Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ทักษะการเรียนรู้(ม.ต้น)

ทักษะการเรียนรู้(ม.ต้น)

Published by aschara.rung, 2020-04-28 00:17:52

Description: ทักษะการเรียนรู้(ม.ต้น)

Search

Read the Text Version

100 10. การจัดทําดัชนีผูรู คือการรวบรวมผูทีเ่ ชี่ยวชาญ เกงเฉพาะเรือ่ ง หรือภูมิปญญา มารวบรวมจัดเก็บไวอยางเปนระบบ ทัง้ รูปแบบที่เปนเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส เพือ่ ใหคน ไดเ ขา ถงึ แหลง เรียนรไู ดงา ย และนําไปสูกิจกรรมการแลกเปลย่ี นรตู อ ไป เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรูนี้เปนเพียงสวนหนึ่งของเครื่องมืออีก หลายชนดิ ท่ี นําไปใชในการจัดการความรู เครื่องมือทีม่ ีผูน ํามาใชมากในการแลกเปลีย่ นเรียนรู ในระดบั ตนเองและระดับกลุม คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรูโดยเทคนิคการเลาเรือ่ ง การเลาเรือ่ ง เปน การแลกเปลี่ยนเรียนรูจ ากวิธีการทํางานของคนอื่นที่ประสบผลสําเร็จ หรือที่เรียกวา Best practice เปนการเรียนรูทางลัด นัน่ คือเอาเทคนิควิธีการทํางานทีค่ นอืน่ ทําแลวประสบผล สําเร็จ มาเปนบทเรียน และนําวิธีการนั้นมาประยุกตใชกับตนเอง เกิดวิธีการปฏิบัติใหมทีด่ ี ขึน้ กวาเดิม เปนวงจรเร่อื ยไปไมส ้นิ สดุ การแลกเปล่ียนเรยี นรูจากการเลาเรอื่ ง มลี กั ษณะ ดงั นี้ การเลา เรื่อง การเลาเร่อื ง หรอื Storytelling เปนเครื่องมืออยางงายในการจัดกาความรู ซึ่งมีวิธี การ ไมยุง ยากซับซอน สามารถใชไดกับทุกกลุมเปาหมาย เปนการเลาประสบการณในการ ทํางาน ของแตล ะคนวา มวี ิธีการทําอยางไรจงึ จะประสบผลสําเร็จ กจิ กรรมเลา เรอ่ื ง ตอ งทาํ อะไรบา ง กิจกรรมจัดการความรู โดยใชเทคนิคการเลา เร่ือง ประกอบดว ยกจิ กรรมตา ง ๆ ดังนี้ 1. ใหคุณกิจ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรื่องเลาประสบการณความสําเร็จในการทํางาน ของตนเอง เพือ่ ใหความรูฝ งลึกในตัว (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมา เปนความรูชัดแจง (Expicit Knowledge) 2. เลาเรอ่ื งความสาํ เรจ็ ของตนเอง ใหสมาชกิ ในกลมุ ยอยฟง 3. คุณกิจ (สมาชิก) ในกลุม ชวยกันสกัดขุมความรู จากเรื่องเลา เขียนบนกระดาษ ฟลิปชารต 4. ชวยกันสรุปขุมความรูท ีส่ กัดไดจากเรือ่ ง ซึ่งมีจํานวนหลายขอ ใหกลายเปนแกน ความรู ซ่ึงเปนหัวใจท่ีทําใหง านประสบผลสําเรจ็ 5. ใหแ ตล ะกลมุ คัดเลือกเรื่องเลา ทดี่ ีท่สี ุด เพ่อื นําเสนอในท่ีประชุมใหญ 6. รวมเรื่องเลาของทุกคน จัดทําเปนเอกสารคลังความรูข ององคกร หรือเผยแพร ผานทางเว็บไซต เพอื่ แบงปนแลกเปลย่ี นความรู และนาํ มาใชป ระโยชนใ นการทาํ งาน

101 ตัวอยางเรอ่ื งเลา “ประสบการณค วามสาํ เรจ็ “...แซน อกี แลว ! ทําไม เธอถึงเกเรอยางนี้ นเี่ ปน คร้ังทีเ่ ทา ไหรละ ทีช่ อบรังแกเด็ก ครูเอือมระอา เธอเหลือเกิน” เสียงครูเวรประจําวัน ซึง่ สุภาพสตรีวัยกลางคน กลาวตําหนิ ด.ช.แซน ผูก ําพราพอแม ตอหนา เพอ่ื น ๆ ท่หี นา เสาธง จากนน้ั ก็หันมาใสอารมณก บั ขาพเจาท่ียนื ดอู ยูขา ง ๆ “ครูสมชาย ชว ยจัดการใหพ ีท่ ีเถอะ พ่ไี มรจู ะทําอยา งไรกบั เดก็ เกเรคนนแี้ ลว ” ขาพเจาตอบรับไปสั้น ๆ ดว ยคาํ วา “ครบั ” พรอมกับความรูหลายอยางที่อัดแนนอยูในใจ ทีย่ าก จะอธิบาย ขาพเจาไปหาแซน ซึง่ อาศัยอยูก ับยายในเย็นวันหนึง่ พรอมของฝากเล็ก ๆ นอย ๆ พูดคุย สาระ ทุกขสุขดิบแบบคนคุน เคยกัน ตามประสาครูบานนอก ทําใหทราบขอมูลเชิงลึกวา พอ และแมของ แซนเสียชีวิต ดวยโรคภูมิคุมกันบกพรอง และตอนที่ยังมีชีวิตอยู ก็มักทะเลาะตบตี กันใหลูกเห็นเปน ประจาํ ขาพเจากลับบานพรอมโจทยขอใหญ รุงขึน้ ขาพเจาเรียกแซนมาคุย ชวนใหมาชวยทํางานในวันเสารอาทิตย เพือ่ หารายได เสริม เชน ปลูกผักสวนครวั เพาะชํากลาไม ซงึ่ ขา พเจา เปนผูร บั ซอื้ เอง จากวนั นน้ั วนั ทแ่ี ซนเรยี นอยชู ้นั ม.1 มีพฤตกิ รรมคือ...เกเร...ไมต้ังใจเรยี น.... จนถงึ วนั ท่ี 23 มีนาคม 2551 แซนจบชน้ั ม.3 ดวยเกรดเฉล่ีย 3.68 สอบเขาเรียนตอ ชั้น ม.4 โรงเรียนมัธยมประจําอําเภอ ในโปรแกรมวิทย-คณิตได มีรายไดสะสมเปนตัวเลขเงินใน บัญชีธนาคาร จากการหารายไดพเิ ศษระหวา งเรยี น เปน จาํ นวนเงนิ หมน่ื กวา บาท หลังเสรจ็ พธิ ีรับประกาศนียบัตร ช้ัน ม.3 แซนมากราบที่ตักของขาพเจา พรอมพูดดวย น้ําเสียงที่ สั่นเครือ และน้ําตาของความปลื้มปติวา... “ครคู รบั ! ถาไมม ีครูผมคงไมมวี ันนีค้ รบั ” น้ําตาของขาพเจาไหลซึมโดยไมรตู ัว ตบไหลแ ซนแรง ๆ กอดซาํ้ อกี ทหี นึ่ง เหมอื นกอดลกู ชาย ดใี จดว ยจรงิ ๆ วะ สูตอ ไปนะ...นะ...แซน...

102 ชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั หิ รือชมุ ชนแหงการเรยี นรู (CoPs) ในชุมชนมีปญหาซับซอน ที่คนในชุมชนตองรวมกันแกไข การจัดการความรูจึงเปน เรือ่ งทีท่ ุกคนตองใหความรวมมือ และใหขอเสนอแนะในเชิงสรางสรรค การรวมกลุม เพือ่ แกปญหา หรือรวมมือกันพัฒนาโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกัน เรียกวา “ชุมชนนักปฏิบัติ” บุคคลในกลมุ จงึ ตอ งมีเจตคติทีด่ ีในการแบงปนความรู นําความรูท ี่มีอยูมาพัฒนากลุม จาก การลง มอื ปฏบิ ตั ิ และเคารพในความคิดเห็นของผูอ น่ื ชุมชนนกั ปฏิบตั ิคืออะไร ชุมชนนักปฏิบัติ คือ คนกลุมเล็ก ๆ ซึง่ ทํางานดวยกันมาระยะหนึง่ มีเปาหมายรวม กัน และตองการที่จะแบงปนแลกเปลี่ยนความรู ประสบการณจากการทํางานรวมกัน กลุม ดังกลาวมักจะไมไดเกิดจากการจัดตัง้ โดยองคกร หรือชุมชน เปนกลุม ที่เกิดจากความตองการ แกป ญ หา พฒั นาตนเอง เปนความพยายามท่จี ะทาํ ใหความฝนของตนเองบรรลผุ ลสําเร็จ กลุมที่ เกิดขึ้นไมมีอํานาจใด ๆ ไมมีการกําหนดไวในแผนภูมิโครงสรางองคกร ชุมชน เปา หมายของ การเรียนรูของคนมีหลายอยาง ดังนัน้ ชุมชนนักปฏิบัติจึงมิไดมีเพียงกลุม เดียว แต เกิดขึน้ เปน จาํ นวนมาก ทง้ั น้อี ยทู ี่ประเดน็ เนอื้ หาท่ีตองการจะเรียนรรู วมกันน่ันเอง และคน คนหนึ่งอาจจะ เปน สมาชกิ ในหลายชมุ ชนกไ็ ด ชุมชนนักปฏิบตั มิ ีความสําคญั อยางไร ชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิเกิดจากกลุมคนทมี่ ีเครือขายความสัมพนั ธที่ไมเปน ทางการมารวมตวั กนั เกิดจากความใกลชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธรวมกัน การรวมตัวกันในลักษณะ ที่ไม เปนทางการจะเอื้อตอการเรียนรู และการสรางความรูใหม ๆ มากกวาการรวมตัวกันอยาง เปน ทางการ มีจุดเนน คือตองการเรียนรูรวมกันจากประสบการณการทํางานเปนหลัก การ ทํางาน ในเชิงปฏิบัติ หรอื จากปญหาในชีวิตประจําวนั หรือเรียนรูเครื่องมือใหม ๆ เพือ่ นํามา ใชในการ พฒั นางาน หรือวิธีการทํางานทไ่ี ดผ ล และไมไดผล การมีปฏิสมั พันธร ะหวางบุคคล ทําใหเกิด การถายทอดแลกเปลี่ยนความรูฝงลึก สรางความรูและความเขาใจไดมากกวาการ เรียนรูจาก หนังสือ หรือการฝกอบรมตามปกติ เครือขายที่ไมเปนทางการ ในเวทีชุมชนนัก ปฏิบัติซึ่งมี สมาชิกจากตางหนวยงาน ตางชุมชน จะชวยใหองคกรหรือชุมชนประสบความ สําเร็จไดดีกวา การสอ่ื สารตามโครงการทเ่ี ปน ทางการ

103 ชุมชนนักปฏบิ ตั เิ กดิ ขน้ึ ไดอยา งไร การรวมกลุมปฏิบัติการ หรือการกอตัวขึน้ เปนชุมชนนักปฏิบัติได ลวนเปนเรื่องที่ เกย่ี วกบั คน คนตอ งมี 3 สง่ิ ตอ ไปนีเ้ ปน เบอ้ื งตน คอื 1. ตองมีเวลา คือ เวลาทีจ่ ะมาแลกเปลีย่ นเรียนรู มารวมคิด รวมทํา รวมแกปญหา ชว ยกนั พฒั นางาน หรือสรางสรรคสิ่งใหม ๆ ใหเกิดขึ้น หากคนที่มารวมกลุมไมมีเวลา หรือ ไม จัดสรรเวลาไวเพื่อการนี้ กไ็ มมที างที่จะรวมกลุมปฏิบัติการได 2. ตองมเี วทหี รือพืน้ ท่ี การมเี วทหี รือพ้นื ที่คือการจัดหาหรือกําหนดสถานท่ีท่ีจะใช ใน การพบกลุม การชุมชน พบปะพูดคุยสนทนาแลกเปลีย่ นความคิด แลกเปลีย่ นประสบ การณ ตามทีก่ ลุม ไดชวยกันกําหนดขึ้น เวทีดังกลาวนี้อาจมีหลายรูปแบบ เชน การจัดประชุม การจัด สัมมนา การจดั เวทปี ระชาคมเวทีขางบาน การจัดเปนมุมกาแฟ มุมอานหนังสอื เปนตน การจัดใหมีเวทีหรือพืน้ ทีด่ ังกลาว เปนการทําใหคนไดมีโอกาสแลกเปลีย่ นเรียนรูใน บรรยากาศสบาย ๆ เปด โอกาสใหคนท่ีสนใจเรื่องคลาย ๆ กัน หรือคนที่ทํางานดานเดียวกัน มี โอกาสจับกลุมปรึกษาหารือกันไดโดยสะดวก ตามความสมัครใจ ในภาษาอังกฤษเรียกการ ชุมนุมลักษณะนี้วา “Comunity of Practices” หรือเรียกยอวา CoPs ในภาษาไทยเรียก “ชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ” ชุมชนนักปฏิบัติเปนคําทีใ่ ชกันโดยทั่วไป และมีคําอื่น ๆ ที่มีความหมายเดียวกันน้ี เชน ชุมชนแหงการเรียนรู ชุมชนปฏิบัติการ หรือเรียกคํายอในภาษาอังกฤษวา CoPs ก็ เปนที่ เขา ใจกนั 3. ตองมีไมตรี คนตองมีไมตรีตอกันเมื่อมาพบปะกัน การมีไมตรีเปนเรือ่ งของใจ การมนี ้าํ ใจตอ กัน มใี จใหก นั และกนั เปน ใจทเ่ี ปดกวาง รับฟงความคดิ เห็นของผูอ่ืน พรอม รับ ส่ิงใหม ๆ ไมติดยึดอยูก ับสิ่งเดิม ๆ มีความเอือ้ อาทร พรอมที่จะชวยเหลือเกือ้ กูลซึง่ กัน และ กนั การรวมกลุมปฏิบัติการ จะดําเนินไปไดดวยดี บรรลุตามเปาหมายทีต่ ั้งไว จะตองมี เวลา เวที ไมตรี เปนองคประกอบทีช่ วยสรางบรรยากาศที่เปดกวาง และเอื้ออํานวยตอการ แสดงความคดิ เหน็ ทห่ี ลากหลายในกลมุ จะทาํ ใหไ ดมมุ มองทีก่ วา งขวางย่ิงข้ึน

104 รปู แบบของเวทีชมุ ชนนกั ปฏิบตั ิ การแลกเปลย่ี นเรียนรผู า นเวทีชุมชนนกั ปฏิบัตมิ ีหลากหลายรปู แบบ เชน การมารวม กลุม กนั เพ่อื แลกเปลยี่ นความรรู ะหวา งกนั ในรูปแบบตาง ๆ เชน การประชุม การสัมมนา การจัดเวที ประชาคม เวทีขางบาน การจัดเปนมุมกาแฟ มุมอานหนังสือ แตในปจจุบันมีการใชเทคโนโลยี มาใชใ นการสอ่ื สาร ทําใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันผานทาง อินเตอรเน็ต ดังนัน้ รูปแบบ ของการแลกเปลยี่ นเรียนรูท ่ีเรียกวา “เวทชี มุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ” จงึ มี 2 รูปแบบ ดงั น้ี 1. เวทีจรงิ เปน การรวมตวั กนั เปน กลมุ หรอื ชมุ ชน และมาแลกเปลี่ยนเรยี นรูรวมกัน ดว ย การเห็นหนากัน พูดคุยแลกเปลีย่ นความคิดเห็น ทัง้ แบบเปนทางการและไมเปนทางการ แต การแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้จะมขี อจํากัดในเรอ่ื งคาใชจายในการเดินทางมาพบกัน แต สามารถ แลกเปลย่ี นเรียนรูร ว มกนั ไดในเชิงลึก 2. เวทีเสมือน เปนการรวมตัวกันเชื่อมเปนเครือขาย เพื่อแลกเปลีย่ นเรียนรูรวมกัน ผานทางอินเตอรเน็ต ซึ่งในปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตในการสื่อสารหรือคนควาหาขอมูล กันอยางแพรหลายทัง้ ในประเทศและตางประเทศ การแลกเปลี่ยนเรียนรูใ นลักษณะนีเ้ ปนการ แลกเปลีย่ นเรียนรูแ บบไมเปนทางการ มีปฏิสัมพันธกันผานทางออนไลน จะเห็นหนากันหรือ ไมเห็นหนากันก็ได และจะมีความรูสึกเหมือนอยูใ กลกัน จึงเรียกวา “เวทีเสมือน” น่ันคือ เสมือนอยูใ กลกันนัน่ เอง การแลกเปลีย่ นเรียนรูจะใชวิธีการบันทึกผานเว็บบล็อก ซึ่งเหมือน สมุดบันทึกเลมหนึง่ ทีอ่ ยูใ นอินเตอรเน็ต สามารถบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูแ ละสงขอมูล หากนั ไดท กุ ท่ี ทกุ เวลา และประหยดั คาใชจายเนือ่ งจากไมตอ งเดนิ ทางมาพบกัน

105 ชมุ ชนแหง การเรยี นรู ชุมชนแหงการเรียนรู คือการที่คนในชุมชนเขารวมในกระบวนการเรียนรู พรอมที่จะ เปน ผูใ หความรูแ ละรับความรู จากการแบงปนความรูท ั้งในตนเองและความรูใ นเอกสารใหแกกัน และกนั ชุมชนแหงการเรียนรูจึงมีทั้งระบบบุคคลและระดับกลุม เชือ่ มโยงกันเปนเครือ ขายเพื่อ เรียนรูร ว มกัน การสงเสริมใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูจ ึงตองเริ่มที่ตัวบุคคล เริ่มตนจากการ ทําความเขาใจ สรางความตระหนักใหกับคนในชุมชนเปนบุคคลแหงการเรียนรู เห็นความ สําคัญของการมีนิสัยใฝเรียนรู สงเสริมใหเกิดการเรียนรูจากกิจกรรมที่รัฐบาลหรือองคกร ชุมชนจัดให จากการพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันอยางสม่าํ เสมอ จนเกิดเปน ความ เคยชนิ และเหน็ ประโยชนจากความรทู ไี่ ดรบั เพ่ิมขน้ึ การสรางนิสัยใฝเรียนรูข องบุคคล คือการใหประชาชนในชุมชนไดรับบริการตาง ๆ ที่สนใจอยางตอเนื่องสม่ําเสมอ กระตุน ใหเกิดความอยากรูอยากเห็นเปนอันดับแรก เกิดความ ตระหนักถึงความสําคัญของการศึกษาหาความรู เกิดการเรียนรูอ ยางตอเนื่อง เปนผูนําใน การ พฒั นาดา นตาง ๆ ท้งั การเรยี นรูจ ากหนงั สอื เรียนรเู พือ่ พฒั นาอาชีพและการพฒั นา คณุ ภาพชวี ติ ดังน้ัน บุคคลถือเปนสวนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม การสงเสริมใหบุคคลเปนผูใ ฝ เรียนรู ยอมสงผลใหชุมชนเปนชุมชนแหงการเรียนรูด วย การสงเสริมใหชุมชนมีสวนรวมใน การแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันอยางสม่ําเสมอ ทั้งเปนทางการและไมเปนทางการ จะทําใหเกิด

106 การหมุนเกลียวของความรู หากบุคคลในชุมชนเกิดความคุน เคยและเห็นความสําคัญของ การเรียนรูอยูเสมอ จะเปน กา วตอ ไปของการพฒั นาชมุ ชนและสงั คมใหเ ปนสงั คมแหง การเรยี นรู ตวั ชว้ี ัดระดบั กลมุ 1. มีเวทีชมุ ชนแลกเปลยี่ นเรยี นรูในหลายประเด็น 2. มกี ลุม องคก ร เครอื ขายทม่ี ีการเรยี นรรู ว มกนั อยา งตอ เนื่อง 3. มีชุดความรู องคค วามรู ภมู ิปญ ญา ทป่ี รากฏเดน ชดั และเปนประสบการณ เรยี นรู ของชุมชน ถูกบันทึกและจดั เก็บไวในรูปแบบตาง ๆ

107 การพัฒนาขอบขา ยความรขู องกลุม ขอบขายความรูจะกวางขวางเพียงใดขึ้นอยูกับเปาหมายและประโยชนของความรูที่ กลุม ตองการในกลมุ พฒั นาอาชีพตาง ๆ ในชมุ ชนนน้ั เปา หมายของการจดั ตั้งกลุมก็เพื่อสราง งานสราง อาชีพใหกับคนในชุมชน เพิม่ รายได ลดรายจาย ลดปญหาการวางงาน และสราง ความสามัคคี ในชุมชน แตกลุม อาชพี ท่ดี ําเนินการอยไู ดในปจ จุบัน มีปจจัยหลายอยางทีส่ ง ผลใหกลุม เขมแข็ง ยั่งยืน และกลุมลมสลายไมสามารถดําเนินการตอไปได กลุม ที่ดําเนินการ อยูไ ดถือวากลุมมี การจัดความรูในกลุมไดเปนอยางดี ความรูท ี่เกีย่ วของในการพัฒนากลุม นั้นมีขอบขายความรู ท่จี ําเปน และสาํ คัญตอการพัฒนากลมุ ซง่ึ นาํ เสนอไวพ อสงั เขป ดงั น้ี 1. ความรเู รอื่ งการบริหารจดั การกลุม เปนความรูท ี่จําเปนสําหรับกลุม หากกลุม มีการ บริหารจัดการไมโปรงใส จัดทําระบบบัญชีไมเปนปจจุบัน ไมมีระบบการตรวจสอบทีด่ ี จะทํา ใหกลุมขาดความไววางใจกัน เกิดความขัดแยงกันเองภายในกลุม สงผลใหสมาชิกกลุม ไมให ความรวมมือในการทํากิจกรรมตาง ๆ และกลุม ไมสามารถพฒั นาตอไปได 2. ความรูเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ กลุมจัดตัง้ ขึน้ เพื่อตองการพัฒนาอาชีพใหคน ใน ชุมชน เปนการเพิ่มรายไดและลดรายจาย หากกลุมไมม คี วามรูเรอ่ื งการพัฒนาผลติ ภัณฑ ก็จะทาํ ใหส นิ คา ไมไดร ับความนิยม ไมเ ปน ทต่ี อ งการของตลาด และจาํ หนายไมไดใ นที่สดุ ดังน้นั กลุม จึงตองมีการพัฒนาผลิตภัณฑอยางตอเนื่อง ใหมีความทันสมัยและตรงกับความ ตองการของ ลูกคาหรอื ผูใชบรกิ าร 3. ความรูเรื่องการตลาด กลุม จะตองมีความรูเ รือ่ งการจําหนาย นั่นคือ การตั้ง ราคา ทําเลที่ตั้งกลุมเปาหมายทีใ่ ชบริการ การทําความเขาใจเรื่องการตลาด จะทําใหกลุม มีชองทางใน การจําหนายและขยายตลาดไดมากขึ้น สงผลใหกลุมมีกําไรจากการขาย สมาชิก กลุม ดํารงอยูได จากผลกาํ ไรที่กลมุ ไดร ับนั่นเอง 4. การรกั ษามาตรฐานของสนิ คา สินคาโดยเฉพาะสินคาที่เปนเครื่องบริโภคที่ ผลิตขึน้ ในชุมชน จะมีมาตรฐานของชุมชนมาปนเครือ่ งกํากับ บอกถึงคุณภาพของสินคา ดังนั้นกลุม จะตองมีความรูความเขาใจในการผลิตสินคาใหมีมาตรฐาน สินคาจึงจะไดรับการ ยอมรับ และ ขยายตลาดได

108 ในการพัฒนากลุมอาชีพนั้น กลุม จําเปนตองรูว าขอบขายความรูท ีจ่ ําเปนตอการ พัฒนากลุม อาชพี นนั้ คืออะไร อยูที่ไหน และจะคนหาความรูเหลานั้นไดอยางไร กลุม อาจประชุม รวมกนั เพือ่ ศกึ ษาปญ หาท่เี กิดข้นึ จริงในกลุมมาเปนองคค วามรูของกลุม ตรวจสอบความรูที่จําเปน ตอ การแกปญ หาหรอื พฒั นากลุม สงเสริมใหมีการแลกเปลี่ยนเรียนรูร วมกัน ทัง้ ภายในกลุม และ นอกกลมุ ความรูท ุกความรทู ีจ่ าํ เปนในการแกป ญหาหรือพัฒนากลุม ถือ เปนขอบขายความรูของ กลุม ที่กลุมตองเรงดําเนินการแสวงหา เพื่อนําความรูน ั้นมาสูก ารปฏิบัติ เปนการยกระดับความรู และตอยอดองคความรูเ ดิมทีก่ ลุม มีอยู สงผลใหกลุม ไดรับการ พัฒนา และหากกลุมดําเนินการ จัดการความรูในขอบขายความรูของกลุม ไปอยางเปนวงจร ไมมีที่สิ้นสุดแลว กลุมจะเกิดความ เขม แข็งและดํารงอยูในชุมขนอยา งยัง่ ยืนได

109 การจัดทําสารสนเทศเผยแพรความรู สารสนเทศ คือขอมูลตาง ๆ ทีผ่ านการกลัน่ กรองและประมวลผลแลว บวกกับประสบการณความ เชี่ยวชาญที่สะสมมาแรมป มกี ารจัดเก็บหรือบันทึกไว พรอ มในการนาํ มาใชง าน การจัดทําสารสนเทศ ในการจัดการความรู จะมีการรวบรวมและสรางองคความรูท ีเ่ กิดจากการปฏิบัติขึ้น มากมาย การจัดทําสารสนเทศจึงเปนการสรางชองทางใหคนที่ตองการใชความรูสามารถ เขาถึง องคความรูได และกอใหเกิดการแบงปนความรูรวมกันอยางเปนระบบ ในการจัดเก็บ เพื่อให คนหาความรูคือไดงายนั้น องคกรตองกําหนดสิง่ สําคัญที่จะเก็บไวเปนองคความรู และตอง พิจารณาถึงวิธีการในการเก็บรักษา และนํามาใชใหเกิดประโยชนตามตองการ องคกรตอง เกบ็ รกั ษาสิ่งที่องคกรเรยี กวา เปน ความรูไวใหด ีที่สุด การจัดสารสนเทศ ควรจัดทําอยางเปนระบบ และควรเปนระบบที่สามารถคนหา และ สงมอบไดอยางถูกตองและรวดเร็ว ทันเวลาและเหมาะสมกับความตองการ และจัดให มีการ จําแนกรายการตาง ๆ ที่อยูบนพื้นฐานตามความจําเปนในการเรียนรู องคกรตอง พิจารณาถึง ความแตกตางของกลุมคนในการคนคืนความรู องคกรตองหาวิธีการใหพนักงาน ทราบถึงชอง ทางการคนหาความรู เชน การทําสมุดจัดเก็บรายชือ่ และทักษะของผูเ ชี่ยวชาญ เครือขายการ ทํางานตามลําดับชั้น การประชุม การฝกอบรม เปนตน สิง่ เหลานีจ้ ะนําไปสู การถายทอด ความรูใ นองคก ร วัตถุประสงคการจัดทาํ สารสนเทศ 1. เพือ่ ใหมีระบบการจัดเก็บขอมูลและองคความรูอยางเปนหมวดหมู และเหมาะสม ตอ การใชง าน สามารถคน หาไดต ลอดเวลา สะดวก งา ย และรวดเร็ว 2. เพือ่ ใหเกิดระบบการสือ่ สาร การแลกเปลีย่ น แบงปน และถายทอดองคความรู ระหวา งกันผานสอื่ ตาง ๆ อยางมปี ระสิทธิภาพ 3. เพือ่ ใหเกิดการเขาถึงและเชื่อมโยงองคความรูร ะหวางหนวยงานทัง้ ภายในและ ภายนอกอยางเปนระบบ สะดวกและรวดเรว็ 4. เพื่อรวบรวมและจัดเก็บความรูจ ากผูมีประสบการณ รวมถึงผูเชี่ยวชาญในรูปแบบ ตา ง ๆ ใหเ ปนรูปธรรม เพ่อื ใหทกุ คนสามารถเขาถึงความรแู ละพฒั นาตนเองใหเปน ผูรไู ด

110 5. เพือ่ นําเทคโยโลยีสารสนเทศ มาใชเปนเครือ่ งมือในการถายทอดระหวางความรู ฝงลึกกับความรูช ัดแจง ที่สามารถเปลี่ยนสถานะระหวางกันตลอดเวลา ทําใหเกิดความรู ใหม ๆ การถา ยทอดความรู เปนการนําความรูท ี่ไดรับมาถายทอดใหบุคลากรในองคกรไดรับทราบ และใหมีความ รู เพยี งพอตอการปฏบิ ัตงิ าน การเผยแพรความรจู งึ เปน องคประกอบหนึง่ ของการจดั การความรู การ เผยแพรความรมู ีการปฏิบัติกันมานานแลว สามารถทาํ ไดห ลายทางคอื การเขยี นบนั ทกึ รายงาน การฝกอบรม การประชุม การสัมมนา จัดทําเปนบทเรียนทัง้ ในรูปแบบของหนังสือ บทความ วิดิทัศน การอภิปรายของเพื่อนรวมงานในระหวางการปฏิบัติงาน การอบรม พนักงานใหม อยางเปนทางการ หองสมุด การฝกสอนอาชีพและการเปนเลี้ยง การแลกเปลี่ยน เรียนรูใน รูปแบบอืน่ ๆ เชน ชมุ ชนนกั ปฏิบัติ เรือ่ งเลาแหงความสําเร็จ การสัมภาษณ การ สอบถาม เปน ตน การถายทอดหรือเผยแพรความรู มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัยเทคโนโลยี เพื่อการสือ่ สาร และเทคโนโลยีมีการกระจายไปอยางกวางขวาง ทําใหกระบวนการถายทอด ความรูผาน เทคโนโลยโี ดยเฉพาะอนิ เตอรเนต็ ไดความนยิ มอยา งแพรห ลายมากข้ึน การเผยแพรความรูและการใชประโยชน มีความจําเปนสําหรับองคกร เนื่องจาก องคกรจะ เรียนรูไดดีขึ้นเมือ่ มีความรู มีการกระจายและถายทอดไปอยางรวดเร็ว และเหมาะ สมท่ัวท้ัง องคกร การเคลื่อนที่ของสารสนเทศและความรูระหวางบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึง่ นัน้ จึง เปนไปโดยตั้งใจและไมตังใจ

111 กิ จ ก ร ร ม ท า ย บ ท กจิ กรรมท่ี 1 ทา นสามารถเปน “คณุ อาํ นวย” ไดหรอื ไม เพราะเหตุใด ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมท่ี 2 ทา นเคยเขา รว มแลกเปลยี่ นเรยี นรูในลักษณะ “ชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ CoPs” เรื่อง อะไร และชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ทิ ี่ทา นเขา รว มมลี กั ษณะอยา งไร ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมท่ี 3 ความรทู ี่จําเปน ในการแกปญหาหรอื พฒั นาตวั ทา นคอื อะไร และขอบขายความ รูนนั้ มีอะไรบา ง ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมท่ี 4 การจดั ทาํ สารสนเทศเพอ่ื เผยแพรค วามรู ทานวา วิธีใดดที ่ีสุด เพราะเหตใุ ด ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

112 เรอื่ งท่ี 2 : การฝกหัดทักษะและกระบวนการจัดการความรู กระบวนการจัดการความรดู วยตนเอง การจัดการความรูดวยตนเอง จะทําใหผูเ รียนเรียนรูห ลักการอันแทจริงในการพัฒนา ตนเอง และจูงใจตนเองใหกาวไปสูการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทํางาน เปน ผูมี สัมฤทธิ์ผลสูงสุด โดยการนําองคความรูท ี่เปนประโยชนไปประยุกตใชในชีวิตจริง และการ ทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวทันตอโลกยุคโลกาภิวัตน มีโอกาสแลก เปลี่ยนเรียนรูประสบการณชีวิตและประสบการณการทํางานรวมกัน มีทัศนคติที่ดีตอชีวิต ตนเองและผูอื่น มีความกระตือรือรนและเสริมสรางทัศนคติทีด่ ีตอการทํางาน นําไปสูก ารเห็น คุณคาของการอยูรวมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ชวยเกือ้ กูลกัน เรียนรูซึง่ กันและกัน กอใหเกิด การเปนชุมชนแหงการเรียนรู ในลกั ษณะของทีมที่มีประสทิ ธิภาพ การจัดการความรูเ ปนเรือ่ งที่เริ่มตนทีค่ น เพราะความรูเปนสิ่งที่เกิดมาจากคน มา จาก กระบวนการเรียนรูการคิดของคน คนจึงมีบทบาททัง้ ในแงของผูสรางความรู และเปนผู ที่ใช ความรู ซึง่ ถาจะมองภาพกวางออกไปเปนครอบครัว ชุมชน หรือแมแตในหนวยงาน ก็ จะเห็น ไดวาทั้งครอบครัว ชุมชน หนวยงาน ลวนประกอบขึ้นมาจากคนหลาย ๆ คน ดังนัน้ หาก ระดับปจเจกบุคคลมีความสามารถในการจัดการความรู ยอมสงผลตอความสามารถใน การ จัดการความรูของกลุมดวย วิธีการเรียนรูที่เหมาะสมเพือ่ ใหเกิดการจัดการความรูด วยตนเอง คือ ใหผูเ รียนได เริ่ม กระบวนการเรียนรูตั้งแตการเริ่มคิด คิดแลวลงมือปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติแลวจะเกิด ความรู จากการปฏิบัติ ซึ่งผูปฏิบัติจะจดจําทัง้ สวนที่เปนความรูฝงลึกและความรูท ีเ่ ปดเผย มีการ บนั ทกึ ความรใู นระหวางเรียนรูกิจกรรม หรือโครงการลงในสมุดบันทึก ความรูปฏิบัติที่ บันทึก ไวในรูปแบบตาง ๆ จะเปนประโยชนส าํ หรับตนเองและผูอ ่นื ในการนําไปปฏิบัติแกไข ปญหาที่ ชุมชนประสบอยใู หบรรลเุ ปา หมาย และขั้นสุดทา ยคอื ใหผูเรียนไดพัฒนาปรับปรุง สิ่งที่กําลัง เรียนรูอ ยูตลอดเวลา ยอนดูวาในกระบวนการเรียนรูนั้น มีความบกพรองในขัน้ ตอน ใด ก็ลงมือ พัฒนาตรงจดุ นน้ั ใหด ี

113 ทกั ษะการเรียนรูเ พื่อจดั การความรใู นตนเอง ผูเ รียนจะตองพัฒนาตนเอง ใหมีความสามารถและทักษะในการจัดการความรูด วย ตนเองใหม ีความรูทส่ี ูงขึน้ ซึ่งสามารถฝก ทกั ษะเพ่ือการเรียนรไู ดด ังน้ี ฝกสังเกต ใชสายตาและหูเปนเครื่องมือ การสังเกตจะชวยใหเขาใจในเหตุการณ หรือ ปรากฏการณน น้ั ๆ ฝกการนําเสนอ การเรียนรูจะกวางขึ้นไดอยางไร หากรูอยูคนเดียว ตองนําความรู ไปสูการแลกเปลี่ยนเรียนรูกับคนอืน่ การนําเสนอใหคนอื่นรับทราบ จะทําใหเกิดการแลก เปลยี่ นความรูก นั อยางกวางขวาง ฝกตัง้ คําถาม คําถามจะเปนเครื่องมืออยางหนึง่ ในการเขาถึงความรูไ ด เปนการตั้ง คําถามใหตนเองตอบ หรือจะใหใครตอบก็ได ทําใหไดขยายขอบขายความคิด ความรู ทํา ใหรู ลึก และรูกวางยิง่ ขึ้นไปอีก อันเนื่องมาจากการที่ไดศึกษาคนควาในคําถามที่สงสัยนั้น คําถาม ควรจะถามวา ทําไม อยางไร ซึง่ เปน คําถามระดับสงู ฝก แสวงหาคาํ ตอบ ตองรวู าความรู หรือคําตอบที่ตองการนัน้ มีแหลงขอมูลให คนควา ไดจากที่ไหนบาง เปนความรูท ี่อยูใ นหองสมุด ในอินเตอรเน็ต หรือเปนความรูท ี่อยู ในตัวคน ที่ตองไปสัมภาษณ ไปสกัดความรอู อกมา เปนตน ฝกบูรณาการเชื่อมโยงความรู เนื่องจากความรูเรือ่ งหนึง่ เรื่องใดไมมีพรมแดนกั้น ความรูน้ันสัมพันธเชื่อมโยงกันไปหมด จึงจําเปนตองรูค วามเปนองครวมของเรื่องนัน้ ๆ อยาง ยกตัวอยางปุย หมัก ไมเฉพาะแตมีความรูเรือ่ งวิธีทําเทานั้น แตเชือ่ มโยงการกําหนดราคาไว เพ่ือ จะขาย โยงไปทว่ี ธิ ีใชถ าจะนําไปใชเอง หรือแนะนําใหผูอื่นใช โยงไปถึงบรรจุภัณฑวาจะ บรรจุ กระสอบแบบไหน ทกุ อยา งบรู ณาการกนั หมด ฝกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุด หรือเปนภาพ หรือใชเครื่องมือบันทึกใด ๆ ก็ได ตองบันทึกไว บันทึกใหปรากฏรองรอยหลักฐานของการคิดการปฏิบัติ เพือ่ การเขาถึงและการ เรียนรูข องบคุ คลอืน่ ดว ย ฝกการเขียน เขียนงานของตนเองใหเปนประโยชนตอการเรียนรูของตนเองและผูอ ืน่ งานเขียนหรือขอเขยี นดังกลา วจะกระจายไปเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรูกับผูคนในสังคมท่ีมาอาน งาน เขียน

114 ขัน้ ตอนการจดั การความรดู วยตนเอง ในการเรียนรูเพ่ือจัดการความรูในตนเอง นอกจากวิเคราะหตนเองเพื่อกําหนดองค ความรูที่จําเปนในการพัฒนาตนเองแลวนัน้ การแลกเปลี่ยนเรียนรูเ พือ่ ใหไดมาซึง่ ความรู เปน วิธีการคนหาและเขาถึงความรูท ี่งายเปนการเรียนรูท างลัด นัน่ คือดูวาทีอ่ ื่นทําอยางไร เลียนแบบ best practice และทาํ ใหด กี วา เมือ่ ปฏิบัตแิ ลว เกดิ ความสาํ เรจ็ แมเ พยี งเล็กนอ ย ก็ถอื วา เปน best practice ในขณะนัน้ กระบวนการเรียนรูเพือ่ พัฒนาตนเองสามารถดําเนิน การตาม ข้นั ตอนตาง ๆ ได ดังน้ี 1. ขั้นการบงชี้ความรู ผูเ รียนวิเคราะหตนเอง เพ่ือรูจุดออน จุดแข็งของตนเอง กําหนดเปาหมายในชีวิต กําหนดแนวทางเดินไปสูจุดหมาย และรูวาความรูที่จะแกปญหา และ พัฒนาตนเองคืออะไร 2. ขัน้ สรางและแสวงหาความรู ผูเรียนจะตองตระหนักและเห็นความสําคัญของ การ แสวงหาความรู เขาถึงความรูทต่ี อ งการดว ยวธิ ีการทห่ี ลากหลาย แหลงเรียนรูท ใี่ ชในการ แสวงหา ความรู ไดแกการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ การแสวงหาความรูจากผูเชี่ยวชาญ ภูมิ ปญญา ทองถน่ิ และเพือ่ น โดยยอมรับในความรูความสามารถซึ่งกันและกัน และตองใช ทักษะตาง ๆ เพอ่ื ใชใ นการสรา งความรู เชน ฝก สงั เกต ฝก นาํ เสนอ ฝกการตง้ั คําถาม ฝก การแสวงหาคําตอบ ฝกบูรณาการเชื่อมโยงความรู ฝกบนั ทกึ และฝกการเขียน 3. การจัดการความรูใหเปนระบบ จัดทําสารบัญจัดเก็บความรูป ระเภทตาง ๆ ที่ จําเปนตองรูและนําไปใชเพื่อการพัฒนาตนเอง การจัดการความรูใหเปนระบบจะทําใหเก็บ รวบรวม คน หา และนาํ มาใชไ ดง า ย รวดเร็ว 4. ขั้นการประมวลและกลั่นกรองความรู ความรูท ีจ่ ําเปนอาจตองมีการคนควา และ แสวงหาเพิ่มเติม เพ่ือใหความรมู ีความทันสมัย นาํ ไปปฏิบัติไดจริง 5. การเขาถึงความรู เมื่อมคี วามรูจากการปฏิบัติแลว มีการเก็บความรู ในรูปแบบ ตาง ๆ เชน สมุดบันทึกความรู แฟมสะสมงาน วารสาร หรือใชเทคโนโลยีในการจัดเก็บ รูปแบบ เว็บไซด วีดิทัศน แถบบันทึกเสียง และคอมพิวเตอร เพือ่ ใหตนเองและผูอ ืน่ เขาถึง ไดงาย อยางเปนระบบ 6. ข้ันการแบงปนแลกเปลี่ยนความรู ผเู รียนตองเขารวมกิจกรรมแลกเปลี่ยน เรียนรูกับ เพือ่ น ๆ หรือชุมชน เพื่อเรียนรูร วมกัน อาจเปนลักษณะของการสัมมนา เวทีเรือ่ ง เลาแหง ความสาํ เรจ็ การศกึ ษาดงู าน หรอื แลกเปล่ยี นเรียนรผู านทางอนิ เตอรเ นต็ เปนตน

115 7. ขั้นการเรียนรู ผูเรียนจะตองนําเสนอความรูในโอกาสตาง ๆ เชน การจัด นิทรรศการ การพบกลุม การเขาคาย หรอืการประชุมสัมมนา รวมทัง้ มีการเผยแพรความรู ผาน ชอ งทางตาง ๆ เชน วารสารเวบ็ ไซด จดหมายขา ว เปนตน ความสาํ เรจ็ ของการจดั การความรูดวยตนเอง 1. ผูเรยี นเกดิ การเรียนรูตามแผนพฒั นาตนเองทไ่ี ดก ําหนดไว 2. ผูเรียนตระหนักถึงความรับผิดชอบในการพัฒนาตนเองเพือ่ เรียนรูวิชาตาง ๆ อยา งเขา ใจ และนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวันได 3. ผูเรียนมีความรูที่ทันสมัย เหมาะสมกับสถานการณปจจุบัน สามารถปรับตัวให อยูในสงั คมได

116 ตวั อยา งตาพราํ กบั การจดั การความรู สรุ นิ ทร กิจนิตยชีว ตาพรํา เสนานาท อายุ 55 ป ราษฎรตําบลบานหลวง อําเภอเสนา จังหวัด พระนครศรีอยุธยา พาครอบครัวไปหากินทีก่ รุงเทพ ฯ เมือ่ หลายปมาแลว แตสุดทาย ก็ตองตัดสินใจกลับบาน เพราะ ครอบครัวมีแตความทุกขยาก กินอยูแบบอดๆอยากๆ เขามีทีด่ ินเหลืออยู 3 งาน จึงขุดรองสวนและปลูกผักโดยใชสารเคมี ทัง้ ปุย และยาปราบ ศัตรพู ืช ใหภรรยานําไปขายที่ตลาด และเขายังรับจางฉีดยาฆาหญาให แกเพื่อนบา นอกี ดว ย มิชามินานเขาเริม่ เจ็บปวย ตัวซีดเหลือง จึงตองไปหาหมอทีส่ ถานีอนามัยขาง บานไมไดหยุด ถึงหมอจะบอกตนเหตุของความเจ็บปวย แตเขาก็เลิกไมได เพราะลูก ทั้ง 4 คน ตองกินใชมากขึน้ และ ไปโรงเรยี นกนั หนีส้ ินพอกพูนขึ้น ตัวเขาเจ็บออดแอดมากขึ้น รายจายสารพัด แตรายไดมี 2 ทาง คือ ขายผัก กับรับจางฉีดยาฆาหญา ไมรูจะจัดการกับครอบครัวอยางไร หาทาง ออกไมไดก็กลุมใจ เริม่ มีปากเสียง กับสมาชิกในครอบครัว ที่พึ่งของเขาคือเหลากับบุหรี่ วันหน่ึง นายเชิด พันธุเ พ็ง นักจัดการความรูข องชุมชนวัฒนธรรมคลองขนมจีน ไปพบเขา จึง ไตถามสารทุกขสุขดิบในฐานะเพือ่ นบาน เขาไดเลาเรือ่ งโครงการชุมชน เปนสุขใหฟง และชวนตา พราํ เขา เปนสมาชกิ เพือ่ แกไ ขปญ หาที่เผชญิ อยู ตาพรําฟงนายเชิดอธิบายถึงการปลูกผักแบบยัง่ ยืนดวยการจัดการความร เพ่ือ ครอบครัวและ ชุมชนเปนสุขไปพรอมกัน เปนการจัดการดวยสติปญญาเพือ่ พัฒนา ปากทอง คือ เศรษฐกิจ จิตใจ ครอบครัว ชุมชน สังคม วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ ม และความสุข ไปพรอมกันแบบองครวม ไมแยก สว น ทกุ เรอื่ งทุกประเดน็ ทน่ี ายเชิดช้แี จงเปนเรือ่ งใหมสําหรับตาพรํา และตาพรําก็ไม สูเ ขาใจนัก แตท่ี ตัดสินใจเขารวมทันทีเพราะเขาอยากออกจากความทุกขที่ประสบอยู และเขาก็ไมมีทางเลือกอื่น ในชวงตนของการเขาโครงการ ตาพรําแทบจะลาออกเสียหลายครัง้ เพราะเขา ตองแบงเวลาทํา กินไปเรียนรูก ับสิง่ ที่เขาไมคอยจะเชือ่ นัก แตเขาก็สนใจเรือ่ งทีจ่ ะทําให เขาไมเจ็บปวย นอกจากนั้น การเขากลุมทําใหเขาไดรับความเห็นใจจากเพื่อน ๆ เชิดไดพาตาพรําไปเรียนรูเ รือ่ งเกษตรยัง่ ยืนจากเครือขายในตางจังหวัดพรอมกับ เพื่อน ๆ ตาพรํา เรียนรูเ รื่องการจัดการทรัพยากรเชิงระบบ เขาใหความสนใจกับการ ทําน้าํ สมควันไมจากถานไม เพื่อนําไปทดแทนสารเคมีกําจัดศัตรูพืช และในหมูบ าน ของเขาก็มีเศษตนไม กิง่ ไม ที่ชุมชนตัดทิง้ ไว มากมาย เขาสามารถนํามาจัดการใช ประโยชนไ ดโดยไมตอ งซอื้ หา

117 เมือ่ กลับมาถึงบาน ตาพรําลงมือทําเตาเผาถานแบบใหมทันที เปนเตาทีส่ ามารถ ใหทัง้ ถา นและนาํ้ สม ควนั ไม เขาทําแลวทําอีกจนสําเร็จ ซึ่งนอกจากเขาจะไดน ํา้ สม ควันไมไ ปใชใ นสวนผัก แลว ยังไดถานไวใชในครวั เรือนอีกดวย เมือ่ เหลือใชแลวตาพรําก็ขายใหกับเพือ่ นบาน เขาขายดีจนผลิตไมทัน ตองเพิ่ม จํานวนเตาขึน้ เดี๋ยวนี้เขาไมตองไปรับจางฉีดยาฆาหญาแลว วัน ๆ หนึง่ เขาทําสวนผัก ใชน้าํ สมควันไมแทนสารเคมี กําจัดศัตรูพืช กรองน้ําสมควันไมใสขวดขายขวดละ 50 บาท กรอกถานใสถุงขายถุงละ 15 บาท ซ่ึง นอกจากเขาจะลอดรายจายในครัวเรอื นได จริงแลว เขายังมีรายไดเพมิ่ ขึ้นดว ย วัน ๆ หนึ่งตาพรําขลุกอยูก ับสวนผัก ขลุกอยูก ับเตาถาน วางแผนงานในวันรุง ขึ้น วาจะจัดการ กับผักอะไรบาง อยางไร จะจัดการกับการตลาดของถานและน้าํ สมควันไม อยางไร จนลืมเรือ่ งเหลา บุหรีไ่ ป ปจจุบันเขาเกือบจะไมไดแตะตองมัน จะมีบางก็กับ เพื่อนๆ และสมาชิกเครือขายบางคน เปนครั้งคราวเทานั้น หนีส้ ินจงึ ลดลงไปมาก แม จะยังไมหมด แตก็มีความหวังเพราะเขาจัดการได ความ ทุกขหลายดานลดลง ทั้งโรคภัย ไขเจ็บและความสุขของครอบครัว ลูกคนหนึง่ ลาออกจากโรงงานทํา รองเทาชวยพอแม ทกุ คนกนิ อม่ิ นอนหลบั ชวงหลังนีต้ าพรําเปนทีย่ อมรับของเพือ่ นบาน ของสมาชิกกลุม และเครือขาย เกษตรยัง่ ยืน เขา เปนวิทยากรเรือ่ งน้าํ สมควันไมดวยความมัน่ ใจ เขาสรางความรูเ รือ่ ง นีด้ วยหนึง่ สมองกับสองมือ และ ถายทอดถึงมรรควิธีการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการ จัดการกับปญหาตาง ๆ ซึ่งเปนทุกขของครอบครัว ดวยใบหนายิม้ แยม ดวยน้าํ ใจและ เปนสุข ปจจุบันเขาสรางเครือขายเรือ่ งนีถ้ ึง 4 อําเภอในจังหวัด พระนครศรอี ยธุ ยา เมือ่ วางจากงานเขานัง่ มองดูสวน และคิดทบทวนสาระตาง ๆ ในส่ิงท่ีนายเชิด พูดคุยกับเขาใน วันแรก ออ ! การจัดการความรูเปนอยางนีเ้ อง มันคือการเรียนรู เอา ความรูม าจัดการเชิงระบบ สราง ความรูใ หมเพือ่ ปรับตัวใหสอดคลองกับโลกยุคใหม ดวยสติปญญา ปรับรูปแบบการพัฒนาแตรักษา ความสมดุลของระบบความสัมพันธ ระหวางมนุษยกับมนุษย มนุษยกับสิ่งแวดลอม เพือ่ ใหเกิดการ ยง่ั ยนื สืบไป นี่คือการสรุปเรื่องการจัดการความรูของตาพรํา !!!

118 การสรุปองคความรแู ละการจัดทาํ สารสนเทศ การจดั การความรดู ว ยตนเอง การสรปุ องคค วามรู การจดั การความรู เรามุงหา “ความสาํ เรจ็ ” มาแลกเปล่ยี นเรียนรู เรามุงหาความ สําเร็จ ในจดุ เลก็ ๆ จดุ นอ ยตา งจดุ กนั นํามาแลกเปลย่ี นเรยี นรู เพือ่ ใหเ กิดการขยายผลไปสู ความสําเร็จที่ ใหญข้ึน องคความรูเปนความรูม าจากการปฏิบัติเรียกวา “ปญญา” กระบวนการเรียนรูเ ปด โอกาสใหผูเรียนเปนผูส รางความรูด วยตนเอง สังเกตสิ่งที่ตนอยากรู ลงมือปฏิบัติจริง คนควา และแสวงหาความรูเพิ่มจนคนพบความรู สรางสรรคเกิดเปนองคความรูและเกิดประสบการณ ใหม การเรียนรูแบบนี้จะสงเสริมใหผูเรียนไดพัฒนาความสามารถในการคิด สูการปฏิบัติ และเกิด “ปญ ญา” หรือองคค วามรเู ฉพาะของตนเอง องคความรูม ีอยูอยางมากมาย การปฏิบัติงานจนประสบผลสําเร็จ รวมทัง้ การแก ปญหาตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหวางการทํางานที่สงผลใหงานสําเร็จลุลวงตามเปาประสงค ถือ วา เปน องคค วามรทู เี่ กิดข้นึ ทงั้ สนิ้ และเปน องคความรูท่มี คี า ตอ การเรยี นรูทง้ั ส้ิน การสรุปองคค วามรมู คี วามสาํ คัญตอ กระบวนการจัดการความรูเปนอยางยิ่ง เพราะ การ สรุปองคความรูจะเปนการตอยอดความรูใหกับตนเองและผูอื่น หากบุคคลอื่นตองการ ความ ชว ยเหลอื ในการแกป ญ หาบางเรือ่ ง เราจะใชความรูทีม่ ีอยูชวยเหลือเพือ่ นไดอยางไร และเมือ่ เรา จะเริ่มตนทําอะไร เรารูบ า งไหมวามใี ครทําเร่อื งน้มี าบาง อยูท ่ีไหนในชุมชนของ เรา เพือ่ ทีเ่ รา จะทํางานใหสําเร็จไดงายขึ้น และไมทําผิดซ้าํ ซอน การดําเนินการจัดการองค ความรู อาจตอง ดําเนนิ การตามขัน้ ตอนตา ง ๆ ดงั น้ี 1. การกาํ หนดความรูหลักทีจ่ ําเปน หรือสาํ คญั ตอ งาน หรอื กจิ กรรมของกลุมหรอื องคก ร 2. การเสาะหาความรทู ต่ี อ งการ 3. การปรับปรุง ดัดแปลง หรือสรางความรบู างสว นใหเ หมาะตอ การใชงานของตน 4. การประยุกตใ ชค วามรใู นกจิ กรรมงานของตน 5. การนาํ ประสบการณจ ากการทาํ งาน และการประยุกตใชความรูมาแลกเปลี่ยน เรยี นรูและสกัดขมุ ความรู ออกมาบนั ทกึ ไว

119 6. การจัดบันทึก “ขุมความรู” และ “แกนความรู” สําหรับไวใชงาน และ ปรับปรุง เปนชดุ ความรทู ี่ครบถวน ลุม ลึก และเชอื่ มโยงมากขน้ึ เหมาะตอ การใชง าน มากข้นึ การจัดการความรูเ พื่อใหเกิดองคความรูทีต่ องการ เริ่มจากการกําหนด “เปาหมาย ของ งาน” นัน่ คือ การบรรลุผลสัมฤทธิ์ ในการดาํ เนนิ การตามทก่ี าํ หนดไว คือ 1. การตอบสนอง คอื การสนองตอบความตอ งการของทุกคนที่เกยี่ วขอ ง 2. การมนี วตั กรรม คือ 1) นวตั กรรมในการทาํ งาน 2) นวัตกรรมทางผลงาน 3. ขดี ความสามารถ คอื การมีสมรรถนะทเ่ี กดิ จากการเรียนรูข องตนเอง 4. ประสิทธิภาพ คือ องคค วามรู หรอื คลังความรู การจดั ทาํ สารสนเทศการจดั การความรดู ว ยตนเอง การจัดการความรูดวยตนเง องคความรูก็ยังอยูในสมองคนในรูปของประสบการณ จากการทํางานที่ประสบผลสําเร็จนั้น เราตองมีการถอดองคความรูซ ึ่งอาจไหลเวียนองคความ รู จากคนสคู น หรอื จากคนมาจดั ทาํ เปน สารสนเทศในรปู แบบตา ง ๆ เพ่อื ใหคนเขาถึงความรู ไดงาย และนําไปสูการปฏิบัติได โดยการนําความรูทีไ่ ดมาจัดเก็บ เปนหมวดหมูของความรู การช้ี แหลงความรู การสรางเครื่องมือในการเขาถึงความรู การกรองความรู การเชือ่ มโยง ความรู การจัดระบบองคความรูยังหมายรวมถึงการทําใหความรูล ะเอียดชัดเจนขึ้น องค ความรูอาจ จัดเก็บไวในรูปแบบตาง ๆ เชน บันทึกความรู แฟมสะสมงานเอกสารจากการ ถอดบทเรียน แผน ซีดี เว็บไซด เว็บบลอ็ ค เปนตน

120 กระบวนการจัดการความรูด วยการรวมกลมุ ปฏบิ ัติการ กระบวนการจัดการความรดู วยกลมุ ปฏิบัตกิ าร ในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนั้น ปญหาจะมีความซับซอนมากขึน้ เราจําเปน ตอ งมีความรูท ่ีหลากหลาย ความรูสวนหนึ่งอยูในรูปของเอกสาร ตํารา หรืออยูในรูปของ ส่ือ อิเล็กทรอนิกส เชน เทป วิดีโอ แตความรูท ีม่ ีอยูมากที่สุดคืออยูใ นสมองคน ในรูปแบบ ของ ประสบการณ ความจํา การทํางานที่ประสบผลสําเร็จ การดํารงชีวิตอยูในสังคมปจจุบัน จําเปนตองใชความรูอ ยางหลากหลาย นําความรูหลายวิชามาเชื่อมโยง บูรณาการ ใหเกิด การ คิด วเิ คราะห สรา งความรใู หมจ ากการแกป ญ หาและพัฒนาตนเอง ความรูบางอยาง เกิดขึ้นจาก การรวมกลุมเพือ่ แกปญหา หรือพัฒนาในระดับกลุม องคกร หรือชุมชน ดังนัน้ จึงตองมีการ รวมกลุมเพอ่ื จดั การความรูรวมกัน ปจ จัยทท่ี ําใหการจดั การความรดู วยการรวมกลมุ ปฏบิ ตั กิ ารประสบผลสาํ เร็จ 1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุม คนในกลุมตองมีเจตคติที่ดีในการ แบง ปนความรซู ง่ึ กนั และกัน มีความไวเนือ้ เชือ่ ใจกัน ใหเกียรติกัน และเคารพความคิดเห็น ของ คนในกลมุ ทกุ คน 2. ผูนาํ กลมุ ตองมองวาคนทุกคนมีคุณคา มีความรูจากประสบการณ ผูน ํากลุม ตอง เปนตนแบบในการแบงปนความรู กําหนดเปาหมายของการจัดการความรูในกลุมให ชัดเจน หาวิธกี ารใหคนในกลุมนาํ เรอื่ งที่ตนรูออกมาเลาสกู ันฟง การใหเกียรติกับทุกคนจะ ทําใหทุกคน กลา แสดงออกในทางสรา งสรรค 3. เทคโนโลยี ความรูท ี่เกิดจากการรวมกลุมปฏิบัติการเพื่อถอดองคความรู ปจ จบุ ันมีการใชเ ทคโนโลยมี าใชเ พอ่ื การจัดเกบ็ เผยแพรค วามรูกันอยา งกวางขวาง จัดเก็บ ในรูป ของเอกสารในเวบ็ ไซด วดิ ีโอ VCD หรอื จดหมายขา ว เปนตน 4. การนําไปใช การติดตามประเมินผล จะชวยใหทราบวา ความรูที่ไดจากการ รวมกลุมปฏิบัติ การมีการนําไปใชหรือไม การติดตามผลอาจใชวิธีการสังเกต สัมภาษณ หรือ ถอดบทเรียนผูเกี่ยวของ ประเมินผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุม ความสัมพันธ ความ

121 เปนชุมชนทีร่ วมตัวกันเพือ่ แลกเปลี่ยนความรูกันอยางสม่าํ เสมอ รวมทั้งการพัฒนา ดานอ่ืน ๆ ที่สงผลใหก ลมุ เจรญิ เติบโตข้นึ ดว ย ตั ว อ ย า ง ก ลุ ม ห อ ม ท อ ง ยั ด เ ยี ย ด บานปางปอมกลาง ตําบลลอ อําเภอจุน จังหวัดพะเยา เปนพืน้ ทีท่ ีป่ ลูกกลวยกันมาก ราคา กลวยตกต่าํ และมีกลวยชนิดหนึง่ ทีช่ าวบานเรียกวา “กลวยสม” ชาวบานไมคอยนิยม รับประทาน เนือ่ งจากเมือ่ สุกแลวจะมีรสออกเปรีย้ ว จะนําไปใหไกกิน เนือ้ กลวยทัง้ ทีย่ ังดิบหรือ สุกจะมีสีเหลือง นวล นางอชิรา ปญญาฟู ซึง่ เปนหัวหนากลุม ไดศึกษาวิธีการทํากลวยฉาบ จากกลุม สตรีอําเภอแมใจ และทดลองทํากลวยฉาบจากกลวยสม หรือเรียกอีกชือ่ หนึง่ วา “กลวย หอมทอง” ทดลองหลายครัง้ และนําเนยมาเปนสวนผสมของเครือ่ งปรุง ทําใหสีกลวยฉาบสวย เปนธรรมชาติ มีความกรอบและมี รสชาติที่กลมกลอมเนื่องจากมีความเปรีย้ วอยูในตัว ทําใหได สูตรในการทํากลวยฉาบเฉพาะกลุม จากนน้ั สมาชกิ กลุมสตรไี ดร วมตัวกัน 9 คน ลงหุน กันคน ละ 200 บาท เมื่อป 2544 จัดตั้งกลุม เพือ่ ผลติ กลวยฉาบขาย และไดนํากลวยฉาบไปเสนอ ขายใหคนทีร่ ูจ ักและเจาหนาทีจ่ ากสวนราชการตาง ๆ ซึง่ ทุกคนมองวา “รสชาติก็คงเหมือน กลวยฉาบธรรมดา” แตเมื่อทดลองชิมแลวจึงเห็นถึงความ แตกตางระหวางรสชาติของกลวยฉาบ จากกลวยน้ําวากับกลวยฉาบจากกลวยหอมทอง จึงใหความ สนใจสัง่ ซือ้ มากขึ้น และรูจ ักใน นาม “กลวยยัดเยียด” ซึง่ เปนทีม่ าของการนําไปเสนอขายดวยการ ขอรองกึ่งบงั คับใหค นซอื้ นน่ั เอง ตอมาสวนราชการในอําเภอไดใหการสนับสนุนมากขึน้ เสนอใหมีการทําปายผลิต ภัณฑ ใหม และใหเปลีย่ นชอื่ เปน “กลวยหอมทองเมืองจุน” แตเม่ือนาํ ไปขายแลว ไมมคี นรูจกั และไมแนใจ ในคุณภาพของสนิ คา จึงขายไดไมดี ทําใหตองกลับมาใชชื่อเหมือนเดิมวา “กลวยหอมทองยัดเยียด” จนถงึ ปจ จุบัน ในการบริหารจัดการของกลุม ไดมกี ารแบงหนา ทส่ี มาชกิ กลุมใหร บั ผิดชอบเปนฝาย ตาง ๆ ประกอบดวย ประธานกลุม กรรมการฝายตาง ๆ ฝายการตลาด ฝายผลิต ฝายการ เงินบัญชี และมี เลขานกุ ารกลุม มสี มาชิกเพม่ิ ขึ้นเปน 20 คน มีการลงหุนเพิ่มและมีเงินทุน หมุนเวียนใหสมาชิกกลุม ไดกูย ืม กลุม ไดสรางงานใหกับคนในชุมชนนัน่ คือสงเสริมใหปลูกกลวย ขายใหกับกลุม และเมื่อมี กลวยเขามาเปนจํานวนมาก จะจางแรงงานจากคนในชุมชนมาปอก กลวยเพือ่ ทอดไว และจะฉาบเมือ่ มี ลูกคาสั่งสินคาเขามา ทาํ ใหไดกลวยทใ่ี หมและกรอบอยู ตลอดเวลา การพัฒนาผลิตภัณฑ กลุม ไดมีการประชุมแลกเปลีย่ นความคิดเห็นรวมกันทุกเดือน และมี การนําสมาชิกกลุม ไปศึกษาดูงานกลุม อาชีพอืน่ ๆ เพือ่ นําความรูใ หม ๆ มาพัฒนาผลิต ภัณฑ และมี การเชือ่ มโยงกับเครือขายซึง่ เปนกลุม สตรีอืน่ ๆ ในการหาตลาดรวมกัน แลกเปลีย่ น ความรูเ รือ่ ง การบริหารจัดการกลุม ใหยั่งยืน และจากการทีก่ ลุม ไดไปศึกษาดูงานการผลิตกลวย ฉาบที่จังหวัด

122 สโุ ขทยั ทําใหก ลมุ ไดเครือขายในการแลกเปลี่ยนเรียนรูก ารพัฒนาผลิตภัณฑกวาง ข้ึน ความรูจ าก การไปศึกษาดูงานทําใหกลุม ไดแนวคิดเกี่ยวกับการฝานกลวยฉาบใหไดใน ปริมาณมาก ๆ ไดเรียนรู และขยายการผลิตสินคาชนิดอืน่ ๆ เพิ่ม เชน การทําเผือกฉาบ มันฝรัง่ ทอด และการพัฒนา รสชาตขิ องผลติ ภัณฑใ หม ีความหลากหลายมากขึ้น ทําใหกลุม ได รับการพัฒนา มีใบอนุญาต ทีเ่ รียกวา อย. มาเปน เครอื่ งกาํ กับถึงคุณภาพของผลิตภณั ฑม กี าร ขยายตลาดไปตางจังหวัด และตางประเทศ กลุม จงึ เปนทีร่ จู ักและดํารงอยไู ดมาจนถึงทุกวันนี้ ฉาบที่จังหวัดสุโขทัย ทําใหกลุมไดเครือขายในการแลกเปลี่ยนเรียนรูก ารพัฒนาผลิตภัณฑกวางขึ้น ความรูจ ากการไปศึกษาดูงานทําใหกลุม ไดแนวคิดเกีย่ วกับการฝานกลวยฉาบใหไดในปริมาณมากๆ ได เรียนรูแ ละขยายการผลิตสินคาชนิดอืน่ ๆ เพิ่ม เชน การทําเผือกฉาบ มันฝรัง่ ทอด และการพัฒนา รสชาตขิ องผลติ ภณั ฑใ หมีความหลากหลายมากข้ึน ทําใหกลุม ได รับการพัฒนา มีใบอนุญาต ทีเ่ รียกวา อย. มาเปนเครือ่ งกํากับถึงคุณภาพของผลิตภัณฑมีการ ขยายตลาดไปตางจังหวัด และตางประเทศ กลุมจึงเปน ทรี่ ูจักและดาํ รงอยไู ดมาจนถงึ ทกุ วนั น้ี จากตวั อยา งการดาํ เนนิ การกลมุ กลวยหอมยัดเยียด ไดม กี ารนาํ การจดั การความรู มาใช เพื่อการพัฒนากลุม กระบวนการจดั การความรูข องกลุมเปน ดังนี้ 1. การบงชี้ความรู เปาหมายของการรวมกลุมกลวยหอมยัดเยียด คือสรางรายได ใหกับสมาชิกกลุมอาชีพ และพัฒนากลุม อาชีพใหเขมแข็ง ยั่งยืน มีรายไดอยางตอเนือ่ ง กลุม ตองมีความรูใ นเรื่องวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การรวมกลุม การสราง เครอื ขา ย 2. การสรางและแสวงหาความรู เมื่อกําหนดองคความรูท ีจ่ ําเปนในการพัฒนา กลุม อาชีพแลว กลุมมีการสํารวจหาแหลงความรูที่ดําเนินการเกีย่ วกับการทํากลวยฉาบ ซ่ึง กอน ดําเนินการแสวงหาความรู ไดมีการปรึกษาหารือกันในกลุม รวมทั้งสวนราชการที่ใหการ สนับสนุน จากนั้นไดรวบรวมรายชื่อกลุมอาชีพที่ทําเรือ่ งกลวยในจังหวัดพะเยา เพือ่ เปนขอมูล ในการวางแผนการแลกเปลย่ี นเรียนรรู ว มกัน 3. การจัดการความรูใหเปนระบบ เมื่อมีการแสวงหาความรูแลว ไดมีการจัดทํา ทําเนียบกลุมอาชีพตาง ๆ ทั้งทีอ่ ยูใ นจังหวัดพะเยา และนอกจังหวัดพะเยา เพือ่ การแลก เปลีย่ น เรียนรรู วมกันตอไป 4. การประมวลและกลั่นกรองความรู ความรูที่ไดจากกลุม ตาง ๆ กลุมไดมีการ แยกแยะถึงปญหาและจุดเดนของการดําเนินการพัฒนากลุมอาชีพในแตละกลุม และนํามา จัดทํา

123 เวทีเพื่อใหสมาชิกกลุมรวมกันวิเคราะหถึงจุดเดนจุดดอยของกลุม เพื่อการพัฒนากลุม ให ดียงิ่ ขน้ึ ตอ ไป 5. การเขา ถงึ ความรู กลมุ ไดสรางเครอื ขา ยเพือ่ การเรียนรูในองคความรูท่ีจําเปน ตอ การพัฒนากลุม รวมกัน ทั้งความรูในเรื่องวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การ บริหาร จดั การกลมุ 6. การแบงปนแลกเปลี่ยนความรู กลุมมีการแลกเปลีย่ นเรียนรูรวมกันอยูต ลอด สรางความสามัคคีภายในกลุม แลกเปล่ียนเรียนรูกับกลุมอ่ืน ๆ ทั้งกลุมที่อยูในจังหวัดพะเยา และกลุมที่อยูในจังหวัดอืน่ จากการศึกษาดูงาน และประชุมสัมมนา รวมทัง้ การแลกเปลีย่ น เรียนรูอยางไมเปนทางการจากการพบเจอกันในการออกรานในงานตาง ๆ ที่สวนราชการเปน ผู จดั 7. การเรียนรู สมาชิกในกลุม เกิดการเรียนรูร วมกัน ยกระดับความรูใ นเรื่องวัตถุดิบ ทําใหมีวัตถุดิบเพือ่ ใชในการผลิตตลอดทัง้ ป มีกระบวนการผลิตที่งายไมยุง ยากและเปน อนั ตราย ผลติ ไดจ าํ นวนมาก ๆ เพียงพอตอความตอ งการ มกี ารขยายตลาดเพม่ิ มีการรวม หุนใน กลุมเพือ่ เปน เงนิ ทุนของกลุมและชวยเหลอื สมาชิกทเี่ ดอื ดรอ น

124 การสรุปองคความรแู ละการจัดทาํ สารสนเทศการจดั การความรู ดวยการรวมกลมุ ปฏบิ ัติการ ในการปฏิบัติงานแตละครั้ง กลุมจะตองมีการสรุปองคความรูเพือ่ จัดทําเปนสาร สนเทศเผยแพรความรูใ หกับสมาชิกกลุม และกลุมอื่น ๆ ที่สนใจในการเรียนรู และเมือ่ มีการ ดําเนินการจัดหาหรือสรางความรูใหมจากการพัมนาขึ้นมา ตองมีการกําหนดสิ่งสําคัญที่จะ เก็บ ไวเปนองคความรู และตองพิจารณาถึงวิธีการในการเก็บรักษาและนํามาใชใหเกิดประโยชน ตามความตองการ ซึ่งกลุม ตองจัดเก็บองคความรูไวใหดีที่สุด ไมวาจะเปนขอมูลขาวสาร สนเทศ การวิจัย การพัฒนา โดยตองคํานึงถึงโครงสรางและสถานทีห่ รือฐานของการจัดเก็บ ตองสามารถคนหาและสงมอบไดอยางถูกตอง มีการจําแนกหมวดหมูของความรูไ วอยาง ชดั เจน การสรุปองคความรูดวยการรวมกลมุ ปฏิบัติการ การจัดการความรกู ลุมปฏิบัติการ เปนการจัดการความรูของกลุม ทีร่ วมตัวกัน มีจุด มุง หมายของการทํางานรวมกันใหประสบผลสําเร็จ ซึ่งมีกลุมปฏิบัติการ หรือทีเ่ รียกวา “ชุมชนนักปฏิบัติ” เกิดขึ้นอยางมากมาย เชน กลุมฮักเมืองนาน กลุมเล้ียงหมู กลุมเล้ียงกบ กลมุ เกษตรอินทรีย กลุม สัจจะออมทรัพย หรือกลุม อาชีพตาง ๆ ในชุมชน กลุมเหลานีพ้ รอม ที่ จะเรยี นรแู ละแลกเปล่ยี นประสบการณซง่ึ กันและกนั องคความรูจ ึงเปนความรูแ ละปญญาทีแ่ ตกตางกันไปตามสภาพและบริบทของ ชุมชน การสรางองคความรูหรือชุดความรูของกลุมไดแลว จะทําใหสมาชิกกลุมมีองคความรู หรือชุดความรไู วเ ปน เครอื่ งมือในการพัฒนางาน และแลกเปลีย่ นเรียนรูก ับคนอื่น หรือกลุม อื่น อยางภาคภูมิใจ เปนการตอยอดความรูแ ละการทํางานของตนตอไปอยางไมมีที่สิ้นสุด อยางที่ เรยี กวาเกิดการเรยี นรแู ละพฒั นากลมุ อยา งตอเน่ืองตลอดชีวติ ในการสรุปองคความรูของกลุม กลุมจะตองมีการถอดองคความรูท ีเ่ กิดจากการ ปฏิบัติ การถอดองคความรูจึงมีลักษณะของการไหลเวียนความรู จากคนสูคน และจากคน สู กระดาษ นน่ั คือการองคค วามรูมาบันทึกไวในกระดาษ หรือคอมพิวเตอรเพื่อเผยแพรใหกับ คนท่ี สนใจไดศกึ ษาและพัฒนาความรูต อไป ปจ จัยท่ีสง ผลสาํ เรจ็ ตอ การรวมกลุม ปฏิบัติการ คือ

125 1. การสรา งบรรยากาศของการทาํ งานรว มกนั กลมุ มคี วามเปนกันเอง 2. ความไววางใจซึ่งกันและกัน เปนหัวใจสําคัญของการทํางานเปนทีม สมาชิก ทุก คนควรไวว างใจกนั ซอื่ สัตยต อ กนั ส่ือสารกันอยา งเปดเผย ไมมีลับลมคมใน 3. การมอบหมายงานอยางชัดเจน สมาชิกทุกคนงานเขาใจวัตถุประสงค เปาหมาย และยอมรบั ภารกจิ หลกั ของทมี งาน 4. การกําหนดบทบาทใหกับสมาชิกทุกคน สมาชิกแตละคนเขาใจและปฏิบัติตาม บทบาทของตนเอง และเรียนรูเ ขาใจในบทบาทของผูอืน่ ในกลุม ทุกบทบาทมีความสําคัญ รวมทั้งบทบาทในการชวยรักษาความเปนกลุมใหมั่นคง เชน การประนีประนอม การอํานวย ความสะดวก การใหก าํ ลงั ใจ เปนตน 5. วิธีการทาํ งาน สิ่งสาํ คัญท่ีควรพิจารณา คอื 1) การสื่อความ การทํางานเปนกลุมตองอาศัยบรรยากาศ การสื่อความท่ี ชัดเจน เหมาะสม ซึง่ จะทําใหทุกคนกลาเปดใจแลกเปลีย่ นความคิดเห็น และแลกเปลีย่ น เรยี นรูซึง่ กนั และกันจนเกดิ ความเขาใจ และนาํ ไปสูการทํางานท่ีมปี ระสิทธิภาพ 2) การตัดสินใจ การทํางานเปนกลุมตองใชความรูในการตัดสินใจรวมกัน เมื่อ เปดโอกาสใหสมาชิกในกลุมแสดงความคิดเห็น และรวมตัดสินใจแลว สมาชิกยอมเกิดความ ผกู พันท่ีจะทาํ ใหสง่ิ ท่นี เองไดม สี ว นรว มตั้งแตตน 3) ภาวะผูน ํา คือ บุคคลที่ไดรับการยอมรับจากผูอ ื่น การทํางานเปนกลุมควร สงเสริมใหสมาชิกในกลุมทุกคนไดมีโอกาสแสดงความเปนผูนํา เพือ่ ใหทุกคนเกิดความรูสึกวา ไดร บั การยอมรับ จะไดร ูส ึกวาการทํางานรว มกันเปนกลมุ นัน้ มีความหมายปรารถนาทจ่ี ะทาํ อกี 4) การกาํ หนดกตกิ าหรอื กฎเกณฑต า ง ๆ ที่จะเอื้อตอการทํางานรวมกันให บรรลุ เปาหมาย ควรเปดโอกาสใหสมาชิกไดมีสวนรวมในการกําหนดกติกา หรือกฎเกณฑท่ี จะ นํามาใชร ว มกัน 6. การมีสวนรวมในการประเมินผลการทํางานของกลุม ควรมีการประเมินผลการ ทํางานเปนระยะในรูปแบบทัง้ ไมเปนทางการและเปนทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีสวนรวมใน การประเมินผลงาน ทําใหสมาชิกไดรับทราบความกาวหนาของงาน ปญหาอุปสรรคที่เกิดข้ึน รวมทั้งพัฒนากระบวนการทํางาน หรือการปรับปรุงแกไขรวมกัน ซึ่งในที่สุดสมาชิกจะไดทราบ วา ผลงานบรรลเุ ปา หมาย และมีคุณภาพมากนอยเพียงใด

126 ตวั อยางการสรุปองคความรูก ลมุ กลวยหอมยดั เยยี ด

127

128

129 สารสนเทศการจัดการความรูดวยการรวมกลุมปฏบิ ตั กิ าร สารสนเทศการจัดการความรูดวยการรวมกลุมปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวม ขอมูล ที่เปนประโยชนตอการพัฒนางาน พัฒนาคน หรือพัฒนากลุม ซึง่ อาจจัดทําเปน เอกสารคลัง ความรูข องกลุม หรือเผยแพรผานทางเว็บไซด เพื่อแบงปน แลกเปลี่ยนความรู และนํามาใช ประโยชนใ นการทาํ งาน ตวั อยา งของสารสนเทศจากการรวมกลมุ ปฏบิ ตั กิ าร ไดแ ก 1. บันทึกเรือ่ งเลา เปนเอกสารที่รวบรวมเรื่องเลา ทีแ่ สดงใหเห็นถึงวิธีการทํางาน ให ประสบผลสําเร็จ อาจแยกเปนเรื่อง ๆ เพื่อใหผูทีส่ นใจเฉพาะเร่อื งไดศ กึ ษา 2. บันทึกการถอดบทเรียนหรือการถอดองคความรู เปนการทบทวน สรุปผลการ ทํางาน ทีจ่ ัดทําเปนเอกสาร อาจจัดทําเปนบันทึกระหวางการทํางาน และหลังจากทํางาน เสร็จ แลว เพ่อื ใหเห็นวธิ กี ารแกปญหาในระหวา งการทาํ งาน และผลสาํ เรจ็ จากการทาํ งาน 3. วีซีดีเรอื่ งสัน้ เปน การจดั ทําฐานขอมลู ความรูที่สอดคลอ งกบั สังคมปจจุบัน ท่ีมี การ ใชเครื่องอเิ ล็กทรอนิกสก นั อยางแพรห ลาย การทาํ วีซีดีเปนเร่ืองสั้น เปนการเผยแพรให บุคคลได เรียนรูและนําไปใชใ นการแกป ญหา หรอื พฒั นางานในโอกาสตอไป 4. คูมือการปฏิบัติงาน การจัดการความรูทีป่ ระสบผลสําเร็จจะทําใหเห็นแนวทาง ของการทํางานที่ชัดเจน การจัดทําเปนคูม ือเพื่อการปฏิบัติงาน จะทําใหงานมีมาตรฐาน และ ผเู กย่ี วขอ งสามารถนาํ ไปพฒั นางานได 5. อินเตอรเน็ต ปจจุบันมีการใชอินเตอรเน็ตกันอยางแพรหลาย และมีการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความรูผานทางอินเตอรเน็ตในเว็บไซดตาง ๆ มีการบันทึกความรูทั้งในรูปแบบ ของ เว็บบล็อก เว็บบอรด และรูปแบบอืน่ ๆ อินเตอรเน็ตจึงเปนแหลงเก็บขอมูลจํานวนมาก ใน ปจจบุ ัน เพราะคนสามารถเขา ถงึ ขอมลู ไดอยางรวดเร็ว ทกุ ท่ี ทกุ เวลา

130 กจิ กรรม กจิ กรรมท่ี 1 การจดั การความรูดว ยตนเองตอ งอาศยั ทักษะอะไรบาง และผเู รยี นมีวิธกี ารจดั การความรูดวยตนเองอยา งไร ยกตวั อยา ง ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมท่ี 2 องคค วามรูทีผ่ เู รยี นไดร บั จากการจดั การความรดู ว ยตนเองคอื อะไร (แยกเปน ขอๆ) ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. กจิ กรรมท่ี 3 ใหผูเรียนเขียนเร่อื งเลา แหง ความสาํ เรจ็ และรวมกลุม กบั เพื่อนที่มเี รอื่ งเลา ลกั ษณะ คลายกนั ผลดั กนั เลาเร่ือง สกดั ความรจู ากเรอื่ งเลาของเพ่ือน ตามแบบฟอรม ดงั น้ี

131 แบบฟอรม การบันทึกขมุ ความรจู ากเร่ืองเกา ช่อื เรอ่ื ง.............................................................................................................................................................................. ช่ือผเู ลา ............................................................................................................................................................................. 1. เน้ือเร่ืองยอ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2. การบันทกึ ขมุ ความรูจากเรอ่ื งเลา 2.1 ปญ หา............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2.2 วธิ แี กป ญ หา (ขุมความร)ู ........................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2.3 ผลทีเ่ กิดขึน้ .................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

132 ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2.4 ความรูสึกของผเู ลา / ผเู ลา ไดเ รียนรอู ะไรบา ง จากการทาํ งานน้ี ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 3. แกน ความรู ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

133 กจิ กรรมท่ี 4 ใหผเู รียนจบั กลุม 3-5 คน ไปถอดองคค วามรกู ลมุ อาชพี ตา ง ๆ ในชุมชน และ นํามาสรปุ เปนองคความรู ตามแบบฟอรม ดงั นี้ สรุปองคความรกู ลมุ ............................................................................................................................. ท่อี ยกู ลมุ ........................................................................................................................................................................... ช่อื ผูถ อดองคค วามรู 1....................................................................................................................................... 2....................................................................................................................................... 3.......................................................................................................................................

134 แบบทดสอบเร่ืองการจัดการความรู คาํ ชแี้ จง : จงกากบาท X เลอื กขอ ทท่ี านคิดวา ถกู ตองท่ีสุด 1. การจดั การความรเู รยี กสน้ั ๆ วาอะไร ก. MK ข. KM ค. LO ง. QA 2. เปา หมายของการจดั การความรคู อื อะไร ก. พฒั นาคน ข. พฒั นางาน ค. พฒั นาองคกร ง. ถูกทกุ ขอ 3. ขอ ใดถูกตองมากทสี่ ุด ก. การจดั การความรู หากไมท าํ จะไมรู ข. การจดั การความรคู ือการจัดการความรขู องผเู ช่ียวชาญ ค. การจดั การความรถู อื เปน เปา หมายของการทาํ งาน ง. การจดั การความรคู อื การจดั การความรทู ม่ี ใี นเอกสาร ตาํ รา มาจดั ใหเ ปน ระบบ 4. ขั้นสูงสดุ ของการเรยี นรคู อื อะไร ก. ปญ ญา ข. สารสนเทศ ค. ขอมลู ง. ความรู 5. ชมุ ชนนกั ปฏบิ ตั ิ (Cop) คอื อะไร ก. การจดั การความรู ข. เปา หมายของการจดั การความรู ค. วิธกี ารหนึ่งของการจัดการความรู ง. แนวปฏบิ ตั ขิ องการจดั การความรู

135 6. รูปแบบการจัดการความรูตามโมเดลปลาทู สว น “ทองปลา” หมายถึงอะไร ก. การกาํ หนดเปา หมาย ข. การแลกเปลย่ี นเรยี นรู ค. การจดั เกบ็ เปน คลงั ความรู ง. ความรูทช่ี ดั แจง 7. ผทู ที่ าํ หนา ท่กี ระตนุ ใหเกดิ การแลกเปล่ียนเรียนรคู อื ใคร ก. คณุ เออื้ ข. คณุ อาํ นวย ค. คุณกิจ ง. คุณลขิ ติ 8. สารสนเทศเพอื่ เผยแพรค วามรูในปจ จุบนั มีอะไรบา ง ก. เอกสาร ข. วซี ีดี ค. เว็บไซด ง. ถกู ทุกขอ 9. การจัดการความรดู วยตนเองกับชมุ ชนแหงการเรียนรมู คี วามเกี่ยวของกัน หรือไม อยางไร ก. เกย่ี วของกนั เพราะการจดั การความรใู นบคุ คลหลาย ๆ คน รวมกนั เปน ชุมชน เรียกวาเปนชมุ นมุ แหงการเรียนรู ข. เกยี่ วขอ งกัน เพราะการจดั การความรใู หก บั ตนเองกเ็ หมอื นกบั จดั การความรู ใหช ุมชนดว ย ค. ไมเ ก่ยี วของกัน เพราะจัดการความรดู วยตนเองเปนปจเจกบุคคล สว น ชุมชนแหงการเรยี นรูเปนเรอื่ งของชมุ ชน ง. ไมเก่ยี วของกัน เพราะชุมชนแหง การเรยี นรูเปนการเรยี นรเู ฉพาะกลุม 10. ปจจัยท่ีทาํ ใหก ารจดั การความรูก ารรวมกลุม ปฏบิ ตั ิการประสบผลสาํ เร็จคอื อะไร ก. พฤตกิ รรมของคนในกลมุ ข. ผูน ํากลมุ ค. การนาํ ไปใช ง. ถกู ทกุ ขอ เฉลย 1) ข 2) ง 3) ก 4) ก 5) ค 6) ข 7) ข 8) ง 9) ก 10) ง

136 แ บ บ ป ร ะ เ มิ น ต น เ อ ง ห ลั ง เ รี ย น บทสะทอ นทไ่ี ดจ ากการเรยี นรู 1. สง่ิ ทท่ี า นประทบั ใจในการเรยี นรรู ายวชิ าการจดั การความรู ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 2. ปญ หา/อปุ สรรคทพ่ี บในการเรยี นรรู ายวชิ าการจดั การความรู ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. 3. ขอเสนอแนะเพ่ิมเติม ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................................

137 บทที่ 4 คิดเปน สาระสําคญั ทบทวนทําความเขาใจกับความเชื่อพืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญ และเชือ่ มโยงไปสูก ารเรียนรู เรื่องของการคิดเปน กระบวนการแกปญหาของคนคิดเปนและปรัชญาคิดเปน ศึกษาวิเคราะหลักษณะ ของขอมูลทั้งดานวิชาการ ตนเอง และสังคม สิ่งแวดลอม รวมทั้งเทคนิคการเก็บขอมูล เพือ่ นําไปใชใน การเลือกเก็บขอมูลดังกลาวมาใชประกอบการคิดตัดสินใจอยางคนคิดเปน ผลการเรียนรูทค่ี าดหวัง 1. อธิบายทบทวนความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษาผูใ หญ กับความเชือ่ มโยงสูก ระบวนการคิด เปนและปรัชญาคดิ เปน ได 2. จําแนก เปรียบเทียบ ตรวจสอบ ลักษณะของขอมูลดานวิชาการ ตนเอง และสังคม สิง่ แวดลอมทีจ่ ะนํามาใชประกอบการคิดและการวิเคราะหขอมูล เพือ่ แกปญหาของคนคิด เปน ได ขอบขา ยเนอ้ื หา 1. ความเชื่อพืน้ ฐานทางการศึกษาผูใหญ และการเชื่อมโยงสูกระบวนการคิดเปนและปรัชญาคิด เปน 2. ลักษณะและความแตกตางของขอมูลดานวิชาการ ตนเอง และสังคมสิง่ แวดลอม รวมทัง้ เทคนิคการเก็บขอมูลและวิเคราะห สังเคราะหขอมูล การคิดเปนที่จะนํามาใชประกอบการ คดิ การตัดสินใจ แกป ญ หาของคนคดิ เปน 3. กรณตี วั อยางเพื่อการฝกปฏิบัติ ขอแนะนาํ การจัดการเรยี นรู 1. คิดเปน เปนวิชาที่เนนใหผูเรียนไดเรียนรูด วยการคิด การวิเคราะห และแสวงหาคําตอบดวย การใชกระบวนการที่หลากหลาย เปดกวาง เปนอิสระมากกวาการเรียนรูท ีเ่ นนเนือ้ หาให ทองจําหรอื มคี ําตอบสาํ เร็จรปู ให โดยผเู รียนไมต อ งคิด ไมตอ งวเิ คราะหเหตุและผลเสยี กอ น 2. ขอแนะนําวา กระบวนการเรียนรูในระดับมัธยมศึกษาตอนตนนัน้ ผูเ รียนในระดับ มัธยมศึกษาตอนตนบางคนเทานั้นที่เคยเรียนมาจากหลักสูตร กศน. 51 ระดับประถมศึกษาที่ เคยเรียนรูแบบพบกลุม เคยอภิปรายถกแถลงมากอน แตสวนใหญเรียนมาจากการศึกษาใน

138 ระบบ จึงควรใหไดฝกประสบการณการเรียนดวยวิธีพบกลุม ไดรวมการอภิปรายถก แถลง เพอื่ ใหผเู รยี นและครชู ว ยกนั แสวงหาคําตอบตามประเด็นที่กําหนด และชวยใหผูเรียน ไดคุน เคยและมัน่ ใจในการเรียนรูดวยกระบวนการกลุม สัมพันธตอไป สวนผูท ีเ่ คยเรียนการ อภิปรายกลุมมาแลว ก็ใชโอกาสนี้ฝกทักษะใหมั่นใจเพิม่ ขึ้น และจะไดชวยเพือ่ นๆ ใหรวม กจิ กรรมไดร วดเรว็ มากขน้ึ 3. เนื่องจากเปนวิชาที่ประสงคจะใหผูเรียนไดฝกการคิด การวิเคราะห เพื่อแสวงหาคําตอบดวย ตนเองมากกวาทองจําเพือ่ หาความรูแ บบเดิม ครูและผูเ รียนจึงควรจะตองปฏิบัติตาม กระบวนการทแ่ี นะนาํ โดยไมข า มขัน้ ตอนจะชวยใหก ารเรียนรเู กดิ ขึ้นอยางมปี ระสิทธิภาพ

139 เรื่องที่ 1 ปฐมบทของการคิดเปน “คิดเปน คืออะไร ใครรบู าง มีทิศทางมาจากไหน ใครเคยเห็น จะเรยี นรํา่ ทาํ อยา งไรให “คิดเปน ” ไมล อ เลน ใครตอบไดข อบใจเอย” ความเชอ่ื พืน้ ฐานทางการศึกษาผใู หญ ทุกวันนี้นอกจากเด็กและเยาวชนที่คร่ําเครงเรียนหนังสืออยูในโรงเรียนกันมากมายทั่วประเทศ แลว ก็ยังมีเยาวชนและผูใหญจํานวนไมนอยทีส่ นใจใฝรูใ ฝเรียนตางก็ใชเวลาวางจากการทํางาน หรือ วันหยุดไปเรียนรูเพิ่มเติมทัง้ วิชาสามัญ วิชาอาชีพ หรือการฝกทักษะการเรียนรูต าง ๆ จากสื่อและ เทคโนโลยีที่แพรหลายมากมายที่เรียกวา การศึกษาผูใหญ การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ผูเ รียนเหลานี้บางคนเปนเยาวชนทีย่ ังเรียนไมจบมัธยมศึกษาตอนตน แตตอง ออกมาทํางานเพราะครอบครัวยากจน มีพีน่ องหลายคน บางคนไมไดเรียนหนังสือแตทํางานเปนเจาของ กิจการใหญโต บางคนจบปริญญาแลวก็ยังมาเรียนอีก บางคนอายุมากแลวก็ยังสนใจมาฝกวิชาชีพและวิชา ที่สนใจ เชน รองเพลง ดนตรี หมอดู พระเครือ่ ง เปนตน และมีจํานวนไมนอยที่เรียนรู การทํารานอาหาร การทํารานขายทอง หรือการทําการเกษตรปลูกสมโอตามทีพ่ อแม ปู ยา ตา ยาย ทํามาหากินมาหลายชัว่ อายุคน กิจกรรมท่ี 1 คนทุกคนมีความแตกตางกันเปนธรรมดา ทานเคยรูบางไหมวา เหตุใดนักศึกษาเหลานี้จึงคิดมา เรยี นหนงั สอื เมอ่ื อายุเลยวยั ท่ีจะเรียนในโรงเรยี นแลว ? คําตอบมีหลากหลายแตกตางกันไป เชน อยากมีโอกาสไดเรยี นสูง ๆ ไดเ ปนเจาคนนายคน เรียนจบระดับประถมศกึ ษาแลว ต้งั แตเด็ก ๆ อยากเรียนตอ ระดบั มัธยมศกึ ษาบาง ตองการนาํ ความรไู ปใชพัฒนาตนเอง พัฒนาอาชีพใหด ีขน้ึ มรี ายไดด กี วาเดมิ ตองการพบเพือ่ นรุนเดียว วยั เดียวกนั ไดแ ลกเปล่ียนความคิดดว ยกนั มีเงินมีทอง มงี านทาํ เปนหลกั เปน ฐาน มชี ่ือเสยี งเดน ดงั แลว อยากมวี ฒุ กิ ารศกึ ษาสูง ๆ มาประดับตัวเอง มีฐานะดี เปนเจาของกิจการใหญโตระดับประเทศและนานาชาติ แตมีวุฒิทางการศึกษาเพียงแค ม. 3 กอ็ ายเขา อยากเรยี นปรญิ ญาบา ง ต้ังใจจะสมัครเปน นักการเมอื งทองถิน่ แตวุฒิการศึกษาไมเพียงพอ จึงตองมาเรียน ใหไ ดว ฒุ ติ ามทก่ี ฎหมายกาํ หนด

140 มาเรียนใหจบมัธยมศึกษาตอนปลาย เพือ่ จะไดมีโอกาสประเมินเลื่อนตําแหนงเปนนายทหารชั้น สัญญาบัตร มาเรียนวิชาชีพทําอาหารตามท่ีเพ่ือน ๆ ชวนมา ต้ังใจจะนําความรูไปทําอาหารขายในชุมชน เม่ือ เรยี นสาํ เรจ็ ฯลฯ คําตอบอาจจะมีอีกมากมายตามเหตุผลของแตละคนทีไ่ มเหมือนกัน หรือบางคนอาจมีเหตุผล เหมือนกับคนอื่นบาง แมแตตัวทานเอง เคยถามตัวเองบางไหมวา มาเรียนที่นี่เพราะอะไร? คําตอบของทาน คือ เพราะ _____________________________________________________________________ (ลองเติมตามใจทาน) ถา จะถามตอ อกี วา ทาํ ไมเหตุผลของหลายคนที่กลา วมาแลวใน การเรยี นท่ีน่จี ึงไม เหมือนกันทกุ คนและอาจจะไมเ หมือนกับเหตุผลของทาน? หลายคนตอบวา เพราะเขาไมใชทาน ความคิด ความประสงค ความตองการของเขาจึงแตกตางไปจากของทาน ทานวาจริงไหม? (ลองคดิ แตไ มตองเขียนตอบ) ถาเรียนจบหลักสูตรและคุณครูประเมินผลการเรียนรูแลวปรากฏวา ทานมีความรูจริงผานการ ประเมินจบหลักสูตรตามที่ทานตั้งความหวังไว ทานจะรูสึกอยางไร (โปรดกาเครือ่ งหมาย  ลงใน กรอบเหน็ ดว ย) ดใี จ มคี วามสขุ เสียใจ ไมม คี วามสุข แตถาเรียนจบหลักสูตรตามทีท่ านตั้งใจมาเรียนแลว ปรากฏวา ทานไมสามารถผานการประเมินจบ หลักสูตรได ความตั้งใจท่ีจะมาเรียนที่น่ีจึงไมสําเร็จ ทานจะรูสึกอยางไร (โปรดกาเคร่ืองหมาย  ลงในกรอบ เหน็ ดว ย) ดใี จ มีความสขุ เสยี ใจ ไมม คี วามสุข เชอ่ื วา คําตอบของทานก็คงเหมือนกันทุกคน นั่นก็คือ คนทุกคนมีความแตกตางกัน มีการดําเนิน ชีวิตที่ตางกัน ความคาดหวัง ความตองการตาง ๆ ในชีวิตก็แตกตางกัน แตทุกคนก็ตองการความสําเร็จใน ชีวิตดวยกันทุกคน ซึง่ ถาประสบความสําเร็จก็จะมีความสุข ความเชือ่ ดังกลาวนี้ เปนความจริงในชีวิต 1 ใน 5 ขอ ของคน ท่ีดร. โกวิท วรพิพัฒน อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนไดใชเปนพืน้ ฐานความคิดที่ สาํ คัญในการจัดการศึกษาผูใหญหลายโครงการ ตัง้ แตป พ.ศ. 2513 เปนตนมา ความจริงในชีวิตของคน 5 ประการ ท่ตี อ มาเรียกกันวา ความเชือ่ พื้นฐานทางการศึกษาผูใหญนีน้ ับวาเปนปฐมบท หรือที่มาของคําวา คดิ เปน

141 ใบงานท่ี 1 การเรียนรูร วมกนั ใบงานนีจ้ ะเนนการอธิบายถึงกระบวนการเรียนรูรวมกันทีจ่ ะชวยใหผูเ รียนไดรูจักคิด รูจ ัก วิเคราะห รูจ ักการแสวงหาคําตอบดวยตนเอง หรือจากกระบวนการอภิปรายกลุม โดยทีค่ รูไมบอก หรอื มคี ําตอบสาํ เรจ็ รปู ให กระบวนการทว่ี าน้ีอาจเปน ดังนี้ ครูแบงกลุมผูเรียนออกเปน 2 – 3 กลุมยอย ใหผูเ รียนเลือกประธานกลุมและเลขานุการกลุม เพือ่ เปนผูน ําอภิปรายและผูจดบันทึกผลการอภิปรายของกลุม และนําผลการอภิปรายของกลุมเสนอ ตอ ทีป่ ระชมุ กลุมใหญ ครนู ําเสนอกรณตี ัวอยา ง พรอ มประเดน็ อภปิ รายใหผูเรียนทุกกลุมยอย อภิปราย ถกแถลงเพือ่ หาคําตอบตามประเด็นทีก่ ําหนดให ครูติดตาม สังเกตเหตุผลของกลุม หากขอมูลยังไม เพียงพอ ครูอาจชีแ้ นะใหอภิปรายเพิม่ เติม ในสวนของขอมูลทีย่ ังขาดอยูไ ด เลขานุการกลุม ซึง่ อาจะมี ได 1 – 2 คน บันทึกผลการพิจารณาหาคําตอบตามประเด็นทีก่ ําหนดใหเปนคําตอบสั้น ๆ เพียงใหได ใจความ แลวนําคําตอบนั้น ๆ ไปรายงานในที่ประชุมกลุมใหญ ในการประชุมกลุมใหญ ผูแ ทนกลุม ยอยนําเสนอรายงาน ครูชวยผูเ รียนที่ทําหนาทีเ่ ลขานุการ กลมุ บันทกึ ขอ คิดเหน็ ของกลมุ ยอยไวที่กระดาษบรฟู ซ่งึ เตรียมจัดไวกอนแลว เมื่อทุกกลุมรายงานแลว ครนู าํ อภิปรายในกลุมใหญ ถงึ คําตอบของกลมุ ซ่ึงจะหลอมรวมบรู ณาการคําตอบของกลุมยอยออกมา เปนคําตอบประเด็นอภิปรายของกรณีตัวอยาง หากมีผูเรียนไมมากนัก ครูอาจไมตองแบงกลุม ยอย ให ผูเรียนทุกคนอภิปรายถกแถลง หรือสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดกันในกลุมใหญเลย โดยมี ประธานหรือหัวหนากลุม เปนผูน ําและใหเลขานุการกลุม ใหญ เปนผูบ ันทึกขอคิดเห็นของคนในกลุม โดยครูอาจเปนผูชวยได จากนัน้ ครูนําสรุปคําตอบทีไ่ ดเปนขอเขียนที่สมบูรณขึน้ และนําคําตอบนั้น บันทึกในกระดาษบรูฟ ติดไวใหเห็นชัดเจน เปรียบเทียบกับตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยางที่ได เตรยี มไวกอ นแลว ซ่งึ อาจใกลเ คียงกบั ขอสรปุ ของกลุม

142 การเรียนรูเรื่องความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผูใหญใหเขาใจไดดี ผูเ รียนตองทําความเขาใจ ดวยการรวมกิจกรรมการคิด การวิเคราะหเรือ่ งราวตาง ๆ เปนขั้นเปนตอนตามลําดับอยางตอเนื่องตั้งแต กจิ กรรมที่ 1 ทีผ่ ูเ รียนไดร ว มกจิ กรรมมาแลว ไปจนจบกิจกรรมที่ 5 และสรุปความคิดเปนขัน้ เปนตอนตาม ไปดวยโดยไมตองกังวลวา คําตอบหรือความคิดทีไ่ ดจะผิดหรือถูกมากนอยเพียงใด เพราะจะไมมีคําตอบ ใดถูกทั้งหมดและไมมีคําตอบใดผิดทั้งหมด เมื่อไดรวมกิจกรรมครบตามกําหนดทัง้ 5 กิจกรรมแลว ผูเ รียนจะสามารถสรุปแนวคิดเรือ่ งความเชือ่ พืน้ ฐานทางการศึกษา ผูใ หญดวยตนเองได ซึง่ ก็จะนําไปสู การทําความเขาใจเรื่องคิดเปนตอไป กิจกรรมการเรียนรูเรื่องความเชื่อพืน้ ฐานทางการศึกษาผูใหญทั้ง 5 ขน้ั ตอนน้ี ขอแนะนาํ ใหไดเรียนโดยวิธีพบกลุม เพือ่ ใหไดมีการอภิปรายถกแถลงตอยอดความคิด โดยให ผูเรียนไดใชประสบการณตรงของทุกคนมาเปนขอมูลในการสนทนาแสดงความคิดเห็นรวมกัน

143 กจิ กรรมท่ี 2 ครูและผูเ รียนนั่งสบาย ๆ เปนกลุม เล็กหรือใหญแลวแตจํานวนผูเ รียน ครูแจกใบงานที่ 2 ที่เปน กรณีตัวอยางเร่ือง “แปะฮง” ใหผูเรียนทุกคน ครูอธิบายใหผูเรียนทราบวา ครูจะอานกรณีตัวอยางใหฟง 2 เท่ียวชา ๆ ใครที่พออานไดบางก็อานตามไปดวย ใครที่อานยังไมคลองก็ฟงครูอานและคิดตามไปดวย เมื่อ ครอู า นจบแลว กจ็ ะพูดคยุ กับผูเรียนในเชงิ ทบทวนถึงเนอ้ื หาในกรณีตัวอยางเรื่อง “แปะฮง” เพือ่ ใหแนใจวา ผูเรียนทุกคนเขาใจเนื้อหาของกรณีตัวอยางตรงกัน จากนั้นครูจึงอานประเด็น ซึ่งเปนคําถามปลายเปด (คําถามที่ไมมีคําตอบสําเร็จรูป แตเปนคําถามที่กระตุนใหผูเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น) ที่กํากับมากับ กรณีตัวอยางใหผ เู รียนฟง ใบงานที่ 2 กรณีตัวอยา งเรอ่ื ง แปะฮง แปะฮง ทา นขุนพิชติ พลพา ย เปนคหบดีมีชือ่ เสียงมากในดานความเมตตากรุณาทานเปนคนทีพ่ รอม ไปดวยทรัพยสมบัติ ขาทาสบริวาร เกียรติยศ ชื่อเสียง และความสุขกายสบายใจ ตาแปะฮง เปนชายจีนชราตัวคนเดียว ขายเตาฮวย อาศัยอยูที่หองแถวเล็ก ๆ หลังบานขุนพิชิต แปะฮงขายเตาฮวยเสร็จกลับบานตอนเย็นตกค่าํ หลังจากอาบน้าํ อาบทา กินขาวเสร็จก็นัง่ สีซอ เพลดิ เพลนิ ทกุ วนั ไป วันหนึ่งทานขุนคิดวา แปะฮงดูมีความสุขดีแตถาไดมีเงินมากขึ้นคงจะมีความสุขอยาง สมบูรณมากขึ้น ทานขุนจึงเอาเงินหนึง่ แสนบาทไปใหแปะฮง จากนั้นมาเปนเวลาอาทิตยหนึง่ เต็ม ๆ ทานขนุ ไมไดย ินเสยี งซอจากบานแปะฮงอีกเลย ทานขุนรูส ึกเหมือนขาดอะไรไปอยางหนึง่ เย็นวันทีแ่ ปด แปะฮงก็มาพบทานขุน พรอมกับนําเงินที่ยังเหลืออีกหลายหมื่นมาคืน แปะฮงบอกทานขุนวา “ผมเอาเงินมาคนื ทา นครบั ผมเหนอ่ื ยเหลือเกิน มเี งินมากก็ตองทํางานมากข้ึน ตองคอยระวัง รักษาเงินทอง เตาฮวยก็ไมไดขาย ตองไปลงทุนทางอืน่ เพื่อใหรวยมากขึ้นอีกลงทุนแลวก็กลัว ขาดทนุ เหน่อื ยเหลือเกิน ผมไมอยากไดเงินแสนแลว ครับ” คืนนั้นทานขุนก็หายใจโลงอก เมื่อไดยินเสียงซอจากบานแปะฮง แทรกเขามากับสายลม ประเด็น ในเรื่องของความสุขของคนในเรื่องนี้ ทานไดแนวคิดอะไรบาง

144 แนวทางการทํากิจกรรม 1. ใหครนู าํ ผูเรยี นทาํ กิจกรรมตามท่แี นะนาํ ไวในใบงานที่ 2 2. กลมุ เลอื กขอ คิดหรอื คําตอบทีก่ ลมุ คดิ วาดที ่สี ดุ ไว 1 คําตอบ 3. คําตอบทก่ี ลมุ คดิ วาดที ่สี ุด ท่ีเลอื กบันทึกไว คอื .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยาง ผูเรียนหลายกลุมทเ่ี คยเสนอไว เร่ือง “แปะ ฮง” จากความเห็นของ ตัวอยา ง ผูเรียนหลายหลุมท่ีเคยเสนอไว ดังปรากฏในกรอบดานขวามือ ขอ สรปุ ผลการอภปิ รายจากกรณี ตัวอยางขอสรปุ น้ีอาจใกลเคยี ง ตวั อยา งเรอ่ื ง “แปะฮง” กับขอสรุปของกลุมของทานก็ได --------------

145 ใบงานท่ี 3 กรณตี ัวอยา งเรอื่ ง “ธญั ญวดี” ธัญญวดี ธัญญวดีไดรับการบรรจุเปนครูในโรงเรียนมัธยมที่ตางจังหวัด พอเปนครูได 1 ป ก็มีอัน เปนตองยายเขามาอยูในกรุงเทพมหานคร โรงเรียนที่ธัญญวดียายเขามาทําการสอนเปนโรงเรียน มธั ยมเชน เดยี วกนั แตมีการสอนการศึกษาผูใ หญ ระดับที่ 3 – 4 และ 5 ในตอนเย็นอีกดวย มาเมือ่ เทอมทีแ่ ลว ธัญญวดีไดรับการชักชวนจากอาจารยใหญใหสอนการศึกษาผูใหญ ในตอนเย็น ธัญญวดีเห็นวาตัวเองไมมีภาระอะไรก็เลยตกลงโดยไมตองคิดถึงเรื่องอื่น ซ้ํายังจะมีรายได เพมิ่ ข้นึ อกี ดว ย แตธัญญวดีจะคิดผิดหรือเปลาไมทราบ เริ่มตนจากเสียงกระแนะกระแหนจากครูเกา บางคนวามาอยูยังไมทันไรก็ไดสอนภาษาค่าํ สวนครูเกาทีส่ อนภาคค่าํ ก็เลือกสอนเฉพาะชัว่ โมง ตน ๆ โดยอางวา เขามีภารกิจทีบ่ าน ธัญญวดียังสาว ยังโสด ไมมีภาระอะไรตองสอนชัว่ โมงทาย ๆ ทําใหธัญญวดตี องกลบั บา นดกึ ทกุ วัน ถึงบา นก็เหนือ่ ย อาบนํ้าแลว หลับเปน ตายทกุ วนั การสอนของครูภาคคํา่ สว นใหญไ มคอยคํานงึ ถึงผเู รยี น เขาจะรบี สอนใหหมดไปช่ัวโมง หนึ่ง ๆ เทานั้น เทคนิคการสอนที่ไดรับการอบรมมา เขาไมนําพา ทํางานแบบขอไปที เชาชามเย็น ชาม ธัญญวดีเห็นแลวก็คิดวา คงจะรวมสังฆกรรมไมได จึงพยายามทุมเทกําลังกายกําลังใจและ เวลา ทําทกุ ๆ วถิ ที างเพ่ือหวงั จะใหครูเหลา น้ันไดเ อาเย่ยี งอยางของตนบาง แตก็ไมไดผลทุกอยาง เหมือนเดิม ธัญญวดีแทบหมดกําลังใจไมมีความสุขเลย คิดจะยายหนีไปอยูท ีอ่ ืน่ มาฉุกคิดวาที่ ไหน ๆ คงเหมอื น ๆ กนั คนเราจะใหเ หมอื นกนั หมดทกุ คนไปไมไ ด ประเดน็ ถา ทานเปนธัญญวดี ทาํ อยา งไรจึงจะอยูในสงั คมนน้ั ไดอ ยา งมคี วามสุข

146 แนวทางการทํากิจกรรม 1. ครูนําผูเรียนทาํ กิจกรรมตามที่เสนอไวในใบงานท่ี 3 2. กลุม เลือกขอคิดหรอื คาํ ตอบทีค่ ิดวาดีที่สดุ ไว 1 คาํ ตอบ 3. คาํ ตอบทกี่ ลมุ คดิ วาดีทสี่ ดุ ท่ีเลอื กบนั ทึกไวค ือ .......................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................................. ....................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยาง ตัวอยา ง เร่ือง “ธญั ญวดี” จากความเห็นของ ขอ สรุปผลการอภิปรายจากกรณตี วั อยางเรือ่ ง ผูเรียนหลายกลมุ ที่เคยเสนอไว ดังปรากฏในกรอบดานขวามือ “ธญั ญวดี” ตัวอยา งขอสรปุ น้ีอาจใกลเ คยี ง -------------- การทีค่ นเราจะมีชีวิตอยูไ ดอยางเปน กับขอสรุปของกลุมของทานก็ได สุ ข นั น้ ต อ ง รู จ ั ก ป รั บ ตั ว เ อ ง ใ ห เ ข า กั บ สถานการณ สิ่งแวดลอมหรือปรับสถานการณ สิ่งแวดลอมใหเขากับตนเองหรือปรับทั้งสอง ทางใหเขาหากันไดอยางผสมกลมกลืนอยางนา พอใจก็จะเกิดความสุขได

147 ใบงานท่ี 4 กรณตี ัวอยา งเรื่อง “วุน” วุน หมูบานดอนทรายมูลที่เคยสงบเงียบมาแตกาลกอน กลับคึกคักดวยผูค นทีอ่ พยพเขาไป อยูเพิ่มกันมากขึ้น ๆ ทุกวัน ทั้งนี้เปนเพราะการคนพบพลอยในหมูบ าน มีการตอไฟฟา ทําให สวางไสว ถนนลาดยางอยางดี รถราวิง่ ดูขวักไขวไปหมด สิ่งทีไ่ มเคยเกิดขึ้นมากอนก็เกิดขึ้น เชน เมื่อวานเจาจุกลูกผูใ หญจาง ถูกรถจากกรุงเทพฯ ทับตายขณะวิง่ ไลยิงนก เมือ่ เดือนกอน น.ส.เหรียญเงิน เทพีสงกรานตปนี้ ถูกไฟฟาดูดขณะรีดผาอยู ซองผูห ญิงเกิดขึ้นเปนดอกเห็ด เพื่อตอ นรับผูคนท่ีมาทําธุรกจิ ทร่ี า ยกค็ ือเปน ทเ่ี ทยี่ วของผชู ายในหมูบานน้ีไปดวย ทําใหผัวเมียตีกัน แทบไมเ วน แตล ะวนั ครสู งิ หแกน่งั ดูเหตกุ ารณต า ง ๆทเี่ กิดข้ึนแลว ไดแตปลงอนิจจัง “เออ ไอพวกน้ีเคยสอนจํ้าจ้ี จ้ําไชมา ตัง้ แตหัวเทากําปน เดี๋ยวนี้ดูมันขัดหูขัดตากันไปหมด จะสอนมันอยางเดิมคงจะไปไม รอดแลว เราจะทําอยางไรดี” ประเดน็ 1. ทาํ ไมจึงเกิดปญ หาตา ง ๆ เหลานีข้ นึ้ ในหมูบ า นดอนทรายมูล 2. ถาทานเปนคนในหมูบานทรายมูล ทานจะแกปญหาอยางไร 3. ทานคิดวา การเรียนรูที่เหมาะสมกับสภาพของชุมชนเชนนี้ ควรเปนอยางไร

148 แนวทางการทํากิจกรรม 1. ครูนาํ ผูเรียนทาํ กจิ กรรมตามที่เสนอไวใ นใบงานที่ 4 2. กลุมเลือกขอ คิดหรอื คาํ ตอบทดี่ ีทีส่ ดุ ไว 1 คําตอบ 3. คําตอบทกี่ ลมุ เลอื กบันทึกไว คือ .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... .......................................................................................................................................................................... ตัวอยางขอสรุปของกรณีตัวอยาง ตวั อยา ง เร่ือง “วุน” จากความเห็นของ ขอ สรปุ ผลการอภปิ รายจากกรณตี วั อยา งเรอ่ื ง ผเู รียนหลายกลมุ หลายคน “วนุ ” ที่เคยเสนอไวดังที่ปรากฏ -------------- ในกรอบดา นขวามือ สังคมปจจุบันมีการเปลีย่ นแปลงอยางรวดเร็ว ตวั อยา งขอสรุปนี้อาจใกลเคยี ง กับขอสรุปของกลุมของทานก็ได ความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีวิง่ เขาสูชุมชนอยาง รวดเร็วและรุนแรงตลอดเวลา จนคนในชุมชนตัง้ รับไม ทัน ปรับตัวไมไดจึงเกิดปญหาที่หลากหลายทั้งดาน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง การศึกษา อาชีพ ความมั่นคง และความปลอดภัยของคนในชุมชน การจัดการเรียนการสอน ในปจจุบันจะใชวิธีสอนโดย การบอกการอธิบายของครูใหผูเ รียนจําไดเทานัน้ คงไม เพียงพอแตตองใหผูเ รียนรูจ ักคิด รูจ ักการแกปญหาที่ ตองไดขอมูลที่หลากหลายมาประกอบการคิดแกปญหา ใหสอดคลองกับความเชื่อ ความจําเปนของตนเอง และ ความตองการของชุมชนดวย

149 ใบงานท่ี 5 กรณตี ัวอยา งเรอ่ื ง “สูไหม” “สูไหม” ผมตกใจสะดุงตน่ื ขึ้นเมอ่ื เกิดเสียงเอะอะ พอลมื ตาขน้ึ มา เหน็ ทกุ คนยนื กันเกือบหมดรถ “ทุกคนนัง่ ลงอยูน ิ่ง ๆ อยาเคลือ่ นไหวไมงัน้ ยิงตายหมด” เสียงตวาดลั่นออกมาจากปากของ เจาชายหนา เหีย้ ม คอสั้นที่ยืนอยหู นารถ กาํ ลงั ใชป น จออยูท คี่ อของคนขับ ผมรูทันทีวารถทัวรทีผ่ มโดยสารคันนี้ถูกเลนงามโดยเจาพวกวายรายแน หันไปดู ดานหลัง เห็นไอวายรายอีกคนหนึ่งถือปนจังกาอยู ผมใชมืออันสั่นเทาลวงลงไปในกระเปา กางเกง คลํา .38 เหาไฟของผมซึง่ ซือ้ ออกมาจากรานเมือ่ บายนีเ้ อง นึกในใจวา “โธเพิง่ ซือ้ เอา มายงั ไมท ันยงิ เลย เพยี งใสล กู เต็มเทา นัน้ เองก็จะถกู คนอ่นื เอาไปเสียแลว” เสียงเจาตาพองหนารถตะโกนขูบ อกคนขับรถ “หยุดรถเดี๋ยวนี้ มึงอยากตายโหงหรือ ไง” ผมนึกในใจวา เดี๋ยวพอรถหยุดมันคงตองใหเราลงจากรถแลวกวาดกันเกลี้ยงตัว แตผมตอง แปลกใจแทนที่รถจะหยุดมันกลับยิง่ เร็วขึน้ ทุกที ทุกที ยิง่ ไปกวานัน้ รถกลับสายไปมาเสียดวย ไอพวกมหาโจรเซไปเซมา แตเจาตาพองยังไมลดละ แมจะเซออกไปมันก็กลับวิง่ ไปยืนประชิด คนขับอกี พรอมตะโกนอยตู ลอดเวลา “หยุดโวย หยุด ไอนี่ กูลงไปไดละมึง จะเหยียบใหคาสน ทเี ดยี ว” รถคงตะบึงไปตอ คนขับบานเลือดเสียแลว ผมไมแนใจวาเขาคิดอยางไร ขณะนัน้ ผม กวาดสายตาเห็นผูช ายทีน่ ัง่ ถัดไปทางมานัง่ ทางดานซาย เปนตํารวจยศจากําลังจองเขม็งไปที่ไอ วายรายและถัดไปอีกเปนชายผมสัน้ เกรียนอีก 2 คน ใสกางเกงสีกากี และสีขีม้ า ผมเขาใจวาคง จะเปน ตาํ รวจหรอื ทหารแน กาํ ลังเอามือลวงกระเปากางเกงอยูทั้งสองคน บรรยากาศตอนนัน้ ชางเครียดจริง ๆ ไหนจะกลัวปลน ถูกยิง ไหนจะกลัวรถคว่าํ ทุกคน เกร็งไปหมด ทุกสิง่ ทกุ อยางถงึ จดุ วิกฤตแลว ประเด็น 1. ถา คณุ อยูในเหตกุ ารณอยางผม คุณจะตัดสนิ ใจอยางไร 2. กอนท่ีคุณจะตัดสนิ ใจ คุณคิดถึงอะไรบาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook