Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6

เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6

Published by thippharat.n, 2020-04-14 03:19:34

Description: เอกสารประกอบการประชุมวิชาการงานวิจัยด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัยครั้งที่ 6 วันที่ 26 มีนาคม 2563

Search

Read the Text Version

47 ความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล (เพศ อายุ ระดับการศึกษา) กับสมรรถภาพการ มองเห็นของบคุ ลากรทีใ่ ช้คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศนู ยก์ จิ กรรมนสิ ิต พบว่า เพศ ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ และยังพบว่า อายุมีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็น และระดับการศึกษาสูงสุดมี ความสมั พนั ธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นอยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั 0.05 ดงั ตารางที่ 7 ตารางที่ 7 ความสัมพันธร์ ะหว่างข้อมูลส่วนบุคคล (เพศ อายุ ระดบั การศึกษา) กบั สมรรถภาพการ มองเห็นของบุคลากรท่ใี ช้คอมพวิ เตอร์ภายในอาคารศนู ย์กิจกรรมนิสิต (n=39) สมรรถภาพการมองเหน็ ������������ p- value ขอ้ มูลส่วนบคุ คล เหมาะสม ไม่เหมาะสม จำนวน(ร้อยละ) จำนวน(ร้อยละ) เพศ 2.445a 0.118 ชาย 0(0) 6(100) หญิง 10(30.3) 23(69.7) อายุ (ป)ี 10.392a 0.001* ≤ 40 10(45.5) 12(54.5) > 40 0(0) 17(100) ระดับการศึกษา 10.392a 0.001* ปริญญาตรี 10(45.5) 12(54.5) ปริญญาโทขึ้นไป 0(0) 17(100) *p<0.05 มีนยั สำคญั ทางสถิติ a = Fisher exact test ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ (ระยะเวลาที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์(ปี) ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อสัปดาห์(วัน) ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อวัน(ชั่วโมง) และความต่อเนื่องในการใช้งานคอมพิวเตอร์(ชั่วโมง)) กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ ใชค้ อมพวิ เตอร์ภายในอาคารศนู ยก์ จิ กรรมนิสิต พบว่า ระยะเวลาที่เร่ิมใชง้ านคอมพิวเตอรม์ ีความสัมพนั ธก์ บั สมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรท่ใี ช้ คอมพิวเตอร์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อสัปดาห์ ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อวัน และความต่อเนื่องในการใช้งานคอมพิวเตอร์ไม่มีความสัมพันธ์ กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรทีใ่ ชค้ อมพิวเตอร์ ดงั ตารางท่ี 8

48 ตารางที่ 8 ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานคอมพิวเตอร์ (ระยะเวลาที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์(ปี) ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อสัปดาห์(วัน) ระยะเวลาที่ใช้งานคอมพิวเตอร์ต่อวัน(ชั่วโมง) และ ความต่อเนอ่ื งในการใชง้ านคอมพวิ เตอร์(ช่วั โมง)) กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรทีใ่ ช้ คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศูนย์กจิ กรรมนสิ ติ (n=39) สมรรถภาพการมองเห็น ������������ p- การใชง้ านคอมพวิ เตอร์ เหมาะสม ไมเ่ หมาะสม value จำนวน(รอ้ ยละ) จำนวน(ร้อยละ) ระยะเวลาที่เรมิ่ ใชง้ านคอมพิวเตอร์ (ปี) 13.179a 0.000* ≤10 8(61.5) 5(38.5) >10 2(7.7) 24(92.3) ระยะเวลาท่ใี ชง้ านคอมพวิ เตอร์ตอ่ วนั (ชั่วโมง) 1.076 a 0.300 ≤5 2(15.4) 11(84.6) >5 8(30.8) 18(69.2) ระยะเวลาทีใ่ ชง้ านคอมพิวเตอรต์ อ่ วนั (ช่วั โมง) 0.756 a 0.384 ≤5 5(20.8) 19(79.2) >5 5(33.3) 10(66.7) ความต่อเนื่องการใช้งานคอมพวิ เตอร(์ ช่ัวโมง) 0.009a 0.925 ≤5 5(26.3) 14(73.7) >5 5(25) 15(75) *p<0.05 มนี ัยสำคัญทางสถิติ a = Fisher exact test ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรเู้ กยี่ วกับแสงสว่างกบั สมรรถภาพการมองเห็นของบคุ ลากร ท่ใี ช้คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศนู ย์กจิ กรรมนิสติ พบว่า ความรเู้ ก่ยี วกับแสงสวา่ งไมม่ คี วามสัมพนั ธ์กบั สมรรถภาพการมองเหน็ ของบุคลากรท่ี ใชค้ อมพิวเตอรภ์ ายในอาคารศูนยก์ ิจกรรมนสิ ิต ดงั ตารางท่ี 9

49 ตารางท่ี 9 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความรเู้ กย่ี วกบั แสงสวา่ งกับสมรรถภาพการมองเหน็ ของบคุ ลากรที่ ใชค้ อมพวิ เตอรภ์ ายในอาคารศนู ยก์ ิจกรรมนสิ ิต (n=39) สมรรถภาพการมองเหน็ ������������ p-value ความรเู้ กี่ยวกบั แสงสว่าง เหมาะสม ไม่เหมาะสม จำนวน(ร้อยละ) จำนวน(ร้อยละ) 4.609a 0.100 ความรู้ระดับนอ้ ย 4(36.4) 7(63.6) ความรรู้ ะดบั ดี 2(10.5) 17(89.5) ความรู้ระดับดมี าก 4(44.4) 5(55.6) a = Fisher exact test ความสมั พันธร์ ะหวา่ งทศั นคติเก่ยี วกับแสงสวา่ งกับสมรรถภาพการมองเหน็ ของบุคลากร ทใี่ ชค้ อมพิวเตอรภ์ ายในอาคารศนู ยก์ ิจกรรมนิสิต พบว่า ทัศนคติเกี่ยวกบั แสงสว่างไมม่ ีความสัมพนั ธ์กบั สมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากร ที่ใชค้ อมพิวเตอรภ์ ายในอาคารศนู ย์กจิ กรรมนสิ ติ ดังตารางที่ 10 ตารางที่ 10 ความสมั พันธ์ระหวา่ งทัศนคตเิ กยี่ วกับแสงสว่างกบั สมรรถภาพการมองเหน็ ของบคุ ลากร ทใ่ี ชค้ อมพวิ เตอร์ภายในอาคารศูนย์กิจกรรมนิสิต (n=39) สมรรถภาพการมองเหน็ ������������ p-value ทศั นคติเกยี่ วกบั แสงสวา่ ง เหมาะสม ไม่เหมาะสม จำนวน(ร้อยละ) จำนวน(ร้อยละ) 2.076a 0.354 ทศั นคติระดบั น้อย 2(20) 8(80) ทศั นคตริ ะดบั ปานกลาง 8(32) 17(68) ทัศนคติระดบั มาก 0(0) 4(100) a = Fisher exact test

50 ความสัมพันธร์ ะหว่างระดบั ความเข้มแสงสวา่ งกบั สมรรถภาพการมองเหน็ ของบคุ ลากร ท่ีใช้คอมพวิ เตอร์ภายในอาคารศนู ยก์ จิ กรรมนิสติ พบวา่ ระดบั ความเขม้ แสงสวา่ งงานเขยี น งานพิมพ์ งานบันทึกข้อมลู การอา่ นและ ประมวลผลขอ้ มูลไม่มีความสัมพันธ์กบั สมรรถภาพการมองเห็นของบคุ ลากรทใ่ี ช้คอมพวิ เตอรใ์ น อาคารศูนย์กจิ กรรมนิสติ ดงั ตารางที่ 11 ตารางที่ 11 ความสมั พันธ์ระหว่างระดับความเขม้ แสงสว่างกับสมรรถภาพการมองเหน็ ของบุคลากรที่ ใช้คอมพิวเตอรภ์ ายในอาคารศนู ย์กิจกรรมนสิ ติ (n=39) ระดับความเขม้ แสงสวา่ ง สมรรถภาพการมองเหน็ ������������ p-value (ลกั ซ)์ เหมาะสม ไม่เหมาะสม จำนวน(ร้อยละ) จำนวน(ร้อยละ) งานเขียน 0.002a 0.963 < 400 8(25.8) 23(74.2) 400 - 500 2(25) 6(75) งานพมิ พ์ 0.620a 0.431 < 400 8(23.5) 26(76.5) 400 - 500 2(40) 3(60) งานบนั ทกึ ข้อมูล 0.101a 0.751 < 400 9(25) 27(75) 400 - 500 1(33.3) 2(66.7) การอ่านและประมวลผลข้อมลู 0.656a 0.418 < 400 9(24.3) 28(75.7) 400 - 500 1(50) 1(50) a = Fisher exact test *ในการวจิ ัยครง้ั นีไ้ ม่มีระดับความเข้มแสงสวา่ งเฉพาะจดุ เกิน 500 ลกั ซ์

51 อภปิ รายผลการวจิ ัย จากการศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้ คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศูนย์กิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดชลบุรี ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศูนย์กิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดช ลบุรี จำนวน 39 คน เมื่อทำการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล การใช้งานคอมพิวเตอร์ ความรู้เกี่ยวกับแสงสว่าง ทัศนคติเกี่ยวกับแสงสว่างและระดับความเข้มแสงสว่างที่มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศูนย์กิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัย แหง่ หน่งึ จงั หวัดชลบรุ ี พบว่า เพศ ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่ง สอดคล้องกับงานวิจัยของปาจรา โพธิหัง (2550) พบว่า เพศไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพทาง สายตา เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงมีจำนวนมากกว่ากลุ่มตัวอย่างเพศชายและสมรรถภาพการ มองเหน็ ของกลมุ่ ตัวอยา่ งเพศหญงิ มีความเหมาะสมกับงานมากกวา่ กลุ่มตวั อย่างเพศชายร้อยละ 19.4 อายุ มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งสอดคล้อง กับงานวิจัยของจรญู ชิดนาย,ี วิรงค์รอง จารุชาต และศศธิ ร ชิดนายี (2556) พบวา่ อายมุ คี วามสัมพนั ธ์ กบั สมรรถภาพทางสายตาอย่างมนี ัยสำคญั ทางสถิติ เนอ่ื งจากผู้ใชง้ านคอมพิวเตอรท์ มี่ ีอายุต้ังแต่ 40 ปี ขึ้นไปมีสมรรถภาพทางสายตาไม่เหมาะสมกับงานสูงเป็น 28.41 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ใช้งาน คอมพวิ เตอรท์ ่มี ีอายนุ อ้ ยกว่าถึง 40 ปี ระดบั การศกึ ษา มคี วามสัมพนั ธก์ ับสมรรถภาพการมองเหน็ ของบคุ ลากรทใ่ี ช้คอมพวิ เตอร์ ซง่ึ สอดคล้องกับงานวิจัยของGiri, Purushottam A; Phalke, Deepak B; Phalke, Vaishali D; Aarif, Syed M M; Kalakoti, Piyush. (2010) ) พบว่า ระดับการศึกษาไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพ ทางสายตา เนื่องจากกลุ่มตวั อย่างที่มสี มรรถภาพการมองเห็นเหมาะสมกับงานอยู่ในระดับปริญญาตรี 35.55 เทา่ เมื่อเทยี บกับปรญิ ญาโทขนึ้ ไป การใช้งานคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ระยะเวลาที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของจรูญ ชิดนายี , วิรงค์รอง จารุชาต และศศิธร ชิดนายี (2556) พบว่า ระยะเวลาที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์ มี ความสัมพันธ์กับสมรรถภาพทางสายตา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจากผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มี ระยะเวลาท่ีเริ่มใชง้ านคอมพวิ เตอร์มากกว่า10 ปี ขึน้ ไป มสี มรรถภาพทางสายตาไม่เหมาะสมกับงาน

52 สูงเป็น 10.44 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีระยะเวลาที่เริ่มใช้งานคอมพิวเตอร์น้อยกว่า ถึง 10 ปี ความรู้เกี่ยวกับแสงสว่าง ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้ คอมพิวเตอร์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของปัทมพร กิตติก้อง และคณะ (2560) พบว่า ความรู้ไม่มี ความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็น เนื่องจากมีความรู้อยู่ในระดับดีมากแต่ก็ไม่สามารถ เปลยี่ นแปลงสมรรถภาพการมองเห็นได้เพราะพฤติกรรมของบุคคลทีแ่ ตกต่างกัน ทัศนคติเกี่ยวกับแสงสว่าง ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้ คอมพิวเตอร์ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของGiri, Purushottam A; Phalke, Deepak B; Phalke, Vaishali D; Aarif, Syed M M; Kalakoti, Piyush. (2010) พบว่า ทัศคติไม่มีความสัมพันธ์กับ สมรรถภาพการมองเห็น เนื่องจากการการมีทัศนคตใิ นระดับมากแต่ก็ไม่ได้ทำให้มกี ารปฏิบตั ไิ ปในทาง ท่ดี ีด้วย ระดับความเข้มแสงสว่าง ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็นของบุคลากรที่ใช้ คอมพิวเตอร์ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของจามรี สอนบุตร, พิชญา พรรคทองสุข และคณะ (2552) พบว่า ระดับความเข้มแสงสว่างไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็น เนื่องจากระดับความ เข้มแสงสว่างส่วนใหญ่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานแต่สมรรถภาพการมองเห็นก็ไม่เหมาะสมกับงานมากถึง รอ้ ยละ 62.93 จากการอภิปรายผลปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็น พบว่า อายุ ระดับ การศึกษาระยะเวลาที่เรม่ิ ใช้งานคอมพิวเตอร(์ ป)ี มีความสมั พนั ธก์ บั สมรรถภาพการมองเหน็ แต่ในการ ศึกษาวิจัยครั้งนี้อาจไม่ครอบคลุมตามงานวิจัยของจรูญ ชิดนายี และคณะ (2556); ปาจารา โพธิหัง (2550); จามรี สอนบตุ ร, พิชญา พรรคทองสขุ และคณะ (2552) เพราะเนือ่ งจากจำนวนกลุม่ ตัวอย่าง ท่ีนอ้ ยเกนิ ไปเม่อื เทียบกับงานวิจยั อื่น ๆ ควรเพม่ิ จำนวนกลมุ่ ตวั อย่างสำหรับในการศกึ ษาครง้ั ต่อไป ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะทไี่ ดจ้ ากงานวิจยั 1) บุคลากรควรมีการป้องกันมากขึ้นในกลุ่มที่มีความไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน โดยเพมิ่ โคมไฟเฉพาะจดุ ในบริเวณท่มี กี ารทำงาน

53 2) ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่มีสายตาสั้น-ยาวหรือสายตาเอียง ควรได้รับการแก้ไขให้ การมองเห็นเป็นปกติ เช่น การสวมใส่แว่นสายตาหรือคอนแทคเลนส์ให้เหมาะสมกับค่าสายตา เพ่ือ ช่วยในการปรบั ความคมชัดของสายตา 2. ขอ้ เสนอแนะในครง้ั ตอ่ ไป 1) ควรมีการใช้กลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่เพื่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนน้อยและได้ ข้อมลู ทเี่ ท่ียงตรง 2) ควรมีการศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการ ทำงานของกลุ่มผู้ใช้งาน คอมพิวเตอร์เพือ่ จดั สภาพแวดล้อมในการทำงานทีเ่ หมาะสม 3) การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการมองเห็น เช่น ความเชื่อด้าน สขุ ภาพโรคประจำตัว เพ่ือเปน็ แนวทางในการปรับปรุงสมรรถภาพการมองเหน็ ตอ่ ไปได้ กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบบั น้ี สำเร็จได้เน่อื งจากไดร้ ับความอนเุ คราะหอ์ ยา่ งดยี งิ่ จากกลมุ่ ตวั อย่างบุคลากรที่ ใช้คอมพิวเตอร์ภายในอาคารศูนย์กิจกรรมนิสิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จังหวัดชลบุรี จำนวน 39 คน ที่ได้สละเวลาในการเข้าร่วมการวิจัยครั้งนี้ เห็นซึ้งใจและขอบคุณในความกรุณาจากทุก ๆ ท่านอย่าง ยง่ิ เอกสารอ้างองิ จามรี สอนบุตร, พิชญา พรรคทองสุข และสุภาภรณ์ เตง็ ไตรสรณ์. ความชุกและปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ ความลา้ ของสายตาในผปู้ ฏิบัตงิ านกบั เครอื่ งคอมพวิ เตอรข์ องคณะแพทย์ศาสตร มหาวิทยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ สงขลานครนิ ทรเ์ วชสาร, 2552; 7(2), 91-104. จิตตาภรณ์ มงคลแกน่ ทราย, จริ านวุ ฒั น์ จนั ทา, รอฮมี ะห์ โอะ๊ หลาํ และ อรอมุ า วิมลเมอื ง. ความชกุ ของความล้าของตาในกล่มุ บคุ ลากรสำนักงานสาํ นกั งานอธิการบดี มหาวิทยาลยั วลัย ลักษณ์. การประชมุ วิชาการนาํ เสนอผลงานวจิ ยั ระดับชาตริ าชธานีวิชาการ ครง้ั ที่ 2, 2557; 2(1), 76.

54 จรญู ชดิ นาย,ี วริ งคร์ อง จารุชาต, และ ศศธิ ร ชดิ นาย. ความสมั พนั ธ์ระหว่างความลา้ ของสายตากบั การตรวจสมรรถภาพทางสายตาในกลุม่ ผูใ้ ชง้ านคอมพิวเตอร์ ในโรงพยาบาลอุตรดติ ถ.์ วารสารวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ, 2556; 2(7), 47. ทศั นีย์ ศริ ิกลุ และโกศล คำพทิ ักษ.์ Prevalence of Computer Vision Syndrome in Computer Users. จกั ษธุ รรมศาสตร,์ 2549; 21-28. นรากร พลหาญ, สมสมร เรอื งวรบูรณ,์ โกมล บญุ แกว้ และอนพุ งษ์ ศรวี ริ ตั น.์ กลุ่มอาการท่เี กดิ ตอ่ รา่ งกายจากการใช้คอมพวิ เตอร์ในการปฏบิ ัติงานของบคุ ลากรสายสนับสนุน มหาวิทยาลยั นครพนม.วารสารมหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวิโรฒ (สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลย)ี , 2556. นิมติ พาล.ี 2559. แสงสวา่ งท่ีเหมาะสมในการทํางาน. วารสารกรมวทิ ยาศาสตรบ์ ริการ. สืบคน้ จาก : http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2559_64_202_p21-22.pdf (วันทส่ี ืบค้น 24 มกราคม 2563). ปาจรา โพธิหัง. 2550. ปัจจัยทเ่ี สยี่ งของกลุม่ อาการจอภาพคอมพวิ เตอร์ในพนักงานที่ทํางาน เกีย่ วข้องกบั การจัดการขอ้ มลู และสารสนเทศ. สบื คน้ จาก : http://tdc.thailis.or.th/tdc/dcch eck.php (วันทสี่ ืบคน้ 24 มกราคม 2563). ปาจรา โพธิหงั . 2559. ปัจจัยทเี่ สี่ยงของกลุ่มอาการจอภาพคอมพวิ เตอร์ในกลมุ่ วัยทำงานไทย: การ ทบทวนวรรณกรรมอยา่ งเปน็ ระบบ. สืบคน้ จาก : https://www.slideshare.net/Pattara nanDuangin/ss-115122941 (วันทสี่ บื คน้ 30 มกราคม 2563). รชยา หาญธญั พงศ.์ การศึกษาหาความชุกและปัจจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับภาวะ Computer vision syndrome ในเจา้ หนา้ ทท่ี ที่ ำงานโดยใชเ้ ครือ่ งคอมพิวเตอร์ในอาคาร อปร. คณะ แพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. วารสารโรคจากการประกอบอาชพี และ สิง่ แวดลอ้ ม, 2549; 2(27), 91-104. สงา่ ทับทมิ หนิ และนิตยา พทุ ธบรุ .ี (2562). ความชกุ และระดบั ความรนุ แรงของกล่มุ อาการทางตา จากจอภาพคอมพวิ เตอรข์ องบคุ ลากรสายสนับสนนุ ในมหาวทิ ยาลัยอบุ ลราชธานี. สบื ค้น จาก : http://li01.tci-thaijo.org/index.php/SRIMEDJ/article/download/181353/ 128596/ (วนั ท่ีสืบคน้ 24 มกราคม 2563).

55 สมพร โรจน์ดำรงการ. ความลา้ ทางสายตาของงานพมิ พบ์ นจอภาพคอมพวิ เตอร์และงาน ตรวจสอบ. วทิ ยานิพนธ์วศิ วกรรมศาสตรมหาบณั ฑิต, สาขาวิศวกรรมอตุ สาหการ. จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2539; 27-40. สปุ ราณี จนั ทรโ์ ชติ. ความสมั พนั ธ์ของระยะเวลาตอ่ การเกดิ ความลา้ ของสายตาในการทำางาน ตรวจสอบด้วยกลอ้ งไมโครสโครป. วทิ ยานิพนธป์ ริญญาวศิ วกรรมศาสตร์มหาบัณฑติ สาขาวศิ วกรรมความปลอดภัยมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์, 2549. โสฬส วุฒพิ ันธ์. (2550). Computer vision syndrome. สืบค้นจาก http://www.doctor.or.th/clinic/detai l/7253 (วนั ทสี่ บื คน้ 30 มกราคม 2563). B. Piccoli, M. D’Orso2, G. Polselli, I. Leka and D. Pisaniello. 2016. Luminance In the Occupational Visual Field:An Evaluation of Office Workstations. From: https://www.researchgate.net/publication/293756008_LuminanceIn_the_Occ upational Visual_Field_An_Evaluation_of_Office_Workstations (access on March 24, 2020) Giri, Purushottam A, Phalke, Deepak B, Phalke, Vaishali D, Aarif, Syed M M, Kalakoti, Piyush, 2010. Computer related health problems among occupational computer users: A cross-sectionalstudy. From: https://search.proquest.com /openview/1?pq-origsite=gscholar&cbl=5499/ (access on March 24, 2020) Reddy, SC., Low, CK., & Nursaleha, MP. Computer vision syndrome : a study of knowledge and practices in university students. Nepalese Journal of Oph thalmology, 2013; 5(10), 161-16.

ปจั จยั ทมี่ ีความสมั พนั ธ์กับอาการผ่นื ผวิ หนงั อักเสบบริเวณมอื ของชา่ งทำผม จากการทำงานรอบมหาวิทยาลยั บรู พา Factors related to the Occupational contact Dermatitis on the hands of Hairderssers around Burapha University มณีรตั น์ สมั ฤทธ1์ิ , โซเฟีย แกสมาน1, ประกายกาญจน์ ตมิ ุลา1, พิชญากานต์ ทนนำ้ 1, หทัยรัตน์ ไตรบุตร1, อนามัย เทศกะทึก2 1วิทยาศาสตรบัณฑติ สาขาสุขศาสตรอ์ ตุ สาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา 2ภาควชิ าสขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา บทคดั ยอ่ การวจิ ยั ครง้ั นี้ มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่อื ศกึ ษาอาการผ่ืนอาการผวิ หนงั อักเสบบรเิ วณมือของช่างทำ ผม และปจั จยั ที่มคี วามสัมพนั ธ์กบั อาการผน่ื ผวิ หนังอกั เสบบริเวณมือของชา่ งทำผมรอบมหาวทิ ยาลยั บรู พา จำนวน 44 คน เกบ็ ตัวอยา่ งโดยใช้แบบสอบถามท่พี ฒั นามาจาก Nordic occupational skin questionnaire (NOSQ-2002/LONG) ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 81.8 โดยมีอายุเฉลี่ย (SD) เท่ากับ 36.59 (8.46) ปี ไม่มีโรคประจำตัว ร้อยละ 70.5 ไม่มีประวัติภูมิแพ้ร้อยละ 75.0 จากการศึกษาปัจจัยด้าน สภาพการทำงาน พบว่า ประสบการณ์ในการทำผมส่วนใหญ่มีค่าเฉลี่ย (SD) เท่ากับ 12.50 (9.742) ปี ระยะเวลาในการทำงานแต่วันเฉลี่ย(SD) เท่ากับ 9.84(1.80) ชั่วโมง ใช้ถุงมือในการทำงาน ร้อยละ 93.2 ส่วนใหญ่มีการใช้น้ำยาย้อมผม ยืดผม จัดแต่งทรงผม ร้อยละ 95.5 ปัจจัยนอกงาน พบว่า ส่วน ใหญ่ไม่ได้ซักแหง้ หรือซักผ้าด้วยมอื ร้อยละ 50.0 จากการศึกษาอาการทางผิวหนัง พบว่า มีอาการทาง ผิวหนัง ร้อยละ 34.1 ซึ่งอันดับหนึ่งคือ อาการคัน ร้อยละ 60 อันดับสอง คือ ตุ่มแดงและผื่นลมพิษ ร้อยละ 33.3 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เกิดผื่นครั้งเดียวในระยะเวลาน้อยกว่าสองสัปดาห์ ร้อยละ 46.7 มี อาการระหว่าง 3-12 เดือนและเกินกว่า 40 เดือน ร้อยละ 13.6 โดยกิจกรรมหลักที่ทำในขณะเกิด อาการ คือ ทำผม ร้อยละ 53.3 ส่วนใหญ่ไม่เคยมีการไปพบแพทย์เพื่อตรวจ ร้อยละ 73.3 และอาการ ที่ดขี ้นึ หลงั เลกิ งานหรือวนั หยุดส่วนใหญต่ อบว่าไม่แนใ่ จ รอ้ ยละ 40

57 ด้านความสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปรปจั จัยสว่ นบุคคล พบว่า ประวัตภิ ูมิแพ้นน้ั มคี วามสมั พนั ธ์ อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ กิ ับอาการเกดิ ผวิ หนังอักเสบบริเวณมือของช่างทำผม และปจั จัยนอกงาน พบวา่ งานที่ทำให้ผวิ หนงั เปยี กมคี วามสัมพนั ธ์อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตกิ บั อาการเกิดผิวหนงั อกั เสบ บริเวณมือของช่างทำผม (P<.05) จากผลการวิจัยผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะให้กลุ่มตัวอย่างที่มีประวัติ ภูมิแพ้ และกลุ่มตัวอย่างที่มีการรับสัมผัสปัจจัยนอกงานให้มีการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันตนทุกครั้งเอง ขณะทีท่ ำกิจกรรมดงั กลา่ ว คำสำคัญ: อาการผน่ื ผวิ หนงั อกั เสบ, มอื , ช่างทำผม Abstract The aim of this study was to determine the occupational contact dermatitis symptoms among the hairdresser's hand and factors related to the contact dermatitis symptoms on the hands of hairdressers around Burapha University. Data were collected from 44 subjects using the Nordic occupational skin questionnaire (NOSQ 2002) questionnaires. The results showed that most of the gender were 81.8% with average age (SD) 36.59 (8.464) years. No chronic diseases, 70.5% without history of allergies, 75.0% were indicated in this study. From the study of working condition, it was found that most of the hairdressing experience had an average (SD) of 12.50 (9.742) years, the average duration of working days (SD) was 9.84 (1.804) hours. Ninety-three percent used gloves for work. Most of them, 95.5% used hair dye, hair straightening and styling. For offsite factors, it was found that most of them did not dry clean or wash their hands by 50.0 percent. According to skin dermatology studies, 34.1% of them had contact dermatitis symptoms, with 60% of the itching, followed by skin rashes and urticaria, 33.3% respectively. Mostly, the rash occurred only once in a period of less than two weeks. 46.7% had symptoms between 3-12 months and more than 12 months, 40%. The main activity performed at the time of symptoms was hairdressing, 53.3%. Most had never been to the doctor to check up for 73.3 percent and

58 symptoms improved after work or holidays, most responded that 40 percent were unsure. As for the relationship between personal factors and contact dermatitis symptoms, it was found that the history of allergies was related significantly with contact dermatitis symptoms of the hairdresser. Additionally, off-site factors were found that wet skin work has a statistically significant relationship with dermatitis among the hairdresser's hands (p <.05). From this research findings, the researcher suggested that the study subjects with allergy history and the samples that were exposed to external factors should wear the protective equipment every time while working. Keyword: Contact dermatitis, Hands, Hairdresser บทนำ การประกอบอาชีพช่างทำผมในปัจจุบัน เป็นอาชีพที่นิยมและให้บริการแก่ลูกค้าทั่วไป มีการ ประมาณการจ้างงานของอาชีพช่างเสรมิ สวยและผู้ปฏิบัติที่เก่ียวข้องในปี 2562 จำนวน 215,900 คน ซึ่งเป็นอาชีพมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากที่สุดใน 50 อันดับแรกระหว่างปี 2558-2562 เท่ากับ 3.44 (กองวิจัยตลาดแรงงานกรมการจัดหางาน,2562) เป็นธุรกิจที่ไม่มีความซับซ้อน สามารถ เปิดดำเนินกิจการได้ง่ายในทุกพื้นที่และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย รวมถึงจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะ พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่มีร้านเสริมสวยเป็นจำนวนมาก เพื่อ รองรบั กับผใู้ ชบ้ ริการจำนวนมากในแต่ละวนั ในปัจจุบันทั้งวัยรุ่นชายหญิงหันมาให้ความสนใจกับการทำผมตามแฟชั่นเป็นจำนวนมาก (สมศักด์ิ ชลาชล,2553) การทำงานในขั้นตอนการย้อมหรือยืดผม ช่างทำผมจะมีการผสมน้ำยาซึ่งมี ส่วนประกอบของสารเคมี เช่น สารไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) สารกัวนิดีนไฮดร อกไซด์(Guanidine Hydroxide) สารแอมโมเนียมไธโอไกลโคเลต (Ammonium Thioglycolate) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2544) และสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ที่เป็นส่วนประกอบใน น้ำยายดื ผมหรือน้ำยาปรับสภาพเส้นผมและแชมพบู างสูตรที่ไม่ได้มาตรฐาน (นลินี ศรพี วง,2557)

59 การปฏิบัติงานมีโอกาสรับสัมผัสสารเคมีได้ หากมีการป้องกันตนเองที่ไม่เหมาะสม (พรแก้ว เหลืองอัมพร,2556) อาจทำให้เกดิ โรคผิวหนังได้ เช่น สารฟอรม์ าลดีไฮดเ์ ปน็ สารท่ีทำให้เกดิ การระคาย เคืองผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจอักเสบ ภูมิแพ้ รวมทั้งอาการหอบหืด (Moscato G, Pignatti P, Yacoub MR,2005) แอมโมเนียและสารเปอร์ออกไซด์อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดิน หายใจและผิวหนัง (Mounier-Geyssant E, Oury V, Mouchot L,2006) จากสถิติการอุบัติโรค ผิวหนังจากการทำงานพบว่า มีผู้ป่วยจำนวน 143 ราย (สำนักงานกองทุนเงินทดแทน,2561) โรค ผิวหนังมีถึงร้อยละ 30 ของโรคจากการประกอบอาชีพทั้งหมดและโรคผิวหนังที่เกิดมากที่สุดคือโรค ผิวหนงั อกั เสบ ทง้ั น้ีไม่ได้จำแนกวา่ เป็นโรคนใ้ี นกล่มุ ช่างทำผม ส่วนในตา่ งประเทศมรี ายงานอุบตั ิการณ์ รายปีเป็น 12.9 ต่อ 100,000 คน (Held et al,2002) โรคผิวหนังจากการประกอบอาชีพที่พบมาก ที่สุดคือ โรคผิวหนังจากการสัมผัส (Contact Dermatitis, CD) มีประมาณร้อยละ 80 (Behroozy et al,2014) ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับอาการผิวหนังอักเสบบริเวณมือของช่างทำผมมีหลายประการ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า เมื่ออายุเพิ่มขึ้นความต้านทานของผิวหนังต่อสารก่อระคายเคืองลดลง (ปิยะ แซ่จัง,สุนทร ศุภพงษ์,2555) ปัจจัยประวัติภูมิแพ้พบว่า คนที่มีประวัติผื่นผิวหนังอักเสบในวัยเด็กเป็น ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดผิวหนังอักเสบบริเวณมือและมีอัตราความชุกสูงกว่าคนปกติ 3 เท่า ( Meding B,2007) ปัจจัยด้านสภาพการทำงานพบว่า การใช้หน้ากากป้องกันเป็นระยะเวลานานทำให้อึดอัด สง่ ผลให้ชัว่ โมงการทำงานทมี่ ากข้ึนพฤติกรรมปอ้ งกันยงิ่ ลดลง (สภุ วรรณ สายสุด,2553) การแก้ไขปัญหา เพอ่ื ดแู ลสขุ ภาพของชา่ งเสริมสวย ในประเทศไทยมีกฎหมายพระราชบญั ญัติ เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 เพื่อควบคุมอันตรายจากสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์แต่งผม และมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กําหนดช่ือและปริมาณของวตั ถทุ ่อี าจใชเ้ ปน็ สว่ นผสมในการ ผลิตเคร่ืองสาํ อาง(ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2557 แต่แรงงานกลุม่ นย้ี ังขาดการดูแลคุ้มครอง ส่งเสริมและพัฒนา เพื่อนำสู่คุณภาพชีวิตที่ดี การแก้ปัญหาการเกิดโรคผิวหนังอักเสบจากการทำงานให้มีความสอดคล้อง กับนโยบายรัฐบาล ทำได้โดยการเฝ้าระวังในผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและมีปัญหาทางผิวหนัง เช่ น การ วินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบจากการทำงานอาจใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การทดสอบด้วยวิธี แผ่นปิดผิวหนัง (Patch Test) ให้ผลลบต่อสารที่สัมผัส หรืออาศัยการซักประวัติต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม สามารถคัดกรองอาการผิวหนัง โดยการใช้แบบสอบถามซึ่งดัดแปลงมาจาก Nordic occupational skin questionnaire (NOSQ-2002/LONG) เป็นแบบสอบถามทีไ่ ดม้ าตรฐาน มปี ระสทิ ธภิ าพและ

60 ประหยัดค่าใช้จ่าย จึงนำมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินอาการผิวหนังอักเสบ(กิตติพล ไพรสุทธิ รัตน,2560) จากการศึกษาที่ผ่านมา โดยการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า ความชุกของโรคผิวหนังที่มือใน ช่างทำผมเท่ากับ 68.13% (Archibong J,2018) การเป็นโรคผิวหนังติดต่อที่ระคายเคืองจากการ ประกอบอาชีพช่างทำผม 46.7% และเป็นในเด็กฝีกงานในร้านทำผมมากกว่าช่างทำผมที่ผ่านการ อบรมแล้ว (Caroe TK,et al, 2017) การศึกษาโรคผวิ หนังในการทำสีผมและการดดั ผมในญ่ีปุ่น พบว่า ความชุกสำหรับการสัมผัสกับ PPD (p-Methylaminophenol) เท่ากับ 35.1% ส่วนการศึกษาใน ประเทศไทย พบว่าความชุกของการเกิดผิวหนังอักเสบบริเวณมือหลังศกึ ษาหลักสูตรสระ-ดดั -เปลี่ยนสี ผม 2 เดือน พบว่ามีจำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 22.4 (ปิยะ แซ่จัง,สุนทร ศุภพงษ์,2555) ทั้งนี้ยังมี ข้อมูลค่อนข้างจำกัด จึงทำให้ผู้ทำวิจัยเห็นถึงความสำคัญของอาชีพช่างทำผม ดังนั้นจึงนำไปสู่แนวคิด ในการศกึ ษาปัจจัยทม่ี คี วามสัมพันธก์ บั การเกิดการอกั เสบบรเิ วณมือของชา่ งทำผม โดยมวี ัตถุประสงค์ การวิจัย เพื่อศึกษาผื่นอาการผิวหนังอักเสบบริเวณมือของช่างทำผม รอบมหาวิทยาลัยบูรพา เพ่ือ ศกึ ษาปัจจัยด้านต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ปจั จัยสว่ นบุคคล ปัจจยั ดา้ นสภาพการทำงาน ปจั จยั ดา้ นเคมีภณั ฑ์ และ ปัจจัยนอกงาน ของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา และเพือ่ ศึกษาปัจจัยที่มคี วามสมั พนั ธก์ ับอาการ ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพาเพื่อนำผลที่ได้จากการศึกษาไปวาง แนวทางในการป้องกันและเฝา้ ระวงั สุขภาพของกลุม่ ชา่ งทำผมตอ่ ไป ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง การศึกษานี้ใช้วิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional descriptive study) โดยเก็บข้อมูลระหว่างเดือน มกราคม ถึง เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ เป็นช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา ประชากรทั้งหมด 50 คน ซึ่งได้กลุ่มตัวอย่างมาจำนวนทั้งหมด 44 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างได้จากการคำนวนด้วยสูตรเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) โดยมี เกณฑ์การคัดเข้า คือเป็นช่างทำผม ที่เคยทำงานด้านการทำสีผม สระผม และยืดผมมาก่อน รอบ มหาวทิ ยาลัยในพืน้ ที่รัศมี 1 กิโลเมตร มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า 6 เดอื น

61 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เครื่องมอื เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม แบ่งเป็น 6 ส่วน คือ ข้อมูลทั่วไป จำนวน 6 ข้อประวัติภูมิแพ้ จำนวน 4 ข้อ ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน จำนวน 7 ข้อ ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ จำนวน 4 ข้อ และปัจจัยนอกงาน 1 ข้อ ส่วนของอาการผื่นผิวหนังอักเสบ จำนวน 7 ข้อ โดยใช้ Nordic occupational skin questionnaire (NOSQ 2002) Nordic questionnaire for surveying work-related skin diseases on hands and forearms and relevant exposures ของ National Institute of Occupational Health, Copenhagen, Denmark วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมลู วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ คณะผู้วิจัยลงพื้นที่เพื่อทำการเก็บรวบรวมข้อมูล แจ้งข้อมูล รายละเอียด วัตถุประสงค์ในการทำวิจัยให้แก่ช่างทำผม หลังจากนั้นนำแบบสอบถามที่ได้รับการ ตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้องแล้วให้ชา่ งทำผมตอบคำถามและรอเก็บแบบสอบถามกลับ โดยใช้ เวลาประมาณ 15 นาทตี อ่ ราย การวเิ คราะห์ข้อมลู วิเคราะห์ผลวิเคราะห์ข้อมูลเป็น 2 ส่วน คือสถิติเชิงพรรณนา ใช้วิเคราะห์ตัวแปรต้น ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ ปัจจัยนอกงาน นำเสนอในเรื่อง แจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และสถิติเชิงวิเคราะห์ ใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นที่มี ความสัมพันธ์กับตัวแปรตาม คือ อาการผื่นผิวหนังอักเสบ จะใช้วิธีการทดสอบด้วยไคสแควร์ (Chi- SquareTest:������2-test) ผลการวิจยั ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวทิ ยาลยั บูรพา จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยส่วนบคุ คล (n=44) จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 8 18.2 หญงิ 36 81.8

62 ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวทิ ยาลัยบูรพา จำแนกตามปจั จยั สว่ นบคุ คล (ต่อ) ปัจจัยส่วนบคุ คล (n=44) จำนวน รอ้ ยละ อายุ (ป)ี 21 – 32.6 17 38.6 32.7 – 44.3 20 45.5 44.4 – 56 7 15.9 คา่ เฉลีย่ (สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 36.59(8.464) ปี ค่ามัธยฐาน 35 คา่ ตำ่ สุด 21 ปี คา่ สงู สดุ 56 ปี รายได้เฉล่ียตอ่ เดือน (บาท) 10,000 – 33,333 38 81.8 33,334 – 56,667 6 13.6 56,668 – 80,001 2 4.5 ค่าเฉลยี่ (สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน) 25090.91(14347.544)บาท ค่ามัธยฐาน 20,000 ค่าต่ำสุด 10,000 บาท ค่าสูงสุด 80,000 บาท โรคประจำตัว ไม่มี 31 70.5 มโี รคประจำตวั 13 29.5 ประวตั ภิ ูมแิ พ้ ไม่มโี รคภมู ิแพ้ 33 75 อนื่ ๆ 2 4.5 การไดร้ บั วนิ ิจฉัยทางการแพทย์ ไมเ่ คยได้รับการวินจิ ฉยั 5 11.4 เคยได้รบั การวนิ ิจฉัย 3 6.8 ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 2 4.5

63 ตารางท่ี 1 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวิทยาลยั บรู พา จำแนกตามปัจจยั สว่ นบุคคล (ต่อ) ปจั จยั สว่ นบุคคล (n=44) จำนวน รอ้ ยละ วธิ ีท่ไี ด้รบั ในการวนิ ิจฉัย การทดสอบโดยใช้เข็มสะกดิ ผิวหนัง 3 6.8 ไมท่ ราบ/ไมแ่ น่ใจ 5 11.4 อ่ืนๆ 2 4.5 สมาชกิ ในครอบครวั ท่ีมปี ระวัติภมู ิแพ้ ไม่มี 41 93.2 มี 3 6.8 จากการศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา พบว่า ส่วนใหญ่เป็น เพศหญิงร้อยละ 81.1 ซงึ่ มอี ายเุ ฉลย่ี อยทู่ ่ี 36.59(8.464) ปี มีคา่ อายทุ ่ตี ่ำสดุ คือ 21 ปี และสงู สุด 56 ปี สถานภาพส่วนใหญ่โสด ร้อยละ 47.7 ซึ่งระดับการศึกษาอยู่ที่ช่วงมัธยมตอนปลายหรือ ปวช. ร้อยละ 38.6 มีรายได้เฉลย่ี 25090.91(14347.544)บาท ส่วนใหญไ่ ม่มโี รคประจำตวั รอ้ ยละ 70.5 ไม่มปี ระวัติ ภูมแิ พร้ อ้ ยละ 75.0 และไมม่ ีประวตั ภิ ูมิแพ้ของสมาชิกในครอบครัว ร้อยละ 93.2 ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวิทยาลัยบรู พา จำแนกตามปัจจัยด้านสภาพการ ทำงาน ปัจจยั ด้านสภาพการทำงาน (n=44) จำนวน ร้อยละ ประสบการณใ์ นการประกอบอาชพี ชา่ งทำผม (ปี) 35 79.5 1 – 17.3 9 20.4 มากกวา่ 17.3 คา่ เฉลย่ี (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 12.50(9.742) ปี ค่ามธั ยฐาน 10 ค่าตำ่ สดุ 1 ปี ค่าสงู สดุ 50 ปี

64 ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามปัจจัยด้านสภาพการ ทำงาน (ตอ่ ) ปัจจยั ดา้ นสภาพการทำงาน (n=44) จำนวน รอ้ ยละ ระยะเวลาในการทำงาน (ชัว่ โมง) 19 43.2 25 56.8 5–9 มากกว่า 9 21 47.8 คา่ เฉล่ยี (ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน) 9.84(1.804) ช่ัวโมง 23 52.2 คา่ มธั ยฐาน 10 ค่าต่ำสดุ 5 ชั่วโมง คา่ สงู สดุ 13 ช่วั โมง จำนวนลกู คา้ (คน) 35 79.5 3–9 41 93.2 มากกว่า 9 44 100.0 ค่าเฉลย่ี (ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน) 8.11(2.652)คน ค่ามัธยฐาน 10 คา่ ตำ่ สดุ 3 คน ค่าสงู สุด 15 คน การใช้หนา้ กากอนามยั ในการทำงาน ใช้ การใช้ถงุ มือในการทำงาน ใช้ อาการผ่นื ผวิ หนงั อักเสบจากการสวมใสถ่ งุ มอื ไมม่ ี จากการศึกษาปัจจัยด้านสภาพการทำงาน พบว่า ประสบการณ์ในการประกอบอาชีพช่างทำ ผมส่วนใหญ่มากกว่า 1-17.3 ร้อยละ 79.5 โดยมีค่าเฉลี่ย 12.50(9.742) ปี ระยะเวลาในการทำงาน แต่วันอยู่ในช่วง 7.8-10.5 ชั่วโมง ร้อยละ 63.6 โดยมีค่าเฉลี่ยค่าเฉลี่ย 9.84(1.804) ชั่วโมงจำนวน ลูกคา้ ในแตล่ ะวนั อยใู่ นช่วงมากกวา่ 9 คน ร้อยละ 52.5 โดยมคี า่ เฉลยี่ 8.11(2.652) คนสว่ นใหญ่มีการ ใช้หน้ากากอนามัยในการาทำงานรอ้ ยละ 79.5 มีการใช้ถุงมือในการทำงาน ร้อยละ 93.2 ซึ่งส่วนใหญ่ จะใช้ถุงมือยางธรรมชาติ ร้อยละ 75.0 และไม่มีอาการผื่นผิวหนังอักเสบจากการสวมใส่ถุงมือ ร้อยละ 100.0

65 ตารางที่ 3 จำนวนและรอ้ ยละของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลยั บรู พา จำแนกตามปัจจยั ดา้ นเคมีภัณฑ์ ปจั จัยด้านเคมภี ณั ฑ์ (n=44) จำนวน ร้อยละ การใช้นำ้ ยาย้อมสีผม 42 95.5 ใช้ 2 4.5 ไม่ใช้ การใช้แชมพสู ระผม ใช้ 44 100.0 ไมใ่ ช้ 0 0.0 การใช้นำ้ ยายืดผม ใช้ 42 95.5 ไมใ่ ช้ 2 4.5 การใชน้ ำ้ ยาจดั แตง่ ทรงผม เชน่ สเปรย,์ เจล ใช้ 42 95.5 ไม่ใช้ 2 4.5 จากการศึกษาปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ พบว่า ส่วนใหญ่มีการใช้น้ำยาย้อมผม ร้อยละ 95.5 ใช้ แชมพสู ระผม ร้อยละ 100.0 ใชน้ ำ้ ยายืดผม ร้อยยละ 95.5 และใช้น้ำยาจดั แต่งทรงผม รอ้ ยละ 95.5 ตารางที่ 4 จำนวนและรอ้ ยละของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามปัจจัยนอกงาน ปจั จัยดา้ นนอกงาน (n=44) จำนวน รอ้ ยละ ซักแหง้ หรือซกั ผ้าดว้ ยมอื ทำกิจกรรม 22 50 ทำสวน ปลูกตน้ ไม้ ทำกิจกรรม 12 27.3 งานที่ทำให้ผวิ หนงั เปียก ทำกิจกรรม 21 47.7

66 จากการศึกษาปัจจัยนอกงาน พบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ซักแห้งหรือซักผ้าด้วยมือ ร้อยละ 50.0 ไมไ่ ด้ทำสวน ปลกู ต้นไม้ รอ้ ยละ 72.7 และไมไ่ ดท้ ำงานที่ทำใหผ้ วิ หนังเปยี กรอ้ ยละ 52.3 ตารางท่ี 5 จำนวนและร้อยละของชา่ งทำผมรอบมหาวทิ ยาลยั บูรพา จำแนกตามอาการทางผิวหนัง อาการทางผวิ หนงั (n=44) จำนวน รอ้ ยละ อาการทางผวิ หนัง ไมม่ อี าการ 29 65.9 มอี าการแสดง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 15 34.1 อาการคนั 9 60 ตุ่มน้ำ 2 13.3 ตุ่มแดง 5 33.3 รอยแดง 2 13.3 ผืน่ ลมพษิ 5 33.3 ผวิ แห้งแตกเป็นร่อง 3 20 ผวิ หนงั หนาแข็ง 1 6.7 อน่ื ๆ 1 6.7 ความถ่ใี นการเกดิ อาการ เกิดผน่ื คร้ังเดยี วในระยะเวลาน้อยกว่าสองสปั ดาห์ 7 46.7 เพียงครั้งเดียวในระยะเวลาสองสัปดาหห์ รือมากกวา่ 5 33.3 มากกว่าหน่งึ ครงั้ ตอ่ สัปดาห์ 2 13.3 เกอื บตลอดเวลา 1 6.7 ครง้ั สุดท้ายทมี่ อี าการ มอี าการ ณ ปัจจบุ นั 2 13.3 มีอาการ 1 – 3 เดอื นทผ่ี ่านมา 1 6.7 ระหวา่ ง 3 – 12 เดือนท่ผี า่ นมา 6 40 เกิน 12 เดอื น 6 40

67 ตารางที่ 5 จำนวนและร้อยละของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จำแนกตามอาการทางผิวหนัง (ตอ่ ) อาการทางผิวหนัง (n=44) จำนวน รอ้ ยละ งานท่เี ป็นกจิ กรรมหลกั ในขณะเรมิ่ มอี าการ ทำผม 8 53.3 อนื่ ๆ 7 46.7 การไปพบแพทย์เพ่ือตรวจ ไมเ่ คย 11 73.3 เคย 4 26.7 อาการดีขึ้นหลังเลกิ งานหรอื วันหยุด ไมด่ ีขนี้ 3 20 ดขี ้ึน บางครัง้ 3 20 ทุกครง้ั 3 20 ไม่แน่ใจ 6 40 จากการศึกษาอาการทางผิวหนัง พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีอาการทางผิวหนัง ร้อยละ 65.9 และมี อาการทางผิวหนัง ร้อยละ 34.1 ซึ่งอันดับหนึ่งคือ อาการคัน ร้อยละ 60 อันดับสอง คือ ตุ่มแดงและ ผื่นลมพิษ ร้อยละ 33.3 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เกิดผื่นครั้งเดียวในระยะเวลาน้อยกว่าสองสัปดาห์ ร้อย ละ 46.7 มีอาการระหว่าง 3-12 เดือนและเกินกว่า 12 เดือน ร้อยละ 40 โดยกิจกรรมหลักที่ทำ ในขณะเกิดอาการ คือ ทำผม ร้อยละ 53.3 ส่วนใหญ่ไม่เคยมีการไปพบแพทย์เพื่อตรวจ ร้อยละ 73.3 และอาการทด่ี ขี ้ึนหลังเลกิ งานหรือวนั หยุดส่วนใหญต่ อบว่าไม่แนใ่ จ รอ้ ยละ 40

68 ตารางที่ 6 ความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ ปจั จัยนอกงาน กบั อาการผนื่ ผิวหนงั อกั เสบบรเิ วณมอื ของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบรู พา อาการทางผวิ หนงั ตัวแปร ไมม่ อี าการ มีอาการ ������������ P-value จำนวน (ร้อยละ) จำนวน (ร้อยละ) เพศ 1.101 0.294 ชาย 4 (9.1%) 4 (9.1%) หญิง 25 (56.8%) 11 (25%) อายุ (ปี) 4.311 0.116 21 - 32.6 10 (22.7%) 7 (15.9%) 32.7 - 44.3 12 (27.3%) 8 (18.2%) 44.4 – 56 7 (15.9%) 0 (0.0%) สถานภาพ 1.346 0.718 โสด 15 (34.1%) 6 (13.6%) มีคู่ 11 (25%) 8 (18.2%) แยกกนั อยู่ 1 (2.3%) 0 (0.0%) หมา้ ย/หย่า 2 (4.5%) 1 (2.3%) ระดบั การศึกษา 5.694 0.058 ประถมศึกษา 5 (11.4%) 0 (0.0%) มัธยมศึกษา/ปวช./ 20 (45.5%) 9 (20.5%) ปวส. ปริญญาตรี 4 (9.1%) 6 (13.6%) รายไดต้ อ่ เดือน (บาท) 1.101 0.577 10,000 – 33,333 23 (52.3%) 13 (29.5%) 33,334 – 56,667 4 (9.1%) 2 (4.5%) 56,668 – 80,001 2 (4.5%) 0 (0.0%)

69 ตารางที่ 6 ความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ ปัจจยั นอกงาน กบั อาการผน่ื ผิวหนงั อักเสบบริเวณมือของชา่ งทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา (ต่อ) อาการทางผิวหนงั ตัวแปร ไมม่ อี าการ มอี าการ ������������ P-value จำนวน (รอ้ ยละ) จำนวน (ร้อยละ) โรคประจำตวั 8.638 0.070 ไม่มีโรคประจำตวั 23 (52.3%) 8 (18.2%) มโี รคประจำตวั 6 (13.5) 7 (15.9) ประวัติภมู แิ พ้ 5.698 0.017* ไม่มภี มู แิ พ้ 25 (56.8%) 8 (18.2%) มภี มู แิ พ้ 4 (9.1%) 7 (15.9%) ประสบการณใ์ นการประกอบ 0.709 0.400 อาชพี ช่างทำผม (ป)ี 1 - 17.3 22 (50.0%) 13 (29.5%) มากกว่า17.3 7 (15.9%) 2 (4.5%) ระยะเวลาในการทำงาน (ชว่ั โมง) 0.113 0.737 5 – 9 12 (27.3%) 7 (15.9%) มากกวา่ 9 17 (38.6%) 8 (18.2%) จำนวนลูกค้า (คน) 1.890 0.169 3 – 9 16 (36.4%) 5 (11.4%) มากกวา่ 9 13 (29.5%) 10 (22.7%) การใชห้ นา้ กากอนามยั ในการทำงาน 0.709 0.400 ไม่ไดใ้ ช้ 7 (15.9%) 2 (4.5%) ใช้ ณ ปจั จบุ ัน 22 (50.0%) 13 (29.5%) การใชถ้ งุ มือในการทำงาน 1.665 0.197 ไมไ่ ดใ้ ช้ 3 (6.8%) 0 (0.0%) ใช้ ณ ปัจจบุ นั 26 (59.1%) 15 (34.1%)

70 ตารางที่ 6 ความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ ปัจจยั นอกงาน กบั อาการผื่นผวิ หนังอกั เสบบริเวณมอื ของช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา (ตอ่ ) อาการทางผิวหนัง ตัวแปร ไม่มีอาการ มอี าการ ������������ P-value จำนวน (รอ้ ยละ) จำนวน (ร้อยละ) การใชน้ ้ำยาย้อมสีผม 1.084 0.298 ไม่ใช้ 2 (4.5%) 0 (0.0%) ใช้ 27 (61.4%) 15 (34.1%) การใช้แชมพูสระผม ใช้ 29 (65.9%) 15 (34.1%) การใช้น้ำยายืดผม 1.084 0.298 ไมใ่ ช้ 2 (4.5%) 0 (0.0%) ใช้ 27 (61.4%) 15 (34.1%) การใช้น้ำยาจัดแต่งทรงผม เช่น 1.084 0.298 สเปรย,์ เจล ไม่ใช้ 2 (4.5%) 0 (0.0%) ใช้ 27 (61.4%) 15 (34.1%) ซกั แห้งหรอื ซกั ผ้าดว้ ยมือ 0.101 0.750 ไมท่ ำกจิ กรรม 14 (31.8%) 8 (18.2%) ทำกิจกรรม 15 (34.1%) 7 (15.9%) ทำสวน ปลกู ต้นไม้ 0.421 0.516 ไมท่ ำกิจกรรม 22 (50.0%) 10 (22.7%) ทำกิจกรรม 7 (15.9%) 5 (11.4%) งานที่ทำให้ผิวหนังเปียก (ล้าง 9.501 0.002* จาน) ไมท่ ำกิจกรรม 20 (45.5%) 3 (6.8%) ทำกิจกรรม 9 (20.5%) 12 (27.3%)

71 สถติ ิ Fisher’s exact test, a* = มีนัยสำคญั ทางสถติ ิ (p<0.05) จากการวเิ คราะหห์ าความสมั พนั ธ์ พบวา่ ประวัตภิ มู ิแพม้ ีความสัมพนั ธ์กับกับอาการผ่ืนผิวหนัง อักเสบ โดยมีค่า p-value เท่ากับ 0.017 และงานที่ทำให้ผิวหนังเปียกมีความสัมพันธ์กับอาการผื่น ผิวหนังอักเสบ โดยมีค่า p-value เท่ากับ 0.009 ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพ ระดับ การศึกษา รายได้ต่อเดือน โรคประจำตัว และประวัติภูมิแพ้สมาชิกในครอบครัวนั้นไม่มีความสัมพันธ์ กับอการผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือ ปัจจัยด้านสภาพการทำงาน ปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ ไม่มี ความสัมพันธ์กับอาการผื่นผิวหนังอักเสบ ปัจจัยนอกงาน นั้นไม่มีความสัมพันธ์กับอาการผื่นผิวหนัง อกั เสบ อภปิ รายผล การศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับอาการผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือของช่างทำผมรอบ มหาวิทยาลัยบูรพาครั้งนี้พบว่าผู้ที่มีอาการผื่นผิวหนังอักเสบ จำนวน 15 คน (34.1%) กลุ่มตัวอย่าง เป็นกลุ่มที่เป็นเพศหญิง อายุอยู่ในช่วง 32.7 – 44.3 ปี (45.5%) กลุ่มตัวอย่างมีอาการโรคผิวหนัง อักเสบบริเวณมือ จำนวน 15 คน (34.1%) ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคผิวหนังอักเสบ บริเวณมือกับปัจจัยเกี่ยวกับประวัติภูมิแพ้พบว่าผู้มีประวัติโรคภูมิแพ้แพ้มีความสัมพันธ์กับโรคผิวหนัง อักเสบบริเวณมือ สอดคล้องกับการศึกษาของ Bauer Bryld และ Heede ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้แพ้มีโรค ภูมิแพ้ มีความไวต่อการระคายต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคผิวหนังอักเสบบริเวณมือ และงานที่ทำให้ผิวหนังเปียกเช่นการล้างจานพบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือ ของช่างทำผม สอดคล้องกับการศึกษาของกิตติพล ไพรสุทธิรัตน์ การล้างภาชนะมีความสัมพันธ์กับ โรคผิวหนังอักเสบบริเวณมือทั้งนี้เนื่องจากการล้างภาชนะเป็นงานที่มีการสัมผัสความเปียกชื้นเป็น เวลานาน (Wet Work) คือ ทำานอยู่ในสภาพเปียกชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างหนึ่งของโรค ผิวหนงั อกั เสบบรเิ วณมือและสัมผสั กับน้ำยาลา้ งภาชนะอยเู่ กือบตลอด ความสัมพันธ์ระหว่างโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือกับปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ ข้อมูลทั่วไป และประวตั ิภมู แิ พ้ เพศไม่พบวา่ มีความสมั พันธ์บโรคผิวหนงั อักเสบบริเวณมอื ซ่งึ แตกตา่ งจากการศึกษา ของ Meding และ Mollerup ที่พบว่าโรคผิวหนังอักเสบบริเวณมือมีความสัมพันธ์กับเพศหญิง และ บางการศึกษาทพ่ี บวา่ มีความสมั พันธ์เฉพาะในเพศหญิง ทั้งนอี้ าจเนอ่ื งจากการปฏบิ ตั ติ วั และการดูแล

72 ผิวหนังของเพศชายและเพศหญิงไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และผู้ปฏิบัติงานอยู่ในสภาพแวดล้อมการ ทำงานทคี่ ล้ายคลงึ กัน นอกจากนี้สัดส่วนของกลุ่มตัวอย่างเพศชายมีค่อนข้างน้อยมากเมื่อเทียบกับเพศหญิงและ จำนวนกลมุ่ ตวั อย่างน้อยกว่าที่คาดการณไ์ วจ้ งึ อาจมผี ลทำให้ไม่พบความสมั พนั ธอ์ ย่างมีนัยสำคัญ ส่วน อายุไม่พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคผิวหนังอักเสบบริเวณมือซึ่งแตกต่างจากการศึกษาของ Luebberding ที่พบว่าเมื่ออายุมากขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงทาง ผิวหนังตามสรีรร่างกาย ส่งผลให้ช้ัน ผิวหนังบางลงและชั้นไขมันใต้ผิวหนังลดลงจึงมีโอกาสก่อให้เกิดการอักเสบที่ผิ วหนังได้ง่ายขึ้นเมื่อ สัมผัสกับสารก่อระคายเคืองหรือสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ สถานภาพ ระดับการศึกษา และรายได้และโรค ประจำตัวไมพ่ บวา่ มคี วามสมั พันธ์กบั โรคผ่ืนผิวหนังอักเสบ ความสมั พันธร์ ะหว่างโรคผนื่ ผวิ หนังอกั เสบบรเิ วณมือกับปัจจยั ดา้ นสภาพการทำงาน พบวา่ ไม่ มีความสมั พันธก์ ับโรคผน่ื ผิวหนังอักเสบบรเิ วณมือ ซง่ึ สอดคลอ้ งกับการศกึ ษาของ วภิ าสิริ สายพิรุณ ทอง แตส่ ่วนใหญ่ช่างทำผมมักจะทำงานเกินทม่ี าตรฐานยอมรบั ไดซ้ ่งึ คอื 8 ช่วั โมง ควรลดเวลาในการ ทำงานแต่ละวันลงให้เหลือเพยี ง 8 ช่ัวโมง ในส่วนของชนดิ ถุงมือที่สวมใส่ขณะทำงาน ระยะเวลาการ สวมใส่ถุงมือในขณะทำงาน แม้ว่าการสวมถงุ มอื เป็นเวลาต่อเน่ือง 4 ชว่ั โมง แตอ่ าจจะมปี จั จยั รบกวน ทำใหไ้ มพ่ บความสมั พันธน์ ี้ ความสัมพนั ธ์ระหว่างโรคผน่ื ผวิ หนังอักเสบบรเิ วณมือกับปจั จยั ดา้ นเคมภี ณั ฑไ์ มม่ ี ความสมั พันธ์กับโรคผนื่ ผวิ หนงั อกั เสบบริเวณมอื เนือ่ งจากในขณะทท่ี ำงานทำสีผม สระผม ยืดผม นนั้ ชา่ งทำผมไดม้ ีการสวมใส่ถุงมอื และหนา้ กากอนามยั ขณะทำงาน ความสัมพันธร์ ะหวา่ งโรคผ่นื ผวิ หนัง อกั เสบบรเิ วณมอื กบั ปจั จัยด้านนอกงาน ในส่วนของการซกั ผ้ากบั ปลูกตน้ ไมไ้ มม่ ีความสัมพันธก์ ับโรค ผ่นื ผวิ หนังอักเสบบริเวณมอื สอดคล้องกบั การศึกษาของ กติ ติพล ไพรสุทธิรัตน ปจั จัยดา้ นงานอดเิ รก และงานบา้ นพบวา่ ไมม่ ีความสัมพันธ์กบั โรคผิวหนังอกั เสบบริเวณมอื อาจเนอ่ื งจากปัจจยั กวน เชน่ กรณีการปฏบิ ัตงิ านบางอยา่ งซง่ึ มกี ารปฏิบัตทิ งั้ นอกเวลาทำงาน และในเวลาทำงาน รวมถึงความถแี่ ละ ระดับในการสัมผัสซึง่ ผวู้ จิ ัยไม่ได้นำมาวิเคราะหด์ ว้ ย ความสัมพันธ์ระหว่างโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือกับปัจจัยด้านเคมีภัณฑ์ไม่มี ความสัมพนั ธก์ ับโรคผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือ เน่อื งจากในขณะทท่ี ำงานทำสีผม สระผม ยดื ผม นน้ั ช่างทำผมได้มกี ารสวมใส่ถงุ มอื และหน้ากากอนามยั ขณะทำงาน

73 จุดแข็งของงานวิจัยฉบับนี้ เนื่องจากโรคผิวหนังอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในทางปฏิบัติและ กลุ่มช่างทำผมก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีโอกาสเกิดผลกระทบต่อสุขภาพด้านผิวหนังได้ การที่ศึกษาและ เก็บข้อมูลในผู้ประกอบอาชีพช่างทำผมก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติงานเองในการวางมาตรการ จดั การหรือวางแผนการตรวจสขุ ภาพทีเ่ หมาะสมย่ิงข้นึ เพื่อใหม้ สี ขุ อนามยั ทดี่ ี ข้อจำกดั ของงานวจิ ยั น้ี เน่ืองจากรูปแบบการศกึ ษาเปน็ การศกึ ษาเชงิ พรรณนา ณ จดุ ใดจดุ หน่ึง จงึ บอกไดเ้ พียงขนาดของปญั หาและปจั จัยใดที่มีความเก่ยี วข้อง แต่ไม่สามารถบอกความเปน็ เหตุ เปน็ ผลหรอื ความสัมพันธก์ ่อนหลงั ระหวา่ งปัจจัยตา่ ง ๆ กับโรคผวิ หนังอกั เสบบริเวณมือได้ นอกจากนี้ อาจมีเรื่องอคติจากการระลึกข้อมูลยอ้ นหลงั (Recall Bias) ได้ ข้อเสนอแนะทไี่ ดจ้ ากงานวิจัยในครงั้ น้ี 1) ให้กลุ่มตัวอย่างท่ีมีประวัติภูมิแพ้และกลุ่มตัวอย่างที่ทำงานแล้วทำให้ผิวหนังเปียกได้มีการ สวมใส่อุปกรณ์ป้องกนั ตนเองทุกครงั้ ขณะทท่ี ำกจิ กรรมดังกลา่ ว 2) ศึกษาเพิ่มเติมในแง่ของอุบัติการณ์การเกิดอาการผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณมือเพื่อเป็นการ หาความสัมพนั ธก์ ่อนหลงั 3) ทำใหท้ ราบความสัมพนั ธ์ทแ่ี น่ชัดขึน้ วา่ ปัจจัยใดบา้ งท่เี ปน็ ปัจจัยเส่ยี งของการเกดิ อาการ ผน่ื ผวิ หนงั อักเสบบรเิ วณมอื ในกลุ่มชา่ งทำผม ขอ้ เสนอแนะในการวิจยั ครั้งตอ่ ไป 1) ควรมกี ารขยายขอบเขตของประชากรในการวิจยั ครงั้ ต่อไป เพื่อศกึ ษาประชากร ในกลุม่ ทกี่ ว้างข้นึ 2) ควรเกบ็ ข้อมลู โดยการสมั ภาษณ์เชิงลกึ เพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมูลท่มี คี วามชดั เจน และมีความถกู ต้อง ตรงกบั ความเป็นจริงมากย่งิ ขน้ึ กิตตกิ รรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยดี ต้องขอขอบคุณช่างทำผมรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัด ชลบุรี ทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและขอขอบคุณอาจารย์ประจำภาควิชาสุข ศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัย ที่กรุณาให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางความรู้ที่ถูกต้องและ แก้ไขข้อบกพร่อง ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน เอาใจใส่ด้วยดีเสมอมาจนทำให้งานวิจัยฉบับนี้มีความ สมบูรณ์ จงึ ขอกราบขอบพระคุณเปน็ อย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้

74 เอกสารอ้างองิ กติ ติพล ไพรสทุ ธิรัตน. (2559). ความชกุ และปจั จยั ท่เี กยี่ วข้องกบั โรคผิวหนงั อักเสบบรเิ วณมือในผู้ ประกอบอาหารโรงพยาบาล ในสงั กัดกรมการแพทยแ์ ละโรงพยาบาลศนู ยภ์ าคกลาง (วทิ ยานพิ นธ์ปริญญามหาบณั ฑติ ). จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . สบื ค้นจาก http://cuir.car.chula.ac.th/handle /123456789/55229 ชยั วฒั น์ สงิ หห์ ริ ญั นุสรณ์, อรณุ รัตน์ อรุณเมอื ง. (2554). พฤติกรรมการบรโิ ภคผลติ ภณั ฑเ์ สริม อาหารของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรยี นในเขตตรวจราชการที่ 2 กระทรวงสาธารณสุข.วารสารอาหารและยา, 20(1), 40-41. สบื คน้ จาก https://www.tci-thaijo.org/index.php/fdajournal/article/view/138506/102961 พมิ าน ธรี ะรตั นะสนุ ทร, บุญเรือน ฮุงหวล, มกุ ดาวรรณ ยวงเดชกลา้ . (2560). ความรู้ ทศั นคติและ พฤติกรรมการปอ้ งกนั ความเสยี่ งจากการไดร้ ับสัมผัสสารฟอร์มลั ดไี ฮด์ของผู้ประกอบอาชพี ชา่ งเสรมิ สวย อำเภอท่าศาลา จงั หวัดนครศรธี รรมราช. วารสารวชิ าการสาธารณสขุ , 26(3), 506.สืบคน้ จาก https://digitaljournals.moph.go.th/tdj/index.php/JHS /article/viewFile/56/53 วภิ าสิริ สายพิรณุ ทอง. (2557). ความชุกและปจั จยั ทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั โรคผิวหนงั อกั เสบบรเิ วณมือของ คนงานโรงงานเคร่ืองปัน้ ดนิ เผาและเซรามิกในจงั หวัดราชบรุ ี (วิทยานพิ นธ์ปรญิ ญา มหาบัณฑติ ). จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . สบื คน้ จาก http://cuir.car.chula.ac.th/handle /123456789/45744 Archibong J, et al. (2018). Occupational skin disorders in a subset of Nigerian hairdressers. December, 30, 2019, Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih. gov/m/pubmed/31011400/?i=8&from=Hairdresser&fbclid=IwAR0lZNJl 8gcnR2dyGYaVYmaPbGz5vAm6dN2Sk-bUjxGzBx_JW7rtPDuZqjU Bryld LE, Hindsberger C, Kyvik KO, Agner T, Menne T. (2003). Risk factors influencing the development of hand eczema in a population-based twin sample. December, 30, 2019, Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/14674899

75 Chanutta Swasdivanich, Poohglin Tresukosol. (2017). Hand contact dermatitis in hairdressers: clinical andcausative allergens, experience in Bangkok. January, 05, 2020, Retrieved from http://apjai-journal.org/wpcontent /uploads/2017/12/9HandcontactdermatitisVol30No4December2012P306.pdf Gianna Moscato. (2005). Occupational Asthma and Occupational Rhinitis in Hairdressers. December, 30, 2019, Retrieved from https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/16304318/?from_term=Moscato+G%2C +Pignatti+P%2C+Yacoub+MR%2C2005&from_pos=1 Goebel C, et al. (2018). Skin sensitization quantitative risk assessment for occupational exposure of hairdressers to hair dye ingredients. December, 30, 2019, Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed /29530615/?i=20&from=Hairdresser&fbclid=IwAR2oqG06CZLYEFw_7CtmcVL- npHdHcS9cSsm9kGMn2WE73QMHKRdXJqll8U# Heede NG, Thyssen JP, Thuesen BH, Linneberg A, Johansen JD. (2016). Predictive factors of self-reported hand eczema in adult Danes: a population-based cohort study with 5-year follow-up. Br J Dermatol. 175(2):287-95. Klaus Ejner Andersen. (2011). Hand eczema in hairdressers: A Danish register- based study of the prevalence of hand eczema and its career consequences. January, 04, 2020, Retrieved from https://www.researchgate.net/publication/51238009_Hand_eczema _in_hairdressers_A_Danish_register-based_study_of_the_prevalence_of_hand_ eczema_and_its_career_consequences Lind ML, et al. (2007). Incidence of hand eczema in female Swedish hairdressers. December,30, 2019, Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed /17053020/?fbclid=IwAR12m6HmXlz-OzEeC0t7MFvo6LQnlrKdEvGV5 wFVmIVJSoF-IhqKksGpxEE

76 Mounier-Geyssant E, et al. (2006). Exposure of hairdressing apprentices to airborne hazardous substances. December, 30, 2019, Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/m/pubmed/16893447/?fbclid=IwAR0uYrC8niJTho- pQ2Haly9HG1TSuA8EdjXP--OCqagilnsx7J-iauUawQA Mollerup A, Veien NK, Johansen JD. (2014). An analysis of gender differences in patients with hand eczema - everyday exposures, severity, and consequences. Contact dermatitis. 71(1):21-30. Mari-Ann Flyvholm, Päivikki Susitaival. (2002). Nordic Occupational Skin Questionnaire – NOSQ-2002. December, 30, 2019. Retrieved from file:///C:/Users/User/AppData/Local/Packages/Microsoft.MicrosoftEdge_ 8wekyb3d8bbwe/TempState/Downloads/nosq-web-summary-uk-2002-04- 09%20(1).pdf Susan Hunt MA. (2017). The Risks to Hair Salon Workers: Dermatitis. January, 04, 2020, Retrieved from http://www.workplacesafetyadvice.co.uk/risks-hair-salon- workers-dermatitis.html Susan Ford BSc (Hons). (2012). Skin problems in hairdressers and barbers. January, 04,2020, Retrieved from https://dermnetnz.org/topics/skin-problems-in- hairdressers-and-barbers/

ความสมั พนั ธ์ระหว่างคณุ ภาพการนอนหลับกบั ระดบั ความดันโลหิต: กรณศี ึกษาใน เจา้ หน้าที่รกั ษาความปลอดภยั มหาวิทยาลยั แห่งหนง่ึ ในภาคตะวันออก The Relationship between Sleep Quality and Blood Pressure Levels: Case Study among the Security Guards in a University in Eastern Region พชั รี คงเจริญ1, สริ พิ รรณ วงษ์ทิม1, บูรพา จิรกิตต์หริ ญั 1, ณฐั สดุ า ลอยฟ1ู , เบญจรตั น์ ตรงด1ี , ทนงศักด์ิ ย่ิงรตั นสุข2 1วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาสขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา 2ภาควิชาสขุ ศาสตรอ์ ุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยั บรู พา บทคัดย่อ การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง (Cross Section Descriptive Study) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการนอนหลับกับระดับความดัน โลหิต ในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก ใช้วิธีการสุ่ม ตัวอย่างแบบง่าย ได้จำนวนตัวอย่าง 109 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน - มีนาคม พ.ศ. 2563 ด้วยแบบสัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบประเมินคุณภาพการนอนหลับฉบับภาษาไทย วัดค่าความ ดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิตติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจกแจงความถี่ จำนวน ร้อยละ สถิติ ไคสแควร์ และสถติ ิถดถอยพหแุ บบโลจิสตกิ ผลการการศกึ ษาพบวา่ กลุ่มตัวอย่างสว่ นใหญ่เปน็ เพศชาย ร้อยละ 71.6 ส่วนใหญ่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ร้อยละ 69.7 มคี า่ ดชั นีมวลกาย(BMI) เกินเกณฑ์ ร้อยละ 73.4 มีการดืม่ เครอ่ื งด่ืมที่มีคาเฟอีน ร้อยละ 88.1และไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ 70.6 ไม่ออกกำลังกาย ร้อยละ 65.1 มีความ ดันปกติ ร้อยละ 63.3 และคุณภาพการนอนหลับอยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 64.2 ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยต่าง ๆ กับระดับความดันโลหิตของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า คุณภาพการนอนหลับไม่ดี ค่าดัชนีมวล กาย(BMI) เกินเกณฑ์ การมีประวัติโรคความดันโลหิตสูงในครอบครัว และการไม่ออกกำลังกาย มี ความสัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (p= 0.002, p=0.037, p= 0.009, p=0.004 ตามลำดับ) แต่เมื่อควบคุมตัวแปรกวนเหล่านี้ด้วยการใช้สถิติถดถอยพหุแบบโล จิสติก พบวา่ คุณภาพการนอนหลับมีความสัมพนั ธ์กบั ระดับความดันโลหิตอย่างมีนัยสำคัญทางสถติ ิท่ี

78 ระดับ 0.05 (p=0.018) การศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า มหาวิทยาลัยควรมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อ ส่งเสริมให้มีคุณภาพการนอนหลับที่ดี เช่น การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกะทำงาน หรืออาจลดจำนวน ชั่วโมงการทำงาน และมีการสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ รวมถึงด้านความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรสร้างความตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่รักษาความ ปลอดภยั และควรจดั ให้มกี ารเฝ้าระวงั สุขภาพเปน็ ระยะ คำสำคญั : เจ้าหน้าทรี่ กั ษาความปลอดภัย, คุณภาพการนอนหลับ, ระดับความดนั โลหิต Abstract This cross section descriptive study was aimed to determine the relationship between sleep quality and blood pressure among the security guards in a university in eastern region. 109 subjects were randomly selected to participate in the study. Data were collected during November - March 2020. General information and sleep quality were assessed using a questionnaire. Blood pressures were measured. Data were analyzed using descriptive statistics in terms of frequencies, numbers, percentages, Chi square test, and multiple logistic regression analysis. The results of the study showed that most of the participants were male (71.6 %), age more than 35 years old (69.7%), overweight (73.4%), drinking alcohol (70.6%) and caffeine beverages (88.1%), had no exercise (65.1%), normal blood pressure (63.3%), and bad sleep quality (64.2%). Bad sleep quality, obesity, no exercise, and having family members with high blood pressure history were significantly associated with high blood pressure. When controlling for these confounding variables by using multiple logistic regression analysis, sleep quality was significantly associated with high blood pressure (p=0.018). This study suggests that the University should have measures to promote sleep quality, such as rotating shift work, reduce working hours, and communicate health risks etc. and relevant departments should raise awareness of the problem to security personnel and should provide health surveillance periodically. Keywords: security guards, sleep quality, blood pressure levels

79 บทนำ โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า ภาวะความดันโลหิต สูงนั้น เป็นภาวะที่มีระดับความดันโลหิตสูงเรื้อรัง มีค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ผู้คน จำนวนมากมีภาวะความดันดันโลหิตสูงโดยที่ไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ค่อย ปรากฏอาการที่ชัดเจนในช่วงแรก ซึ่งหากปล่อยเป็นระยะเวลานานแล้วไม่ได้รับการรักษา แรงดันใน หลอดเลือดที่สูง จะไปทำลายผนังหลอดเลือดและอวัยวะที่สำคัญทั่วร่างกาย อาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ เสียชีวิตได้ จึงเรียกโรคนี้กันว่า “ฆาตรกรเงียบ” (ณัฐธิวรรณ พันธ์มุง, อลิสรา อยู่เลิศลบ และสราญ รัตน์ ลัทธิ, 2562) ซึ่งโรคนี้พบบ่อยที่สุดในกลุ่มผู้ใหญ่ เฉลี่ยแล้วตกประมาณ 25-30% ของประชากร โลกที่อยู่ในกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งหมด (กองบรรณาธิการออเนสด็อคส์, 2563) ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ ของประชากรท่วั โลก โดยเฉพาะประชากรวยั แรงงาน ประเทศไทยมีประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปหรือผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานทั้งสิ้น 56.68 ล้านคน ซึ่ง ประกอบด้วยผู้มีงานทำ 37.71 ล้านคน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2562) สำหรับสถานการณ์ใน ประเทศไทย โรคความดันโลหติ สงู ถือเปน็ ปญั หาสขุ ภาพท่ีสำคัญ พบว่าความชุกของโรคความดันโลหิต สูงในประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคน ในปี 2552 เป็น 13 ล้านคนในปี 2557 (วิชัย เอกพลากร, 2559) และเกือบครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตนเองปว่ ยด้วยโรคนี้ จำนวนผู้ป่วยด้วยโรคความดัน โลหิตสูงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากเกือบ 4 ล้านคนในปี 2556 เป็นเกือบ 6 ล้านคนในปี 2561 (กระทรวง สาธารณสุข, 2562) โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคความดันโลหิตสูง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับ จำนวนผู้ป่วย จาก 5,186 คนในปี 2556 เป็น 8,525 คน ในปี 2560 (สำนักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข, 2562) ปี 2557 ได้มีการประเมินค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล พบว่า ประเทศไทยต้อง เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเกือบ 80,000 ล้านบาทต่อปี ต่อจำนวนผู้ป่วย ประมาณการ 10 ลา้ นคน (กระทรวงสาธารณสขุ , 2557) จากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยทผี่ ่านมา พบวา่ จำนวนผูป้ ่วยด้วยโรคความดันโลหติ สูง ในจังหวัดชลบุรี มีจำนวน 114,366 คน (เกศริน ขอหน่วงกลาง, 2562) ซึ่งคนที่ทำงานเป็นกะ เช่น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เป็นต้น มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง โดยจะได้รับผลกระทบ ระยะสั้น คือ ทำให้นอนหลับไม่เพียงพอ และคุณภาพของการนอนไม่ดี สำหรับผลระยะยาวในการ ทำงานเป็นกะ คือ จะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจอดุ ตัน ความ ดนั โลหิตสูง และกล้ามเนอื้ หวั ใจขาดเลอื ด (กรมการแพทย์, 2561) ซ่งึ ลักษณะโรคความดันโลหิตสงู ท่ี

80 เกิดขึ้นนั้นมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น อายุ เพศ ปัจจัยทางประวัติโรคทางพันธุกรรม การใช้ยา ความเครียด ดัชนีมวลกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การบริโภคโซเดียมในเกลือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย (ครรชิต ชนะทิพย์ , 2552) จาก การศึกษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างคุณภาพการนอนหลับกับการเกดิ โรคความดันโลหติ สูง พบว่า คุณภาพ การนอนหลับไม่ดีของเกษตรกรสวนยางพาราที่มีลักษณะการทำงานเป็นกะกลางคืน จะทำให้มีความ เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 3.91 เท่า เมื่อเทียบกับอาชีพทั่วไป อย่างมีนัยสำคัญทาง สถติ ิ (มฮู มั หมดั นาเซร์ ดอเลาะ, 2560) อาชีพเจ้าหน้าทีร่ ักษาความปลอดภัยนั้นมีลกั ษณะการทำงานเป็นกะ (Shift work) จากการ สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในมหาวิทยาลัยบูรพาในปี 2563 พบว่า มีการแบ่งการ ทำงานเปน็ 2 กะ ได้แก่ กะกลางวัน (7.00 น. – 19.00 น.) และกะกลางคืน (19.00 น. – 7.00 น.) ทำ ให้อาจมีระยะเวลาการนอนสั้นกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับไม่ดี และเพิ่มความเสี่ยงต่อ การเกิดโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ (Brian McCrindle, 2012 อ้างถึงใน หนว่ ยคลังข้อมลู ยา มหาวิทยาลัยมหดิ ล, 2555) ในปัจจุบันยังไม่พบการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการนอนหลับกบั ระดับความดนั โลหิตในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย การศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งเน้นศึกษาคุณภาพการนอนหลับใน เจ้าหน้าท่ีรักษาความปลอดภัย เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงพฤติกรรมและรูจ้ กั วิธกี ารดูแลสุขภาพ เช่น การเพิ่มกิจกรรมทางกายหรือการออกกำลังกาย เป็นต้น สามารถนำผลจากการศึกษาไปใช้เป็น แนวทางการศึกษาค้นคว้าในเรื่องคุณภาพการนอนหลับที่มีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิตได้ ต่อไป และเพื่อที่จะสามารถสื่อสารความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ในเจ้าหน้าที่รักษา ความปลอดภัย รวมถึงสามารถนำผลการศึกษาไปวางแผนระยะยาวเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและควบคุม การเกิดโรคความดนั โลหติ สูงได้ วัตถปุ ระสงค์การวจิ ยั เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการนอนหลับกับระดับความดันโลหิตในเจ้าหน้าท่ี รกั ษาความปลอดภยั ของมหาวิทยาลยั แห่งน่งึ ในภาคตะวันออก

81 วธิ กี ารวจิ ยั การวิจัยนี้อาศัยรูปแบบการศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวาง ( Cross Sectional Descriptive Study) ประชากรคือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาค ตะวันออก จำนวน 145 คน กำหนดกลุ่มตัวอย่างแบบทราบจำนวนประชากร คำนวณด้วยสูตรการ ประมาณค่าสัดส่วนของประชากร (บุญชม ศรีสะอาด, 2535: 39 อ้างถึงใน กัญญ์สิริ จันทร์เจริญ, ม.ป.ป.) โดยใช้ความคลาดเคลื่อนของการสุ่มตัวอย่างที่ยอมรับได้ ร้อยละ 5 และระดับความเชื่อม่ัน ร้อยละ 95 และสัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากรเท่ากับ 0.247 ซึ่งสัดส่วนของลักษณะที่สนใจ ในประชากร อ้างอิงจากผลการสำรวจความชุกของโรคความดันโลหิตสูงของประชากรไทยอายุ 15 ปี ขึ้นไป พบว่ามีความชุกเท่ากับ ร้อยละ 24.7 (วิชัย เอกพลากร, 2559) ได้จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 96 คน เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการเก็บรวบรวมข้อมูลจึงเพิ่มขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 10% ดังนั้นขนาด ของกลมุ่ ตัวอยา่ งทใ่ี ช้ในการศึกษาครัง้ นมี้ จี ำนวน 106 คน การเลือกกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) ที่ทุกหน่วยประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่ากัน โดยนำรายชื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดมา เรียงลำดบั แล้วสมุ จบั โดยใช้คอมพิวเตอร์ โดยมีเกณฑ์การคดั เขา้ ดงั นี้ 1. มคี วามสมคั รใจ ยินดใี หค้ วามร่วมมือในการวจิ ยั และมคี วามสมัครใจและยินดีเข้า รว่ มการวิจัยครั้งน้ี โดยลงนามในใบยินยอม 2. เปน็ เจ้าหน้าทีร่ ักษาความปลอดภัยท่อี ยใู่ นบัญชีรายชือ่ ในปี พ.ศ. 2563 3. สามารถสอ่ื สาร ตอบโต้ได้ เข้าใจภาษาไทย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ เครื่องวัดความดันโลหิตอัตโนมัติ ตรวจสอบความถูกต้อง โดยการวัดเทียบกับเครื่องมาตรฐานจากสำนักงานสนับสนุนบริการสุขภาพ เขต 6 จังหวัดชลบุรี มคี วามแมน่ ยำของค่าความดันโลหิต ± 8 มิลลิเมตรปรอท และ ± 2 ของค่าอัตรา การเต้นของหัวใจ และแบบสัมภาษณ์ โดยแบบสัมภาษณ์ (Interview) ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป มีข้อคำถามทั้งหมด 10 ข้อ ที่ได้สร้างขึ้นนั้น เป็นคำถามปลายเปิดและปลายปิด ประกอบด้วย การทำงานเป็นกะ เพศ อายุ ดัชนีมวลกาย(BMI) ประวัติโรคความดันโลหิตสูงใน ครอบครัว โรคประจำตัว การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน และการออกกำลงั กาย สว่ นที่ 2 ระดับความดันโลหติ มีจำนวน 1 ขอ้ โดยจะระบุคา่ ท่ีอา่ นได้จาก

82 เคร่อื งวดั ความดนั โลหติ ชนิดอัตโนมัติ (OMRON รุ่น HEM7121) วธิ กี ารวดั คอื วดั จากแขนข้างหน่ึงที่ ระดับเดียวกับหัวใจ แล้วใช้ปลอกแขนวัดความดันโลหิตพันรอบต้นแขนเหนือข้อพับแขน 2-3 เซนติเมตร จากนั้นกดปุ่ม START และรอให้แรงดันที่เครื่องคลายตัวลงจนเป็นปกติ เมื่อเครื่องทำงาน เสร็จสิ้นก็จะได้ค่าความดันโลหิตตัวบนซึ่งหมายถึงความดันสูงสุดในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัว (SBP) และค่าความดันโลหิตตัวล่าง ซึ่งเป็นความดันต่ำสุดในหลอดเลือดแดงขณะที่หัวใจคลายตัว (DBP) รวมถึงอัตราการเต้นของหัวใจ โดยจะแสดงผลเป็นตัวเลขอยู่บนหน้าจอ ทำการวัดซ้ำ 3 ครั้ง และหาค่าเฉลี่ย แล้วแปลผลการตรวจเป็น 2 ระดับ คือ ค่าความดันโลหิตระดับปกติ และค่าความดัน โลหิตระดับสูง โดยใช้เกณฑ์การแบ่งประเภทความดันโลหิตจากสมาคมความดันโลหิตสูงแห่งประเทศ ไทย (2562) สว่ นท่ี 3 คณุ ภาพการนอนหลับ ใชแ้ บบประเมินคุณภาพการนอนหลับของพิตสเ์ บิรก์ ฉบบั ภาษาไทย เป็นแบบสัมภาษณ์และสอบถามดัดแปลงจาก The Pittsburgh Sleep Quality Index (PSQI) โดยตุลยา สีตสุวรรณ และคณะ (2557) ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ จำนวน 10 ข้อ ที่ได้ นำมาทดสอบกับอาสาสมัครในโรงพยาบาลระดับตติยภูมิที่เป็นโรงเรียนแพทย์ ซึ่งประกอบด้วยผู้ป่วย ที่มีปัญหาการนอนหลับ และอาสาสมัครที่ไม่มีปัญหาการนอนหลับ มีค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์ อัลฟาครอนบาคเท่ากบั 0.84 มคี วามเทยี่ งและความตรงสูง เท่ากับ 0.89 และเมือ่ ใช้จุดตัดของคะแนน รวมที่ 5/6 จะได้ค่าความไว ร้อยละ 77.78 และค่าความจำเพาะ ร้อยละ 93.33 คะแนนรวมที่ได้จาก การประเมินคุณภาพการนอนหลับ สามารถแยกอาสาสมัครพี่มีปัญหาการนอนหลับออกจาก อาสาสมัครที่ไม่มีปัญหาการนอนหลับได้ (P<0.001) (ตุลยา สีตสุวรรณ และคณะ, 2557) คะแนน รวมทั้ง 7 องค์ประกอบของแบบประเมิน มีคะแนนระหว่าง 0-21 คะแนนโดยคะแนนรวมสามารถ แปลผลได้ดังนี้ คะแนนรวม ≤ 5 คะแนน คุณภาพการนอนหลับดี และคะแนนรวม > 5 คะแนน คุณภาพการนอนหลับไม่ดี (มฮู ำหมัดนาเซร์ ดอเลาะ, 2560) ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ ใช้สถิติ 3 แบบ คือ 1) สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ การแจก แจงความถี่ จำนวน ร้อยละ 2) สถิติ Chi-Square เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ กับ ระดับความดันโลหิต 3) สถิติถดถอยพหุแบบโลจิสติก (Multiple logistic regression analysis) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่างคุณภาพการนอนหลับกบั ระดับความดันโลหิต โดยควบคุมตัวแปร กวน (Confounding variables)

83 ผลการวจิ ัย ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 109 คน แบ่งออกเป็นเพศ ชาย 78 คน ร้อยละ 71.6 และเพศหญิง 31 คน ร้อยละ 28.4 ส่วนใหญ่มีอายุ มากกว่า 35 ปี ร้อยละ 69.7 มีดัชนมี วลกาย(BMI) เกนิ เกณฑ์ รอ้ ยละ 73.4 โดยกลุม่ ตัวอยา่ งไม่มโี รคประจำตัว รอ้ ยละ 78 ไม่ มีประวัติโรคความดันโลหิตสูงในครอบครัว ร้อยละ 84.4 ไม่มีการดื่มเครื่องดื่มทีม่ ีแอลกอฮอล์ ร้อยละ 70.6 ไม่มีการสูบบุหรี่ ร้อยละ 54.1 มีการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ร้อยละ 88.1 ไม่ออกกำลังกาย ร้อยละ 65.1 และทำงานกะเชา้ ร้อยละ 50.5 รายละเอียดดงั ตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 จำนวนและรอ้ ยละของเจา้ หนา้ ทร่ี ักษาความปลอดภยั จำแนกตาม เพศ อายุ ดัชนีมวลกาย(BMI) โรคประจำตัว ประวตั โิ รคความดันโลหิตสงู ในครอบครัว การทำงานกะ การดมื่ เคร่อื งดม่ื ที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบหุ รี่ การดมื่ เครือ่ งด่ืมท่ีมีคาเฟอีน และการออกกำลังกาย ตัวแปร จำนวน ร้อยละ เพศ ชาย 78 71.6 หญิง 31 28.4 อายุ <35 ปี 33 30.3 ≥35 ปี 76 69.7 ดัชนีมวลกาย(BMI) ปกติ 29 26.6 เกินเกณฑ์ 80 73.4 โรคประจำตวั มี 24 22.0 ไม่มี 85 78.0 ประวัตโิ รคความดนั โลหติ สงู ในครอบครวั มี 17 15.6 ไม่มี 92 84.4

84 ตารางท่ี 1 จำนวนและรอ้ ยละของเจ้าหน้าท่ีรักษาความปลอดภยั จำแนกตาม เพศ อายุ ดชั นมี วลกาย(BMI) โรคประจำตัว ประวัตโิ รคความดนั โลหติ สงู ในครอบครัว การทำงานกะ การดมื่ เครอ่ื งดื่มที่มแี อลกอฮอล์ การสบู บหุ รี่ การด่มื เครอื่ งดมื่ ท่มี คี าเฟอนี และการออกกำลังกาย (ต่อ) ตัวแปร จำนวน ร้อยละ ดืม่ เครื่องด่ืมทม่ี ีแอลกอฮอล์ ดม่ื 32 29.4 ไม่ด่ืม 77 70.6 สูบบุหรี่ สูบ 50 45.9 ไม่สูบ 59 54.1 ด่ืมเครอื่ งดมื่ ทม่ี คี าเฟอนี ดืม่ 96 88.1 ไมด่ ม่ื 13 11.9 ออกกำลงั กาย ออกกำลังกาย 38 34.9 ไมอ่ อกกำลังกาย 77 65.1 การทำงานกะ กะเช้า (07.00-19.00) 55 50.5 กะกลางคืน (19.00-07.00) 54 49.5 ส่วนที่ 2 ระดับความดันโลหิต กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษามีระดับความดันโลหิตส่วนมาก อยู่ในระดบั ปกติ ร้อยละ 63.3 รายละเอยี ดดังตารางที่ 2 ตารางที่ 2 จำนวนและร้อยละของเจ้าหน้าทีร่ ักษาความปลอดภัย จำแนกตามระดับความดันโลหิต ระดบั ความดนั โลหติ จำนวน รอ้ ยละ ปกติ 69 63.3 สูง 40 36.7

85 ส่วนที่ 3 คุณภาพการนอนหลับ กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษามีคุณภาพการนอนหลับ ส่วนมากอยู่ในระดับไม่ดี รอ้ ยละ 64.2 รายละเอียดดังตารางที่ 3 ตารางท่ี 3 จำนวนและรอ้ ยละของเจ้าหน้าทรี่ กั ษาความปลอดภัย จำแนกตามคณุ ภาพการนอนหลับ คุณภาพการนอนหลบั จำนวน รอ้ ยละ ดี 39 35.8 ไม่ดี 70 64.2 ส่วนที่ 4 ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ศึกษากับระดับความดันโลหิต พบว่า คุณภาพการ นอนหลับไม่ดี (p= 0.002) ดัชนีมวลกาย(BMI) (p=0.037) ประวัติโรคความดันโลหิตสูงในครอบครัว (p= 0.009) และการออกกำลังกาย (p= 0.004) มีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิตสูงอย่างมี นยั สำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั 0.05 รายละเอยี ดดงั ตารางที่ 4 ตารางที่ 4 ความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรทศ่ี กึ ษากับระดบั ความดนั โลหิตของเจา้ หน้าที่รกั ษาความ ปลอดภยั ระดบั ความดนั โลหติ ตัวแปร ไม่เสีย่ ง เส่ยี ง ������2 P-value n = 69 (รอ้ ยละ) n = 40 (รอ้ ยละ) คณุ ภาพการนอนหลับ ดี 32 (46.38) 7(17.50 ) 9.189 0.002* ไม่ดี 37(53.62) 33(82.50) เพศ ชาย 45(65.22) 33(82.50) 3.716 0.054 หญิง 24(34.78) 7(17.50) อายุ <35 ปี 21(30.43) 12(30.00) 0.002 0.962 ≥35 ปี 48(69.57) 28(70.00) ดัชนีมวลกาย(BMI) ปกติ 23(33.33) 6(15.00) 4.358 0.037* เกินเกณฑ์ 46(66.67) 34(85.00)

86 ตารางท่ี 4 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปรทศ่ี กึ ษากับระดบั ความดันโลหิตของเจา้ หนา้ ทรี่ กั ษาความ ปลอดภัย (ต่อ) ระดับความดนั โลหิต ตัวแปร ไม่เส่ียง เส่ยี ง ������2 P-value n = 69 (ร้อยละ) n = 40 (รอ้ ยละ) โรคประจำตัว มี 13(18.84) 11(27.50) 1.106 0.293 ไมม่ ี 56(81.16) 29(72.50) ประวัติโรคความดนั โลหติ สูงในครอบครัว มี 6(8.70) 11(27.50) 6.802 0.009* ไม่มี 63(91.30) 29(72.50) ดื่มเครอ่ื งด่ืมทมี่ แี อลกอฮอล์ ดืม่ 19(27.54) 13(32.50) 0.301 0.583 ไม่ดืม่ 50(72.46) 27(67.50) สบู บุหรี่ สูบ 27(39.13) 23(57.50) 3.441 0.064 ไม่สูบ 42(60.87) 17(42.50) ด่ืมเคร่ืองดืม่ ทม่ี คี าเฟอนี ด่ืม 60(86.96) 36(90.00) 0.223 0.637 ไมด่ ืม่ 9(13.04) 4(10.00) ออกกำลังกาย ออกกำลังกาย 38(55.07) 33(82.50) 8.388 0.004* ไม่ออกกำลงั กาย 31(44.93) 7(17.50) การทำงานกะ กะเชา้ 35(50.72) 20(50.00) 0.005 0.942 กะกลางคนื 34(49.28) 20(50.00) *P < .05

87 ส่วนท่ี 5 ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการนอนหลับกับระดับความดันโลหิตของกลุ่ม ตัวอย่าง เมื่อทำการควบคุมตัวแปรอื่น ๆ ด้วยการวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุแบบโลจิสติก (Multiple logistic regression analysis) พบว่าคุณภาพการนอนมีค่าสัมประสิทธิ์เท่ากับ 1.253 เมื่อพิจารณา คา่ Exp พบว่าคณุ ภาพการนอนมีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต เทา่ กบั 3.499 เทา่ (p=0.018, 95% C.I. 1.2-9.9) อาจกล่าวได้ว่าคุณภาพการนอนหลับไม่ดีส่งผลให้มีระดับความดันโลหิตสูง รายละเอยี ดดังตารางที่ 5 ตารางที่ 5 การวิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหว่างคุณภาพการนอนหลบั กับระดบั ความดันโลหิต ตวั แปร β S.E. Sig. Exp 95% C.I. for EXP Lower Upper คณุ ภาพการนอนหลับ 1.253 0.531 0.018* 3.499 1.236 9.910 ดชั นีมวลกาย(BMI) 1.041 0.570 0.068 2.833 0.927 8.664 ประวัติโรคความดันโลหิต 1.515 0.625 0.015* 4.549 1.337 15.482 สงู ในครอบครวั ออกกำลงั กาย -1.514 0.531 0.004* 0.220 0.078 0.623 *P < .05 อภิปรายผลการวิจยั คุณภาพการนอนหลับ จากการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีคุณภาพการนอนหลับ อยู่ในระดับไม่ดี ร้อยละ 64.2 เนื่องจากมีการทำงานในเวลากลางคืน และมีการพักผ่อนในเวลา กลางวัน มีปัจจัยรบกวนทำให้นอนไม่หลับ และหลับไม่สบาย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมในการนอน เช่นเสียงดังรบกวน มีแสงสว่างมากเกินไป อุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็น เกนิ ไป หรือคบั แคบเกนิ ไป ปัจจยั ทางดา้ นจติ ใจ เชน่ ความเครยี ด วติ กกงั วล ซึมเศรา้ การดืม่ เครื่องดืม่ บางชนิด เช่น ชา กาแฟ หรือแอลกอฮอล์ และอายุที่มากขึ้น (ศูนย์ข้อมูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, 2562) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ การศึกษาของ Bjorvatn และคณะ (2007) ที่พบว่าคนงานขุด เจาะน้ำมันทะเลเหนือ ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งพบว่ากะที่ผิดปกติ (สัปดาห์แรกทำงาน 12 ชั่วโมงเริ่มเวลา 19.00-07.00 น. สัปดาห์ที่สองทำงาน 12 ชั่วโมง เริ่มเวลา 07.00-19.00 น.) มีคุณภาพการนอนหลบั ไมด่ ี รอ้ ยละ 1.7 และคนงานกะปกติ มคี ณุ ภาพการนอนหลบั ไมด่ ี ร้อยละ 22.8 สอดคลอ้ งกับ

88 การศึกษาของอณิตา เครือประยงค์ (2560) พบว่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินส่วนใหญ่มีคุณภาพ การนอนหลับไม่ดี ร้อยละ 75.3 ซึ่งพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน มีการทำงานเป็นกะ สลับเปลี่ยน เวลาทำงานไปเรื่อย ๆ การพักผ่อนที่ไม่ตรงเวลาในแต่ละวันทำให้นาฬิกาชีวิตรวน ร่างกายจะมีการ ปรับวงจรการนอนให้สอดคล้องกับกะที่ทำงาน ผลกระทบที่ตามมาคือ นอนไม่เพียงพอ ทำให้อ่อนล้า สูญเสียสมาธิ และการตัดสินใจช้าลง (กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2561) ซึ่งความแตกต่าง ระหว่าง คนงานขุดเจาะน้ำมัน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คือ คนงานขุดเจาะน้ำมัน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินมีลักษณะกะทำงานแบบสลับเปลี่ยนเวลาทำงาน ไปเรื่อย ๆ ทำใหไ้ มม่ ีเวลาแน่นอนในการพักผ่อน และอาชพี เจ้าหน้าทีร่ ักษาความปลอดภยั ทีม่ ชี ่วงเวลา ในพักผ่อนแน่นอนกว่าอาชีพดังกล่าว เนื่องจากไม่มีการสลับเปลี่ยนกะ เช่นเปลี่ยนจากทำงานกะ กลางคืนเป็นทำงานกะกลางวัน แต่กลุ่มตัวอย่างที่ทำงานกะกลางคืนบางส่วนมีการทำงานอื่นร่วมด้วย เช่น วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง แม่บ้าน ทำให้มีเวลาในการพักผ่อนน้อย และอาจส่งผลต่อคุณภาพการ นอนหลบั ระดับความดันโลหิต จากการศึกษาพบว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่วนใหญ่มีค่า ความดันโลหิตอยู่ระดับปกติ ร้อยละ 63.3 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่มีโรค ประจำตวั ไม่มีประวัติโรคความดันโลหติ สงู ในครอบครัว ไมม่ กี ารดื่มเคร่ืองด่มื ทีม่ แี อลกอฮอล์ และไม่มี การสบู บุหรี่ ความสัมพันธร์ ะหว่างคุณภาพการนอนหลบั กบั ระดบั ความดนั โลหิต จากการควบคุมตัวแปร กวน ได้แก่ ดัชนีมวลกาย(BMI) ประวัติโรคความดันโลหิตสูงในครอบครัว และการออกกำลังกาย ด้วย การวิเคราะห์สถิติถดถอยพหุแบบโลจิสติก (Multiple logistic regression analysis) พบว่าคุณภาพ การนอนมีความสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต เท่ากับ 3.499 เท่า อาจกล่าวได้ว่าคุณภาพการนอน หลับไม่ดีส่งผลให้มีระดับความดันโลหิตสูง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ James E. (อ้างถึงใน มูฮำ หมัดนาเซร์ ดอเลาะ, 2560) ท่พี บว่า ระยะเวลาการนอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงตอ่ คนื ของกลุ่มท่มี อี ายุ 32- 59 ปี มีความเสี่ยงต่อการเพิ่มโรคความดันโลหิตสูง 2.10 เท่า เมื่อเทียบระยะเวลาการนอน 7-8 ชั่ง โมงต่อคืน และสอดคล้องกับการศึกษาความสมั พันธ์ระหว่างความชกุ ของโรคความดนั โลหิตสงู ในผู้ทีม่ ี อาการนอนไมห่ ลบั ทพ่ี บวา่ กลุม่ ตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น วยั กลางคน (อายเุ ฉลีย่ 46.2 ± 13.7 ป)ี มภี าวะ ความดันโลหิตสูง ร้อยละ 25.5 และพบว่ากลุม่ ตัวอย่างทีม่ ีอาการนอนไม่หลับรวมทั้งระยะเวลาในการ นอนหลบั สน้ั (< 6 ชั่วโมง) มคี วามสัมพนั ธ์กบั ความเสี่ยงในการเกิดความดันโลหติ เพม่ิ ขน้ึ 3.59 เทา่

89 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Bathgate, Edinger, Wyatt, and Krystal, 2016) เนื่องจากกลุ่มตัวอย่าง ที่ทำการศึกษามีลักษณะงานที่ทำเป็นกะแบบไม่ต้องหมุนเวียน จากการสัมภาษณ์ส่วนมากมีคุณภาพ การนอนหลับไม่ดี อาจเนื่องมาจากมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมที่รบกวนในระหว่างการนอนหลับ ทำให้ ระดบั ความดนั โลหิตอยู่ในระดบั สูง ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะที่ได้จากการวจิ ยั 1.1 จากการศกึ ษาพบวา่ คณุ ภาพการนอนหลับของเจา้ หนา้ ทีร่ กั ษาความปลอดภัยที่ ศึกษา สว่ นมากอยู่ในระดบั ไม่ดี มหาวทิ ยาลัยจงึ ควรมมี าตรการต่าง ๆ เพ่ือสง่ เสรมิ ใหม้ คี ณุ ภาพการ นอนหลบั ทดี่ ี เช่น การผลดั เปลยี่ นหมนุ เวยี นกะทำงาน หรืออาจลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน และมี การส่อื สารความเสยี่ งด้านสุขภาพ รวมถึงด้านความปลอดภัยในการทำงาน เป็นต้น 1.2 จากการศกึ ษาพบว่า คณุ ภาพการนอนมีความสมั พนั ธก์ บั ระดับความดนั โลหิต เท่ากับ 3.499 เท่า อาจกล่าวไดว้ า่ คณุ ภาพการนอนหลบั ไมด่ ีส่งผลใหม้ ีระดบั ความดันโลหติ สงู ดงั น้ัน หน่วยงานท่เี กี่ยวขอ้ งควรสร้างความตระหนกั ถึงปัญหาดงั กลา่ วใหเ้ จ้าหน้าทรี่ ักษาความปลอดภยั และ ควรจดั ใหม้ ีการเฝ้าระวงั สุขภาพเปน็ ระยะ 2. ข้อเสนอแนะการวิจยั ครง้ั ตอ่ ไป 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาตวั แปรอื่นเพม่ิ เติมท่อี าจมคี วามสมั พันธ์กบั ระดบั ความดันโลหิต เชน่ ความเครยี ด เปน็ ต้น 2.2 ควรมีการทดสอบความแม่นยำถูกต้องของแบบสัมภาษณ์คณุ ภาพการนอนหลับ (PSQI) ในกลุ่มตวั อย่างทศี่ ึกษา เนอ่ื งจากยงั ไมม่ ีขอ้ มลู ยืนยันถึงความถกู ต้องแมน่ ยำ 2.3 ควรมีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบคุณภาพการนอนหลับระหว่างเจ้าหน้าที่รักษา ความปลอดภัยกบั อาชีพอื่น ๆ กิตตกิ รรมประกาศ ขอขอบคณุ เจ้าหนา้ ทีร่ กั ษาความปลอดภัยที่ใหค้ วามอนุเคราะห์และความร่วมมือเปน็ อย่างดี ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ท่ีใชใ้ นการวจิ ัยครง้ั น้สี ำเร็จลุล่วงไดด้ ว้ ยดี

90 เอกสารอา้ งองิ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. คนทำงานเป็นกะเส่ียง ‘โรคหัวใจและหลอดเลอื ดหวั ใจอดุ ตัน’. 2561. สืบค้นจาก https://www.hfocus.org/content/2018/09/16276 กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. เผยผลกระทบดา้ นสุขภาพจากการทำงานเปน็ กะ. 2561. สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/Content/44359-%E0%B9%88%A2% %B8%9AB8%81%E0%B8%B0.html กระทรวงสาธารณสขุ . การทบทวนวรรณกรรม สถานการณ์ปัจจบุ นั และรปู แบบการบรกิ ารดา้ น โรคไมต่ ิดตอ่ เรือ้ รัง. นนทบรุ :ี บริษัท อารต์ ควอลไิ ฟท์ จำกดั , 2557. กระทรวงสาธารณสุข. ประเดน็ สารรณรงคว์ นั ความดนั โลหิตสูงโลก. 2562. สบื คน้ จาก https://pr.moph.go.th/index.php?url=pr/detail/2/07/127178/ กองบรรณาธกิ ารออเนสดอ็ คส์. โรคความดนั โลหิตสูง. 2563. สบื คน้ จาก https://www.honestd ocs.co/high-blood-pressure-in-adult-males. เกศริน ขอหนว่ งกลาง. แบบรายงานการตรวจราชการระดบั จงั หวัด ปงี บประมาณ พ.ศ.2562. 2562. สบื คน้ จาก http://bie.moph.go.th/e-insreport/file_report/2019-01-16-10- 08-33-22.pdf ครรชิต ชนะทิพย.์ ปจั จัยทม่ี ีผลต่อระดับความดนั โลหติ ของผู้ป่วยความดันโลหิตสงู ทีส่ ถานี อนามยั บ้านปา่ ลาน อำเภอสะเมิง จงั หวัดเชียงใหม่. 2552. สบื คน้ จาก http://cmuir.cmu.ac.th /handle/6653943832/13842 ฉัฐญาณ์ วงศร์ ฐั นันท์. Shift Work ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพจากทำงานเปน็ กะ. 2561. สบื ค้นจาก https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/home/article/shift-work/ ณฐั ธวิ รรณ พันธม์ งุ , อลสิ รา อยเู่ ลิศลบ และสราญรตั น์ ลัทธ.ิ ประเดน็ สารรณรงคว์ ันความดันโลหิต สงู โลก ปี 2562. 2562. สบื คน้ จาก http://www.thaincd.com/2016/news/hot-new s-detail.php?gid=18&id=13507 ณัฐพงศ์ วงศว์ วิ ฒั น์. เผยผลกระทบดา้ นสขุ ภาพจากการทำงานเปน็ กะ. 2561. สืบค้นจาก https://www.thaihealth.or.th/Content/44359-%E0%B9%80%E0%B8%9C% E00%B8%99%E0%B9%8%81%E0%B8%B0.html

91 ตลุ ยา สีตสุวรรณ, สนทรรศ บษุ ราทจิ , พิมล รัตนาอัมพวัลย์ และวฒั นชยั โชตินัยวัตรกลุ . Reliability and Validity of the Thai Version of the Pittsburgh Sleep Quality Index. 2557. สืบค้นจาก https://pdfs.semanticscholar.org/4981/45909aad37575bf 2d45024 0e6f68efb63ce7.pdf ธีระ วรธนารัตน์. ‘การนอนหลับกบั โรคเรือ้ รัง’ และคณุ ภาพชีวิตบุคลากรสาธารณสุข. 2561. สบื คน้ จาก https://www.hfocus.org/content/2018/04/15752 นฤมล โชวส์ ูงเนนิ . การสรา้ งเสรมิ พฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชนวยั ทำงานเพ่อื ปอ้ งกนั โรคความ ดนั โลหติ สูง. 2560. สบื ค้นจาก https://digitaljournals.moph.go.th/tdj/index.ph p/PHCD/article/download/2648/2386 นลิ ดา หงสว์ วิ ัฒน์. รกั ษาโรคความดันโลหิตสงู แนวธรรมชาตบิ ำบดั . กรงุ เทพฯ: สำนกั พมิ พแ์ สงแดด, 2556. แนวทางการรกั ษาโรคความดนั โลหิตสูงในเวชปฏบิ ตั ิท่ัวไป พ.ศ.2562. กรงุ เทพฯ: สมาคมความดัน โลหิตสงู แห่งประเทศไทย, 2562. กญั ญส์ ิริ จนั ทร์เจริญ. การกำหนดประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง. มปป. สืบคน้ จาก https://www.ict.up.ac.th/surinthips/ResearchMethodology_2554/%E0%B9%8 0%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%AA0%B8%87.PDF บรู พานิวส์ (Burapha news). คุณสมบัตเิ จ้าหนา้ ท่ีรกั ษาความปลอดภัย เจ้าหนา้ ท่สี ายตรวจ และ เจา้ หน้าที่ประสานงาน. 2559. สืบคน้ จาก http://calendar.buu.ac.th/docume nt/1435 825182.pdf ประภาส ขำมาก, สมรตั น์ ขำมาก และมาลนิ แก้วมณู .ี ปจั จยั ทีม่ ีความสมั พันธ์กับพฤติกรรมการดแู ล ตนเองของผู้ป่วยโรคความดนั โลหิตสูง. วารสารเครอื ขา่ ยวิทยาลยั พยาบาลและการ สาธารณสขุ ภาคใต.้ 2558; 2(3): 74-91. สืบคน้ จาก https://he01.tci-thaijo.org/ind ex.php/scnet/article/view/52546/43604 ผาณิตา ชนะมณ,ี สุนตุ ตรา ตะบูนพงศ์ และถนอมศรี อินทนนท์. คุณภาพการนอนหลบั และปัจจัยท่ี เก่ียวข้องของนักศกึ ษามหาวทิ ยาลยั ในภาคใต้. 2549. สบื คน้ จาก http://medin fo.psu.ac.th/smj2/smj24_3/pdf24_3/03panita.pdf

92 มาโนช หลอ่ ตระกูล. ความผิดปกตดิ ้านการนอน (Sleep Disorders). 2561. สืบค้นจาก https://med.mahidol.ac.th/ramamental/generaldoctor/05022014-1136 มูฮำหมดั นาเซร์ ดอเลาะ. ความสัมพันธร์ ะหวา่ งคณุ ภาพการนอนกบั การเกิดโรคความดันโลหิตสงู ในเกษตรกรสวนยางพารากะกลางคนื . วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรม์ หาบณั ฑติ , สาขาวิชาอา ชีเวชศาสตร,์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร,์ 2560. รัชนี อินทรม์ า, แอนน์ จริ ะพงษส์ ุวรรณ, มธรุ ส ทิพยมงคลกุล และสุรินธร กลัมพากร. ปัจจัยที่มี ความสมั พันธก์ ับภาวะความดนั โลหิตสูงในคนขับรถแท็กซ่ี กรุงเทพมหานคร. วารสาร พยาบาลสาธารณสขุ . 2560; 31(3): 39-54. สืบค้นจาก https://bit.ly/2R9lU5N โรงพยาบาลศริ ิราช ปยิ มหาราชการุณย์. ความดันโลหิตสูง ความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อน (Hypertension). 2556. สืบคน้ จาก http://www.siphhospital.com/th/news/articl e/share/472 วชิ ัย เอกพลากร. โรคความดนั โลหติ สงู . รายงานการสำรวจสขุ ภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ ร่างกาย ครง้ั ท่ี 5 พ.ศ. 2557. นนทบรุ ี: สำนกั พมิ พ์อักษรกราฟคิ แอนดด์ ีไซน์, 2559. ศาสตรา จารุรตั นานนท.์ (2561). โรคความดนั โลหติ สงู (Hypertension). สืบคน้ จาก http://theworldmedicalcenter.com/th/new_site/health_article/detail/?page= ศนู ยข์ อ้ มูลยาโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. นอนไมห่ ลับ...ปรับพฤตกิ รรมชว่ ยท่านได.้ 2562. สบื ค้นจาก https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/october-2019/insomnia สมาคมความดนั โลหิตสูงแหง่ ประเทศไทย. แนวทางการรกั ษาโรคความดันโลหติ สูง ในเวชปฏิบัติ ทวั่ ไป พ.ศ. 2562. กรุงเทพฯ: สมาคมความดนั โลหิตสงู แหง่ ประเทศไทย, 2562. สำนกั งานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. วนั ความดนั โลก 2562. 2562. สืบค้นจาก http://61.19.151.222/lanta/?p=1005 สำนกั งานสถิตแิ ห่งชาติ. สรุปผลการสำรวจภาวการณท์ ำงานของประชากร (เดอื น พฤศจิกายน พ.ศ.2562). 2562. สืบคน้ จาก http://www.nso.go.th/ sites/20 14/DocLib13/ด้าน สงั คม/สาขาแรงงาน/ภาวะการทำงานของประชากร/2562/Report_10 -62.pdf (วนั ที่ สืบคน้ 13 มกราคม 2563). สิริชัย กิตตชิ าญธรี ะ. การนอนหลบั คอื อะไร. 2562. สบื ค้นจาก https://www.nonthavej.co.th /Sleep.php

93 สริ สิ วัสด์ิ วันทอง. โรคความดนั โลหติ สูงภยั เงยี บใกล้ตัว. 2562. สืบค้นจาก https://www.si.ma hidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1390 สุดารัตน์ ชยั อาจ และพวงพะยอม ปญั ญา. การนอนไมห่ ลับและปจั จัยทเี่ กยี่ วขอ้ ง. วารสารสภาการ พยาบาล. 2548; 20(2), 1-9. สบื ค้นจาก https://www.tci-thaijo.org/index.php /TJONC/article/view/2241 สุวฒั น์ โปษยะวัฒนากุล. 10 โรคร้ายจากการทำงานหนัก สกดั เถ้าแกร่ ว่ งก่อนธุรกจิ รงุ่ . 2562. สบื คน้ จาก https://bit.ly/2RGfU3E หนว่ ยคลงั ข้อมูลยา มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล. การนอนหลับทไี่ มม่ คี ุณภาพอาจเกย่ี วขอ้ งกบั ความเสี่ยงใน การเกิดโรคหวั ใจและหลอดเลือดในวัยรนุ่ . 2555. สบื คน้ จาก https://www.pharma cy.mahidol.ac.th/dic/news_week_full.php?id=105 อณติ า เครือประยงค.์ คุณภาพการนอนหลบั ความเหนอ่ื ยล้าของพนักงานต้อนรบั บนเคร่ืองบิน บริษัท การบนิ ไทย จำกดั (มหาชน). 2560. สืบค้นจาก http://libdo.dpu.ac.th/ thesis/Anita.Kru.pdf Bathgate CJ, Edinger JD, Wyatt JK, Krystal AD. Objective but Not Subjective Short Sleep Duration Associated with Increased Risk for Hypertension in Individuals with Insomnia. SLEEP. 2016; 39(5): 1037- 1045. doi:10.5665/sleep.5748. Bjorvatn B., Sagen IM, Øyane N, Waage S, et al. The association between sleep duration, body mass index and metabolic measures in the Hordaland Health Study. Journal of Sleep Research. 2007; 16: 66-76. doi:10.1111/j.1365- 2869.2007.00569.x. Sun W, Yu Y, Yuan J, et al. Sleep duration and quality among different occupations-- China national study. PLoS One. 2015; 10(3):e0117700. Published 2015 Mar 17. doi:10.1371/journal.pone.0117700.

ปจั จัยท่ีมคี วามสัมพนั ธก์ ับสมรรถภาพการได้ยินของนสิ ิตทใ่ี ชบ้ รกิ าร รา้ นคาราโอเกะรอบมหาวทิ ยาลยั บรู พา Factors Associated to The Hearing Performance of Students Using Karaoke Bar Around Burapha University แพรวพรรณ สวามวิ ัศด์ุ1, อรณุ รวี อศั โม1, จฑุ าทิพย์ จินดาบุตร1, วิภาวี ทับสิงห์1, ศิรวิ รดา ปะเศษโฐ1, นันทพร ภัทรพทุ ธ2 1วิทยาศาสตรบณั ฑติ สาขาสขุ ศาสตร์อตุ สาหกรรมและความปลอดภยั คณะสาธารณสขุ ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบูรพา 2ภาควชิ าสขุ ศาสตร์อุตสาหกรรมและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา บทคดั ย่อ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณาแบบภาคตัดขวาง เพื่อศึกษา ปัจจัยที่มี ความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้บริการร้านคาราโอเกะ ได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยด้านการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับสัมผัสเสียงดัง ปัจจัยด้านการรับสัมผัสระดับเสียง โดย ทำการศึกษาในนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาที่ใช้บริการร้านคาราโอเกะรอบมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน 68 คน เครอื่ งมือทใ่ี ช้ในการศึกษา ไดแ้ ก่ เครอ่ื งวัดระดับเสียง เคร่อื งตรวจสมรรถภาพการได้ยิน และ แบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30.88 มีผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยิน หลังร้องคาราโอเกะอยู่ในเกณฑ์มีผลกระทบต่อการได้ยิน (ระดับการได้ยินในแต่ละความถี่ของหูข้าง ใดข้างหนึ่งมีค่าเกิน 25 dB) ความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล (เพศ อายุ การ สูบบุหรี่ การดื่มสุรา จำนวนงานอดิเรกที่ปฏิบัติเกี่ยวกับเสียง) ปัจจัยด้านการปฏิบัติเกี่ยวกับการรับ สัมผัสเสียงดัง (ความถี่ในการมาใช้บริการ จำนวนชั่วโมงที่มาใช้บริการ ความถี่ในการเข้าผับ/บาร์ ความถี่ในการใช้หูฟัง ประวัติการทำงานในอดีต/ปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับเสียงดัง) และปัจจัยด้านการ รับสัมผัสระดับเสียงภายในห้องคาราโอเกะ ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถภาพการได้ยินของนิสิตที่ใช้ บริการร้านคาราโอเกะรอบมหาวิทยาลัยบูรพา อย่างไรก็ตามผลการศึกษาพบว่ามีผู้ที่รับสัมผัสระดับ เสียงเกิน 94, 91, 89.25 dB(A) ในเวลา 1, 2, 3 ชั่วโมง ตามลำดับ จำนวน 29 คน ร้อยละ 74.4 ซ่ึง จากร้อยละของผู้ที่รับสัมผัสเสียงเกิน 94, 91, 89.25 dB(A) ในเวลา 1, 2, 3 ชั่วโมง พบว่ามีจำนวน 11 คน รอ้ ยละ 37.9 ท่ีผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินหลงั ร้องคาราโอเกะอยใู่ นเกณฑ์มผี ลกระทบ ต่อการได้ยิน ดังน้นั ผูม้ าใชบ้ ริการร้านคาราโอเกะควรลดระดบั เสียงของไมโครโฟนหรือระดับความดงั ของเสยี งดนตรี เพ่ือปอ้ งกนั การรับสมั ผสั เสียงเกินมาตรฐานซึง่ อาจมผี ลตอ่ สมรรถภาพการไดย้ ิน คำสำคญั : สมรรถภาพการไดย้ ิน, ระดับเสยี ง, คาราโอเกะ

95 Abstract This research was a cross sectional descriptive study about which aimed to study associated the factor, including personal factors, practice factors regarding noise exposure and noise level in karaoke rooms among 68 students using karaoke bar in Burapha University. The instruments used in the study were sound level meter, audiometer and questionnaire. The study found that 30.88% of the sample group has the result of audiogram after singing karaoke be in the line affecting hearing (The hearing level in the frequency of one ear exceeds 25 decibels). The relationship among the studied factors including personal factors (gender, age, smoking , drinking and the number of hobbies with noise), practice factors for noise exposure (frequency of use the service, number of service hour, frequency of entering a pub/bar, frequency of headphones use, past/present work experience related to noise), and noise exposure factors in the karaoke room found that there was no correlation with the hearing performance. However, this study found that there were 29 people (the 74.4%), who exceeded sound level 94, 91, 89.25 dB (A) in 1, 2, 3 hours, respectively, according to the percentage of people who are exposed to the sound more than 94, 91, 89.25 dB (A) in 1, 2, 3 hours found that there are 11 people (37.9%), which has the result of audiogram be in the line affecting hearing. Therefore, users who use the service at karaoke bar should reduce the microphone volume or the music volume to prevent excessive noise exposure which may affect hearing performance. Keywords: Hearing Performance, Sound level, Karaoke Bar บทนำ ในปัจจุบันนี้มีสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันในทุก ๆ ด้านแม้กระท่ัง ด้านการเรียน ที่นิสิตมีการเรียนหลายรายวิชา หลายชั่วโมงต่อวัน ต้องอ่านหนังสือมากขึ้น ต้องทำ เกรดให้ได้ดีๆ เพื่อที่จะได้จบแล้วมีงานทำที่ดี มีเงินเดือนสูง จึงกลายเป็นแรงกดดันและความ เคร่งเครียดข้ึน ดงั น้ันหนทางท่ีจะคลายความเครง่ เครียดได้คอื การทำกิจกรรมต่างๆกบั ครอบครัวและ

96 กลุ่มเพือ่ น ไดแ้ ก่ การชมภาพยนตร์ การชมคอนเสิร์ต และการรอ้ งคาราโอเกะ การรอ้ งคาราโอเกะใน ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากเนื่องจากเข้าถึงง่ายและเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ช่วยให้เกิดความบันเทิง ความสนุกสนานเพลดิ เพลิน ชว่ ยผ่อนคลายความเครียดไดด้ ี (จุฑารกั ษ์ จติ รโรจนรกั ษ์, 2550) อย่างไรก็ตามการร้องคาราโอเกะนั้นนอกจากมีข้อดีแล้ว ก็ยังมีข้อเสียโดยจากข้อมูลผล การศึกษาของ Min-Yong Park (2003) พบว่า ระดับเสียงในการร้องเพลงช้าหรือเพลงร็อกเกิน 95 เดซิเบลเอ นักวิจัยได้ทำการวัดระดับการรับฟังของผู้ร่วมวงคาราโอเกะแต่ละคนก่อนและหลังส่งเข้า ห้องให้ไปฟังเพลงคาราโอเกะนาน 100 นาที การวิเคราะห์ทางสถิติของการศึกษา ระบุว่า หลังการ ฟังเพลงคาราโอเกะนานราว 2 ชั่วโมง กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาสูญเสียการได้ยินเกือบ 8 เดซิเบลเอ ในช่วงความถ่เี สียงที่สำคญั ที่สดุ สำหรับการได้ยินของมนษุ ย์ ซึ่งมศี ูนย์กลางท่ี 4,000 ดงั นัน้ การร้อง คาราโอเกะนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยอาจทำลายกล่องเสียง และเพิ่มความเสี่ยงที่จะสูญเสีย ความสามารถในการไดย้ ินได้ (Min-Yong Park, 2003) องค์การอนามัยโลก (2015) กล่าวว่าเสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบลเอที่ทุกความถี่ สามารถ ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพทางกายและจิตใจ ซึ่งแหล่งบันเทิงต่างๆ เช่น ดิสโก้เธค ไนต์คลับ นั้นมี ความดังโดยเฉลี่ยประมาณ 60 – 120 เดซิเบล (วัชชิรา ศักดิ์สนิท, ม.ป.ป.) การรับสัมผัสเสียงดังน้ัน ทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมจากการสมั ผัสเสยี งดัง (Noise - Induced Hearing Loss (NIHL)) ทำให้ เกดิ พยาธสิ ภาพในหูช้นั ใน การรบั สัมผสั กบั เสียงดังความผิดปกติที่เกดิ ขึน้ จะเป็นเพยี งชั่วคราวหลังจาก นั้นการได้ยินจะกลับมาเป็นปกติ เรียกว่า Temporary Threshold Shift (TTS) และหากยังคงได้รับ สัมผัสกับเสียงดังเป็นเวลานานๆ ติดต่อกันไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบถาวร เรา เรียกภาวะดังกล่าวว่า Permanent Threshold Shift (PTS) ความผิดปกติดังกล่าวจะไม่กลับมาเป็น ปกตไิ ดอ้ กี (สำนกั โรคจากการประกอบอาชพี และส่ิงแวดล้อม, 2547) ในปี พ.ศ. 2560 พบผู้ป่วยโรคการได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง จำนวน 48,139 คน คิดเป็นอัตรา ป่วยต่อแสนคน เท่ากับ 79.91 ที่พบผู้ป่วยโรคการได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง จำนวน 60,946 คน (อัตรา ปว่ ย 101.49) โดยกลุ่มอายุทพ่ี บผปู้ ว่ ยมากทสี่ ุด คอื กลุม่ อายุ 60 ปขี นึ้ ไป จำนวน 31,890 คน คดิ เป็น ร้อยละ 66.25 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มอายุ 15-59 ปี จำนวน 14,859 คน คิดเป็นร้อยละ 30.87 กลุ่ม อาชีพที่พบผูป้ ่วยมากที่สุด คือ กลุ่มอาชพี ผู้ปลกู พชื ไร่และพืชสวน จำนวน 18,497 คน คิดเป็นร้อยละ 38.42 รองลงมา ได้แก่ กลุ่มคนงานรับจ้างทั่วไป จำนวน 10,091 คน และกลุ่มนักเรียน/นักศึกษา จำนวน 5,820 คน คดิ เป็นร้อยละ 20.96 และ 12.09 ตามลำดบั (กองโรคจากการประกอบอาชพี และ สิ่งแวดล้อม, 2561) จากข้อมูลสถิติ อัตราป่วยโรคการได้ยินเสื่อมเหตุเสียงดัง พบว่ากลุ่มนักเรียน/ นักศึกษามีอตั ราการปว่ ยโรคการได้ยินเสื่อมจากเสียงดังเปน็ อันดับ 3 ของกลมุ่ อาชีพที่พบผปู้ ่วยโรค