Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสร้างป่าเชิงนิเวศ

การสร้างป่าเชิงนิเวศ

Published by sujira2326, 2021-08-26 12:41:53

Description: การสร้างป่าเชิงนิเวศ

Search

Read the Text Version

สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั นครพนม

เรอ่ื ง หน้า ขอ้ มลู ป่านเิ วศ 6 ระบบนเิ วศปา่ ดิบแลง้ 10 14 - สิ่งมีชีวิตท่ีสารวจ 60 ระบบนเิ วศปา่ เบญจพรรณ 64 96 - สิง่ มชี วี ติ ที่สารวจ 101 ระบบนเิ วศปา่ เต็งรัง 120 124 - ส่งิ มีชีวติ ทส่ี ารวจ ระบบนิเวศปา่ ดบิ ช้นื - สงิ่ มชี วี ติ ทส่ี ารวจ ภาคผนวก



6

ผ้สู ำรวจ 1. นางสาวอภิวรรณ พนมกุล รหัสนักศกึ ษา 623150210259 เลขท่ี 19 ห้อง 1 ผูส้ ำรวจ 2. นางสาวชฎาพร ลามคา รหัสนกั ศกึ ษา 623150210093 เลขที่ 5 ห้อง 1 7

ผ้สู ำรวจ 1. นางสาวสจุ ิรา ศรสี มนาง รหสั นักศึกษา 623150210358 เลขท่ี 5 หอ้ ง 2 ผสู้ ำรวจ 2. นางสาวป่ินเกล้า สงิ ห์คู่ รหัสนักศึกษา 623150210044 เลขท่ี 2 หอ้ ง 1 8

ผู้สำรวจ นายภาณพุ ัฒน์ ลองคา รหสั นักศึกษา 623150210374 เลขที่ 6 ห้อง 2 ผ้สู ำรวจ นางสาวกฤษณา ภูคงก่งิ รหสั นักศึกษา 623150210200 เลขท่ี 15 ห้อง 1 9

ผู้สำรวจ นำงสำวอภวิ รรณ พนมกุล รหสั นักศึกษำ 623150210259 10

ปา่ ดิบแลง้ (Dry Evergreen Forest)  เป็นป่าท่ีอยู่ในพ้ืนที่ค่อนข้างราบหรือตามหุบ เขา มีความช่มุ ชืน้ นอ้ ย เช่น ในแถบภาคเหนือและ ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ  มักอยู่สูงจากระดับน้าทะเลประมาณ 300-600 เมตร และมีปริมาณน้าฝนระหว่าง 1,000-1,500 ม.ม.  ไม้ที่ส้าคัญได้แก่ มะคาโมง ยางนา ยางแดง พยอม ตะเคียนแดง กระเบากลัก และตาเสือ ส่วนพ้ืนที่ป่าชั้นล่างจะไม่หนาแน่นและค่อนข้าง โล่งเตยี น 11

12

13

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Paphiopedilum spp. 14

15

มีจุดละเอียดสีน้าตาล กลีบดอกด้านบน ผายออกคล้ายพัดปลายมนสูง กลีบในกาง พอประมาณ เมื่อดอกบานจะคุ้มมาข้างหน้าแลดู คล้ายดอกบานไม่เต็มที่ ปลายกระเปาะค่อนข้าง เรียวแหลม ออกดอกเด่ียวหรือเป็นช่อ ก้านดอกสีเขียว อ่อน กลีบและกระเป๋าสีเหลืองมีจุดสีม่วงแดง กระจาย ดอกขนาด 8–12 เซนตเิ มตร ก้านชอ่ ดอก ยาวประมาณ 5 ซม. ดอกในช่อ 1-3 ดอก ขนาด ดอก 4-6 ซม. ก้านดอกยาวมีขน ออกดอกเมื่อ สมบูรณเ์ ตม็ ที่และออกดอกตลอดปี มีใบลายคอ่ นขา้ งหนาท้องใบสมี ่วง 16

• เป็นยาลดไข้ รกั ษาอาการปวดศีรษะ • นยิ มใชท้ ้ังพันธุ์ดอกสเี หลืองและพนั ธุด์ อกสีแดง (ชมพู) ขณะเดยี วกันในยโุ รป • นยิ มใชก้ ล้วยไมน้ ี้เปน็ ยาชว่ ยทา้ ใหอ้ ารมณส์ งบ17

18

ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Adenosma indianum (Lour.) Merr. 19

ต้น จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกล้าต้นต้ังตรงไม่ค่อย แตกก่ิงก้านมีความสูงได้ประมาณ 50-100 เซนติเมตร ตามล้าต้นมีขนนุ่มละเอียดขึ้นปก คลมุ อยู่หนาแนน่ ใบ ใบเปน็ ใบเด่ยี วออกเรยี งตรงข้ามและเรียง เปน็ วงรอบลักษณะของใบเปน็ รูปไขก่ วา้ งหรือรูป ไขแ่ กมขอบขนานปลายใบเรียวแหลมหรอื มนโคนใบสอบหรือมน สว่ นขอบใบหยกั เป็นฟนั เลอ่ื ยแผ่นใบมขี นนุม่ ขนึ้ หนาแน่นท้ังสองดา้ นและ มตี ่อมเล็กๆอยดู่ ้านล่าง มกี ลิน่ ฉุนคล้ายการบูร กา้ นใบสัน้ 20

ดอก ออกดอกเป็นช่อ โดยจะออกทป่ี ลายยอดหรอื ตามงา่ มใบลักษณะของชอ่ ดอกเป็นรูปทรงกระบอก หรอื รูปทรง ดอกย่อยมขี นาดเล็กและจา้ นวนมาก เรียงเป็นวงซ้อนกันแน่นรอบแกนช่อที่โคนดอกมีใบ ประดบั ลกั ษณะเปน็ รปู รีหรอื รูปยาวรีมีขนยาว ผล ผลเป็นผลแหง้ และแตกได้ ลักษณะของผล เป็นรูปไข่ ยาวประมาณ 3-4 มลิ ลเิ มตร ส่วนเมล็ด มีลักษณะเป็นรปู ไข่เช่นกนั แตม่ ีจะมีขนาดเล็กมาก • ยาพืน้ บ้านล้านนาจะใชก้ ระตา่ ยจามทั้งตน้ นา้ มา ตม้ กับน้าดืม่ เป็นยาแกล้ มวงิ เวยี น มนึ ศรี ษะ (ทั้งตน้ ) • บางประเทศมีการใช้สมนุ ไพรชนดิ นีเ้ ป็นยาแผน โบราณแกอ้ าการปวดท้อง (ไม่ระบสุ ่วนทใ่ี ช้) 21

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Chaetodon trifasciatus 22

23

ผีเส้ือ ประกอบด้วยล้าตัวที่ไม่มีโครงกระดูก ภายในเช่นเดียวกับแมลงอ่ืนๆ แต่มีเปลือกนอกแข็ง เป็นสารจ้าพวกไคติน ห่อหุ้มร่างกายภายในเปลือก แขง็ เปน็ ท่ยี ดึ ของกลา้ มเนอ้ื ที่ใชใ้ นการเคลอ่ื นทล่ี ้าตวั ของผีเสื้อแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง ท้ัง 3 ส่วนประกอบด้วยวงแหวน หลาย ๆ วงเรียงต่อกันเชื่อมยึดด้วยเยื่อบางๆ เพ่ือให้การเคล่ือนไหวได้สะดวกวงแหวนที่เช่ือมต่อ กันเปน็ ลา้ ตัว 24

ผีเสื้อ เป็นแมลงส้าคัญท่ีช่วยในการผสมเกสรของ ด อ ก ไ ม้ โ ด ย ด อ ก ไ ม้ ก็ ต อ บ แ ท น ผี เ สื้ อ ด้ ว ย ก า ร ใ ห้ น้าหวานเป็นอาหาร ดอกไม้บางชนิดมีความสัมพันธ์ อย่างลึกซึ้งกับผีเส้ือโดยดอกไม้ชนิดนั้นจะผสมเกสร ได้ด้วยผีเส้อื ชนิดเดยี วเท่าน้ัน ผีเส้ือใช้เป็นตวั วัดความ สมบูรณ์ของป่าไม้ได้ผีเสื้อเป็นสัตว์ท่ีสร้างความ สวยงามให้กับธรรมชาติ 25

26

ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Curcuma longa L. 27

ขมิ้นชัน ไม้ล้มลุก อายุหลายปี สูง 30-95 ซม. มีล้าต้นใต้ ดินเรียกว่าเหง้า ประกอบด้วยแง่งท่ีมีลักษณะต่างๆ กันคือ แง่งแม่หรือแง่งหลักจะมีลักษณะกลม ซ่ึงจะเป็นท่ีแตกของ แ ข น ง ท่ี ส อ ง แ ล ะ ส า ม ต่ อ ไ ป แ ข น ง ท่ี แ ต ก อ อ ก ม า นี้ ถ้ า มี ลักษณะกลมจะเรียกว่าหัวและถ้ามีลักษณะยาวคล้ายน้ิว มือจะเรียกว่านิ้ว ซ่ึงเป็นที่เกิดของรากฝอย เน้ือในหัวมีสี เหลืองอมส้มหรือสีเหลืองจ้าปาปนสีแสดและมีกล่ินหอม ส่วนล้าต้นเหนือดินคือกาบก้านใบท่ีเรียงซ้อนกันเป็นล้าต้น เทียมใบ เป็นใบเดี่ยว กลางใบสีแดงคล้าแทงออกจากเหง้า ใต้ดิน ลักษณะใบรูปใบหอกยาวเรียวปลายใบมีเส้นกลางใบ เห็นได้ชดั เจนทางด้านล่างของใบ ใบเรยี งแบบสลบั และอยู่ กันเป็นกลุ่มดอกออกเป็นช่อ ช่อดอกจะเกิดบนล้าตน้ ทมี่ ีใบ หรือโผล่ข้ึนมาจากใจกลางของกลุ่มใบ ช่อดอกมีรูปร่าง แบบทรงกระบอกหรือรปู กรวย 28

เหง้าหรือล้าต้นใตด้ ิน รสฝาดหวานเอียน กล่ินหอม มี ฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช้ือรา ลดการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระขมิ้นชันไม่มีพิษเฉียบพลันเพิ่ม ภูมิคุ้มกันและลดความไวต่อตัวกระตุ้น ช่วยขยาย หลอดลมฤทธติ์ า้ นการอักเสบ นา้ มนั หอมระเหย บรรเทาอาการปวดทอ้ งท้องอืด ผงขมิ้น เคี่ยวกับน้ามันพืชท้าน้ามันใส่แผลสดผสมน้า ทาผวิ แกเ้ ม็ดผดผนื่ คนั ขมน้ิ สด โขลกกับดินประสิว เลก็ นอ้ ยผสมน้าปูนใสพอก บาดแผลและแก้เคล็ด ขัด ยอก ใบ รสฝาดเอยี นใชผ้ สมกบั ยานวด เพื่อคลายเส้นใช้เปน็ ส่วนผสม ทา้ ยาอายุวัฒนะ 29

ชอื่ วิทยาศาสตร์ Kunstformen der Natur จดั อยูใ่ นวงศ์ Embryophytes 30

31

มอสส์เป็นพืชขนาดเล็กอาจมีบางชนิดท่ีมีขนาดใหญ่ กว่ามากปกติจะเจริญเติบโตในหมู่ต้นไม้หรือบริเวณ ที่ เ ปี ย ก ช้ื น ใ ต้ ร่ ม เ ง า ไ ม้ ใ ห ญ่ ไ ม่ มี ด อ ก แ ล ะ เ ม ล็ ด โดยทั่วไปใบท่ปี กคลุมล้าต้นจะบางเล็กคลา้ ยลวด มอสส์แพร่พันธ์ุด้วยสปอร์ซ่ึงสร้างขึ้นที่จะงอย ปลายกา้ นเลก็ ๆคล้ายแคปซูล มอสส์มีประมาณ 12,000 สปีชีส์และถูกจัดอยู่ใน ส่วนไบรโอไฟตาในไบรโอไฟตา น้ันปกติไม่ได้มีแค่ มอสส์เท่าน้ัน แต่ยังรวมถึงลิเวอร์เวิร์ตและฮอร์น เวิร์ตดว้ ยแลว้ ยงั มีไบรโอไฟต์อีก 2 กลมุ่ ทีม่ กั ถูกจดั อยใู่ นสว่ นเดียวกนั 32

ทาหน้าที่เหมือนฟองนา้ คอยดูดซับความชุ่มช้ืนให้กับผืนป่า โดยมอสมักอยู่รวมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ปกคลุมพ้ืนป่า ท้าให้สามารถเก็บกักน้าไว้ในดินได้มาก ด้วยเหตุนี้จึงมีการ น้ามอสมาใช้ประโยชน์ด้านส่ิงแวดล้อม เช่น การใช้มอส ขา้ วตอกฤาษี (Sphagnum moss) คลุมดินในกระถาง ต้นไม้ โดยจะเก็บกักน้าไว้ในเซลล์ใบที่มีการเรียงตัวของ เซลล์แบบพิเศษ ปอ้ งกันการ สูญเสียน้าภายในดิน และจะ ไมแ่ ยง่ น้าจากกระถางต้นไมท้ ำให้ดินยงั คงควำมชมุ่ ชืน้ 33

ชอื่ วิทยาศาสตร์ : Lacertilia จดั อยูใ่ นวงศ์ : Agamidae 34

35

ล้าตัวปกคลุมด้วยเกล็ดสันชี้มาด้านหลังในลักษณะ เฉียงขน้ึ ไม่มีเขา มีหนามหลังตา 1 อนั หนามบริเวณ เหนือเยื่อหู 2 อัน เยื่อหูปรากฏชัด ด้านหน้าของ ไหล่มีรอยพับของผวิ หนงั ซึ่งภายในปกคลุมด้วยเกล็ด สีด้า ขนาดของเกล็ดล้าตัวเท่ากัน ล้าตัวสีเขียวถึง น้าตาลเทา หัวด้านบนสีน้าตาล มีแถบด้าพาดตั้งแต่ บริเวณจมูกมาถึงท้ายทอยเหนอื เย่ือหู ริมฝีปากบนสี ขาว คางและเหนียงสีเทาด้า หลังมีแถบสีน้าตาล 6 แถบพาดขวางล้าตัว หางมีแถบสีเทาสลับกับด้าพาด ขวาง 36

• ชว่ ยสร้างสมดุลในระบบนเิ วศเพราะเปน็ สัตวผ์ ลู้ า่ • คอยจบั กนิ แมลงต่างๆ ชว่ ยก้าจดั แมลงศัตรพู ืชใน แปลงเกษตรได้เปน็ อย่างดี • ทส่ี า้ คัญกิ้งกา่ ยังสามารถน้ามาใชป้ ระกอบอาหารได้ หลายชนิด อาทิ ป้ิง ทอด คว่ั และท้าน้าพรกิ 37

ผสู้ ำรวจ นำงสำวชฎำพร ลำมคำ รหัสนักศึกษำ 623150210093 38

 ป่าดิบแล้งพบกระจายอยู่ท่ัวไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะภาคที่มฤี ดูแล้งระหวา่ ง 4-6 เดอื น ไดแ้ ก่ ภาคกลาง บางส่วนในภาคเหนือและภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีปรมิ าณนา้ ฝนเฉลยี่ ประมาณ1,000 – 1,500 มม. ต่อปี ป่ า ดิ บ แ ล้ ง ท่ี มี ไ ม้ ป ร ะ เ ภ ท ที่ ผ ลั ด ใ บ ผ ส ม อ ยู่ คอ่ นข้างมาก มพี ันธุ์ไม้หลายชนิด แตล่ ะแห่งก็จะมี หมไู่ ม้เด่นเฉพาะ 39

ชอ่ื เรยี ก : ต้นเหยี ง ชอ่ื วทิ ยำศำสตร์ : Dipterocarpus obtusifolius จัดอย่ใู นวงศ์ : Dipterocarpaceae 40

41

ต้นเหียงเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางผลัดใบ มี ความสูงของต้นประมาณ 8-28 เมตร ล้าต้นเปลา ตรง แตกก่ิงก้านน้อย เรือนยอดเล็ก เปลือกล้าต้น หนาเป็นสีน้าตาลหรือเทา แตกเป็นสะเก็ดหนาและ เป็นร่องลึก ตามยาว เนื้อไม้เป็นสีแดงอ่อนถึงสี น้าตาลปนแดง ตามกิ่งอ่อนและใบมีขนสีขาวขึ้นปก คลุม ขยายพันธุ์ด้วยวิธกี ารเพาะเมลด็ 42

ใบเหียงมรี สฝาด ต้ารายาไทยจะใช้ใบเหยี งน้ามาตม้ ผสมกบั นา้ เกลือ ใช้อมแก้ปวดฟัน แกฟ้ ันโยกคลอน (ใบ) 43

44

ช่ือเรยี ก : ต้นตนี เปด็ ชื่อเรียกอนื่ ๆ : พญาสัตบรรณ ชื่อวทิ ยำศำสตร์ : Cerbera odollam Gaertn จัดอย่ใู นวงศ์ : Apocynaceae 45

เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กชนิดหนึ่ง นิยมปลูกเป็นไม้ ประดับ มีลักษณะเป็นทรงพุ่มกลม ใบแน่น เป็นไม้ ไม่ผลัดใบ มีน้ายางสีขาว กลีบดอกมีความสวยงาม มีสีขาว เป็นไม้ท่ีปลูกได้ง่าย ข้ึนได้ดี ต้องการแดด และความช้ืนสูง สูงเต็มท่ีประมาณ 12 เมตร มีการ กระจายพันธ์ุตั้งแต่อนุทวีปอินเดียและเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ และตอนใต้ของจีน พบจนถึงนิว แคลิโดเนีย มักขึ้นในป่าชายเลนหรือบริเวณที่เป็น พื้นทชี่ มุ่ นา้ บรเิ วณชายทะเล 46

แก่นมีรสเฝ่ือน ช่วยกระจายลม กระจายเลือด กระจายลมอนั ฑพฤกษ์ แกล้ มอณั ฑพฤกษ์ (ลมทีท่ ้าให้เคลอ่ื นไหวไมไ่ ด)้ (แกน่ ) 47

ช่อื วทิ ยำศำสตร์ : Chromolaena odorata จัดอยู่ในวงศ์ : Asteraceae 48

49

เป็นไม้ล้มลุก แตกก่ิงก้านสาขามากมายจนดูเป็นทรงพุ่ม ล้าต้นและกิ่งก้านปกคลุม ด้วยขนอ่อนนุ่ม ก้านและใบ เม่ือขยี้จะมีกล่ินแรงคล้ายสาบเสือ มีล้าต้น สูง 1-2 เมตร ใบเดี่ยวออกจากล้าต้น ท่ีข้อ แบบตรงกันข้าม รูปรี ค่อนข้างเป็นสามเหล่ียมขอบใบ หยัก ปลายใบแหลม ฐานใบกว้าง เรียวสอบเข้าหากัน สีเขียวอ่อน เส้นใบเห็น ชัดเจน 3 เส้น มีขนปกคลุม ผิวใบทั้งสองด้าน ดอกเป็น ช่อ สีขาวหรือฟา้ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook