Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ สำหรับ สถานประกอบการ

คู่มือ สำหรับ สถานประกอบการ

Published by kanokrat sudiapa, 2021-12-05 11:31:40

Description: คู่มือ สำหรับ สถานประกอบการ

Search

Read the Text Version

๔๗ 1. การกาหนดนโยบายสาธารณะเพ่อื การดาเนินงานส่งเสรมิ สุขภาพ สถานประกอบการควรมนี โยบายท่ี เออ้ื ต่อการมสี ุขภาพท่ดี ขี องพนักงานในโรงงาน เป็นนโยบายทเ่ี ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร มีวธิ กี ารจดั ทาท่ใี ห้ความสาคัญ กบั การมสี ่วนร่วมของพนักงาน ผู้บรหิ ารลงนามประกาศ หรอื ประชาสมั พนั ธ์ให้ทราบอยา่ งทวั่ ถึง สาระของนโยบาย สนั้ และกระทัดรัด ใช้ภาษาท่งี ่ายต่อการเขา้ ใจ แสดงให้เห็นถึงความตงั้ ใจและมุ่งมนั่ ในการสร้างเสรมิ สุขภาพ กาหนดจุดมุ่งหมาย (และสรุปให้เหน็ วา่ จะมุ่งสู่จดุ มงุ่ หมายอย่างไร) แสดงความต้องการท่จี ะทาให้เกดิ การปรบั ปรุง เปลย่ี นแปลง อธบิ ายท่มี าหรอื เหตผุ ลทจ่ี ะต้องมนี โยบาย มรี ายชอ่ื คณะทางานอาจแบง่ นโยบาย ออกเป็น 3 ด้าน คอื 1.1 นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมท่สี วยงามและปลอดภยั มกี ารลงทนุ เพอ่ื จดั สภาพแวดล้อมทั้งภายใน และ ภายนอกอาคาร หรอื มกี จิ กรรมสง่ เสรมิ และอนุรกั ษส์ งิ่ แวดลอ้ ม 1.2 นโยบายด้านการปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม มีการกาหนดกฎระเบยี บต่างๆ เพ่อื ใช้เป็นข้อกากับให้ คนทางานแสดงพฤติกรรมสุขภาพ เช่น กฎเร่อื งการห้ามสบู บุหร่ขี ณะทางาน กฎการสวมใส่อุปกรณ์ป้องกนั ส่วน บุคคล กฎการสวมหมวกกันน็อคในการขบั ขจ่ี กั รยานยนต์ รวมทัง้ การจัดเตรียมสงิ่ อานวยความสะดวกเพ่อื ให้ คนทางานแสดงพฤติกรรมสง่ เสรมิ สุขภาพ เชน่ จัดเตรยี มสนามกฬี าและอุปกรณ์กฬี า จดั ใหม้ กี จิ กรรมการแข่งขัน กฬี าภายในและระหว่างสถานประกอบการ รวมทงั้ แขง่ ขนั กบั ชุมชน 1.3 นโยบายด้านสวสั ดิการเพ่อื สร้างขวญั และกาลงั ใจในการทางาน ได้แก่ การทาประกันสุขภาพให้ คนทางานนอกเหนือจากประกนั สงั คมซงึ่ มอี ยแู่ ลว้ ตามกฎหมายแรงงาน การส่งเสรมิ ให้ไดม้ โี อกาสในการพฒั นาความ ชานาญและทักษะขนั้ สงู ข้นึ โดยการส่งไปฝึกอบรมทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ การจัดบรกิ ารอาหารราคาถูกมี คุณภาพและถกู สุขลกั ษณะ ตลอดจนจดั บรกิ ารทพ่ี กั อาศยั ในราคาถูกภายในสถานทท่ี างาน หรอื จดั บรกิ ารรถรบั ส่งแก่ พนกั งานท่มี ที พ่ี กั หา่ งไกลจากสถานท่ที างาน การกาหนดระเบยี บ หรอื ขอ้ ควรปฏบิ ตั ติ ่อนโยบายการส่งเสรมิ สุขภาพของคนทางานนนั้ อาจมหี รือไม่มใี น สถานประกอบการแต่ละแห่ง ในกรณีท่สี ถานประกอบการแห่งใดมกี ฎระเบียบให้คนทางานปฏบิ ตั ิ ก็อาจเป็นแรง กระตุ้นให้คนทางานแสดงพฤตกิ รรมนัน้ ออกมาได้ดยี งิ่ ขน้ึ เช่น ถ้าสถานประกอบการมนี โยบายรณรงคใ์ ห้คนทางาน สวมหมวกกันน็อคขณะขบั ขจี่ กั รยานยนต์ พร้อมทงั้ มกี ารกาหนดระเบียบบางประการกากับออกมาด้วย เชน่ ถ้ าไม่ สวมหมวกนิรภยั จะต้องถกู หกั เงนิ สวสั ดกิ ารท่จี ดั ให้ เป็นต้น 2. การจัดส่ิงแวดล้อมทัง้ ทางกายภาพและสังคมท่ีเอ้ือต่อสุขภาพของคนทางาน (Create Supporting Environment) ดา้ นสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพโรงงานมมี าตรการในการควบคุมอนั ตรายจากเคร่อื งมอื และอุปกรณใ์ น การปฏิบตั ิงานท่มี ีประสทิ ธภิ าพสูง มแี ผนการตรวจสอบและการปรบั ปรุงเปล่ยี นแปลงและการซ่อมบารุงเครอ่ื งมือ เคร่อื งจกั รท่ชี ดั เจน มกี ารออกแบบเคร่อื งจกั รใหเ้ อ้อื ต่อสุขภาพ นอกจากสง่ิ แวดล้อมทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความปลอดภัย ภายในโรงงานโดยตรงแลว้ ยงั มีสงิ่ แวดลอ้ มทเ่ี กย่ี วขอ้ งซึ่งทางโรงงานอุตสาหกรรมได้กาหนดใหม้ กี ารควบคุมดูแลให้ ๔๗

๔๘ ถกู สุขลกั ษณะเช่นกัน เช่น ในสถานท่อี อกกาลงั กาย ในโรงอาหาร เป็นตน้ ดา้ นส่งิ แวดล้อมทางสังคม โรงงานได้มี กจิ กรรมสร้างความสัมพนั ธ์ระหว่างโรงงานกับพนักงาน ความสมั พนั ธ์ระหว่างพนักงานกบั พนักงาน โดยมกี าร แข่งขนั กฬี า หรอื จดั งานสงั สรรค์ 3. การเสรมิ สรา้ งด้านความเขม้ แข็งของสุขภาพวยั ทางาน (การขบั เคล่อื นการทางานโดยใช้พลงั กลุ่ม) การ พฒั นาใดๆ ก็ตาม จะสาเรจ็ ผลได้ดี และมคี วามยงั่ ยนื จาเป็นต้องอาศยั คนมารว่ มกนั ทางานเป็นทีม เป็นกลุ่ม เป็น ชมรม หรอื คณะกรรมการ ย่ิงมีการรวมกลุ่มท่เี ขม้ แขง็ หลากหลาย และเพ่ิมจานวนมากข้นึ ก็จะยง่ิ เป็นผลดีต่อการ สรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ ดงั นนั้ สถานประกอบการควรใหก้ ารส่งเสรมิ สนับสนุนการรวมกลุ่ม และกจิ กรรมของกลุ่มให้เตม็ ท่ี เทา่ ทส่ี ามารถจะทาได้ ตัวอย่างของกลุ่มเพ่อื สขุ ภาพ เช่น ชมรมกฬี าชนิดต่างๆ ชมรมดนตรี ชมรมศลิ ปวฒั นธรรม ชมรมศาสนา ชมรมช่วยเหลือพฒั นาชุมชน กลมุ่ อาหารสุขภาพ กลุ่มต้านภัยยาเสพย์ติด กลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน และชมรมผู้ใกล้เกษียณ เป็นต้น นอกจากกลุ่ม และชมรมท่มี เี ป้าหมายทางด้านสุขภาพโดยตรงแล้ว กรรมการ หรือ กล่มุ งานต่างๆ ในองคก์ ร ก็ควรจะได้รับการสนบั สนุนช้แี นะ ให้พจิ ารณาเอามิตทิ างด้านสุขภาพ เขา้ ไปในกลมุ่ หรอื คณะกรรมการนัน้ ๆ ด้วย เช่น กลุ่มคุณภาพงาน นอกจากมุ่งเพ่มิ ผลผลติ และคุณภาพแลว้ ในกระบวนการก็ควร พิจารณาถึงเร่อื งสุขภาพด้วย หรอื แม้แต่จะพิจารณาทาเร่อื งสุขภาพของคน ในกลุ่มเป็นเอกเทศ ก็ควรได้รับการ สนับสนุน 4. การพฒั นาทกั ษะส่วนบคุ คลด้านสขุ ภาพ โรงงานจะตอ้ งเสรมิ สรา้ งหรือจดั การเรยี นรู้เพ่อื สรา้ งทกั ษะทาง สขุ ภาพ ฝึกฝนทกั ษะใหก้ บั พนักงานทุกคน ในการปฏบิ ตั งิ านท่ดี เี พอ่ื ป้องกนั และควบคุมสขุ ภาพของคนงาน ทกั ษะท่่ี โรงงานจดั ให้แกพ่ นักงานตามลาดับความสาคัญ คือ ทกั ษะด้านความปลอดภัย ทกั ษะด้านการเลกิ สูบบุหร่ี ทกั ษะ ดา้ นการออกกาลังกาย ทกั ษะด้านความเครยี ด ทักษะด้านการงดสุราและเคร่อื งด่มื มนึ เมา ทกั ษะด้านการบริโภค อาหาร ทกั ษะด้านการการป้องกนั โรคตดิ ตอ่ และเอดส์ 5. การให้บรกิ ารสุขภาพเชงิ รุก หรือการปรบั เปล่ยี นบรกิ ารสุขภาพภายในสถานประกอบการให้ครอบคลุม ทงั้ ดา้ นการส่งเสรมิ สุขภาพ การป้องกันโรค ควบคไู่ ปกับการรกั ษาพยาบาลโรคง่ายๆ ในปัจจุบนั บรกิ ารสุขภาพท่ี โรงงานจัดบรกิ ารให้แก่พนักงาน จะเน้นเร่อื งการรกั ษาโรคและมกี ารตรวจสุขภาพประจาปี ควรปรบั ให้มีการ จดั บรกิ ารส่งเสรมิ สขุ ภาพมากกว่าการรกั ษาพยาบาล เชน่ การใหข้ ่าวสารข้อมลู ความรู้ตา่ งๆ โดยมีมุมความรู้ การจดั บอรด์ เสยี งตามสาย หรอื ทางอนิ เตอรเ์ นต การจดั มุมนมแม่ในสถานประกอบการ ๔๘

๔๙ ข้อดีของการส่งเสริมสุขภาพในสถานประกอบการ สาหรบั คนทางาน 1. สะดวกในการ เขา้ ร่วมและเสยี ค่าใช้จ่ายนอ้ ย 2. สะดวกตอ่ การได้รบั ขอ้ มลู ทางสขุ ภาพ รวมทงั้ ได้ขอ้ มูลตรงกบั ความสนใจและเกย่ี วขอ้ งกบั คนงาน โดยตรง 3. ผู้รว่ มงานทุกคนสามารถท่จี ะร่วมสนบั สนุน ให้กาลงั ใจ และเป็นสว่ นหนงึ่ ในการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม ในกจิ กรรมนนั้ ดว้ ย 4. คนงานและผู้ร่วมงาน สามารถท่จี ะผลกั ดนั ให้เกดิ เป็นนโยบายของโรงงาน ในการท่จี ะส่งเสรมิ สขุ ภาพ ของคนงาน สาหรบั นายจ้าง/สถานประกอบการ 1. สามารถลดคา่ ใชจ้ ่ายในการรกั ษาพยาบาล 2. เพม่ิ กาลงั ผลติ และผลผลติ สงู ข้นึ คุณภาพสนิ คา้ และบรกิ ารดขี ้นึ เพราะเมอ่ื คนงานมสี ขุ ภาพดจี ะลดการลา ป่ วย ลดผลกระทบจากการลาป่ วย หยุดงานน้อยลง และการมีสุขภาพดี จะทาให้การทางานมี ประสทิ ธภิ าพข้นึ ๔๙

๕๐ 3. การมสี ุขภาพท่ดี ขี องคนงาน ทาให้คนงานอยูท่ างานเป็นเวลานานข้นึ ไม่เปลย่ี นงานบ่อย ก่อใหเ้ กดิ ความ รกั ความผูกพนั กบั โรงงาน/องค์กร สะสมประสบการณ์ในงาน พฒั นางาน ไม่ต้องหมุนเวยี นคนงาน บอ่ ยๆ ซง่ึ จะทาให้ไดแ้ รงงานท่ขี าดประสบการณ์ 4. การมกี จิ กรรมสง่ เสรมิ สุขภาพ ทาให้นายจ้างมภี าพลกั ษณท์ ด่ี ี ในสายตาของคนทางาน โดยทวั่ ไปลกั ษณะของกจิ กรรมในดา้ นการสง่ เสรมิ สุขภาพ มกั จะมลี กั ษณะดงั นี้ คอื 1. ใชค้ วามรู้ทางดา้ นสุขภาพขนั้ พ้นื ฐาน โดยการใชว้ ตั ถุดบิ หรอื อุปกรณ์ตา่ งๆ ท่มี อี ยู่ในโรงงาน หรอื สนับสนุนจากสถานบรกิ ารทางด้านสาธารณสุขทม่ี อี ยู่ในพน้ื ท่ี 2. การประสานขอความร่วมมอื โดยใช้องค์กรต่างๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งท่มี อี ยู่ในพ้นื ท่มี ารว่ มสนับสนุนโครงงาน เช่น โรงพยาบาล ศูนยส์ ขุ ภาพชมุ ชน โรงพยาบาลสง่ เสรมิ สุขภาพตาบล แรงงานจงั หวดั มหาวทิ ยาลยั เป็นตน้ 3. ส่งเสรมิ ให้คนงานระดบั ตา่ งๆ ของโรงงานเขา้ มามสี ว่ นร่วม ทงั้ ในดา้ นการวางแผน และดาเนนิ การ 4. จดั ดาเนินการให้เป็นโครงการหลกั ข้นึ มา โดยท่ตี ้องมกี ารจดั ระบบการบรหิ ารจดั การอย่างเป็นรูปธรรม ชดั เจน ซงึ่ จะต้องได้รบั การสนับสนุนจากเจา้ ของโรงงาน หรอื นายจ้าง 5. กระตุ้นให้คนงานมคี วามสนใจและมสี ว่ นรว่ ม 6. วางแผนและจดั การดาเนนิ งาน ในกจิ กรรมท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรม และการป้องกนั โรค 7. กระตุ้นให้คนงานเกิดความตระหนักในปัญหาทางสุขภาพท่ตี นเองประสบอยู่ โดยเฉพาะกรณีท่ไี ม่ สามารถหลกี เลย่ี ง หรอื ปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมของคนงานได้ ดงั นนั้ การส่งเสรมิ สุขภาพ จงึ มคี วามสาคญั ต่อการดาเนนิ ชวี ติ ของบุคคลทุกคนทต่ี ้องการเป็นคนมสี ขุ ภาพดี การมสี ุขภาพท่ดี สี มบูรณ์จะเป็นทุนในการประกอบกจิ กรรมและภารกิจในชวี ติ ประจาวัน ตามบทบาทหน้าท่คี วาม รบั ผดิ ชอบของตนเองได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ การดาเนินงานทางด้านสขุ ภาพในปัจจุบัน ม่งุ เน้นระบบสุขภาพเป็น ระบบสร้างนาซอ่ ม กลา่ วคือ จากเดมิ การดาเนนิ งานดา้ นสุขภาพจะเป็นระบบตงั้ รบั คอื รอให้เกดิ การเจ็บป่วยแลว้ จึง นามาซ่อม หรอื นามารกั ษา ทาให้ประชาชนคนไทยเจ็บป่วยและตายก่อนวยั อนั ควร เกดิ การสูญเสยี ทางเศรษฐกจิ เป็น จานวนมาก แตป่ ัจจุบนั เป็นระบบเชงิ รกุ พยายามทาทุกวถิ ที างทจ่ี ะทาให้คนมสี ุขภาพดใี หม้ ากทส่ี ุด ซึง่ ทกุ คนจะต้องมี ความรู้เก่ียวกบั สุขภาพและมีการปฏิบัติตนหรอื มีพฤติกรรมสุขภาพท่ีถูกต้อง โดยมกี ารปฏิบัติท่ีจะหลีกเล่ียง พฤติกรรมเส่ยี ง หรืองดการกระทาทเ่ี ส่ยี งหรอื อาจเป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพ เช่น มกี ารออกกาลงั กายเป็นประจา การ กนิ อาหารท่ถี กู หลักโภชนาการการ กนิ อาหารท่สี ะอาด ปลอดภยั ไม่มสี ารพษิ ปนเป้ือน การส่งเสรมิ สุขภาพจติ การ จดั การกบั ความเครียดดว้ ยตนเอง การลดความเส่ยี งจากการป้องกนั และหลกี เล่ยี งสารเสพตดิ และอบายมุขตา่ งๆ เป็น ต้น หน่วยงานต่างๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการดาเนินงานในเร่อื งสุขภาพ ได้ให้ความสาคัญกับการส่งเสรมิ สขุ ภาพมาโดย ตลอด ดังจะเหน็ ไดจ้ ากปัจจบุ นั มกี ารดาเนินการสร้างกระแสในเร่อื งการสรา้ งสุขภาพอยา่ งต่อเน่อื ง ทาใหป้ ระชาชนมี ๕๐

๕๑ ความตน่ื ตวั เกดิ ความตระหนัก และมกี ารปฏิบตั ิตวั ในการดูแลสุขภาพของตนเองมากข้นึ สงิ่ ตา่ งๆ ดงั กล่าวล้วนเป็น การส่งเสริมสุขภาพทงั้ ส้ิน ถ้ามีการส่งเสรมิ สุขภาพอย่างต่อเน่ืองจะทาให้บุคคลไม่เจ็บป่วย หรือเป็นโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคท่สี ามารถป้องกันได้ เชน่ โรคไม่ตดิ ต่อเร้อื รงั หรอื โรคท่เี กดิ จากวิถชี ีวติ ได้แก่ โรคหลอดเลอื ดหัวใจ โรคความดนั เลอื ดสูง โรคเบาหวาน และโรคอว้ นลงพุง เป็นตน้ ลดอัตราการป่วยด้วยโรคท่เี กดิ จากวถิ ีชวี ติ ใหน้ ้อยลง ได้ สามารถลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการรกั ษาพยาบาล ลดอตั ราการขาดงาน ๒. สขุ ภาวะองคร์ วมของวยั ทางาน (Total Worker Health) 1. แนวคิดศนู ย์สขุ ภาพดีวยั ทางาน (Wellness Center) ๑.1 การจดั โปรแกรม Wellness Wellness คอื การมสี ขุ ภาพท่ดี ี แขง็ แรงสมบูรณ์ (English-Thai London Dictionary) Wellness (ความสุขสมบูรณ์) เป็นสภาวะท่แี สดงถึงความสมบูรณ์ของการเช่อื มโยงระหว่างร่างกาย ความคดิ อารมณ์ สังคม และจิต (ซ่ึงในท่นี ี้หมายถึงความเช่อื ความศรทั ธา รวมไปจนถึงความผูกพนั ) ท่บี ุคคลใช้ ดาเนินชีวติ ยงิ่ ความสมบูรณ์นัน้ มีความสมดุลมากข้นึ เท่าใด เรยี กว่าย่งิ มี high-level ของ wellness มากขน้ึ เท่านัน้ ดงั นัน้ การทเ่ี ราจะมคี วามสุขสมบรู ณ์ในปัจจุบนั ไดน้ ัน้ อาจต้องมีการเปลย่ี นพฤตกิ รรมบางอย่าง เช่น พฤตกิ รรมการ ป้องกนั โรค พฤตกิ รรมการดแู ลตวั เองเม่อื เกดิ การเจบ็ ป่วย เป็นต้น ๑.2 ประโยชน์ของการจดั โปรแกรม Wellness ทงั้ น้ีประโยชน์ของการจัดโปรแกรม wellness ได้แก่ ลูกจ้างสุขภาพดที าให้การทางานเตม็ ท่ี ผลผลิต ของ สถานประกอบการเพม่ิ ข้นึ ลูกจ้างรูส้ ึกมคี ุณค่า เพม่ิ ระยะเวลาในการคงอยู่ในสถานท่ที างานเดมิ ไมเ่ ปลย่ี น งานบอ่ ย เน่ืองจากลูกจ้างได้รับการดูแลสุขภาพ ลดความเสย่ี งต่อการเกิดโรคต่างๆ ลดวันลาป่วย และเพ่ิมความสนิทสนม ระหวา่ งเพอ่ื นรว่ มงานในการทากจิ กรรมต่างๆ ๑.3 รปู แบบการจดั บริการ wellness 1) Wellness clinic มลี กั ษณะเป็นการจดั บรกิ ารเชอ่ื มต่อการจดั บรกิ ารทางการแพทยท์ ่มี อี ยู่ 2) Wellness center เน้นการจดั บริการ wellness เป็นการจาเพาะ โดยจดั ตามกลุ่มเป้าหมายท่ชี ดั เจน เช่น กล่มุ เป้าหมายท่มี ฐี านะทางเศรษฐกจิ ท่ดี ี (elite or private wellness center) หรอื การจดั บรกิ ารบูรณาการ ไปกบั การ จดั บรกิ ารการแพทยท์ างเลอื กหรอื แพทยพ์ น้ื บ้าน การจดั บริการท่มี ุ่งเน้นกลุม่ ผสู้ ูงอายุหรอื ผู้พกิ าร หรอื สถานะสุขภาพ ๕๑

๕๒ จาเพาะ รวมไปถึงการจดั บริการท่มี ุ่งเน้นกลุ่มชาตพิ ันธจ์ุ าเพาะ หรอื wellness ท่แี บ่งตาม สถานท่ี เช่น workplace wellness program, school wellness program เป็นต้น ๑.4 กิจกรรมการให้บริการ 1) การประเมนิ สุขภาพ โดยเน้นทพ่ี ฤตกิ รรมการดแู ลสุขภาพ พฤตกิ รรมเส่ยี งต่างๆ 2) ให้บรกิ ารโปรแกรมทางสุขภาพ เช่น การออกกาลงั กาย การรบั ประทานอาหารเพ่อื สุขภาพ การลด น้าหนกั การเลกิ บหุ ร่ี แอลกอฮอลห์ รอื สง่ิ เสพตดิ อ่นื ๆ การจดั การความเครยี ด ฯลฯ 3) ใหค้ าปรกึ ษาหรอื สนบั สนุนเก่ยี วกบั การพฒั นาพฤตกิ รรมทางสขุ ภาพ 4) การให้วคั ซนี ป้องกนั โรคตามกลมุ่ อายุ 5) ให้คาปรกึ ษาและส่งต่อเก่ยี วกับการเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคจากการทางาน โรคติดต่อ หรอื โรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั ๑.5 ทมี งาน ได้แก่ ทมี ของหน่วยบรกิ ารสขุ ภาพ และของสถานประกอบการ 1) หน่วยบริการสุขภาพ ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล นักจิตวทิ ยา นักกาหนดอาหาร (dietitians) หรอื นกั โภชนาการ (nutritionist) นักวิทยาศาสตร์การกฬี า (sport scientist) นักบาบดั ในสาขาตา่ งๆ โคช้ สุขภาพ (health coach or wellness coach) ทัง้ น้ี wellness coach เป็นผู้ท่ีมีบทบาทสาคัญท่ีจะช่วยให้เห็นประเด็นปัญหาอย่าง ชัดเจนรวมทงั้ ตระหนักถึงความจาเป็นในการปรับปรุงตนเองหรอื ปรับเปล่ยี นพฤติกรรม ช่วยวางหรือกาหนด เป้าหมายให้ชดั เจน ระดมสมองหรือแลกเปล่ยี นขอ้ คดิ เห็น เพ่อื ให้เห็นกจิ กรรมท่จี ะกระทาตอ่ ไป วางขนั้ ตอนในการ ดาเนินกจิ กรรม สร้างแรงจูงใจหรอื ขอ้ ตกลงทจ่ี ะดาเนินกจิ กรรมท่วี างไวใ้ หป้ ระสบความสาเรจ็ รวมทงั้ วางกาหนดเวลา ในการดาเนิน กจิ กรรม โดย wellness coach จะตอ้ งได้รบั การฝึกอบรมก่อนท่จี ะมาใหบ้ รกิ าร 2) สถานประกอบการ ประกอบด้วย ผู้บรหิ าร ฝ่ายทรพั ยากรบคุ คล ทีมงานอาชวี อนามัย ความปลอดภยั และสุขภาพ เชน่ เจา้ หน้าท่คี วามปลอดภยั ในการทางาน แพทย์ พยาบาล ผู้แทนชมรม/คลบั ต่างๆ ผแู้ ทนลูกจา้ งจาก แผนกตา่ งๆ ๑.6 กลวิธใี นการดาเนินงาน wellness programs 1) พฒั นาตวั ช้วี ดั ผลงาน และเป้าหมาย เชน่ อตั ราการป่วยของลกู จา้ งลดลง รอ้ ยละ 10 ต่อปี 2) พฒั นาโปรแกรม กาหนด เป้าหมาย วตั ถุประสงค์ 3) หาแหลง่ สนับสนุนการดาเนินงานตามโปรแกรม 4) ประเมนิ ความเสย่ี ง เช่น ความเส่ยี งท่พี นักงานในการไม่เขา้ รว่ มโปรแกรมฯ 5) ประชาสมั พนั ธ์และให้ขอ้ มลู ต่างๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง และรบั ฟังขอ้ เสนอแนะต่างๆ 6) ประเมนิ ผลโปรแกรม ๕๒

๕๓ ทงั้ น้กี ารดาเนินงานจะเก่ยี วขอ้ ง 3 สว่ น ได้แก่ ระดบั บุคคล (individual) สง่ิ แวดลอ้ ม (environment) และองค์กร (organization) ยกตวั อยา่ ง การดาเนินงาน wellness ในสถานประกอบการ ท่ที างกรมควบคุมโรคมกี าร ดาเนนิ งานสนั้ ๆ ๒.2 โปรแกรม TWH โปรแกรมการเสริมสรา้ งสขุ ภาวะวยั ทางานอย่างเป็นองค์รวม ตวั อย่างโปรแกรม TWH ทส่ี ามารถนาไปปรบั ใช้ใหเ้ หมาะกบั สถานประกอบการในบรบิ ทต่างๆ ส่ิงคุกคามใน ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพ ปัจจยั นอกงานที่จะ โปรแกรม TWH งาน สง่ เสริมใหเ้ กิดผล กระทบตอ่ สุขภาพ โปรแกรมการป้องกนั ระบบทางเดนิ สารเคมี ฝุ่น หายใจพรอ้ มกบั เนน้ การลดการสูบ มากขึ้น บุหร่ี สารตะกวั ่ Clean air and tobacco free โรคระบบทางเดนิ การสูบบหุ ร่ี workplace สารประกอบ หายใจจากการทางาน (ดาเนนิ การในสถานประกอบการท่ี อนิ ทรยี ร์ ะเหย เส่ยี งต่อโรคระบบทางเดนิ หายใจ ง่าย โรคพษิ ตะกวั่ การสูบบุหร่ี จากการทางานเป็นหลกั ) ความดนั โลหติ สูง โรคความดนั โลหติ สงู -โปรแกรมการป้องกนั โรคพษิ ตะกวั่ โรคพษิ จากสารทา การดม่ื แอลกอฮอล์ พรอ้ มกบั เนน้ การลดการสูบบุหร่ี ละลายอนิ ทรยี ์ -โปรแกรมการป้องกนั โรคพษิ ตะกวั่ (ระบบประสาทและ พร้อมกบั ลดปัจจยั เสย่ี งอ่นื ๆ ทเ่ี ป็น สาเหตขุ องโรคความดนั โลหติ สงู โปรแกรมการป้องกนั โรคพษิ จาก สารทาละลายอนิ ทรยี พ์ รอ้ มกบั เนน้ การลดการด่มื แอลกอฮอล์ ๕๓

๕๔ ส่ิงคุกคามใน ผลกระทบต่อสขุ ภาพ ปจั จยั นอกงานท่ีจะ โปรแกรม TWH งาน สง่ เสริมให้เกิดผล กระทบต่อสุขภาพ สมอง) มากขึ้น ความรอ้ น Heat stroke ภาวะอว้ น Weight control program โรคประจาตวั เชน่ อาชพี เส่ยี ง firefighters, bakery แสงสวา่ งไม่ โรคความดนั โลหติ สูง workers, farmers, construction เพยี งพอ โรคหวั ใจ workers, miners, boiler room การยศาสตร์ workers, หล่อ หลอมโลหะ ผลติ แก้ว ผลติ จาระบี เป็นตน้ ความเครยี ด eyestrain ใชส้ ายตากบั กจิ กรรม โครงการอนุรกั ษ์สายตา ต่างๆ (มอื ถอื ) ( เชน่ สถานประกอบการท่มี กี ารใช้ สายตาในการมองช้นิ งานระยะใกล้ เช่น ผลติ ช้นิ ส่วนอิเล็คทรอนกิ ส์, Jewelry ) โรคกระดูกและ -โรคประจาตวั เช่น โปแกรมทางด้านการยศาสตรเ์ น้น กลา้ มเน้อื ท่มี สี าเหตุ ขอ้ อกั เสบ (arthritis) การ บรู ณาการการป้องกนั โรคอน่ื ๆ จากการทางาน หรอื โรคกระดกู และ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ท่าทางการทางาน กลา้ มเน้อื อน่ื ๆ เช่น การลดน้าหนกั -ภาวะอว้ น เครยี ดจากการทางาน เครยี ดจากสาเหตุอ่นื Work-life stress management ๆทม่ี ผี ลตอ่ การทางาน ระดบั องคก์ ร (ในงาน) เช่น เครยี ดจาก ระดบั บุคคล (นอกงาน) ครอบครวั สถานประกอบการท่นี ่าจะมี ความเครยี ดสงู เช่น มสี ถติ กิ ารลา ป่วย สถิตอิ บุ ตั เิ หตุสูง ๕๔

๕๕ ส่ิงคุกคามใน ผลกระทบต่อสขุ ภาพ ปัจจยั นอกงานท่จี ะ โปรแกรม TWH งาน สง่ เสริมใหเ้ กิดผล กระทบตอ่ สุขภาพ โปรแกรมการป้องกนั อุบตั เิ หตจุ าก การทางาน โดยเนน้ การปรบั มากขึ้น พฤตกิ รรมสขุ ภาพเพ่อื ลด ละ เลกิ การด่มื แอลกอฮอล์ อุบตั เิ หตจุ าก บาดเจบ็ การดม่ื แอลกอฮอล์ การทางานกบั ยานพาหนะ เชน่ ขบั รถ โฟลคลฟิ ท์ ทมี่ ำ: ปรบั จำก NIOSH ๓.3 ขนั้ ตอนการดาเนินงาน โดยขนั้ ตอนการดาเนินงานในสถานท่ที างาน (รวมทงั้ โรงพยาบาลทด่ี าเนินการดูแลบุคลากรสุขภาพของ โรงพยาบาลเอง) มดี งั นี้ (1) จดั ตงั้ คณะทางาน หรอื ทบทวนทีม โดยตอ้ งมเี จ้าหนา้ ทฝ่ี ่ายบุคคล เป็นทมี ด้วย (2) ทบทวน ปรบั นโยบายเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ ง และสนับสนุนการดาเนินงานตามแผนงาน หรอื กจิ กรรมทม่ี งุ่ จะ ใหเ้ กดิ ในองคก์ ร (3) การประเมนิ ความเส่ยี ง โดยเป็นแบบ holistic risk assessment โดยมกี ารประเมนิ ดา้ นตา่ งๆ ดงั นี้ • Personal health เช่น เพศ อายุ การสูบบุหร่ี น้าหนักเกนิ ตงั้ ครรภ์ โรคประจาตวั (e.g., diabetes mellitus, high blood pressure, asthma, colour blindness, allergies) • สภาพแวดลอ้ มการทางาน เชน่ การทางานท่ีสงู การทางานซ้า ๆ การทางานในท่ลี ่นื เสียงดงั สมั ผสั สารเคมี • Work organization เช่น work overload, prolonged working hours, shift work, การจดั การ returning to work, การฝึกอบรม, การสอ่ื สารความเสย่ี ง และระบบการจา่ ยเงนิ สาหรบั การทางาน เป็นต้น (4) วเิ คราะหข์ อ้ มูลจากการประเมนิ และพฒั นาโปรแกรมดาเนนิ งาน (intervention) ตามความเสย่ี งท่พี บ (5) การตดิ ตาม ประเมนิ ผล หลงั ส้นิ สดุ กจิ กรรมในแต่ละครงั้ ภาพรวมกจิ กรรม เช่น ประเมนิ ทกุ สน้ิ ปี การ ประเมนิ ผลลพั ธ์ อาจแบง่ เป็น 2 ระดบั ไดแ้ ก่ รายบุคคล โดยใช้แบบสอบถาม หรอื การวดั โดยตรง เช่น น้าหนกั ระดบั ไขมนั ในเลอื ด เป็นต้น รายกลุม่ เช่น สถติ กิ ารเกดิ อุบตั เิ หตุ จานวนกลุ่มเส่ยี ง กลมุ่ ป่วยดว้ ยโรคไม่ตดิ ตอ่ อตั รา การคงอยู่ หรอื ลาออกของพนกั งาน ๕๕

๕๖ (6) การบนั ทกึ ผลการดาเนนิ งาน และขอ้ เสนอแนะ โดยบนั ทกึ ผลการประเมนิ ตา่ งๆ กอ่ นเรมิ่ โครงการ และ บนั ทกึ ผลการจดั กจิ กรรมตา่ งๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง (ฉายคลปิ วดี ที ศั น์ประกอบ) โปรแกรมการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Total Worker Health) ขัน้ ตอนการดาเนินงานจะเหมือนกับ wellness program แต่การประเมนิ พฤติกรรมเส่ยี งทางด้านสุขภาพจะครอบคลุมถึงการสัมผสั สง่ิ คุกคามจากการ ทางานดว้ ย และลกั ษณะของโปรแกรมทเ่ี สนอใหอ้ งค์กรดาเนินงานจะเป็นโปรแกรมเพ่อื ลดความเสย่ี งนอกงานรว่ มกบั ความเสย่ี งในงาน โดยเป็นการบูรณาการระหว่างการส่งเสรมิ สุขภาพกบั การปกป้องค้มุ ครองอนั ตรายจากการทางาน เพ่อื ให้เกดิ การดแู ลสุขภาพคนทางานแบบองค์รวมทงั้ มติ ใิ นงานและนอกงาน 3. การประเมินและการจดั การความเส่ียงทางสขุ ภาพแบบองค์รวม ในการประเมินและจดั การความเส่ยี งทางสุขภาพแบบองค์รวมนัน้ จาเป็นทีอยา่ งย่งิ ท่ผี ู้ประเมนิ จะต้องทา ความเขา้ ใจนยิ ามความหมายของคาหรอื ขอ้ ความทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั สุขภาพแบบองคร์ วม ซึ่งได้แก่ ๑. นิยามศพั ทท์ ่เี กีย่ วขอ้ งข้อง 1.1 สิ่งคุกคาม หมายถึง สิง่ ใด ๆ หรอื สภาพการณ์ใด ๆ ก็ตาม ท่มี คี วามสามารถก่อปัญหาทาง สุขภาพตอ่ คนได้ 1.2 อนั ตราย หมายถงึ สง่ิ หรอื เหตุการณท์ ่อี าจกอ่ ให้เกดิ การบาดเจบ็ หรอื การเจ็บป่วยจากการ ทางาน ความเสยี หายตอ่ ทรพั ยส์ นิ ความเสยี หายตอ่ สภาพแวดลอ้ มในการทางาน หรอื ตอ่ สาธารณชน หรอื สงิ่ ต่าง ๆ เหล่านีร้ วมกนั 1.3 การเจ็บป่ วย หมายถึง สภาวะท่มี ีการเปล่ยี นแปลงหน้าท่ปี กตทิ างด้านร่างกาย จติ ใจ สงั คม และจติ วิญญาณ ซ่ึงอาจจะเปล่ยี นด้านใดด้านหนึง่ หรือหลายๆ ด้านรวมกัน ทาให้บุคคลทาหน้าท่บี กพร่องหรอื ทา หน้าท่ไี ด้น้อยลงกว่าปกติ เป็นภาวะท่บี ุคคลรู้สึกว่ามีสุขภาพไม่ดี 1.4 การเจ็บป่ วยจากการทางาน หมายถึง การเจ็บป่ วยท่ีได้ผ่านการพิจารณาแล้วว่ามี สาเหตุเกดิ จากการทางาน หรอื สงิ่ แวดล้อมของสถานท่ที างาน 1.5 โรคติดต่อ หมายถึง โรคท่เี กดิ จากเชอ้ื โรคหรอื พษิ ของเช้อื โรคซ่ึงสามารถแพรโ่ ดยทางตรงหรือ ทางอ้อมมาสู่คน เช่น โรคไขห้ วดั ใหญ่ โรควณั โรค โรคไขห้ วดั เป็นต้น ๕๖

๕๗ 1.6 เหตุการณ์เกือบเกิดอบุ ตั ิเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ เม่อื เกดิ ขน้ึ แล้ว มแี นวโนม้ ทจ่ี ะ ก่อใหเ้ กดิ เป็นอุบัตเิ หตุ หรือ เกอื บได้รบั บาดเจ็บ เจ็บป่วย เสยี ชีวติ หรอื ความสูญเสยี ตอ่ ทรพั ยส์ นิ สภาพแวดลอ้ มหรือ สาธารณชน 1.7 อุบตั ิเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกดิ ขึ้นโดยไม่ได้คาดคดิ ไว้ล่วงหน้า ไม่พงึ ประสงค์ หรือขาดการควบคุม แต่เม่อื เกดิ ขึ้นแล้วส่งผลให้คนบาดเจ็บ หรอื ความเจ็บป่วยจากการทางาน สูญเสียอวยั วะ บางส่วน พกิ าร ทุพพลภาพ หรือเสยี ชีวิตหรือความเสยี หายต่อทรพั ย์สนิ และสภาพแวดล้อมในการทางานหรอื ต่อ สาธารณชน 1.8 ความเส่ยี ง หมายถงึ ผลลพั ธข์ องความน่าจะเกดิ อนั ตรายและผลจากการเกดิ อนั ตรายนนั้ 1.9 การชี้บ่งอนั ตราย หมายถึง กระบวนการในการค้นหาความเส่ยี ง ค้นหาสิ่งคุกคามหรือ อันตราย โรคติดต่อ โรคไม่ตดิ ตอ่ โรค/การเจ็บป่วยจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ความเส่ยี งด้านอนามยั สง่ิ แวดล้อมท่อี าจส่งผลกระทบต่อสขุ ภาพอนามยั ของผู้ปฏบิ ตั งิ านและประชาชนทอ่ี าศัยอยู่โดยรอบ โรค/การเจ็บป่วย ในดา้ นสขุ ภาพจติ ท่มี อี ย่ใู นแตล่ ะลกั ษณะงานและกจิ กรรมแลว้ ระบลุ กั ษณะของอนั ตราย 1.10 การประเมินความเสย่ี ง หมายถงึ กระบวนการประมาณระดบั ความเส่ยี ง และการตดั สนิ ว่าความเส่ยี งนนั้ อยใู่ นระดบั ใด ซ่งึ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ด้าน ดงั น้ี 1.10.1 การประเมินความเส่ียงด้านสุขภาพ หมายถงึ กระบวนการศกึ ษาอยา่ งเป็นระบบในการ ประมาณถึงโอกาส ระดบั ความรนุ แรงของอันตรายและความสามารถในการตรวจจบั อนั ตรายหรอื พฤตกิ รรมเส่ยี ง ทางสุขภาพท่จี ะก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ โรคจากการประกอบอาชีพ โรคตดิ ต่อ โรคไม่ตดิ ตอ่ เร้อื รงั หรอื ปัญหาด้าน สุขภาพจติ ของผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน 1.10.2 การประเมินความเสยี่ งด้านความปลอดภยั หมายถึง กระบวนการศกึ ษาอย่างเป็นระบบ ในการประมาณถงึ โอกาส ระดบั ความรนุ แรงของอนั ตรายและความสามารถในการตรวจจบั อนั ตรายทจ่ี ะก่อใหเ้ กดิ การ บาดเจบ็ หรอื อบุ ตั เิ หตจุ ากการทางานได้ 1.10.3 การประเมินความเสย่ี งดา้ นสภาพแวดล้อมในการทางาน หมายถงึ กระบวนการศกึ ษา อย่างเป็นระบบในการประมาณถงึ โอกาส ระดบั ความรุนแรงของอนั ตรายและความสามารถในการตรวจจับอันตราย หรอื ความเส่ยี งท่เี กดิ จากสภาพแวดล้อมในการทางานท่ไี ม่เหมาะสม เช่น ระดบั ความร้อน ปรมิ าณความเขม้ ข้น ของสารเคมหี รอื ฝุ่นละอองท่เี ป็นไปตามมาตรฐานกาหนด ทจ่ี ะก่อใหเ้ กดิ การเจ็บป่วย การบาดเจ็บหรอื อุบตั ิเหตุจาก การทางานได้ 1.11 ระดบั ความเส่ียงท่ียอมรบั ได้ หมายถึง ระดบั ความเส่ยี งท่อี งค์กรยอมรบั โดยไม่จาเป็นตอ้ ง เพม่ิ มาตรการควบคมุ อกี ซง่ึ ได้รบั การพจิ ารณาจากการประเมนิ ความเส่ยี งแลว้ วา่ โอกาสทจ่ี ะเกดิ และความรุนแรงท่จี ะ ๕๗

๕๘ เกดิ ข้นึ มเี พยี งเล็กนอ้ ย ระดบั ความเส่ยี งทย่ี อมรบั ได้ อาจเป็นผลจากการมมี าตรการทเ่ี หมาะสมในการลด หรอื ควบคุม ความเสย่ี ง 1.12 การควบคุมความเสี่ยง หมายถึง ขัน้ ตอนหรอื นโยบายขององค์กรที่เป็นการควบคุม เพ่อื ให้เกดิ ความมนั่ ใจไดว้ ่าการตอบสนองความเสย่ี งทไ่ี ด้เลอื กไว้แลว้ จะยงั อยรู่ ะดบั ทส่ี ามารถยอมรบั ได้ 1.13 การลดผลกระทบของความเสี่ยง หมายถึง ขนั้ ตอนหรอื นโยบายขององค์กรท่ีเป็น การลดโอกาสท่จี ะเกดิ ผลกระทบของความเสย่ี งใหอ้ ย่ใู นระดบั ทอ่ี งค์กรสามารถยอมรบั ได้ สว่ นท่ี 2 การช้ีบ่งอนั ตราย การประเมินและควบคมุ ความเส่ยี งดา้ นสุขภาพ ดา้ นความปลอดภยั และด้านสภาพแวดลอ้ มในการทางาน จะประกอบไปด้วย 5 ขนั้ ตอน ดงั ตอ่ ไปนี้ 2.1 การชีบ้ ่งอนั ตราย 2.2 การประเมินระดบั ความเส่ียง 2.3 การจดั ลำดับความสำคญั ของความเสี่ยง 2.4 การทำแผนบรหิ ารจัดการความเส่ียง 2.5 การทบทวนแผนบริหารจัดการความเส่ยี ง (ทม่ี า : มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDRAD มอก. 18004 – 2544 : ระบบการ จดั การอาชวี อนามยั และความปลอดภยั : ขอ้ แนะนาทวั่ ไปเก่ยี วกบั หลกั การ ระบบและเทคนคิ ในทางปฏบิ ตั )ิ จากขนั้ ตอนการดาเนินงานในการช้บี ่งอันตราย การประเมนิ และการควบคมุ ความเส่ยี ง ด้านสุขภาพ ด้าน ความปลอดภยั และดา้ นสภาพแวดล้อมในการทางานขา้ งต้น สามารถอธบิ ายได้ดงั นี้ 2.1 การชี้บ่งอนั ตราย ในขนั้ ตอนนี้จะเป็นการแจกแจงสง่ิ คกุ อนั ตรายทงั้ หมดท่อี าจจะก่อให้เกดิ อนั ตรายกบั ผูป้ ฏบิ ตั งิ าน ๕๘

๕๙ โดยแจกแจงในกระบวนการทงั้ หมดท่เี ก่ยี วข้องในองค์กร ทัง้ งานท่ีเกิดขึ้นในพ้ืนที่กระบวนการผลิตและนอกพ้ืนที่ กระบวนการผลิต และดาเนินการช้บี ่งสง่ิ คุกคามท่ีอาจจะก่อให้เกิดอันตรายหรอื ความเส่ยี งท่อี าจจะเกิดข้นึ ใน กระบวนการนนั้ ๆ ทงั้ นอ้ี าจใช้การวเิ คราะหต์ ามหลกั 4M เพ่อื ช่วยวเิ คราะหแ์ จกแจงสงิ่ คกุ คามท่อี าจจะก่อให้เกดิ อนั ตรายใน แต่ละกระบวนการได้ชดั เจนมากข้นึ โดยหลกั 4 M ประกอบด้วย ▪ M - Man คนงาน หรอื ผู้ปฏบิ ตั งิ าน หรอื บุคลากร ▪ M - Machine เคร่อื งจกั ร เคร่อื งมอื หรอื อุปกรณ์อานวยความสะดวก ▪ M - Material วตั ถุดบิ หรอื อะไหลท่ ใ่ี ช้ในกระบวนการปฏบิ ตั งิ าน ▪ M - Method วธิ กี ารทางาน โดยการแจกแจงสง่ิ คุกคามท่อี าจจะกอ่ ให้เกดิ อนั ตรายนนั้ มหี ลายวธิ ี องคก์ รสามารถเลอื กใช้ ตามความเหมาะสม ซง่ึ ในการกาหนดความสมั พนั ธ์ของกระบวนการทเ่ี ก่ยี วขอ้ งในองคก์ รเพ่อื ดาเนนิ การแจกแจงสงิ่ คุกคาม ทงั้ หมดทอ่ี าจจะกอ่ ให้เกดิ อนั ตรายกบั ผู้ปฏบิ ตั งิ าน สามารถแสดงความสมั พนั ธ์ได้ตามภาพท่ี 1 กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ ปฏิบตั งิ านท่ี 1 ปฏิบตั ิงานที่ 2 ปฏบิ ัติงานที่ ...... ภาพที่ 1 แสดงความสมั พนั ธข์ องกระบวนการปฏบิ ตั งิ านท่เี กย่ี วขอ้ งในองค์กรเพ่อื ดาเนนิ การแจก แจงสง่ิ คกุ คามทอ่ี าจจะกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตราย หลงั จากท่กี าหนดความสัมพันธ์ของกระบวนการปฏบิ ัตงิ านท่เี ก่ยี วข้องในองค์กรแล้ว จะต้องวิเคราะห์ ถึงงานและขัน้ ตอนการทางานของกระบวนการปฏิบตั ิงานนัน้ ในกระบวนการปฏบิ ัตงิ านแต่ละกระบวนการ จะ ประกอบด้วย งานและขนั้ ตอนการทางาน องค์กรสามารถวิเคราะห์ได้ชัดเจนมากเท่าไร จะทาให้สามารถแจก แจงสิ่งคุกคามท่อี าจจะก่อให้เกดิ อนั ตรายได้ครอบคลุมมากยิ่งข้นึ การวเิ คราะห์ถึงงานและขัน้ ตอ นการทางาน ของแต่ละกระบวนการปฏิบตั งิ าน จะสามารถแสดงความสมั พนั ธ์ได้ตามภาพท่ี 2 กระบวนการปฏบิ ตั ิงาน ๕๙ งานที่ 3

๖๐ งานที่ 1 งานท่ี 2 ข้นั ตอนที่ 1 Man/ผปู้ ฏิบตั งิ าน ข้นั ตอนท่ี 1 Man/ผปู้ ฏบิ ตั ิงาน ข้นั ตอนที่ 1 Man/ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ข้นั ตอนท่ี 2 Machine/เครื่องจกั ร/ ข้นั ตอนที่ 2 Machine/เคร่ืองจกั ร/ Machine/เคร่ืองจกั ร/ เคร่ืองมอื /อุปกรณ์ เครื่องมอื /อปุ กรณ์ ข้นั ตอนที่ 2 เคร่ืองมือ/อปุ กรณ์ Material/ วตั ถดุ บิ Mปกaรteณri์al/ วตั ถุดิบ ข้นั ตอนท่ี 3 Material/ วตั ถดุ บิ Method/วิธีการทางาน Method/วธิ กี ารทางาน Method/วิธกี ารทางาน Man/ผปู้ ฏิบตั งิ าน Man/ผปู้ ฏิบตั ิงาน Man/ผปู้ ฏบิ ตั ิงาน Machine/เครื่องจกั ร/ Machine/เครื่องจกั ร/ Machine/เคร่ืองจกั ร/ เคร่ืองมือ/อปุ กรณ์ เคร่ืองมือ/อุปกรณ์ เครื่องมอื /อุปกรณ์ Mอุปaกteรrณial์ / วตั ถุดิบ Material/ วตั ถุดบิ Material/ วตั ถุดบิ Method/วธิ กี ารทางาน Method/วิธีการทางาน Method/วธิ ีการทางาน ข้นั ตอนท่ี 3 ข้นั ตอนท่ี 3 (ท่มี า : การวเิ คราะห์งานเพ่อื ชบ้ี ง่ อนั ตราย สมาคมสง่ เสริมความปลอดภยั และอนามยั ในการทางาน (ประเทศไทย)) ภาพท่ี 2 แสดงงานและขนั้ ตอนการทางานจาแนกตามกระบวนการปฏบิ ตั งิ านและการนาหลกั 4M มาแจกแจงสงิ่ คุกคามทอ่ี าจจะกอ่ ให้เกดิ อนั ตรายในแต่ละขนั้ ตอน การช้บี ่งสิง่ คกุ คามและการเกดิ อันตราย ถ้าจะใชค้ าอธบิ ายง่ายๆ ก็คอื การไปค้นหาวา่ กิจกรรมหรอื เคร่อื งจกั ร อปุ กรณ์นนั้ วา่ มีสง่ิ คุกคามใดทส่ี ามารถก่อใหเ้ กดิ อันตราย เกดิ โรค ปัญหาด้านสขุ ภาพ หรอื สามารถก่อให้เกดิ โรคหรือ ปัญหาดา้ นสุขภาพ ด้วยวธิ ใี ดบ้าง โดยอาจพจิ ารณาจากคาถาม 3 ขอ้ ดงั น้ี 1. มแี หล่งกาเนดิ ของสง่ิ คุกคามท่อี าจกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายหรอื ไม่ (โดยการใช้หลกั 4 M ( Man/Machine/Material/Method) วิเคราะห)์ 2. ใคร หรอื อะไร ทไ่ี ดร้ บั อนั ตราย 3. อนั ตรายจะเกดิ ข้นึ อย่างไร อนั ตรายทไ่ี ม่ปรากฏผลเดน่ ชดั หรอื มคี วามเป็นไปไดท้ ่จี ะเกดิ อนั ตรายน้อยมาก ไม่จาเป็นต้อง เขียนขนั้ ตอนปฏิบัติเป็นเอกสาร หรอื จาต้องดาเนินการอะไรต่อไป การแบ่งแยกประเภทของสิง่ คุกคาม อยา่ ง กว้างๆ เพอ่ื ชว่ ยในการบ่งช้กี ารเกดิ อนั ตราย ควรแบง่ แยกประเภทของสง่ิ คุกคามในลักษณะต่าง ๆ เชน่ อาจแบง่ ตาม หวั ขอ้ ดงั น้ี 1. ส่ิงคกุ คามทางกายภาพ (physical hazards) คอื สง่ิ คกุ คามทเ่ี ป็นพลงั งานทางฟิสกิ ส์ ๖๐

๖๑ ซ่ึงมคี ุณสมบัตทิ าให้เกิดโรคในคนได้ เช่น อุณหภูมิ ความกดอากาศ แรงสนั่ สะเทอื นของวตั ถุ พลงั งานเสยี ง พลงั งานแสง รงั สคี ลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เป็นตน้ ยกตวั อยา่ ง เช่น 1) การทางานในบรเิ วณการทางานท่มี ีอุณหภูมิท่รี อ้ นเกินไปทาให้ผู้ปฏบิ ตั ิงานเป็นลมแดด หมดสติ 2) การทางานในบรเิ วณการทางานท่มี ีเสยี งท่ดี งั เกนิ ไปทาให้ผปู้ ฏบิ ตั งิ านสูญเสยี สมรรถภาพการ ได้ยนิ 3) การทางานในบรเิ วณการทางานท่มี รี งั สแี กมมาทาใหผ้ ู้ปฏบิ ตั งิ านเป็นมะเรง็ 2. ส่ิงคุกคามทางสารเคมี (chemical hazards) คือ สิ่งคุกคามท่ีเป็นสารเคมีทุกชนิด ซ่ึงมี สมบตั เิ ป็นพษิ ตอ่ คนได้ ไม่วา่ จะอยใู่ นสถานะกา๊ ซ ของแขง็ หรอื ของเหลว ก็ตาม ทงั้ ท่เี ป็นธาตุและท่เี ป็นสารประกอบ ทั้งท่ีเป็ นสารอินทรีย์และสารอนิ นทรีย์ เช่น สารตะกัว่ สารปรอท สารหนู ยาฆ่ าแมลง ยาฆ่ าหญ้ า ก๊าซ คารบ์ อนมอนอกไซด์ กา๊ ซไขเ่ น่า ก๊าซคลอรนี เป็นตน้ ยกตวั อยา่ ง เชน่ 1) สารที่เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจทาให้เกิดโรคทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ ไอ ระเหยของสารเคมี เช่น สี ทนิ เนอร์ น้ายา Coolant ฟูม ควัน ไอจากการเช่อื มโลหะ ฝุ่น เหล็กจากการขดั เจยี ร เป็นต้น 2) สารท่เี ขา้ สรู่ ะบบทางเดนิ หายใจทาใหเ้ กดิ การเสยี ชวี ติ ได้แก่ ก๊าซคลอรนี เป็นต้น 3) สารท่สี มั ผัสโดนผวิ หนังทาให้เกิดอาการ/โรคทางผวิ หนัง เช่น สารเคมีตวั ทาละลาย กาว พลาสติก เส้นใยแก้ว สพี ่น น้ามนั เบนซิน น้ามนั เคร่อื ง สารกาจัดแมลงหรือสารกาจัด ศตั รพู ชื เป็นตน้ 4) สารท่อี าจจะทาให้เกดิ อนั ตรายจากการกลนื กนิ เขา้ ไป ไดแ้ ก่ น้ามนั เช้อื เพลงิ สี ทนิ เนอร์ น้ายา Coolant กรด ดา่ ง น้ายาทาความสะอาด เป็นตน้ 3. สิ่งคุกคามทางชีวภาพ (biological hazards) คือ สง่ิ คุกคามท่ีเป็นส่ิงมชี ีวิต ไม่ว่าจะเป็น เช้อื จลุ นิ ทรยี ์ ไวรัส แบคทเี รยี แมลง หรอื สตั วก์ ่อโรค รวมทงั้ เนอื้ เย่อื หรอื สารคดั หลงั่ ของสง่ิ มชี วี ติ ท่สี ามารถทาให้เกดิ การติดเชอ้ื และเจบ็ ป่วยได้ เช่น เช้อื ไวรสั ไขห้ วดั ใหญ่ เช้อื ไวรัสพิษสุนัขบา้ เช้อื วณั โรค เชอ้ื โรคบิด เช้อื อหิวาห์ เช้ือ มาลาเรยี เป็นตน้ รวมไปถึงการจดั การสขุ ลกั ษณะของสถานท่ที างาน การจดั การขยะ น้าเสยี ของเสยี และส่ิงปฏกิ ูล สัตว์และแมลงพาหะนาโรค การสุขาภบิ าลอาหารและน้าด่มื น้าใช้ ท่ไี ม่ดีก่อให้เกิด สงิ่ คกุ คามทางชวี ภาพข้นึ เป็น ตน้ ยกตวั อย่าง เชน่ ๖๑

๖๒ 1) ไมม่ กี ารควบคุมสตั ว์และแมลงพาหะนาโรคในสถานประกอบการ ทาให้เกดิ การระบาดของ โรค เชน่ โรคไขห้ วดั นก ไขเ้ ลอื ดออก เป็นตน้ 2) การขาดระบบ/มาตรการในการคดั กรองผู้ทต่ี ดิ โรค/ ตดิ เช้อื และการป้องกนั การระบาดของ โรคในองคก์ ร 3) การสุขาภิบาลอาหารในโรงอาหารหรือสถานทร่ี ับประทานอาหารไม่ถกู สขุ ลกั ษณะให้เกดิ การระบาดของโรคบดิ หรอื อหวิ าตกโรค 4) น้าดม่ื น้าใช้ ไมเ่ พียงพอ หรอื มกี ารจดั การทไ่ี มถ่ ูกสุขลักษณะ มกี ารใช้แก้วน้าร่วมกนั ทา ให้เกดิ การตดิ ต่อของโรคท่แี พร่กระจายทางน้าลาย เช่น โรคไวรัสตบั อกั เสบบี เป็นต้น 5) การจดั การสิง่ ปฏิกูล มูลฝอย ของเสยี อนั ตราย และน้าเสีย ไม่มปี ระสิทธภิ าพ ไม่ถูกสขุ ลกั ษณะทาใหเ้ กดิ การแพรก่ ระจายของเชอ้ื โรค 4. ส่ิงคุกคามทางการยศาสตร์ (biomechanical hazards) คือ สภาพการทางานท่ีไม่ เหมาะสมกบั สรรี ะทางร่างกายของผ้ปู ฏบิ ตั งิ านจนนาไปสกู่ ารเกดิ อาการ/การบาดเจ็บ/โรคทางกระดูกและกล้ามเนอื้ เชน่ การทางานท่จี าเจซา้ ซาก การทางานทไ่ี มเ่ หมาะสมกบั ความสามารถของรา่ งกายและจติ ใจ อริ ยิ าบถการทางาน ทไ่ี มเ่ หมาะสม หน่วยท่ที างานไมเ่ หมาะสม เป็นตน้ ยกตวั อยา่ ง เชน่ 1) อาการ/ความผดิ ปกตขิ องมือและแขน เน่อื งจากการทางานท่เี ป็นผลมาจากงานท่ที าซ้า ๆ กนั เช่น การพมิ พ์งานโดยใช้เคร่อื งพมิ พด์ ดี หรอื คอมพวิ เตอร์ การประกอบชน้ิ สว่ นในจดุ เดมิ เป็นต้น 2) อาการ/ความผดิ ปกตขิ องกระดกู และกลา้ มเนอื้ เน่อื งมาจากการยก/เคล่อื นยา้ ยของหนัก ด้วยทา่ ทางท่ไี ม่เหมาะสม ต้องเอ้ยี วตวั ยกของหนัก หรอื การยก/เคลอ่ื นย้ายของทน่ี ้าหนกั มากเกนิ กว่าทร่ี า่ งกายสามารถยก/เคล่อื นยา้ ยได้ 5. ส่ิงคกุ คามทางจิตสงั คม (psychological hazards) คอื สถานการณห์ รอื สภาวการณ์ ใด ๆ กต็ าม ท่อี าจกระตุ้นให้เกดิ ปัญหาทางด้านจติ ใจ หรือความสัมพนั ธ์ในครอบครวั หรอื ในสงั คม ของผู้ทท่ี างานหรอื อย่ใู นสภาวการณน์ นั้ ๆ ยกตวั อย่าง เช่น 1) การปฏิบัติงานในขณะท่สี ภาพจิตใจผู้ปฏิบตั ิงานไม่มคี วามพร้อม เช่นกาลังเผชิญกับ ภาวะการสูญเสยี คนในครอบครวั หรอื บุคคลท่รี กั การสญู เสียทรพั ย์สิน มีปัญหาการเจ็บป่วย ด้วยโรคเรอ้ื รงั มปี ัญหาหน้ีสนิ ท่ไี มส่ ามารถแกไ้ ขได้ ปัญหาครอบครวั เป็นตน้ 2) การทางานในสง่ิ แวดลอ้ มท่เี สยี งดงั เกนิ มาตรฐานกาหนดตลอดชว่ งการทางาน ๖๒

๖๓ 3) การทางานบางอย่างที่เร่งรดั งานที่มคี วามรีบเร่งสูง ต้องทางานแข่งกับเวลา การ ทางาน 4) การทางานท่มี ชี วั่ โมงการทางานท่ยี าวนาน 5) การทางานหนักเกนิ ไป ภาระงานมากเกนิ กาลงั 6) งานกะ งานท่ที าไม่เป็นเวลาตอ้ งอดหลบั อดนอน 7) งานทต่ี อ้ งใชค้ วามรบั ผดิ ชอบสูง 8) งานทม่ี ปี ัญหาสงั คมภายในทท่ี างาน งานทม่ี คี วามกดดนั จากผรู้ ว่ มงาน 9) การสูดดมควนั บุหร่มี อื สองหรอื มือสาม ทาให้ผสู้ ูดดมเกิดโรคร้ายแรง เชน่ โรคมะเรง็ ปอด โรคระบบทางเดนิ หายใจ เป็นต้น 10) การขาดมาตรการในการส่งเสริมสุขภาพ เช่น การออกกาลังกายและการจัดการ ด้าน โภชนาการท่ถี กู ต้องและเหมาะสม การจดั บรกิ ารวคั ซีนเพ่อื ป้องกนั โรค เป็นตน้ 6. ส่ิงคุกคามทางด้านความปลอดภยั (safety hazards) เป็นสภาวการณ์อีก เช่นเดยี วกนั แต่เป็นสภาวการณ์ท่มี ีโอกาสทาใหค้ นทางานเกิดการบาดเจ็บต่อร่างกาย พกิ าร หรอื เสยี ชวี ิตได้ เช่น การ ทางานกบั ของแหลมคม การทางานในท่สี ูง การทางานกบั ไฟฟ้าแรงสงู การทางานกับเคร่อื งจกั รมีคมในขณะท่งี ่วงนอน เหล่านี้เป็นต้น สงิ่ คุกคามกลุ่มน้ี มกั ทาให้เกิดปัญหาสุขภาพในรูปแบบของการบาดเจ็บ ( injury) มากกว่าการทา ให้เกิดการเจ็บป่วย (illness) บางครงั้ เม่อื กล่าวถึงเฉพาะสง่ิ คุกคามท่ที าให้เกดิ เป็นโรค จงึ มักจะกล่าวถึงเฉพาะสง่ิ คุกคาม 5 กลุ่มแรก และส่งิ คุกคามกล่มุ น้ีถูกละไว้ในฐานท่เี ขา้ ใจ เน่ืองจากทาให้เกิดการบาดเจ็บมากกว่าทาให้เป็น โรค ยกตวั อยา่ ง เชน่ 1) การล่นื หกล้ม เช่น มนี ้ามัน/น้านองพ้นื ทาให้ล่นื หกล้ม การสะดุดหกล้มพ้นื ต่างระดับ หรือสะดุดหกล้มเน่ืองจากมวี ัตถุส่ิงของกดี ขวาง เป็นต้น 2) การตกจากท่สี ูง 3) บรเิ วณท่วี ่างเหนือศรี ษะไม่เพยี งพอ ทาให้ศีรษะเกิดการชน/กระแทก 4) อนั ตรายท่เี กิดจากการยก หยิบจับ เคร่อื งมอื วัตถุดิบ ฯลฯ ได้แก่ สง่ิ ของตกหล่น กระแทกเท้า หยิบอะไหล่ท่มี คี วามคมทาให้ถูกบาด เป็นต้น 5) อันตรายจากอาคารสถานท่แี ละเคร่อื งจกั รอุปกรณ์ขณะทาการประกอบ การนามาใช้งาน การปฏบิ ตั ิงาน การบารุงรักษา การปรบั เปล่ยี น การซ่อมแซมและ การร้อื ถอน ๖๓

๖๔ 2.2 ประเมินระดบั ความเส่ยี ง ขนั้ ตอนนี้จะเป็นนาเอาขอ้ มลู การช้บี ่งอนั ตรายท่ไี ดจ้ ากขนั้ ตอนท่ี 2.1 มาทาการพจิ ารณา โอกาสของการเกดิ อนั ตราย การพจิ ารณาระดบั ความรุนแรงของการเกดิ อันตราย การพจิ ารณาระดบั ความสามารถใน การตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายและทาการประเมนิ ระดบั ความเสย่ี งของอนั ตราย โดยการประเมนิ เพ่อื หาคา่ คะแนนความเสย่ี ง มหี ลกั การดงั น้ี การประเมินค่าคะแนนความเสย่ี ง = โอกาสของการเกดิ อนั ตราย x ระดบั ความรนุ แรงของการเกดิ อนั ตราย x ระดบั ความสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตราย (ทม่ี า : U.S. Department of Veterans Affairs . Healthcare Failure Mode and Effect Analysis (HFMEA), from http://www.patientsafety.va.gov) ยกตวั อยา่ ง เชน่ โอกาสของการเกดิ อนั ตราย มคี า่ เท่ากบั 3 ระดบั ความรุนแรงของการเกดิ อันตราย มีค่าเท่ากับ 4 ระดบั ความสามารถในการตรวจจับการเกิดอนั ตราย มคี ่าเท่ากับ 2 ดงั นัน้ ผลคูณ ของค่า ความเส่ยี ง คอื 3 x 4 x 2 = 24 คา่ คะแนนความเส่ยี งจะเทา่ กบั 24 หลงั จากนัน้ นาค่าคะแนนความเส่ยี งท่ไี ด้จากการคูณไปเปรียบเทียบหาระดับความเส่ยี ง เพ่อื นาไปสู่การ พจิ ารณาจดั ลาดบั ความสาคญั ของความเส่ยี งและการจดั ทาแผนบรหิ ารจดั การความเสย่ี งต่อไป ทัง้ นี้สามารถศกึ ษาตวั อย่างในการกาหนดระดบั ของโอกาสของการเกิดอันตราย ได้จากตารางท่ี 1 ตัวอย่างการพจิ ารณาโอกาสของการเกิดอนั ตราย ตวั อย่างในการกาหนดระดับของความรุนแรงของการเกดิ อนั ตราย ได้จากตารางท่ี 2 ตัวอย่างการพจิ ารณาระดบั ความรุนแรงของการเกิดอนั ตราย ตวั อย่างในการกาหนด ระดับความสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อันตราย ได้จากตารางท่ี 3 ตวั อย่างการพจิ ารณาระดบั ความสามารถใน การตรวจจบั การเกดิ อนั ตราย ตวั อย่างในการประเมนิ ค่าคะแนนความเส่ยี ง ได้จากตารางท่ี 4 ตวั อย่างตารางการ คานวณคา่ คะแนนความเส่ยี งจากการพจิ ารณาปัจจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง และ ตวั อยา่ งในการจดั ระดบั ความเส่ยี งอนั ตราย ได้ จากตารางท่ี 5 ตัวอย่างการจดั ระดบั ความเส่ยี งอนั ตราย และต่อไปน้ีจะขอยกตวั อยา่ งตารางการกาหนดค่าต่าง ๆ เพ่อื ใชใ้ นการประเมนิ ระดบั ความเสย่ี ง 2.2.1 ตวั อยา่ งตารางปจั จยั เพอ่ื ใช้คานวณหาคา่ ความเส่ียง ตารางที่ 1 ตวั อยา่ งการพิจารณาโอกาสของการเกิดอนั ตราย ในขนั้ ตอนน้ีจะเป็นการพจิ ารณาถึงโอกาสในการเกดิ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ วา่ มมี ากน้อยเพยี งใด ๖๔

๖๕ โดยอาจจดั ระดบั โอกาส ออกเป็น 3 ระดบั ดงั ตารางตวั อย่างในการกาหนดค่าระดบั ของโอกาสในการเกดิ อนั ตรายเพ่อื ใชใ้ นการพจิ ารณาโอกาสของการเกดิ อันตรายในองค์กร โดยจะแบ่งการพจิ ารณาออกเป็น 3 ด้าน คอื ดา้ นสุขภาพ ด้าน ความปลอดภยั และด้านสภาพแวดล้อมในการทางาน ทงั้ นี้องค์กรสามารถปรบั ระดบั ให้เหมาะสมกับบริบทของ องค์กรได้ ณ ที่นี้จะเป็นการยกตวั อย่างด้านสุขภาพแค่บางโรคเท่านัน้ จะยงั มีอีกหลายประเดน็ ทีอ่ งคก์ รควร นามาพิจารณาเพ่ิมเติม เชน่ ด้านพฤติกรรมการสูบบุหร่ี การดมื่ สุรา การกาจดั ลกู นา้ ยุงลาย เป็นต้น 1.1 ดา้ นสขุ ภาพ ประกอบดว้ ย การพจิ ารณาด้านโรคตดิ ต่อ โรคไมต่ ดิ ตอ่ เร้อื รงั โรคจากการประกอบอาชพี โรคฟันผุ โรค ปรทิ นั ต์ และรอยโรคในชอ่ งปาก และดา้ นสขุ ภาพจติ โอกาสของการเกิด ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา อนั ตราย - สดั ส่วนของผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทม่ี โี รคประจาตวั ด้วยโรคไม่ตดิ ตอ่ เร้อื รงั เชน่ โรคเบาหวาน โรค ระดบั ตา่ (1) ความดนั โลหติ สงู โรคอ้วน โรคไขมนั ในเลอื ดสงู โรคหวั ใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง โรคฟัน ผุและโรคปรทิ นั ต์ ต่อผปู้ ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด น้อยกว่ารอ้ ยละ 10 - สดั ส่วนของผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทม่ี ผี ลการตรวจรอยโรคในช่องปากอย่ใู นระดบั ความเส่ยี งสงู นอ้ ยกว่า ร้อยละ10 (จานวนผู้ท่ตี อบแบบตรวจรอยโรคในชอ่ งปากด้วยตนเองในขอ้ 1,5,6 ขอ้ ใดขอ้ หนึ่ง หรอื ขอ้ 2,3,4 ทกุ ขอ้ ) - ไม่มผี ูป้ ่วยโรคจากการประกอบอาชพี - ไม่มผี ้ปู ่วยโรคไขเ้ ลอื ดออกในองค์กร - สดั สว่ นของผปู้ ฏบิ ตั งิ านท่เี กดิ โรคตดิ ตอ่ เช่น วณั โรค โรคเอดส์ ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นตน้ ตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด น้อยกวา่ ร้อยละ 5 ๖๕

๖๖ โอกาสของการเกิด ตวั อยา่ งเกณฑ์ในการพิจารณา อนั ตราย - สดั ส่วนของผู้ปฏบิ ตั งิ านท่มี โี รคประจาตวั ดว้ ยโรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั เช่น โรคเบาหวาน ระดบั ปานกลาง (2) โรคความดนั โลหติ สงู โรคอ้วน โรคไขมนั ในเลอื ดสงู โรคหวั ใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง โรค ฟันผุและโรคปรทิ นั ต์ ตอ่ ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด มากกว่ารอ้ ยละ 10 แต่น้อยกว่า รอ้ ยละ 50 -สดั ส่วนของผูป้ ฏบิ ตั งิ านท่มี ผี ลการตรวจรอยโรคในช่องปากอยูใ่ นระดบั ความเส่ยี งสูง มากกว่า ร้อยละ10 แต่นอ้ ยกวา่ ร้อยละ 50 (จานวนผู้ทต่ี อบแบบตรวจรอยโรคในช่องปาก ด้วยตนเองในขอ้ 1,5,6 ขอ้ ใดขอ้ หนึ่ง หรอื ขอ้ 2,3,4 ทุกขอ้ ) - สดั ส่วนของผู้ปฏบิ ตั งิ านท่เี กดิ การเจ็บป่วย/โรคจากการประกอบอาชพี ต่อผูป้ ฏบิ ตั งิ าน กล่มุ เส่ยี ง มากกว่าร้อยละ 5 แต่น้อยกวา่ รอ้ ยละ 10 - มผี ู้ป่วยโรคไขเ้ ลอื ดออกตา่ กว่าร้อยละ 20 ของจานวนผู้ปฏบิ ตั งิ านในองค์กร - สดั สว่ นของผ้ปู ฏบิ ตั งิ านท่เี กดิ โรคตดิ ต่อ เช่น วณั โรค โรคเอดส์ ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นต้น ตอ่ ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด มากกวา่ รอ้ ยละ 5 แต่นอ้ ยกว่าร้อยละ 20 ๖๖

ระดบั สงู (3) ๖๗ - สดั สว่ นของผูป้ ฏบิ ตั งิ านท่มี โี รคประจาตวั ดว้ ยโรคไมต่ ดิ ตอ่ เร้อื รงั เช่น โรคเบาหวาน โรค ความดนั โลหติ สงู โรคอว้ น โรคไขมนั ในเลอื ดสูง โรคหวั ใจ โรคหลอดเลอื ดสมอง โรคฟันผุ และโรคปรทิ นั ต์ ตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด ตงั้ แตร่ อ้ ยละ 50 ข้นึ ไป - สดั สว่ นของผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทม่ี ผี ลการตรวจรอยโรคในชอ่ งปากอยใู่ นระดบั ความเสย่ี งสูง ตงั้ แต่รอ้ ยละ 50 ขน้ึ ไป (จานวนผูท้ ต่ี อบแบบตรวจรอยโรคในช่องปากดว้ ยตนเองในขอ้ 1,5,6 ขอ้ ใดขอ้ หน่ึง หรอื ขอ้ 2,3,4 ทกุ ขอ้ ) - สดั ส่วนของผู้ปฏบิ ตั งิ านทเ่ี กดิ การเจ็บป่วย/โรคจากการประกอบอาชพี ต่อผู้ปฏบิ ตั งิ าน กลมุ่ เส่ยี ง ตงั้ แต่รอ้ ยละ 10 ขน้ึ ไป - มผี ู้ป่วยโรคไขเ้ ลอื ดออกตงั้ แต่ร้อยละ 20 ของจานวนผปู้ ฏบิ ตั งิ านในองคก์ ร - สดั ส่วนของผู้ปฏบิ ตั งิ านท่เี กดิ โรคตดิ ต่อ เช่น วณั โรค โรคเอดส์ ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นตน้ ตอ่ ผูป้ ฏบิ ตั งิ านทงั้ หมด ตงั้ แต่รอ้ ยละ 20 ข้นึ ไป ดา้ นสขุ ภาพจิต ตวั อยา่ งเกณฑใ์ นการพิจารณา โอกาสของการเกิด อนั ตราย โอกาสเกดิ ข้นึ \"ต่า\" โดย *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ความเครยี ด (ST-5) ได้ 0 – 4 คะแนน (ไม่มคี วามเครยี ด) ระดบั ตา่ (1) *ผลการคดั กรองโรคซึมเศรา้ ดว้ ย 2 คาถาม ได้คาตอบว่า “ไม่ม”ี ทงั้ 2 ขอ้ *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ปัญหาการดม่ื สุรา ได้ 0 – 7 คะแนน (เป็นผูด้ ่มื แบบเสย่ี งตา่ ) ๖๗

๖๘ ระดบั ปานกลาง (2) มโี อกาสเกดิ ขน้ึ \"ปานกลาง\" โดย ระดบั สูง (3) *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ความเครยี ด (ST-5) ได้ 5-7 คะแนน (สงสยั มปี ัญหาความเครยี ด) *ผลการคดั กรองโรคซึมเศร้าด้วย 2 คาถาม ได้คาตอบวา่ “ม”ี ในขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ปัญหาการดม่ื สรุ า ได้ 8-15 คะแนน (เป็นผูด้ ่มื แบบเส่ยี ง) โอกาสปานกลาง = จานวนผู้ปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ดค้ ่าการประเมนิ /คดั กรองสขุ ภาพจติ ในX 100 ระดบั ปานกลาง จานวนผู้ปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ด้ประเมนิ /คดั กรองสขุ ภาพจติ ทงั้ หมด = สดั สว่ นของผู้ปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ด้คา่ การประเมนิ /คดั กรองสขุ ภาพจติ ในระดบั ปานกลาง ตงั้ แต่รอ้ ยละ 10 ขน้ึ ไป มโี อกาสเกดิ ข้นึ \"สูง\" โดย *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ความเครยี ด (ST-5) ได้ 8 คะแนนข้นึ ไป (มคี วามเครยี ดสงู ) *ผลการคดั กรองโรคซมึ เศร้าด้วย 2 คาถาม ไดค้ าตอบวา่ “ม”ี ทงั้ สองขอ้ *ระดบั คะแนนจากการประเมนิ ปัญหาการด่มื สรุ า ได้ 16-19 คะแนนหรอื มากกว่า 20 คะแนนขน้ึ ไป (เป็นผดู้ ่มื แบบอนั ตราย หรอื ผดู้ ่มื แบบตดิ ) โอกาสสูง = จานวนผูป้ ฏบิ ตั งิ านทไ่ี ดค้ า่ การประเมนิ /คดั กรองสุขภาพจติ ในระดบั สXงู 100 จานวนผู้ปฏิบตั งิ านทไ่ี ด้ประเมนิ /คดั กรองสุขภาพจติ ทงั้ หมด = สดั ส่วนของผปู้ ฏบิ ตั งิ านทไ่ี ดค้ ่าการประเมนิ /คดั กรองสขุ ภาพจติ ในระดบั สูง ตงั้ แตร่ อ้ ย ละ 5 ขน้ึ ไป หมายเหตุ : ในกรณีด้านสุขภาพจติ หากพบผ้ปู ฏบิ ตั งิ านมโี อกาสเกดิ ข้นึ ในระดบั ตา่ กลาง และสูง ควรมผี แู้ นะนาหรอื ดแู ลใหค้ าปรกึ ษา แบบคดั กรองโรคซมึ เศร้าดว้ ย 2 คาถาม (2Q) ผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเส่ยี งท่ไี ด้รบั การคดั กรองโดยแบบคัดกรองโรคซึมเศร้าด้วย 2 คาถาม (2Q) มผี ล การคัดกรองเป็นบวก คือ ได้คาตอบว่า “มี” ในข้อใดข้อหนึ่ง หรอื ทัง้ สองข้อ หมายถึง เป็นผู้มีความเสี่ยงหรือมี แนวโน้ม ท่จี ะเป็นโรคซึมเศร้า ควรพูดคุย/ใหก้ ารปรกึ ษาเบ้อื งต้นเพ่อื หาสาเหตขุ องปัญหาหรอื พิจารณาข้อมูลอ่นื ๆ ประกอบร่วมด้วย เช่น การขาด/ลา/มาทางานสาย มีปัญหาหน้ีสิน ปัญหาครอบครัว ปัญ หาภาระงานหรอื ๖๘

๖๙ ความสัมพันธ์ในองค์กร ปัญหาสุขภาพ ปัญหาการด่ืมสุรา ฯลฯ ควรมกี ารเฝ้าระวัง ให้ความช่วยเหลือตาม ความสามารถขององค์กร หากเกนิ ความสามารถให้พจิ ารณาส่งต่อความช่วยเหลือ ไปยงั หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วขอ้ งตรง ตามความต้องการและปัญหานนั้ ๆ สาหรับหน่วยบรกิ ารสาธารณสขุ เม่อื ไดร้ บั สง่ ต่อความช่วยเหลอื ควรพจิ ารณาใช้ แบบประเมนิ โรคซมึ เศรา้ 9 คาถาม (9Q) หมายเหตุ : กลุ่มเส่ียง ได้แก่ กลุ่มผู้ปฏิบตั ิงานท่มี ีปัญหาสุขภาพกาย สุขภาพจิต เช่น ความเครยี ด ภาวะ ซึมเศร้า การเผชิญกับความสูญเสีย การปรับตัว การจัดการกับอารมณ์ ติดพนัน เป็นต้น มีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครวั ปัญหาความสมั พันธ์ ปัญหาความรุนแรง ปัญหาการด่มื สุรา ปัญหายาเสพติด ปัญหาภาระงาน ฯลฯ ทัง้ นี้ ขึ้นอยูก่ บั บริบท สภาพแวดล้อมและการวิเคราะหอ์ งค์กร ขอ้ แนะนา 1. กรณีท่ผี ลการประเมินพบวา่ มผี ู้ปฏิบตั ิงานตอบประเมินแลว้ ได้ค่าคะแนนเท่ากบั 0 เกินกว่า รอ้ ยละ 50 ของผตู้ อบแบบประเมินทงั้ หมด ควรทาความเขา้ ใจกบั ผตู้ อบแบบประเมิน ในประเด็นดงั ตอ่ ไปน้ี - ผู้ตอบแบบประเมนิ ไม่เขา้ ใจแบบประเมนิ ขอ้ คาถาม หรอื การแปลผลคะแนน - ตอบไม่ตรงกบั ความจรงิ เน่อื งจากกงั วลวา่ จะมผี ลกระทบต่อการปฏบิ ตั งิ าน - พนกั งานอาจมภี าวะเฉ่อื ยชาหรอื หมดไฟในการทางาน และควรพิจารณาทาการประเมินความเครียด (ST-5) ซ้าอกี ครงั้ หลงั จากได้ให้คาแนะนาและ ชแี้ จงแกผ่ ปู้ ฏิบตั ิงานให้มคี วามเข้าใจตรงกนั 2. กรณีท่ีผลการประเมินพบว่า มีผู้ปฏิบตั ิงานตอบประเมินแล้วได้ค่าคะแนนมากกว่าหรือ เท่ากับ 8 เกินกว่าร้อยละ 10 ของผ้ตู อบแบบประเมินทงั้ หมด ควรพิจารณาทาการประเมินความเครยี ด (ST-5) ซ้าอีกครงั้ ภายหลงั การประเมินซ้า หากพบว่าผู้ปฏิบตั ิงานในกลุ่มน้ียังคงได้ค่าคะแนนมากกว่าหรือเท่ากบั 8 แนะนาให้ใช้แบบคัดกรองโรคซึมเศร้า 2 คาถาม (2Q) ถ้าผลเป็น Positive ควรพูดคุย/ให้การปรึกษา เบ้อื งตน้ เพื่อหาสาเหตขุ องปญั หาหรือพิจารณาข้อมลู อืน่ ๆ ประกอบร่วมด้วย เชน่ การขาด/ลา/มาทางานสาย มปี ัญหาหนส้ี นิ ปัญหาการด่มื สรุ า ฯลฯ และพิจารณาใช้แบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คาถาม (9Q) โดยบุคลากร สาธารณสขุ ต่อไป หมายเหตุ : ในกรณีพบผู้ปฏบิ ตั งิ านมโี อกาสเกดิ ความเสย่ี งดา้ นสุขภาพจติ ใน ระดบั ตา่ ควรสง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ ของผูป้ ฏบิ ตั งิ านใหค้ งอยู่เท่าเดมิ หรอื เพม่ิ ข้นึ ระดับกลาง ควรเฝ้าระวงั เพ่ือไม่ให้มีโอกาสเกิดความเส่ยี งด้านสุขภาพจิตในระดับสูง โดยมีการให้ สขุ ภาพจติ ศกึ ษา ให้การปรกึ ษา ใหค้ าแนะนา และใหก้ ารดูแล ๖๙

๗๐ ระดบั สงู ควรพจิ ารณาให้ความช่วยเหลอื ตามความสามารถขององค์กร และส่งต่อเพ่อื ขอรบั ความช่วยเหลอื ไปยงั หน่วยงานท่เี ก่ยี วขอ้ งท่ตี รงกบั ความต้องการและปัญหา ในกรณที ป่ี ัญหานนั้ เกนิ ความสามารถขององคก์ ร 1.2 ดา้ นความปลอดภยั โอกาสของการเกิด ตวั อย่างเกณฑ์ในการพิจารณา อนั ตราย ระดบั ตา่ (1) มสี ถติ กิ ารเกดิ อุบตั เิ หตขุ องผปู้ ฏบิ ตั งิ าน น้อยกว่า 5 ครงั้ ตอ่ ปี ระดบั ปานกลาง (2) มสี ถิตกิ ารเกดิ อบุ ตั เิ หตุของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ตงั้ แต่ 5 ครงั้ แต่ไม่เกนิ 10 ครงั้ ตอ่ ปี ระดบั สงู (3) มสี ถิตกิ ารเกดิ อุบตั เิ หตุของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน มากกวา่ 10 ครงั้ ตอ่ ปี 1.3 ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน โอกาสของการเกิด ตวั อยา่ งเกณฑ์ในการพิจารณา อนั ตราย มผี ลการตรวจวดั สภาพแวดล้อมในการทางานไมเ่ ป็นไปตามมาตรฐานกาหนด ระดบั ต่า (1) น้อยกวา่ 3 จดุ ต่อครงั้ ระดบั ปานกลาง (2) มผี ลการตรวจวดั สภาพแวดลอ้ มในการทางานไม่เป็นไปตามมาตรฐานกาหนด ระดบั สูง (3) ตงั้ แต่ 3 จุด แตไ่ ม่เกนิ 5 จุดตอ่ ครงั้ มผี ลการตรวจวดั สภาพแวดล้อมในการทางานไมเ่ ป็นไปตามมาตรฐานกาหนด มากกวา่ 5 จดุ ต่อครงั้ ขน้ึ ไป ตารางท่ี 2 ตวั อย่างการพิจารณาระดบั ความรุนแรงของการเกิดอนั ตราย ในขนั้ ตอนน้จี ะเป็นการพจิ ารณาถงึ ความรนุ แรงของเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ วา่ จะก่อใหเ้ กดิ ถึงผลกระทบท่ี อาจเกดิ ขึ้นภายในองค์กรและส่งผลกระทบไปยังภายนอกองค์กรมากน้อยเพยี งใด โดยอาจจดั ระดบั ความ รุนแรง ออกเป็น 4 ระดับ ดังตารางตวั อย่างในการกาหนดค่าระดบั ความรุนแรงของการเกิดอนั ตราย เพอ่ื ใช้ใน ประเมนิ ระดบั ความรนุ แรงของการเกิดอนั ตรายในองคก์ ร โดยจะแบ่งการพจิ ารณาออกเป็น 3 ดา้ น คอื ดา้ นสุขภาพ ๗๐

๗๑ ดา้ นความปลอดภยั และดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ทงั้ นี้องค์กรสามารถปรบั ระดบั ให้เหมาะสมกบั บริบท ขององคก์ รได้ 2.1 ดา้ นสขุ ภาพทางกาย ระดบั ความรนุ แรง ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ของการเกิดอนั ตราย ระดบั ตา่ (1) - สง่ ผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยเลก็ น้อยในระดบั ปฐม พยาบาล มผี ลกระทบตอ่ กระบวนการผลติ เล็กนอ้ ยมาก สามารถทางานได้เป็นปกติ มผี ลกระทบต่อเศรษฐกจิ ขององค์กรเพยี งเล็กน้อยหรอื ไม่มเี ลย - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ไมเ่ กดิ ผลกระทบภายนอกองค์กร ระดบั ปานกลาง (2) - สง่ ผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ทผ่ี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยตอ้ งไปพบแพทย์ มผี ลกระทบต่อกระบวนการผลติ ปานกลางแตส่ ามารถทางานได้ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ขององคก์ รปานกลาง - ส่งผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ท่มี ผี ลกระทบต่อครอบครวั ของผปู้ ฏบิ ัตงิ าน เล็กน้อย ระยะสนั้ ๆ ระดบั สงู (3) - ส่งผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารเจ็บป่วยต้องไปพบแพทย์และ ไดร้ บั การรกั ษา มผี ลกระทบต่อกระบวนการผลติ ถงึ ขนั้ หยดุ การทางาน ในระยะเวลาสนั้ ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ขององคก์ รเสยี หายมาก มผี ลกระทบตอ่ ผลผลติ - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทม่ี ผี ลกระทบต่อครอบครวั ของผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน มาก ๗๑

๗๒ ระดบั สูงมาก (4) - ส่งผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ท่ผี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยต้องได้รบั การรกั ษา ในโรงพยาบาล มผี ลกระทบตอ่ กระบวนการผลติ สูงมากถงึ ขนั้ หยุดการทางาน ในระยะ ยาว ผลกระทบต่อเศรษฐกจิ ขององค์กรเสยี หายสูงมาก มผี ลกระทบตอ่ ผลผลติ สูง - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทม่ี ผี ลกระทบต่อครอบครวั ของผู้ปฏบิ ตั งิ าน มากและเป็นระยะยาว ดา้ นสขุ ภาพจิต ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ระดบั ความรุนแรง ของการเกิดอนั ตราย ระดบั ตา่ (1) - ส่งผลกระทบภายในองค์กร ไม่เกดิ ผลกระทบต่อผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ผู้ปฏบิ ตั งิ านสามารถ ทางานได้ตามปกติ - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ไมเ่ กดิ ผลกระทบภายนอกองค์กร ระดบั ปานกลาง (2) - สง่ ผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ท่ผี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยทางกายเกดิ ข้นึ เป็น บางครงั้ โดยไม่มสี าเหตุ เช่น ปวดศรี ษะ เบ่ืออาหาร ทอ้ งอดื ปวดเม่อื ย เป็นตน้ มผี ลกระทบต่อกระบวนการผลติ ปานกลาง สามารถทางานได้แต่อาจเกดิ ความผดิ พลาด บ้างบางครงั้ มกี ารหยดุ งานบา้ ง มผี ลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ขององค์กรปานกลาง - สง่ ผลกระทบภายนอกองคก์ ร ในระดบั ท่มี ผี ลกระทบตอ่ ครอบครวั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ปานกลาง เช่น มปี ากเสยี งบ้างเล็กน้อยแตไ่ ม่รุนแรง ยงั จดั การแก้ปัญหาในครอบครวั ได้ ๗๒

๗๓ ระดบั สูง (3) - ส่งผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ท่ผี ูป้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยทางกายเกดิ ข้นึ อยา่ ง ระดบั สูงมาก (4) ตอ่ เน่อื งและจาเป็นตอ้ งไปพบแพทย์ เชน่ นอนไม่หลบั ตดิ ต่อกนั หรอื นอนมากไป เบ่อื อาหารหรอื ทานมากไป หรอื มพี ฤตกิ รรมท่เี ปล่ยี นไปจากเดมิ เชน่ หงุดหงดิ ฉุนเฉียวงา่ ย ชอบทะเลาะกบั ผูอ้ น่ื แกป้ ัญหาดว้ ยการมพี ฤตกิ รรมทไ่ี มเ่ หมาะสม เป็นตน้ มผี ลกระทบต่อกระบวนการผลติ ถึงขนั้ หยดุ การทางาน ในระยะเวลาสนั้ ๆ เกดิ ความ ผดิ พลาดในการทางานบ่อย มผี ลกระทบต่อเศรษฐกจิ ขององค์กรเสยี หายมากจากการท่ี ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านหยดุ งาน มผี ลกระทบต่อผลผลติ - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ท่มี ผี ลกระทบต่อครอบครวั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน มาก เชน่ มปี ากเสยี งในครอบครวั บอ่ ยครงั้ ไมร่ บั ผดิ ชอบในครอบครวั เป็นต้น - สง่ ผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารเจ็บป่วยทส่ี ง่ ผลให้เหน็ ว่ามี ปัญหาสุขภาพจติ ชดั เจนตอ้ งไปพบแพทย์และจาเป็นตอ้ งไดร้ บั การรกั ษา เชน่ ซมึ เศร้า แยกตวั เองไมพ่ ดู กบั ใคร หรอื บน่ อยากตาย หรอื ทะเลาะกบั ผอู้ น่ื ไปทวั่ เป็นตน้ มี ผลกระทบต่อกระบวนการผลติ สูงมากถึงขนั้ หยดุ การทางาน ไมส่ ามารถทางานได้ ผลกระทบตอ่ เศรษฐกจิ ขององค์กรเสยี หายสูงมากจากการท่ผี ูป้ ฏบิ ตั งิ านหยุดงาน มผี ลกระทบตอ่ ผลผลติ สูงมาก - ส่งผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ครอบครวั ของผูป้ ฏบิ ตั งิ าน มากและเป็นระยะยาว 2.2 ด้านความปลอดภยั ระดบั ความรุนแรง ตวั อยา่ งเกณฑใ์ นการพิจารณา ของการเกิดอนั ตราย ระดบั ต่า (1) - สง่ ผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจบ็ เลก็ นอ้ ยในระดบั ปฐม พยาบาล ทรพั ยส์ นิ ขององค์กรเกดิ ความเสยี หายนอ้ ยมาก หรอื ไม่เสยี หายเลย - ส่งผลกระทบภายนอกองค์กร ไม่เกดิ ผลกระทบตอ่ ชุมชนรอบโรงงานหรอื มผี ลกระทบ เลก็ น้อย มผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มรอบโรงงานเพยี งเลก็ น้อย สามารถควบคมุ หรอื แกไ้ ข ได้ ๗๓

๗๔ ระดบั ปานกลาง (2) - ส่งผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ทผ่ี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจบ็ ตอ้ งไปพบแพทย์ ระดบั สงู (3) ทรพั ยส์ นิ ขององคก์ รเกดิ ความเสยี หายปานกลาง และสามารถดาเนนิ การผลติ ตอ่ ไปได้ - ส่งผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ท่เี กดิ ผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงงานและแกไ้ ข ระดบั สงู มาก (4) ไดใ้ นระยะเวลาอนั สนั้ มผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มรอบโรงงานปานกลาง สามารถแกไ้ ขได้ ในระยะเวลาสนั้ - สง่ ผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ทผ่ี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารเจบ็ ป่วยตอ้ งไปพบแพทย์และ ได้รบั การรกั ษา มที รพั ย์สนิ ขององคก์ รเกดิ ความเสยี หายมาก และต้องหยดุ การผลติ ใน บางสว่ น - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทเ่ี กดิ ผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงงานและตอ้ ง ใชเ้ วลาในการแก้ไข มผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมรอบโรงงานรุนแรงและต้องใช้เวลาในการ แก้ไข - สง่ ผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ทผ่ี ู้ปฏบิ ตั งิ านมกี ารเจ็บป่วยต้องได้รบั การรกั ษา ในโรงพยาบาล มีทรพั ย์สนิ ขององค์กรเกดิ ความเสยี หายมาก และตอ้ งหยุดการผลติ ทงั้ หมด - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทเ่ี กดิ ผลกระทบตอ่ ชุมชนรอบโรงงานเป็น บรเิ วณกวา้ งหรอื หน่วยงานของภาครฐั ต้องเขา้ มาดาเนินการแกไ้ ข มผี ลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมรอบโรงงานรุนแรงมากและต้องใช้ทรพั ยากรและเวลานานในการแก้ไข 2.3 ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ๗๔

๗๕ ระดบั ความรนุ แรง ตวั อยา่ งเกณฑใ์ นการพิจารณา ของการเกิดอนั ตราย ระดบั ต่า (1) - ส่งผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจบ็ /เจบ็ ป่วยเล็กนอ้ ยใน ระดบั ปฐมพยาบาล ทรพั ยส์ นิ ขององคก์ รเกดิ ความเสยี หายน้อยมาก หรอื ไม่เสยี หายเลย - ส่งผลกระทบภายนอกองค์กร ไม่เกดิ ผลกระทบตอ่ ชมุ ชนรอบโรงงานหรอื มผี ลกระทบ เลก็ น้อย มผี ลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมรอบโรงงานเพยี งเล็กนอ้ ย สามารถควบคุมหรอื แก้ไข ได้ ระดบั ปานกลาง (2) - ส่งผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ทผ่ี ้ปู ฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจบ็ /เจ็บป่วยตอ้ งไปพบ แพทย์ ทรพั ยส์ นิ ขององคก์ รเกดิ ความเสยี หายปานกลาง และสามารถดาเนนิ การผลติ ตอ่ ไปได้ - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทเ่ี กดิ ผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงงานและแกไ้ ข ได้ในระยะเวลาอนั สนั้ มผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มรอบโรงงานปานกลาง สามารถแก้ไขได้ ในระยะเวลาสนั้ ระดบั สูง (3) - ส่งผลกระทบภายในองค์กร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจ็บ/เจ็บป่วยต้องไปพบ แพทย์และได้รบั การรกั ษา มที รพั ย์สนิ ขององคก์ รเกดิ ความเสยี หายมาก และตอ้ งหยุด การผลติ ในบางสว่ น - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ท่เี กดิ ผลกระทบต่อชุมชนรอบโรงงานและต้อง ใชเ้ วลาในการแก้ไข มผี ลกระทบตอ่ สงิ่ แวดล้อมรอบโรงงานรุนแรงและต้องใชเ้ วลาในการ แก้ไข ระดบั สงู มาก (4) - สง่ ผลกระทบภายในองคก์ ร ในระดบั ท่ผี ปู้ ฏบิ ตั งิ านมกี ารบาดเจ็บ/เจ็บป่วยต้องได้รบั การรกั ษา ในโรงพยาบาล มที รพั ยส์ นิ ขององค์กรเกดิ ความเสยี หายมาก และต้องหยุดการ ผลติ ทงั้ หมด - สง่ ผลกระทบภายนอกองค์กร ในระดบั ทเ่ี กดิ ผลกระทบต่อชมุ ชนรอบโรงงานเป็น บรเิ วณกวา้ งหรอื หน่วยงานของภาครฐั ตอ้ งเขา้ มาดาเนนิ การแก้ไข มผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อมรอบโรงงานรุนแรงมากและต้องใชท้ รพั ยากรและเวลานานในการแกไ้ ข ๗๕

๗๖ ตารางที่ 3 ตวั อยา่ งการพิจารณาระดบั ความสามารถในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ในขนั้ ตอนนจ้ี ะเป็นการพจิ ารณาถงึ ความสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายของของเหตุการณ์ หรอื ความเส่ยี งต่าง ๆ โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดงั ตารางตัวอย่างในการกาหนดค่าระดบั ความสามารถในการ ตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายเพ่อื ใช้ในประเมนิ ระดบั ความสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายในองค์กร โดยจะแบ่งการ พจิ ารณาออกเป็น 3 ด้าน คอื ด้านสุขภาพ ด้านความปลอดภยั และด้านสภาพแวดล้อม ในการทางาน ทัง้ นี้ องค์กรสามารถปรบั ระดบั ให้เหมาะสมกบั บริบทขององค์กรได้ 3.1 ด้านสขุ ภาพทางกาย ระดบั ความสามารถ ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ระดบั ตา่ (๓) ไม่มกี ารตรวจประเมนิ สุขภาพของผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน ไม่มกี ารคดั กรองหรอื ประเมนิ หา กลมุ่ เสย่ี ง/พฤตกิ รรมเสย่ี งของโรคตดิ ตอ่ โรคไม่ตดิ ตอ่ และโรคจากการประกอบอาชพี เช่น ไม่มกี ารตรวจสขุ ภาพประจาปี ไมม่ กี ารตรวจสขุ ภาพตามปัจจยั เส่ยี ง และ ไม่มกี ารตรวจคดั กรองผูป้ ่วยโรคระบบทางเดนิ หายใจ เชน่ ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นต้น หรอื ไมม่ ี แผนการดาเนนิ งานเพอ่ื ป้องกนั และควบคมุ ระดบั ปานกลาง (2) มกี ารตรวจประเมนิ สขุ ภาพของผู้ปฏบิ ตั งิ านแตไ่ ม่สม่าเสมอ หรอื ไมม่ แี ผนการดาเนนิ งาน เพ่อื ป้องกนั และควบคมุ ท่ตี ่อเน่อื ง ระดบั สูง (๑) มกี ารตรวจประเมนิ สุขภาพของผู้ปฏบิ ตั งิ านอยา่ งตอ่ เน่อื ง รวมถงึ การรวบรวมสถิตกิ าร เกดิ โรคตา่ ง ๆ รวมทงั้ นาผลของการประเมนิ และสถติ กิ ารเกดิ โรค ไปวเิ คราะห์และ ดาเนนิ การทุกกรณอี ยา่ งต่อเน่อื ง ทงั้ การตรวจสุขภาพประจาปีและการตรวจสขุ ภาพตาม ปัจจยั เสย่ี ง ด้านสขุ ภาพจิต ระดบั ความสามารถ ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ระดบั ต่า (3) ไม่มกี ารตรวจประเมนิ /คดั กรองสุขภาพจติ ตามแบบของกรมสขุ ภาพจติ ๗๖

๗๗ ระดบั ปานกลาง (2) มกี ารตรวจประเมนิ /คดั กรองสุขภาพจติ ตามแบบของกรมสุขภาพจติ บ้าง ระดบั สงู (1) แตไ่ ม่ประจา หรอื ไม่ตอ่ เน่อื ง มกี ารตรวจประเมนิ /คดั กรองสขุ ภาพจติ เป็นประจาอยา่ งนอ้ ยปีละครงั้ หรอื มากกวา่ ตามความจาเป็น 3.2 ดา้ นความปลอดภยั ระดบั ความสามารถ ตวั อย่างเกณฑ์ในการพิจารณา ในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ระดบั ตา่ (3) ไมม่ คี วามสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายได้เลย ระดบั ปานกลาง (2) มคี วามสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายได้แต่ไม่ทกุ กรณี ระดบั สงู (1) มคี วามสามารถในการตรวจจบั การเกดิ อนั ตรายได้ทุกกรณี 3.3 ดา้ นสภาพแวดลอ้ มในการทางาน ระดบั ความสามารถ ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ระดบั ต่า (3) ไม่มกี ารตรวจวดั สภาพแวดลอ้ มในการทางาน ระดบั ปานกลาง (2) มกี ารตรวจวดั สภาพแวดล้อมในการทางานแต่ไม่ครบถ้วนตามมาตรฐานกาหนด ๗๗

๗๘ ระดบั สงู (1) มกี ารตรวจวดั สภาพแวดลอ้ มในการทางานไดค้ รบถ้วนตามมาตรฐานกาหนด 2.2.2 ตวั อยา่ งตารางการคานวณคา่ คะแนนความเสี่ยงจากการพิจารณาปัจจยั ที่เก่ียวขอ้ ง ตารางท่ี 4 ตวั อย่างการคานวณคา่ คะแนนความเส่ยี งจากการพิจารณาปจั จยั ท่ีเกยี่ วข้อง ในตารางท่ี 4 นี้ จะเป็นตารางตวั อย่างในการนาระดบั ของ โอกาสของการเกดิ อันตรายมาคูณกบั ระดับ ความรุนแรงของการเกิดอันตรายและนามาคูณกับระดบั ความสามารถในการตรวจจับการเกิดอันตรายนัน้ ๆ เพอ่ื ใหส้ ามารถดผู ลลพั ธ์ของคา่ คะแนนความเส่ยี งไดง้ า่ ยข้นึ ทงั้ น้เี พอ่ื นาไปสู่ขนั้ ตอนของการกาหนดระดบั ความเส่ยี ง ตอ่ ไป เช่น โอกาสในการเกดิ อนั ตราย มคี ่าเท่ากบั 2 ความรนุ แรงในการเกดิ อนั ตราย มคี ่าเท่ากบั 3โอกาสในการ ตรวจจบั อนั ตราย มคี ่าเทา่ กบั 3 ดงั นนั้ ผลคูณของค่าคะแนนความเสย่ี ง คอื 2 x 3 x 3 = 18 ดงั ตารางแสดง โอกาส ต่า (1) กลาง (2) สูง (3) ความ ต่า ปาน สงู สูง ต่า ปาน สูง สงู ต่า ปาน สงู สูง รุนแรง (1) กลาง (3) มาก (1) กลาง (3) มาก (1) กลาง (3) มาก (2) (2) (2) การตรวจจับ (4) (4) (4) สูง (1) 1 2 3 4 2 4 6 8 3 6 9 12 ปานกลาง (2) 2 4 6 8 4 8 12 16 6 12 18 24 ตา่ (3) 3 6 9 12 6 12 18 24 9 18 27 36 (ทม่ี า : U.S. Department of Veterans Affairs . Healthcare Failure Mode and Effect Analysis (HFMEA), from http://www.patientsafety.va.gov) 2.2.3 ตวั อย่างตารางการจดั ระดับความเสยี่ งอนั ตราย ๗๘

๗๙ ตารางที่ 5 ตวั อย่างการจัดระดบั ความเสีย่ งอนั ตราย โดยการนาค่าคะแนนความเส่ยี งทไ่ี ด้ มาพจิ ารณาระดบั ความเส่ยี งในการจดั ทาแผนบรหิ ารจดั การความเสย่ี ง ท่เี หมาะสมตอ่ ไป โดยอาจจดั ระดบั ความเส่ยี งเป็น 5 ระดบั ดงั น้ี ค่าคะแนนความเสยี่ ง ระดบั ความเสยี่ ง 1 – 3 ตา่ 4 – 8 ยอมรบั ได้ 9 - 12 ปานกลาง 16 – 18 สงู 24 – 36 ยอมรบั ไม่ได้ (ทม่ี า : U.S. Department of Veterans Affairs . Healthcare Failure Mode and Effect Analysis (HFMEA), from http://www.patientsafety.va.gov) จากตัวอย่างในขนั้ ตอน 2.2.2 ค่าคะแนนความเส่ียง คือ 18 เมอ่ื นามาจดั ระดบั ความเส่ยี งอนั ตราย จะ อยใู่ น ระดบั ความเสย่ี งสูง และจะมหี ลกั เกณฑ์ในการตอบสนองต่อความเส่ยี งตามหลกั เกณฑใ์ นการตอบสนองตอ่ ความเส่ยี งระดบั ต่าง ๆ ต่อไป เงอ่ื นไขในการพิจารณาระดับความเสีย่ งเพิ่มเติม 1. กรณีความเสย่ี งอนั ตรายเก่ยี วขอ้ งกบั กฎหมายหรอื ขอ้ กาหนดอ่นื ๆ แตอ่ งคก์ ร ไมม่ ี มาตรการ ควบคุมกิจกรรมดงั กลา่ ว องคก์ รต้องดาเนินการตามกฎหมายหรือข้อกาหนดท่ีเก่ยี วข้องทนั ทีโดยไม่ต้อง ผ่านการประเมินระดบั ความเสยี่ ง 2. กรณีความเส่ยี งอนั ตรายเก่ยี วขอ้ งกบั กฎหมายหรอื ขอ้ กาหนดอ่นื ๆ แตห่ น่วยงาน มี มาตรการ ควบคมุ กจิ กรรมดงั กลา่ ว องค์กรตอ้ งดาเนินการประเมินระดบั ความเสีย่ งตามหลกั เกณฑ์ปกติ 2.3 จดั ลาดบั ความสาคญั ของความเส่ยี ง ในขนั้ ตอนน้ีจะเป็นขนั้ ตอนท่อี งค์กรนาระดบั ความเส่ยี งในแต่ละประเด็นมาจดั ลาดับความสาคัญเพ่อื นาไปสู่ การจัดทาแผนบรหิ ารและจัดการความเส่ยี ง โดยจะมีหลักการพิจารณา คอื พิจารณาเลือกความเส่ียง 4 ระดบั คอื ความเสี่ยงที่ยอมรบั ได้ ความเส่ียงปานกลาง ความเสี่ยงสูง และความเสี่ยงที่ยอมรบั ไม่ได้ มาจดั ลาดับ ๗๙

๘๐ ความสาคญั ของปัญหาเพอ่ื จดั การแกไ้ ขป้องกนั ตามลาดบั โดยตอ้ งพิจารณาเลอื กตามความระดบั ความเสย่ี งทม่ี ากท่สี ุด แลว้ ไล่เรยี งตามลาดับ และในการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาในแต่ละระดบั ความเส่ยี งนนั้ อาจพจิ ารณาจากปัจจยั ต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ งร่วมด้วย เชน่ ด้านความรนุ แรงของการเกดิ ปัญหา ด้านงบประมาณ ด้านทรพั ยากรบุคคล ดา้ นระยะเวลา ในการแก้ไข ฯลฯ หลกั เกณฑใ์ นการตอบสนองตอ่ ความเส่ียงระดบั ตา่ ง ๆ เม่อื องค์กรทราบระดบั ความเส่ยี งแลว้ สง่ิ ท่อี งคก์ รจะต้องดาเนินการต่อไป คือ การพิจารณาตอบสนองต่อ ความเส่ยี งนนั้ ๆ โดยมหี ลกั เกณฑใ์ นการตอบสนองตอ่ ความเสย่ี ง ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี ระดบั ความเสย่ี ง หลกั เกณฑ์การพิจารณาตอบสนองต่อความเสยี่ ง ระดบั ความเสย่ี งต่า (1 - 3) ไม่จาเป็นตอ้ งมกี ารควบคุม ระดบั ความเสย่ี งท่ยี อมรบั ได้ (4 - 8) ไม่ต้องมกี ารควบคุมเพม่ิ เตมิ แต่ตอ้ งมกี ารทบทวนมาตรการควบคุมและ ต้องมกี ารตดิ ตามตรวจสอบ โดยการกาหนดแผนควบคุมความเสีย่ ง เพ่อื ใหแ้ น่ใจวา่ ความเสย่ี งได้รบั การควบคมุ ต่อเน่อื งและมาตรการควบคมุ นนั้ ยงั มปี ระสทิ ธภิ าพ ระดบั ความเส่ียง หลกั เกณฑก์ ารพิจารณาตอบสนองต่อความเสย่ี ง ๘๐

๘๑ ระดบั ความเสี่ยงปานกลาง (9 - 12) 1. จะตอ้ งใช้ความพยายามทจ่ี ะลดความเส่ยี ง แต่ค่าใชจ้ า่ ยของการป้องกนั จะต้องพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ ซึ่งจะตอ้ งกาหนดแผนลดผลกระทบ ระดบั ความเสย่ี งสงู (16 - 18) ของความเสีย่ ง ระดบั ความเสย่ี งทีย่ อมรบั ไม่ได้ 2. จะตอ้ งมกี ารดาเนนิ ลดความเสย่ี งภายในแผนทก่ี าหนด (24 - 36) 3. เม่อื ความเสย่ี งระดบั ปานกลางมคี วามสมั พนั ธก์ บั การเกดิ ความเสยี หาย ร้ายแรง ควรประเมนิ ทบทวนเพ่อื ตดั สนิ ความจาเป็นสาหรบั มาตรการ ควบคมุ วา่ จะต้องมกี ารปรบั ปรงุ เพมิ่ เตมิ หรอื ไม่ 4. เมอ่ื จดั ทาการลดความเสย่ี งลงแลว้ ต้องจดั ทาแผนควบคุมความเสย่ี ง ต่อ เพ่อื ให้มนั่ ใจว่าการลดความเส่ยี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคมุ อย่างตอ่ เน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอยู่เสมอ 1. ตอ้ งลดความเสย่ี งลงก่อนทจ่ี ะเรม่ิ ทากจิ กรรมได้ 2. ตอ้ งกาหนดแผนลดความเสี่ยง และตอ้ งจดั สรรทรพั ยากรและ มาตรการ อย่างเพยี งพอเพ่อื ลดความเสย่ี งนนั้ 3. กรณีความเส่ยี งท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั กจิ กรรมทก่ี าลงั จะเรมิ่ หรอื กจิ กรรมท่ี กาลงั ดาเนินอยู่จะต้องทาการแก้ไขโดยเร่งดว่ น 4. เม่อื จดั ทาการลดความเส่ยี งลงแล้ว ต้องจดั ทาแผนควบคุมความเสย่ี ง ตอ่ เพ่อื ให้มนั่ ใจว่าการลดความเส่ยี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคุม อย่างต่อเน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอย่เู สมอ 1. ตอ้ งกาหนดแผนลดความเส่ียง โดยการทางานหรอื กจิ กรรมทจ่ี ะเรม่ิ หรอื งานท่ที าอยูจ่ ะไมส่ ามารถดาเนนิ ตอ่ ไปได้ จนกว่าจะลดความเส่ยี ง ลงให้อยูใ่ นขนั้ ยอมรบั ได้ 2. ถา้ ไมส่ ามารถลดความเสย่ี งได้ ถึงแมจ้ ะพยายามอย่างเตม็ ท่แี ล้วจะต้อง หยุดการทางานหรอื กจิ กรรมนนั้ 3. เมอ่ื จดั ทาการลดความเส่ยี งลงแลว้ ต้องจดั ทาแผนควบคุมความเสยี่ ง ตอ่ เพอ่ื ให้มนั่ ใจวา่ การลดความเส่ยี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคุม อยา่ งตอ่ เน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอยูเ่ สมอ ๘๑

๘๒ หมายเหตุ แนวทำงกำรปฏบิ ตั ิตำมแผนกำรควบคุมควำมเสยี่ งทุกระดบั ข้ำงต้นอย่ำงน้อยต้องมีกำรดำเนินกำรตำมขอ้ กำหนดของ กฎหมำย (ท่มี า : มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDRAD มอก. 18004 – 2544 : ระบบการ จดั การอาชวี อนามยั และความปลอดภยั : ขอ้ แนะนาทวั่ ไปเกย่ี วกบั หลกั การ ระบบและเทคนคิ ในทางปฏบิ ตั )ิ 2.4 การทาแผนบริหารจดั การความเส่ียง แผนบริหารจัดการความเส่ียงนัน้ จะมี 2 แผน คือ แผนงานควบคุมความเส่ียงและแผนงานลด ผลกระทบของความเส่ียง ซึ่งองค์กรต้องดาเนินการจดั ทาแผนงานเพ่ือกาหนดมาตรการความปลอดภัย ท่ี เหมาะสมและมปี ระสิทธิภาพในการลดผลกระทบและควบคุมความเส่ยี งจากอนั ตรายท่อี าจเกิดข้นึ โดยการจดั ทา แผนบรหิ ารจดั การความเส่ยี ง จะมหี ลกั เกณฑ์การดาเนนิ งานแบง่ ออกเป็น 2 แผน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. แผนงานควบคุมความเสย่ี ง จะต้องดาเนินการในทุกประเดน็ ทม่ี รี ะดบั ความเสย่ี งทย่ี อมรบั ได้ 2. แผนงานลดผลกระทบของความเสย่ี ง จะตอ้ งดาเนนิ การในทกุ ประเดน็ ท่มี รี ะดบั ความเส่ยี ง ปานกลาง ระดบั ความเส่ยี งสูง และระดับความเส่ยี งท่ยี อมรบั ไม่ได้ เม่อื จดั ทาแผนงานลดผลกระทบของความเส่ยี ง ดาเนนิ การเรยี บร้อยแลว้ ให้นาแผนงานลดผลกระทบของความเสย่ี งมาจดั ทาเป็นแผนงานควบคมุ ความเสย่ี งตอ่ ไป สาหรบั แผนทต่ี ้องดาเนนิ การสาหรบั ความเส่ยี งในแตล่ ะระดบั สามารถสรุปได้ดงั น้ี ระดบั ความเสย่ี ง การจดั ทาแผนบริหารจัดการความเสี่ยง ตา่ ▪ ไม่ตอ้ งทาแผน ยอมรบั ได้ ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ปานกลาง ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง สูง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ยอมรบั ไมไ่ ด้ ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง 2.5 การทบทวนแผนบริหารจดั การความเสีย่ ง เม่อื องคก์ รทราบแล้ววา่ จะต้องจดั ทาแผนในการดาเนนิ การสาหรบั ความเส่ยี งในแต่ละระดบั ควรมี การทบทวนแผนบรหิ ารจัดการความเส่ยี งก่อนนาไปใช้งานจริง เพ่อื ใหม้ นั่ ใจไดว้ ่าแผนนนั้ จะสามารถดาเนนิ การได้จริงและ มคี วามเหมาะสม โดยการตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ๘๒

๘๓ 1. เมอ่ื มกี ารปรบั ปรงุ แลว้ ระดบั ความเส่ยี งลดลงจนยอมรบั ไดห้ รอื ไม่ 2. ผลจากการปรบั ปรงุ ตามขอ้ 1 กอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายขน้ึ ใหมห่ รอื ไม่ 3. ได้เลอื กวธิ กี ารแก้ไขปัญหาท่คี ้มุ คา่ มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลหรอื ไม่ 4. มาตรการควบคุมทใ่ี ชน้ นั้ เป็นท่ยี อมรบั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน และสามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ด้หรอื ไม่ 5. จะมกี ารนามาตรการนไี้ ปใช้ และจะไมถ่ ูกละเลยเม่อื เผชญิ หน้ากบั ภาวะตา่ ง ๆ หรอื ไม่ ถ้ามงี าน เรง่ ดว่ นอาจจะละเลยมาตรการท่ตี อ้ งปฏบิ ตั นิ นั้ เป็นตน้ ๓. การปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมสุขภาพและการเพิ่มความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ การมสี ุขภาพดี เป็นพ้นื ฐานของการมคี ุณภาพชีวติ ท่ดี ี เพราะเม่อื เรามสี ุขภาพทด่ี แี ล้วเรากจ็ ะมคี วามพรอ้ ม มากพอในการทากจิ กรรมต่างๆและใช้ชวี ติ อยใู่ นสงั คมอย่าปกตสิ ขุ องคก์ ารอนามยั โลกไดใ้ ห้คานิยาม สุขภาวะหรอื สุขภาพ ไวว้ า่ หมายถงึ สุขภาวะทส่ี มบรู ณ์ทงั้ ทางกาย จติ ใจ สงั คม และปัญญา มใิ ช่เพยี งการปราศจากโรคหรอื ความ พกิ ารเท่านนั้ 1. สุขภาพทางกาย (Physical health) หมายถึง สภาพทด่ี ีทางร่างกาย กล่าวคอื อวัยวะต่าง ๆ อยู่ใน สภาพท่ดี ีมี ความแข็งแรงสมบูรณ์ ทางานได้ตามปกติ และมีความสัมพันธ์กับทุกส่วนเป็นอย่างดี ซ่ึงก่อให้เกิด ประสทิ ธภิ าพในการทางาน 2. สุขภาพทางจติ (Mental health) หมายถึง สภาพจติ ท่ดี ี สามารถควบคุมอารมณ์ ทาจติ ใจให้เบกิ บาน แจ่มใส ไม่มคี วามคบั ขอ้ งใจหรอื เกดิ ความขดั แย้งภายในจติ ใจ ซ่งึ สามารถชว่ ยใหป้ รบั ตัวเขา้ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม และสงั คม ได้อยา่ งมคี วามสขุ 3. การดารงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี (Social well – being) หมายถึง บุคคลท่มี ีสภาวะทางกายและทาง จติ ท่สี มบรู ณ์ จงึ สามารถปรบั ตวั ใหอ้ ยใู่ นสงั คมแหง่ ตนไดอ้ ยา่ งดแี ละมคี วามสุข 4. สุขภาวะทางจิตวญิ ญาณ (Spiritual well – being) หมายถึง เม่ือใดท่รี ่างกายว่างจากตัวตนหรือ ความเห็นแก่ตัว จติ วญิ ญาณของเราก็สงู ข้นึ เรยี กว่ามพี ฒั นาการทางจติ วญิ ญาณหรือพัฒนาการทางคุณค่า จะเกิด ความสขุ ดม่ื ด่าและปล้มื ปิตเิ ม่อื ทาความดี จากสถานการณ์ปัจจุบนั ปัญหาการเกดิ โรคท่มี มี ากในทุกพน้ื ท่ี โดยเฉพาะโรคไม่ตดิ ต่อเร้อื รงั ทแ่ี นวโน้ม สูงข้นึ เร่อื ย ๆ สาเหตสุ ่วนใหญ่เกย่ี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมในวิถีชวี ติ เชน่ พฤตกิ รรมการบรโิ ภค การออกกาลงั กาย การ จดั การความเครยี ด การสบู บุหร่แี ละดม่ื สรุ า เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพและการเกิดโรคภัยไขเ้ จ็บใหล้ ดลง นนั้ การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพเป็นสง่ิ จาเป็น เพ่อื ให้ประชาชนมีพฤตกิ รรมสุขภาพท่ถี กู ต้องด้วยการส่งเสริม และพัฒนาปัจจยั ท่เี ก่ยี วข้อง ได้แก่ ปัจจยั ในตวั บคุ คล เช่น ความรู้ การรับรู้ ความเขา้ ใจ และปัจจัยแวดล้อมอย่าง เหมาะสม ในการพัฒนาปัจจัยภายในตัวบุคคลจะต้องปลูกฝังให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( Health ๘๓

๘๔ Literacy) ร่วมกับมกี ารพัฒนาปัจจยั แวดล้อมทจ่ี ะเอ้อื และเสรมิ ให้ประชาชนมพี ฤตกิ รรมสุขภาพ (Health Behavior) ท่ถี กู ตอ้ งและเหมาะสมกบั ภาวะสขุ ภาพของตนเองได้ ๓.๑ แนวคิดความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพ (Health Literacy) การพัฒนาและส่งเสริมให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นการสร้างและ พฒั นาขีดความสามารถในระดบั บุคคลในการธารงรักษาสุขภาพตนเองอย่างยัง่ ยืน มีการช้ีนาระบบสุขภาพท่ี สอดคลอ้ งกับปัญหาและความต้องการของประชาชน มีการแลกเปล่ยี นขอ้ มูลสุขภาพของตนเองร่วมกบั ผู้ใหบ้ รกิ าร และสามารถคาดการณ์ความเสย่ี งด้านสขุ ภาพท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้ รวมทงั้ กาหนดเป้าประสงค์ในการดูแลสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจดั การโรคเรอ้ื รังท่กี าลงั เป็นปัญหาระดบั โลก ซึ่งทาให้เสียค่าใชจ้ ่ายในการรกั ษาอย่างมาก ดังนัน้ หากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมีระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพต่า ย่อมจะส่งผลต่อสภาวะสุขภาพใน ภาพรวม กล่าวคอื ประชาชนขาดความสามารถในการดูแลสขุ ภาพของตนเอง จานวนผูป้ ่วยดว้ ยโรคเร้อื รงั จะเพม่ิ ข้นึ ทาให้คา่ ใช้จา่ ยในการรกั ษาพยาบาลเพม่ิ สูงข้นึ ความหมายของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ WHO (1998) ได้ใหค้ าจากัดความของความรอบรู้ด้านสุขภาพไวว้ ่า เป็นกระบวนการทางปัญญา และ ทกั ษะทางสงั คม ท่กี ่อเกดิ แรงจูงใจและความสามารถของปัจเจกบุคคลท่จี ะเขา้ ถึง เขา้ ใจและใช้ข้อมู ลขา่ วสารเพ่ือ ส่งเสรมิ และรกั ษาสุขภาพของตนเองใหด้ อี ยเู่ สมอ สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสุข (2541) ได้อธบิ ายเสรมิ วา่ ความรอบรู้ด้านสขุ ภาพเป็นการบรรลุถึงระดับ ความรู้ ทักษะสว่ นบุคคลและความมนั่ ใจในการทจ่ี ะลงมอื ปฏบิ ัตเิ พ่อื ชว่ ยใหส้ ุขภาพของตนเองและชุมชนดขี ้นึ โดย การปรบั เปลย่ี นวถิ ชี วี ติ และสภาพความเป็นอยู่ Nutbeam(2008) ได้อธบิ าย ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพวา่ เป็นสมรรถนะของแต่ละบุคคลทงั้ ทางดา้ นสงั คม และการคดิ วิเคราะห์ท่กี าหนดแรงจูงใจและความสามารถของบุคคลในการเขา้ ถงึ ทาความเข้าใจ ประเมนิ และใช้ สารสนเทศด้านสุขภาพตามความตอ้ งการ เพ่ือส่งเสรมิ และรกั ษาสุขภาพของตนเองใหด้ ี รวมทงั้ การเพม่ิ พูนความรู้ และความเขา้ ใจปัจจัยทก่ี าหนดสุขภาพ การเปล่ยี นทศั นคติและการจูงใจในการสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมส่งเสรมิ สุขภาพ ซ่ึง ความรอบรดู้ า้ นสขุ ภาพเป็นปัจจยั หน่งึ ในการส่งเสรมิ และรกั ษาสุขภาพ Edwards, Wood, Davies & Edwards (2012) ได้กล่าวว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพนั้นได้รับการ ถ่ายทอดหรอื เป็นผมู้ สี ่วนรว่ มสรา้ งใหต้ นเองเกดิ ความสามารถจนกลายเป็นผู้มคี วามรอบรู้ดา้ นสุขภาพในการจัดการ ภาวะเงอ่ื นไขทางสุขภาพของเขา ให้สามารถเขา้ ถึงและเกาะติดกบั ขอ้ มลู ข่าวสารและบรกิ าร มกี ารปรึกษาหารือกับ ผู้เช่ียวชาญด้านสุขภาพและเจรจาต่อรองและเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม และมีการเปล่ียนแปลงใน ๘๔

๘๕ ความสามารถเหล่าน้ีระหวา่ งสมาชกิ ในกลุ่มสุขภาพบางคนมคี วามรแู้ ละทกั ษะในการจดั การตนเองดี แต่บางคนมกี าร แสวงหาขอ้ มลู นอ้ ย และมกี ารส่อื สารเพอ่ื ปรกึ ษาหารอื กนั นอ้ ย Sørensen et al. (2012) “Integrated model of health literacy” ประกอบด้วย 4 ดา้ น ได้แก่ ด้านท่ี 1 การเข้าถงึ (Access) หมายถึง ความสามารถท่จี ะแสวงหา ค้นหา และได้รับข้อมูล เก่ยี วกบั สขุ ภาพ ด้านท่ี 2 การเขา้ ใจ (Understand) หมายถงึ ความสามารถทจ่ี ะเขา้ ใจขอ้ มลู ทางสขุ ภาพ ด้านท่ี 3 การประเมิน (Appraise) หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การตีความ การ กลนั ่ กรองและประเมนิ ขอ้ มูลสขุ ภาพทไ่ี ดร้ บั จากการเขา้ ถงึ ดา้ นท่ี 4 การประยกุ ต์ใช้ (Apply) หมายถงึ การปฏบิ ัติ ความสามารถในการสอ่ื สาร และการใช้ ขอ้ มูลในการตดั สนิ ใจในการรกั ษาและปรบั ปรุงสขุ ภาพตนเอง สรุปได้ว่า ความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ หมายถึง ความสามารถและทกั ษะในการเขา้ ถงึ ขอ้ มลู ความรู้ ความ เขา้ ใจเก่ยี วกบั ดูแลสุขภาพอันจะนาไปสู่การวเิ คราะห์ประเมนิ การปฏบิ ัตแิ ละจดั การตนเองรวมทงั้ สามารถช้แี นะเร่อื ง สุขภาพส่วนบุคคล ครอบครวั และชุมชน เพ่อื ป้องกันและควบคุมความเส่ยี งต่อสขุ ภาพโดยวดั จากองค์ประกอบ 4 ดา้ นท่สี ะท้อนจากคณุ ลกั ษณะและพฤตกิ รรมคอื การเขา้ ถึง ความเขา้ ใจความรู้ ทกั ษะการตดั สนิ ใจ การจดั การตนเอง องคป์ ระกอบของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ จากการทบทวนวรรณกรรมทผ่ี า่ นมา องคป์ ระกอบของความรอบรดู้ ้านสุขภาพ ดงั น้ี 1. ทกั ษะการเขา้ ถึงขอ้ มูลสุขภาพ (Access skill) หมายถึง การใช้ความสามารถในด้านการฟัง การดู การพูด การอ่าน การเขยี น การสบื ค้น และคานวณท่มี กี ระบวนการใคร่ครวญ ตรวจสอบเช่อื มโยงด้วยหลกั เหตุผล ความน่าเช่อื ถือ ความถกู ต้องตามกฎระเบยี บและวฒั นธรรมอนั ดขี องสงั คม เพอ่ื ให้ไดข้ ้อมูลและสารสนเทศท่ตี ้องการ เกย่ี วกบั สุขภาพ 2. ความรู้ ความเขา้ ใจทางสุขภาพ หมายถึง การรบั รู้ เข้าใจ ความสามารถในการอ่าน และการใช้ ขอ้ มูลด้านสุขภาพ (Cognitive skill) เป็นการนาความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การปฏิบตั ใิ นบรบิ ทของสุขภาพและการ ป้องกันปัญหาสุขภาพ และกล้าซกั ถามเพ่อื คลายความสงสยั และเสรมิ สร้างความเข้าใจท่ถี ูกต้องก่อนนาขอ้ มูลไป ปฏบิ ตั ิ 3. ทกั ษะการตัดสินใจ (Decision skill) หมายถึง กระบวนการคิดในการเลือกอย่างมเี หตุผลจาก ทางเลอื ก ทม่ี ีอยู่ สามารถประยุกตใ์ ช้ขอ้ มูลข่าวสารในการวเิ คราะห์เชงิ เปรยี บเทยี บและควบคุมจัดการสถานการณ์ ในการดารงชวี ติ ประจาวนั ได้ ๘๕

๘๖ 4. ทักษะการจดั การตนเอง (Self Management) หมายถึง วิธีการ ทักษะและกลยุทธ์ระดับบุคคลท่ี สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ โดยตรง เช่น วตั ถปุ ระสงค์ การตงั้ เป้าหมาย การตดั สินใจ การมุ่งเน้นการวางแผน กาหนดการ การประเมนิ ตนเอง การพฒั นาตนเอง และอ่นื ๆ ท่นี าไปส่กู ระบวนการปฏบิ ตั ิ องคป์ ระกอบและคณุ ลกั ษณะสาคญั ของความรอบร้ดู า้ นสุขภาพ องค์ประกอบ คุณลกั ษณะสาคญั 1. การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพแล ะ 1.เลอื กแหลง่ ขอ้ มลู ด้านสุขภาพ และบรกิ ารสุขภาพ ร้วู ธิ กี ารค้นหาและ บริการสขุ ภาพ การใช้อปุ กรณ์ในการคน้ หา 2.ค้นหาขอ้ มูลสุขภาพและบรกิ ารสุขภาพท่ถี กู ตอ้ ง 3.สามารถตรวจสอบขอ้ มูลจากหลายแหล่งได้ เพ่อื ยืนยนั ความเขา้ ใจ ของตนเองและได้ขอ้ มลู ท่นี ่าเช่อื ถือ สาหรบั นาไปใชใ้ นการดแู ลสขุ ภาพ ดว้ ยตนเอง 2. ความรู้ความเข้าใจ 1.มคี วามร้แู ละจาในเนื้อหาสาระสาคญั ด้านสุขภาพ 2.สามารถอธบิ ายถึงความเขา้ ใจในประเด็นเน้ือหาสาระดา้ นสุขภาพใน การทจ่ี ะนาไปปฏบิ ตั ิ 3.สามารถซกั ถาม เมอ่ื เกิดความสงสัยในสาระสาคัญด้านสุขภาพท่จี ะ นาไปใช้ปฏบิ ตั ิ 3.ทกั ษะการตดั สินใจ 1.กาหนดทางเลือกและปฏเิ สธ/หลกี เล่ยี งหรอื เลือกวธิ กี ารปฏบิ ตั เิ พ่อื ให้ มสี ขุ ภาพดี 2.ใชเ้ หตุผลหรือวเิ คราะห์ผลด-ี ผลเสียเพ่อื การปฏเิ สธ/หลีกเล่ยี ง/เลอื ก วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ 3.สามารถแสดงทางเลอื กทเ่ี กดิ ผลกระทบน้อยตอ่ ตนเองและผ้อู น่ื 4. ทกั ษะการจดั การตนเอง 1.สามารถกาหนดเป้าหมายและวางแผนการปฏบิ ตั ิ 2.สามารถปฏบิ ตั ติ ามแผนทก่ี าหนดได้ 3.มีการทบทวนและปรบั เปล่ยี นวธิ ีการปฏบิ ัติตนเพ่ือให้มพี ฤติกรรม สุขภาพท่ถี กู ต้อง แนวทางการดาเนินงานเสริมสรา้ งความรอบรู้ดา้ นสุขภาพ ๘๖

๘๗ การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ต้องอาศัยกลวธิ แี ละโปรแกรมการเสริมสร้างความรอบรู้ ด้านสุขภาพทเ่ี หมาะสมกบั ความต้องการของประชาชนและชุมชน และสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ได้ทกุ แห่งท่ีมรี ะบบ สงั คม วฒั นธรรมและเศรษฐกจิ ท่แี ตกตา่ งกนั ดว้ ยการ - เพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ หากประชาชนสามารถเข้าถึง แหล่งขอ้ มูลอยา่ งสมบูรณแ์ ละตอ่ เน่อื ง จะมโี อกาสเรยี นร้กู ารสรา้ งสุขภาพได้เพม่ิ ข้นึ - เพิ่มพูนทักษะชีวิต ซ่ึงบุคคลท่ีมีทักษะชีวิต จะเป็นบุคคลท่ีมีความตระหนักในตนเอง (Self,s Awareness) มคี วามคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ ไตร่ตรอง รอบคอบอย่างมเี หตผุ ล(Critical Thinking) รจู้ กั จดั การอารมณ์ และความเครยี ด (Coping with Emotions, Coping with Stress) มคี วามคดิ สร้างสรรค์ (Creative Thinking) สามารถ แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม(Problem Solving) และตดั สินใจได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ (Decision Making) รวมทงั้ มี ความเห็นอกเห็นผู้อ่นื (Empathy) มีทกั ษะการสร้างสัมพันธภาพท่ดี ี(Interpersonal Relationship Skill) ส่ือสารได้ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ(Effective Communication) การมที กั ษะชวี ติ จะสง่ ผลใหป้ ระชาชนมีความสามารถในการกระทา หรอื จัดการกับความต้องการและสงิ่ ท้าทายในชวี ติ ประจาวันได้สาเรจ็ ทาให้สามารถปรบั ตัวและมพี ฤตกิ รรมท่พี ึง ประสงค์ได้ - สร้างโอกาสการเรียนรแู้ ละเพมิ่ ทางเลอื กทเ่ี ป็นประโยชน์ตอ่ สขุ ภาพ โดยการสรา้ งโอกาสการเรยี นรู้ให้ เกิดข้นึ ทัง้ ท่โี รงเรียน ท่บี ้าน ท่ีทางานและในชุมชน ด้วยการมีส่วนร่วมในการจัดการด้านสุขภาพของเครอื ข่าย พันธมิตรทัง้ ท่ีเป็นภาครัฐ ภาคสังคมและเศรษฐกิจ ภาคเอกชน องค์กรอาสาสมัคร องค์กรปกครองท้องถิ่น ภาคอตุ สาหกรรมและส่อื มวลชน ตลอดจนประชาชน - สร้างสรรค์ส่ิงแวดล้อมท่ีเอ้ือและสนับสนุนการมีสุขภาพดี เน่ืองจากคนและสิ่งแวดล้อมมีความ เก่ยี วขอ้ งกนั จนไม่สามารถแยกออกจากกนั ได้ ประกอบกบั การเปล่ยี นแปลงรูปแบบการดาเนินชวี ิต การทางาน เทคโนโลยี และการขยายตัวของชมุ ชนเมอื ง ส่งผลกระทบสาคญั ตอ่ ปัญหาสุขภาพของประชาชน จงึ จาเป็นท่จี ะต้อง มกี ารจดั การให้ชุมชนและสงิ่ แวดล้อมสนับสนุนซึ่งกันและกนั ทงั้ ท่เี ป็นส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ สงั คม จิตวญิ ญาณ เศรษฐกจิ และสงั คมทม่ี คี วามเช่อื มโยงกนั อยา่ งเป็นพลวตั ร เพอ่ื การมสี ขุ ภาพทด่ี อี ยา่ งยงั่ ยนื การเสริมสร้างความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ : เพอื่ ให้ประชาชนเขา้ ถึงข้อมลู สุขภาพ - สอนวธิ กี ารสบื คน้ ขอ้ มลู ความรจู้ ากแหลง่ ขอ้ มูลทางอนิ เตอร์เน็ต หรอื จากแหลง่ ขอ้ มูลท่นี ่าเชอ่ื ถอื - จัดให้มีมุม/ห้องการเรียนรู้ด้านสุขภาพ เพ่ือเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นสถานท่ีในการจัดกิจกรรม แลกเปล่ยี นเรยี นรูด้ า้ นสขุ ภาพ - จดั ให้มชี อ่ งทางการส่อื สาร เผยแพรค่ วามรู้ท่เี ข้าถงึ ได้งา่ ย พรอ้ มบรกิ ารตลอดเวลา ให้ขอ้ มูลสุขภาพท่ี ถกู ต้องผ่านระบบสารสนเทศท่ที นั สมยั เพอื่ ใหป้ ระชาชนมีความรู้ ความเขา้ ใจเรอื่ งการดูแลสขุ ภาพตนเอง ๘๗

๘๘ - จดั ให้มีการเรียนรู้สุขภาพ ท่ีเน้นให้ประชาชนมีการคิด วิเคราะห์ การจัดการสุขภาพ แก้ไขปัญหา สขุ ภาพของตนเอง ครอบครวั และเรยี นรู้ทกั ษะชวี ติ ทจ่ี าเป็น - จดั หาสอ่ื ความรู้ดา้ นสขุ ภาพท่ใี ช้ภาษาทเ่ี ขา้ ใจง่าย และง่ายต่อการจดจา และสามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ - มกี ารให้คาปรกึ ษาอยา่ งเป็นกนั เอง และเปิดโอกาสใหซ้ กั ถามเพอ่ื สร้างความเขา้ ใจทถ่ี กู ตอ้ ง - จัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับลักษณะของบุคคลและ สภาพแวดล้อม เพ่อื ใหเ้ กดิ การสอ่ื สารแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ระหวา่ งบุคคล เพือ่ ใหป้ ระชาชนมีการตดั สินใจเลือกปฏิบตั ิในสิง่ ทถี่ กู ต้อง - มขี อ้ มูล/เนอ้ื หาทถ่ี กู ตอ้ ง ทงั้ ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี เพอ่ื การตดั สนิ ใจ - สอนให้วเิ คราะหข์ อ้ ดแี ละขอ้ เสยี สามารถวเิ คราะหก์ ารกระทาทม่ี ผี ลตอ่ สขุ ภาพได้ - ฝึกทกั ษะการต่อรอง ทกั ษะการปฏเิ สธในสง่ิ ทเ่ี ป็นผลเสยี ตอ่ สุขภาพ - ส่งเสรมิ คนในครอบครวั ชมุ ชน/องค์กร ให้เป็นกาลงั ใจในการตดั สนิ ใจท่ถี กู ตอ้ ง เพอื่ ใหป้ ระชาชนมีการจดั การทางสขุ ภาพตนเอง - ใหป้ ระชาชนรจู้ กั การประเมนิ สุขภาพตนเอง - ให้มกี ารตงั้ เป้าหมายในการดแู ลสุขภาพของตนเอง - ส่งเสรมิ ชมรม / กลุม่ เพอ่ื ให้มกี ารปรกึ ษาหารอื ช่วยเหลอื กนั ในการดูแลสุขภาพรว่ มกนั - จดั โปรแกรมปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เพอ่ื ฝึกปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง เป็นการเพม่ิ ทกั ษะและความคดิ ในการดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น โปรแกรมลดพุง โปรแกรมเลิกเหล้า บุหร่ี ลดหวาน ลดเคม็ โปรแกรมออกกาลงั กาย เป็นตน้ กลวธิ แี ละโปรแกรมการเสรมิ สรา้ งความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพจะเป็นในลกั ษณะของการสร้างโอกาสใหป้ ระชาชน ได้เรยี นรู้ และแหล่งประโยชน์ต่างๆท่ชี ่วยเพ่ิมศักยภาพด้านสขุ ภาพให้กับประชาชนไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่แี ละเท่าเทียมกัน ซ่ึงจะส่งผลให้ประชาชนมีความรู้ ทักษะท่สี าคญั และจาเป็น สามารถตัดสินใจเลอื กทางเลอื กท่สี ่งผลดีต่อสุขภาพ รวมถึงสามารถกระทาพฤตกิ รรมสุขภาพทเ่ี หมาะสม ควบคุมสุขภาพตนเอง ได้ ๓.๒ แนวคิดการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมสขุ ภาพ (Health Behavior) ปัญหาสุขภาพของคนวยั ทางาน ต องเผชญิ กบั ภยั คุกคามจากโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดันโลหติ สงู มะเรง็ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด มีแนวโน้มเพม่ิ ข้นึ อย่างรวดเร็ว ล้วนมสี าเหตุสาคญั มาจากการ มี ๘๘

๘๙ พฤตกิ รรมสขุ ภาพไมพ่ งึ ประสงค์ โดยเฉพาะพฤตกิ รรมเสย่ี งร่วม 3อ.2ส. (พฤตกิ รรมออกกาลงั กาย อาหาร อารมณ สูบบุหร่ี และสุรา) ซ่ึงเป็นพฤตกิ รรมสุขภาพในการดาเนนิ ชวี ติ ของประชาชนทเ่ี ส่ยี งต่อสุขภาพ โดยมปี ัจจยั หลกั จาก พ้นื ฐานทางวัฒนธรรม ความเช่อื คา่ นิยม และปัจจยั ล้อมทางสงั คมและทางกายภาพ ซ่ึงส่งผลต อคุณภาพชวี ติ เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ ความหมายพฤติกรรมสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) หมายถงึ การกระทา การปฏบิ ตั ิ หรอื การแสดงออกของบคุ คล ในการกระทา หรอื งดเว้นการกระทาในสง่ิ ท่มี ผี ลต่อสขุ ภาพของตนเอง โดยอาศยั ความรู้ ความเขา้ ใจ เจตคติ และการ ปฏบิ ตั ติ นทางดา้ นสขุ ภาพต่างๆ คอื สุขภาพกาย จติ ใจ/อารมณ์ และสงั คม ทม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งสัมพนั ธ์กนั อยา่ งสมดลุ พฤตกิ รรมสขุ ภาพ จาแนกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื 1. เป็นการกระทา (Action) พฤตกิ รรมสุขภาพในลกั ษณะทเ่ี ป็นการกระทา คอื การกระทาหรอื การ ปฏบิ ตั ขิ องบคุ คลท่มี ผี ลดหี รทอผลเสยี ต่อสุขภาพ 2. เป็นการไมก่ ระทา (NON Action) สว่ นพฤตกิ รรมสุขภาพท่เี ป็นการไม่กระทา คอื การงดเว้นไม่ กระทา หรอื การไม่ปฏบิ ตั ขิ องบคุ คลท่มี ผี ลดหี รอื ผลเสยี ตอ่ สุขภาพ พฤตกิ รรมสขุ ภาพมคี วามสาคญั ตอ่ การเกดิ ปัญหาสขุ ภาพ ใน 2 ลกั ษณะ ด้วยกนั ดงั น้ี (กองสขุ ศกึ ษา, 2561) 1. พฤติกรรมสุขภาพเป็นปัจจยั โดยตรงของปัญหาสุขภาพ กล่าวคอื การทบ่ี คุ คลมพี ฤตกิ รรมสุขภาพท่ี ไมถ่ ูกต้อง หรอื ไม่เหมาะสมแล้วทาให้ตนเอง ครอบครวั หรอื บคุ คลอน่ื ในชุมชน เจ็บป่วย บาดเจ็บ เสียชีวติ หรอื มสี ุข ภาวะท่ไี ม่ดี ทาให้เกดิ ปัญหาสขุ ภาพ 1.1 การท่บี ุคคลมพี ฤตกิ รรมสุขภาพท่ีไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุโดยตรงของการ เจ็บป่วยของบุคคลนัน้ ๆ เอง หรือเป็นสาเหตุโดยตรงของการเจ็บป่วยของบุคคลอ่นื ๆ ในครอบครวั รวมทงั้ เป็น สาเหตโุ ดยตรงของการเจบ็ ป่วยของบคุ คลอ่นื ๆ ในชุมชนดว้ ย เชน่ การทบ่ี คุ คลมพี ฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารท่มี รี ส หวาน สง่ ผลใหส้ มาชกิ ในครอบครวั รบั ประทานอาหารทม่ี รี สหวานเป็นประจา ทาให้เกดิ โรคเบาหวานได้ 1.2 เม่อื บุคคลเจบ็ ป่วยดว้ ยโรคอะไรก็ตาม แล้วตวั บุคคลนัน้ เอง หรอื บคุ คลอ่นื ในครอบครวั ให้การ ดแู ลรกั ษาพยาบาลทไ่ี ม่ถกู ตอ้ ง ก็จะทาให้การเจ็บป่วยนนั้ รนุ แรงข้นึ หรอื เสยี ชวี ติ ได้ เช่น การซอื้ ยามารับประทานเอง โดยไม่รูแ้ น่ว่าป่วยเป็นโรคอะไร หรอื เม่อื แพทย์ให้ยามารกั ษาแล้วแต่ไม่ได้รบั ประทานยาให้ถูกตอ้ งและครบถ้วน กจ็ ะ ทาใหโ้ รคไม่หาย 2. พฤตกิ รรมสุขภาพเป็นปัจจยั สาคญั ของการแก้ไขปัญหาสุขภาพ กลา่ วคอื ในการแก้ไขปัญหาสขุ ภาพ จาเป็นต้องใช้พฤติกรรมสุขภาพท่เี หมาะสมของบุคคลต่างๆ ซ่ึงจะทาให้บุคคลนัน้ ๆ บุคคลอ่นื ๆ ในครอบครวั หรอื บคุ คลอน่ื ๆ ในชุมชน มสี ุขภาวะท่ดี ี ไมเ่ จ็บป่วย บาดเจบ็ พกิ าร หรอื เสียชวี ติ ด้วยโรคต่างๆ ทส่ี ามารถป้องกันได้ ซ่ึง ในการแก้ไขปัญหาสขุ ภาพของแต่ละบุคคล แต่ละครอบครวั และแต่ละชุมชน ต้องอาศยั การมีพฤตกิ รรมสุขภาพท่ี ถกู ต้องของบุคคลต่างๆ เป็นสาคญั เน่อื งจากปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล หรอื ปัญหาสขุ ภาพของชุมชนต่างๆ จะ แก้ไขไดน้ นั้ บคุ คลต่างๆ ต้องมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพทจ่ี าเป็นสาหรบั การสง่ เสรมิ สขุ ภาพอย่างพอเพยี งจงึ จะมสี ขุ ภาพท่ดี ี บุคคลต่างๆ ต้องมีการกระทา การปฏบิ ัติ การไมก่ ระทา หรอื การไม่ปฏิบตั ิ ทจ่ี ะทาให้ตนเองไมเ่ จ็บป่วย บุคคลอน่ื ๆ ๘๙

๙๐ ในครอบครวั ไมเ่ จบ็ ป่วย หรอื บุคคลอ่นื ๆในชุมชนไมเ่ จ็บป่วย ในกรณที บ่ี ุคคลใดก็ตามหรอื บคุ คลในครอบครวั เกดิ การ เจ็บป่ วยข้นึ มาไม่ว่าโรคอะไรก็ตาม บุคคลนัน้ หรือบุคคลในครอบครวั จาเป็นต้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจท่ถี ูกต้อง เกย่ี วกบั การเจบ็ ป่วย และสาเหตขุ องการเจบ็ ป่วย รวมทงั้ มกี ารดแู ลรกั ษาอย่างถกู ต้อง ดงั นนั้ การดาเนินการแกไ้ ขปัญหาสขุ ภาพ จึงต้องมุ่งเน้นการพฒั นาพฤตกิ รรมสุขภาพของประชาชนท่ี เป็นกลุ่มเป้าหมาย เพอ่ื ใหม้ กี ารกระทา หรอื การปฏบิ ตั ทิ ่ถี กู ตอ้ งสาหรบั การแก้ไขปัญหาสขุ ภาพไดอ้ ย่างยงั่ ยนื การพฒั นาพฤติกรรมสขุ ภาพ การพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพ หมายถงึ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ การฝึกทกั ษะ การจดั ปัจจยั แวดลอ้ ม ท่เี อ้อื อานวยให้บุคคลครอบครวั และชมุ ชนมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สง่ ผลใหม้ สี ุขภาพดี พฤตกิ รรมของบุคคลมีสาเหตุมาจากหลายปัจจยั ซ่ึงแนวคิดท่ไี ด้รบั การยอมรบั และใช้กันมากในการ อธิบาย ปัจจัยสาเหตุของพฤตกิ รรม คือ แนวคิดของ Green & Kreuter (2005) ท่อี ธบิ ายว่าพฤตกิ รรมมีสาเหตุจาก ปัจจยั ภายในและภายนอกตัวบคุ คลได้แก่ ปัจจยั นา (Predisposing factors) ปัจจยั เออ้ื (Enabling factors) และปัจจัย เสรมิ (Reinforcing factors) 1. ปัจจัยนา (Predisposing Factors) หมายถึง ปัจจัยพ้ืนฐานและก่อให้เกิดแรงจูงใจในการแสดง พฤตกิ รรมของบุคคล ได้แก่ ความรู้ ความเชอ่ื เจตคติ คา่ นิยม การรบั รู้ เชน่ การรับร้ขู อ้ มลู ความรขู้ องประชาชนจาก ส่อื ใดบา้ ง และรวมไปถึงปัจจยั ด้านคุณลักษณะของประชากรหรอื ปัจจยั ส่วนบคุ คลและสถานะภาพทางสงั คมและเศรษฐกจิ เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชพี รายได้ ระดบั การศกึ ษา ศาสนา เป็นต้น 2. ปัจจยั เอ้อื (Enabling Factors) หมายถึง สง่ิ ทเ่ี ป็นแหลง่ ทรพั ยากรท่จี าเป็นหรอื อานวยความสะดวกในการ แสดงพฤตกิ รรมของบุคคล รวมทงั้ ทกั ษะทจ่ี ะช่วยใหบ้ ุคคลสามารถแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆ ได้ด้วย และความสามารถทจ่ี ะใช้ แหลง่ ทรพั ยากรต่างๆ ซึ่งมีส่วนเก่ยี วข้องกบั ราคา ระยะทาง เวลา นอกจากนัน้ สงิ่ ทส่ี าคญั ก็คือ การหาได้ง่าย (Available) ความสามารถในการเข้าถึงได้ (Accessibility) ของสงิ่ ท่จี าเป็นในการแสดงพฤตกิ รรมหรือช่วยให้การแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆ เป็นไปได้ง่าย ยกตวั อย่าง เช่น - ปัจจยั เออ้ื สาหรบั การรบั ความรสู้ ขุ ภาพ เช่น มศี ูนย์การเรยี นรูใ้ นแหล่งชมุ ชน มเี สยี งตามสายฟังชดั เจน - ปัจจยั เอ้อื สาหรบั พฤติกรรมการกนิ ผกั เช่น มีแปลงปลูกผัก มีแหล่งขายผัก มตี วั อย่างวิธกี ารปรุง อาหารจากผกั - ปัจจยั เอ้อื สาหรบั การออกกาลงั กาย เชน่ มสี ถานท่อี อกกาลงั กาย มเี ครอ่ื งออกกาลงั กาย - ปัจจยั เอ้อื สาหรบั การลา้ งมอื เช่น อา่ งลา้ งมอื น้า สบู่ เจลแอลกอฮอล์ 3. ปัจจยั เสรมิ (Reinforcing Factors) หมายถึง สง่ิ ท่บี ุคคลจะได้รบั หรอื คาดว่าจะได้รบั จากบุคคลอ่นื อนั เป็นผลจากการกระทาของตนเอง สิง่ ท่บี ุคคลจะได้รบั อาจเป็นรางวลั ท่เี ป็นสิง่ ของ คาชมเชย การยอมรับ การ ลงโทษ การไมย่ อมรบั การกระทานนั้ ๆ หรอื อาจเป็นกฎระเบยี บท่บี งั คบั ควบคุมใหบ้ ุคคลนัน้ ๆ ปฏบิ ตั ติ ามก็ได้ ซึง่ ส่ิง เหล่านีบ้ ุคคลจะได้รบั จากบุคคลอ่นื ท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อตนเอง เช่น พ่อแม่ ญาติ เพอ่ื น แพทย์ ผบู้ งั คบั บญั ชา เป็นต้น และ อทิ ธพิ ลของบุคคลต่าง ๆ นี้ก็จะแตกต่างกนั ไปตามพฤตกิ รรมของบคุ คลและสถานการณ์ โดยอาจจะช่วยสนับสนุน หรอื ยบั ยงั้ การแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆก็ได้ ๙๐

๙๑ การพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพจะเกิดข้นึ โดยการพัฒนาปัจจยั ท่เี ก่ยี วข้อง ทงั้ ปัจจยั ในตัวบุคคล และ ปัจจัยภายนอก โดยมีการวเิ คราะห์ปัญหาสุขภาพ วิเคราะห์พฤติกรรมสุขภาพ และวเิ คราะห์ปัจจัยสาเหตุของ พฤตกิ รรม เพอ่ื นาไปสู่การตดั สนิ ใจวางแผน/ออกแบบวธิ กี ารปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ลกั ษณะของการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ 1. มุ่งท่ีพฤติกรรมสุขภาพโดยตรง โดยท่พี ฤติกรรมนัน้ ต้องสังเกตเห็นได้ และวัดได้ตรงกันด้วย เครอ่ื งมอื ทเ่ี ป็นวตั ถุวสิ ยั ไม่วา่ การตอบสนองนนั้ เป็นภายในหรอื ภายนอกก็ตาม 2. ไมใ่ ชค้ าท่เี ป็นการตตี รา ซึ่งนอกจากจะมีความหมายกว้าง ไม่มคี วามชดั เจน ยากต่อการสงั เกตให้ ตรงกนั และยากต่อการจดั โปรแกรมการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพให้บรรลุเป้าหมายได้แลว้ การตตี ราอาจทาให้ ผู้รบั บรกิ ารและบุคคลท่เี ก่ยี วข้องเกดิ ความอบั อายแล้วจะส่งผลให้เลอื กหรือไม่เลือกท่จี ะแสดงพฤติกรรมสุขภาพ ตามท่ถี กู ตตี ราได้ 3. พฤติกรรมสุขภาพไมว่ ่าจะเป็นพฤตกิ รรมท่ปี กตหิ รอื ไม่ปกติ ก็ตาม ยอ่ มเกดิ จากการเรยี นร้ใู นอดตี ทงั้ สน้ิ ดงั นนั้ พฤตกิ รรมเหลา่ น้ีสามารถเปล่ยี นแปลงได้โดยกระบวนการเรยี นรู้ 4. การปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมสุขภาพจะเนน้ สภาพ และเวลาในปัจจุบนั เท่านัน้ เม่อื วเิ คราะห์ได้วา่ สิ่ง เร้าและผลกรรมใดท่ที าให้พฤตกิ รรมนัน้ เกดิ บ่อยหรอื ลดลงในสภาพปัจจุบัน ก็สามารถปรบั สิ่งเร้าและผลกรรมให้ เหมาะสมยง่ิ ขน้ึ เพ่อื ทาใหพ้ ฤตกิ รรมดงั กลา่ วเปลย่ี นแปลงไปตามเป้าหมายท่ตี อ้ งการ 5. การปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพนัน้ จะเน้นวิธีการทางบวกมากกว่าวธิ ีการลงโทษ เน่ืองจาก เป้าหมายของการปรับพฤติกรรมเน้นการเพิ่มพฤติกรรมทพ่ี ึงประสงค์ จึงจาเป็นต้องใช้วธิ กี ารทางบวก เพราะเป็น วธิ กี ารท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ ทงั้ ยงั ได้กอ่ ให้เกดิ ปัญหาทางอารมณ์น้อยกว่าวธิ กี ารลงโทษ 6. วธิ กี ารปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพนนั้ สามารถใชไ้ ด้อยา่ งเหมาะสมตามลกั ษณะของปัญหาแตล่ ะ บุคคล เพราะคนแต่ละคนมคี วามแตกต่างกนั ดงั นนั้ ในการดาเนินการปรบั พฤตกิ รรมจึงต้องคานึงถึงความแตกตา่ ง ระหวา่ งบุคคลดว้ ย 7. วธิ กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพควรเป็นวธิ กี ารทไ่ี ดร้ บั การพสิ ูจนม์ าแลว้ วา่ มปี ระสทิ ธภิ าพและ ได้ผลโดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ พฤติกรรมที่ประชาชนควรปฏิบตั ิเป็นประจา...สุขบญั ญตั ิ 10 ประการ ปัญหาดา้ นสขุ ภาพ ของวยั ทางาน ส่วนใหญ่เกดิ จากการละเลยตอ่ การดูแลสุขภาพและมพี ฤตกิ รรม สขุ ภาพท่ไี มเ่ หมาะสม สาเหตหุ น่งึ เป็นผลต่อเน่อื งจากขาดความรอบรูด้ ้านสุขภาพ ไมส่ ามารถปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรมท่ี สาคญั และจาเป็นตอ่ การมสี ขุ ภาพดี ทาให้เป็นโรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ตดิ ตอ่ ทส่ี ามารถป้องกนั ได้ อาทเิ ช่น การกนิ อาหาร ทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง มกี ารออกกาลงั กายน้อย สง่ ผลให้มภี าวะอ้วน มรี ะดบั ความดนั โลหติ สูง เป็นโรคเบาหวาน การกนิ อาหารท่มี สี ารปนเปื้อน การสบู บหุ รก่ี อ่ ให้เกดิ โรคมะเรง็ การอยใู่ นสงั คมท่ตี อ้ งแขง่ ขนั ทาให้มคี วามเครยี ดสูง เร่อื ง อุบตั เิ หตุ รวมไปถงึ การทเ่ี ราตอ้ งมคี วามเส่ยี งตอ่ โรคตดิ ต่อซึง่ เกดิ จากเชอ้ื โรคตา่ ง ๆ ท่ปี ะปนอยู่รอบ ๆ ตวั เรา และมี โอกาสท่จี ะรบั เช้อื เขา้ ไปหากขาดความระมดั ระวงั เช่น อจุ จาระรว่ ง อาหารเป็นพษิ วณั โรค ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นตน้ ๙๑

๙๒ สุขบญั ญตั ิ หมายถงึ ขอ้ กาหนดท่ปี ระชาชนทวั่ ไป พงึ ปฏบิ ตั ิ อย่างสมา่ เสมอ จนเป็นสุขนิสยั เพอ่ื ให้มี สุขภาพดี ทงั้ ร่างกาย และจติ ใจ เป็นแนวทางการปฏบิ ตั ติ นหรอื การดูแลสุขภาพพ้นื ฐาน เพอ่ื สร้างเสรมิ สุขภาพและ ลดความเสย่ี งจากโรคภยั ไขเ้ จ็บ รวมทงั้ อนั ตรายต่อสุขภาพท่อี าจเกดิ ขน้ึ นาไปสู่การมสี ุขภาพดซี ่งึ เป็นพน้ื ฐานสาคญั ในการทากจิ กรรมและดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั ประชาชนจงึ ควรมพี ฤตกิ รรมตามแนวทางสขุ บญั ญตั ิ ซงึ่ เป็นพฤตกิ รรม สขุ ภาพท่คี รอบคลุม ทงั้ เรอ่ื ง อนามยั สว่ นบุคคล อาหารและโภชนาการ การออกกาลงั กาย สุขภาพจติ อุบตั ภิ ยั และ อนามยั สง่ิ แวดลอ้ ม สุขบญั ญตั ิ 10 ประการ ประกอบด้วย 1. ดแู ลรกั ษารา่ งกายและของใช้ให้สะอาด ทาไดโ้ ดย - อาบน้าทกุ วนั อย่างนอ้ ยวนั ละ 1 ครงั้ และสระผมอยา่ งนอ้ ย สปั ดาห์ละ 2 ครงั้ - ตดั เล็บมอื เลบ็ เท้า ให้สนั้ อยู่เสมอ เพอ่ื ป้องกนั เช้อื โรค - ถ่ายอจุ จาระใหเ้ ป็นเวลาทุกวนั - ใสเ่ ส้อื ผ้าท่สี ะอาด ไมอ่ บั ชน้ื และใหค้ วามอบอุน่ อย่างเพยี งพอ - จดั เก็บขา้ วของเครอ่ื งใช้ให้เป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย 2. รกั ษาฟันให้แขง็ แรง และแปรงฟันทุกวนั อยา่ งถกู วิธี โดยการ - แปรงฟันทุกวนั อย่างถูกวธิ ี อย่างน้อยวนั ละ 2 ครงั้ คอื เวลาเชา้ และกอ่ นนอน - ถูหรอื บว้ นปาก หลงั ทานอาหาร - เลอื กใช้ยาสฟี ันและฟลูออไรด์ - หลกี เลย่ี งการทานลกู อม ลกู กวาด ทอ็ ฟฟี่ ขนมหวานเหนยี วต่าง ๆ เพ่อื ป้องกนั ฟันผุ - ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน อยา่ งนอ้ ยปีละ 2 ครงั้ - ไมค่ วรใช้ฟันกดั ขบของแขง็ 3. ล้างมือใหส้ ะอาดก่อนรบั ประทานอาหารและหลงั การขบั ถ่าย - ล้างมอื อยา่ งถกู วธิ ี ด้วยน้าและสบู่ - ล้างมอื ทกุ ครงั้ กอ่ นและหลงั การเตรยี ม ปรุง และรบั ประทานอาหาร รวมทงั้ หลงั การขบั ถา่ ย 4. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอนั ตราย และหลีกเลย่ี งอาหารรสจดั สีฉูดฉาด โดยการ - เลอื กซอื้ อาหารสด สะอาด ปลอดสารพษิ โดยคานึงหลกั 3 ป คอื ประโยชน์ ปลอดภยั และ ประหยดั - ปรุงอาหารใหถ้ กู สขุ ลกั ษณะ และใช้เครอ่ื งปรงุ รสท่ถี กู ต้อง โดยคานงึ หลกั 3 ส คอื สงวนคณุ ค่า สุก เสมอ และสะอาดปลอดภยั - รบั ประทานอาหารท่มี กี ารจดั เตรยี ม การประกอบอาหาร และใสใ่ นภาชนะทส่ี ะอาด - รบั ประทานอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ ในปรมิ าณท่พี อเหมาะ เพ่อื ใหเ้ พยี งพอตอ่ ความต้องการของ รา่ งกาย - รบั ประทานอาหารใหถ้ ูกหลกั โภชนาการทุกวนั ๙๒

๙๓ ฉูดฉาด - รบั ประทานอาหารปรงุ สกุ ใหม่ รวมทงั้ ใช้ช้อนกลางในการรบั ประทานอาหารรว่ มกนั พระ ฯลฯ - หลกี เลย่ี งการรบั ประทานอาหารสุกๆ ดบิ ๆ หรอื อาหารรสจดั ของหมกั ดอง รวมทงั้ อาหารใสส่ ี - รบั ประทานอาหารให้เป็นเวลา - ด่มื น้าสะอาดทุกวนั อยา่ งน้อยวนั ละ 8 แก้ว 5. งดสบู บุหร่ี สุรา สารเสพติด การพนัน และการสาส่อนทางเพศ - ผูท้ จ่ี ะมสี ุขภาพดตี ามสขุ บญั ญตั ิ 10 ประการ ต้องงดสูบบุหร่ี งดดม่ื เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอล์ งดใช้ สาร เสพตดิ งดเลน่ การพนัน นอกจากน้ีตอ้ งสง่ เสรมิ คา่ นยิ ม รกั นวลสงวนตวั และมคี คู่ รองเมอ่ื ถึงวยั อนั ควร 6. สรา้ งความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั ให้อบอนุ่ ทาได้โดย - ใหท้ ุกคนในครอบครวั ช่วยกนั ทางานบา้ น - สมาชกิ ทุกคนในครอบครวั ควรปรกึ ษาหารอื และแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั - เผอ่ื แผ่น้าใจให้กนั และกนั - จดั กจิ กรรมสนุกสนานรว่ มกนั - ชวนกนั ไปทาบุญ 7. ป้องกนั อุบตั ิภยั ดว้ ยการไม่ประมาท ทาไดโ้ ดย - ระมดั ระวงั ป้องกนั อุบตั ภิ ยั ท่อี าจเกดิ ภายในบ้าน เชน่ เตาแก๊ส ไฟฟ้า ของมคี ม ธูปเทยี นท่จี ดุ บชู า - ระมดั ระวงั ในการป้องกนั อบุ ตั ภิ ยั ในท่สี าธารณะ เชน่ ปฏบิ ตั ติ ามกฏของการจราจรทางบก ทางน้า ป้องกนั อนั ตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏบิ ตั กิ าร เขตก่อสรา้ ง หลกี เล่ยี งการชุมนุมห้อมล้อม ในขณะ เกดิ อุบตั ภิ ยั 8. ออกกาลงั กายสมา่ เสมอ และตรวจสุขภาพประจาปี โดยการ - ออกกาลงั กายอยา่ งน้อยสปั ดาหล์ ะ 3 ครงั้ - ออกกาลงั กายและเล่นกฬี าใหเ้ หมาะสมกบั สภาพร่างกายและวยั - ตรวจสุขภาพประจาปีกบั แพทย์ อยา่ งน้อยปีละ 1 ครงั้ 9. ทาจิตใจให้รา่ เริงแจม่ ใสอยู่เสมอ โดยการ - พกั ผอ่ นนอนหลบั ให้เพยี งพอ อยา่ งตา่ 8 ชวั่ โมง - จดั สง่ิ แวดล้อมภายในบ้าน และทท่ี างานใหน้ ่าอยู่ - หาทางผ่อนคลายความเครยี ด เม่อื มปี ัญหา หรอื เร่อื งไมส่ บายใจรบกวน อาจหางานอดเิ รกทา ใช้ เวลาว่างไปกบั การอ่านหนังสอื ฟังเพลง ดูภาพยนตร์ - มองโลกในแงด่ ี คดิ บวก รูจ้ กั การใหอ้ ภยั 10. มีสานึกต่อสว่ นรวมรว่ มสร้างสรรคส์ งั คม เช่น - กาจดั ขยะภายในบา้ น และท้งิ ขยะในท่รี องรบั ๙๓

๙๔ - หลกี เล่ยี งการใช้วสั ดุอุปกรณท์ ่กี อ่ ให้เกดิ มลภาวะต่อสงิ่ แวดล้อม เช่น โฟม พลาสตกิ สเปรย์ เป็น ตน้ - มแี ละใชส้ ว้ มทถ่ี กู สขุ ลกั ษณะ - กาจดั น้าทง้ิ ในครวั เรอื นและโรงเรยี นดว้ ยวธิ ีทถ่ี ูกต้อง - ใช้ทรพั ยากรอยา่ งประหยดั - อนุรกั ษ์และพฒั นาสงิ่ แวดล้อม เช่น ชมุ ชน ป่า น้า และสตั ว์ป่า เป็นต้น การปฏบิ ตั ไิ ด้ตาม สขุ บญั ญตั ิ 10 ประการ เป็นการสร้างเสรมิ สุขภาพและลดความเสย่ี งจากโรคภยั ไขเ้ จ็บ รวมทงั้ อนั ตรายตอ่ สุขภาพท่อี าจเกดิ ข้นึ นาไปสู่การมสี ุขภาพดี ปราศจากโรคภยั มาเบยี ดเบยี น ซง่ึ เป็น พน้ื ฐานสาคญั ในการทากจิ กรรมและดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั ๓.๓ การปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการเพ่ิมความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัด กิจกรรมเรยี นรู้ เพื่อพฒั นาสขุ ภาวะคนวยั ทางานในสถานประกอบการ ในการดาเนินงานใหป้ ระชาชนมคี วามรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพทถ่ี ูกตอ้ ง นนั้ ตอ้ งมี การดาเนินงานทงั้ การจัดกจิ กรรมให้เกิดการเรยี นรู้ ควบคู่กบั การจัดปัจจัยแวดล้อมในองค์กรให้เอ้อื ต่อการ เรยี นร้ดู า้ นสุขภาพและการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ โดยมกี ารดาเนนิ งาน 7 ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1. สร้างและพัฒนาทีมแกนนาในองค์กร : การจดั ตงั้ ทมี แกนนาสุขภาพในองคก์ รเพ่อื ขบั เคล่อื นการ ดาเนินงาน ควรมผี ู้แทนจากทุกหน่วยงานในองค์กร รว่ มดาเนนิ การ 2. ศกึ ษาขอ้ มลู พ้นื ฐานและพฤตกิ รรมสุขภาพ : มกี ารรวบรวมขอ้ มูลสุขภาพ ขอ้ มูลความรอบรู้ด้านสุขภาพ และพฤตกิ รรมสุขภาพ รวมถึงขอ้ มูล ปัจจยั ทเ่ี อ้อื ต่อการเสรมิ สรา้ งความรอบรู้ดา้ นสุขภาพและปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น การมสี ถานท่อี อกกาลัง กาย มกี ลมุ่ /ชมรม แหล่งเรยี นรดู้ า้ นสขุ ภาพ หรอื ส่อื /ช่องทางการส่อื สารสุขภาพ เป็นตน้ : นาขอ้ มูลท่รี วบรวมไว้ มาวเิ คราะหส์ ะท้อนใหเ้ ห็นปัญหาสุขภาพของคนในองค์กรและวเิ คราะห์ว่า ปัญหาสขุ ภาพนนั้ ๆ มีสาเหตมุ าจากพฤติกรรมสุขภาพอะไร เช่น ปัญหาโรคเบาหวาน มีสาเหตุจากพฤตกิ รรมการ บรโิ ภคอาหารหวาน ขาด/ออกกาลงั กายน้อย และมีความเครยี ด เป็นต้น และวิเคราะห์ต่อถึงปัจจยั แวดล้อมท่เี ป็น สาเหตุของพฤตกิ รรมสขุ ภาพ เช่น ความรู้ ความเช่อื ท่ไี ม่ถกู ต้อง ไมม่ ที กั ษะในการปฏบิ ตั ิในเร่อื งนั้น ๆ หรอื ปัจจยั อ่นื ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง เช่น เลกิ งานกลบั ถึงบ้านคา่ ทาให้ไมไ่ ด้ออกกาลงั กาย เป็นตน้ 3. จดั ทาแผนสรา้ งเสรมิ ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพัฒนาพฤตกิ รรมสุขภาพในองคก์ ร : ทีมแกนนา สขุ ภาพนาขอ้ มูลท่วี เิ คราะห์ มาวางแผนในการเสรมิ สรา้ งความรอบรู้ดา้ นสุขภาพและปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมสขุ ภาพ โดยจะต้อง กาหนดพฤติกรรมสุขภาพเป้าหมายท่ีพงึ ประสงค์ กาหนดกลุ่มเป้าหมาย และกลวิธีหรือกิจกรรมท่ี สามารถแกส้ าเหตขุ องพฤตกิ รรมสุขภาพท่สี อดคลอ้ งกบั ปัญหาขององคก์ ร ๙๔

๙๕ 4. จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ สร้างเสรมิ ความรอบร้แู ละปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ : การจดั กจิ กรรม การเรยี นรู้มหี ลากหลายวธิ กี าร และการเสรมิ สรา้ งความรอบรู้ดา้ นสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพท่ถี ูกต้อง นนั้ ต้องมี การดาเนนิ งานทงั้ การจดั กจิ กรรมให้เกดิ การเรยี นรู้ ควบคู่กบั การจดั ปัจจยั แวดลอ้ มในองคก์ รใหเ้ อ้อื ตอ่ การเรยี นรู้ดา้ น สขุ ภาพและการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ อาทิเช่น 4.1 ประชาสมั พนั ธส์ ร้างกระแสและการรบั รู้ของคนในองคก์ ร เพอ่ื ให้เกดิ การมสี ่วนรว่ มในการดูแล สขุ ภาพ 4.2 จดั กิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลาย โดยเน้นกิจกรรมแบบการมีส่วนร่วม ให้ กลุ่มเป้าหมายได้แสดงออกด้วยการใช้ความคดิ พูดคุยและแลกเปล่ยี นประสบการณ์ท่กี ่อให้เกิด การเรยี นรู้ อาจเป็นกลุ่ม ชมรมต่าง ๆ หรือเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ของบุคคลต้นแบบ อาจใช้วธิ กี ารสาธติ การอภปิ รายกลุ่มย่อย/ระดมสมอง การจดั การเรยี นร้โู ดยใชเ้ กม เป็นตน้ 4.3 จดั ปัจจยั แวดล้อมให้เอ้อื ต่อการเพม่ิ ความรอบรู้ด้านสขุ ภาพและปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ เช่น จดั หาส่อื /ช่องทางการส่อื สารสุขภาพในองค์กรท่ที นั สมยั เข้าถึงง่าย ตลอดเวลา จัดให้มี แหล่ง/สถานท่เี รยี นรู้ มสี ถานทอ่ี อกกาลงั กาย รา้ นอาหารในองค์กรมเี มนอู าหารสขุ ภาพสาหรบั พนกั งาน เป็นต้น 4.4 รว่ มกาหนดมาตรการทางสงั คมหรอื ขอ้ ตกลงรว่ มเพอ่ื ถอื ปฏบิ ตั ริ ่วมกนั ในองค์กร 5. เฝ้าระวังพฤตกิ รรมสุขภาพ : การเฝ้าระวงั พฤติกรรมสุขภาพเป็นการค้นหาและรวบรวมขอ้ มูล พฤตกิ รรมเส่ยี งทางดา้ นสขุ ภาพของคนในองค์กร เพอ่ื ใหท้ ราบว่าคนกล่มุ ไหนมพี ฤตกิ รรมเส่ยี งอะไรทม่ี ผี ลตอ่ สุขภาพ หรอื ทาให้เกิดโรค เพ่อื หาหนทางในการให้คาแนะนา หรือแกไ้ ขได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและสามารถควบคุมและ ป้องกนั โรคได้ทนั ลดความรุนแรงของโรคได้ ทงั้ นี้สามารถนาขอ้ มูลทไ่ี ด้ไปปรบั กจิ กรรมการเรยี นรู้ให้สามารถส่งผล ต่อการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพให้ถกู ตอ้ ง 6. การแลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ ครอื ข่ายสขุ ภาพ 7. การประเมินผลสาเร็จและการถอดบทเรียน เป็นการวดั ผลลัพธ์ ผลสาเร็จของการปรับเปล่ยี น พฤติกรรมสุขภาพ โดยสามารถประเมินจาก การมีพฤตกิ รรมสุขภาพตามท่ีตงั้ เป้าหมายไว้ เช่น ไม่ด่มื น้าอัดลม รบั ประทานผกั ทุกม้อื อาหาร ออกกาลงั กายทกุ วนั การมสี ุขภาพท่ดี ขี ้นึ เชน่ น้าหนักตวั ลดลง ค่าน้าตาลในเลอื ด/ค่า ความดนั โลหติ อยู่ในเกณฑป์ กติ เป็นต้น ๙๕

๙๖ ๔. การสง่ เสริมสุขภาพจิตและการป้องกนั สุขภาพจิตในสถานประกอบการ การสง่ เสรมิ สุขภาพจติ และป้องกนั ปัญหาสขุ ภาพจติ คนวยั ทางานในสถานประกอบการ ใน 4 ประเดน็ สาคญั ไดแ้ ก่ การเสรมิ สรา้ งความสขุ ในการทางาน การเสรมิ สร้างความเขม้ แขง็ ทางใจ การจดั การ ความเครยี ด ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกบั โรคซมึ เศร้า ผ่าน 3 กจิ กรรมหลกั ได้แก่ กจิ กรรมนันทนาการ กจิ กรรม สง่ เสรมิ สุขภาพจติ และป้องกนั ปัญหาสขุ ภาพจติ กจิ กรรมการเหน็ คุณค่าของผปู้ ฏบิ ตั งิ านและครอบครวั 1. แนวคิดการสง่ เสริมสขุ ภาพจิตและป้องกันปญั หาสขุ ภาพจิต 1.1 ความหมายและความสาคญั องค์การอนามยั โลก (WHO) ได้ให้ความหมายของการสง่ เสรมิ สุขภาพจติ และการป้องกนั ปัญหา สขุ ภาพจติ ไว้ว่า (กรมสขุ ภาพจติ , 2559) การส่งเสริมสุขภาพจิต คอื การสง่ เสรมิ ให้ประชาชนทกุ เพศวยั ไดร้ บั การดูแลทางสงั คมจติ ใจให้มี คุณภาพชวี ติ ท่ดี ี โดยมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะในการดูแลตนเอง และอยใู่ นสงิ่ แวดลอ้ ม ครอบครวั สงั คม ชมุ ชนทเ่ี อ้อื อานวยตอ่ การมสี ขุ ภาพจติ ท่ดี ี ดงั นนั้ การส่งเสรมิ สุขภาพจติ จงึ เกดิ จากการทส่ี งั คม ชุมชน ดูแล คุณภาพชวี ติ ของประชาชน การจดั บรกิ ารสขุ ภาพแบบองคร์ วมทงั้ ร่างกายจติ ใจ และการท่ปี ระชาชนมี ศกั ยภาพในการดแู ลจติ ใจตนเอง การป้องกนั ปัญหาสุขภาพจิต คอื การป้องกนั ไมใ่ ห้เกดิ ปัญหาสุขภาพจติ และโรคทางจติ เวชในกลมุ่ เสย่ี ง โดยการเฝ้าระวงั ค้นหาและคดั กรองกลุ่มเสย่ี ง รวมถงึ การจดั กจิ กรรมเพอ่ื การป้องกนั ปัญหาสขุ ภาพจติ ได้ อยา่ ง เหมาะสม ซ่งึ นาไปสู่การลดปัจจยั เสี่ยง เชน่ ความเครยี ดระยะยาว ความก้าวรา้ วรนุ แรง และเพมิ่ ปัจจยั ปกป้อง เชน่ การให้กาลงั ใจ การชว่ ยเหลอื ด้านการอาชพี แก่ประชาชนทกุ เพศวยั การป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ดาเนินการในกลุม่ ประชาชนทกุ เพศวยั ในกลมุ่ ปกติ เช่น การจดั โปรแกรมการออกกาลงั กายในทท่ี างานเพ่อื ลด ความเครยี ด การจดั ค่ายป้องกนั ยาเสพตดิ สาหรบั วยั รนุ่ และกล่มุ เสีย่ ง เชน่ การคดั กรองและดแู ลทางสงั คม จติ ใจในผูป้ ่วยโรคเรอ้ื รงั การดูแลทางสงั คมจติ ใจผ้ดู แู ลผู้สงู อายตุ ดิ เตยี ง เป็นต้น ทงั้ น้ี การบรกิ ารสง่ เสรมิ สุขภาพจติ และการป้องกนั ปัญหาสขุ ภาพจติ มกั จะดาเนินการร่วมกนั ใน ประชาชนกลุม่ ต่าง ๆ จนเป็นเนือ้ เดยี วกนั 1.2 กลมุ่ เสยี่ งต่อปัญหาสขุ ภาพจิต การเฝ้าระวงั ปัญหาสขุ ภาพจิตในกลมุ่ เส่ยี งของคนวยั ทางาน ๙๖


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook