Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6

เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6

Published by thippharat.n, 2020-04-14 03:19:34

Description: เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6 วันที่ 26 มีนาคม 2563

Search

Read the Text Version

97 การได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง จากข้อมูลนี้จึงทำให้เห็นว่ากลุ่มนักเรียน/นักศึกษา มีโอกาสที่จะได้รับ ปัจจยั ท่ีอาจส่งผลต่อการไดย้ นิ ซ่ึงเปน็ เหตทุ ำให้เปน็ โรคการไดย้ ินเสือ่ มเหตุเสยี งดังได้ การศึกษาความสัมพันธ์ด้านปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเสียงดังที่มีผลต่อระดับการได้ยิน เนื่องจาก ได้รับการสัมผัสเสียงดังสูงเกินไป พบว่าอายุและอายุการทำงาน มีผลต่อการเปลี่ยนระดับ ความสามารถในการได้ยินมาตรฐาน ผลร่วมของการรับสัมผัสเสียงและการสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับ การสูญเสียการไดย้ ิน การสูญเสยี การไดย้ ินท่ไี มไ่ ดเ้ กดิ จากการทำงาน มกั เกดิ จากกฬี าหรืองานอดิเรกท่ี เสี่ยงต่อการสัมผัสเสียงที่ดังมากอยู่เป็นประจำ เช่น ยิงปืน ล่าสัตว์ แข่งรถจักรยานยนต์ สถานบันเทิง แสดงใหเ้ หน็ ว่าปจั จยั เหลา่ นีส้ ่งผลตอ่ สมรรถภาพการไดย้ นิ จากการทำงาน (ขวัญชนก ย้ิมแต้, 2560) สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอแนว ทางการป้องกันการสูญเสียการได้ยินจากการประกอบอาชีพดังนี้ คือ การควบคุมที่แหล่งกำเนิด การ ควบคุมที่ทางผ่านของเสียง และการควบคุมที่ผู้รับเสียง ซึ่งการควบคุมที่แหล่งกำเนิดคือการควบคุมที่ มีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น การควบคุมเสียงโดยการใช้วัสดุดูดซับเสียง การควบคุมเสียงโดยการปดิ คลุมแหล่งกำเนิดเสียง การควบคุมเสียงโดยลดแรกกระแทกหรือกระทบ เป็นต้น การควบคุมท่ี ทางผ่านของเสียง เช่น การติดตั้งฉากกำบังขวางกั้นทางเดินของเสียง เป็นต้น ส่วนการป้องกันทาง สุขภาพซึ่งเป็นการเฝ้าระวังการเกิดโรคโดยการจัดให้มีการตรวจสุขภาพแก่พนักงานโดยเฉพาะผู้ท่ี ทำงานสัมผัสเสียงดัง โดยจัดให้มีการตรวจสุขภาพพนักงานก่อนเข้าทำงานและก่อนปฏิบัติงาน การ ตรวจสมรรถภาพการได้ยินจากแพทย์ เพื่อเปน็ การตรวจคัดกรองโรคเบอ้ื งต้นหากผลการตรวจสุขภาพ พบวา่ มีผ้เู รม่ิ มีอาการของโรคเกิดข้นึ ในระยะแรกเรม่ิ ควรไดร้ ับการดูแลป้องกันโดยการจัดเปลี่ยนการ ทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเสียงดังต่อไป (สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2547) สำหรับการแก้ปัญหาเสียงดังในห้องคาราโอเกะนั้นก็สามารถนำแนวทางการป้องกันการ สูญเสียการได้ยินจากการประกอบอาชีพ ได้แก่ การควบคุมที่แหล่งกำเนิด การควบคุมที่ทางผ่านของ เสียง และการควบคุมที่ผู้รับเสียงมาประยุกต์ใช้ได้ เช่น การควบคุมที่แหล่งกำเนิดโดยการใช้วัสดุดูด ซับเสียงติดที่ผนัง หลังคา ฝ้า พื้นและเพดาน มีการลดระดับเสียงไมโครโฟนและเสียงดนตรีให้อยู่ใน ระดับที่ไม่ดังเกินไป การควบคุมที่ทางผ่านของเสียงโดยเพิ่มขนาดห้องให้มีขนาดใหญ่และจัดให้ ไมโครโฟนที่มรี ะยะหา่ งจากลำโพง (สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ , 2547) และการควบคมุ ที่ผู้รับเสียงโดยการจัดให้มีข้อแนะนำในการร้องคาราโอ เกะว่าไม่ควรตะเบ็งเสียงแข่งกับดนตรีขณะร้องคาราโอเกะเนื่องจากทำให้เพิ่มโอกาสในการสูญเสีย สมรรถภาพการไดย้ ินได้ (Min-Yong Park, 2003) การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีขอบเขตการศึกษาวิจัยในบริเวณรอบมหาวิทยาลัยบูรพา เนื่องจากมี รา้ นคาราโอเกะจำนวนมากที่เปดิ ใหบ้ รกิ าร นสิ ติ จงึ ไปใชบ้ ริการเพ่อื ผอ่ นคลายความเครียด แต่การร้อง

98 คาราโอเกะนั้นก็มีปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นผลเสียกับสมรรถภาพการได้ยินได้ด้วยและ จากการทบทวน วรรณกรรมทศ่ี กึ ษาเก่ยี วกับสมรรถภาพการไดย้ ินพบวา่ โดยส่วนมากจะศึกษาในสถานทท่ี ่ีมเี สียงดังมาก เชน่ ในโรงงาน สถานบนั เทงิ แตก่ ารศกึ ษาในผ้ทู ีม่ าใชบ้ รกิ ารห้องร้องเพลงคาราโอเกะ ยงั ไม่แพรห่ ลาย ผูว้ จิ ยั จึงมคี วามสนใจท่ีจะศึกษาปัจจยั ท่สี ัมพนั ธ์กบั สมรรถภาพการได้ยนิ ของผู้มาใช้บรกิ ารร้านคารา- โอเกะรอบมหาวทิ ยาลยั บรู พา เพอื่ หาปจั จัยทีม่ ีความสัมพนั ธ์กับสมรรถภาพการไดย้ ิน นำไปเปน็ ข้อมูล ในการเฝ้าระวังการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินของผู้มาใช้บริการต่อไปได้ และเป็นข้อมูลให้แก่ผู้ท่ี สนใจทำวจิ ัยเกีย่ วกบั ปจั จัยที่มีความสมั พนั ธก์ ับสมรรถภาพการได้ยนิ ของผมู้ าใชบ้ รกิ ารร้านคาราโอเกะ ไดอ้ ีกด้วย วิธกี ารวจิ ยั การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวาง ช่วงระยะเวลาที่ศึกษา คือ เดือน มกราคม - มีนาคม 2562 เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้ บริการร้านคาราโอเกะรอบมหาวิทยาลัยบรู พา ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ประชากรที่ศกึ ษา คือ นสิ ติ มหาวิทยาลยั บรู พาที่มาใช้บรกิ ารร้านคาราโอเกะรอบมหาวทิ ยาลยั บูรพา คำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรไม่ทราบขนาดตัวอย่างของ W.G. Cochran (อ้างถึง ใน ธีรวุฒิ เกอะกุล, 2543) โดยกำหนดระดับค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 90 ระดับค่าความคลาดเคลื่อน ร้อยละ 10 และกำหนดให้ P=0.5 ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่คำนวณได้คือ 68 คน โดยทำการสุ่มกลุ่ม ตัวอยา่ งแบบบังเอญิ และเป็นผทู้ ีม่ ีคณุ สมบตั ิตามเงอ่ื นไขโดยมีเกณฑ์คัดเขา้ คือ เป็นนิสิตที่มาใช้บริการ ร้านคาราโอเกะที่ศึกษาและยินยอมเข้าร่วมการวิจัย ส่วนเกณฑ์คัดออก คือ เป็นผู้ที่มีโรคประจำตัวท่ี เกี่ยวขอ้ งกับการไดย้ ินหรือการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกบั หู เช่น หูตึง ได้รับวนิ จิ ฉัยจากแพทย์ว่าการได้ยนิ เสียงบกพร่อง มีการติดเชื้อทางหู มีประวัติการเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะขั้นรุนแรงหรือเคยผ่าตัดบริเวณ ศีรษะ มีโรคประจำตัวหรือมีอาการดังนี้ ไซนัสอักเสบ เวียนศีรษะ บ้านหมุน เป็นหวัด คางทูม หัด เยอรมัน วัณโรค ฝีที่หลังกกหู เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคทางสมอง เบาหวาน หูน้ำหนวกหรือมีความ ผิดปกติทางหู มาลาเรยี มเี สียงในหู หอู อื้ ปวดหูและไมม่ ีการใชย้ าทม่ี ีผลตอ่ การได้ยนิ เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นงานวจิ ัย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ มีทั้งหมด 3 เครื่องมือ ประกอบด้วย 1) เครื่องวัดระดับเสียง LARSON DAVIS รุ่น 831 หมายเลขเครื่อง 0003506, 0003507 มาตรฐานเครื่อง IEC 61672-2002 และเครื่องระดับวัดเสียง QUEST TECHNOLOGIES รุ่น SoundPro หมายเลขเครื่อง BIMI 110020, BIJ 100017 มาตรฐานเครื่อง IEC 61672-2002 โดยปรับเทียบความถูกต้องกับ Acoustics Calibrator มาตรฐาน IEC 60942-2003 2) เครื่องตรวจสมรรถภาพการไดย้ ิน ปรับเทยี บความถกู ต้อง

99 โดย Method no WP.A.D.01 และ 3) แบบสอบถามเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการ ไดย้ ินของนิสติ ผ้มู าใชบ้ ริการร้านคาราโอเกะรอบมหาวิทยาลยั บรู พา แบง่ ออกเป็น 2 สว่ น ไดแ้ ก่ ปัจจยั สว่ นบุคคลจำนวน 6 ขอ้ ประกอบดว้ ย เพศ อายุ ระดับชั้นปีทศี่ กึ ษา การสูบบุหร่ี การด่มื สุรา และงาน อดิเรกเกี่ยวกับเสียงดัง และปัจจัยด้านการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับสัมผัสเสียงดังจำนวน 7 ข้อ ประกอบด้วย ความถี่ในการมาใช้บริการร้านคาราโอเกะ จำนวนชั่วโมงที่มาใช้บริการร้านคาราโอเกะ/ ครั้ง แนวเพลงที่ฟัง/ร้อง ความถี่ในการเข้าผับ/บาร์ ความถี่ในการใช้หูฟัง ประวัติการทำงานในอดีต/ ปจั จุบนั ท่เี กยี่ วข้องกับเสียงดงั การทดสอบคุณภาพเครื่องมอื ที่ใช้ เครื่องวัดเสียงระดบั เสียงจะทำการปรับเทียบความถูกต้อง กบั Acoustics Calibrator ก่อนใช้งานทกุ ครัง้ และทดสอบความตรงเชิงเน้ือหาของแบบสอบถามโดย ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน เป็นผู้ตรวจสอบ ผลการทดสอบความตรงเชิงเนื้อของแบบสอบถามเท่ากับ 0.64 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีขั้นตอนการเก็บ เริ่มจากผู้วิจัยทำการศึกษาข้อมูลจาก แหล่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดขอบแขตในการศึกษาและกรอบแนวคิดในการวิจัย สำรวจร้าน คาราโอเกะที่อยู่รอบมหาวิทยาลัยบูรพาและดำเนินการขออนุญาตสถานประกอบการเพื่อขอเก็บ ข้อมูล ในขั้นตอนของการตรวจวัดระดับเสียงภายในห้องคาราโอเกะและแจกแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้มี การชี้แจงวัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั และสอบถามความสมัครใจในการเข้าร่วมการวิจัยของกลุ่มตวั อย่าง ทำการติดตั้งเครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter) ตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงาน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการตรวจวัด และการวิเคราะห์สภาวะการทํางานเกี่ยวกับระดับความ รอ้ น แสงสว่าง หรอื เสียง รวมทัง้ ระยะเวลาและประเภทกจิ การทีต่ อ้ งดาํ เนินการ พ.ศ. 2561 โดยตั้งคา่ การวัดเป็นแบบแยกความถี่ ติดตั้งเครื่องไว้ตลอดการร้องเพลงของกลุ่มตัวอย่าง ทำการเก็บข้อมูล ปัจจัยส่วนบุคคลและปัจจัยด้านการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับสัมผัสเสียงดัง โดยใช้แบบสอบถามและ ดำเนินการตรวจสมรรถภาพการ ได้ยินหลังจากที่สิ้นสุดการร้องเพลง ใช้วิธีการตรวจโดยใช้เสียง บริสุทธิ์ (Pure-tone audiometry) ชนิดการนำเสียงทางอากาศ (Air conduction test) โดยทำการ ตรวจวัดในคลื่นความถี่ 250, 500, 1000, 2000, 3000, 4000, 6000 และ 8000 Hz. การแปลผล สมรรถภาพการได้ยินจะพิจารณาใช้จุดตัดที่ระดับ 25 dB เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาหากระดับการได้ ยนิ ที่ความถ่ใี ดของหขู าง้ ใดกต็ าม มีค่ามากกวา่ 25 dB ให้ถือวา่ ผลการตรวจระดบั การได้ยินที่ความถี่ นั้น “มีระดับการได้ยินลดลง” โดยไม่ต้องแบ่งระดับความรุนแรง (Severity) ของระดับการได้ยินที่ ลดลง (สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค, 2560) เนื่องด้วยการศึกษา ครั้งนี้ผู้วิจัยไม่สามารถจำกัดการรับสัมผัสเสียงอย่างอื่นของกลุ่มตัวอย่างและไม่ได้มีการพักหูก่อนการ ตรวจวดั ดงั น้นั ผลสมรรถภาพการได้ยินท่ไี ด้จะเปน็ Temporary Threshold Shift ผูว้ จิ ัยจึงใชค้ ำวา่

100 “มีผลกระทบต่อการได้ยิน” แทนคำว่า “มีระดับการได้ยินลดลง” ในผู้ที่มีค่าระดับการได้ยินมากกว่า 25 dB ในแต่ละความถี่ของหูข้างใดข้างหนึ่ง และใช้คำว่า “ไม่มีผลกระทบต่อการได้ยิน” ในผู้ที่มีค่า ระดับการไดย้ ินไม่เกิน 25 dB ในแต่ละความถ่ีของหูข้างใดขา้ งหนึ่ง การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคล และปัจจัยการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับสัมผัสเสียงดัง โดยใช้ สถิติพรรณนาจะรายงานผลในรูปแบบของจำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าต่ำสุด และค่าสูงสุด การหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ศึกษากับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้บริการ ร้านคาราโอเกะโดยใชส้ ถติ ิ Chi-Square ผลการวิจัย ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของกลุม่ ตัวอยา่ งจำแนกตามปจั จัยส่วนบคุ คล (n=68) ปจั จยั สว่ นบคุ คลของกลุ่มตวั อยา่ ง จำนวน (รอ้ ยละ) เพศ ชาย 10 (14.71) หญงิ 58 (85.29) อายุ (ปี) 18 -20 44 (64.71) มากกวา่ 20 24 (35.29) คา่ เฉลี่ย ± S.D. 20.32 ± 1.04 ค่าสงู สุด – ต่ำสุด 18 - 23 การสูบบุหร่ี สบู 2 (2.94) ไมส่ ูบ 66 (97.06) การดืม่ สุรา ดมื่ 31 (45.59) ไมด่ ่ืม 37 (54.41)

101 ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของกลุ่มตวั อย่างจำแนกตามปจั จยั สว่ นบคุ คล (n=68) (ตอ่ ) ปจั จัยสว่ นบุคคลของกลมุ่ ตวั อย่าง จำนวน (รอ้ ยละ) จำนวนงานอดเิ รกทีเ่ กยี่ วกบั เสยี งดัง (กจิ กรรม) 23 (33.83) 1 24 (35.29) 2 13 (19.12) 3 มากกว่า 3 8 (11.76) จากตารางที่ 1 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 85.29 มีอายุระหว่าง 18 - 20 ปี มากที่สุด ร้อยละ 64.71 การสูบบุหรี่ส่วนใหญ่ ไม่สูบบุหรี่ ร้อยละ 97.06 ส่วนใหญ่ไม่ดื่มสุรา ร้อยละ 54.41 และมีจำนวนงานอดิเรกที่เกี่ยวข้องเสียงดังส่วนใหญ่อยู่ที่ 2 กิจกรรม โดยงานอดิเรกท่ี กลุ่มตวั อยา่ งสว่ นใหญ่เลือกปฏิบัตมิ ากท่ีสดุ คือการฟังเพลงโดยใสหฟู งั รอ้ ยละ 88.24 รองลงมาคือการ รอ้ งเพลงแบบใช้ไมโครโฟน รอ้ ยละ 51.4 ตารางที่ 2 จำนวน รอ้ ยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จำแนกตามการปฏบิ ตั เิ กีย่ วกับการรับสมั ผัสเสยี งดัง (n=68) การปฏิบตั ิเกี่ยวกบั การรับสัมผสั เสยี งดงั จำนวน (ร้อยละ) ความถี่ในการมาใช้บรกิ าร (ครัง้ /เดือน) 1 48 (70.59) 2 11 (16.18) 3 7 (10.29) 4 1 (1.47) มากกว่า 4 1 (1.47) ค่าเฉลย่ี ± S.D. 1.47±0.85 ค่าสงู สุด – ต่ำสุด 1-5 จำนวนชวั่ โมงที่มาใช้บริการ (ชั่วโมง/คร้ัง) 1 8 (11.76) 2 49 (72.06) 3 10 (14.71)

102 ตารางที่ 2 จำนวน ร้อยละของกลมุ่ ตัวอยา่ ง จำแนกตามการปฏบิ ัตเิ กี่ยวกบั การรับสมั ผสั เสยี งดงั (n=68) (ตอ่ ) การปฏิบัติเก่ียวกับการรับสมั ผสั เสียงดงั จำนวน (รอ้ ยละ) จำนวนช่ัวโมงท่มี าใชบ้ ริการ (ชัว่ โมง/คร้งั ) (ตอ่ ) 1 (1.47) 4 2.05±0.56 คา่ เฉลย่ี ± S.D. คา่ สูงสุด – ต่ำสดุ 1-4 ความถใี่ นการเข้าผับ/บาร์ (คร้งั /เดือน) 27 (39.71) ไม่เคย 34 (50.0) นาน ๆ คร้ัง บอ่ ย 3 (4.41) บ่อยมาก 4 (5.88) ความถีใ่ นการใช้หูฟงั (ครัง้ /สปั ดาห์) 2 (2.94) ไมเ่ คย นาน ๆ ครงั้ 35 (51.47) บ่อย 27 (39.71) บอ่ ยมาก 4 (5.88) ประวตั ิการทำงานในอดีต/ปจั จุบันทเ่ี ก่ียวขอ้ งกับเสยี งดัง มี 11 (16.18) ไมม่ ี 57 (83.82) จากตารางที่ 2 การปฏิบัติเกี่ยวกับการรับสัมผัสเสียงดังของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า แนวเพลงท่ี กลมุ่ ตวั อย่างเลือกรอ้ งมากท่สี ดุ คือ แนวเพลง Pop โดยความถ่ีในการมาใชบ้ รกิ ารร้านคาราโอเกะของ กลุ่มตัวอย่าง คือ นาน ๆ ครั้ง ร้อยละ 70.59 และจำนวนชั่วโมงที่ร้องในแต่ละครั้ง ส่วนใหญ่คือ 2 ชั่วโมง ร้อยละ 72.06 นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างมีการเข้าผับ/บาร์ ร้อยละ 60.29 โดยจำนวนครั้งที่เข้า ผับ/บาร์ของกลุ่มตัวอย่าง อยู่ที่ 1-2 ครั้ง/เดือน กลุ่มตัวอย่างมีการใช้หูฟัง ร้อยละ 97.06 ความถี่ใน การใช้หูฟังอยู่ที่ 6-10 ครั้งต่อสัปดาห์ จำนวนชั่วโมงที่ใช้หูฟังในแต่ละครั้งอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมง/ครั้ง และ กลมุ่ ตวั อย่างส่วนใหญไ่ ม่มีประวตั ิการทำงานในอดีต/ปัจจุบนั ที่เกยี่ วข้องกบั เสียงดัง ร้อยละ 83.8

103 ตารางท่ี 3 การรบั สมั ผสั ระดับเสยี งภายในห้องคาราโอเกะ (n=68) ชว่ั โมงการรบั *ระดับเสยี งเฉลี่ยทยี่ อมให้รบั จำนวนกล่มุ ตวั อยา่ งทีร่ บั สมั ผัสเสยี ง สัมผัสสยี ง สัมผัส dB(A) เกินคา่ มาตรฐาน (ร้อยละ) 1 94 11 (16.18) 2 91 12 (17.65) 3 89.25 6 (8.82) *ระดบั เสียงเฉล่ียท่ยี อมให้รับสัมผัส dB(A) ตามประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรอื่ ง มาตรฐาน ระดบั เสียงท่ยี อมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานในแตล่ ะวนั พ.ศ. 2561 จากตารางที่ 3 พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 68 คน มีกลุ่มตัวอย่างที่รับสัมผัสเสียงเกินค่า มาตรฐานของ 1 ชั่วโมง 11 คน (16.18%) 2 ชั่วโมง 12 คน (17.65%) และ 3 ชั่วโมง 6 คน (8.82%) รวมเป็น 29 คน ตารางท่ี 4 จำนวนและร้อยละของกลมุ่ ตัวอย่าง จำแนกตามสมรรถภาพการได้ยินหลังการร้อง คาราโอเกะ (n=68) สมรรถภาพการได้ยิน จำนวน (คน) ร้อยละ * ไมม่ ีผลกระทบ 47 69.12 ** มีผลกระทบ 21 30.88 * ไม่มีผลกระทบ หมายถงึ ระดับการไดย้ ินในแตล่ ะความถ่ใี นหใู ดข้างหน่งึ มีคา่ ไม่เกิน 25 dB ** มีผลกระทบ หมายถงึ ระดบั การได้ยนิ ในแตล่ ะความถ่ีในหูข้างใดขา้ งหนึ่งมีคา่ เกนิ 25 dB จากตารางที่ 4 พบวา่ สมรรถภาพการไดย้ ินของกลุ่มตวั อยา่ งหลงั จากที่ส้ินสุดการรอ้ งคาราโอ- เกะส่วนใหญ่พบวา่ กลมุ่ ตัวอยา่ งมีสมรรถภาพการไดย้ นิ อยู่ในเกณฑ์ไม่ไดร้ ับผลกระทบมากทสี่ ุด ร้อยละ 69.12 และอยู่ในเกณฑ์ไดร้ บั ผลกระทบ ร้อยละ 30.88 และความถีท่ ี่มผี ลการตรวจสมรรถภาพ การได้ยินท่ีมคี า่ มากกวา่ 25 dB ในขา้ งหูขวาและหูขา้ งซ้าย มากที่สดุ คอื ความถ่ีที่ 6000Hz คิดเป็นร้อยละ 7.35 และ 8.82 ตามลำดับ

104 ตารางที่ 5 ความสมั พนั ธข์ องปัจจัยทศ่ี กึ ษากับสมรรถภาพการได้ยนิ สมรรถภาพการไดย้ ิน (n=68) ปัจจัย ไม่ได้รับ ไดผ้ ล χ2 p ผลกระทบ กระทบ เพศ 0.650a 0.420 ชาย 8 (80) 2 (20) หญงิ 39 (67.2) 19 (32.8) อายุ (ปี) 0.051 0.821 18-20 30 (68.2) 14 (31.8) มากกวา่ 20 17 (70.8) 7 (29.2) การสูบบหุ ร่ี 0.921a 0.337 สบู 2 (100) 0 (0) ไม่สูบ 45 (68.2) 21 (31.8) การดื่มสรุ า 0.051 0.822 ด่มื 21 (67.7) 10 (32.3) ไม่ด่มื 26 (70.3) 11 (29.7) จำนวนงานอดิเรกที่เกย่ี วกับเสยี งดัง (กจิ กรรม) 1.776a 0.620 1 16 (69.6) 7 (30.4) 2 17 (70.8) 7 (29.2) 3 10 (76.9) 3 (23.1) มากกว่า 3 4 (50.0) 4 (50.0) ความถใ่ี นการมาใช้บริการ (ครั้ง/เดอื น) 2.32a 0.676 1 31 (64.6) 17 (35.4) 2 8 (72.7) 3 (27.3) 3 6 (85.7) 1 (14.3) a = Fisher’s Exact probability test

105 ตารางท่ี 5 ความสมั พันธข์ องปจั จยั ทศ่ี กึ ษากบั สมรรถภาพการได้ยิน (ตอ่ ) สมรรถภาพการไดย้ นิ (n=68) ปจั จยั ไม่ได้รบั ได้รบั χ2 p ความถีใ่ นการมาใช้บรกิ าร (ครงั้ /เดือน) (ตอ่ ) ผลกระทบ ผลกระทบ 0.470 0.565 4 1 (100.0) 0 (0) 0.530 0.777 มากกวา่ 4 1 (100.0) 0 (0) จำนวนชัว่ โมงที่มาใชบ้ รกิ าร (ชว่ั โมง/ครัง้ ) 2.528a 1 5 (62.5) 3 (37.5) 2 35 (71.4) 14 (28.6) 3 7 (70.0) 3 (30.0) 4 0 (0) 1 (100.0) ความถ่ีในการเขา้ ผบั /บาร์ (คร้ัง/เดือน) 2.034a ไมเ่ คย 17 (63.0) 10 (37.0) นาน ๆ ครั้ง 26 (76.5) 8 (23.5) บ่อย 2 (66.7) 1 (33.3) บ่อยมาก 2 (50.0) 2 (50.0) ความถี่ในการใชห้ ฟู งั (ครง้ั /สปั ดาห)์ 2.211a 0.080a ไมเ่ คยใช้ 1 (50) 1 (50) 11 (31.4) นาน ๆ ครัง้ 24 (68.6) 9 (33.3) บ่อย 18 (66.7) 0 (0) บอ่ ยมาก 4 (100) 3 (27.3) 18 (31.6) ประวัติการทำงานในอดีต/ปัจจุบนั ทีเ่ กีย่ วข้องกับเสยี งดงั มี 8 (72.7) ไมม่ ี 39 (68.4) a = Fisher’s Exact probability test

106 ตารางที่ 5 ความสัมพันธ์ของปจั จัยทศี่ ึกษากบั สมรรถภาพการไดย้ นิ (ต่อ) สมรรถภาพการไดย้ นิ (n=68) ปจั จัย ไมไ่ ดร้ ับ ไดร้ ับ χ2 p ผลกระทบ ผลกระทบ การรบั สมั ผสั ระดับเสยี งภายในหอ้ งคาราโอเกะ 1.177 0.278 10 (25.6) ไมเ่ กินเกณฑม์ าตรฐาน 29 (74.4) 11 (37.9) เกินเกณฑม์ าตรฐาน 18 (62.1) a = Fisher’s Exact probability test ไม่เกินเกณฑม์ าตรฐาน หมายถงึ รบั สมั ผสั ระดับเสยี งไมเ่ กนิ 94, 91, 89.25 dB(A) ในเวลา 1, 2, 3 ชว่ั โมง เกนิ เกณฑม์ าตรฐาน หมายถงึ รับสมั ผสั ระดับเสียงเกิน 94, 91, 89.25 dB(A) ในเวลา 1, 2, 3 ช่ัวโมง อภปิ รายผลการวจิ ัย จากการศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้บริการร้านคารา - โอเกะรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน 68 คน พบว่า ผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินของกลุ่ม ตัวอย่างหลังการร้องคาราโอเกะโดยใช้เกณฑ์ของสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม (2560) พบวา่ จากกลุ่มตวั อย่างจำนวน 68 คน เมื่อทำการตรวจสมรรถภาพการได้ยินหลังจากท่ีส้ินสุด การร้องคาราโอเกะ มี 21 คน ที่ผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินอยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อการได้ ยนิ หลงั การร้องคาราโอเกะ คิดเปน็ ร้อยละ 30.88 ความถที่ ีพ่ บผลการตรวจสมรรถภาพการไดย้ ินที่มีค่า มากกว่า 25 dB มากที่สุดอยู่ที่ความถี่ 6000 Hz ค่าระดับเสียงเฉลี่ยของการศึกษาในครั้งนี้คือ 92.32 dB(A) และมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 29 คน คิดเป็นร้อยละ 42.64 ที่ได้รับสัมผัสระดับเสียงเฉลี่ยเกินค่า มาตรฐาน ตามประกาศกรมสวสั ดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้าง ได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทํางานในแต่ละวัน ซึ่งพบว่าในจำนวนนี้มีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 11 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.9 ท่ผี ลสมรรถภาพการได้ยินอยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบตอ่ การไดย้ ินหลังการร้องคารา- โอเกะ โดยเมื่อศึกษาในเชิงลึก พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้ง 11 คน มากกว่าร้อยละ 80 กลุ่มตัวอย่างมีการ ดื่มสุราและมีจำนวนงานอดิเรกที่เดี่ยวข้องกับเสียงดัง 3 กิจกรรม ส่วนจำนวนชั่วโมงที่ใช้ในการร้อง คาราโอเกะแตล่ ะครงั้ อยทู่ ี่ 2 ชว่ั โมง เพศ จากการศึกษาพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่มาใช้บริการ ร้านคาราโอเกะ ซงึ่ สอดคล้องกับการศกึ ษาของจิราพร ประกายรุง้ ทองและคณะ (2560) ที่ได้ศกึ ษา

107 เกี่ยวกับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการสูญเสียการได้ยินจากการทำงาน ในกลุ่มคนงานโรงงาน อุตสาหกรรมผลติ ชิ้นสว่ นรถยนต์ จังหวัดสุพรรณบุรี พบวา่ เพศไมม่ คี วามสมั พันธก์ ับสมรรถภาพการได้ ยิน ทั้งนี้อาจเนือ่ งจากการศึกษากลุ่มตัวอย่างมีเพศหญิงร้อยละ 85.29 ซึ่งมีการศึกษาเรือ่ งเพศกับการ สูญเสียการได้ยิน มีรายงานว่าอุบัติการณ์ของการสูญเสียการได้ยินในเพศหญิงจะน้อยกว่าเพศชาย ดงั นน้ั จงึ เป็นผลทำให้เพศไม่มคี วามสมั พนั ธ์กับสมรรถภาพการได้ยิน อายุ จากการศึกษาพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่มาใช้บริการ ร้านคาราโอเกะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการศึกษาของสาวิตรี ชัยรัตน์และคณะ (2556) ที่ได้ศึกษาการ เปลี่ยนระดับความสามารถในการได้ยินมาตรฐานในพนักงานบริษัทผลิตมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ ท่ี กล่าวว่า การที่มีอายุมากขึ้นจะทำให้มีความเสื่อมของอวัยวะที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการได้ยิน ซึ่งพบว่า อัตราการเกิดการสูญเสียการได้ยินในผู้ใหญ่จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น จากการศึกษาในพนักงาน บริษัทผลิตมอเตอร์คอมเพรสเซอร์พบว่า อายุเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนระดับความสามารถใน การได้ยินมาตรฐาน โดยในพนักงานที่มีอายุมากกวา่ 40 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงมากกว่าพนักงานทีม่ ีอายุ น้อยกว่า 40 ปี ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวอาจเนื่องจากการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่ม ตัวอยา่ งมอี ายุระหว่าง 18 – 22 ปี ซึ่งเปน็ ผลทำใหไ้ ม่พบความสัมพันธจ์ ากการศกึ ษาครั้งน้ี การสูบบุหรี่ จากการศึกษาพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่มาใช้ บริการร้านคาราโอเกะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการศึกษาของพัฒนาพร กล่อมสุนทรและคณะ (2556) ที่ได้ ศึกษาในพนักงานโรงงานน้ำตาลสหเรือง ที่กล่าวว่า พนักงานที่มีการสูบบุหรี่จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการ เกิดการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินจากการสัมผัสเสียงดังมากกว่าพนักงานที่ไม่สูบบุหรี่ 14.21 เท่า อย่างมีนัยสำคัญทางสถิต และการศึกษาของภูวสิทธิ์ สิงหภูมิและคณะ (2552) กล่าวคือผู้ที่สูบบุหรี่จะ มีโอกาสเกดิ การสญู เสียการได้ยินเพิ่มขึน้ ผลการศึกษาพบว่าผู้ที่สูบบุหรีม่ คี วามเสี่ยงต่อการสูญเสยี การ ได้ยินมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 1.69 เท่า ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเนื่องจากการศึกษากลุ่ม ตวั อยา่ ง ร้อยละ 97.06 ทไี่ ม่สบู บหุ ร่ี ดว้ ยเหตผุ ลน้จี ึงทำให้การสูบบุหรไี่ ม่มีความสมั พันธ์กับสมรรถภาพ การไดย้ นิ การดื่มสุรา จากการศึกษาพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์ต่อสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่มาใช้ บริการร้านคาราโอเกะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับการศึกษาของพัฒนาพร กล่อมสุนทรและคณะ (2556) ที่ กลา่ ววา่ การด่ืมสุราทมี่ คี วามสมั พนั ธ์กับการสูญเสยี สมรรถภาพการได้ยินในเชิงป้องกนั น้ันอาจเนอื่ งมา

108 จากการดื่มสุราจะส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของประสาทรับเสียงนั้นลดลง และเมื่อดื่มสุรามาก ๆ ความสามารถในการทำงานลดลงและมีโอกาสในการหยุดงานเพิ่มข้ึน จำนวนงานอดิเรกท่ีเกี่ยวกับเสยี งดัง จากการศกึ ษาพบว่าไม่มีความสัมพันธก์ บั สมรรถภาพการ ไดย้ นิ ของนิสิตท่มี าใชบ้ ริการร้านคาราโอเกะ ซงึ่ ไมส่ อดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ Barone JA et al (1987) พบวา่ งานอดิเรกทม่ี ีเสียงดังและอายกุ ารทำงานในโรงงานเปน็ ปจั จัยทที่ ำใหส้ ญู เสยี การไดย้ ิน การไม่พบ ความสัมพันธ์ของงานอดิเรกและสมรรถภาพการได้ยินที่ศึกษาในครั้งนี้อาจเนื่องมาจากการปฏิบัติ เกี่ยวกบั กจิ กรรมที่มีเสียงดังของกลุม่ ตัวอย่าง ไม่ได้เปน็ ในลักษณะท่ีปฏิบัติทุกวัน แต่เป็นเพียงกจิ กรรม ที่ปฏิบัติยามว่างในลักษณะแบบครั้งคราว จึงอาจไม่พบความสัมพันธ์ของสมรรถภาพการได้ยินกับงาน อดเิ รก ความถี่ในการมาใช้บริการร้านคาราโอเกะ จากการศึกษาพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่มาใช้บริการร้านคาราโอเกะ เนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างมีการม าใช้ บริการร้านคาราโอเกะแบบนานๆ ครั้ง ส่วนใหญ่อยูท่ ีป่ ระมาณ 1 ครั้ง/เดือน คิดเป็นร้อยละ 88.23 ซึ่ง อาจมีผลให้โอกาสในการรับสัมผัสเสียงของกลุ่มตัวอย่างลดลง การศึกษาครั้งนี้จึงไม่พบความสัมพันธ์ กบั สมรรถภาพการไดย้ ิน จำนวนชั่วโมงที่มาใช้บริการร้านคาราโอเกะ จากการศึกษาพบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการได้ยิน ซึ่งไม่สอดคล้องกับจิราพร ประกายรุ้งทอง และคณะ (2560) ที่ได้ศึกษาเรื่อง ปจั จยั ที่มีความสมั พันธต์ อ่ การสญู เสยี การไดย้ นิ จากการทำงาน ในกลุม่ คนงานโรงงานอุตสาหกรรมผลิต ชิ้นส่วนรถยนต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่พบว่า ระยะเวลาการทำงานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป มีความสัมพันธ์ และความเส่ียงตอ่ การสญู เสียการได้ยนิ จากการประกอบอาชีพ เนือ่ งด้วยคนงานมกี ารรับสัมผัสเสียงดัง เกิน 85 dB(A) ใน 8 ชั่วโมงการทำงาน จึงทำให้มีผลต่อความสามารถในการได้ยินมาตรฐาน แต่ การศึกษาครั้งนี้ พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาไม่ได้รับสัมผัสเสียงดังจากการร้องคาราโอเกะและการเข้า ผับ/บาร์ทุกวัน อีกทั้งระดับเสียงในห้องร้องคาราโอเกะไม่ได้ดังต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจาก คนที่ทำงานกับเสียงดังที่มีระยะเวลาในการสัมผัสเสียงต่อวันที่นานกว่าและดังต่อเนื่องเป็นประจำทุก วัน เปน็ ผลทำใหไ้ ม่พบวา่ จำนวนชั่วโมงทมี่ าใชบ้ รกิ ารร้านคาราโอเกะและความความถใ่ี นการเข้าผับ/ บาร์สมั พนั ธ์กบั สมรรถภาพการได้ยนิ ความความถี่ในการเข้าผับ/บาร์ พบวา่ ไมม่ คี วามสมั พันธก์ บั สมรรถภาพการไดย้ นิ ของนสิ ิตท่ใี ช้ บริการร้านคาราโอเกะ ซึ่งไมส่ อดคล้องกบั งานวิจยั ของ Lilach Gez Saperstein (2017) ท่ีศึกษา

109 เก่ยี วกบั การสญู เสียการไดย้ นิ เนอื่ งจากเสียงดนตรี ระบวุ ่า ผทู้ ส่ี มั ผัสกบั เพลงท่มี ีความเข้มสูงเป็นเวลา หลายชว่ั โมงในแตล่ ะวัน เช่น นกั ดนตรี พนักงานในผับ อาจมคี วามเส่ยี งต่อการเกดิ โรคประสาทหูเสื่อม จากการทำงาน แต่การศกึ ษาคร้งั นี้พบว่า ความถี่ของการเขา้ ผบั /บาร์ของกลุม่ ตัวอย่างอยใู่ นระดบั นานๆครั้ง หรอื 1-2 คร้งั /เดอื น ซงึ่ แตกตา่ งจากนกั ดนตรีหรือผ้ทู ่ีมกี ารเข้าผับ/บาร์บ่อยครงั้ หรอื จำนวน ช่ัวโมงการรับสัมผัสทม่ี ากกวา่ และท้งั นยี้ ังขนึ้ อยกู่ บั ความเข้มของเสียงท่ีไดย้ ินในแตล่ ะคน การศึกษา ครัง้ นี้จงึ ไม่พบความสมั พันธ์ของความถใี่ นการเข้าผบั /บาร์กบั สมรรถภาพการไดย้ นิ ของนสิ ิตทใี่ ชบ้ รกิ าร ร้านคาราโอเกะ ความถี่ในการใช้หูฟัง พบว่าไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้บริการ ร้านคาราโอเกะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับ Myung Gu Kim และคณะ (2003) ที่ได้ศึกษาเรื่อง สมรรถภาพ การได้ยินของวัยรุ่นเกาหลีที่สัมพันธ์กับการใช้เครื่องเล่นเพลงส่วนตัว ที่พบว่าการใช้หูฟังสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการได้ยินของวัยรุ่นเกาหลีเนื่องจากวัยรุ่นส่วนใหญ่ใช้หูฟังประมาณ 1-3 ชั่วโมงต่อวันเป็น เวลา 1-3 ปีและใช้งานสะสมเป็นเวลานาน แต่สำหรับการศึกษานี้พบว่ากลุ่มตัวอย่าง ร้อยละ 51.47 ใช้หูฟังเพียง 1-5 ครั้ง/สัปดาห์ ร้อยละ 55.88 ของกลุ่มตัวอย่างใช้หูฟัง 2-3 ชั่วโมง/ครั้งและอาจจะมี การตั้งความดังเสยี งในการใชห้ ูฟงั ในระดบั ปานกลางหรือไม่ไดเ้ สยี งดงั มาก เหตผุ ลดังกลา่ วทำใหค้ วามถ่ี ในการใชห้ ฟู งั ไม่มีความสัมพันธ์กบั สมรรถภาพการไดย้ นิ ของนสิ ิตทใ่ี ช้บริการร้านคาราโอเกะได้ ประวัติการทำงานในอดีต/ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับเสียงดังพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้บริการร้านคาราโอเกะ ซึ่งไม่สอดคล้องกับ จิราพร ประกายรุ้งทอง และคณะ (2560) ที่ได้ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการสูญเสียการได้ยินจากการทำงาน ใน กลุ่มคนงานโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จังหวัดสุพรรณบุรีพบว่า คนงานที่มีประวัติการ ทำงานที่สัมผัสเสียงดัง มีความสัมพันธ์และความเสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินจากการประกอบอาชีพ เป็น 6.72 เท่า ของคนงานที่ไม่มีประวัติทำงานสัมผัสเสียงดัง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่สำหรับ การศึกษานี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่มีประวัติการทำงานในอดีต/ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับเสียงดัง คิดเป็นร้อยละ 83.82 ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ประวัติการทำงานในอดีต/ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับเสียงดัง ไม่มีความสัมพนั ธ์กบั สมรรถภาพการไดย้ ินของนสิ ติ ท่ีใช้บรกิ ารรา้ นคาราโอเกะ การรับสัมผัสระดับเสียงภายในห้องคาราโอเกะพบว่า ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ ยิน ซึ่งไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของพัฒนาพร กล่อมสุนทร และคณะ (2556) ที่ได้ศึกษาเรื่องความชกุ และปัจจัยทีม่ ีความสมั พนั ธก์ ับการสญู เสียสมรรถภาพการไดย้ ินจากการสัมผสั เสียงดัง ในพนักงาน

110 โรงงานน้ำตาลสหเรือง จังหวัดมุกดาหาร ที่พบว่าพนักงานที่ทำงานสัมผัสเสียงดังมากกว่า 85 dB(A) จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยินมากกว่าพนักงานที่ไม่ได้ทำงานสัมผัสเสียงดัง มากกว่า 85 dB(A) 2.11 เท่า จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (2529) พบว่าถ้าต้องทำงานใน สภาพแวดล้อมที่มีระดับความดังเสียง 85 dB(A) เป็นระยะเวลา 5, 10, 15 ปีจะทำให้เกิดโรคประสาท หูเสื่อมร้อยละ 1, 3, 5 ตามลำดับ ส่วนที่ระดับความดังเสียง 90 dB (A) เป็นระยะเวลา 5, 10, 15 ปี จะทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมร้อยละ 4, 10, 14 ตามลำดับ และที่ระดับความดังเสียงท่ีมากขึ้น ก็จะ ยงิ่ ทำใหเ้ กิดโรคประสาทหูเส่ือมเพมิ่ สูงขึน้ การศึกษาครัง้ น้ี พบว่า ระดบั เสียงเฉลีย่ ในห้องคาราโอเกะที่ วัดได้มีค่า 92.32 dB(A) ซึ่งมีค่ามากกว่า 85 dB(A) ใน 8 ชั่วโมงการทำงาน แต่เนื่องจากว่าการศึกษา ครั้งนี้กลุ่มตัวอย่างคือนิสิต ซึ่งระยะเวลาส่วนใหญ่ที่กลุ่มตัวอย่างร้องคาราโอเกะอยู่ที่ 1-2 ชั่วโมงต่อ ครั้ง ซึ่งไม่ได้รับสัมผัสต่อเนื่องเป็นเวลา 8 ชั่วโมงการทำงาน อีกทั้งระดับเสียงในห้องร้องคาราโอเกะ ไม่ได้ดังต่อเนื่องตลอดเวลา และกลุ่มตัวอย่างมีการปรับระดับเสียงที่ต้องการร้องในแต่ละห้องแตกต่าง กัน จึงเป็นผลทำให้ไม่พบว่าระดับเสียงภายในห้องคาราโอเกะสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยิน อาจ เน่ืองจากในแต่ละห้องคาราโอเกะ ผู้ใช้บริการมีการเปิดระดับเสียงความดังของดนตรีที่ต่างกันและ ระยะเวลาในการรับสัมผสั นนั้ ไม่นานเท่าผทู้ ท่ี ำงานกบั เสียงดัง ดว้ ยเหตุผลนี้อาจทำให้ผลการศึกษาเร่อื ง ระดับเสียงภายในห้องคาราโอเกะไมม่ คี วามสัมพนั ธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิต ขอ้ จำกัดในการวิจัยคร้งั น้ี คอื เน่ืองจากกลุม่ ตัวอย่างไมไ่ ด้มกี ารพกั หกู อ่ นการตรวจสมรรถภาพ การได้ยิน ทำให้ผลทีไ่ ดจ้ ากการตรวจสมรรถภาพการไดย้ ินเป็นการสญู เสียการไดย้ ินแบบ Temporary Threshold Shift (TTS) ความผิดปกติจากการรับสัมผัสกับเสียงดังจะเป็นแบบชั่วคราวเท่านั้น หลังจากนั้นการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม หากมีการการสูญเสียการได้ยินแบบ Temporary Threshold Shift (TTS) บ่อย ๆ ครั้งนั้นจะทำให้มีผลกระทบต่อสมรรถภาพการได้ยิน จนกระทั่งเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบถาวรได้ เราเรียกภาวะดังกล่าวว่า Permanent Threshold Shift (PTS) ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะจากผลการศึกษา จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ค่าระดับเสียงเฉลี่ยคือ 92.32 dB(A) ดังนั้นผู้ที่จะมาใช้บริการร้าน คาราโอเกะ จึงควรมีการลดระดับเสียงของไมโครโฟนในการร้องคาราโอเกะหรือระดับความดังของ เสยี งดนตรี เพ่ือป้องกันการรับสัมผัสเสยี งเกินมาตรฐานท่อี าจมีผลตอ่ สมรรถภาพการได้ยนิ

111 2. ข้อเสนอแนะการวิจยั ครง้ั ตอ่ ไป 1. การศกึ ษาครั้งต่อไปควรมีการตรวจสมรรถภาพการได้ยินก่อนท่กี ลุ่มตัวอยา่ งจะรบั สัมผัส เสียงในหอ้ งคาราโอเกะ เพื่อใชเ้ ปน็ ขอ้ มลู ยนื ยันว่ากลมุ่ ตวั อย่างมสี มรรถภาพการไดย้ นิ ท่ีเปลีย่ นไป หลังจากการร้องคาราโอเกะ 2. เพ่ือให้ได้ขอ้ มลู ท่ีครอบคลมุ และเป็นตวั แทนท่ดี กี ารศกึ ษาคร้งั ต่อไปควรทำศกึ ษาในผทู้ ี่มา ใชบ้ ริการร้านคาราโอเกะทัง้ หมด นอกเหนอื จากลุ่มนสิ ติ มหาวิทยาลัยบูรพา กติ ตกิ รรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดี เนื่องจากได้รับความกรุณาให้คำปรึกษาและข้อเสนอแนะอัน เป็นประโยชน์ต่าง ๆ อย่างดียิ่ง จากคณาจารย์ประจำภาควิชาสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความ ปลอดภยั จนทำให้งานวิจัยฉบับน้ีมีความสมบรู ณ์ ผู้วิจัยขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ ประจำภาควิชาสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความ ปลอดภัย ที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ยืมเครื่องมือในการตรวจวัด เจ้าของกิจการร้านคาราโอเกะที่ให้ ความอนุเคราะห์อนุญาตเข้าพื้นที่ในการเก็บข้อมูล และนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาที่ใช้บริการร้านคารา- โอเกะรอบมหาวิทยาลัยบูรพาที่ได้สละเวลาในการเข้าร่วมการวิจัย จนได้ข้อมูลที่นำมาใช้ในการวิจัย ครงั้ น้ี เอกสารอา้ งอิง กรมสวสั ดิการและคุ้มครองแรงงาน. ประกาศกรมสวสั ดกิ ารและค้มุ ครองแรงงานเรอ่ื ง มาตรฐาน ระดับเสียงทยี่ อมให้ลูกจ้างไดร้ ับเฉลยี่ ตลอดระยะเวลาการทาํ งานในแตล่ ะวัน. สืบคน้ จาก : http://legal.labour.go.th/2018/images/law/Safety2554/3/s_1015.pdf (วนั ท่สี ืบคน้ 15 มกราคม 2563). กรมสวัสดกิ ารและคุ้มครองแรงงาน. ประกาศกรมสวสั ดกิ ารและค้มุ ครองแรงงาน เรื่อง หลกั เกณฑ์ วิธกี ารตรวจวดั และการวเิ คราะหส์ ภาวะการทาํ งานเกย่ี วกับระดบั ความรอ้ น แสงสวา่ ง หรือเสียง รวมท้ังระยะเวลาและประเภทกจิ การท่ีตอ้ งดําเนนิ การ. สืบคน้ จาก : http://legal.labour.go.th/2018/images/law/Safety2554/3/s_1018.pdf (วันที่สืบค้น 15 มกราคม 2563). กองอนามยั สิง่ แวดล้อม สำนกั อนามยั กรุงเทพมหานคร. ลดเสยี งลดอนั ตราย. สบื คน้ จาก : https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet6/envi3/soundpol/soundpol.htm (วันที่สืบคน้ 13 มกราคม 2563). ขวญั ชนก ยิ้มแต.้ หชู ้นั ใน. ขอนแก่น: คลังนานาวทิ ยา, 2560.

112 จริ าพร ประกายรงุ้ ทอง และสุวฒั นา เกิดม่วง. ปัจจัยท่ีมคี วามสมั พันธ์ตอ่ การสญู เสียการได้ยินจากการ ทำงานในกลุ่มคนงานโรงงานอตุ สาหกรรมผลิตชิน้ สว่ นรถยนต์ จังหวัดสุพรรณบุรี. วารสาร การพยาบาลและการดแู ลสขุ ภาพ. 2560; 35(3), 98-108. จุฑารกั ษ์ จติ รโรจนรักษ์. พฤติกรรมผบู้ รโิ ภคและปจั จยั ทม่ี ผี ลต่อการใชบ้ รกิ ารคาราโอเกะใน กรงุ เทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ เศรษฐศาสตรม์ หาบณั ฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2550. ธรี วุฒิ เอกะกุล. ระเบยี บวธิ วี ิจัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์และสงั คมศาสตร.์ อุบลราชธานี : สถาบันราชภัฎอบุ ลราชธาน,ี 2543. พัฒนาพร กลอ่ มสนุ ทร, ทวุ ัน สมิ มะลิ และบารเมษฐ์ ภิราล้ำ. ความชกุ และปจั จัยทม่ี คี วามสัมพนั ธ์กบั การสูญเสยี สมรรถภาพการไดย้ นิ จากการสมั ผัสเสียงดัง ในพนกั งานโรงงานนำ้ ตาลสหเรือง จงั หวัดมุกดาหาร. วารสารสำนักงานปอ้ งกนั ควบคมุ โรคที่ 7. 2556; 11(4), 40-51. ภูวสิทธ์ิ สิงหภูมิ, ศรรี ัตน์ ล้อมพงศ,์ จิตรพรรณ ภษู าภักดีภพ. ผลรว่ มระหว่างเสยี งและการสูบบหุ รท่ี ี่ ส่งผลต่อการสูญเสียการไดย้ นิ ของพนกั งานในอุตสาหกรรมหลอมโลหะแหง่ หน่งึ อำเภอ พานทอง จังหวดั ชลบุร.ี วารสารสาธารณสุขมหาวทิ ยาลยั บรู พา. 2552; 8(2), 92-100 วชั ชริ า ศกั ดิส์ นิท. มลพิษทางเสียง. สืบคน้ จาก : http://www.ipecp.ac.th/ipecp/cgi-binn/ watchira_cai/index2u8_3.html (วนั ท่สี บื ค้น 15 มกราคม 2563). สาวิตรี ชัยรัตน,์ อดุลย์ บัณฑกุ ลุ และเพ็ญภัทรา ศรีไพบูลยก์ จิ . ปัจจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งจากการเปลยี่ นระดบั ความสามารถในการไดย้ ินมาตรฐานในพนักงานบริษทั ผลิตมอเตอร์คอมเพรสเซอร.์ ธรรมศาสตร์เวชสาร. 2556; 13(1), 59-70. สำนกั โรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารสขุ . ขอ้ มูลผปู้ ว่ ย โรคการได้ยินเส่ือมเหตเุ สียงดัง กระทรวงสาธารณสุข. 2561. สืบคน้ จาก : http://envocc.ddc.moph.go.th/contents?g=11 (วันทีส่ ืบค้น 2 กมุ ภาพันธ์ 2563). สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดลอ้ ม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ . คู่มอื การเฝ้า ระวังการสูญเสียการไดย้ นิ . 2547. สืบค้นจาก : http://envocc.ddc.moph.go.th /uploads/media /manual/Page1.pdf (วนั ทส่ี ืบค้น 13 มกราคม 2563). สำนกั โรคจากการประกอบอาชพี และส่ิงแวดล้อม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. แนวทางการตรวจคัดกรองสมรรถภาพการไดย้ นิ และการแปลผล. 2560. สืบคน้ จาก : http://envocc.ddc.moph.go.th/uploads/samutprakarn/1hearing_chep4_baseli ne %202Jan2017.pdf (วนั ท่ีสบื ค้น 15 มกราคม 2563). Barone JA et al. Smoking as a risk factor in noise-induced hearing loss, 1987. Available from: https://europepmc.org/article/med/3681506 (access on March 18, 2020)

113 Lilach Gez Saperstein. A Systematic Review of Occupational MusicInduced Hearing Loss, 2017. Available from: https://academicworks.cuny.edu/cgi/ viewcontent.cgi?article=3071&context=gc_etds (access on April 6, 2020) Min Yong Park. Assessment of potential noise-induced hearing loss with commercial “Karaoke”noise, 2003. Available from: https://www.sciencedirect. com/science /article/abs/pii/S0169814103000234 (access on January 13, 2020) Myung Gu Kim et al. Hearing Threshold of Korean Adolescents Associated with the Use of Personal Music Players, 2003. Available from https://synapse. koreamed.org/Synapse/ Data/PDFData/0069YMJ/ymj-50-771.pdf (access on March 18, 2020) World Health Organization. Make Listening Safe, 2015. Available from: https://www.who.int/ pbd/deafness/activities/MLS_Brochure_English _lowres _for_web.pdf (access on January 13, 2020) World Health Organization. Early Detection of Occupational Disease, 1986. Available from: https://apps.who.int/iris/handle/10665/37912 (access on January 13, 2020)

ประสิทธผิ ลของเบาะลดความส่นั สะเทอื น: กรณีศกึ ษารถโดยสารประจำทางในตำบล แสนสุข อำเภอเมอื ง จังหวดั ชลบรุ ี The effects of cushion on reducing vibration : Case study omnibuses in Saen Suk Subdistrict, Mueang District, Chonburi Province วัชรี วชั โรทยั 1, กญั จนพร รุ่งเรือง1, จุฑารัตน์ สุขษาเกต1, ธดิ าพร น้ำทิพย์1, บญุ ยอร โชติกมาศ1 สวุ นันท์ เกษจรัล1, พิจิตรา ปฏิพัตร2 1วิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาสุขศาสตร์อตุ สาหกรรมและความปลอดภยั คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา 2ภาควชิ าสขุ ศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา บทคดั ย่อ การศกึ ษาวจิ ัยครง้ั นเ้ี ป็นการวิจัยก่ึงทดลอง (Quasi-experimental research) มี วัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนของรถโดยสารประจำทาง ก่อนและหลังใช้ เบาะลดความส่นั สะเทือน 2. เปรยี บเทียบคา่ ความเรง่ ของแรงสัน่ สะเทือนของรถโดยสารประจำทางใน ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก่อนและหลังใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน กลุ่มตัวอย่างที่ ศึกษาคือ รถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 36 คัน เครื่องมือ ท่ีศึกษา ได้แก่ เครื่อง วัดความสั่นสะเทือน และเบาะลดความสั่นสะเทือนที่ทำจากวัสดุ 2 ชนิด คือ แผ่นยางกันสะเทือนและโฟมยาง Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber (NBR) แล้วนำไป ห่อหุ้มด้วยผ้าฝ้าย นำข้อ มูลที่ได้ไปวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Statistical Package for the Social Sciences (SPSS) โดยใช้สถิติ WilcoxonSigned-Ranks Test Descriptive Statistics และ Chi- Square Test ผลการวจิ ัย พบว่า รถโดยสารประจำทาง ทง้ั หมด 36 คัน ที่มอี ายุการใชง้ านของรถอยใู่ นช่วง 20-25 ปี ร้อยละ 10.63 เมื่อเปรียบเทียบค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนที่เบาะรถ โดยวัดความ สั่นสะเทือนท่ีเบาะรถ 2 ครั้ง คือก่อนและหลังใช้เบาะลดความสัน่ สะเทือน ส่วนใหญม่ ีค่าความเร่งของ แรงส่ันสะเทือนหลงั ใชเ้ บาะลดความส่ันสะเทอื นลดลงจากค่าความเรง่ ของแรงส่นั สะเทือนก่อนใช้เบาะ ลดความสน่ั สะเทอื น โดยลดได้ดีท่ีสดุ ในแกน X รอ้ ยละ 57.78 มคี า่ ลดลงสูงสดุ ทีค่ วามถี่ 20000 Hz

115 ลดได้เท่ากันในแกน Y และแกน Z ร้อยละ 48.89 มีค่าลดลงสูงสุด ที่ความถี่ 1000 Hz ของแกน Y ความถี่ 16 Hz ของแกน Z เมื่อพิจารณาค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือน ที่สามารถลดได้ต่อเนื่องกัน จะอยู่ในช่วงความถี่ที่ 12.5-5000 Hz ดังนั้นจากผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ควรนำเบาะลดความ สั่นสะเทือนไปใช้ในงานที่มีแรงสั่นสะเทือนในความถี่ช่วง 12.5-40 Hz ในแกน Z และ 16000-20000 Hz ในแกน X เพราะเป็นช่วงความถี่ที่เบาะลดความสั่นสะเทือน สามารถลดค่าความเร่งของ แรงส่ันสะเทอื นไดม้ ากท่ีสดุ คำสำคญั : ความสั่นสะเทือน, รถโดยสารประจำทาง, วสั ดเุ บาะลดความสน่ั สะเทือน, ประสิทธผิ ล Abstract This research study was a quasi-experimental research. The objective was to study the vibration acceleration value of the omnibuses before and after the use of cushion to reduce vibration and to compare the acceleration value of the vibration of the omnibuses in Saen Suk Subdistrict, Mueang District, Chonburi Province before and after the use of cushion to reduce vibration. Subjects are 36 omnibuses in Saen Suk Subdistrict, Mueang District, Chonburi Province. The tools used in this research were Vibration Meter and cushion to reduce vibration made from two types of material: suspension rubber and Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber Foam (NBR), and then, it was wrapped in cotton. Data were analyzed by using Statistical Package for the Social Sciences Program by using the WilcoxonSigned-Ranks Test, Descriptive Statistics and Chi-Square Test. The results showed that a total of 36 omnibuses with a lifetime of 20-25 years was 10.63 percent. When comparing the acceleration value of the vibration in the car seat by measuring vibration in the car seat 2 times, before and after using the cushion to reduce vibration. Most of the accelerations value of the vibration after using the cushion reduce vibration from the acceleration value of vibration before using the cushion. Reducing the best in the X axis was 57.78 percent, and the maximum decrease at the frequency of 20000 Hz decreased equal in Y axis and Z axis, representing for

116 48.89 percent. There was the maximum decrease at the frequency of 1000 Hz of the Y axis and the frequency of 16 Hz of the Z axis. When considering the vibration acceleration value that can be continuously reduced, it would be in the frequency range of 12.5-5000 Hz. Therefore, this research found that the cushion to reduce vibration should be used to occupational vibration within the frequency range 12.5-40 Hz of the Z axis and the frequency range 16000-20000 Hz of the X axis because that is the frequency range that cushion to reduce vibration can be decrease the vibration acceleration value to the most. Keywords: vibration, omnibuses, cushion to reduce vibration, efficiency บทนำ บางแสนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี จากสถิติการท่องเที่ยวบาง แสนปี 2560 มีผู้เยี่ยมเยือน 2,722,492 คน โดยเป็นคนไทย 2,587,511 คน และเป็นชาวต่างชาติ 134,981 คน (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2561) การขนส่งสาธารณะจึงมีความสำคัญมาก เนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดนิ ทางให้นักท่องเที่ยว การเดินทางในบางแสนโดยใชร้ ถ ขนส่งสาธารณะ จะเดินทางโดยรถโดยสารประจำทางทเ่ี รียกวา่ รถสองแถว ซ่งึ มลี ักษณะตวั รถ เป็นรถ กระบะ แล้วนำรถไปดัดแปลงโดยการต่อเติมหลังคาที่ท้ายกระบะของรถและใส่เบาะเป็น 2 แถว ฝ่ัง ซ้ายและฝั่งขวา เพื่อเป็นที่นั่งของผู้โดยสาร โดยมีเส้นทางการเดินรถตั้งแต่เฉลิมไทยไปจนถึงแหลม แทน่ ความส่ันสะเทือนท่เี กดิ ขึ้นจากรถยนต์อาจมีสาเหตุมาจาก สภาพของรถยนต์ อายุการใชง้ าน ของรถยนต์ ยางรถยนต์และแหนบของรถยนต์ ซึ่งสภาพรถโดยสารประจำทางมีผลต่อความ สั่นสะเทือนโดยรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานเป็นเวลานาน อาจมีผลต่อความสั่นสะเทือนของระบบยาน ยนต์ได้ เนื่องจากรถยนต์มีการเสื่อมสภาพของระบบรองรับแรงสั่นสะเทือน รวมถึงสภาพยางรถยนต์ และแหนบก็ส่งผลต่อความสั่นสะเทือนเช่นเดียวกัน โดยอายุการใช้งานของรถพบว่า อายุการใช้งาน ของรถยนต์นั้นจะถือเอาอายุเครื่องยนต์เป็นเกณฑ์ โดยยึดเอาตัวเลขประมาณ 20 ปีเป็นเกณฑ์ในการ บอกอายุเครื่องยนต์ เนื่องจากว่าเป็นระบบขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุดซึ่งทำให้เรียกว่าเป็นรถยนต์ได้ เกณฑใ์ นการกำหนดตวั เลขนน้ั จะไมก่ ำหนดทอ่ี ายใุ ชง้ านสงู สดุ (MG Best Autosales, 2014)

117 ระยะเวลาที่รถมีสภาพเสื่อมโทรมอยู่ที่ 20-25 ปี (มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, 2552) ซึ่งข้อมูลจากสหกรณ์ เดินรถเมืองชลบุรีพบว่ารถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข จังหวัดชลบุรี มีอายุการใช้งานของรถ 20-25 ปีคิดเป็น 10.625 % ซึ่งสภาพยางรถยนต์ ก็เป็นอีกสาเหตุหลกั ของความสั่นสะเทือนโดยความ สั่นสะเทือนของรถส่วนมากเกิดจากชุดยางที่ใช้งานในปัจจุบัน เนื่องจากยางเป็นส่วนที่สัมผัสพื้นถนน อยู่ตลอดเวลาความสั่นสะเทือนของรถจึงเกิดจากยางเป็นส่วนมาก (Ridebuster, 2017) และแหนบ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของรถ มหี นา้ ท่ใี นการลดการสัน่ สะเทอื นใหก้ ับโครงรถ ถา้ แหนบอ่อนเกินไปจะทำ ให้การรับน้ำหนักได้น้อยและรถจะเกิดการสั่นมากเมื่อได้รับแรงกระแทก (ราเชน จามน้อยพรหม, 2546) และการทำงานในแต่ละวันของพนักงานขับรถโดยสารประจำทางต้องขับรถบนถนนเป็นเวลา หลายชั่วโมง ข้อมูลจากเอกสารงานวิจัย พบว่าพนักงานขับรถโดยสารประจำทางมีระยะเวลาทำงาน 5.39 วัน ต่อสัปดาห์ 8.96 ชั่วโมงต่อวัน (ชุลีกร ธนธิติกร, 2555) ทำให้พนักงานขับรถโดยสารประจำ ทางได้รับความสั่นสะเทือนจากการทำงาน คณะผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะหาวิธลี ดความส่ันสะเทือนที่เกดิ ขึ้น จากรถยนต์โดยการใชเ้ บาะลดความส่ันสะเทือน ได้มีการศึกษาประสิทธิผลของวัสดุห่อหุ้มด้ามจับเพื่อลดความเสี่ยงที่มือและแขนในพนักงาน ควบคุมเครื่องตบดินแบบกระโดด ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ประเภทงานดินและปรับพื้นที่ พบว่าวัสดุ ห่อหุ้มด้ามจับ 2 ชนิด ได้แก่ ยางกันสะเทือน ช่วยในการซับแรงสั่นสะเทือนในการสัมผัสความ สั่นสะเทือนและโฟมยาง NBR (Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber) เป็นวัสดุที่มีความ ยืดหยุ่นได้ดี มีความเหมาะในการนำมาเป็นวัสดุลดความสั่นสะเทือน ซึ่งยางกันสะเทือนสามารถลด ความส่นั สะเทอื นได้ท่คี วามถี่ 10 Hz ขนึ้ ไปและโฟมยาง NBR สามารถลดความส่ันสะเทือนไดท้ คี่ วามถี่ 3-40 Hz (ประภัสสร ธรรมพิทักษ์, 2561) จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่าค่าความสั่นสะเทือนของรถ โดยสารประจำทางในตำบลแสนสขุ อำเภอเมือง จงั หวัดชลบรุ ี พบว่า คา่ แรงสน่ั สะเทือนทสี่ ่งผา่ นมายงั เบาะของรถท่ีมคี ่าความเร่งของแรงสั่นสะเทอื นสงู สว่ นใหญอ่ ยู่ในชว่ งความถี่ 16-50 Hz คณะผู้วจิ ัยจึง สนใจนำวัสดุ 2 ชนิด ได้แก่ ยางกันสะเทือนและโฟมยาง NBR (Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber) มาทดสอบเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลลดความสั่นสะเทือนในรถโดยสารประจำทางใน ตำบลแสนสุข อำเภอเมอื ง จังหวดั ชลบุรี

118 วัตถุประสงค์ของงานวิจยั 1. เพอ่ื ศกึ ษาคา่ ความเร่งของแรงส่นั สะเทอื นของรถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบรุ ี 2. เพอ่ื เปรียบเทยี บค่าความเรง่ ของแรงส่ันสะเทือนของรถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสขุ อำเภอเมอื ง จังหวัดชลบรุ ี กอ่ น–หลังใชเ้ บาะลดความสนั่ สะเทอื น วธิ ีดำเนนิ การวิจยั 1. ประชาการและกลุม่ ตวั อยา่ ง การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง โดยเก็บข้อมูลก่อนและหลังการใช้เบาะลดความ สั่นสะเทือน เพื่อลดความสั่นสะเทือนของรถโดยสารประจำทางและเปรียบเทียบระดับความเร่ง โดยมี กลุ่มประชากร คือ รถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี จำนวน 51 คัน โดยเลอื กจากรถทม่ี ีอายุ 20-25 ปีและเป็นรถโดยสารยหี่ ้อหนงึ่ รุ่น TFR พนกั งานขบั รถโดยสารมคี วาม สมคั รใจยินดีใหค้ วามร่วมมอื และยินดีเข้ารว่ มการวิจยั คร้ังน้ี เปน็ ผู้ประกอบอาชพี ขบั รถโดยสารประจำ ทางอยู่ในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี และเป็นผู้ที่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ และรถที่ใช้ในการประกอบอาชีพต้องเปน็ รถที่ไดร้ ับการจดทะเบียนรถยนต์รับจา้ งตามที่กรมการขนส่ง ทางบกกำหนด โดยคำนวณจากสูตรของเครจซี่และมอร์แกน ในการประมาณค่าสัดสว่ นของประชากร และกำหนดให้สัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากร เท่ากับ 0.92 (ปริยาภรณ์ โทนหงส์สา, 2559) ระดับความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95% และได้ขนาดกลุ่มตัวอย่าง เทา่ กบั จำนวน 36 คนั n = ������2������������(1−������) ������2(������−1)+������2������(1−������) n = 3.841×51×0.92(1−0.92) 0.052(51−1)+3.841×0.92(1−0.92) n = 35.36341 คนั 2. เครื่องมอื ใช้เครื่องวัดความเร่งความสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย ( Whole Body Vibration meter ) ยี่ห้อ Quest Technologies รุ่น VI-410 Lab No.L61/04953.2 Serial No. 21729 / Sensor: 4146 และส่งสอบเทยี บตามมาตรฐานปฐมภูมิ ISO 16063-11 (1999) ด้วย Laser Interferometer

119 จะทำการสอบเทียบหัววัดความเร่งในช่วงความถี่ 50-50,000 Hz โดยใบรับรองการสอบเทียบ หมายเลข 2561/530 จากกรมวิทยาศาสตร์บริการ เมื่อ 23 -27 สิงหาคม 2561 Lab No.L61/04953.2 ขั้นตอนการออกแบบวสั ดกุ ารทำเบาะเพื่อลดความสน่ั สะเทอื นของรถโดยสารประจำทาง 1. เลือกวสั ดุลดความสั่นสะเทือนท่ใี ชใ้ นการออกแบบเป็นวัสดุทำเบาะลดความส่นั สะเทอื น จากการศกึ ษาประสิทธภิ าพของวัสดทุ ่ใี ช้ลดความสน่ั สะเทอื น โดยมีรายละเอยี ดดงั นี้ 1.1 โฟมยางไนไตลร์ (Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber, NBR) ท่เี ป็นอิ ลาสโตเมอร์ทเ่ี หมาะสมกับการลดส่ันสะเทอื นท่คี วามถ่ี 3-40 Hz ขน้ึ ไป มคี ณุ สมบัตทิ ม่ี คี วามยืดหยนุ่ สูง การกระเด้งกระดอนต่ำทนตอ่ ความร้อนและโอโซนสงู ความต้านทานการขดั ถสู งู ขึน้ มคี วามแขง็ แรง และทนทานตอ่ แรงดึงสูงขนึ้ (พงษธ์ ร แซอ่ ุย, 2547) ดงั ภาพท่ี 1 (ก) 1.2 ยางกนั สะเทือนหรือยางกันกระแทก เหมาะสมกับการสัน่ สะเทือนท่ีความถ่ี 10 Hz ขนึ้ ไป ซ่ึงนิยมใช้กันแพรห่ ลายในการแยกความสน่ั สะเทอื นออกจากเครอื่ งยนต์โดยการใช้ยางรองแทน่ เคร่ือง เนื่องจากทำหน้าท่เี ป็นตัวกลางท่ชี ว่ ยซึมซบั แรงส่ันสะเทอื นออก และยงั สามารถนำไปใชใ้ นการ ออกแบบอุปกรณท์ ล่ี ดแรงกระเเทก และลดแรงสัน่ สะเทอื นได้ (ประภัสสร ธรรมพทิ ักษ,์ 2561) ดงั ภาพท่ี 1 (ข) (ก) (ข) ภาพที่ 1 (ก) โฟมยางไนไตลร(์ NBR) (ข) ยางกันสะเทือน จากการศกึ ษาคา่ ความเร่งของความสัน่ สะเทอื นของรถโดยสารประจำทางเบ้อื งต้น พบวา่ มีค่า ความเรง่ ของความสน่ั สะเทือนสงู สว่ นใหญอ่ ยใู่ นช่วงความถี่ 16-50 HZ ดงั น้นั ในการทดลองน้ีจึง ได้ เลือกใช้วสั ดลุ ดความสั่นสะเทอื น 2 ชนดิ ดงั กล่าว

120 2. ออกแบบขนาดของเบาะลดความสัน่ สะเทอื น 2.1 วัดขนาดเบาะรถโดยสารประจำทาง ทง้ั หมด 36 คนั 2.1.1 กำหนดขนาดความกว้างของเบาะลดความสนั่ สะเทอื นจากการหาค่าเฉล่ียของ ความกวา้ งของเบาะรถเดิมทง้ั 36 คัน ดงั ภาพที่ 2 (ก) ไดข้ นาดของเบาะกว้าง 50 เซนติเมตร 2.1.2 กำหนดความยาวของเบาะลดความส่นั สะเทอื นจากการหาคา่ เฉลี่ยของความ กว้างและความยาวของเบาะรถเดมิ ท้ัง 36 คนั ดังภาพท่ี 2 (ข) ตามลำดบั ไดข้ นาดความยาวของเบาะ ลดความส่นั สะเทอื น 41 เซนติเมตร 2.1.3 กำหนดความหนาจากการวดั ความหนาของเบาะเดิม ดงั ภาพท่ี 2 (ค) และวดั ระยะหา่ งของระยะหา่ งระหวา่ งศรี ษะกับเพดานรถโดยสารประจำทาง โดยหลังจากเสริมเบาะลดความ สน่ั สะเทือนแล้วรถทง้ั 36 คนั จะตอ้ งมรี ะยะหา่ งท่ไี มน่ ้อยกว่า 6 นิว้ ดงั ภาพท่ี 2 (ง) ไดข้ นาดความ หนาของเบาะลดความสนั่ สะเทอื น 2 นว้ิ คอื โฟมยางไนไตลร์(NBR) หนา 1 นว้ิ และยางกันสะเทอื น หนา 1 นิ้ว ภาพที่ 2 (ก) วดั ความยาวของเบาะเดมิ (ข) วัดความกวา้ งของเบาะเดิม (ค) วดั ความหนาของเบาะเดมิ (ง) วัดระยะหา่ งระหวา่ งศีรษะกับ เพดานรถเดมิ

121 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ผู้วิจัยได้ทำการรอรถโดยสารประจำทางที่วิ่งผ่านหน้าสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล เวลา 8.00-17.00 น. ที่มีหมายเลขข้างรถตรงกับข้อมูลทางสหกรณ์เดินรถจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นรถ โดยสารประจำทางที่ขับผ่านในเส้นทางที่ผู้วิจัยกำหนดและเรียกเพื่อถามข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์ ได้แก่ อายุการใชง้ านรถโดยสารประจำทาง(ปี) การเปลี่ยนแหนบรถ ดอกยาง(มิลลิเมตร) 2. ผู้วิจัยดำเนินการชี้แจงข้อมูลสำหรับผู้ที่เข้าร่วมในการวิจัย โดยขอความร่วมมือจาก พนักงานขับรถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสขุ อำเภอเมือง จังหวดั ชลบุรี 2.1 ผู้วิจัยดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยวัดค่าความสั่นสะเทือนในระยะทางจาก หน้าสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลถึงหน้าโรงแรมเฮอร์ริเทจ และตรวจวัดค่าความเร่งของ แรงส่ันสะเทอื น กอ่ น-หลังใช้เบาะลดความส่นั สะเทอื น โดยกำหนดวิธกี ารวดั ทศิ ทางแกนตามมาตรฐาน ISO 2631-1 สอบเทียบมาตรฐานเครื่องมือกับหน่วยงานที่ได้รับการรับรองการสอบเทียบ ดำเนินการติดตั้งหัววัด บรเิ วณเบาะข้างท่ีนงั่ ของผูป้ ฏิบัติงาน ซง่ึ เป็นบริเวณส่งผ่านแรงสน่ั สะเทือน 2.2 ผู้วิจัยติดตัง้ เครื่องมือก่อนใช้เบาะรองนั่ง โดยยึดเครื่องวัดความสั่นสะเทือนกบั เบาะ รถโดยสารประจำทางด้วยเทปกาวใส และติดตั้งเครื่องมือหลังใช้เบาะรองนั่ง โดยยึดเครื่องวัดความ สน่ั สะเทอื นกับเบาะรองน่ังด้วยเทปกาวใสและวางบนเบาะของรถโดยสารประจำทางเดิม ภาพที่ 3 (ก) วดั กอ่ นใชเ้ บาะลดความสนั่ สะเทอื น (ข) วัดหลงั ใชเ้ บาะลดความ ส่ันสะเทือ

122 2.3 ศึกษาค่าความเร่งของแรงสนั่ สะเทอื นกอ่ น-หลังใชเ้ บาะลดความส่นั สะเทอื น 2.4 บนั ทึกผลและทำการวเิ คราะห์ผลท่ไี ด้และนำไปอภปิ รายผลการวจิ ัยต่อไป 4. การวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยการใช้สถิติ สถิติทดสอบวิลคอกซัน (Wilcoxon signed-rank test) ใช้วิเคราะห์ค่า ความเร่งความสั่นสะเทือนก่อน-หลังใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน สถิติไคสแคว์ (chi-square) ใช้หา ความสัมพันธ์ระหว่างดอกยาง แหนบรถและอายุการใช้งานของรถโดยสารประจำทางกับค่าความเร่ง ความสนั่ สะเทือนและสถิตเิ ชงิ พรรณนาใชอ้ ธบิ ายเกีย่ วกบั ข้อมูลท่วั ไปของรถโดยสารประจำทาง ผลการวจิ ัย ข้อมูลทั่วไป พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานของรถ 20 ปี ร้อยละ 33.33 รองลงมา 23 ปี ร้อยละ 22.22, 24 ปี ร้อยละ 19.45, 21 ปี ร้อยละ 11.11, 25 ปี ร้อยละ 8.33 และ 22 ปี ร้อยละ 5.56 ตามลำดับ มอี ายเุ ฉลยี่ 22.083 (SD=1.811) มกี ารเปล่ียนแหนบ รอ้ ยละ 25 ไม่เปลี่ยนแหนบ ร้อยละ 75 และดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 3 มิลลิเมตร ร้อยละ 41.67 ดอกยางมี ความลกึ มากกว่า 3 มิลลเิ มตร รอ้ ยละ 58.33 ความสัมพันธ์ระหว่างอายุการใช้งานของรถโดยสารประจำทาง แหนบรถ ดอกยางกับค่า ความเร่ง ความสนั่ สะเทอื นในแกน X, Y และ Zโดยมรี ายละเอยี ดดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ความสัมพันธ์ของขอ้ มูลท่วั ไปกับค่าความเรง่ ความส่นั สะเทือน คา่ ความเร่งความสั่นสะเทอื น(n=36) ขอ้ มลู ทว่ั ไป แกน X แกน Y แกน Z P-value P-value P-value อายุ 0.285 0.329 0.285 แหนบรถ 0.375 0.330 0.375 ดอกยาง 0.375 0.330 0.375 จากการศึกษาพบวา่ อายกุ ารใช้งานของรถโดยสารประจำทาง แหนบรถ และดอกยางไมม่ ี ความสัมพนั ธ์กบั คา่ ความเรง่ ความส่ันสะเทือนในแกน X, Y และ Z ค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนก่อน-หลังใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน ค่าความเร่งของ แรงส่นั สะเทอื นกอ่ นใชเ้ บาะลดความสน่ั สะเทือนในแกน X มคี ่ามากทีส่ ุดท่คี วามถ่ี 40, 20000 และ

123 50 Hz ตามลำดับ ในแกน Y มีค่ามากที่สุดที่ความถี่ 1000, 3.15 และ16 Hz ตามลำดับ ในแกน Z มี ค่ามากที่สุดที่ความถี่ 16, 25 และ20 Hz ตามลำดับ และค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนหลังใช้เบาะ ลดความสั่นสะเทือนในแกน X มีค่ามากที่สุดที่ความถี่ 40, 50 และ63 Hz ตามลำดับ ในแกน Y มีค่า มากทีส่ ุดท่คี วามถี่ 8000, 3.15 และ 16 Hz ตามลำดับ ในแกน Z มคี า่ มากท่ีสดุ ทคี่ วามถี่ 16, 25 และ 31.5 Hz ตามลำดบั การเปรียบเทียบค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือน ของรถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก่อน-หลังใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน จำนวน 36 คัน พบว่า ค่าความเร่ง ของแรงสั่นสะเทือนที่มีค่าลดลงทั้ง 3 แกน หลังการใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน ได้แก่ ความถี่ 12.5, 40, 50, 80, 100, 125, 160, 200, 250, 315 และ8000 Hz ค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนที่มีค่า ลดลง 2 แกน X, Y คือ หลังการใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน ได้แก่ 63, 500, 650, 1250, 2500 และ 3150 Hz ค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนที่มีค่าลดลง 2 แกน X, Z คือ หลังการใช้เบาะลดความ สั่นสะเทอื น ไดแ้ ก่ 400, 800, 2000, 12500, 16000 และ20000 Hz คา่ ความเร่งของแรงสนั่ สะเทือน ที่มีค่าลดลง 2 แกน Y, Z คือ หลังการใช้เบาะลดความสั่นสะเทือน ได้แก่ 16, 20, และ31.5 Hz ค่า ความเร่งของแรงสั่นสะเทือน ที่มีค่าลดลงเพียง 1 แกน ในแกน X คือ 1600, 4000 และ5000 Hz ค่า ความเรง่ ของแรงสนั่ สะเทอื นทีม่ ี ค่าลดลงเพยี ง 1 แกน ในแกน Y คือ 3.15 และ1000 Hz ค่าความเร่ง ของแรงสั่นสะเทือนที่มีค่าลดลงเพียง 1 แกน ในแกน Z คือ 25 และ10000 Hz โดยมีรายละเอียดดัง ตารางท่ี 2

ตารางท่ี 2 การเปรียบเทยี บความแตกต่างของคา่ ความเรง่ ของแรงสน่ั สะเทือนของแตล่ ความถ่ี แกน X หลัง คา่ ความเร่งของแร (Frequency) กอ่ น คา่ เฉลย่ี (สว่ น 3.15 Hz - กอ่ น P-value 1.004(5 - 12.5 Hz 0.095(0 P-value - 16 Hz 0.127(0 P-value - 20 Hz 0.103(0 P-value 25 Hz - P-value 31.5 Hz - 8.561(4.616) 0.094(0 P-value 0.084(0 40 Hz 12.046(6.070) P-value 0.000

ละความถี่ รงสั่นสะเทอื น ( ×10-3 ) (m/s2) แกน Z หลัง นเบ่ียงเบนมาตรฐาน×10-3) ก่อน 3.279(6.686) แกน Y - 8.753(4.504) หลัง 5.337(2.642) 7.880(6.475) 7.873(4.048) 5.845) 0.027(0.003) 0.005 6.479(2.941) 0.017 3.984(2.162) 23.614(1.430) 0.032) 0.078(0.028) 0.000 0.016 17.351(9.111) 0.060) 0.078(0.024) 0.000 0.000 20.660(12.782) 0.043) 0.076(0.020) 0.000 0.000 13.103(5.957) - 0.000 0.039) 0.082(0.028) 8.375(2.792) 0.046 0.065(0.019) 0.000 0.027) 0.000 124

ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบความแตกตา่ งของค่าความเรง่ ของแรงส่ันสะเทือนของแตล่ ความถี่ คา่ ความเร่งของแรง (Frequency) ค่าเฉล่ีย(สว่ น 50 Hz แกน X หลัง กอ่ น P-value กอ่ น 6.601(2.335) 0.067(0. 10.220(4.182) 63 Hz 3.778(1.454) 0.043(0. P-value 0.000 80 Hz 6.319(2.396) 2.479(0.945) 0.050(0. P-value 1.566(0.676) 0.032(0. 100 Hz 0.000 P-value 4.521(2.019) 0.737(0.370) 0.031(0. 125 Hz - 0.392(0.665) 0.045(0. P-value 2.868(1.608) 0.137(0.074) 0.028(0. 160 Hz 0.000 P-value 1.423(0.788) 200 Hz 0.000 P-value 0.816(0.580) 0.000 0.368(0.189) 0.000

ละความถ่ี (ตอ่ ) งสน่ั สะเทือน ( ×10-3 ) (m/s2) นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน×10-3) แกน Y แกน Z ก่อน หลงั 6.214(2.793) หลงั 2.322(1.093) .023) 0.047(0.016) 0.000 1.043(0.500) 0.000 - 1.051(0.521) 0.789(0.407) .010) 0.035(0.008) 1.878(0.682) 0.442(0.222) 0.000 0.000 0.350(0.262) .004) 0.046(0.002) 1.991(0.745) 0.000 0.000 .005) 0.028(0.003) 1.338(0.458) 0.000 0.000 .002) 0.030(0.001) 0.773(0.450) 0.000 0.000 .002) 0.044(0.002) 0.632(0.430) 0.022 0.000 .001) 0.027(0.001) 0.000 125

ตารางที่ 2 การเปรียบเทยี บความแตกต่างของค่าความเร่งของแรงส่ันสะเทือนของแตล่ ความถี่ ค่าความเรง่ ของแรง (Frequency) คา่ เฉล่ยี (สว่ น 250 Hz แกน X หลัง กอ่ น P-value ก่อน 0.086(0.035) 0.033(0 0.225(0.091) 315 Hz 0.078(0.024) 0.047(0 P-value 0.000 0.070(0.031) 400 Hz P-value 0.164(0.083) 0.093(0.070) 0.038(0 500 Hz 0.000 0.133(0.084) 0.052(0 P-value 0.136(0.088) 630 Hz 0.141(0.063) 1.368(7 P-value 0.000 800 Hz P-value 0.163(0.096) 1000 Hz 0.000 P-value 0.247(0.171) 0.000 0.216(0.113) 0.001 -

ละความถ่ี (ต่อ) งสน่ั สะเทือน ( ×10-3 ) (m/s2) แกน Z หลัง นเบี่ยงเบนมาตรฐาน×10-3) ก่อน 0.355(0.305) 0.581(0.377) แกน Y 0.444(0.369) หลัง 0.005 0.754(0.438) 0.365(0.310) 0.001) 0.032(0.001) 0.029 0.004 0.645(0.375) 0.001) 0.046(0.003) 0.003 0.003 - - 0.002) 0.037(0.001) - 0.000 0.051(0.001) 0.703(0.401) 0.001) 0.031 0.000 - - 0.473(0.448) 7.925) 0.047(0.001) 0.001 126

ตารางที่ 2 การเปรียบเทยี บความแตกต่างของคา่ ความเรง่ ของแรงส่ันสะเทือนของแตล่ ความถ่ี แกน X หลัง ค่าความเร่งของแรง (Frequency) ก่อน 0.273(0.194) คา่ เฉล่ยี (สว่ น 0.446(0.233) กอ่ น 1250 Hz 0.360(0.282) 0.061(0 P-value 0.001 0.487(0.453) 0.514(0.409) 0.076(0 1600 Hz 0.566(0.365) 0.445(0.374) 0.077(0 P-value 0.015 0.328(0.300) 2000 Hz 0.343(0.312) P-value 0.846(0.656) 2500 Hz 0.021 P-value 3150 Hz 0.932(0.759) P-value 0.017 4000 Hz P-value 0.776(0.677) 5000 Hz 0.018 P-value 0.541(0.410) 0.018 0.483(0.339) 0.045

ละความถ่ี (ตอ่ ) แกน Z หลัง ก่อน งสน่ั สะเทอื น ( ×10-3 ) (m/s2) นเบี่ยงเบนมาตรฐาน×10-3) - แกน Y - หลงั 2.122(1.691) 0.001) 0.060(0.001) 0.012 0.011 - - - 1.105(0.989) 0.002) 0.075(0.002) - 0.007 0.076(0.002) 0.002) - 0.046 - - - 127

ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบความแตกตา่ งของคา่ ความเร่งของแรงสั่นสะเทือนของแต่ล ความถี่ ค่าความเรง่ ของแรง (Frequency) ค่าเฉลีย่ (สว่ น 8000 Hz แกน X หลงั กอ่ น P-value ก่อน 0.586(0.514) 0.121( 1.390(1.332) 10000 Hz 0.223(0.082) P-value 0.002 0.259(0.123) 12500 Hz 0.435(0.197) P-value - 16000 Hz P-value 0.269(0.124) 20000 Hz 0.013 P-value 8.429(48.784) 0.020 11.470(65.406) 0.023

ละความถ่ี (ตอ่ ) งส่ันสะเทือน ( ×10-3 ) (m/s2) นเบี่ยงเบนมาตรฐาน×10-3) แกน Y แกน Z หลงั ก่อน หลัง 0.431(0.372) 0.268(0.217) (0.001) 0.120(0.001) 0.026 0.214(0.116) 0.038 0.301(0.164) 0.289(0.175) - 0.007 0.345(0.195) 2.131(9.755) - 0.302(0.164) 0.011 - 0.346(0.195) - 0.012 2.132(9.755) 0.040 128

129 อภปิ รายผลการวจิ ยั จากการศกึ ษาประสิทธผิ ลของเบาะลดความสนั่ สะเทอื นของรถโดยสารประจำทางใน ตำบล แสนสุข อำเภอเมอื ง จังหวดั ชลบรุ ี พบวา่ การศึกษาครั้งนี้มีค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ 0.8-20000 Hz เมื่อ เปรียบเทียบก่อนและหลังการใช้เบาะลดความสั่นสะเทือนกับรถโดยสารประจำทาง ส่วนใหญ่มีค่า ความเร่งของแรงสั่นสะเทือนลดลง โดยลดได้ดีท่ีสุดในแกน X ร้อยละ 57.78 มีค่าลดลงสูงสุดทค่ี วามถี่ 20000 Hz ลดได้เท่ากนั ในแกน Y และแกน Z ร้อยละ 48.89 มีคา่ ลดลงสูงสุดทคี่ วามถี่ 1000 Hz ของ แกน Y ความถี่ 16 Hz ของแกน Z สอดคล้องกับงานวิจัยของประภัสสร ธรรมพิทักษ์ (2561) ที่กล่าว ไว้ว่าวัสดุ 2 ชนิด ที่นำมาศึกษา ได้แก่ ยางกันสะเทือน สามารถลดได้ในช่วงความถี่ 10 Hz ขึ้นไป และโฟมยาง Nitrile or Acrylonitrile-Butadiene Rubber (NBR) สามารถลดไดใ้ นชว่ งความถ่ี 3-40 Hz เมือ่ นำไปทำเปน็ วัสดหุ อ่ หุ้มดา้ มจบั เพื่อลดความเส่ยี งท่ีมอื และแขนในพนกั งานควบคมุ เครื่องตบดนิ แบบกระโดด พบว่ามีค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนลดลงในช่วงความถี่ 8-100 Hz ผู้วิจัยได้นำวัสดุ เดียวกันทั้ง 2 ชนิดนี้มาใช้ทำเบาะลดความสั่นสะเทือน มีกลุ่มตัวอย่างเป็นรถโดยสารประจำทาง ผล จากการวิจัยในครั้งนีม้ ีค่าความเร่งของแรงสั่นสะเทือนลดลงในความถี่ 12.5-5000 Hz ต่อเนื่องกัน ซงึ่ เป็นช่วงความถี่ที่ใกล้เคียงกันกับงานวิจัยที่ได้ศึกษาในพนักงานควบคุมเครื่องตบดินแบบกระโดด แต่ ในบางความถี่ที่ไม่สามารถลดได้ตรงกันอาจเป็นเพราะความแตกต่างของกลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาจึงมี แรงสน่ั สะเทอื นท่แี ตกตา่ งกนั ได้ แม้วิธีการตรวจวัดค่าความเร่งของการสั่นสะเทือนนั้นจะตรวจวัดก่อนและหลังใช้เบาะลด ความสั่นสะเทือนทันที และมีการควบคุมระยะทาง เส้นทาง ยี่ห้อของรถและอายุของรถ ให้อยู่ในช่วง ที่กำหนด คือ 20-25 ปี แต่การเก็บตัวอย่างวิจัยในครั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมได้ขณะ ทำการเก็บตัวอย่างวิจัย คือ สภาพการจราจร จำนวนผู้โดยสารบนรถ การจอดรับ-ส่งผู้โดยสาร พฤติกรรมการขบั ขี่ ทำใหค้ ่าความเรง่ ของแรงสนั่ สะเทอื นในบางความถี่และบางแกนไม่ลดลง

130 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากผลการศกึ ษา จากผลการวิจยั ในคร้งั น้ี พบว่า ควรนำเบาะลดความสน่ั สะเทือน ไปใช้ในงานทีม่ ี แรงสัน่ สะเทอื นในความถ่ีชว่ ง 12.5-40Hz ในแกน Z และ 16000-20000Hz ในแกน X เพราะเป็น ชว่ งความถ่ีทเ่ี บาะลดความสนั่ สะเทอื น สามารถลดค่าความเร่งของแรงสน่ั สะเทอื นได้มากทส่ี ดุ 2. ข้อเสนอแนะการวิจัยครัง้ ต่อไป ในการศึกษาคร้ังต่อไปควรมีการศึกษาค่าความเร่งความสน่ั สะเทือนทส่ี ง่ ผลตอ่ สุขภาพของ ผปู้ ฏบิ ตั ิงาน กติ ติกรรมประกาศ ขอขอบคุณสหกรณ์การเดินรถเมอื งชลบุรี จำกดั ที่ไดใ้ ห้ข้อมลู ในส่วนของรถโดยสารประจำ ทาง ในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวดั ชลบุรี เพอื่ นำมาใชป้ ระกอบการวิจัยจนทำให้งานวจิ ัยฉบับนี้ มีความสมบรู ณ์ ขอขอบคณุ พนักงานขบั รถโดยสารประจำทางในตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จงั หวัดชลบุรี ท่ี ใหค้ วามอนเุ คราะหแ์ ละความรว่ มมอื เป็นอยา่ งดีในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทใี่ ช้ในการวจิ ยั ครงั้ น้สี ำเรจ็ ลลุ ว่ ง ไดด้ ้วยดี เอกสารอ้างองิ กระทรวงการท่องเทยี่ วและกีฬา. สถติ กิ ารทอ่ งเทย่ี วบางแสน.2561. สืบคน้ จาก : www.mots.go.th (วันทสี่ บื ค้น 2 มกราคม 2563). ชลุ ีกร ธนธติ ิกร ความชุกและปจั จยั ท่มี ีความสัมพันธ์กับภาวะการณง์ ่วงนอนผิดปกตติ อน กลางวนั ของพนกั งานขบั รถโดยสาร กรงุ เทพมหานคร. วิทยานิพนธ์ วิทยาศาสตร มหาบณั ฑติ จฬุ าลงกรมหาวิทยาลยั ,2555. ประภสั สร ธรรมพทิ กั ษ์ การศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของวัสดุหอ่ หุ้มดา้ มจับเพื่อลดความเสยี่ งท่ีมอื และ แขนในพนกั งานควบคมุ เครือ่ งตบดนิ แบบกระโดดในอตุ สาหกรรมกอ่ สร้างประเภทงาน ดินและปรับพนื้ ท.ี่ วทิ ยานพิ นธ์ วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยบรู พา.2561. ปริยาภรณ์ โทนหงสส์ า การประเมนิ การสน่ั สะเทอื นทัง้ ร่างกายของพนักงานขบั รถยกในบรเิ วณ คลังสินคา้ . วิทยานพิ นธ์ วศิ วกรรมศาสตรมหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.2559.

131 พงษ์ธร แซอ่ ุย. ชนดิ ของยางและการใช้งาน.2548. สบื คน้ จาก : www.rubbercenter.org/files/ technologys.pdf (วันทีส่ ืบคน้ 4 มกราคม 2563). มูลนิธิเพอื่ ผู้บรโิ ภค. 1 แสนชวี ิตบนเสน้ ด้าย ภาคใตค้ รองแชมปร์ ถโดยสารชราภาพ.2552. สบื คน้ จาก :https://www.consumerthai.org/busnews/2507-1- 43.html?fbclid=IwAR2Kj2kAAxT4bidooQte_uQGIouTuk3iR0U- xehU3wNNPEj_c_1cHygwXEc (วนั ทสี่ บื ค้น 20 มกราคม 2563). ราเชน จามนอ้ ยพรหม การศกึ ษาการส่ันสะเทอื นของรถบรรทุกเล็ก. วิทยานิพนธ์ วิศวกรรมศาสตร มหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลัยจฬุ าลงกรณ์.2546. Mgbestautosales. อายกุ ารใช้งานของรถยนตส์ ว่ นบคุ คลพิจารณาจากสง่ิ ใดบา้ ง.2014. สืบคน้ จาก : https://www.mgbestautosales.com (วนั ทสี่ ืบคน้ 4 มกราคม 2563). Ridebuster. 6 เรอ่ื งต้องรู้ทนั ทำไมรถคณุ ถงึ “สั่น”.2017. สบื คน้ จาก : https://www.ridebuster.com (วนั ทสี่ ืบคน้ 5 มกราคม 2563).