1
2 หลักสูตรสถานศกึ ษา โรงเรียนวัดคฤหบดี (จนั ทรสถิตย)์ พทุ ธศักราช ๒๕๖๕ กลุม่ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ – ๖ ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรุงมาตรฐานและตัวชว้ี ัด 2560) โรงเรียนวดั คฤหบดี (จันทรสถติ ย์) สำนักงานเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
3
ก คำนำ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตรว์ ิทยาศาสตร์ และสาระภมู ศิ าสตร์ในกลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตามคำส่ัง กระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ. ๑๒๓๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และคำสั่งสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่๓๐/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ ให้เปลี่ยนแปลงมาตรฐาน การเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) สถานศึกษาได้ยึดหลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็น เป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพ มีคุณภาพและมี ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของแผนพัฒนาการศึกษาข้ัน พ้ืนฐานกรุงเทพมหานคร ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๙) กรุงเทพมหานคร ที่ว่า “จัดการศึกษาข้ัน พนื้ ฐานอย่างมีคุณภาพ เพื่อพฒั นาสู่อัตลักษณ์ผเู้ รียนแหง่ มหานครทีพ่ รอ้ มด้วยคุณธรรม” โรงเรียนวัดคฤหบดี (จันทรสถิตย์) จึงได้มีการทบทวนหลักสูตรสถานศึกษา พุทธศักราช ๒๕๖๕ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.๒๕๖๐) ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภมู ิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์และเปน็ กรอบในการวางแผนและพัฒนาหลกั สูตรของสถานศกึ ษาและ จัดการเรียนการสอน โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้มีกระบวนการนาหลักสูตรไปสู่การ ปฏิบัติ โดยมีการกำหนดวิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถนะหลักของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด โครงสร้างเวลาเรียน ตลอดจนเกณฑ์การวัดประเมินผลให้มี ความ สอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้ เปดิ โอกาสให้โรงเรียนสามารถกำหนดทิศทางในการจัดทำหลักสูตรการ เรียนการสอนในแต่ละระดับตามความพร้อมและจุดเน้น โดยมีกรอบแกนกลางเป็นแนวทางที่ชัดเจน เพ่ือ กา้ วสู่สงั คมคณุ ภาพ มีความรู้อยา่ งแทจ้ ริง และมีทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ คณะครูโรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) ได้ดำเนินการวิเคราะห์หลักสูตรจนเป็นผลสำเร็จตาม เอกสารฉบับนี้ จึงขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมทุกฝ่ายในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน ให้มี ความสมบูรณ์และเหมาะสมสำหรับการจัดการเรียนการสอนในแต่ละระดบั ชั้น สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ประจำปี ๒๕๖๕ เปน็ อย่างยงิ่ คณะกรรมการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา โรงเรยี นวัดคฤหบดี(จนั ทรสถิตย์)
สารบญั ข สว่ นท่ี 1 ส่วนนำ หน้า บทนำ 1 วสิ ยั ทัศน์ 1 หลักการ 1 จุดมงุ่ หมาย 1 กรอบสมรรถนะหลักของผเู้ รียนระดับประถมศึกษา 2 สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น ๒ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ๔ วสิ ัยทัศนข์ องโรงเรยี น 7 พนั ธกิจของโรงเรียน ๗ เป้าหมายของโรงเรยี น ๗ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชวี้ ัด 8 ๘ สว่ นที่ 2 โครงสรา้ ง โครงสรา้ งเวลาเรียน 1 – 3 11 โครงสร้างเวลาเรยี น 4 – 6 11 โครงสรา้ งหลักสูตรชน้ั ปี 12 โครงสรา้ งกล่มุ สาระการเรียนรู้ 13 เรยี นรอู้ ะไรในวิทยาศาสตร์ 19 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 20 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ๒๐ จติ วิทยาศาสตร์ ๒3 คณุ ภาพผู้เรยี น ๒6 ตัวชว้ี ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๒7 ส่วนท่ี 3 คำอธิบาย / โครงสรา้ งรายชัว่ โมง 29 คำอธิบายรายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1 โครงสร้างรายวชิ า ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 1 ๖2 โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 1 ๖2 คำอธบิ ายรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 ๖๓ โครงสร้างรายวชิ า ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 67 โครงสร้างหนว่ ยการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๒ ๗๑ คำอธบิ ายรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 3 ๗๒ โครงสรา้ งรายวชิ า ช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ๗๖ ๘๐ ๘๑
โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๓ ค คำอธบิ ายรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 4 โครงสร้างรายวชิ า ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 4 ๘๖ โครงสรา้ งหน่วยการเรียนรู้ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๔ ๙๐ คำอธิบายรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ๙๑ โครงสรา้ งรายวิชา ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 5 ๙๗ โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี ๕ ๑๐๑ คำอธบิ ายรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6 ๑๐๒ โครงสรา้ งรายวิชา ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 ๑๐๙ โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ๑๑๓ ๑๑๔ สว่ นที่ 4 การวดั และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๑๒๒ ภาคผนวก ๑๒๗ คำสัง่ โรงเรียนวัดคฤหบดี(จนั ทรสถิตย)์
๑ บทนำ หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) เป็นแผน แนวทางหรือข้อกำหนดของการจัดการศึกษาของ สถานศึกษาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด มุ่งพัฒนา ผเู้ รยี นใหเ้ ป็นคนดี มีปญั ญา มีความสุข มีศักยภาพในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชพี ท่ีสุจรติ ตลอดจนการรู้จัก อนุรักษ์วฒั นธรรม ประเพณีท้องถิ่น โดยมุ่งหวังใหม้ ีความสมบูรณ์ทั้งดา้ นรา่ งกาย จิตใจ และสติปัญญา เพื่อให้ สอดคลอ้ งกบั แผนการพฒั นาการศึกษาข้ันพื้นฐานกรุงเทพมหานคร ฉบบั ที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๔ – ๒๕๖๙) เป็นการ พัฒนาผู้เรียนที่มีศักยภาพอันสอดคล้องกับเปา้ หมายการพัฒนาคณุ ภาพประชากรของกรงุ เทพมหานคร ภายใต้ วิสัยทัศนท์ ว่ี ่า “จัดการศึกษาขนั้ พ้นื ฐานอยา่ งมีคุณภาพ เพอื่ พฒั นาสู่อตั ลักษณ์ผู้เรียนแห่งมหานครท่ีพร้อมด้วย คุณธรรม” โดยอาศยั กรอบทศิ ทางแผนการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๕ ท่ีมงุ่ เนน้ การจดั การเรียนการ สอนเพอื่ ใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะในศตวรรษท่ี ๒๑ ให้ได้ทั้งความรแู้ ละทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในการดำรงชีวิตท่ามกลาง กระแสแหง่ การเปล่ียนแปลงอนั ประกอบดว้ ย ๓Rs + ๘Cs ทกั ษะทจ่ี ำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปล่ียนแปลง และแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนอ่ื งตลอดชวี ติ วสิ ัยทัศน์ หลกั สูตรสถานศึกษาโรงเรยี นวดั คฤหบดี(จันทรสถติ ย์) พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๕ มุ่งพัฒนาผูเ้ รียนเปน็ กำลังของ ชาติ ใหเ้ ป็นมนุษยท์ ่ีมีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม มจี ติ สำนึกในความเปน็ พลเมืองไทยและ เป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมุข รกั และภูมิใจในถิ่น กำเนดิ มคี วามรู้ทักษะพนื้ ฐานรวมทั้งเจตคติท่ีจำเปน็ ในการดำรงชีวิตตามหลกั ของเศรษฐกิจพอเพียงรักและศรัทธา ในการทำความดี การประกอบอาชพี ทส่ี ุจริตใชเ้ ทคโนโลยีทเ่ี หมาะสมในการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมุง่ เน้นผู้เรียน เปน็ สำคญั บนพนื้ ฐานความเช่ือวา่ ทกุ คนสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ หลักการ ๑. เป็นหลักสูตรที่ยึดแนวทางของหลักสูตรแกนกลางเป็นกรอบ เพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็ก เยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และ คณุ ธรรมบนพ้นื ฐานของความเปน็ ไทยควบคูก่ บั ความเปน็ สากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอภาค และมี คุณภาพ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความตอ้ งการของทอ้ งถิ่น ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการเรียนรู้ ที่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั
๒ จุดมุ่งหมาย หลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) พุทธศักราช ๒๕๖๕ มุ่งพัฒนาผเู้ รียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับ ผูเ้ รียนเม่อื จบการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ดงั น้ี ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาทต่ี นนับถอื ยึดหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๒. มคี วามรู้ ความสามารถในการสอื่ สาร การคดิ การแกป้ ญั หา การใชเ้ ทคโนโลยี และมที ักษะชีวิต ๓. มสี ุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ีดี มีสขุ นสิ ัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะท่ีมุง่ ทำประโยชนแ์ ละสรา้ งส่งิ ทด่ี งี ามในสงั คม และอย่รู ่วมกนั ในสังคมอยา่ งมีความสขุ กรอบสมรรถนะหลักของผ้เู รยี นระดับประถมศกึ ษา ประกอบดว้ ยสมรรถนะสำคญั ๑๐ สมรรถนะ เป็นสมรรถนะที่สามารถตอบสนอง และมคี วามสอดคล้องกับ หลักการสำคัญ ๖ ประการ ดังนี้ ๑) ความต้องการของประเทศตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐ แผนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙ และมาตรฐานการศกึ ษาของชาติ พ.ศ. ๒๕๖๑ ๒) สอดคล้องกับทักษะแห่งศตวรรษที่ ๒๑ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกปัจจุบันและ อนาคต ๓) สง่ เสรมิ การใช้ศาสตรพ์ ระราชา พระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ และพระราชดำรัส ของสมเด็จพระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ๔) ให้ความสำคัญกับความเป็นไทย ความเป็นชาติไทย เพื่อดำรงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยให้ถาวร สบื ไป ๕) สอดคล้องกับหลักพัฒนาการตามวัยของมนุษย์และตอบสนองต่อความแตกต่างที่หลากหลายทั้งของ ผูเ้ รียน บริบท และภมู ิสังคม ๖) สามารถเทียบเคียงกับมาตรฐานสากลได้สมรรถนะทั้ง ๑๐ ประการ เป็นสมรรถนะหลักที่เด็กและ เยาวชนไทยจะต้องได้รับการพัฒนาในช่วงเวลา ๑๒ ปี ของการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถก้าวทันการ เปลีย่ นแปลงและดำรงชวี ิตได้อย่างมีคุณภาพในโลกแหง่ ศตวรรษที่ ๒๑ การจัดการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน ใหเ้ กิดสมรรถนะท่ีตอ้ งการในชวี ติ ประจำวัน โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งสมรรถนะภาษาไทยเพอ่ื การสื่อสาร คณิตศาสตร์ใน ชีวิตประจำวัน ทักษะกระบวนการสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ รวมทั้งสมรรถนะการใช้ ภาษาอังกฤษเพือ่ การสือ่ สาร สมรรถนะทัง้ ๔ นี้ เป็นสมรรถนะท่ีจะชว่ ยใหเ้ ด็กและเยาวชนไทย เป็นคนไทยฉลาดรู้ (Literate Thais) คือ มีความรู้และเครื่องมือพื้นฐานที่จะใช้ในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้ตลอดชีวิต ส่วน สมรรถนะทกั ษะชวี ิตและความเจริญแหง่ ตน และทกั ษะอาชพี และการเปน็ ผู้ประกอบการจะช่วยให้เดก็ และเยาวชน ไทยมชี วี ติ ทีอ่ ยดู่ มี ีสขุ (Happy Thais) สำหรบั ทักษะการคิดขนั้ สูงและนวัตกรรม รวมทง้ั การรูเ้ ทา่ ทันสื่อ สารสนเทศ และดจิ ิทลั จะช่วยเพ่ิมพนู ความสามารถ ความเกง่ ใหเ้ ดก็ และเยาวชนไทยคดิ เก่ง และร้ทู ันโลกทำให้เด็กและเยาวชน ไทยเก่งขึ้น มีความสามารถสูง (Smart Thais) ส่งผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลกด้วย
๓ ส่วน ๒ สมรรถนะสุดท้าย คือ สมรรถนะการทำงานแบบรวมพลัง เป็นทีม และมีภาวะผู้นำและสมรรถนะการเปน็ พลเมอื งท่เี ข้มเเข็ง/ตนื่ ร้ทู ีม่ สี ำนึกสังคม จะช่วยให้เดก็ และเยาวชนไทยเป็นผทู้ ีส่ ามารถทำงานร่วมกับผ้อู ่นื เป็นผนู้ ำที่ ดีและเป็นพลเมืองไทยใส่ใจสังคมและมีสำนึกสากล (Active Thai Citizen with Global Mindedness) มีความ รับผิดชอบมีสว่ นร่วมในกิจการของสังคมและผดุงความเป็นธรรมในสังคม เพอ่ื การอย่รู ่วมกนั อยา่ งสันติสขุ ตลอดไป สมรรถนะหลัก ๑๐ ประการ ดังน้ี ๑. ภาษาไทยเพื่อการสือ่ สาร (Thai Language for Communication) ๒. คณิตศาสตร์ในชีวิตประจำวนั (Mathematics in Everyday Life) ๓. การสบื สอบทางวิทยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific Inquiry and Scientific Mind) ๔. ภาษาองั กฤษเพื่อการสื่อสาร (English for Communication) ๕. ทกั ษะชวี ิตและความเจรญิ แหง่ ตน (Life Skills and Personal Growth) ๖. ทกั ษะอาชพี และการเป็นผปู้ ระกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship) ๗. ทักษะการคิดขั้นสงู และนวัตกรรม (Higher - Order Thinking Skills and Innovation) HOTS: Critical Thinking, Problem Solving, Creative Thinking ๘. การรเู้ ทา่ ทนั สื่อ สารสนเทศ และดิจทิ ลั (Media, Information and Digital Literacy : MIDL) ๙. การทำงานแบบรวมพลัง เปน็ ทมี และมีภาวะผู้นำ (Collaboration Teamwork and Leadership) ๑๐. การเป็น พลเมอื งที่เข้มแข็ง /ตื่นรู้ทีม่ จี ติ สำนึกสากล (Active Citizen with Global Mindedness)
๔ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมรรถนะ แนวทางการพัฒนาผู้เรียน ๑) สมรรถนะหลกั ดา้ นภาษาไทย ◊ ฟัง พูด อ่าน และเขียนคำ ศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ เพือ่ การสือ่ สาร มโนทัศน์ แนวคดิ หลักการ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Thai Language for Communication) ◊ ใช้ภาษาสัญลักษณ์เพื่อนำ เสนอและแลกเปลี่ยนแบ่งปัน ความคิดที่เกี่ยวกับความรู้ แนวคิด หลักการ กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละการพฒั นากระบวนการประดิษฐค์ ิดคน้ ◊ ใช้แบบจำ ลอง เช่น ประโยค ภาพ สญั ลักษณ์ เพ่อื การอธิบาย ความรู้ แนวคิด หลักการ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้ เห็นเปน็ รปู ธรรม ๒) สมรรถนะหลักดา้ นคณิตศาสตร์ ◊ สร้างกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ วิเคราะห์ตรวจสอบ ในชีวติ ประจำวัน (Mathematics in กระบวนการคณิตศาสตร์ วิธีแก้ปัญหา และการได้มาของ Everyday Life) กฎเกณฑน์ นั้ โดยใช้วธิ กี ารใหเ้ หตุผลเชงิ อปุ นัย ◊ ให้เหตุผลเชิงนิรนัยหรอื ตรรกศาสตร์เพื่อตรวจสอบ ข้อโต้แยง้ ในวิชาวิทยาศาสตร์ ◊ สืบค้นผลกระทบของสมมติฐานในกระบวนการคณิตศาสตร์ วิธีแก้ปัญหา หรอื การสรปุ ◊ อธิบาย เปรียบเทียบ แปลความหมายของแผนภมู ริ ปู ภาพจาก สื่อต่าง ๆ เพื่อตอบปัญหาในชีวิตประจำ วันของตน ออกแบบ แผนภมู ริ ูปภาพ หรอื ตารางโดยใช้เทคโนโลยี ๓) สมรรถนะหลกั ดา้ นการสบื สอบ ◊ ตั้งคำถามสำคัญเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา วางแผนการสำรวจ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry and Scientific ตรวจสอบตามความคิดของตวั เองและของกลุ่ม เลือกและใช้วัสดุ Mind อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการสำรวจ ตรวจสอบ เปรียบเทียบ ข้อมูล นำเสนอผลการจัดกระทำข้อมูล อธิบายผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์และสรุปคำอธิบายด้วย แผนภาพประกอบข้อความ ◊ เรียนรู้ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม เรอ่ื งราวในธรรมชาติเรื่องราวทมี่ ีการเปล่ยี นแปลงจากการกระทำ ของมนษุ ย์ รวมทั้งเทคโนโลยี ในสถานการณท์ ีเ่ ก่ยี วข้องกับตนเอง ครอบครัว ชุมชน โดยมีหลักฐานสนับสนุนได้อย่างสมเหตุสมผล ครอบครวั ชมุ ชน โดยมหี ลักฐานสนับสนุนได้อย่างสมเหตุสมผล
๕ สมรรถนะ แนวทางการพฒั นาผู้เรยี น ๔) สมรรถนะหลักด้านภาษาองั กฤษ ◊ ออกแบบและสร้างแบบจำ ลองอย่างง่ายด้วยความรู้ทาง เพือ่ การสือ่ สาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และใช้แบบจำลอง เพอื่ อธิบายเรื่องราว (English for Communication) ในธรรมชาติ ◊ แสดงความคิดเห็นสนับสนุนหรือคัดค้านด้วยหลักฐานเชิง ๕) สมรรถนะหลกั ดา้ นทักษะชีวติ และ ประจักษอ์ ย่างมีเหตผุ ล ตรวจสอบหลกั ฐานต่าง ๆ จากแหล่งที่มา ความเจรญิ แห่งตน ให้เปน็ ท่ีเช่อื ถอื (Life Skills and Personal Growth) ◊ ระบุปัญหาและบรบิ ทของปัญหา ออกแบบต้นแบบสงิ่ ประดิษฐ์ ด้วยการวาดภาพ และสร้างต้นแบบของวิธีการแก้ปัญหาที่เลือก ไว้ ระบุวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสมที่จะนำมาสร้างต้นแบบ และ ดำเนนิ การทดสอบต้นแบบ ปรับปรุง ออกแบบซ้ําเพื่อให้ต้นแบบ ที่เหมาะสมที่สดุ พร้อมทงั้ บันทกึ ผลการทดสอบ และอธิบายผล อย่างใชเ้ หตุผล ◊ ใช้ภาษาองั กฤษเกยี่ วกับความรู้ มโนทศั น์ แนวคดิ หลักการ และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ◊ ใช้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับขั้นตอน หรือกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ◊ ใชภ้ าษาอังกฤษทเ่ี ป็นเนอ้ื หาเกี่ยวกับความรู้ มโนทศั น์ แนวคิด หลกั การ และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นขอ้ ความหรือบท อา่ นส้ัน ๆ ◊ สบื คน้ ขอ้ มลู จากตำ ราหรอื อินเทอรเ์ น็ตท่ีเปน็ ภาษาอังกฤษเพ่ือ การศึกษาความรู้ มโนทัศน์ แนวคิด หลักการ และกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ ◊ ใช้สมรรถนะภาษาอังกฤษด้านการฟัง หรือการอ่าน และจด บันทึกย่อ ๆ เกี่ยวกับความรู้ มโนทัศน์ แนวคิด หลักการ และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ◊ พัฒนาทกั ษะชีวติ การสรา้ งความสมดุลของชวี ิต และ สรา้ งสุขภาวะโดยใชอ้ งค์ความรู้ และกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ ◊ เรยี นรู้การแกป้ ญั หา การจัดการและดำ เนินชวี ิต ให้พอดี มคี วามสมดุลด้วยหลักเหตุผลกระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
๖ สมรรถนะ แนวทางการพฒั นาผเู้ รยี น ๖) สมรรถนะหลกั ด้านทักษะอาชพี และ ◊ พฒั นาทกั ษะทำ งาน การประกอบอาชีพ และการประกอบการ การเปน็ ผู้ประกอบการ โดยใช้องคค์ วามรู้ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และหลกั เหตุผล (Career Skills and Entrepreneurship) ◊ สรา้ งนวตั กรรมและกระบวนการสร้างผลติ ภณั ฑ์ เชิงสรา้ งสรรคใ์ นการประกอบการโดยใชก้ ระบวนการ ทางวทิ ยาศาสตร์ และกระบวนการใชเ้ ทคโนโลยี ๗) สมรรถนะหลักด้านทักษะการคดิ ขน้ั สงู ◊ วิเคราะห์วิพากษ์ประเมินข้อมลู และเหตุผลด้วยการสืบเสาะหา และนวัตกรรม ความรทู้ ี่หลากหลาย (Higher-Order Thinking Skills and Innovation : HOTS Critical Thinking, ◊ ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ บนฐานข้อมูลเหตุผลหลักฐานอย่างรอบ ด้าน และเหมาะสมกับบริบทผ่านการสืบสอบหาความรู้ที่ Problem Solving, Creative Thinking) หลากหลายผา่ นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ◊ ระบุปัญหา วิเคราะห์สาเหตุของปัญหาอย่างเป็นเหตุ เป็นผล ผ่านการสืบสอบความรู้ที่หลากหลาย เพื่อนำไปสู่การหาวิธีการ แก้ปัญหาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเลือกวิธีการ แก้ปญั หาท่ีมีความเหมาะสมที่สุด ◊ ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา ตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเองอย่างเปน็ ข้นั ตอนและเป็นระบบ ◊ มีความยืดหยุ่นทางความคิด/มอง และให้ความเห็นในการ แกป้ ญั หาต่าง ๆ ทห่ี ลากหลายแงม่ ุม ผ่านการสืบสอบหาความรู้ท่ี หลากหลายและผ่านการใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ◊ คิดริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมด้วยการใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยอธิบายความคิดที่เป็นสิ่งใหม่ และขยายผลต่อยอดความคิดนัน้ ให้เป็นรปู ธรรม ๘) สมรรถนะหลักด้านการรเู้ ทา่ ทนั ◊ ใช้เครื่องมือ โปรแกรมหรือแอบพลิเคชันช่วยในการพัฒนา ส่อื สารสนเทศ และดิจิทลั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการสร้าง (Media, Information and Digital นวัตกรรม Literacy : MIDL) ๙) สมรรถนะหลักดา้ นการทำงาน ◊ ปฏิบัติงานร่วมกันแบบรวมพลังเพื่อเรียนรู้ และพัฒนาทักษะ แบบรวมพลัง เปน็ ทีมและมีภาวะผู้นำ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละนำหลักเหตผุ ลมาใช้ (Collaboration,Teamwork and ◊ ปฏิบัติงานร่วมกัน ส่งเสริม และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน Leadership) โดยใชเ้ ทคโนโลยอี ย่างรเู้ ท่าทัน ๑๐) สมรรถนะหลกั ด้านการเปน็ ◊ ใช้กระบวนการสืบสอบทางวิทยาศาสตร์ในการสรา้ งการมีส่วน พลเมืองที่เขม้ เเข็ง/ตน่ื รู้ทีม่ สี ำนึกสากล รว่ มหรอื สร้างการเปลี่ยนแปลง (Active Citizen with ◊ ใชค้ วามร้เู กยี่ วกับส่ิงแวดลอ้ ม ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ Global Mindedness)
สมรรถนะ ๗ แนวทางการพัฒนาผู้เรียน เพื่อเสนอแนวทางการใช้สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่าและรักษาให้ เกิดความยัง่ ยนื คุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค์ หลักสูตรโรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) พุทธศักราช ๒๕๖๔ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะ อนั พึงประสงค์ เพือ่ ให้สามารถอยู่รว่ มกับผูอ้ ื่นในสังคมได้อยา่ งมคี วามสุขในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลก ดงั น้ี 1. รักษช์ าติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซ่อื สัตยส์ ุจรติ 3. มวี ินยั 4. ใฝเ่ รยี นรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. รกั ความเปน็ ไทย 8. มจี ติ เปน็ สาธารณะ วิสัยทัศนข์ องโรงเรียน (Vision) เปน็ องคก์ รแห่งการเรยี นรู้ มุ่งพฒั นาผเู้ รียนตามมาตรฐานการศกึ ษา สอดคล้องตามแนวทางการจัดการ เรียนรใู้ นศตวรรษท่ี ๒๑ โดยความร่วมมอื จากทกุ ภาคส่วน พนั ธกจิ ของโรงเรียน (Mission) ๑) พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามแนวทาง การจดั การเรยี นรใู้ นศตวรรษท่ี 21 ๒) โรงเรียนมกี ารบริหารจดั การดว้ ยระบบคณุ ภาพโดยการมีส่วนรว่ มของผมู้ ีสว่ นเก่ยี วขอ้ ง ๓) พัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพและ การจดั การเรียนการสอนท่เี นน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั ๔) ประสานความร่วมมอื ระหว่างโรงเรยี น ผู้ปกครอง ชุมชน วัด และภาคีเครือข่าย เพ่ือสนับสนุนการ จัดการศกึ ษา ๕) จดั การศึกษาให้มคี ุณภาพสอดคล้องตามนโยบายการจัดการศึกษากรงุ เทพมหานคร
๘ เปา้ หมายของโรงเรยี น (Goals) 1) ผเู้ รยี นมคี วามรู้ ทักษะตามหลกั สูตร สามารถอา่ น เขยี น ส่อื สาร และคดิ คำนวณ รกั การเรยี นรู้พฒั นา ตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง มีเจตคติทด่ี ตี ่องานอาชพี รกั การทำงาน และสามารถทำงานร่วมกบั ผอู้ ื่นได้ 2) ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถสร้างนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยี อย่างสร้างสรรค์ ตัดสินใจแก้ปญั หาได้อยา่ งสมเหตุสมผล 3) ผเู้ รียนมคี ณุ ธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงคต์ ามทสี่ ถานศึกษากำหนด 4) ผูเ้ รยี นมสี ุขภาวะท่ดี ีมีสนุ ทรยี ภาพและจิตสังคม 5) สถานศึกษามีการบริหารจัดการที่เป็นระบบและจัดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการ บรหิ าร และการจัดการเรียนรู้ 6) สถานศึกษามกี ารจัดสภาพแวดลอ้ มและการบรกิ ารที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาเต็มตาฒศักยภาพ 7) สถานศึกษาส่งเสริมและสนบั สนุนพฒั นาครู บุคลากร เพอ่ื ใหเ้ กิดชมุ ชนแห่งการเรยี นรูท้ างวิชาชีพ 8) สถานศกึ ษามีการประกันคุณภาพภายในตามท่กี ำหนดในกฎกระทรวง 9) ครูมีการบริหารจัดการชั้นเรียนเชิงบวก เน้นกระบวนการคิด การปฏิบัติจริง ใช้ส่ือเทคโนโลยีและ แหลง่ เรียนรทู้ ่ีหลากหลาย สามารถนำไปประยกุ ต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ได้ 10) ครูมีกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่สร้างโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม โดยใช้สื่อเทคโนโลยี นวตั กรรม ท่ีหลากหลายอย่างมคี ุณภาพ เพอื่ พัฒนาผเู้ รียนอย่างรอบด้าน 11) ครูมีการวัดประเมินผลผู้เรียนที่หลากหลายและนำผลการประเมินมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และให้ ขอ้ มูลสะทอ้ นกลับ เพอื่ พฒั นาผเู้ รยี นและปรับปรงุ การจัดการเรียนรู้ 12) สถานศึกษาสง่ เสรมิ สนบั สนุนใหผ้ ู้ปกครอง ชุมชน สถานประกอบการทั้งภาครฐั และเอกชนเข้ามามี ส่วนร่วมในการจัดการเรยี นรู้และร่วมพฒั นาสถานศึกษา 13) สถานศกึ ษามีการบรหิ ารและการจัดการศึกษาสอดคล้องตามนโยบายกรงุ เทพมหานคร มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมอง และพหุปัญญา จึงกำหนดใหผ้ ู้เรยี นเรยี นรู้ ๘ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ ดังน้ี ๑. ภาษาไทย : ความรู้ ทกั ษะ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพ่อื การส่อื สาร ความช่นื ชม การเห็นคุณค่า ภูมิปญั ญาไทย และภูมิใจในภาษาประจำชาติ ๒. คณิตศาสตร์ : การนำความรู้ ทกั ษะและกระบวนการทางคณติ ศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิตและศึกษาต่อ การมีเหตุมีผล มีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ พัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบและ สร้างสรรค์ ๓. วิทยาศาสตร์ : การนำความรแู้ ละกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ไปใช้ในการศกึ ษา คน้ ควา้ หาความรู้ และแก้ปญั หาอย่างเปน็ ระบบ การคดิ อยา่ งเปน็ เหตุเปน็ ผล คิดวเิ คราะห์ คดิ สร้างสรรค์ และจติ วทิ ยาศาสตร์ ๔. สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม : การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรมของศาสนา การเหน็ คณุ คา่ ของทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม ความรักชาติ และภมู ิใจในความเปน็ ไทย
๙ ๕. สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา : ความรู้ ทกั ษะ และเจตคตใิ นการสร้างเสริมสุขภาพพลานามัยของตนเอง และผ้อู ืน่ การปอ้ งกนั และปฏบิ ตั ิต่อสง่ิ ตา่ ง ๆ ทีม่ ีผลต่อสุขภาพอยา่ งถกู วธิ แี ละทักษะในการดำเนนิ ชวี ิต ๖. ศิลปะ : ความรู้และทักษะในการคิดริเรม่ิ จินตนาการ สรา้ งสรรค์งานศิลปะ สนุ ทรภี าพและการเห็น คณุ คา่ ทางศลิ ปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี : ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติในการทำงาน การจดั การ การดำรงชีวิต การประกอบอาชีพและการใช้เทคโนโลยี ๘. ภาษาตา่ งประเทศ : ความรู้ ทกั ษะ เจตคติ และวัฒนธรรมการใชภ้ าษาต่างประเทศในการส่อื สาร กาแสวงหาความร้แู ละการประกอบอาชพี ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรยี นพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึง ประสงค์ เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน พัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอยา่ งไร รวมทั้งเปน็ เคร่อื งมอื ในการตรวจสอบ เพอื่ การประกนั คุณภาพการศึกษา โดยใชร้ ะบบการ ประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอก ซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพ่ือประกันคุณภาพดังกล่าว เป็นสิ่งสำคญั ท่ีชว่ ยสะท้อนภาพ การจดั การศึกษาวา่ สามารถพฒั นาผเู้ รียนใหม้ ีคุณภาพตามท่มี าตรฐานการเรียนรกู้ ำหนดเพียงใด
๑๐ ตัวชวี้ ัด ตวั ช้ีวดั ระบสุ ่ิงทน่ี กั เรียนพึงรู้และปฏิบตั ิได้ รวมทง้ั คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อน ถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจง และมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำ หน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดประเมินผลเพื่อตรวจสอบคุณภาพ ผู้เรยี น ตัวช้ีวดั ชั้นปี เปน็ เปา้ หมายในการพัฒนาผเู้ รียนแตล่ ะชัน้ ปี ในระดับการศึกษาภาคบงั คับ (ประถมศึกษา ปีท่ี ๑ – มัธยมศึกษาปีที่ ๓) ว ๑.๑ ป. ๑/๒ ป.๑/๒ ตัวชี้วัดชัน้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ขอ้ ที่ ๒ ๑.๑ สาระที่ ๑ มาตรฐานขอ้ ท่ี ๑ ว กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หมายเหตุ : ๑. อาเซียนศกึ ษา ใชต้ ัวหนังสือสแี ดง ตวั หนา ตัวเอียง ๒. กรุงเทพมหานคร ใช้ตวั หนังสือสีเขียว ตวั หนา ตัวเอียง ๓. เงินทองของมีค่า ใชต้ วั หนงั สอื สนี ำ้ เงนิ ตัวหนา ตัวเอยี ง ๔. หนา้ ทพี่ ลเมอื ง ใช้ตัวหนงั สือสีชมพู ตัวหนา ตัวเอียง ๕. โตไปไม่โกง ใช้ตวั หนังสือสีมว่ ง ตัวหนา ตัวเอยี ง
๑๑ ๑. โครงสรา้ งเวลาเรียน โรงเรียนวัดคฤหบดี(จันทรสถิตย์) จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนวัดคฤหบดี (จันทรสถิตย์) ตามแนวทางของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) โรงเรยี นไดจ้ ัดโครงสรา้ งเวลาเรยี นในปกี ารศึกษา ๒๕๖๕ ดังนี้ โครงสร้างเวลาเรยี น ระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ ๑ – ๓ กล่มุ สาระการเรียนร้/ู ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๑ ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ ๒ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๓ กจิ กรรม รหัสวชิ า เวลาเรียน รหสั วชิ า เวลาเรยี น รหัสวิชา เวลาเรยี น (ชม./ป)ี (ชม./ปี) (ชม./ป)ี รายวชิ าพ้นื ฐาน ภาษาไทย ท ๑๑๑๐๑ ๒๐๐ (๕) ท ๑๒๑๐๑ ๒๐๐ (๕) ท ๑๓๑๐๑ ๒๐๐ (๕) ค ๑๒๑๐๑ ๒๐๐ (๕) ค ๑๓๑๐๑ ๒๐๐ (๕) คณติ ศาสตร์ ค ๑๑๑๐๑ ๒๐๐ (๕) ว ๑๒๑๐๑ ๘๐ (๒) ว ๑๓๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๒๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๓๑๐๑ ๘๐ (๒) วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว ๑๑๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๒๑๐๒ ๔๐ (๑) ส ๑๓๑๐๒ ๔๐ (๑) พ ๑๒๑๐๑ ๘๐ (๒) พ ๑๓๑๐๑ ๘๐ (๒) สังคมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม ส ๑๑๑๐๑ ๘๐ (๒) ศ ๑๒๑๐๑ ๘๐ (๒) ศ ๑๓๑๐๑ ๘๐ (๒) ง ๑๒๑๐๑ ๔๐ (๑) ง ๑๓๑๐๑ ๔๐ (๑) ประวัติศาสตร์ ส ๑๑๑๐๒ ๔๐ (๑) อ ๑๒๑๐๑ ๔๐ (๑) อ ๑๓๑๐๑ ๔๐ (๑) ๘๔๐ ๘๔๐ สุขศึกษาและพลศึกษา พ ๑๑๑๐๑ ๘๐ (๒) ศลิ ปะ ศ ๑๑๑๐๑ ๘๐ (๒) การงานอาชีพ ง ๑๑๑๐๑ ๔๐ (๑) ภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน อ ๑๑๑๐๑ ๔๐ (๑) รวม รายวิชาพื้นฐาน ๘๔๐ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น - แนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ - ลูกเสอื / ยุวกาชาด ๔๐ ๓๐ ๓๐ ๑๐ ๑๐ - ชมรม ๓๐ ๑๒๐ ๑๒๐ - กิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ๑๐ รวม กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น ๑๒๐ รายวชิ าเพม่ิ เติม - หนา้ ท่ีพลเมอื ง ส ๑๑๒๐๑ ๔๐ (๑) ส ๑๒๒๐๑ ๔๐ (๑) ส ๑๓๒๐๑ ๔๐ (๑) อ ๑๒๒๐๑ ๑๖๐ (๔) อ ๑๓๒๐๑ ๑๔๐ (๔) - ภาษาองั กฤษเพื่อการสอื่ สาร อ ๑๑๒๐๑ ๑๖๐ (๔) ๒๐๐ ๒๐๐ รวม รายวิชาเพ่ิมเติม ๒๐๐ กิจกรรมเพิ่มเวลารู้ - โรงเรียนคณุ ธรรม/ตา้ นทุจริต ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๑,๒๐๐ ๑,๒๐๐ รวมเวลาเรียนท้ังหมด ๑,๒๐๐
๑๒ โครงสรา้ งเวลาเรียน ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ ๔ – ๖ กลุ่มสาระการเรยี นรู้/ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๔ ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ ๖ กจิ กรรม รหัสวชิ า เวลาเรียน รหัสวิชา เวลาเรียน รหสั วิชา เวลาเรยี น (ชม./ปี) (ชม./ป)ี (ชม./ปี) รายวชิ าพ้นื ฐาน ภาษาไทย ท ๑๔๑๐๑ ๑๖๐ (๔) ท ๑๕๑๐๑ ๑๖๐ (๔) ท ๑๖๑๐๑ ๑๖๐ (๔) ค ๑๕๑๐๑ ๑๖๐ (๔) ค ๑๖๑๐๑ ๑๖๐ (๔) คณติ ศาสตร์ ค ๑๔๑๐๑ ๑๖๐ (๔) ว ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) ว ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ว ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) ส ๑๕๑๐๒ ๔๐ (๑) ส ๑๖๑๐๒ ๔๐ (๑) พ ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) พ ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ส ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) ศ ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) ศ ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) ง ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) ง ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) ประวัตศิ าสตร์ ส ๑๔๑๐๒ ๔๐ (๑) อ ๑๕๑๐๑ ๘๐ (๒) อ ๑๖๑๐๑ ๘๐ (๒) ๘๔๐ ๘๔๐ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา พ ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) ศิลปะ ศ ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) การงานอาชีพ ง ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) ภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน อ ๑๔๑๐๑ ๘๐ (๒) รวม รายวชิ าพ้ืนฐาน ๘๔๐ กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น - แนะแนว ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ ๔๐ - ลกู เสอื / ยวุ กาชาด ๔๐ ๓๐ ๓๐ ๑๐ ๑๐ - ชมรม ๓๐ ๑๒๐ ๑๒๐ - กจิ กรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ ๑๐ รวม กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น ๑๒๐ รายวชิ าเพม่ิ เตมิ - หน้าทพี่ ลเมอื ง ส ๑๔๒๐๑ ๔๐ (๑) ส ๑๕๒๐๑ ๔๐ (๑) ส ๑๖๒๐๑ ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) - ภาษาองั กฤษเพ่อื การสอ่ื สาร อ ๑๔๒๐๑ ๔๐ (๑) อ ๑๕๒๐๑ ๔๐ (๑) อ ๑๖๒๐๑ ๔๐ (๑) ว ๑๕๒๐๑ ว ๑๖๒๐๑ - คอมพิวเตอร์ ว ๑๔๒๐๑ ๔๐ (๑) ๑๒๐ ๑๒๐ รวมรายวชิ าเพิม่ เตมิ ๑๒๐ กจิ กรรมเพม่ิ เวลารู้ - โรงเรียนคุณธรรม/ต้านทุจริต ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) - ภาษาจีน ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) ๔๐ (๑) - ภาษาองั กฤษชาวตา่ งชาติ ๔๐ (๑) ๑๒๐ ๑๒๐ รวมกจิ กรรมเพมิ่ เวลารู้ ๑๒๐ ๑,๒๐๐ ๑,๒๐๐ รวมเวลาเรยี นทงั้ หมด ๑,๒๐๐
๑๓ ๒. โครงสรา้ งหลกั สูตรชนั้ ปี เวลาเรยี น ชม./ปี ชม./สด. โครงสรา้ งหลักสตู ร ระดับประถมศึกษา ๘๔๐ ๒๑ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี ๑ ๒๐๐ ๕ รายวชิ า / กิจกรรม ๒๐๐ ๕ รายวิชาพน้ื ฐาน ๘๐ ๒ ท ๑๑๑๐๑ ภาษาไทย ๘๐ ๒ ค ๑๑๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๔๐ ๑ ว ๑๑๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๘๐ ๒ ส ๑๑๑๐๑ สังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๑๑๐๒ ประวัติศาสตร์ ๔๐ ๑ พ ๑๑๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ๔๐ ๑ ศ ๑๑๑๐๑ ศิลปะ ๒๐๐ ๕ ง ๑๑๑๐๑ การงานอาชีพ ๔๐ ๑ อ ๑๑๑๐๑ ภาษาอังกฤษพ้นื ฐาน ๑๖๐ ๔ รายวชิ าเพิ่มเติม ๑๒๐ ๓ ส ๑๑๒๐๑ หน้าทพ่ี ลเมือง ๔๐ ๑ อ ๑๑๒๐๑ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น ๔๐ ๑ ● กิจกรรมแนะแนว ๓๐ ๑ ● กจิ กรรมนกั เรียน ๑๐ ลกู เสอื - ยวุ กาชาด ๑ ชมรม ๔๐ ๑ ● กิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ ๔๐ ๓๐ กิจกรรมเพม่ิ เวลารู้ ๑,๒๐๐ ● กิจกรรมโรงเรียนคุณธรรม/ตา้ นทุจริต รวมเวลาทัง้ ส้ิน
๑๔ โครงสรา้ งหลกั สูตร ระดบั ประถมศึกษา เวลาเรียน ชม./ปี ชม./สด. ช้นั ประถมศึกษาปที ่ี ๒ ๘๔๐ ๒๑ รายวิชา / กจิ กรรม ๒๐๐ ๕ รายวิชาพื้นฐาน ๒๐๐ ๕ ท ๑๒๑๐๑ ภาษาไทย ๘๐ ๒ ค ๑๒๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๘๐ ๒ ว ๑๒๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔๐ ๑ ส ๑๒๑๐๑ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๒๑๐๒ ประวัตศิ าสตร์ ๘๐ ๒ พ ๑๒๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ๔๐ ๑ ศ ๑๒๑๐๑ ศิลปะ ๔๐ ๑ ง ๑๒๑๐๑ การงานอาชีพ ๒๐๐ ๕ อ ๑๒๑๐๑ ภาษาองั กฤษพ้ืนฐาน ๔๐ ๑ รายวชิ าเพม่ิ เติม ๑๖๐ ๔ ส ๑๒๒๐๑ หนา้ ที่พลเมือง ๑๒๐ ๓ อ ๑๒๒๐๑ ภาษาองั กฤษเพือ่ การสอื่ สาร ๔๐ ๑ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ● กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๑ ● กจิ กรรมนักเรียน ๓๐ ๑ ลูกเสือ - ยวุ กาชาด ๑๐ ชมรม ๑ ● กิจกรรมเพอื่ สงั คมและสาธารณประโยชน์ ๔๐ ๑ กิจกรรมเพิม่ เวลารู้ ๔๐ ๓๐ ● กจิ กรรมโรงเรียนคณุ ธรรม/ตา้ นทุจริต ๑,๒๐๐ รวมเวลาทงั้ ส้ิน
๑๕ โครงสรา้ งหลักสูตร ระดับประถมศกึ ษา เวลาเรียน ชม./ปี ชม./สด. ชัน้ ประถมศึกษาปที ี่ ๓ ๘๔๐ ๒๑ รายวิชา / กจิ กรรม ๒๐๐ ๕ รายวิชาพื้นฐาน ๒๐๐ ๕ ท ๑๓๑๐๑ ภาษาไทย ๘๐ ๒ ค ๑๓๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๘๐ ๒ ว ๑๓๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔๐ ๑ ส ๑๓๑๐๑ สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๓๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๘๐ ๒ พ ๑๓๑๐๑ สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ๔๐ ๑ ศ ๑๓๑๐๑ ศิลปะ ๔๐ ๑ ง ๑๓๑๐๑ การงานอาชพี ๒๐๐ ๕ อ ๑๓๑๐๑ ภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน ๔๐ ๑ รายวชิ าเพ่มิ เตมิ ๑๖๐ ๔ ส ๑๓๒๐๑ หน้าที่พลเมอื ง ๑๒๐ ๓ อ ๑๓๒๐๑ ภาษาอังกฤษเพอ่ื การสือ่ สาร ๔๐ ๑ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ● กจิ กรรมแนะแนว ๔๐ ๑ ● กจิ กรรมนักเรียน ๓๐ ๑ ลูกเสือ - ยวุ กาชาด ๑๐ ชมรม ๑ ● กิจกรรมเพ่อื สังคมและสาธารณประโยชน์ ๔๐ ๑ กิจกรรมเพมิ่ เวลารู้ ๔๐ ๓๐ ● กจิ กรรมโรงเรยี นคุณธรรม/ตา้ นทุจรติ ๑,๒๐๐ รวมเวลาทัง้ สน้ิ
๑๖ โครงสร้างหลกั สูตร ระดบั ประถมศึกษา เวลาเรยี น ชม./ปี ชม./สด. ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ ๔ ๘๔๐ ๒๑ รายวิชา / กิจกรรม ๑๖๐ ๔ รายวิชาพน้ื ฐาน ๑๖๐ ๔ ท ๑๔๑๐๑ ภาษาไทย ๘๐ ๒ ค ๑๔๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๘๐ ๒ ว ๑๔๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔๐ ๑ ส ๑๔๑๐๑ สงั คมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๔๑๐๒ ประวตั ศิ าสตร์ ๘๐ ๒ พ ๑๔๑๐๑ สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ๘๐ ๒ ศ ๑๔๑๐๑ ศิลปะ ๘๐ ๒ ง ๑๔๑๐๑ การงานอาชีพ ๑๒๐ ๓ อ ๑๔๑๐๑ ภาษาองั กฤษพนื้ ฐาน ๔๐ ๑ รายวิชาเพิ่มเตมิ ๔๐ ๑ ส ๑๔๒๐๑ หน้าท่ีพลเมือง ๔๐ ๑ อ ๑๔๒๐๑ ภาษาองั กฤษเพ่ือการสอื่ สาร ๑๒๐ ๓ ว ๑๔๒๐๑ คอมพวิ เตอร์ ๑ ๔๐ ๑ กิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น ● กิจกรรมแนะแนว ๔๐ ๑ ● กิจกรรมนักเรยี น ๓๐ ๑ ลูกเสือ - ยวุ กาชาด ๑๐ ชมรม ๓ ● กิจกรรมเพ่อื สังคมและสาธารณประโยชน์ ๑๒๐ ๑ กจิ กรรมเพิม่ เวลารู้ ๔๐ ๑ ● กิจกรรมโรงเรยี นคุณธรรม/ตา้ นทุจริต ๔๐ ๑ ● ภาษาจนี ๓๐ ● ภาษาอังกฤษชาวต่างชาติ ๔๐ ๑,๒๐๐ รวมเวลาทง้ั ส้นิ
๑๗ โครงสรา้ งหลักสูตร ระดบั ประถมศกึ ษา เวลาเรยี น ชม./ปี ชม./สด. ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๕ ๘๔๐ ๒๑ รายวชิ า / กิจกรรม ๑๖๐ ๔ รายวิชาพ้นื ฐาน ๑๖๐ ๔ ท ๑๕๑๐๑ ภาษาไทย ๘๐ ๒ ค ๑๕๑๐๑ คณติ ศาสตร์ ๘๐ ๒ ว ๑๕๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๔๐ ๑ ส ๑๕๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๕๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๘๐ ๒ พ ๑๕๑๐๑ สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ๘๐ ๒ ศ ๑๕๑๐๑ ศิลปะ ๘๐ ๒ ง ๑๕๑๐๑ การงานอาชพี ๑๒๐ ๓ อ ๑๕๑๐๑ ภาษาอังกฤษพ้ืนฐาน ๔๐ ๑ รายวิชาเพม่ิ เติม ๔๐ ๑ ส ๑๕๒๐๑ หน้าทีพ่ ลเมอื ง ๔๐ ๑ อ ๑๕๒๐๑ ภาษาองั กฤษเพื่อการส่ือสาร ๑๒๐ ๓ ว ๑๕๒๐๑ คอมพวิ เตอร์ ๒ ๔๐ ๑ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ● กิจกรรมแนะแนว ๔๐ ๑ ● กิจกรรมนักเรยี น ๓๐ ๑ ลูกเสอื - ยวุ กาชาด ๑๐ ชมรม ๓ ● กิจกรรมเพ่อื สงั คมและสาธารณประโยชน์ ๑๒๐ ๑ กจิ กรรมเพ่ิมเวลารู้ ๔๐ ๑ ● กิจกรรมโรงเรยี นคณุ ธรรม/ต้านทุจริต ๔๐ ๑ ● ภาษาจนี ๓๐ ● ภาษาอังกฤษชาวตา่ งชาติ ๔๐ ๑,๒๐๐ รวมเวลาทง้ั สิน้
โครงสรา้ งหลกั สูตร ระดับประถมศกึ ษา ๑๘ ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๖ เวลาเรียน รายวิชา / กจิ กรรม ชม./ปี ชม./สด. รายวิชาพ้นื ฐาน ๘๔๐ ๒๑ ท ๑๖๑๐๑ ภาษาไทย ๑๖๐ ๔ ค ๑๖๑๐๑ คณิตศาสตร์ ๑๖๐ ๔ ว ๑๖๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ๘๐ ๒ ส ๑๖๑๐๑ สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม ๘๐ ๒ ส ๑๖๑๐๒ ประวตั ิศาสตร์ ๔๐ ๑ พ ๑๖๑๐๑ สุขศึกษาและพลศึกษา ๘๐ ๒ ศ ๑๖๑๐๑ ศิลปะ ๘๐ ๒ ง ๑๖๑๐๑ การงานอาชพี ๘๐ ๒ อ ๑๖๑๐๑ ภาษาอังกฤษพนื้ ฐาน ๘๐ ๒ รายวิชาเพม่ิ เตมิ ๑๒๐ ๓ ส ๑๖๒๐๑ หนา้ ทีพ่ ลเมอื ง ๔๐ ๑ อ ๑๖๒๐๑ ภาษาอังกฤษเพื่อการสือ่ สาร ๔๐ ๑ ว ๑๖๒๐๑ คอมพวิ เตอร์ ๓ ๔๐ ๑ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ๑๒๐ ๓ ● กิจกรรมแนะแนว ๔๐ ๑ ● กิจกรรมนักเรยี น ลูกเสอื - ยวุ กาชาด ๔๐ ๑ ชมรม ๓๐ ๑ ● กิจกรรมเพ่อื สงั คมและสาธารณประโยชน์ ๑๐ กจิ กรรมเพ่ิมเวลารู้ ๑๒๐ ๓ ● กิจกรรมโรงเรียนคณุ ธรรม/ต้านทจุ รติ ๔๐ ๑ ● ภาษาจนี ๔๐ ๑ ● ภาษาอังกฤษชาวตา่ งชาติ ๔๐ ๑ ๑,๒๐๐ ๓๐ รวมเวลาทง้ั สนิ้
๑๙ โครงสรา้ งกลมุ่ สาระการเรียนรู้ ระดับประถมศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าพ้นื ฐาน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน ๘๐ ชั่วโมง ว ๑๑๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๘๐ ช่วั โมง ว ๑๒๑๐๑ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๘๐ ช่วั โมง ว ๑๓๑๐๑ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน ๑๒๐ ชว่ั โมง ว ๑๔๑๐๑ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๑๒๐ ชว่ั โมง ว ๑๕๑๐๑ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี จำนวน ๑๒๐ ชัว่ โมง ว ๑๖๑๐๑ คอมพวิ เตอร์ ๑ จำนวน ๔๐ ชัว่ โมง รายวชิ าเพ่ิมเติม คอมพวิ เตอร์ ๒ จำนวน ๔๐ ชว่ั โมง ว ๑๔๒๐๑ คอมพวิ เตอร์ ๓ จำนวน ๔๐ ชั่วโมง ว ๑๕๒๐๑ ว ๑๖๒๐๑
๒๐ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เรยี นรูอ้ ะไรในวทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ยาศาสตร์มุ่งหวงั ให้ผู้เรียนไดเ้ รยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ ทีเ่ น้นการ เชือ่ มโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสรา้ งองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ทุกขั้นตอน มีการทำกิจกรรมด้วยการลงมือ ปฏิบตั จิ ริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชนั้ โดยกำหนดสาระสำคญั ดงั น้ี ✧ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ เรียนรู้เก่ียวกับ ชีวิตในส่ิงแวดล้อม องคป์ ระกอบของส่งิ มีชวี ติ การดำรงชีวิต ของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของ ส่งิ มีชีวติ ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกีย่ วกบั ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนท่ี พลงั งาน และคลื่น ✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เก่ียวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลตอ่ สิง่ มชี ีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม ✧ เทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต ในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยอี ย่างเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชวี ติ สงั คม และสงิ่ แวดลอ้ ม ● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอนและ เป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารในการ แก้ปญั หาทีพ่ บในชวี ติ จรงิ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ
๒๑ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี ๑ วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดลอ้ ม รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิง่ มีชวี ิต หนว่ ยพื้นฐานของสิ่งมชี ีวิต การลำเลยี งสารเข้า และออก จากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะตา่ ง ๆ ของพืชที่ทำงานสมั พันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและ ววิ ัฒนาการของส่งิ มีชวี ิต รวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยดึ เหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของ สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุลักษณะการ เคลือ่ นท่ีแบบต่าง ๆ ของวตั ถุรวมท้งั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธร์ ะหวา่ งสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลน่ื ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้อง กบั เสยี ง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกิด และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแลก็ ซี ดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยอี วกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณพี ิบตั ิภยั กระบวนการเปล่ยี นแปลงลมฟ้า อากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผล ตอ่ สงิ่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม
๒๒ สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชวี ิต สงั คม และ สิ่งแวดลอ้ ม มาตรฐาน ว ๔.๒ เขา้ ใจและใชแ้ นวคิดเชิงคำนวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวิตจรงิ อย่างเป็น ขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการ เรียนรู้ การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รเู้ ทา่ ทนั และมีจรยิ ธรรม
๒๓ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์เปน็ ทักษะทางสตปิ ญั ญา (Intellectual) ท่ีนักวิทยาศาสตร์และผู้ ที่นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น 1๔ ทักษะ ทักษะท่ี 1-8 เป็นทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และทักษะที่ 9-14 เป็นทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือขั้นผสมหรอื ขัน้ บูรณาการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง ๑๔ ทกั ษะ มดี งั น้ี 1. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสมั ผสั อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิน้ ผิวกาย เขา้ ไปสัมผสั โดยตรงกับวัตถุหรอื เหตุการณ์ เพื่อคน้ ห้าข้อมูลซงึ่ เป็น รายละเอียด ของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์น้ัน ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการ ประมาณและการบรรยายการเปลี่ยนแปลงของสงิ่ ทสี่ งั เกตได้ 2. การลงความเห็นจากขอ้ มูล (Inferring) หมายถงึ การเพมิ่ ความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้จากการ สังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรแู้ ละประสบการณเ์ ดมิ มาชว่ ย ความสามารถท่แี สดงใหเ้ หน็ วา่ เกดิ ทักษะนี้ คือ การอธิบายหรอื สรปุ โดยเพิม่ ความคิดเหน็ ให้กับขอ้ มูลโดยใช้ความร้หู รอื ประสบการณ์เดิมมาช่วย 3. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มีอยู่ใน ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใด อย่างหนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของสิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อ่ืน กำหนดใหไ้ ด้ นอกจากนนั้ สามารถเรียงลำดบั สิง่ ของดว้ ยเกณฑ์ของตวั เองพรอ้ มกับบอกไดว้ า่ ผอู้ ื่นแบ่งพวกของ ส่ิงของนั้นโดยใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์ 4. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลอื กใชเ้ ครือ่ งมอื และการใชเ้ ครื่องมือน้นั ทำการวัดหาปริมาณ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ออกมาเป็นตวั เลขท่ีแนน่ อนได้อยา่ งเหมาะสมกับสงิ่ ที่วัด แสดงวิธใี ชเ้ คร่อื งมืออยา่ งถูกตอ้ ง พร้อม ท้งั บอกเหตุผลในการเลือกใชเ้ คร่ืองมอื รวมทงั้ ระบุหนว่ ยของตัวเลขทไ่ี ด้จากการวัดได้ 5. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่แสดง จำนวนที่นับได้ มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่า เกิดทกั ษะนี้ ไดแ้ ก่ การนบั จำนวนสงิ่ ของได้ถกู ต้อง เชน่ ใช้ตวั เลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสนิ ได้ว่าวัตถุในแต่ ละกลุ่มมีจำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคำนวณ เช่น บอกวิธีคำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวิธี คำนวณได้อย่างถกู ต้อง และประการสุดท้ายคือ การหาค่าเฉลี่ย เช่น การบอกและแสดงวิธีการหาค่าเฉลี่ยได้ ถูกต้อง 6. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา ( Using Space/Time Relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้น โดยทั่วไป แลว้ สเปสของวตั ถจุ ะมี 3 มติ ิ คือ ความกว้าง ความยาว และความสงู ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติกับ2 มิติ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตำแหน่งท่ีของวัตถุหนง่ึ กับอกี วัตถหุ น่งึ ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกบั สเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติและ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวัตถุ หรอื จากภาพ 3 มติ ิ ได้
๒๔ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปสกบั เวลา ไดแ้ ก่ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการเปล่ียนตำแหน่งที่อยู่ของวัตถุกับ เวลา หรือความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสของวัตถุที่เปล่ยี นไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้เหน็ ว่าเกิดทักษะการ หาความสัมพันธ์ระหวา่ งสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหนง่ และทิศทางของวัตถุโดยใช้ตัวเอง วัตถุอื่นเป็น เกณฑ์ บอกความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการเปลีย่ นตำแหนง่ เปล่ียนขนาด หรอื ปริมาณของวัตถกุ บั เวลาได้ 7. การสอื่ ความหมายขอ้ มลู (Communicating) หมายถึง การนำข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภทหรือ คำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขยี นบรรยาย เปน็ ต้น ความสามารถท่แี สดงให้เหน็ วา่ เกิดทกั ษะน้ีแลว้ คือการเปลยี่ นแปลงขอ้ มลู ให้อย่ใู นรูปใหม่ทเ่ี ข้าใจดีข้ึน โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมูลในการ เลอื กแบบแสนอข้อมลู นั้น การเสนอข้อมลู อาจกระทำไดห้ ลายแบบดงั ทก่ี ล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมูล ในรปู ของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะใส่ค่าของตัวแปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามอื ของตารางโดยเขียนค่าของตวั แปรอิสระไว้ใหเ้ รยี งลำดับจากค่าน้อยไปหา คา่ มาก หรือจากคา่ มากไปหาคา่ นอ้ ย 8. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถงึ การทำนายหรอื การคาดคะเนคำตอบ โดยอาศัยข้อมูลท่ีได้ จากการสังเกตหรือการทำซ้ำ ผ่านกระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทาง วทิ ยาศาสตร์ ความสามารถที่แสดงการเกิดทักษะ คือ สามารถทำนายผลที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูลบนพื้นฐาน หลักการ กฎ หรอื ทฤษฎที ีม่ อี ยู่ ทัง้ ภายในขอบเขตของขอ้ มลู และภายนอกขอบเขตของข้อมลู ในเชงิ ปริมาณได้ 9. การชี้บ่งและการควบคุมตวั แปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถงึ การชี้ บ่งตวั แปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคมุ ให้คงท่ใี นสมมุตฐิ าน หนง่ึ ๆ ตัวแปรตน้ หมายถึง ส่ิงทีเ่ ป็นสาเหตุทท่ี ำใหเ้ กิดผลต่าง ๆ หรือสง่ิ ท่ีเราต้องการทดลองดูว่าเปน็ สาเหตุที่ ก่อใหเ้ กดิ ผลเช่นนนั้ จริงหรือไม่ ตัวแปรตาม หมายถึง สิ่งที่เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรต้นหรือสิ่งที่เป็นสาเหตุเมื่อ เปลยี่ นไป ตวั แปรตามหรอื สิง่ ท่ีเป็นผลจะแปรตามไปดว้ ย ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการทดลอง คลาดเคลื่อน ถา้ หากวา่ ไม่มีการควบคุมให้เหมอื นกนั 10. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนทำ การทดลอง โดยอาศัยการสงั เกต อาศยั ความรู้หรอื ประสบการณ์เดิมเป็นพ้นื ฐาน คำตอบท่ีคดิ ล่วงหน้านี้ ยังไม่ ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคำตอบที่คิดไว้ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็น ข้อความทบี่ อกความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ กับตัวแปรตามสมมุตฐิ านที่ตงั้ ข้ึนอาจถูกหรอื ผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ ภายหลงั การทดลองหาคำตอบ เพอื่ สนับสนนุ สมมุติฐานหรือคัดคา้ นสมมุติฐานท่ีตัง้ ไว้ ส่ิงทค่ี วรคำนึงในการต้ัง สมมุตฐิ าน คอื การบอกชือ่ ตวั แปรต้นซึง่ อาจมีผลต่อตัวแปรตามและในการตง้ั สมมุติฐานตอ้ งทราบตัวแปรจาก ปัญหาและสภาพแวดลอ้ มของตัวแปรนัน้ สมมุติฐานท่ีตั้งขึ้นสามารถบอกใหท้ ราบถงึ การออกแบบการทดลอง ซึง่ ตอ้ งทราบว่าตวั แปรไหนเปน็ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรทีต่ อ้ งควบคมุ ใหค้ งที่ 11. การกำหนดนยิ ามเชิงปฏบิ ัตกิ ารของตวั แปร(Defining Variables Operationally) หมายถึง การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าตา่ ง ๆ ทอี่ ยใู่ นสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธีวัดตัวแปรที่ เกี่ยวกับการทดลองนัน้
๒๕ 12. การทดลอง (Experimenting) หมายถงึ กระบวนการปฏิบตั ิการเพื่อหาคำตอบจากสมมติฐาน ทีต่ ้ังไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกจิ กรรม 3 ขั้นคือ 12.1 ออกแบบการทดลอง หมายถงึ การวางแผนการทดลองก่อนลงมอื ทดสอบจริง 12.2 ปฏบิ ัตกิ ารทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัตจิ ริงและให้อปุ กรณไ์ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม 12.3 การบนั ทกึ ผลการทดลอง หมายถึง การจดบนั ทึกข้อมูลท่ไี ด้จากการทดลองซ่ึงอาจเป็นผล จากการสังเกต การวัด และอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถกู ตอ้ ง การบันทึกผลการทดลอง อาจอยู่ในตาราง หรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัวแปร บนแกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใชส้ เกลที่เหมาะสม พร้อมท้งั แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของคา่ ของตวั แปร ทงั้ สองบนกราฟด้วย 13. การตคี วามหมายข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ (Interpreting Data and Making Conclusion) การตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมาย ข้อมลู ในบางครง้ั อาจต้องใช้ทกั ษะอน่ื ๆ ด้วย เชน่ การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงขอ้ สรปุ หมายถึง การสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการลงข้อสรุป คือ บอก ความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงก็ สามารถอธบิ ายได้ว่าเกดิ อะไรข้ึนกับตัวแปรตามขณะที่ตัวแปรอิสระเปลี่ยนแปลงหรือถา้ ลากกราฟเป็นเส้นโค้ง ใหอ้ ธิบายความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรก่อนทกี่ ราฟเสน้ โคง้ จะเปล่ียนทิศทางและอธบิ ายความสัมพันธ์ ระหว่าง ตัวแปรหลงั จากที่กราฟ เส้นโค้งเปลี่ยนทิศทางแลว้ 14. การสร้างแบบจำลอง (Modeling Construction) หมายถึง การนำเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอด เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูปของแบบจำลองต่างๆ เช่น กราฟ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว วัสดุ สิง่ ของ สง่ิ ประดษิ ฐ์ หุ่น เป็นต้น
๒๖ จติ วทิ ยาศาสตร์ คณุ ลักษณะดา้ นจิตวทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะชีบ้ ่ง/พฤตกิ รรม 1. เห็นคุณค่าทางวทิ ยาศาสตร์ 1.1 นิยมยกย่องกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2 นยิ มยกยอ่ งความก้าวหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ 1.3 เพม่ิ พูนความรแู้ ละประสบการณท์ างวิทยาศาสตร์ 1.4 ตระหนักความสำคญั ของวิทยาศาสตร์ ในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ 2. คุณลกั ษณะทางวทิ ยาศาสตร์ 2.1 ความมีเหตุผล 2.1.1 การยอมรับขอ้ สรปุ ที่มีเหตุผล 2.1.2 มคี วามเชือ่ วา่ ส่งิ ทเ่ี กิดขน้ึ ตอ้ งมสี าเหตุ 2.1.3 นิยมยกยอ่ งบุคคลทมี่ ีความคิดอย่างมีเหตุผล 2.1.4 เหน็ คณุ คา่ ในการสืบหาความจริงก่อนที่จะยอมรับหรือปฏิบัติ ตาม 2.2 ความอยากรอู้ ยากเห็น 2.2.1 เชือ่ ว่าวิธีการทดลองค้นคว้าจะทำให้ค้นพบวธิ ีการแกป้ ัญหาได้ 2.2.2 พอใจใฝ่หาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์เพิม่ เติม 2.2.3 ชอบทดลองค้นควา้ 2.3 ความใจกวา้ ง 2.3.1 ตระหนักถงึ ความสำคญั ของความมีเหตุผลของผอู้ ื่น 2.3.2 ยอมรบั ฟังความคิดเหน็ และคำวิจารณ์ของผ้อู นื่ 2.4 ความมีระเบียบในการทำงาน 2.4.1 ตระหนักถงึ การระวังรกั ษาความปลอดภยั ของตนเองและ เพื่อนในขณะทดลองวทิ ยาศาสตร์ 2.4.2 เห็นคุณค่าของการระวงั รกั ษาเครอื่ งมอื ท่ีใชม้ ใิ หแ้ ตกหกั เสียหาย ในขณะทดลองวทิ ยาศาสตร์ 2.5.1 ตระหนกั ถึงการทำงานใหส้ ำเรจ็ ลุลว่ งตามเป้าหมายโดยไม่ 2.5 การมีค่านิยมตอ่ ความเสีย คำนงึ ถึงผลตอบแทน 2.5.2 เตม็ ใจทจี่ ะอทุ ิศตนเพื่อการสร้างผลงานทางวิทยาศาสตร์ 2.6 การมคี ่านยิ มต่อความซื่อ 2.6.1 เห็นคณุ ค่าต่อการเสนอผลงานตามความเป็นจริงทดลองได้ 2.6.2 ตำหนบิ ุคคลที่นำผลงานผ้อู น่ื มาเสนอเปน็ ผลงานของตนเอง 2.7 การมีคา่ นยิ มตอ่ การประหยดั 2.7.1 ยนิ ดีทีจ่ ะรักษาซ่อมแซมส่ิงทชี่ ำรุดให้ 2.7.2 เห็นคุณค่าของการใชว้ สั ดุอปุ กรณ์อย่างประหยดั 2.7.3 เหน็ คุณค่าของวสั ดุทเี่ หลอื ใช้
๒๗ คณุ ภาพผ้เู รียน จบชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ ๓ ➢ เข้าใจลักษณะท่วั ไปของส่งิ มีชีวติ และการดำรงชีวติ ของสิง่ มชี วี ติ รอบตัว ➢ เข้าใจลักษณะท่ีปรากฏ ชนดิ และสมบตั ิบางประการของวัสดุทีใ่ ช้ทำวัตถแุ ละการเปล่ียนแปลงของ วัสดุรอบตวั ➢ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงทีม่ ีต่อการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนท่ีของวัตถุ พลงั งานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การเกิดเสยี ง แสงและการมองเหน็ ➢ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ประโยชน์ ลักษณะ และความสำคญั ของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม ➢ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจสังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เคร่ืองมืออยา่ งง่าย รวบรวมข้อมลู บนั ทกึ และอธบิ ายผลการสำรวจตรวจสอบด้วยการ เขียนหรือวาดภาพ และสือ่ สารสิง่ ทเี่ รยี นรู้ด้วยการเล่าเร่อื ง หรอื ด้วยการแสดงทา่ ทางเพ่ือใหผ้ ู้อื่นเขา้ ใจ ➢ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารเบือ้ งต้น รักษาขอ้ มลู สว่ นตัว ➢ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องที่จะศึกษาตามท่ี กำหนดให้หรอื ตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็นและยอมรบั ฟังความคดิ เห็นผอู้ น่ื ➢ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลลุ ่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานรว่ มกบั ผอู้ น่ื อยา่ งมคี วามสขุ ➢ ตระหนักถึงประโยชนข์ องการใช้ความรูแ้ ละกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวติ ศึกษา หาความรเู้ พมิ่ เติม ทำโครงงานหรอื ช้นิ งานตามท่ีกำหนดให้หรอื ตามความสนใจจบช้ัน
๒๘ จบชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี ๖ ➢ เขา้ ใจโครงสร้าง ลกั ษณะเฉพาะและการปรับตัวของส่งิ มีชีวิต รวมท้งั ความสัมพนั ธ์ของสิ่งมีชีวิตใน แหลง่ ทอ่ี ยู่ การทำหน้าทข่ี องสว่ นต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบยอ่ ยอาหารของมนุษย์ ➢ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสารการละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงที่ผันกลบั ได้และผันกลบั ไม่ได้ และการแยกสารอยา่ งงา่ ย ➢ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์ แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรงต่างๆ ผลทเ่ี กิดจากแรงกระทำตอ่ วัตถุ ความดนั หลกั การที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอยา่ งง่าย ปรากฏการณ์เบ้ืองต้นของ เสยี ง และแสง ➢ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ การขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคาพัฒนาการและประโยชน์ของเทคโนโลยี อวกาศ ➢ เขา้ ใจลกั ษณะของแหลง่ นำ้ วฏั จักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำคา้ งนำ้ ค้างแขง็ หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชนห์ ินและแร่ การเกิดซากดกึ ดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุมลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติ ธรณีพิบัติภัย การเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์เรือน กระจก ➢ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในการแก้ปญั หา ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารในการทำงานรว่ มกนั เขา้ ใจสทิ ธิและหนา้ ที่ของ ตนเคารพสิทธขิ องผู้อ่ืน ➢ ตั้งคำถามหรอื กำหนดปญั หาเก่ียวกับสง่ิ ทจี่ ะเรยี นรู้ตามที่กำหนดให้หรอื ตามความสนใจ คาดคะเน คำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจตรวจสอบ วางแผนและ สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศทีเ่ หมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง เชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ ➢ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจตรวจสอบใน รูปแบบทเี่ หมาะสมเพื่อส่อื สารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบไดอ้ ย่างมีเหตุผลและหลกั ฐานอา้ งอิง ➢ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เก่ียวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเองแสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความ คิดเหน็ ผอู้ นื่ ➢ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่นรอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลุลว่ งเปน็ ผลสำเร็จและทำงานรว่ มกบั ผูอ้ ่ืนอยา่ งสรา้ งสรรค์ ➢ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความช่ืนชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและศึกษาหา ความรูเ้ พิ่มเตมิ ทำโครงงานหรือชนิ้ งานตามที่กำหนดใหห้ รือตามความสนใจ ➢ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ มอย่างรคู้ ณุ คา่
๒๙ ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดลอ้ ม รวมทง้ั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ช้นั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. ระบชุ ่ือพืชและสตั ว์ทีอ่ าศัยอย่บู รเิ วณต่างๆ • บรเิ วณตา่ ง ๆ ในทอ้ งถิน่ เชน่ สนามหญ้า ใต้ จากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ตน้ ไม้ สวนหย่อม แหล่งนำ้ อาจพบพืชและสตั ว์ หลายชนิดอาศัยอยู่ ๒. บอกสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมกับการ ดำรงชีวิตของสัตว์ในบรเิ วณท่อี าศยั อยู่ • บริเวณที่แตกตา่ งกันอาจพบพชื และสัตวแ์ ตกต่าง กัน เพราะสภาพแวดล้อมของแตล่ ะบรเิ วณจะมี ความเหมาะสมต่อการดำรงชีวติ ของพืชและสัตว์ ที่ อาศัยอย่ใู นแต่ละบริเวณ เชน่ สระน้ำ มีนำ้ เปน็ ที่ อย่อู าศัยของหอย ปลา สาหรา่ ย เป็นทห่ี ลบภัยและ มแี หลง่ อาหารของหอยและปลา บรเิ วณตน้ มะม่วง มตี ้นมะม่วงเปน็ แหล่งทอี่ ยู่ และมอี าหารสำหรับ กระรอกและมด • ถ้าสภาพแวดล้อมในบรเิ วณท่พี ืชและสัตวอ์ าศัย อย่มู ีการเปล่ยี นแปลง จะมีผลต่อการดำรงชีวิตของ พชื และสตั ว์ ป.๒ - - ป.๓ - - ป.๔ - - ป.๕ ๑. บรรยายโครงสร้างและลกั ษณะของสง่ิ มีชีวติ • สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้างและลักษณะ ท่ีเหมาะสมกบั การดำรงชีวติ ซ่งึ เป็นผลมาจาก ที่เหมาะสมในแต่ละแหล่งที่อยู่ ซึ่งเป็นผลมาจาก การปรบั ตัวของส่ิงมชี วี ติ ในแต่ละแหล่งที่อยู่ การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต เพื่อให้ดำรงชีวิตและอยู่ รอดได้ในแต่ละแหล่งที่อยู่ เช่น ผักตบชวามีช่อง อากาศในก้านใบช่วยให้ลอยน้ำได้ต้นโกงกางที่ ขึ้นอยู่ในป่าชายเลนมีรากค้ำจุนทำให้ลำต้นไม่ล้ม ปลามีครบี ชว่ ยในการเคล่ือนท่ีในน้ำ ๒. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสิ่งมีชวี ิตกบั • ในแหล่งที่อยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมีความสัมพันธ์ สิง่ มชี วี ติ และความสัมพันธร์ ะหวา่ งสิง่ มีชีวติ กับ ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิต เพื่อ สิง่ ไม่มชี ีวิต เพ่ือประโยชนต์ ่อการดำรงชีวิต ประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต เช่น ความสัมพันธ์กัน
๓๐ ชนั้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.๕ ๓. เขียนโซ่อาหารและระบุบทบาทหน้าที่ของ ด้านการกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย (ตอ่ ) สิ่งมชี ีวิตที่เป็นผูผ้ ลติ และผบู้ ริโภคในโซอ่ าหาร หลบภัยและเล้ียงดลู ูกออ่ น ใชอ้ ากาศในการหายใจ ๔. ตระหนกั ในคณุ ค่าของส่ิงแวดล้อมที่มีต่อการ • สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อกัน ดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีส่วนร่วมในการ เปน็ ทอด ๆ ในรปู แบบของโซอ่ าหาร ทำใหส้ ามารถ ดแู ลรักษาสง่ิ แวดล้อม ระบุบทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตเป็นผู้ผลิตและ ผู้บริโภค ป.๖ - - สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบัติของสิง่ มีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชวี ิต การลำเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบชุ อ่ื บรรยายลกั ษณะและบอกหน้าที่ของ • มนุษย์มีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าท่ี ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ สัตว์ และพืช แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต เช่น รวมทั้งบรรยายการทำหน้าที่ร่วมกันของส่วน ตามีหน้าที่ไว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตา เพ่ือ ต่าง ๆ ของรา่ งกายมนุษยใ์ นการทำกิจกรรม ปอ้ งกนั อนั ตรายใหก้ ับตา หมู หี นา้ ที่รับฟงั เสียง โดย ตา่ ง ๆ จากขอ้ มูลท่ีรวบรวมได้ มีใบหูและรูหู เพื่อเป็นทางผ่านของเสียงปากมี ๒. ตระหนักถงึ ความสำคัญของสว่ นต่าง ๆ ของ หน้าที่พูด กินอาหาร มีช่องปากและมีริมฝีปากบน ร่างกายตนเอง โดยการดูแลส่วนต่าง ๆ อย่าง ล่าง แขนและมือมีหน้าที่ยก หยิบ จับ มีท่อนแขน ถูกตอ้ ง ให้ปลอดภัย และรกั ษาความสะอาดอยู่ และนิ้วมือที่ขยับได้ สมองมีหน้าที่ควบคุมการ เสมอ ทำงานของส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย อยู่ในกะโหลก ศีรษะ โดยส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะทำหน้าท่ี ร่วมกันในการทำกิจกรรมในชวี ิตประจำวัน • สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดส่วนต่าง ๆ ที่มี ลักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกัน เพือ่ ใหเ้ หมาะสม ใน การดำรงชวี ติ เช่น ปลามคี รบี เปน็ แผ่น สว่ นกบ เตา่ แมว มขี า ๔ ขา และมีเทา้ สำหรบั ใช้ในการเคลอื่ นที่ • พืชมีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่แตกต่าง กัน เพื่อให้เหมาะสมในการดำรงชีวิต โดยทั่วไป รากมีลักษณะเรียวยาว และแตกแขนงเป็นราก เล็กๆ ทำหน้าทดี่ ดู นำ้ ลำตน้ มลี ักษณะเปน็
๓๑ ชัน้ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ทรงกระบอกตงั้ ตรงและมกี งิ่ ก้าน ทำหน้าท่ชี ูก่งิ กา้ น (ต่อ) ใบและดอก ใบมีลักษณะเป็นแผ่นแบน ทำหน้าที่ สร้างอาหาร นอกจากนี้พชื หลายชนิด อาจมีดอกท่ี มสี ี รปู ร่างตา่ ง ๆ ทำหน้าทส่ี ืบพันธุ์ รวมท้ังมีผลท่ีมี เปลือก มีเนื้อห่อหุ้มเมล็ดและมีเมล็ดซึ่งสามารถ งอกใหม่ได้ เป็นตน้ • มนุษย์ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการดำรงชวี ิต มนุษย์จึงควรใช้ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามอง ตัวหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ ดูแลตาให้ ปลอดภัยจากอันตราย และรักษาความสะอาดตา อยเู่ สมอ ป.๒ ๑. ระบุว่าพืชต้องการแสงและน้ำ เพื่อการ • พืชต้องการนำ้ แสง เพือ่ การเจริญเติบโต เจริญเติบโต โดยใช้ข้อมูลจากหลักฐานเชิง ประจกั ษ์ ๒. ตระหนักถึงความจำเป็นที่พืชต้องได้รับน้ำ และแสงเพื่อการเจริญเติบโต โดยดูแลพืชให้ ไดร้ บั สงิ่ ดังกล่าวอย่างเหมาะสม ๓. สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏจักรชีวิตของ • พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการ พชื ดอก สืบพันธุ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นผล ภายในผลมีเมล็ด เมื่อเมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ดจะ เจริญเติบโตเป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่จะ เจริญเติบโต ออกดอกเพื่อสืบพันธุ์มีผลต่อไปได้อีก หมนุ เวยี นต่อเน่อื งเป็นวัฏจกั รชวี ิตของพชื ดอก ป.๓ ๑. บรรยายสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และ • มนุษย์และสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ และอากาศ การเจริญเติบโตของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ เพือ่ การดำรงชวี ิตและการเจรญิ เติบโต ขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ • อาหารช่วยให้รา่ งกายแข็งแรงและเจรญิ เติบโตน้ำ ๒. ตระหนักถึงประโยชน์ของอาหาร น้ำ และ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ อากาศใช้ ใน อากาศ โดยการดูแลตนเองและสัตว์ให้ได้รับสิง่ การหายใจ เหล่าน้อี ย่างเหมาะสม ๓. สร้างแบบจำลองที่บรรยายวัฏจักรชีวิตของ • สัตว์เมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มีลูก เมื่อลูก สัตว์ และเปรียบเทียบวัฏจักรชีวิตของสัตว์บาง เจรญิ เตบิ โตเป็นตัวเตม็ วยั กส็ ืบพันธม์ุ ีลกู ต่อไปได้อีก ชนิด หมุนเวียนต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ซึ่งสัตว์ ๔. ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ โดยไม่ทำ แต่ละชนิด เช่น ผีเสื้อ กบ ไก่ มนุษย์จะมีวัฏจักร ชีวิตที่เฉพาะและแตกต่างกัน ใหว้ ฏั จกั รชวี ติ ของสัตว์เปลยี่ นแปลง
๓๒ ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๔ ๑. บรรยายหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ และดอก • สว่ นตา่ ง ๆ ของพืชดอกทำหน้าทแ่ี ตกตา่ งกนั ของพืชดอก โดยใช้ข้อมลู ที่รวบรวมได้ - รากทำหนา้ ทด่ี ูดน้ำและธาตอุ าหารข้ึนไปยงั ลำต้น - ลำต้นทำหน้าที่ลำเลียงน้ำต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช - ใบทำหนา้ ท่ีสรา้ งอาหาร อาหารท่ีพชื สรา้ งขึน้ คอื น้ำตาลซงึ่ จะเปลี่ยนเป็นแปง้ - ดอกทำหน้าที่สืบพันธุ์ ประกอบด้วย ส่วนประกอบต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซึ่งส่วนประกอบแต่ ละสว่ นของดอกทำหนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน ป.๕ - - ป.๖ ๑. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของ • สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่ สารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเอง คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมนั เกลอื แร่ รับประทาน วิตามนิ และนำ้ ๒. บอกแนวทางในการเลอื กรับประทานอาหาร • อาหารแต่ละชนิดประกอบดว้ ยสารอาหาร ให้ไดส้ ารอาหารครบถว้ น ในสัดส่วนทีเ่ หมาะสม ที่แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วย กับเพศและวัย รวมทั้งความปลอดภัยต่อ สารอาหารประเภทเดียว อาหารบางอย่าง สุขภาพ ประกอบดว้ ยสารอาหารมากกวา่ หนงึ่ ประเภท ๓. ตระหนักถึงความสำคัญของสารอาหาร โดย • สารอาหารแตล่ ะประเภทมีประโยชน์ต่อ ก าร เลื อ ก ร ั บปร ะ ทาน อ า หา ร ท ี ่ มี ส าร อ า ห า ร ครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย ร่างกายแตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน รวมทัง้ ปลอดภัยตอ่ สขุ ภาพ และไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามิน และน้ำ เป็นสารอาหารท่ี ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกายทำงาน ได้เป็นปกติ • การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายเจริญ เตบิ โต มกี ารเปล่ียนแปลงของร่างกายตามเพศและ วัย และมีสุขภาพดี จำเป็นต้องรับประทานให้ได้ พลังงานเพียงพอกับความต้องการของรา่ งกาย และ ให้ได้สารอาหารครบถว้ น ในสดั สว่ นที่เหมาะสมกับ เพศและวัย รวมทั้งต้องคำนึงถึงชนิดและปริมาณ ของวัตถุเจือปนในอาหารเพื่อความปลอดภัยต่อ สุขภาพ
๓๓ ชน้ั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๖ ๔. สร้างแบบจำลองระบบย่อยอาหาร และ • ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ (ตอ่ ) บรรยายหน้าที่ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ รวมทั้งอธิบายการย่อยอาหารและการดูดซึม เล็ก ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทำ สารอาหาร หนา้ ท่ีรว่ มกนั ในการยอ่ ยและดดู ซึมสารอาหาร ๕. ตระหนักถึงความสำคัญของระบบย่อย - ปากมีฟันช่วยบดเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลง อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษา และมีลน้ิ ช่วยคลุกเคล้าอาหารกบั นำ้ ลาย อวัยวะในระบบยอ่ ยอาหารใหท้ ำงานเป็นปกติ ในน้ำลายมเี อนไซมย์ อ่ ยแปง้ ให้เป็นน้ำตาล - หลอดอาหารทำหน้าที่ลำเลียงอาหารจากปากไป ยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการ ย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจาก กระเพาะอาหาร - ลำไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำไส้เล็กเอง และจากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันท่ี ผ่านการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะ ดดู ซมึ ได้ รวมถงึ นำ้ เกลือแร่ และวติ ามิน จะถูกดูด ซึมที่ผนงั ลำไสเ้ ล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพ่อื ลำเลียงไป ยังส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ซ่งึ โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต และไขมัน จะถูกนำไปใช้เปน็ แหลง่ พลังงานสำหรับ ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วยใหร้ ่างกายทำงานได้เปน็ ปกติ - ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายังลำไส้เล็กช่วยให้ไขมัน แตกตวั - ลำไสใ้ หญท่ ำหน้าท่ีดูดน้ำและเกลือแรเ่ ป็นบริเวณ ที่มีอาหารที่ย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมด เป็นกาก อาหารซึง่ จะถกู กำจัดออกทางทวารหนกั • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสำคัญ จึงควรปฏิบัติตน ดูแลรักษาอวัยวะให้ทำงานเป็น ปกติ
๓๔ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมสาร พนั ธกุ รรม การเปล่ียนแปลงทางพันธกุ รรมท่มี ีผลต่อส่ิงมชี ีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและวิวัฒนาการของ ส่งิ มชี ีวิต รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๑ - - ป.๒ ๑. เปรยี บเทยี บลกั ษณะของสิ่งมีชีวติ • สิง่ ทอี่ ยูร่ อบตัวเรามีทงั้ ท่ีเปน็ สิ่งมชี ีวิตและ และสิง่ ไมม่ ชี ีวิต จากข้อมูลท่รี วบรวมได้ สิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องการอาหาร มีกาหายใจ เจริญเติบโต ขับถ่าย เคลื่อนไหว ตอบสนองต่อสิ่ง เร้า และสืบพันธุ์ได้ลูกท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกบั พ่อ แม่ สว่ นสิง่ ไมม่ ชี วี ติ จะไม่มลี กั ษณะดงั กลา่ ว ป.๓ - - ป.๔ ๑. จำแนกสง่ิ มีชีวิตโดยใช้ความเหมอื น • สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุ่มได้ โดยใช้ และความแตกต่างของลักษณะของสิ่งมีชีวิต ความเหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใช่พืช เช่น กลุ่มพืชสร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนที่ด้วย ตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร และสัตว์ และเคลื่อนที่ได้ กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ เช่น เห็ด รา จุลินทรีย์ ๒. จำแนกพืชออกเป็นพชื ดอกและพืชไม่มีดอก • การจำแนกพืช สามารถใชก้ ารมดี อกเป็นเกณฑ์ใน โดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลที่ การจำแนก ไดเ้ ป็นพืชดอกและพืชไมม่ ีดอก รวบรวมได้ ๓. จำแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง • การจำแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดูกสันหลัง และสัตวไ์ มม่ กี ระดูกสนั หลงั โดยใช้การมีกระดูก เป็นเกณฑ์ในการจำแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูกสัน สนั หลงั เป็นเกณฑ์ โดยใชข้ ้อมูลท่รี วบรวมได้ หลงั และสตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลงั ๔. บรรยายลักษณะเฉพาะท่สี ังเกตได้ของสัตว์มี กระดูกสันหลังในกลุ่มปลา กลุ่มสัตว์สะเทินน้ำ • สัตว์มกี ระดกู สันหลังมหี ลายกลุ่ม ไดแ้ ก่ กลุ่มปลา สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และ กลุ่มสัตว์สะเทนิ นำ้ สะเทินบก กลุ่มสัตว์เลือ้ ยคลาน กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และยกตัวอย่าง กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซึ่งแต่ละ สิ่งมีชีวติ ในแต่ละกล่มุ กลุม่ จะมลี กั ษณะเฉพาะท่สี งั เกตได้ ป.๕ ๑. อธิบายลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการ • สง่ิ มชี วี ติ ทั้งพชื สัตว์ และมนษุ ย์ เม่ือโตเต็มท่ีจะมี ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูกของพืช สัตว์ และ การสืบพันธุ์เพื่อเพิ่มจำนวนและดำรงพันธุ์ โดยลูก มนษุ ย์ ที่เกิดมาจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทาง พนั ธุกรรมจากพ่อแมท่ ำให้มลี ักษณะทางพันธุกรรม ทเี่ ฉพาะแตกตา่ งจากสิ่งมชี วี ิตชนดิ อ่นื
๓๕ ชัน้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๕ ๒. แสดงความอยากรู้อยากเห็น โดยการถาม • พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่น (ตอ่ ) คำถามเกี่ยวกับลักษณะที่คล้ายคลึงกันของ ลกั ษณะของใบ สดี อก ตนเองกับพอ่ แม่ • สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม เช่นสี ขน ลักษณะของขน ลกั ษณะของหู • มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม เช่น เชิงผมที่หน้าผาก ลักยิ้ม ลักษณะหนังตา การห่อ ลิ้น ลกั ษณะของติง่ หู ป.๖ - -
๓๖ สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนยี่ วระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ชน้ั ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. อธิบายสมบตั ิทีส่ งั เกตได้ของวสั ดุท่ีใช้ทำวัตถุ • วสั ดทุ ใี่ ชท้ ำวตั ถุทเ่ี ป็นของเลน่ ของใช้ มีหลายชนิด ซึ่งทำจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิด เช่น ผ้า แก้ว พลาสติก ยาง ไม้ อิฐ หิน กระดาษ ประกอบกันโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจักษ์ โลหะ วสั ดุแต่ละชนดิ มีสมบตั ทิ ่ีสงั เกตไดต้ ่าง ๆ เช่น ๒. ระบุชนิดของวสั ดุและจัดกลมุ่ วัสดุตามสมบัติ สี นมุ่ แขง็ ขรุขระ เรียบ ใส ขนุ่ ยืดหดไดบ้ ิดงอได้ ที่สงั เกตได้ • สมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุแต่ละชนิดอาจ เหมอื นกนั ซ่งึ สามารถนำมาใช้เปน็ เกณฑ์ในการจัด กลุ่มวัสดุได้ • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาประกอบกัน เพื่อทำ เป็นวัตถุต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใช้ทำเสื้อ ไม้ และโลหะ ใชท้ ำกระทะ ป.๒ ๑. เปรยี บเทียบสมบัติการดดู ซับนำ้ ของวัสดุโดย • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซับน้ำแตกต่างกัน ใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ และระบุการนำสมบัติ จึงนำไปทำวัตถุเพ่ือใช้ประโยชนไ์ ด้แตกต่างกัน เช่น การดูดซับน้ำของวัสดุไปประยุกต์ใช้ในการทำ ใช้ผา้ ทีด่ ูดซบั น้ำได้มากทำผ้าเช็ดตวั ใชพ้ ลาสติก ซ่งึ วัตถุในชีวิตประจำวนั ไมด่ ดู ซบั นำ้ ทำร่ม ๒. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุที่เกิดจาก • วัสดุบางอย่างสามารถนำมาผสมกันซึ่งทำให้ได้ การนำวัสดุมาผสมกันโดยใช้หลักฐานเชิง สมบัติที่เหมาะสม เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ตาม ประจกั ษ์ ต้องการ เช่น แป้งผสมน้ำตาลและกะทิ ใช้ทำขนม ไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเยื่อกระดาษใช้ทำกระปุก ออมสนิ ปูนผสมหิน ทราย และน้ำใช้ทำคอนกรตี ๓. เปรียบเทียบสมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุ เพื่อ • การนำวัสดุมาทำเป็นวัตถุในการใช้งานตาม นำมาทำเปน็ วัตถใุ นการใชง้ านตามวตั ถุประสงค์ วัตถุประสงคข์ ึ้นอยูก่ ับสมบตั ิของวัสดุ วัสดุที่ใช้แล้ว และอธิบายการนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ อาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษใช้แล้ว อาจ โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจักษ์ นำมาทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ ถุงใส่ ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของการนำวัสดุที่ใช้ ของ แล้วกลับมาใช้ใหม่ โดยการนำวัสดุที่ใช้แล้ว กลบั มาใชใ้ หม่
๓๗ ชน้ั ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๓ ๑. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้นจากชิ้น • วัตถอุ าจทำจากชิ้นส่วนยอ่ ย ๆ ซ่ึงแต่ละชิ้น ส่วนย่อยๆ ซึ่งสามารถแยกออกจากกนั ได้และ มีลักษณะเหมือนกันมาประกอบเข้าด้วยกัน เมื่อ ประกอบกันเปน็ วตั ถชุ น้ิ ใหมไ่ ด้ โดยใช้หลกั ฐาน แยกชิ้นส่วนย่อย ๆ แต่ละชิ้นของวัตถุออกจากกัน เชิงประจักษ์ สามารถนำช้นิ ส่วนเหล่าน้นั มาประกอบเปน็ วัตถุช้ิน ใหม่ได้ เช่น กำแพงบ้านมีก้อนอิฐหลาย ๆ ก้อน ประกอบเข้าด้วยกัน และสามารถนำก้อนอิฐจาก กำแพงบา้ นมาประกอบเป็นพ้นื ทางเดินได้ ๒. อธิบายการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทำให้ • เมื่อให้ความร้อนหรือทำให้วัสดุร้อนขึ้น และเมื่อ ร้อนขึ้นหรือทำให้เย็นลง โดยใช้หลักฐานเชิง ลดความรอ้ นหรอื ทำให้วัสดุเยน็ ลง วสั ดุจะเกิด การ ประจกั ษ์ เปลี่ยนแปลงได้ เชน่ สีเปลี่ยน รูปร่างเปลี่ยน ป.๔ ๑. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้านความ • วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน แข็ง สภาพยดื หยุ่น การนำความร้อน และการ วสั ดุท่มี ีความแข็งจะทนต่อแรงขดู ขดี วสั ดุทม่ี สี ภาพ นำไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ยืดหยุ่นจะเปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อมีแรงมากระทำ จากการทดลองและระบุการนำสมบัติเรื่อง และกลบั สภาพเดิมได้ วสั ดุที่นำความร้อนจะรอ้ นได้ ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนำความร้อน เรว็ เมอ่ื ไดร้ ับความรอ้ นและวัสดุท่นี ำไฟฟ้าได้ จะให้ แ ล ะ ก า ร น ำ ไ ฟ ฟ ้ า ข อ ง ว ั ส ด ุ ไ ป ใ ช ้ ใ น กระแสไฟฟ้าผ่านได้ ดังนั้นจึงอาจนำสมบัติต่าง ๆ ชีวิตประจำวันผ่านกระบวนการออกแบบ มาพจิ ารณาเพื่อใช้ในกระบวนการออกแบบช้ินงาน ช้ินงาน เพอ่ื ใช้ประโยชนใ์ นชีวติ ประจำวัน ๒. แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่นโดยการ • วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่ อภิปรายเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพของวัสดุ สสารมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส อย่างมเี หตผุ ลจากการทดลอง ของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างคงที่ ของเหลวมี ๓. เปรียบเทียบสมบัติของสสารทั้ง ๓ สถานะ ปริมาตรคงที่ แต่มีรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะ จากข้อมลู ทไี่ ด้จากการสงั เกตมวล การต้องการ เฉพาะส่วนที่บรรจุของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร ทอ่ี ยู่ รปู ร่างและปรมิ าตรของสสาร และรปู ร่างเปลยี่ นไปตามภาชนะท่บี รรจุ ๔. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวล และปริมาตรของ สสารทัง้ ๓ สถานะ ป.๕ ๑. อธบิ ายการเปลย่ี นสถานะของสสาร เมื่อทำ • การเปลี่ยนสถานะของสสารเปน็ การเปล่ียนแปลง ให้สสารรอ้ นขึน้ หรอื เย็นลง โดยใชห้ ลักฐานเชิง ทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารถึง ประจกั ษ์ ระดับหนึ่งจะทำให้สสารที่เป็นของแข็งเปลี่ยน สถานะเป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว และ เ ม ื ่ อ เ พ ิ ่ ม ค ว า ม ร ้ อ น ต ่ อ ไ ป จ น ถ ึ ง อ ี ก ร ะ ด ั บ ห นึ่ ง ของเหลวจะเปลี่ยนเป็นแก๊ส เรยี กวา่ การกลายเป็น ไอ แต่เมื่อลดความร้อนลงถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะ เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่าการควบแน่น และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถึงระดับหน่ึง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การแข็งตัว สสารบางชนดิ สามารถเปลี่ยน
๓๘ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๕ สถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ผ่านการเป็น (ตอ่ ) ของเหลว เรียกว่า การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิด สามารถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่านการ เปน็ ของเหลว เรยี กว่า การระเหิดกลบั ๒. อธิบายการละลายของสารในน้ำ โดยใช้ • เมื่อใส่สารลงในน้ำแล้วสารนั้นรวมเป็นเน้ือ หลักฐานเชงิ ประจักษ์ เดียวกันกับน้ำทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิดการ ละลาย เรยี กสารผสมท่ไี ดว้ ่าสารละลาย ๓. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของสารเมือ่ เกิด • เมื่อผสมสาร ๒ ชนิดขึ้นไปแล้วมีสารใหม่เกิดข้นึ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี โดยใช้หลักฐานเชิง ซึ่งมีสมบัติต่างจากสารเดิมหรือเมื่อสารชนิดเดียว ประจกั ษ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้นการ เปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเคมี ซง่ึ สงั เกตไดจ้ ากมีสีหรือกลิ่นต่างจากสารเดิม หรอื มี ฟองแก๊ส หรือมีตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มขึ้น หรือลดลงของอุณหภมู ิ ๔. วิเคราะห์และระบุการเปลี่ยนแปลงที่ผัน • เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถ กลบั ได้และการเปล่ียนแปลงทผ่ี ันกลบั ไมไ่ ด้ เปลี่ยนกลับเปน็ สารเดิมได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงท่ี ผันกลับได้ เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลง แลว้ ไม่สามารถเปล่ียนกลับเปน็ สารเดิมได้ เป็นการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ เช่นการเผาไหม้ การ เกดิ สนมิ ป.๖ ๑. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสารผสม • สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ ๒ ชนิดขน้ึ ไปผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็ก กัน เช่น น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวดทราย ดึงดูด การรินออก การกรอง และการ วิธีการที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับ ตกตะกอนโดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ รวมท้ัง ล ั ก ษ ณ ะ แ ล ะ ส ม บ ั ต ิ ข อ ง ส า ร ท ี ่ ผ ส ม กั น ระบวุ ธิ แี ก้ปญั หาในชวี ิตประจำวนั เกี่ยวกับการ ถ้าองค์ประกอบของสารผสมเป็นของแข็งกับ แยกสาร ของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจใช้ วิธีการหยิบออกหรือการร่อนผ่านวัสดุที่มีรู ถ้ามี สารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธีการใช้ แม่เหล็กดึงดูด ถ้าองค์ประกอบเป็นของแข็งที่ไม่ ละลายในของเหลว อาจใชว้ ิธกี ารรนิ ออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการแยกสารสามารถ นำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจำวนั ได้
๓๙ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๒ เขา้ ใจธรรมชาติของแรงในชีวติ ประจำวนั ผลของแรงทกี่ ระทำตอ่ วตั ถลุ กั ษณะการ เคลอ่ื นทีแ่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมทง้ั นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.๑ - - ป.๒ - - ป.๓ ๑. ระบผุ ลของแรงทีม่ ตี ่อการเปลย่ี นแปลงการ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงกระทำต่อ เคลือ่ นที่ของวัตถุจากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ วัตถุ แรงมีผลต่อการเคลือ่ นที่ของวัตถุ แรงอาจทำ ให้วัตถุเกิดการเคลื่อนที่โดยเปลี่ยนตำแหน่งจากท่ี หนงึ่ ไปยงั อีกที่หนงึ่ • การเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นที่ของวัตถุ ได้แก่ วัตถุ ที่อยู่นิ่งเปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่ วัตถุที่กำลังเคลื่อนท่ี เปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือช้าลงหรือหยุดน่ิง หรอื เปล่ยี นทศิ ทางการเคลื่อนที่ ๒. เปรยี บเทยี บและยกตวั อยา่ งแรงสัมผัสและ • การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรงที่เกิดจาก แรงไมส่ มั ผสั ทมี่ ีผลต่อการเคล่อื นทข่ี องวัตถุ วัตถหุ นงึ่ กระทำกับอกี วตั ถุหนึง่ โดยวัตถุท้งั สองอาจ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ สมั ผัสหรอื ไม่ตอ้ งสมั ผัสกนั เช่น การออกแรงโดยใช้ มือดงึ หรอื การผลักโตะ๊ ให้เคล่ือนท่ีเปน็ การออกแรง ที่วตั ถุต้องสมั ผสั กันแรงนจ้ี ึงเปน็ แรงสัมผัส ส่วนการ ที่แม่เหลก็ ดงึ ดูดหรือผลกั ระหว่างแมเ่ หล็กเปน็ แรงที่ เกิดขึ้นโดยแม่เหล็กไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน แรง แม่เหลก็ นจี้ ึงเปน็ แรงไมส่ ัมผสั ๓. จำแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูดกับแม่เหลก็ • แม่เหลก็ สามารถดงึ ดูดสารแมเ่ หล็กได้ เป็นเกณฑจ์ ากหลักฐานเชิงประจกั ษ์ • แรงแม่เหล็กเปน็ แรงที่เกิดขึน้ ระหว่างแม่เหล็กกับ ๔.ระบขุ ว้ั แม่เหล็กและพยากรณผ์ ลทีเ่ กิดข้ึน สารแมเ่ หลก็ หรือแม่เหลก็ กับแมเ่ หลก็ ระหวา่ งขน้ั แม่เหลก็ เมื่อนำมาเขา้ ใกล้กนั จาก หลกั ฐานเชิงประจักษ์ แมเ่ หล็กมี 2 ขวั้ คอื ขว้ั เหนอื และขั้วใต้ ข้วั แม่เหล็ก ชนดิ เดยี วกนั จะผลกั กนั ตา่ งชนิดกันจะดงึ ดดู กัน ป.๔ ๑. ระบุผลของแรงโน้มถว่ งทม่ี ตี ่อวตั ถจุ าก • แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระทำ หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ต่อวัตถุ มีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเป็นแรง ๒. ใช้เครอ่ื งชง่ั สปริงในการวัดนำ้ หนักของวัตถุ ไม่สัมผัส แรงดึงดดู ทีโ่ ลกกระทำกับวัตถุหนึ่ง ๆ ทำ ให้วัตถุตกลงสู่พ้ืนโลก และทำให้วัตถุมีนำ้ หนัก วัด น้ำหนักของวัตถไุ ด้จากเครื่องชงั่ สปรงิ น้ำหนักของ วัตถุขึ้นกับมวลของวัตถุ โดยวัตถุที่มีมวลมากจะมี น้ำหนักมาก วัตถุทมี่ มี วลน้อยจะมีนำ้ หนักน้อย
๔๐ ชนั้ ตัวชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๔ ๓. บรรยายมวลของวัตถุท่ีมีผลตอ่ การ • มวล คอื ปริมาณเนื้อของสสารทง้ั หมดท่ีประกอบ (ต่อ) เปล่ียนแปลงการเคลือ่ นท่ขี องวตั ถุจาก กันเป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการ หลักฐานเชิงประจกั ษ์ เปลี่ยนแปลงการเคลอื่ นท่ีของวตั ถุ วัตถุท่ีมีมวลมาก จะเปล่ียนแปลงการเคลอ่ื นทไ่ี ด้ยากกว่าวัตถทุ ม่ี มี วล น้อย ดังนั้นมวลของวัตถุนอกจากจะหมายถึงเนื้อ ทั้งหมดของวัตถุนั้นแล้วยังหมายถึงการต้านการ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนทข่ี องวัตถนุ นั้ ดว้ ย ป.๕ ๑. อธบิ ายวธิ กี ารหาแรงลพั ธ์ของแรงหลายแรง • แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงทก่ี ระทำตอ่ วตั ถุ โดย ในแนวเดียวกันที่กระทำต่อวัตถุในกรณีที่วัตถุ แรงลพั ธข์ องแรง ๒ แรงท่กี ระทำต่อวัตถุเดียวกนั จะ อยูน่ ่ิงจากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ มีขนาดเท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองเมื่อแรงท้ัง ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่กระทำตอ่ วัตถุท่ี สองอยู่ในแนวเดียวกนั และมีทิศทางเดียวกนั แต่จะ อยู่ในแนวเดียวกันและแรงลัพธ์ที่กระทำต่อ มขี นาดเท่ากบั ผลตา่ งของแรงทั้งสองเม่อื แรงท้งั สอง วตั ถุ อยู่ในแนวเดยี วกันแต่มีทิศทางตรงข้ามกัน สำหรับ ๓. ใช้เครื่องชัง่ สปริงในการวัดแรงท่ีกระทำตอ่ วัตถุทีอ่ ย่นู ่งิ แรงลัพธท์ ีก่ ระทำต่อวตั ถมุ คี ่าเปน็ ศูนย์ วตั ถุ • การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำต่อวัตถุ สามารถเขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศรแสดง ทิศทางของแรง และความยาวของลูกศรแสดง ขนาดของแรงท่กี ระทำต่อวตั ถุ ๔. ระบุผลของแรงเสียดทานที่มีต่อการ • แรงเสียดทาน เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจาก เพื่อต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดยถ้าออกแรง หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ กระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิวหนึ่งให้เคลื่อนท่ี ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสยี ดทานและแรง แรงเสียดทานจากพื้นผิวนั้นก็จะต้านการเคลื่อนท่ี ของวัตถุ แต่ถ้าวัตถุกำลังเคลือ่ นที่ แรงเสียดทานก็ ที่อยู่ในแนวเดียวกันทก่ี ระทำต่อวตั ถุ จะทำใหว้ ัตถนุ นั้ เคลอื่ นท่ีชา้ ลงหรอื หยุดนง่ิ ป.๖ ๑. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟา้ ซึ่งเกดิ • วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำเข้าใกล้ จากวตั ถุท่ีผา่ นการขดั ถู โดยใชห้ ลกั ฐานเชิง กันอาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรง ประจักษ์ ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มี ประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี ๒ ชนิด คือ ประจุ ไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้า ชนดิ เดยี วกนั ผลักกัน ชนิดตรงขา้ มกนั ดึงดดู กัน
๔๑ สาระท่ี ๒ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลงั งาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลงั งาน พลงั งานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลื่น ปรากฏการณท์ ี่เกย่ี วขอ้ ง กับเสียง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๑ ๑. บรรยายการเกิดเสียงและทิศทางการ • เสียงเกิดจากการส่นั ของวัตถุ วตั ถทุ ่ที ำใหเ้ กดิ เสียง เคลอ่ื นท่ีของเสียงจากหลักฐานเชิงประจักษ์ เป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีทั้งแหล่งกำเนิดเสียง ตามธรรมชาติและแหล่งกำเนิดเสียงที่มนุษย์สร้าง ขึ้น เสียงเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิดเสียงทุก ทศิ ทาง ป.๒ ๑. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ของแสงจาก • แสงเคล่อื นทจี่ ากแหลง่ กำเนิดแสงทุกทิศทาง แหล่งกำเนดิ แสง และอธบิ ายการมองเห็นวัตถุ เป็นแนวตรง เมื่อมีแสงจากวัตถุมาเข้าตาจะทำให้ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ มองเห็นวตั ถุนัน้ การมองเห็นวตั ถุทีเ่ ปน็ ๒. ตระหนักในคุณค่าของความรู้ของการ แหล่งกำเนิดแสง แสงจากวัตถุนั้นจะเข้าสู่ตา มองเห็นโดยเสนอแนะแนวทางการป้องกัน โดยตรงส่วนการมองเห็นวัตถุที่ไม่ใช่แหล่งกำเนิด อันตรายจากการมองวัตถุที่อยู่ในบริเวณที่มี แสง ตอ้ งมแี สงจากแหลง่ กำเนิดแสงไปกระทบวัตถุ แสงสวา่ งไม่เหมาะสม แล้วสะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่างมาก ๆ เข้าสู่ตา อาจเกดิ อันตรายตอ่ ตาได้ จงึ ต้องหลกี เลี่ยงการมอง หรือใช้แผ่นกรองแสงที่มีคุณภาพเมื่อจำเป็น และ ต้องจัดความสว่างให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรม ต่าง ๆ เช่น การอ่านหนังสือการดจู อโทรทัศน์ การ ใช้โทรศัพทเ์ คล่ือนทแ่ี ละแทบ็ เลต็ ป.๓ ๑. ยกตัวอย่างการเปลี่ยนพลังงานหนึ่งไปเปน็ • พลงั งานเป็นปรมิ าณทีแ่ สดงถงึ ความสามารถ อีกพลงั งานหนง่ึ จากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ ในการทำงาน พลังงานมีหลายแบบ เช่น พลังงาน กล พลังงานไฟฟ้า พลงั งานแสง พลังงานเสยี ง และ พลังงานความร้อน โดยพลังงานสามารถเปลี่ยน จากพลังงานหนึ่งไปเป็นอีกพลังงานหนึ่งได้ เช่น การถูมือจนรู้สึกร้อน เป็นการเปลี่ยนพลังงานกล เป็นพลังงานความร้อน แผงเซลล์สุริยะเปลี่ยน พลังงานแสงเปน็ พลังงานไฟฟ้า หรอื เคร่อื งใช้ไฟฟ้า เปล่ยี นพลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานอน่ื ๒. บรรยายการทำงานของเคร่ืองกำเนิดไฟฟ้า • ไฟฟ้าผลิตจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าซึ่งใช้พลังงาน และระบุแหล่งพลังงานในการผลิตไฟฟ้า จาก จากแหล่งพลังงานธรรมชาติหลายแหล่ง เช่น ข้อมลู ทรี่ วบรวมได้ พลังงานจากลม พลังงานจากนำ้ พลังงานจากแก๊ส ธรรมชาติ
๔๒ ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๓ ๓. ตระหนักในประโยชน์และโทษของไฟฟ้า • พลงั งานไฟฟา้ มคี วามสำคัญต่อชวี ิตประจำวนั (ตอ่ ) โดยนำเสนอวิธีการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด การใชไ้ ฟฟ้านอกจากต้องใช้อย่างถกู วธิ ี ประหยัด และปลอดภัย และคุ้มคา่ แล้ว ยังต้องคำนึงถงึ ความปลอดภัยดว้ ย ป.๔ ๑. จำแนกวตั ถุเป็นตวั กลางโปร่งใส • เมือ่ มองสง่ิ ตา่ ง ๆ โดยมีวตั ถตุ ่างชนดิ กนั มาก้ันแสง ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง จาก จะทำให้ลักษณะการมองเห็นสิ่งนั้น ๆ ชัดเจน ลักษณะการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านวัตถุนั้น ต่างกัน จงึ จำแนกวัตถุทมี่ ากนั้ ออกเป็น เป็นเกณฑโ์ ดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ตัวกลางโปร่งใส ซึ่งทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และวัตถุทึบแสงทำให้มองไม่เห็นส่ิง ต่าง ๆ น้นั ป.๕ ๑. อธิบายการได้ยินเสียงผ่านตัวกลางจาก • การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็น หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ของแข็ง ของเหลว หรืออากาศ เสียงจะส่งผ่าน ตัวกลางมายงั หู ๒. ระบุตัวแปร ทดลอง และอธิบายลักษณะ • เสียงที่ได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียงต่างกันขึ้นกับ และการเกดิ เสียงสงู เสียงตำ่ ความถี่ของการสั่นของแหล่งกำเนิดเสียง โดยเม่ือ ๓. ออกแบบการทดลองและอธิบายลักษณะ แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะเกิดเสียงต่ำ และการเกดิ เสยี งดัง เสียงค่อย แต่ถ้าส่ันด้วยความถี่สูงจะเกิดเสียงสูง ส่วนเสียงดัง ๔. วัดระดับเสยี งโดยใช้เคร่ืองมือวัดระดบั เสียง คอ่ ยท่ไี ด้ยนิ ขนึ้ กบั พลงั งานการสัน่ ของแหล่งกำเนิด ๕. ตระหนักในคุณค่าของความรู้เรื่องระดับ เสยี ง โดยเมอ่ื แหลง่ กำเนิดเสียงสัน่ ดว้ ยพลงั งานมาก เสียงโดยเสนอแนะแนวทางในการหลีกเลี่ยง จะเกิดเสียงดัง แต่ถ้าแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วย และลดมลพิษทางเสยี ง พลังงานน้อยจะเกดิ เสยี งคอ่ ย • เสยี งดังมาก ๆ เป็นอันตรายตอ่ การได้ยินและเสียง ทกี่ ่อให้เกดิ ความรำคาญเป็นมลพิษทางเสียง เดซิเบล เป็นหน่วยทบ่ี อกถึงความดังของเสยี ง ป.๖ ๑. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ของ • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิด แต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ จากหลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ ไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือ ๒. เขียนแผนภาพและตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย แบตเตอรี่ ทำหน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้า เป็นตัวนำไฟฟ้า ทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง แหล่งกำเนิดไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เครื่องใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็น พลงั งานอื่น
๔๓ ชั้น ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๖ ๓. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีท่ี • เมอื่ นำเซลลไ์ ฟฟา้ หลายเซลล์มาต่อเรยี งกัน (ตอ่ ) เหมาะสมในการอธิบายวธิ กี ารและผลของการ โดยใหข้ ว้ั บวกของเซลลไ์ ฟฟา้ เซลล์หน่ึงต่อกับขั้วลบ ต่อเซลลไ์ ฟฟ้าแบบอนุกรม ของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรมทำให้มี ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการ พลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการ ต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์ ต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนำไปใช้ และการประยกุ ต์ใชใ้ นชีวติ ประจำวัน ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจำวัน เช่น การต่อเซลล์ไฟฟ้า ในไฟฉาย ๕. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีที่ • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเม่อื ถอด เหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้า หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่ึงออกทำให้หลอดไฟฟ้าท่ี แบบอนกุ รมและแบบขนาน เหลอื ดบั ทั้งหมด ส่วนการตอ่ หลอดไฟฟา้ แบบ ๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการ ขนาน เมอ่ื ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึง่ ออก ต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน หลอดไฟฟา้ ที่เหลอื กย็ งั สว่างได้ การต่อหลอดไฟฟา้ โดยบอกประโยชน์ ข้อจำกัด และการ แตล่ ะแบบสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ เช่น การ ประยุกตใ์ ช้ ในชวี ิตประจำวัน ต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบา้ นจึงต้องต่อหลอด ไฟฟา้ แบบขนาน เพอ่ื เลอื กใช้หลอดไฟฟา้ ดวงใด ดวงหนง่ึ ได้ตามตอ้ งการ ๗. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจากหลักฐาน • เมื่อนำวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉาก เชิงประจกั ษ์ รบั แสงท่อี ยู่ดา้ นหลังวตั ถุ โดยเงามรี ูปร่างคล้ายวัตถุ ๘. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิด ท่ที ำใหเ้ กิดเงา เงามวั เป็นบริเวณที่มี เงามืดเงามวั แสงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเปน็ บริเวณท่ี ไมม่ ีแสงตกลงบนฉากเลย
๔๔ สาระที่ ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ชัน้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๑ ๑. ระบุดาวทป่ี รากฏบนทอ้ งฟ้าในเวลา • บนทอ้ งฟ้ามีดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์ และดาว กลางวนั และกลางคืนจากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ ซ่งึ ในเวลากลางวนั จะมองเหน็ ดวงอาทิตย์ ๒. อธิบายสาเหตทุ มี่ องไม่เหน็ ดาวส่วนใหญใ่ น และอาจมองเห็นดวงจันทรบ์ างเวลาในบางวัน เวลากลางวันจากหลกั ฐานเชิงประจักษ์ แต่ไมส่ ามารถมองเห็นดาว • ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วนใหญ่ เนื่องจากแสงอาทิตย์สวา่ งกว่าจึงกลบแสงของดาว ส่วนในเวลากลางคืนจะมองเหน็ ดาวและ มองเห็นดวงจนั ทร์เกือบทกุ คนื ป.๒ - - ป.๓ ๑. อธิบายแบบรปู เสน้ ทางการขนึ้ และตก ของ • คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏข้นึ ดวงอาทิตยโ์ ดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ ทางด้านหนึ่งและตกทางอีกด้านหนึ่งทุกวัน ๒. อธบิ ายสาเหตุการเกดิ ปรากฏการณก์ ารขน้ึ หมุนเวียนเปน็ แบบรปู ซำ้ ๆ และตกของดวงอาทิตย์ การเกิดกลางวัน • โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะโคจรรอบดวง กลางคืน และการกำหนดทิศ โดยใช้ อาทิตย์ ทำให้บริเวณของโลกได้รับแสงอาทิตย์ไม่ แบบจำลอง พร้อมกัน โลกด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะ ๓. ตระหนักถงึ ความสำคัญของดวงอาทิตย์ เป็นกลางวันสว่ นด้านตรงข้ามทีไ่ มไ่ ดร้ ับแสงจะเป็น โดยบรรยายประโยชน์ของดวงอาทติ ย์ต่อ กลางคืน นอกจากนี้คนบนโลกจะมองเห็นดวง สิง่ มชี วี ิต อาทิตย์ปรากฏขึ้นทางด้านหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้เป็น ทิศตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ตกทางอีก ดา้ นหนงึ่ ซ่งึ กำหนดใหเ้ ปน็ ทศิ ตะวันตก และเมื่อให้ ดา้ นขวามอื อยู่ทางทิศตะวนั ออกดา้ นซา้ ยมืออยทู่ าง ทิศตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนือ และ ด้านหลงั จะเป็นทิศใต้ • ในเวลากลางวันโลกจะได้รับพลังงานแสงและ พลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชวี ติ อยู่ได้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153