมากอน สวนใหญอาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและท่ีราบลุมแมน้ําตาง ๆ เชน ลุมแมน้ํา เจาพระยา ลุมแมน้ําแยงซีเกียง ลุมแมน้ําแดงและลุมแมนํ้าคงคา สวนบริเวณที่มีประชากรเบาบางจะเปน บริเวณทแ่ี หง แลง กันดารหนาวเยน็ และในบริเวณที่เปนภเู ขาซบั ซอ น ซึ่งสว นใหญจะเปน บริเวณกลางทวปี ประชากรในเอเชียประกอบดว ยหลายเชอื้ ชาติ ดงั นี้ 1) กลมุ มองโกลอยด มีจาํ นวน 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดของทวีป มีลักษณะเดน คอื ผวิ เหลือง ผมดําเหยยี ดตรง นยั นตารี จมกู แบน อาศยั อยูในประเทศ จนี ญ่ปี นุ เกาหลี และไทย 2) กลมุ คอเคซอยด เปน พวกผวิ ขาว หนา ตารปู รางสูงใหญเหมือนชาวยโุ รป ตา ผมสีดาํ สวนใหญ อาศยั อยูในเอเชยี ตะวันตกเฉยี งใตและภาคเหนอื ของอินเดีย ไดแ ก ชาวอาหรับ ปากีสถาน อินเดยี เนปาล

36 3) กลมุ นกิ รอยด เปน พวกผิวดํา ไดแก ชาวพื้นเมืองภาคใตของอินเดีย พวกเงาะซาไก มีรูปราง เล็ก ผมหยกิ นอกจากนี้ยังอยูในศรีลังกาและหมูเกาะในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต 4) กลมุ โพลิเนเซียน เปน พวกผิวสีคลํา้ อาศยั อยตู ามหมเู กาะแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต ไดแก ชนพน้ื เมืองในหมเู กาะของประเทศอินโดนีเซยี ประชากรของทวีปเอเชยี จะกระจายตัวอยตู ามพ้นื ทตี่ าง ๆ ซ่งึ ขึ้นอยูก ับความอดุ มสมบรู ณข องพ้ืนที่ ความเจรญิ ทางดา นวชิ าการในการนําเทคโนโลยีมาใชกับทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือใหเกิดประโยชนสูงสุดและ ทําเลท่ีตั้งของเมืองท่ีเปนศูนยกลาง สวนใหญจะอยูกันหนาแนนบริเวณตามที่ราบลุมแมนํ้าใหญ ๆ ซ่ึงที่ดิน อดุ มสมบรู ณ พืน้ ทเี่ ปนทรี่ าบเหมาะแกการปลูกขา วเจา เขตประชากรที่อยกู นั หนาแนน แบง ไดเปน 3 ลกั ษณะ คอื 1. เขตหนาแนนมาก ไดแก ที่ราบลุมแมนํ้าฮวงโห แมน้ําแยงซีเกียง ชายฝงตะวันออก ของจีน ไตห วนั ปากแมน้ําแดง (ในเวียดนาม) ทีร่ าบลุม แมน้ําคงคา (อนิ เดยี ) ลุมแมนํ้าพรหมบุตร (บังคลาเทศ) ภาคใต ของเกาะฮอนชู เกาะควิ ชู เกาะซโิ กกุ (ในญ่ีปุน) เกาะชวา (ในอนิ โดนเี ซยี ) 2. เขตหนาแนนปานกลาง ไดแก เกาหลี ภาคเหนือของหมูเกาะญ่ีปุน ที่ราบดินดอนสามเหลี่ยม ปากแมน้ําโขงในเวียดนาม ที่ราบลุมแมน้ําเจาพระยา ที่ราบปากแมนํ้าอิระวดีในพมา คาบสมุทรเดคคาน ในอินเดยี ลมุ แมน า้ํ ไทกริส-ยเู ฟรตสี ในอริ ัก 3. เขตบางเบามาก ไดแก เขตไซบเี รยี ในรัสเซีย ทะเลทรายโกบีในมองโกเลีย แควนซินเกียงของจีน ทีร่ าบสูงทเิ บต ทะเลทรายในคาบสมุทรอาหรบั ซ่งึ บรเิ วณแถบนีจ้ ะมอี ากาศหนาวเยน็ แหงแลง และทุรกนั ดาร ลกั ษณะการต้ังถิ่นฐาน ประชากรสวนใหญ อาศัยอยูหนาแนนบริเวณชายฝงทะเลและที่ราบลุมแมนํ้าตาง ๆ เชน ลุมแมน้ํา เจา พระยา ลุมแมน้าํ แยงซเี กยี ง ลมุ แมน ้ําแดงและลุม แมน ้ําคงคา และในเกาะบางเกาะท่มี ดี ินอดุ มสมบรู ณ เชน เกาะของประเทศฟล ิปปนส อินโดนเี ซียและญี่ปนุ สวนบรเิ วณท่ีมปี ระชากรเบาบาง จะเปนบริเวณท่ีแหงแลง กันดาร หนาวเย็นและในบริเวณที่เปนภูเขาซับซอน ซ่ึงสวนใหญจะเปนบรเิ วณกลางทวปี มเี พียงสว นนอย ที่อาศัยอยูในเมือง เมืองที่มีประชากรอาศัยเปนจํานวนมาก ไดแก โตเกียว บอมเบย กัลกัตตา โซล มะนิลา เซียงไฮ โยะโกะฮะมะ เตหะราน กรุงเทพมหานคร เปนตน ลักษณะทางเศรษฐกิจ ประชากรของทวีปเอเชียประกอบอาชีพท่ีตางกันขึ้นอยูกับสภาพแวดลอม ทางธรรมชาติ ไดแก ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดลอมทางวัฒนธรรม ไดแก ความเจริญในดา นวชิ าการ เทคโนโลยี การปกครองและขนบธรรมเนยี มประเพณี แบงได 3 กลุมใหญ ๆ คือ 1) เกษตรกรรม การเพาะปลูก นับเปนอาชีพที่สําคัญในเขตมรสุมเอเชีย ไดแก เอเชียตะวันออก เอเชีย ตะวนั ออกเฉยี งใตแ ละเอเชียใต ทําการเพาะปลกู ประมาณรอ ยละ 70 - 75 % ของประชากรทัง้ หมด เน่ืองจาก ทวีปเอเชียมภี ูมปิ ระเทศเปนทร่ี าบลุมแมน ํ้าอันกวางใหญหลายแหง มีที่ราบชายฝงทะเล มีภูมิอากาศท่ีอบอุน มคี วามช้ืนเพียงพอ นอกจากนยี้ ังมกี ารนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยเขามาชวย หลายประเทศกลายเปนแหลง อาหาร ที่สาํ คัญของโลก จะทําในทรี่ าบลุมของแมน ้ําตา ง ๆ พืชทีส่ าํ คญั ไดแ ก ขา ว ยางพารา ปาลม ปาน ปอ ฝาย ชา กาแฟ ขา วโพด สม มนั สาํ ปะหลงั มะพรา ว

37 การเลี้ยงสตั ว เล้ียงมากในชนบท มีท้งั แบบฟารมขนาดใหญแ ละปลอยเลี้ยงตามทุงหญา ขึ้นอยู กบั ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ ภมู อิ ากาศและความนยิ ม ซง่ึ เลี้ยงไวใ ชเ น้ือและนมเปนอาหาร ไดแก อฐู แพะ แกะ สุกร โค กระบือ มาและจามรี การทําปาไม เน่ืองจากเอเชียตั้งอยูในเขตปาดงดิบ มรสุมเขตรอนและเขตอบอุน จึงไดรับ ความช้นื สงู เปน แหลงปาไมท ่ใี หญแ ละสําคัญของโลกแหงหน่งึ มที งั้ ปาไมเ นอื้ ออ นและปา ไมเน้ือแข็ง การประมง นบั เปน อาชีพทส่ี าํ คัญของประชากรในเขตริมฝงทะเล ซ่ึงมีหลายประเภท ไดแก ประมงน้ําจืด ประมงนํ้าเค็ม การงมหอยมุกและเลยี้ งในบริเวณลาํ คลอง หนองบงึ และชายฝง ทะเล 2) อุตสาหกรรม ไดแก 1. การทาํ เหมืองแร ทวปี เอเชียอุดมสมบูรณไปดวยแรธาตุและแรเชื้อเพลิง ไดแก แรเหล็ก ถา นหนิ ปโ ตรเลยี มและกา ซธรรมชาติ ซ่ึงจนี เปน ประเทศทม่ี ีการทาํ เหมืองแรมากที่สุดในทวีปเอเชีย สวนถานหิน เอเชียผลิตถานหินมากที่สุดในโลก แหลงผลิตสําคัญคือ จีน อินเดีย รัสเซีย และเกาหลี แรเหล็ก ผลิตมาก ในรัสเซีย อนิ เดยี และจนี สวนนํา้ มันดบิ และกา ซธรรมชาติ เอเชยี เปน แหลงสํารองและแหลง ผลิตนํ้ามันดิบและ กาซธรรมชาติมากทีส่ ุดในโลก ซง่ึ มมี ากบริเวณอา วเปอรเ ซยี ในภมู ิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉยี งใต ไดแก อิหราน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส อิรัก คูเวต โอมาน กาตาร ประเทศที่ผลิตน้ํามันดิบมาก คือ ซาอุดิอาระเบียและจีน นอกจากนย้ี ังพบในอินโดนเี ซีย มาเลเซีย บรไู น ปากีสถาน พมา อุซเบกิสถาน เติรก เมนิสถาน อาเซอรไ บจาน 2. อตุ สาหกรรมทอผา ผลติ ภัณฑจากไมแ ละหนังสตั ว ซ่งึ อตุ สาหกรรมเหลา น้ี หลายประเทศ ในเอเชียเริ่มจากอุตสาหกรรมในครัวเรือน แลวพัฒนาขึ้นเปนโรงงานขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญ นอกจากนยี้ ังมีอุตสาหกรรมอาหารสาํ เร็จรปู เครือ่ งจกั รกล ยานพาหนะ เคมี

38 3) พาณชิ ยกรรม ไดแก การสงสินคาออกและสินคานําเขาประเทศ สินคาที่ผลิตในทวีปเอเชีย ท่เี ปนสนิ คา ออกสวนมากจะเปนเครือ่ งอปุ โภคบรโิ ภคและวัตถดุ ิบ ไดแก ขาวเจา กาแฟ ชา นํ้าตาล เคร่ืองเทศ ยางพารา ฝาย ไหม ปอ ปาน ขนสัตว หนังสัตว ดีบุก ฯลฯ ญี่ปุนและจีนมีปริมาณการคากับตางประเทศ มากที่สุดในทวีป สนิ คา ออก จะเปน ประเภทเครอ่ื งจกั ร ประเทศทส่ี ง ออกมาก คอื ญ่ีปนุ สว นประเภทอาหาร เชน ขา วเจา ขา วโพด ถว่ั เหลือง ไดแ ก ไทย พมา และเวยี ดนาม สว นสินคา นาํ เขา ประเทศ สวนมากจะส่ังซ้ือจากยุโรปและอเมริกา ไดแก ผลิตภัณฑจากอุตสาหกรรม เครือ่ งโลหะสาํ เรจ็ รปู เชน เคร่ืองจกั ร เคร่ืองยนต เคร่อื งไฟฟา เคมี เคมีภณั ฑ เวชภณั ฑต าง ๆ กจิ กรรมที่ 1.5 ความสาํ คญั ของการดํารงชีวติ ใหสอดคลองกับทรพั ยากรในประเทศ 1) ใหผ ูเ รียนอธิบายวาในภาคเหนอื ของไทย ประชากรจะอาศัยอยูหนาแนนในบริเวณใดบาง พรอมให เหตุผล ประชากรสวนใหญป ระกอบอาชีพอะไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .........................................................

39 2) ผูเรียนคิดวาภาคใดของไทยท่ีสามารถสรางรายไดจากการทองเที่ยวมากท่ีสุด พรอมใหเหตุผล และสถานท่ที องเทยี่ วดงั กลาว มอี ะไรบาง พรอมยกตวั อยาง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ......................................................... 3) ปจ จัยใดทท่ี าํ ใหมีประชากรอพยพเขามาอาศัยอยใู นภาคตะวันออกมากขึ้น .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................. 4) ทวปี ใดทก่ี ลาวกนั วา เปนทวีป “แหลง อารยธรรม” เพราะเหตใุ ดจงึ กลาวเชนนนั้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

40 5) ในทวปี เอเชยี ประชากรจะอาศยั อยกู ันหนาแนน บรเิ วณใดบา ง เพราะเหตใุ ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

41 บทท่ี 2 ประวัติศาสตรทวีปเอเชีย สาระสําคญั ทวปี เอเชยี ประกอบดวย ประเทศสมาชกิ หลายประเทศ ในท่นี ีจ้ ะกลาวถึงประวัติศาสตรของประเทศ ในแถบเอเชียท่ีมีพรมแดนติดและใกลเคียงกับประเทศไทย ไดแก ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรฐั แหง สหภาพพมา อนิ โดนเี ซีย ฟล ปิ ปนส และประเทศญ่ีปุน โดยสงั เขป นอกจากน้ไี ดเ กิดเหตุการณส ําคัญ ๆ ในประเทศไทยและประเทศในทวปี เอเชยี ท่ีนา สนใจ เชน ยุคลา อาณานิคม และยคุ สงครามเยน็ เปนตน ผลการเรยี นรูที่คาดหวัง หลังจากผเู รยี นเรียนเรอ่ื งประวัติศาสตรทวีปเอเชยี จบแลว ทาํ ใหผ ูเรียนสามารถ 1. บอกถึงประวัติศาสตรโดยสังเขปของสาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว สาธารณรัฐแหงสหภาพพมา อนิ โดนเี ซีย ฟล ปิ ปน สและประเทศญ่ปี ุน ได 2. บอกเหตุการณส าํ คญั ทางประวัตศิ าสตรทเ่ี กิดข้นึ ในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชยี ได ขอบขายเนื้อหา เรือ่ งที่ 1 ประวัติศาสตรส ังเขปของประเทศในทวีปเอเชยี ไดแ ก 1.1 ประวัตศิ าสตรประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจีน 1.2 ประวตั ิศาสตรป ระเทศอินเดีย 1.3 ประวัตศิ าสตรสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว 1.4 ประวตั ิศาสตรป ระเทศสาธารณสาธารณรัฐแหง สหภาพพมา 1.5 ประวัตศิ าสตรประเทศอนิ โดนีเซยี 1.6 ประวัติศาสตรประเทศฟลปิ ปน ส 1.7 ประวัตศิ าสตรประเทศญป่ี นุ เร่ืองท่ี 2 เหตุการณส าํ คัญทางประวัติศาสตรทเ่ี กิดขึ้นในประเทศไทยและประเทศใน ทวีปเอเชยี 2.1 ยคุ ลา อาณานิคม 2.2 ยคุ สงครามเยน็


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook