Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑

Published by อนัญญา สุทธิ, 2021-05-30 18:31:20

Description: แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑
นางสาวอนัญญา สุทธิ เลขที่ ๑๗ หมู่เรียน D๕

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวิชาภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ จัดทำโดย นางสาวอนัญญา สทุ ธิ เลขที่ ๑๗ เสนอ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พัชรีภรณ์ บางเขยี ว แผนการจัดการเรยี นร้นู ้เี ป็นส่วนหนงึ่ ของรายวชิ าการจดั การเรียนรู้และการจัดการชั้นเรยี น รหัสวิชา ๑๑๐๐๓๐๑ คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบ้านสมเดจ็ เจ้าพระยา

ก คำนำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นแนวทาง ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยเนื้อหาสาระดังต่อไปนี้ แผนการจัดการเรียนรู้รายปี ซ่ึงประกอบด้วยมาตรฐานและตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย แผนการจัดการเรียนรู้รายคาบ ทั้งหมด ๓ แผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ร้อยเรียงคำเป็นเรื่องราว เรียนรู้ถ้อยคำภาษา และร้อยเรียง สำเนียงเปล่งภาษา ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ได้ระบุมาตรฐาน ตัวชี้วัด จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย อันได้แก่ รูปแบบการเรียนรู้ แบบกระบวนการเรียนรู้ ๕ ขั้นตอน ( ๕ STEPs) รูปแบบการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ๕E และรูปแบบ การเรียนรู้แบบใช้ชุดการสอน ซึ่งแต่ละรูปแบบมวี ธิ กี ารจัดการเรียนการสอนทีแ่ ตกต่างกัน แต่ทั้งหมดนำมาซง่ึ การบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีใบความรู้ ใบงานและเกณฑ์การประเมินผล เพื่อใช้ใน การประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนแต่ละคนว่าหลังจากเสร็จสิ้นการเรียน นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจใน เนอ้ื หาสาระมากนอ้ ยเพียงใด ผา่ นเกณฑ์การประเมินหรือไม่ ผู้จัดทำขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พัชรีภรณ์ บางเขียว เป็นอย่างยิ่ง ที่ให้คำปรึกษาและ คำแนะนำตลอดระยะเวลาการจดั ทำแผนการจดั การเรยี นรู้ และหวงั เป็นอย่างย่งิ ว่าแผนการจัดการเรียนร้เู ล่มน้ี จะเป็นประโยชน์กับการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่าง มีประสิทธิภาพต่อไป นางสาวอนัญญา สทุ ธิ ผจู้ ัดทำ

สารบัญ ข เรื่อง ห น้ า คำนำ ก สารบัญ ข แผนการจดั การเรยี นรูร้ ายปี ๑ คำอธิบายรายวิชาภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๔ ๑๔ ตารางโครงสร้างรายวชิ า ภาคเรยี นที่ ๑ ๑๕ ตารางโครงสร้างรายวชิ า ภาคเรยี นที่ ๒ ๑๙ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๒ รอ้ ยเรียงคำเป็นเรอ่ื งราว ๒๓ ๓๔ ใบความรูน้ ิทาน ๓๕ ใบความรู้ที่ ๑ ๓๖ ใบความรู้ที่ ๒ ๓๗ ใบความรทู้ ี่ ๓ ๔๑ ใบงานท่ี ๑.๑ ๔๒ ใบงานท่ี ๑.๒ ๔๓ ใบงานที่ ๒ ๔๔ ใบงานที่ ๓.๑ ๔๕ ใบงานที่ ๓.๒ ๔๖ แบบประเมนิ ๕๗ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๓ เรยี นรถู้ ้อยคำภาษา ๗๐ ใบความรูท้ ี่ ๑ ๗๑ ใบความร้ทู ่ี ๒ ๗๕ ใบความร้ทู ี่ ๓ ๗๗ ใบงานท่ี ๑ ๘๑ ใบงานท่ี ๑.๒ ๘๓ ใบงานท่ี ๒ ๘๔ ใบงานท่ี ๓ ๘๙ ใบกิจกรรมท่ี ๑ ๙๓ แบบทดสอบประจำหนว่ ยยอ่ ย ๙๔ แบบประเมิน

สารบัญ (ต่อ) ข เร่อื ง หนา้ แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ ๓ ร้อยเรยี งสำเนียงเปลง่ ภาษา ๑๐๔ ใบความรทู้ ่ี ๑ ๑๑๕ ใบความรู้ท่ี ๒ ๑๑๗ ใบงานที่ ๑ ๑๑๙ ใบงานที่ ๒ ๑๒๑ ใบงานท่ี ๓ ๑๒๒ ใบงานที่ ๔ ๑๒๓ แบบประเมนิ ๑๒๔ ๑๓๕ บรรณานุกรม

๑ แผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาพ้ืนฐาน รายวชิ า ภาษาไทย สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย เวลา ๑๒๐ ชัว่ โมง จำนวน ๓ หน่วยกิต ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๑ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ ครผู ู้สอน นางสาวอนัญญา สทุ ธิ ๑. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคิดเพอ่ื นำไปใชต้ ดั สินใจ แก้ปัญหาในการ ดำเนินชวี ติ และมนี สิ ยั รกั การอา่ น มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รปู แบบตา่ ง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้ อย่างมปี ระสิทธภิ าพ มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรู้สึกในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมวี ิจารณญาณและสรา้ งสรรค์ มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลงั ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไวเ้ ปน็ สมบัติของชาติ มาตรฐาน ท ๕.๑ เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วิจารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ จรงิ ตวั ช้ีวัด มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาใน การดำเนินชวี ติ และมนี ิสัยรกั การอ่าน ท ๑.๑ ม.๑/๑ อา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ และบทร้อยกรองไดถ้ ูกต้องเหมาะสมกบั เรอ่ื งทอี่ ่าน ท ๑.๑ ม.๑/๒ จับใจความสำคญั จากเรอื่ งทอ่ี า่ น ท ๑.๑ ม.๑/๓ ระบุเหตแุ ละผล และข้อเทจ็ จริงกบั ข้อคดิ เหน็ จากเร่อื งที่อ่าน ท ๑.๑ ม.๑/๔ ระบแุ ละอธบิ ายคำเปรยี บเทียบ และคำท่ีมหี ลายความหมายในบริบทตา่ ง ๆ จากการอ่าน ท ๑.๑ ม.๑/๕ ตคี วามคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจากบริบท ท ๑.๑ ม.๑/๖ ระบุข้อสงั เกตและความสมเหตุสมผลของงานเขยี นประเภทชักจูงโน้มน้าวใจ ท ๑.๑ ม.๑/๗ ปฏิบัตติ ามคู่มือแนะนำวิธีการใชง้ าน ของเครอ่ื งมือหรือเคร่อื งใชใ้ นระดับทีย่ ากขึ้น ท ๑.๑ ม.๑/๘ วเิ คราะห์คุณค่าท่ีได้รบั จากการอา่ นงานเขียนอย่างหลากหลายเพ่ือนำไปใชแ้ ก้ปญั หาในชีวติ ท ๑.๑ ม.๑/๙ มมี ารยาทในการอา่ น

๒ มาตรฐาน ท ๒.๑ ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียนเรื่องราวใน รูปแบบต่าง ๆ เขยี นรายงานขอ้ มูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาคน้ คว้าอย่างมีประสทิ ธิภาพ ท ๒.๑ ม.๑/๑ คดั ลายมอื ตวั บรรจงครึ่งบรรทัด ท ๒.๑ ม.๑/๒ เขียนสอ่ื สารโดยใช้ถ้อยคำถกู ต้องชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย ท ๒.๑ ม.๑/๓ เขียนบรรยายประสบการณ์โดยระบุสาระสำคญั และรายละเอยี ดสนบั สนนุ ท ๒.๑ ม.๑/๔ เขียนเรยี งความ ท ๒.๑ ม.๑/๕ เขียนย่อความจากเร่อื งท่ีอา่ น ท ๒.๑ ม.๑/๖ เขียนแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกับสาระจากส่อื ทไี่ ดร้ บั ท ๒.๑ ม.๑/๗ เขียนจดหมายสว่ นตวั และจดหมายกจิ ธรุ ะ ท ๒.๑ ม.๑/๘ เขยี นรายงานการศกึ ษาค้นคว้าและโครงงาน ท ๒.๑ ม.๑/๙ มมี ารยาทในการเขยี น มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ ความรูส้ ึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวจิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ ท ๓.๑ ม.๑/๑ พดู สรปุ ใจความสำคัญของเร่ืองทฟ่ี ังและดู ท ๓.๑ ม.๑/๒ เลา่ เรอ่ื งยอ่ จากเรอื่ งที่ฟังและดู ท ๓.๑ ม.๑/๓ พดู แสดงความคดิ เห็นอย่างสร้างสรรคเ์ กี่ยวกบั เรื่องท่ฟี ังและดู ท ๓.๑ ม.๑/๔ ประเมนิ ความน่าเชอื่ ถอื ของสอ่ื ทีม่ เี น้ือหาโนม้ น้าวใจ ท ๓.๑ ม.๑/๕ พูดรายงานเรอ่ื งหรอื ประเดน็ ท่ศี ึกษาค้นควา้ จากการฟัง การดู และการสนทนา ท ๓.๑ ม.๑/๖ มมี ารยาทในการฟงั การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๔.๑ เขา้ ใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัติของชาติ ท ๔.๑ ม.๑/๑ อธบิ ายลกั ษณะของเสยี งในภาษาไทย ท ๔.๑ ม.๑/๒ สรา้ งคำในภาษาไทย ท ๔.๑ ม.๑/๓ วิเคราะหช์ นดิ และหน้าที่ของคำในประโยค ท ๔.๑ ม.๑/๔ วิเคราะหค์ วามแตกตา่ งของภาษาพูดและภาษาเขยี น ท ๔.๑ ม.๑/๕ แตง่ บทรอ้ ยกรอง ท ๔.๑ ม.๑/๖ จำแนกและใช้สำนวนท่เี ป็นคำพงั เพยและสภุ าษติ มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่างเหน็ คุณค่า และนำมาประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตจริง ท ๕.๑ ม.๑/๑ สรปุ เนื้อหาวรรณคดแี ละวรรณกรรมทอ่ี ่าน ท ๕.๑ ม.๑/๒ วเิ คราะห์วรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอา่ นพร้อมยกเหตุผลประกอบ ท ๕.๑ ม.๑/๓ อธิบายคณุ ค่าของวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ ่าน

๓ ท ๕.๑ ม.๑/๔ สรปุ ความรูแ้ ละขอ้ คดิ จากการอ่านเพอ่ื ประยกุ ต์ใช้ในชีวิตจรงิ ท ๕.๑ ม.๑/๕ ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคณุ คา่ ตามความสนใจ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ ความรู้ (K) ๑. นกั เรียนสามารถอธิบายหลกั การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ ไดถ้ ูกต้องเหมาะสมกบั เรื่องที่อ่าน (K๑) ๒. นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลกั อ่านออกเสียงบทร้อยกรองได้ถกู ต้องเหมาะสมกับเรอ่ื งที่อ่าน (K๒) ๓. นักเรียนสามารถอธบิ ายหลักการจบั ใจความสำคญั จากเร่ืองทีอ่ ่านได้ (K) ๔. นกั เรียนสามารถระบเุ หตุและผลจากเรอ่ื งทอี่ า่ นได้ (K๑) ๕. นักเรยี นสามารถระบขุ อ้ เทจ็ จริงกบั ข้อคิดเห็นจากเรื่องท่ีอ่านได้ (K๒) ๖. นกั เรียนสามารถระบคุ ำเปรียบเทยี บและคำที่มหี ลายความหมายในบริบทตา่ งๆจากการอ่านได้ (K๑) ๗. นักเรียนสามารถอธบิ ายคำเปรียบเทยี บและคำที่มีหลายความหมายในบริบทตา่ งๆจากการอา่ นได้ (K๒) ๘. นกั เรยี นสามารถตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพิจารณาจากบริบทได้ (K) ๙. นักเรยี นสามารถระบุข้อสงั เกตและความสมเหตสุ มผลของงานเขยี นประเภทชักจงู โนม้ นา้ วใจได้ (K๑) ๑๐. นกั เรียนสามารถอธิบายหลักข้อสังเกตและความสมเหตสุ มผลของงานเขียนประเภทชกั จงู โน้มน้าวใจได้ (K๒) ๑๑. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการปฏิบัติคู่มือแนะนำวิธีการใช้งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ใน ระดับที่ยากขนึ้ ได้ถูกตอ้ ง (K) ๑๒.นกั เรียนสามารถวเิ คราะหค์ ุณคา่ ท่ไี ดร้ ับจากการอ่านงานเขยี นอย่างหลากหลายเพ่ือนำไปใชแ้ กป้ ัญหาในชีวิตได(้ K) ๑๓. นักเรยี นสามารถบอกมารยาทในการอา่ นได้ (K) ๑๔. นักเรยี นสามารถอธิบายรูปแบบการเขยี นตวั อักษรไทยของการคัดลายมือตวั บรรจงครึ่งบรรทัดได้ (K) ๑๕. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของการเขยี นสือ่ สารโดยใช้ถอ้ ยคำถกู ตอ้ งชัดเจนเหมาะสมและสละสลวยได้ (K) ๑๖.นักเรียนสามารถอธบิ ายลกั ษณะของการเขยี นบรรยายประสบการณ์โดยระบสุ าระสำคัญและรายละเอียดสนับสนุน ได้ถกู ต้องชัดเจน(K) ๑๗. นกั เรียนสามารถอธิบายองค์ประกอบในการเขยี นเรยี งความได้ (K๑) ๑๘. นกั เรยี นสามารถอธิบายหลักการในการเขยี นเรยี งความได้ (K๒) ๑๙. นักเรยี นสามารถอธบิ ายหลกั การเขยี นยอ่ ความจากเรื่องทีอ่ ่านได้ (K) ๒๐. นกั เรียนสามารถอธบิ ายหลกั การเขียนแสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับสาระจากสอื่ ทไี่ ด้รับได้อย่างชดั เจน(K) ๒๑. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของการเขยี นจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระไดถ้ ูกตอ้ ง(K๑) ๒๒. นักเรียนสามารถอธิบายหลกั การเขยี นจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระได้ถูกต้อง (K๒) ๒๓. นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของการเขียนรายงานการศึกษาค้นควา้ และโครงงานได้ถูกต้อง(K๑) ๒๔. นักเรียนสามารถบอกส่วนประกอบของการเขยี นรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ และโครงงานได้ถกู ตอ้ ง(K๒) ๒๕. นักเรียนสามารถบอกมารยาทในการเขียนได้ (K) ๒๖. นักเรียนสามารถอธิบายหลกั การพดู สรุปใจความสำคัญของเรื่องทีฟ่ ังและดู (K)

๔ ๒๗. นักเรยี นสามารถอธบิ ายหลกั การในการเล่าเรอื่ งย่อจากเรื่องท่ีฟังและดไู ด้ (K) ๒๘. นกั เรยี นสามารถอธิบายหลกั การพดู แสดงความคิดเหน็ อย่างสรา้ งสรรคเ์ ก่ยี วกับเรื่องทฟ่ี งั และดไู ด้ (K๑) ๒๙. นักเรียนสามารถอธิบายประโยชน์ของการพูดแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่อง ที่ฟงั และดไู ด้ (K๒) ๓๐. นักเรยี นสามารถประเมินความน่าเชอ่ื ถือของสื่อท่ีมเี น้ือหาโน้มน้าวใจได้ (K) ๓๑. นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของการพูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้าจาก การฟัง การดู และการสนทนาได้ (K๑) ๓๒. นักเรียนสามารถสรุปความรู้เกี่ยวกับการพูดรายงานเรื่องหรอื ประเดน็ ที่ศึกษาค้นคว้าจากการฟัง การดู และการสนทนาได้ (K๒) ๓๓. นกั เรยี นสามารถอธิบายมารยาทในการฟงั การดู และการพูดได้ (K) ๓๔. นักเรียนสามารถอธบิ ายลักษณะของเสยี งในภาษาไทยได้ (K๑) ๓๕. นกั เรียนสามารถอธิบายความแตกตา่ งของเสียงในภาษาไทยได้ (K๒) ๓๖. นกั เรยี นสามารถอธิบายวิธกี ารสร้างคำในภาษาไทยได้ (K) ๓๗. นกั เรยี นสามารถวิเคราะหช์ นดิ และหนา้ ท่ีของคำในประโยคได้ (K๑) ๓๘. นกั เรยี นสามารถอธิบายหนา้ ท่ีของคำในประโยคได้ (K๒) ๓๙. นักเรยี นสามารถวเิ คราะหค์ วามแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขยี นได้ (K๑) ๔๐. นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายของภาษาพดู และภาษาเขยี นได้ (K๒) ๔๑. นักเรียนสามารถอธิบายลักษณะของการแตง่ บทร้อยกรองได้ (K๑) ๔๒. นักเรียนสามารถอธบิ ายฉนั ทลกั ษณ์ของการแตง่ บทร้อยกรองได้ (K๒) ๔๓. นักเรยี นสามารถจำแนกความแตกตา่ งและใช้สำนวนท่เี ป็นคำพงั เพยและสุภาษิตได้ (K๑) ๔๔. นกั เรยี นสามารถอธิบายความหมายของสำนวนท่เี ปน็ คำพงั เพยและสภุ าษติ ได้ (K๒) ๔๕. นกั เรียนสามารถสรุปเนือ้ หาวรรณคดแี ละวรรณกรรมทอี่ ่านได้ (K) ๔๖. นักเรยี นสามารถวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม ทอี่ ่านพร้อมยกเหตผุ ลประกอบได้ (K๑) ๔๗. นักเรียนสามารถอธิบายหลักการวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่านพร้อมยกเหตุผล ประกอบได้ (K๒) ๔๘. นกั เรยี นสามารถอธิบายคุณค่าของวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่ีอา่ นได้ (K) ๔๙. นกั เรยี นสามารถสรุปความรูแ้ ละข้อคิดจากการอา่ นเพื่อประยุกตใ์ ช้ในชวี ิตจริงได้ (K) ๕๐. นักเรยี นสามารถอธิบายหลกั การท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดได้ (K๑) ๕๑. นักเรยี นสามารถเลอื กท่องจำบทร้อยกรองทีม่ ีคณุ ค่าตามความสนใจได้ (K๒) ๒.๒ ทกั ษะ/กระบวนการ (P) ๑. นักเรยี นสามารถอา่ นออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ ไดถ้ ูกต้องเหมาะสมกับเร่ืองท่อี า่ น (P๑) ๒. นกั เรยี นสามารถอา่ นออกเสียงบทร้อยกรองไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมกบั เรื่องที่อ่าน (P๒) ๓. นักเรยี นสามารถจบั ใจความสำคัญจากเรอ่ื งท่อี ่านได้ (P)

๕ ๔. นักเรยี นสามารถอภปิ รายเหตุและผลจากเรือ่ งทอ่ี ่านได้ (P๑) ๕. นักเรยี นสามารถอภปิ รายข้อเทจ็ เทจ็ จริงกับข้อคดิ เหน็ จากเรื่องที่อา่ นได้ (P๒) ๖. นกั เรยี นสามารถนำคำเปรยี บเทียบไปประยุกตใ์ ช้ในบรบิ ทตา่ งๆจากการอา่ นในชวี ิตประจำวนั ได้ (P๑) ๗. นักเรียนสามารถนำคำที่มีหลายความหมายไปประยุกต์ใช้ในบริบทต่าง ๆ จากการอ่าน ในชีวิตประจำวันได้ (P๒) ๘. นกั เรียนสามารถปฏิบัติตีความคำยากในเอกสารวิชาการ โดยพจิ ารณาจากบรบิ ทได้ (P) ๙. นกั เรียนสามารถตรวจสอบความสมเหตุสมผลของงานเขยี นประเภทชักจงู โน้มนา้ วใจได้ (P) ๑๐. นักเรียนสามารถปฏิบัติตามคู่มือแนะนำวิธีการใช้งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ในระดับที่ยาก ข้นึ ได้ถูกตอ้ ง (P) ๑๑. นักเรียนสามารถนำคุณค่าที่ได้รับจากการอ่านงานเขียนอย่างหลากหลายไปใช้แก้ปัญหาใน ชวี ติ ประจำวันได้ (P) ๑๒. นกั เรียนสามารถแสดงออกในเรื่องมารยาทในการอา่ นได้อย่างเหมาะสม (P) ๑๓. นักเรียนสามารถคัดลายมอื ตวั บรรจงครึ่งบรรทดั ได้ (P) ๑๔. นักเรียนสามารถเขยี นสือ่ สารโดยใชถ้ อ้ ยคำถกู ตอ้ งชัดเจน เหมาะสม และสละสลวยได้ (P๑) ๑๕ นักเรียนสามารถนำเสนอการเขยี นสอ่ื สารโดยใช้ถอ้ ยคำถูกตอ้ งชดั เจนเหมาะสมและสละสลวยได้ (P๒) ๑๖. นกั เรยี นสามารถเขยี นบรรยายประสบการณ์โดยระบุสาระสำคญั และรายละเอยี ดสนบั สนนุ ได้ถกู ตอ้ งชัดเจน(P๑) ๑๗. นกั เรยี นสามารถนำเสนอการเขียนบรรยายประสบการณ์โดยระบุสาระสำคัญและรายละเอียดสนับสนุนได้ถูกต้อง ชดั เจน(P๒) ๑๘. นกั เรียนสามารถเขียนเรียงความไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตามหลักการเขยี นเรยี งความ (P) ๑๙. นกั เรียนสามารถเขียนยอ่ ความจากเรอื่ งท่อี า่ นได้ (P) ๒๐. นกั เรยี นสามารถเขยี นแสดงความคิดเหน็ เก่ียวกบั สาระจากสอื่ ท่ีไดร้ ับได้อย่างชดั เจน (P) ๒๑. นักเรียนสามารถเขยี นจดหมายส่วนตวั และจดหมายกจิ ธรุ ะไดถ้ กู ตอ้ ง (P) ๒๒. นกั เรียนสามารถปฏบิ ัตติ ามขัน้ ตอนการเขียนรายงานการศกึ ษาค้นควา้ และโครงงานไดถ้ กู ต้อง(P๑) ๒๓. นกั เรียนสามารถเขยี นรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงานได้ถูกต้อง (P๒) ๒๔. นักเรยี นสามารถแสดงออกในเรื่องมารยาทในการเขยี นได้อย่างเหมาะสม (P) ๒๕. นักเรยี นสามารถพูดสรปุ ใจความสำคัญของเรอื่ งทฟี่ ังและดูได้ (P) ๒๖. นกั เรียนสามารถเลา่ เร่อื งยอ่ จากเร่อื งทฟี่ งั และดไู ด้ (P๑) ๒๗. นักเรียนสามารถพูดแสดงความคิดเห็นอย่างสรา้ งสรรคเ์ กยี่ วกับเร่อื งที่ฟงั และดูได้ (P) ๒๘. นกั เรียนสามารถพดู ประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ของส่ือท่มี ีเนื้อหาโนม้ นา้ วใจได้ (P๑) ๒๙. นักเรียนสามารถนำเสนอการประเมินความนา่ เชือ่ ถอื ของส่อื ที่มีเนื้อหาโนม้ นา้ วใจได้ (P๒) ๓๐. นกั เรียนสามารถพดู รายงานเรอ่ื งหรือประเดน็ ที่ศกึ ษาคน้ ควา้ จากการฟงั การดู และการสนทนาได้ (P) ๓๑. นกั เรียนปฏิบัตติ นเป็นผู้มมี ารยาทในการฟัง การดู และการพูดไดอ้ ยา่ งเหมาะสม (P) ๓๒. นักเรยี นสามารถออกเสียงในภาษาไทยได้ถูกต้องและชัดเจน (P)

๖ ๓๓. นกั เรียนสามารถสร้างคำในภาษาไทยได้ (P) ๓๔. นักเรียนสามารถนำเร่ืองการวเิ คราะห์ชนดิ และหน้าทข่ี องคำในประโยคไปใชใ้ นการแตง่ ประโยคได้ (P) ๓๕. นักเรียนสามารถนำเสนอการวเิ คราะห์ความแตกตา่ งของภาษาพูดและภาษาเขยี นได้ (P) ๓๖. นักเรยี นสามารถแต่งบทร้อยกรองได้ถูกตอ้ งตามฉนั ทลักษณ์และกฎเกณฑ์ (P) ๓๗. นกั เรยี นสามารถนำเสนอการจำแนกและใช้สำนวนทเี่ ป็นคำพงั เพยและสภุ าษิตได้ (P) ๓๘. นกั เรยี นสามารถนำเสนอการสรุปเนือ้ หาวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ า่ นได้ (P) ๓๙. นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม ที่อ่านพร้อมยกเหตุผล ประกอบได้ (P) ๔๐. นักเรยี นสามารถนำเสนอคณุ ค่าของวรรณคดแี ละวรรณกรรมที่อา่ นได้ (P) ๔๑. นกั เรยี นสามารถอภปิ รายความร้แู ละข้อคิดจากการอ่านเพ่อื ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ จริงได้ (P) ๔๒. นักเรยี นสามารถทอ่ งจำบทอาขยานตามทก่ี ำหนดได้ (P๑) ๔๓. นักเรียนสามารถทอ่ งจำบทรอ้ ยกรองที่มคี ุณค่าตามความสนใจได้ (P๒) ๒.๓ เจตคติ (A) ๑. นักเรียนตระหนักถงึ ความสำคญั ของการอา่ นบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองไดอ้ ย่างถูกต้อง (A) ๒. นักเรยี นเหน็ คุณคา่ ของการจับใจความสำคัญจากเรอื่ งทอ่ี า่ น (A) ๓. นกั เรียนเหน็ ความสำคญั เหตแุ ละผล และขอ้ เท็จจริงจากเร่ืองทอ่ี า่ น (A) ๔. นักเรียนเหน็ ความสำคญั ของคำเปรยี บเทยี บคำที่มหี ลายความหมายในบรบิ ทตา่ งๆจากการอา่ น(A) ๕. นกั เรยี นเห็นคุณคา่ ของการตคี วามคำยากในเอกสารวิชาการโดยพิจารณาจากบริบท(A) ๖.นักเรยี นเหน็ ประโยชนข์ องการปฏิบัตติ ามคู่มอื แนะนำวธิ กี ารใชง้ านของเคร่ืองมือหรือเครื่องใช้ในระดบั ทย่ี ากข้ึน(A) ๗. นักเรียนตระหนักถึงคณุ ค่าท่ไี ดร้ ับจากการอ่านงานเขยี นอยา่ งหลากหลายเพอื่ นำไปใชแ้ ก้ปัญหาในชวี ติ (A) ๘. นักเรียนตระหนักถงึ มารยาทในการอา่ น (A) ๙. นักเรียนเห็นประโยชน์ของการคดั ลายมอื ตัวบรรจงคร่ึงบรรทัด (A) ๑๐. นักเรียนเห็นความสำคัญของการเขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำถูกต้องชัดเจน เหมาะสม และ สละสลวย (A) ๑๑. นักเรียนเหน็ ความสำคัญของการเขยี นบรรยายประสบการณโ์ ดยระบสุ าระสำคญั และรายละเอียด สนบั สนุน (A) ๑๒. นกั เรียนเห็นความสำคญั ของการเขียนเรียงความ (A) ๑๓. นกั เรยี นเหน็ ประโยชน์ของการเขียนย่อความจากเร่ืองที่อ่าน (A) ๑๔. นักเรียนมีความสนใจในการเขียนแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั สาระจากสอ่ื ทไี่ ด้รับได้อย่างชดั เจน(A) ๑๕. นักเรียนเห็นความสำคัญของการเขยี นจดหมายส่วนตัวและจดหมายกจิ ธุระ (A) ๑๖. นักเรียนใหค้ วามรว่ มมือในการเขียนรายงานการศึกษาคน้ ควา้ และโครงงาน (A) ๑๗. นักเรยี นตระหนกั ถึงมารยาทในการเขียน (A) ๑๘. นักเรยี นเหน็ ความสำคญั ของการพดู สรปุ ใจความสำคัญของเรื่องท่ีฟังและดู (A)

๗ ๑๙. นักเรยี นเหน็ ประโยชน์ของการเล่าเรอื่ งย่อจากเร่ืองทฟ่ี งั และดู (A) ๒๐. นกั เรียนเหน็ ความสำคญั ของการพดู แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งสรา้ งสรรค์เกย่ี วกบั เรื่องท่ีฟงั และดู (A) ๒๑. นกั เรียนเห็นความสำคัญของการพูดรายงานเรือ่ งหรือประเด็นทศ่ี กึ ษาค้นคว้าจากการฟังการดู และการสนทนา(A) ๒๒. นกั เรยี นเหน็ ความสำคัญถึงมารยาทในการฟัง การดู และการพูด (A) ๒๓. นกั เรียนเห็นคุณค่าของลกั ษณะของเสียงในภาษาไทย (A) ๒๔. นักเรยี นเหน็ ความสำคัญของการสรา้ งคำในภาษาไทย(A) ๒๕. นักเรยี นเหน็ ประโยชน์ในการเรยี นเรอื่ งชนิดและหนา้ ทข่ี องคำในประโยค (A) ๒๖. นกั เรยี นเหน็ ความสำคัญของการวิเคราะหค์ วามแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน (A) ๒๗. นักเรียนเหน็ ความสำคัญของการแต่งบทร้อยกรอง (A) ๒๘. นักเรียนเห็นคณุ คา่ ของการจำแนกและใชส้ ำนวนท่ีเป็นคำพงั เพยและสภุ าษติ (A) ๒๙. นกั เรียนเห็นประโยชนข์ องการสรปุ เนือ้ หาวรรณคดีและวรรณกรรมท่ีอา่ น (A) ๓๐. นักเรยี นพงึ พอใจต่อการวเิ คราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรม ทอี่ า่ นพร้อมยกเหตุผลประกอบ (A) ๓๑. นกั เรียนตระหนักถงึ คุณค่าของวรรณคดแี ละวรรณกรรมท่อี ่าน (A) ๓๒. นักเรียนเห็นความสำคัญของการนำความรแู้ ละข้อคิดจากการอา่ นเพอ่ื ประยุกต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ (A) ๓๓. นักเรียนเหน็ คณุ ค่าในทอ่ งจำบทอาขยานตามทกี่ ำหนดและบทรอ้ ยกรองทม่ี คี ุณค่าตามความสนใจ(A) ๓. สาระสำคญั การจัดการเรียนการสอน วิชาภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ภาคเรียนที่ ๑ และภาคเรียนที่ ๒ จะต้องอ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้ถูกต้อง อ่านจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่าน ระบุเหตุ และผลและข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็น อธิบายคำเปรียบเทียบ และคำที่มีหลายความหมายในบริบทต่าง ๆ จากการอ่าน สามารถตีความคำยากในเอกสารวิชาการ ระบุข้อสังเกตและความสมเหตุสมผลของงานเขียน ประเภทชักจูง โน้มน้าวใจ การอ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ การอ่านหนังสือตามความสนใจ จะทำให้ ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการอ่าน และตระหนักถึงมารยาทในการอ่าน จะต้องคัดลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัดตาม รูปแบบการเขียนตัวอักษรไทย เขียนสื่อสารโดยใช้ถ้อยคำถูกต้องชัดเจน เหมาะสม และสละสลวย เขียนบรรยายประสบการณ์ เขียนเรียงความเชิงพรรณนา โดยรู้หลักการเขยี นที่ถกู ต้อง สามารถเขียนย่อความ จากเรื่องที่อ่าน เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อที่ได้รับ เห็นความสำคัญของการเขียนจดหมาย ส่วนตัวและจดหมาย กิจธุระ เขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน จะทำให้ผู้เรียนได้ใชกระบวน การเขียน ตระหนักถึงมารยาทในการเขียน ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการฟัง การดู และการพูด ในการพูดสรุป ใจความสำคัญของเรื่องที่ฟังและดู สามารถอธิบายหลักการในการเล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่ฟังและดูได้อย่าง ถูกต้อง พูดแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ พร้อมประเมินความน่าเชื่อถือของสื่อที่มีเนื้อหาโน้มน้าวใจ พดู รายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาคน้ ควา้ เห็นความสำคญั ถงึ มารยาทในการฟัง การดู และการพูด ซ่ึงจะทำ ให้ผู้เรียนสามารถเลือกฟัง ดู และพูดแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่าง ๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ จะต้องเข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย สามารถอธิบายลักษณะของเสียงใน

๘ ภาษาไทย สร้างคำในภาษาไทยได้ถูกต้อง ผู้เรียนจะได้ใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ชนิดและหน้าที่ของคำใน ประโยค วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพยและ สุภาษิต แต่งบทร้อยกรองถูกต้องตามฉันทลักษณ์ จะทำให้รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติต่อไป นอกจากน้ีจะต้อง เข้าใจและร่วมแสดงความคิดเห็น สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านพร้อมยกเหตุผลประกอบได้อย่างถูกต้อง อธิบายคุณค่าของวรรณคดีและ วรรณกรรมท่อี ่าน สรุปความรแู้ ละข้อคดิ จากการอา่ น รู้จกั วิจารณ์วรรณคดแี ละวรรณกรรมไทยอย่างเห็นคุณค่า และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง สามารถท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า ตามความสนใจ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง ไพเราะ ๔. สาระการเรยี นรู้ ๑. การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยแก้ว ๑.๑ วิธกี ารอา่ นออกเสยี งบทรอ้ ยแกว้ ๑.๒ การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยแกว้ - บทบรรยายจากหนังสือ่ เรยี นหรือส่อื อืน่ ๆ ๒. การอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยกรอง ๒.๑ วิธกี ารอา่ นออกเสียงบทร้อยกรอง ๒.๒ การอ่านออกเสียงบทรอ้ ยกรอง - กลอนสุภาพ - กลอนสักวา - กาพย์ยานี ๑๑ - กาพยฉ์ บัง ๑๖ - กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ - โคลงส่สี ภุ าพ ๒.๑ หลกั การจับใจความสำคัญ ๒.๒ การอา่ นจับใจความจากส่อื ตา่ ง ๆ เช่น - วรรณคดใี นแบบเรยี น - งานเขยี นเชิงสร้างสรรค์ - บทความ - บันเทงิ คดี ๓. การระบเุ หตแุ ละผล และข้อเทจ็ จรงิ กับข้อคิดเห็นจากสอื่ ต่าง ๆ ๓.๑ เรอื่ งสัน้ ๓.๒ บทสนทนา ๓.๓ นทิ านชาดก

๙ ๓.๔ วรรณคดใี นแบบเรยี น ๓.๕ งานเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์ ๓.๖ บทความ ๓.๗ สารคดี ๓.๘ บนั เทิงคดี ๔. การระบุและอธิบายคำเปรยี บเทยี บ และคำทีม่ ีหลายความหมายจากสอื่ ตา่ ง ๆ เช่น ๔.๑ วรรณคดีในแบบเรยี น เรื่องนทิ านไทยเร่ืองสงั ข์ทอง ๕. การตคี วามคำยากในเอกสารจากสอ่ื ตา่ ง ๆ ๕.๒ เอกสารทางวิชาการที่มคี ำ ประโยค และขอ้ ความท่ตี ้องใชบ้ รบิ ทชว่ ยพจิ ารณาความหมาย ๖. การระบุขอ้ สงั เกตและความสมเหตสุ มผล ๖.๑ หลกั ขอ้ สงั เกตและความสมเหตุสมผลของงานเขยี นประเภทชกั จงู โน้มนา้ วใจ ๖.๒ ระบขุ ้อสงั เกตและความสมเหตสุ มผลของงานเขยี นประเภทชกั จูง โน้มน้าวใจจากส่ือต่าง ๆ - งานเขยี นประเภทชักจูงโนม้ นา้ วใจเชิงสร้างสรรค์ ๗. การปฏบิ ตั ิตามค่มู ือแนะนำวธิ ีการใช้งานของเครอื่ งมอื หรือเครื่องใช้ในระดบั ทย่ี ากขน้ึ ๗.๑ หลักการปฏิบัติคู่มอื แนะนำวธิ ีการใช้งานของเครอ่ื งมือหรือเครื่องใช้ ๗.๑ การอา่ นและปฏิบัติตามเอกสารคู่มอื ๘. การอา่ นหนงั สือตามความสนใจ ๘.๑ หนงั สือทน่ี กั เรียนสนใจและเหมาะสมกับวัย ๘.๒ หนงั สืออา่ นทน่ี ักเรยี นละครกู ำหนดรว่ มกัน ๘.๓ หนงั สอื สำหรับเดก็ หดั อา่ นเขยี น ๘.๔ หนังสอื นิทานสอนคติธรรม ๙. มารยาทในการอา่ น ๑๐. การคัดลายมือตวั บรรจงครึ่งบรรทดั ๑๐.๑ รปู แบบการเขยี นตวั อักษรไทย ๑๑. การเขยี นสอ่ื สาร ๑๑.๑ ลักษณะของการเขยี นสื่อสาร ๑๑.๒ การเขยี นส่ือสาร เช่น - การเขยี นแนะนำตนเอง - การเขยี นแนะนำสถานท่ีสำคัญ ๆ - การเขียนบนสือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ๑๒. การเขยี นบรรยายประสบการณ์ ๑๒.๑ ลกั ษณะการเขียนบรรยายประสบการณ์ ๑๒.๒ เขียนบรรยายประสบการณ์

๑๐ ๑๓. การเขยี นเรียงความ ๑๓.๑ องค์ประกอบของเรยี งความ ๑๓.๒ หลักการเขยี นเรียงความ ๑๓.๓ การเขียนเรยี งความเชิงพรรณนา ๑๔. การเขียนยอ่ ความ ๑๔.๑ หลกั การเขียนยอ่ ความ ๑๔.๒ การเขียนยอ่ ความจากสอ่ื ต่าง ๆ เชน่ - เรอ่ื งส้ัน - คำสอน - โอวาท - คำปราศรยั - สนุ ทรพจน์ - รายงาน - ระเบียบ คำสงั่ - บทสนทนา - เรอ่ื งเลา่ - ประสบการณ์ ๑๕. การเขียนแสดงความคดิ เหน็ ๑๕.๑ หลักการเขียนแสดงความคดิ เหน็ ๑๕.๒ การเขยี นแสดงความคิดเห็นเก่ยี วกบั สาระจากสอ่ื ต่าง ๆ เชน่ - บทความ - หนังสืออา่ นนอกเวลา - ข่าวและเหตกุ ารณ์ประจำวัน - เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ๑๖. การเขยี นจดหมายส่วนตวั และจดหมายกิจธุระ ๑๖.๑ ความหมายของการเขียนจดหมายส่วนตวั และจดหมายกิจธรุ ะ ๑๖.๒ หลักการการเขียนจดหมายสว่ นตวั และจดหมายกิจธุระ ๑๖.๓ การเขยี นจดหมายสว่ นตัว เชน่ - จดหมายขอความชว่ ยเหลือและจดหมายแนะนำ ๑๖.๔ การเขียนจดหมายกิจธุระ - จดหมายสอบถามข้อมูล

๑๑ ๑๗. การเขียนรายงานการศกึ ษาค้นคว้าและโครงงาน ๑๗.๑ ความหมายการเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน ๑๗.๒ ส่วนประกอบของการเขยี นรายงานการศกึ ษาค้นคว้าและโครงงาน ๑๗.๓ ข้นั ตอนการเขยี นรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน ๑๗.๔ การเขียนรายงาน ได้แก่ - การเขียนรายงานจากการศกึ ษาคน้ ควา้ - การเขียนรายงานโครงงาน ๑๘. มารยาทในการเขียน ๑๙. การพูดสรปุ ใจความสำคญั ของเรอ่ื งท่ีฟงั และดู ๑๙.๑ หลักการพูดสรุปใจความสำคัญของเรอ่ื ง ๑๙.๒ การพูดสรุปความ พูดแสดงความรู้ ความคิดเห็นอย่างสรา้ งสรรค์จากเรอื่ งท่ฟี งั และดู ๒๐. การเล่าเรื่องย่อจากเรือ่ งทฟี่ งั และดู ๒๐.๑ หลักการในการเล่าเรอื่ งยอ่ ๒๐.๒ การเลา่ เรื่องย่อ - วรรณคดเี รื่องนทิ านพนื้ บา้ น ๒๑. การพูดแสดงความคดิ เหน็ อย่างสรา้ งสรรคเ์ ก่ยี วกบั เรื่องท่ฟี ังและดู ๒๑.๑ หลกั การพูดแสดงความคดิ เหน็ อย่างสร้างสรรค์ ๒๑.๒ ประโยชน์ของการพดู แสดงความคดิ เหน็ อย่างสรา้ งสรรค์ ๒๑.๓ การพูดแสดงความคดิ เห็นอย่างสร้างสรรคเ์ ก่ยี วกบั เร่ืองท่ฟี ังและดู ๒๒. การประเมินความน่าเชอื่ ถือของสือ่ ทม่ี เี น้ือหาโนม้ นา้ วใจ ๒๒.๑ การพูดประเมนิ ความนา่ เชอ่ื ถอื ของสอ่ื ทีม่ ีเน้ือหาโน้มน้าวใจ ๒๓. การพดู พูดรายงานเรือ่ งหรือประเด็นท่ีศกึ ษาคน้ คว้าจากการฟงั การดู และการสนทนา ๒๓.๑ การพดู รายงานการศกึ ษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรตู้ า่ ง ๆ ในชมุ ชนและทอ้ งถิน่ ของตน ๒๔. มารยาทในการฟงั การดู และการพูด ๒๕. ลักษณะของเสยี งในภาษาไทย ๒๕.๑ หน่วยเสียงสระ ๒๕.๒ หนว่ ยเสียงพยญั ชนะ ๒๕.๓ หนว่ ยเสียงวรรณยกุ ต์ ๒๖. การสร้างคำในภาษาไทย ๒๖.๑ วิธกี ารสรา้ งคำในภาษาไทย ๒๖.๒ การสรา้ งคำในภาษาไทย - คำประสม - คำซำ้

๑๒ - คำซ้อน - คำพอ้ งรูป - คำพอ้ งเสียง ๒๗. ชนดิ และหน้าทข่ี องคำในประโยคของคำในประโยค ๒๗.๑ คำนาม ๒๗.๒ คำสรรพนาม ๒๗.๓ คำกรยิ า ๒๗.๔ คำสนั ธาน ๒๗.๕ คำวิเศษณ์ ๒๗.๖ คำอุทาน ๒๘. การวิเคราะหค์ วามแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขยี น ๒๘.๑ ภาษาพดู ๒๘.๒ ภาษาเขียน ๒๙. การแตง่ บทร้อยกรอง ๒๙.๑ ลักษณะของการแต่งบทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ๒๙.๒ ฉันทลกั ษณข์ องการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ๓๐. การจำแนกและใชส้ ำนวนทเ่ี ปน็ คำพังเพยและสุภาษิต ๓๐.๑ สำนวนทเี่ ปน็ คำพังเพยและสภุ าษิต ๓๑. การสรปุ เนอื้ หาวรรณคดแี ละวรรณกรรมเกี่ยวกบั ๓๑.๑ บนั ทึกการเดินทางจากวรรณคดเี รื่องนิราศภูเขาทอง ๓๑.๒ ศาสนา ๓๑.๓ ประเพณี ๓๑.๔ พธิ ีกรรม ๓๑.๕ สภุ าษติ คำสอน ๓๑.๖ เหตุการณป์ ระวตั ศิ าสตร์ ๓๑.๗ บันทึกการเดินทาง ๓๑.๘ วรรณกรรมท้องถิน่ ๓๒. การวเิ คราะห์วรรณคดแี ละวรรณกรรม ๓๒.๑ หลกั การวิเคราะหว์ รรณคดีและวรรณกรรม - วรรณคดีกาพย์เร่ืองพระไชยสรุ ยิ า ๓๓. การวเิ คราะหค์ ณุ คา่ และข้อคิดจากวรรณคดแี ละวรรณกรรม ๓๓.๑ คุณค่าด้านเน้อื หา ๓๓.๒ คุณค่าด้านวรรณศลิ ป์

๑๓ ๓๓.๓ คุณค่าด้านสงั คม ๓๔. สรุปความรแู้ ละขอ้ คิดจากการอ่านวรรณคดเี พื่อประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ติ จริง ๓๔.๑ คำสอนในโคลงโลกนิติ ๓๔.๒ คำสอนในสภุ าษติ พระร่วง ๓๕. การท่องจำบทอาขยานและบทรอ้ ยกรองท่มี ีคุณค่า ๓๕.๑ บทอาขยานตามที่กำหนดจากวรรณคดีเรอื่ งกาพย์แห่ชมเครอื่ งคาวหวาน ๓๕.๒ บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ

๑๔ คำอธบิ ายรายวชิ า รายวิชาพ้นื ฐาน รายวชิ า ภาษาไทย สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๑ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔ เวลา ๑๒๐ ช่ัวโมง จำนวน ๓ หนว่ ยกิต ศกึ ษาหลักการอ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรอง การอ่านจบั ใจความสำคัญ ระบุเหตุและผล และข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นจากเรื่องที่อ่าน ระบุและอธิบายคําเปรียบเทียบและคําที่มีหลายความหมายใน บริบทต่าง ๆ จากการอ่าน อ่านและปฏิบัติตามเอกสารคู่มือ แนะนําวิธีการใช้งานของเครื่องมือหรือเครื่องใช้ วิเคราะห์ความแตกต่างของภาษาพูดและภาษาเขียน เข้าใจลักษณะการสร้างคําในภาษาไทย การอ่านตีความ ศึกษาข้อสังเกตและความสมเหตุสมผลของงานเขียนประเภทชักจูงใจโน้มน้าวใจ เข้าใจลักษณะของเสียงใน ภาษาไทย ชนิดของคำในภาษาไทย จำแนกและใช้สำนวนที่เป็นคำพังเพยและสุภาษิต อธิบายคุณค่าของ วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์คุณค่าจากการอ่านเพื่อนําไปใช้แก้ปัญหาในชีวิต รวมทั้งสรุปความรู้ และขอ้ คดิ จากการอา่ นเพ่ือประยุกต์ใช้ในชีวติ จริง โดยใช้ทักษะกระบวนการทางภาษา กระบวนการอ่านคิดวิเคราะห์ กระบวนการเขียนสื่อสาร เขียน บรรยายประสบการณ เขียนแสดงความคดิ เห็นเก่ยี วกบั สาระจากส่ือ เขียนจดหมายสวนตวั และจดหมายกิจธุระ เขียนรายงานการศึกษาและโครงงาน คดั ลายมือตัวบรรจงคร่ึงบรรทดั เขยี นเรยี งความ เขียนย่อความจากเรื่อง ที่อ่าน เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาระจากสื่อที่ได้รับ เล่าเรื่องย่อจากเรื่องที่ฟังและดู พูดแสดง ความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่องที่ฟังและดู พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ศึกษาค้นคว้า พูดสรุป ใจความสำคัญ พูดแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรคเกี่ยวกับเรื่องท่ีฟงดู พูดประเมินความมนาเชื่อถือของสื่อ ที่มเี นื้อหาโนมนาวใจ แตง่ บทรอ้ ยกรอง สรปุ เนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมทีอ่ ่าน วิเคราะห์และอธบิ ายคุณค่า วรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่านพรอมยกเหตุผลประกอบ สรุปเนื้อหา ความรู และขอคิดจากการอ่านไป ประยกุ ตใชในชวี ติ จรงิ ท่องจำบทอาขยานตามที่กำหนดและบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิตประจำวัน ในการแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง มีมารยาทในการอ่าน มีมารยาทในการเขียน มีมารยาทในการฟัง การดู และการพูด เห็นคุณค่าภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ก่อให้เกิดนิสัย รักการอ่าน มีความต้องการในการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ รวมทั้งมีลักษณะที่พึงประสงค์ตาม มาตรฐานการเรียนรูก้ ลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย รหสั ตัวชวี้ ัด ท ๑.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ม.๑/๙ ท ๒.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ม.๑/๗ ม.๑/๘ ม.๑/๙ ท ๓.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ท ๔.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ ม.๑/๖ ท ๕.๑ ม.๑/๑ ม.๑/๒ ม.๑/๓ ม.๑/๔ ม.๑/๕ รวม ๓๕ ตวั ช้ีวดั

๑๕ โครงสร้างรายวิชา รายวิชาพ้นื ฐาน รหัสวิชา ๒๑๑๐๑ กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย จำนวน ๖๐ ชัว่ โมง/ ๑.๕ หนว่ ยกติ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ หน่วยที่ ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน เวลา การเรียนรู้/ (ช่ัวโมง) ตัวชวี้ ดั ๑๓ ๑ พนื้ ฐานการอ่านเขยี น ๓ ๑.๑ วธิ กี ารอ่านออกเสยี งบทรอ้ ยแก้ว ท ๑.๑ ม.๑/๑ ๑.๒ การอ่านออกเสยี งบทร้อยแกว้ - บทบรรยายจากหนังสือเรียนหรือส่อื อืน่ ๆ ๓ ๑.๓ วิธกี ารอา่ นออกเสยี งบทร้อยกรอง ๒ ๑.๔ การอ่านออกเสยี งบทร้อยกรอง ท ๑.๑ ม.๑/๒ - กลอนสุภาพ - กลอนสักวา ท ๒.๑ ม.๑/๑ ๒ - กาพย์ยานี ๑๑ - กาพย์ฉบัง ๑๖ ท ๑.๑ ม.๑/๙ ๑ - กาพยส์ รุ างคนางค์ ๒๘ ท ๒.๑ ม.๑/๙ ๒ - โคลงสี่สุภาพ ท ๔.๑ ม.๑/๑ ๑.๕ หลักการจบั ใจความสำคญั ๑.๖ การอ่านจับใจความสำคัญจากเร่ืองท่ีอา่ น - วรรณคดใี นแบบเรียน - งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ - บทความ - บนั เทงิ คดี ๑.๗ การคดั ลายมือตัวบรรจงครึ่งบรรทัด - รูปแบบการเขยี นตัวอักษรไทย ๑.๘ มารยาทในการอ่าน ๑.๙ มารยาทในการเขยี น ๑.๑๐ ลกั ษณะของเสียงในภาษาไทย - หนว่ ยเสยี งสระ - หนว่ ยเสยี งพยัญชนะ - หนว่ ยเสียงวรรณยุกต์

หน่วยที่ ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐาน ๑๖ การเรียนรู้/ เวลา ๒ รอ้ ยเรยี งคำเปน็ เรอื่ งราว (ชั่วโมง) ตัวชวี้ ัด ๖ ๒.๑ ลกั ษณะของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ท ๔.๑ ม.๑/๕ ๒ ท ๓.๑ ม.๑/๖ ๒ ๒.๒ ฉันทลักษณข์ องการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ท ๔.๑ ม.๑/๔ ๒ ท ๔.๑ ม.๑/๖ ๗ ๒.๓ การแต่งบทรอ้ ยกรอง ท ๑.๑ ม.๑/๓ ๑ ๓ ๓ เรียนรู้ถอ้ ยคำภาษา ท ๑.๑ ม.๑/๕ ๓ ๓.๑ มารยาทการฟงั การดู และการพูด ท ๒.๑ ม.๑/๖ ๑๐ ๓.๒ การวิเคราะห์ความแตกตา่ งของภาษาพูดและภาษาเขียน ๒ - ภาษาพูด ๒ - ภาษาเขียน ๓.๓ สำนวนทีเ่ ป็นคำพังเพยและสุภาษิต ๑ ๔ พนิ จิ พิจารณส์ ื่อภาษา ๒ ๔.๑ การระบเุ หตุและผล และข้อเท็จจรงิ กับข้อคิดเหน็ จากสือ่ ต่าง ๆ - เร่ืองสัน้ - บทสนทนา - นิทานชาดก - วรรณคดใี นแบบเรียน - งานเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ - บทความ - สารคดี - บนั เทงิ คดี ๔.๒ การตีความคำยากในเอกสารจากส่อื ตา่ ง ๆ - เอกสารทางวิชาการที่มีคำ ประโยค และข้อความที่ต้องใช้ บรบิ ทชว่ ยพจิ ารณาความหมาย ๔.๓ หลกั การเขียนแสดงความคดิ เหน็ ๔.๔ การเขียนแสดงความคิดเห็นเกีย่ วกบั สาระจากสื่อต่าง ๆ - บทความ - หนังสอื อา่ นนอกเวลา - ข่าวและเหตุการณป์ ระจำวัน - เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ

หน่วยที่ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ๑๗ การเรยี นร้/ู เวลา ๔.๕ หลักการพดู แสดงความคดิ เห็นอยา่ งสรา้ งสรรค์ (ช่ัวโมง) ๔๖ ประโยชน์ของการพูดแสดงความคิดเหน็ อยา่ งสรา้ งสรรค์ ตัวช้วี ดั ๑ ๔.๗ การพดู แสดงความคดิ เห็นอย่างสร้างสรรค์เกย่ี วกับเร่ืองท่ีฟงั และดู ท ๓.๑ ม.๑/๓ ๑ ท ๑.๑ ม.๑/๔ ๑ สอบกลางภาคเรยี น ๑ ๕ นิทานสารพัน ท ๒.๑ ม.๑/๕ ๑๓ ๓ ๕.๑ การระบุและอธบิ ายคำเปรยี บเทยี บ และคำทม่ี หี ลายความหมาย ท ๓.๑ ม.๑/๒ ๑ - วรรณคดีในแบบเรยี น เรือ่ งนิทานไทยเรื่องสังข์ทอง ท ๓.๑ ม.๑/๕ ๓ ท ๒.๑ ม.๑/๔ ๕.๒ หลกั การเขียนย่อความ ๑ ๒ ๕.๓ การเขยี นย่อความจากส่ือตา่ ง ๆ ๑ - เรื่องสนั้ ๒ - คำสอน ๑๑ - โอวาท ๑ - คำปราศรัย ๑ - สนุ ทรพจน์ - รายงาน - ระเบียบ คำส่งั - บทสนทนา - เรอ่ื งเลา่ - ประสบการณ์ ๕.๔ หลกั การในการเล่าเร่อื งย่อ ๕.๕ การเลา่ เรือ่ งย่อ - วรรณคดีเรอ่ื งนิทานพ้นื บ้าน ๕.๖ ความหมายของการพูดรายงาน ๕.๗ การพดู รายงานการศกึ ษาค้นควา้ จากแหล่งเรยี นรตู้ า่ ง ๆ ในชุมชน และท้องถิ่น ๖ สร้างสรรค์สือ่ งานเขยี น ๖.๑ องคป์ ระกอบของเรียงความ ๖.๒ หลกั การเขยี นเรียงความ

หน่วยที่ ช่ือหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ๑๘ การเรียนรู/้ เวลา ตวั ชีว้ ดั (ช่วั โมง) ๖.๓ การเขยี นเรยี งความเชงิ พรรณนา ๒ ๖.๔ ความหมายของการเขยี นจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ ท ๒.๑ ม.๑/๗ ๑ ๑ ๖.๕ หลักการการเขยี นจดหมายส่วนตัวและจดหมายกิจธุระ ๑ ๖.๖ การเขียนจดหมายสว่ นตวั ท ๒.๑ ม.๑/๘ ๑ - จดหมายขอความชว่ ยเหลอื และจดหมายแนะนำ ๑ ๖.๗ การเขียนจดหมายกิจธุระ ๒ - จดหมายสอบถามขอ้ มลู ๑ ๖.๘ ความหมายการเขียนรายงานการศึกษาค้นคว้าและโครงงาน ๖๐ ๖.๙ ส่วนประกอบของการเขยี นรายงานการศึกษาค้นควา้ และ โครงงาน ๖.๑๐ ข้ันตอนการเขยี นรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ และโครงงาน ๖.๑๑ การเขยี นรายงาน ไดแ้ ก่ - การเขยี นรายงานจากการศกึ ษาคน้ ควา้ - การเขียนรายงานโครงงาน สอบปลายภาคเรยี น ภาคเรียนที่ ๑ รวม

๑๙ โครงสร้างรายวชิ า รายวชิ าพ้ืนฐาน รหัสวิชา ๒๑๑๐๒ กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย จำนวน ๖๐ ชวั่ โมง/ ๑.๕ หนว่ ยกิต ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ ภาคเรยี นท่ี ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๔ หนว่ ยที่ ช่อื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน เวลา การเรียนร้/ู (ชว่ั โมง) ๑ สอื่ สารเชิงสร้างสรรค์ ๑.๑ หลกั การปฏิบตั ิคู่มือแนะนำวธิ กี ารใช้งานของเครื่องมือหรือ ตัวชี้วดั ๑๓ ๒ เคร่ืองใช้ ท ๑.๑ ม.๑/๗ ๑.๒ การอ่านและปฏิบตั ติ ามเอกสารคู่มือ ๒ ท ๒.๑ ม.๑/๒ ๑ ๑.๓ ลกั ษณะของการเขียนส่อื สาร ๓ ๑.๔ การเขียนสอื่ สาร ท ๒.๑ ม.๑/๓ ๑ - การเขยี นแนะนำตนเอง ท ๓.๑ ม.๑/๔ ๒ - การเขยี นแนะนำสถานทีส่ ำคญั ๆ ท ๕.๑ ม.๑/๑ ๒ - การเขยี นบนส่อื อิเลก็ ทรอนิกส์ ๑๕ ๑.๕ ลักษณะการเขยี นบรรยายประสบการณ์ ๖ ๑.๖ การเขียนบรรยายประสบการณ์ ๑.๗ การพดู ประเมนิ ความน่าเชื่อถือของสอื่ ที่มีเนื้อหาโนม้ น้าวใจ ท ๑.๑ ม.๑/๘ ๕ ๒ วรรณคดสี อนชีวิต ๒.๑ การสรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรม - บันทกึ การเดินทางจากวรรณคดีเรือ่ งนิราศภเู ขาทอง - ศาสนา - ประเพณี - พิธกี รรม - สภุ าษติ คำสอน - เหตุการณ์ประวัตศิ าสตร์ - บันเทิงคดี - วรรณกรรมทอ้ งถิน่ ๒.๒ การอ่านหนังสือตามความสนใจ - หนังสือท่นี กั เรยี นสนใจและเหมาะสมกับวัย - หนังสอื อ่านท่นี ักเรียนละครูกำหนดร่วมกนั

หน่วยท่ี ชื่อหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ๒๐ การเรยี นร้/ู เวลา ตวั ชีว้ ดั (ชวั่ โมง) - หนังสอื สำหรับเดก็ หัดอา่ นเขียน ท ๕.๑ ม.๑/๔ ๔ - หนังสือนิทานสอนคตธิ รรม ๒.๓ สรปุ ความรูแ้ ละข้อคิดจากการอ่านวรรณคดีเพื่อประยุกต์ใช้ใน ท ๕.๑ ม.๑/๕ ๙ ชีวติ จรงิ ท ๔.๑ ม.๑/๒ ๓ - คำสอนในโคลงโลกนิติ ๓ - คำสอนในสภุ าษติ พระร่วง ๓ ร้อยเรยี งสำเนียงเปลง่ ภาษา ๓ ๑ ๓.๑ การทอ่ งจำบทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณคา่ ๑๑ ๓ ๓.๒ บทอาขยานตามท่กี ำหนดจากวรรณคดีเรื่องกาพย์แหช่ มเครื่อง ๔ คาวหวาน ท ๔.๑ ม.๑/๓ ๔ ๓.๓ บทร้อยกรองตามความสนใจ ท ๕.๑ ม.๑/๒ ๑๒ สอบกลางภาคเรยี น ๖ ๔ สืบสานเสน่ห์คำไทย ๔.๑ วิธีการสร้างคำในภาษาไทย ๔.๒ การสรา้ งคำในภาษาไทย - คำประสม - คำซ้ำ - คำซอ้ น - คำพอ้ งรปู - คำพ้องเสยี ง ๔.๓ ชนิดและหนา้ ท่ีของคำในประโยคของคำในประโยค - คำนาม - คำสรรพนาม - คำกริยา - สันธาน - คำวเิ ศษณ์ - คำอุทาน ๕ วนิ ิจฉยั วรรณกรรมไทย ๕.๑ หลกั การวิเคราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรม

หนว่ ยที่ ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐาน ๒๑ การเรียนร/ู้ เวลา ตวั ช้วี ดั (ชัว่ โมง) - วรรณคดกี าพย์เรื่องพระไชยสุรยิ า ท ๕.๑ ม.๑/๓ ๖ ๕.๒ การวิเคราะห์คุณคา่ และขอ้ คิดจากวรรณคดีและวรรณกรรม ๑ - คุณค่าดา้ นเนอ้ื หา ๖๐ - คุณค่าดา้ นวรรณศลิ ป์ - คณุ คา่ ดา้ นสงั คม สอบปลายภาคเรียน ภาคเรียนท่ี ๒ รวม

๒๒ แผนการจัดการเรียนรรู้ ายหนว่ ย

๒๓ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี ๒

๒๔ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๒ สาระการเรียนรู้ ภาษาไทย รายวิชา ภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ ภาคเรยี นที่ ๑ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๔ หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๒ เร่ือง รอ้ ยเรยี งคำเป็นเรื่องราว เวลา ๖ ชั่วโมง ๑. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวัด มาตราฐานการเรยี นรู้ มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลัง ของภาษา ภูมปิ ัญญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ ตัวชี้วดั ท ๔.๑ ม.๑/๕ แต่งบทรอ้ ยกรอง ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) - นกั เรยี นสามารถอธบิ ายลกั ษณะของการแต่งบทรอ้ ยกรองได้ - นกั เรียนสามารถอธบิ ายฉนั ทลักษณ์ของการแต่งบทรอ้ ยกรองได้ ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) - นักเรยี นสามารถแตง่ บทร้อยกรองได้ถกู ต้องตามฉนั ทลักษณแ์ ละกฎเกณฑ์ ดา้ นเจตคติ (A) - นกั เรยี นเหน็ ความสำคัญของการแตง่ บทรอ้ ยกรอง ๓. สาระสำคัญ การแต่งคำประพันธ์ ควรคำนึงถึงคำที่นำมาแต่ง ต้องมีสัมผัสและมีความหมายเหมาะกับเรื่องท่ี ร้อยเรียงคำเป็นเรื่องราว เพื่อให้คำประพันธ์นั้นมีความไพเราะ สละสลวย มีคุณค่าอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และควรเรียนรูฉ้ ันทลักษณ์ในการแต่ง เพื่อให้การแต่งคำประพันธถ์ ูกต้อง ดังนั้นผู้เรยี นควรฝึกแต่งคำประพันธ์ เพื่อถ่ายถอดความรู้ ความคดิ และความรู้สึกใหผ้ ู้อืน่ ทราบ และเป็นการพฒั นาทกั ษะทางความคิดอีกด้วย ๔. สาระการเรียนรู้ ๑. ลักษณะของการแตง่ บทรอ้ ยกรองประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ๒. ฉันทลักษณ์ของการแตง่ บทรอ้ ยกรองประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ๓. การแต่งบทรอ้ ยกรอง

๒๕ ๕. สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน (เฉพาะทเ่ี กิดในหนว่ ยการเรียนรู้น)้ี  ความสามารถในการสื่อสาร  ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกป้ ญั หา  ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ๖. ทกั ษะของผเู้ รียนในศตวรรษท่ี 21 (3R 8C + 2L)  ทกั ษะการอา่ น (Reading)  ทกั ษะการเขยี น (Writing) ทักษะการคดิ คำนวณ (Arithmetic) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) ทักษะด้านการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม (Creativity and innovation)  ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) ทกั ษะด้านความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) ทักษะด้าน การสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) ทักษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร (Computing) ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) ทักษะการเปล่ียนแปลง (Change) ทกั ษะการเรียนรู้ (Learning Skills) ภาวะผ้นู ำ (Leadership) ๗. ชนิ้ งานหรือภาระงาน ๗.๑ ใบงานท่ี ๑.๑ เรื่อง ลกั ษณะการแต่งบทร้อยกรอง ๗.๒ ใบงานที่ ๑.๒ เรอื่ ง การสง่ สัมผสั น่ารู้ ๗.๓ ใบงานที่ ๒ เร่ือง เรียนรู้ฉนั ทลักษณ์กาพยย์ านี ๑๑ ๗.๔ ใบงานที่ ๓.๑ เรื่อง เรยี งลำดับกาพย์ยานี ๑๑ ๗.๕ ใบงานที่ ๓.๒ เรอื่ ง รอ้ ยรัดกาพย์ยานี ๑๑

๒๖ ๘. การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ หน่วยย่อยที่ ๑ เรื่อง ลักษณะของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ชัว่ โมงท่ี ๑ (ใชร้ ูปแบบการเรยี นรู้แบบกระบวนการเรียนรู้ ๕ ขน้ั ตอน (๕ STEPs)) ขน้ั ที่ ๑ ต้ังคำถาม ๑. ครูให้นักเรยี นร่วมสนทนาโดยครูใชค้ ำถามต่อไปนี้ ๑.๑ มีนกั เรยี นรหู้ รอื ไม่วา่ คำประพันธ์หมายถงึ อะไร ๑.๒ นกั เรียนคดิ วา่ คำสำคญั ที่ควรรใู้ นการแต่งคำประพันธ์มคี ำวา่ อะไรบ้าง ขนั้ ท่ี ๒ แสวงหาสารสนเทศ ๑. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ ๔ คน นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษา ใบความรู้ที่ ๑ เร่อื ง ศึกษาลักษณะการแต่งบทร้อยกรอง ร่วมกันสรปุ และอธบิ ายเพ่ิมเตมิ ๒. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทำใบงานที่ ๑.๑ เรื่อง ลักษณะการแต่งบทร้อยกรองโดยให้สมาชิกใน แตล่ ะกลุม่ จบั คกู่ ันเป็น ๒ คู่แลว้ ให้แตล่ ะคปู่ ฏบิ ตั ิกจิ กรรมดังตอ่ ไปน้ี ๒.๑ สมาชิกคนที่ ๑ อา่ นโจทย์คําถาม และเขียนคําตอบ ๒.๒ สมาชกิ คนที่ ๒ เป็นฝ่ายสังเกต ตรวจสอบคําตอบ ๒.๓ ให้สมาชกิ แต่ละคเู่ ปล่ยี นบทบาทกันในคําถามขอ้ ตอ่ ไป ๓. ครูให้นักเรียนรวมกลุ่มเดิม กลุ่มละ ๔ คน ใหแต่ละคู่นําคําตอบของคู่ตนเองมานําเสนอให้เพื่อน อีกคู่หนึ่งฟัง เพื่อช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้นนําใบงานที่ ๑.๑ เรื่อง ลักษณะการแต่งบทร้อยกรอง ส่งครู ขั้นท่ี ๓ สรา้ งความรู้ ๑. ครใู หน้ ักเรยี นแตล่ ะคนทำใบงานท่ี ๑.๒ เร่อื ง การสง่ สัมผสั นา่ รู้ ๒. ครูและนักเรียนร่วมกันความรู้หลักกว้าง ๆ เกี่ยวกับลักษณะของการแต่งบทร้อยกรอง โดยเน้น ประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ดังน้ี ๒.๑ การจะแตง่ บทร้อยกรองประเภทกาพยย์ านี ๑๑ ได้ต้องเข้าใจความหมายของคำประพันธ์น้ัน ๆ ๒.๒ ลักษณะทั่วไปของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ จะต้องมีความรู้พื้นฐานท่ี สำคญั คอื ต้องร้คู ำ คณะ สมั ผัส ทงั้ สมั ผัสนอก สัมผสั ใน คำเปน็ คำตาย และคำเอก คำโท ขั้นท่ี ๔ ส่อื สาร ครูให้นักเรียนแลกเปลยี่ นความรจู้ ากการทำใบงานท่ี ๑.๒ เร่อื ง การสง่ สมั ผัสน่ารู้ โดยออกมาเขียนบน กระดานแลว้ อธบิ ายคำตอบของตวั เองใหเ้ พอื่ นฟงั หนา้ ชนั้ เรยี น ขัน้ ท่ี ๕ ตอบแทนสงั คม ๑. ครูให้นักเรียนนำความรู้เรื่องลักษณะของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ไปช่วย อธบิ ายให้เพ่อื นทย่ี ังไม่คอ่ ยเข้าใจ

๒๗ ๒. ครูให้นักเรียนนำความรู้เรื่องลักษณะของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ไปสรุปเปน็ แผนผงั ความคดิ หนว่ ยย่อยที่ ๒ เรื่อง ฉนั ทลักษณข์ องการแตง่ บทรอ้ ยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ช่วั โมงที่ ๓-๔ (ใช้รปู แบบการเรยี นรแู้ บบกระบวนการเรยี นรู้ ๕ ข้ันตอน (๕ STEPs)) ขั้นที่ ๑ ตง้ั คำถาม ๑. ครูเล่านิทานกาพย์ยานี ๑๑ เรื่อง หมาป่ากะลูกหมูสามตัว ให้นักเรียนฟัง และนํานิทานมาติดบน กระดานหนา้ ชน้ั เรยี น แล้วครใู ห้นักเรยี นร่วมสนทนาโดยครูใชค้ ำถามตอ่ ไปน้ี ๑.๑ นกั เรยี นเคยอา่ นนทิ านกาพยย์ านี ๑๑ เรื่อง หมาปากะลกู หมูสามตวั หรอื ไม่ ๑.๒ มีนักเรียนคนไหนรู้หรือไม่ว่า นิทานกาพย์ยานี ๑๑ เรื่อง หมาป่ากะลูกหมูสามตัว มีลักษณะ ฉนั ทลกั ษณข์ องการแต่งเปน็ อยา่ งไร ขนั้ ที่ ๒ แสวงหาสารสนเทศ ๑. ครแู จกใบความรทู้ ่ี ๒ เรอ่ื ง ฉนั ทลักษณ์การแตง่ บทร้อยกรอง ครกู ำหนดเวลา ๑๐ นาที ใหน้ กั เรียน ศกึ ษาข้อมูลจากใบความร้เู พอื่ ทำกิจกรรมต่อไป ๒. ครแู บง่ กลมุ่ นักเรียนออกเป็นกลมุ่ ละ๓ คนเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นทำกจิ กรรมเร่อื ง“สัมผสั กนั อยา่ งไรนะ” ๓. ครูนำแผนผังตัวอย่างกาพย์ยานี ๑๑ จำนวน ๒ บท มาติดบนกระดาน แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ช่วยกันโยงสัมผสั ใหถ้ ูกตอ้ ง ๔. ครูตวั แทนกลมุ่ ออกมารับใบงานที่ ๒ เรื่อง เรยี นรฉู้ ันทลักษณก์ าพยย์ านี ๑๑ ข้ันท่ี ๓ สรา้ งความรู้ ๑. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มหาตัวอย่างของกาพย์ยานี ๑๑ มาคนละ ๒ บท เพื่อโยงสัมผัสฉันทลักษณ์ ๒. นกั เรียนและครูรว่ มกนั สรุปความร้จู ากการทำกจิ กรรม เรอ่ื ง “สัมผสั กันอย่างไรนะ” ดังนี้ ๒.๑ ฉันทลักษณ์ของกาพย์ยานี ๑๑ จะมีกฎเกณฑ์ และการส่งสัมผัสที่สมบูรณ์ และไม่สามารถ เปลยี่ นแปลงฉันทลักษณ์ได้ ขน้ั ที่ ๔ สื่อสาร ครูให้ตัวแทนนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาแลกเปลี่ยนความรู้จากการทำใบงาน โดยออกมาเขียนบน กระดานแล้วอธบิ ายคำตอบของกลมุ่ ตวั เองให้เพ่ือนฟงั หน้าชัน้ เรยี น ขัน้ ท่ี ๕ ตอบแทนสังคม ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำความรู้เรื่องฉันทลักษณ์ของการแต่งบทร้อยกรองประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ไปจัดทำเปน็ แผ่นพับ

๒๘ หน่วยย่อยท่ี ๓ เรื่อง การแต่งบทรอ้ ยกรอง ช่ัวโมงท่ี ๕-๖ (ใชร้ ปู แบบการเรียนรู้แบบกระบวนการเรยี นรู้ ๕ ขน้ั ตอน (๕ STEPs)) ขัน้ ที่ ๑ ต้ังคำถาม ๑. ครแู ละนกั เรียนรว่ มกันสนทนาโดยครใู ชค้ ำถาม ดงั น้ี ๑.๑ นกั เรยี นเคยแต่งคำประพนั ธป์ ระเภทใดบ้าง ๑.๒ นกั เรียนคิดว่าการแตง่ บทรอ้ ยกรองใหไ้ พเราะต้องมีหลักในการแต่งอย่างไร ๑.๓ นักเรยี นคิดว่ากระบวนการแตง่ คำประพนั ธ์มีอะไรบ้าง ๑.๔ นักเรียนคดิ ว่าการแต่งกาพย์ทน่ี ยิ มแตง่ กันมกี ี่ชนิด ข้ันท่ี ๒ แสวงหาสารสนเทศ ๑. ครูให้นกั เรียนศึกษาใบความรู้ที่ ๓ เร่ือง การแต่งบทรอ้ ยกรอง ๒. ครูนำตวั อยา่ งคำประพันธป์ ระเภทกาพย์ยานี ๑๑ มาตดิ บนกระดาน แล้วให้นักเรยี นทำใบงานท่ี ๓.๑ เรือ่ ง เรียงลำดับกาพย์ยานี ๑๑ ๓. ครูเปิดวิดีทัศน์การอ่านทำนองเสนาะกาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ให้นักเรยี นฟงั ๑ รอบ จากนัน้ ใหน้ ักเรียนฝึกอา่ นออกเสียงตามวดิ ีทัศน์ ๔. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ ๓-๔ คน ใหน้ ักเรียนหากาพยย์ านี ๑๑ กาพยฉ์ บัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ มาประเภทละ ๑ บท จากนั้นขีดเส้นแบง่ วรรคและโยงการสัมผัสฉันทลักษณ์ให้ถูกต้อง แล้วส่งให้ครูตรวจสอบ ความถูกตอ้ ง ขน้ั ท่ี ๓ สรา้ งความรู้ ๑. ครูให้นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ ๓.๒ เรื่อง ร้อยรัดกาพย์ยานี ๑๑ โดยให้แต่งคำประพันธ์ ประเภทกาพยย์ านี ๑๑ จำนวน ๒ บท ตามหัวขอ้ ทีค่ รูกำหนด ๑ หัวขอ้ “แนะนำตวั เอง” ๒. นกั เรยี นและครูร่วมกนั สรปุ กลวิธีของการแต่งคำประพนั ธ์ ดงั น้ี ๒.๑ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีกลวิธีของแต่งที่แตกต่างกันตามรูปแบบฉันทลักษณ์ แต่ความรู้ พ้นื ฐานสำหรับการแตง่ คำประพันธ์ทกุ ประเภท คอื ต้องรู้ในเร่ือง การสัมผัสนอก สัมผสั ใน และจังหวะในการอา่ น ขั้นที่ ๔ สือ่ สาร ครูให้นักเรียนนำผลงานของตนเองในการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ หัวข้อ “แนะนำ ตัวเอง” โดยออกมาอ่านบทประพันธ์ทแ่ี ต่งข้ึนใหเ้ พ่ือนฟงั หนา้ ช้นั เรยี น ขน้ั ที่ ๕ ตอบแทนสังคม ๑. ให้นักเรียนนำความรู้เรื่องกลวิธีการแต่งคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆ ไปแนะนำให้เพื่อนที่ยังแต่ง ไดไ้ มถ่ กู ต้อง ๒. ครูให้นักเรียนร่วมกันจัดป้ายนิเทศแสดงผลงานจากการแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ ของเพื่อน ๆ ทกุ คน

๒๙ ๙. สอ่ื การสอน ๙.๑ วิดที ศั นก์ ารอ่านทำนองเสนาะกาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบงั ๑๖ และกาพย์สรุ างคนางค์ ๒๘ ๙.๒ ใบความรู้ ๙.๓ กจิ กรรม “ทอ่ งจำบทอาขยานทก่ี ำหนดอย่างไรใหไ้ พเราะ” ๙.๔ นิทานกาพย์ยานี ๑๑ เรื่อง หมาปากะลูกหมสู ามตัว ๙.๕ กจิ กรรม เรอื่ ง “สัมผัสกันอยา่ งไรนะ” ๙.๖ สอ่ื การเรยี นการสอนประกอบการนำเสนอ power point ๙.๗ แผนผงั ตัวอยา่ งกาพยย์ านี ๑๑ ๙.๘ ตัวอย่างคำประพนั ธป์ ระเภทกาพย์ยานี ๑๑ ๑๐. แหลง่ เรียนรู้ในหรอื นอกสถานที่ ๑๐.๑ หอ้ งสมดุ ๑๐.๒ อนิ เทอรเ์ น็ต ๑๑. การวดั และประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ วิธีวดั เครือ่ งมือวดั เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑ์การ ประเมนิ ๑. ด้านความรู้ (K) ตรวจใบงานที่ ใบงานท่ี ๑.๑ ๑.๑ นักเรียนสามารถ ๑.๑ ลักษณะการ ลักษณะการแตง่ ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดีมาก ผ่านเกณฑ์ อธบิ ายลักษณะของ แต่งบทร้อยกรอง บทร้อยกรอง ๑๑-๑๕คะแนน ระดับดี การประเมิน การแต่งบทรอ้ ยกรอง และใบงานท่ี ๑.๒ ใบงานที่ ๑.๒ ๖-๑๐ คะแนนระดับพอใช้ ระดบั ดขี นึ้ ไป ได้ การส่งสัมผสั นา่ รู้ การส่งสัมผัสน่ารู้ ๐-๕คะแนนระดับปรบั ปรุง ๑.๒ นักเรียนสามารถ ตรวจใบงานที่ ๒ ใบงานที่ ๒ ๑๖-๒๐คะแนนระดับดมี าก ผ่านเกณฑ์ บอกฉนั ทลกั ษณ์ของ เรียนรู้ เรียนรู้ ๑๑-๑๕ คะแนน ระดับดี การประเมนิ การแต่งบทร้อยกรอง ฉนั ทลกั ษณ์ ฉนั ทลักษณ์ ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดบั ดขี ้ึนไป ได้ กาพยย์ านี ๑๑ กาพยย์ านี ๑๑ ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ

๓๐ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ วี ัด เครอ่ื งมือวัด เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑก์ าร ประเมนิ ๑. ดา้ นความรู้ (K) ๑.๒ นักเรยี นสามารถ สังเกตจาก แบบสังเกต ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดมี าก ผ่านเกณฑ์ บอกฉนั ทลกั ษณข์ อง พฤติกรรม พฤติกรรมการ ๑๑-๑๕คะแนนระดบั ดี การประเมนิ การแตง่ บทรอ้ ยกรอง การเรียนของ เรยี นของนักเรยี น ๖-๑๐ คะแนนระดบั พอใช้ ระดบั ดีขึ้นไป ได้ (ต่อ) นักเรยี นรายกลมุ่ รายกลมุ่ ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรุง ๒. ดา้ นทักษะ/กระบวนการ (P) ๒.๑ นักเรยี นสามารถ ตรวจใบงานที่ ใบงานที่ ๓.๑ ๑๖-๒๐คะแนนระดบั ดีมาก ผา่ นเกณฑ์ เรยี งลำดับกาพย์ ๑๑-๑๕ คะแนนระดับดี การประเมิน แต่งบทร้อยกรองได้ ๓.๑ เรียงลำดบั ยานี ๑๑ ๖-๑๐ คะแนนระดับพอใช้ ระดบั ดขี ึ้นไป ๐-๕คะแนนระดบั ปรบั ปรงุ ถูกต้องตามฉนั ทลักษณ์ กาพยย์ านี ๑๑ และกฎเกณฑ์ การตรวจผลงาน แบบการให้ ๑๗-๒๐ คะแนนระดบั ดมี าก ผา่ นเกณฑ์ การแตง่ บทร้อยกรอง คะแนนการแต่ง ๑๓-๑๖คะแนน ระดบั ดี การประเมิน จากใบงานท่ี ๓.๒ บทรอ้ ยกรอง ๙-๑๒ คะแนน ระดบั พอใช้ ร้อยละ ๘๐ ขนึ้ ไป ร้อยรดั กาพย์ยานี ต่ำกว่า ๙ คะแนน ๑๑ ระดบั ปรับปรงุ ๓. ด้านเจตคติ (A) สังเกตจาก แบบสังเกต ๙-๑๒ คะแนนระดับดี ผา่ นเกณฑ์ ๓.๑ นกั เรียนเห็น ๕-๘ คะแนนระดับพอใช้ การประเมนิ ความสำคัญของ พฤติกรรมการ พฤติกรรม ๑-๔คะแนน ระดบั ปรับปรงุ รอยละ ๘๐ ขึ้นไป การแตง่ บทร้อยกรอง เรียนของนักเรียน การเรียนของ รายบุคคล นกั เรยี น รายบคุ คล สงั เกตจาก แบบสงั เกต ผา่ นตั้งแต่ ๒ รายการ ผ่านตงั้ แต่ ๒ ถอื วา่ ผ่าน รายการขนึ้ ไป พฤติกรรมการเขา้ พฤติกรรมการ ผ่าน ๑ รายการ ถอื วา่ ไมผ่ ่าน ร่วมกิจกรรม เข้าร่วมกิจกรรม (ในชน้ั เรียน) (ในช้ันเรยี น)

๓๑ สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รียน วธิ วี ดั เคร่ืองมือวดั เกณฑก์ ารให้ เกณฑ์การ คะแนน ประเมิน ๑. ความสามารถในการ สังเกตพฤตกิ รรม แบบสังเกต ผ่านเกณฑต์ ั้งแต่ ส่ือสาร การปฏบิ ตั งิ าน พฤติกรรม ตารางเกณฑ์ ระดับปานกลาง รายบุคคล การปฏบิ ัตงิ าน การใหค้ ะแนน ข้ึนไป รายบุคคล สมรรถนะของ ผูเ้ รียน ๒. ความสามารถในการคิด สงั เกต แบบประเมนิ ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑ์ตั้งแต่ ๓. ความสามารถในการใช้ ใบงาน คะแนนสมรรถนะ ระดับปานกลาง ทกั ษะชีวติ ของผเู้ รียน ขนึ้ ไป สังเกตพฤตกิ รรม แบบสังเกต ตารางเกณฑ์การให้ ผา่ นเกณฑต์ ั้งแต่ การปฏบิ ตั ิงาน พฤติกรรมการ คะแนนสมรรถนะ ระดับปานกลาง รายบุคคลและ ปฏบิ ัติงาน ของผูเ้ รียน ขนึ้ ไป พฤติกรรมการเข้า รายบคุ คลและ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม แบบสงั เกต พฤติกรรมการเข้า รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม ๑๒. กิจกรรมเสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ๑๓. บนั ทกึ ผลหลงั การสอน สรปุ ผลการเรยี นการสอน นกั เรยี นทง้ั หมดจำนวน.....................คน จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรขู้ ้อท่ี จำนวนนกั เรยี นทผ่ี ่าน จำนวนนักเรยี นท่ีไม่ผ่าน จำนวน (คน) ร้อยละ จำนวน (คน) รอ้ ยละ

๓๒ ๑๕. ปญั หา/อุปสรรค/แนวทางแกไ้ ข .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ............... .............................................................................................................................................................................. ๑๖. ขอ้ เสนอแนะ .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................................ ...................... ลงชอ่ื ................................................................ (...............................................................) ตำแหน่งครูวทิ ยฐานะ ...................................... ลงชอ่ื ................................................................ หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ (...............................................................) ลงชื่อ................................................................ รองผู้อำนวยการกลมุ่ บริหารวิชาการ (...............................................................) ความเห็นของหัวหน้าสถานศึกษา ไดท้ ำการตรวจแผนการเรียนรูข้ อง......................................................................แล้วมีความคดิ เหน็ ดังน้ี ๑. เป็นแผนการจดั การเรยี นรู้ที่  ดมี าก  ดี  พอใช้  ควรปรับปรงุ ๒. การจัดกิจกรรมได้นำเอากระบวนการเรียนรู้  เน้นผู้เรียนเปน็ สำคญั มาใช้ในการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม  ยังไมเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ ควรปรับปรงุ พัฒนาตอ่ ไป ๓. ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................................ ...................... .............................................................................................................................................................................. ลงชอื่ ............................................................................... (................................................................................) ผอู้ ำนวยการโรงเรยี น…………………………………………………..

๓๓ ใบความรู้

๓๔ ใบความรู้ นิทานกาพย์ยานี ๑๑ เร่ือง หมาป่ากะลูกหมูสามตัว ๏ หมูงาม สามพ่ีนอง สองอาศัย กลางไพรสณฑ ตางตวั ตางสาละวน สรางบานตน ตามแตใจ ทําแควา พออาศัย ๏ ตวั แรก แบกฟางหญา มกั งายไว ไมพะวง สมเจตน เสรจ็ ไวไว แคพอใช ใจประสงค คุณภาพคง พอปานกลาง ๏ ตัวสอง ปองก่ิงไม เกงฉกาจ หนิ หดั สราง เรงทํา เรงจาํ นง บานกวางขวาง อยางแข็งแรง ล่าํ กายา พละแขง็ แกรง ๏ ตวั ทาย ไมประมาท แฝงกายมา หมายลาหมู ประดอย คอย ๆ วาง หมแู ปลกใจ ไปซอนสู หมาปาดู ไมเทาไร ๏ วันหนึง่ มหี มาปา ฟางแหลก ลาญ ทานไมไหว ทองหิว โหยก่วิ แหง ไปอยบู าน หมูตวั รอง ตามไปตอ หลงั ทส่ี อง ๏ ถึงบาน หมตู ัวแรก ตองเพิม่ แรง เปาทะลาย ในบาน ฟางคุดคู หมูพีน่ อง ตองวิง่ หาย กระวนกระวาย กลวั ตายกนั ๏ เปาลม ถลมบาน ตกตะลึง ท่ึงบานน้ัน หมูว่งิ หนีเรว็ ไว กระแทกกระทั้น แทบบรรลยั รไู หมละ เพราะอะไร ๏ หมาปา มชิ ารอ ทําดไี ว ต้ังใจเอย ฯ กง่ิ ไม หมาไตรตรอง อวิชชฺ าภิกฺขุ ๏ บานพงั หลังทีส่ อง ไปบาน หลงั สุดทาย ๏ หมาปา ไลมาถึง แข็งแกรง รวมแรงพลนั ๏ หมาแพ หมูชนะ ตรองตรกึ ฝกนิสัย

ใบความรูท้ ่ี ๑ ๓๕ เร่ือง ศึกษาลักษณะการแต่งบทรอ้ ยกรอง ความหมายของคำประพันธ์ คำประพันธ์ หรอื บทรอ้ ยกรอง คอื ถ้อยคำทีเ่ รียงรอ้ ยโดยมีลกั ษณะบงั คับ คำสำคัญท่ีควรร้ใู นการแตง่ คำประพนั ธ์ ไดแ้ ก่ ๑. คำ คำประพนั ธ์นบั คำดว้ ยจำนวนพยางค์ เชน่ ชวี ติ มี ๒ พยางค์ นบั เปน็ ๒ คำ ๒. คณะ คอื จำนวนคำบงั คับในคำประพันธ์แต่ละประเภท ๓. สัมผสั คือ คำที่คล้องจองกนั ซง่ึ การแต่งคำประพันธจ์ ะมลี กั ษณะเฉพาะ คือการส่งสมั ผสั ซ่งึ มกี ารสง่ สมั ผัสแบง่ เปน็ ๒ ชนิด ไดแ้ ก่ สมั ผัสนอก และสมั ผสั ใน ๓.๑ สัมผัสใน เป็นสัมผัสที่ไม่บังคับเพียงแต่เป็นสัมผัสที่เพิ่มความไพเราะและแสดงถึง ความสามารถของผแู้ ตง่ โดยแบ่งแยกสมั ผสั ในออกเป็น ๒ ชนดิ คอื สมั ผสั สระและสัมผัสพยญั ชนะ ๓.๑.๑ สัมผัสสระ คือคำสัมผัสในวรรค สัมผัสระหว่างวรรคหรือสัมผัสระหว่างบทที่มี เสยี งสระเสยี งเดียวกันและอยู่ในมาตราตวั สะกดเดยี วกนั ดว้ ย ตวั อยา่ งเช่น บ้านชอ่ งคลองเล็กใหญ่ บ้างตนื่ ไฟตกใจโจน ปลกุ เพอ่ื นเตอื นตะโกน ลุกโลดโผนโดนกนั เอง พิณพาทยร์ ะนาดฆ้อง ตะโพนกลองร้องเปน็ เพลง ระฆงั ดังวงั เวง โหงง่ หง่างเหง่งเกง่ ก่างดงั ทมี่ า กาพย์พระไชยสุริยา: หนงั สือเรยี นวรรณคดวี ิจกั ษ์ ม.๑ ๓.๑.๒ สัมผัสพยัญชนะ คือคำสัมผัสในคำประพันธ์ที่อยู่ในวรรคเดียวกันที่มีเสียง พยัญชนะตน้ เสยี งเดียวกนั อาจเรยี กวา่ “สัมผัสอักษร” ตวั อยา่ งเชน่ ค่ำเช้าเฝ้าสซี อ อย่บู รุ ีไมม่ ีภยั ไพรฟ่ า้ ประชาชี โลโภพาใหบ้ ้าใจ ฉ้อแตไ่ พร่ใส่ขอ่ื คา ว่าโง่เงา่ เตา่ ปูปลา ๓.๒ สัมผัสนอก เป็นสัมผัสบังคับโดยแบ่งย่อยออกเป็นสัมผัสระหว่างวรรคและสัมผัส ระหวา่ งบท โดยสัมผสั นอกนั้นต้องเปน็ สัมผสั สระเท่าน้นั ๔. คำเป็น คำตาย คำเป็น คอื คำท่สี ะกดดว้ ยแม่กง กน กม เกย และเกอว หรือคำในแม่ ก กา ท่มี สี ระเสียงยาว หรือคำสระอำ ใอ ไอ เอา คำตาย คือ คำท่ีสะกดดว้ ยแม่กก กด และกบ หรอื คำในแม่ ก กา ทีม่ ีสระเสียงสน้ั ๕. คำเอก คำโท ใชแ้ ต่งโคลง คำเอก คือ คำท่ีใชร้ ปู วรรณยุกตเ์ อก ใชค้ ำตายแทนได้ คำโท คอื คำท่ใี ชร้ ูปวรรณยกุ ต์โท

ใบความรทู้ ี่ ๒ ๓๖ เร่ือง ฉนั ทลกั ษณก์ ารแตง่ บทร้อยกรอง ฉันทลกั ษณก์ าพยย์ านี ๑๑ กาพย์ คือคำประพันธ์ชนิดหน่ึงมีการกำหนดคณะ พยางค์ และสัมผัส ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับฉันท์ แต่ ไม่นิยมครลุ หุเหมอื นกับฉนั ท์ กาพย์ยานี เป็นคำประพันธ์ไทยประเภทกาพย์ที่กวีนิยมแต่งมาก ปรากฏการแต่งตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยา มีท้ังแต่งสลับกับคำประพันธ์ประเภทอื่นและแต่งเพียงลำพัง กาพย์ยานีบทหนึ่งมีสองบาท บาทละ ๑๑ คำ คนทั่วไป จงึ นิยมเรียกว่า กาพย์ยานี ๑๑ กฎเกณฑ์ : คณะของกาพย์ยานี กาพยย์ านี ๑ บท มี ๒ บาท บาทหนง่ึ มี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลงั มี ๖ คำ รวมเป็น ๑๑ คำ การส่งสัมผัส คำสุดท้ายของวรรคที่ ๑ ส่งสัมผสั ไปยังคำทีส่ าม ของวรรคที่ ๒ (อาจเลอ่ื นมาสง่ สมั ผสั คำท่ี ๑ หรือ ๒ ได)้ คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ สง่ สัมผัสไปยังคำสุดทา้ ย ของวรรคท่ี ๓ (หากส่งสมั ผัสไปยังคำท่ี ๑ หรอื ๒ หรือ ๓ ในวรรคท่ี ๔ ได้ จะเพมิ่ ความไพเราะในคำประพันธเ์ พิ่มข้ึน) ในการแตง่ กาพย์ยานมี ากกวา่ ๑ บท ต้องสง่ สมั ผัสระหว่างบท โดยคำสดุ ทา้ ยของวรรคที่ ๔ สง่ สัมผัสไปยงั คำสุดท้ายของวรรคที่ ๒ ในบทถัดไป

ใบความรูท้ ่ี ๓ ๓๗ เร่อื ง การแต่งบทรอ้ ยกรอง กระบวนการแต่งคำประพนั ธ์ ๑. ศึกษาลกั ษณะบังคับของคำประพนั ธ์ทจ่ี ะแต่ง และกำหนดจุดม่งุ หมายการแต่ง ๒. เขียนโครงร่างตงั้ แต่ตน้ จนถึงสรปุ รวมทัง้ คิดคำสำคญั ๓. แตง่ คำประพนั ธ์ใหถ้ กู ลักษณะบงั คบั และเลือกคำทสี่ ่อื ความชัดเจน ๔. แต่งเสร็จแล้วลองอ่านออกเสียงเพื่อตรวจความถูกต้องและไพเราะ ถ้าแต่งผิดข้อบังคับหรือไม่ ไพเราะ ใหป้ รบั แกจ้ นกว่าจะไพเราะ การแตง่ กาพย์ กาพย์ ๕ ชนดิ ทนี่ ิยมแต่ง ไดแ้ ก่ ๑. กาพยย์ านี ๒. กาพย์ฉบงั ๓. กาพย์สรุ างคนางค์ ๔. กาพยห์ อ่ โคลง ๕. กาพยข์ ับไม้ห่อโคลง ในทีน่ จ้ี ะศกึ ษาเฉพาะกาพยย์ านี ๑๑ กาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ และกาพยฉ์ บัง ๑๖ ๑. กาพย์ยานี ๑๑ มักใช้แต่งบทสวด บทเหเ่ รือ พรรณนาความโศกเศร้าหรอื บรรยายธรรมชาติ กลวิธีการแต่ง ไม่ใช้คำที่ออกเสียงเหมือนกันเป็นคำส่ง–คำรับ และไม่ใช้คำคร่อมจังหวะการอ่าน เช่น ยังอา/ทรถึงเจ้า

ใบความรูท้ ี่ ๓ (ต่อ) ๓๘ เรื่อง การแต่งบทรอ้ ยกรอง ๒. กาพยส์ รุ างคนางค์ กลวิธีการแต่ง เพื่อใหแ้ บ่งวรรคอา่ นได้งา่ ย ควรแต่งด้วยคำโดด ๒ พยางค์ และหากใชเ้ สยี งจัตวาใน คำสุดท้ายของวรรคท่ี ๓ จะทำให้ไพเราะข้นึ

ใบความรู้ที่ ๓ (ตอ่ ) ๓๙ เร่อื ง การแตง่ บทร้อยกรอง ๓. กาพยฉ์ บงั ๑๖ มักใชแ้ ตง่ พรรณนาเร่ืองตา่ ง ๆ เชน่ บทสวด บทพากย์โขน กลวิธีการแต่ง อาจเพมิ่ สมั ผสั ในในแตล่ ะวรรค หรือเพม่ิ สัมผัสระหว่างวรรค ๒ กับวรรค ๓ และอาจใช้ เครื่องหมายยัติภงั คแ์ ยกคำระหวา่ งวรรคได้ แตห่ า้ มใชร้ ะหว่างบท สรุป “กาพย์” เป็นคำประพันธ์ประเภทหนึ่งที่แต่งไม่ยาก ผู้แต่งกาพย์ต้องมีความรู้ทั่วไปใน การแต่งคำประพันธ์ รู้กระบวนการแต่ง และรู้ข้อบังคับของกาพย์ชนิดที่จะแต่ง เพื่อให้แต่งได้ ถูกตอ้ งและไพเราะ

๔๐ ใบงาน

ใบงานที่ ๑.๑ ๔๑ เร่อื ง ลกั ษณะการแตง่ บทรอ้ ยกรอง คำชแี้ จง จงตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถกู ต้อง ๑. คำสำคัญทค่ี วรรูใ้ นการแต่งคำประพนั ธ์ ได้แก่ อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................... ............................. ..................................................................................................... ................................................................................... ๒. การสง่ สัมผัสมีก่ชี นิด อะไรบา้ ง จงอธิบายพอสงั เขป ...................................................................................................................... .................................................................. ............................................................................................................................. ........................................................... .................................................................................................................................. ...................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................................................... ......................... .......................................................................................................... .............................................................................. ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ๓. สัมผัสในแบ่งออกเป็นก่ีชนิด อะไรบ้าง ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................................................. ...........................

ใบงานท่ี ๑.๒ ๔๒ เรอ่ื ง การส่งสมั ผัสน่ารู้ คำช้แี จง ใหน้ ักเรยี นหาคำสัมผัสที่พบในแต่ละบทของบทประพนั ธต์ ่อไปน้แี ลว้ เขียนในชอ่ งว่างทกี่ ำหนดให้ เรอ่ื ยเร่อื ยมารอนรอน ทพิ ากรจะตกต่ำ สนธยาจะใกล้ค่ำ คำนึงหน้าเจ้าตราตรู เร่อื ยเรอื่ ยมาเรียงเรียง นกบนิ เฉยี งไปท้ังหมู่ ตวั เดียวมาพลัดคู่ เหมือนพ่อี ยูผ่ ูเ้ ดียวดาย กาพยเ์ หเ่ รือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ (เจา้ ฟ้ากุ้ง) ๑. จงเขยี นคำสมั ผัสใน ๑.๑ คำสัมผสั สระ ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ๑.๒ คำสมั ผัสอักษร ............................................................................................................................. ........................................................... ......................................................................................................................................... ............................................... .................................................................................... .................................................................................................... ๒. จงเขยี นคำสมั ผัสนอก ๒.๑ คำสัมผสั ระหวา่ งวรรค ......................................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ๒.๒ คำสัมผสั ระหวา่ งบท ...................................................................................................................................................................... .................. ................................................................................................................. ....................................................................... ............................................................................................................................. ...........................................................

ใบงานที่ ๒ ๔๓ เรื่อง เรียนรฉู้ นั ทลกั ษณก์ าพยย์ านี ๑๑ คำชแี้ จง ตอนที่ ๑ จงเติมคำลงในชอ่ งว่างตอ่ ไปนี้ให้ถูกต้อง ๑. กาพย์ยานี ๑๑ จำนวน ๑ บท มี ________ บาท ๒. กาพย์ยานี ๑๑ จำนวน ๑ บาท มี ________ วรรค ๓. กาพยย์ านี ๑๑ แบ่งออกเป็นวรรค ________ จำนวน ________คำ และวรรค ________ จำนวน_______ คำ ๔. คำสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๑ สง่ สมั ผัสไปยังคำที่ ___________ ของวรรคท่ี ๒ ๕. คำสดุ ท้ายของวรรคที่ ๒ ส่งสมั ผสั ไปยังคำสุดทา้ ยของวรรคที่ ___________ ๖. คำสมั ผัสระหวา่ งบทน้นั ให้คำสดุ ทา้ ยของวรรคท่ี ____________ ส่งสมั ผัสไปยังคำสุดท้ายของวรรค ที่ ______________ของบทถดั ไป ตอนท่ี ๒ จงโยงเส้นสัมผัสฉันทลกั ษณข์ องคำประพนั ธป์ ระเภทกาพยย์ านี ๑๑ สตรีมสี องมือ มัน่ ยึดถอื ในแกนสาร เกลยี วเอน็ จกั เปนงาน มิใชรานหลงแพรพรรณ ไวปายปนความใฝฝน สตรีมสี องตนี มหิ มายมน่ั กนิ แรงใคร ยนื หยัดอยูรวมกนั อหงั การดอกไม : จีรนนั ท พิตรปรชี า

ใบงานที่ ๓.๑ ๔๔ เรอื่ ง เรียงลำดบั กาพย์ยานี ๑๑ คำชแี้ จง ให้นักเรยี นเรยี งลำดบั ของกาพย์ยานี ๑๑ ให้ถกู ตอ้ ง ๑. อุ่นแทแ้ ม่รกั ลูก รกั แท้แต่ในครรภ์ บ่มเพาะคนจนดีงาม คอยปลอบปลูกทุกสงิ่ สรรค ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ๒. สายใยแตใ่ นครรภ์ คอยดแู ลไม่แปรฝัน ศรรักปกั อกแม่ เอ่ยรกั นั้นพลนั ยินดี ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................ ................................ ๓. แมอ่ ดทนใหต้ ักหนุน กอดใดใคร่ละมุน อุ่นเอ้ือเมื่อฟ้าหม่น คนุ้ เคยรกั ถกั ต่อพลนั ............................................................................................................................................ ............................................ ....................................................................................... ................................................................................................. ............................................................................................................................. ........................................................... ๔. อกอุ่นการณุ รัก เป็นมง่ิ ม่นั นริ นั ดร เฝ้าฟมู ฟกั ไม่เล่ียงหนี ถกั ทอต่อชวี ี ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ..................................................................................................................................................................... ................... ๕. คอยฝึกหดั เขยี นอักษร ยอ้ นเอย่ รักประจักษ์คณุ อุ่นมือสือ่ สัมผัส ฝึกฝนไม่แง่งอน ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ...........................................................

ใบงานที่ ๓.๒ ๔๕ เรอ่ื ง ร้อยรดั กาพยย์ านี ๑๑ คำช้ีแจง ใหนกั เรียนแต่งคำประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี ๑๑ หวั ข้อ “แนะนำตัวเอง” จำนวน ๒ บท ตัวอยา่ ง ฉันชอ่ื อนัญญา คำพูดจานน้ั ไพเราะ น้ำเสยี งแสนเสนาะ เพราะชอบอ่านกาพยย์ านี จติ ใจขอ้ ยก็งามดี นิสยั แสนออ่ นช้อย ใบหน้าสวยชวนคนมอง เนิบเนิบแสนภกั ดี .............................................................................................................. .......................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... .......................................................................................................................................................... .............................. ..................................................................................................... ................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ........................................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. .......................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................................................. ........................... ........................................................................................................ ............................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ....................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. ........................................................... ..................................................................................................................................................... ................................... ................................................................................................ ........................................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... ............................................................................................................................. .........................................................