คตธิ รรมแหงชวี ิต พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
คติธรรมแห่งชีวติ © พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ISBN 974-8239-54-3 พมิ พ์รวมเล่มคร้งั แรก - พฤษภาคม ๒๕๔๐ พมิ พ์รวมเลม่ ครั้งที่ ๒๔ - มีนาคม ๒๕๕๖ (ข้อมูลสถติ กิ ารพมิ พ์อยรู่ ะหว่างการรวบรวมข้อมลู เก่า ตวั เลขทีใ่ ชเ้ ปน็ จานวนข้นั ตา่ เทา่ ที่ปรากฏหลกั ฐานในปจั จุบัน) พิมพเ์ ผยแพรเ่ ปน็ ธรรมทาน โดยไม่มีค่าลขิ สิทธ์ิ หากท่านใดประสงค์จัดพมิ พ์ โปรดติดตอ่ ขออนุญาตท่ี วัดญาณเวศกวนั ต.บางกระทกึ อ.สามพราน จ.นครปฐม ๗๓๒๑๐ http://www.watnyanaves.net Dhammaintrend ร่วมเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเปน็ ธรรมทาน พมิ พ์ท่ี บริษัท สหธรรมิก จากดั ๕๔/๖๗, ๖๘, ๗๑, ๗๒ ซอย ๑๒ ถนนจรญั สนทิ วงศ์ แขวงทา่ พระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ ๑๐๖๐๐ โทร. ๘๖๔๐๔๓๔-๕, โทรสาร ๔๑๒๓๐๘๗
โมทนพจน์ คณะกรรมการจัดงาน “วิสาขบูชา พุทธบารมี” ประจาปี ๒๕๕๖ อันประกอบด้วยคณะสงฆ์จังหวัดนครราชสีมา หน่วยงาน ภาครัฐ-ภาคเอกชน กาหนดจัดงานอันเป็นปีที่ ๗ ระหว่างวันท่ี ๑ พฤษภาคม ถึง ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ ณ ห้อง เอ็มซีซี ฮอลล์ ชั้น ๓ หา้ งสรรพสินค้าเดอะมอลล์ นครราชสมี า ในการน้ี คุณปรีชา ลิ้มอ่ัว กรรมการอานวยการจัดงาน ดังกล่าว ได้แจ้งขออนุญาตพิมพ์หนังสือธรรม จานวน ๖ เล่ม เพื่อ ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ และมอบให้แก่ผู้สนใจที่มาร่วมบุญในงาน ข้างต้น ตามรายช่ือหนังสอื ดังน้ี ๑. จารึกอโศก ธรรมจกั รบนเศียรสสี่ งิ ห์ ๒. ธรรมนูญชีวติ ๓. นรก สวรรค์ ในพระไตรปิฎก ๔. เชือ่ กรรม รูก้ รรม แกก้ รรม ๕. พรตลอดปี ชีวติ ดีตลอดไป ๖. คติธรรมแห่งชีวติ อาตมภาพขออนโุ มทนาตามบญุ เจตนาดังประสงค์ การพมิ พห์ นังสือธรรมแจกมอบในวาระวสิ าขบูชา อันเป็นวัน สาคญั ย่ิงใหญน่ ี้ เปน็ การเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาตรงตามวัตถุประสงค์ ที่ต้ังไว้ และเป็นการเชิดชูความสาคัญของพระธรรมท่ีเป็นองค์สาระ
๒ คติธรรมแห่งชีวติ แห่งการตรัสรู้ นับว่าเป็นกุศลวิธี ที่แสดงความราลึกถึงวันวิสาขบูชา อย่างตรงความหมาย และเปน็ การฉลองวิสาขบูชาอย่างสมแก่คุณค่า ความสาคญั ขออนุโมทนาบุญจริยาแห่งธรรมทานในมหามงคลวารวิสาข- บูชาคร้ังน้ี ขอคุณพระศรีรัตนตรัย อภิบาลอวยชัยให้คณะกรรมการ จัดงาน “วิสาขบูชา พุทธบารมี” กับทั้งครอบครัว ญาติมิตร และ มวลประชาชน เจริญด้วยจตุรพิธพรและสรรพมงคล ร่มเย็นงอกงาม ในธรรมและความสุขเกษมศานต์ กับท้ังขอให้งานกุศลในการเผยแผ่ ธรรมจงสัมฤทธ์ิผล นามาซึ่งความร่มเย็นพัฒนาของประเทศชาติ และความไพบูลย์ม่ันคงของสงั คม สมความมุ่งหมาย พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๖
สารบัญ โมทนพจน์ (๑) การเกดิ เป็นทุกข์ เกดิ ดีเป็นสขุ ๑ ธรรมะสาหรับผู้สงู อายุ ๒๗ เลกิ งานเกา่ พบโอกาสใหม่ ๓๐ มองไปข้างหน้า สจู่ ุดหมายสงู กวา่ ท่ยี งั รอ ๓๔ ตอ่ อายใุ ห้ยืน พร้อมด้วยใจกายทีแ่ ข็งแรง ๓๙ สมองก็แจ่มใส จิตใจก็สบาย ๔๕ รู้เทา่ รู้ทนั ใช้โลกธรรมให้เป็ นประโยชน์ได้ ๕๐ ถึงเวลาทจี่ ะแนใ่ จ วา่ ได้เป็ นพระพรหมโดยสมบูรณ์ ๕๖ ฝึกตนยงิ่ ขนึ ้ ไป ดาเนนิ ชีวิตให้ถกู ความสขุ ยิง่ เพิ่มพนู ๖๕ พอปัญญามาบรรจบให้วางใจถกู ชีวิตและความสขุ ก็ถงึ ความสมบูรณ์ ๗๐ รักษาใจยามป่ วยไข้ ๗๗ ธรรมกถาสาหรับญาติผู้ป่ วย ๘๗ ดุลยภาพ: สาระแห่งสขุ ภาพและความสมบูรณ์ ๙๓ มงคลสองด้านประสานเสริมกนั ๙๖ ความสมบรู ณ์มีไมไ่ ด้ ถ้าไร้ดลุ ยภาพ ๙๗ ดลุ ยภาพทางร่างกายทาให้มีสขุ ภาพดี ๙๙ ดลุ ยภาพทางเศรษฐกิจ ทาให้ชีวิตมีความมนั่ คง ๑๐๐ สงั คมไมเ่ สยี ดลุ ยภาพ ประชาชนก็ไม่ขาดสนั ติสขุ ๑๐๓ เม่ือมนษุ ย์ทาลายธรรมชาติ ก็นาความพินาศมาสโู่ ลก ๑๐๕
ดลุ ยภาพของจิตใจ ภายในโลกแหง่ ความเปลยี่ นแปลง ๑๐๖ ดลุ ยภาพของจิตใจ: ศนู ย์พลงั ยง่ิ ใหญ่แหง่ การสร้างสรรค์ ๑๐๘ ถึงจะเสยี ดลุ ยภาพกาย ก็ต้องรักษาดลุ ยภาพใจไว้ให้ได้ ๑๑๐ คนโง่ เสยี ดลุ ยภาพกายแล้วก็พลอยเสยี ดลุ ยภาพใจไปด้วย คนฉลาด เอาดลุ ยภาพใจมาชว่ ยดลุ ยภาพกาย ๑๑๒ แม้แตธ่ รรมก็ต้องมีดลุ ยภาพ ๑๑๔ ถ้าจดั ธรรมเข้าดลุ ได้ ก็ไม่พลาดจากผลทม่ี งุ่ หวงั ๑๑๗ ในทสี่ ดุ ธรรมคือดลุ ยภาพ และดลุ ยภาพก็คือธรรม ๑๑๘ ทางสายกลาง คอื ทางแหง่ ดลุ ยภาพ ๑๒๐ ดลุ ยภาพ คอื สาระขององค์รวม ๑๒๒ ผ้มู ีดลุ ยภาพทางใจ แม้แตค่ วามตายก็ดงึ ขนึ ้ มาเข้าดลุ ได้ ๑๒๔ อยใู่ นโลก ก็รู้จกั มองสงิ่ ทงั้ หลาย ยามเจ็บไข้ ก็ปฏบิ ตั ใิ ห้พร้อมดลุ ๑๒๖ มาร่วมกนั สร้างกศุ ล ช่วยกนั ทาวนั เวลาให้เป็ นมงคล และปฏิบตั ติ นให้สขุ สนั ต์ทกุ เวลา ๑๒๗ ความจริงแห่งชีวิต ๑๓๑ ปฏิบตั ิตอ่ บุรพการี โดยทาหน้าทใี่ ห้ถกู ธรรม ๑๓๔ บททดสอบใจและเตือนให้นกึ ถึงความจริง ๑๓๙ รู้ความจริงของธรรมดา แตไ่ ด้ประโยชน์มหาศาล ๑๔๔ แสวงรสตา่ งๆ มากมาย แตส่ ดุ ท้ายก็จบที่รสจืดของความจริง ๑๕๐ สขุ แบบเคลอื บทาข้างนอก กบั สขุ ด้วยสดใสข้างใน ๑๕๕ ถงึ แม้อะไรจะเปลยี่ นแปลงผนั ผวนไป ก็ต้องรักษาสมบตั แิ ท้ของเราไว้ให้ได้ ๑๖๐
เกดิ การเกดิ เป็ นทกุ ข์ เกิดดเี ป็ นสขุ
การเกดิ เป็นทุกข์ เกดิ ดเี ป็นสขุ ขอเจริญพร วันนีอ้ าตมภาพพร้ อมด้วยคณะพระสงฆ์ ขอ อนโุ มทนาในวนั อนั เป็ นมงคล คือโอกาสท่ีคณุ โยมเกสรี บุลสุข ได้ ปรารภวนั เกิดซ่ึงหมนุ เวียนมาครบอายุหกสิบปี ในวนั นี ้แล้วจดั พิธี ทาบญุ ถวายภตั ตาหารและไทยธรรมแด่พระสงฆ์ เป็ นเคร่ืองทาให้ เกิดสิริมงคลแกช่ ีวิต พร้อมกนั นกี ้ ็ขออนโุ มทนาตอ่ ญาติมิตรทกุ ทา่ น ท่ีได้ ม าร่ วมทาบุญแ สดง ความปรารถน าดีเ จริ ญ ไมต รี ธร รมต่อ คณุ โยมเกสรีในโอกาสนีด้ ้วย นอกจากนัน้ มีข้อพิเศษที่ควรจะกล่าวไว้ด้วย กล่าวคือ คณุ โยมเกสรีได้บาเพญ็ กุศลเป็ นส่วนอดิเรก คือการเจริญจิตภาวนา ท่ีเรียกกนั ง่ายๆ ว่า เข้ารีทรีต (retreat) ในชว่ งเวลาระยะหน่งึ ก่อน หน้านีพ้ ร้ อมด้วยญาติมิตร เป็ นการเจริญกุศล ท่ีเหมือนกับว่าจะ เตรียมรับวนั เกิดให้เป็ นสิริมงคลมากย่ิงขึน้ การบาเพ็ญจิตภาวนา นนั ้ แปลว่า การพัฒนาจิตใจ คือการทาให้จิตใจงอกงามขึน้ หรือ แปลอกี อยา่ งหนง่ึ วา่ เป็นการทากศุ ลธรรมให้เกิดให้มีให้เพ่ิมพนู ขึน้ ในจิตใจ ซ่ึงก็เป็ นเร่ืองเก่ียวกบั การเกิดเหมือนกนั คือเป็ นการเกิด ของกศุ ลธรรมในจิตใจ นบั ว่าสอดคล้องกนั ดีกบั การทาบญุ วนั เกิด ซง่ึ เกี่ยวด้วยการเกิดของชวี ิต ธรรมกถา ในพธิ ที าบญุ วาระคลา้ ยวนั เกดิ ของ คุณเกสรี บลุ สุข
๔ คติธรรมแห่งชีวติ ว่าถึงเร่ืองการเกิดนี ้เราได้ยินบ่อยๆ ในพระพทุ ธศาสนา ทา่ นกลา่ วถึงในที่หลายแหง่ แตเ่ รามักจะได้ยินในคาสวดมนต์ท่ีวา่ ชาติปิ ทกุ ฺขา แปลวา่ แม้ชาติคือการเกิด ก็เป็ นทกุ ข์ ถ้ามองดตู าม พระบาลีนี ้ก็ทาให้เกิดความรู้สกึ ว่า พระพทุ ธศาสนามองการเกิด เป็ นเร่ื องทุกข์ เป็ นเร่ื องไม่สบาย จนกระทั่งบางคนบอกว่า พระพทุ ธศาสนามองโลกในแงร่ ้าย ความจริง ท่ีว่าการเกิดเป็นทกุ ข์นี ้ เป็นการพดู ไปตามเรื่อง ของสภาวธรรม หมายถงึ การเกิดหรือปรากฏขนึ ้ ของสงั ขาร หรือพดู ให้ชดั ก็คือการปรากฏของขนั ธ์ ๕ เมื่อขันธ์ ๕ ปรากฏพร้ อมบริบูรณ์ก็เป็ นชีวิต ขันธ์ ๕ นัน้ เป็นสิ่งปรุงแตง่ อย่างทกี่ ลา่ วแล้ววา่ เป็นสงั ขาร เมื่อเป็ นสังขารก็ตก อยู่ในอานาจของพระไตรลักษณ์ คือ มีความไม่เที่ยง ไม่คงท่ี เกิดขนึ ้ แล้ว ตงั ้ อย่แู ล้วดบั ไป เป็ นอนิจจงั เมื่อไม่เที่ยง ไม่คงที่ ก็อยู่ ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่สามารถคงทนอยู่ เรียกว่า เป็ นสภาวะของ ความทุกข์ แล้วก็เป็ นไปตามเหตุปั จจัย ไม่เป็ นไปตามความ ปรารถนาของใคร ไม่เป็ นตัวเป็ นตนให้ใครได้ จึงเรียกว่าเป็ น อนตั ตา ในทน่ี ี ้จดุ สาคญั ทที่ า่ นยกขนึ ้ มาพดู เกี่ยวกบั การเกิดก็คือวา่ เป็ นทกุ ข์ ได้แก่เป็ นสภาวะท่ีคงทนอย่ไู ม่ได้ อนั นีเ้ป็ นสภาวะท่ีเป็ น ธรรมดาของสงั ขาร เม่ือพระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ อย่างนนั ้ ก็คือตรัสไป ตามความจริง ถ้าไมต่ รัสวา่ เป็นทกุ ข์ จะตรัสว่าอย่างไร เม่ือมันเป็ น ความจริงอย่างนนั ้ ก็ต้องตรัสไปอย่างนนั ้ อันนีเ้ ป็ นการตรัสในแง่ สภาวะ
การเกิดเป็นทกุ ข์ เกิดดีเป็นสุข ๕ แตก่ ารตรัสถึงความเกิดนนั ้ ไม่ได้ตรัสว่าเป็ นทกุ ข์เสมอไป การเกิดทเี่ ป็นสขุ กม็ ี การเกิดเป็นสขุ ในพระพทุ ธศาสนาเป็ นอย่างไร อาตมภาพจะขอยกตัวอย่าง เช่น พุทธภาษิตบทหน่ึงว่า “สุโข พทุ ฺธานมุปฺปาโท” แปลวา่ การเกิดขึน้ ของพระพทุ ธเจ้าทงั ้ หลาย เป็นความสขุ หรือนามาซงึ่ ความสขุ พระดารัสนีแ้ สดงวา่ การเกิดก็ สามารถทาให้เกิดความสขุ ได้ เพราะวา่ เม่ือพระพทุ ธเจ้าอบุ ัติแล้วก็ ทรงนาแสงสวา่ งมา ทาให้คนเกิดปัญญามองเหน็ สจั จธรรม รู้เข้าใจ วา่ อะไรเป็ นกุศล อะไรเป็ นอกศุ ล ควรประพฤติปฏิบตั ิต่อชีวิตของ ตนเองและต่อโลกหรือต่อส่ิงแวดล้อมทัง้ หลายอย่างไร ทาให้ แก้ปัญหาชีวิตได้ ดาเนินชีวิตให้ผ่านพ้นความทุกข์ และประสบ ความสุข เพราะฉะนนั ้ จึงกล่าวว่า การอุบตั ิของพระพุทธเจ้านา ความสขุ มาให้ อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงบุคคลซ่ึงเป็ นที่เคารพสูงสุด แม้แตผ่ ้ทู ่ียงั มิใชเ่ ป็นบคุ คลในอดุ มคติ ยงั มิใชพ่ ระพทุ ธเจ้า เพียงแค่ เป็นบคุ คลดงี ามท่เี รียกวา่ สปั บรุ ุษ โดยทว่ั ไป คนท่ีเรียกวา่ สปั บรุ ุษ นนั ้ เกิดขึน้ ท่ีไหนก็นาความสขุ มาให้ที่นนั่ เหมือนกัน เพราะฉะนนั ้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในบางแห่งว่า สัปบุรุษ หรือสตั บุรุษ เกิด ขึน้ มาก็เพ่ือความสขุ ของพหชู น หรือของชนจานวนมาก ทงั ้ คนใน บ้าน คนในครอบครัว คนในปกครอง คนท่ีร่วมงานการ ตลอดจน บ้านเมือง กระทง่ั ถึงสงั คมทงั ้ หมด ทาให้เกิดมีความสขุ ทว่ั ไป อนั นี ้ กเ็ ป็นอกี ตวั อย่างหนึ่งท่ีแสดงวา่ การเกิดนาความสขุ มาให้ได้ แตก่ ็ ยงั เป็นการมองอยา่ งกว้าง ๆ
๖ คติธรรมแห่งชีวิต ทีนีช้ ิดเข้าไปอีก มองละเอียดลึกซึง้ เข้าไปถึงภายในชีวิต ของแต่ละคน ภายในชีวิตของแต่ละคนนีส้ ่วนท่ีลึกที่สุด ละเอียด ทีส่ ดุ ก็คือ จิตใจ ในจิตใจนนั ้ ก็มีการเกิดอย่ตู ลอดเวลา และการเกิด นัน้ ก็มีทัง้ การเกิดที่ดีและไม่ดี แล้วแต่ส่ิงท่ีเกิดขึน้ ในจิตใจนัน้ ตามปกติทวั่ ไปการเกิดจึงมีสองอย่างคือ การเกิดของอกุศลธรรม ซ่ึงเป็ นสิ่งที่ไม่ดี เป็ นบาปอย่างหนึ่ง และการเกิดของกุศลธรรม กลา่ วคือสิ่งที่เป็นบญุ เป็นกศุ ล เป็นความดีงาม เป็ นคณุ ธรรมอย่าง หนง่ึ ถ้าอกศุ ลธรรมเกิดขึน้ ในจิตใจ ก็ทาให้จิตใจข่นุ มัว เศร้ าหมอง ไมส่ บาย คบั แคบ อึดอดั ไม่มีความสขุ แตใ่ นทางตรงข้าม ถ้ากศุ ล ธรรมเกิดขึน้ ก็ทาให้เกิดความสบาย ปลอดโปร่ง ผอ่ งใส มีความ สว่าง มีความสงบ และเป็ นความสขุ การเกิดภายในจิตใจที่จะดีก็ คอื การเกิดของกศุ ลธรรม เพราะฉะนนั ้ พระพทุ ธเจ้าจงึ ตรัสเน้นสิ่ง สาคญั คือ ทาอย่างไรจะให้ชีวิตของเราแต่ละคน โดยเฉพาะใน จติ ใจของเรานีเ้กิดกศุ ลธรรมขึน้ อย่เู สมอ ถ้ามีกศุ ลธรรมเกิดขึน้ อยู่ เสมอ กเ็ ป็นการเกิดท่ดี ี เป็นการเกิดท่ีประเสริฐ เพราะฉะนนั ้ แม้ว่าชาติคือความเกิด ซ่ึงหมายถึงการเกิด ของขนั ธ์ ๕ หรือการเกิดของสงั ขารที่ปรุงแตง่ จะเป็ นทกุ ข์ มันก็เป็ น เรื่องของทุกข์ตามสภาวะ แต่ในทางปฏิบัติ เราสามารถทาให้มี ความสุขได้ คือ โดยสภาวะเป็ นทุกข์ แต่ในทางปฏิบตั ิทาให้เกิด ความสขุ อนั นีค้ ือวิธีการของพระพทุ ธศาสนา เพราะฉะนนั ้ ถ้าคน มองพระพุทธศาสนาไม่ท่ัวตลอด ก็อาจเข้าใจผิดว่าพระพุทธ - ศาสนานีส้ อนเร่ืองความทุกข์ มองโลกในแง่ร้ าย แต่อันท่ีจริ ง พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนเรื่องทกุ ข์ กเ็ พื่อให้เรารู้ความจริงแล้วเราจะได้
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกิดดเี ป็นสขุ ๗ ปฏิบตั ิถกู ต้อง ปฏิบตั ถิ กู ต้องแล้วก็เกิดความสขุ พระพทุ ธศาสนาก็ เลยเป็นศาสนาแห่งความสขุ เพราะการปฏิบตั ิในพระพทุ ธศาสนา นนั ้ เป็นการปฏบิ ตั ดิ ้วยความสขุ เคยมีผู้มาโต้ตอบ หรือมาสนทนากับพระพทุ ธเจ้า เขามี ความเข้าใจวา่ ความสขุ จะต้องเข้าถึงหรือเข้าถึงได้ด้วยความทกุ ข์ แตพ่ ระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ ไมจ่ าเป็นต้องเป็นเชน่ นนั ้ ความสขุ สามารถ เข้าถึงได้ดว้ ยความสุข ลทั ธิท่ีถือว่าความสขุ จะต้องเข้าถึงได้ด้วย ความทกุ ข์ มีตวั อยา่ งที่ชดั เจนคอื ลทั ธินิครนถ์ ลทั ธินคิ รนถ์ถือวา่ เราจะเข้าถงึ ความสขุ ได้ ต้องปฏิบตั ิด้วย ความทกุ ข์ เพราะฉะนนั ้ พวกนิครนถ์จงึ บาเพญ็ ตบะ มีการทรมาน ตนด้วยประการตา่ งๆ เช่น ลงไปอาบแชน่ า้ ในฤดหู นาว และไปยืน นงั่ นอนอย่กู ลางแดดในฤดรู ้ อน ถ้าเป็ นนกั บวชจะโกนศีรษะก็ถอน ผมทีละเส้น ทาทรมานทรกรรมตวั เองด้วยประการต่างๆ เรียกว่า บาเพญ็ ตบะ เพราะเขาถือวา่ จะต้องเอาความทกุ ข์มาแลกเพ่ือจะ ให้ได้ความสขุ แตพ่ ระพทุ ธศาสนาสอนวา่ ความสขุ เป็นส่ิงที่เกิดข้ึน ด้วยการปฏิบัติต่อส่ิงท้ังหลายอย่างถูกต้อง ดังนัน้ โดยท่ัวไป ความสขุ เราจงึ สามารถเข้าถึงได้ด้วยความสขุ เพราะฉะนนั ้ เราจงึ มีข้อปฏิบตั ิที่เม่ือปฏิบตั ิก็มีความสขุ เลยทีเดียว ญาติโยมปฏิบัติ ธรรมในพระพุทธศาสนา เวลาปฏิบตั ิก็มีความสุข เม่ือปฏิบตั ิไป แล้ว เจริญก้าวหน้าไปก็จะบรรลุจุดม่งุ หมายที่มีความสุขด้วย นี ้ เป็นลกั ษณะของพระพทุ ธศาสนา เราจงึ ได้พบเห็นว่า เม่ือคนจากตา่ งประเทศหรือต่างชาติ หรือตา่ งวฒั นธรรมเข้ามาเหน็ คนไทย จะประทบั ใจว่าคนไทยมีชีวิต
๘ คติธรรมแห่งชีวิต จิตใจร่าเริงเบิกบาน มีหน้าตายิม้ แย้มผ่องใส มีความสขุ แต่ใน เวลาเดยี วกนั จะสงั เกตเหน็ ว่า ถ้าฝรั่งมองไปท่ีคาสอนเขาจะหาว่า พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาแหง่ ความทกุ ข์ มองโลกในแง่ร้ าย ทีนี ้ พอเห็นชาวพทุ ธเขาก็เห็นว่ามีความสขุ เขาก็เลยไม่สามารถเข้าใจ วา่ อะไรกนั แตท่ จ่ี ริงนนั ้ กค็ อื พระพทุ ธศาสนาสอนให้รู้จกั ความจริง ที่มีทุกข์อยู่ตามสภาวะ แต่แล้ วเมื่อปฏิบัติท่านให้ปฏิบัติด้วย ความสุข นี่คือหลักการของพระพุทธศาสนา การปฏิบัติด้วย ความสุขที่สาคัญก็คือการที่เราทาให้กุศลธรรมเกิดมีขึน้ ในใจ ตลอดเวลา ถ้าใครทาให้กศุ ลธรรมเกิดขึน้ ในใจได้เสมอ คนนนั ้ ก็จะ มีการปฏิบตั ิธรรมที่แท้จริง แล้วก็จะมีความสขุ อยู่เรื่อยๆ อนั นีเ้ป็ น หลกั สาคญั มาก เพราะวา่ การเกิดของกศุ ลธรรมนนั ้ เป็ นการเกิดใน จิตใจของเราแตล่ ะขณะนเ่ี อง หลักของพระพทุ ธศาสนาได้สอนไว้ว่า จิตของเราเกิดดับ อยตู่ ลอดเวลา ทีนี ้ในการที่จิตเกิดดบั นนั ้ มนั ก็เกิดและดบั ไปพร้ อม ด้วยกุศลธรรม และอกุศลธรรม ถ้าเกิดกุศลธรรมจิตนีก้ ็เกิดดับ พร้ อมด้วยกุศลธรรม ถ้ากุศลธรรมเกิดดบั อย่เู สมอ จิตนนั ้ ก็เจริญ งอกงามขึน้ ด้วยกุศลธรรม คาว่า เกิด นนั ้ ใกล้กันกับคาว่า เจริญ งอกงาม เมื่อเราเกิดมามีชีวิตขึน้ นี ้หลงั จากเกิดแล้วเราก็หวงั วา่ จะ มีความเจริญงอกงาม ถ้าเกิดแล้วไม่เจริญต่อไปก็คือชีวิตดับสิน้ เกิดแล้วจึงต้องเจริญต่อไปด้วย แต่ถ้าวิเคราะห์ให้ละเอียดแล้ว ความเจริญคอื อะไร ความเจริญ นนั ้ ว่าท่ีจริงแล้ว ก็คือการเกิดท่ีต่อเนื่องกันไป นน่ั เอง ดงั เช่นชีวิตของเราท่ีเกิดมาจากครรภ์มารดานี ้ในส่วนของ
การเกิดเป็นทกุ ข์ เกดิ ดีเป็นสุข ๙ ร่างกายประกอบด้วยสิ่งท่ีเรียกว่า เซลล์ หรือทางพระเรียกว่า เป็ นองค์ย่อยๆ ของรูปขันธ์ เป็ นรูปธรรม ซึ่งมีทงั ้ มหาภูตรูป และ อุปาทายรูปต่างๆ มากมาย ส่ิงเหล่านีเ้ กิดดับอยู่ตลอดเวลา หลงั จากท่ีเราเกิดมาแล้ว ก็มีการเกิดย่อยๆ อย่างนีใ้ นแต่ละขณะ เรื่อยมา ร่างกายของเราจงึ เจริญเติบโตตอ่ มาได้ ความเจริญเติบโต กค็ ือ สภาพทม่ี ีการเกิดเพ่ิมอตั ราขนึ ้ ในแนวทางนนั ้ ๆ นน่ั เอง ในทางจิตใจก็เหมือนกัน จิตใจก็มีการเกิดอยู่เสมอ ถ้ามี การเกิดของกศุ ลธรรมอย่เู สมอตลอดเวลา ชีวิตของเราก็เจริญงอก งาม จิตใจก็เจริญงอกงาม คือมีความดีงามเพ่ิมมากขึน้ ๆ น่นั เอง ซงึ่ ก็หมายความวา่ เมื่อเราพดู ว่ากศุ ลธรรมเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึน้ ก็เท่ากับบอกว่า กุศลธรรมเกิดขึน้ บ่อยๆ เรื่อยๆ เพราะฉะน้ัน หลกั การปฏิบตั ิธรรมสาคญั ก็คือ ทาอย่างไรจึงจะให้กศุ ลธรรมนี้ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ ต่อเนื่องกันไป แล้วอนั นนั ้ ก็จะกลายเป็ นความ เจริญงอกงามของจิตใจ ความเจริญงอกงามนีแ้ หละที่เราเรียกว่า ภาวนา ความมุ่งหมายของภาวนาก็คือ การทาให้กุศลธรรม เกิดขนึ ้ ในใจตอ่ เน่ืองกนั ไปเร่ือยๆ แล้วกศุ ลธรรมก็จะเจริญเพิ่มพนู ไป จนกระทง่ั เตม็ บริบรู ณ์ กศุ ลธรรมท่เี กิดขนึ ้ ในใจนนั ้ มีมากมายเหลือเกิน ควรจะยก มากลา่ วเฉพาะทีเ่ ป็นข้อสาคญั ๆ โดยเฉพาะทเ่ี รามกั ใช้ในการวดั ว่า เราได้เจริญงอกงาม หรือพฒั นาไปได้แค่ไหนเพียงใด พระพทุ ธเจ้า ได้ตรัสหลกั ธรรมบางอย่างไว้ ซึง่ เราสามารถใช้ตรวจดูตัวเอง ถ้า ธรรมเหลา่ นเี ้กิดขนึ ้ ในใจของเราอย่ตู อ่ เนือ่ ง ก็เป็นเคร่ืองวดั ไปในตวั ว่า เรากาลงั มีความเจริญงอกงามในธรรมเป็ นอย่างดี หลกั ธรรม
๑๐ คติธรรมแห่งชีวิต หมวดหนงึ่ ที่พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ สาหรับใช้วดั ความเจริญของจิตใจ ของแต่ละคน ก็คือ หลกั ธรรมที่เรียกว่า อริยวัฒิ หรืออริยวัฑฒิ หรือจะเรียกว่า อารยวัฒิก็ได้ แปลว่า ความเจริญอย่าง อริยชน หรือความเจริญของอริยชน หลักความเจริญของอริยชนนี ้ เป็ น เคร่ืองวดั ความเจริญก้าวหน้าของพทุ ธศาสนิกชนได้ทว่ั ไป หลกั นีม้ ี ๕ ประการ ด้วยกนั ประการท่ีหนึ่งคือ ศรัทธา ท่านให้ดูว่า ศรัทธานีง้ อกงาม ขึน้ ในใจของตนหรือไม่ ศรัทธา ก็คือความเช่ือ ความเชื่อนนั ้ มี ๒ อย่าง อย่างแรกคือ ความเช่ือท่ีเรียกว่า อมูลิกาศรัทธา แปลว่า ความเช่ือที่ไม่มีมูล คือไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะความเช่ือท่ีงมงาย หมายความว่า เห็นอะไรไม่ได้คิด ไม่ได้พิจารณาก็โน้มใจเชื่อตาม ไป ถ้าโน้มใจเชื่อตามไปเฉยๆ ก็ไม่มีหลกั ต่อไปก็กลายเป็ นความ เชื่อแบบหลงใหล แล้ วก็กลายเป็ นความงมงาย ในทาง พระพุทธศาสนาท่านให้มีความเช่ืออย่างที่สอง คือ อาการวตี ศรัทธา แปลว่า ศรัทธาท่ีมีเหตผุ ล คือ มีปัญญาประกอบ รู้เข้าใจ เหตผุ ล รู้เข้าใจเหตปุ ัจจยั มองเห็นธรรม โดยเฉพาะความเป็ นไป ตามเหตปุ ัจจยั มองเหน็ ความเกิดขนึ ้ ตงั ้ อย่ดู บั ไปซง่ึ เป็ นไปตามเหตุ ปัจจยั เมื่อพิจารณาเรื่องราวตา่ งๆ ก็ดวู า่ เป็ นเร่ืองท่ีสอดคล้องกบั ความเป็นไปตามเหตปุ ัจจยั หรือไม่ ดาเนินสบื เนือ่ งกันตามหลกั เหตุ และผลหรือไม่ ศรัทธาหรือความเชื่อท่ีมีเหตุมีผลนีแ้ หละ ถ้าหยั่งลงในใจ ของเราแล้วก็เรียกวา่ ได้เกิดมีกศุ ลธรรมที่ต้องการ แต่กุศลธรรมท่ี ต้องการนนั ้ ยังต้องเจริญต่อไปอีก ความเชื่อในความเป็ นไปตาม
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกิดดเี ป็นสุข ๑๑ เหตปุ ัจจยั นแี ้ หละ เป็นสว่ นสาคญั ของความเช่ือในธรรม ซงึ่ รวมไป ถึงความเช่ือในความดีงาม ในกฎเกณฑ์แห่งความดีความชว่ั เป็ น ความเช่ือในหลกั ความจริง เป็ นความเชื่อที่มีเหตผุ ล เป็ นเหตุเป็ น ผล เมื่อเช่อื ในธรรม กเ็ ชอ่ื ในพระธรรมคอื คาสอนของพระพทุ ธเจ้าท่ี แสดงหลกั ความจริงแห่งความเป็ นไปตามเหตปุ ัจจัย เป็ นต้นนัน้ แล้วก็เชื่อในพระพทุ ธเจ้าผ้สู อนหลกั ความจริงนนั ้ เชื่อในพระสงฆ์ ซง่ึ ประกอบขึน้ ด้วยหมชู่ นผ้ปู ฏิบตั ิตามหลกั การนนั ้ เรียกง่ายๆ เช่ือ ในพระรัตนตรัย หรือศรัทธาในพระรัตนตรัย ความเชื่อในพระธรรม คาสอนของพระพุทธเจ้า หรื อพูดรวมๆ ว่า ความเชื่อในพระ รัตนตรัยนี ้จะต้องเจริญงอกงามยิ่งขึน้ พร้ อมกันกบั ความรู้ความ เข้าใจในธรรม เม่ือได้ศึกษาเลา่ เรียนหลกั ธรรมมีความเข้าใจมาก ขึน้ หรือว่าได้ปฏิบัติด้วยตนเอง ประจักษ์ผล ได้รับความสงบสขุ ของชีวิตจิตใจ ได้เห็นจริงเห็นจัง ศรัทธาก็เพิ่มพูนขึน้ ความเช่ือ ความมน่ั ใจก็แนน่ แฟ้ นย่ิงขนึ ้ ศรัทธานีจ้ ะมากขึน้ จนถึงระดบั สงู สดุ เรียกวา่ เป็น อจลศรทั ธา คือ ศรัทธาท่ไี มห่ วน่ั ไหว ท่านบอกว่า พระโสดาบนั เป็ นบุคคลท่ีมีอจลศรัทธา คือ ศรัทธาทไี่ มห่ วน่ั ไหว นี่เป็ นขนั ้ สงู สดุ ของความมีศรัทธา เมื่อศรัทธา ถึงขัน้ สูงสุดแล้ว ก็เป็ นการเข้ าถึงความเป็ นอริยบุคคลชัน้ ต้ น ตอ่ จากนนั ้ ก็เจริญก้าวหน้าตอ่ ไปอีกโดยศรัทธานนั ้ นาไปส่ปู ัญญา จนกระทงั่ ในที่สดุ ก็ไม่ต้องอาศยั ศรัทธาอีกต่อไป เรียกว่าอยู่เหนือ ศรัทธา ตอนนนั ้ ก็จะเป็นขนั ้ ของพระอรหนั ต์ แต่เบือ้ งต้นนี ้ในระดบั แห่งการปฏิบัติของอริยชนทวั่ ไป กิจท่ีถือเป็ นสาคัญก็คือการทา ศรัทธาให้เจริญเพิ่มพูนขึน้ เพราะฉะนนั ้ ท่านจึงให้ดูว่า ศรัทธา
๑๒ คติธรรมแห่งชีวติ ความเช่ือความม่ันใจในคุณธรรม ในความดีงาม ในคุณพระ รัตนตรัยนี ้เจริญเพมิ่ พนู ขึน้ หรือไม่ ถ้าหากได้พิจารณาดตู วั เองแล้ว มองเห็นวา่ มีศรัทธาเกิดขึน้ ในใจบอ่ ยๆ จิตใจผ่องใส จิตใจเอิบอ่ิม ด้วยศรัทธา และมีศรัทธาที่ม่ันคงเพิ่มขึน้ ก็แสดงวา่ มีความเจริญ อย่างอริยชนขนั ้ ที่หนงึ่ ต่อไปข้ อท่ีสอง คือ ศีล ศีลนัน้ ก็คือปกติของกายวาจา หมายถงึ การสารวมกายวาจาให้อย่ใู นสจุ ริต คือความประพฤติที่ดี งาม ความประพฤติที่ดีงาม หรือการสารวมกายวาจาอย่ใู นสจุ ริต คืออะไร ก็คือกายวาจาที่ไม่ก่อความเดือดร้ อนแก่ใครๆ ไม่ เบียดเบียนผ้อู ื่น การท่ีกายวาจาของเราอยู่ในความสงบเรียบร้ อย ไม่เบียดเบียนก่อความเดือดร้ อนแก่ผ้อู ื่นนีเ้ป็ นศีล จะเห็นง่ายๆ ว่า หลกั ศีลเบือ้ งต้น ก็คือการที่ว่า บคุ คลแตล่ ะคนอย่เู ป็ นปกติร่วมกับ ผ้อู ่ืน ไม่ใช้กายวาจาของตนนี ้ไปทาให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผ้อู ื่น เร่ิมตงั ้ แตไ่ ม่กอ่ ความเดือดร้ อน แก่ชีวิตร่างกายของเขา ไม่ เบยี ดเบียนทาร้ายชีวิตร่างกายของเขา ก็คือศีลข้อเว้นปาณาติบาต ลาดบั ต่อไป ไม่เบียดเบียนทาร้ ายเขาในเร่ืองกรรมสิทธ์ิใน ทรัพย์สินตา่ งๆ ก็เป็นศีลท่เี รียกวา่ เว้นจากอทนิ นาทาน ลาดบั ที่ ๓ ไมท่ าร้ายเบยี ดเบียนเขาในเร่ืองของรักของหวง โดยไม่ละเมิดต่อคคู่ รองของเขา ก็เป็ นศีลข้อเว้นจากกาเมสมุ ิจฉาจาร ลาดับที่ ๔ ไม่ใช้วาจาเบียดเบียนทาร้ ายผ้อู ่ืน เช่น ไม่ตัด รอนผลประโยชน์ของเขาด้วยคาเท็จ หรือไปหลอกลวงให้เขาเสีย ผลประโยชน์ หรือทาให้เกิดโทษเกิดภยั ตอ่ ชีวิตของเขา ก็เป็ นศีลข้อ เว้นจากมสุ าวาท
การเกิดเป็นทกุ ข์ เกิดดเี ป็นสุข ๑๓ ลาดบั ที่ ๕ คนที่ขาดสติเนื่องจากมึนเมา คุมสติไม่ได้ อาจ ทาร้ ายเบียดเบียนผ้อู ่ืนได้ทุกอย่าง แม้กระทง่ั อบุ ัติเหตุ เชน่ รถชน กัน ก่อความเดือดร้ อนแก่สงั คมได้มาก ท่านจึงให้งดเว้นจากการ ดื่มสรุ าและของมึนเมาต่างๆ แล้วจดั เป็ นศีลข้อท่ีเรียกว่าเว้นจาก สรุ าเมรัย การประพฤติตนอย่างที่กลา่ วมาทงั ้ ห้าข้อนี ้คือการสารวม กายวาจาให้เป็ นปกติขัน้ เบือ้ งต้นหรือทั่วไป ถ้าหากเว้นจากการ เบียดเบียนทั่วไปได้แล้ว ก็เป็ นพืน้ ฐานสาหรับชีวิตและสังคมที่ดี งาม ตอ่ จากนัน้ ทา่ นก็ให้ประพฤติศีลที่ยิ่งขึน้ ไปอีก ศีลที่ยิ่งขึน้ ไปก็ คอื การฝึกกายวาจานนั ้ ให้ประณีตย่ิงขนึ ้ กายวาจาที่ไม่เบียดเบียน คนอนื่ กม็ ีความประณีตชนั ้ หนง่ึ แล้ว แตท่ า่ นยังต้องการให้ประณีต ยิ่งขนึ ้ ไปอีก ให้กายวาจามีความประณีตขนึ ้ ไป เพ่ือจะได้เป็ นเครื่อง ฝึ กจิตไปด้วย จะเห็นว่าคนที่สารวมกายวาจาให้ประณีต ให้สงบ เรียบร้ อยนนั ้ จะต้องใช้กาลงั ใจด้วย ทาให้ต้องมีการฝึ กฝนจิตใจ ของตนเอง เราจึงอาศัยการฝึ กทางกายวาจานีม้ าเป็ นเครื่อง อปุ กรณ์ในการฝึ กจิตใจของเราในเบือ้ งต้น เพราะฉะนนั ้ เราจึงมี วฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เช่น การสารวมกาย วาจาในพิธีกรรมต่างๆ การปฏิบัติตามระเบียบในพิธี และการฝึ ก มารยาทเป็ นต้น อันนีก้ ็เป็ นเร่ืองของศีลทงั ้ สิน้ ข้อวตั รปฏิบตั ิต่างๆ อย่างเร่ืองของพระท่ีเรียกว่า เสขิยวัตร ซ่ึงเป็ นการฝึ กในเรื่อง ขนบธรรมเนยี ม เชน่ วา่ จะฉันอาหารควรจะฉนั อย่างไรให้เรียบร้ อย ให้นา่ ดู ให้งดงาม ให้สะอาดอะไรตา่ งๆ มารยาทในการเดิน ในการ นง่ั ในการกระทาการเคล่ือนไหวต่างๆ นี ้ล้วนแตเ่ ป็ นเร่ืองของการ
๑๔ คติธรรมแห่งชีวติ ฝึ กกายวาจาให้ประณีตยิ่งขึน้ ทัง้ นัน้ ข้ อวัตรปฏิบัติเหล่านีเ้ ม่ือ แพร่กระจายออกมาในหม่ญู าติโยม ก็กลายเป็ นขนบธรรมเนียม ตา่ งๆ ซง่ึ รวมแล้วก็เป็นเรื่องของศลี นน่ั เอง ศลี ๘ กเ็ หมือนกนั ก็เป็นการฝึ กกายวาจาให้ประณีตย่ิงขึน้ ให้เป็ นพืน้ ฐานของการฝึ กจิต เม่ือเรามีศีลห้า เราก็ไม่เบียดเบียน ใครอยู่แล้ว พอมาถึงศีลแปดจะเห็นว่ามันไม่ใช่เร่ืองของการ เบียดเบียนใครเลย แต่เป็ นเรื่องของการฝึ กกายวาจาของตัวเอง เช่น การงดเว้นจากการรับประทานอาหารในยามวิกาล หรือการ เว้นจากการทดั ทรงของหอม เครื่องลบู ไล้ ดอกไม้ และของท่ีทาให้ เกิดความสวยงามทงั ้ หลาย เว้นจากการตบแตง่ ร่างกาย และการ ฟ้ อนราขบั ร้ องเล่นดนตรี ตลอดจนการนอนการนั่งบนที่นอนที่นัง่ สงู ใหญ่ อะไรตา่ งๆ เหลา่ นเี ้ป็นเรื่องของการฝึ กในทางกายวาจาให้ ประณีตย่ิงขึน้ หรือขัดเกลามากขึน้ เพ่ือเป็ นพืน้ ฐานของการฝึ ก จิตใจน่นั เอง เพราะฉะนัน้ ศีลจึงนาไปส่สู มาธิ พระพุทธเจ้าทรง สอนให้เรามีความเจริญในศีล ศีลก็เลยมาเป็ นหลักอริยวฒั ิ หรือ หลกั วดั ความเจริญของอริยชนประการท่สี อง รวมความวา่ ข้อปฏิบตั ิต่างๆ จาพวกท่ีได้กลา่ วมานนั ้ เป็ น เรื่องศีลทงั ้ ในแง่ท่ีว่า สารวมกายวาจาให้เป็ นปกติไม่เบียดเบียน ใคร และในแงฝ่ ึกกายวาจาให้ประณีตย่ิงๆ ขึน้ ไป เม่ือเราประพฤติ กายวาจาได้ดีแล้ว คราวใดระลึกถึงความบริสุทธ์ิสะอาดในการ บาเพญ็ ศีล กจ็ ะเกิดความไม่เดือดร้อนใจ จะเกิดความปี ติความอ่ิม ใจ และความอิ่มใจนนั ้ ก็นาไปส่คู วามสขุ และนาไปส่สู มาธิ เป็ น พนื ้ ฐานของการฝึกจติ ย่ิงๆ ขนึ ้ ไปด้วย เพราะฉะนนั ้ ไม่ว่าจะเป็ นผล
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกดิ ดเี ป็นสขุ ๑๕ ของการฝึ กในเร่ืองศีลก็ตาม หรือตวั การฝึ กในศีลนนั ้ เองก็ตาม ก็ ล้วนแต่เป็ นเร่ืองของการทาจิตใจให้งอกงาม ทาให้เกิดสมาธิได้ ทงั ้ สนิ ้ นเี ้ป็นข้อท่สี อง เรียกวา่ ศลี ตอ่ ไปข้อท่ีสาม ทา่ นให้ดทู ี่ สุตะ สตุ ะคือความรู้หรือส่ิงที่ได้ ยินได้ฟัง สง่ิ ทไี่ ด้ยินได้ฟังนี ้อาจจะเป็ นความรู้ทวั่ ไป อย่างชาวโลก เชน่ ความรู้ข่าวสารข้อมลู ต่างๆ และการร่าเรียนวิชาการทงั ้ หลาย คนเราจะดาเนินชีวิตอย่ใู นโลกนีไ้ ด้จะต้องเลา่ เรียน อย่างน้อยก็มี ความรู้ท่ีรับฟังจากพ่อแม่ จากท่านผ้ใู หญ่หรือคนรุ่นก่อน เพ่ือให้ รู้จกั ว่าจะดาเนินชีวิตอย่างไร จะทาอะไรอย่างไร ถ้าไม่มีสตุ ะก็ทา อะไรไมเ่ ป็น หรือมาเริ่มต้นเป็นคนป่ ากนั ใหม่ แตน่ นั ้ ก็เป็นสว่ นหนง่ึ สาหรับพทุ ธศาสนิกชน สตุ ะมีความหมายรวมไปถึงคาสอน ของพระพทุ ธเจ้าด้วย ควรตรวจสอบตวั เองวา่ เรามีความรู้หลกั การ และข้อธรรมตา่ งๆ ในคาสอนของพระพทุ ธเจ้าแค่ไหนเพียงใด เม่ือ เราเริ่มเข้ามาส่กู ารปฏิบตั ิธรรมแล้ว ก็ควรจะรู้จกั เนือ้ หาสาระใน พระธรรมคาสอนมากยิ่งขนึ ้ เชน่ รู้วา่ หลกั ธรรมที่จะนามาใช้ปฏิบตั ิ คืออะไร มีความหมายวา่ อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร สมั พนั ธ์กับ ข้อธรรมอื่นๆ อะไรบ้าง ในแง่ไหนอย่างไร จะนาไปส่ผู ลอะไร มีวิธี ปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างไร ทางเขว ทางพลาด และโทษของการ ปฏิบัติผิดเป็ นอย่างไร เป็ นต้น ดังนนั ้ ถ้าเราจะก้าวหน้าไปส่กู าร ปฏบิ ตั มิ ากขนึ ้ เราก็ต้องมีสตุ ะมากขึน้ เพราะถ้าไม่มีสตุ ะคือไม่รู้ ก็ ไม่สามารถปฏิบตั ิตอ่ ไปได้ สตุ ะนีอ้ าจจะอาศยั ครูอาจารย์มาชว่ ย กล่าวสอนให้ มาบอกเล่าถ่ายทอดความรู้ให้ แต่ว่าโดยหลักการ ก็คือ จะต้ องมีความรู้ความเข้ าใจในหลักธรรมคาสอนของ
๑๖ คติธรรมแห่งชีวติ พระพทุ ธเจ้ามากขึน้ ซ่ึงจะเป็ นพืน้ ฐานในการปฏิบัติให้ก้าวหน้า ย่ิงๆ ขึน้ ไป อนั นีเ้ รียกว่าสุตะ จัดเป็ นเคร่ืองวดั อย่างหน่ึง ให้ดูว่า เมื่อเรามาปฏิบัติธรรมนัน้ เราได้มีความรู้ละเอียดลึกลงไปใน หลักธรรมมากขึน้ แค่ไหน เพียงใด มีสุตะมากขึน้ ไหม นีเ้ ป็ น ประการทส่ี าม ต่อไปประการท่ีส่ี คือ จาคะ จาคะ แปลว่า ความสละ หมายความว่าสละความยึดติด จิตใจนีไ้ ปยึดติดถือมั่นผกู พนั กับ สิ่งต่างๆ ความยึดติดของคนเรานนั ้ ท่ีมองเห็นง่ายๆ ก็คือความยึด ติดผูกพันในวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่เราสร้ างขึน้ มา เพ่ือเป็ นเคร่ือง อานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิต ตามความม่งุ หมายเดิมนนั ้ สิง่ เหลา่ นีเ้ราสร้ างขึน้ มาเพ่ือท่ีจะชว่ ยให้ชีวิตดารงอย่ดู ้วยดี แต่พอ สร้างขนึ ้ มาแล้ว ก็เกิดความมีขนึ ้ พอมีการมีขึน้ ก็มีการเป็ นเจ้าของ พอมีการเป็ นเจ้าของ ก็เกิดมีความยึดมีความสาคัญมั่นหมาย ผกู พนั ติดตวั พอมีความยึดติด ก็มีความหวง มีความห่วง มีความ กงั วล แล้วสิ่งเหลา่ นนั ้ นอกจากจะทาให้เกิดความสะดวกในการ ดาเนนิ ชีวติ กจ็ ะนาความทกุ ข์มาให้ด้วย เพราะทาให้เกิดความรู้สกึ หว่ งกงั วลเป็นอยา่ งน้อย แล้วกท็ าให้เกิดความเศร้าเสยี ใจเม่ือมีการ แตกสลายเป็ นต้น อนั นีจ้ งึ เป็ นข้อท่ีต้องแก้ไข คือจะทาอย่างไรให้ สิ่งที่เกิดมีขึน้ มาช่วยตัวเรานัน้ อานวยแต่ผลดี ทาให้เกิดความ สะดวกสบายในการดาเนินชวี ิต แตไ่ ม่เกิดโทษแก่ชีวติ จิตใจของเรา การที่ส่ิงที่เราสร้ างสรรค์ ทาให้เกิดมีขึน้ มาแล้ว จะไม่เกิด โทษ ก็ต้องอาศัยการรู้จักทาใจ ไม่ให้มีความยึดติดผูกพันมาก เกินไป โดยรู้เท่าทนั ความจริงท่ีส่ิงเหล่านนั ้ มันจะต้องเป็ นของมัน
การเกิดเป็นทกุ ข์ เกิดดเี ป็นสขุ ๑๗ ตามธรรมดา ระลกึ ถึงความม่งุ หมายเดมิ ในการท่ีเราสร้ างหรือมีส่ิง เหล่านัน้ ๆ และฝึ กตนในทางที่จะไม่ยึดติด ด้ วยเหตุนีใ้ นทาง พระพทุ ธศาสนา ทา่ นจงึ สอนหลายแงห่ ลายอย่าง เริ่มตงั ้ แต่ให้รู้จกั สละสง่ิ ของ มีการให้ มีการเผ่ือแผ่ แบง่ ปันด้วยทาน การสละส่ิงของให้แก่ผ้อู ื่นเรียกวา่ ทาน ซึ่งมีทงั ้ การถวาย ทานแก่พระสงฆ์ การให้ทานแก่บุคคลผู้ยากไร้ ท่ีต้องการความ ชว่ ยเหลอื การบริจาคเพ่ือสง่ เสริมสนบั สนนุ บุคคลหรือกิจการที่ทา ความดีงามบาเพ็ญประโยชน์ และการสละให้ปันกันในหม่ญู าติ มิตรหรือคนท่ีเสมอกัน เพียงเพ่ือผูกนา้ ใจตัง้ ไมตรี ส่วนในด้าน จิตใจของตนเอง เมื่อเผ่ือแผไ่ ปแล้วก็มีความสขุ จากการให้ คนเรานนั ้ ตามปกติเมื่อเริ่มแรกก็จะมีความสขุ จากการได้ กอ่ น เราได้ของ สร้างส่ิงของขึน้ มาได้ หรือใครให้ ได้มาเป็ นของตวั เราก็มีความสขุ ตอ่ มาจิตใจเจริญขึน้ เราจะรู้จกั ความสุขจากการ ให้ แตก่ ารให้จะทาให้เกิดความสขุ ได้ กต็ ้องมีความพร้อมใจท่ีจะให้ จิตใจทพ่ี ร้อมจะให้คือจิตใจอยา่ งไร ก็คือจิตใจท่ีมีความรัก มีความ ปรารถนาดี หรือมีเมตตา พอ่ แม่รักลกู มีเมตตาตอ่ ลกู จงึ มีจิตใจท่ี พร้อมทีจ่ ะให้แก่ลกู เมื่อให้แกล่ กู พอ่ แม่ก็มีความสขุ ในการให้ ทงั ้ ๆ ท่ีของนนั ้ ถกู สละออกไป แตแ่ ทนท่ีจะเสียดายก็ไม่เสียดาย แทนท่ี จะทกุ ข์ก็ไม่ทกุ ข์ กลบั มีความสขุ ขึน้ มาแทน แต่ถ้าไม่มีคณุ ธรรมใน ใจ ไม่มีเมตตา ก็มีความเสียดายของ เวลาให้ก็ฝื นใจแล้วก็มีความ ทกุ ข์ เพราะฉะนนั ้ จะทกุ ข์หรือจะสขุ กอ็ ยทู่ ่ใี จของเราเอง คนท่ีฝึ กฝนพฒั นาจิตใจขึน้ มาแล้ว ก็สามารถให้ได้โดยมี ความสขุ เพราะเมื่อแผ่เมตตากรุณาให้กว้างขวางออกไป ทาใจ
๑๘ คติธรรมแห่งชีวติ ของตนให้ประกอบด้วยเมตตากรุณาตอ่ คนอ่ืนเพิ่มจานวนมากย่ิงขึน้ ก็จะทาให้การให้กลายเป็ นความสขุ มากขึน้ บ่อยขึน้ ย่ิงมีเมตตา กรุณากว้างขวางออกไปเท่าใด ก็ยิ่งมีความสขุ จากการให้ได้มาก เท่านัน้ ยิ่งรักเพื่อนมนุษย์ ย่ิงรักคนอ่ืนได้มากเท่าใด ก็ยิ่งได้ ความสขุ จากการให้และการไม่ต้องเอามากขึน้ เท่านนั ้ จนกระทั่ง เข้าถึงพทุ ธพจน์ทว่ี า่ “ผใู้ หค้ วามสุข ก็ไดค้ วามสุข” ทงั ้ หมดนีก้ ็อยู่ ที่ทาใจเป็ น ซึง่ เป็ นหลกั ปฏิบตั ิอย่างหนงึ่ ท่ีทาให้สาเร็จหน้าที่ของ จาคะอย่างในกรณีนี ้ เมตตากรุณาก็เป็ นธรรมสาคัญท่ีช่วยหนุน จาคะให้เกิดขนึ ้ ดงั นนั ้ จงึ จะต้องฝึกตนวา่ ทาอย่างไรเราจะมีความ พร้อมที่จะให้ ทจ่ี ะสละ มีความไมย่ ดึ ตดิ ในสิ่งทงั ้ หลาย การมีจาคะ จงึ เป็นเคร่ืองสารวจจติ ใจของตนเองอยา่ งหน่ึงว่า เจริญในธรรมแค่ ไหน ดวู ่าเวลานีเ้ รามีจาคะ มีความสละ มีความไม่ยึดติดในสิ่ง ทัง้ หลายเพิ่มขึน้ ไหม สามารถอยู่ได้โดยมีความสุขด้วยใจของ ตนเอง โดยไม่ต้องได้ไม่ต้องเอาแค่ไหน มีความสขุ จากการให้หรือ การสละได้แคไ่ หน ตลอดกระทง่ั วา่ สามารถอย่เู ป็นสขุ ได้หรือไม่แค่ ไหน เมื่อไม่ได้หรือแม้แตเ่ มื่อต้องสญู เสยี อะไรไป บางคนมีความพงึ่ พาส่ิงภายนอกมาก ถ้าไม่มีส่ิงภายนอก แล้วก็หาความสขุ ไม่ได้ พอพฒั นาจิตใจขึน้ ไปแล้ว ก็มีความสขุ แม้ ด้วยใจของตนเอง ลาพงั ใจของตวั เรา เราอย่กู บั ใจของตวั เองได้ มี ความสุขได้ อันนีก้ ็จะเป็ นการพึ่งตนเองได้ ถ้าเราไม่สามารถมี ความสขุ ด้วยใจของตนเอง เราก็ต้องพ่ึงส่ิงภายนอก ความสขุ ของ เราก็ฝากไว้กับส่ิงภายนอก สิ่งข้างนอกเป็ นอย่างไรเราก็เป็ นไป ตามนนั ้ จิตใจของเราก็แปรปรวนไปตาม ท่านเรียกวา่ มีความสขุ
การเกิดเป็นทกุ ข์ เกดิ ดีเป็นสขุ ๑๙ ความทุกข์ขึน้ กับปัจจัยภายนอก แต่เม่ือมีจาคะมากขึน้ จิตใจ คลายความยึดติดผกู พนั มีความเข้าใจในสิ่งทงั ้ หลายตามความ เป็ นจริงแล้ว ก็อยู่กับใจของตวั เองได้ มีความสขุ ด้วยใจของตวั เอง เป็ นอิสระ ไม่ขึน้ ต่อสิ่งภายนอก เป็ นไทแก่ตัว ท่านเรี ยกว่า พึ่งตนเองได้ อย่างแท้จริง อันนีก้ ็เป็ นความเจริญในธรรมอีก ประการหนงึ่ ท่ีเรียกว่า จาคะ ท่านจึงให้สารวจว่าเรามีจาคะ คือ ความสละได้ ความไม่ยึดติดผกู พนั ในส่ิงทงั ้ หลายเจริญขึน้ ในใจแค่ ไหนเพยี งใด ต่อไปประการสุดท้ายก็คือ ปัญญา ปัญญา คือ ความรู้ ความเข้าใจในส่ิงทงั ้ หลายตามความเป็ นจริง จะเห็นได้ว่า ตอนนี ้ เรามีเรื่องความรู้ขึน้ มาแล้วสองข้อ คือ ข้อสาม สุตะก็เป็ นความรู้ ข้อห้า ปัญญากเ็ ป็นความรู้ ความรู้สองอย่างนีต้ า่ งกันอย่างไร สตุ ะ ก็เป็ นความรู้ แต่เป็ นความรู้ที่เราสดับตรับฟังมาจากผู้อื่น เป็ น ถ้อยคาของท่านผ้อู ่ืนพูดให้เราฟัง อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้ หรือ แม้แต่ไปอ่านหนังสือ ก็ได้ข้อมูลความรู้ท่ีถ่ายทอดมาจากคนอ่ืน อนั นีเ้ ป็ นความรู้ของผ้อู ่ืนที่เรารับเอาเข้ามา ยังไม่เป็ นของเรา ทีนี ้ ถ้าเรารู้เข้าใจในส่ิงท่ีรับมา หรือได้สดับตรับฟังมา ความรู้ท่ีเป็ น ความเข้าใจของตวั เองกเ็ กิดขนึ ้ ใหม่ ความรู้นนั ้ แหละเป็นปัญญา บางคนมีสตุ ะมาก เลา่ เรียนทรงจาสง่ิ ตา่ งๆ ได้มากมาย แต่ มีปัญญาน้อย คอื ไมร่ ู้ไม่เข้าใจสงิ่ ทไี่ ด้สดบั เลา่ เรียนมานนั ้ ก็ไม่เกิด ประโยชน์แท้จริง เหมือนได้อปุ กรณ์บางอย่างมา แต่ไม่รู้วา่ อปุ กรณ์ นนั ้ เป็ นอย่างไร มีคณุ คา่ อย่างไร จะใช้อย่างไร ก็ได้ประโยชน์น้อย บางทีก็เกิดโทษด้วย เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจ้าจึงสอนเน้นว่า
๒๐ คติธรรมแห่งชีวติ นอกจากจะมีสตุ ะแล้ว ต้องมีปัญญาด้วย ทา่ นวา่ ปญ.ญา สตุ วินิจฺฉินี แปลว่า ปัญญาเป็ นเคร่ืองวินิจฉัยสตุ ะ คือ ความรู้ที่เข้ามานนั ้ เป็ น ข้อมลู ดิบ เป็ นของดิบ ยังไม่รู้วา่ เป็ นอย่างไร มีคณุ ค่าอย่างไร จะ เอาไปใช้อยา่ งไร ถ้าคนไมม่ ีปัญญา ความรู้นนั ้ ก็เอามากองไว้เฉยๆ ไม่รู้ว่า จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แต่คนท่ีมีปัญญาจะ สามารถวินิจฉัยได้ เลือกเฟ้ นได้ว่า อนั นีเ้ป็ นข้อมลู เป็ นความรู้ที่ใช้ ประโยชน์เพ่ือการนนั ้ เอาไปใช้ทาอย่างนนั ้ ๆ ได้ ถ้าเราจะทาอะไร ให้สาเร็จสกั อย่างหนึ่ง จะต้องเอาความรู้นีไ้ ปใช้ไปทาอย่างไร ไป ดัดแปลงอย่างไร เอาความรู้นัน้ ไปยักเยือ้ งใช้งานทาการแก้ไข ปัญหา จดั ทาสิ่งต่างๆ ให้สาเร็จผลตามต้องการได้ ความรู้ที่เข้าใจ สิ่งทงั ้ หลายตามความเป็ นจริง ความรู้ท่ีสามารถสืบสาวหาเหตุ ปัจจยั ของสิ่งตา่ งๆ ความรู้ที่สามารถคิดพิจารณาวินิจฉยั ได้ เลือก เฟ้ นกลั่นกรองได้ เชื่อมโยงประสานได้ ทาให้เอาสุตะหรือข้อมูล ขา่ วสารวิชาการตา่ งๆ ไปใช้งาน สามารถจดั สรรจดั การดาเนินการ ทาสงิ่ ตา่ งๆ ให้สาเร็จได้ ความรู้อยา่ งนี ้เรียกวา่ ปัญญา ปัญญาเป็ นสิ่งสาคัญ เป็ นตัวควบคุมทัง้ หมด ควบคุม ตงั ้ แต่ศรัทธามาจนถึงจาคะ จะรู้ว่าอะไรควรเช่ือไม่ควรเช่ือ ก็ต้อง อาศยั ปัญญา จะประพฤตศิ ลี ได้ถกู ต้อง ก็ต้องมีปัญญากากับวา่ ที่ เราประพฤติปฏิบัติอยู่นีเ้ พ่ืออะไร ตอนนีเ้ ราควรจะฝึ กฝนตน อยา่ งไรด้วยศีลนนั ้ สาหรับสตุ ะก็มีความสมั พนั ธ์ท่ีชดั เจนอย่แู ล้ววา่ ต้องอาศยั ปัญญาเป็นเคร่ืองวินิจฉยั และนาไปใช้ให้ถูกต้องให้เป็ น ประโยชน์ จาคะกเ็ ชน่ เดียวกนั เพราะมีปัญญาจงึ ทาให้เราสามารถ มีจาคะ ไม่ยึดติดถือมน่ั ในส่ิงทงั ้ หลาย กล่าวคือ ในขนั ้ สงู สดุ เม่ือรู้
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกิดดีเป็นสขุ ๒๑ เข้าใจเทา่ ทนั สงั ขาร รู้เทา่ ทนั โลกและชีวิตตามความเป็ นจริง จึงจะ ทาให้จิตใจหลุดพ้นเป็ นอิสระ ไม่ยึดติดผูกพันในสิ่งทงั ้ หลาย มี จาคะที่แท้จริง ปัญญาท่านจึงจัดไว้เป็ นข้อสุดท้าย เพราะเป็ นตวั คมุ ทงั ้ หมด ปัญญานี ้ ก็เป็ นข้อธรรมสาหรับวัดความเจริญของชาว พทุ ธอีกอย่างหนึ่ง คือให้ตรวจดูตัง้ แต่ขัน้ ต้นๆ ว่า เรามีปัญญา ความรู้ความเข้าใจในธรรมท่ีได้เล่าเรียนมา แค่ไหนเพียงใด สตุ ะ คอื ความรู้จดจาหลกั ธรรมที่ได้เลา่ เรียนมา ปัญญาคือความเข้าใจ แทงตลอดในหลกั ธรรมท่ีเล่าเรียนมานนั ้ ทงั ้ สองอย่างนีป้ ระกอบ กัน ถ้าสุตะมากขึน้ แล้วปัญญาเจริญไปด้วย สุตะนัน้ ก็เกิดเป็ น ประโยชน์ แต่ถ้าเล่าเรียนสตุ ะ เรียนหลกั ธรรมมา แต่ไม่มีปัญญา หลักธรรมท่ีเล่าเรียนมาเป็ นสตุ ะนนั ้ ก็ไม่เกิดผล ไม่เกิดประโยชน์ เท่าที่ควร ตลอดจนตรวจดปู ัญญาท่ีรู้เข้าใจสงั ขาร รู้เข้าใจเท่าทนั โลกและชีวิตตามความเป็ นจริง โดยมองเห็นธรรมดาของความ เป็ นไปตามเหตุปัจจัย และรู้จักที่จะทาตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ทา ตามใจอยาก เป็ นต้น เพราะฉะนนั ้ ท่านจึงให้มีปัญญาเป็ นหลัก ประการสาคญั ท่ีจะนาชาวพทุ ธให้ก้าวหน้าไปในการปฏบิ ตั ิ เม่ือรวมแล้ว ก็มีหลกั ธรรม ๕ ข้อทีจ่ ะต้องตรวจดวู า่ เป็ นส่ิง ท่ีได้เกิดมีขึน้ ในจิตใจของเราอย่เู รื่อยๆ หรือไม่ ขอให้ธรรมเหล่านี ้ เกิดมีขึน้ ในใจอยู่เสมอ และให้เกิดมากขึน้ บ่อยขึน้ ยิ่งเกิดบ่อย เท่าไรก็ย่ิงเจริญงอกงามเท่านนั ้ นัน่ แหละคือความเจริญงอกงาม ในการปฏบิ ตั ธิ รรม
๒๒ คติธรรมแห่งชีวิต ที่กล่าวมานนั ้ เป็ นธรรมหมวดหน่ึงท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ สาหรับใช้วดั ความเจริญของชาวพทุ ธ นอกจากนีแ้ ล้วท่านยังมีหลกั อ่ืนๆ สาหรับวัดอีก อาตมภาพจะพูดถึงไว้ อีกสักหมวดหน่ึง กลา่ วคือธรรมทงั ้ หลายเทา่ ที่เราจะรู้ได้ เมื่อจดั ประเภทแล้ว จะมีอยู่ สพ่ี วกด้วยกนั ธรรมพวกท่ีหน่ึงคือ ธรรมประเภทท่ีจะต้องรู้ว่าอะไรเป็ น อะไร ทา่ นเรียกวา่ ธรรมท่คี วรกาหนดรู้ ซงึ่ เราต้องรู้จกั เชน่ โลกและ ชีวิตนี ้ หรื อสังขารทัง้ หลาย หรือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี ้เป็ นส่ิงที่เราจะต้องรู้จกั ตามสภาพของมนั รู้ว่า อะไรเป็นอะไร ธรรมในหมวดนที ้ า่ นเรียกวา่ ปริญไญยธรรม ธรรมที่ ควรกาหนดรู้ คือรู้ตามที่มันเป็ นของมัน เรี ยกเป็ นศัพท์แท้ ๆ เฉพาะตัวหลักว่า ปริ ญญา ปริญญาก็คือ การกาหนดรู้เท่าทัน ตามที่มนั เป็นจริง ตอ่ ไป ธรรมพวกท่ีสอง คือธรรมท่ีจะต้องกาจดั ต้องแก้ไข เช่น กิเลสต่างๆ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือว่า โลภะ โทสะ โมหะ ตณั หา มานะ ทิฏฐิ อะไรพวกนี ้จดั เป็ นธรรมเหมือนกัน แต่ เป็ นอกุศลธรรม เป็ นธรรมประเภทที่ต้องละ ต้องแก้ไข ต้องกาจดั พวกนที ้ า่ นจดั เป็นประเภทท่สี อง เรียกวา่ ปหาตพั พธรรม เฉพาะตวั หลกั แท้ๆ คือ ปหานะ แปลวา่ การละหรือกาจดั ตอ่ ไปอีก ธรรมพวกท่ีสามคือ ธรรมท่ีเราควรประจกั ษ์แจ้ง ควรจะเข้าถึง หรือควรจะบรรลุ เช่น ความสงบของจิตใจท่ีเรียกว่า สนั ติ ความสะอาด ความสว่าง ความผอ่ งใส ความบริสุทธ์ิ ความ ปราศจากธุลีมลทินของจิตใจ ความไร้ เศร้ าไร้ โศกอะไรต่างๆ เหลา่ นี ้
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกิดดเี ป็นสขุ ๒๓ เป็นธรรมทคี่ วรบรรลหุ รือควรเข้าถงึ เรียกวา่ เป็ น สจั ฉิกาตพั พธรรม เป็ นประเภทที่สาม ตวั หลกั แท้ๆ คือ สจั ฉิกิริยา แปลว่า การทาให้ ประจกั ษ์แจ้ง สดุ ท้าย ธรรมพวกที่สี่ คือธรรมที่ควรปฏิบตั ิ ควรเอามาใช้ เอามาลงมือทา เช่น ศีล สมาธิ ปัญญา เป็ นต้น ธรรมประเภทนี ้ เป็ นธรรมท่ีเราควรเอามาใช้ เอามาปฏิบัติ เอามาลงมือทา เป็ น ภาคปฏิบตั ิ และเป็นวธิ ีการ เรียกว่า ภาเวตพั พธรรม แปลวา่ ธรรม ที่ควรเจริญ คือ ควรพฒั นา หรือทาให้มีทาให้เป็ นเพ่ิมขึน้ ๆ ตวั หลกั แท้ๆ คือ ภาวนา แปลว่า การเจริญ การพัฒนา หรือการลงมือ ปฏบิ ตั ิ ตกลงว่า ธรรมนนั ้ มีสี่หมวดด้วยกนั ในเวลาที่พทุ ธศาสนิกชน พิจารณาเก่ียวกับเรื่องการปฏิบัติธรรมนัน้ ท่านให้ดูให้ครบว่า ธรรมที่ควรรู้จกั ตามความเป็ นจริง เรารู้จกั หรือยัง เรารู้จกั แค่ไหน ธรรมที่ควรแก้ไขควรกาจัด เราได้กาจัดหรื อได้ละไปแล้วแค่ไหน เพียงใด ธรรมที่ควรเข้าถึงหรือควรบรรลุ เราได้บรรลหุ รือเข้าถึงแล้ว แค่ไหนเพียงใด ธรรมท่ีควรใช้ปฏิบตั ิเอามาลงมือทา เราได้ลงมือ ทาไปแค่ไหน ถ้าจดั ธรรมเป็ นหมวดๆ อย่างนีถ้ ูก เราจะวดั ผลได้ดี ทีเดียว จะไม่เกิดความสบั สน พอจัดธรรมเข้าเป็ นหมวดเป็ นชุด อย่างนีแ้ ล้ วสบาย คือมีหลักในการพิจารณาตัวเองว่า ได้ เจริญก้าวหน้าในธรรมสกั แคไ่ หน เป็ นอันว่า หลักการอย่างหนึ่งในการตรวจสอบตนเอง คือ ให้สารวจตรวจดู หรือวดั ผลตนเองวา่
๒๔ คติธรรมแห่งชีวติ ๑. ปริญไญยธรรม ธรรมท่คี วรรู้จกั ตามเป็นจริง โดยเฉพาะ กายและใจของเรา ที่เรียกว่าขันธ์ ๕ รวมถึงโลกและ ชีวิตทงั ้ หมดนี ้เรารู้จกั มองและเข้าใจด้วยความรู้เทา่ ทนั ตามเป็ นจริงหรือไม่ ๒. ปหาตัพพธรรม ธรรมที่ควรละ ควรกาจัด เช่น ความ โลภ ความโกรธ ความหลง เราได้กาจัด ได้ลดละ ได้ แก้ไขไปแล้วแคไ่ หนเพยี งใด ๓. สจั ฉิกาตพั พธรรม ธรรมที่ควรเข้าถึง ควรบรรลุ ควรทา ให้ประจกั ษ์แจ้งขึน้ มา เช่น ความสงบ ความเบิกบาน ผ่องใส ความเป็ นอิสระ ความเป็ นสุขไร้ ทุกข์ ความ ปลอดโปร่งโลง่ เบา เราได้เข้าถึงประจกั ษ์แจ้งไปแล้วแค่ ไหนเพียงใด ๔. ภาเวตพั พธรรม ธรรมที่เป็ นตัวการปฏิบตั ิ คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศลี สมาธิ ปัญญา หรือแยกเป็ นเรื่องๆ เชน่ จิตตภาวนา วิปัสสนาภาวนา หรือแยกเป็ นอย่างๆ เช่น เมตตา กรุณา ความมีสติ ความเพียร ความอดทน เป็ น ต้น เราได้เอามาใช้ได้ปฏิบตั ิไปแล้วแค่ไหนเพยี งใด นีเ้ ป็ นหลักสาหรับพุทธศาสนิกชน ซ่ึงขอกล่าวไว้อย่าง กว้างๆ ท่ีสดุ เมื่อทาได้อย่างนี ้เราจะมีหลกั มีเกณฑ์ในการปฏิบตั ิ ธรรมให้ได้ผลมากขนึ ้ ในวนั นี ้เทา่ ที่อาตมภาพได้กล่าวมาทงั ้ หมดนนั ้ ก็เป็ นเรื่อง ทีส่ มั พนั ธ์กบั การเกิด กล่าวคือ ในการเกิดของชีวิตนนั ้ เราต้องการ ให้มีความเจริญก้าวหน้าสืบตอ่ ไป ความเจริญก้าวหน้านนั ้ มีสอง
การเกดิ เป็นทกุ ข์ เกิดดีเป็นสขุ ๒๕ ด้าน เพราะว่าชีวิตของเราประกอบไปด้วยองค์ร่วมสองส่วน คือ กายกับใจ ความเจริญด้านท่ีหนึ่ง ก็คือด้านกาย ซ่ึงอาศัยปัจจัยส่ี โดยเฉพาะอาหารเป็นเคร่ืองบารุงเลยี ้ งทาให้เจริญเติบโตต่อมา แต่ อกี ด้านหนงึ่ คอื ด้านจติ ใจ ก็จะต้องมีความเจริญงอกงามเหมือนกัน จิตใจก็มีการเกิดอยู่ตลอดเวลา เม่ือเข้ าสู่การปฏิบัติตามหลัก พระพทุ ธศาสนา การเกิดของจิตใจนนั ้ จะต้องให้มีความหมายเป็ น การทาให้กุศลธรรมเกิดมีขึน้ ในใจ ทาให้จิตใจแตล่ ะขณะท่ีเกิดขึน้ คอื ในขณะจติ หนงึ่ ๆ นีม้ ีกุศลธรรมเกิดขึน้ ถ้าทาได้อย่างนีก้ ็จะเป็ น ความเจริญงอกงามของจิตใจ เมื่อได้ความเจริญงอกงามของ ร่างกายและของจิตใจครบทงั ้ สองประการ ก็จะเป็นชีวิตท่สี มบรู ณ์ โดยเฉพาะ ในระยะซง่ึ ชีวติ เจริญงอกงามมากขึน้ นนั ้ เราจะ เห็นได้ว่า ในส่วนของร่างกายจะมีการเสื่อมโทรมได้ ย่ิงในระยะ ปลายแล้วยิ่งมีความเสือ่ มมองเหน็ ชดั มากขนึ ้ แตส่ ง่ิ ที่ทกุ ท่านจะทา ได้ก็คือด้านจิต ด้านจิตนีเ้ราสามารถทาให้เจริญงอกงามมากขึน้ ๆ โดยไม่เส่ือม เพราะฉะนัน้ เมื่อชีวิตเจริญขึน้ ก็ควรจะเน้นให้ ความสาคัญแก่การท่ีจะบารุงจิตใจ ให้เจริญงอกงามมากยิ่งขึน้ เพราะความเจริญงอกงามของจิตใจจะทาให้ชีวิตนีเ้ป็ นชีวิตที่มีค่า มีความหมายท่ีแท้จริง แม้ว่าร่างกายจะเปล่ียนแปรเสื่อมโทรมไป ตามธรรมดาของธรรมชาติ เป็นไปตามหลกั ของพระไตรลกั ษณ์ แต่ จิตใจที่เป็ นไปตามพระไตรลกั ษณ์เหมือนกันนนั่ แหละ กลบั เจริญ งอกงาม เป็ นความเปล่ียนแปรไปในทางท่ีดีงาม คือ ในขณะท่ี ร่างกายเปล่ียนแปรไปในทางเสื่อมโทรม แต่จิตใจกลับแปร เปลี่ยนไปในทางที่เจริญงอกงามยิ่งขึน้ เป็ นความเป็ นไปตามพระ
๒๖ คติธรรมแห่งชีวิต ไตรลกั ษณ์ แต่เป็ นพระไตรลักษณ์ในทางท่ีวา่ เจริญงอกงามด้วย กุศลธรรม ยิ่งมีกุศลธรรมเกิดบอ่ ยขึน้ ก็งอกงามมากย่ิงขึน้ แล้วก็ จะมีความสขุ ท่ีแท้จริง เพราะเป็ นความสขุ ท่ีอิสระ ไม่ขึน้ ต่อส่ิงปรุง แต่งภายนอก และก็จะเป็ นชีวิตท่ีมีคุณค่าอย่างแท้จริง ดังท่ี พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า เป็ น อโมฆชีวิต คือชีวิตท่ีไม่ว่างเปล่า เพราะมีส่ิงดงี ามลา้ คา่ คือ กศุ ลธรรมเกิดขนึ ้ อยตู่ ลอดเวลา วนั นอี ้ าตมภาพขออนโุ มทนา คณุ โยมเกสรี ซ่ึงได้ปรารภวนั อนั เป็นมงคล คือวนั อายคุ รบ ๖๐ ปี ที่ในโลกเรานิยมถือกนั ว่า เป็ น ระยะกาลเหมาะสมท่จี ะเฉลิมฉลองทาบุญทากศุ ลครัง้ สาคญั แล้ว จดั พิธีทาบุญครัง้ นีข้ ึน้ ซึ่งแท้จริงแล้วการทาบุญทากุศลที่จดั เป็ น พิธีนี ้ ก็เป็ นอุบาย เพ่ือทาให้กุศลธรรมเกิดมีขึน้ นน่ั เอง เมื่อกุศล ธรรมเกิดมีขึน้ แล้ว ก็เป็ นความงอกงามและเป็ นความสขุ ของชีวิต อาตมภาพจงึ ขอตงั ้ จิตตงั ้ ใจเป็ นกลั ยาณฉนั ทะ ร่วมอนโุ มทนา เพื่อ สง่ เสริมสนบั สนนุ ให้คณุ โยมเจริญงอกงาม ด้วยกุศลธรรมเพ่ิมพนู ยิ่งๆ ขนึ ้ ไป และในโอกาสอนั เป็ นสิริมงคลนี ้ก็ขออ้างอิงคณุ พระศรี รัตนตรัย อวยชัยให้พร รตนตฺตยานภุ าเวน รตฺนตฺตยเตชสา ด้วย อานภุ าพคณุ พระพทุ ธเจ้า คณุ พระธรรม และคณุ พระสงฆ์ พร้ อม ด้วยบุญกุศลท่ีคณุ โยมได้บาเพ็ญแล้ว จงเป็ นเคร่ืองอภิบาลรักษา ให้คณุ โยม พร้ อมทงั ้ ญาติมิตร เจริญด้วยจตรุ พิธพรชยั เจริญงอก งาม และร่มเย็นเป็ นสขุ ในธรรมของพระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า ตลอด กาลนาน
แก่ ธรรมะสาหรับผ้สู ูงอายุ
ธรรมะสาหรับผู้สงู อายุ ขอเจริญพร ท่านผเู้ ขา้ ร่วมสมั มนาทกุ ท่าน ทม่ี าวนั นี ้ทางทา่ นผ้จู ดั ให้มาพดู เร่ืองธรรมสาหรับผ้สู งู อายุ ถือว่าเป็ นส่วนหนึ่งของการสัมมนาเก่ียวกับการเตรียมตัวก่อน เกษียณอายรุ าชการ การเกษียณอายุราชการ เป็ นเรื่องของความเปลี่ยนแปลง อย่างหน่งึ ในชีวิต สาหรับทา่ นเจ้าของอายเุ องย่อมรู้สึกว่าเป็ นการ เปล่ียนแปลงท่ีสาคญั มาก อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามองแค่เป็ นการ เปลย่ี นแปลงกไ็ มเ่ ป็นไร แตบ่ างทา่ นมองเป็นการสนิ ้ สดุ ถ้ามองเป็ น การสิน้ สดุ ก็จะทาให้รู้สึกว่าเป็ นการสญู เสียแล้วก็ไม่สบายใจ ดงั ท่ี ปรากฏบ่อยๆ ว่า ผ้ทู ่ีเกษียณอายุหลายทา่ นมีความรู้สึกว่าตวั เอง มาถึงเวลาทหี่ มดสนิ ้ ตาแหนง่ ฐานะ เกียรติยศ อานาจ และการได้รับ ความเคารพนบั ถือตา่ งๆ แล้วก็ว้าเหว่ เหงา สิน้ หวงั หรือท้อแท้ใจ การมองอย่างนัน้ ท่ีจริงน่าจะไม่ถูก ความจริงการเกษียณอายุ ราชการไม่ใชเ่ ป็นความสนิ ้ สดุ หรือความสญู เสีย แต่เป็ นเพียงความ เปลย่ี นแปลง คาบรรยายพเิ ศษ ในการสมั มนา เร่อื ง การเตรียมตัวก่อนเกษียณอายรุ าชการ จดั โดย สภาผูส้ ูงอายุแหง่ ประเทศไทย ณ วนั ท่ี ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๓๘
๓๐ คติธรรมแห่งชีวติ ความเปลี่ยนแปลง คือ การย้ายจากภาวะหน่ึงไปสู่อีก ภาวะหนึ่ง โดยท่ีทัง้ สองภาวะนัน้ ต่างก็มีข้อดีด้วยกัน และก็มี ข้อเสียด้วยกัน ซ่งึ โดยมากจะเป็ นอย่างนนั ้ แต่อาจจะเป็ นไปได้ว่า ในบางกรณีเป็ นการเปล่ียนแปลงจากภาวะที่ดี ไปส่ภู าวะที่ไม่ดี และในบางกรณีก็เป็ นการเปลี่ยนแปลงจากภาวะที่ไม่ดี ไปส่ภู าวะ ท่ดี ี แตโ่ ดยทว่ั ไปจะเป็นการเปลีย่ นแปลงซง่ึ ภาวะทงั ้ สองนนั ้ ตา่ งก็มี ข้อดแี ละข้อด้อยด้วยกนั นอกจากนนั ้ ข้อดีและข้อด้อย ก็ไม่เป็ นสิ่งแน่นอนตายตวั ข้อดถี ้าไมร่ ู้จกั ใช้หรือปฏิบตั ิไม่เป็ น ก็อาจกลายเป็ นข้อเสีย ข้อด้อย ถ้าใช้เป็นปฏิบตั ิถกู ก็กลายเป็นคณุ ประโยชนไ์ ป เลิกงานเกา่ พบโอกาสใหม่ สาหรับการเปลยี่ นแปลงทเ่ี รียกว่าการเกษียณอายุราชการนี ้ ทงั ้ ภาวะเดิมท่ีจะออกไปและภาวะใหม่ที่จะย้ายเข้าไป ทงั ้ สองฝ่ าย ต่างก็มีข้ อดี ต่างก็มีข้ อด้อย การอยู่ในราชการก็เป็ นชีวิตที่ได้ ทางานทาการ ทาคณุ ประโยชน์แก่สงั คมประเทศชาติ และอาจจะ พว่ งมาด้วยเกียรติ ด้วยฐานะอะไรตา่ งๆ นนั ้ ก็เป็ นสว่ นดี พร้ อมกนั นัน้ มันก็มีส่วนด้อยซ่ึงบางทีเราอาจจะไม่ได้มอง อย่างน้อยก็มี สภาพการดาเนินชีวิตท่ีจากัดตัวเองอยู่ในขอบเขตหนึ่ง เม่ือเรา เปลี่ยนไปสู่ภาวะอีกอย่างหน่ึง ท่ีสิน้ สุดการทางานในราชการก็ ไม่ใชห่ มายความว่าทกุ อย่างจะหมดไป ชีวิตก็ยังมีอย่เู หมือนกบั ที่ จะเกิดมีโอกาสใหม่ๆ ขึน้ ด้วย สิ่งที่ดีบางอย่างที่เราไม่มีโอกาสทา
ธรรมะสาหรบั ผูส้ ูงอายุ ๓๑ ไม่มีโอกาสได้ในเวลาท่ียุ่งอย่กู ับงานการนนั ้ เราอาจจะได้ทาเอา ในตอนนี ้จึงกลายเป็ นวา่ การเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเกษียณอายุ นนั ้ อาจจะเป็นการย้ายไปสสู่ ภาพชีวิตท่ีดีย่ิงกว่าเดิม หรือแม้จะไม่ ดกี วา่ แตถ่ ้าเรารู้จกั ใช้ กเ็ ป็นประโยชน์ จึงต้องถือวา่ เป็ นโอกาสและ เป็นประโยชนม์ ากด้วย ขอให้มองง่ายๆ อย่างน้อยหลายท่านเมื่ออยู่ในตาแหน่ง ราชการ เคยมีเกียรติยศ มีฐานะตา่ งๆ ไปไหน ถ้าเป็ นผ้ใู หญ่ อย่าง เป็ นอธิบดี เป็ นผ้วู ่าราชการจังหวดั พอไปท่ีน่นั ท่ีน่ี ก็ได้รับเกียรติ ได้รับยกย่อง คนคอยกุลีกุจอ ล้อมหน้าล้อมหลัง เสนอตวั รับใช้ อะไรต่างๆ พอเกษียณอายุราชการ อะไรต่างๆ ก็เปล่ียนไปแบบ ฉบั พลนั ทนั ที แทบจะว่าวนั รุ่งขึน้ หรืออีกสัปดาห์ต่อมา พอไปในท่ี เก่าที่เคยไป ไม่ค่อยมีใครสนใจ อาจจะไม่มีใครกุลีกุจอต้อนรับ บางทา่ นเม่ือประสบเข้าอย่างนเี ้ลยเกิดความรู้สกึ ใจฝ่ อห่อเหี่ยว สิน้ กาลงั ใจ เมื่อต้องอย่ตู อ่ ไปในภาวะอย่างนนั ้ ชีวิตก็เหี่ยวเฉา ความ เหยี่ วเฉานเี ้ป็นผลร้ายตอ่ ชวี ิต ท่ีจริง การที่ได้ประสบภาวะอย่างนนั ้ ถ้ามองในแง่ธรรมะ ก็คือโอกาสที่เราจะได้เข้าถึงความจริงของชีวิต เราจะได้มาอย่กู ับ ความจริง และจะได้บอกกบั ตวั เองได้ ว่าน่ีแหละคือโลกที่แท้จริง แตก่ อ่ นนตี ้ ้องสวมหวั โขนกนั ตลอดเวลา ไม่ได้เหน็ ความจริง หรือไม่ ก็ปัน้ หน้าปัน้ ตามาแสดงตอ่ กนั แตต่ ่อนีไ้ ปเราจะได้เข้ามาอย่กู ับความ เป็นจริงเสียที จะได้พดู ได้วา่ อ้อ นเ่ี ราเจอแล้ว ความจริงของชวี ิต
๓๒ คติธรรมแห่งชีวติ บรรดาสิ่งทัง้ หลายในโลกนีไ้ ม่มีอะไรดีกว่าความจริ ง พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ บรรดารสทงั ้ หลาย รสแหง่ ความจริงเป็ นรสที่ดี ทีส่ ดุ นา้ อร่อย จะเป็นรสเปรีย้ ว รสหวาน รสเค็ม หรือรสอะไรก็ตาม ก็ส้นู า้ จืดไม่ได้ นา้ จืดบริสทุ ธ์ิเป็ นสิ่งท่ีเราต้องการมากที่สุด แม้ว่า บางครัง้ เราจะต้องการนา้ มีรส แตท่ ่ีจริงแล้วนา้ ท่ีดีท่ีสดุ ก็คือนา้ ที่จืด บริสทุ ธ์ิ ซง่ึ เป็นรสของนา้ แท้ๆ นนั่ ก็คือ รสของสจั จะ อนั เป็ นรสของ ความจริง ความเป็นจริงของชวี ิตนี ้ถ้าเราสมั ผสั ได้เม่ือไรและวางใจ ถูก นนั ้ คือชยั ชนะท่ีแท้ และเป็ นความสาเร็จที่ดีที่สดุ ผ้ใู ดยังไม่ถึง ภาวะนกี ้ ย็ งั ไมป่ ลอดภยั และยงั ไว้ใจจริงไมไ่ ด้ เพราะฉะนนั ้ การที่ได้พ้นไปจากโลกแห่งการสวมหัวโขน มาสโู่ ลกแห่งความเป็ นจริง ย่อมเป็ นชว่ งเวลาท่ีประเสริฐตอนหนึ่ง เวลานนั ้ มาถึงแล้ว เหลือเพียงว่าเราจะปรับใจของเราในการเข้าสู่ ภาวะนนั ้ ได้ถกู ต้อง โดยมองสถานการณ์ด้วยใจที่เข้าถึงความเป็ น จริงได้หรือไม่ อาจจะท่องไว้ในใจว่าการได้อยู่กับความจริงเป็ น โอกาสที่ดที ่สี ดุ ของชวี ิตแล้ว เพราะฉะนนั ้ เม่ือมองในแง่นีจ้ งึ เป็ นโอกาสดีที่วา่ เรากาลงั จะเข้าสชู่ ีวิตที่เป็นจริง มาอย่ใู นโลกแห่งความเป็ นจริง และใจที่อยู่ กบั ความเป็นจริงกอ็ ยดู่ ้วยปัญญา ถ้าเราอยดู่ ้วยปัญญาเราก็สบาย ปลอดโปร่งโลง่ เบาเป็นอสิ ระ การมองในแงข่ องความเป็นอิสระเป็ น ข้อดี แม้แตใ่ นด้านการดาเนินชีวิต แต่ก่อนนีเ้มื่ออย่ใู นราชการชีวิต ย่งุ กบั งานการต่างๆ ซ่งึ เป็ นความบีบรัดตวั ท่ีเราต้องอย่ใู นหลกั ใน เกณฑ์อะไรบางอย่าง หรืออย่ใู นความสมั พนั ธ์กับส่ิงแวดล้อม กับ บคุ คลแวดล้อมที่จาเพาะ ซึง่ เท่ากับบีบเราว่าจะต้องทาอย่างนนั ้
ธรรมะสาหรบั ผูส้ ูงอายุ ๓๓ อย่างนีจ้ นไม่เป็ นตวั ของตัวเอง ตอนนีเ้ รากลบั เป็ นอิสระมากขึน้ การเปลีย่ นแปลงแบบนี ้อย่างน้อยกท็ าให้ชวี ติ ได้พบความแตกต่าง หลากหลายแปลกออกไปบ้าง จริงอยู่ ชีวิตท่ีมีกฎมีเกณฑ์เป็ นระเบียบ ล้อมรอบด้วย ความสัมพันธ์กับผู้อ่ืน ก็ดีไปอย่างหนึ่ง แต่อีกด้านหน่ึงหรืออีก ชว่ งเวลาหนึ่ง เราก็ต้องการความโลง่ ความโปร่ง ความเบา ความ เป็นตวั ของตวั เอง ท่ีไม่มีใครมาย่งุ กบั เรามากนกั ความเป็ นตวั ของ ตวั เองอย่างนีถ้ ้ามีโอกาสได้ ก็เป็ นสิ่งที่ดีและทาให้เกิดความสขุ ได้ ถ้าใจเราพอใจ แตก่ ็ถึงเวลาท่ีจะเป็นอย่างนนั ้ ด้วย เพราะเราจะเป็ น อย่างเดิมอีกก็ไม่ได้อยู่แล้ว เราไม่ควรไปปรารถนาในสิ่งท่ีฝื นต่อ ความเป็ นจริง ทงั ้ เป็ นการได้ฝึ กปรับตวั ปรับใจด้วย จงึ เป็ นโอกาส ของเรา ท่ีจะได้พบกบั การเปลี่ยนแปลงอีกแบบหนง่ึ ซึง่ เป็ นสภาพ ชวี ติ ทีด่ ีคนละแง่ มองอีกแง่หนึ่ง ท่านผู้ทางานราชการมานาน เป็ นผู้ได้ บาเพญ็ คณุ ประโยชน์แก่ประเทศชาติ ทางานทาการมาแล้ว หน้าที่ ที่ควรทาหรือสิ่งที่จะทาให้แก่ประเทศชาติและสังคม เราก็ได้ทา แล้ว บัดนีถ้ ึงเวลาท่ีเราจะเป็ นผ้เู สวยผลบ้าง จึงควรจะมีปี ติ และ ความสขุ กบั คณุ ประโยชน์ที่ตนได้บาเพญ็ ไปแล้ว เรามัวแตท่ างาน มาตัง้ นาน เราก็ยุ่ง ไม่มีเวลาท่ีจะได้ช่ืนอกช่ืนใจกับงาน เพราะ จติ ใจเป็นหว่ งเป็นกงั วลกบั การงานที่ยงั ไมเ่ สร็จ เป็นต้น เวลานีง้ านเหล่านนั ้ เราทาไปแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว จึงควร จะเป็นชว่ งเวลาทีเ่ ราจะเสวยผล มีความอ่ิมใจ ปี ติ สขุ ใจกับสิ่งท่ีเรา
๓๔ คติธรรมแห่งชีวติ ได้ทาไป เรียกว่าเป็ นเวลาแห่งการเสวยผลสักทีหนึ่ง แต่ที่สาคัญ ยิ่งกวา่ นนั ้ ก็คือ นอกจากการเกษียณอายุ จะเป็ นความเปลี่ยนแปลง ท่เี ป็นโอกาสให้เราเข้าไปอย่กู ับโลกแหง่ ความเป็ นจริงของชีวิตแล้ว มันยงั เป็ นโอกาสท่ีชีวิตของเราจะได้พฒั นาย่ิงขึน้ เพื่อเข้าถึงอะไร บางอยา่ งที่ชีวิตของเราควรได้ แตย่ งั ไม่ได้ มองไปข้างหน้า สจู่ ุดหมายสงู กว่าท่ยี งั รอ ชีวติ ของเรานมี ้ ีอะไรหลายอย่าง ท่ีสามารถและก็ควรจะได้ ประสบหรือได้เข้าถึงได้บรรลถุ ึง การมีชีวติ ย่งุ อย่กู ับงานการประจา วนั ที่เป็ นหน้าท่ีของเราในการช่วยเหลือสงั คมประเทศชาติ ก็เป็ น การพฒั นาไปด้านหนึง่ ทาให้ความสามารถหรือศกั ยภาพของเรา ปรากฏผลเป็ นประโยชน์ แตพ่ ร้ อมกันนนั ้ มันก็เหมือนกับเป็ นสิ่งที่ ขดั ขวางเราเหมือนกนั ทาให้เราไม่มีโอกาสพฒั นาชีวิตอีกด้านหนงึ่ ท่เี ราควรจะได้เจริญหรือเข้าถงึ ซง่ึ เป็ นส่ิงท่ีดีงาม เป็ นส่ิงท่ีประเสริฐ ของชีวิต ชีวิตของเราแต่ละชีวิตนนั ้ ยงั มีอะไรที่จะก้าวไปให้ถึงได้อีก ไกล พระพุทธเจ้าตรัสว่า จดุ หมายหรือประโยชน์ที่ชีวิตควรจะ ได้นนั ้ มีหลายชนั ้ อยา่ งง่ายๆ เอาสามชนั ้ กแ็ ล้วกนั ได้แก่ ๑. ประโยชน์ท่ีตามองเหน็ เชน่ ๑.๑ ทรัพย์สินเงินทอง การพง่ึ ตนเองได้ทางเศรษฐกิจ ๑.๒ การยอมรับของสงั คม ตาแหน่ง ฐานะ เกียรติยศ ตา่ งๆ
ธรรมะสาหรบั ผูส้ ูงอายุ ๓๕ ๑.๓ ความมีร่างกายแขง็ แรง สขุ ภาพดี เป็ นคณุ สมบตั ิ สาคัญที่อยู่กับตัวเอง ซ่ึงถือกันว่าเป็ นลาภอัน ประเสริฐ ท่ีท่านสอนว่า อาโรคฺยปรมา ลาภา แปลว่า ความไม่มีโรคหรือสขุ ภาพดีนี ้ เป็ นลาภ อันประเสริฐ หรือสุดยอดแห่งลาภ เพราะถ้ า ร่างกายไม่ดีเสียแล้ว งานการอะไรต่างๆ ก็เสีย หมด แม้แตค่ วามสขุ ท่คี วรจะมีก็เสวยไม่ได้ ๑.๔ ครอบครัวท่ีดีมีความสขุ ก็เป็ นประโยชน์เบือ้ งต้น ของชีวติ ทค่ี วรจะได้ วยั ท่ีผ่านมาเป็ นระยะเวลาที่เรามัวไปว่นุ กับการแสวงหา ประโยชน์ขัน้ ต้ นที่ตามองเห็น บัดนีเ้ ราทาเราหามันมาแล้ ว พอสมควร ยงั มีประโยชน์ทเี่ ป็นจดุ หมายสงู ขึน้ ไปท่ีเรายงั ไม่ค่อยได้ ทา เพราะฉะนนั ้ ทา่ นจงึ บอกวา่ แคน่ ยี ้ งั ไมพ่ อ เม่ือประโยชน์ขนั ้ ต้นมี พอสมควรแล้ว อยกู่ บั มนั มามากแล้ว ก็ควรเข้าถงึ ประโยชน์ท่ีสงู ขึน้ ไป คอื ประโยชนท์ เ่ี ลยจากตามองเหน็ ๒. ประโยชน์ที่เลยจากตามองเหน็ ทา่ นเรียกวา่ ประโยชน์ เบือ้ งหน้า คือการทาชีวิตให้มีคณุ คา่ ทาชีวิตให้ประเสริฐ ให้ดีงาม ให้มีความสุขทางจิตใจ ไม่ใช่มีความสุขแต่เพียงร่างกายหรือ ภายนอกทม่ี องเหน็ กนั ผิวเผิน เราเคยมีความสขุ จากวตั ถทุ มี่ ่งุ หามาบารุงบาเรอ มีปัจจยั ส่ี พร่ังพร้อม มีสิ่งอานวยความสะดวกสบาย เมื่อแสวงหามาได้เราก็
๓๖ คติธรรมแห่งชีวติ มีความสุขไปแบบหนึ่ง ความสขุ ในด้านร่างกายทา่ นก็ยอมรับว่า สาคญั ในระดบั หนงึ่ ต่อมาอีกด้านหนึ่งที่ลึกเข้ าไปก็คือ ความสุขด้านจิตใจ อย่างน้อยความรู้สึกว่าชีวิตของเรามีค่า ได้ทาส่ิงที่ดีงามเป็ น ประโยชนแ์ ล้ว พอรู้สกึ ขนึ ้ มาอยา่ งนี ้เราก็เกิดปี ติ มีความอมิ่ ใจ ความจริงประโยชน์สองอย่างนี ้ อาจจะไปด้วยกัน คือ ในช่วงระยะเวลาของการแสวงหาประโยชน์ที่ตามองเห็น เช่นเมื่อ หาทรัพย์สินเงินทองไปนัน้ ท่ีจริ งเราก็มักไม่ได้ ทาเพียงเ พ่ือ ประโยชน์ส่วนตวั แต่เราทาประโยชน์แก่ผ้อู ื่นพร้ อมไปด้วย โดยมี ความเสียสละ บาเพ็ญประโยชน์แก่สงั คม สงเคราะห์ผ้อู ่ืน แม้แต่ การดแู ลครอบครัวให้ลกู หลานได้เจริญเติบโตมาอย่างดีก็เป็ นการ ทาหน้ าท่ีต่อสังคมอยู่แล้ ว เมื่อเราได้ ทาชีวิตของเราให้ เป็ น ประโยชน์ ได้ทาหน้าที่ที่เป็ นการสร้ างสรรค์ความดีงามแล้ว เราก็มี ความสขุ จากความดีความงามที่ได้บาเพญ็ นนั ้ ทงั ้ หมดนีเ้ ป็ นประโยชน์สขุ ที่เลยจากตามองเห็น ซึ่งเป็ น นามธรรมเป็นสว่ นใหญ่ แตป่ ระโยชน์ขนั ้ นีแ้ หละที่ทาให้เรามีความ ภมู ิใจในชีวิตของเราว่า ชีวิตของเราดาเนินผา่ นมาด้ วยดี มีความ สจุ ริต และได้ใช้ให้เกิดประโยชน์ มีความเกือ้ กลู ต่อสงั คม เรียกว่า เป็นชวี ิตในระดบั แหง่ คณุ คา่ และความดีงาม ขัน้ แรกเป็ นชีวิตแห่งความพรั่งพร้ อมทางวัตถุ จัดเป็ น ประโยชน์ขนั ้ ท่ีหนึ่ง ประโยชน์ต่อมาขนั ้ ท่ีสองเป็ นชีวิตแห่งคณุ ค่า ความดงี าม ความสขุ ทางจติ ใจ ทา่ นบอกวา่ แค่นีย้ งั ไม่พอ ต้องมีอีก ขนั ้ หนงึ่ คอื
ธรรมะสาหรบั ผูส้ ูงอายุ ๓๗ ๓. ชีวิตแหง่ ความเป็ นอิสระ ไม่ผกู พนั ไม่ยึดติดถือม่นั ไม่ ตกอย่ใู ต้อานาจกระแสความเปล่ียนแปลงแปรปรวนของโลกและ ชีวติ ท่เี รียกวา่ โลกธรรม แม้แตค่ นที่ถึงประโยชน์ขัน้ ที่สอง ท่ีเรียกว่าชีวิตแหง่ คณุ คา่ และความดีงามนนั ้ ก็ยงั มีความทกุ ข์จากความดีได้ ถ้ายงั ยึดถือใน ความดีเรากท็ กุ ข์เพราะความดีนนั่ แหละ อนั ที่จริง ทา่ นให้ทาความ ดี ไม่ใชใ่ ห้ยึดถือในความดี คือให้ทาความดีเพราะเป็ นส่ิงท่ีควรจะ ทา เมื่อทาไปแล้วก็ให้ปลอดโปร่งโล่งใจว่า สิ่งท่ีควรทาเราได้ทา แล้ว ถ้าทาด้วยความรู้อย่างนีจ้ ิตใจของเราจะเป็ นอิสระ แตค่ นเรา มักจะยึดติดในความดี เสร็จแล้วเราก็อาจจะต้องมาคร่าครวญ รันทดใจว่า เราทาดีแล้ว ทาไมคนไม่เห็นความดี ทาไมเขาไม่ยก ย่อง ไม่สรรเสริญ ทาไมเราไม่ได้รับผลอย่างนนั ้ อย่างนี ้แล้วเราก็ เสียอกเสียใจเพราะความดีอีก เพราะฉะนนั ้ ความยึดติดถือม่นั ใน ความดจี งึ ยงั ทาให้เกิดทกุ ข์ได้ และคนเราจึงยังมีความทกุ ข์ได้จาก ความดี คนชวั่ ก็มีความทกุ ข์จากความชั่ว คนดีก็ยังมีโอกาสทกุ ข์ จากความดี แม้วา่ จะเป็นความทกุ ข์ท่ีประณีตหนอ่ ย ด้วยเหตนุ ีจ้ งึ ต้องไปถึงขนั ้ ท่ีสาม คือ จิตใจเป็ นอิสระ ด้วย ความรู้เทา่ ทนั เหน็ ความจริงด้วยปัญญา พอปัญญารู้เท่าทนั ความ จริงของโลกและชีวิต เห็นแจ้งในกระแสของกฎธรรมชาติ ว่าสิ่ง ทงั ้ หลายเป็นอนจิ จงั มนั ไมเ่ ท่ียง มนั เปลีย่ นแปลงไปตามเหตปุ ัจจยั ของมัน จะให้เป็ นไปตามใจของเราไม่ได้ เราจะไปปรารถนาให้ เป็ นไปตามใจหวงั ไม่ได้ จะให้มันเป็ นไปอย่างไร ก็ต้องทาให้ตรง
๓๘ คติธรรมแห่งชีวิต ตามเหตุปัจจัย จะได้แค่ไหน ก็เทา่ กบั เหตปุ ัจจยั ที่เราทาได้ จะไป ยึดติดถือมน่ั เอาตามทใี่ จเราอยากให้เป็นไมไ่ ด้ เราต้องอย่กู ับความ เป็นจริง กท็ าจติ ให้เป็นอิสระ ไม่ตกอยใู่ ต้อานาจของกฎธรรมชาติที่ ผนั ผวนปรวนแปร โลกธรรมท่ีเรียกว่า สิ่งท่ีน่าปรารถนา นา่ ชอบใจ บ้าง ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบใจบ้าง ก็เป็ นไปตามปกติของมัน ตามเหตปุ ัจจยั ของมนั พอเราวางใจได้ เราก็โล่ง เราก็โปร่งสบาย น่ี คอื การทาจิตใจให้เป็นอิสระด้วยปัญญารู้เทา่ ทนั เรียกวา่ อย่อู ย่างมี ปัญญา เหน็ แจ้งในความจริง ตอนนเี ้ป็นประโยชนข์ นั ้ สงู สดุ เป็ นขนั ้ ท่สี าม คอื จดุ หมายแหง่ ความมีจติ ใจทเ่ี ป็นอิสระ ในบรรดาประโยชน์ต่างๆ ท่ีจะพงึ เข้าถึงทงั ้ สามขนั ้ เหลา่ นี ้ บางทีเราทางานทาการยุ่งอยู่ จนไม่มีโอกาสจะพัฒนาชีวิตให้ เข้าถงึ จดุ หมายทกุ อย่างให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ดงั นนั ้ ถ้าจะมีเวลาท่ี เป็ นสว่ นชว่ งว่างของชีวิตของเราบ้าง เราก็จะได้เอาเวลานนั ้ มาใช้ ในการพฒั นาชีวิต เพอ่ื เข้าถึงส่งิ ทีด่ งี ามทเ่ี ป็นประโยชน์ท่ีเราควรจะ ได้ยิ่งขนึ ้ ไป เชน่ อยากจะพฒั นาสตปิ ัญญา เพ่ือรู้ความจริงของโลก และชีวิต บางท่านทางานจนกระท่ังแม้แต่จะอ่านหนังสือก็ไม่มี เวลา พอมาถงึ ตอนนเี ้รากม็ ีเวลาขนึ ้ มาบ้างแล้ว เพราะฉะนัน้ จึงกลายเป็ นว่า ตอนนีเ้ ป็ นโอกาสและเป็ น โอกาสท่ีดีมากๆ ด้วย ท่ีว่านีไ้ ม่ใช่วา่ สว่ นท่ีผ่านมาไม่ดี มนั ดีแต่เรา ได้ใช้มนั ค้มุ คา่ แล้ว เราได้ทาไปเตม็ ท่ีแล้ว พอกันที เราอย่าติดอยู่ เลย ถ้าเราไม่เกษียณอายุ เราจะต้องทามันต่อไป สิ่งอ่ืนที่เราควร จะได้ทาก็เลยไม่มีโอกาสทา เราทาพอแล้ว ทาให้เขาเต็มที่แล้ว ตอนนเี ้ราจะหาโอกาสทาอย่างอ่ืนบ้าง
ธรรมะสาหรบั ผูส้ ูงอายุ ๓๙ ขอให้ลองคิดดเู ถิด ตอนนเี ้ราจะต้องวางแผนแล้ววา่ มีอะไร ดีในชีวิตท่ีเราควรจะทา ที่ยังไม่ได้ทา จะได้พฒั นาชีวิตของเราให้ ถึงในตอนนี ้แล้วก็ต้องดใี จเลยวา่ ทีนีถ้ ึงโอกาสนนั ้ แล้ว เตรียมตวั ดี ใจเถิด อยา่ ไปมองเรื่องความหมดสิน้ อย่าไปนึกถึงความสิน้ สดุ วา่ นี่หมดแล้ว ยศ ตาแหนง่ ฐานะ เกียรติ อยา่ ไปมองอยา่ งนนั ้ เลย ที่จริงนนั ้ สารประโยชน์ที่แท้อยู่ในชีวิตจิตใจของเรา มัน ไม่ได้ขนึ ้ อยกู่ บั อาการของคนที่แสดงออกภายนอกท่ีเราเหน็ ผิวเผิน ถ้าไปติดอยกู่ บั สิ่งเหลา่ นนั ้ เราจะเสยี เวลาคิด เสียสมองเปลา่ ๆ เพราะฉะนนั ้ ตอนนแี ้ หละต้องเตรียมมองไว้เลยวา่ ส่ิงอะไร ทด่ี ีทีค่ วรจะทาตอ่ ไป ท่ีจะทาให้ชีวิตมีคา่ เป็ นความดีงามท่ีเราควร จะถึงแต่ยังไม่ถึง ถ้ามองหาขึน้ มา ท่านอาจจะเห็นส่ิงนนั ้ พอนึก ขึน้ มาได้ ท่านจะกลายเป็ นดีใจขึน้ มาทนั ทีว่า โอ้โฮ นี่เราได้โอกาส แล้ว จะได้ทาอนั นีเ้สียที อย่างไรก็ตาม การท่ีจะทาส่ิงมีคณุ คา่ ท่ีว่า นนั ้ หรือจะบรรลถุ ึงส่งิ ดีงามที่วา่ ไว้ข้างต้น ต้องมีเวลา หมายความ วา่ จะต้องมีอายยุ ืนอยตู่ อ่ ไป ต่ออายุให้ยนื พร้อมด้วยใจกายท่แี ขง็ แรง เพราะฉะนนั ้ ตอนนอี ้ าตมาจงึ อยากพดู ถึงหลกั ธรรมหมวด หนง่ึ ที่พระพทุ ธเจ้าตรัสไว้ ซ่งึ เหมาะจริงๆ ที่จะเรียกวา่ เป็ นธรรมะ สาหรับผ้สู งู อายุ คือ มาพดู กนั วา่ ผ้สู งู อายทุ าอย่างไรจะให้มีอายยุ ืน ถ้ าท่านศึกษาพุทธประวัติ จะทราบว่าตอนท้ ายๆ พระพทุ ธเจ้าตรัสวา่ ถ้าพระองค์ต้องการมีอายุตลอดกลั ป์ พระองค์
๔๐ คติธรรมแห่งชีวติ ก็อยู่ได้ แต่ว่ากัลป์ ในท่ีนีห้ มายถึงอายุกัลป์ ไม่ใช่หมายความว่า กัลป์ ท่ียาวถึงสิน้ โลกครัง้ หนึง่ ๆ อายุกัลป์ หมายถึงกาหนดอายุคือ เวลาท่ีเป็นชว่ งชวี ิตของคนในยคุ นนั ้ ๆ เชน่ ในสมยั พระพทุ ธเจ้าก็ถือ ว่ากาหนดอายุคนยาว ๑๐๐ ปี น่ีเรี ยกว่าเป็ นอายุกัลป์ แต่ พระพทุ ธเจ้าทรงมีพระชนมายุเพียง ๘๐ พรรษา ก็ปรินิพพาน ท่ี พระองค์ตรัสว่า ถ้าพระองค์จะอยู่ให้ตลอดอายุกัลป์ ก็อยู่ได้ ก็ หมายความวา่ ถ้าพระองคจ์ ะอยใู่ ห้ตลอด ๑๐๐ ปี ก็ได้ แตพ่ ระองค์ ทรงเหน็ วา่ พระพทุ ธศาสนามีรากฐานที่หยั่งลงม่ันคงพอแล้ว พทุ ธ บริษัทพอจะทาหน้าท่ีสืบตอ่ ส่ิงท่ีพระองค์วางไว้ได้แล้ว พระองค์ก็ เลยปลงพระชนมายุสังขาร ตรัสว่าต่อจากนีไ้ ปอีก ๓ เดือน จะ ปรินิพพาน ทีนีท้ ี่พระองค์ตรัสว่า จะอยู่ได้ตลอดกัลป์ นัน้ จะอยู่ได้ อยา่ งไร พระองคก์ ท็ รงเฉลยไว้ด้วยว่า ต้องบาเพ็ญอิทธิบาท ๔ อนั นีเ้ ป็ นหลักสาคญั ในการที่จะทาให้อายุยืน ท่านผ้ปู รารถนาจะมี อายยุ ืน ต้องบาเพญ็ อทิ ธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ นี ้เราเคยได้ยินกันในแง่ว่าเป็ นธรรมท่ีทาให้ เกิดความสาเร็จ อิทธิบาท แปลวา่ ทางแหง่ ความสาเร็จ หรือธรรม ที่จะให้ถึงความสาเร็จ มี ๔ ประการ คอื ฉนั ทะ วริ ิยะ จิตตะ วิมงั สา ถ้าใช้กบั คนทท่ี างาน กบ็ อกวา่ ๑. รักงาน คือ ฉนั ทะ ๒. ส้งู าน คือ วิริยะ ๓. ใสใ่ จงาน คือ จิตตะ ๔. ทางานด้วยปัญญา คอื วิมงั สา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178