37 กล่าวโดยสรุป การสนบั สนุนทางสังคม สามารถจาแนกเป็ นกลุ่มใหญ่ๆได้ 2 กลุ่ม คือ การสนบั สนุนทางสังคมดา้ นอารมณ์ ซ่ึงเป็ นความรู้สึกของตวั บุคคล เช่น ปฏิสัมพนั ธ์ การยอมรับ การอบรมเล้ียงดู เป็นตน้ และการสนบั สนุนทางสังคม ซ่ึงเป็ นการตอบสนองของสังคมภายนอกท่ีมี ต่อบุคคล เช่น การช่วยเหลือดา้ นทรัพยส์ ิน เงินทอง การให้ขอ้ มูลข่าวสาร เป็ นตน้ ซ่ึงการสนบั สนุน ทางสังคมน้ี ยงั ช่วยใหพ้ ฤติกรรมและการกระทาของบุคคลมีแนวโนม้ ท่ีดีข้ึน 3. แนวคดิ เกย่ี วกบั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางปฏิบตั ิเพือ่ ใหช้ ีวติ ดาเนินไปในทางสายกลาง ที่มี ความสอดคลอ้ งกบั วถิ ีความเป็นอยอู่ นั เรียบง่ายของคนไทย ที่สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสม กบั คนทุกระดบั ความหมายของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระ ราชดารัสแนะแนวทางการดารงชีวิตและปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ต้ังแต่ระดับ ครอบครัว ระดบั ชุมชน จนถึงระดบั รัฐ ท้งั ในการพฒั นาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทาง สายกลาง โดยเฉพาะการพฒั นาเศรษฐกิจเพ่ือให้ก้าวทนั ต่อโลกยุคโลกาภิวตั น์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมความจาเป็ นท่ีจะตอ้ งมีระบบภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี พอสมควรตอ่ การมีผลกระทบใดๆ อนั เกิดจากการเปล่ียนแปลงท้งั ภายนอกและภายใน ท้งั น้ีจะตอ้ ง อาศยั ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมดั ระวงั อยา่ งยิง่ ในการนาวชิ าการต่างๆ มาใชใ้ นการ วางแผนและการดาเนินการทุกข้นั ตอน และขณะเดียวกนั จะตอ้ งเสริมสร้างพ้ืนฐานจิตใจของคนใน ชาติ โดยเฉพาะเจา้ หน้าท่ีของรัฐ นกั ทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดบั ให้มีสานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตยส์ ุจริต และให้มีความรอบรู้ท่ีเหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มี สติปัญญาและความรอบคอบ เพื่อใหส้ มดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว และกวา้ งขวางท้งั ด้านวตั ถุ สังคม สิ่งแวดล้อมและวฒั นธรรม จากโลกภายนอกได้เป็ นอย่างดี (คณะอนุกรรมการอานวยการขบั เคลื่อนเศรษฐกิจพอเพยี ง,2550) สุเมธ ตนั ติเวชกุล (2541: 21) ให้ความหมายว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นเศรษฐกิจท่ี สามารถอุม้ ชูตวั เองได้ให้มีความหมายเพียงพอกบั ตนเอง อยู่ได้โดยไม่ตอ้ งเดือดร้อน ซ่ึงสร้าง พ้นื ฐานทางเศรษฐกิจของตนเองใหด้ ีเสียก่อน คือ สามารถใหต้ วั เองอยไู่ ดอ้ ยา่ งพอมีพอใช้ ประเวศ วะสี (2542: 4 – 6) อธิบายเพิ่มเติมวา่ เศรษฐกิจพอเพียงไม่ไดแ้ ปลวา่ ไม่เกี่ยวขอ้ งกบั ใครไม่คา้ ขาย ไม่ผลิต ไม่ส่งออก ไม่ทาเศรษฐกิจมหภาค แต่หมายถึง การท่ีเรามีความพอเพียงอยา่ ง นอ้ ย 7 ประการ คือ
38 1. ตอ้ งมีความพอเพียงสาหรับทุกคน และทุกครัวเรือน 2. ตอ้ งมีจิตใจที่พอเพียง 3. ตอ้ งมีส่ิงแวดล้อมที่พอเพียง ด้วยการอนุรักษ์และเพิ่มพูนทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ ม ซ่ึงจะส่งผลใหม้ ีการยงั ชีพไดต้ ามธรรมชาติ 4. ชุมชนตอ้ งมีความเขม้ แข็งที่พอเพียง ด้วยการรวมตวั กนั เป็ นชุมชนที่เขม้ แข็ง ซ่ึงจะ ส่งผลใหส้ ามารถแกไ้ ขปัญหาตา่ งๆในชุมชนได้ 5. ตอ้ งมีสติปัญญาที่พอเพียงดว้ ยการเรียนรู้ร่วมกนั ปฏิบตั ิร่วมกนั และสามารถปรับตวั ได้ อยา่ งตอ่ เนื่องเป็นระบบตามการเปลี่ยนแปลงของสงั คม 6. ต้องมีวฒั นธรรมท่ีพอเพียง โดยใช้วิถีชีวิตของชุมชนท่ีเข้มแข็งสานสัมพนั ธ์กับ สิ่งแวดลอ้ มที่หลากหลาย โดยมีความเจริญเติบโตบนพ้ืนฐานทางวฒั นธรรมท่ีเขม้ แขง็ 7. ตอ้ งมีความมนั่ คงที่เพียงพอ คอ่ ยๆพฒั นาอยา่ งเป็นระบบ ไม่จนหรือรวยแบบกะทนั หนั เดินในทางสายกลาง และมีระบบการพฒั นาท่ีเช่ือมโยงเขา้ ด้วยกันอย่างเป็ นระบบ ท้งั ทางด้าน เศรษฐกิจ จิตใจ สงั คม วฒั นธรรมและสิ่งแวดลอ้ ม สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 62) ให้ความหมายวา่ เศรษฐกิจพอเพียง คือ แนว ทางการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ิตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพ้ืนฐานมาจากวถิ ีชีวติ ด้งั เดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็ นการมองโลกเชิงระบบท่ีมีการเปล่ียนแปลงอยู่ ตลอดเวลา มุง่ เนน้ การรอดพน้ จากภยั และวกิ ฤต เพอ่ื ความมนั่ คงและความยงั่ ยนื ของการพฒั นา สุรเกียรติ เสถียรไทย (2542) ใหค้ วามหมายวา่ เศรษฐกิจพอเพียง เป็ นปรัชญาของการพฒั นา ตามกระแสเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงมีฐานคิดสาคญั ที่การพฒั นาคนในชุมชน ท้งั ด้านเศรษฐกิจและ สังคมควบคู่ไปกบั การจรรโลงรักษาวฒั นธรรมชุมน ท้งั น้ีการพฒั นาคนจะตอ้ งเริ่มที่การพฒั นา ความคิดและจิตใจของคนใหร้ ู้จกั กิน รู้จกั ใชต้ ามอตั ภาพและความจาเป็นในการดารงชีวติ นรินทร์ สงั ขร์ ักษา (2550: 10) ใหค้ วามหมายวา่ เศรษฐกิจพอเพียง คือ เศรษฐกิจท่ีสามารถ พ่ึงตวั เองได้ (Relative Self-Sufficiency) อยู่ได้โดยไม่ตอ้ งเดือดร้อน โดยตอ้ งสร้างพ้ืนฐานทาง เศรษฐกิจของตนเองใหด้ ีเสียก่อน ต้งั ตวั ใหอ้ ยบู่ นความพอกินพอใช้ ไม่ใช่มุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความ เจริญ ยกเศรษฐกิจให้รวดเร็วแต่เพียงอย่างเดียว เพราะผทู้ ี่มีอาชีพและฐานะเพียงพอท่ีจะพ่ึงตนเอง ยอ่ มสามารถสร้างความเจริญและฐานะเศรษฐกิจข้นั ที่สูงข้ึนไปตามลาดบั นิธิ เอียวศรีวงศ์ (2554: 124) ให้ความหมายว่า เศรษฐกิจพอเพียง คือ วฒั นธรรม ไม่ใช่ เทคนิคการเพาะปลูก แต่เป็ นศีลธรรม ความไม่ละโมบและการประหยดั เศรษฐกิจพอเพียงเปิ ด โอกาสให้ทุกคนพออยไู่ ด้ แตกต่างจากการคิดในดา้ นเทคนิค ถา้ คิดในดา้ นเทคนิคก็จะย้าเฉพาะคน ทา ทาให้เกิดการเอาตวั รอด ซ่ึงไม่ตรงกบั อุดมการณ์ของเศรษฐกิจพอเพียง ความคิดทางเทคนิคทา
39 ให้ไม่เชื่อมโยงกนั ไม่มีความเอ้ือเฟ้ื อเผื่อแผร่ ะหวา่ งกนั ตวั ใครตวั มนั อนั จะเป็ นโทษแก่ธรรมชาติ ดว้ ย เพราะความเอ้ือเฟ้ื อเผ่ือแผข่ องสมาชิกในชุมชนที่มีใหแ้ ก่เพื่อนบา้ นและธรรมชาติน้นั ถือเป็ น สองด้านในเหรียญเดียวกนั แนวคิดน้ีสอดคล้องกบั อุดมการณ์ของชีวิตคามแนวทางเศรษฐกิจ พอเพียงท่ีจะคานึงถึงการพ่ึงพาอาศยั กนั พร้อมๆกบั รักษาความสมดุลของธรรมชาติไปดว้ ย นพพร จนั ทรนาชู (2556: 220) ใหค้ วามหมายวา่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นปรัชญาที่ช้ี ถึงแนวทางการดารงอยู่และปฏิบตั ิตนของสังคมไทย เพ่ือให้เกิดความกา้ วหน้าและความสมดุล พร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลงในกระแสโลกาภิวตั น์ โดยอาศยั หลกั ของความพอเพียงเป็ นหลกั คิด และหลกั ปฏิบตั ิในการดาเนินชีวติ กล่าวโดยสรุป ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็ นแนวทางการดาเนินชีวิตที่ต้งั อยู่บนความ พอเหมาะพอดีและพอเพียง จนสามารถพ่ึงพาตนเอง หรือ อุม้ ชูตนเองได้ ท่ามกลางสภาวะแวดลอ้ ม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา เพือ่ ความเป็นอยทู่ ี่มน่ั คงและยงั่ ยนื หลกั ของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง แนวคิดหลกั เก่ียวกบั เศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั น้นั ครอบคลุมเน้ือหาสาระของการดาเนินชีวติ ของทุกภาคส่วน ท้งั บุคคล ชุมชน หน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน รวมถึงระดบั ประเทศ ซ่ึงแนวทางการพฒั นาตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง เป็ นการ พฒั นาท่ีต้งั อย่บู นพ้ืนฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี ตลอดจนใชค้ วามรู้ ความรอบคอบ ความระมดั ระวงั ใน การตดั สินใจกิจการงานตา่ งๆ ควบคูไ่ ปกบั คุณธรรม เพ่อื การอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมไดอ้ ยา่ งสงบสุข เกษม วฒั นชยั (2549: 254) อธิบายว่า แนวคิดหลกั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ แนว ทางการดารงอยลู่ ะปฏิบตั ิตนของประชาชนทุกระดบั ท้งั ในการพฒั นาและบริหารประเทศใหด้ าเนิน ไปในทางสายกลาง มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี (2550: 41-42) อธิบายถึงแนวคิดสาคญั ของเศรษฐกิจพอเพียง ดงั น้ี 1. เศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นเศรษฐกิจที่เนน้ ความคุม้ ค่าในการลงทุน เพอื่ ใหส้ ามารถพ่งึ ตนเองได้ และดารงชีวิตอยา่ งมีความสุข โดยไม่ตอ้ งเบียดเบียนผอู้ ื่น หรือเนน้ การ บริหารจดั การอยา่ งประหยดั และมีประสิทธิภาพ 2. เศรษฐกิจพอเพียงมีการพฒั นาเป็นระดบั ช้นั โดยเริ่มจากเศรษฐกิจพอเพียงแบบพ้ืนฐาน แลว้ พฒั นาเป็ นเศรษฐกิจพอเพียงแบบกา้ วหนา้ โดยคาวา่ เศรษฐกิจพอเพียงแบขบพ้ืนฐาน คือ การ พอมีพอกิน ส่วนเศรษฐกิจพอเพียงแบบกา้ วหน้า คือ การทาประโยชน์ให้ส่วนรวม และพฒั นา ชุมชนและสงั คมใหเ้ จริญยงั่ ยนื
40 3. หลกั การของเศรษฐกิจพอเพียง คือ “ความพอเพียง” ไดแ้ ก่ ให้สามารถดาเนินงานได้ ซ่ึงหมายถึงความพอประมาณและมีเหตุผล 4. การดาเนินงานตามหลกั การเศรษฐกิจพอเพียงตอ้ งอาศยั ความสามคั คี ความร่วมมือ ความขยนั อดทน และปรารถนาดีตอ่ กนั 5. ใชห้ ลกั การเศรษฐกิจพอเพียง เศษ 1 ส่วน 4 ในการดารงชีวิต เพ่ือให้สามารถพ่ึงตนเอง ไดแ้ ละมีความสุข สมาคมวทิ ยาศาสตร์เทคโนโลยี และนวตั กรรมแห่งประเทศไทย (2550: 38-40) อธิบายว่า เศรษฐกิจพอเพยี งเป็นการดาเนินชีวติ บนทางสายกลางโดยยดึ หลกั การพ่งึ พาตนเอง ดงั น้ี 1. ด้านจิตใจ ตอ้ งมีจิตใจท่ีเขม้ แข็งอดทนแต่อ่อนโยน ซื่อสัตยส์ ุจริต มีจิตใจเอ้ืออาทร คิดถึงประโยชนส์ ่วนรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ่วนตนมีจิตสานึกอนั ดีที่จะตอบแทนคุณของแผน่ ดิน 2. ดา้ นสังคม ตอ้ งมีการเก้ือหนุนกนั ในแตล่ ะชุมชน นามาซ่ึงความเขม้ แข็งของชุมชนและ เสริมสร้างความสามคั คีอนั ดี 3. ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม รู้จกั ใชท้ รัพยากรธรรมชาติอยา่ งชาญฉลาด มี ความคิดสร้างสรรค์และรู้จกั วิธีการท่ีจะเพิ่มมูลค่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และไม่ทาลาย สิ่งแวดลอ้ ม 4. ดา้ นเทคโนโลยี ควรเลือกใชเ้ ทคโนโลยีที่เหมาะสมกบั ศกั ยภาพและความพร้อมของ ผใู้ ช้ อาจใชเ้ ทคโนโลยที ่ีง่ายๆซ่ึงเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มและภมู ิประเทศรวมท้งั สังคมไทยดว้ ย 5. ดา้ นเศรษฐกิจ ควรยึดหลกั พออยู่ พอกิน พอใช้ และสามารถอยไู่ ดด้ ว้ ยตนเอง ไม่สร้าง หน้ี ลดรายจ่าย ใชเ้ ฉพาะที่จาเป็น ไม่ควรจา่ ยกอ็ ยา่ จา่ ย ไมค่ วรมุ่งแตจ่ ะเพิม่ รายได้ กล่าวโดยสรุป แนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวทรง ช้ีแนะใหแ้ ก่พสกนิกรชาวไทยน้นั คือ ความสามารถพ่ึงตนเองไดข้ องพสกนิกรในการดารงชีวติ ท้งั ทางดา้ นจิตใจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ เพื่อความเป็ นอยทู่ ่ีมนั่ คงและ ยงั่ ยนื องค์ประกอบของปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย น้นั มีองคป์ ระกอบดา้ นต่างๆอย่างสมบูรณ์ โดยสามารถจาแนกไดด้ งั น้ี (สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริ หารศาสตร์, 2554: 89 – 92) 1. กรอบแนวคิด 1.1 เป็ นปรัชญาท่ีช้ีแนะแนวทางการดารงอยแู่ ละปฏิบตั ิตน (Economic life guiding principles) ในทางท่ีควรจะเป็น โดยมีพ้ืนฐานมาจากวถิ ีชีวติ ด้งั เดิมของสงั คมไทย
41 1.2 เป็นปรัชญาที่สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ลอดเวลา ท้งั อดีต ปัจจุบนั และอนาคต 1.3 เป็ นปรัชญาท่ีมองโลกเชิงระบบท่ีมีลกั ษณะพลวตั (dynamic) กล่าวคือ มองว่า สถานการณ์โลกมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึนตลอดเวลา เน่ืองจากความเชื่อมโยงของปัจจยั ต่างๆภายใต้ กระแสโลกาภิวตั น์ 1.4 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการเปล่ียนแปลงของกระบวนทศั น์ (Paradigm shift) ลกั ษณะหน่ึงโดยมองวา่ ชุมชนและประเทศต่างๆมีความเชื่อมโยงกนั มากข้ึนภายใตก้ ระแสโลกาภิ วตั น์และการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วของเทคโนโลยี วฒั นธรรม และค่านิยมทางสงั คม 2. คุณลกั ษณะ 2.1 เป็ นปรัชญาท่ีสามารถนามาประยุกต์ใช้กบั การปฏิบตั ิตนของประชาชนในทุก ระดบั ท้งั ระดบั ครอบครัว ชุมชน และรัฐ นอกจากน้ียงั สามารถใชไ้ ดก้ บั คนทุกระดบั ท้งั เจา้ หนา้ ท่ี ของรัฐ นกั ธุรกิจ นกั เรียนนกั ศึกษา เป็นตน้ 2.2 แนวคิดทางสายกลางเป็ นหัวใจสาคญั ของปรัชญาท่ีนามาใช้ในการบริหารและ พฒั นาเศรษฐกิจ เพ่ือใหก้ า้ วทนั ตอ่ โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงในยคุ โลกาภิวตั น์ กล่าวคือ 2.2.1 ไม่ใช่การปิ ดประเทศอยา่ งสิ้นเชิง หรือเปิ ดเสรีอยา่ งเตม็ ท่ี โดยไม่มีการเตรียม ความพร้อมของคนและสังคมในการเขา้ สู่กลไกตลาด 2.2.2 ไม่ใช่การอยอู่ ยา่ งโดดเดี่ยว หรือพ่ึงพิงภายนอกหรือคนอื่นท้งั หมด แต่เน้น ความคิดและการกระทาท่ีจะพ่ึงตนเองเป็นหลกั ก่อนที่จะไปพ่ึงคนอื่น 3. หลกั การ มีหลกั การ 3 ห่วงสาหรับใชใ้ นการบริหารจดั การ ดงั น้ี (สมาคมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวตั กรรมแห่งประเทศไทย ,2550 :32-37) ห่วงท่ี 1 ความพอประมาณ คือ ความพอดีต่อความจาเป็ น ทาอะไรให้เหมาะสม ตอ้ ง พอประมาณ ไม่ฟ้ ุงเฟ้ อ มีความพอดี ซ่ึงจะพอดีขนาดไหนน้นั ข้ึนอย่กู บั แต่ละคน เพราะความพอดี ของแค่ละคนไม่เท่ากนั อย่าให้ใหญ่เกินตวั และตอ้ งไม่นอ้ ยเกินไป ท่ีสาคญั คือ ตอ้ งไม่เบียดเบียน ตนเองและผอู้ ่ืน ห่วงที่ 2 ความมีเหตุผล คือ ทาอะไรตอ้ งมีเหตุผล อยา่ ทาตามกระแส ตอ้ งพิจารณาให้ รอบคอบวา่ เหมาะสมหรือไม่ ควรใชเ้ หตุผลในการตดั สินใจดาเนินการเรื่องต่างๆ ตามหลกั วชิ าการ หลกั กฎหมาย หลกั ศีลธรรม จริยธรรม วฒั นธรรมที่ดีงาม คิดถึงปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ งอยา่ งถว้ นถ่ี โดย คานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดข้ึนจากการกระทาน้ันอย่างรอบคอบ ตวั อย่างเช่น ประเทศไทยเป็ น ประเทศเกษตรกรรม ไม่มีเหล็ก ผลิตน้ามนั เองก็ไม่ได้ แลว้ จะมาเปล่ียนเป็ นประเทศอุตสาหกรรม ทนั ทีทนั ใดยอ่ มไม่เหมาะสม
42 ห่วงท่ี 3 ความมีภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี คือไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมต่อการรองรับ ผลกระทบและการเปล่ียนแปลงด้านต่างๆ ท่ีอาจจะเกิดข้ึนได้อย่างรวดเร็วและกวา้ งขวาง ท้ัง ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม ละวฒั นธรรม จากกระแสโลกาภิวตั น์ เพ่ือใหส้ ามารถปรับตวั และรับมือไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงที โดยมีมาตรการป้ องกนั ความเสี่ยงที่รอบคอบและรัดกุม ตวั อย่างเช่น เมื่อคราวเกิดวกิ ฤตเศรษฐกิจในปี 2540 สาหรับคนท่ีมีภูมิคุม้ กนั ที่ดีก็จะไม่กระทบกระเทือน แต่จะมี บางคนท่ีมีการฆา่ ตวั ตาน ท้งั น้ีเพราะขาดภมู ิคุม้ กนั นน่ั เอง 4. เง่ือนไขสาคญั 2 ประการ ที่เป็นพ้ืนฐานการจดั การอยา่ งพอเพียง ประกอบดว้ ย เง่ือนไขท่ี 1 เง่ือนไขความรู้ เป็ นองคป์ ระกอบในการทางานทุกอยา่ ง คือ ตอ้ งเร่ิมตน้ จากความรู้ ซ่ึงตอ้ งรู้ลึก รู้กวา้ ง และสามารถนาวิชาการต่างๆมาใชใ้ นการวางแผนและดาเนินการทุก ข้นั ตอนอยา่ งรอบคอบและระมดั ระวงั เพราะหากไมม่ ีความรู้ การนาไปปฏิบตั ิอาจประสบกบั ปัญหา ได้ เงื่อนไขท่ี 2 เงื่อนไขคุณธรรม เป็ นสิ่งสาคญั ในการดารงชีวิตในสังคม ความซื่อสัตย์ สุจริต ขยนั อดทนพากเพียร สามคั คี แบ่งปันให้กบั สังคม เพราะวา่ ในสังคมมีคนดอ้ ยโอกาสอยใู่ น ฐานะท่ีลาบากอีกมาก ดงั น้นั สาหรับผทู้ ี่มีฐานะดี มนั่ คง มีจิตใจเก้ือกูลและแบ่งปัน จะทาใหส้ ังคมดี ข้ึน แต่ตอ้ งฉลาดในการแบ่งปัน คือไม่ใช่แบ่งปันจนตวั เองเดือดร้อน ลว้ นเป็ นเร่ืองท่ีทุกคนควร ปฏิบตั ิเพื่อใหเ้ กิดผล 5. แนวทางปฏิบตั ิและผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ การน้อมนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นทุกภาคส่วนอยา่ งจริงจงั จะส่งผลใหก้ ารพฒั นาประเทศกา้ วหนา้ ไปอยา่ งสมดุล มนั่ คง และยงั่ ยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ท้ังด้านชีวิต เศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม สิ่งแวดลอ้ ม และเทคโนโลยี อนั จะนาไปสู่ “ความอยเู่ ยน็ เป็นสุขร่วมกนั ในสังคมไทย
43 แผนภาพท่ี 2 แสดงปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เงื่อนไขความรู้ เง่ือนไขคุณธรรม (รอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวงั ) (ซื่อสตั ย์ สุจริต ขยนั อดทน) ชีวติ / เศรษฐกจิ / สังคม สมดุล / มัน่ คง / ยง่ั ยนื ท่ีมา: สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์, ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งกับสังคมไทย (กรุงเทพฯ: 2554),44. สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ (2554: 120) ไดน้ าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาขยายต่อ ในลกั ษณะการวเิ คราะห์เชิงระบบ ไดด้ งั น้ี
44
45 กล่าวโดยสรุป นิยามของเศรษฐกิจพอเพียง ท่ีประกอบดว้ ย 3 ห่วง คือ ความพอประมาณ มี เหตุผล และมีภูมิคุม้ กนั ในตวั ท่ีดี และ 2 เง่ือนไข คือ เงื่อนไขคุณธรรมและความรู้น้นั มีความหมาย โดยรวม เพ่ือเป็ นกรอบของความคิดและการกระทาที่ให้อยู่บนความพอเหมาะ พอควร มีเหตุผล และไมป่ ระมาท โดยใชค้ ุณธรรมและความรู้ประกอบการตดั สินใจ เป้ าประสงค์ของหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง เป้ าหมายหลกั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพฒั นาคนให้มีความเป็ นอยู่แบบ พอมีพอกิน สามารถพ่ึงตนเองไดใ้ นระดบั หน่ึง โดยอาศยั ศกั ยภาพของตวั บุคคล ท่ีเกิดจากความรู้ ทางวชิ าการ ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน และทกั ษะการปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆ สามารถอยรู่ ่วมกบั ผอู้ ื่นในสังคม ไดอ้ ยา่ งสันติสุข ดว้ ยหลกั คุณธรรมและจริยธรรม เช่น ความซื่อสัตยส์ ุจริต ความขยนั ความอดทน การแบ่งปัน เป็ นต้น สามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างยงั่ ยืน โดยมีความ ตระหนกั ในคุณประโยชน์ รวมถึงโทษต่อการทาลายทรัพยากรธรรมชาติ อีกท้งั ยงั ควรที่จะดูแล รักษา และอนุรักษท์ รัพยากรเหล่าน้นั เพ่ือใหค้ งอยูต่ ลอดไป สอดคลอ้ งกบั ชลลดา แสงมณี (2556: 175) ท่ีไดก้ ล่าวถึง จุดมุ่งหวงั สูงสุดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การท่ีนาปรัชญาดงั กล่าวไป ปรับประยุกต์ใช้เกิดความมน่ั คงในชีวิต โดยการรู้จกั ประมาณตนเองอย่างมีเหตุผลหรือที่เรียกว่า พอเพยี งภายใตแ้ นวคิดท่ีเนน้ ความมนั่ คงเป็นหลกั สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริหารศาสตร์ (2554: 92 – 94) อธิบายเพิ่มเติมถึงสิ่งสาคญั เกี่ยวกบั เป้ าประสงคข์ องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพฒั นาที่สมดุล (Balance) และการพร้อมรับต่อ การเปล่ียนแปลง (resilience) ที่มีองคป์ ระกอบ 4 ดา้ น คือ 1. วตั ถุ หมายถึง วตั ถุต่างๆเชิงกายภาพ ที่มนุษย์สร้างและประดิษฐ์ข้ึน เช่น วตั ถุดิบ สิ่งของ วสั ดุ อุปกรณ์ เครื่องใชไ้ มส้ อย เส้ือผา้ อาภรณ์ ที่อยอู่ าศยั ต่างๆ เป็ นตน้ ซ่ึงนอกจากจะผลิตไว้ ใชเ้ องไดห้ รือใชว้ ธิ ีแลกเปลี่ยนกนั ดงั เช่นในอดีต ในยคุ ปัจจุบนั กส็ ามารถซ้ือหามาเพื่อบริโภคไดโ้ ดย เงินทุน องค์ประกอบน้ีจึงเป็ นปัจจยั ที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจหรือเงินทุนเป็ นหลัก แต่ใน กระบวนการผลิตวตั ถุต่างๆ ก็จาเป็ นตอ้ งอาศยั ทรัพยากรดา้ นอื่นๆ ที่มีอยู่อย่างจากดั เป็ นปัจจยั ประกอบดว้ ย 2. สังคม หมายถึง สภาพการอยูร่ ่วมกนั ของคนในสังคม ความสัมพนั ธ์ของคนในสังคม เช่น การไวเ้ น้ือเชื่อใจกนั การช่วยเหลือ แบ่งปัน เอ้ือเฟ้ื อ เผอื่ แผ่ การมีวนิ ยั เคารพกฎเกณฑ์ ระเบียบ และกติกา การอยูร่ ่วมกนั ในสังคมอย่างเคร่งครัด การมีกฎหมายและระบบยุติธรรมท่ีเชื่อถือไดว้ ่า เป็ นธรรมและมีประสิทธิภาพ การมีความผกู พนั รักใคร่ สามคั คี ปรองดอง ของหมู่คณะและสังคม การมีสถาบนั ทางสังคมท่ีเขม้ แข็ง เช่น ครอบครัวอบอุ่น เครือญาติสามคั คี การจดั ระบบสวสั ดิการ ทางสังคมในรูปแบบต่างๆท่ีเป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ ที่พฒั นาข้ึนมาเพ่ือสร้างภูมิคุม้ กนั ที่ดี
46 ในยามวกิ ฤติใหก้ บั สมาชิกในสงั คม เป็ นตน้ ซ่ึงท้งั หมดน้ีเป็ นองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ยง่ิ ในการพฒั นา ท่ียงั่ ยนื เพราะการพฒั นาไมว่ า่ จะดา้ นใดๆจะไม่สามารถดาเนินไปไดด้ ว้ ยดีหรือไม่สามารถนามาซ่ึง ประโยชน์และความสุขอยา่ งต่อเนื่องได้ หากสังคมอ่อนแอ พ้ืนฐานจิตใจของคนในสังคมไม่ต้งั อยู่ บนหลกั ศีลธรรม กฎหมายไมศ่ กั ด์ิสิทธ์ิ คนไมส่ ามคั คีกนั เป็นตน้ 3. สิ่งแวดลอ้ ม รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มของชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลกโดยรวม ไดแ้ ก่ ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรดิน น้า ป่ า แร่ธาตุ ความหลากหลายทาง ชีวภาพ ความเป็ นปกติของภูมิอากาศ กระแสและทิศทางลม คลื่น พลงั งานแสงอาทิตย์ เป็ นตน้ ซ่ึง สิ่งแวดลอ้ มทางธรรมชาติน้ี นอกจากจะเป็ นปัจจยั การผลิตและบริการแลว้ ยงั เป็ นสภาพแวดลอ้ มที่ สาคญั และจาเป็ นในการดารงชีวิตของมนุษยแ์ ละสิ่งมีชีวิตท้งั หลายบนโลก การใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติ46และส่ิงแวดลอ้ ม จึงควรเป็ นไปดว้ ยความเคารพและระมดั ระวงั ดว้ ยความ รับผดิ ชอบตอ่ คนรุ่นหลงั ที่จาเป็นตอ้ งพ่งึ พงิ ทรัพยากรตา่ งๆเหล่าน้ีในการดารงชีวติ เช่นกนั 4. วฒั นธรรม หมายถึงวิถีการดาเนินชีวิตและการดารงชีวิต ซ่ึงรวมถึงความเช่ือ ศาสนา ระบบคุณค่า ภูมิปัญญา การประกอบอาชีพ วฒั นธรรมการกิน อาหารพ้ืนเมือง การอยขู่ องผคู้ น การ รักษาสุขภาพ การแต่งตัว ขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ การแสดง โบราณสถาน เป็ นต้น วฒั นธรรมมีความสาคญั อยา่ งมากในการบ่งบอกถึงเอกลกั ษณ์ ความเป็นตวั ตน การดารงอยใู่ นสังคม ที่มีความหลาหลายอยา่ งมีศกั ด์ิศรี และในขณะเดียวกนั ก็มีความจาเป็ นอย่างยิ่งที่ตอ้ งดารงไวซ้ ่ึง วฒั นธรรมด้งั เดิม เพ่ือคงความเป็นเอกลกั ษณ์ของทอ้ งถิ่นไม่ใหถ้ ูกกลืนหายไป การประยกุ ต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งระดับบุคคล แนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในทางปฏิบตั ิ ต้องเร่ิมจากการเกิด จิตสานึก มีความศรัทธา เชื่อมน่ั เห็นคุณค่า และนาไปปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง หรือเรียกวา่ ตอ้ ง “ระเบิด จากขา้ งใน” คือ เริ่มจากการฝึ กจิต ข่มใจตนเอง และอบรมเล้ียงดูคนในครอบครัวให้มีคุณธรรม กิน อยตู่ ามอตั ภาพ พ่ึงพาตนเองอย่างเต็มความสามารถ ไม่ทาอะไรเกินตวั ไม่ลงทุนเกินขนาด ดาเนิน ชีวติ โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและผอู้ ่ืน ใฝ่ รู้ ใฝ่ ศึกษา และมีการพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเนื่อง เพื่อความ มน่ั คงในอนาคต และเป็ นท่ีพ่ึงใหผ้ อู้ ่ืนในที่สุด เช่น การหาปัจจยั สี่มาเล้ียงตนเองและครอบครัวจาก การประกอบสัมมาอาชีพ การจดั ทาบญั ชีราบรับรายจ่าย ประหยดั แต่ไม่ใช่ตระหนี่ ลด ละ เลิก อบายมุข รู้จกั ใช้ รู้จกั ออมเงินและสิ่งของเคร่ืองใช้ ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีการแบ่งปัน ภายในครอบครัว ชุมชน และสังคมรอบข้าง รวมถึงการรักษาวฒั นธรรมประเพณี และการอยู่ ร่วมกบั ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไดอ้ ยา่ งเหมาะสม รวมท้งั บริหารความเส่ียงด้วยการ สร้างภูมิคุม้ กนั ดา้ นวตั ถุ สังคม สิ่งแวดลอ้ ม และวฒั นธรรม (มูลนิธิชยั พฒั นา, 2554: 11-12)
47 ไรอนั (Ryan: 2006) ไดน้ าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ตก์ บั หลกั การบริหารในแต่ ละกิจกรรมของบุคคล ดงั น้ี 1. การตดั สินใจเกี่ยวกบั การประกอบอาชีพ (Career Decision) ซ่ึงถือเป็ นแหล่งรายได้ หลกั ของการดาเนินชีวิต การสร้างสมดุลในชีวติ การทางานและครอบครัว เป็ นประเด็นสาคญั ของ การตดั สินใจในกิจกรรมน้ี การตดั สินใจตอ้ งอยู่บนเง่ือนไขของความรู้และคุณธรรมเป็ นหลกั การ เลือกอาชีพสุจริตเป็ นจุดเริ่มตน้ สาคญั และประกอบอาชีพอยู่บนความพอประมาณไม่เบียดเบียน ตนเอง ผบู้ งั คบั บญั ชา เพื่อนร่วมงานและ ผูใ้ ตบ้ งั คบั บญั ชา ดูแลรักษาผลประโยชน์ของผมู้ ีส่วนได้ ส่วนเสีย เช่น ผูร้ ับบริการ ลูกคา้ อย่างเป็ นธรรม มีความซ่ือสัตยพ์ ากเพียร ไม่สร้างความเดือดร้อน ให้แก่ชุมชน สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม โดยการตดั สินใจเกี่ยวกบั อาชีพตอ้ งอยู่บนความมีเหตุมีผล สอดคลอ้ งกบั เง่ือนไขความรู้ความสามารถ เหมาะสมกบั บุคลิกภาพหรือคุณลกั ษณะเฉพาะของแต่ ละบุคคล เพ่อื ใหก้ ารประกอบอาชีพดาเนินไปไดอ้ ยา่ งราบรื่น นอกจากน้นั การตดั สินใจที่เกี่ยวขอ้ ง กบั อาชีพการเงิน ตอ้ งเช่ือมโยงกบั การสร้างสมดุลในชีวิตระหวา่ งการทางาน ครอบครัว และชีวิต ส่วนตวั เพื่อให้การประกอบอาชีพไม่เบียดบงั ชีวิตในส่วนอื่น จนเกิดเป็ นตน้ ทุนที่เพิ่มข้ึนในการ ดาเนินชีวิต เช่น การทางานหนกั จนไม่มีเวลาพกั ผอ่ นและขาดการออกกาลงั กายอยา่ งสม่าเสมอ ทา ใหเ้ กิดตน้ ทุนในการรักษาพยายามท่ีเพิม่ ข้ึนเป็นตน้ 2. การจดั การเงิน (Money Management) เป็ นการบริหารจดั การเงินไดจ้ ากการประกอบ อาชีพอย่างมแบบแผนตามหลกั ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และสร้างภูมิคุม้ กนั เร่ิมตน้ จาก “การวางแผนทางการเงิน” ซ่ึงตอ้ งมีการกาหนดเป้ าหมายในการวางแผนทางการเงินเป็ นระยะ โดย ควรมีการกาหนดเป้ าหมายระยะส้นั ระยะกลาง และยาว อยา่ งชดั เจน ท้งั น้ี การที่จะวางแผนการเงิน ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ จาเป็ นท่ีจะตอ้ งมีขอ้ มูลเพียงพอ อาทิ ขอ้ มูลรายรับและรายจ่ายของบุคคล หรือครัวเรือน ซ่ึงไดม้ าจากการทาบญั ชีครัวเรือน เพื่อให้เขา้ ใจถึงโครงสร้างรายไดแ้ ละรายจ่ายได้ อยา่ งชดั เจน และสามารถวางแผนทางการเงินไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยขอ้ มูลลกั ษณะดงั กล่าวจะ สะทอ้ นถึงความไม่จาเป็ นของรายการใชจ้ ่ายบางบรายการ และสามารทตดั ทอนลงได้ เพื่อให้มีเงิน ออมเพม่ิ ข้ึน มุ่งสู่การบรรลุเป้ าหมายท่ีกาหนดไว้
แผนภาพที่ 4 ตวั อยา่ งการวางแผนทางการเงิน 48 การใชจ้ ่ายในชีวติ ประจาวนั การใชจ้ ่ายเพื่อจดั หาทรัพยส์ ิน หรือคา่ ใชจ้ ่ายท่ีรู้อยา่ งชดั แจง้ วา่ การใชจ้ ่ายเพ่อื ภาวะ การจดั สรร ฉุกเฉิน และเหตุจาเป็ น รายได้ เกิดข้ึนในอนาคต การเก็บออมไวใ้ ชใ้ นยามเกษียณ หรือความจาเป็ นอ่ืนใดในอนาคต ที่มา : ณดา จนั ทร์สม, การบริหารการเงินบุคคลเพอื่ ความพอเพยี ง (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2553), 38. 3. การสร้างความมนั่ คงทางการเงิน (Finance Security) เป็นการตดั สินใจท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การลงทุนเงินออมเพอื่ สร้างความมนั่ คงทางการเงินใหแ้ ก่บุคคลและครอบครัว การบริหารเงินท่ีมีอยู่ ใหเ้ หมาะสมตามวตั ถุประสงคข์ องเงินแต่ละส่วน เพอ่ื ให้มีการสร้างผลตอบแทนที่เพ่มิ มากข้ึน และ ไมก่ ่อใหเ้ กิดตน้ ทุนค่าเสียโอกาสจากการที่บริหารจดั การเงินออมไมม่ ีประสิทธิภาพ โดยหลกั การ ลงทุนอยา่ งมีเหตุมีผลตอ้ งสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องเงินออมและเป็นไปตามหลกั ความเสี่ยง และผลตอบแทนของแคล่ ะทางเลือกการลงทุน การลงทุนในเงินออมของแต่ละวตั ถุประสงคอ์ าจ พิจารณาตามหลกั เกณฑ์ ดงั น้ี 3.1 เงินออมเพ่ือการจดั หาทรัพยส์ ิน เช่น ท่ีอยู่อาศยั ยานพาหนะ ฯลฯ (ลงทุนตาม กรอบระยะเวลาที่วางแผนไว้ สภาพคล่องปานกลาง ความเส่ียงปานกลาง อาจเก็งกาไรไดบ้ า้ ง แต่ ควรเป็นทางเลือกที่ไมเ่ สี่ยงมากนกั ) 3.2 เงินออมเพ่ือการใช้จ่ายอนาคตระยะส้ัน เช่น เงินฝากธนาคาร เป็ นตน้ (ลงทุนใน ทางเลือกการลงทุนระยะส้ัน สภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่า) 3.3 เงินออมเพอ่ื ภาวะฉุกเฉิน เช่น การซ้ือกองทุน เป็ นตน้ (ลงทุนในทางเลือกระยะส้ัน ถึงกลาง สภาพคล่องปานกลาง ความเสี่ยงต่า) 3.4 เงินออมเพ่ือวยั ชรา เช่น การทาประกัน เป็ นตน้ (ลงทุนในทางเลือกระยะยาว สภาพคล่องต่า ความเสี่ยงตามระดบั การยอมรับความเส่ียงของแตล่ ะบุคคล) ท้งั น้ีการตดั สินใจลงทุนเพ่ือสร้างความมนั่ คงอยา่ งพอเพียงตอ้ งอยู่บนเง่ือนไขสาคญั คือ การท่ีบุคคลตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกบั ทางเลือกการลงทุน และสามารถประเมินระดบั การยอมรับความ
49 เส่ียงของตนเองไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง เพ่ือมิใหต้ ดั สินใจในลงทุนในทางเลือกการลงทุนท่ีมีความเสี่ยงมาก จนเกินระดบั การยอมรับความเส่ียงของตนเอง จนนาไปสู่ความทุกขใ์ นอนาคตได้ และตอ้ งไม่ลงทุน ในทางเลือกท่ีไมถ่ ูกตอ้ งผดิ ต่อหลกั กฎหมายและศีลธรรม 4. การจดั การหน้ี (Credit Management) การประยกุ ตใ์ ชป้ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการ ดาเนินชีวิตของบุคคลไม่ไดห้ มายถึง “การไม่มีหน้ี” แมว้ า่ ความเป็ นหน้ีโดยทว่ั ไปจะแสดงความไม่ พอดีระหวา่ งรายรับและรายจ่าย แต่หลายกรณีการกูเ้ งินมีความจาเป็ น เช่น การก่อหน้ีเพื่อการจดั หา สินคา้ คงทน ท่ีมีมูลค่าสูงอยา่ งท่ีอยอู่ าศยั ยานพาหนะ หรือสินทรัพยอ์ ่ืนท่ีจาเป็ นต่อการดาเนินชีวิต หน้ีเพ่ือการลงทุน หรือหน้ีเพื่อภาวะฉุกเฉิน เป็ นตน้ โดยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะเป็ นหลกั คิด สาคญั ต่อการตดั สินใจในการก่อหน้ีท่ีจะตอ้ งอยู่บนความสมดุล ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ ตนเองและครอบครัว โดยการใชห้ ลกั ความมีเหตุมีผลในการพิจารณาความจาเป็ นเหมาะสมของการ ก่อหน้ี การคาดการณ์รายไดใ้ นอนาคต และขนาดของการกูท้ ี่เหมาะสม ซ่ึงทาให้การกูย้ ืมบนฐาน ของความพอประมาณ พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผูอ้ ื่น นอกจากน้ียงั จะตอ้ งคานึงถึงความเส่ียงและการมีภูมิคุม้ กนั การกูห้ น้ีตามกรอบปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กล่าวคือ เป็นการกูท้ ี่เป็ นประโยชน์และมีความสามารถในการใชค้ ืน ท้งั น้ี สิ่งสาคญั ท่ีตอ้ งตระหนกั ใหเ้ ขา้ ใจวา่ การจะตดั สินใจในหลกั การดงั กล่าวได้ ตอ้ งอยบู่ นเงื่อนไขท่ีผกู้ ูต้ อ้ งมีความรู้และเท่าทนั แหล่งเงินกู้ ไมใ่ ช่แหล่งเงินกนู้ อกระบบ ผดิ กฎหมาย และผกู้ ูต้ อ้ งมีคุณธรรมต่อการชาระหน้ีคืนหรือ ปลดหน้ีอยา่ งจริงจงั 5. การจดั การทรัพยากร (Resource Management) เป็ นการตดั สินใจที่เก่ียวขอ้ งกบั การ จดั หาทรัพยากรและการบริหารทรัพยากรท่ีมีอยู่ ไดแ้ ก่ สินทรัพยค์ งทนต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ รวมถึงสงั หาริมทรัพยต์ ่างๆ เช่น ทองคา อญั มณี รถยนต์ ฯลฯ ทรัพยากรเหล่าน้ีมีไวเ้ พ่ืออานวยความ สะดวกในการดารงชีวิต และเป็ นทรัพยเ์ พ่ือสร้างความมง่ั คงั่ ให้แก่บุคคลและครัวเรือน การจดั หา ทรัพยากรยอ่ มมีตน้ ทุนท่ีเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง การจดั การทรัพยากรโดยใชห้ ลกั เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็ น การตดั สินใจตอ่ การจดั หาทรัพยส์ ินตามหลกั การมีเหตุมีผล พอประมาร และมีภูมิคุม้ กนั การใชห้ ลกั มีเหตุมีผลและพอประมาณในการตดั สินใจเพ่ือใหไ้ ม่เกิดการสั่งสมทรัพยส์ ินท่ีไม่มีความจาเป็ น จน เป็ นภาระในการดูแลและจดั เก็บรักษา และอาจเกิดตน้ ทุนค่าใช้จ่ายท่ีไม่จาเป็ นข้ึนมาได้ การมี ทรัพยส์ ินเพื่อสร้างความมนั่ คงทางการเงินถือเป็ นแนวทางในการสร้างภูมิคุม้ กนั ในอนาคตได้ แต่ ท้งั น้ีควรมีการวางมีการวางแนวทางมนการที่จะจดั หารายไดจ้ ากทรัพยส์ ินเหล่าน้นั มิใช่เป็ นการสั่ง สมทรัพยส์ ินน้นั ไวโ้ ดยมิไดด้ าเนินดาเนินการอยา่ งใด ยอ่ มถือเป็ นการเบียดบงั ทรัพยากรของสังคม โดยรวม นอกจากน้ี การจดั การทรัพยากรตอ้ งคานึงถึงเงื่อนไขความรู้และคุณธรรม ในการไดม้ าและ บริหารจดั การทรัพยากรเหล่าน้นั ดว้ ย
50 6. การจดั การความเสี่ยง (Risk Management) การดาเนินชีวิตทุกวนั น้ีมีความเสี่ยงเพ่ิมข้ึน ดังน้ัน การบริหารความเสี่ยงจึงเป็ นเร่ืองท่ีจาเป็ นอย่างยิ่งท่ีต้องตระหนัก เพราะ “ความเส่ียง” หมายถึงโอกาสของการเกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์และก่อให้เกิดผลกระทบท่ีจะทาให้การ ดาเนินชีวิตประสบปัญหา ดงั น้นั เพ่ือลดความเส่ียงในการดาเนินชีวติ และไม่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อ ความมน่ั คงทางการเงินของบุคคลและครัวเรือน จาเป็ นจะตอ้ งมีการเดตรียมการเก่ียวกบั ความเสี่ยง ไวด้ ว้ ย ซ่ึงโดยทวั่ ไป กระบวนการบริหารจดั การความเสี่ยงจะเก่ียวขอ้ งกบั 4 ข้นั ตอนสาคญั ดงั น้ี 6.1 ระบุปัจจยั เสี่ยงท่ีจะส่งผลกระทบต่อการดาเนินชีวติ 6.2 ประเมินผลกระทบที่จะเกิดข้ึน 6.3 กาหนดแนวทางในการบริหารจดั การความเส่ียง เพอ่ื ลดโอกาในการเกิดปัจจยั เส่ียง และ/หรือผลกระทบจากการเกิดปัจจยั เสี่ยง 6.4 การทบทวนและติดตามความเสี่ยงอยเู่ สมอ ดงั น้นั ในการดาเนินชีวติ ตอ้ งตระหนกั ถึงปัจจยั เสี่ยงที่จะเกิดข้ึนในการดาเนินชีวิต การเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย การขาดรายได้ การขาดผเู้ ล้ียงดูในวยั ชรา ความเสียหายในชีวติ และทรัพยส์ ิน ฯลฯ และมี การประเมินโอกาสและความรุนแรงของปัจจยั เส่ียงแต่ละปัจจยั และเตรียมการสาหรับการรับมือ ปัจจยั เสี่ยงเหล่าน้นั จะเป็ นการสร้างภูมิคุม้ กนั ในตวั ที่ดีของการดาเนินชีวิตอย่างระมดั ระวงั ของ บุคคลและครัวเรือนได้ พิศิษฐ์ โจทยก์ ิ่ง (2552: 251-252)ไดเ้ สนอแนวทางการปฏิบตั ิตนตามแนวทางเศรษฐกิจ พอเพยี ง ดงั น้ี 1. ยึดความประหยดั ตดั ทอนค่าใช้จ่ายในทุกดา้ น ลดละความฟ่ ุมเฟื อยในการดารงชีพ อยา่ งจริงจงั 2. ยดึ ถือการประกอบอาชีพดว้ ยความถูกตอ้ งสุจริต แมจ้ ะตกอยใู่ นภาวะขาดแคลนในการ ดารงชีพกต็ าม 3. ละเลิกการแก่งแยง่ ผลประโยชน์และแข่งขนั กนั ในทางการคา้ ขายประกอบอาชีพแบบ ต่อสู้กนั อยา่ งรุนแรงดงั อดีต 4. ไม่หยุดนิ่งที่จะหาทางให้ชีวิตหลุดพน้ จากความทุกข์ยาก โดยตอ้ งขวนขวายใฝ่ หา ความรู้ใหเ้ กิดมีรายไดเ้ พิ่มพนู ข้ึนจนถึงข้นั พอเพียงเป็นเป้ าหมายสาคญั 5. ปฏิบตั ิตนในแนวทางท่ีดี ลดละสิ่งชวั่ ใหห้ มดสิ้นไป ปรียานุช พิบูลสราวธุ (2552 อา้ งถึงใน นพพร จนั ทรนาชู, 2554: 235-236) ไดก้ ล่าววา่ วถี ี การพฒั นามุ่งสู่ความยงั่ ยนื ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมี 4 ประการ ไดแ้ ก่
51 1. การให้ความสาคญั กบั การพฒั นาที่สมดุล โดยเสนอแนวทางในการตดั สินใจเกี่ยวกบั การใชท้ รัพยากรเพือ่ การพฒั นาที่สามารถนามาใชไ้ ดท้ ้งั ในระดบั บุคคล องคก์ ร หน่วยงาน ตลอดจน รัฐบาล ท้งั ทรัพยากรทางกายภาพท่ีเป็ นวตั ถุ เงินทุน ระบบนิเวศไปจนถึงทรัพยากรทางสังคม วฒั นธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเป็ นอยู่ ค่านิยม และการกาหนดเป้ าหมายการพฒั นาให้ เจริญกา้ วหนา้ ไปพร้อมกบั ความสมดุล ภายใตส้ ภาวะการเปลี่ยนแปลง (dynamic balance) มากกวา่ การที่จะมุ่งขยายการเติบโตใหม้ ากข้ึนเพยี งมิติเดียว ดงั ท่ีเคยทามาในอดีต 2. การให้ความสาคัญกับเป้ าหมายของกิจกรรมพฒั นาที่มุ่งเน้นประโยชน์ส่วนรวม เน่ืองจากลกั ษณะการมองโลกอย่างเป็ นองคร์ วมของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ให้ความสาคญั กบั ความเช่ือมโยงสัมพนั ธ์ของมนุษยก์ บั สรรพสิ่ง ดงั น้นั แต่ละคนจึงควรใส่ใจที่จะกาหนดเป้ าหมาย ยอ่ ยส่วนบุคคล ในทิศทางที่สอดคลอ้ งกบั เป้ าหมายท่ีเป็ นประโยชน์ส่วนรวม และในข้นั ปฏิบตั ิแต่ ละบุคคลควรดาเนินภารกิจตนใหด้ ีท่ีสุด เพื่อบรรลุเป้ าหมายน้นั ๆ ภายใตบ้ ริบทและขอ้ จากดั ของแต่ ละคน กล่าวคือ แก้ปัญหาจากจุดเล็ก (think global act local) เพ่ือให้เกิดท้งั ประโยชน์ตนและ ประโยชน์ส่วนรวมไปพร้อมกนั 3. การใหค้ วามสาคญั กบั การพฒั นาที่กา้ วหนา้ ไปอยา่ งมน่ั คง โดยเร่ิมจากการพฒั นาฐาน รากของสังคม (foundation) คือ การสร้างความมนั่ คงทางเศรษฐกิจในระดบั ครอบครัวให้เขม้ แข็ง พออยพู่ อกิน สามารถพ่ึงตนเองไดใ้ นระดบั หน่ึงก่อน แลว้ จึงเพ่ิมระดบั การพฒั นาอยา่ งเป็ นข้นั ตอน (step-by-step development) ซ่ึงการพฒั นาอยา่ งเป็นข้นั ตอน โดยเริ่มจากฐานรากน้ีจะทาใหผ้ ลพวงท่ี เกิดจากการพฒั นาตกถึงแก่ประชาชนส่วนใหญ่โดยตรง และเป็ นแนวทางการพฒั นาที่ไม่เส่ียงต่อ การเกิดวกิ ฤตลม้ ละลายท้งั ระบบอยา่ งที่เคยเกิดข้ึนในประเทศอื่น 4. การให้ความสาคญั กบั การพฒั นาคนใหม้ ีคุณภาพ (quality of people) โดยเฉพาะอยา่ ง ยงิ่ ใหม้ ีคุณธรรมกากบั ความรู้ในการดาเนินชีวติ จึงจะสามารถทาใหเ้ กิดวิถีการพฒั นาสู่ความยงั่ ยนื ได้ เพราะคนท่ีมีคุณภาพจะสามารถใช้สติปัญญาในทางที่ถูกตอ้ ง เป็ นเหตุเป็ นผล และใส่ใจเรียนรู้ คิดคน้ ปรับปรุง วิธีการ แนวทางในการจดั การทรัพยากรให้เหมาะสม สมดุล และป้ องกนั แกไ้ ข ขอ้ บกพร่อง เพ่ือให้เกิดผลดีข้ึน ท้งั ต่อตนเองและสังคมโดยรวมในขณะเดียวกนั ซ่ึงในท่ีสุดจะ นาไปสู่การพฒั นาที่ยงั่ ยนื กล่าวโดยสรุป การที่จะนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกตใ์ ช้ในการดารงชีวิตน้นั มี ความจาเป็ นท่ีจะตอ้ งเกิดความสานึกจากภายในตวั บุคคล อนั จะไปนาไปสู่แนวทางการปฏิบตั ิ เพ่ือ ตนเอง ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ
52 ผลการปฏบิ ตั ติ ามปรัชญาเศรษฐกจิ พอพยี ง สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจยั (2549: 16-18) อธิบายถึงผลของการปฏิบตั ิตาม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในระดบั บุคลและชุมชน ดงั น้ี 1. เกิดการร้ือฟ้ื นภูมิปัญญาท้องถ่ิน ไม่ว่าจะเป็ นเร่ืองการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ ประเพณี วฒั นธรรม ความเช่ือ ประวตั ิศาสตร์ เกษตรกรรม การทอผา้ การแพทยพ์ ้ืนบา้ น สมุนไพร เป็นตน้ ทาใหภ้ ูมิปัญญาทอ้ งถ่ินที่ถูกกดทบั มาชา้ นานไดร้ ับการยอมรับ และพฒั นาเป็ นองคค์ วามรู้ท่ี ทอ้ งถ่ินสามารถใชป้ ระโยชน์ไดโ้ ดยตรง อนั เป็นการดารงรากเหงา้ หรือทุนทางสังคม ท่ีทาให้ชุมชน สามารถพ่ึงพิงตนเองได้อยา่ งมีอิสระมากข้ึน ช่วยสร้างความเช่ือมน่ั และความภาคภูมิใจในความรู้ ของทอ้ งถิ่น รวมไปถึงสามารถถ่ายเทแลกเปล่ียนบทเรียนความสาเร็จ ความลม้ เหลวระหวา่ งชุมชน เพอ่ื การพฒั นาต่อไป 2. คืนสายสัมพนั ธ์ให้ชุมชน จากการทากิจกรรมและเรียนรู้ร่วมกนั จากเดิมท่ีต่างคนต่าง อยกู่ ็มาพดู คุยกนั มากข้ึนเหมือนสายใยในอดีต มีอะไรก็ช่วยกนั ทา รักและสามคั คี เอ้ือเฟ้ื อเก้ือกลู กนั มากข้ึน 3. คนในทอ้ งถิ่นเก่งข้ึน หลายคนไดพ้ ฒั นาศกั ยภาพของตนเอง รู้จกั การทางานอยา่ งเป็ น ข้นั ตอน ให้ความสาคญั กบั ขอ้ มูล มีการวางแผน มีการทบทวน มีการสรุปบทเรียน รวมไปถึงการ เพม่ิ พนู ความสามารถดา้ นการพดู การเขียน การประสานงาน และรู้จกั การแกป้ ัญหาเฉพาะหนา้ อยา่ ง เทา่ ทนั 4. เกิดกลไกการมีส่วนร่วมอยา่ งตอ่ เน่ือง จากกระบวนการร่วมคิด ร่วมพดู คุย ต้งั แต่การต้งั โจทยไ์ ปจนถึงการเก็บขอ้ มูล การวเิ คราะห์ขอ้ มูล และปฏิบตั ิการอยา่ งต่อเน่ือง พร้อมๆกบั ประสาน ความร่วมมือไปยงั หน่วยงาน/องคก์ รต่างๆท่ีเกี่ยวขอ้ ง ทาให้ชุมชนเกิดจิตสานึก มุ่มมนั่ และยินดีท่ี จะร่วมกนั แกไ้ ขปัญหา พร้อมสร้างกลไกใหมๆ่ เพอื่ รับมือกบั สิ่งที่เกิดข้ึน กล่าวโดยสรุป ความสาเร็จของการปฏิบตั ิตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความสามารถ ในการอุม้ ชูตนเอง โดยท่ีมีการพ่ึงพิงผูอ้ ื่นหรือหน่วยงานอ่ืนให้น้อยที่สุด และเม่ือสามารถอุม้ ชู ตนเองไดแ้ ลว้ ก็จะนามาซ่ึงการรวมกลุ่มกนั เพ่ือทาประโยชน์ให้ส่วนรวมและประเทศชาติ โดยไม่ เบียดเบียนหรือทาลายทรัพยากรธรรมชาติ ก่อใหเ้ กิดการพฒั นาท่ีสมดุลและยงั่ ยนื ต่อไป
53 4. แนวคิดเกย่ี วกบั ความรู้ ความหมายของความรู้ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2546: 147) ใหค้ วามหมายวา่ ความรู้ (knowledge) คือ สิ่งท่ี เกิดข้ึนจากการผสมผสานระหวา่ งประสบการณ์ ค่านิยม ขอ้ เท็จจริง ขอ้ มูล สารสนเทศ การพิสูจน์ ประเมินค่า และการตดั สินใจ ความรู้เป็ นสิ่งที่ไม่คงที่ สามารถเปล่ียนแปลงได้ และสั่งสมมากข้ึน ตามกาลเวลา บลูม (Bloom B.S., 1971) ให้ความหมายว่า ความรู้ เป็ นสิ่งท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การระลึกถึงสิ่ง เฉพาะเร่ืองหรือเรื่องทวั่ ไป ระลึกถึงวธิ ีการ กระบวนการ หรือสถานที่ต่างๆ โดยเนน้ ความจา อนันต์ ศรี โสภา (2535) ให้ความหมายว่า ความรู้ คือ ความสามารถทางพุทธิปัญญา ประกอบดว้ ย ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะทางปัญญา แบง่ ออกเป็น 6 ข้นั ตอน ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 ความรู้ คือ ความจาในสิ่งที่เคยประสบมาก่อน ไดแ้ ก่ 1.1 ความรู้เก่ียวกับวิชาการเฉพาะ เป็ นความรู้เก่ียวกับความจริงต่างๆ รวมถึง ความหมายของคาน้นั ๆ 1.2 ความรู้เกี่ยวกบั วิธีและการดาเนินงานสิ่งใดสิ่งหน่ึงโดยเฉพาะ เป็ นความรู้ที่ เกี่ยวกบั ลกั ษณะแบบแผน การจาแนกและแบ่งประเภทของสิ่งต่างๆ แนวโน้มและการจดั ลาดบั เกณฑ์ และการดาเนินงานสิ่งใดสิ่งหน่ึงโดยใชร้ ะเบียบ 1.3 ความรู้เก่ียวกบั การรวบรวมแนวความคิดและโครงสร้างของสิ่งใดสิ่งหน่ึง เป็ น ความรู้เกี่ยวกบั กฎและการใชก้ ฎ รวมถึงทฤษฎีและโครงสร้าง ข้นั ที่ 2 ความรู้ คือ ความเขา้ ใจความหมายในสิ่งน้นั ประกอบดว้ ย 2.1 การแปลความหมายจากสิ่งหน่ึงไปสู่สิ่งหน่ึง โดยการรักษาความหมายเดิม 2.2 การตีความหมาย เป็นการเรียบเรียงคาอธิบายใหม่ เพื่อใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน 2.3 การขยายความหมาย เป็นการขยายขอ้ มูลใหไ้ กลกวา่ เดิม ข้นั ที่ 3 การนาไปใช้ คือ การนาสาระสาคญั ตา่ งๆไปใชจ้ ริง ข้นั ท่ี 4 การวเิ คราะห์ คือ การขยายเร่ืองราวออกเป็นส่วนๆ ไดแ้ ก่ 4.1 การวเิ คราะห์ส่วนประกอบตา่ งๆ 4.2 การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่วนประกอบน้นั ข้นั ที่ 5 การสงั เคราะห์ คือ การรวบรวมส่วนประกอบเขา้ ดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ 5.1 การกระทาที่เก่ียวกบั แผนงานหรือเสนอวธิ ีการต่างๆ 5.2 การพฒั นาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่วนประกอบต่างๆ
54 ข้ันที่ 6 การประเมินผล คือ การตัดสินคุณค่าสิ่งท่ีกาหนดความมุ่งหมายไว้ โดยใช้ หลกั เกณฑท์ ี่แน่นอน เช่น 6.1 การตดั สินใจโดยอาศยั เหตุการณ์ภายในส่ิงน้นั 6.2 การตดั สินใจโดยอาศยั เหตุการณ์ภายนอกพิจารณา ไพโรจน์ ชลารักษ์ (2551: 3) ใหค้ วามหมายวา่ ความรู้ มีลกั ษณะดงั น้ี 1. เป็นนามธรรม 2. มีกาเนิดในคน และอยใู่ นตวั คน 3. เกิดข้ึนไดโ้ ดยอาศยั กระบวนการและปัจจยั หลายอยา่ งท้งั ภายนอกและภายในตวั คน ผสมผสานกนั 4. แสดงออกใหป้ รากฏแก่ผอู้ ่ืนไดโ้ ดยผา่ นพฤติกรรม 5. มีพลงั และมีอิทธิพลตอ่ คน 6. นามาใช้แลว้ ไม่หมดไป ไม่สูญสลาย มีแต่จะเปล่ียนแปลงและเพิ่มข้ึนเร่ือยๆ ไม่มีท่ี สิ้นสุด 7. สามารถบนั ทึกและสามารถถ่ายทอดออกจากคนไดด้ ว้ ยวิธีต่างๆ โดยอาศยั สื่อและ เคร่ืองมือตา่ งๆ กล่าวโดยสรุป ความรู้ เป็นความสามารถของสมอง ในการจดจาไดเ้ กี่ยวกบั ส่ิงที่ไดพ้ บหรือ เผชิญของบุคคล เป็ นสิ่งท่ีเกิดข้ึนโดยอาศัยปัจจัยท้ังภายนอกและภายในตัวบุคคล ที่ใช้สื่อ ความหมายกบั บุคคลอ่ืน ผา่ นการแสดงออกมาทางพฤติกรรม ระดบั ความรู้ ระดบั ความรู้ เป็นตวั สะทอ้ นวธิ ีคิด และวธิ ีจดั การโดยยดึ ถือศาสตร์เป็ นหลัก มีวธิ ีการเขา้ ถึง แหล่งความรู้และไดร้ ับการถ่ายทอดความรู้ที่มีผคู้ รอบครองอยู่ เป็ นลาดบั จากเร่ืองท่ีง่ายไปสู่เร่ืองท่ี ยากและซบั ซอ้ นข้ึน มากกวา่ จะเป็นการเรียนรู้ในสิ่งท่ีมีคุณคา่ สูง (สุพตั รา ชาติบญั ชาชยั , ม.ป.ป: 52) บลูม (Bloom B.S.,1971) ไดเ้ สนอแนวคิดเกี่ยวกบั ระดบั ความรู้ของคนวา่ มีดว้ ยกนั 6 ระดบั โดยแตล่ ะระดบั มีดงั น้ี 1. ความรู้ (Knowledge) หมายถึง การเรียนรู้ท่ีเนน้ การจาและการระลึกไดถ้ ึงความคิด วตั ถุ และปรากฏการณ์ต่างๆ ซ่ึงเป็ นความจาท่ีเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ท่ีเป็ นอิสระแก่กนั จนถึงในสิ่งท่ีซบั ซอ้ น และมีความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกนั 2. ความเขา้ ใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension) เป็ นความสามารถทางสติปัญญา ในการขยายความรู้ ความจา ใหก้ วา้ งข้ึนกวา่ เดิมอยา่ งสมเหตุสมผล
55 3. การประยกุ ตใ์ ช้ (Application) เป็นความสามารถในการนาความรู้ ความเขา้ ใจ ความคิด รวบยอดในเรื่องใดๆท่ีมีอยเู่ ดิม ไปแกไ้ ขปัญหาใหมข่ องเรื่องน้นั โดยการใชค้ วามรู้ต่างๆ โดยเฉพาะ อยา่ งยิ่ง วิธีการและความคิดรวบยอดมาผสมผสานกบั ความสามารถในการแปลความหมาย การ สรุปหรือขยายความของสิ่งน้นั 4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็ นความสามารถและทกั ษะท่ีสูงกว่าความเขา้ ใจ และการ นาไปปรับใช้ กล่าวคือ เป็นการแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนๆที่มีความสัมพนั ธ์กนั รวมท้งั การสืบคน้ ความสัมพนั ธ์ของส่วนต่างๆ เพื่อดูวา่ ส่วนประกอบแต่ละส่วนสามารถเขา้ กนั ไดห้ รือไม่ ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดความเขา้ ใจสิ่งหน่ึงสิ่งใดไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง 5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็ นความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบยอ่ ยๆหรือ ส่วนใหญ่ๆเขา้ ดว้ ยกนั เพื่อให้เป็ นเรื่องราวอนั หน่ึงอนั เดียวกนั การสังเคราะห์จะมีลักษณะเป็ น กระบวนการรวบรวมเน้ือหาสาระของเร่ืองต่างๆ เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั เพ่ือสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างท่ี ยงั ไม่ชดั เจนข้ึนมาก่อน อนั เป็ นกระบวนการที่ตอ้ งอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ภายในขอบเขตของสิ่ง ท่ีกาหนดข้ึน 6. การประเมินผล (Evaluation) เป็ นความสามารถในการตดั สินเก่ียวกบั ความคิด ค่านิยม ผลงาน คาตอบ วธิ ีการและเน้ือหาสาระ เพ่อื วตั ถุประสงคบ์ างอยา่ ง โดยมีการกาหนดเกณฑ์เป็ นฐาน ในการพิจารณาตดั สินการประเมินผล กล่าวโดยสรุป ความรู้มีดว้ ยกนั หลายระดบั ตามความสามารถและกระบวนการท่ีแตกต่าง กนั ซ่ึงได้แก่ ความรู้ท่ีเกิดจากการจาและระลึกได้ ข้นั ต่อมาคือ ความเขา้ ใจในความรู้น้นั นาไปสู่ ความสามารถในการการนาความรู้ความเข้าใจน้ันไปปรับใช้ ก่อให้เกิดความสามารถในการ วเิ คราะห์และการสงั เคราะห์ และข้นั สุดทา้ ย คือ สามารถประเมินผลไดใ้ นท่ีสุด ลกั ษณะความรู้ การเกิดความรู้ข้ึนในตวั คน จะเป็ นผลจากปฏิกิริยาของจิตใจคนกบั สิ่งท่ีมากระทบหรือ สมั ผสั ซ่ึงแบง่ เป็น 5 ลกั ษณะ ดงั น้ี (ไพโรจน์ ชลารักษ,์ 2551: 6-7) 1. รับรู้ (receive) เป็นลกั ษณะที่อวยั วะรับสัมผสั ของคนอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรือหลายอยา่ ง สัมผสั กบั ส่ิงภายนอก เช่น การมองเห็น ไดย้ นิ ไดก้ ลิ่น ไดส้ ัมผสั หรือไดล้ ิ้มรส เมื่อไดส้ ัมผสั จิตจะ รับรู้ทนั ทีกบั สิ่งท่ีไดร้ ับ 2. เรียนรู้ (learn) เป็นลกั ษณะท่ีต่อจากการรับรู้คร้ังแรกต่อส่ิงใหม่ แลว้ จิตคนจะจดจาและ คิดเก่ียวกบั สิ่งท่ีไดส้ มั ผสั น้นั คร้ังตอ่ ไปเม่ือไดส้ ัมผสั อีก ก็จะรู้ไดท้ นั ที โดยไม่คิดสงสัยอีก เช่น คร้ัง แรกได้กลิ่นดอกไมช้ นิดหน่ึง ก็จะรู้ว่าไดก้ ล่ิน เมื่อไดก้ ล่ินแบบเดียวกนั อีกคร้ัง ก็จะรู้โดยทนั ทีว่า เหมือนที่เคยไดก้ ลิ่นมาแลว้ และถา้ มีผูเ้ คยบอกว่ากลิ่นน้ีเป็ นกล่ินของอะไรก็จะจาได้ และระบุได้
56 ทนั ทีว่ากลิ่นที่ไดด้ มน้นั เป็ นกลิ่นของอะไร รวมท้งั คร้ังต่อๆไปดว้ ย เป็ นการติดอยูใ่ นความจา ซ่ึง เรียกวา่ ความรู้นนั่ เอง 3. ตระหนกั รู้ (realize) เป็ นระดบั การเช่ือมโยงความรู้ในข้นั ที่ 1 และ 2 แลว้ ทาใหเ้ ขา้ ใจ สถานการณ์ใหม่ได้ หรือคาดเดาสถานการณ์หรืออารมณ์ได้ มีลกั ษณะเป็ นความเขา้ ใจสถานการณ์ ไดช้ ดั เจน เช่น ไม่เคยรับรู้ เรียนรู้ หรือมีประสบการณ์ที่คนรักหรือผมู้ ีพระคุณตายจากไป แลว้ เกิด ความรู้สึกอย่างไร ต่อมาเมื่อคนรักหรือผูม้ ีพระคุณของตนตายไป ก็จะเขา้ ใจได้ว่ามีความรู้สึก อยา่ งไร เป็นการเขา้ ถึงความรู้สึกแมจ้ ริงของอารมณ์สมั ผสั 4. หยงั่ รู้ (intuition and insight) เป็ นข้นั หรือระดบั ที่แมไ้ ม่เคยประสบหรือสัมผสั ดว้ ย ตวั เองมาก่อน แตอ่ าศยั การพิจารราไตร่ตรองดว้ ยจิตใจที่แน่วแน่และเป็ นสมาธิอยา่ งมน่ั คงก็เกิดการ รับรู้ธรรมารมณ์ท่ีเป็ นนามธรรมได้ เป็ นความรู้สึกปิ ติสุข ความเขา้ ใจชดั เจน สามารถตอบขอ้ สงสัย หรือปัญหาได้ ตวั อย่างเช่น สามเณรอิคคิวซังคิดหนทางแกป้ ัญหาออก หรืออาร์คิดิมิสคน้ พบวิธี ตรวจสอบมงกุฎทองคาไก้ หรือเซอร์ ไอแซค นิวตนั คน้ พบแรงโน้มถ่วงของโลก เป็ นตน้ ความรู้ ชนิดน้ี เรียกไดว้ า่ เป็นความฉลาดหรือเชาวป์ ัญญา 5. บรรลุรู้หรือตรัสรู้ (enlighten) เป็ นความรู้แจง้ ในทุกสรรพสิ่งและรู้ในจิตใจ เมื่อ ตอ้ งการจะรู้เพียงแต่นึก หรือเพ่งจิตถึงสิ่งน้นั ก็รู้ไดท้ นั ทีเสมือนเปิ ดสวิตซ์ไฟ หรือจุดไฟในห้องมืด เม่ือเกิดแสงสว่างข้ึนก็มองเห็นทุกอย่างไดห้ มด ความรู้แจง้ ชนิดน้ี เรียกวา่ ปัญญา และเป็ นปัญญา แทจ้ ริงสูงสุดของมนุษย์ มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2546: 148) อธิบายเพิ่มเติมถึงลกั ษณะของความรู้น้นั มี ลกั ษณะแตกต่างจากปัจจยั การผลิตหรือสินคา้ อ่ืนๆ ดงั น้ี 1. ความรู้เม่ือไดม้ ีการคน้ พบและเผยแพร่ต่อสาธารณชนไปแลว้ ถือเป็ นสินคา้ สาธารณะ ผอู้ ื่นสามารถนาไปใชไ้ ดโ้ ดยเกือบไมต่ อ้ งมีคา่ ใชจ้ ่ายหรือความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจ 2. ความรู้ท่ีมีอยู่ เมื่อผใู้ ดไดใ้ ชไ้ ปแลว้ บุคคลอ่ืนก็สามารถใชค้ วามรู้ในส่วนเดียวกนั น้นั ได้ อีก โดยความรู้น้นั ก็มิไดล้ ดนอ้ ยลง 3. ความรู้จะเกิดประโยชน์ต่อการพฒั นา เมื่อมีการกระจายความรู้ โดยการพฒั นาเครือข่าย เป็ นกลไกสาคญั ในการลดช่องว่างของความรู้ (knowledge gap) หรือเส้นแบ่งของเทคโนโลยี (digital divide) 4. ความรู้มีอยูม่ าก แต่ความสามารถในการแสวงหาความรู้เป็ นสิ่งท่ีหาไดย้ าก และเป็ น อุปสรรคต่อการใชป้ ระโยชนจ์ ากความรู้
57 กล่าวโดยสรุป ผลของความรู้ ก่อให้เกิดสติปัญญาท่ีนามาใช้ในกระบวนการตดั สินใจ นาไปสู่การประพฤติและปฏิบตั ิกิจต่างๆ เพ่ือใหบ้ รรลุเป้ าหมายท่ีต้งั ไว้ โดยอาศยั การรับรู้ การเรียนรู้ ความตระหนกั รู้ ความหยงั่ รู้ และการตรัสรู้ ตามความสามารถของบุคคลน้นั 5. แนวคดิ เกย่ี วกบั พฤติกรรม การแสดงพฤติกรรมของมนุษยย์ อ่ มมีความแตกต่างกนั ออกไป ซ่ึงข้ึนอยกู่ บั เจตคติ ค่านิยม บรรทดั ฐานของสงั คม สภาพแวดลอ้ มหรือบริบทโดยรอบของบุคคลดงั กล่าว ความหมายของพฤติกรรม ณรงค์ เส็งประชา (2532) ใหค้ วามหมายวา่ พฤติกรรม เป็ นกิริยาอาการท่ีแสดงออกซ่ึงทาให้ ผทู้ ่ีพบเห็นไดท้ ราบความหมาย เพอ่ื การปฏิบตั ิตอบไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2538: 45) ใหค้ วามหมายวา่ พฤติกรรม เป็ นการกระทาทุก อย่างของมนุษย์ ไม่ว่าการกระทาน้ัน ผูก้ ระทาจะรู้ตวั หรือไม่ก็ตาม และบุคคลอื่นจะสังเกตการ กระทาน้นั ไดห้ รือไม่ก็ตาม เพอื่ ตอบสนองต่อส่ิงใดสิ่งหน่ึงในสภาพการณ์ใดสภาพการณ์หน่ึง เมธาวี อุดมธรรมานุภาพ และคณะ (2554: 5) ให้ความหมายวา่ พฤติกรรม คือ กิจกรรมของ บุคคลที่เป็นรูปธรรม และกิจกรรมภายในจิตใจที่เป็นนามธรรม ลกั ขณา สิริวฒั น์ (2549: 17) ใหค้ วามหมายวา่ พฤติกรรม เป็ นการแสดงออกถึงความรู้สึก นึก คิด ความตอ้ งการชองจิตใจท่ีตอบสนองต่อส่ิงเร้า ซ่ึงอาจสังเกตเห็นไดโ้ ดยทางตรงหรือทางออ้ ม บางลกั ษณะอาจสังเกตไดโ้ ดยใชเ้ ครื่องมือช่วย หรือไม่ใชเ้ คร่ืองมือช่วย มาลิณี จุโฑปะมา (2553: 3) ใหค้ วามหมายวา่ พฤติกรรม คือ อากปั กิริยาท่าทางการแสดงออก ของมนุษยแ์ ละสัตว์ ท้งั ท่ีรู้สึกตวั และไมร่ ู้สึกตวั ท้งั ที่มองเห็นและสัมผสั ได้ และไม่สามารถมองเห็น และสัมผสั ไดด้ ้วยตนเองหรือผอู้ ื่น สามารถวดั ไดโ้ ดยทางตรงหรือทางออ้ ม อนั เป็ นผลมาจากการ แสดงปฏิกิริยาต่อส่ิงเร้าในสถานการณ์ต่างๆ กล่าวโดยสรุป พฤติกรรม หมายถึงกิริยาท่าทางของบุคคลที่แสดงออกมา เพื่อตอบสนองต่อ สิ่งเร้าท่ีมากระทบ ซ่ึงผกู้ ระทาอาจจะรู้ตวั หรือไม่รู้ตวั กต็ าม ประเภทของพฤติกรรม มาลิณี จุโฑปะมา (2553: 3) ไดแ้ บ่งพฤติกรรมออกเป็น 2 รูปแบบ คือ 1. พฤติกรรมภายนอก เป็ นพฤติกรรมท่ีตนเองหรือผูอ้ ่ืนมองเห็นหรือสัมผสั ได้ และ สามารถวดั ได้โดยทางตรง โดยไม่ตอ้ งใช้เครื่องมือช่วย เช่น การเดิน ว่ิง นง่ั ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ คาพดู เป็นตน้ และพฤติกรรมที่ไม่สามารถรับรู้ไดท้ างประสาทสัมผสั ตอ้ งใชเ้ คร่ืองมือช่วย เช่น การ ไหลเวยี นของกระแสโลหิต การทางานของระบบต่อมต่างๆภายในร่างกาย เป็นตน้
58 2. พฤติกรรมภายใน เป็ นพฤติกรรมที่ไม่สามารถวดั ได้โดยตรง ต้องอาศยั วิธีวดั โดย ทางออ้ ม ซ่ึงผแู้ สดงพฤติกรรมอาจจะรู้สึกตวั หรือไม่รู้สึกตวั ก็ได้ เช่น ความเครียด เจตคติ ดีใจ เศร้า หมอง หงุดหงิด เป็นตน้ ลกั ขณา สิริวฒั น์ (2549: 17-18) กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกบั ประเภทของพฤติกรรม ดงั น้ี 1. พฤติกรรมภายนอก หรือพฤติกรรมเปิ ดเผย (Overt Behavior) หมายถึง การกระทาหรือ การแสดงออกท่ีบุคคลอ่ืนนอกเหนือจากเจา้ ของพฤติกรรมรู้ สาหรับพฤติกรรมภายนอกน้ี บุคคลอ่ืน ตอ้ งอาศยั การสังเกต ไม่วา่ จะใช้ประสามสัมผสั โดยตรงหรือใชเ้ คร่ืองมือช่วยในการสังเกตเพ่ือได้ ขอ้ มลู จึงมีการจาแนกพฤติกรรมภายนอกไดอ้ ีก 2 ประเภทยอ่ ยๆ คือ 1.1 พฤติกรรมโมลาร์ (Molar Behavior) ไดแ้ ก่ พฤติกรรมท่ีบุคคลอื่นสามารถสังเกต ไดโ้ ดยใชต้ าสังเกตเพียงอย่างเดียวก็รับรู้ไดอ้ ยา่ งมีความหมายต่อกระบวนการคิดมากกวา่ ประสาท สัมผสั อ่ืน เพราะตาสามารถส่งตอ่ ยงั ประสาทสมั ผสั อื่นๆได้ ท้งั หู จมกู เป็นตน้ 1.2 พฤติกรรมโมเลกุล (Molecular Behavior) ไดแ้ ก่ พฤติกรรมที่ผอู้ ื่นตอ้ งใชเ้ ครื่องมือ เพื่อช่วยในการสังเกตจึงจะเห็นได้และทาให้ได้ขอ้ มูลที่แม่นยา เช่น การเตน้ ของหัวใจ ความดนั โลหิต เป็นตน้ 2. พฤติกรรมภายใน หรือ พฤติกรรมปกปิ ด (Covert Behavior) หมายถึง พฤติกกรมหรือ การกระทาท่ีบุคคลอ่ืนไม่สามารถมองเห็นไดห้ รืออาจสังเกตเห็นไดย้ าก เพราะเป็ นการกระทาของ อวยั วะที่อยภู่ ายในร่างกาย เช่น ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก เป็นตน้ นอกจากน้ี ยงั สามารถแบง่ ประเภทพฤติกรรมตามทศั นะของตนเองและผอู้ ื่น ไดด้ งั น้ี 1. พฤติกรรมของคนที่มีทศั นะต่อตนเองและผูอ้ ่ืนแบบฉันเห็นดว้ ย และเธอก็เห็นดว้ ย (I’m OK, you’re OK.) พวกน้ีจะมีลกั ษณะพฤติกรรม ดงั ต่อไปน้ี 1.1 มีความมนั่ ใจ ความสามารถ และศกั ยภาพ 1.2 ไม่มีการปกป้ องตนเอง 1.3 การตอบสนองต่อปัญหา เป็ นลกั ษณะช่วยเหลือผูอ้ ่ืน พยายามที่จะเขา้ ใจปัญหา วเิ คราะห์และบ่งช้ีปัญหาไดต้ รง และกระฉบั กระเฉง 1.4 เหตุผลในการแสดงพฤติกรรม คือ การมีความสามารถในการคน้ หาแนวทางที่จะ บรรลุวตั ถุประสงค์ มีความรู้สึกตอ่ ตนเองวา่ มีคุณค่า 1.5 มีความเหมาะสมในการแสดงออกตามสถานภาพในสังคม 1.6 มีภาวะสภาพจิตและกายที่สุขสมบรู ณ์ 2. พฤติกรรมของคนที่มีทศั นะต่อตนเองและผูอ้ ่ืนแบบฉันเห็นด้วย แต่เธอไม่เห็นด้วย (I’m OK, you’re not OK.) พวกน้ีจะมีลกั ษณะพฤติกรรม ดงั ต่อไปน้ี
59 2.1 ปกป้ องตนเอง ตาหนิผอู้ ่ืน 2.2 การตอบสนองต่อปัญหา เป็ นลักษณะการจู่โจมและตาหนิติเตียน เคร่งครัด รับผดิ ชอบ และควบคุมมากเกินไป ปิ ดก้นั ความคิดเห็นของผอู้ ื่น และมีกิริยาท่ีหยง่ิ ยโส 2.3 เหตุผลในการแสดงพฤติกรรม คือ กลวั ในการแสดงความรู้สึก กลวั ต่อการกระทา ความผดิ และกลวั วา่ จะถูกมองวา่ ไม่มีคุณคา่ 2.4 มกั แสดงออกในฐานะผวู้ จิ ารณ์ 2.5 การแสดงออกมกั กราดเกร้ียวและรุนแรง 2.6 ไมม่ ีความเชื่อใจและไวว้ างใจผอู้ ื่น 3. พฤติกรรมของคนที่มีทศั นะต่อตนเองและผูอ้ ่ืนแบบฉันไม่เห็นด้วย แต่เธอเห็นด้วย (I’m not OK, you’re OK.) พวกน้ีจะมีลกั ษณะพฤติกรรม ดงั ตอ่ ไปน้ี 3.1 ไม่มน่ั คง และตนเองไม่มีคุณคา่ 3.2 ปกป้ องตนเอง รู้สึกผดิ และหงุดหงิด 3.3 การตอบสนองต่อปัญหา เป็ นลกั ษณะอาศยั ผูอ้ ่ืน กลวั ที่จะถูกกล่าวหาวา่ ผิด ชอบ ใหค้ นอื่นตดั สินใจ ไมแ่ สดงความรู้สึก และหวงั ที่จะใหค้ นอื่นเดาในสิ่งท่ีเขาตอ้ งการ 3.4 มกั แสดงออกในฐานะเด็กประยกุ ต์ ที่มีลกั ษณะวา่ นอนสอนง่าย 3.5 มีอาการเศร้าซึม 4. พฤติกรรมของคนที่มีทศั นะต่อตนเองและผูอ้ ่ืนแบบฉันไม่เห็นดว้ ย และเธอก็ไม่เห็น ดว้ ย (I’m not OK, you’re not OK.) พวกน้ีจะมีลกั ษณะพฤติกรรม ดงั ตอ่ ไปน้ี 4.1 หมดหวงั และชีวติ ไม่มีคุณค่า 4.2 การตอบสนองต่อปัญหา เป็นลกั ษณะมีมองชีวติ น่าเบื่อ ไมย่ งุ่ เก่ียวกบั อะไรท้งั สิ้น 4.3 ไมม่ ีความหวงั ในการแสดงพฤติกกรม 4.4 มีความรู้สึกสิ้นหวงั 4.5 มีแนวโนม้ ในการฆ่าตวั ตายสูง กล่าวโดยสรุป พฤติกรรมของบุคคลสามารถจาแนกเป็ นพฤติกรรมที่เกิดข้ึนภายใน และ ภายนอกร่างกาย โดยพฤติกรรมภายนอกที่แสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็ นพฤติกรรมปกติที่แสดงตาม บรรทดั ฐานของสงั คม หรือพฤติกรรมที่ผดิ ไปจากปกติท่ีคนส่วนใหญ่กระทากนั ลว้ นเป็ นผลมาจาก การเกิดข้ึนของพฤติกรรมภายในท้งั สิ้น
60 ปัจจัยทส่ี ่งผลต่อพฤตกิ รรม ณรงค์ เส็งประชา (2532: 91-95) อธิบายถึงปัจจยั ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมมนุษย์ แบ่งไดเ้ ป็ น 2 จาพวกใหญ่ๆ คือ 1. ปัจจยั ทางชีวภาพ (Biological Factors) ไดแ้ ก่ องค์ประกอบต่างๆของร่างกาย ปัจจยั เหล่าน้ีมกั จะเป็ นส่ิงท่ีติดตวั มาแต่กาเนิด เช่น กรรมพนั ธุ์ ความปกติในการทางานของต่อมไร้ท่อ เป็ นตน้ 2. ปัจจยั ทางสิ่งแวดลอ้ ม (Environment Factors) จาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ 2.1 สิ่งแวดลอ้ มทางธรรมชาติ จะมีผลตอ่ พฤติกรรมมนุษย์ ซ่ึงจะกาหนดวา่ มนุษยจ์ ะมี นิสยั ใจคออยา่ งไร มีความคิดในลกั ษณะใด ฯลฯ ไดแ้ ก่ ภูมิภาค ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ การ โคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ที่เป็ นผลให้เกิดกลางวนั และกลางคืน การมีภูมิประเทศเป็ นพ้ืนดิน และพ้ืนน้า ที่มีผลตอ่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ สิ่งเหล่าน้ี มีผลต่อพฤติกรรมมนุษยท์ ้งั สิ้น 2.2 สิ่งแวดลอ้ มทางสังคม ไดแ้ ก่ สิ่งแวดลอ้ มท่ีไดจ้ ากชุมชน ซ่ึงรวมถึงค่านิยม ความ เช่ือ กลุ่มของสังคม และแนวคิดที่ไดร้ ับจากระบบส่ือสารมวลชน มาลิณี จุโฑปะมา (2553: 5) อธิบายวา่ ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล และทาให้ บุคคลมีความแตกต่างกนั มี 2 ประการ ดงั น้ี 1. พนั ธุกรรม หมายถึง ลกั ษณะต่างๆท่ีถ่ายทอดสืบต่อกนั มาจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน ลกั ษณะต่างๆท่ีถ่ายทอดออกมาน้ี มีท้งั ลกั ษณะทางร่างกาย และทางด้านจิตใจ คุณลกั ษณะของ บุคคลท่ีไดร้ ับการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม แบง่ ออกเป็น 2 ดา้ นใหญ่ๆ คือ 1.1 ด้านร่างกาย ได้แก่ ความสูง ลักษณะของใบหน้า ความบกพร่องทางร่างกาย บางอยา่ ง เช่น ตาบอดสี เป็นตน้ 1.2 ดา้ นความสามารถทางสมอง เจนเซน (Jensen,1977) นกั จิตวิทยาชาวอเมริกนั ได้ สรุปผลการทดลองของเขาเก่ียวกบั ความแตกต่างของเชาวป์ ัญญา (intelligent) พบวา่ ความสามารถ ทางสมองไดร้ ับอิทธิพลจากพนั ธุกรรมสูงถึง 80% และสิ่งแวดลอ้ ม 20% จากผลการทดลองดงั กล่าว คนท่ีเป็ นทายาทของบรรพบุรุษที่มีความสามารถทางสมองดี ยอ่ มมีโอกาสจะพฒั นาความสามารถ ทางสมองได้ดีกว่าคนที่มาจากบรรพบุรุษที่มีความสามารถน้อยกว่า เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อม เดียวกนั 2. สิ่งแวดลอ้ ม หมายถึง สภาวะต่างๆที่เป็ นรูปธรรม ไดแ้ ก่ คน วตั ถุ สิ่งของ สถานท่ี เป็ น ตน้ สาหรับสิ่งแวดลอ้ มท่ีเป็ นนามธรรม ไดแ้ ก่ ความเช่ือ เจตคติ ค่านิยม การเรียนรู้ และแรงจูงใจ ของบุคคล เป็นตน้ สิ่งแวดลอ้ ม สามารถแบง่ เป็น 2 ประเภท คือ
61 2.1 สิ่งแวดลอ้ มภายในตวั บุคคล ไดแ้ ก่ การทางานของระบบต่างๆภายในร่างกาย เช่น ระบบการยอ่ ยอาหาร ระบบการทางานของต่อมไร้ทอ่ เป็นตน้ 2.2 สิ่งแวดลอ้ มภายนอก ไดแ้ ก่ สิ่งแวดลอ้ มที่อยภู่ ายนอกร่างกาย เช่น คน วตั ถุ สิ่งของ ชุมชน ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆที่เกิดข้ึนจากมนุษย์และสัตว์ รวมท้ัง สิ่งแวดลอ้ มที่เป็นนามธรรม ไดแ้ ก่ ความเช่ือ วฒั นธรรม ประเพณี เป็นตน้ ถวิล ธาราโภชน์ และ ศรันย์ ดาริสุข (2543: 6-10) อธิบายเพ่ิมเติมวา่ พฤติกรรมที่มนุษย์ แสดงออก ไมว่ า่ ในทางบวกหรือทางลบ จะข้ึนอยกู่ บั ปัจจยั ตา่ งๆหลายประการ ดงั น้ี 1. ปัจจยั ดา้ นสรีรวิทยา เป็ นปัจจยั ทางชีวภาพของมนุษย์ เป็ นสิ่งเร้าที่สาคญั ต่อการเกิด พฤติกรรม ฉะน้ัน ลักษณะทางสรีระของชีวิตในชีววิทยา ถือว่าเป็ นปัจจยั สาคญั เริ่มแรกท่ีวาง รูปแบบของพฤติกรรม มนุษยท์ ุกคนจดั วา่ เป็ นอินทรียท์ ่ีมีชีวิตอย่างหน่ึง การทาหนา้ ท่ีทางสรีระใน ระบบอวยั วะต่างๆจึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมท่ีแสดงออก 2. ปัจจยั ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม สิ่งแวดลอ้ มใดที่ปรากฏเด่นชดั กบั บุคคล สิ่งแวดลอ้ มน้นั จะทา หน้าท่ีเป็ นสิ่งเร้ากระตุน้ ให้บุคคลเกิดพฤติกรรม และพฤติกรรมก็จะแตกต่างกนั ไปตามสภาพของ สิ่งแวดลอ้ ม 3. ปัจจยั ทางดา้ นสังคม เน่ืองจากมนุษยไ์ ม่สามารถอยคู่ นเดียวไดต้ อ้ งพ่ึงพาอาศยั ซ่ึงกนั และกนั มนุษยจ์ ึงตอ้ งมาอยรู่ วมกนั กลายเป็นชุมชนหรือสงั คม และเม่ือมีสังคมเกิดข้ึน คนในสังคมก็ จะต้งั ขอ้ ตกลงร่วมกนั เรียกว่า โครงสร้างทางสังคม อนั จะทาให้มนุษยแ์ สดงออกซ่ึงพฤติกรรมที่ สังคมน้นั ๆเห็นพอ้ ง เป็นลกั ษณะต่างๆที่เป็นแบบแผนพฤติกรรมในสงั คม 4. ปัจจยั ทางดา้ นทศั นคติ ซ่ึงเป็ นเรื่องของความรู้สึก มีลกั ษณะเป็ นนามธรรม และเป็ น ตัวการสาคัญอันหน่ึงท่ีกาหนดพฤติกรรมของมนุษย์ กล่าวได้ว่า ทัศนคติ คือ ความรู้สึกที่จะ ตอบสนองต่อส่ิงเร้าต่างๆ ท้งั ทางบวกและทางลบ โดยส่ิงเร้าน้ีอาจเป็ นคน สัตว์ สิ่งของ ตลอดจน สภาพการณ์ต่างๆในสงั คม เฮอร์เบอร์ก มอร์สเนอร์ และซินเดอร์แมน (Herzberg, Mausner and Snyderman, อา้ งถึงใน ลกั ขณา สริวฒั น์, 2549: 26) เสนอถึงผลการศึกษาความตอ้ งการของบุคคลในการทางาน อนั เป็ น ปัจจยั สาคญั ในการแสดงพฤติกรรมประกอบดว้ ย 2 ปัจจยั คือ 1. ปัจจยั จูงใจภายนอก (Extrinsic Factors) อาทิ ค่าตอบแทนรวมท้งั เงินเดือน การไดร้ ับ การสอนงานหรือการมีหัวหน้าที่เก่ง การมีความสัมพนั ธ์อนั ดีกบั เพื่อนร่วมงานและเจา้ นายหรือ ลูกนอ้ ง และการมีสภาพการณ์ที่ดีมีความมนั่ คงในการทางาน 2. ปัจจยั จูงในภายใน (Intrinsic Factors) อาทิ ความสัมฤทธ์ิผลในงานที่ทา การยอมรับ หรือการไดร้ ับการยกยอ่ งจากเพอ่ื นร่วมงาน การกา้ วหนา้ ในตาแหน่งงานหรือในหนา้ ที่
62 กล่าวโดยสรุป ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อมนุษย์ เกิดจากปัจจยั ภายใน เช่น ฮอร์โมน ระบบการ ทางานภายในร่างกาย และปัจจยั ภายนอก อนั ไดแ้ ก่ สภาพแวดลอ้ มที่อยรู่ อบตวั 6. บริบทของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร มหาวิทยาลัยศิลปากร เดิมคือ โรงเรียนปราณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร ท่าน ศาสตราจารยศ์ ิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาเลียน ซ่ึงเดินทางมารับราชการใน ประเทศไทยในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว ไดร้ ่วมกบั คุณพระสาโรช รัชต มินมานก์ (สาโรช สุขยางค)์ ท่านท้งั สองไดก้ ่อต้งั โรงเรียนปราณีตศิลปกรรมข้ึนในปี พ.ศ. 2476 ใช้ พ้นื ที่วงั กลางและวงั ตะวนั ออก หนา้ พระบรมมหาราชวงั เป็นท่ีต้งั ของโรงเรียนแห่งน้ี เปิ ดสอนใหแ้ ก่ ขา้ ราชการและนกั เรียนในสมยั น้ันโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต่อมาปี พ.ศ. 2478 ไดร้ วมเอาโรงเรียน นาฏยดุริยางคศาสตร์ที่ต้งั อยวู่ งั หนา้ ไวด้ ว้ ยและเปลี่ยนช่ือใหมว่ า่ “โรงเรียนศิลปากร” โรงเรียนศิลปากรได้เจริญเติบโตเป็ นลาดบั เร่ือยมา กระทงั่ พระยาอนุมานราชธนร่วมกบั อาจารยศ์ ิลป์ พีระศรี พฒั นาหลกั สูตรจนไดร้ ับการยกฐานะข้ึนเป็ น มหาวิทยาลยั ศิลปากร เม่ือวนั ท่ี 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 จดั ต้งั คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ข้ึนเป็ นคณะวิชาแรก (ปัจจุบนั คือ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ)์ ในปี พ.ศ. 2498 อาจารยศ์ ิลป์ ผลกั ดนั ให้เกิดคณะวชิ า ใหม่ คือ คณะสถาปัตยกรรมไทย ซ่ึงมีพระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็ นผกู้ ่อต้งั (ซ่ึงต่อมาได้ ปรับหลกั สูตรและเปล่ียนช่ือเป็นคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) คณะโบราณคดี วางรากฐานโดยหลวง บริบาล บุรีภณั ฑ์ และต่อมาจึงมีคณะมณั ฑนศิลป์ ซ่ึงแยกตวั ออกมาจากคณะจิตรกรรมฯ จากน้นั ได้ ขยายพ้ืนที่มหาวิทยาลยั โดยไดจ้ ดั ซ้ือที่ดินวงั ท่าพระซ่ึงอยตู่ ิดกบั ท่ีต้งั เดิมจากทายาทสมเด็จฯ เจา้ ฟ้ า กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ต่อมาเมื่อผแู้ ทนขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมของสหประชาชาติได้ให้ คาแนะนาในการจดั ต้งั สถาบนั อุดมศึกษาในประเทศไทยให้มีลกั ษณะสอดคลอ้ งกบั หลกั การสากล คณะรัฐมนตรีไดพ้ ิจารณาโครงการปรับปรุงมหาวิทยาลยั ศิลปากร เพื่อขยายการศึกษาวิชาต่าง ๆ โดยไมจ่ ากดั เฉพาะศิลปะและโบราณคดีเทา่ น้นั ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่ น มาลากุล ซ่ึงขณะน้นั ดารงตาแหน่งอธิการบดีมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร จึงไดด้ าเนินการจดั ต้งั คณะอกั ษรศาสตร์ข้ึนเป็ นคณะ วิชาลาดบั ที่ 5 เป็ นคณะวิชาแรกของวิทยาเขตแห่งใหม่ คือ วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์ ณ จงั หวดั นครปฐม โดยเริ่มเปิ ดสอนนกั ศึกษารุ่นแรก เมื่อวนั พฤหสั บดีท่ี 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และ คณะอกั ษรศาสตร์ได้ถือวนั ดังกล่าวเป็ นวนั สถาปนาคณะฯตลอดมา และได้มีการจดั ต้ังคณะ ศึกษาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2513 คณะวิทยาศาสตร์ในปี พ.ศ. 2515 คณะเภสัชศาสตร์ในปี พ.ศ. 2529 คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมในปี พ.ศ. 2535 (ปัจจุบันเปลี่ยนช่ือเป็ นคณะวิศวกรรมศาสตร์และ
63 เทคโนโลยอี ุตสาหกรรม) และคณะสัตวศาสตร์และเทคโนโลยกี ารเกษตรในปี พ.ศ. 2544 (เปิ ดการ เรียนการสอนรวมกบั คณะวทิ ยาศาสตร์) ตามลาดบั ระหวา่ งปี พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลยั ไดจ้ ดั ต้งั คณะดุริยางคศาสตร์ เน่ืองในวโรกาสที่สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 36 พรรษา ในวนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2536 และเพ่ือให้เป็ นมหาวิทยาลยั ที่มีความสมบูรณ์ทางดา้ นศิลปะมากยิ่งข้ึน โดย จดั การเรียนการสอนตลอดหลักสูตรที่สานักงานอธิการบดีตลิ่งชันมหาวิทยาลยั ศิลปากร เป็ น มหาวิทยาลยั ศิลปะแห่งแรกในประเทศไทย มีช่ือเสียงทางด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และ โบราณคดี ปัจจุบนั มหาวิทยาลยั ศิลปากร เป็ นมหาวิทยาลยั ทางด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม และ โบราณคดี ปัจจุบนั เปิ ดสอนครอบคลุมทุกสาขาวชิ าท้งั วทิ ยาศาสตร์ วศิ วกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ และวิทยาศาสตร์การเกษตร ตามมาตรฐานของมหาวิทยาลยั สากลอยา่ งสมบูรณ์ซ่ึงมีท้งั หมด 5 วทิ ยาเขตดงั น้ี 1. สานักงานอธิการบดี ตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร เป็ นที่ต้งั ของคณะดุริยางคศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั ท้งั ภาคไทยและองั กฤษ และวทิ ยาลยั นานาชาติสาขาการจดั การโรงแรม 2. วิทยาเขตวงั ท่าพระ กรุงเทพมหานคร เป็ นท่ีต้งั ของคณะจิตรกรรม ประติมากรรมและ ภาพพิมพ์ (ช้นั ปี ท่ี 2-5) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (ช้นั ปี ที่ 3-5) คณะโบราณคดี คณะมณั ฑนศิลป์ (ช้นั ปี ที่ 2-4) และหอศิลป์ ต่างๆ 3. วิทยาเขตพระราชวงั สนามจนั ทร์ หรือ \"ม.ทบั แก้ว\" ต้งั อยู่บริเวณพระราชวงั สนาม จนั ทร์ อาเภอเมือง จงั หวดั นครปฐม ซ่ึงเคยเป็ นพระราชวงั ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจา้ อยู่หัว โดยเป็ นที่ต้งั ของคณะอกั ษรศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเภสัช ศาสตร์ คณะวศิ วกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพ พิมพ์ (ช้นั ปี ที่ 1) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (ช้นั ปี ที่ 1-2) และคณะมณั ฑนศิลป์ (ช้นั ปี ที่ 1) 4. วทิ ยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ต้งั อยทู่ ี่ อาเภอชะอา จงั หวดั เพชรบุรี เป็ นท่ีต้งั ของคณะ สัตวศาสตร์และเทคโนโลยีการเกษตร คณะวิทยาการจดั การ และคณะเทคโนโลยสี ารสนเทศและ การสื่อสาร (ช้นั ปี ที่ 1-3) คลงั โบราณวตั ถุของคณะโบราณคดี ศูนยว์ จิ ยั ของคณะเภสชั ศาสตร์ ปัจจุบนั มีนกั ศึกษาที่กาลงั ศึกษาในมหาวทิ ยาลยั ท้งั หมด 22,176 คน (มหาวิทยาลยั ศิลปากร, 2556) โดยแบง่ ตามกลุ่มการเรียนได้ ดงั น้ี
64 ตารางที่ 2 จานวนนกั ศึกษาของมหาวทิ ยาลยั ศิลปากร ปี การศึกษา 2556 คณะ กล่มุ ศิลปะ กล่มุ และการ มนุษยศาสตร์ กล่มุ ออกแบบ และ วทิ ยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ 529 คณะดุริยางคศาสตร์ 483 คณะโบราณคดี 966 คณะเภสัชศาสตร์ 1,015 คณะมณั ฑนศิลป์ 1,170 คณะวทิ ยาการจดั การ 2,831 คณะวทิ ยาศาสตร์ 2,387 คณะวศิ วกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี 5,005 อุตสาหกรรม คณะศึกษาศาสตร์ 1,606 คณะอกั ษรศาสตร์ 2,670 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 431 คณะสตั วศาสตร์และเทคโนโลยกี ารเกษตร 979 คณะเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร 2,062 วทิ ยาลยั นานาชาติ 582 รวม 2,613 8,655 11,448 รวมท้งั สิ้น 22,716 ท่ีมา : มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. รายงานจานวนนักศึกษาท้งั หมดปี 2556 ภาคการศึกษา 2/2556 (ฉบบั อิเลกทรอนิกส์, 2556).
65 7. งานวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง 7.1 งานวจิ ัยในประเทศ 1. งานวจิ ัยเกยี่ วกบั ทกั ษะชีวติ เนตรทราย ปัญญชุณห์ (2552) ทาการศึกษาเรื่อง การสร้างเสริมทกั ษะชีวิต เพ่ือป้ องกนั การ มีเพศสัมพนั ธ์ของนกั เรียนหญิงมธั ยมศึกษาตอนตน้ จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษา เพอื่ ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการเสริมสร้างทกั ษะทกั ษะชีวติ เพ่ือป้ องกนั การมีเพศสัมพนั ธ์ ของนกั เรียนหญิงช้นั มธั ยมปี ที่ 2 และ 3 โดยวิธีการวิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อย่างจานวน 105 คน แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง 55 คน และกลุ่มควบคุม 50 คน ผลการวิจยั พบว่า คะแนนเฉล่ียของกลุ่ม ทดลองท่ีเขา้ ร่วมโปรแกรมเสริมสร้างทกั ษะชีวติ เพื่อป้ องกนั การมีเพศสัมพนั ธ์ มีการเปลี่ยนแปลงที่ ดีข้ึนในบางประเด็น ซ่ึงช่วยลดโอกาสการมีเพศสัมพนั ธ์วยั เรียน ซ่ึงนาไปสู่การเป็ นปัญหาสังคม ต่อไป มะไลวลั ย์ แพงพุด (2552) ทาการศึกษาเรื่อง การเสริมสร้างทกั ษะชีวิตผตู้ ิดสารเสพติด โดย ใช้แนวคิดการสร้างแรงจูงใจร่วมกับการปรับพฤติกรรมทางปัญญา ณ ศูนยพ์ ฒั นาวดั ป่ านาคา วตั ถุประสงค์การศึกษา เพื่อศึกษาผลการสร้างแรงจูงใจร่วมกบั การปรับพฤติกรรมทางปัญญา ใน การเสริมสร้างทกั ษะชีวิตผตู้ ิดสารเสพติด โดยโปรแกรมการให้การปรึกษาเพ่ือสร้างแรงจูงใจใน ผูป้ ่ วยติดแอลกอฮอล์และสารเสพติดของพิชัย แสงชาญชัย ร่วมกบั กลุ่มการปรับพฤติกรรมที่มี พ้นื ฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม โดยวธิ ีการวจิ ยั เชิงคุณภาพ กลุ่มเป้ าหมายเป็ นผเู้ ขา้ รับการ ฟ้ื นฟสู มรรถภาพผตู้ ิดสารเสพติด ณ ศนู ยพ์ ฒั นาวดั ป่ าคา จานวน 10 คน ผลการศึกษาพบวา่ ภายหลงั เขา้ ร่วมรับการฟ้ื นฟูสมรรถภาพผตู้ ิดสารเสพติด ผเู้ ขา้ ร่วมมีแรงจูงใจเพิ่มข้ึน กล่าวคือ ผเู้ ขา้ ร่วมฟ้ื นฟู มีระดบั คุณภาพชีวิตเพิ่มข้ึน มีการปรับตวั เขา้ กบั สิ่งแวดลอ้ มไดด้ ีข้ึน และพฒั นาความฉลาดทาง อารมณ์ในดา้ นการควบคุมตนเอง มีการพฒั นาทกั ษะทางสงั คม การวางแผนแกป้ ัญหาเพิม่ มากข้ึน อรัญญา ชุติมา (2552: บทคดั ย่อ) ทาการคน้ ควา้ อิสระเรื่อง การจดั การทกั ษะชีวิตของ นกั เรียนในโรงเรียนนนั ทชาติ เกรด สคูล อาเภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ วตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาการ จดั การทกั ษะชีวติ ของนกั เรียนในโรงเรียนนันทชาติ เกรด สคูล อาเภอหางดง จงั หวดั เชียงใหม่ โดย การวจิ ยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อยา่ งเป็นผปู้ กครอง ครูผสู้ อน ผบู้ ริหาร และคณะท่ีปรึกษาโรงเรียนนนั ท ชาติ เกรด สคูล รวมจานวน 129 คน ผลการศึกษาพบวา่ ในการจดั การทกั ษะชีวิตของนกั เรียนตาม คุณสมบตั ิเบ้ืองตน้ ดา้ นทกั ษะชีวติ 9 ดา้ น ของโรงเรียนนนั ทชาติ เกรด สคูล นกั เรียนมีความรู้และ ความเข้าใจครอบคลุมองค์ประกอบของทกั ษะชีวิต หมายความว่า นักเรียนได้รับความรู้และ ประสบการณ์จากกระบวนการทกั ษะชีวิตท่ีมีคุณค่าต่อการนาไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวนั และเป็นเป้ าหมายในการสร้างเยาวชนท่ีดีของสังคมไทยตอ่ ไป
66 วราภรณ์ บุรานนท์ (2553) ทาการศึกษาเร่ือง ทกั ษะชีวิต การเช่ืออานาจควบคุมตนเอง การ สนบั สนุนทางสังคม และพฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ของชาวบา้ นใน อาเภอเกาะจนั ทร์ จงั หวดั ชลบุรี วตั ถุประสงค์การศึกษาเพื่อ 1) ศึกษาระดบั ทกั ษะชีวิต ความเช่ือ อานาจควบคุมตนเอง การสนบั สนุนทางสังคม และพฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทางเศรษฐกิจ พอเพียง ของชาวบา้ นในอาเภอเกาะจนั ทร์ จงั หวดั ชลบุรี 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบา้ นตามปัจจยั ส่วนบุคคล 3) ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่าง ทกั ษะชีวิตกบั พฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบ้าน 4) ศึกษา ความสัมพนั ธ์ระหว่างความเช่ืออานาจควบคุมตนเองกบั พฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงของชาวบา้ น และ 5) ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการสนบั สนุนทางสังคมกบั พฤติกรรมการพ่ึงตนเอง ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของชาวบา้ น โดยใชว้ ิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน ผลการวิจยั พบว่า บุคคลท่ีมีพฤติกรรมการพ่ึงตนเองตามแนวทาง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกิดจากการมีทกั ษะชีวิต ความเช่ืออานาจควบคุมตนเอง และการ สนบั สนุนทางสังคมที่เอ้ือต่อการประพฤติปฏิบตั ิ สุมาลี เทวฤทธ์ิ (2553) ทาการศึกษาเร่ือง ปัจจยั เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อทกั ษะชีวิตของ นกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 ในจงั หวดั กาฬสินธุ์ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพื่อศึกษาปัจจยั เชิงสาเหตุ ที่มีอิทธิพลตอ่ ทกั ษะชีวติ และเพ่ือสร้างและพฒั นารูปแบบของปัจจยั เชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อทกั ษะ ชีวิตของนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ในจงั หวดั กาฬสินธุ์ โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่ม ตัวอย่างจานวน 576 คน ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยท่ีมีอิทธิพลต่อทักษะชีวิตของนักเรี ยนช้ัน มธั ยมศึกษาปี ท่ี 5 ในจงั หวดั กาฬสินธุ์ มี 5 ตวั แปร ได้แก่ การอบรมเล้ียงดูแบบประชาธิปไตย บุคลิกภาพแบบแสดงตัว การสนับสนุนจากสังคม การเห็นคุณค่าในตนเอง และสุขภาพจิต หมายความว่า การอบรมเล้ียงดูแบบประชาธิปไตย บุคลิกภาพแบบแสดงตวั การสนบั สนุนจาก สังคม การเห็นคุณค่าในตนเอง และสุขภาพจิต เป็ นปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการมีทกั ษะชีวิตที่ดี หาก บุคคลใดมีทกั ษะชีวติ แลว้ ก็จะสามารถปรับตวั และดารงชีวติ อยใู่ นสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข ศุภร ชินะเกตุ (2553) ทาการศึกษาเรื่อง ปัจจยั ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมยาเสพติดของนกั เรียน ระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ สงั กดั อาชีวศึกษา จงั หวดั ราชบุรี วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่ือ 1) ศึกษา ระดบั พฤติกรรมป้ องกนั ยาเสพติดของนักเรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ สังกัดอาชีวศึกษา จงั หวดั ราชบุรี 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการป้ องกนั ยาเสพติดของนกั เรียนประกาศนียบตั รวชิ าชีพ สังกัดอาชีวศึกษา จงั หวดั ราชบุรี จาแนกตามเพศ สถานภาพครอบครัว สถานท่ีอยู่ ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียน และค่าใชจ้ ่ายตอ่ เดือน และ 3) ศึกษาปัจจยั ส่วนบุคคล ปัจจยั ดา้ นครอบครัว และปัจจยั สนับสนุนท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมการป้ องกนั ยาเสพติดของนกั เรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ
67 สังกัดอาชีวศึกษา จังหวดั ราชบุรี โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจานวน 374 คน ผลการวิจยั พบว่า ปัจจยั ท้งั 3 ด้าน อนั ประกอบด้วยปัจจยั ส่วนบุคคล ได้แก่ การควบคุมตนเอง ทกั ษะชีวติ และการรับรู้เกี่ยวกบั ยาเสพติด ปัจจยั ดา้ นครอบครัวและปัจจยั ดา้ นสังคมมีผลต่อนกั เรียน ในระดบั ปานกลาง และนกั เรียนที่มีเพศและผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่างกนั จะมีพฤติกรรมการ ป้ องกนั ยาเสพติดแตกต่างกนั เนื่องจาก นกั เรียนท่ีไดร้ ับการสนบั สนุนจากครอบครัวและสังคม มี แนวโนม้ ของพฤติกรรมการป้ องกนั ยาเสพติดได้ ร้อยละ 32.8 ธวชั ชยั เอกสันติ (2554: บทคดั ย่อ) ทาการศึกษาเรื่อง การประยกุ ตท์ กั ษะชีวติ ร่วมกบั แรง สนบั สนุนทางสังคม เพื่อปรับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ของวยั รุ่น วตั ถุประสงค์การวจิ ยั เพื่อ ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมสุขศึกษาท่ีประยุกต์ร่วมกบั แรงสนบั สนุนทางสังคม เพ่ือปรับ พฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ของวยั รุ่น ของนกั เรียนมธั ยมศึกษาตอนตน้ โดยวิธีการวิจยั ก่ึง ทดลอง กลุ่มตัวอย่างจานวน 80 คน แบ่งเป็ นกลุ่มทดลอง 40 คน และกลุ่มควบคุม 40 คน ผลการวจิ ยั พบว่า ภายหลงั การทดลอง 1 เดือน กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ลดลง ซ่ึงเป็ นผลจากการเขา้ ร่วมกิจกรรมทกั ษะชีวิตดา้ นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความภาคภูมิใจใน ตนเอง ทกั ษะการปฏิเสธ รักชนก ปวงจกั ร์ทา (2554) ทาการคน้ ควา้ อิสระเรื่อง การรับรู้ตนเองและทกั ษะชีวติ ของเด็ก วยั รุ่นที่ติดเช้ือเอช ไอ วีจากครรภ์มารดาและมารับยาตา้ นไวรัสที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จงั หวดั เชียงใหม่ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่อื ศึกษา การรับรู้ตนเองและทกั ษะชีวติ ของเด็กวยั รุ่นที่ติดเช้ือเอช ไอ วีจากครรภม์ ารดาและมารับยาตา้ นไวรัสที่โรงพยาบาลนครพิงค์ จงั หวดั เชียงใหม่ โดยวิธีการ ศึกษาเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้ าหมายจานวน 5 คน มีอายรุ ะหว่าง 17-18 ปี ผลการศึกษาพบวา่ เยาวชนมี การรับรู้ตนเองในทางบวกและมีทกั ษะในการดาเนินชีวติ ที่ดี เนื่องมาจากการเรียนรู้เกี่ยวกบั เงื่อนไข และประสบการณ์ชีวิตต้งั แต่วยั เด็กผา่ นบริบทดา้ นต่างๆ ไดแ้ ก่ บริบททางดา้ นครอบครัว ลกั ษณะ กลุ่มเพ่ือนที่เด็กเลือกคบ บริบททางดา้ นชุมชน การสนบั สนุนทางสังคม การไดร้ ับการยอมรับจาก ชุมชน หรือสิ่งยึดเหนี่ยวทางดา้ นจิตใจของเด็ก มีส่วนช่วยเสริมสร้างการรับรู้ตนเองของเด็กและ สร้างทกั ษะในการดาเนินชีวติ ใหแ้ ก่เดก็ ทาใหเ้ ด็กสามารถใชช้ ีวติ ร่วมกบั ผอู้ ่ืนไดอ้ ยา่ งปกติสุข วรนุช อดิศยั ศกั ดา (2554) ทาการคน้ ควา้ อิสระเรื่อง แนวทางในการเสริมสร้างทกั ษะชีวิต เด็กและเยาวชนของตาบลระแวง้ อาเภอยะรัง จงั หวดั ปัตตานี วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่ือหาแนวทาง ในการเสริมสร้างทกั ษะชีวติ เด็กและเยาวชนของตาบลระแวง้ อาเภอยะรัง จงั หวดั ปัตตานี ใชว้ ิธีการ วจิ ยั เชิงคุณภาพ กลุ่มเป้ าหมาย คือ สมาชิก อบต. ผนู้ าชุมชน ผปู้ กครอง และตวั แทนเด็กและเยาวชน รวม 56 คน ผลการศึกษาพบวา่ เด็กและเยาวชนในพ้ืนท่ีมีสภาพปัญหา ดงั น้ี 1) วตั ถุนิยม 2) ยาเสพ ติด 3) เพศเสรี 4) อินเตอร์เน็ต หมายความวา่ เด็กและเยาวชนมีค่านิยมในสินคา้ ท่ีมียหี่ อ้ เพื่อการวดั
68 คุณค่าทางสังคม การระบาดของยาเสพติดในพ้ืนที่มีอตั ราสูง มีเด็กและเยาวชนท่ีมีอายุนอ้ ยสุดเพียง 13 ปี อีกท้งั เด็กในวยั 13-16 ปี ยงั มีค่านิยมทางเพศท่ีผดิ และนาไปสู่การคา้ บริการทางเพศและนาพา ชีวิตตกต่า รวมท้งั ความเสี่ยงจากการถูกสื่ออินเตอร์เน็ตล่อลวงได้ ดงั น้นั ทกั ษะชีวิตท่ีจาเป็ นตอ้ ง พฒั นาคือ การเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ เพิม่ พนู ประสบการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วม ส่งเสริมการ แสดงออก ส่งเสริมคุณภาพชีวติ ส่งเสริมความเป็นมนุษยชาติ เพ่ือส่งเสริมความเป็ นพลเมืองท่ีดีของ สงั คม ปราณี บุญญา (2555) ทาการศึกษาเร่ือง ผลของการฝึกทกั ษะชีวติ ที่มีต่อการปรับตวั และการ เห็นคุณคา่ ในตนเองของนกั ศึกษา มหาวทิ ยาลยั รังสิต วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่ือ 1) เปรียบเทียบผล ของการฝึกทกั ษะชีวติ ที่มีต่อการปรับตวั และเห็นคุณค่าในตนเองของนกั ศึกษาระหวา่ งก่อนและหลงั ทดลอง 2) เปรียบเทียบผลของการฝึ กทกั ษะชีวิตท่ีมีต่อการปรับตวั และการเห็นคุณค่าในตนเอง ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม 3) ประเมินความคิดเห็นของนกั ศึกษาถึงการเปล่ียนแปลง พฤติกรรมหลงั เขา้ รับการฝึกทกั ษะชีวติ แลว้ โดยใชว้ ธิ ีการวิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อยา่ ง คือ นกั ศึกษา ปริญญาตรีช้นั ปี ที่ 2 มหาวิทยาลยั รังสิต จานวน 24 คน ผลการวิจยั พบวา่ กลุ่มทดลองหลงั จากเขา้ รับการฝึ กทกั ษะชีวิต มีการปรับตวั และการเห็นคุณค่าในตวั เองดีกว่ากลุ่มควบคุม โดยเฉพาะดา้ น การวางเป้ าหมายในชีวติ และการบริหารเวลา ศริยา ต้งั ฉโลก (2555) ทาการศึกษาเรื่อง การศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างตน้ ทุนชีวิตกบั ทักษะชีวิตและพฤติกรรทความรับผิดชอบของนักเรี ยนช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ในจังหวัด สมุทรปราการ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพือ่ ศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตน้ ทุนชีวติ กบั ทกั ษะชีวติ และ พฤติกรรทความรับผิดชอบของนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี 4 ในจงั หวดั สมุทรปราการ โดยวิธีการ วิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน ผลการวิจยั พบว่า นกั เรียนช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 4 มี ตน้ ทุนชีวิตในภาพรวมอยูใ่ นระดบั มาก ทกั ษะชีวิตในภาพรวมอยรู่ ะดบั ปานกลาง และพฤติกรรม ความรับผิดชอบอยู่ในระดบั มาก โดยนักเรียนตน้ ทุนชีวิตสูง จะมีทกั ษะชีวิตสูงกว่านกั เรียนที่มี ตน้ ทุนชีวติ ต่า และนกั เรียนที่มีตน้ ทุนชีวติ สูงจะมีความรับผดิ ชอบมากกวา่ นกั เรียนที่มีตน้ ทุนชีวติ ต่า จากการประมวลงานวิจยั เก่ียวกับทักษะชีวิต พบว่า การมีทักษะชีวิตท่ีดี จะนามาซ่ึง ความสามารถของพฤติกรรมและการปฏิบตั ิตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม และพร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลง ท้งั ปัจจุบนั และอนาคต
69 2. งานวจิ ัยเกย่ี วกบั การจัดการตนเอง ครรชิต ทองไทย (2551: บทคดั ยอ่ ) ทาการศึกษาเร่ือง การมีส่วนร่วมของสตรีไทยในการ พฒั นาเพื่อการพ่ึงตนเอง : กรณีศึกษากลุ่มสตรีสหกรณ์บ้านห้วยเหว่อ อาเภอสิรินธร จงั หวดั อุบลราชธานี วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาลกั ษณะกระบวนการจดั ต้งั รูปแบบ วิธีการดาเนินงาน ของกิจกรรมต่างๆท่ีสตรีเขา้ ไปมีส่วนร่วม และเพื่อศึกษาสภาพปัญหา อุปสรรคและแนวทางในการ ดาเนินงานของกลุ่มสตรีบา้ นห้วยเหวอ่ โดยใช้วิธีการวจิ ยั เชิงคุณภาพ ผลการวิจยั พบวา่ การมีส่วน ร่วมเพื่อการพ่ึงตนเองของกลุ่มสตรีสหกรณ์บา้ นห้วยเหว่อเป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และถ้า ดาเนินการอยา่ งต่อเน่ืองโดยไดร้ ับคาแนะนาท่ีถูกตอ้ ง กลุ่มสตรีสหกรณ์บา้ นห้วยเหว่อจะเป็ นกลุ่ม สตรีสหกรณ์ท่ีมีความเขม้ เขง็ เป็นตวั อยา่ งของการพ่งึ ตนเองอยา่ งสมบรู ณ์ วาสนา แดงเพ็ง (2552: บทคดั ย่อ) ทาการศึกษาเร่ือง การมีส่วนร่วมของประชาชนในการ พฒั นาชุมชนในเขตเทศบาลตาบลสามง่ามท่าโบสถ์ อาเภอหันคา จงั หวดั ชัยนาท วตั ถุประสงค์ การศึกษาเพ่ือศึกษาระดบั การมีส่วนร่วมของประชาชนในการพฒั นาชุมชนในเขตเทศบาลตาบล สามง่ามท่าโบสถ์ อาเภอหันคา จงั หวดั ชัยนาท และเพื่อเปรียบเทียบระดับการมีส่วนร่วมของ ประชาชนในการพฒั นาชุมชนในเขตเทศบาลตาบลสามง่ามท่าโบสถ์ อาเภอหนั คา จงั หวดั ชยั นาท โดยใชว้ ิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 220 คน ผลการวิจยั พบว่า ระดบั การมีส่วนร่วม ของประชาชนในการพฒั นาชุมชนอยใู่ นระดบั นอ้ ย เป็ นผลมาจากการมีปัจจยั ส่วนบุคลท่ีไม่เอ้ือต่อ ความรู้ความเขา้ ใจและความตระหนกั ในความสาคญั ของการมีส่วนร่วม เช่น อายุ ระดบั การศึกษา ระยะเวลาพกั อาศยั เป็นตน้ ดงั น้นั ชุมชนจึงควรปรับปรุงรูปแบบการประชาสัมพนั ธ์และเพิ่มความถี่ ในการประชาสัมพันธ์ให้ทราบข้อมูลข่าวสารอย่างทัว่ ถึง ส่วนในด้านผูน้ าชุมชน ควรจัดให้ คณะกรรมการชุมชนมีการประชุมประจาเดือนทุกเดือน และเทศบาลควรส่งผูน้ าชุมชนเขา้ รับการ ฝึกอบรมเกี่ยวกบั การเป็นผนู้ าท่ีดี กมลวรรณ วรรณธนงั (2553) ทาการศึกษาเรื่อง ทุนทางสังคมกบั การจดั การความรู้สู่ชุมชน พ่ึงตนเอง วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพื่อ 1) ศึกษามิติและองคป์ ระกอบของทุนทางสังคมของชุมชน พ่ึงตนเองในชนบทของไทย 2) ศึกษากระบวนการจดั การความรู้ของชุมชนพ่ึงตนเอง 3) วิเคราะห์ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งทุนทางสังคมกบั การจดั การความรู้สู่การพ่ึงตนเององชุมชน และ 4) เสนอตวั แบบบูรณาการทุนทางสังคมกบั การจดั การความรู้สู่ชุมชนพ่ึงตนเอง โดยใชว้ ิธีการวิจยั เชิงปริมาณ และคุณภาพ กลุ่มตวั อย่างจานวน 300 คน ผลการวิจยั พบวา่ ทุนทางสังคมของชุมชนพ่ึงตนเองมี ความสัมพนั ธ์กบั การจดั การความรู้ของชุมชน เนื่องเพราะทุนทางสังคมเป็ นทรัพยากรท่ีชุมชนได้ สร้างข้ึน ไดเ้ ก้ือกลู ใหเ้ กิดกระบวนการจดั การความรู้ ก่อให้เกิดการแสวงหาความรู้ การแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ การเรียนรู้โดยการทดลองปฏิบตั ิ และการถ่ายทอดบทเรียนจากการดาเนินงาน จนเกิด
70 การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้เดิมและความรู้ใหม่ท่ีเหมาะสมกบั ชุมชน นาไปสู่องค์ความรู้ ใหม่ ก่อใหเ้ กิดการพ่งึ พากนั เองภายในชุมชน นุจรี ใจประนบ (2553) ทาการศึกษาเร่ือง กระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ในการปรับใช้ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินเพื่อการพ่ึงตนเองทางการเกษตรกรของชุมชนท่ามะไฟหวาน อาเภอเกง้ คอ้ จงั หวดั ชยั ภูมิ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพื่อ 1) ศึกษาการเปล่ียนแปลงวถิ ีการเกษตรของ ชุมชนท่ามะไฟหวาน อาเภอเกง้ คอ้ จงั หวดั ชยั ภูมิ 2) ศึกษาภูมิปัญญาดา้ นการเกษตรของชุมชนท่า มะไฟหวาน อาเภอเกง้ คอ้ จงั หวดั ชยั ภูมิ 3) ศึกษาถึงแนวทางการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบมี ส่วนร่วมในการปรับใช้ภูมิปัญญาเพื่อการพ่ึงตนเอง ใช้วิธีการวิจยั เชิงคุณภาพ ผลการวิจยั พบว่า ชุมชนท่ามะไฟหวานมีวิถีชีวิตท่ีผกู พนั กบั การเกษตรมาต้งั แต่เร่ิมก่อต้งั ชุมชน โดยอาศยั ภูมิปัญญา ทอ้ งถ่ิน มาปรับใชใ้ นการพ่ึงตนเองทางการเกษตร อีกท้งั ยงั มีการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้แบบมี ส่วนร่วมมาปรับใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาต่างๆ นาไปสู่ความสามารถในการพ่ึงตนเองของชุมชนได้ อยา่ งยงั่ ยนื วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ (2553) ทาการศึกษาเร่ือง กระบวนการจดั การชุมชนเขม้ แขง็ : รูปแบบ ปัจจยั และตวั ช้ีวดั วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพื่อ 1) ศึกษาความเป็ นมา กระบวนการจดั การ รูปแบบ ปัจจยั ตวั ช้ีวดั ชุมชนเขม้ แข็งของไทย 2) ศึกษาปัจจยั เร่ืองเงื่อนไขท่ีมีความสัมพนั ธ์กับ กระบวนการจดั การชุมชนเขม้ แข็งในสังคมไทย 3) เพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกระบวนการจดั การ รูปแบบ ปัจจยั และตวั ช้ีวดั ชุมชนเขม้ แข็งของสังคมไทย 4) นาเสนอแนวทางและองค์ความรู้ท่ี เหมาะสมกบั กระบวนการเสริมสร้างตวั ช้ีวดั ชุมชนเขม้ แข็งของไทย อนั นาไปสู่การพฒั นาชุมชน เขม้ แขง็ ท่ียงั่ ยนื ใชว้ ิธีศึกษาท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 300 คน ผลการวิจยั พบว่า กลุ่มตวั อย่างที่มีปัจจยั ส่วนบุคคลในด้านต่างแตกต่างกนั มีความสัมพนั ธ์กบั กระบวนการ จดั การชุมชนแตกต่างกนั อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิติ 0.004 0.047 และ 0.006 หมายความว่า กระบวนการจดั การชุมชนเขม้ แข็ง ตอ้ งอาศยั การเชื่อมโยงกบั ปัจจยั ดงั น้ี ปัจจยั พ้ืนฐานของชุมชน ปัจจยั เก่ียวกบั ผนู้ าชุมชน ปัจจยั เกี่ยวกบั การมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน และปัจจยั เก่ียวกบั การ สนบั สนุนจากหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ ง เพื่อก่อให้เกิดศกั ยภาพในการพฒั นาชุมชนไปสู่ความเขม้ แข็ง ตอ่ ไป เปลวเทียน เจษฎาชยั ยทุ ธ์ (2553) ทาการศึกษาเรื่อง การจดั การเศรษฐกิจชุมชนขา้ วหลาม บา้ นอาฮาม ตาบลท่าวงั ผา อาเภอท่าวงั ผา จงั หวดั น่าน วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่ือศึกษาศกั ยภาพ ทางดา้ นเศรษฐกิจชุมชนของกิจการขา้ วหลาม บา้ นอาฮาม และนาเสนอแนวทางในการจดั การผลิต ขา้ วหลามอยา่ งยงั่ ยนื ในฐานะที่เป็ นอตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมของทอ้ งถิ่นจงั หวดั น่าน ใชว้ ิธีการวิจยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นชาวบา้ น ผทู้ รงคุณวุฒิ และนกั วิชาการจากภาครัฐ
71 ในทอ้ งถ่ิน ผลการวิจยั พบวา่ ขา้ วหลามบา้ นอาฮามมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูงมากและกลายเป็ นอตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมในระดบั ชุมชนหมู่บา้ นอาฮาม ตาบลท่าวงั ผา อาเภอท่าวงั ผา จงั หวดั น่าน อีก ท้งั กระบวนการผลิตขา้ วหลามยงั ไดเ้ ชื่อมโยงภาคส่วนตา่ งๆเขา้ มามีส่วนร่วม นวกานต์ แท่งทอง (2554) ทาการศึกษาเรื่ อง ทุนทางสังคมกับการจัดการชุมชน : กรณีศึกษาตาบลเหมืองใหม่ อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพ่ือ 1) ศึกษาสถานภาพทุนทางสังคม และเพ่ือศึกษาความสัมพนั ธ์ของทุนทางสังคมกบั การจดั การชุมชน ตาบลเหมืองใหม่ อาเภออมั พวา จงั หวดั สมุทรสงคราม 2) ศึกษาแนวทางในการพฒั นาทุนทางสังคม ของชุมชนเหมืองใหม่ไปสู่การจดั การชุมชนอยา่ งมีประสิทธิภาพ ใช้วิธีการวิจยั เชิงคุณภาพ กลุ่ม ตวั อยา่ งจานวน 8 คน ผลการวิจยั พบวา่ การจดั การชุมชน เพ่ือแกไ้ ขปัญหาตอบสนองความตอ้ งการ ของชุมชนน้นั มีการนาศกั ยภาพของชุมชน หรือทุนทางสังคมมาใช้ โดยผ่านกระบวนการมีส่วน ร่วมของภาคประชาชน ผนู้ าจากทุกภาคส่วนท่ีมาร่วมในการดาเนินโครงการหรือกิจกรรมต่างๆ โดย มีศนู ยป์ ระสานงานองคก์ ารชุมชน ทาใหก้ ารจดั การชุมชนเป็ นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ ชุมชนพฒั นา ไปสู่ความเขม้ แขง็ ภายใตก้ ารเปลี่ยนแปลงของกระแสสังคมภายนอก พิริยา เสนะรัตน์ (2555) ทาการศึกษาเรื่อง กระบวนการสร้างชุมชนเขม้ แข็งอยา่ งมีส่วนร่วม กรณีศึกษาชุมชนรอบโรงไฟฟ้ าวงั น้อย อาเภอวงั น้อย จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา วตั ถุประสงค์ การศึกษาเพ่ือ 1) ศึกษากระบวนการสร้างชุมชนเขม้ แข็งอยา่ งมีส่วนร่วม 2) นาเสนอผลการทดลอง ใชก้ ระบวนการสร้างชุมชนเขม้ แข็งอยา่ งมีส่วนร่วม กรณีศึกษาชุมชนรอบโรงไฟฟ้ าวงั นอ้ ย อาเภอ วงั นอ้ ย จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา ใชว้ ธิ ีการวิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 60 คน ผลการวิจยั พบว่า กระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งประกอบด้วย การร่วมจัดการทาแผนที่ชุมชน มีการ แลกเปล่ียนเรียนรู้เพ่ือคน้ หาความตอ้ งการของคนในชุมชน จดั กระบวนการสังเคราะห์ความรู้ และ ติดตามการดาเนินงานและประเมินผล เพือ่ นาไปสู่การสร้างฐานการเป็นชุมชนที่เขม้ แขง็ ตอ่ ไป จากการประมวลงานวจิ ยั เก่ียวกบั การจดั การตนเอง พบวา่ การจดั การตนเอง เริ่มจากการท่ี บุคคลเกิดความตระหนกั ในการพ่ึงตนเอง โดยสามารถท่ีจะยืนหยดั ไดด้ ว้ ยตนเอง จากน้นั จึงเกิดการ รวมกลุ่มกนั เพ่ือสร้างความเขม้ แข็งใหก้ บั ชุมชนของตน ดว้ ยการมีส่วนร่วมในการพฒั นาชุมชนใน ดา้ นต่างๆ นาไปสู่ความมนั่ คง สมดุลและยงั่ ยนื ของชุมชน
72 3. งานวจิ ัยเกย่ี วกบั เศรษฐกจิ พอเพยี ง จตุพล ยะจอม (2552: บทคดั ย่อ) ทาการศึกษาเรื่อง การประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจ พอเพยี งของชุมชนในเขตเทศบาลตาบลปาย อาเภอปาย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน วตั ถุประสงคก์ ารศึกษา เพื่อศึกษาระดบั การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพยี งของชุมชนในเขตเทศบาลตาบลปาย อาเภอ ปาย จงั หวดั แม่ฮ่องสอน และเพื่อศึกษาระดบั การนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นการดาเนิน ชีวติ โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 250 คน ผลการวิจยั พบวา่ ประชาชนมีความรู้ความเขา้ ใจและการดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดบั ดี ส่วนในดา้ นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนอยู่ระดบั ปานกลาง ทาใหร้ ะดบั การดาเนินการ ของชุมชนในการทากิจกรรมร่วมกนั ยงั ไมม่ ีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จิรายุ รัตนบวร และอดุลเดช ตนั แก้ว (2552: บทคดั ย่อ) ทาการศึกษาเรื่อง การศึกษา พฤติกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลยั ราชภฏั อุบลราชธานี: กรณีศึกษาการนาปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพื่อศึกษาพฤติกรรมการนาปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตของนักศึกษามหาวิทยาลยั ราชภัฏอุบลราชธานี ใช้วิธีการวิจยั เชิง ปริมาณ กลุ่มตวั อย่างจานวน 438 คน ผลการวิจยั พบวา่ นกั ศึกษามีความคิดเห็นในการนาปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตไม่แตกต่างกนั แต่การนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ จะแตกต่างกนั ไปตามปัจจยั ส่วนบุคคล เช่น คณะสังกดั ภมู ิลาเนา ช้นั ปี เป็นตน้ ทองดี งามสง่า (2552: บทคดั ยอ่ ) ทาการศึกษาเรื่อง การดาเนินงานของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง กรณีศึกษา : กลุ่มเกษตรอินทรียแ์ บบยงั่ ยนื หนองไผ่ บา้ นบ่อแก ตาบล นาหนองไผ่ อาเภอชุมพลบุรี จงั หวดั สุรินทร์ วตั ถุประสงคก์ ารศึกษาเพื่อศึกษาการดาเนินงาน และ ศึกษาปัจจยั ท่ีทาใหก้ ลุ่มเกษตรอินทรียแ์ บบยงั่ ยืนนาหนองไผ่ ประสบความสาเร็จในการจดั ต้งั กลุ่ม เกษตรอินทรียต์ ามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง โดยใชว้ ิธีการวจิ ยั เชิงคุณภาพ กลุ่มเป้ าหมายจานวน 29 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ปัจจยั ที่ทาให้กลุ่มเกษตรอินทรีแบบยง่ั ยนื นาหนองไผป่ ระสบผลสาเร็จ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นผนู้ า ดา้ นสมาชิก ดา้ นทุนและทรัพยากร ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม ดา้ นสภาพภูมิประเทศ และดา้ นนโยบายของรัฐ ภทั ริยา จนั ทร์เพญ็ (2552: บทคดั ยอ่ ) ทาการศึกษาเร่ือง การศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบการ อบรมเล้ียงดูกับการปลูกฝังการดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก่เด็กปฐมวยั กรณีศึกษา โรงเรียนอนุบาลเปล่งประสิทธ์ิศรีนครินทร์ วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบ การอบรมเล้ียงดูของผปู้ กครองเด็กในระดบั ปฐมวยั 2) ศึกษาการปลูกฝังการดาเนินชีวิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 3) เปรียบเทียบการปลูกฝังการดาเนินชีวิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงแก่เดก็ ปฐมวยั ของผปู้ กครองที่มีรูปแบบการเล้ียงดูที่แตกต่างกนั และ4) ศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผล
73 ตอ่ การปลูกฝังการดาเนินชีวติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียง โดยใชว้ ธิ ีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อยา่ ง เป็ นผปู้ กครองนกั เรียนจานวน 208 คน ผลการวิจยั พบวา่ รูปแบบการเล้ียงดูที่แตกต่างกนั มีผลต่อ การปลูกฝังการดาเนินชีวติ ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแตกต่างกนั โดยการอบรมเล้ียงดูแบบ รักสนับสนุนและแบบใช้เหตุผลมาก จะมีการปลูกฝังการดาเนินชีวิตตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมากกวา่ แบบควบคุมหรือเขม้ งวด สรฤทธ จนั สุข (2552: บทคดั ยอ่ ) ทาการศึกษาเรื่อง การศึกษาตวั ช้ีวดั การพฒั นาชุมชนตาม แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง วตั ถุประสงค์การวิจยั เพ่ือศึกษาตวั ช้ีวดั ที่ทาให้เกิดพฤติกรรมการ ดารงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ ง เป็ นผนู้ าในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือจานวน 326 คน ผลการวจิ ยั พลวา่ กลุ่มตวั อยา่ งมีความรู้ความ เขา้ ใจและปฏิบตั ิตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็ นอยา่ งดี ในส่วนของตวั ช้ีวดั การพฒั นาชุมชนตาม แนวปรัชญาเศรษฐกิ จพอเพียง ได้แก่ ตัวช้ี วัดด้านจิตใจและความรู้ สึ ก ตัวช้ี วัดด้าน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มกายภาพ ตวั ช้ีวดั ด้านเทคโนโลยีและการเรียนรู้ ตวั ช้ีวดั ดา้ น เศรษฐกิจ และตวั ช้ีวดั ดา้ นสังคมและวฒั นธรรม ท่ีสามารถนาไปเป็ นตวั ช้ีวดั ศกั ยภาพชุมชน เพ่ือ วิเคราะห์กิจกรรมการพฒั นาชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง นาไปสู่ความเป็ นชุมชนเศรษฐกิจ พอเพียง นรินทร์ สงั ขร์ ักษา (2553) ทาการศึกษาเร่ือง ถอดบทเรียนกระบวนการเรียนรู้เชิงบูรณาการ กิจกรรมทางเศรษฐกิจพอเพียงแบบกา้ วหนา้ ของวสิ าหกิจชุมชน เพ่ือสังคมอยเู่ ยน็ เป็ นสุข ในจงั หวดั ราชบุรี วตั ถุประสงค์การศึกษาเพ่ือ 1) ถอดบทเรียนการพฒั นาตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงแบบ กา้ วหนา้ ของผูป้ ระกอบการวิสาหกิจชุมชน 2) วเิ คราะห์กระบวนการเรียนรู้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ของวิสาหกิจชุมชน 3) ศึกษาความรับผิดชอบต่อสังคมหรื อวิสาหกิจบริ บาล (CSR) ของ ผูป้ ระกอบการวิสาหกิจชุมชน 4) ศึกษาการปฏิบตั ิท่ีดีในการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงแบบ กา้ วหนา้ กบั เศรษฐกิจแบบทุนนิยมของผปู้ ระกอบการวสิ าหกิจชุมชน และ 5) ศึกษาความอยเู่ ยน็ เป็ น สุขร่วมกนั ในการนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในวิสาหกิจชุมชน โดยใช้วิธีการวิจยั ท้งั เชิง ปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน ผลการวิจยั พบว่า กระบวนการเรียนรู้ของ วสิ าหกิจชุมชนเป็ นแบบ “รู้ สู้ ระวงั ” และมีการใชค้ วามรู้ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจพอเพียงแบบ กา้ วหน้าดว้ ย 3 ห่วง 2 เง่ือนไข ซ่ึงแตกต่างกนั ไปตามประเภทของวิสาหกิจ ส่งผลให้บทเรียนท่ี ไดร้ ับ ความรับผดิ ชอบตอ่ สังคม และความอยเู่ ยน็ เป็นสุขร่วมกนั โดยรวมอยใู่ นระดบั เป็ นท่ีน่าพอใจ ภูริปัญญา เกิดศรี (2553) ทาการศึกษาเรื่อง ปัจจยั ความสาเร็จในการประยุกต์ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงในเขตปฏิรูปที่ดิน : ศึกษากรณี ตาบลนิคมกระเสียว อาเภอด่านช้าง จงั หวดั สุพรรณบุรี วตั ถุประสงค์การวิจยั เพ่ือ 1) ศึกษาระดับของความสาเร็จในการประยุกต์ปรัชญา
74 เศรษฐกิจพอเพียงในเขตปฏิรูปท่ีดิน ตาบลนิคมกระเสียว อาเภอด่านชา้ ง จงั หวดั สุพรรณบุรี 2) เพ่ือ ศึกษาปัจจยั ท่ีส่งผลต่อการประยกุ ตป์ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในเขตปฏิรูปที่ดิน : ศึกษากรณี ตาบล นิคมกระเสียว อาเภอด่านชา้ ง จงั หวดั สุพรรณบุรี และ 3) เพ่ือศึกษาระดบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร ใชว้ ิธีการวิจยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 250 คน ผลการวิจยั พบว่า ปัจจยั ส่วนบุคคลไม่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จในการประยุกตป์ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่จะข้ึนอยู่ กบั ภาวะผนู้ าชุมชนและผนู้ าเกษตรกร ซ่ึงมีตวั แปรที่สาคญั ไดแ้ ก่ ความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ภาวะผูน้ า ความร่วมมือในการดาเนินกิจกรรม การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ร่วมกนั ระหวา่ งเกษตรกร การประสานงาน และการสนบั สนุนจากหน่วยงานภาครัฐ อนุชา ทองทา (2553) ทาการศึกษาเร่ือง ความรู้และพฤติกรรมการใชห้ ลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงของนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครปฐม วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อ ศึกษาความรู้ความเขา้ ใจหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดาเนินชีวิต และศึกษาพฤติกรรมการ ใช้หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของนกั ศึกษาระดบั ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครปฐม ใช้ วิธีการวิจยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อย่างจานวน 400 คน ผลการวิจยั พบว่า กลุ่ม ตวั อยา่ งมีความรู้หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในระดบั ปานกลาง และมีพฤติกรรมในการใช้หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อนั ไดแ้ ก่ ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม และสิ่งแวดลอ้ มอยใู่ นระดบั มาก โดยเฉพาะในแง่ของความรักความเคารพในสถาบนั หลกั คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ กชกร ชานาญกิตติชยั และคณะ (2554) ทาการศึกษาเร่ือง การนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงมาประยกุ ต์ใชใ้ นการดาเนินชีวติ ของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภุฏสวนดุสิต วตั ถุประสงค์ การวิจยั เพ่ือศึกษาการนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการดาเนินชีวิตของ นกั ศึกษามหาวทิ ยาลยั ราชภุฏสวนดุสิต และเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งปัจจยั ส่วนบุคคล กบั การนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการดาเนินชีวติ ของนกั ศึกษามหาวิทยาลยั ราชภฏั สวนดุสิต โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อยา่ ง 315 คน ผลการวิจยั พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ ง มีการนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกตใ์ ชใ้ นการดาเนินชีวิต ท้งั ดา้ นความพอประมาณ การมีเหตุผล การมีภูมิคุม้ กนั ในตวั ควบคู่กบั การใชค้ วามรู้และคุณธรรม นฐั พงศ์ สุพร (2554) ทาการศึกษาเรื่อง การประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการ พฒั นาท้องถิ่น: กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตาบลอินทร์แปลง อาเภอวานรนิวาส จังหวดั สกลนคร วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพือ่ 1) ศึกษาระดบั การพฒั นาทอ้ งถิ่นขององคก์ ารบริหารส่วนตาบล อินทร์แปลง 2) ศึกษาการประยุกตป์ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประชากรที่อาศยั อยูใ่ นพ้ืนที่ของ องค์การบริหารส่วนตาบลอินทร์แปลง 3) ศึกษาความสัมพนั ธ์ของปัจจยั ภูมิหลงั ต่อการพฒั นา ท้องถิ่น 4) ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างเศรษฐกิจพอเพียงต่อการพฒั นาท้องถิ่น และ 5) ศึกษา
75 ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั เก้ือหนุนต่อการพฒั นาทอ้ งถิ่น โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่ม ตวั อย่างจานวน 500 คน ผลการวิจยั พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ งมีการประยุกต์ใชเ้ ศรษฐกิจพอเพียงอย่ใู น ระดบั ปานกลาง ปัจจยั ภูมิหลงั ต่อการพฒั นาทอ้ งถิ่นมีความสัมพนั ธ์กบั เพศและอาชีพของคนใน ทอ้ งถ่ิน นอกจาน้ีองคป์ ระกอบเศรษฐกิจพอเพียงในดา้ นความมีเหตุผล ความพอประมาณ เงื่อนไข ความรู้ และปัจจยั เก้ือหนุนดา้ นชุมชนเขม้ แข็ง และดา้ นบทบาทผนู้ า เป็ นปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการ พฒั นาทอ้ งถิ่น นิศรา จนั ทร์เจริญสุข และอุษามาศ รัตนวงศ์ (2554) ทาการศึกษาเร่ือง การประยกุ ตแ์ นวคิด เศรษฐกิจพอเพียงของคนในชุมชน บ้านสันลมจอย ตาบลสุเทพ อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อศึกษาปัจจยั พ้ืนฐานของคนในชุมชน การรับรู้แนวคิดหลักเศรษฐกิจ พอเพียง และแนวทางการนาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใชใ้ นชีวิตประจาวนั โดยใชว้ ิธีการ วิจยั เชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 500 ครัวเรือน ผลการวิจยั พบวา่ ประชาชนในชุมชนบา้ นสัน จอย ตาบลสุเทพ อาเภอเมือง จงั หวดั เชียงใหม่ มีความรู้ความความเขา้ ใจเกี่ยวกบั ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงอย่างถูกต้อง ทางด้านผูน้ าชุมชนก็มีความตระหนักถึงความสาคญั ในเร่ืองน้ี จากการ ประชาสัมพนั ธ์ของหน่วยงานภาครัฐและส่ือต่างๆ เพื่อนามาพฒั นาหมู่บา้ นสันลมจอยให้เป็ น หม่บู า้ นตน้ แบบของการประยกุ ตใ์ ชเ้ ศรษฐกิจพอเพยี ง อฏั ฐวฒั น์ กิตติพลดีงาม (2554) ทาการศึกษาเร่ือง การประยกุ ตใ์ ชแ้ นวทางปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี งในการแกป้ ัญหาหน้ีสินท่ีเกิดจากโครงการสินเช่ือเพื่อคุณภาพชีวิตของขา้ ราชการกองบิน 2 จงั หวดั ลพบุรี วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพ่ือ 1)ศึกษาลกั ษณะสภาพพ้ืนฐานและผลของโครงการสินเชื่อ เพื่อคุณภาพชีวติ ของขา้ ราชการกองบิน 2 จงั หวดั ลพบุรี 2) เพื่อหาแนวทางการประยกุ ตใ์ ชแ้ นวทาง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการแก้ปัญหาหน้ีสินที่เกิดจากโครงการสินเช่ือเพื่อคุณภาพชีวิตของ ขา้ ราชการกองบิน 2 จงั หวดั ลพบุรี ใชว้ ธิ ีการวจิ ยั ท้งั เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 316 คน ผลการศึกษาพบว่า ผลดีของการประยุกต์ใช้แนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการ แกป้ ัญหาหน้ีสินที่เกิดจากโครงการสินเช่ือเพื่อคุณภาพชีวิตประกอบดว้ ย ดา้ นพฒั นาคุณภาพชีวิต ด้านการพฒั นาตนเอง และด้านการปรับพฤติกรรม สาหรับแนวทางการประยุกต์ใช้ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงในการแก้ปัญหาหน้ีสินท่ีเกิดจากโครงการสินเช่ือเพ่ือคุณภาพชีวิต คือ การ พจิ ารณาถึงขอ้ ดี ขอ้ เสีย และขอ้ จากดั ในการก่อหน้ี โดยอาศยั องคค์ วามรู้จากประสบการณ์ควบคู่กบั การมีคุณธรรมท่ีดีงาม จากการประมวลงานวจิ ยั ที่เกี่ยวกบั เศรษฐกิจพอเพียงพบวา่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ น แนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิสาหรับคนทุกระดบั และสามารถเป็ นผลสาเร็จได้ หากผทู้ ่ีนาปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมาประยกุ ตใ์ ชน้ ้นั มีความรู้ความเขา้ ใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอยา่ งดี
76 7.2 งานวจิ ัยต่างประเทศ เทอร์เนอร์ แมคโดนัล และโซเมอร์เซ็ท (Turner Macdonald and Somerset: 2008) ทาการศึกษาเร่ือง ทกั ษะชีวิต การคิดหาเหตุผลและการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ: หลกั สูตรเพื่อการ ป้ องกนั ปัญหาการพนนั วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพ่ือศึกษาพฒั นาการของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ในการป้ องกนั ปัญหาการพนนั ดว้ ยโปรแกรมป้ องกนั สาเร็จรูป และเพ่ือประเมินผลสถานศึกษาที่ เป็ นตน้ แบบในการป้ องกนั ปัญหาการพนัน โดยใช้วิธีการวิจยั ก่ึงทดลอง ผลการวิจยั พบว่า การ ควบคุมตนเอง ความสามารถในการเผชิญหนา้ กบั ปัญหา ความตระหนกั ในภยั ของการพนนั รวมถึง การมีทกั ษะชีวติ ที่ดี ทาใหเ้ ยาวชนมีพฒั นาการที่เหมาะสมในอนาคต ศริคาระและคิโชริ (Srikara and Krishori: 2010) ทาการศึกษาเรื่อง การเสริมสร้างศกั ยภาพ ด้านทกั ษะชีวิตของเด็กวยั รุ่นในโรงเรียน ด้วยโปรแกรมสุขภาพจิต วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อ ส่งเสริมสุขภาพจิตของเด็กวยั รุ่นในโรงเรียน ดว้ ยกิจกรรมทกั ษะชีวิต โดยใช้วธิ ีการวจิ ยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อย่างจานวน 605 คน ผลการวิจยั พบว่า ภายหลงั จากการเขา้ ร่วมกิจกรรม กลุ่มตวั อย่างมี ความนับถือตนเองเพิ่มข้ึน มีการรับรู้การจดั การกับปัญหาเพียงพอ และมีการปรับตวั ทางด้าน พฤติกรรมดีข้ึน นอกจากน้ียงั สังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงดา้ นปฏิสัมพนั ธ์กบั ผอู้ ่ืนของกลุ่มตวั อยา่ งที่ เป็นไปอยา่ งราบรื่น ซ่ึงส่วนหน่ึงของผลลพั ธ์มาจากการท่ีเดก็ มีครูผสู้ อนเป็นตน้ แบบ เฮลฟิ ช ชาน และซาโบล (Helfrich Chan and Sabol: 2011) ทาการศึกษาเรื่อง องคค์ วามรู้ ดา้ นทกั ษะชีวิต สาหรับผูป้ ่ วยทางจิตเร่ร่อน วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อศึกษาทกั ษะชีวิตที่จาเป็ น สาหรับผูป้ ่ วยจิตเภทเร่ร่อน ด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป โดยใช้วิธีการวิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อย่าง จานวน 38 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ภายหลงั การทดลอง กลุ่มตวั อยา่ งมีการปรับตวั จากในการดารงชีวติ ดีข้ึน และผปู้ ่ วยประเภทน้ี ตอ้ งมีการดูแลอยา่ งใกลช้ ิด ไอฮารา วอฟ เบรนไอจิน และไวท์ (Ihara Wolf-Brainigin and White: 2012) ทาการศึกษา เรื่อง คุณภาพชีวิตและทกั ษะชีวิตของผพู้ ิการวยั รุ่นในชนบท วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาการ สร้างคุณภาพชีวิตพ้ืนฐานของวยั รุ่นท่ีมีรายไดต้ ่าจากโคลมั เบีย เปรียบเทียบกบั วยั รุ่นอเมริกาผวิ ดา โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั เชิงปริมาณ ผลการวิจยั พบวา่ วยั รุ่นพิการโคลมั เบียมีทกั ษะชีวิตและทนั คติในการ ใช้ชีวิตระดับต่ากว่าวยั รุ่นอเมริกาผิวดา เนื่องจากความเท่าเทียมกันของระดับชนช้ันในสังคม ระหวา่ งโคลมั เบียและอเมริกาน้นั ตา่ งกนั เป็นอยา่ งมาก แกรนด์ฮอมและคนอ่ืนๆ (Granholm and et.al, 2013) ทาการศึกษาเร่ือง ผลของการ ฝึ กอบรมทกั ษะทางสังคม อนั เป็ นองคค์ วามรู้ของผปู้ ่ วยจิตเภทสูงอายุ : ดา้ นทศั นคติและผลลพั ธ์ วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั การฝึ กอบรมพฤติกรรมทกั ษะทางสังคม ของ ผปู้ ่ วยจิตเภทสูงอายุ โดยใชว้ ธิ ีการวิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อยา่ งจานวน 79 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ การ
77 ฝึกอบรมทกั ษะทางสังคมช่วยลดความรุนแรงดา้ นทศั นคติของผปู้ ่ วยจิตเภทสูงอายุ อีกท้งั ยงั ช่วยลด ภาวะซึมเศร้า ความวติ กกงั วล พร้อมกบั เพ่ิมแรงจูงใจ ความนบั ถือในตนเองและความพึงพอใจใน ชีวติ อแนนด์ และคนอื่นๆ (Anand and et.al, 2013) ทาการศึกษาเร่ือง ผลของการฝึ กทกั ษะชีวติ ต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหารของวยั รุ่นในโรงเรียน: การศึกษาเมืองนิวเดลี วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาความสามารถในการลดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของวยั รุ่นในประเทศอินเดีย โดยใชว้ ิธีการ วิจยั ก่ึงทดลอง กลุ่มตวั อย่างอายุ 15-17 ปี ผลการวิจยั พบว่า กิจกรรมการฝึ กทกั ษะชีวิต ท้งั ด้าน ความรู้ ทศั นคติ และการปฏิบตั ิ สามารถช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภคอาหารไปในทางท่ี ถูกตอ้ งได้ คีแนน และคนอื่นๆ (Keenan and et.al: 2013) ทาการศึกษาเรื่อง ประสิทธิผลของการสร้าง ประสบการณ์ ในการฝึ กฝนทกั ษะชีวิต สาหรับเด็กและเยาวชนผพู้ ิการ วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อ ศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมทกั ษะชีวิตในการเตรียมเด็กและเยาวชนผพู้ ิการ สู่ความเป็ นผใู้ หญ่ ที่มีประสิทธิภาพ โดยใชว้ ิธีการวิจยั ก่ึงทดลอง ผลการวิจยั พบวา่ การมีประสบการณ์ในดา้ นการอยู่ ร่วมกับผูอ้ ่ืน รวมถึงการมีส่วนร่วมในชุมชน เป็ นสิ่งจาเป็ นสาหรับการมีทกั ษะชีวิตท่ีดี ดงั น้ัน ผเู้ ก่ียวขอ้ งควรให้การสนบั สนุนประสบการณ์ดา้ นน้ีแก่เด็กและเยาวชนผพู้ ิการ เพ่ือช่วยใหเ้ ด็กและ เยาวชนสามารถเตรียมรับกบั การเปลี่ยนแปลงในภายหนา้ ได้ เพียร์สเทน และคนอ่ืนๆ (Pearltein and et.al, 2013) ทาการศึกษาเรื่อง การเปลี่ยนแปลงของ เยาวชน: ทกั ษะชีวติ สาหรับเยาวชน ผตู้ ิดเช้ือเอชไอวีมาต้งั แต่กาเนิดและผไู้ ดร้ ับเช้ือเอชไอวีในวยั โต วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพื่อศึกษาทกั ษะชีวติ ที่จาเป็นสาหรับการเติบโตเป็นผใู้ หญ่ของผตู้ ิดเช้ือเอชไอวี มาต้งั แต่กาเนิดและผไู้ ดร้ ับเช้ือเอชไอวีในวยั โต โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อย่างจานวน 245 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ เยาวชนผตู้ ิดเช้ือเอชไอวจี ะมีอานาจควบคุมตนเองต่า ทาให้มีทกั ษะชีวติ ต่า ไปดว้ ย ดงั น้นั เยาวชนผตู้ ิดเช้ือเอชไอวี ควรไดร้ ับการดูแลและสนบั สนุน รวมถึงการเรียนรู้ทกั ษะ ชีวติ ท่ีจาเป็นในการดารงชีวติ ประจาวนั เพอ่ื เตรียมพร้อมสาหรับการอยรู่ ่วมในสงั คมต่อไป ลาย และคนอื่นๆ (Lai and et.al, 2013) ทาการศึกษาเรื่อง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งทกั ษะชีวติ และบรรทดั ฐานทางสังคม สาหรับเยาวชนผตู้ ิดสารเสพติดในแอฟริกาใต้ วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั เพื่อ ศึกษาทกั ษะชีวิตของวยั รุ่นผตู้ ิดยา และเพื่อศึกษาถึงบรรทดั ฐานสังคมท่ีมีส่วนต่อวยั รุ่นผตู้ ิดยา โดย ใชว้ ิธีการวิจยั เชิงปริมาณ กลุ่มตวั อย่างจานวน 714 คน ผลการวิจยั พบว่า วยั รุ่นผูต้ ิดสารเสพติด มี ทกั ษะชีวติ ในดา้ นการแกป้ ัญหาความขดั แยง้ บกพร่อง รวมถึงสังคมไมย่ อมรับ ดงั น้นั โรงเรียนควรมี การควบคุมดูแลอยา่ งจริงจงั เพ่อื ลดและป้ องกนั การแพร่ระบาดและใชส้ ารเสพติดในทางท่ีผดิ
78 เพนเทอร์ ออธนั และแมคลอด (Painter Orton and Macleod: 2011) ทาการศึกษาเร่ือง การ เชื่อมโยงระหว่างทอ้ งถ่ินนิยมและพลงั ชุมชน วตั ถุประสงค์การวิจยั เพ่ือศึกษาความหมาย ความ เป็นมา ความสาคญั ระหวา่ งทอ้ งถ่ินนิยมและพลงั ชุมชน และเพื่อศึกษาการเชื่อมโยงระหวา่ งทอ้ งถิ่น นิยมและพลงั ชุมชนในบริบทที่แทจ้ ริง โดยใชว้ ิธีการศึกษาขอ้ มูลทุติยภูมิจากเอกสาร ผลการวิจยั พบวา่ ความเป็ นทอ้ งถิ่นนิยมและการขบั เคล่ือนพลงั ชุมชน เกิดจากคนภายในชุมชน ส่วนรัฐบาลมี หนา้ ท่ีเพยี งใหก้ ารสนบั สนุน เพอ่ื ส่งเสริมใหช้ ุมชนมีความเขม้ แขง็ และยงั่ ยนื จูเลียนา (Juliana, 2010) ทาการศึกษาเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงกบั สันติอโศก: เศรษฐกิจวิถี พุทธ เพื่อโลกท่ียงั่ ยืน วตั ถุประสงค์การวิจยั เพื่อ โดยใช้วิธีการศึกษาขอ้ มูลทุติยภูมิจากเอกสาร ผลการวจิ ยั พบวา่ ปัจจุบนั เศรษฐกิจกระแสหลกั มีอิทธิพลครอบคลุมในมุมกวา้ ง และเป็ นส่วนสาคญั ในการทาลายส่ิงแวดล้อมให้ทรุดโทรม ดงั น้ันการปฏิบตั ิตามเศรษฐกิจกระแสทางเลือก ซ่ึงคือ เศรษฐกิจพอเพียงบทพ้ืนฐานของศาสนา จะนามาซ่ึงความสงบสุข ความสมดุลระหว่างชีวิตและ สิ่งแวดลอ้ ม และความยงั่ ยนื ทาโอไลน์ (Taolone, 2013) ทาการศึกษาเร่ือง พ้ืนฐานเศรษฐกิจพอเพียงในประเทศไทย : แนวคิด ทฤษฎี และทิศทางในอนาคต วตั ถุประสงค์การวิจยั เพ่ือศึกษาประวตั ิ ความเป็ นมาและ ความสาคญั ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในประเทศไทย และศึกษาทิศทางความเป็ นไปได้ใน อนาคตของของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยใชว้ ิธีการศึกษาขอ้ มูลทุติยภูมิจากเอกสาร ผลการวจิ ยั พบวา่ เป้ าหมายการพฒั นาของประเทศไทยตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ การที่ประชาชน มีความเป็นอยทู่ ่ีพอเพยี ง พอดีกบั ฐานะ มีสุขภาพจิตและกายที่แขง็ แรง ควบคู่ไปกบั การมีความรู้และ คุณธรรม รวมถึงมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตระหนักในความจาเป็ นของการมีส่วนร่วมในสังคม สามารถดารงตนภายใตร้ ะบบทุนนิยมไดอ้ ยา่ งมนั่ คง ยดึ ถือวฒั นธรรมประเพณีที่ดีงาม มีการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ สร้างภูมิคุม้ กนั ใหก้ บั ตนเอง เพื่อพร้อมรับกบั การเปลี่ยนแปลงจากกระแสโลก และความขดั แยง้ ตา่ งๆท่ีเกิดข้ึนท้งั ภายในและภายนอกประเทศ จากการประมวลงานวิจยั ต่างประเทศพบว่า ทกั ษะชีวิตมีความเช่ือมโยงกบั การจดั การ ตนเอง กล่าวคือ การมีทกั ษะชีวติ ท่ีดี ยอ่ มส่งผลให้พฤติกรรมการแสดงออกในทางที่เหมาะสม ไม่ ก่อให้เกิดปัญหากบั สังคมส่วนรวม อีกนยั หน่ึง การมีทกั ษะชีวติ ท่ีดี จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลในการจดั การตนเอง ดา้ นพฤติกรรมและการแสดงออกต่อสังคม นอกจากน้ี การจดั การ ตนเองยงั มีความสัมพนั ธ์กบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วย เพราะปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็ น ความสามารถในการพ่ึงตนเอง เป็ นการบริหารจดั การตนเองตามหลกั ความพอประมาณ มีเหตุผล และมีภูมิคุม้ กนั ควบคู่ไปกบั การมีความรู้และคุณธรรม ท้งั ระดบั บุคคลและชุมชน นาไปสู่การเป็ น ชุมชนเขม้ แขง็ มีความสมดุลและยงั่ ยนื ต่อไป โดยสามารถสรุปเป็นตารางได้ ดงั น้ี
79 ตารางที่ 3 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตวั อย่าง ตัวแปรทศี่ ึกษา ผลการวจิ ัย ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม กลุ่มทดลองมีความรู้ เนตรทราย นกั เรียนหญิง โปรแกรมการ 1. ความรู้เร่ือง และมีการปรับเปล่ียน พฤติกรรมในดา้ น ปัญญชุณห์ มธั ยมศึกษาปี เสริมสร้าง เพศศึกษา ป้ องกนั การมี เพศสมั พนั ธ์ไปในทางท่ี (2552) ท่ี 2-3 จานวน ทกั ษะชีวติ เพ่ือ 2. ความภาคภมู ิใจ ดีข้ึนมากกวา่ กลุ่ม ควบคุมท่ีไมไ่ ดเ้ ขา้ ร่วม 105 คน ป้ องกนั การมี 3. การตระหนกั โปรแกรมทกั ษะชีวติ ผเู้ ขา้ ร่วมฯมีแรงจงู ใน เพศสมั พนั ธ์ 4. ทกั ษะการ ในแง่ของคุณภาพชีวติ การปรับตวั เขา้ กบั ปฏิเสธ สิ่งแวดลอ้ มไดด้ ีข้ึน และมีความฉลาดทาง 5. พฤติกรรมการ อารมณ์ในดา้ นการ ควบคุมตนเอง ทกั ษะ ป้ องกนั ทางสงั คม การวางแผน แกป้ ัญหาเพิ่มมากข้ึน มะไลวลั ย์ ผเู้ ขา้ รับการ โปรแกรมการ การปรับ นกั เรียนไดร้ ับความรู้ และประสบการณ์จาก แพงพุด ฟ้ื นฟู บาบดั ตาม พฤติกรรม กระบวนการทกั ษะชีวติ ที่มีคุณค่าตอ่ การ (2552) สมรรถภาพผู้ แนวคิดการ นาไปใชใ้ นการดาเนิน ชีวติ ประจาวนั ติดสารเสพติด สร้างแรงจงู ใจ จานวน 10 คน อรัญญา ชุติ ผปู้ กครอง ปัจจยั ส่วน การจดั การทกั ษะ มา (2552) ครูผสู้ อน บุคคล ชีวติ ผบู้ ริหาร และ คณะที่ปรึกษา จานวน 129 คน
80 ตารางที่ 3 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ (ตอ่ ) ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตวั อย่าง ตัวแปรทศี่ ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม วราภรณ์ ชาวบา้ นอาเภอ 1.ปัจจยั ส่วน พฤติกรรมการ บุคคลที่มีพฤติกรรม บุรานนท์ เกาะจนั ทร์ บุคคล พ่ึงตนเองตามแนว การพ่ึงตนเองตาม (2553) จงั หวดั ชลบุรี 2. ทกั ษะชีวติ เศรษฐกิจพอเพยี ง แนวทางปรัชญา จานวน 400 คน 3. การเช่ือ เศรษฐกิจพอเพียง เกิด อานาจควบคุม จากการมีทกั ษะชีวติ ตนเอง ความเช่ืออานาจ 4. การ ควบคุมตนเอง และ สนบั สนุนทาง การสนบั สนุนทาง สังคม สังคมท่ีเอ้ือตอ่ การ ประพฤติปฏิบตั ิ สุมาลี นกั เรียนช้นั 1. การอบรม ทกั ษะชีวติ การอบรมเล้ียงดูแบบ เทวฤทธ์ิ ประถมศึกษาปี เล้ียงดู ประชาธิปไตย (2553) ท่ี 5 จานวน 576 2. บุคลิกภาพ บุคลิกภาพแบบแสดง คน แบบแสดงตวั ตวั การสนบั สนุนจาก 3. การเห็น สังคม การเห็นคุณค่า คุณค่าในตนเอง ในตนเอง และ 4.สุขภาพจิต สุขภาพจิต ศุภร ชินะ นกั เรียนระดบั 1. ขอ้ มลู ทว่ั ไป พฤติกรรมการ นกั เรียนที่ไดร้ ับการ เกตุ (2553) ประกาศนียบตั ร 2. ปัจจยั ส่วน ป้ องกนั ยาเสพติด สนบั สนุนจาก จานวน 374 คน บุคคล (การ ครอบครัวและสงั คม ควบคุมตนเอง, เป็นหลกั มีแนวโนม้ ทกั ษะชีวติ ) ของพฤติกรรมการ 3. ปัจจยั ดา้ น ป้ องกนั ยาเสพติดได้ ครอบครัว ร้อยละ 32.8 4. ปัจจยั ดา้ น สงั คม
81 ตารางท่ี 3 งานวจิ ยั ในประเทศเกี่ยวกบั ทกั ษะชีวติ (ตอ่ ) ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตัวอย่าง ตวั แปรทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรตาม วยั รุ่นมีพฤติกรรมการเล่น ธวชั ชยั เอก นกั เรียนช้นั โปรแกรมสุข 1. การคิดอยา่ งมี เกมออนไลน์ลดลง ซ่ึง สันติ มธั ยมศึกษา ศึกษาที่ วจิ ารณญาณ เป็นผลจากการเขา้ ร่วม กิจกรรมทกั ษะชีวติ ดา้ น (2554) ตอนตน้ จานวน ประยกุ ต์ 2. ความภูมิใจใน การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ ความภูมิใจในตนเอง 80 คน แบ่งเป็น ร่วมกบั แรง ตนเอง ทกั ษะการปฏิเสธ 2 กลุ่ม สนบั สนุนทาง 3. การไดร้ ับแรง เยาวชนมีการรับรู้ตนเอง ในทางบวกและมีทกั ษะ สงั คม สนบั สนุน ในการดาเนินชีวติ ท่ีดี เน่ืองมาจากการเรียนรู้ 4. พฤติกรรมการ เก่ียวกบั เงื่อนไขและ ประสบการณ์ชีวติ ต้งั แต่ เล่นเกม วยั เด็กผา่ นบริบทดา้ น ตา่ งๆ รักชนก เยาวชนผเู้ ขา้ รับ 1. บริบทของ การรับรู้ตนเอง ทกั ษะชีวติ ท่ีจาเป็น ปวงจกั ร์ทา การรักษา อายุ ชีวติ และทกั ษะชีวติ สาหรับเดก็ และเยาวชนท่ี ตอ้ งพฒั นาคือ การ (2554) ระหวา่ ง 17-18 2. เงื่อนไข เสริมสร้างประสบการณ์ ใหม่ ส่งเสริมการมีส่วน ปี จานวน 5 คน และ ร่วม การแสดงออก คุณภาพชีวติ และความ ประสบการณ์ เป็นมนุษยชาติ เพอ่ื ส่งเสริ มความเป็ นพลเมือง ชีวติ ที่ดีของสังคม 3. แรง สนบั สนุนทาง สงั คม วรนุช สมาชิก อบต. 1. ปัจจยั ส่วน แนวทางการ อดิศยั ศกั ดา ผนู้ าชุมชน บุคคล เสริมสร้างทกั ษะ (2554) ผปู้ กครอง และ 2. ทกั ษะชีวติ ชีวติ เดก็ และ ตวั แทนเดก็ เยาวชน และเยาวชน รวม 56 คน
82 ตารางท่ี 3 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั ทกั ษะชีวติ (ต่อ) ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตวั อย่าง ตวั แปรทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ปราณี นกั ศึกษา การฝึกทกั ษะ คะแนน กลุ่มทดลองหลงั จากเขา้ รับ บุญญา ปริญญาตรีช้นั ชีวติ ปรับตวั และ การฝึกทกั ษะชีวติ มีการ (2555) ปี ท่ี 2 จานวน คะแนนการ ปรับตวั และการเห็นคุณค่า 24 คน เห็นคุณค่าใน ในตวั เองดีกวา่ กลุ่มควบคุม ตนเอง โดยเฉพาะดา้ นการ วางเป้ าหมายในชีวติ และ การบริหารเวลา ศริยา ต้งั นกั เรียนช้นั ตน้ ทุนชีวติ พฤติกรรม นกั เรียนท่ีมีตน้ ทุนชีวติ สูง โฉลก มธั ยมศึกษาปี ที่ 1. ตนเอง ความ จะมีทกั ษะชีวติ สูงกวา่ (2555) 4 จานวน 400 2. ครอบครัว รับผดิ ชอบ นกั เรียนที่มีตน้ ทุนชีวติ ต่า คน 3. ปัญญา และนกั เรียนที่มีคน้ ทุนชีวติ 4. เพ่ือน สูงจะมีความรับผดิ ชอบ 5. ชุมชน มากกวา่ นกั เรียนท่ีมีตน้ ทุน ชีวติ ต่า ตารางท่ี 4 งานวจิ ยั ในประเทศเกี่ยวกบั การจดั การตนเอง ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตัวอย่าง ตวั แปรทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ครรชิต กลุ่มสตรี 1. ปัจจยั ส่วน การมีส่วน การมีส่วนร่วมเพ่อื การ ทองไทย สหกรณ์บา้ น บุคคล ร่วมของสตรี พ่งึ ตนเองของกลุ่มสตรี (2551) หว้ ยเหวอ่ 2. ปัจจยั ดา้ น สหกรณ์บา้ น สหกรณ์เป็นไปอยา่ งมี อาเภอสิรินธร เศรษฐกิจ หว้ ยเหวอ่ ประสิทธิภาพ เป็นตวั อยา่ ง จงั หวดั 3. ปัจจยั ดา้ น อาเภอสิริน ของการพ่งึ ตนเองอยา่ ง อุบลราชธานี จิตวทิ ยา ธร จงั หวดั สมบูรณ์ อุบลราชธานี
83 ตารางที่ 4 งานวจิ ยั ในประเทศเกี่ยวกบั การจดั การตนเอง ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตัวอย่าง ตัวแปรทศี่ ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม วาสนา ประชาชนใน 1. ขอ้ มูลส่วน การมีส่วน ชุมชนควรปรับปรุงรูปแบบ แดงเพง็ ชุมชนจานวน บุคคล ร่วมของ การประชาสัมพนั ธ์ ส่วนใน (2552) 220 คน 2. ระยะเวลาท่ี ประชาชนใน ดา้ นผนู้ าชุมชนควรจดั ใหม้ ี อาศยั ในชุมชน การพฒั นา การประชุมประจาเดือน 3. การเป็น ชุมชุน และเขา้ รับการฝึกอบรม สมาชิกกลุ่ม เกี่ยวกบั การเป็นผนู้ าที่ดี 4. การไดร้ ับ ขอ้ มลู ขา่ วสาร กมลวรรณ ประชาชนใน ทุนทางสังคม การจดั การ ทุนทางสงั คมเป็นทรัพยากร วรรณธนงั ชุมชนท้งั 4 1. โครงสร้าง ความรู้สู่ ที่เก้ือกลู ใหเ้ กิดกระบวนการ (2553) ภมู ิภาค จานวน ทางสงั คม ชุมชน จดั การความรู้ จนเกิดการ 300 คน 2. การรับรู้ พ่ึงตนเอง วเิ คราะห์และสงั เคราะห์ 3. ความสมั พนั ธ์ ความรู้เดิมและความรู้ใหมท่ ่ี เหมาะสมกบั ชุมชน นาไปสู่ องคค์ วามรู้ใหม่ ก่อใหเ้ กิด การพ่งึ พากนั เองภายใน ชุมชน นุจรี ใจ เกษตรกรของ 1. การพ่ึงตนเอง พฤติกรรม ชุมชนทา่ มะไฟหวานมีวถิ ี ประนบ ชุมชนท่ามะไฟ 2. ภมู ิปัญญา การมีส่วน ชีวติ ที่ผกู พนั กบั การเกษตร (2553) หวาน ทอ้ งถ่ิน ร่วมของ โดยอาศยั ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน 3. ความเช่ือและ เกษตรกร มาปรับใชใ้ นการพ่งึ ตนเอง ประเพณี อีกท้งั ยงั มีการส่งเสริม 4. การ กระบวนการเรียนรู้แบบมี แลกเปล่ียนและ ส่วนร่วมมาปรับใชใ้ นการ ระบบ แกไ้ ขปัญหา ความสัมพนั ธ์
84 ตารางที่ 4 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั การจดั การตนเอง (ตอ่ ) ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตัวอย่าง ตัวแปรทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ัย ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม ขา้ วหลามบา้ นอาฮามเป็น เปลวเทียน ชาวบา้ น และ 1. ระบบ การจดั การ อตั ลกั ษณ์ทางวฒั นธรรมใน ระดบั ชุมชน อีกท้งั เจษฎาชยั นกั วชิ าการจาก เศรษฐกิจ ชุมชนอยา่ ง กระบวนการผลิตขา้ วหลาม ยงั ไดเ้ ช่ือมโยงภาคส่วน ยทุ ธ์ ภาครัฐ ภายใน 2. ทรัพยากร ยงั่ ยนื ต่างๆเขา้ มามีส่วนร่วม (2553) ทอ้ งถ่ิน ธรรมชาติ 3. วฒั นธรรม นวกานต์ ผเู้ ก่ียวขอ้ ง 1. ทุนทางสงั คม การ การจดั การชุมชน เป็นการ แทง่ ทอง จานวน 8 คน (2554) 2. การมีส่วน ขบั เคล่ือน นาศกั ยภาพของชุมชนมาใช้ ร่วม ชุมชนสู่การ โดยผา่ นกระบวนการมีส่วน 3. การจดั การ พฒั นา ร่วมของภาคประชาชน โดย ชุมชน มีศูนยป์ ระสานงานองคก์ าร ชุมชน พริ ิยา เสนะ ผเู้ ก่ียวขอ้ ง 1. งานวจิ ยั ที่ 1. การเรียนรู้ กระบวนการสร้างชุมชน รัตน์ จานวน 60 คน (2555) เกี่ยวขอ้ ง 2. การจดั การ เขม้ แขง็ ประกอบดว้ ยการ 2. ผเู้ ช่ียวชาญ ทุน ร่วมจดั การทาแผนท่ีชุมชน ดา้ นชุมชน 3. ตดั สินใจ มีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ จดั 3. ประชาชน อยา่ งอิสระ กระบวนการสงั เคราะห์ รอบโรงไฟฟ้ า 4. มีธรรม ความรู้ และติดตามการ มาภิบาล ดาเนินงานและประเมินผล
85 ตารางท่ี 5 งานวจิ ยั ในประเทศเก่ียวกบั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ผ้วู จิ ัย กล่มุ ตัวอย่าง ตัวแปรทศ่ี ึกษา ผลการวจิ ัย ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ประชาชนมีความรู้ จตุพล ยะจอม ประชาชนใน ปรัชญา การประยกุ ตใ์ ช้ ความเขา้ ใจและการ ดาเนินชีวติ ตามหลกั (2552) ชุมชนจานวน เศรษฐกิจ แนวคิด ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี งในระดบั ดี ส่วน 250 คน พอเพยี ง 3 เศรษฐกิจ ในดา้ นการมีส่วนร่วม ของประชาชนในชุมชน ห่วง 2 พอเพยี ง ยงั ไม่มีประสิทธิภาพ เทา่ ที่ควร เง่ือนไข นกั ศึกษามีความคิดเห็น ในการนาปรัชญา จิรายุ รัตนบวร นกั ศึกษา ปัจจยั ส่วน การนาปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมา และอดุลเดช จานวน 438 คน บุคคล ไดแ้ ก่ เศรษฐกิจ ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวติ ไม่ ตนั แกว้ เพศ คณะ พอเพยี งไป แตกต่างกนั แต่การนา (2552) ภมู ิลาเนา ช้นั ประยกุ ตใ์ ช้ ปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ช้ ปี ที่ศึกษา ในชีวติ จะแตกต่างกนั ไปตามปัจจยั ส่วนบุคคล ทองดี งามสง่า เกษตรกร 1. ปัจจยั การ ผลการ ปัจจยั ท่ีทาใหก้ ลุ่ม (2552) จานวน 29 คน ทากิจกรรม ดาเนินงานของ เกษตรอินทรีนาหนอง 2. สมาชิกกลุ่ม กลุ่มเกษตร ไผป่ ระสบผลสาเร็จ 3. ปัจจยั ดา้ น อินทรีย์ ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นผนู้ า ทุนและ ดา้ นสมาชิก ดา้ นทุน ทรัพยากร และทรัพยากร ดา้ น 4. ปัจจยั ดา้ น สงั คมและวฒั นธรรม สงั คม ดา้ นสภาพภูมิประเทศ และดา้ นนโยบายของรัฐ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192