วรรณกรรมปจั จุบนั ผ้สู อน นางสาวกุลธิดา เหลาเหลก็
ขนาดเธอยังเปลี่ยนไป แลว้ ทาไมวรรณกรรมไทยจะไม่เปล่ยี นแปลง...
คาวา่ วรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานคร้ังแรกในพระราชบญั ญัตคิ ุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พ.ศ. 2475 ตอ่ มาได้มีผู้นิยามความหมายไวด้ งั นี้ กหุ ลาบ มลั ลิกะมาส (2519 : 5) ได้ใหค้ วามหมายของวรรณกรรมว่าคานี้ใกล้เคียงกับคาวา่ วรรณคดี เพราะแปลมาจากคาวา่ Literatureเชน่ เดียวกัน แตค่ าวา่ วรรณกรรม น้ันหมายถึง สิง่ ซง่ึ เขียนขน้ึ ท้งั หมดไมว่ ่าจะเป็นรปู ใด หรือเพ่อื ความม่งุ หมายใด เชน่ คาอธิบายวิธใี ช้กล้องถ่ายรปู รวมทัง้ ใบปลวิ หนงั สือพมิ พ์ นวนิยายก็ล้วนแลว้ แต่เรียกวา่ Literature ท้ังสน้ิ วรรณกรรมจงึ มี ความหมายอย่างกว้างท่ีสดุ วรรณกรรมทแ่ี ต่งดี ได้รบั ยกยอ่ งจากคนทัว่ ไป จึงจะเรียกวา่ วรรณคดี คณุ สมบตั ทิ ีท่ าใหว้ รรณกรรมและวรรณคดีตา่ งกค็ อื วรรณศลิ ป์ หรอื ศลิ ปะแห่งการเรยี บเรยี ง ดังน้นั จะเหน็ วา่ คาวรรณกรรม มคี วามหมายกวา้ งกว่า วรรณคดี แตใ่ นที่นจ้ี ะใชค้ าว่า วรรณกรรม ในความหมายโดยกวา้ งครอบคลมุ งานเขียนทกุ ชนดิ ไมจ่ ากดั ว่างานเขยี นนนั้ ๆ จะมคี ณุ คา่ ทางวรรณศิลป์มากนอ้ ยเพยี งใด
วรรณกรรมปจั จุบนั ในวงวรรณกรรมไทยใชค้ าวา่ วรรณกรรมปัจจุบัน ตรงกับว่า Contemporary Literature ในภาษาอังกฤษ ซง่ึ ได้มกี ารให้ความหมายของคาว่า \"Contemporary\" ต่างกนั เปน็ 2 แนวดังน้ี 1. Contemporary the Present Time หมายถึง เวลาระหวา่ งอดตี กบั อนาคต คือ เวลาเด๋ยี วนี้ หรือปจั จบุ ันน่นั เอง 2. Living or Happening in the Same Period of Time หมายถงึ ในช่วงเวลาเดยี วกนั เวลาทรี่ ว่ มกนั หรอื ทนั กนั เมื่อแปลความต่างกันเชน่ นี้ จงึ มกี ารบัญญัตคิ าวรรณกรรมรว่ มสมัย ขึ้นเพ่อื ใช้ให้ตรงกับความหมายในประการหลัง คือ ในชว่ งเวลาเดยี วกัน ทาใหเ้ กิดข้อกังขาวา่ คาว่า \"ปจั จบุ นั \" กบั \"รว่ มสมัย\" นั้น มคี วามหมายไปในทางเดยี วหรือไม่ ?
นกั เรยี นคดิ วา่ คาว่า \"ปจั จุบัน\" กับ \"รว่ มสมัย\" นนั้ มคี วามหมายไปในทางเดยี วหรอื ไม่ ?
เนาวรตั น์ พงษ์ไพบูลย์ (2523 : 12) กวรี ตั นโกสินทร์ไดข้ ยายความคาว่า \"ร่วมสมัย\" ไวว้ า่ ร่วมสมัยน้ี ร่วมอะไร กส็ รุปได้ คอื รว่ มเวลา ร่วมความคดิ และรว่ มอายกุ ัน เช่น งานเขยี นเร่อื งปีศาจ หรือความรกั ของวัลยา ถอื เปน็ วรรณกรรมรว่ มสมยั คือ ใครเขียนแนวน้กี ร็ ว่ มสมยั รว่ มความเห็นว่า จะใช้กาลเวลา เป็นเคร่ืองตัดสนิ ใจเพยี งอย่างเดยี วไม่ได้ ตอ้ งขึน้ อยู่กับว่าวรรณกรรมช้นิ นน้ั ๆ ยงั มีพลงั ในการจดุ ประกายความคดิ ใหมใ่ ห้แก่ผู้อ่านได้หรอื ไม่
แต่ ประทปี เหมอื นนลิ (2523 : 7) ไมเ่ หน็ ด้วยกบั การใช้คาวา่ \"รว่ มสมัย\" ในความหมายเดยี วกบั \"ปัจจุบัน\" โดยให้ความเห็นวา่ คาวา่ \"ปัจจุบนั \" กบั \"ร่วมสมัย\" ก็มไิ ด้หมายความเดยี วกนั เพราะคาวา่ \"รว่ มสมยั \" อาจหมายถึง วรรณกรรมใด ๆ ในอดีตกไ็ ด้ เช่น ไตรภมู ิพระรว่ ง ของ พระมหาธรรมราชาลไิ ทกับ Divine of Comedy ของ Dante แต่งข้ึนในเวลาหา่ งกนั ประมาณ 30 ปี ก็อาจนับเป็นวรรณกรรมรว่ มสมยั กนั ได้ แตว่ รรณคดีทง้ั สองเรอ่ื งนม้ี ใิ ชว่ รรณกรรมปัจจุบัน หรอื ถ้ามนี กั เขยี นที่มชี วี ติ ร่วมสมัยในเวลาน้ีแต่เขยี นบทนริ าศ ดว้ ยลกั ษณะคร่าครวญ แบบทก่ี วเี คยแตง่ ในสมยั ต้นรัตนโกสนิ ทร์ก็ยอ่ มยามทจี่ ะตดั สนิ ได้ว่า นกั เขยี นรว่ มสมยั คนนัน้ เขียนวรรณกรรมปัจจบุ นั หรอื ไม่
ส่วน กระแสร์ มาลยาภรณ์ (2529 : 3-4) มคี วามเหน็ ในทานองเดียวกับ ประทปี เหมือนนิล คอื \"รว่ มสมยั \" แปลว่า สมยั เดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าจะใชใ้ นคาว่า \"วรรณกรรมรว่ มสมัย\" แปลว่า วรรณกรรมสมยั เดยี วกัน ก็ควรจะใชไ้ ด้อยู่เสยี แตว่ า่ \"สมัย\" นน้ั สมัยไหนเลา่ มติ อ้ งบอกช่วงเวลากากบั ไปกับคาวา่ \"ร่วมสมัย\" ดว้ ยหรอื เช่นวา่ วรรณกรรมร่วมสมัย 2500 - 2510 การสอนวชิ าวรรณกรรมเราก็มักพูดถงึ ประวัตขิ องวรรณกรรม \" ปจั จบุ นั \" คอื เริม่ ในสมยั ร.5 หรอื ประมาณ พ.ศ. 2442 เหมอื น ๆ กนั ถ้าเราจะพดู ถึง 2442 วา่ \"รว่ มสมยั \" แลว้ ใน 2529 ก็ออกจะไปไกลไปหน่อย แต่ถา้ เราพูดถงึ 2442 วา่ เขา้ ส่ยู ุค \"ปจั จุบัน\" ถึงเราจะพูดใน 2529 ล่วงมากวา่ แปดสบิ ปแี ล้วกย็ งั น่าฟังกวา่ เปน็ อันมาก
สรุปไดว้ ่าคาวา่ \"ปัจจุบนั \" เปน็ คาทีส่ ่อื ความหมายได้ชัดเจน และกอ่ ใหเ้ กดิ มโนทศั น์ ไดง้ ่ายกวา่ คา \"ร่วมสมยั \" ซึง่ อาจตีความไดห้ ลายทาง
การอธบิ ายความหมายคาวา่ \"ปจั จุบนั \" ของ บุญเหลือ เทพยสุวรรณ (2529: 365-369) ที่วา่ คานมี้ ากจาก Modern ในภาษาองั กฤษ ซึง่ หมายถึง สภาพทม่ี ีการเปลยี่ นแปลงเกดิ ขนึ้ ในสงั คม ทาใหม้ ีศิลปะวทิ ยาการรูปแบบและค่านยิ มใหม่ ๆ เกิดขน้ึ เพอ่ื ให้สอดคล้องกับสังคมที่มลี ักษณะใหม่ ซ่งึ กต็ รงกับการสรปุ ลักษณะ \"วรรณกรรมไทยปจั จบุ ัน\" ของ กหุ ลาบ มัลลกิ ะมาส (2519 : 25-28) ดงั น้ี
1. วรรณกรรมปจั จบุ นั คอื วรรณกรรมท่ีมลี ักษณะตา่ ง ๆ เปลย่ี นแปลงไปจากเดิมเพราะรับอิทธพิ ล มาจากวรรณกรรมหรอื แนวคดิ ของชาวตะวันตก มขี อบขา่ ยคลุมถึง 1.1 วรรณกรรมประเภทต่าง ๆ เช่น สารคดี นวนยิ าย เร่ืองสน้ั รอ้ ยกรอง บทละคร และบทวจิ ารณ์ วรรณกรรม 1.2 กลวธิ ีในการแตง่ (เนอื้ เรือ่ ง ทัศนะในการสรา้ งเค้าโครงเร่อื ง การสรา้ งตัวละคร) 1.3 แนวคดิ และปรชั ญาในการแตง่ 2. ถ้าจะใชเ้ วลาเป็นเครือ่ งกาหนดความเป็นปจั จุบัน ก็อาจจะตอ้ งนับทวนถอยหลงั ขน้ึ ไปจากขณะน้ี โดยประมาณทกุ รอบ 10 ปี
ประเภทของวรรณกรรมไทยปัจจบุ ัน นบั แต่รชั กาลท่ี 5 เปน็ ต้นมาอทิ ธิพลของวรรณกรรมตะวันตกส่งผลใหเ้ กดิ ความเปลยี่ นแปลง กับวรรณกรรมไทยในหลายดา้ นด้วยกนั ด้านหนง่ึ คือ รปู แบบความนยิ มเขียนรอ้ ยกรองคอ่ ยๆ ลดลง ท้ังยังมกี ารเปลีย่ นแปลงการเขียนจากรปู แบบเกา่ มาสรู่ ูปแบบใหม่ ๆ ส่วนรอ้ ยแกว้ ไดร้ บั ความนิยมอยา่ งมาก และขยายตัวจากการเขยี นในรูปของนทิ าน พงศาวดาร ประวตั ิศาสตร์ กฎหมายไปเปน็ รปู แบบอนื่ ๆ ดังจะกล่าวถึงโดยสงั เขปต่อไปน้ี
1. วรรณกรรมประเภทรอ้ ยแกว้ แบง่ เป็น 2 ชนดิ คอื 1.1 สารคดี (Non Fiction) คอื วรรณกรรมทม่ี เี นือ้ หาสาระ ทีม่ งุ่ จะให้ความรู้ ความคิด ความจริง บางประการแกผ่ ้อู า่ น อาจเขยี นเชงิ อธิบาย เชงิ วิจารณ์ เชิงแนะนาสง่ั สอน ผ้อู า่ นอาจไดร้ บั ความบนั เทิง จากการอ่านด้วยแต่เป็นความบนั เทิงด้านภมู ิปญั ญา ดงั นน้ั ในการเขียนสารคดจี ึงมีการให้เหตุผลและหลกั ฐาน ประกอบสารคดีอาจแบ่งเป็นประเภทย่อย ๆ ไดด้ ังน้ี
1.1.1 ความเรียง (Essay) เป็นงานเขียนท่ีถา่ ยทอด ความรู้ ความคดิ ซึง่ ไดจ้ ากประสบการณ์ หรอื การคน้ ควา้ ให้แงค่ ิดเชงิ ปรัชญา เกย่ี วกบั โลกและชีวติ บางครง้ั มผี เู้ รียกวา่ “สารคดวี ชิ าการ”
1.1.2 บทความ (Article) เปน็ งานเขียนทแี่ สดงความรู้ ความคดิ เห็น หรือความรูส้ กึ ของผเู้ ขยี นตอ่ สภาพแวดล้อม ทางสังคมท่ีดารงชีวิตอยู่
1.1.3 สารคดีทอ่ งเท่ียว (Travelogue) เป็นงานเขียนท่ถี ่ายทอดประสบการณ์ จากการท่องเทีย่ วสูผ่ อู้ า่ น โดยม่งุ ท่จี ะให้ความรแู้ กผ่ อู้ า่ น และความเพลดิ เพลนิ ดว้ ย
1.1.4 สารคดชี ีวประวัติ (Biography) เป็นงานเขียนที่กล่าวถึงประวตั ชิ วี ิต ของบุคคลท่ีนา่ สนใจและเป็นบทเรยี น แก่ผอู้ ่ืนได้ แตไ่ ม่ใชป่ ระวัติศาสตร์และนยิ าย
1.1.5 อนุทิน (Diary) เป็นการจดบนั ทึกประจาวัน เกยี่ วกบั เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวติ พรอ้ มความคิดเห็นของผจู้ ดบันทกึ โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่อื เตอื นความจา
1.1.6 จดหมายเหตุ (Archive) เป็นบันทึกเหตกุ ารณ์สาคัญ ทางประวตั ิศาสตร์ของหนว่ ยงาน สว่ นราชการหรอื องคก์ รตา่ ง ๆ เพ่อื เปน็ หลกั ฐานเชงิ ประวตั ิ เหตกุ ารณข์ องชาติ หรือสถาบัน
1.2 บันเทงิ คดี (Fiction) หรอื เร่อื งสมมุติ เป็นงานเขียนท่มี งุ่ ให้ผูอ้ า่ น ได้รบั ความเพลดิ เพลนิ เปน็ หลกั ส่วนความรู้เป็นสงิ่ สาคญั รองลงมา โดยมีจุดมุ่งหมายใหค้ วามบนั เทิงเป็นหลัก และให้ขอ้ คิด คตินิยม หรือสอนใจ ฯลฯ แกผ่ ู้อา่ น บนั เทงิ คดี แบ่งเปน็ ประเภทยอ่ ย ๆ ดงั นี้ 1.2.1 นวนยิ าย (Novel) เป็นการผกู เรอ่ื งราวเกีย่ วกับชวี ติ และพฤตกิ รรมของมนุษยใ์ นลกั ษณะ ที่สมจรงิ และอาจเกดิ ขึ้นไดใ้ นชีวิตจริง ในลักษณะจาลองสภาพชีวติ ของสงั คมสว่ นใดส่วนหน่ึงทมี่ ี จดุ มุ่งหมายให้ความบันเทงิ ใจแกผ่ ู้อา่ น
1.2.2 เรือ่ งสน้ั (Short Story) เปน็ งานเขยี นที่มลี ักษณะเดยี วกบั นวนยิ าย แต่มขี นาดสนั้ กว่า จะเสนอพฤติกรรมหรือเหตุการณ์มาใดมมุ หนง่ึ ของชีวติ หรือเหตกุ ารณห์ นงึ่ หรือช่วงชวี ิตหนงึ่ เทา่ น้นั เพอื่ ให้เกิดความสะเทอื นใจแกผ่ ู้อา่ น
1.2.3 บทละคร (Drama) เปน็ งานเขยี นท่ีผกู เรือ่ งราวขึ้นจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่นเดยี วกบั นวนยิ ายและเร่ืองส้นั แตจ่ ดุ มุ่งหมายในการเขียนต่างกนั บทละครเขยี นข้ึนเพื่อนาไปแสดง ส่วนนวนิยายและเร่อื งสน้ั เขยี นขึ้นเพ่อื อา่ นบทละครแบบใหม่น้ยี ังตา่ งจากวรรณคดกี ารละคร แสดงโดยเฉพาะ บทละครแบบใหม่นี้ครอบคลมุ ไปถึง บทละครวทิ ยุ บทละครโทรทศั นบ์ ทละครเวที และบทภาพยนตร์
2. วรรณกรรมประเภทร้อยกรอง แบง่ เป็น 2 ชนดิ คอื 2.1 รอ้ ยกรองตามฉนั ทลกั ษณเ์ ดิม แมก้ ารเขยี นร้อยกรองตามฉนั ทลกั ษณ์เดิม ประกอบ ดว้ ยคาประพนั ธ์ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนร่าย จะยงั คงมีอยู่ แตม่ ขี นาดส้นั ลง และเนน้ \"ขอ้ คดิ \" หรือ \"ความคิด\" มากข้นึ ความนยิ มในการตกแต่งถ้อยคาด้วยความประณตี บรรจง เพ่อื ความไพเราะ อยา่ งกวีในยุคเดิมลดลง และมคี วามสาคญั รองจากความคิด แม้จะมกี วใี นปัจจบุ นั บางกลุม่ ใช้ร้อยกรอง รูปแบบเดมิ แต่จะไมเ่ ครง่ ครดั ในฉันทลักษณ์ตามแบบแผนมากนกั การใชถ้ ้อยคามีลักษณะกรา้ วแกร่ง มากข้ึน จนบางคร้งั ถงึ ขนั้ กา้ วร้าวกม็ ี
2.2 รอ้ ยกรองตามฉันทลักษณท์ กี่ าหนดใหม่ โดยฉันทลักษณ์ทกี่ าหนดขน้ึ ใหม่ ส่วนใหญจ่ ะยึดหลักความเรียบงา่ ย ชดั เจนและมกี รอบเพยี งเล็กน้อย ทั้งน้เี พอ่ื ส่ือความคิด มากกวา่ ความไพเราะรอ้ ยกรองรปู แบบใหม่นั้น มีทง้ั ที่เป็น \"กลอนเปลา่ \" (Blank Verse) หรือกลอนปลอดสัมผัส ไปจนถึงร้อยกรองแบบ \"รปู ธรรม\" (Concrete poetry) หรือ \"วรรณรปู \" ซึ่งมวี ิธีการแตง่ โดยการจดั วางถอ้ ยคาหรือข้อความเป็นภาพ ซึ่งกวกี ลุ่มนเี้ ช่อื วา่ การสือ่ ความคิดโดยผ่าน \"ภาพ\" จะชว่ ยให้ผู้อา่ นเขา้ ใจความคดิ ของผู้แตง่ ชัดเจนขึ้น
สรุปได้วา่ การแบ่งประเภทของวรรณกรรมนน้ั จะแบง่ ตามลกั ษณะของเนอื้ หาเพื่อใหเ้ ขา้ ใจ ในความหมายกวา้ ง ๆ ไมว่ ่าจะเป็นประเภทสารคดี หรือบนั เทิงคดี ซึ่งในแตล่ ะประเภทจะมีวรรณกรรม หรอื งานเขยี นลกั ษณะต่าง ๆ ประกอบอยู่ ด้านของวรรณกรรมประเภทรอ้ ยกรองจะแบง่ ตามลกั ษณะ การเขียนคอื แบบโบราณ ยดึ ขนบการแตง่ เครง่ ครัดกบั ฉันทลักษณ์ ซึง่ ในปจั จบุ ันความนิยมการเขียน รอ้ ยกรองประเภทนีล้ ดลงพอสมควร ในขณะเดยี วกันก็เกดิ รปู แบบการเขียนร้อยกรองสมัยใหม่เขา้ มา แทนที่ โดยเนน้ ความเรยี บงา่ ยในการเขยี น แตเ่ นน้ เนอ้ื หาท่ผี ูอ้ ่านอาจตอ้ งตีความมากขนึ้
การกาหนดยุคสมยั ของวรรณกรรมไทยปัจจบุ นั การทจ่ี ะกาหนดว่าวรรณกรรมปจั จบุ นั ของไทย เรม่ิ ต้นต้ังแต่เมื่อใดนน้ั ยังไม่อาจหาขอ้ ยุติได้ เน่ืองจาก ยงั มคี วามเห็นที่ขัดแยง้ กันอยวู่ ่าจะใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ในการตดั สิน ท่านที่ใช้ การพิมพ์เอกสารเผยแพร่ เป็นเกณฑ์กเ็ ห็นว่าเร่มิ เม่ือหมอบรดั เลย์ (Rev Dan Bradley M.D.) ต้ังโรงพิมพ์พิมพ์หนงั สอื ภาษาไทย เป็นคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ. 2387 ซึ่งอย่ใู นชว่ งปลายรชั กาลที่ 3 และไดต้ ีพิมพ์หนงั สอื พมิ พ์ บางกอกรีคอเดอร์ (Bangkok Recorder) จาหน่ายแก่บุคคลทว่ั ไปอนั เปน็ จดุ เริม่ ตน้ ทท่ี าให้ประชาชนมีสิทธิเป็นเจา้ ของวรรณกรรม และมีโอกาสไดอ้ า่ นวรรณกรรมมากขึน้ ซึง่ ก่อนหน้านนั้ มีแตเ่ จ้านายและขนุ นางเท่านน้ั ที่มโี อกาสได้คดั ลอก ต้นฉบับ
บางทา่ นกว็ ่าเรมิ่ เมือ่ เกดิ ความนยิ มวรรณกรรมรอ้ ยแก้ว ในหมู่ผู้อ่านโดยให้เหตุผลว่า ร้อยแกว้ เปน็ รากฐานการพัฒนาทางดา้ นการเขียนของวรรณกรรมปจั จบุ นั แต่ถา้ ใชเ้ กณฑ์น้นี า่ จะเริ่มนบั ไดต้ งั้ แตร่ ชั กาลที่ 1 เมื่อมกี ารแปลพงศาวดารจนี และมอญ และมีการรวบรวมกฎหมายตราสามดวงข้ึน หรือถ้าจะใชน้ กั ประพันธเ์ ปน็ เกณฑก์ ็กลา่ ววา่ เรม่ิ เมอื่ นักประพนั ธ์ซง่ึ เดิมเป็นชนชน้ั เจ้าขุนมูลนาย หรอื นกั ปราชญ์ราชสานักเปล่ียนมาเป็นชนชั้นกลางอนั ได้แก่ ปญั ญาชน พ่อค้านายทนุ ท่ไี ดร้ ับการศกึ ษา กจ็ ะเริ่มตน้ นับได้จากปี พ.ศ. 2440 เม่ือ ก.ศ.ร.กหุ ลาบ ออกหนงั สอื พมิ พ์ สยามประเภทรายเดือน
บางทา่ นก็วา่ เร่ิมเม่ืองานวรรณกรรมของไทยปรากฏอทิ ธพิ ลของวรรณกรรมตะวนั ตก โดยดูจากงานเขียน ท่ีเสนอในหนังสือพมิ พล์ กั วิทยา ท่ีตพี ิมพ์ใน พ.ศ. 2443 ซง่ึ ดาเนนิ งานโดย กรมหมน่ื พิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) และเพอื่ นนักเรียนนอกอนั ได้แก่ เจา้ พระยาธรรมศกั ด์มิ นตรี (ครเู ทพ) พระยาสุรนิ ทราชา (แม่วนั ) ฯลฯ งานเขยี นสว่ นใหญเ่ ปน็ การแปลนวนยิ ายและเรื่องสั้นแบบตะวันตก เช่นเร่ือง ความพยาบาท ของ แม่วัน เป็นต้น
เมอื่ เกณฑใ์ นการกาหนดยคุ สมยั ของวรรณกรรมไทยปจั จบุ ันมหี ลากหลายเชน่ น้ีจึงเปน็ การยากที่จะระบุ ใหช้ ดั เจนว่าเปน็ เมอื่ ใด ซึ่ง มล.บญุ เหลือ เทพยสวุ รรณ (2529: 368) ใหข้ อ้ สังเกตว่ามีความเปลี่ยนแปลง เหลา่ นเ้ี กิดขึ้นเนอ่ื งมาจากสังคม “ความเปลีย่ นแปลงทีเ่ กดิ ขึ้นในวงศิลปะ มกั มีสาเหตุมากจาก การเปลย่ี นแปลงในสังคมมพี ฤติกรรมใหม่ ๆ เกิดขน้ึ มที ัศนะใหม่ ๆ เกดิ ขน้ึ หรอื มีเทคโนโลยใี หม่ ๆ” เมอื่ ย้อนกลับไปดูวา่ สังคมไทยเร่มิ เปลย่ี นแปลงเมอื่ ใด คนส่วนใหญม่ คี วามเห็นในทานองเดียวกันวา่ ในชว่ ง รชั กาลท่ี 5 เปน็ ชว่ งทเ่ี ร่ิมตน้ การเปลย่ี นแปลงมาสู่ยคุ ใหม่
อทิ ธพิ ลตะวันตก เร่มิ เขา้ มาในประเทศไทยต้งั แตส่ มยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สง่ ผลใหล้ กั ษณะวรรณกรรมไทยเปล่ียนแปลงไปทงั้ รูปแบบ เน้ือหา กลวธิ ีการเขียน และแนวความคิด สภาพสงั คม นบั ต้ังแตส่ งครามโลกคร้งั ที่ 2 การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ขบถสนั ตภิ าพ พ.ศ. 2495 การปฏิวตั ิ พ.ศ. 2500 วันมหาวปิ โยค 14 ตลุ าคม 2516 ฯลฯ เหตกุ ารณด์ งั กล่าวเหลา่ นีล้ ว้ นเปน็ สง่ิ ที่กอ่ ให้เกดิ การเปล่ียนแปลงในหลาย ๆ ด้าน เชน่ การเมือง เศรษฐกจิ จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มในสงั คม ซ่ึงสง่ ผลไปยังวรรณกรรมมีทสี่ ่วนเสริมสร้างและหนั เหทศิ ทางการนาเสนอ วรรณกรรม
ดงั นนั้ อาจจะกล่าวได้ว่า วรรณกรรมปัจจุบนั ของไทยมจี ดุ เรมิ่ ตน้ ในสมยั รชั กาลที่ 5 ท้งั นเ้ี นื่องจาก เกิดลักษณะใหมข่ ึน้ ในวงการประพันธไ์ ทย เช่น การรบั เอารูปแบบและความคดิ แบบตะวนั ตกมาใช้ ในวรรณกรรมไทย เกดิ งานเขียนแบบใหมไ่ ม่วา่ จะเปน็ นวนยิ าย เรือ่ งส้นั ละครพูด แมว้ า่ ความเปลย่ี นแปลง ในช่วงนจ้ี ะมิใชก่ ารเปล่ียนแปลงสรู่ ูปแบบใหมอ่ ยา่ งส้ินเชงิ ก็ตาม แต่ในดา้ นความคดิ ก็มีการแสดง ความปรารถนาที่จะเห็นบา้ นเมอื งพัฒนาไปตามอารยประเทศทง้ั หลาย โดยเฉพาะการเรียนรวู้ ิทยาการใหม่ ๆ จงึ นบั ได้ว่า สมยั รัชกาลที่ 5 เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของวรรณกรรมไทยปจั จบุ ัน
พฒั นาการวรรณกรรมไทยปัจจบุ ัน แม้วรรณกรรมไทยปัจจุบนั จะมีระยะเวลาไม่ยาวนานนกั เมอ่ื เทียบกบั ยคุ วรรณกรรมแบบฉบับ หรอื วรรณกรรมแบบเดิม แต่เปน็ ช่วงเวลาท่ีวรรณกรรมมีความเคล่อื นไหวเปลย่ี นแปลงคอ่ นข้าง รวดเร็วบางคร้ังมลี ักษณะก้าวหนา้ บางครงั้ ถอยหลัง และหลายครง้ั หยุดชะงกั ทั้งนข้ี ้นึ อยู่กันปัจจยั ทางการเมอื งและสังคมเปน็ สาคัญ ดังน้ันการศกึ ษาพฒั นาการของวรรณกรรมจึงต้องศกึ ษาควบคู่ ไปกบั สถานการณท์ างการเมืองและสงั คม ในทนี่ ้จี ะไดก้ ล่าวถึงพฒั นาการของวรรณกรรมไทยปจั จบุ ัน ยคุ บุกเบิกจนถงึ เปล่ยี นแปลงการปกครอง และวรรณกรรมไทยปัจจบุ ันช่วงหลังเปล่ยี นแปลงการ ปกครองถึงปัจจุบัน เพ่ือใหม้ องเหน็ พฒั นาการของวรรณกรรมไทยปจั จุบนั ดังตอ่ ไปน้ี
วรรณกรรมยคุ บกุ เบิกจนถงึ เปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2587 - 2475)
ตลอดระยะเวลาหลายสบิ ปที ี่ผ่านมาวงการวรรณกรรมมีการเคล่อื นไหวอย่างตอ่ เนอื่ ง ท้งั นี้ขึ้นอย่กู บั ปจั จยั ทางสังคมหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การปกครอง และเศรษฐกจิ ก็ดี ลว้ นมผี ลกระทบต่อวงการวรรณกรรมท้ังสิ้น ดงั น้นั การแบง่ ช่วงเวลาเพอื่ ศกึ ษาพฒั นาการน้ัน จงึ มเี หตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขึ้นในแต่ละชว่ งเวลาประกอบอยดู่ ้วย โดยในช่วงแรกของพฒั นาการวรรณกรรม นี้จะกลา่ วต้ังแต่ช่วงเรม่ิ วรรณกรรมไทยปัจจบุ นั กระทั่งถึงช่วงเปลย่ี นแปลงการปกครอง แบง่ ไดด้ ังน้ี
ยคุ หัวเลี้ยว (พ.ศ. 2387 - 2439)
ท่ีมาของความคลี่คลายขยายตวั เปน็ วรรณกรรมปัจจุบนั วรรณกรรมในช่วงนี้อยู่ระหว่างปลาย รชั กาลท่ี 3 ถงึ ต้นรัชกาลท่ี 5 อทิ ธพิ ลของตะวนั ตกเร่มิ เขา้ มามบี ทบาทต่อวรรณกรรมไทย ในช่วงรชั กาลท่ี 3 โดยเร่ิมจากหมอบรดั เลย์ ได้ตง้ั โรงพิมพ์หนงั สือไทย เป็นคร้ังแรกใน พ.ศ. 2387 และตีพมิ พ์หนงั สือพมิ พ์ บางกอกรคี อเดอร์ ออกจาหนา่ ยทาให้ผทู้ ี่สามารถซื้อหนังสอื พิมพ์มาอ่านมีความตนื่ ตัวและสนใจที่จะอ่าน ขา่ วสารตา่ ง ๆ ทัง้ ในประเทศและต่างประเทศ นบั เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ สาคัญทว่ี รรณกรรมมโี อกาสแพร่หลาย ไปส่ปู ระชาชนในวงกว้าง
รัชกาลที่ 4 ประเทศไทยเร่ิมเขา้ สูส่ มัยต่นื ตวั พระสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ทรงดาเนินนโยบาย เปิดประเทศด้วยพระองค์ทรงตระหนกั ถงึ ความจาเป็นที่จะต้องติดต่อกบั ชาตติ ะวันตก เพราะเหน็ ตวั อยา่ งจากภยั ทเี่ กดิ ขนึ้ กับจีนและพมา่ อีกทง้ั ทรงเห็นสาคัญของการศึกษาโดยการศึกษา ภาษาต่างประเทศ ดว้ ยทรงเหน็ วา่ จะเปน็ เคร่ืองมอื ในการตดิ ตอ่ และเรียนรวู้ ิทยากรใหม่ ๆ จากตะวันตก นอกจากจา้ งชาวต่างประเทศมาสอนภาษาอังกฤษถวายพระเจา้ ลกู เธอ และพระเจา้ ลูกเธอแลว้ ยังทรงสง่ นักเรียนไทยไปศกึ ษาในทวปี ยโุ รปอีกด้วย บคุ คลเหล่านน้ั เมื่อสาเรจ็ การศกึ ษาแลว้ ได้ กลับมารบั ราชการในสมัยรชั กาลท่ี 5 ในดา้ นการพมิ พร์ ัชกาลท่ี 4 โปรดใหต้ ้งั โรงพมิ พ์และออกหนงั สอื พิมพ์ ราชกิจจานเุ บกษา ใน พ.ศ. 2401 เนอื้ หาสว่ นใหญ่เปน็ ประกาศของทางราชการและข่าวทวั่ ไปทป่ี ระชาชน ควรทราบ นอกจากนัน้ ยงั มหี นังสอื พมิ พข์ องมชิ ชันนารอี อกตามมาอีกหลายฉบบั
รัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเข้าสู่ยคุ ต่นื ตวั อย่างกว้างขวาง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงดาเนินนโยบายทาประเทศให้ \"ทันสมยั \" ด้วยการปฏิรูประบบต่าง ๆ ทล่ี า้ สมัย เชน่ ปฏิรูปการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ การคลัง การศึกษา การศาล ฯลฯ และยกเลกิ ประเพณีทลี่ า้ สมยั ในรัชกาลน้กี จิ การหนงั สือพิมพ์เจรญิ รุง่ เรืองข้นึ มาก ด้วยทรงเหน็ คณุ ค่าของการพมิ พ์หนงั สอื ว่าจะช่วยสง่ เสรมิ การศึกษาของประชาชน จงึ ทรงสนบั สนุนใหต้ ั้งโรงพิมพแ์ ละใหเ้ สรีภาพ ในการพมิ พห์ นงั สอื อยา่ งเตม็ ท่ี สิ่งพมิ พ์ในสมัยนี้มีทั้งไทย จีน ฝรง่ั และญีป่ ่นุ
และเมื่อนักเรียนไทยกลบั จากการศึกษาในต่างประเทศไดร้ ่วมกนั ออกหนังสอื พมิ พ์แขง่ กับชาวตา่ งชาติ หนงั สือพมิ พข์ องคนไทยฉบับแรกคอื ดรโุ ณวาท ออกใน พ.ศ. 2417 พระองค์เจ้าเกษมสนั ตโ์ สภาคย์ ทรงเป็นเจา้ ของและบรรณาธิการ ฉบับตอ่ มาคือ ขา่ วราชการ ใชช้ ่ือว่า Court ออกใน พ.ศ. 2418 สมเด็จเจ้าฟา้ กรมพระยาภาณพุ ันธุวงศว์ รเดช เปน็ เจา้ ของและบรรณาธิการ สิ่งที่แสดงถึงความรุ่งเรือง ของกิจการพิมพ์ในสมัยนี้คอื มกี ารพิมพ์หนังสือพิมพ์มากถึง 54 ฉบับ และหนงั สือพมิ พเ์ หล่านมี้ ีส่วน สาคัญในการส่งเสริมใหเ้ กิดการรับอทิ ธพิ ลวรรณกรรมตะวนั ตก เพราะนอกจากขา่ ว สารคดี บทความแล้วยงั ตพี มิ พบ์ ันเทิงคดีทง้ั ที่เปน็ นทิ าน เรื่องแปลทั้งนวนิยายและเร่อื งสน้ั รวมถงึ รอ้ ยกรอง ทถี่ อดความจากวรรณกรรมต่างประเทศอกี ดว้ ย
หนงั สือพมิ พ์ Court ออกใน พ.ศ. 2418
นอกจากการออกหนังสอื พมิ พแ์ ล้วโรงพมิ พ์ ๆ ยงั แขง่ ขนั กนั พิมพ์วรรณกรรมทั้งใหม่และเกา่ จาหน่ายจนมฐี านะร่ารวยขึน้ เช่น โรงพิมพห์ มอบรัดเลย์ พมิ พ์วรรณคดีไทยและเรอ่ื งทแ่ี ปลจากจนี เช่น สามกก๊ (สุพรรณี วราทร, 2519 : 31) โรงพิมพ์หมอสมทิ พิมพ์หนงั สือรอ้ งกรองเชน่ เร่อื งพระอภัย มณี รวมทง้ั เรือ่ งอ่ืน ๆ ของสุนทรภู่ โรงพิมพ์ราษฎรเ์ จรญิ ทีว่ ดั เกาะ พมิ พ์เรื่อง จกั ร ๆ วงศ์ ๆ เลม่ ละสลงึ เป็นทน่ี ยิ มอ่านของคนในกรงุ และหัวเมอื ง (ชลดา เรืองรกั ษล์ ิขติ , 2524 : 90-91)
ความตื่นตวั ในการอา่ นของประชาชนเปน็ ไปอย่างกว้างขวาง ดงั ท่ยี ศ วัชรเสถียร (2506 : 53) บรรยายว่า \"พอสน้ิ ฤดูทานา ทางโรงพมิ พก์ จ็ ะเอาหนงั สอื บรรทุกเรือจนเพยี บแประ แจวไปตามลาคลองสยู่ า่ นชนบท ภายในไม่ช้ากแ็ จวเรือเปลา่ กลบั มาขนเอาไปอกี ทาให้วรรณคดีไทยซ่ึงเคยเขยี นและอ่านกันเพยี งในราชสานัก บา้ นเจ้านาย และตามวัด ไดข้ ยายวงออกไปสปู่ ระชาชนทัว่ ไป\" ปรากฏการณด์ งั กล่าวแสดงใหเ้ ห็นวา่ การปฏิรปู การศกึ ษาในรัชกาลท่ี 5 นี้ ประสบความสาเรจ็ อยา่ งงดงาม มีคนอ่านออกเขยี นไดเ้ ป็นจานวนมาก และขยายตัวอยา่ งกวา้ งขวาง
การลา่ อาณานิคมของชาตติ ะวันตก ทาใหไ้ ทยตอ้ งเปดิ ประเทศด้วยการทาสนธสิ ญั ญาทางการค้า กับอังกฤษและประเทศอื่น ๆ ในปี พ.ศ. 2398 นับตัง้ แตน่ นั้ เปน็ ต้นมาอารยธรรมตะวนั ตกก็หล่ังไหลเขา้ มา ทาให้เกิดการเปลีย่ นแปลงทางสงั คม อนั มีผลต่อการเปลย่ี นแปลงด้านรปู แบบเนอ้ื หาและแนวคิด ในวรรณกรรมไทย ในรัชกาลที่ 4 แม้อิทธิพลตะวนั ตกยงั ไม่ปรากฏชัดในวรรณกรรมไทยแต่นับวา่ เป็นระยะหัว เล้ียวหวั ตอ่ ระหว่างวรรณกรรมรูปแบบเก่าและวรรณกรรมรูปแบบใหม่ จนถึงช่วงตน้ รชั กาลที่ 5 อทิ ธพิ ลวรรณกรรมตะวนั ตกเร่มิ ปรากฏชดั เจนขึ้น แต่ยังจดั อยใู่ นระยะคลี่คลาย ทง้ั นี้เพราะรปู แบบ แนวคิด คตินยิ มยังคงแบบเดมิ เป็นส่วนใหญ่ แมจ้ ะมีข้อเขยี นใหม่ ๆ และบทความตา่ ง ๆ ตพี ิมพใ์ นหนังสอื พิมพอ์ ยู่ บ้างแต่กเ็ ปน็ สว่ นนอ้ ย แตแ่ นวโนม้ ทเี่ หน็ ชัดคอื ความนยิ ม เขยี นเปน็ ร้อยแก้วมีมากขน้ึ นบั ได้วา่ วรรณกรรม ไทยปัจจุบนั ได้ถอื กาเนิดขึน้ แล้วในรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ ัว
ยคุ เริ่มแรก (พ.ศ. 2440 - 2468)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146