Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ สำหรับ พี่เลี้ยงในสถานบริการสุขภาพ

คู่มือ สำหรับ พี่เลี้ยงในสถานบริการสุขภาพ

Published by kanokrat sudiapa, 2021-12-05 11:33:39

Description: คู่มือ สำหรับ พี่เลี้ยงในสถานบริการสุขภาพ

Search

Read the Text Version

๙๗ ระดบั ความสามารถ ตวั อย่างเกณฑใ์ นการพิจารณา ในการตรวจจบั การเกิดอนั ตราย ระดบั ต่า (3) ไม่มกี ารตรวจวดั สภาพแวดลอ้ มในการทางาน ระดบั ปานกลาง (2) มกี ารตรวจวดั สภาพแวดลอ้ มในการทางานแตไ่ มค่ รบถว้ นตามมาตรฐานกาหนด ระดบั สงู (1) มกี ารตรวจวดั สภาพแวดล้อมในการทางานไดค้ รบถ้วนตามมาตรฐานกาหนด 2.2.2 ตวั อยา่ งตารางการคานวณคา่ คะแนนความเส่ยี งจากการพิจารณาปัจจยั ที่เกย่ี วข้อง ตารางที่ 4 ตวั อยา่ งการคานวณค่าคะแนนความเสีย่ งจากการพิจารณาปัจจยั ที่เกย่ี วข้อง ในตารางท่ี 4 นี้ จะเป็นตารางตัวอย่างในการนาระดบั ของ โอกาสของการเกดิ อนั ตรายมาคูณกบั ระดับ ความรุนแรงของการเกดิ อันตรายและนามาคูณกับระดบั ความสามารถในการตรวจจับการเกิดอนั ตรายนัน้ ๆ เพ่อื ให้สามารถดผู ลลพั ธข์ องคา่ คะแนนความเส่ยี งได้งา่ ยข้นึ ทงั้ น้เี พ่อื นาไปสขู่ นั้ ตอนของการกาหนดระดบั ความเส่ยี ง ต่อไป เช่น โอกาสในการเกดิ อันตราย มคี ่าเท่ากบั 2 ความรุนแรงในการเกดิ อนั ตราย มคี ่าเท่ากบั 3โอกาสในการ ตรวจจบั อนั ตราย มคี า่ เท่ากบั 3 ดงั นนั้ ผลคณู ของค่าคะแนนความเส่ยี ง คอื 2 x 3 x 3 = 18 ดงั ตารางแสดง ต่า (1) กลาง (2) สงู (3) โอกาส ความ ต่า ปาน สงู สงู ต่า ปาน สูง สงู ตา่ ปาน สูง สูง รุนแรง (1) กลาง (3) มาก (1) กลาง (3) มาก (1) กลาง (3) มาก (2) (2) (2) การตรวจจบั (4) (4) (4) สูง (1) 1 2 3 4 2 4 6 8 3 6 9 12

๙๘ ปานกลาง (2) 2 4 6 8 4 8 12 16 6 12 18 24 ตา่ (3) 3 6 9 12 6 12 18 24 9 18 27 36 (ท่มี า : U.S. Department of Veterans Affairs . Healthcare Failure Mode and Effect Analysis (HFMEA), from http://www.patientsafety.va.gov) 2.2.3 ตวั อยา่ งตารางการจดั ระดับความเส่ียงอนั ตราย ตารางท่ี 5 ตวั อย่างการจดั ระดบั ความเส่ียงอนั ตราย โดยการนาค่าคะแนนความเส่ยี งท่ไี ด้ มาพจิ ารณาระดบั ความเสย่ี งในการจดั ทาแผนบรหิ ารจดั การความเส่ยี ง ท่เี หมาะสมตอ่ ไป โดยอาจจดั ระดบั ความเสย่ี งเป็น 5 ระดบั ดงั นี้ ค่าคะแนนความเสยี่ ง ระดบั ความเสยี่ ง 1 – 3 ตา่ 4 – 8 ยอมรบั ได้ 9 - 12 ปานกลาง 16 – 18 สงู 24 – 36 ยอมรบั ไมไ่ ด้ (ทม่ี า : U.S. Department of Veterans Affairs . Healthcare Failure Mode and Effect Analysis (HFMEA), from http://www.patientsafety.va.gov) จากตวั อย่างในขนั้ ตอน 2.2.2 ค่าคะแนนความเสยี่ ง คือ 18 เม่อื นามาจดั ระดบั ความเส่ยี งอนั ตราย จะ อยใู่ น ระดบั ความเสย่ี งสงู และจะมหี ลกั เกณฑใ์ นการตอบสนองตอ่ ความเสย่ี งตามหลกั เกณฑ์ในการตอบสนองต่อ ความเสย่ี งระดบั ตา่ ง ๆ ตอ่ ไป เง่ือนไขในการพิจารณาระดบั ความเสย่ี งเพ่ิมเติม 1. กรณคี วามเสย่ี งอนั ตรายเกย่ี วขอ้ งกบั กฎหมายหรอื ขอ้ กาหนดอ่นื ๆ แต่องค์กร ไมม่ ี มาตรการ

๙๙ ควบคุมกจิ กรรมดงั กล่าว องคก์ รตอ้ งดาเนินการตามกฎหมายหรือข้อกาหนดที่เก่ยี วข้องทนั ทีโดยไม่ต้อง ผ่านการประเมินระดบั ความเสย่ี ง 2. กรณคี วามเส่ยี งอนั ตรายเก่ยี วขอ้ งกบั กฎหมายหรอื ขอ้ กาหนดอ่นื ๆ แต่หน่วยงาน มี มาตรการ ควบคุมกจิ กรรมดงั กล่าว องคก์ รต้องดาเนินการประเมินระดบั ความเส่ียงตามหลกั เกณฑป์ กติ 2.3 จดั ลาดบั ความสาคญั ของความเสี่ยง ในขนั้ ตอนน้ีจะเป็นขนั้ ตอนทอ่ี งค์กรนาระดบั ความเส่ยี งในแต่ละประเด็นมาจดั ลาดบั ความสาคญั เพ่อื นาไปสู่ การจดั ทาแผนบรหิ ารและจดั การความเสย่ี ง โดยจะมหี ลกั การพจิ ารณา คอื พจิ ารณาเลอื กความเส่ยี ง 4 ระดับ คือ ความ เส่ยี งท่ยี อมรับได้ ความเส่ยี งปานกลาง ความเส่ยี งสูง และความเส่ยี งท่ยี อมรับไม่ได้ มาจดั ลาดบั ความสาคัญ ของปัญหาเพอ่ื จดั การแกไ้ ขป้องกนั ตามลาดบั โดยตอ้ งพจิ ารณาเลอื กตามความระดบั ความเส่ยี งท่มี ากท่สี ดุ แล้วไล่เรียง ตามลาดบั และในการจดั ลาดบั ความสาคญั ของปัญหาในแต่ละระดบั ความเส่ยี งนนั้ อาจพจิ ารณาจากปัจจยั ตา่ ง ๆท่เี ก่ยี วขอ้ ง รว่ มด้วย เช่น ด้านความรุนแรงของการเกดิ ปัญหา ด้านงบประมาณ ด้านทรพั ยากรบุคคล ดา้ นระยะเวลาในการแก้ไข ฯลฯ หลกั เกณฑ์ในการตอบสนองต่อความเส่ยี งระดบั ต่าง ๆ เม่อื องค์กรทราบระดับความเส่ยี งแล้ว ส่ิงท่อี งคก์ รจะต้องดาเนนิ การต่อไป คือ การพิจารณาตอบสนองต่อ ความเสย่ี งนนั้ ๆ โดยมหี ลกั เกณฑ์ในการตอบสนองต่อความเสย่ี ง ดงั ตารางต่อไปน้ี ระดบั ความเส่ยี ง หลกั เกณฑก์ ารพิจารณาตอบสนองตอ่ ความเสย่ี ง ระดบั ความเสยี่ งต่า (1 - 3) ไม่จาเป็นต้องมกี ารควบคมุ ระดบั ความเส่ยี งท่ยี อมรบั ได้ (4 - 8) ไม่ต้องมกี ารควบคมุ เพมิ่ เตมิ แต่ต้องมกี ารทบทวนมาตรการควบคมุ และ ตอ้ งมกี ารตดิ ตามตรวจสอบ โดยการกาหนดแผนควบคุมความเสย่ี ง เพ่อื ให้แน่ใจว่าความเสย่ี งได้รบั การควบคมุ ตอ่ เน่อื งและมาตรการควบคุม นนั้ ยงั มปี ระสทิ ธภิ าพ

๑๐๐ ระดบั ความเสี่ยง หลกั เกณฑ์การพิจารณาตอบสนองต่อความเสี่ยง ระดบั ความเสี่ยงปานกลาง (9 - 12) 1. จะตอ้ งใช้ความพยายามทจ่ี ะลดความเส่ยี ง แต่ค่าใช้จา่ ยของการป้องกนั จะต้องพจิ ารณาอย่างรอบคอบ ซ่งึ จะตอ้ งกาหนดแผนลดผลกระทบ ของความเสย่ี ง 2. จะต้องมกี ารดาเนนิ ลดความเส่ยี งภายในแผนท่กี าหนด 3. เม่อื ความเสย่ี งระดบั ปานกลางมคี วามสมั พนั ธก์ บั การเกดิ ความเสยี หาย ร้ายแรง ควรประเมนิ ทบทวนเพอ่ื ตดั สนิ ความจาเป็นสาหรบั มาตรการ ควบคมุ วา่ จะตอ้ งมกี ารปรบั ปรุงเพม่ิ เติมหรอื ไม่ 4. เม่อื จดั ทาการลดความเสย่ี งลงแล้ว ตอ้ งจดั ทาแผนควบคุมความเสย่ี ง ต่อ เพ่อื ให้มนั่ ใจว่าการลดความเสย่ี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคุม อย่างต่อเน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอยู่เสมอ ระดบั ความเสีย่ งสงู (16 - 18) 1. ตอ้ งลดความเสย่ี งลงกอ่ นทจ่ี ะเรมิ่ ทากจิ กรรมได้ 2. ต้องกาหนดแผนลดความเสยี่ ง และต้องจดั สรรทรพั ยากรและ มาตรการ อยา่ งเพยี งพอเพอ่ื ลดความเสย่ี งนนั้ 3. กรณคี วามเส่ยี งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั กจิ กรรมท่กี าลงั จะเรม่ิ หรอื กจิ กรรมท่ี กาลงั ดาเนินอยู่จะตอ้ งทาการแกไ้ ขโดยเร่งด่วน 4. เม่อื จดั ทาการลดความเส่ยี งลงแล้ว ต้องจดั ทาแผนควบคุมความเส่ียง ตอ่ เพ่อื ให้มนั่ ใจวา่ การลดความเสย่ี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคมุ อยา่ งต่อเน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอยเู่ สมอ ระดบั ความเสย่ี งทีย่ อมรบั ไมไ่ ด้ 1. ตอ้ งกาหนดแผนลดความเส่ยี ง โดยการทางานหรอื กจิ กรรมท่จี ะเรม่ิ (24 - 36) หรอื งานท่ที าอยจู่ ะไม่สามารถดาเนินตอ่ ไปได้ จนกวา่ จะลดความเสย่ี ง ลงให้อยู่ในขนั้ ยอมรบั ได้ 2. ถ้าไมส่ ามารถลดความเส่ยี งได้ ถงึ แมจ้ ะพยายามอยา่ งเต็มท่แี ล้วจะตอ้ ง หยุดการทางานหรอื กจิ กรรมนนั้ 3. เมอ่ื จดั ทาการลดความเสย่ี งลงแลว้ ต้องจดั ทาแผนควบคุมความเสย่ี ง ต่อ เพ่อื ให้มนั่ ใจวา่ การลดความเส่ยี งนนั้ จะมมี าตรการในการควบคมุ อย่างตอ่ เน่อื งและมปี ระสทิ ธภิ าพอย่เู สมอ

๑๐๑ หมายเหตุ แนวทางการปฏิบตั ิตามแผนการควบคมุ ความเสยี่ งทุกระดบั ขา้ งต้นอยา่ งน้อยต้องมีการดาเนินการตามขอ้ กาหนดของ กฎหมาย (ทม่ี า : มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์อุตสาหกรรม THAI INDUSTRIAL STANDRAD มอก. 18004 – 2544 : ระบบการ จดั การอาชวี อนามยั และความปลอดภยั : ขอ้ แนะนาทวั่ ไปเก่ยี วกบั หลกั การ ระบบและเทคนคิ ในทางปฏบิ ตั )ิ 2.4 การทาแผนบริหารจดั การความเสย่ี ง แผนบริหารจัดการความเสี่ยงนัน้ จะมี 2 แผน คือ แผนงานควบคุมความเส่ียงและแผนงานลด ผลกระทบของความเสีย่ ง ซึ่งองค์กรตอ้ งดาเนนิ การจดั ทาแผนงานเพือ่ กาหนดมาตรการความปลอดภยั ท่ี เหมาะสมและมีประสทิ ธิภาพในการลดผลกระทบและควบคุมความเส่ยี งจากอันตรายท่อี าจเกดิ ข้นึ โดยการจดั ทา แผนบรหิ ารจดั การความเส่ยี ง จะมหี ลกั เกณฑ์การดาเนินงานแบ่งออกเป็น 2 แผน ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. แผนงานควบคมุ ความเสี่ยง จะต้องดาเนินการในทุกประเด็นทม่ี รี ะดบั ความเสย่ี งท่ยี อมรบั ได้ 2. แผนงานลดผลกระทบของความเสยี่ ง จะต้องดาเนินการในทกุ ประเดน็ ทม่ี รี ะดบั ความเสย่ี ง ปานกลาง ระดบั ความเส่ยี งสงู และระดบั ความเส่ยี งท่ยี อมรบั ไม่ได้ เม่อื จัดทาแผนงานลดผลกระทบของความเส่ยี ง ดาเนินการเรยี บร้อยแล้วให้นาแผนงานลดผลกระทบของความเสย่ี งมาจดั ทาเป็นแผนงานควบคุมความเส่ยี งตอ่ ไป สาหรบั แผนท่ตี ้องดาเนนิ การสาหรบั ความเส่ยี งในแตล่ ะระดบั สามารถสรปุ ไดด้ งั น้ี ระดบั ความเสยี่ ง การจดั ทาแผนบริหารจัดการความเสีย่ ง ต่า ▪ ไม่ต้องทาแผน ยอมรบั ได้ ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ปานกลาง ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง สูง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ยอมรบั ไม่ได้ ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง ▪ แผนลดผลกระทบของความเส่ยี ง ▪ แผนควบคุมความเส่ยี ง 2.5 การทบทวนแผนบริหารจดั การความเสีย่ ง เมอ่ื องค์กรทราบแลว้ ว่าจะต้องจดั ทาแผนในการดาเนนิ การสาหรบั ความเส่ยี งในแต่ละระดบั ควรมี

๑๐๒ การทบทวนแผนบรหิ ารจดั การความเส่ยี งกอ่ นนาไปใชง้ านจรงิ เพอ่ื ใหม้ นั่ ใจได้วา่ แผนนัน้ จะสามารถดาเนินการไดจ้ ริงและ มคี วามเหมาะสม โดยการตอบคาถามต่อไปนี้ 1. เมอ่ื มกี ารปรบั ปรุงแลว้ ระดบั ความเสย่ี งลดลงจนยอมรบั ได้หรอื ไม่ 2. ผลจากการปรบั ปรงุ ตามขอ้ 1 ก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายข้นึ ใหม่หรอื ไม่ 3. ไดเ้ ลอื กวธิ กี ารแก้ไขปัญหาทค่ี มุ้ คา่ มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลหรอื ไม่ 4. มาตรการควบคุมทใ่ี ชน้ นั้ เป็นท่ยี อมรบั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน และสามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ดห้ รอื ไม่ 5. จะมกี ารนามาตรการนไี้ ปใช้ และจะไม่ถกู ละเลยเมอ่ื เผชญิ หนา้ กบั ภาวะต่าง ๆ หรอื ไม่ ถ้ามงี าน เร่งดว่ นอาจจะละเลยมาตรการท่ตี ้องปฏบิ ตั นิ นั้ เป็นตน้ ๓. การปรบั เปลยี่ นพฤติกรรมสขุ ภาพและการเพิ่มความรอบรูด้ า้ นสุขภาพ การมสี ุขภาพดี เป็นพ้นื ฐานของการมคี ุณภาพชวี ติ ท่ดี ี เพราะเมอ่ื เรามสี ขุ ภาพทด่ี แี ลว้ เราก็จะมคี วามพร้อม มากพอในการทากจิ กรรมตา่ งๆและใชช้ วี ติ อยูใ่ นสงั คมอยา่ ปกตสิ ุข องคก์ ารอนามยั โลกไดใ้ ห้คานิยาม สขุ ภาวะหรอื สขุ ภาพ ไวว้ า่ หมายถึงสขุ ภาวะทส่ี มบรู ณท์ งั้ ทางกาย จติ ใจ สงั คม และปัญญา มใิ ช่เพยี งการปราศจากโรคหรอื ความ พกิ ารเท่านนั้ 1. สุขภาพทางกาย (Physical health) หมายถึง สภาพท่ดี ที างร่างกาย กล่าวคอื อวัยวะต่าง ๆ อยู่ใน สภาพท่ดี ีมี ความแขง็ แรงสมบูรณ์ ทางานได้ตามปกติ และมคี วามสัมพันธ์กับทุกส่วนเป็นอย่างดี ซึ่งก่อให้เกดิ ประสทิ ธภิ าพในการทางาน 2. สขุ ภาพทางจติ (Mental health) หมายถึง สภาพจติ ท่ดี ี สามารถควบคมุ อารมณ์ ทาจติ ใจใหเ้ บกิ บาน แจม่ ใส ไมม่ คี วามคบั ขอ้ งใจหรอื เกดิ ความขดั แย้งภายในจติ ใจ ซึ่งสามารถชว่ ยใหป้ รบั ตวั เขา้ กบั สง่ิ แวดล้อม และสงั คม ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ 3. การดารงชีวติ อยู่ในสงั คมดว้ ยดี (Social well – being) หมายถึง บุคคลท่มี สี ภาวะทางกายและทาง จติ ท่สี มบรู ณ์ จงึ สามารถปรบั ตวั ใหอ้ ยใู่ นสงั คมแห่งตนได้อย่างดแี ละมคี วามสุข 4. สุขภาวะทางจติ วิญญาณ (Spiritual well – being) หมายถึง เม่อื ใดท่รี ่างกายว่างจากตัวตนหรือ ความเห็นแก่ตวั จติ วญิ ญาณของเราก็สงู ข้นึ เรยี กว่ามีพฒั นาการทางจติ วิญญาณหรอื พัฒนาการ ทางคุณค่า จะเกดิ ความสุข ดม่ื ด่าและปลม้ื ปิตเิ มอ่ื ทาความดี จากสถานการณ์ปัจจุบนั ปัญหาการเกดิ โรคทม่ี มี ากในทกุ พน้ื ท่ี โดยเฉพาะโรคไมต่ ดิ ตอ่ เรอ้ื รงั ท่แี นวโนม้ สูงขน้ึ เรอ่ื ย ๆ สาเหตุส่วนใหญเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรมในวถิ ีชวี ติ เช่น พฤตกิ รรมการบรโิ ภค การออกกาลงั กาย การ จดั การความเครยี ด การสบู บุหร่แี ละด่มื สุรา เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาสขุ ภาพและการเกดิ โรคภยั ไขเ้ จ็บให้ลดลง นนั้ การปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพเป็นสง่ิ จาเป็น เพ่อื ให้ประชาชนมพี ฤตกิ รรมสุขภาพท่ถี กู ต้องด้วยการสง่ เสริม และพัฒนาปัจจยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง ได้แก่ ปัจจยั ในตวั บุคคล เช่น ความรู้ การรับรู้ ความเขา้ ใจ และปัจจยั แวดล้อมอย่าง

๑๐๓ เหมาะสม ในการพัฒนาปัจจยั ภายในตัวบุคคลจะต้องปลูกฝังให้ประชาชนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ( Health Literacy) รว่ มกบั มกี ารพฒั นาปัจจยั แวดลอ้ มท่จี ะเอ้อื และเสรมิ ใหป้ ระชาชนมพี ฤตกิ รรมสุขภาพ (Health Behavior) ทถ่ี ูกต้องและเหมาะสมกบั ภาวะสขุ ภาพของตนเองได้ ๓.๑ แนวคิดความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ (Health Literacy) การพฒั นาและส่งเสรมิ ให้ประชาชนมคี วามรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นการสร้างและ พฒั นาขดี ความสามารถในระดับบุคคลในการธารงรักษาสุขภาพตนเองอย่างยงั่ ยืน มีการช้นี าระบบสุขภาพท่ี สอดคล้องกบั ปัญหาและความต้องการของประชาชน มีการแลกเปล่ยี นขอ้ มูลสุขภาพของตนเองรว่ มกบั ผู้ใหบ้ รกิ าร และสามารถคาดการณ์ความเส่ยี งดา้ นสุขภาพท่อี าจเกดิ ขน้ึ ได้ รวมทงั้ กาหนดเป้าประสงค์ในการดูแลสุขภาพตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการโรคเร้อื รงั ท่กี าลงั เป็นปัญหาระดับโลก ซึ่งทาให้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาอย่างมาก ดงั นัน้ หากประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมรี ะดบั ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่า ย่อมจะส่งผลต่อสภาวะสุขภาพใน ภาพรวม กลา่ วคอื ประชาชนขาดความสามารถในการดูแลสขุ ภาพของตนเอง จานวนผูป้ ่วยดว้ ยโรคเรอ้ื รงั จะเพิม่ ข้นึ ทาใหค้ ่าใช้จ่ายในการรกั ษาพยาบาลเพมิ่ สูงขน้ึ ความหมายของความรอบร้ดู า้ นสขุ ภาพ WHO (1998) ไดใ้ หค้ าจากดั ความของความรอบรดู้ า้ นสุขภาพไว้ว่า เป็นกระบวนการทางปัญญา และ ทกั ษะทางสังคม ท่กี ่อเกิดแรงจูงใจและความสามารถของปัจเจกบุคคลท่จี ะเข้าถึง เข้าใจและใช้ขอ้ มูลข่าวสารเพอ่ื สง่ เสรมิ และรกั ษาสุขภาพของตนเองใหด้ อี ย่เู สมอ สถาบนั วจิ ยั ระบบสาธารณสขุ (2541) ไดอ้ ธบิ ายเสรมิ วา่ ความรอบร้ดู ้านสขุ ภาพเป็นการบรรลุถงึ ระดบั ความรู้ ทกั ษะส่วนบุคคลและความมนั่ ใจในการท่จี ะลงมอื ปฏบิ ัตเิ พอ่ื ช่วยให้สุขภาพของตนเองและชุมชนดขี น้ึ โดย การปรบั เปลย่ี นวถิ ีชวี ติ และสภาพความเป็นอยู่ Nutbeam(2008) ได้อธบิ าย ความรอบรู้ด้านสขุ ภาพว่าเป็นสมรรถนะของแต่ละบุคคลทงั้ ทางดา้ นสงั คม และการคิดวิเคราะห์ท่กี าหนดแรงจูงใจและความสามารถของบุคคลในการเขา้ ถึง ทาความเข้าใจ ประเมนิ และใช้ สารสนเทศดา้ นสุขภาพตามความตอ้ งการ เพ่อื สง่ เสรมิ และรกั ษาสุขภาพของตนเองให้ดี รวมทงั้ การเพิ่มพูนความรู้ และความเขา้ ใจปัจจยั ท่กี าหนดสุขภาพ การเปล่ยี นทศั นคตแิ ละการจูงใจในการสง่ เสรมิ พฤตกิ รรมส่งเสรมิ สุขภาพ ซง่ึ ความรอบรู้ด้านสุขภาพเป็นปัจจยั หนงึ่ ในการสง่ เสรมิ และรกั ษาสุขภาพ

๑๐๔ Edwards, Wood, Davies & Edwards (2012) ได้กล่าวว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพนั้น ได้รับการ ถา่ ยทอดหรอื เป็นผูม้ สี ่วนร่วมสร้างให้ตนเองเกดิ ความสามารถจนกลายเป็นผู้มคี วามรอบรู้ดา้ นสุขภาพในการจัดการ ภาวะเงอ่ื นไขทางสขุ ภาพของเขา ให้สามารถเขา้ ถงึ และเกาะตดิ กบั ขอ้ มูลขา่ วสารและบรกิ าร มกี ารปรกึ ษาหารอื กับ ผู้เช่ียวชาญด้านสุขภาพและเจรจาต่อรองและเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสม และมีการเปล่ียนแปลงใน ความสามารถเหลา่ นร้ี ะหวา่ งสมาชกิ ในกลุ่มสุขภาพบางคนมคี วามรแู้ ละทกั ษะในการจดั การตนเองดี แตบ่ างคนมกี าร แสวงหาขอ้ มลู น้อย และมกี ารส่อื สารเพ่อื ปรกึ ษาหารอื กนั นอ้ ย Sorensen et al. (2012) “Integrated model of health literacy” ประกอบดว้ ย 4 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านที่ 1 การเข้าถึง (Access) หมายถึง ความสามารถที่จะแสวงหา ค้นหา และได้รับข้อมูล เก่ยี วกบั สุขภาพ ด้านที่ 2 การเข้าใจ (Understand) หมายถงึ ความสามารถที่จะเขา้ ใจขอ้ มลู ทางสุขภาพ ด้านที่ 3 การประเมิน (Appraise) หมายถึง ความสามารถในการอธิบาย การตีความ การ กล่ันกรองและประเมินข้อมลู สขุ ภาพทไี่ ดร้ ับจากการเขา้ ถงึ ดา้ นที่ 4 การประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถงึ การปฏบิ ตั ิ ความสามารถในการสื่อสาร และการใช้ ข้อมลู ในการตัดสนิ ใจในการรักษาและปรับปรุงสขุ ภาพตนเอง สรุปได้ว่า ความรอบรูด้ า้ นสขุ ภาพ หมายถึง ความสามารถและทกั ษะในการเข้าถงึ ขอ้ มูลความรู้ ความ เขา้ ใจเกย่ี วกบั ดแู ลสุขภาพอนั จะนาไปสูก่ ารวเิ คราะห์ประเมนิ การปฏิบตั ิและจดั การตนเองรวมทงั้ สามารถช้แี นะเร่อื ง สุขภาพส่วนบุคคล ครอบครวั และชุมชน เพ่อื ป้องกันและควบคุมความเส่ยี งต่อสุขภาพโดยวัดจากองค์ประกอบ 4 ดา้ นท่สี ะทอ้ นจากคณุ ลกั ษณะและพฤตกิ รรมคอื การเขา้ ถึง ความเขา้ ใจความรู้ ทกั ษะการตดั สนิ ใจ การจดั การตนเอง องค์ประกอบของความรอบรู้ดา้ นสขุ ภาพ จากการทบทวนวรรณกรรมทผ่ี ่านมา องค์ประกอบของความรอบร้ดู ้านสุขภาพ ดงั นี้ 1. ทกั ษะการเขา้ ถึงขอ้ มูลสุขภาพ (Access skill) หมายถงึ การใช้ความสามารถในดา้ นการฟัง การดู การพูด การอ่าน การเขียน การสืบค้น และคานวณท่มี ีกระบวนการใคร่ครวญ ตรวจสอบเช่อื มโยงด้วยหลักเหตผุ ล ความน่าเชอ่ื ถือ ความถกู ต้องตามกฎระเบยี บและวฒั นธรรมอนั ดขี องสงั คม เพอ่ื ใหไ้ ด้ขอ้ มลู และสารสนเทศทต่ี ้องการ เกย่ี วกบั สขุ ภาพ 2. ความรู้ ความเขา้ ใจทางสุขภาพ หมายถึง การรับรู้ เขา้ ใจ ความสามารถในการอ่าน และการใช้ ขอ้ มูลด้านสุขภาพ (Cognitive skill) เป็นการนาความรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับการปฏิบตั ใิ นบรบิ ทของสุขภาพและการ

๑๐๕ ป้องกันปัญหาสุขภาพ และกล้าซักถามเพ่อื คลายความสงสัยและเสรมิ สร้างความเข้าใจท่ถี ู กต้องก่อนนาขอ้ มูลไป ปฏบิ ตั ิ 3. ทักษะการตัดสินใจ (Decision skill) หมายถึง กระบวนการคดิ ในการเลือกอย่างมีเหตุผลจาก ทางเลอื ก ทม่ี อี ยู่ สามารถประยุกตใ์ ชข้ อ้ มูลข่าวสารในการวิเคราะหเ์ ชงิ เปรยี บเทียบและควบคุมจดั การสถานการณ์ ในการดารงชวี ติ ประจาวนั ได้ 4. ทกั ษะการจัดการตนเอง (Self Management) หมายถึง วธิ กี าร ทักษะและกลยุทธ์ระดับบุคคลท่ี สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ โดยตรง เช่น วตั ถปุ ระสงค์ การตงั้ เป้าหมาย การตดั สนิ ใจ การมุ่งเน้นการวางแผน กาหนดการ การประเมนิ ตนเอง การพฒั นาตนเอง และอน่ื ๆ ท่นี าไปสู่กระบวนการปฏบิ ตั ิ องค์ประกอบและคณุ ลักษณะสำคัญของความรอบรู้ด้านสุขภาพ องค์ประกอบ คณุ ลักษณะสำคัญ 1. การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพแล ะ 1.เลอื กแหล่งขอ้ มลู ด้านสขุ ภาพ และบรกิ ารสขุ ภาพ รู้วธิ กี ารคน้ หาและ บริการสุขภาพ การใชอ้ ุปกรณ์ในการค้นหา 2.ค้นหาขอ้ มูลสขุ ภาพและบรกิ ารสุขภาพทถ่ี ูกต้อง 3.สามารถตรวจสอบขอ้ มูลจากหลายแหล่งได้ เพ่อื ยืนยันความเขา้ ใจ ของตนเองและได้ขอ้ มลู ทน่ี ่าเชอ่ื ถอื สาหรบั นาไปใชใ้ นการดูแลสุขภาพ ด้วยตนเอง 2. ความร้คู วามเขา้ ใจ 1.มคี วามรู้และจาในเนือ้ หาสาระสาคญั ด้านสุขภาพ 2.สามารถอธบิ ายถึงความเขา้ ใจในประเด็นเนอื้ หาสาระดา้ นสขุ ภาพใน การทจ่ี ะนาไปปฏบิ ตั ิ 3.สามารถซักถาม เม่อื เกดิ ความสงสยั ในสาระสาคญั ด้านสุขภาพทจ่ี ะ นาไปใช้ปฏบิ ตั ิ 3.ทกั ษะการตดั สินใจ 1.กาหนดทางเลอื กและปฏเิ สธ/หลกี เลย่ี งหรอื เลอื กวธิ กี ารปฏบิ ตั ิเพ่อื ให้ มสี ุขภาพดี 2.ใชเ้ หตุผลหรอื วิเคราะห์ผลดี-ผลเสยี เพ่อื การปฏเิ สธ/หลกี เล่ยี ง/เลือก วธิ กี ารปฏบิ ตั ิ 3.สามารถแสดงทางเลอื กทเ่ี กดิ ผลกระทบน้อยต่อตนเองและผู้อ่นื 4. ทกั ษะการจดั การตนเอง 1.สามารถกาหนดเป้าหมายและวางแผนการปฏบิ ตั ิ 2.สามารถปฏบิ ตั ติ ามแผนทก่ี าหนดได้

๑๐๖ องค์ประกอบ คุณลกั ษณะสำคัญ 3.มกี ารทบทวนและปรบั เปล่ยี นวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นเพ่อื ให้มพี ฤตกิ รรม สขุ ภาพทถ่ี ูกตอ้ ง แนวทางการดาเนินงานเสริมสรา้ งความรอบรดู้ า้ นสุขภาพ การเสรมิ สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ ต้องอาศัยกลวิธีและโปรแกรมการเสรมิ สร้างความรอบรู้ ดา้ นสขุ ภาพท่เี หมาะสมกบั ความต้องการของประชาชนและชุมชน และสามารถนาไปประยุกตใ์ ช้ไดท้ กุ แหง่ ท่มี รี ะบบ สงั คม วฒั นธรรมและเศรษฐกจิ ท่แี ตกต่างกนั ดว้ ยการ - เพ่ิมโอกาสการเข้าถึงแหล่งข้อมูลท่ีเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ หากประชาชนสามารถเข้าถึง แหล่งขอ้ มูลอยา่ งสมบูรณ์และต่อเน่อื ง จะมโี อกาสเรยี นรูก้ ารสรา้ งสขุ ภาพได้เพมิ่ ขน้ึ - เพิ่มพูนทักษะชีวิต ซึ่งบุคคลท่ีมีทักษะชีวิต จะเป็นบุคคลท่ีมีความตระหนักในตนเอง ( Self,s Awareness) มคี วามคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ ไตรต่ รอง รอบคอบอยา่ งมเี หตผุ ล(Critical Thinking) ร้จู กั จดั การอารมณ์ และความเครยี ด (Coping with Emotions, Coping with Stress) มคี วามคดิ สร้างสรรค์ (Creative Thinking) สามารถ แก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม(Problem Solving) และตัดสินใจได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ (Decision Making) รวมทงั้ มี ความเห็นอกเห็นผู้อ่นื (Empathy) มีทักษะการสร้างสัมพันธภาพท่ดี (ี Interpersonal Relationship Skill) ส่อื สารได้ อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ(Effective Communication) การมที กั ษะชวี ติ จะสง่ ผลใหป้ ระชาชนมคี วามสามารถในการกระทา หรือจัดการกบั ความต้องการและสงิ่ ท้าทายในชีวติ ประจาวันไดส้ าเรจ็ ทาให้สามารถปรบั ตวั และมีพฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงค์ได้ - สร้างโอกาสการเรยี นร้แู ละเพมิ่ ทางเลอื กท่เี ป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยการสร้างโอกาสการเรยี นร้ใู ห้ เกดิ ข้นึ ทงั้ ท่โี รงเรียน ท่บี ้าน ท่ที างานและในชุมชน ด้วยการมีส่วนร่วมในการจัดการด้านสุขภาพของเครือข่าย พันธมิตรทัง้ ท่ีเป็นภาครัฐ ภาคสังคมและเศรษฐกิจ ภาคเอกชน องค์กรอาสาสมัคร องค์กรปกครองท้องถ่ิน ภาคอตุ สาหกรรมและส่อื มวลชน ตลอดจนประชาชน - สร้างสรรค์สง่ิ แวดล้อมท่ีเอ้ือและสนับสนุนการมีสุขภาพดี เน่ืองจากคนและสิ่งแ วดล้อมมีความ เก่ยี วข้องกนั จนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ประกอบกับการเปล่ยี นแปลงรูปแบบการดาเนินชวี ิต การทางาน เทคโนโลยี และการขยายตวั ของชมุ ชนเมอื ง สง่ ผลกระทบสาคญั ตอ่ ปัญหาสขุ ภาพของประชาชน จงึ จาเป็นท่จี ะตอ้ งมี การจดั การให้ชุมชนและสง่ิ แวดล้อมสนับสนุนซงึ่ กนั และกนั ทงั้ ท่เี ป็นสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สังคม จิตวญิ ญาณ เศรษฐกจิ และสงั คมท่มี คี วามเช่อื มโยงกนั อยา่ งเป็นพลวตั ร เพ่อื การมสี ขุ ภาพท่ดี อี ย่างยงั่ ยนื การเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ : เพอื่ ใหป้ ระชาชนเข้าถึงข้อมลู สขุ ภาพ - สอนวธิ กี ารสบื คน้ ขอ้ มูลความรูจ้ ากแหลง่ ขอ้ มลู ทางอนิ เตอร์เนต็ หรอื จากแหลง่ ขอ้ มลู ทน่ี ่าเช่อื ถือ

๑๐๗ - จัดให้มีมุม/ห้องการเรียนรู้ด้านสุขภาพ เพ่ือเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็นสถานท่ีในการจดั กิจกรรม แลกเปล่ยี นเรยี นรูด้ า้ นสขุ ภาพ - จดั ใหม้ ชี อ่ งทางการส่อื สาร เผยแพรค่ วามร้ทู เ่ี ข้าถึงไดง้ ่าย พร้อมบรกิ ารตลอดเวลา ให้ขอ้ มลู สุขภาพท่ี ถูกตอ้ งผา่ นระบบสารสนเทศทท่ี นั สมยั เพอื่ ให้ประชาชนมีความรู้ ความเขา้ ใจเรอื่ งการดแู ลสุขภาพตนเอง - จัดให้มีการเรยี นรู้สุขภาพ ท่เี น้นให้ประชาชนมีการคดิ วเิ คราะห์ การจัดการสุขภาพ แก้ไขปัญหา สุขภาพของตนเอง ครอบครวั และเรยี นรทู้ กั ษะชวี ติ ทจ่ี าเป็น - จดั หาสอ่ื ความรู้ด้านสขุ ภาพท่ใี ชภ้ าษาท่เี ขา้ ใจง่าย และง่ายต่อการจดจา และสามารถนาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ - มกี ารให้คาปรกึ ษาอยา่ งเป็นกนั เอง และเปิดโอกาสให้ซกั ถามเพอ่ื สร้างความเขา้ ใจทถ่ี กู ตอ้ ง - จัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับลักษณะของบุคคลและ สภาพแวดลอ้ ม เพ่อื ให้เกดิ การสอ่ื สารแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ระหว่างบคุ คล เพือ่ ใหป้ ระชาชนมกี ารตดั สินใจเลอื กปฏิบตั ิในสิง่ ทีถ่ กู ตอ้ ง - มขี อ้ มูล/เนื้อหาท่ถี กู ต้อง ทงั้ ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี เพ่อื การตดั สินใจ - สอนใหว้ เิ คราะห์ขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี สามารถวเิ คราะห์การกระทาท่มี ผี ลตอ่ สขุ ภาพได้ - ฝึกทกั ษะการตอ่ รอง ทกั ษะการปฏเิ สธในสง่ิ ท่เี ป็นผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ - ส่งเสรมิ คนในครอบครวั ชุมชน/องคก์ ร ใหเ้ ป็นกาลงั ใจในการตดั สนิ ใจท่ถี ูกต้อง เพอื่ ให้ประชาชนมีการจดั การทางสขุ ภาพตนเอง - ให้ประชาชนรูจ้ กั การประเมนิ สุขภาพตนเอง - ให้มกี ารตงั้ เป้าหมายในการดแู ลสขุ ภาพของตนเอง - ส่งเสรมิ ชมรม / กลมุ่ เพอ่ื ใหม้ กี ารปรกึ ษาหารอื ช่วยเหลอื กนั ในการดแู ลสขุ ภาพร่วมกนั - จดั โปรแกรมปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เพ่อื ฝึกปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง เป็นการเพม่ิ ทกั ษะและความคิด ในการดูแลสขุ ภาพของตนเอง เชน่ โปรแกรมลดพุง โปรแกรมเลกิ เหลา้ บหุ ร่ี ลดหวาน ลดเคม็ โปรแกรมออกกาลงั กาย เป็นตน้ กลวธิ แี ละโปรแกรมการเสรมิ สรา้ งความรอบรดู้ า้ นสุขภาพจะเป็นในลกั ษณะของการสร้างโอกาสให้ประชาชน ไดเ้ รยี นรู้ และแหลง่ ประโยชน์ตา่ งๆท่ชี ว่ ยเพมิ่ ศกั ยภาพดา้ นสุขภาพใหก้ บั ประชาชนไดอ้ ย่างเต็มท่แี ละเทา่ เทียมกนั ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีความรู้ ทกั ษะท่สี าคญั และจาเป็น สามารถตัดสินใจเลอื กทางเลือกท่สี ่งผลดตี ่อสุขภาพ รวมถงึ สามารถกระทาพฤตกิ รรมสขุ ภาพทเ่ี หมาะสม ควบคมุ สุขภาพตนเอง ได้ ๓.๒ แนวคิดการปรบั เปลย่ี นพฤติกรรมสขุ ภาพ (Health Behavior)

๑๐๘ ปัญหาสุขภาพของคนวยั ทางาน ต องเผชญิ กบั ภยั คุกคามจากโรคไม่ตดิ ต่อเรอ้ื รงั โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ความดนั โลหติ สงู มะเรง็ โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด มแี นวโน้มเพมิ่ ข้นึ อยา่ งรวดเรว็ ล้วนมสี าเหตุสาคญั มาจากการ มี พฤตกิ รรมสขุ ภาพไมพ่ งึ ประสงค์ โดยเฉพาะพฤตกิ รรมเสย่ี งร่วม 3อ.2ส. (พฤตกิ รรมออกกาลงั กาย อาหาร อารมณ สบู บุหร่ี และสรุ า) ซง่ึ เป็นพฤตกิ รรมสขุ ภาพในการดาเนินชวี ิตของประชาชนท่เี ส่ยี งต่อสุขภาพ โดยมปี ัจจยั หลักจาก พ้นื ฐานทางวัฒนธรรม ความเช่อื ค่านิยม และปัจจัยล้อมทางสังคมและทางกายภาพ ซึ่งส่งผลต อคุณภาพชวี ติ เศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศ ความหมายพฤติกรรมสุขภาพ พฤติกรรมสุขภาพ (Health Behavior) หมายถึง การกระทา การปฏบิ ตั ิ หรอื การแสดงออกของบคุ คล ในการกระทา หรอื งดเว้นการกระทาในสงิ่ ท่มี ผี ลตอ่ สขุ ภาพของตนเอง โดยอาศยั ความรู้ ความเขา้ ใจ เจตคติ และการ ปฏบิ ตั ติ นทางดา้ นสขุ ภาพตา่ งๆ คอื สุขภาพกาย จติ ใจ/อารมณ์ และสงั คม ทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั อย่างสมดลุ พฤตกิ รรมสุขภาพ จาแนกเป็น 2 ลกั ษณะ คอื 1. เป็นการกระทา (Action) พฤตกิ รรมสุขภาพในลกั ษณะท่เี ป็นการกระทา คอื การกระทาหรอื การ ปฏบิ ตั ขิ องบุคคลท่มี ผี ลดหี รทอผลเสยี ต่อสุขภาพ 2. เป็นการไมก่ ระทา (NON Action) ส่วนพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่เี ป็นการไมก่ ระทา คอื การงดเว้นไม่ กระทา หรอื การไม่ปฏบิ ตั ขิ องบคุ คลท่มี ผี ลดหี รอื ผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ พฤตกิ รรมสขุ ภาพมคี วามสาคญั ต่อการเกดิ ปัญหาสุขภาพ ใน 2 ลกั ษณะ ด้วยกนั ดงั นี้ (กองสขุ ศกึ ษา, 2561) 1. พฤตกิ รรมสุขภาพเป็นปัจจยั โดยตรงของปัญหาสุขภาพ กลา่ วคอื การทบ่ี ุคคลมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพท่ี ไม่ถูกตอ้ ง หรอื ไมเ่ หมาะสมแล้วทาใหต้ นเอง ครอบครวั หรอื บุคคลอน่ื ในชุมชน เจ็บป่วย บาดเจบ็ เสยี ชวี ติ หรอื มีสุข ภาวะท่ไี มด่ ี ทาใหเ้ กดิ ปัญหาสขุ ภาพ 1.1 การท่บี ุคคลมีพฤติกรรมสุขภาพท่ไี ม่ถูกต้องหรอื ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุโดยตรงของการ เจ็บป่วยของบุคคลนัน้ ๆ เอง หรอื เป็นสาเหตุโดยตรงของการเจ็บป่วยของบุคคลอ่นื ๆ ในครอบครัว รวมทงั้ เป็น สาเหตโุ ดยตรงของการเจบ็ ป่วยของบุคคลอน่ื ๆ ในชุมชนด้วย เช่น การทบ่ี คุ คลมพี ฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารท่ีมีรส หวาน สง่ ผลใหส้ มาชกิ ในครอบครวั รบั ประทานอาหารทม่ี รี สหวานเป็นประจา ทาให้เกดิ โรคเบาหวานได้ 1.2 เม่อื บุคคลเจบ็ ป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม แล้วตวั บคุ คลนนั้ เอง หรอื บคุ คลอ่นื ในครอบครวั ให้การ ดแู ลรกั ษาพยาบาลท่ไี มถ่ กู ต้อง ก็จะทาใหก้ ารเจบ็ ป่วยนนั้ รุนแรงข้นึ หรอื เสยี ชวี ติ ได้ เชน่ การซื้อยามารบั ประทานเอง โดยไม่รู้แน่วา่ ป่วยเป็นโรคอะไร หรอื เม่อื แพทยใ์ หย้ ามารกั ษาแลว้ แต่ไมไ่ ด้รบั ประทานยาใหถ้ ูกต้องและครบถ้วน ก็จะ ทาใหโ้ รคไม่หาย 2. พฤตกิ รรมสุขภาพเป็นปัจจยั สาคญั ของการแก้ไขปัญหาสขุ ภาพ กล่าวคอื ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพ จาเป็นต้องใช้พฤติกรรมสุขภาพท่เี หมาะสมของบุคคลต่างๆ ซ่ึงจะทาให้บุคคลนนั้ ๆ บุคคลอ่นื ๆ ในค รอบครวั หรือ บุคคลอน่ื ๆ ในชุมชน มสี ุขภาวะท่ดี ี ไมเ่ จบ็ ป่วย บาดเจ็บ พกิ าร หรอื เสยี ชวี ติ ดว้ ยโรคต่างๆ ทส่ี ามารถป้องกนั ได้ ซง่ึ ในการแก้ไขปัญหาสุขภาพของแต่ละบุคคล แต่ละครอบครวั และแต่ละชุมชน ต้องอาศัยการมีพฤติกรรมสุขภาพท่ี ถกู ต้องของบุคคลตา่ งๆ เป็นสาคญั เน่อื งจากปัญหาสุขภาพของแตล่ ะบุคคล หรอื ปัญหาสขุ ภาพของชมุ ชนต่างๆ จะ

๑๐๙ แกไ้ ขไดน้ นั้ บคุ คลต่างๆ ต้องมพี ฤตกิ รรมสุขภาพท่จี าเป็นสาหรบั การสง่ เสรมิ สุขภาพอยา่ งพอเพยี งจงึ จะมสี ขุ ภาพท่ดี ี บุคคลต่างๆ ตอ้ งมกี ารกระทา การปฏบิ ตั ิ การไมก่ ระทา หรอื การไมป่ ฏบิ ตั ิ ทจ่ี ะทาให้ตนเองไม่เจบ็ ป่วย บคุ คลอน่ื ๆ ในครอบครวั ไมเ่ จ็บป่วย หรอื บุคคลอ่นื ๆในชมุ ชนไมเ่ จบ็ ป่วย ในกรณีทบ่ี ุคคลใดก็ตามหรอื บุคคลในครอบครวั เกดิ การ เจ็บป่วยข้นึ มาไม่ว่าโรคอะไรก็ตาม บุคคลนัน้ หรอื บุคคลในครอบครวั จาเป็นต้องมคี วามรู้ ความเขา้ ใจท่ถี ูกต้อง เก่ยี วกบั การเจบ็ ป่วย และสาเหตุของการเจ็บป่วย รวมทงั้ มกี ารดแู ลรกั ษาอยา่ งถกู ตอ้ ง ดงั นนั้ การดาเนนิ การแกไ้ ขปัญหาสขุ ภาพ จงึ ตอ้ งม่งุ เนน้ การพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพของประชาชนท่ี เป็นกลุม่ เป้าหมาย เพ่อื ใหม้ กี ารกระทา หรอื การปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งสาหรบั การแก้ไขปัญหาสขุ ภาพได้อย่างยงั่ ยนื การพฒั นาพฤติกรรมสุขภาพ การพฒั นาพฤตกิ รรมสุขภาพ หมายถงึ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ การฝึกทกั ษะ การจดั ปัจจยั แวดล้อม ท่เี อ้อื อานวยใหบ้ ุคคลครอบครวั และชุมชนมพี ฤตกิ รรมสขุ ภาพทพ่ี งึ ประสงค์ สง่ ผลให้มสี ุขภาพดี พฤตกิ รรมของบุคคลมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ซ่ึงแนวคดิ ท่ไี ด้รบั การยอมรบั และใช้กันมากในการ อธบิ าย ปัจจัยสาเหตขุ องพฤตกิ รรม คือ แนวคดิ ของ Green & Kreuter (2005) ท่อี ธิบายว่าพฤติกรรมมสี าเหตจุ าก ปัจจยั ภายในและภายนอกตวั บคุ คลไดแ้ ก่ ปัจจยั นา (Predisposing factors) ปัจจยั เออ้ื (Enabling factors) และปัจจยั เสรมิ (Reinforcing factors) 1. ปัจจัยนา (Predisposing Factors) หมายถึง ปัจจัยพ้ืนฐานและก่อให้เกิดแรงจูงใจในการแสดง พฤตกิ รรมของบุคคล ไดแ้ ก่ ความรู้ ความเชอ่ื เจตคติ ค่านยิ ม การรบั รู้ เชน่ การรบั ร้ขู อ้ มลู ความร้ขู องประชาชนจาก ส่อื ใดบ้าง และรวมไปถงึ ปัจจยั ดา้ นคุณลกั ษณะของประชากรหรอื ปัจจยั สว่ นบคุ คลและสถานะภาพทางสงั คมและเศรษฐกิจ เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชพี รายได้ ระดบั การศกึ ษา ศาสนา เป็นตน้ 2. ปัจจยั เอ้อื (Enabling Factors) หมายถึง สง่ิ ทเ่ี ป็นแหลง่ ทรพั ยากรทจ่ี าเป็นหรอื อานวยความสะดวกในการ แสดงพฤตกิ รรมของบคุ คล รวมทงั้ ทกั ษะทจ่ี ะช่วยให้บุคคลสามารถแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆ ไดด้ ว้ ย และความสามารถท่จี ะใช้ แหล่งทรัพยากรต่างๆ ซึ่งมสี ่วนเกย่ี วขอ้ งกบั ราคา ระยะทาง เวลา นอกจากนนั้ สง่ิ ท่สี าคญั ก็คอื การหาได้ง่าย (Available) ความสามารถในการเขา้ ถึงได้ (Accessibility) ของสงิ่ ท่จี าเป็นในการแสดงพฤตกิ รรมหรอื ช่วยใหก้ ารแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆ เป็นไปไดง้ า่ ย ยกตวั อย่าง เชน่ - ปัจจยั เอ้อื สาหรบั การรบั ความรู้สขุ ภาพ เช่น มศี ูนยก์ ารเรยี นรู้ในแหลง่ ชมุ ชน มเี สยี งตามสายฟังชดั เจน - ปัจจัยเอ้อื สาหรบั พฤตกิ รรมการกินผัก เช่น มแี ปลงปลูกผัก มแี หล่งขายผัก มีตวั อย่างวิธีการปรงุ อาหารจากผกั - ปัจจยั เออ้ื สาหรบั การออกกาลงั กาย เชน่ มสี ถานทอ่ี อกกาลงั กาย มเี คร่อื งออกกาลงั กาย - ปัจจยั เอ้อื สาหรบั การล้างมอื เช่น อ่างล้างมอื น้า สบู่ เจลแอลกอฮอล์ 3. ปัจจัยเสริม (Reinforcing Factors) หมายถึง สิ่งท่บี ุคคลจะได้รบั หรือคาดว่าจะไดร้ บั จากบคุ คลอน่ื อันเป็นผลจากการกระทาของตนเอง สิง่ ท่บี ุคคลจะได้รบั อาจเป็นรางวัลท่เี ป็นสิ่งของ คาชมเชย การยอมรับ การ ลงโทษ การไมย่ อมรบั การกระทานนั้ ๆ หรอื อาจเป็นกฎระเบยี บทบ่ี งั คบั ควบคมุ ใหบ้ คุ คลนนั้ ๆ ปฏบิ ตั ติ ามก็ได้ ซ่งึ สงิ่ เหล่านี้บคุ คลจะได้รบั จากบุคคลอ่นื ทม่ี อี ิทธพิ ลต่อตนเอง เช่น พอ่ แม่ ญาติ เพ่อื น แพทย์ ผบู้ งั คบั บญั ชา เป็นตน้ และ

๑๑๐ อิทธิพลของบุคคลตา่ ง ๆ นี้ก็จะแตกต่างกนั ไปตามพฤตกิ รรมของบคุ คลและสถานการณ์ โดยอาจจะช่วยสนับสนุน หรอื ยบั ยงั้ การแสดงพฤตกิ รรมนนั้ ๆกไ็ ด้ การพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพจะเกดิ ข้นึ โดยการพฒั นาปัจจยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ทงั้ ปัจจยั ในตวั บคุ คล และปัจจยั ภายนอก โดยมีการวเิ คราะห์ปัญหาสุขภาพ วเิ คราะห์พฤตกิ รรมสุขภาพ และวิเคราะห์ปัจจยั สาเหตุของพฤตกิ รรม เพอ่ื นาไปสูก่ ารตดั สนิ ใจวางแผน/ออกแบบวธิ กี ารปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ ลกั ษณะของการปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพ 1. มุ่งท่พี ฤตกิ รรมสุขภาพโดยตรง โดยท่พี ฤติกรรมนัน้ ต้องสังเกตเหน็ ได้ และวัดได้ตรงกันด้วย เคร่อื งมอื ท่เี ป็นวตั ถุวสิ ยั ไมว่ ่าการตอบสนองนนั้ เป็นภายในหรอื ภายนอกก็ตาม 2. ไม่ใชค้ าท่เี ป็นการตีตรา ซึง่ นอกจากจะมคี วามหมายกว้าง ไม่มคี วามชดั เจน ยากตอ่ การสงั เกตให้ ตรงกนั และยากต่อการจดั โปรแกรมการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพใหบ้ รรลุเป้าหมายได้แล้ว การตตี ราอาจทาให้ ผู้รบั บรกิ ารและบุคคลท่เี ก่ยี วขอ้ งเกดิ ความอบั อายแล้วจะส่งผลให้เลือกหรือไม่เลือกท่จี ะแสดงพฤตกิ รรมสุ ขภาพ ตามทถ่ี กู ตตี ราได้ 3. พฤตกิ รรมสุขภาพไมว่ า่ จะเป็นพฤตกิ รรมทป่ี กตหิ รอื ไม่ปกติ ก็ตาม ย่อมเกดิ จากการเรยี นรู้ในอดีต ทงั้ ส้นิ ดงั นนั้ พฤตกิ รรมเหล่านี้สามารถเปล่ยี นแปลงได้โดยกระบวนการเรยี นรู้ 4. การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพจะเนน้ สภาพ และเวลาในปัจจุบันเท่านัน้ เม่อื วิเค ราะหไ์ ดว้ ่าสง่ิ เร้าและผลกรรมใดท่ที าให้พฤตกิ รรมนัน้ เกดิ บ่อยหรอื ลดลงในสภาพปัจจุบัน ก็สามารถปรบั ส่ิงเร้าและผลกรรมให้ เหมาะสมยง่ิ ขน้ึ เพ่อื ทาใหพ้ ฤตกิ รรมดงั กลา่ วเปลย่ี นแปลงไปตามเป้าหมายท่ตี ้องการ 5. การปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพนัน้ จะเน้นวธิ กี ารทางบวกมากกว่าวธิ ีการลงโทษ เน่ืองจาก เป้าหมายของการปรบั พฤติกรรมเน้นการเพิ่มพฤตกิ รรมท่พี งึ ประสงค์ จงึ จาเป็นต้องใช้วธิ กี ารทางบวก เพราะเป็น วธิ กี ารทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ทงั้ ยงั ไดก้ ่อใหเ้ กดิ ปัญหาทางอารมณน์ ้อยกวา่ วธิ กี ารลงโทษ 6. วธิ กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพนนั้ สามารถใช้ไดอ้ ย่างเหมาะสมตามลกั ษณะของปัญหาแต่ละ บคุ คล เพราะคนแต่ละคนมคี วามแตกต่างกัน ดงั นนั้ ในการดาเนินการปรบั พฤตกิ รรมจงึ ต้องคานงึ ถงึ ความแตกต่าง ระหวา่ งบคุ คลดว้ ย 7. วธิ กี ารปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพควรเป็นวธิ กี ารทไ่ี ด้รบั การพสิ จู น์มาแล้ววา่ มปี ระสทิ ธภิ าพและ ได้ผลโดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ พฤติกรรมที่ประชาชนควรปฏิบตั ิเป็นประจา...สขุ บญั ญตั ิ 10 ประการ ปัญหาด้านสุขภาพ ของวยั ทางาน สว่ นใหญเ่ กดิ จากการละเลยต่อการดแู ลสขุ ภาพและมพี ฤตกิ รรม สุขภาพท่ไี มเ่ หมาะสม สาเหตหุ นึ่งเป็นผลตอ่ เน่อื งจากขาดความรอบรู้ด้านสขุ ภาพ ไม่สามารถปฏบิ ตั พิ ฤตกิ รรมท่ี สาคญั และจาเป็นตอ่ การมสี ุขภาพดี ทาให้เป็นโรคตดิ ตอ่ และโรคไม่ตดิ ตอ่ ทส่ี ามารถป้องกนั ได้ อาทเิ ช่น การกนิ อาหาร ทไ่ี มถ่ ูกตอ้ ง มกี ารออกกาลงั กายน้อย สง่ ผลให้มภี าวะอ้วน มรี ะดบั ความดนั โลหิตสงู เป็นโรคเบาหวาน การกนิ อาหารท่มี สี ารปนเป้ือน การสบู บุหรก่ี อ่ ให้เกดิ โรคมะเรง็ การอยู่ในสงั คมท่ตี อ้ งแข่งขนั ทาให้มคี วามเครยี ดสงู เร่อื ง

๑๑๑ อุบตั เิ หตุ รวมไปถึงการทเ่ี ราตอ้ งมคี วามเสย่ี งต่อโรคตดิ ตอ่ ซ่ึงเกดิ จากเช้อื โรคตา่ ง ๆ ท่ปี ะปนอยู่รอบ ๆ ตวั เรา และมี โอกาสท่จี ะรบั เช้อื เขา้ ไปหากขาดความระมดั ระวงั เชน่ อจุ จาระรว่ ง อาหารเป็นพษิ วณั โรค ไขห้ วดั ใหญ่ เป็นตน้ สุขบญั ญตั ิ หมายถงึ ขอ้ กาหนดท่ปี ระชาชนทวั่ ไป พงึ ปฏบิ ตั ิ อยา่ งสม่าเสมอ จนเป็นสุขนิสยั เพ่อื ให้มี สุขภาพดี ทงั้ ร่างกาย และจติ ใจ เป็นแนวทางการปฏบิ ตั ติ นหรอื การดแู ลสุขภาพพ้นื ฐาน เพ่อื สร้างเสรมิ สขุ ภาพและ ลดความเสย่ี งจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ รวมทงั้ อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพทอ่ี าจเกดิ ข้นึ นาไปสู่การมสี ขุ ภาพดซี ึ่งเป็นพน้ื ฐานสาคญั ในการทากจิ กรรมและดาเนนิ ชวี ติ ประจาวนั ประชาชนจงึ ควรมพี ฤตกิ รรมตามแนวทางสขุ บญั ญตั ิ ซ่งึ เป็นพฤตกิ รรม สขุ ภาพท่คี รอบคลมุ ทงั้ เร่อื ง อนามยั สว่ นบคุ คล อาหารและโภชนาการ การออกกาลงั กาย สขุ ภาพจติ อบุ ตั ภิ ยั และ อนามยั สง่ิ แวดล้อม สขุ บญั ญตั ิ 10 ประการ ประกอบดว้ ย 1. ดแู ลรกั ษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด ทาได้โดย - อาบน้าทุกวนั อย่างนอ้ ยวนั ละ 1 ครงั้ และสระผมอยา่ งนอ้ ย สปั ดาห์ละ 2 ครงั้ - ตดั เล็บมอื เล็บเทา้ ให้สนั้ อยู่เสมอ เพ่อื ป้องกนั เชอ้ื โรค - ถา่ ยอุจจาระใหเ้ ป็นเวลาทกุ วนั - ใส่เสอ้ื ผา้ ทส่ี ะอาด ไมอ่ บั ชน้ื และใหค้ วามอบอุน่ อย่างเพยี งพอ - จดั เก็บขา้ วของเครอ่ื งใช้ให้เป็นระเบยี บเรยี บร้อย 2. รกั ษาฟันให้แขง็ แรง และแปรงฟันทุกวนั อย่างถกู วิธี โดยการ - แปรงฟันทุกวนั อยา่ งถูกวธิ ี อยา่ งน้อยวนั ละ 2 ครงั้ คอื เวลาเชา้ และกอ่ นนอน - ถูหรอื บ้วนปาก หลงั ทานอาหาร - เลอื กใชย้ าสฟี ันและฟลอู อไรด์ - หลกี เลย่ี งการทานลูกอม ลกู กวาด ทอ็ ฟฟี่ ขนมหวานเหนียวตา่ ง ๆ เพอ่ื ป้องกนั ฟันผุ - ตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน อย่างน้อยปีละ 2 ครงั้ - ไม่ควรใชฟ้ ันกดั ขบของแขง็ 3. ลา้ งมือให้สะอาดกอ่ นรบั ประทานอาหารและหลงั การขบั ถ่าย - ล้างมอื อย่างถกู วธิ ี ดว้ ยน้าและสบู่ - ล้างมอื ทุกครงั้ ก่อนและหลงั การเตรยี ม ปรงุ และรบั ประทานอาหาร รวมทงั้ หลงั การขบั ถ่าย 4. กินอาหารสกุ สะอาด ปราศจากสารอนั ตราย และหลีกเลยี่ งอาหารรสจดั สีฉดู ฉาด โดยการ - เลอื กซอ้ื อาหารสด สะอาด ปลอดสารพษิ โดยคานงึ หลกั 3 ป คอื ประโยชน์ ปลอดภยั และ ประหยดั - ปรุงอาหารให้ถกู สขุ ลกั ษณะ และใช้เครอ่ื งปรุงรสท่ถี กู ต้อง โดยคานึงหลกั 3 ส คอื สงวนคุณคา่ สุก เสมอ และสะอาดปลอดภยั - รบั ประทานอาหารท่มี กี ารจดั เตรยี ม การประกอบอาหาร และใสใ่ นภาชนะท่สี ะอาด

๑๑๒ ร่างกาย - รบั ประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปรมิ าณทพ่ี อเหมาะ เพ่อื ใหเ้ พยี งพอตอ่ ความต้องการของ ฉูดฉาด - รบั ประทานอาหารใหถ้ กู หลกั โภชนาการทกุ วนั พระ ฯลฯ - รบั ประทานอาหารปรุงสุกใหม่ รวมทงั้ ใช้ช้อนกลางในการรบั ประทานอาหารรว่ มกนั - หลกี เล่ยี งการรบั ประทานอาหารสกุ ๆ ดบิ ๆ หรอื อาหารรสจดั ของหมกั ดอง รวมทงั้ อาหารใสส่ ี - รบั ประทานอาหารให้เป็นเวลา - ด่มื น้าสะอาดทกุ วนั อยา่ งน้อยวนั ละ 8 แก้ว 5. งดสูบบหุ ร่ี สรุ า สารเสพติด การพนัน และการสาสอ่ นทางเพศ - ผูท้ ่จี ะมสี ุขภาพดตี ามสุขบญั ญตั ิ 10 ประการ ตอ้ งงดสูบบุหร่ี งดด่มื เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอล์ งดใช้ สาร เสพตดิ งดเล่นการพนนั นอกจากน้ีตอ้ งสง่ เสรมิ คา่ นิยม รกั นวลสงวนตวั และมคี ู่ครองเมอ่ื ถงึ วยั อนั ควร 6. สร้างความสมั พนั ธ์ในครอบครวั ให้อบอ่นุ ทาได้โดย - ใหท้ กุ คนในครอบครวั ชว่ ยกนั ทางานบ้าน - สมาชกิ ทกุ คนในครอบครวั ควรปรกึ ษาหารอื และแสดงความคดิ เหน็ ร่วมกนั - เผอ่ื แผ่น้าใจใหก้ นั และกนั - จดั กจิ กรรมสนุกสนานร่วมกนั - ชวนกนั ไปทาบญุ 7. ป้องกนั อุบตั ิภยั ด้วยการไม่ประมาท ทาไดโ้ ดย - ระมดั ระวงั ป้องกนั อุบตั ภิ ยั ท่อี าจเกดิ ภายในบ้าน เช่น เตาแกส๊ ไฟฟ้า ของมีคม ธูปเทยี นท่จี ุดบูชา - ระมดั ระวงั ในการป้องกนั อบุ ตั ภิ ยั ในท่สี าธารณะ เชน่ ปฏบิ ตั ติ ามกฏของการจราจรทางบก ทางน้า ป้องกนั อนั ตรายจากโรงฝึกงาน ห้องปฏบิ ตั กิ าร เขตก่อสรา้ ง หลกี เล่ยี งการชมุ นุมหอ้ มลอ้ ม ในขณะ เกดิ อุบตั ภิ ยั 8. ออกกาลงั กายสมา่ เสมอ และตรวจสขุ ภาพประจาปี โดยการ - ออกกาลงั กายอย่างน้อยสปั ดาหล์ ะ 3 ครงั้ - ออกกาลงั กายและเลน่ กฬี าให้เหมาะสมกบั สภาพรา่ งกายและวยั - ตรวจสุขภาพประจาปีกบั แพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครงั้ 9. ทาจิตใจให้ร่าเริงแจม่ ใสอย่เู สมอ โดยการ - พกั ผอ่ นนอนหลบั ใหเ้ พยี งพอ อย่างต่า 8 ชวั่ โมง - จดั สง่ิ แวดลอ้ มภายในบา้ น และทท่ี างานใหน้ ่าอยู่ - หาทางผ่อนคลายความเครยี ด เม่อื มีปัญหา หรอื เรอ่ื งไม่สบายใจรบกวน อาจหางานอดเิ รกทา ใช้ เวลาวา่ งไปกบั การอา่ นหนังสอื ฟังเพลง ดภู าพยนตร์ - มองโลกในแงด่ ี คดิ บวก รจู้ กั การให้อภยั

๑๑๓ 10. มสี านึกต่อส่วนรวมรว่ มสรา้ งสรรคส์ งั คม เชน่ - กาจดั ขยะภายในบ้าน และทง้ิ ขยะในทร่ี องรบั - หลกี เล่ยี งการใช้วสั ดุอุปกรณท์ ก่ี ่อใหเ้ กดิ มลภาวะตอ่ สงิ่ แวดลอ้ ม เช่น โฟม พลาสตกิ สเปรย์ เป็น ต้น - มแี ละใชส้ ้วมท่ถี ูกสขุ ลกั ษณะ - กาจดั น้าทง้ิ ในครวั เรอื นและโรงเรยี นดว้ ยวธิ ที ่ถี กู ต้อง - ใช้ทรพั ยากรอยา่ งประหยดั - อนุรกั ษแ์ ละพฒั นาสงิ่ แวดล้อม เชน่ ชมุ ชน ป่า น้า และสตั ว์ป่า เป็นตน้ การปฏบิ ตั ไิ ดต้ าม สุขบญั ญตั ิ 10 ประการ เป็นการสร้างเสรมิ สุขภาพและลดความเสย่ี งจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ รวมทงั้ อนั ตรายตอ่ สุขภาพท่อี าจเกดิ ขน้ึ นาไปสกู่ ารมสี ขุ ภาพดี ปราศจากโรคภยั มาเบยี ดเบยี น ซง่ึ เป็น พน้ื ฐานสาคญั ในการทากจิ กรรมและดาเนินชวี ติ ประจาวนั ๓.๓ การปรบั เปล่ียนพฤติกรรมสุขภาพและการเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพและการจัด กิจกรรมเรียนรู้ เพอื่ พฒั นาสุขภาวะคนวยั ทางานในสถานประกอบการ ในการดาเนนิ งานให้ประชาชนมคี วามรอบรู้ดา้ นสุขภาพและพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่ถี ูกต้อง นนั้ ต้องมี การดาเนินงานทงั้ การจดั กิจกรรมให้เกิดการเรยี นรู้ ควบคู่กับการจัดปัจจัยแวดล้อมในองค์กรให้เอ้อื ต่อการ เรยี นร้ดู า้ นสุขภาพและการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสขุ ภาพ โดยมกี ารดาเนินงาน 7 ขัน้ ตอน ดงั น้ี 1. สร้างและพัฒนาทมี แกนนาในองคก์ ร : การจัดตงั้ ทีมแกนนาสขุ ภาพในองค์กรเพ่อื ขับเคล่อื นการ ดาเนนิ งาน ควรมผี ู้แทนจากทกุ หน่วยงานในองคก์ ร รว่ มดาเนินการ 2. ศกึ ษาขอ้ มูลพ้นื ฐานและพฤตกิ รรมสุขภาพ : มกี ารรวบรวมขอ้ มูลสุขภาพ ขอ้ มูลความรอบรูด้ ้านสุขภาพ และพฤตกิ รรมสุขภาพ รวมถงึ ข้อมูล ปัจจยั ท่เี ออ้ื ตอ่ การเสรมิ สร้างความรอบรู้ด้านสขุ ภาพและปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เชน่ การมสี ถานทอ่ี อกกาลงั กาย มกี ลุม่ /ชมรม แหล่งเรยี นรู้ด้านสุขภาพ หรอื สอ่ื /ช่องทางการสอ่ื สารสุขภาพ เป็นตน้ : นาขอ้ มูลท่รี วบรวมไว้ มาวเิ คราะห์สะท้อนให้เหน็ ปัญหาสุขภาพของคนในองคก์ รและวเิ คราะห์ว่า ปัญหาสขุ ภาพนนั้ ๆ มสี าเหตมุ าจากพฤตกิ รรมสุขภาพอะไร เช่น ปัญหาโรคเบาหวาน มสี าเหตจุ ากพฤตกิ รรมการ บรโิ ภคอาหารหวาน ขาด/ออกกาลงั กายน้อย และมีความเครียด เป็นต้น และวเิ คราะห์ต่อถึงปัจจัยแวดล้อมท่เี ป็น สาเหตุของพฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น ความรู้ ความเช่อื ทไ่ี ม่ถูกตอ้ ง ไมม่ ที กั ษะในการปฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งนนั้ ๆ หรอื ปัจจยั อ่นื ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง เชน่ เลกิ งานกลบั ถึงบา้ นค่าทาใหไ้ ม่ไดอ้ อกกาลงั กาย เป็นต้น 3. จดั ทาแผนสร้างเสรมิ ความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพและพฒั นาพฤตกิ รรมสขุ ภาพในองคก์ ร : ทีมแกนนา สุขภาพนาขอ้ มูลท่วี เิ คราะห์ มาวางแผนในการเสรมิ สร้างความรอบรดู้ ้านสขุ ภาพและปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ

๑๑๔ โดยจะต้อง กาหนดพฤตกิ รรมสุขภาพเป้าหมายท่พี ึงประสงค์ กาหนดกลุ่มเป้าหมาย และกลวิธหี รอื กิจกรรมท่ี สามารถแก้สาเหตุของพฤตกิ รรมสขุ ภาพท่สี อดคล้องกบั ปัญหาขององคก์ ร 4. จัดกจิ กรรมการเรียนรู้ สร้างเสรมิ ความรอบรู้และปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ : การจัดกจิ กรรม การเรยี นร้มู หี ลากหลายวธิ กี าร และการเสรมิ สร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤตกิ รรมสุขภาพท่ถี กู ต้อง นนั้ ต้องมี การดาเนนิ งานทงั้ การจดั กจิ กรรมใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ควบคกู่ บั การจดั ปัจจยั แวดล้อมในองค์กรให้เอ้อื ต่อการเรยี นร้ดู ้าน สุขภาพและการปรบั เปล่ยี นพฤตกิ รรมสุขภาพ อาทเิ ชน่ 4.1 ประชาสมั พนั ธส์ รา้ งกระแสและการรบั รู้ของคนในองค์กร เพอ่ื ใหเ้ กดิ การมสี ่วนร่วมในการดูแล สขุ ภาพ 4.2 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในรูปแบบท่ีหลากหลาย โดยเน้นกิจกรรมแบบการมีส่วนร่วม ให้ กลุ่มเป้าหมายไดแ้ สดงออกด้วยการใช้ความคดิ พูดคุยและแลกเปล่ยี นประสบการณ์ท่กี ่อใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ อาจเป็นกลุ่ม ชมรมต่าง ๆ หรอื เป็นการเรยี นรูจ้ ากประสบการณ์ของบุคคลตน้ แบบ อาจใชว้ ธิ กี ารสาธติ การอภปิ รายกลุ่มย่อย/ระดมสมอง การจดั การเรยี นรู้โดยใชเ้ กม เป็นตน้ 4.3 จดั ปัจจยั แวดลอ้ มให้เอ้อื ตอ่ การเพมิ่ ความรอบรดู้ า้ นสุขภาพและปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพ เช่น จดั หาส่อื /ช่องทางการส่อื สารสุขภาพในองค์กรท่ที นั สมยั เข้าถึงง่าย ตลอดเวลา จดั ให้มี แหลง่ /สถานท่เี รยี นรู้ มสี ถานท่อี อกกาลงั กาย ร้านอาหารในองค์กรมเี มนูอาหารสุขภาพสาหรับ พนักงาน เป็นต้น 4.4 รว่ มกาหนดมาตรการทางสงั คมหรอื ขอ้ ตกลงร่วมเพ่อื ถอื ปฏบิ ตั ริ ว่ มกนั ในองค์กร 5. เฝ้าระวังพฤตกิ รรมสุขภาพ : การเฝ้าระวังพฤตกิ รรมสุขภาพเป็นการค้นหาและรวบรวมข้อมูล พฤตกิ รรมเสย่ี งทางด้านสุขภาพของคนในองค์กร เพ่อื ให้ทราบวา่ คนกลมุ่ ไหนมพี ฤตกิ รรมเสย่ี งอะไรทม่ี ผี ลต่อสุขภาพ หรอื ทาให้เกิดโรค เพ่อื หาหนทางในการให้คาแนะนา หรือแก้ไขไดอ้ ย่างถกู ต้อง เหมาะสมและสามารถควบคุมและ ป้องกนั โรคไดท้ นั ลดความรนุ แรงของโรคได้ ทงั้ นีส้ ามารถนาขอ้ มลู ทไ่ี ดไ้ ปปรบั กจิ กรรมการเรยี นรู้ให้สามารถส่งผล ต่อการปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมสุขภาพให้ถกู ตอ้ ง 6. การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้เครอื ขา่ ยสขุ ภาพ 7. การประเมินผลสาเรจ็ และการถอดบทเรยี น เป็นการวัดผลลพั ธ์ ผลสาเร็จของการปรบั เปล่ียน พฤตกิ รรมสุขภาพ โดยสามารถประเมินจาก การมพี ฤติกรรมสุขภาพตามท่ตี งั้ เป้าหมายไว้ เช่น ไม่ด่มื น้าอดั ลม รบั ประทานผกั ทุกมอ้ื อาหาร ออกกาลงั กายทุกวนั การมสี ขุ ภาพทด่ี ขี ้นึ เช่น น้าหนกั ตวั ลดลง ค่าน้าตาลในเลอื ด/ค่า ความดนั โลหติ อยใู่ นเกณฑป์ กติ เป็นต้น ๔. การสง่ เสริมสขุ ภาพจิตและการป้องกนั สุขภาพจิตในสถานประกอบการ การสง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ และป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ คนวยั ทางานในสถานประกอบการ ใน 4 ประเดน็ สาคญั ได้แก่ การเสรมิ สรา้ งความสขุ ในการทางาน การเสรมิ สร้างความเขม้ แขง็ ทางใจ การจดั การ ความเครยี ด ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ยี วกบั โรคซมึ เศร้า ผา่ น 3 กจิ กรรมหลกั ไดแ้ ก่ กจิ กรรมนันทนาการ กจิ กรรม สง่ เสรมิ สขุ ภาพจติ และป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ กจิ กรรมการเหน็ คณุ ค่าของผปู้ ฏบิ ตั ิงานและครอบครวั

๑๑๕ 1. แนวคิดการสง่ เสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต 1.1 ความหมายและความสาคญั องคก์ ารอนามยั โลก (WHO) ไดใ้ หค้ วามหมายของการส่งเสรมิ สุขภาพจติ และการป้องกนั ปัญหา สุขภาพจติ ไว้ว่า (กรมสขุ ภาพจติ , 2559) การสง่ เสริมสขุ ภาพจิต คอื การสง่ เสรมิ ให้ประชาชนทุกเพศวยั ได้รบั การดูแลทางสงั คมจติ ใจให้มี คุณภาพชวี ติ ทด่ี ี โดยมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทกั ษะในการดูแลตนเอง และอยู่ในสงิ่ แวดล้อม ครอบครวั สงั คม ชุมชนทเ่ี ออ้ื อานวยต่อการมสี ขุ ภาพจติ ท่ดี ี ดงั นนั้ การสง่ เสรมิ สุขภาพจติ จงึ เกดิ จากการทส่ี งั คม ชุมชน ดูแล คณุ ภาพชวี ติ ของประชาชน การจดั บรกิ ารสขุ ภาพแบบองคร์ วมทงั้ รา่ งกายจติ ใจ และการท่ปี ระชาชนมี ศกั ยภาพในการดแู ลจติ ใจตนเอง การป้องกนั ปญั หาสุขภาพจิต คอื การป้องกนั ไมใ่ ห้เกดิ ปัญหาสุขภาพจติ และโรคทางจติ เวชในกลมุ่ เสยี่ ง โดยการเฝ้าระวงั คน้ หาและคดั กรองกลุ่มเสย่ี ง รวมถงึ การจดั กจิ กรรมเพอ่ื การป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ได้ อยา่ ง เหมาะสม ซง่ึ นาไปสู่การลดปัจจยั เสีย่ ง เช่น ความเครยี ดระยะยาว ความกา้ วร้าวรนุ แรง และเพมิ่ ปัจจยั ปกป้อง เช่น การใหก้ าลงั ใจ การชว่ ยเหลอื ด้านการอาชพี แก่ประชาชนทุกเพศวยั การป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ ดาเนนิ การในกลมุ่ ประชาชนทุกเพศวยั ในกลุ่มปกติ เช่น การจดั โปรแกรมการออกกาลงั กายในท่ที างานเพ่อื ลด ความเครยี ด การจดั ค่ายป้องกนั ยาเสพตดิ สาหรบั วัยรนุ่ และกลุม่ เสยี่ ง เช่น การคดั กรองและดแู ลทางสงั คม จติ ใจในผปู้ ่วยโรคเรอ้ื รงั การดูแลทางสงั คมจติ ใจผู้ดูแลผูส้ ูงอายตุ ดิ เตยี ง เป็นต้น ทงั้ น้ี การบรกิ ารสง่ เสรมิ สุขภาพจติ และการป้องกนั ปัญหาสุขภาพจติ มกั จะดาเนินการร่วมกนั ใน ประชาชนกล่มุ ต่าง ๆ จนเป็นเนอื้ เดยี วกนั 1.2 กลุ่มเส่ยี งต่อปัญหาสุขภาพจิต การเฝ้าระวงั ปญั หาสุขภาพจิตในกลุม่ เสี่ยงของคนวยั ทางาน คนวยั ทางานทม่ี คี วามเสย่ี งต่อปัญหาสขุ ภาพจติ เช่น เป็นพนกั งานเขา้ ใหม่ ผู้มปี ัญหาหนสี้ นิ มโี รค ประจาตวั ผ้มู ปี ัญหาครอบครวั เป็นตน้ ควรใช้การสงั เกตพฤตกิ รรมร่วมกบั การใช้แบบประเมนิ แบบคดั กรอง ตา่ ง ๆ เพ่อื เฝ้าระวงั ปัญหาสุขภาพจติ ท่จี ะเกดิ ขนึ้ อนั เน่อื งมาจากปัญหาการปรบั ตวั ปัญหาสขุ ภาพ ปัญหา ดา้ นความสัมพนั ธ์กบั ผู้อ่นื ซ่งึ จะส่งผลให้เกดิ ความเครยี ดสะสมเร้อื รงั โดยอาจใช้การพดู คยุ ซกั ถาม วางแผน และให้ความช่วยเหลอื รายบุคคล เพ่อื แกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งตรงจุด ทส่ี าคญั ต้องคานึงถงึ การรกั ษาความลบั ส่วน บคุ คลของพนกั งานเป็นสาคญั

๑๑๖ 2. การเสริมสร้างวคั ซีนใจในสถานประกอบการ 2.1 มาตการ “4 สรา้ ง” ในสถานประกอบการ เป็นมาตรการหรอื กจิ กรรมท่สี ่งเสริมให้ผู้ปฏบิ ัติงานในสถานประกอบการ/องค์กร ทางานร่วมแรง ร่วมใจกันในการแก้ไขปัญหาหรือวิกฤตต่างๆท่ีเกิดขึ้นจนสามารถผ่านพ้นไปได้ และยังทาให้สถาน ประกอบการ/องคก์ ร ฟ้ืนคืนสู่ภาวะปกตไิ ด้ ประกอบไปด้วย หลกั การ “4 สร้าง” ได้แก่ 1. สรา้ งความรู้สกึ ปลอดภยั (Safety) 2. สร้างความตระหนัก ไม่ตระหนก (Calm) 3. สรา้ งความหวงั (Hope) 4. สรา้ งความ เข้าใจ ใส่ใจและให้โอกาส (Care) และนาหลกั “2 ใช้” มาเป็นฐานสาคญั ในการเสริมสร้างใหค้ นในสถาน ประกอบการ/องค์กรมีภูมิคุ้มกันทางใจท่ีเข้มแข็ง ซึ่งประกอบด้วย 1.ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในสถาน ประกอบการ/องค์กร (Efficacy) ร่วมกับการ 2.ใช้สายสมั พนั ธ์ท่ีดีระหว่างกนั ของสมาชิกในสถาน ประกอบการ/องค์กร (Networks And Relationships) นาไปสู่การลดปั ญหาสุขภาพจิตและการ แพร่กระจายของโรคโควดิ -19 ได้ 1. สรา้ งความรสู้ กึ ปลอดภยั (Safety) 1.1 สร้างความมนั ่ ใจในการป้องกนั และควบคุมโรค COVID-19 แบบ New Normal 1.1.1 มมี าตรการในการป้องกนั โรค COVID-19 - สวมหนา้ กากอนามยั ตลอดเวลา - เครง่ ครดั การเวน้ ระยะหา่ ง - ล้างมอื บอ่ ยๆ เม่อื สมั ผสั จดุ สมั ผสั ร่วม เช่น ลกู บดิ ประตู ราวบนั ได

๑๑๗ - งดรบั ประทานอาหารร่วมกนั หา้ มพดู คยุ ขณะกนิ ขา้ ว - แยกของใช้สว่ นตวั เชน่ แก้วน้า จาน ชาม ช้อน - เมอ่ื มอี าการเจบ็ ป่ วย เชน่ ไอ มไี ข้ มนี ้ามูก หยุดงานทนั ทีและรบี พบแพทย์เพ่อื ตรวจวนิ ิจฉัย (ท่มี า: พนกั งานโรงงานปฏบิ ตั ติ นอย่างไรห่างไกลโควดิ , กรมควบคุมโรค, 2564) 1.1.2 มกี ารตงั้ จุดคดั กรองความเสย่ี ง ตรวจวดั อณุ หภมู แิ ละให้เขา้ ออกทางเดยี ว 1.1.3 มกี ารตดิ ตงั้ ฉากกนั้ จดั พน้ื ทใ่ี หม้ รี ะยะหา่ งท่เี หมาะสมในจดุ ทใ่ี ห้บรกิ ารลกู คา้ 1.1.4 มกี ารวางเจลแอลกอฮอลแ์ ละทาความสะอาดในจดุ ท่มี กี ารสมั ผสั รว่ ม เช่น ลูกบดิ ประตู ราวบนั ได สวติ ซไ์ ฟ อปุ กรณส์ านักงาน 1.1.5 มขี อ้ มลู สุขภาพ ประวตั กิ ารเจบ็ ป่ วยของผู้ปฏบิ ตั งิ าน เพอ่ื ตดิ ตามและเฝ้าระวงั ความ เสยี่ งของการเกดิ โรคและให้การช่วยเหลอื กรณีท่เี จบ็ ป่วย 1.1.6 มขี อ้ ตกลงหรอื บทลงโทษร่วมกนั ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามมาตรการการป้องกนั โรค COVID- 19 1.1.7 มกี ารจดั ทมี เฉพาะกจิ เพอ่ื ทาแผนฉุกเฉินและเตรยี มรบั มอื กรณพี บผปู้ ฏบิ ตั งิ านติดเชอ้ื COVID-19 1.1.8 มกี ารสอ่ื สารจากผู้บรหิ ารเพอ่ื สร้างความมนั ่ ใจให้แก่ผปู้ ฏบิ ตั งิ านด้วยขอ้ มลู ทถ่ี ูกต้อง และทนั ตอ่ เหตุการณ์ 1.2 ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้ปฏิบตั งิ านไดร้ บั การฉดี วคั ซนี โควดิ -19 ในการควบคุมและป้องกนั โรค ลดความกลวั และสร้างแรงจงู ใจ 1.2.1 สร้างต้นแบบในการฉดี วคั ซนี โควดิ -19 เช่น ผู้นาองค์กร หวั หน้างาน ฯลฯ 1.2.2 สร้างแรงจงู ใจให้ผู้ปฏบิ ตั งิ านทไ่ี ม่กลา้ ฉีดวคั ซนี โควดิ -19 ด้วยวธิ ี “3 เป็น” ด้วยการ สนทนาแสดงความชน่ื ชมในเรอ่ื งสาคญั สง่ิ ดแี ละความพยายาม จากนนั้ ใช้คาถามสร้างแรงจูงใจเชน่ การถาม ถงึ สง่ิ ท่ผี ่านมา และการใหข้ อ้ มูลจาเป็นอย่างสนั้ ๆและมีลกั ษณะใหท้ างเลอื ก ชมเป็น; เชน่ คณุ เป็นเสาหลกั ของครอบครวั เลยนะหากขาดคุณสกั คน ทกุ คนคงลาบาก ถามเป็น; การไม่ฉดี วคั ซนี มผี ลต่อคณุ ไหม แนะเป็น; เพอ่ื ให้คุณได้ดูแลครอบครวั คณุ อย่างตงั้ ใจ หรอื ถา้ ฉีดวคั ซนี คณุ คดิ วา่ อยา่ งไร ถ้าเขากลวั ผลขา้ งเคยี งท่เี กดิ จากการฉีดวคั ซนี โควดิ -19 ให้ชมวา่ “เขาเป็นคนท่ใี สใ่ จตวั เองและรกั ครอบครวั 1.2.3 อานวยความสะดวกใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านไดร้ บั การฉดี วคั ซนี โควดิ -19 - จดั ให้มกี ารฉีดวคั ซนี วดิ -19 ในสถานประกอบการ/องค์กร - ผูป้ ฏบิ ตั งิ านสามารถไปฉดี วคั ซนี โควดิ -19 ได้โดยไม่ถอื เป็นวนั ลา - อานวยความสะดวกในการลงทะเบยี นจองควิ และจดั รถรบั -สง่ ใหผ้ ู้ปฏบิ ตั งิ านไปเขา้ รบั การ ฉดี วคั ซนี โควดิ -19 1.3 ส่งเสรมิ ให้ผูป้ ฏบิ ตั งิ านในสถานประกอบการ/องค์กร ดูแลตนเองและผู้รว่ มงาน

๑๑๘ 1.3.1 มกี ารรณรงค์และส่อื สารใหค้ วามรู้เกย่ี วกบั การป้องกนั โรค COVID-19 และสถานการณ์ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งแกผ่ ูป้ ฏิบตั งิ าน - จดั บอร์ดนทิ รรศการ - เปิดเสยี งตามสาย - สง่ ในกลมุ่ LINE ของผู้ปฏบิ ัตงิ าน - ช่องทางการสอ่ื สารอ่นื ๆของสถานประกอบการ/องคก์ ร 2. สรา้ งความตระหนัก ไมต่ ระหนก (Calm) 2.1 ให้ขอ้ มูลเก่ยี วกบั โรค COVID-19 ทถ่ี ูกตอ้ งชดั เจน เชอ่ื ถอื ได้ ทนั ต่อสถานการณ์ เพอ่ื ลดความวติ ก กงั วล และตน่ื ตระหนกจากขา่ วต่างๆ 2.1.1 มกี ารใหข้ อ้ มูลเก่ยี วกับโรค COVID-19 อยา่ งสม่าเสมอ เช่น ทุกเชา้ วนั จนั ทร์ พกั กลางวนั 2.1.2 มชี ่องทางเพ่อื ตอบขอ้ สงสยั ของผปู้ ฏิบตั งิ านอยา่ งรวดเรว็ เชน่ กลุม่ ไลน์ กลุ่มเฟซบุ๊ก ฯลฯ 2.1.3 กรณพี บผู้ตดิ เช้อื ทมี เฉพาะกจิ ต้องแจ้งใหผ้ ู้ปฏบิ ตั งิ านทุกคนทราบทนั ที ไม่ปกปิดขอ้ มูล และ ช้แี จงถงึ สง่ิ ทส่ี ถานประกอบการดาเนินการและสงิ่ ทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั งิ านตอ้ งปฏิบตั ิ 2.2 ใหค้ วามรู้เก่ยี วกบั การดแู ลจติ ใจตนเอง 2.2.1 มกี ารแนะนาใหผ้ ู้ปฏบิ ัตงิ านรบั ขอ้ มูลขา่ วสารอยา่ งเหมาะสม - ลดเวลาการดูและฟังขา่ ว ไม่หมกมนุ่ เกนิ ไป ตดิ ตามข่าวตามปกตวิ นั ละ 1-2 ครงั้ ประมาณ 2-3 ชวั ่ โมง ถา้ รสู้ กึ เครยี ดให้หยดุ ตดิ ตามข่าวทนั ที - ตรวจสอบว่าเป็นขา่ วปลอม (Fake News) หรอื ไม่ และควรดูขอ้ มลู จากแหลง่ ท่เี ชอ่ื ถอื ได้ - ทากจิ วตั รประจาวนั ตามปกติ และทางานอดเิ รกอน่ื ๆ เพ่อื ไม่ใหห้ มกมนุ่ กบั การดูข่าวมาก เกนิ ไป 2.2.2 มกี ารแนะนาวธิ คี ลายความเครยี ด - วธิ คี ลายความเครยี ดทวั ่ ไป เชน่ ออกกาลงั กาย เชน่ วง่ิ เต้นแอโรบกิ รามวยจนี โยคะ เลน่ กฬี า ฟังเพลง ร้องเพลง หรอื เลน่ ดนตรี ปลูกตน้ ไม้ ทาสวนเล่นกบั สตั ว์เล้ยี ง จดั ห้องตกแตง่ บ้านหรอื อะไรกไ็ ด้ ทท่ี าแล้วรูส้ กึ ดขี น้ึ - เทคนิคเฉพาะในการคลายเครยี ด เช่น การฝึกหายใจคลายเครยี ด การฝึกสมาธิ การนวด คลายเครยี ด การฝึกผ่อนคลายกลา้ มเนอ้ื 2.2.3 ทมี เฉพาะกจิ ควรให้ผู้ปฏบิ ัตงิ านไดร้ บั การประเมนิ สขุ ภาพใจผา่ นเวบ็ ไซต์ Mental Health Check-in หรอื แบบประเมนิ ของกรมสขุ ภาพจติ - แบบคดั กรองความเครยี ด (ST-5)

๑๑๙ - แบบคดั กรองโรคซมึ เศรา้ (2Q) - แบบประเมนิ ภาวะเหน่อื ยลา้ หมดไฟ (Burn out) - แบบประเมนิ พลงั ใจ (RQ) 2.2.3 มกี ารแนะนาบรกิ ารหรอื สถานบรกิ ารดา้ นสขุ ภาพจติ ใหแ้ กผ่ ู้ปฏบิ ัตงิ านในกรณที ผ่ี ู้ปฏบิ ตั งิ านมี ปัญหาสุขภาพจติ เช่น สายดว่ นสุขภาพจติ 1323 โรงพยาบาลคเู่ ครอื ขา่ ยของสถานประกอบการ 3. สร้างความหวงั (Hope) 3.1 สนับสนุนใหม้ กี จิ กรรมเพอ่ื สร้างขวญั กาลงั ใจแก่ผูป้ ฏบิ ตั งิ าน - ผู้บรหิ ารมกี ารพดู คยุ ใหก้ าลงั ใจและสร้างความเช่อื มนั ่ แกผ่ ู้ปฏบิ ตั งิ าน - จดั ใหม้ พี น้ื ท่สี ร้างกาลงั ใจและแลกเปลย่ี นประสบการณ์เพอ่ื ฝ่าวกิ ฤตไปดว้ ยกนั เช่น เร่อื ง เล่าสรา้ งกาลงั ใจ คลปิ วดี โิ อ บอรด์ ให้กาลงั ใจ ฯลฯ - กรณีทส่ี ถานประกอบจาเป็นต้องปิดกจิ การหรอื หยุดกจิ การชวั ่ คราว ผู้บรหิ ารควรสอ่ื สารให้ ผปู้ ฏบิ ตั งิ านทุกคนทราบ และควรมแี ผนการรบั มอื ในการดแู ลจติ ใจผปู้ ฏบิ ตั งิ าน 3.2 จดั สวสั ดกิ าร/ออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลอื ผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน - มแี นวทางในการชว่ ยเหลอื และดูแลความเป็นอยู่ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน เชน่ ตูป้ ันสุข ถงุ ยงั ชพี คูปองอาหารฟรี หน้ากากอนามยั เจลแอลกอฮอล์ - ประสานหน่วยงานท่เี ก่ยี วขอ้ งเพอ่ื ให้ผู้ปฏบิ ตั งิ านได้รบั สวสั ดกิ ารตามกฎหมาย เช่น ประกนั สงั คม กองทุนสงเคราะห์ลกู จ้าง เป็นต้น - หาช่องทางการในการสร้างรายไดเ้ พมิ่ เตมิ ใหแ้ ก่ผู้ปฏบิ ตั งิ านตามศกั ยภาพและทรพั ยากรท่ี สถานประกอบการมอี ยู่ - มกี ารทาประกนั สุขภาพให้แก่ผูป้ ฏบิ ตั งิ านทกุ คน - มชี อ่ งทางใหค้ วามชว่ ยเหลอื ให้แก่ผปู้ ฏิบตั งิ าน เช่น ตู้คลายทกุ ข์ สายด่วนให้ความ ช่วยเหลอื ฯลฯ 3.3 สง่ เสรมิ ให้ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านทากจิ กรรมจติ อาสาภายในสถานประกอบการ/องค์กร เชน่ เป็นจติ อาสาในการคดั กรอง/ตรวจวดั อณุ หภมู ิ สง่ อาหารและสง่ิ จาเป็นให้ผปู้ ฏบิ ตั งิ านท่ถี กู กกั ตวั ฯลฯ 3.4 สง่ เสรมิ ใหส้ ถานประกอบการ/องค์กร นาโปรแกรม/หลกั สูตรตา่ ง ๆ ไปใชใ้ นการดแู ลคุณภาพชวี ติ ของผู้ปฏบิ ัตงิ าน เชน่ - โปรแกรมสร้างสุขวยั ทางานในสถานประกอบการ - หลกั สตู รสรา้ งสุขด้วยสตใิ นองค์กร (Mindfulness in Organization: MIO) - คูม่ อื การสร้างความสุข 8 ประการในทท่ี างาน (HAPPY WORKPLACE) 4. สร้างความเขา้ ใจ ใสใ่ จและให้โอกาส (Care)

๑๒๐ 4.1 เออ้ื อานวยให้ผปู้ ฏบิ ตั งิ านสามารถทางานไดภ้ ายใต้สถานการณ์ทเ่ี ปลย่ี นแปลง - มกี ารปรบั รูปแบบการทางาน เชน่ แบง่ ทมี ทางาน เหลอ่ื มเวลาทางาน หรอื ทางานในท่พี กั อาศยั - จดั หาและสนับสนุนอปุ กรณเ์ คร่อื งมอื ในการทางานในทพ่ี กั อาศยั ใหแ้ ก่ผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน เชน่ คอมพวิ เตอร์ อนิ เทอร์เน็ต ระบบการประชุมออนไลน์ ฯลฯ - เฝ้าระวงั กลุม่ เสยี่ ง เชน่ มคี วามเครยี ดสูง มีภาวะ Burn out เป็นตน้ - ดูแลผูป้ ฏบิ ตั งิ านดว้ ยการสงั เกตพฤตกิ รรมท่เี ปล่ยี นแปลงไปจากปกติ ใส่ใจรบั ฟังเม่อื มา ปรบั ทกุ ข์ เม่อื เกนิ กาลงั ทส่ี ถานประกอบการสามารถชว่ ยเหลอื ได้ใหส้ ่งต่อสถานบรกิ ารคู่เครอื ขา่ ย 4.2 ลดอคตติ ่อผตู้ ดิ เช้อื COVID-19 - ทมี เฉพาะกจิ สอ่ื สารเพ่อื สรา้ งความเขา้ ใจทถ่ี ูกตอ้ งตามความเป็นจรงิ เก่ยี วกบั ผู้ตดิ เช้อื COVID-19 ท่รี กั ษาหายแล้ว เช่น แสดงผลการตรวจรกั ษา - สถานประกอบการและผ้รู ่วมงานให้โอกาสผทู้ ่หี ายป่วยได้กลับมาทางานไดต้ ามปกติ โดยไม่ ตาหนิ หรอื แสดงทา่ ทรี งั เกยี จ 4.3 ส่งเสรมิ ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านชว่ ยเหลอื และดแู ลจติ ใจกนั และกนั ดว้ ยหลกั การปฐมพยาบาลทางใจ 3 ส. ไดแ้ ก่ - สอดสอ่ งมองหา : สงั เกตเพ่อื นรว่ มงานท่มี พี ฤตกิ รรมเปล่ยี นแปลงไปหรอื ต้องการความ ชว่ ยเหลอื เชน่ เครยี ด หงดุ หงดิ กนิ ไมไ่ ด้ นอนไม่หลบั - ใส่ใจรบั ฟัง : ฟังเพ่อื นร่วมงานอย่างตงั้ ใจและไมต่ ดั สนิ เพ่อื ช่วยใหเ้ ขาได้ระบายความรู้สกึ และได้คลายความทกุ ขใ์ จ - ส่งต่อเช่อื มโยง : ถา้ เพ่อื นร่วมงานมปี ัญหาเกนิ กาลงั ทจ่ี ะช่วยเหลอื ใหแ้ จ้งหวั หนา้ งานหรอื ทมี เฉพาะกจิ เพ่อื ให้ความช่วยเหลอื แก่ผู้ปฏบิ ัตงิ านตามความเหมาะสม 2 ใช้ 1. ใช้ศกั ยภาพของสถานประกอบการ/องคก์ ร - ผ้นู าสถานประกอบการ/องค์กรเหน็ ความสาคญั และเป็นผู้นาในการดูแลสขุ ภาพกายและ สขุ ภาพจติ ของผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน - ผนู้ าสถานประกอบการ/องค์กร แกนนา ช่วยกนั ระดมความคดิ และหาวธิ ปี รบั ตวั เพ่อื ประคองกจิ การและสร้างรายไดภ้ ายใตท้ รพั ยากรท่มี อี ยู่ - ผนู้ าสถานประกอบการ/องคก์ รสนับสนุนใหเ้ กดิ การระดมกาลงั คนทม่ี คี วามสามารถและมจี ติ อาสาจากทุกสว่ นช่วยเหลอื ชุมชนและสงั คมตามกาลงั ความสามารถ 2. ใช้สายสมั พนั ธ์ของสถานประกอบการ/องค์กร

๑๒๑ - ผนู้ าสถานประกอบการ/องค์กร แกนนา จติ อาสาและผปู้ ฏบิ ตั งิ านทุกระดบั ใช้ความสมั พนั ธ์ ทม่ี อี ยใู่ นการร่วมกนั ปฏบิ ตั ติ ามมาตรการหรอื แผนท่วี างไวเ้ พ่อื ใหส้ ถานประกอบการ/องค์กรก้าวผา่ นวกิ ฤตน้ี ไปได้ - ผู้นาสถานประกอบการ/องคก์ รใช้เครอื ขา่ ยภายนอกท่มี อี ยู่ ในการสนบั สนุนศกั ยภาพและ ทรพั ยากร เพอ่ื รบั มอื กบั สถานการณ์วกิ ฤต เช่น เคร่อื งมอื วสั ดุอุปกรณ์ องคค์ วามร้ตู ่างๆ ฯลฯ - ผนู้ าสถานประกอบการ/องคก์ รสง่ เสรมิ ความเขม้ แขง็ ภายในสายงาน เชน่ หวั หน้างานควร ทราบความเป็นอยู่ วถิ ชี วี ติ ของผู้ปฏบิ ตั งิ านเพอ่ื ใหก้ ารดูแลช่วยเหลอื อยา่ งเหมาะสม 2.2 การดาเนิ นการ/กิจกรรมภายใตโ้ ครงการบรู ณาการต่างๆ เชน่ โครงการสถานประกอบการ/ วสิ าหกจิ ชุมชนปลอดโรค ปลอดภยั กายใจเป็นสขุ , 10 packages กระทรวงสาธารณสขุ เป็นตน้ 2.2.1 กิจกรรมนันทนาการ เพ่อื ใหเ้ กดิ สมั พนั ธภาพทด่ี ตี ่อกนั และการผ่อนคลาย ความเครยี ด ไดแ้ ก่ การจดั งานประจาปี งานกฬี าสี การจดั กจิ กรรมรวมกลุ่มเพอ่ื ออกกาลงั กาย 2.2.2 กิจกรรมสง่ เสริมสุขภาพจิตและป้องกันปญั หาสขุ ภาพจิต ได้แก่ การ ใหค้ วามรู้ สุขภาพจติ ผ่านเสยี งตามสาย การจดั อบรมให้ความรู้ จดั กจิ กรรมโปรแกรมสรา้ งสุขวยั ทางานในสถาน ประกอบการ ตดิ โปสเตอรร์ ณรงคป์ ระชาสมั พนั ธด์ า้ นสุขภาพจติ มสี ถานทห่ี รอื มมุ พกั ผอ่ นหยอ่ นใจให้พนกั งาน มกี จิ กรรมสง่ เสรมิ คุณธรรม จรยิ ธรรม และศาสนา 2.2.3 กิจกรรมการเห็นคุณคา่ ของผปู้ ฏิบตั ิงานและครอบครวั ได้แก่ การมอบเกียรตบิ ตั ร หรอื รางวลั แกพ่ นักงานท่ปี ฏบิ ตั งิ านดตี ามสมรรถนะการทางาน กจิ กรรมเชดิ ชกู ารทาความดี กจิ กรรมการ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้ การดงู านนอกสถานทท่ี งั้ ครอบครวั 2.3 ประเดน็ การส่งเสริมสขุ ภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต - การเสริมสรา้ งความสุขในการทางาน “ความสุข” และ “สขุ ภาพจิต” ของคนทางาน วยั ทางานถอื เป็นทรพั ยากรบคุ คลท่มี คี วามสาคญั ของประเทศ เพราะคนวยั นี้เป็นผูท้ ่มี พี ลงั ในการ ทางานเพอ่ื สร้างความมนั ่ คงใหแ้ ก่ตนเองและประเทศชาติ คงไม่มใี ครปฏเิ สธวา่ “คน” ไมใ่ ชเ่ ครอ่ื งจกั รหรอื หนุ่ ยนต์ท่ไี มม่ อี ารมณค์ วามรสู้ กึ ดงั นนั้ ยอ่ มมบี างขณะท่อี าจมบี างสงิ่ บางอยา่ งมากระทบใจจนทาใหห้ มดพลงั ชวั ่ คราว ซง่ึ จะส่งผลให้ความสามารถในการทางานลดลงและส่งผลตอ่ ผลผลิตของหน่วยงานหรอื สถาน ประกอบการทว่ี า่ จ้าง แต่ถา้ หน่วยงานหรอื สถานประกอบการใหค้ วามสาคญั ของคนทางานและสง่ เสรมิ ให้ คนทางานมสี ุขภาพทแ่ี ขง็ แรงและมใี จท่เี ป็นสุขในการทางานย่อมจะส่งผลดที งั้ ต่อตวั คนทางานเองและ หน่วยงานหรอื สถานประกอบการ

๑๒๒ องค์การอนามยั โลกไดใ้ หค้ านิยาม “ความสุข” ว่าหมายถงึ การทค่ี นมสี มั พนั ธภาพท่ดี ตี ่อผอู้ น่ื และ สามารถรกั ษาสมั พนั ธภาพนนั้ ให้ยงั ่ ยนื มกี ารปรับตวั เขา้ กบั สภาพสงั คมท่เี ปล่ยี นแปลงได้ และมคี วาม ภาคภูมใิ จในชวี ติ แนวทางทห่ี น่วยงานหรอื สถานประกอบการจะช่วยสง่ เสรมิ ให้ คนทางาน “กายใจเป็นสขุ ” ตามคา นิยามขององคก์ ารอนามยั โลก คอื 1. สง่ เสรมิ และสนบั สนุนใหค้ นทางานมสี ขุ ภาพกายทแ่ี ขง็ แรง โดยจดั สรรเวลาใหค้ นทางานไดอ้ อก กาลงั กายและมสี ถานท่ใี ห้ตามความเหมาะสม เชน่ มสี ถานท่อี อกกาลงั กาย มสี นามฟตุ บอล สนามเปตอง พร้อมมอี ปุ กรณ์สนับสนุน เป็นตน้ 2. สง่ เสรมิ ให้คนทางานมสี มั พนั ธภาพทด่ี รี ะหวา่ งกนั โดยเปิดโอกาสให้คนทางานไดท้ ากจิ กรรม รว่ มกนั เพ่อื สรา้ งความสนทิ สนมและแสดงความมนี ้าใจต่อกนั เช่น เขียนการ์ดอวยพรวนั เกดิ จดั กจิ กรรม สงั สรรค์ประจาปี จดั ทมี ไปเย่ยี มเพอ่ื นท่เี จบ็ ป่วย แขง่ กฬี าสรี ะหวา่ งแผนก เป็นตน้ 3. ส่งเสรมิ และสร้างบรรยากาศทผ่ี อ่ นคลายในการทางาน เชน่ เปิดเพลงเบาๆให้คนทางานฟังขณะ ทางาน มกี ารหมนุ เวยี นหน้าทใ่ี นแผนกทก่ี อ่ ให้เกดิ ความเครยี ดได้ เช่น แผนกท่มี เี สียงดงั ตลอดเวลา หรอื เปล่ยี นหน้าท่ที เ่ี หมาะสมให้กบั พนักงานทต่ี งั้ ครรภ์ เป็นต้น 4. ส่งเสรมิ ใหค้ นทางานเกดิ ความภาคภูมใิ จในตนเอง โดยใหร้ างวลั แกค่ นทางานดหี รอื ขยนั ทางานให้ เป็นผสู้ อนงานแกผ่ ู้มาเย่ยี มชมหน่วยงาน สนบั สนุนให้ร่วมกนั ทากจิ กรรมบาเพญ็ ประโยชนแ์ ก่ชมุ ชนหรอื สงั คม 5. สารวจความสุขของคนทางาน โดยใช้แบบประเมินความสุขของกรมสุขภาพจติ อย่างน้อยปีละ 1 ครงั้ เพ่อื หน่วยงานหรือสถานประกอบการใช้เป็นข้อมูลในการส่งเสรมิ ความสุขของคนทางานต่อไป และ ขณะเดยี วกนั ควรจดั ให้มีบุคคลท่สี ามารถทาหน้าท่ีให้การปรึกษาให้แก่พนักงานท่ีมีความสุขน้อยหรือมี ความเครยี ด และสง่ิ สาคญั คอื ควรใหค้ วามสาคญั ในการเก็บความลบั เร่อื งทค่ี นทางานมาขอรบั การปรกึ ษา แนวทางการจดั กจิ กรรมเพ่อื สง่ เสรมิ สุขภาพจติ คนทางานด้วย โปรแกรมสร้างสุขวยั ทางานในสถานประกอบการ หรอื สามารถ Download ไดท้ ่ี www.sorporsor.com หรอื link; shorturl.asia/nktI9 - การเสริมสร้างความเขม้ แขง็ ทางใจ (Resilience) เสริมสร้างความเขม้ แขง็ ทางใจ “อดึ ฮึด ส้”ู คนเราทุกคนยอ่ มมโี อกาสพบกบั เหตุการณร์ นุ แรงท่มี ากระทบทงั้ ร่างกาย จติ ใจ ทาให้เกดิ ความทุกข์ ใจ ไม่สบายใจ ซง่ึ เหตุการณเ์ หลา่ นนั้ อาจเกดิ ขน้ึ ชวั ่ คราว แต่ผลกระทบจติ ใจจะคงอยูน่ านหรอื หายไปอย่าง รวดเรว็ ขน้ึ อยกู่ บั ความเข้มแขง็ ทางใจของแตล่ ะคน

๑๒๓ ความเขม้ แข็งทางใจ คอื ความสามารถท่จี ะปรบั ตวั ปรบั ใจกับเหตุการณว์ ิกฤตขิ องชวี ิตและฟ้ืนคนื กลบั สภู่ าวะปกตภิ ายหลงั ทพ่ี บกบั เหตกุ ารณ์วกิ ฤตหิ รอื สถานการณ์ทท่ี าใหเ้ กดิ ความยากลาบากในชีวติ ได้ ซง่ึ เป็นความสามารถของคนท่ีมีอยู่แล้วในตัวเอง และนามาใช้เม่อื ต้องเอาชนะปัญหา อุปสรรค หรอื ความ ยากลาบากทเ่ี กดิ ขนึ้ ดงั นนั้ การส่งเสรมิ ใหบ้ ุคคลมคี วามเขม้ แขง็ ทางใจจะช่วยให้สามารถใชว้ กิ ฤตเิ ป็นโอกาส ยกระดบั ความคดิ จติ ใจ มพี ลงั ใจในการดาเนินชวี ติ ตอ่ ไปได้หลงั จากผา่ นพน้ เหตกุ ารณท์ ไ่ี มด่ ใี นชวี ติ สนใจศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ผ่านหลกั สูตรออนไลน์ และ YouTube หลกั สตู รเสรมิ สรา้ งพลงั ใจ https://www.dmh-elibrary.org/items/show/185 - การจดั การความเครียด ความเครยี ดคืออะไร? ความเครยี ดเป็นเรอ่ื งของรา่ งกายและจติ ใจ ท่เี กดิ การต่นื กลวั เตรยี มรบั กบั เหตกุ ารณ์ใดเหตุการณห์ นงึ่ ทไ่ี ม่เป็นไปตามต้องการ ซง่ึ เราคดิ วา่ ไม่น่าพอใจ เป็นเรอ่ื งหนักหาสาหสั เกนิ กาลงั ทรพั ยากรทเ่ี รามอี ยู่ หรอื เกนิ ความสามารถของเราท่จี ะแก้ไขได้ ทาใหร้ สู้ กึ เป็นทกุ ข์ หนักใจ กงั วลใจ หรอื ไม่สบายใจ พลอยทาใหเ้ กดิ อาการผดิ ปกตทิ างร่างกายและพฤตกิ รรมตามไปด้วย ความเครยี ดเป็นเรอ่ื งปกตทิ ่เี กดิ ขน้ึ ได้กบั ทกุ คน จะมากหรอื น้อยขน้ึ อยกู่ บั สภาพปัญหา การคดิ และ การประเมนิ สถานการณข์ องแต่ละคน ถา้ เราคดิ วา่ ปัญหาท่เี กดิ ขนึ้ ไมร่ ้ายแรงกจ็ ะรู้สกึ เครียดน้อยหรอื แมเ้ ราจะ รู้สกึ วา่ ปัญหานนั้ รา้ ยแรงแต่เราพอจะรบั มอื ไหว เราก็จะไมเ่ ครยี ดมาก แตถ่ ้าเรามองว่าปัญหานนั้ ใหญ่ แก้ไม่ ไหว และไม่มใี ครช่วยเราได้ เราก็จะเครยี ดมาก ความเครยี ดเกิดจากอะไร? ความเครยี ดของแต่ละบคุ คลอาจเกดิ ได้จากเหตุและปัจจยั หลายอย่างเขา้ มากระทบกบั ความคดิ และ ความรสู้ กึ สาเหตุสาคญั ทท่ี าให้บคุ คลเกดิ ความเครยี ดมี 2 ประการ คอื 1. สภาพปัญหาทเี่ กดิ ขน้ึ ในชวี ติ เชน่ ปัญหาการเงนิ ปัญหาการงาน ปัญหาครอบครวั ปัญหาการ เรยี น ปัญหาสขุ ภาพ ปัญหามลพษิ ปัญหาภยั ธรรมชาติ ปัญหาความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ จะเป็นตวั กระตนุ้ ให้คนเราเกดิ ความเครยี ดขึ้นไดม้ าก 2. การคดิ และการประเมนิ สถานการณข์ องบุคคล เราจะสงั เกตได้ว่าคนท่มี องโลกในแง่ดี มอี ารมณข์ นั ใจเยน็ จะมคี วามเครยี ดน้อยกวา่ คนมองโลกในแงร่ า้ ย เอาจรงิ เอาจงั กบั ชวี ติ และใจรอ้ น นอกจากนี้คนท่รี ู้สกึ ว่าตนเองมคี นคอยใหค้ วามช่วยเหลอื เม่อื มปี ัญหา เชน่ มีพ่อแม่ ญาตพิ นี่ อ้ ง มคี ู่สมรส มเี พ่อื นสนทิ ทร่ี กั ใคร่ และไว้วางใจกนั ได้ กจ็ ะมคี วามเครยี ดนอ้ ยกวา่ คนทอ่ี ยโู่ ดดเด่ยี วตามลาพงั ดว้ ย ความเครยี ดมกั ไม่ได้เกดิ จากสาเหตุใดเพยี งสาเหตเุ ดยี วแต่มกั จะเกดิ จากทงั้ สองสาเหตุประกอบกนั คอื มปี ัญหาเป็นตวั กระตุ้นและมกี ารคดิ การประเมนิ สถานการณ์ เป็นตวั บง่ บอกว่าจะเครยี ดมากน้อยแค่ไหน

๑๒๔ ความเครยี ดกม็ ีประโยชน์ ความเครยี ดในระดบั พอดี ๆ จะกระตนุ้ ให้เรามพี ลงั เกดิ ความพยายาม มคี วามอดทน มคี วาม กระตอื รอื ร้น ชว่ ยผลกั ดนั และต่อสเู้ พอ่ื ขจดั ความเครยี ด และส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ ความเข้มแขง็ สามารถเอาชนะ ปัญหาและอปุ สรรคได้ แต่ความเครยี ดท่มี มี าก อยู่นาน และรนุ แรงเกนิ ไป จะทาให้เกดิ ปัญหาสุขภาพจติ หรอื เจบ็ ป่วยทางกายและทางจติ ได้ เชน่ โรคหวั ใจ ความดนั โลหติ มะเรง็ โรคกระเพาะ โรคซมึ เศรา้ เป็นตน้ การสารวจความเครยี ด สญั ญาณเตอื น 3 ดา้ นท่บี ่งบอกวา่ กาลงั มคี วามเครยี ด 1. ด้านร่างกาย มกั เจบ็ ป่ วยบอ่ ย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ไมม่ เี ร่ยี วแรง ปวดศรี ษะ เบอ่ื อาหาร นอนไม่หลบั หรอื ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ปวดเมอ่ื ยกล้ามเนอื้ ทอ้ งอดื อาหารไม่ยอ่ ย ท้องผกู ประจาเดอื นมาไมป่ กติ ใจ สนั ่ ถอนหายใจบอ่ ย ๆ เป็นต้น 2. ดา้ นจติ ใจ ไดแ้ ก่ วติ กกงั วล คดิ มาก เคร่งเครยี ด หงุดหงดิ เศร้าหมอง ฟ้งุ ซา่ น โกรธง่าย ใจนอ้ ย เบอ่ื หน่าย ซมึ เศรา้ เหม่อลอย ไม่มสี มาธใิ นการทางาน หมดความสนุกสนาน เป็นต้น 3. ดา้ นพฤตกิ รรม ไดแ้ ก่ สบู บุหร/่ี ดม่ื สรุ ามากขนึ้ อาจใช้ยากระตนุ้ หรอื สารเสพตดิ ตา่ ง ๆ ใชย้ านอน หลบั จู้จ้ี ขบี้ น่ ชวนทะเลาะ มเี ร่อื งขดั แยง้ กบั ผู้อ่นื บอ่ ย ๆ ดงึ ผม กดั เลบ็ กดั ฟัน ผดุ ลุกผุดนงั่ เงยี บขรมึ เก็บ ตวั เป็นต้น เมื่อรูต้ วั วา่ เครียดจากปัญหาใด ใหพ้ ยายามแกป้ ัญหานนั้ ให้ไดโ้ ดยเรว็ ปัญหาต่าง ๆทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ เป็นสาเหตทุ ก่ี ระตุน้ ให้เกดิ ความเครยี ด เม่อื แกป้ ัญหาได้ความเครยี ดก็ จะหมดไป การเรยี นรวู้ ธิ กี ารแกป้ ัญหาทถ่ี ูกตอ้ งเหมาะสมจงึ เป็นสง่ิ จาเป็น เพ่อื แกป้ ัญหาไดด้ แี ละรวดเรว็ ยง่ิ ขนึ้ วธิ กี ารแก้ปัญหาทเ่ี หมาะสม มดี งั นี้ • ใชเ้ หตุผล และความคดิ พจิ ารณา คดิ หาสาเหตขุ องปัญหาด้วยใจเป็นกลาง ไม่เขา้ ขา้ งตวั เอง ไมโ่ ทษคนอ่นื • คดิ หาวธิ แี กป้ ัญหาหลายๆ วธิ ี ถ้าคดิ ไมอ่ อกอาจปรกึ ษาคนใกลช้ ดิ หรอื ผู้ทม่ี ปี ระสบการณ์ มากกว่า เผชญิ ปัญหาและไม่ผดั วนั ประกนั พรุง่ รบี แก้ปัญหาเสยี แต่เนิ่น ๆ ไม่ปลอ่ ยให้ค้างคา อยู่เป็นเวลานาน จะชว่ ยป้องกนั ความเครยี ดสะสมจนกลายเป็นความเครยี ดเรอ้ื รงั • ลงมอื แกป้ ัญหาตามวธิ ที คี่ ดิ ไว้ อาจตอ้ งใช้ความกลา้ หาญ อดทน หรอื ต้องใช้เวลาบ้าง อยา่ ได้ ท้อถอยไปก่อน

๑๒๕ • ประเมนิ ผลดูวา่ วธิ ที ่ใี ช้ได้ผลหรอื ไม่ ถ้าไมไ่ ด้ผลกเ็ ปล่ยี นไปใช้วธิ อี ่นื ๆ ทเ่ี ตรยี มไว้ จนกว่าจะ ไดผ้ ล ผอ่ นคลายความเครยี ดดว้ ยวิธที ี่คุ้นเคย เม่อื รู้สกึ เครยี ด การทากจิ กรรมหรอื มงี านอดเิ รกทช่ี อบ ทาแลว้ เพลดิ เพลนิ จะชว่ ยผ่อนคลาย ความเครยี ดลงไดม้ าก ซง่ึ แตล่ ะคนจะมวี ธิ กี ารผอ่ นคลายความเครยี ดท่แี ตกต่างกนั ตามความชอบและ ความคนุ้ เคย วธิ กี ารคลายเครยี ดโดยทวั ่ ไป เชน่ นอนหลบั พกั ผ่อน ออกกาลงั กาย ฟังเพลง ร้องเพลง เล่น ดนตรี ดโู ทรทศั น์ ภาพยนตร์ เตน้ รา ปลกู ตน้ ไม้ ทาสวน ตกแตง่ บา้ น อา่ นหนังสอื ไปซอ้ื ของ ไปทอ่ งเทย่ี ว เปลย่ี นบรรยากาศ ฯลฯ สง่ิ ท่สี าคญั คอื เม่อื เกดิ ความเครยี ด อยา่ ได้ทาสง่ิ ท่ไี ม่เหมาะสม เชน่ สบู บุหร่ี ด่มื เหล้า ใชส้ ารเสพตดิ เลน่ การพนัน เท่ยี วกลางคนื ฯลฯ เพราะนอกจากจะทาใหเ้ สยี สขุ ภาพและเงนิ ทองแล้ว ยงั ทาให้เกดิ ปัญหาตา่ ง ๆ ตามมาอกี มาก เชน่ เมาแล้วขบั รถทาให้เกดิ อบุ ตั เิ หตุ เสยี พนันแล้วทาให้เกดิ หน้สี นิ เป็นต้น ใช้เทคนิ คเฉพาะในการคลายเครียด เทคนิคเฉพาะเพอ่ื ใช้ในการคลายเครยี ด ได้แก่ การผ่อนคลายกล้ามเนือ้ การฝึกการหายใจ การทา สมาธิ การจนิ ตนาการ การคลายเครยี ดจากใจส่กู าย การนวดคลายเครยี ด แต่ละวธิ มี รี ายละเอยี ดแตกต่างกนั ออกไป ไม่จาเป็นตอ้ งฝึกทงั้ 6 วธิ ี เพยี งเลอื กวธิ ใี ดวธิ หี น่งึ ทช่ี อบ สะดวก ทาแลว้ คลายเครยี ดได้ดเี ท่านนั้ กพ็ อ เม่อื ฝึกการคลายเครยี ดไปสกั ระยะหนึ่ง จะร้สู กึ ได้ว่ามกี ารเปล่ยี นแปลงไปในทางทด่ี ขี นึ้ เชน่ ใจเยน็ ลง สบายใจ ขน้ึ สุขภาพดขี น้ึ ความจาดขี น้ึ สมาธดิ ขี น้ึ การเรยี นหรอื การทางานดขี น้ึ ความสมั พนั ธก์ บั คนรอบขา้ งดขี นึ้ ฯลฯ เทคนิ คการคลายเครียดโดยการฝึ กการหายใจ ตามปกตคิ นทวั ่ ไปจะหายใจตน้ื ๆ โดยใชก้ ล้ามเน้อื หน้าอกเป็นหลกั ทาใหไ้ ดอ้ อกซเิ จนไปเล้ยี งรา่ งกาย นอ้ ยกวา่ ทค่ี วร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในเวลาเครยี ดคนเราจะหายใจถแ่ี ละตน้ื ขน้ึ มากกวา่ เดมิ ทาให้เกดิ อาการถอน ใจเป็นระยะ ๆ เพอ่ื ให้ไดอ้ อกซเิ จนมากขึน้ การฝึกหายใจชา้ ๆ ลกึ ๆ โดยใช้กล้ามเนือ้ กระบงั ลมบริเวณท้อง จะชว่ ยให้รา่ งกายได้อากาศเข้าสู่ปอดมากขึน้ เพม่ิ ปรมิ าณออกซเิ จนในเลอื ดและยงั ช่วยเพม่ิ ความแขง็ แรงแก่ กล้ามเน้อื หน้าท้องและลาไสด้ ้วย การฝึกการหายใจอย่างถูกวธิ จี ะทาใหห้ วั ใจเต้นชา้ ลง สมองแจ่มใส เพราะได้ ออกซเิ จนมากขนึ้ และการหายใจออกอย่างชา้ ๆ จะทาใหร้ สู้ กึ ว่าได้ปลดปลอ่ ยความเครียดออกไปจากตัวจน หมดส้นิ

๑๒๖ การสงั เกต: การหายใจท่ถี ูกต้องตามหลกั การ สามารถสงั เกตไดจ้ ากเวลาหายใจเขา้ ท้องจะป่องและ เวลาหายใจออกท้องจะแฟบอาจให้พนกั งานเอามอื วางท่หี น้าท้องตนเอง วิธกี ารฝึก 1. ใหน้ งั่ บนเกา้ อแ้ี ละหอ้ ยขาในท่าท่สี บายๆ แล้วหลบั ตา และเอามอื ประสานไว้บรเิ วณทอ้ งของตนเอง 2. คอ่ ยๆ หายใจเขา้ พรอ้ มๆ กบั นับเลข 1 ถงึ 4 ในใจเป็นจงั หวะชา้ ๆ 1...2...3...4...ใหม้ อื รู้สกึ ไดว้ ่า หน้าทอ้ งพองออก 3. กลนั้ หายใจเอาไวส้ กั ครู่ นบั 1 ถงึ 4 ในใจเป็นจังหวะช้าๆ เชน่ เดยี วกบั เม่อื หายใจเขา้ 4. แลว้ จงึ คอ่ ยๆ ผอ่ นลมหายใจออกใหน้ านกวา่ ช่วงหายใจเขา้ โดยนับ 1 ถงึ 8 อย่างช้าๆ ในใจ 1...2...3...4...5...6...7...8... พยายามไลล่ มหายใจออกมาให้หมด ให้มอื รู้สกึ ได้วา่ หนา้ ทอ้ งแฟบลง 5. ทาซ้าอกี ประมาณ 4-5 ครงั้ (ตามขอ้ 2.- 4.) การใชเ้ ทคนิคการคลายเครยี ดโดยการฝึกการหายใจให้ไดผ้ ล คอื ควรหายใจเขา้ และหายใจออกตามวธิ กี าร ตดิ ตอ่ กนั ประมาณ 4-5 ครงั้ ตอ่ การฝึกแต่ละครงั้ และควรฝึกการหายใจทกุ ครงั้ ทร่ี สู้ กึ เครยี ด รสู้ กึ โกรธ รสู้ กึ ไม่ สบายใจ หรอื ฝึกทกุ ครงั้ ท่นี กึ ได้ ทุกครงั้ ทห่ี ายใจออก ให้รู้สกึ ไดว้ า่ ผลกั ดนั ความเครยี ดออกมาดว้ ยจนหมด เหลอื ไว้แต่ความรู้สกึ โลง่ สบายเท่านนั้ ในแต่ละวนั ควรฝึกการหายใจท่ถี กู วธิ ใี หไ้ ด้ประมาณ 40 ครงั้ ตอ่ วนั แต่ ไม่จาเป็นต้องทาตดิ ตอ่ กนั ให้ครบ 40 ครงั้ ในคราวเดยี วกนั เทคนิคการคลายเครยี ดโดยการผ่อนคลายกลา้ มเนื้อ ความเครยี ดมผี ลทาให้กลา้ มเน้ือตามรา่ งกายหดตวั สงั เกตไดจ้ ากเวลาทเ่ี ครยี ดแล้วเราจะเผลอมอี าการ หนา้ นิว่ ค้วิ ขมวด กาหมดั กัดฟัน ฯลฯ โดยไมร่ ู้ตวั บ้างรตู้ วั บา้ ง การเกรง็ ตวั ของกลา้ มเนื้อท่เี กดิ ขนึ้ ถ้าปล่อยทง้ิ ไว้ จะสง่ ผลทาใหเ้ กดิ อาการเจบ็ ปวดตามร่างกายได้ เชน่ ปวดตน้ คอ ปวดหลงั ปวดไหล่ เป็นต้น การฝึกผอ่ นคลาย กล้ามเนอ้ื จะชว่ ยใหอ้ าการหดเกรง็ ของกลา้ มเน้อื ลดลง และขณะเดยี วกนั ในขณะฝึกผ่อนคลายกลา้ มเนื้อ จติ ใจของ เราจะจดจอ่ อยู่กบั การคลายกล้ามเน้อื สว่ นต่าง ๆ จงึ ทาให้สามารถช่วยลดความคดิ ฟ้งุ ซา่ นและลดความวติ กกงั วล ลงได้ รวมทงั้ ทาให้มสี มาธิมากขนึ้ กว่าเดมิ ด้วย วิธกี ารฝึ ก 1. ใหพ้ นกั งานเตรยี มตวั เพ่อื พร้อมท่จี ะทาการฝึก โดยให้นงั่ ในท่าทส่ี บายไม่ไขว้ห้างและวางเทา้ ใหร้ าบไป กบั พ้นื ไมก่ ระดกปลายเทา้ คลายเครอ่ื งแตง่ ตวั และเสอ้ื ผ้าให้หลวมสบาย เช่น ดงึ ชายเส้อื ออกมาจากกางเกง ถอด รองเทา้ หลงั จากนนั้ ให้หลบั ตา ทาใจใหว้ า่ ง ตงั้ สมาธอิ ยทู่ ก่ี ล้ามเนื้อสว่ นตา่ ง ๆ ขอ้ ควรระวงั เวลากามอื ระวงั อย่า ให้เล็บจกิ เนือ้ ตวั เองให้ได้รบั บาดเจบ็

๑๒๗ 2. ผ้นู ากจิ กรรมช้แี จงกตกิ าการใชเ้ วลาเกรง็ และผอ่ นคลายกล้ามเน้อื ว่าให้ใช้เวลาเกรง็ กลา้ มเนือ้ นอ้ ยกวา่ เวลาทใ่ี ช้ผอ่ นคลาย เช่น เกรง็ 3-5 วนิ าที ผ่อนคลาย 10-15 วนิ าที เป็นต้น หลงั จากนนั้ ให้พนักงานเรมิ่ ฝึกเกรง็ และคลายกล้ามเน้อื 10 กล่มุ ตามลาดบั ดงั นี้ - พงุ่ ความสนใจไปท่มี อื และแขนขวา หลงั จากนัน้ ค่อยๆกามอื และเกรง็ แขนขวาจนเต็มท่ี แล้วจงึ คอ่ ยๆ คลาย โดยใหส้ งั เกตความร้สู กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดท่เี กดิ ขนึ้ และความสบายเม่ือผอ่ นคลาย - พงุ่ ความสนใจไปท่มี อื และแขนซ้าย หลงั จากนัน้ คอ่ ยๆกามอื และเกรง็ แขนซา้ ยจนเต็มท่ี แล้วจงึ คอ่ ยๆ คลาย โดยให้สงั เกตความร้สู กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขนึ้ และความสบายเมอ่ื ผอ่ นคลาย - พงุ่ ความสนใจไปท่หี น้าผาก หลงั จากนนั้ ค่อยๆเลกิ ค้วิ ให้สูงขนึ้ ๆแล้วคลาย โดยใหส้ งั เกตความรสู้ กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ และความสบายเมอ่ื ผอ่ นคลาย ตอ่ จากนนั้ ให้ขมวดค้ิวให้มาก ท่สี ดุ เท่าท่จี ะทาได้ แลว้ ผอ่ นคลาย โดยใหส้ งั เกตความรูส้ กึ ตนเองและเปรียบเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดท่เี กดิ ขน้ึ และ ความสบายเม่อื ผ่อนคลาย - พุง่ ความสนใจไปท่ตี า แกม้ จมูก หลงั จากนนั้ หลบั ตาใหแ้ น่นและย่นจมูกใหม้ ากทส่ี ดุ ทจ่ี ะทาได้ แลว้ จงึ คลาย โดยใหส้ งั เกตความรสู้ กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขนึ้ และความสบายเม่อื ผ่อนคลาย - พุ่งความสนใจไปท่ขี ากรรไกร ล้ิน ริมฝี ปาก หลงั จากนัน้ ใหก้ ดั ฟันและใช้ลน้ิ ดนั เพดานปากใหม้ ากทส่ี ุด แล้วคลาย ตอ่ จากนนั้ ใหเ้ ม้มปากให้แน่นทส่ี ุดท่จี ะทาได้ แล้วคลาย โดยให้สงั เกตความรู้สกึ ตนเองและเปรยี บเทยี บ ถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ และความสบายเม่อื ผอ่ นคลาย - พุ่งความสนใจไปท่คี อ หลงั จากนนั้ ก้มหนา้ ให้คางจดคอใหม้ ากท่สี ดุ แล้วคลาย ต่อจากนัน้ เงยหน้าให้ มากท่สี ุด แล้วคลาย โดยให้สงั เกตความรู้สกึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดท่เี กดิ ขนึ้ และความสบายเม่อื ผอ่ นคลาย - พ่งุ ความสนใจไปท่อี ก ไหล่ และหลงั หลงั จากนนั้ หายใจเขา้ ลกึ ๆและกลนั้ ไว้ แล้วคอ่ ยๆหายใจออก ตอ่ มาให้ยกไหลใ่ หส้ งู ขนึ้ ๆเทา่ ท่ที าได้ แล้วคลาย โดยให้สงั เกตความรู้สกึ ตนเองและเปรียบเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ด ท่เี กดิ ขน้ึ และความสบายเม่อื ผอ่ นคลาย โดยใหส้ งั เกตความรูส้ กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ และความสบายเม่อื ผ่อนคลาย - พุง่ ความสนใจไปท่หี น้าท้อง และกน้ หลงั จากนนั้ คอ่ ยๆแขม่วท้องให้มากขน้ึ ๆแล้วคลาย ตอ่ จากนนั้ ขมบิ กน้ ให้มากทส่ี ุด แล้วคลาย - พ่งุ ความสนใจไปท่เี ทา้ และขาขวา หลงั จากนนั้ ค่อยๆเหยียดขาขวาออกและงอน้ิวเท้าลงมาให้มากท่สี ดุ ท่จี ะทาได้ แลว้ คลาย ต่อมาเหยยี ดขาขวาออกอกี ครงั้ และกระดกปลายเท้าข้นึ ใหม้ ากทส่ี ุดทจ่ี ะทาได้ แลว้ คลาย โดยใหส้ งั เกตความรสู้ กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดท่เี กดิ ขน้ึ และความสบายเม่อื ผอ่ นคลาย - พุ่งความสนใจไปท่เี ทา้ และขาซ้าย หลงั จากนัน้ คอ่ ยๆเหยยี ดขาซ้ายออกและงอนิว้ เท้าลงมาใหม้ ากท่สี ุด ทจ่ี ะทาได้ แล้วคลาย ต่อมาเหยยี ดขาซ้ายออกอกี ครงั้ และกระดกปลายเท้าขน้ึ ใหม้ ากทส่ี ุดท่จี ะทาได้ แลว้ คลาย โดยให้สงั เกตความรูส้ กึ ตนเองและเปรยี บเทยี บถงึ ความตงึ เครยี ดทเ่ี กดิ ขึ้นและความสบายเมอ่ื ผอ่ นคลาย

๑๒๘ การใช้เทคนิคการคลายเครยี ดโดยการผอ่ นคลายกลา้ มเน้อื ให้ไดผ้ ล ควรฝึกผ่อนคลายกล้ามเนอื้ เป็นประจา อาจ ฝึกประมาณ 8-12 ครงั้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความชานาญ เมอ่ื คนุ้ เคยกับการผ่อนคลายแล้ว ใหฝ้ ึกคลายกล้ามเน้ือไดเ้ ลย โดยไมจ่ าเป็นต้องเกรง็ ก่อน อาจเลอื กคลายกลา้ มเนอื้ เฉพาะส่วนท่เี ป็นปัญหาเท่านนั้ ก็ได้ เชน่ บรเิ วณใบหน้า ตน้ คอ หลงั ไหล่ เป็นตน้ ไมจ่ าเป็นต้องคลายกล้ามเนือ้ ทงั้ ตวั จะช่วยให้ใชเ้ วลานอ้ ยลง และสะดวกมากขน้ึ เม่อื รสู้ กึ กลา้ มเนือ้ ตงึ เครยี ดทไ่ี ม่ใชจ่ ากการทางานในท่าเดยี วนาน ๆ ใหล้ องสารวจตวั เองวา่ มคี วามเครยี ดเกดิ ขน้ึ หรอื ไม่ ให้รบี ผอ่ นคลายกลา้ มเนือ้ รว่ มกบั การแก้ไขท่สี าเหตุท่ที าใหเ้ กิดความเครยี ด เทคนิคการคลายเครยี ดโดยการทาสมาธิ การทาสมาธถิ อื เป็นการผอ่ นคลายความเครียดทล่ี กึ ซ้งึ ทส่ี ดุ เพราะจติ ใจจะสงบและปลอดจากความคดิ ท่ี ซ้าซาก ฟ้งุ ซา่ น วติ กกงั วล เศรา้ โกรธ ฯลฯ หลกั การของการทาสมาธิ คอื การเอาใจไปจดจ่อกบั สงิ่ ใดสงิ่ หน่ึงเพยี ง อยา่ งเดยี ว ซง่ึ ในท่นี ีจ้ ะใช้การนับลมหายใจเป็นหลกั และยุตกิ ารคดิ เร่อื งอน่ื ๆ อย่างสน้ิ เชงิ หากฝึกสมาธเิ ป็น ประจา จะทาใหจ้ ติ ใจเบกิ บาน อารมณ์เยน็ สมองแจม่ ใส หายเครียดจนตวั เองและคนใกล้ชดิ รสู้ กึ ถงึ ความ เปล่ยี นแปลงในทางท่ดี นี ไี้ ด้อย่างชดั เจน วิธีการฝึ ก ขนั้ ท่ี 1 ให้นงั่ ในท่าทส่ี บาย จะเป็นการนงั่ ขดั สมาธิ นงั่ พบั เพียบ หรอื นอนก็ได้ หลงั จากนนั้ ให้ หลบั ตา หายใจเขา้ หายใจออกชา้ ๆ เรมิ่ นับลมหายใจเขา้ ออก ดงั น้ี -หายใจเขา้ นับ 1 หายใจออกนับ 1 -หายใจเขา้ นับ 2 หายใจออกนับ 2 -นบั ไปเรอ่ื ย ๆ จนถงึ 5 -แลว้ เร่มิ นบั 1 ใหม่ นบั จนถงึ 6 -แล้วเรม่ิ 1 ใหม่ นับจนถงึ 7 -แล้วเรม่ิ 1 ใหม่ นับจนถงึ 8 -แล้วเริ่ม 1 ใหม่ นับจนถงึ 9 -แล้วเรม่ิ 1 ใหม่ นับจนถงึ 10 ครบ 10 ถอื เป็น 1 รอบ แล้วเรมิ่ 1-5 ใหม่ ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8 9,9 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 6,6 7,7 8,8 9,9 10,10

๑๒๙ 1,1 2,2 3,3 4,4 5,5 ฯลฯ หลงั จากฝึกขนั้ ท่ี 1 เสรจ็ แล้ว ในการฝึกครงั้ แรกๆ อาจยงั ไมม่ สี มาธพิ อ ทาให้นับเลขผดิ พลาดหรอื บางที อาจมคี วามคดิ อ่นื แทรกเขา้ มาทาใหล้ ืมนับเป็นบางชว่ งถอื เป็นเร่อื งปกติ ต่อไปพยายามตงั้ สตใิ หม่ เมอ่ื มคี วามคดิ อน่ื แทรกเขา้ มากใ็ หร้ บั รู้ แลว้ ปลอ่ ยใหผ้ า่ นไป ไม่เก็บมาคดิ ต่อ ในท่สี ุดก็จะสามารถนับเลขได้อยา่ งตอ่ เน่อื งและไม่ ผดิ พลาดเพราะมสี มาธดิ ขี ึ้น หากเหน็ วา่ สามารถฝึกปฏบิ ตั ิตามขนั้ ท่ี 1 จนจติ ใจสงบมากขนึ้ แล้ว ในการฝึกครงั้ ตอ่ ๆ ไปให้เปล่ยี นเป็นฝึกขนั้ ท่ี 2 โดยใหเ้ รมิ่ นับเลขแบบเรว็ ขนึ้ ไปอกี คอื หายใจเขา้ นบั 1 หายใจออกนับ 2 หายใจเขา้ นับ 3 หายใจออกนับ 4 หายใจเขา้ นบั 5 หายใจออกนับ 1 ใหม่ จนถงึ 6, 7, 8, 9, 10 ตามลาดับดงั น้ี 12345 123456 1234567 12345678 123456789 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 1 2 3 4 5ฯลฯ เมอ่ื สามารถฝึกปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ท่ี 2 ไดด้ จี นนับลมหายใจได้เรว็ และไม่ผดิ พลาด แสดงว่าจติ ใจสงบมากแล้ว ในการฝึกครงั้ ตอ่ ๆ ไป ให้เปล่ยี นเป็นฝึกขนั้ ท่ี 3 โดยให้ใชส้ ตริ บั รู้ลมหายใจเขา้ ออกเพยี งอย่างเดยี ว ไมต่ อ้ งนับเลข อกี และไมค่ ดิ เรอ่ื งใด ๆ ทงั้ สน้ิ มแี ต่ความสงบเทา่ นนั้ การใชเ้ ทคนคิ การคลายเครยี ดโดยการทาสมาธใิ ห้ไดผ้ ล ควรฝึกสมาธเิ ป็นประจาทกุ วนั โดยเฉพาะก่อนนอน จะ ช่วยใหน้ อนหลบั ไดด้ ี และไมฝ่ ันรา้ ยอกี ด้วย 3. แบบประเมิน 3.1 แบบประเมินความสขุ คนไทย 15 ข้อ (TMHI-15) ของกรมสุขภาพจิต - แบบประเมินความสขุ คนไทย 15 ข้อ (TMHI-15) ของกรมสขุ ภาพจิต การประเมินผล คอื เก็บขอ้ มูลผลคะแนนความสุขจากการใช้แบบประเมินความสุขคนไทย 15 ข้อ ของกรมสุขภาพจิต นาผลคะแนนความสุขท่ไี ดม้ าสรุปและวเิ คราะห์ผล โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้มี

๑๓๐ คะแนนความสขุ ต่ากว่าคนทวั ่ ไป ผู้มคี ะแนนความสขุ เทา่ กบั คนทวั ่ ไป และผู้มคี ะแนนความสขุ สูงกวา่ คนทวั ่ ไป ดาเนินการประเมินความสุขอย่างน้อยปีละ 1 ครงั้ และสามารถเปรยี บเทยี บผลคะแนนการประเมนิ ความสขุ รายปีได้ นอกจากน้ยี งั สามารถจดั กจิ กรรมเพ่อื สง่ เสริมความสุขให้แก่พนกั งานในสถานประกอบการ โดยการ จดั กิจกรรมตามโปรแกรมสร้างสุขวยั ทางานในสถานประกอบการ และนาผลท่ไี ด้จากการจัดกจิ กรรมมา วเิ คราะหแ์ ละวางแผนพฒั นาการจดั กจิ กรรมในปีตอ่ ไปให้มปี ระสทิ ธภิ าพยงิ่ ขน้ึ และตรงกบั ความตอ้ งการของ พนักงานมากขนึ้ สถานประกอบการสามารถเลอื กประเมินได้จาก 2 รูปแบบ คอื 1) การประเมินผลหลงั เสร็จสิ้นการจดั กิจกรรมทุกครงั้ ในรูปแบบต่าง ๆ ท่สี ถานประกอบการพจิ ารณาตามความเหมาะสม ตวั อย่าง เชน่ จากการสงั เกตการมสี ว่ นร่วมในการทากจิ กรรม ขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์ จากการประเมนิ ความ พึงพอใจ เป็นต้น 2) การประเมินภาพรวมทุกกิจกรรม ซ่งึ สถานประกอบการสามารถประเมินผลการจดั กจิ กรรมทงั้ หมดทุกส้นิ ปี เพ่อื นาผลมาวเิ คราะห์และวางแผนพฒั นาการจดั กจิ กรรมในปีตอ่ ไปใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ ยงิ่ ขน้ึ 3.2 แบบประเมินความเครียด (ST-5) แบบประเมินความเครียด (ST-5) ความเครยี ดเกดิ ขน้ึ ได้กบั ทุกคน สาเหตุทท่ี าให้เกดิ ความเครยี ดมหี ลายอย่าง เช่น รายได้ทไ่ี ม่เพยี งพอ หน้สี นิ ภยั พบิ ตั ติ ่าง ๆ ท่ที าใหเ้ กดิ ความสญู เสยี ความเจบ็ ป่ วย เป็นตน้ ความเครยี ดมที งั้ ประโยชน์และโทษ หากมากเกนิ ไปจะเกดิ ผลเสยี ต่อรา่ งกายและจติ ใจของท่านไดข้ อใหท้ ่านลองประเมนิ ตนเองโดยใหค้ ะแนน 0- 3 ท่ตี รงกบั ความร้สู กึ ของท่าน คะแนน 0 หมายถงึ เป็นนอ้ ยมากหรือแทบไม่มี คะแนน 1 หมายถงึ เป็นบางครงั้ คะแนน 2 หมายถงึ เป็นบ่อยครงั้ คะแนน 3 หมายถึง เป็นประจา ข้อที่ อาการหรอื ความรู้สกึ ทเี่ กิดในระยะ แทบไม่มี เป็นบางครงั้ บ่อยครงั้ เป็นประจา 2 – 4 สปั ดาห์ 0123 1 มปี ัญหาการนอน นอนไม่หลบั หรือนอนมาก 0123 0123 2 มสี มาธนิ ้อยลง 0123 0123 3 หงดุ หงดิ / กระวนกระวาย / ว้าวนุ้ ใจ 4 รสู้ กึ เบอ่ื เซ็ง 5 ไม่อยากพบปะผู้คน คะแนนรวม การแปลผล

๑๓๑ 0–4 คะแนน หมายถงึ ไมม่ คี วามเครยี ดในระดบั ท่กี อ่ ให้เกดิ ปัญหากบั ตวั เอง ยงั สามารถจดั การกบั ความเครยี ดทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชวี ติ ประจาวนั ได้ และปรบั ตวั กบั สถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 5-7 คะแนน หมายถงึ สงสยั วา่ มีปัญหาความเครยี ด ควรผอ่ นคลายความเครยี ดด้วยการพูดคุย หรอื ปรกึ ษาหารอื กบั คนใกล้ชดิ เพอ่ื ระบายความเครยี ดหรอื คลค่ี ลายท่มี าของปัญหาและอาจใชก้ าร หายใจเขา้ -ออก ลกึ ๆ ช้า ๆ หลาย ๆ ครงั้ หรอื ใชห้ ลกั ศาสนาเพอ่ื คลายความกงั วล 8 คะแนนข้ึนไป หมายถงึ มีความเครียดสูงในระดบั ทอ่ี าจจะส่งผลเสยี ต่อร่างกาย เช่น ปวดหวั ปวด หลงั นอนไม่หลบั ฯลฯ ควรขอรบั คาปรกึ ษาจากบุคลากรสาธารณสขุ เพอ่ื ดูแลจติ ใจหรอื เพอ่ื คน้ หา สาเหตุทท่ี าใหเ้ กดิ ความเครยี ดและหาแนวทางแก้ไข โดยสามารถโทรปรกึ ษากรมสขุ ภาพจิต ที่ หมายเลขโทรศพั ท์ 1323 บริการปรกึ ษาฟรตี ลอด 24 ชวั่ โมง และควรคดั กรองโรคซมึ เศรา้ ด้วยแบบ คดั กรองโรคซมึ เศร้า 2 คาถาม (2Q) 3.3 แบบประเมินความเข้มแขง็ ทางใจ (RQ ฉบบั 20 ข้อ) - แบบประเมินความเขม้ แขง็ ทางใจ RQ ความเขม้ แขง็ ทางใจ เป็นความสามารถของบคุ คลในการปรบั ตวั และฟ้ืนตวั ภายหลงั ท่พี บกบั เหตุการณ์วกิ ฤตหรอื สถานการณ์ทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความยากลาบาก เป็นคณุ สมบตั หิ นึ่งท่ชี ่วยใหค้ นผา่ นพน้ อุปสรรค และดาเนนิ ชวี ติ ต่อไปได้ แบบประเมนิ ความเขม้ แขง็ ทางใจ หรอื แบบประเมนิ พลงั สุขภาพจติ เป็นแบบ ประเมนิ ความสามารถของบคุ คล 3 ด้าน คอื ดา้ นความทนทานทางอารมณ์ (อดึ ) ด้านกาลงั ใจ (ฮดึ ) และด้าน การจดั การกบั ปัญหา (ต่อสเู้ อาชนะอปุ สรรค) เป็นแบบประเมนิ สาหรบั ผใู้ หญ่ อายุ 25-60 ปี หากการประเมิน แลว้ พบว่ามคี ะแนนในองค์ประกอบด้านใดดา้ นหนงึ่ ตา่ กวา่ เกณฑ์สามารถส่งเสรมิ และพฒั นาในด้านนนั้ ๆ ได้ (ตามคาแนะนาในแบบประเมนิ ) 3.4 แบบคดั กรองโรคซึมเศร้า 2 คาถาม (2Q) แบบคดั กรองโรคซมึ เศร้า 2 คาถาม (2Q) แบบคดั กรองโรคซมึ เศร้า 2 คาถาม (2Q) เป็นแบบคดั กรองคน้ หาผทู้ มี่ แี นวโน้มหรอื เสยี่ งต่อการป่ วย ด้วยโรคซมึ เศร้า ใช้สมั ภาษณ์เพอ่ื ประเมนิ ภาวะซมึ เศรา้ ใน 2 สปั ดาห์ โดยคาตอบมี 2 แบบคอื มแี ละไม่มี ถ้า คาตอบมใี นขอ้ ใดขอ้ หนึ่ง หรอื ทงั้ 2 ขอ้ หมายถงึ เป็นผูม้ คี วามเส่ียงหรอื มแี นวโน้มทป่ี ่ วยเป็นโรคซมึ เศร้า จงึ จาเป็นต้องประเมนิ อกี ครงั้ ด้วยแบบประเมนิ ทม่ี คี วามจาเพาะสงู รายละเอยี ดของแบบคดั กรองโรคซมึ เศรา้ 2 คาถาม (2Q) มดี งั นี้

๑๓๒ คำถาม มี ไมม่ ี 1 ใน 2 สปั ดาหท์ ผ่ี า่ นมา รวมวนั นี้ ทา่ นรสู้ ึกหดหู่ เศรา้ หรือทอ้ แท้ส้นิ หวงั 2 ใน 2 สปั ดาหท์ ผี่ า่ นมา รวมวนั นี้ ทา่ นรู้สึกเบ่ือ ทำาอะไรกไ็ มเ่ พลดิ เพลิน การแปลผล ถ้าคาตอบ “ไมม่ ”ี ทงั้ สองขอ้ ถอื วา่ ปกติ ไม่เป็นโรคซมึ เศรา้ ถ้าคาตอบ “ม”ี ขอ้ ใดขอ้ หน่ึงหรอื ทงั้ สองขอ้ (มอี าการใด ๆ ในคาถามท่ี 1 และ 2) หมายถงึ เป็นผู้มี ความเส่ียงหรอื มแี นวโน้มทจ่ี ะเป็นโรคซมึ เศร้า คาแนะนา หากพบบคุ คลท่มี โี อกาสหรอื มแี นวโนม้ ป่ วยเป็นโรคซมึ เศรา้ จากการคดั กรองดว้ ยแบบคดั กรองโรค ซมึ เศร้า 2 คาถาม (2Q) 1. ควรมกี ารพดู คุยและให้การปรกึ ษาเบ้อื งต้นโดยบคุ คลใกลช้ ดิ หวั หนา้ งาน เพ่อื นร่วมงาน พยาบาล ประจาสถานประกอบการ หรอื บคุ คลท่พี บความเสยี่ งหรอื มแี นวโนม้ ป่วยเป็นโรคซมึ เศร้าให้ความเคารพนับถอื เป็นตน้ 2. ประเมนิ วา่ มปี ัญหาดา้ นสงั คมจติ ใจหรอื ไม่ เช่น มปี ัญหาหนี้สนิ ปัญหาดา้ นการปรับตวั ปัญหากบั เพ่อื นรว่ มงาน ปัญหาครอบครวั ปัญหาการด่มื สรุ า ฯลฯ ถ้ามคี วรใหก้ ารปรกึ ษาเพอ่ื แก้ไขปัญหาดงั กลา่ วและ แนะนาทกั ษะในการแกป้ ัญหาดว้ ยตวั เอง 3. แนะนาให้ออกกาลงั กาย 30 - 45 นาที อย่างน้อยสปั ดาห์ละ 3 ครงั้ ยกเว้นในผู้ท่มี ขี อ้ จากดั ห้าม ออกกาลงั กาย 4. หากพจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่าบคุ คลท่พี บความเสยี่ งหรอื ป่วยเป็นโรคซมึ เศร้าประสบปัญหาทเ่ี กนิ กาลงั ความสามารถในการใหก้ ารช่วยเหลอื ควรส่งตอ่ เพ่อื ขอความช่วยเหลอื จากผูเ้ ชย่ี วชาญเฉพาะทางดา้ น สขุ ภาพจติ หรอื จากสถานพยาบาลเครอื ขา่ ยประกนั สงั คม และแนะนาใหป้ ระเมนิ โรคซมึ เศรา้ ดว้ ยแบบประเมนิ โรคซมึ เศรา้ 9 คาถาม (9Q) เพ่อื ใหก้ ารดแู ลช่วยเหลอื ตอ่ ไป ทงั้ น้ี สามารถขอรบั การปรกึ ษาปัญหาความเครยี ด วติ กกงั วล โรคซมึ เศรา้ และปัญหาสุขภาพจติ อน่ื ๆ ไดท้ ส่ี ายดว่ นสุขภาพจติ 1323 โทร.ฟรตี ลอด 24 ชวั ่ โมง ทวั ่ ประเทศ

๑๓๓ 4. ช่องทางการดูแลช่วยเหลือและแหลง่ บริการ แหล่งปรกึ ษาปัญหาสขุ ภาพใจ คุณสามารถโทรปรกึ ษาสายดว่ นสุขภาพจิต 1323 ได้ตลอด 24 ชวั่ โมง หรอื ปรกึ ษาออนไลน์ผา่ นเฟซบคุ๊ แฟนเพจสายดว่ นสุขภาพจติ 1323 http://www.facebook.com/helpline1323

๑๓๔ แหล่งขอ้ มลู ความร้สู ขุ ภาพจิต 1. กรมสขุ ภาพจติ www.dmh.go.th 2. กองส่งเสรมิ และพฒั นาสุขภาพจติ www.sorporsor.com 2. สุขภาพใจ.com www.thaimentalhealth.com 3. คลงั สุขภาพจติ http://mhllibrary.com 4. คลงั ความรสู้ ุขภาพจติ กรมสขุ ภาพจติ https://www.dmh-elibrary.org ช่องทางสาหรบั ประเมินสุขภาพจิตเบือ้ งตน้ 1. Checkin.dmh.go.th (ตรวจเช็คสุขภาพใจ) เคร่อื งมือประเมินสุขภาพจิตเบ้อื งต้น และคัดกรองความเส่ยี งต่อปัญหาสุขภาพจิตจากสถานการณ์ COVID-19 เพอ่ื ใหป้ ระชาชนสามารถประเมนิ ตนเองและเขา้ ถึงบรกิ ารได้อย่างรวดเรว็ ประกอบด้วย 4 รายการคอื เครยี ด,ภาวะ หมดไฟ,เส่ยี งฆ่าตัวตาย,ซึมเศร้า โดยทราบผลการประเมินทันที มคี าแนะนาในการปฏบิ ตั ติ วั พรอ้ มมชี อ่ งทางการ ขอรบั การปรกึ ษาจากผเู้ ชย่ี วชาญทางออนไลน์

๑๓๕ 2. Application: Mental Health Check Up เคร่อื งมอื ประเมินสุขภาพจติ เบ้อื งตน้ และคัดกรองความเส่ยี งตอ่ ปัญหาจติ เวช พฒั นาข้นึ เพ่อื ให้ประชาชนและผ้มู ี ความเส่ยี งต่อปัญหาสุขภาพจติ สามารถเข้าถงึ บริการได้อย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย 6 รายการ ได้แก่ ความเครียด ภาวะ ซึมเศร้า ภาวะสมองเส่อื ม ความสขุ พลงั สขุ ภาพจติ และความฉลาดทางอารมณ์ ๕. มาตรการในการเฝ้าระวงั ป้องกนั และควบคมุ โรคโควิด ๑๙ ในสถานประกอบการ สถานการณ์โควิด–๑๙ ในสถานประกอบการของประเทศไทย โรคติดเชื้อไวรสั โคโรนา 2019 มกี ารระบาดในวงกว้างในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตงั้ แต่เดือน ธนั วาคม 2562 เป็นตน้ มา โดยเรมิ่ จากเมอื งอ่ฮู นั ่ มณฑลหเู ป่ย์ จนถงึ ปัจจุบนั ทาให้พบผู้ป่ วยยนื ยนั มากกว่า

๑๓๖ 70,000 ราย และเสยี ชวี ติ มากกว่า 2,000 ราย การระบาดของโรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 เรมิ่ ตน้ ทป่ี ระเทศ จีน ตงั้ แต่วนั ท่ี 30 ธันวาคม 2562 ต่อมาได้พบผู้ป่ วยยนื ยนั ในหลายประเทศทวั ่ โลก จานวนผู้ป่ วยยืนยนั เพม่ิ ขน้ึ อย่างรวดเรว็ เช่น ฮ่องกง มาเกา๊ ไตห้ วนั เกาหลใี ต้ สงิ คโปร์ และญปี่ ่นุ พบอตั ราการเสยี ชวี ติ จากโรค ประมาณรอ้ ยละ 2 ซง่ึ ร้อยละ 26.4 ของผู้ท่เี สยี ชวี ติ จะเป็นผู้สงู อายุ และผู้ท่มี โี รคประจาตวั มโี อกาสเสย่ี งท่จี ะ เสียชวี ติ เพมิ่ ข้นึ โดยผู้ท่เี ป็นโรคหวั ใจมีอตั ราการเสียชวี ิตมากทส่ี ุดร้อยละ 10.5 รองลงมาคือ โรคเบาหวาน (ร้อยละ 7.3) และ โรคระบบทางเดนิ หายใจเร้อื รงั (ร้อยละ 6.3) อาการของโรค การตดิ เช้อื ไวรสั COVID-19 สามารถทาใหเ้ กดิ การเจ็บป่ วยไดต้ งั้ แต่ระดับเล็กน้อย ถงึ ระดบั รุนแรง และในบางกรณอี าจถงึ แกช่ วี ิตได้ โดยทวั ่ ไปจะมีไข้ ไอ และหายใจถ่ี บางคนท่ตี ดิ เช้อื ไวรสั มี รายงานวา่ อาจจะ มอี าการอ่นื ๆ ท่ไี มใ่ ช่ระบบทางเดนิ หายใจ หรอื บางรายไม่มอี าการแสดงเลย ตามรายงาน ของ Center of Disease Control (CDC) ประเทศสหรฐั อเมรกิ าใหข้ ้อมูลว่า อาการของโรคติดเช้อื ไวรสั โคโร นา 2019 อาจปรากฏขน้ึ ช่วง 2 วนั หรอื นานถงึ 14 วนั หลงั จากไดร้ บั เชอ้ื การแพร่กระจายของโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019 ๑. จากการหายใจ ผา่ นละอองฝอย (droplets) เมอ่ื ผตู้ ดิ เช้อื ไอหรอื จาม ละอองเหลา่ นเ้ี ขา้ สู่ปากหรือ จมูกของคนท่อี ยูใ่ กลเ้ คยี งหรอื ผ่านเขา้ ไปในปอด ๒. จากการสมั ผสั พน้ื ผวิ หรอื วัตถุทม่ี เี ช้อื COVID-19 แล้วมาสมั ผสั ปาก จมกู หรอื ตา แต่การสมั ผสั ก็ ไ ม่ ใ ช่ ช่ อ ง ท า ง ห ลั ก ใ น ก า ร แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย ข อ ง ไ ว รั ส (https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/intro.php) ผลกระทบที่อาจเกิดกบั สถานประกอบการ

๑๓๗ ผลกระทบท่ีเกิดขึ้นกบั สถานประกอบการ การขาดงาน/อัตรากาลงั ผลผลิต/รูปแบบการผลิต การขนส่ง/ความตอ้ งการสนิ คา้ จากสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคโควดิ ๑๙ ยอ่ มส่งผลต่อสถานประกอบการในด้านตา่ งๆ ดงั นี้ (กองโรคจากการประกอบอาชพี และสง่ิ แวดลอ้ ม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสขุ , ๒๕๖๔) 1. การขาดงาน ขาดแคลนอตั รากาลงั การเจบ็ ป่วยดว้ ยโรคโควดิ ๑๙ สง่ ผลให้พนักกงาน/คนงานขาดงานเพราะความเจบ็ ป่วย หรอื ตอ้ งขาดงานเน่อื งจากต้องกกั ตวั จากการเป็นกลมุ่ เสยี่ ง หรอื ตอ้ งดแู ลสมาชกิ ในครอบครวั ทป่ี ่วย ๒. ผลผลติ และรปู แบบการผลติ เปลย่ี นแปลงไป จากสถานการณก์ ารแพร่ระบาดของโรคโควดิ ๑๙ ทาให้ความต้องการของผบู้ ริโภคมคี วาม ตอ้ งการสนิ ค้าบางอย่างเพิม่ ข้นึ เช่น สนิ คา้ ในหมวดการป้องกนั การตดิ เช้อื อาทิ อุปกรณณ์การป้องกนั ระบบ ทางเดนิ หายใจมแี นวโน้มเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งมาก ในขณะท่คี วามสนใจต่อสนิ คา้ ในหมวดอน่ื ๆ อาจลดลง ผู้บรโิ ภคจะ มพี ฤติกรรมการเลือกซ้อื สนิ ค้าหรือรูปแบบการซ้อื สนิ ค้าท่เี ปล่ยี นแปลงไป โดยเฉพาะในชว่ งทม่ี กี ารระบาด อย่างรุนแรง ผูบ้ รโิ ภคจะซ้อื สนิ ค้าในลกั ษณะเร่งด่วน หรอื ซอ้ื สนิ ค้าช่องทางออนไลน์เพม่ิ ขนึ้ เพอ่ื ลดการสมั ผัส กบั คนหมมู่ าก ลดการตดิ ตอ่ ระหวา่ งบุคคล เป็นตน้ ๓. การขนส่ง ความตอ้ งการสนิ คา้ เปลย่ี นไป ในช่วงท่มี ีการระบาดของโรคโควดิ ๑๙ ทาให้เกิดมาตรการในด้านต่างๆ อาจส่งผลให้การ จดั ส่งสนิ ค้าจากพ้นื ท่ตี ่างๆ ได้รบั ผลกระทบ เกิดการจัดส่งล่าช้า ทาให้สนิ ค้าเสยี หาย มีผลให้เกิดการถูก ยกเลกิ หรอื เกดิ ความตอ้ งการสนิ ค้าลดลง

๑๓๘ ๒. มาตรการในการเฝ้าระวงั ป้องกัน และควบคมุ โรคโควิด ๑๙ สาหรบั พนกั งาน หรือแรงงานที่อยใู่ น โรงงาน และที่พกั คนงาน จากคมู่ อื การปฏบิ ตั ติ ามมาตรการผ่อนปรนกจิ การและกจิ กรรมเพอ่ื ป้องกนั การแพร่ระบาดของโรคโค วดิ 19 สาหรบั ประเภทกจิ การและกจิ กรรม กลมุ่ ท่ี 2 (กระทรวงสาธารณสุข, ๒๕๖๓) ได้กาหนดมาตรการในการเฝ้า ระวงั ป้องกนั และควบคมุ โรคโควดิ ๑๙ สาหรบั สถานประกอบการและทพ่ี กั ของพนกั งานซ่งึ มรี ายละเอียดดงั น้ี มาตรการของสถานประกอบการหรือโรงงาน ๑.๑ สถานท่ีทางาน • ให้มกี ารตรวจวดั อณุ หภูมริ า่ งกายเจ้าหนา้ ท่ี พนักงานทกุ คน และบุคคลภายนอกท่ตี ้องเขา้ มา ใน สถานประกอบการ หรอื โรงงาน หากพบวา่ เกนิ กวา่ 37.5 องศาเซลเซียส หรอื มอี าการอย่างใดอยา่ ง หนง่ึ ได้แก่ ไอ จาม เจ็บคอ ให้ส่งตวั ไปพบแพทย์ทนั ที และรายงานให้ผบู้ งั คบั บญั ชาทราบโดยเรว็ ในกรณีท่เี พง่ิ เดนิ ทางกลบั จากต่างประเทศภายใน 14 วนั ให้แจ้งประวตั กิ ารเดนิ ทางให้แพทย์ทราบ ดว้ ย • จดั ให้มจี ุดวางแอลกอฮอลห์ รอื เจลล้างมอื ใหบ้ รกิ ารในบรเิ วณจุดคดั กรองทางเขา้ -ออก ของสถาน ประกอบการ หรอื โรงงาน หรอื ทม่ี ม่ี แี รงงานพกั อาศยั รวมกนั จานวนมาก • ควรกาหนดการเวน้ ระยะหา่ งระหว างบุคคลอยา่ งน้อย 1 - 2 เมตรในระหวา่ งปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ี หรอื ทากจิ กรรมใดๆ • จดั ให้มกี ารสอ่ื สารความรู้เก่ยี วกบั การป้องกนั ตนเอง ไมใ่ ช้ของส่วนตวั รว่ มกบั ผอู้ น่ื (เช่น ผ้าเชด็ หน้า แก้วน้า ผา้ เชด็ ตวั ) เน่อื งจากเช้อื ก่อโรคทางระบบทางเดนิ หายใจสามารถเขา้ สรู่ ่างกาย ไดท้ างการสมั ผสั สารคดั หลงั่ ของผู้ตดิ เชอ้ื • จดั ให้มคี าแนะนาการเฝ้าระวงั ป้องกนั เช้อื ไวรสั โควิด-19 โดยจดั ทาโปสเตอรเ์ ป็นภาษาตา่ งประเทศ ท่มี แี รงงานมาจาก ประเทศนนั้ ๆ ตดิ ในจุดทเ่ี หน็ ได้สะดวกเพ่อื สอ่ื สารใหก้ บั แรงงาน เจ้าหน้าท่ี และ บคุ คลภายนอกท่ตี อ้ งเขา้ มาประสาน และตดิ ต่อในสถานประกอบการ และโรงงาน ได้รบั ทราบ • กากบั ดแู ลความสะอาดสถานท่ี ท่มี ผี ู มาใช บรกิ ารร วมกนั ด วยน้ายาทาความสะอาดอย างสมา่ เสมอ และอาจใช น้ายาฆ าเชอ้ื ในจดุ ทม่ี กี ารสมั ผสั ร วมกนั เช น ลกู บดิ ประตู ราว จบั สวติ ไฟ เป็นตน้ รวมทงั้ ดูแลให มกี ารระบายอากาศทด่ี ี • รวบรวมขยะทวั่ ไปใส ถุงขยะ มดั ปากถงุ ให แน น และนาไปทง้ิ ในจุดรวบรวมขยะท่จี ดั เตรยี ม ไว เพ่อื นาไปกาจดั อย าง ถกู ต อง ๑.๒. พนักงาน/แรงงาน

๑๓๙ • พนกั งานทกุ คนตอ้ งสวมหน้ากากอนามยั ตลอดเวลา และหมนั่ ลา้ งมอื อยา่ งสมา่ เสมอเมอ่ื ตอ้ งสมั ผสั ในจุดสมั ผสั ร่วม เชน่ ลูกบดิ ประตู ราวจบั สวติ ไฟ เป็นตน้ • ควรเวน้ ระยะหา่ งระหวา่ งบุคคลอย่างน้อย 1 - 2 เมตร ในระหว่างปฏบิ ตั ิหน้าท่หี รอื ทากจิ กรรมใดๆ • งดการสงั สรรค์ หรอื ทากจิ กรรมรวมกลุม่ ใดๆ รวมถึงงดการจดั กจิ กรรมทม่ี กี ารรวมคนจานวนมากท่ี จะมคี วามเส่ยี งต่อการแพร่ระบาดของเช้อื โรค และงดหรอื ชะลอการเดนิ ทางออกนอกชมุ ชนโดยไม่ จาเป็น กรณีจาเป็นตอ้ งเดนิ ทางออกนอกชุมชน ต้องให้ความร่วมมอื การตรวจคดั กรอง และปฏบิ ตั ิ ตามมาตรการทช่ี ุมชนกาหนด ๑.๓ เจ้าของสถานประกอบการ หรือโรงงาน • กากบั พนกั งานในการงดสงั สรรค์ หรอื ทากจิ กรรมรวมกลุ่มใดๆ งดการจดั กจิ กรรมทม่ี กี ารรวมคน จานวนมากท่จี ะมคี วามเสย่ี งตอ่ การแพรร่ ะบาดของเชอ้ื โรค และงดหรอื ชะลอการเดนิ ทางออกนอก ชมุ ชนโดยไมจ่ าเป็น กรณีจาเป็นตอ้ งเดนิ ทางออกนอกชุมชน ต้องใหค้ วามร่วมมอื การตรวจคดั กรอง และปฏบิ ตั ติ ามมาตรการทช่ี ุมชนกาหนด • กรณที ม่ี ผี ู้ป่วยยนื ยนั หรอื มขี อ้ มูลบ่งช้วี า่ สถานท่ที างานเป็นจุดแพรเ่ ช้อื ต้องดาเนนิ การตามคาสงั่ ของเจ้าพนกั งานควบคุมโรคตดิ ตอ่ เชน่ พจิ ารณาหยุดกจิ กรรมหรอื ให้บรกิ ารในแผนกทม่ี แี รงงาน ป่วยด้วยโรคตดิ เชอ้ื ไวรสั โควดิ -19เป็นเวลา 3 วนั และทาความสะอาดฆ่าเช้อื ทนั ทภี ายใน 24 ชวั่ โมง ภายใตก้ ารกากบั ดูแลของพนกั งานควบคุมโรคตดิ ตอ่ เป็นต้น ๑. มาตรการของที่พกั คนงาน ๒.๑ มาตรการของสถานที่พกั คนงาน • จดั ให้มกี ารตรวจวดั อุณหภูมริ า่ งกายทกุ คน ก่อนเขา้ ในทพ่ี กั อาศยั หากพบว่าเกนิ กว่า 37.5 องศาเซลเซยี ส หรอื มอี าการอยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง ได้แก่ ไอ จาม เจบ็ คอ ให้ส่งตวั ไปพบแพทย์ ทนั ที • จดั ให้มจี ดุ วางแอลกอฮอล์หรอื เจลลา้ งมอื ให้บรกิ ารในบรเิ วณจุดคดั กรองทางเขา้ -ออก ของ สถาน ทพ่ี กั อาศยั หรอื ในสถานท่สี าธารณะของชมุ ชน • ควรกาหนดการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อยา่ งน้อย 1 - 2 เมตร ในระหว่างปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ี หรอื ทากจิ กรรมใดๆ • จดั ให้มีการส่อื สารความรู้เก่ยี วกับการป้องกันตนเอง ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อ่นื (เช่น ผ้าเช็ดหน้าแก้วน้า ผ้าเชด็ ตวั ) เน่ืองจากเช้อื ก่อโรคทางระบบทางเดนิ หายใจสามารถเขา้ สู่ รา่ งกายไดท้ างการสมั ผสั สารคดั หลงั ่ ของผ้ตู ดิ เช้อื

๑๔๐ • จัดให้มีคาแนะนาการเฝ้ าระวังป้ องกันเช้ือไวรัสโควิด -19 โดยจัดทาโปสเตอร์เป็ น ภาษาต่างประเทศ กรณีทม่ี ผี พู้ กั อาศยั ชาวตา่ งชาติ โดยตดิ ในจดุ ทเ่ี หน็ ไดส้ ะดวกเพ่อื ส่อื สาร และสร้างความตระหนักใหก้ บั ผูพ้ กั อาศยั • กากับ ดูแลผู้พกั อาศยั ให้มสี ่วนร่วมในการทาความสะอาดสถานท่ี และอุปกรณ์ ท่มี ีผู้มาใช้ บรกิ ารรว่ มกนั ด้วยน้ายาทาความสะอาดอยา่ งสมา่ เสมอและอาจใช้น้ายาฆ่าเช้อื ในจุดท่ีมีการ สมั ผสั รว่ มกนั เชน่ ลกู บดิ ประตู ราวจบั สวติ ไฟเป็นตน้ รวมทงั้ ดูแลใหม้ กี ารระบายอากาศท่ดี ี • รวบรวมขยะทวั ่ ไปใส่ถุงขยะ มดั ปากถุงใหแ้ น่นและนาไปท้งิ ในจุดรวบรวมขยะท่จี ดั เตรียมไว้ เพ่อื นาไปกาจดั อย่างถกู ต้อง ๒.๒ มาตรการของสมาชิกผพู้ กั อาศยั ในสถานท่ีพกั คนงาน • ผู้อาศยั ในท่พี ักทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเม่อื อยู่นอกท่พี ักอาศัย และหมนั ่ ล้างมอื อยา่ งสมา่ เสมอ • ควรเวน้ ระยะห่างระหวา่ งบุคคล อย่างน้อย 1 - 2 เมตร ในระหว่างอกไปทากจิ กรรมใดๆ นอก ทพ่ี กั • งดการสังสรรค์ หรือทากจิ กรรมรวมกลุ่มใดๆ และงดการจดั กิจกรรมท่มี ีการรวมคนจานวน มากท่จี ะมคี วามเสี่ยตอ่ การแพรร่ ะบาดของเช้อื โรค และงดหรอื ชะลอการเดนิ ทางออกนอกท่ี พกั โดยไมจ่ าเป็น กรณีจาเป็นต้องเดนิ ทางออกนอกท่พี กั ต้องใหค้ วามรว่ มมอื ในการตรวจคดั กรอง และปฏบิ ตั ติ ามมาตรการท่สี ถานทพ่ี กั กาหนด ๒.๓ มาตรการสาหรบั เจ้าของสถานท่ีพกั คนงาน • กากบั ผู้อาศัยในท่พี ักคนงานใหง้ ดการสงั สรรค์ หรือทากิจกรรมรวมกลุ่มใดๆ งดการจดั กจิ กรรมท่มี กี ารรวมคนจานวนมากท่จี ะมคี วามเสย่ี ง ต่อการแพรร่ ะบาดของเชอ้ื โรค และ งดหรือชะลอการเดินทางออกนอกท่พี ักคนงานโดยไม่จาเป็น กรณีจาเป็นต้องเดนิ ทาง ออกนอกทพ่ี กั คนงาน ต้องจดั ใหม้ กี ารตรวจคดั กรอง และกากบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามมาตรการท่ี กาหนด • กรณีทม่ี ผี ปู้ ่วยยนื ยันหรอื มีขอ้ มูลบง่ ช้วี ่าสถานทใ่ี ดเป็นจุดแพร่เช้อื ตอ้ งรบี แจง้ เจา้ หน้าท่ี และดาเนินการตามคาสงั ่ ของเจา้ พนกั งานควบคุมโรคตดิ ตอ่ ๓. แนวทางปฏิบตั ิการรายงานโรค กรณีพบผปู้ ว่ ยสงสยั ตดิ เช้ือไวรสั โคโรนา 2019 ท่ีเข้าเกณฑ์ สอบสวนโรค สำหรับผปู้ ระกอบการ/เจา้ ของกจิ การ

๑๔๑ ๓.๑ นยิ ามผสู้ งสยั ติดเชอื้ ทมี่ ีอาการ กรณีเฝา้ ระวงั ในผ้สู งสัยติดเช้อื หรือผูป้ ่วย ได้แก่ ผู้ท่ีมีอาการของ ระบบทางเดินหายใจอย่างใดอยา่ งหน่ึง ดังต่อไปนี้ ไอ น้ำมกู เจบ็ คอ ไมไ่ ด้กลน่ิ หายใจเรว็ หายใจ เหนื่อย หรือ หายใจลำบาก และ/หรือ ประวตั ิมีไข้ หรืออณุ หภูมิกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสข้ึนไป รว่ มกับ การมีประวัติ ในชว่ งเวลา 14 วันก่อนวนั เร่มิ ปว่ ย อยา่ งใดอยา่ งหนึ่งต่อไปนี้ 1. มปี ระวัตเิ ดนิ ทางไปยัง หรอื มาจาก หรอื อยอู่ าศยั ในพ้ืนทีเ่ กดิ โรคตดิ เชือ้ ไวรสั โคโรนา 2019 2. ประกอบอาชพี ทเ่ี กย่ี วข้องกบั นักท่องเทยี่ ว สถานทีแ่ ออัด หรือตดิ ต่อกบั คนจำนวนมาก 3. ไปในสถานที่ชุมนุมชน หรือ สถานที่ที่มีการรวมกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล หรอื ขนสง่ สาธารณะ 4. สัมผสั กับผู้ปว่ ยยนื ยนั โรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 ๓.๒ สถานประกอบการกบั การมีส่วนร่วมในการรายงานโรค วตั ถุประสงคก์ ารรายงานโรค 1. ผปู้ ระกอบการ มีส่วนร่วมในการเฝ้าระวงั โรคกรณพี บผู้สงสัยตดิ เชอ้ื ไวรัสโคโรนา 2019 ทเี่ ข้าเกณฑ์ สอบสวนโรค รวมท้ังสรา้ งความมั่นใจในการใหบ้ ริการกับผูใ้ ชบ้ รกิ าร รว่ มกบั พระราชบญั ญัติโรคติดตอ่ พ.ศ. 2558 2. ประชาชน มคี วามม่ันใจในการใช้บริการกจิ การหรือรว่ มกจิ กรรมที่ได้รบั การคดั กรองโรค รวมทัง้ ไดร้ ับ บริการตรวจคัดกรองทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารเพ่อื ตรวจหารอ่ งรอยการติดเช้อื ไวรัสโคโรนา 2019 ตามแนวทาง ที่กำหนดโดยไมเ่ สียค่าใช้จ่าย 3. เพอื่ ใหก้ ารเฝ้าระวังป้องกันควบคมุ โรคของประเทศ สามารถค้นหา สอบสวนโรค และควบคมุ ปอ้ งกนั การระบาดของโรคไดท้ ันทว่ งที ๓.๓ แนวทางการปฏบิ ัติสำหรบั ผูป้ ระกอบการ/เจ้าของกจิ การ

๑๔๒ มาตรฐานการดำเนินการ GFP (กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ , ๒๕๖๔) มาตรการ GFP เปน็ มาตรการทเ่ี กิดจากการบรู ณาการการทำงานร่วมกันระหวา่ งหน่วยงาน (กรม) หลัก ของกระทรวงสาธารณสขุ ดงั น้ี การดำเนินงานเชงิ รุก เนน้ มาตรการป้องกนั และเฝา้ ระวัง 1. กรมสนบั สนุนบริการสขุ ภาพ ไดก้ ำหนดมาตรฐานอาคารสถานท่ี ทปี่ ลอดภัยสำหรับสถาน ประกอบการ ๒. กรมอนามัย ให้ความสำคญั กบั การคดั กรอง การปรับเปล่ียนพฤติกรรมบุคคล และเนน้ การอนามัย สิ่งแวดล้อมทงั้ ระดับบุคคลและระดบั องคก์ ร การดำเนินงานเชิงรับ เน้นการจัดการเมอ่ื พบผเู้ สยี่ ง ผปู้ ว่ ย ๓. กรมควบคุมโรค เน้นกระบวนการดำเนินงานของสถานประกอบการในกรณีท่ีพบพนักงานมีการตดิ เช้ือ และผ้ทู ใ่ี กลช้ ดิ ๔. กรมการแพทย์ ให้การบรกิ ารดูแลเพือ่ การรกั ษาพยาบาลผปู้ ว่ ยโควดิ ๑๙ เครอื่ งมอื ทางออนไลน์ท่ีใช้เปน็ แนวทางของสถานประกอบในการเฝา้ ระวังและปอ้ งกันโรคโควิด ๑๙ ๑. เคร่ืองมอื หลักดำเนินการ 2 Platform ท่ตี อ้ งดำเนินการ ๑.๑ Thai Stop Covid Plus (TSC+) สำหรบั สถานประกอบการ/โรงงานประเมนิ มาตรฐาน GFP หากสถานประกอบการ/โรงงานประเมินผา่ นเกณฑ์มาตรฐาน จะได้รับใบ Certificate (กรม อนามัย กระทรวงสาธารณสขุ , ๒๕๖๔)

๑๔๓ ๑.๒ Thai Save Thai (TST ) โรงงานประเมนิ มาตรฐาน GFP สำหรบั พนกั งานประเมนิ ความ เส่ียงการแพรเ่ ชอ้ื ดว้ ยตนเอง การประเมินเพ่ือการยกระดบั การคัดกรองเข้ม ๔ องค์ประกอบ ซึ่งได้แก่ ๑) สถานท่ีเส่ียง ๒) พฤติกรรมเสี่ยง

๑๔๔ ๓) อาการเสี่ยง ๔) ผลการเสยี่ ง ๒. เคร่อื งมือเสริมการดแู ลสขุ ภาพช่วงโควดิ 2 Platform ดำเนินการตามความสมคั รใจร ไดแ้ ก่ ๒.๑ กา้ วท้าใจ ท่วั ไทยพิชิตโควติ และ ๒.๒ อนามัย Quarantine สำหรับโรงงานทีม่ ี โรงพยาบาลสนาม ๓. ระบบรายงาน ระบบกำกับมาตรฐานปอ้ งกันโควิดรายโรงงาน ระบบรายงานความเสยี่ งพนักงาน รายบุคคลสำหรบั โรงงาน และหนว่ ยกำกับดูแลในจงั หวดั เขต และประเทศนำไปบรหิ ารจัดการ แนวทางการจดั การเมอื่ พบผูเ้ สยี่ ง/ผู้ป่วยโควดิ ๑๙

๑๔๕ 1. เมอ่ื สถานประกอบการ/สถานท่จี ัดงานคัดกรองพบผมู้ อี าการอย่างใดอย่างหนงึ่ ต่อไปน้ี ได้แก่ ไอ มี นำ้ มกู มเี สมหะ หายใจลำบาก หอบ หรอื ไมไ่ ดก้ ลนิ่ หรอื มี อาการไข้ (อุณหภมู ิกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซยี ส) ไมใ่ หผ้ มู้ ีอาการปว่ ยเข้างานหรือสถานท่ีโดยเดด็ ขาด และให้แยกผู้ป่วยในท่ที ี่จัดไว้ 2. หากพบผู้มีอุณหภูมิกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส โดยไม่มีอาการอื่นๆ ให้แยกพักในร่มเป็น ระยะเวลา 5 - 15 นาที และวัดซ้ำ โดยจดั สถานท่ีพักใหม้ กี ารเว้นระยะห่างจากบุคคลอ่ืนอย่างนอ้ ย 2 เมตร 3. กรณีมีอาการไข้ หรอื อาการระบบทางเดนิ หายใจ ใหป้ ระเมินอาการผปู้ ว่ ยวา่ เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค ติดเชอ้ื ไวรสั โคโรนา 2019 หรือไม่ โดยใชค้ ำถามตามนยิ ามผู้สงสัยติดเชือ้ ที่มอี าการ กรณีเฝ้าระวังในผ้สู งสัยติด เชอ้ื หรอื ผู้ป่วย หรอื บันทึกขอ้ มลู ผา่ นแอปพลเิ คชัน ซงึ่ จะรายงานไปยังหน่วยงานทร่ี บั ผิดชอบ ไดแ้ ก่ สำนักงาน สาธารณสขุ จังหวัด และกรมควบคมุ โรค 4. หากพบวา่ ผมู้ อี าการ เขา้ เกณฑส์ อบสวนโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 ให้ดำเนินการบนั ทกึ ขอ้ มูล โดยระบชุ ือ่ ผูป้ ระกอบการ/ผู้ให้บริการ โดยระบุ ชอ่ื สถานประกอบการ สถานท่ีต้ัง และหมายเลขโทรศัพทต์ ดิ ต่อ สำหรบั ผ้ใู ชบ้ ริการ ให้บันทกึ เฉพาะขอ้ มลู ชือ่ -นามสกลุ และหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ ทงั้ นปี้ ระวตั ิอาการปว่ ย ให้ ตรวจสอบการบันทกึ ตามนิยามขา้ งต้น ทั้งน้ใี หผ้ ้ใู ชบ้ รกิ ารที่เป็นผ้สู งสัยเข้าเกณฑส์ อบสวนโรค 4.1 กรณีสถานประกอบการ ใหบ้ รกิ ารอำนวยความสะดวกในการสง่ ต่อผู้ปว่ ยไปคลินิก โรงพยาบาล หรอื สถานพยาบาล ให้แจง้ สถานพยาบาลลว่ งหน้าก่อนนำส่ง เพ่ือเตรียมพรอ้ มในการตรวจคัด กรองทาง ห้องปฏบิ ตั ิการตอ่ ไป 4.2 กรณีสถานประกอบการ ใหค้ ำแนะนำผู้ใช้บรกิ ารที่มอี าการป่วยที่เขา้ เกณฑ์สอบสวนโรค ไปยงั คลินิก หรือสถานพยาบาลเอง ให้แนะนำการเดินทางโดยหลกี เล่ียงการใชร้ ถโดยสารสาธารณะ อาจใช้ บริการ แทก็ ซี่ หรอื รถรบั จ้างสว่ นบุคคล 5. หากพบว่าผมู้ อี าการ ไมเ่ ข้าเกณฑส์ อบสวนโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 สามารถ ใหค้ ำแนะนำให้ผู้ มี อาการไปโรงพยาบาลโดยหลกี เลยี่ งการใช้ขนส่งสาธารณะ อย่างไรก็ดี ไม่อนุญาตให้ผูม้ ีอาการป่วยเขา้ ใน สถานที่ 6. สำนกั งานสาธารณสุขจังหวัด หรอื หนว่ ยงานรับผดิ ชอบในแตล่ ะพน้ื ท่ี ใหต้ ิดตามข้อมูลผ้ปู ่วย เขา้ เกณฑส์ งสยั เป็นโรคตดิ เชอื้ ไวรัสโคโรนา 2019 ท่ีรายงานจากสถานประกอบการ หรอื สถานท่ีท่ีมีการ รวมกลุ่ม จากฐานข้อมูลในแอปพลิเคชัน โดยนำมาเปรยี บเทยี บกับ รายช่ือผูป้ ่วยจากฐานข้อมูลผ้ปู ่วยเขา้ เกณฑ์ สอบสวนโรค (PUI) ของกรมควบคมุ โรค 6.1 หากพบว่าผู้ป่วยท่ีรายงานจากสถานประกอบการฯ ได้รับการตรวจหาเช้อื แล้ว ให้ ดำเนินการตดิ ตามต่อ ตามแนวทางเม่ือพบผู้ปว่ ยเขา้ เกณฑส์ อบสวนโรคตามปกติ 6.2 หากผปู้ ่วยท่ีพบจากสถานประกอบการยังไมถ่ กู รายงานเขา้ สูฐ่ านขอ้ มลู ของกรมควบคุมโรค ให้ติดตอ่ กบั ผู้ปว่ ยตามขอ้ มูลหมายเลขโทรศพั ท์ทแี่ จ้งไว้ เพือ่ ใหผ้ ู้ปว่ ยมารบั การตรวจวินจิ ฉัยตอ่ ไป

๑๔๖ ๓.๔ การจดั การผู้มีอาการปว่ ยที่พบจากการคัดกรอง 1. เม่อื สถานประกอบการ/สถานทจี่ ัดงานคัดกรองพบผู้มีอาการอยา่ งใดอยา่ งหนึ่งต่อไปน้ี ไดแ้ ก่ ไอ มี น้ำมกู มีเสมหะ หายใจลำบาก หอบ หรือ ไมไ่ ด้กลน่ิ หรือมี อาการไข้ (อณุ หภูมิกายสงู กวา่ 37.5 องศา เซลเซียส) ไมใ่ หผ้ ้มู อี าการปว่ ยเข้างานหรือสถานท่โี ดยเด็ดขาด และให้แยกผปู้ ว่ ยในท่ีทจ่ี ดั ไว้ 2. หากพบผมู้ อี ุณหภูมกิ ายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส โดยไมม่ ีอาการอื่นๆ ใหแ้ ยกพักในรม่ เป็น ระยะเวลา 15 นาที และวัดซำ้ โดยจดั สถานท่ีพกั ใหม้ ีการเวน้ ระยะห่างจากบุคคลอน่ื อย่างน้อย 2 เมตร 3. ประเมินอาการผปู้ ่วยวา่ เข้าเกณฑส์ อบสวนโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่ โดยใช้การประเมิน ออนไลน์ Thai Stop Covid Plus (TSC+) สำหรับสถานประกอบการ/โรงงานประเมินมาตรฐาน GFP (เนน้ ประเมินในหวั ข้อมาตรการเมอ่ื พบผู้ป่วยติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ยืนยัน (จำนวน ๔ ขอ้ ) และมาตรการเสิรม 6 ขอ้ สำหรับโรงงานขนาดกลายและใหญ่ (เริ่มให้สถานประกอบการ/โรงงานดำเนินการประเมินภายในวนั ที่ ๑๕ มถิ ุนายน ๒๕๖๔ และประเมนิ ซำ้ ทุก ๑๔ วนั โดยการกำกับตดิ ตามของสภาอตุ สาหกรรมจงั หวดั ) 3.1 หากพบว่าผูม้ อี าการ เข้าเกณฑส์ อบสวนโรคติดเช้ือไวรสั โคโรนา 2019


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook