Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รวมบทความ-ดร.กัมพล เจริญรักษ์

รวมบทความ-ดร.กัมพล เจริญรักษ์

Published by Suthon Promlee, 2021-08-30 14:18:15

Description: รวมบทความ-ดร.กัมพล เจริญรักษ์

Search

Read the Text Version

รวมบทความ วารสารวชิ าการ 2559 การสร้างชุมชนการเรยี นร้วู ชิ าชีพเพอื่ ปฏริ ูปโรงเรยี น วารสารวชิ าการ 2560 Active Learning สู่ไทยแลนด์ 4.0 คุรุสภาวทิ ยาจารย ์ 2563 2564 รูปแบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสุขภาวะ: 2564 ทงุ่ ยาวคาโปรยโมเดล OEC วารสารการศกึ ษาไทย ชุมชนแหง่ การเรียนร้ทู างวชิ าชพี : แนวทางการพฒั นาครูและผเู้ รียน วารสารวชิ าการ สพฐ. การประเมนิ ความตอ้ งการจาเปน็ ในการพัฒนาสมรรถนะประจาสายงานของครู สงั กดั สานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 วารสารวชิ าการ สพฐ. 2564 การพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะของสถานศึกษานารอ่ งพ้ืนทนี่ วตั กรรมการศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาระยอง เขต 2 ดร.กมั พล เจรญิ รกั ษ์

ISSN : 1513-0096

02 16 30 46 60 72

30

31

32

33

34

35

36

37

38

39

40

41

42

43

44

45

วิชากวาราสราร ปท ่ี 20 ฉบบั ท่ี 4 เดือนตลุ าคม – ธันวาคม 2560

สารบญั 02 กคาา่ รยพพฒัฒั นนาาคกราูบรอน่าฐนานแลกะารกชา้ีแรเนขะยี น และการให้ข้อมลู ปอ้ นกลบั 18 Active Learning สู่ไทยแลนด์ 4.0     34 นทิ านแหง่ รกั จากใจครสู ู่ศษิ ย์ 52 วธิ กี ารสอนอ่าน 72 นPLักCเรเียคนรไือมขจ่ ่าบยหคลรอูกั าสสูตารชว่ ยเหลอื 82 อกเิาลรก็พทฒั รนอานแิกนสว์สทำ�าหงรใับนโกรางรเสรยีง่ นเสปรรมิ ะกชาารรใัฐช้ส่อื ของสำ�นักเทคโนโลยีเพอื่ การเรยี นการสอน ส�ำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน

Active Learning สู่ไทยแลนด์ 4.0     ดร.กมั พล เจรญิ รักษ์ ผ้อู ำ�นวยการโรงเรยี นบา้ นทุง่ ยาวค�ำ โปรย ส�ำ นักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาศรสี ะเกษ เขต 4 18 วารสารวชิ าการ

“ให้ปลาฉันหน่งึ ตวั ฉนั มีปลากนิ แคห่ นงึ่ วัน สอนให้ฉันหาปลา ฉนั มีปลากินตลอดไป” ครูหลายทา่ นคงทราบเปน็ อย่างดวี า่ การจดั การเรยี นการสอนในศตวรรษ ที่ 21 น้ัน นอกจากครูจะจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนได้รับองค์ความรู้ ทางดา้ นต่าง ๆ แล้ว ครูควรจัดการเรียนรเู้ พ่ือส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รียนมีทกั ษะตา่ ง ๆ ดว้ ย ซ่ึงทักษะจะเกิดข้ึนได้ด้วยการที่ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง กระบวนการในการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือกระทำ�มากกว่าการฟังเพียง อยา่ งเดียว  เรียกวา่ “Active Learning : การเรยี นร้แู บบลงมือทำ�” การศึกษา ไทยต้องก้าวไปสู่เป้าหมาย “ยุคความรู้ : ยุคไทยแลนด์ 4.0” จุดท้าทายในการ จดั การศกึ ษาควรไปในทศิ ทางของความสขุ ในการท�ำ งานอยา่ งมเี ปา้ หมายเพอ่ื ชวี ติ ทด่ี ี ของลูกศิษย์ ในยุคความรู้กระตุ้นให้ศิษย์เรียนรู้ตลอดชีวิต ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนนอ้ ย เรยี นมาก” ดว้ ยการจดั กจิ กรรมตา่ ง ๆ ใหผ้ เู้ รยี น ครตู อ้ งตอบไดว้ า่ ศษิ ย์ ได้เรียนรอู้ ะไรและเพอื่ ให้ศษิ ยไ์ ด้อะไร การประสบผลสำ�เรจ็ ไดน้ น้ั ครูตอ้ งท�ำ อะไร ไม่ทำ�อะไร การทำ�หน้าที่ครูจึงไม่ผิดทางคือ ทำ�ให้ศิษย์เรียนไม่สนุก หรือ เรียนแบบขาดทักษะสำ�คัญ “ทักษะเพื่อการดำ�รงชีวิตในศตวรรษท่ี 21” (21st Century Skills) จะเกดิ ขนึ้ ไดจ้ าก “ครตู อ้ งไมส่ อน แตต่ อ้ งออกแบบการเรยี นรแู้ ละ อ�ำ นวยความสะดวก” ในการเรยี นรใู้ หศ้ ษิ ยไ์ ดเ้ รยี นรจู้ ากการเรยี นแบบลงมอื ท�ำ แลว้ การเรียนร้กู จ็ ะเกดิ จากภายในใจและสมองของตนเอง (วจิ ารณ์ พานชิ , 2555)   วารสารวชิ าการ 19

แผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ไดก้ �ำหนดวสิ ยั ทศั น์ (Vision) ไว้ดังนี้ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำ� รงชวี ติ อย่างเปน็ สขุ สอดคล้องกบั หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และ การเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21” การพัฒนาก�ำลังคนดังกล่าว โดยมุ่ง เนน้ การจัดการเรียนการสอนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะในศตวรรษที่ 21 เพอ่ื ให้ได้ทง้ั ความรู้และทักษะที่จ�ำเป็นต้องใช้ในการด�ำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และ การพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศทา่ มกลางกระแสแหง่ การเปลยี่ นแปลง ทักษะส�ำคัญจ�ำเป็นในโลกศตวรรษท่ี 21 (ส�ำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560 : 16, 78) เปา้ หมายของการสรา้ ง Thailand 4.0 (ไทยแลนด์ 4.0) ทส่ี �ำคญั ที่สุดคือ “การศึกษา” ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืนท้ังหมด ของประเทศไทย โดยการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เป็น “Education 4.0” (การศกึ ษา 4.0) ก็คอื “ผ้เู รียนสรา้ งนวัตกรรมเองได้” Thailand 4.0 เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเป็นไปตามโมเดลนี้ ประเทศจะต้องมีนวัตกรรมเป็นของตนเองอย่างแน่นอน ฉะนั้น “การศึกษา 4.0” เป็นส่วนหนึ่งของไทยแลนด์ 4.0 ท่ีจะน�ำพาไปสู่ ความส�ำเร็จ จึงต้องอาศัยทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะครูต้องปรับ การเรียนการสอนตามแนวทาง Active Learning น�ำมาใช้ในการเรียนการสอน อยา่ งจริงจงั ผูบ้ ริหารโรงเรียนตอ้ งเปน็ ผู้น�ำทางวิชาการ การปฏิรปู การศกึ ษาต้อง เน้นท่ีห้องเรียน ติดตามพฤติกรรมการสอนของครูโดยสร้างตัวช้ีวัดผลการปฏิบัติ งาน เมือ่ แต่ละหอ้ งเรยี นไดอ้ อกแบบกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning แล้วน�ำไปจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับนักเรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ จนสามารถสร้างนวัตกรรมเองได้ เรียกว่า “ห้องเรียน 4.0” (Classroom 4.0) ครูและบุคลากรทางการศึกษาจึงน�ำส่ิงที่ปฏิบัติได้ดีมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (PLC) หรือถ้ามีปัญหาก็น�ำมาคิดแก้ปัญหาร่วมกันและน�ำความคิดท่ีได้จากวง PLC ไปทดลองใช้จริงกับนักเรียน น�ำกับมาแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันภายในโรงเรียน 20 วารสารวชิ าการ

อย่างสม่�ำเสมอ จนกลายเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เรียกว่า “โรงเรียน 4.0” (School 4.0) ถา้ ระบบการศกึ ษาในสถานศกึ ษาท�ำไดแ้ บบนจี้ ะกลายเปน็ การศกึ ษา 4.0 ซ่ึงนอกจากตอบโจทย์ประเทศ 4.0 ได้แล้วผู้เรียนจะมีทักษะส�ำคัญจ�ำเป็น ในโลกศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับแผนการศึกษาแห่งชาติฉบับปัจจุบัน 20 ปี (2560 - 2579) ดงั ภาพประกอบที่ 1                                 ภาพประกอบท่ี 1 Classroom 4.0 สู่ Thailand 4.0 วารสารวิชาการ 21

Active Learning : การเรยี นร้แู บบลงมอื ท�ำ Active Learning คือ กระบวนการจดั การเรยี นรทู้ ีผ่ เู้ รยี นได้ลงมือกระทำ� และได้ใช้กระบวนการคิดเก่ียวกับส่ิงที่เขาได้กระทำ�ลงไป  (Bonwell, 1991) เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรยี นรภู้ ายใตส้ มมตฐิ านพน้ื ฐาน 2 ประการ คอื 1) การเรยี นรู้ เป็นความพยายามโดยธรรมชาตขิ องมนษุ ย์ และ 2) แต่ละบคุ คลมแี นวทางในการ เรยี นรทู้ แ่ี ตกตา่ งกนั  (Meyers and Jones, 1993) โดยผเู้ รยี นจะถกู เปลย่ี นบทบาท จากผรู้ บั ความรู้ (Receiver) ไปสกู่ ารมสี ว่ นรว่ มในการสรา้ งความรู้ (Co - creators) (Fedler and Brent, 1996)  22 วารสารวิชาการ

Active Learning เปน็ กระบวนการเรียนการสอนอยา่ งหนึง่ แปลตามตวั ก็คือเปน็ การเรียนรู้ผ่านการปฏิบตั หิ รอื การลงมอื ท�ำ ซง่ึ “ความร”ู้ ที่เกิดขึ้นกเ็ ป็น ความรทู้ ีไ่ ด้จากประสบการณ์  กระบวนการในการจดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ผ่ี ูเ้ รยี น ต้องได้มีโอกาสลงมือกระทำ�มากกว่าการฟังเพียงอย่างเดียว ต้องจัดกิจกรรมให้ ผ้เู รียนไดก้ ารเรียนรูโ้ ดยการอ่าน การเขยี น การโต้ตอบ และการวิเคราะห์ปญั หา อกี ทงั้ ใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชก้ ระบวนการคดิ ขนั้ สงู ไดแ้ ก่ การคดิ วเิ คราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ และการประเมนิ ค่า (วุทธศิ ักดิ์ โภชนุกลู http://www.pochanukul.com/?p=169#more-169) สรุปได้ว่า Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรูท้ ใ่ี หผ้ เู้ รียนไดเ้ รยี นรู้ ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ัติอย่างมคี วามหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผเู้ รียนคดิ ด้วยกนั มกี ารปฏบิ ตั สิ มั พนั ธก์ บั สงิ่ ตา่ ง ๆ อยา่ งหลากหลาย ท�ำ ใหเ้ กดิ แนวคดิ ใหม่ ๆ มากมาย ผเู้ รยี นคดิ เป็น ท�ำ เปน็ แก้ปัญหาได้ เม่ือไดล้ งมือปฏบิ ัติผเู้ รยี นจะจ�ำ ความรู้ได้แมน่ และนานกวา่ การทอ่ งจ�ำ เกดิ ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หม่ ๆ เกดิ นวตั กรรม (Innovation) เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ครูต้องลดบทบาทในการสอนและการให้ความรู้ แก่ผู้เรียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมท่ีจะทำ�ให้ผู้เรียนเกิด ความกระตือรอื ร้นในการจะท�ำ กจิ กรรมต่าง ๆ ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ัตมิ ากขน้ึ และ อยา่ งหลากหลาย วารสารวิชาการ 23

กระบวนการเรียนรู้ Active Learning Active Learning มีนวัตกรรมทางการศึกษามากมายที่เป็นกระบวน การเรยี นรแู้ บบลงมอื ท�ำ ตวั อยา่ งเชน่ การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project - Based Learning : PBL) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem - Based Learning : PBL) การเรียนรู้โดยใชว้ ิจัยเปน็ ฐาน (Research - Based Learning : RBL) การเรยี นรโู้ ดยใชส้ มองเปน็ ฐาน (Brain - Based Learning : BBL) การเรยี นรู้ แบบร่วมมือ (Collaborative Learning Group) การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยน ความคิด (Think – Pair - Share) วธิ ีการแบบเปดิ (Open Approach) เปน็ ต้น Active Learning เรม่ิ จากการน�ำ หลกั สตู รกางออกมาใหห้ มดวา่ แตล่ ะวชิ า มเี นอ้ื หาอะไรบา้ งทผี่ เู้ รยี นจะตอ้ งรู้ จากนนั้ กเ็ ลอื กหวั ขอ้ เรอ่ื งของแตล่ ะวชิ าทมี่ คี วาม คลา้ ยคลงึ กนั หรอื มคี วามเกยี่ วขอ้ งกนั มาปรบั เปน็ กระบวนการเรยี นรรู้ ว่ มกนั การทน่ี �ำ เนอื้ หาทสี่ อดคลอ้ งกนั มาใชร้ ว่ มกนั กเ็ ปน็ การเรยี นการสอนทเ่ี รยี กวา่ “บรู ณาการ” ซง่ึ อนั น้ี ครูอาจจะทำ� Active Learning แบบแยกสว่ นเปน็ วิชา ๆ ไปก็ได้ กจ็ ะเปน็ การลด ขั้นตอนในการทำ�งานลงไป ไม่ต้องปวดหัวกับการจับมารวมกัน แล้วดัดแปลงให้ ลงตวั เหมอื นบรู ณาการ หลงั จากไดเ้ นอ้ื หาทตี่ อ้ งการแลว้ กน็ �ำ มาประยกุ ตใ์ หเ้ ปน็ การ ปฏบิ ตั ิ โดยมาคดิ วา่ จะท�ำ อยา่ งไรใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั หิ รอื ไดท้ �ำ กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งโดย การลงมอื ท�ำ เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดค้ วามรแู้ ละเขา้ ใจเนอ้ื หาดงั กลา่ ว ซงึ่ ตอนนแ้ี หละทเ่ี ปน็ ภาระข้ันแรกของครู ไหนจะตอ้ งกงั วลวา่ เนอื้ หาไม่ครบ แลว้ ไหนจะต้องออกแบบ กจิ กรรมทีใ่ หผ้ ู้เรยี นได้ลงมอื ทำ�อีกแล้วหลงั จากนนั้ การให้ผู้เรยี นทำ�กจิ กรรมก็อาจ จะเป็นเด่ียวบ้าง กลุ่มบ้าง การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning สามารถ สรา้ งใหเ้ กดิ ขนึ้ ไดท้ ง้ั ในและนอกหอ้ งเรยี น รวมทงั้ สามารถใชไ้ ดก้ บั ผเู้ รยี นทกุ ระดบั ท้ังการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนรู้แบบกลุ่ม ซึ่งผู้เรียนได้มีส่วนร่วมต้ังแต่ การคิดวางแผนงาน การแก้ปัญหา การลงมือทำ� และการนำ�เสนอกิจกรรมท่ีทำ� เสรจ็ แลว้ น่ีแหละคือประเดน็ สำ�คญั ทีท่ ำ�ให้ผูเ้ รยี นได้แสวงหาความรไู้ ดด้ ้วยตวั เอง โดยมคี รเู ปน็ ทปี่ รึกษาหรือผชู้ แี้ นะ ซ่ึงมีกระบวนการ Active Learning สำ�หรบั 24 วารสารวิชาการ

การนำ�ไปจดั กระบวนการเรยี นรู้มี 4 หลักการ ดงั นี้ 1. มอี ปุ กรณข์ องจรงิ ใหผ้ เู้ รยี นไดจ้ บั ตอ้ ง สมั ผสั หรอื เปน็ เรอื่ งใกลต้ วั ผเู้ รยี น หรือเร่ืองท่ีกำ�ลงั สนใจในขณะนั้น 2. ใหผ้ เู้ รยี นทำ�งานเป็นกลมุ่ รวมใจรว่ มพลงั (Collaborative Learning) ร่วมกันลงมอื ท�ำ (Active Learner) 3. ใหผ้ ้เู รียนได้สนทนาโต้ตอบกนั มปี ฏสิ ัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผเู้ รยี นกบั ผ้เู รยี น ระหวา่ งผเู้ รียนกบั ครู 4. น�ำ เสนอผลงานช้ินงานหรอื นวตั กรรม ที่ไดร้ ว่ มกนั คิด ออกแบบ ลงมอื ท�ำ ใหก้ ับกล่มุ อ่ืน ๆ ไดเ้ รียนรรู้ ่วมกัน วารสารวิชาการ 25

โรงเรียนบ้านทุ่งยาวค�ำโปรย อ�ำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ จึงได้ ออกแบบตารางการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ท้ังแบบบูรณาการ หลาย ๆ วชิ า และแบบแยกเฉพาะวชิ า กล่าวคือ ในช่วงเช้าหลงั จากเคารพธงชาติ กจิ กรรมหน้าเสาธง ทกุ หอ้ งจะท�ำกิจกรรมจิตศึกษาประมาณ 30 นาที หลงั จาก น้ันเวลา 09.00 น. เป็นต้นไปจนถึงเวลา 12.10 น. จะเรียนวิชาหลัก ได้แก่ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย องั กฤษ และวทิ ยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการเรยี นรแู้ บบ Active Learning แยกเฉพาะวิชา ชว่ งบา่ ยเวลา 13.05 – 13.20 น. จะมีกิจกรรม Body Scan เพ่ือผ่อนคลาย ท�ำคลื่นสมองให้ต่�ำลงพร้อมท่ีจะเรียนรู้ เวลา 13.20 น. เปน็ ตน้ ไปจะเรม่ิ เรียนบรู ณาการ ซ่งึ การบรู ณาการนเี้ ราจัดกระบวนการ เรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem - Based Learning : PBL) เป็นการ เรียนรู้ Active Learning แบบบูรณาการหลายวิชา เช่น สงั คมศกึ ษา ศาสนา และ วัฒนธรรม การงานอาชีพและเทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา วิทยาศาสตร์ ศิลปะ เปน็ ตน้ บทบาททส่ี �ำ คญั และยากล�ำ บากทสี่ ดุ จงึ อยทู่ ่ี “คร”ู เพราะครตู อ้ งเปลย่ี นแปลง ตนเองอยา่ งมากมาย ตอ้ งเปลยี่ นวธิ คี ดิ ตอ้ งใฝห่ าทกั ษะใหมใ่ นการเปน็ ผอู้ �ำ นวยการ เรยี นรู้ (Coach) เพอื่ ทจี่ ะออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ในการชวนผเู้ รยี นมาเรยี นรู้ ดว้ ยการสรา้ งแรงบันดาลใจใหผ้ เู้ รยี นอยากเรียนรู้ ชวนผู้เรียนออกแบบการเรยี นรู้ รว่ มกนั และลงมอื ท�ำ ชวนผเู้ รยี นมาสะทอ้ นสงิ่ ทไี่ ดเ้ รยี นรู้ (After Action Review : AAR) ใหไ้ ดค้ วามรทู้ ลี่ กึ ทางทฤษฎแี ละไดร้ บั การกระตนุ้ สมองของมนษุ ย์ โดยสมอง ส่วนน้ีคือ สมองส่วนที่ทำ�ให้ผู้เรียนมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีสุนทรีย์และมี วฒุ ภิ าวะตา่ ง ๆ ซง่ึ สมองสว่ นนจ้ี ะมเี พยี งแคเ่ ฉพาะในมนษุ ยเ์ ทา่ นน้ั และครยู งั ตอ้ งการ เครอื่ งมอื ทชี่ ว่ ยคอื “กลมุ่ เพอ่ื นรว่ มงาน” (Professional Learning Community : PLC) ในการแลกเปล่ยี นเรยี นรูก้ บั เพือ่ นครใู นการทำ�หน้าทค่ี รู กระบวนการเรยี นรู้ Active Learning ท�ำ ให้ผเู้ รยี นสามารถรักษาผลการ เรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบไม่ได้ลงมือปฏิบัติ (Passive Learning) เพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคล้อง 26 วารสารวชิ าการ

กับการทำ�งานของสมองท่ีเก่ียวข้องกับความจำ� โดยสามารถเก็บและจำ�ส่ิงท่ี ผ้เู รยี นเรียนรู้อย่างมสี ่วนรว่ ม มีปฏิสัมพันธ์กบั เพือ่ น ครู สิง่ แวดล้อม การเรียนรู้ได้ ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจำ�ในระบบความจำ�ระยะยาว (Long Term Memory) ทำ�ให้ผลการเรียนรู้ ยังคงอยู่ได้ในปริมาณที่มากกว่า ระยะยาวกว่า ดังภาพประกอบ (Edgar Dale, 1969) ภาพประกอบที่ 2 พีระมดิ การเรยี นรู้ (ทีม่ า : Edgar Dale, 1969) จากภาพประกอบจะเห็นได้ว่า กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning ทค่ี รจู ดั ประสบการณใ์ หก้ บั ผเู้ รยี น เชน่ การใหด้ ภู าพยนตร์ การสาธติ รวมทงั้ การน�ำ ผู้เรียนไปทัศนศึกษาหรือดูงาน ทำ�ให้ผลการเรียนรู้เพิ่มข้ึนมากท่ีสุดไม่เกิน 50% สว่ นกระบวนการเรยี นรู้ Active Learning การใหผ้ ู้เรยี นมีบทบาทในการแสวงหา วารสารวิชาการ 27

ความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิดความรู้ ความเข้าใจนำ�ไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าหรือสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และพัฒนา ตนเองเต็มความสามารถ รวมถึงการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ ห้เขาได้มโี อกาส ร่วมอภิปรายให้มีโอกาสฝึกทักษะการส่ือสาร ทำ�ให้ผลการเรียนรู้เพิ่มข้ึน 70% การน�ำ เสนอผลงาน ชนื้ งานหรอื นวตั กรรม ทน่ี กั เรยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากการลงมอื ปฎบิ ตั ิ เรียนรู้ในสถานการณ์จำ�ลอง ท้ังมีการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับ สถานการณ์ต่าง ๆ สามารถสอนผอู้ ืน่ ได้ ซงึ่ จะท�ำ ใหผ้ ลการเรียนร้เู กดิ ข้ึนถึง 90% รูปแบบของ Active Learning จากพีระมิดการเรียนรู้ของ Edgar Dale (1969) โรงเรียนบ้านทุ่งยาว ค�ำโปรย จึงออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้แบบ Active Learning ทงั้ แยกรายวชิ า (ช่วงเช้า) คือ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย อังกฤษ วิทยาศาสตร์และบูรณาการ หลายวชิ า (ชว่ งบา่ ย) ดว้ ยการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (PBL) ตง้ั แตป่ กี ารศกึ ษา 2556 จนถงึ ปจั จุบัน จากประสบการณ์ในการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบ Active Learning ตลอดระยะเวลา 4 ปที ผี่ า่ นมาท�ำใหโ้ รงเรยี นบา้ นทงุ่ ยาวค�ำโปรย พฒั นา กระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แลกเปล่ียนเรียนรู้สร้างชุมชนการเรียนรู้ทาง วชิ าชพี (Professional Learning Community : PLC) อยา่ งสมำ�่ เสมอ จนสามารถ ถอดองคค์ วามรูก้ ารเรียนรู้แบบ Active Learning เปน็ ของโรงเรยี นบ้านทงุ่ ยาว ค�ำโปรยเอง ได้ดังนี้ 1. ข้นั น�ำ เขา้ สูบ่ ทเรยี น 1.1 สรา้ งแรงบันดาลใจ ขนั้ ตอนนเ้ี ป็นการสร้างแรงบันดาลใจใหผ้ ้เู รยี น อยากเรียนรู้ การนำ�เข้าสู่บทเรียนโดยใช้เร่ืองท่ีใกล้ตัวผู้เรียนหรือเป็นเร่ืองท่ี ผู้เรยี นสนใจเป็นตัวกระตนุ้ ความอยากรูอ้ ยากเห็นของผ้เู รียน ต้องไมบ่ อกคำ�ตอบ ผู้เรยี นก่อน เพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นสนใจ อยากตดิ ตาม   28 วารสารวิชาการ

1.2 ใช้คำ�ถามเปน็ ตวั กระต้นุ ให้ผู้เรียนคดิ เพอื่ คน้ หาคำ�ตอบ ค�ำ ถามจะ เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เรียนสงสัยเกิดความใคร่ครวญเพ่ือหาคำ�ตอบ “คำ�ถามท่ีดี” เป็นเคร่ืองมือสำ�คัญท่ีสุดอย่างหนึ่งของครูในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การตั้ง คำ�ถามจะช่วยดึงผู้เรียนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเรียน ในระหว่างท่ีผู้เรียนคิด หาคำ�ตอบ (และฝึกตง้ั ค�ำ ถามไปพรอ้ มกับครู) ผ้เู รยี นจะสรา้ งกระบวนการเรียนรู้ ใหเ้ กดิ ขนึ้ ในตนเอง ซง่ึ จะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งส�ำ คญั ในการเรยี นรสู้ ง่ิ ตา่ ง ๆ ครพู ยายาม หลีกเลี่ยงค�ำ ถามเพียงแค่ “ใช”่ หรือ “ไม่ใช่” ค�ำ ถามแบบน้เี รยี กว่าค�ำ ถามปิดตาย (dead end) เวลาตงั้ ค�ำ ถามครตู อ้ งแนใ่ จวา่ ไดบ้ รรลจุ ดุ ประสงคใ์ นการถาม เพราะ ค�ำ ถามจะเขา้ ไปมสี ว่ นชว่ ยพฒั นากระบวนการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น และยงั สะทอ้ นให้ เห็นด้วยว่าผู้เรียนเข้าใจสิ่งที่เรียนรู้หรือไม่ นอกจากนี้ยังช่วยครูแก้ปัญหาในส่วน ท่ีผู้เรียนยังสับสน ไม่เข้าใจเพ่ือให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้และ พึงระลึกว่า เทคนิคการตั้งคำ�ถามหากใช้อย่างเหมาะสมจะเป็นเคร่ืองมือส�ำ คัญ สำ�หรับครใู นการเรียนการสอน 2. ข้นั สอน 2.1 ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน ก่อนท่ีผู้เรียนจะได้ลงมือท�ำ กิจกรรม ตามที่ครูออกแบบกระบวนการเรียนรู้ไว้ครูกับครู (เพื่อนครู) ครูกับนักเรียนหรือ นักเรยี นกับนักเรียน ตอ้ งมีการวางแผนออกแบบการเรยี นรู้หรอื การท�ำ งานต่าง ๆ รว่ มกัน ครกู ับนกั เรียนต้องร่วมกนั ตั้งกฎ กตกิ าท่จี ะทำ�รว่ มกัน เพือ่ ให้การทำ�งาน ประสบผลส�ำ เรจ็ และมปี ระสทิ ธภิ าพ ยกตวั อยา่ งเชน่ ผเู้ รยี นจะไปเกบ็ ขอ้ มลู ในชมุ ชน ครูกับนักเรียนต้องออกแบบการเรียนรู้ร่วมกันว่าจะไปอย่างไร ใช้เวลาไหน เวลา เทา่ ไหร่ มเี ครอื่ งมอื ทจ่ี ะเกบ็ ขอ้ มลู อยา่ งไร และจะท�ำ อยา่ งไรใหเ้ กดิ ความปลอดภยั และจะน�ำ เสนอในสง่ิ ที่เรียนรู้อยา่ งไร เปน็ ต้น 2.2 เรียนรู้ด้วยการลงมือทำ�/ทำ�งานร่วมกันเป็นกลุ่ม หัวใจหลักของ กระบวนการเรยี นรู้แบบ Active Learning คอื ผู้เรยี นได้เรยี นรู้ดว้ ยการลงมือท�ำ จะเกิดประสบการณ์ตรง คิดเปน็ ท�ำ เปน็ แกป้ ัญหาได้ จนสามารถสรา้ งนวตั กรรม วารสารวิชาการ 29

(Innovation) เพ่ือนำ�ไปสไู่ ทยแลนด์ 4.0 เมอ่ื ไดล้ งมือปฏบิ ตั ผิ ู้เรยี นจะจ�ำ ความรู้ ได้แม่นและนานกว่าการท่องจำ� เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สามารถรักษา ผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้มากและนานกว่ากระบวนการเรียนรู้แบบไม่ได้ลงมือ ปฏิบตั ิ (Passive Learning) นอกจากนถ้ี า้ กระบวนการลงปฏบิ ตั เิ พอื่ การเรียนรู้ ครไู ดอ้ อกแบบการท�ำ งานรว่ มกนั เปน็ กลมุ่ ผเู้ รยี นจะเกดิ การเรยี นรใู้ นกระบวนการ กลุ่ม ซงึ่ สอดคล้องกับสภาพสังคมในปัจจบุ ัน เพราะทุกคนต้องอย่ใู นสงั คมทม่ี ที ัง้ ความคิดแตกตา่ ง ต่างชนชาติ ตา่ งวัฒนธรรม ต่างภาษา เปน็ ต้น การจดั กจิ กรรม การเรยี นรจู้ ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นใชค้ วามสามารถเฉพาะตวั ในการรว่ มมอื กนั แกป้ ญั หาตา่ ง ๆ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ วางแผนในการทำ�งานร่วมกัน รู้จักวิธีการทำ�งานกลุ่ม การชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ตามความสามารถของแตล่ ะคน ตลอดจนมปี ฏสิ มั พนั ธ์ ท่ีดีต่อกัน เพื่อให้บรรลุผลสำ�เร็จตามเป้าหมายโดยสมาชิกในกลุ่มตระหนักว่า แต่ละคนเป็นส่วนหนึง่ ของกล่มุ 2.3 นำ�เสนอผลงาน แสดงชิ้นงานหรือนวัตกรรม เมื่อผู้เรียนได้ลงมือ ปฏบิ ตั ิกิจกรรมเกิดการเรียนรู้ จะเกดิ ช้ินงานต่าง ๆ หรอื เกิดนวัตกรรม ที่ผู้เรียน ได้ลงมือทำ�ข้ึน ครูต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ด้านการนำ�เสนอข้อมูล ด้านการ ส่ือสาร กล้าแสดงออก ตลอดจนสร้างความม่ันใจให้กับผู้เรียน โดยให้นำ�เสนอ ช้ินงาน ทั้งเป็นกลุ่ม หรืองานเด่ียวก็ได้ นอกจากน้ีแล้วการติดชิ้นงานเพ่ือแสดง ผลงานของผู้เรียนยังเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้เรียนอีกทางหนึ่ง ในช่วงน้ีครสู ามารถชืน่ ชม ชมเชยผูเ้ รียนเพ่ือสรา้ งความมั่นใจในตนเอง พรอ้ มทงั้ เพ่ิมองค์ความรตู้ า่ ง ๆ จากชิ้นงานทนี่ ำ�เสนอ สอดแทรกความรู้ท่ีผเู้ รียนยังไปไม่ถงึ และบูรณาการวชิ าอื่น ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ ดังนั้น ในหอ้ งเรยี นทกุ ห้องของ โรงเรียนบ้านทงุ่ ยาวค�ำ โปรยจึงเตม็ ไปด้วยชิ้นงาน/ผลงานของผู้เรยี น 30 วารสารวชิ าการ

3. สรุปบทเรยี นและสะทอ้ นผล (After Action Review : AAR) การสรปุ บทเรยี นและการสะทอ้ นผลเปน็ การประเมนิ การเรยี นรอู้ ยา่ งหนงึ่ ถา้ จะใหเ้ กดิ ผลดที สี่ ดุ ตอ้ งสะทอ้ นผลทนั ทหี ลงั จากการจดั กจิ กรรมเสรจ็ ทโี่ รงเรยี น บา้ นทงุ่ ยาวคำ�โปรย จะมีการสะทอ้ นผลการสอนของครกู บั นกั เรยี น และนักเรียน กับนักเรียน ในช่วงการนำ�เสนอผลงานหรือหลังนำ�เสนอผลงานก็ได้แล้วแต่ครู จะออกแบบกจิ กรรม สว่ นการสะทอ้ นผลของผบู้ รหิ ารกบั ครู ครกู บั ครู จะมกี ารสงั เกต การสอนของเพื่อนครูและมีการสะท้อนผลทันทีหลังจากสังเกตการสอนเสร็จ เปน็ กระบวนการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ครผู สู้ อนจะประเมนิ ตนเองโดยการเลา่ ใหเ้ พอื่ นฟงั กอ่ นวา่ วนั นส้ี อนแลว้ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี งั้ ไวห้ รอื ไม่ อยา่ งไร  มอี ะไรทค่ี วรเพม่ิ เตมิ อกี และประเมินตนเอง หลังจากนั้นเพื่อนครูจะชื่นชมให้กำ�ลังเพ่ือน แล้วจึงให้ ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เตมิ วา่ ควรปรบั แกต้ รงไหนเพอ่ื ใหด้ ยี งิ่ ขน้ึ สง่ิ ทเี่ ราไดเ้ รยี นรจู้ ากการ สะทอ้ นผลคอื ตวั ครผู สู้ อนมคี วามมนั่ ใจในการสอนมากขนึ้ และไดป้ รบั กระบวนการ สอนของตัวเอง ส่วนครูผู้สังเกตการณ์ก็ได้เรียนรู้กระบวนการสอนจากเพ่ือน วารสารวชิ าการ 31

มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเสนอแนะต่าง ๆ ร่วมกัน ที่สำ�คัญที่สุดคือครูทุกคน เปดิ ใจยอมรบั ขอ้ เสนอแนะซง่ึ กนั และกนั เกดิ การเรยี นรทู้ ห่ี นา้ งานของตนเองจรงิ ๆ ผลที่เกดิ ข้ึนจากการพฒั นาด้วยกระบวนการเรียนรู้ แบบ Active Learning การเรียนรู้ด้วยกระบวนการลงมือท�ำ ผู้เรียนจะเกิดประสบการณ์ตรง เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติแล้วใช้ความผิดพลาดท่ีเกิดข้ึนเป็นบทเรียนส�ำคัญ ในการแก้ปัญหาและปรับปรุงให้ดีขึ้น ผู้เรียนมีการปฏิบัติสัมพันธ์กับส่ิงต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ท�ำให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ มากมายผู้เรียนคิดเป็น ท�ำเป็น แกป้ ญั หาได้ เมอื่ ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ผิ เู้ รยี นจะจ�ำความรไู้ ดแ้ มน่ และนานกวา่ การทอ่ งจ�ำ เกิดความคดิ สร้างสรรคใ์ หม่ ๆ ครตู ้องลดบทบาทในการสอนและถ่ายทอดความรู้ แบบสอนวิชา แต่ไปเพ่ิมวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในยุคใหม่ให้เรียนโดยลงมือท�ำ ฝกึ ใหป้ ฏบิ ตั จิ รงิ และมกี ารแลกเปลยี่ นกบั ผอู้ น่ื แตไ่ มค่ วรปลอ่ ยใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรเู้ อง ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของผู้เรียน สามารถ ประเมินผู้เรียนแต่ละคนได้ว่ามีพ้ืนความรู้เพียงใด เพื่อออกแบบการเรียนรู้ ท่ีแตกตา่ งกนั และประเมนิ ความก้าวหน้าของผู้เรยี นแตล่ ะกล่มุ เปน็ ดังนัน้ ครตู ้อง เป็น “ผู้อ�ำนวยการเรียนรู้ (Coach) หรือผ้ชู แ้ี นะ” ซ่งึ เปน็ การเปล่ยี นแปลงจาก การศกึ ษาหรือการเรยี นรทู้ ม่ี ี “ครู” เปน็ หลกั ไปเป็น“นกั เรียน” เป็นหลัก ดังน้นั การเรยี นรู้จงึ จะต้องเรียนใหเ้ ลยจากเน้อื หา หลายสว่ นก็ไม่จ�ำเป็นต้องสอนผเู้ รียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เอง แต่ต้องสร้าง “ทักษะและคุณลักษณะเด็กไทยใน ศตวรรษที่ 21 เพ่ือให้สอดคล้องกับโมเดลประเทศไทย 4.0” กับตัวของผู้เรียน ขึ้นมาใหไ้ ด้ จะเกิดทักษะผเู้ รียนตอ้ งลงมอื ท�ำ และถ้าท�ำซ้�ำ ๆ บ่อย ๆ จะเกิดความ ช�ำนาญในท่ีสุด โดยจะต้องมีการเรียนที่เรียกว่า Transformative Learning 32 วารสารวิชาการ

คือ เรียนเพ่ือให้เกิดการเปล่ียนแปลงภายในตนเอง การเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ในยุคไทยแลนด์ 4.0 จึงเป็นการเรียนรู้ร่วมกันมากกว่าการเรียนรู้แบบตัวใคร ตัวมัน (Individual Learning) เพราะการเรียนรู้แบบใหม่ต้องเป็นการเรียนรู้ที่ แบง่ ปนั กนั ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู กนั การเรยี นในปจั จบุ นั ควรใหผ้ เู้ รยี นไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั แิ ละ ลงมือท�ำพร้อมเรียนทฤษฎไี ปพร้อม ๆ กัน ไมใ่ ช่แยกสว่ นกันเรยี น เอกสารอ้างองิ วจิ ารณ์ พานชิ . (2555). วถิ สี รา้ งการเรยี นรเู้ พอ่ื ศษิ ยใ์ นศตวรรษท่ี 21. กรงุ เทพฯ :   มลู นธิ สิ ดศรี - สฤษดิ์วงศ์. วทุ ธศิ ักด์ิ โภชนุกลู . (2558). ภาวะผ้นู ำ�และนวตั กรรมทางการศึกษา. ภาควชิ าเทคโนโลยี การศกึ ษาคณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ http://www.pochanukul.com/?p=169#more-169 สบื ค้นเม่อื 3 เมษายน 2558 สำ�นักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579. กรงุ เทพฯ : ส�ำ นักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. Bonwell. (1991).  Active Learning: Creating Excitement in the Classroom. Clearinghouse on Higher Education, George Washington University, Washington DC. Edgar Dale.  (1969).  Audio – Visual Methods in Teaching. 3rd ed., Holt, Rinehart & Winston,  New York. Felder, R. and Brent, R. (1996). Navigating the Bumpy Road to Student- Centered Instruction. Journal of College Teaching, Vol. 44. Meyers, C. and Jones, T. (1993).  Promoting Active Learning : Strategies for the College Classroom. San Francisco : Jossey-Bass. วารสารวชิ าการ 33

คุรสุ ภาว�ทยาจารย JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT (Online) ISSN 2730-1788 »‚·èÕ 1 ©ººÑ ·èÕ 2 ¾ÄÉÀÒ¤Á - Ê§Ô ËÒ¤Á 2563 Êӹѡ§Ò¹àÅ¢Ò¸Ô¡ÒäØÃØÊÀÒ www.ksp.or.th

ครุ สุ ภาวทิ ยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 สารบัญ 1 บทความวิชาการ 13 การออกแบบการศกึ ษาในชีวติ วิถีใหม:่ ผลกระทบจากการแพรร่ ะบาด COVID-19 27 41 บทควารมอวงจิศายั สต ราจารย์ ดร.เทอ้ื น ทองแกว้ 51 การพัฒนารปู แบบกลไกและระบบการคัดกรองผู้ประกอบวชิ าชีพครู ตามมาตรฐานวิชาชีพของคุรสุ ภา 62 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พชิ ญาภา ยืนยาว ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์วรรณี สุจจติ ร์จูล 78 ดร.ธีรวธุ ธาดาตันติโชค ดร.ณฐั วรรณ พุ่มดยี งิ่ และพนม จองเฉลมิ ชยั การพัฒนากระบวนทศั น์ รูปแบบและกลไกการพัฒนาครู 89 ในลักษณะเครือข่ายเชิงพ้นื ท่ี 5 พ้นื ท่ี 97 ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ชญาพมิ พ์ อสุ าโห และคณะ 107 การบริหารสถานศกึ ษาทสี่ ่งผลต่อประสิทธผิ ลของสถานศกึ ษา สงั กดั ส�ำนักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาอุดรธานี เขต 3 บญั ชา พพิ ฒั นมงคลกจิ ดร.อดศิ ร ศรเี มอื งบญุ และผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธรี ะเดช จริ าธนทตั การพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นเร่ืองตัวกลางของแสงด้วยกระบวนการเรยี นรู้ แบบ CO-5 STEPs โดยใช้วธิ กี ารพฒั นาบทเรียนร่วมกันผา่ นชมุ ชนแห่งการเรียนรู้ ทางวชิ าชพี สำ� หรบั นักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4 ภคนันท์ แช่มรัมย ์ แนวทางและบทบาทการมีสว่ นร่วมในการส่งเสรมิ สงั คมแห่งการเรียนรู้ เพอ่ื ความพอเพยี ง ของโรงเรยี นบ้านดา้ ยเทพกาญจนาอปุ ถัมภ์ ดร.ธนเสฏฐ สุภากาศ รองศาสตราจารย์ ดร.พร้อมพไิ ล บวั สุวรรณ และผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.สุดารตั น์ สารสวา่ ง รปู แบบการบริหารจดั การโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวคำ� โปรยโมเดล ดร.กัมพล เจริญรกั ษ ์ การใช้โปรแกรม GeoGebra ประกอบการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ตู ามแนวคดิ คอนสตรคั ติวิสต์ เพื่อพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เร่อื ง พาราโบลา ส�ำหรบั นักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 ทนงศักดิ์ กนั ใส การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียนรแู้ บบเชงิ รกุ วิชาเคมี เรือ่ ง ปริมาณสมั พันธ์ โดยใช้ส่ือสงั คมออนไลน์ Facebook และ Google Classroom ควบคู่กับการสอนปกติ สนุ ทร พลเรอื ง การจดั การเรยี นร้โู ดยใช้โครงการเป็นฐาน เพือ่ การพฒั นาทักษะเดก็ และเยาวชน ในศตวรรษที่ 21 ผ่านภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ การท�ำสับปะรดกวน อศั วลกั ษ์ ราชพลสทิ ธิ์ และผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.พมิ พ์ปวีณ์ สวุ รรณโณ ครุ ุสภาวทิ ยาจารย์ จ

คุรสุ ภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 รปู แบบการบริหารจัดการโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล A School Health Management Model: Thungyaokhumproy Model ดร.กมั พล เจริญรกั ษ*์ บทคัดยอ่ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรย โมเดลทีม่ ีคณุ ภาพ มขี ัน้ ตอนดำ� เนินการวิจยั 3 ระยะ คอื ระยะที่ 1 การพัฒนารปู แบบการบริหารจัดการโรงเรียน สขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล ระยะที่ 2 การศกึ ษาผลการใชร้ ปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาว ค�ำโปรยโมเดล และระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู ประกอบดว้ ย ครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผปู้ กครอง นกั เรยี น ศกึ ษานเิ ทศก์ นกั วชิ าการจากมลู นธิ ิ สถาบนั วจิ ยั ระบบการศกึ ษา และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ แบบสมั ภาษณก์ ง่ึ โครงสรา้ ง แบบสังเกตและจดบันทึก แบบประเมินความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้อง ครอบคลมุ ของรูปแบบ ข้อมูลเชงิ ปรมิ าณวเิ คราะหด์ ้วยสถิติพน้ื ฐาน ข้อมลู เชิงคุณภาพใช้การวเิ คราะห์เนือ้ หา ผลการวจิ ยั พบวา่ รปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดลทพี่ ฒั นาขนึ้ ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอน 7 ป. ปัจจัยสู่ความส�ำเร็จ ดังนี้ 1) ปัจจัยน�ำเข้า คือ ป.1-เป้าหมายร่วมกัน ป.2-เปิดโอกาส และ ป.7-ปฏบิ ัตใิ หเ้ ป็นประจำ� 2) กระบวนการ คอื ป.3-ปรับวธิ เี รียนเปล่ียนวิธีสอน ป.4-เป็นทมี และ ป.5-ปฏิบัติงาน แบบร่วมมอื 3) ผลผลติ คอื ป.6-ปฏิบัตทิ ม่ี งุ่ ผลสัมฤทธิ์ และ 4) ขอ้ มูลยอ้ นกลบั ผลการใช้รปู แบบ พบว่า สุขภาวะ ด้านผู้เรียน ด้านโรงเรียน ด้านสภาพแวดล้อม และด้านชุมชน อยู่ในระดับดีเย่ียม และรูปแบบมีความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ความถูกต้องครอบคลมุ และความเปน็ ประโยชน์ อยู่ในระดบั มาก ตามล�ำดบั ค�ำสำ� คญั : โรงเรียนสขุ ภาวะ, ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล, 7 ป. ปจั จยั สู่ความส�ำเรจ็ Abstract The main objective of this research was to develop school health management model: Thungyaokhamproy model. The research process had 3 phases: Phase 1 - to develop school health management model: Thungyaokhamproy model, Phase 2 - to study results of school health management model: Thungyaokhamproy model, and Phase 3 - to evaluate the school health management model: Thungyaokhamproy model. Informants consisted of teachers, school boards, parents, students, supervisors, academicians from Institute for Research on Education System Foundation and experts. The instruments used in this study were a semi-structured *รองผอู้ ำ� นวยการส�ำนกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษา วิทยฐานะชำ� นาญการพเิ ศษ สำ� นักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาระยอง เขต 2 78 คุรสุ ภาวิทยาจารย์

ครุ สุ ภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปที ่ี 1 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 interview, an observation and record form, and an assessment form of benefit, possibility, suitability, and propriety of the model. Quantitative data and qualitative data were analysed by descriptive statistics and content analysis, respectively. The results revealed that the developed school health management model: Thungyaokhamproy model comprised 4 processes with 7 points to success factors. They were: 1) input consisted of P.1-common goal, P.2-giving an opportunity, and P.7-practice regularly; 2) Process consisted of P.3-changing how to study and teach, P.4-teamwork, and P.5-practice participation; 3) Output was P.6-practice to aim on achievement; and 4) Feedback. Study. The results of school health management model: Thungyaokhamproy model found that aspects on Student health, School health, Environment health, Family health, and Community health were at an excellent level. The model was rated rated at a high level on the aspects of possibility, suitability, propriety, and benefit, respectively. Keywords: School Health, Thungyaokhumproy Model, 7 points to Success Factors. ความเป็นมาและความส�ำคัญของปญั หา โรงเรยี นบา้ นทงุ่ ยาวคำ� โปรยเปดิ ทำ� การสอนตงั้ แตอ่ นบุ าลปที ่ี 2 ถงึ ประถมศกึ ษาปที ่ี 6 นกั เรยี น จำ� นวน 181 คน มขี า้ ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศกึ ษา จำ� นวน 14 คน ตงั้ อยตู่ ำ� บลละลาย อำ� เภอกนั ทรลกั ษ์ จงั หวดั ศรสี ะเกษ ตดิ กบั ชายแดนไทย–กมั พชู า หา่ งจากชายแดน 8 กโิ ลเมตร สภาพความเปน็ อยโู่ ดยทว่ั ไปผปู้ กครองมฐี านะยากจน มอี าชพี ทางเกษตรกรรมและรบั จา้ งเปน็ สว่ นใหญ่ นกั เรยี นอยกู่ บั ปู่ ยา่ ตา ยาย หรอื ญาตพิ น่ี อ้ ง ขาดความดแู ลเอาใจใส่ จากผู้ปกครองเท่าท่ีควร นักเรียนมีภาวะทุพโภชนาการ นอกจากน้ีแล้วหมู่บ้านทุ่งยาวและหมู่บ้านค�ำโปรย ใชภ้ าษาถนิ่ (ภาษาเขมร) คดิ เปน็ รอ้ ยละ 95 จงึ มปี ญั หาสำ� คญั ในการสอื่ สารภาษาไทย ครใู ชว้ ธิ กี ารสอนตามหนงั สอื ไมอ่ อกแบบกระบวนการเรยี นรู้ใหม่ ๆ นกั เรยี นไมม่ ีความสุขในการเรียน ไม่อยากมาโรงเรยี น ขาดทกั ษะท่สี ำ� คญั ในศตวรรษท่ี 21 ทำ� ใหโ้ รงเรียนไม่สามารถส่งเสรมิ หรอื พฒั นาคณุ ภาพของนกั เรยี นและครไู ด้อย่างเต็มศักยภาพ ผวู้ จิ ยั จงึ สนใจทจี่ ะพฒั นารปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล โดยนำ� 7 ป. ปัจจัยสู่ความส�ำเร็จ และทฤษฎีระบบ (System Theory) มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนานวัตกรรม เพ่ือให้เกิด สขุ ภาวะทคี่ รอบคลมุ และบรู ณาการทง้ั มติ ขิ องกาย ใจ สงั คม และปญั ญาของผเู้ รยี น พฒั นาครใู หเ้ ปน็ “ผจู้ ดั การเรยี นร”ู้ หรอื “โคช้ ” โดยพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษาและใชก้ ระบวนการเรยี นรทู้ ค่ี รตู อ้ งออกแบบการเรยี นรรู้ ว่ มกนั ไดแ้ ก่ เตรยี มผเู้ รยี นสกู่ ระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยจติ ศกึ ษา การจดั กระบวนการเรยี นรเู้ ชงิ รกุ การบรู ณาการการเรยี นรโู้ ดยใช้ ปญั หาเปน็ ฐาน และกระบวนการพฒั นาครโู ดยใชช้ มุ ชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชพี นำ� ไปสกู่ ารเสรมิ สรา้ งทกั ษะทส่ี ำ� คญั ในศตวรรษท่ี 21 โดยการมสี ่วนรว่ มของครอบครัวและชุมชนตลอดจนหนว่ ยงานอ่นื ๆ ท่ีเก่ียวข้อง คุรุสภาวิทยาจารย์ 79

ครุ สุ ภาวทิ ยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 วัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย 1. เพอื่ พัฒนารูปแบบการบริหารจดั การโรงเรยี นสุขภาวะ: ทงุ่ ยาวค�ำโปรยโมเดล 2. เพือ่ ศกึ ษาผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล 3. เพื่อประเมินรูปแบบการบรหิ ารจัดการโรงเรยี นสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล วิธีดำ� เนนิ การวิจยั แบบแผนการวิจยั การวิจัยรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) ท่ีมุ่งพัฒนาการบริหารจัดการโรงเรียนบ้านทุ่งยาวค�ำโปรยโดยเฉพาะ ใชร้ ะเบยี บวธิ วี จิ ยั ผสมผสานทง้ั วจิ ยั เชงิ คณุ ภาพและวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณ และเปน็ กรณศี กึ ษาเฉพาะทโ่ี รงเรยี นบา้ นทงุ่ ยาว ค�ำโปรย ผ้วู จิ ัยแบ่งการดำ� เนินการวิจยั เปน็ 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 การพฒั นารูปแบบการบริหารจดั การโรงเรียนสุขภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ 1) ครูผู้สอน จ�ำนวน 4 คน กรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน จ�ำนวน 3 คน ผู้ปกครองนักเรียน จ�ำนวน 5 คน นักเรียน จ�ำนวน 6 คน (ป.4-6) และศึกษานิเทศก์ประจ�ำกลุ่มโรงเรียน จำ� นวน 2 คน จ�ำนวนรวมทงั้ หมด 20 คน โดยวิธกี ารการเลือกแบบเจาะจง 2) ผูท้ รงคุณวฒุ ิ จ�ำนวน 5 คน เครอ่ื งมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมูล ไดแ้ ก่ 1. แบบสัมภาษณก์ ่ึงโครงสร้าง มวี ิธีด�ำเนินการ ดงั นี้ 1.1 ผวู้ จิ ยั กำ� หนดจดุ มงุ่ หมายของการสมั ภาษณใ์ หช้ ดั เจน คอื เพอ่ื ศกึ ษาสภาพปจั จบุ นั ปญั หาและ ความต้องการของโรงเรียน เตรียมแนวค�ำถาม แบบบันทึก ตลอดจนอุปกรณ์อื่น ๆ ท่ีจะต้องใช้ในการสัมภาษณ์ ให้พร้อม 1.2 นดั หมายผูถ้ ูกสัมภาษณล์ ่วงหน้า กำ� หนดชว่ งเวลาท่จี ะใช้สมั ภาษณ์ สถานที่ วิธกี ารสัมภาษณ์ โดยผวู้ จิ ยั ทำ� หนงั สอื แจง้ ผทู้ จี่ ะสมั ภาษณ์ ดงั น้ี 1) สมั ภาษณค์ รู จำ� นวน 4 คน เปน็ การสมั ภาษณร์ ายบคุ คล ซง่ึ เปน็ หวั หนา้ ฝ่ายงานท้ัง 4 ฝ่ายของโรงเรียน ในวันที่ 5-6 กรกฎาคม 2559 2) สัมภาษณ์กรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน จำ� นวน 3 คน เปน็ การสมั ภาษณร์ ายบคุ คล ในวนั ท่ี 12 กรกฎาคม 2559 3) สมั ภาษณผ์ ปู้ กครองนกั เรยี น จำ� นวน 5 คน เปน็ การ สมั ภาษณแ์ บบกลมุ่ ในวนั ที่ 14 กรกฎาคม 2559 4) สมั ภาษณน์ กั เรยี น จำ� นวน 6 คน เปน็ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา ปที ี่ 4-6 ชน้ั ละ 2 คน เปน็ การสมั ภาษณแ์ บบกลมุ่ ในวนั ที่ 15 กรกฎาคม 2559 และ 5) สมั ภาษณศ์ กึ ษานเิ ทศกป์ ระจำ� กลมุ่ โรงเรียน จำ� นวน 2 คน เปน็ การสัมภาษณ์รายบคุ คล ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2559 การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีแนวค�ำถามสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้าง ซ่ึงผู้วิจัยจะทราบได้จากการสัมภาษณ์โดยใช้แนวค�ำถามท่ีถามเก่ียวกับแนวคิด ประสบการณ์จากวิธีด�ำเนินการ ของโรงเรยี น ความตอ้ งการจำ� เปน็ ในการเปลย่ี นแปลงโรงเรยี นและระบปุ ญั หาทตี่ อ้ งการแกไ้ ขหรอื พฒั นาในโรงเรยี น การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผู้วิจยั นำ� ข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการสัมภาษณ์มาท�ำการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงเนอ้ื หา โดยการ วิเคราะห์สรุปตามประเด็นตามสภาพปัจจุบัน และข้อค้นพบจากการสัมภาษณ์ แล้วน�ำมาวิเคราะห์สรุปรวม ตามประเดน็ การพัฒนาโรงเรยี นสขุ ภาวะ 80 ครุ ุสภาวทิ ยาจารย์

คุรุสภาวทิ ยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 2. แบบสังเกตและการจดบันทึก วิธีด�ำเนินการในการสังเกตและจดบันทึกโดยผู้วิจัยสังเกตการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยการสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูและเด็กนักเรียนที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตั้งแต่การรับนักเรียน เข้าแถวเคารพธงชาติ กิจกรรมเตรียมผู้เรียนสู่กระบวนการเรียนรู้ด้วยจิตศึกษา การจัด กระบวนการเรียนรู้ด้วย Active Learning และการจัดการกระบวนการเรียนรู้บูรณาการแบบ PBL และสังเกต จากบริบทโดยท่ัวไปของโรงเรียน ท้ังสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียน ทรัพยากรและส่ิงอ�ำนวย ความสะดวกของครู นกั เรยี นใชเ้ วลาเกบ็ ขอ้ มลู ในการสงั เกตและจดบนั ทกึ 5 วนั ระหวา่ งวนั ท่ี 25 กรกฎาคม 2559 ถงึ วนั ที่ 29 กรกฎาคม 2559 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผูว้ จิ ัยสังเกตและจดบนั ทกึ แล้วนำ� มาวิเคราะห์ สังเคราะห์แบบสามเสา้ รวมกับ การสมั ภาษณผ์ ู้ท่มี ีส่วนได้ส่วนเสยี ตามประเดน็ ทก่ี ำ� หนดในกรอบแนวคิดการวิจัย การวิเคราะหข์ ้อมลู ใช้การวิเคราะห์ข้อมลู เชิงเนอ้ื หา (Content Analysis) โดยการวิเคราะห์สรปุ ตาม ประเด็น ตามสภาพปัจจบุ นั และข้อคน้ พบ แล้วน�ำมาวเิ คราะห์สรุปรวม เพื่อพฒั นาร่างรูปแบบการบรหิ ารจดั การ โรงเรียนสขุ ภาวะ: ทุง่ ยาวคำ� โปรยโมเดล กอ่ นนำ� ไปวิพากษ์ตอ่ ไป 3. รา่ งรปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล มกี ารดำ� เนนิ การดงั น้ี 1) การคดั เลอื ก ผู้เข้าร่วมวิพากษ์ เพ่ือพิจารณาร่างรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล ผู้วิจัย ใชห้ ลักการเลอื กผู้เข้าร่วมวพิ ากษโ์ ดยวธิ กี ารเลอื กแบบเจาะจง เพ่ือให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิ จ�ำนวน 5 คน ที่มคี ณุ สมบัติ ท่ีเหมาะสม 2) เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ประเด็นค�ำถามในการวิพากษ์ เครื่องบันทึกเสียง การสนทนา และการจดบนั ทกึ ขอ้ มลู สำ� หรบั ผจู้ ดบนั ทกึ วพิ ากษ์ 3) กลมุ่ ผดู้ ำ� เนนิ การจดั การวพิ ากษ์ ไดแ้ ก่ ผดู้ ำ� เนนิ การ สนทนา (Moderator) จ�ำนวน 1 คน ผู้จดบันทึกการสนทนา (Note-taker) จ�ำนวน 2 คน และผู้บริการท่ัวไป (Provider) จ�ำนวน 1 คน รวม จ�ำนวน 4 คน และ 4) การด�ำเนินการวพิ ากษ์ ผู้วิจยั จัดเตรียมสถานทแ่ี ละอุปกรณ์ ทจี่ ะใช้ในการวพิ ากษ์ใหพ้ รอ้ มกอ่ นผเู้ ข้าร่วมสนทนาจะเดินทางมาถงึ โดยด�ำเนินการในวันท่ี 28 กนั ยายน 2559 การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผวู้ จิ ยั ดำ� เนนิ การสรปุ จากความคดิ เหน็ ของผดู้ ำ� เนนิ การสนทนา ผจู้ ดบนั ทกึ และ จากการสังเกตของผวู้ จิ ยั เพ่อื การตรวจสอบข้อมูลและพฒั นากรอบประเด็นในการวิเคราะหข์ ้อมลู เบือ้ งต้น การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้วิธีถอดรายละเอียดจากเทปบันทึกการวิพากษ์ โดยตรวจสอบกับบันทึก การสนทนาทผ่ี จู้ ดบนั ทกึ ไดจ้ ดไว้ ซงึ่ การถอดเทปจะถอดรายละเอยี ดทกุ คำ� พดู และบรรยากาศในการสนทนาลงไปดว้ ย ทง้ั น้ีเพื่อใชป้ ระกอบในขัน้ ตอนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู นำ� ไปปรบั ปรุง เพอ่ื น�ำไปทดลองใช้ในระยที่ 2 ตอ่ ไป ระยะที่ 2 การศกึ ษาผลการใชร้ ูปแบบการบริหารจดั การโรงเรียนสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ 1) กรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานและกรรมการที่ปรึกษา จ�ำนวน 12 คน 2) ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา จำ� นวน 13 คน (ไม่นับรวมผวู้ จิ ยั ) 3) นักเรยี น จำ� นวน 181 คน 4) ผูป้ กครอง จำ� นวน 158 คน 5) ศึกษานิเทศก์ จำ� นวน 2 คน และ 6) นักวิชาการจากมลู นิธสิ ถาบนั วิจัยระบบการศกึ ษา (IRES) จ�ำนวน 5 คน ซึง่ ได้จากการเลอื กแบบเจาะจง เครอื่ งมอื ทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ไดแ้ ก่ 1. รปู แบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล 2. แบบประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษาโรงเรยี นสขุ ภาวะ ดดั แปลงมาจากเครอื่ งมอื การประเมนิ ผลโรงเรยี น สขุ ภาวะ (มลู นธิ สิ ถาบนั วจิ ยั ระบบการศกึ ษา, 2560: น.127-134) ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย 5 องคป์ ระกอบ 32 ตวั บง่ ช้ี ครุ สุ ภาวทิ ยาจารย์ 81

ครุ ุสภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีที่ 1 ฉบบั ที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 วธิ ีด�ำเนินการทดลอง จากระยะท่ี 1 ผู้วิจยั มกี ารด�ำเนนิ การรูปแบบการบริหารจดั การโรงเรียนสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล ประกอบดว้ ย 4 ข้ันตอน 7 ป. ได้แก่ 1) ปัจจัยน�ำเขา้ (Input) คือ ป.1 เป้าหมายร่วมกนั (Goal) ป.2 เปดิ โอกาส (Opportunity) โดยรวมถึงสภาพแวดล้อม (Environment) คือ ป.7 ปฏิบัติให้เป็นประจ�ำ (Culture) 2) กระบวนการ (Process) คอื ป.3 ปรับวธิ เี รยี น เปลย่ี นวธิ สี อน (Change) ป.4 เป็นทีม (Team) ป.5 ปฏบิ ตั งิ าน แบบรว่ มมอื (Cooperate) 3) ผลผลติ (Output) คอื ป.6 ปฏบิ ตั ทิ มี่ งุ่ ผลสมั ฤทธ์ิ (Result) และ 4) ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั (Feedback) ซงึ่ สามารถแสดงเปน็ ภาพ 1 ดงั น้ี สภาพแวดล้อม (Environment) ป.7 ปฏิบัติให้เป็นประจ�ำ Input Process Output/Outcome ป.1 เป้าหมายรว่ มกัน ป.3 ปรับวธิ ีเรียนเปลี่ยน ป.6 ปฏบิ ตั ทิ ่มี ุง่ ผลสัมฤทธิ์ (Goal) วิธสี อน (Change) (Result) ป.2 เปดิ โอกาส ป.4 เป็นทีม (Team) (Opportunity) ป.5 ปฏบิ ตั งิ านแบบรว่ มมอื (Cooperate) ขอ้ มลู สะทอ้ นกลบั (Feedback) ภาพ 1 รปู แบบการบรหิ ารจัดการโรงเรียนสขุ ภาวะ: ท่งุ ยาวค�ำโปรยโมเดล รปู แบบการบริหารจดั การโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวคำ� โปรยโมเดล มีรายละเอยี ดดงั นี้ ตอนท่ี 1 ปัจจัยน�ำเขา้ (Input) ประกอบด้วย 3 ข้นั ตอน ได้แก่ ป.1 เปา้ หมายรว่ มกนั (Goal) หมายถงึ ผบู้ รหิ ารและครมู เี ปา้ หมายรว่ มกนั คอื การรว่ มกนั กำ� หนด วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมายในการปฏิบัติงานร่วมกันเพ่ือเป็นแนวทางปฏิบัติท่ีชัดเจนในการสร้างการมีส่วนร่วม และก่อให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในการปฏิบัติงานต่าง ๆ ในโรงเรียน เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีสุขภาวะท่ีดี มคี วามม่งุ มัน่ ต้งั ใจเพอ่ื พฒั นาใหโ้ รงเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี คอื เดก็ มีความสุขในการเรยี นรู้ เดก็ เรียนรูแ้ บบ Active Learning มที กั ษะสำ� คญั จำ� เปน็ ในโลกศตวรรษที่ 21 ครทู ำ� งานอยา่ งมคี วามสขุ เปน็ องคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ ผ้ปู กครองมคี วามพึงพอใจต่อการจดั การศึกษา 82 ครุ ุสภาวทิ ยาจารย์

คุรุสภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 ป.2 เปดิ โอกาส (Opportunity) หมายถงึ การเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ไดแ้ ก่ นกั เรียน ครู ผู้ปกครอง ชมุ ชน กรรมการสถานศึกษาข้นั พน้ื ฐานและกรรมการทป่ี รกึ ษา ฯ มสี ่วนร่วมในการพัฒนาโรงเรยี น สู่ความส�ำเร็จ โดยร่วมวางแผน ร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมท�ำ ร่วมรับผิดชอบ ถอดบทเรียนร่วมกัน และร่วม ภาคภมู ใิ จในความสำ� เรจ็ เพราะทกุ ฝา่ ยมคี วามคดิ เปน็ หนง่ึ เดยี ววา่ โรงเรยี นเปน็ ของทกุ คนและทกุ คนเปน็ “เจา้ ของ โรงเรียนร่วมกัน” จึงเกิดความตระหนัก เชื่อม่ันศรัทธาและร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มท่ีในการพัฒนาคุณภาพของ โรงเรยี น สภาพแวดลอ้ ม (Environment) ป.7 ปฏิบัติใหเ้ ปน็ ประจ�ำ (Culture) หมายถึง โรงเรยี นสร้างวฒั นธรรมองค์กร หรอื สร้างวถิ ีชมุ ชน โดยการปฏบิ ตั งิ านตา่ ง ๆ ทด่ี ใี หส้ มำ�่ เสมอเปน็ ปกตปิ ระจำ� สรา้ งบรรยากาศใหเ้ ออ้ื ตอ่ การเรยี นรู้ สรา้ งวถิ กี ารทำ� งาน รว่ มกนั อยา่ งมคี วามสขุ โดยมขี อ้ ตกลงรว่ มกนั สรา้ งวถิ กี ารเรยี นรสู้ งิ่ ใหม่ ๆ เพอ่ื พฒั นาเดก็ พฒั นาตนเอง การปฏบิ ตั ิ อยา่ งสมำ่� เสมอคงเสน้ คงวาและตอ่ เนอื่ ง เสรมิ แรงดา้ นบวกระหวา่ งครกู บั นกั เรยี น ครกู บั ครู ครกู บั ผบู้ รหิ าร ครกู บั ผู้บริหารกับชุมชน ถอดบทเรียนร่วมกันระหว่างครู กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กรรมการท่ีปรึกษาและ ผูป้ กครองนักเรยี นจนเปน็ องค์กรแห่งการเรียนรู้ ตอนท่ี 2 กระบวนการ (Process) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ได้แก่ ป.3 ปรับวิธีเรียน เปล่ียนวิธีสอน (Change) หมายถึง ครูเปลี่ยนวิธีสอน ครูเปล่ียนพฤติกรรม จากผบู้ อกความรู้ เปน็ ผจู้ ดั การเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ Active Learning เดก็ มสี ว่ นรว่ มในการวางแผน และออกแบบการเรยี นรู้ ครเู คารพความเป็นมนุษยข์ องผเู้ รียน เข้าใจและรูจ้ กั เดก็ เป็นรายบคุ คล ใชส้ ่อื เทคโนโลยี และเครือข่ายการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เสริมแรงบวก ให้ก�ำลังใจผู้เรียน ลดการเปรียบเทียบ การลงโทษ พฒั นาเตม็ ตามศกั ยภาพของผเู้ รยี น ครทู ไ่ี ดร้ บั การพฒั นาใหเ้ ปน็ ผทู้ ม่ี วี ฒุ ภิ าวะความเปน็ ครู โดยทผี่ บู้ รหิ าร โรงเรียนส่งเสรมิ สนบั สนนุ ใหค้ รเู ป็น “ครผู ู้นำ� ” (Team Learning) ใหม้ ภี าวะผนู้ ำ� ครูสูงขึ้น เพ่อื เปน็ หลกั ในการ พฒั นาผเู้ รยี น ตลอดจนพฒั นาเปน็ ทมี วทิ ยากรในการอบรมพฒั นาผอู้ น่ื หนว่ ยงานอนื่ ๆ เพราะเราเชอ่ื วา่ การลงมอื ปฏบิ ัตจิ รงิ จะเกิดการเรยี นรู้ได้ 70 % แตถ่ ้าครูสามารถสอนหรอื เปน็ โคช้ ให้คนอื่นได้ จะเกิดการเรยี นรถู้ ึง 90 % นอกจากนี้แล้ว ครูเกิดความม่ันใจและเช่ือม่ันศรัทธาในการท่ีจะพัฒนาให้ผู้เรียนมีสุขภาวะที่ดี จึงทุ่มเทแรงกาย แรงใจและอทุ ศิ ตน ในการออกแบบการเรยี นรเู้ พอ่ื พฒั นากระบวนการจดั การเรยี นรใู้ หผ้ เู้ รยี นเกดิ ทกั ษะการเรยี นรู้ และนวัตกรรม ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ ทักษะเทคโนโลยีและสารสนเทศ ซ่ึงเป็นทักษะสำ� คัญจ�ำเป็นในโลก ศตวรรษที่ 21 กระบวนการจัดเรียนรู้มี 3 รูปแบบ (3L) ได้แก่ เตรียมผู้เรียนสู่กระบวนการเรียนรู้ด้วยจิตศึกษา (Mind Learning: ML) กระบวนการเรยี นรูเ้ ชิงรุก (Active Learning: AL) และการบรณู าการการเรยี นรโู้ ดยใช้ ปญั หาเป็นฐาน (Problem based Learning: PBL) ป.4 เป็นทีม (Team) หมายถึง การท�ำงานเป็นทีม การมีส่วนร่วม ต้องเร่ิมจากภาวะผู้น�ำของ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น กลา้ คดิ กลา้ ทำ� กลา้ ตดั สนิ ใจทจ่ี ะเปลยี่ นแปลง มคี วามรบั ผดิ ชอบ เสยี สละ มงุ่ มน่ั ทจี่ ะทำ� ใหส้ ำ� เรจ็ ใช้หลักการระบบบริหารคุณภาพ PDCA การบริหารแบบมีส่วนร่วม การท�ำงานเป็นทีมและการก�ำหนดทิศทาง การทำ� งานทช่ี ดั เจน การกำ� หนดบทบาทหนา้ ทที่ เ่ี หมาะสมกบั ตวั บคุ คล มคี วามเปน็ กลั ยาณมติ รในการทำ� งานกบั ทกุ คน ส่งเสริมและพัฒนาครูให้เป็นผู้น�ำและเป็นวิทยากร มีกระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกันอย่างสม�่ำเสมอ คุรสุ ภาวิทยาจารย์ 83

ครุ ุสภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 (PLC) เปน็ การสอื่ สารใหต้ รงตามเปา้ หมายของทมี สรา้ งความภาคภมู ใิ จในสงิ่ ทร่ี ว่ มกนั ทำ� ไดด้ ี และรว่ มกนั คดิ แกไ้ ข ปรับปรุงส่ิงที่มีปัญหาหรือบกพร่องให้ดีย่ิงข้ึน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้พร้อมรับการเปล่ียนแปลงเตรียมความพร้อม สกู่ ารศกึ ษา 4.0 ท่เี หมาะสมในยคุ ศตวรรษท่ี 21 ป.5 ปฏบิ ตั งิ านแบบรว่ มมอื (Cooperate) หมายถงึ การปฏบิ ตั งิ านแบบรว่ มมอื คอื การปฏบิ ตั งิ าน ร่วมกันของผู้บริหารและครูในงานท่ีได้รับมอบหมายของตนเอง และงานส่วนรวมอย่างเต็มท่ี รวมถึงการสร้าง เครือขา่ ยการปฏบิ ตั งิ านในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ เครือข่ายอย่างเปน็ ทางการและไมเ่ ป็นทางการ เครือขา่ ยระหวา่ ง ระดับช้นั เครือขา่ ยระหว่างโรงเรียนสุขภาวะนอกโรงเรียน เป็นตน้ เพอื่ แลกเปล่ียนองคค์ วามรู้ แนวคดิ และวธิ กี าร ปฏิบัติงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างสมรรถนะของผู้บริหารและครู ตลอดจนการออกแบบการเรียนรู้ รว่ มกนั การสังเกตชนั้ เรยี นเพอ่ื สะท้อนผลการเรียนรู้ของเพ่อื นครู ตอนท่ี 3 ผลผลติ /ผลลัพธ์ (Output/Outcome) ประกอบดว้ ย 1 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ ป.6 ปฏบิ ตั ทิ ม่ี งุ่ ผลสมั ฤทธิ์ (Result) หมายถงึ การปฏบิ ตั ทิ ม่ี งุ่ ผลลพั ธเ์ พอื่ การเรยี นรขู้ องนกั เรยี น และครู คอื การปฏบิ ตั งิ านของผบู้ รหิ ารและครทู เ่ี ปน็ การบรู ณาการกลยทุ ธ์ และวธิ กี ารทห่ี ลากหลายในการบรหิ ารงาน และการจดั กระบวนการเรยี นรู้ รวมถงึ การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมอน่ื ๆ ทน่ี อกเหนอื จากภาระงานทก่ี ำ� หนด เชน่ การพดู คยุ อยา่ งไมเ่ ป็นทางการ การเปน็ แบบอย่างทีด่ โี ดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือให้นักเรียนได้เรยี นร้อู ย่างเต็มท่ีและมีผลสัมฤทธ์ิ บรรลุตามเป้าหมายที่โรงเรียนก�ำหนดไว้ นอกจากน้ีทางโรงเรียนจะมีการยืนยัน ตรวจสอบผู้เรียน ตามมาตรฐานและเปา้ หมายทกี่ ำ� หนดไว้ โดยเฉพาะโรงเรยี นสขุ ภาวะจะเนน้ ผลผลติ ที่ “นกั เรยี นมสี ขุ ภาวะ” โดยเกดิ ผลลัพธข์ องผ้เู รียน 4 ด้าน คือ รา่ งกาย จิตใจ สงั คมและปญั ญา สดุ ท้ายของกระบวนการเรียนรแู้ ตล่ ะชว่ งจะมีการ ชน่ื ชมความส�ำเรจ็ ของผู้เรียน โดยเปดิ ให้นักเรียนแสดงผลงาน แสดงความสามารถของตนเองอย่างเตม็ ท่ี เรยี กวา่ Open House โรงเรยี นจะเชญิ คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานและผ้ปู กครองนกั เรยี นมาเยยี่ มชม ประเมนิ และใหก้ ำ� ลงั ใจลูกหลานของตนเอง ตอนที่ 4 ขอ้ มูลสะท้อนกลบั (Feedback) ขนั้ ตอนนเ้ี ปน็ ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ยของรปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล ทจ่ี ะรบั รถู้ งึ ปญั หาทง้ั หมดจากขอ้ เสนอแนะ ขอ้ คดิ เหน็ ตา่ ง ๆ และคำ� ตชิ ม ซง่ึ จะเปน็ ขอ้ มลู ทจ่ี ะสะทอ้ นกลบั ใหเ้ หน็ ท้ังจุดด้อยหรือจุดอ่อนและจุดเด่นของการพัฒนางาน ข้ันตอนการปฏิบัติงาน กระบวนการด�ำเนินงาน และ การแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ โดยใชห้ ลกั การวจิ ยั มาบรู ณาการในการศกึ ษาหาแนวทางแกป้ ญั หาเพอ่ื ปรบั ปรงุ พฒั นาตอ่ ไป ตลอดจนการน�ำผู้มีส่วนเก่ียวข้อง ได้แก่ ครู กรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน และ ตวั แทนนกั เรยี นมาถอดบทเรยี นในแตล่ ะปี เมอ่ื สน้ิ ปกี ารศกึ ษา เพอ่ื เปน็ การสะทอ้ นผลการจดั การเรยี นรแู้ ละนำ� ผลนน้ั ไปปรับปรุงพัฒนาใหด้ ยี ง่ิ ข้ึนตอ่ ไป ผู้วิจัยแบ่งการด�ำเนินการระยะท่ี 2 ออกเปน็ 3 วงรอบ ดังน้ี วงรอบท่ี 1 ขนั้ ทดลองใชน้ วตั กรรมทพ่ี ฒั นาขน้ึ ใชร้ ะยะเวลา 2 เดอื น ระหวา่ งวนั ท่ี 1 พฤศจกิ ายน 2559 ถึงวันท่ี 30 ธันวาคม 2559 และเมอ่ื ทดลองใช้นวัตกรรมแลว้ มีการเก็บรวบรวมข้อมูลการใชร้ ปู แบบการบรหิ าร จัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล เพ่ือน�ำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมย่ิงขึ้นก่อนน�ำไปใช้จริง ในวงรอบท่ี 2 84 คุรสุ ภาวทิ ยาจารย์

ครุ ุสภาวทิ ยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 วงรอบที่ 2 ข้ันนำ� ไปใชจ้ รงิ ครั้งทห่ี นึ่ง ปีการศึกษา 2560 ระหวา่ งวันท่ี 16 พฤษภาคม 2560 ถงึ วนั ที่ 30 มนี าคม 2561 วงรอบที่ 3 ขน้ั นำ� ไปใชจ้ รงิ คร้ังทสี่ อง ปกี ารศกึ ษา 2561 ระหวา่ งวันท่ี 16 พฤษภาคม 2561 ถงึ วนั ที่ 29 มีนาคม 2562 การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยการประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารของผทู้ มี่ สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง การแลกเปลย่ี นเรยี นรโู้ ดยชมุ ชนการเรยี นรู้ ทางวิชาชีพ (PLC) สัปดาห์ละ 1 คร้ัง ทุกวันพฤหัสบดี ตลอดจนเม่ือส้ินปีการศึกษามีการถอดบทเรียนของผู้ที่มี สว่ นเก่ยี วข้อง และ 2) แบบประเมนิ ผลการจดั การศกึ ษาโรงเรียนสุขภาวะ ใหค้ รปู ระจำ� ชน้ั เปน็ ผปู้ ระเมนิ นกั เรียน แตล่ ะระดบั ช้นั การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไดแ้ ก่ 1) รปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล ใชว้ ธิ กี าร การวเิ คราะหเ์ นอื้ หา เปน็ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการระดมสมองของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ ง และ 2) แบบประเมนิ ผล การจัดการศึกษาโรงเรียนสุขภาวะ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมส�ำเร็จรูป สถิติท่ีใช้ ได้แก่ ร้อยละ และค่าเฉล่ยี ระยะที่ 3 การประเมินรูปแบบการบริหารจดั การโรงเรยี นสุขภาวะ: ท่งุ ยาวค�ำโปรยโมเดล กลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู ไดแ้ ก่ ผมู้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง จำ� นวน 25 คน คดั เลอื กผปู้ ระเมนิ ทจ่ี ะประเมนิ จากผมู้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง เพอื่ ประเมนิ ความเปน็ ประโยชน์ ความเปน็ ไปได้ ความเหมาะสมและความถกู ตอ้ งครอบคลมุ ผวู้ จิ ยั ใชห้ ลกั การเลอื ก โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) ครูและบุคลากรทางการศึกษา จ�ำนวน 10 คน 2) กรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานและที่ปรึกษาโรงเรียน จ�ำนวน 8 คน และ 3) ผู้เชี่ยวชาญ ดา้ นโรงเรียนสุขภาวะ จ�ำนวน 7 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบประเมินความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซ่ึงประยุกต์ใช้จากเกณฑ์การประเมินท่ีเสนอจาคณะกรรมการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานการประเมินโครงการ ทางการศึกษา 4 มาตรฐาน (Madaus, Scriven and Stufflebeam, 1983: น.399-402) การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1) ผวู้ จิ ยั ทำ� หนงั สอื จากโรงเรยี นบา้ นทงุ่ ยาวคำ� โปรย สง่ ถงึ กรรมการสถานศกึ ษา ขนั้ พนื้ ฐานและทป่ี รกึ ษาโรงเรยี น พรอ้ มทง้ั ผเู้ ชยี่ วชาญทเ่ี ปน็ ผปู้ ระเมนิ รปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ สว่ นครู ผวู้ จิ ยั แจง้ และตดิ ตอ่ ประสานงานภายในโรงเรยี นเพอ่ื ขออนญุ าตบคุ คลดงั กลา่ ว ผวู้ จิ ยั สง่ เอกสารประกอบ การประเมินให้ผู้ประเมิน ฯ ท้ังหมด จ�ำนวน 25 คน 2) เม่ือผู้ประเมินได้ประเมินรูปแบบการบริหารจัดการ โรงเรียนสุขภาวะเรียบร้อยแล้วให้ส่งกลับคืน และ 3) ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ ของผู้มสี ว่ นเกย่ี วข้อง การวเิ คราะหข์ ้อมูล การวิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใชโ้ ปรแกรมส�ำเร็จรปู สถิติท่ีใช้ ไดแ้ ก่ รอ้ ยละ คา่ เฉล่ีย และ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน คุรุสภาวิทยาจารย์ 85

คุรสุ ภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม – สิงหาคม 2563 สรุปผลการวิจยั 1. รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล ประกอบด้วย 4 ข้ันตอน 7 ป. ปจั จยั สคู่ วามสำ� เรจ็ ไดแ้ ก่ 1) ปจั จยั นำ� เขา้ (Input) คอื ป.1 เปา้ หมายรว่ มกนั (Goal) ป.2 เปดิ โอกาส (Opportunity) โดยรวมถึงสภาพแวดล้อม (Environment) คอื ป.7 ปฏิบตั ใิ หเ้ ปน็ ประจำ� (Culture) 2) กระบวนการ (Process) คือ ป.3 ปรับวิธเี รียน เปลยี่ นวิธสี อน (Change) ป.4 เป็นทมี (Team) ป.5 ปฏบิ ตั ิงานแบบร่วมมอื (Cooperate) 3) ผลผลิต (Output) คือ ป.6 ปฏบิ ตั ิทม่ี ุ่งผลสมั ฤทธิ์ (Result) และ 4) ขอ้ มูลย้อนกลบั (Feedback) 2. ผลการใชร้ ปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล โดยการประเมนิ สขุ ภาวะ แต่ละด้าน สรุปได้ดังนี้ 1) ด้านผู้เรียนมีสุขภาวะ พบว่า มีค่าเฉล่ียร้อยละโดยรวมอยู่ในระดับดีเย่ียม 2) ดา้ นโรงเรยี นมีสขุ ภาวะ พบวา่ มคี า่ เฉลี่ยร้อยละโดยรวมอยูใ่ นระดบั ดเี ยี่ยม 3) ด้านสภาพแวดลอ้ มมีสุขภาวะ พบว่า มีค่าเฉลยี่ รอ้ ยละโดยรวมอยู่ในระดับดีเยี่ยม 4) ด้านครอบครวั มีสขุ ภาวะ พบวา่ มีค่าเฉลี่ยร้อยละโดยรวม อยู่ในระดับดีเยย่ี ม และ 5) ดา้ นชมุ ชนมีสขุ ภาวะ พบวา่ มีคา่ เฉลยี่ ร้อยละโดยรวมอยู่ในระดับดีเยย่ี ม 3. ผลการประเมนิ ความเปน็ ไปได้ ความเหมาะสม ความถกู ตอ้ งครอบคลมุ และความเปน็ ประโยชนข์ อง รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล พบว่า มีค่าเฉล่ียคะแนนประเมินโดยรวม อยใู่ นระดบั มาก เมื่อพิจารณารายดา้ น พบว่า อยูใ่ นระดับมากทกุ ด้าน อภิปรายผลการวิจัย 1. จากผลการวจิ ัย พบว่า รปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรียนสุขภาวะ: ทงุ่ ยาวค�ำโปรยโมเดล เกดิ จาก ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ด�ำเนินการระดมสมอง ออกแบบนวัตกรรมผ่านสภาพบริบทของชุมชน มีผู้เชี่ยวชาญให้การ วิพากษ์และข้อเสนอแนะ ได้ด�ำเนินการทดลองน�ำไปสู่การใช้จริงหลาย ๆ รอบ มีการตรวจสอบประเมิน อยา่ งสมำ่� เสมอ จนเกดิ เปน็ โรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล มกี ารเผยแพรน่ วตั กรรมทว่ั ประเทศ ในรปู แบบ หนงั สอื พิมพ์ โทรทัศน์ บทความทางวิชาการ หนงั สือ สือ่ อนิ เทอรเ์ น็ต ตลอดจนเปน็ แหล่งเรียนรู้ตน้ แบบโรงเรียน สขุ ภาวะ การบริหารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทุง่ ยาวคำ� โปรยโมเดล ทีผ่ ู้วจิ ยั นำ� เสนอผ่านการตรวจสอบดว้ ยการ ศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพ คอื การวพิ ากษจ์ ากผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จำ� นวน 5 คน ซง่ึ ผวู้ จิ ยั ใชห้ ลกั การเลอื กโดยวธิ กี ารเลอื กแบบเจาะจง เพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ สอดคล้องกับแนวคิดของ พูลสุข หงิ คานนท์ (2540: น.53-55) ทกี่ ล่าววา่ ผู้ทรงคณุ วฒุ เิ ปน็ เครือ่ งมอื ในการประเมนิ โดยใหค้ วามเช่อื ถอื วา่ ผทู้ รงคณุ วฒุ นิ น้ั เทย่ี งธรรมและมดี ลุ ยพนิ จิ ทดี่ ี ทง้ั นี้ มาตรฐานและเกณฑพ์ จิ ารณาตา่ ง ๆ นน้ั จะเกดิ ขน้ึ จากประสบการณ์ และความช�ำนาญของผู้ทรงคุณวุฒิเองและเป็นรูปแบบที่ยอมให้เกิดความยืดหยุ่นในกระบวนการท�ำงานของ ผทู้ รงคณุ วฒุ ติ ามอธั ยาศยั และความถนดั ของแตล่ ะคน นบั ตง้ั แตก่ ารกำ� หนดประเดน็ สำ� คญั ทพ่ี จิ ารณาการบง่ ชขี้ อ้ มลู ที่ ตอ้ งการเกบ็ รวบรวม การประมวลผลการวนิ จิ ฉยั ขอ้ มลู เพอื่ ใหง้ า่ ยตอ่ การทำ� ความเขา้ ใจ จงึ ไมไ่ ดอ้ ธบิ ายรายละเอยี ด ทุกแง่ทุกมุม เพราะจะท�ำให้รูปแบบ ฯ นั้นด้อยลงไป ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ Bardo and Hartman (1982: น.25) ทก่ี ลา่ ววา่ รปู แบบทีด่ ีควรอธิบายสภาพหรอื แนวทางกว้าง ๆ แต่จะไมร่ ะบุรายละเอียดมากเกนิ ไป 86 ครุ ุสภาวทิ ยาจารย์

คุรุสภาวทิ ยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 2. จากการศึกษาผลการใช้รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล ดา้ นนกั เรยี น พบวา่ นกั เรยี นกลา้ คดิ กลา้ พดู กลา้ แสดงออกมากขน้ึ รจู้ กั การรอคอย สนกุ กบั การเรยี นรู้ ไมก่ ดดนั อยากมา โรงเรียน มแี รงบนั ดาลใจในการเรียน เป็นผนู้ �ำและผู้ตามท่ดี ี ทำ� งานเป็นทมี มมี ารยาท ยอมรบั ความคิดเหน็ ของ ผ้อู น่ื เกดิ ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 สามารถเชอื่ มโยงกบั ชวี ติ จริงได้ ดา้ นโรงเรียน พบว่า ครูไดร้ บั การพฒั นาตนเอง มกี ารพฒั นาแผนการจดั การเรยี นรบู้ รู ณาการโดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (PBL) ใชก้ จิ กรรม “จติ ศกึ ษา” ใชก้ ระบวนการ ชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ในการแลกเปล่ียนเรียนรู้กันทุกสัปดาห์ จนสามารถปรับเปล่ียนวิธีการสอน สามารถออกแบบกิจกรรมได้หลากหลายสอดคล้องกับสภาพปัจจุบันของโรงเรียนและนักเรียน การแก้ปัญหา สถานการณ์ต่าง ๆ มีการพฒั นาส่ือการเรยี นการสอน โรงเรียนมกี ารทบทวนหลงั การปฏิบตั ิเปน็ ประจ�ำและน�ำผล การปฏิบัตขิ องแต่ละคน แต่ละชั้นมาแลกเปลี่ยนเรยี นรกู้ นั และน�ำไปปรบั ปรุงตอ่ ยอดอยเู่ สมอในลกั ษณะของการ ท�ำไป ปรับปรงุ ไป พฒั นาไป มกี ารสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวิชาชพี เพือ่ ให้เกดิ การเรยี นรู้ในโรงเรยี นจนเป็น วิถีของโรงเรียน ซึ่งในท่ีสุดนอกจากจะประสบความส�ำเร็จในการท�ำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความสุขแล้ว ครู ผบู้ รหิ าร ผปู้ กครองและชมุ ชนกไ็ ดร้ บั ความสขุ จากการทำ� งานหนกั ในการเปลย่ี นแปลงนี้ (กมั พล เจรญิ รกั ษ,์ 2559: น.5) ตลอดจนโรงเรียนมีสภาพแวดล้อมมีสุขภาวะ กล่าวคือ นักเรียนมีความสุขในการเรียนรู้ อยากมาโรงเรียนเพราะ โรงเรียนสวยงามน่าอยู่ น่าเรียน มีแหล่งเรียนรู้มากมายในโรงเรียนที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน บรรยากาศ การเรียนรู้ระหว่างนักเรียนกับนักเรียน นักเรียนกับครู เป็นบรรยากาศแห่งความสุขเพราะนักเรียนได้เรียนรู้จาก การลงมือปฏิบัติ เม่ือนักเรียนมีความสุขครูก็มีความสุขที่เห็นนักเรียนมีพัฒนาการท่ีดีข้ึนทุก ๆ ด้าน และชุมชน พงึ พอใจสภาพแวดลอ้ มท่ีมีสุขภาวะ 3. ผลการประเมนิ รูปแบบการบริหารจัดการโรงเรยี นสุขภาวะ: ทุง่ ยาวคำ� โปรยโมเดล พบวา่ มีคา่ เฉลยี่ คะแนนประเมินรายดา้ นโดยรวมอยูใ่ นระดับมาก เม่อื พิจารณารายดา้ น พบว่า อยูใ่ นระดับมากทุกด้าน แสดงวา่ รปู แบบการบรหิ ารจดั การโรงเรยี นสขุ ภาวะ: ทงุ่ ยาวคำ� โปรยโมเดล มคี วามเปน็ ไปได้ มคี วามเหมาะสม มคี วามถกู ตอ้ ง ครอบคลุมและมีความเป็นประโยชน์ สามารถน�ำไปใช้ในการพัฒนาโรงเรียนสุขภาวะได้ เนื่องจากสาระส�ำคัญท่ี ผวู้ จิ ยั ไดก้ ำ� หนดลงไปในนวตั กรรมนน้ั เปน็ การบรู ณาการผลจากการสงั เคราะห์ ขอ้ คน้ พบจากการศกึ ษาเชงิ คณุ ภาพ ทศ่ี กึ ษาสภาพปจั จบุ นั และความตอ้ งการของผทู้ มี่ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในโรงเรยี น ทำ� ใหผ้ ลการประเมนิ รปู แบบการบรหิ าร จัดการโรงเรียนสุขภาวะ: ทุ่งยาวค�ำโปรยโมเดล มีความเหมาะสม มีความถูกต้อง ครอบคลุมและมีความเป็น ประโยชน์ สามารถน�ำไปใช้ในการพัฒนาโรงเรียนสุขภาวะได้อย่างแท้จริง ซึ่งจุดมุ่งหมายส�ำคัญของการประเมิน รปู แบบนนั้ เพอื่ ตรวจสอบความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดข้ องรปู แบบเชงิ ทฤษฎกี บั การปฏบิ ตั งิ านจรงิ (Keeves, 1988: น.560-589) ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนำ� ผลการวิจัยไปใช้ 1.1 จากขอ้ คน้ พบการนำ� ครอบครวั /ชมุ ชนเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการศกึ ษาเปน็ “เจา้ ของโรงเรยี นรว่ มกนั ” โรงเรียนต่าง ๆ ควรส่งเสริมให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนมีความม่ันใจในการคิดและ ก�ำหนดทิศทางการพัฒนาโรงเรียนด้วยตนเอง เพื่อสร้างพลังอ�ำนาจในการด�ำเนินงานของโรงเรียนและชุมชน อย่างแท้จรงิ ภายใต้บรบิ ทของแต่ละท้องถน่ิ และขยายผล คุรุสภาวิทยาจารย์ 87

ครุ สุ ภาวิทยาจารย์ JOURNAL OF TEACHER PROFESSIONAL DEVELOPMENT ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สงิ หาคม 2563 1.2. จากผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า โรงเรียนสุขภาวะมุ่งพัฒนาระบบการพัฒนาครูด้วย PLC พัฒนา กระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยจติ ศกึ ษา, Active Learning, PBL ตามสภาพบรบิ ทของแตล่ ะพนื้ ทที่ ำ� ใหค้ รเู ปลยี่ นวธิ สี อน ผู้บริหารและครูมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อพัฒนานักเรียนให้มีสุขภาวะที่ดี สร้างบรรยากาศเอ้ือต่อการเรียนรู้ สร้าง วถิ กี ารทำ� งานร่วมกันอยา่ งมคี วามสุข งานวิจัยน้จี งึ สามารถนำ� ไปใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนก์ บั สถานศึกษาอืน่ ครูและผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียกับการปฏิรูปการเรียนรู้ สามารถน�ำไปก�ำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปการเรียนรู้โดยใช้โรงเรียน สขุ ภาวะเปน็ ฐาน 1.3 รปู แบบการพัฒนาโรงเรียนสขุ ภาวะท่ีผู้วจิ ยั พฒั นาข้ึนน้ีสามารถเป็นนวตั กรรมทางการบรหิ าร การศกึ ษาแนวใหมท่ ส่ี ามารถพฒั นาครู พฒั นาผเู้ รยี นในทกุ ๆ มติ ิ ทงั้ ทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คมและจติ วญิ ญาณ ให้สามารถตอบโจทย์การบริหารจัดการและกระบวนจัดการเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี จึงเป็น แนวทางในการพฒั นาโรงเรยี นของเขตพ้ืนที่การศกึ ษาตอ่ ไป 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังตอ่ ไป 2.1 ควรมีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม โดยน�ำรูปแบบการพัฒนาสุขภาวะในโรงเรียน ไปทดลองใชจ้ ริงในโรงเรยี นท่มี ลี ักษณะต่างพืน้ ทก่ี ัน 2.2 ควรมีการวิจัยเชงิ คุณภาพจากโรงเรยี นสขุ ภาวะท่ีประสบความสำ� เรจ็ โดยใช้ทฤษฎีฐานราก เอกสารอ้างอิง กมั พล เจรญิ รกั ษ.์ (2559). การสรา้ งชมุ ชนการเรยี นรวู้ ชิ าชพี เพอ่ื ปฏริ ปู โรงเรยี น. วารสารวชิ าการ, 19(2): 30-45. พลู สขุ หงิ คานนท.์ (2540). การพฒั นารปู แบบการจดั องคก์ ารของวทิ ยาลยั พยาบาล สงั กดั กระทรวงสาธารณสขุ . (วิทยานพิ นธ์ครุศาสตรดษุ ฎบี ัณฑิต). กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. Bardo, W. John and Hartman, John. J. (1982). Urban Sociology: A Systematic Introduction. Illinois: F.E. Peacock Publishers. Keeves, J. P. (1988). Educational Research, and Methodology, and Measurement. Oxford: Pergamon Press. Madaus, G.F., Scriven, M.S., & Stufflebeam, D.L. (1983). Evaluation Models Viewpoints on Educational and Human Services Evaluation. (8thed). Boston: Khuwer-Nijhoff. 88 คุรุสภาวิทยาจารย์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook