Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

Description: งานวิจัย/วิทยานิพนธ์

Keywords: พระสังฆาธิการ

Search

Read the Text Version

บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบ ประชาธิปไตย อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น พระประกาศติ ฉนฺทกโร (มัสการ) วทิ ยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสตู รรัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชารฐั ศาสตรก์ ารปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั มกราคม 2561 (ลขิ สิทธเิ์ ป็นของมหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย)

บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบ ประชาธิปไตย อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น พระประกาศติ ฉนฺทกโร (มัสการ) วทิ ยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสตู รรัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชารฐั ศาสตรก์ ารปกครอง บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั มกราคม 2561 (ลขิ สิทธเิ์ ป็นของมหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย)

ROLES OF ECCLESIASTICAL ADMINISTRATIVE MONKS TOWARDS DEMOCRATIC ADMINISTRATION OF THE SANGHA COUNCIL IN CHUMPHAE DISTRICT, KHONKAEN PROVINCE PHRA PRAKASIT CHANTHAKARO (MATSAKARN) A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY JANUARY 2018 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)

ก 5820850312005: สาขาวิชา รฐั ศาสตร์การปกครอง; ร.ม. (รฐั ศาสตรมหาบัณฑติ ) คาสาคัญ : บทบาท, พระสังฆาธิการ, การบรหิ ารจดั การ, พระประกาศิต ฉนฺทกโร (มัสการ): บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (ROLES OF ECCLESIASTICAL ADMINISTRATIVE MONKS TOWARDS DEMOCRATIC ADMINISTRATION OF THE SANGHA COUNCIL IN CHUMPHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE) คณะกรรมควบคุมวิทยานิพนธ์ : พระนิทัศน์ ธีรปัญฺโญ, ดร. อาจารย์ท่ีปรึกษา, ดร.ปดิษฐ์ คาดี. อาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม. 197 หน้า. ปี พ.ศ. 2561 วิทยานิพนธน์ ้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศกึ ษา 1) บทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย 2) เปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตาม ระบอบประชาธิปไตย และ 3) ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามบทบาทของ พระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ พระ สังฆาธิการในเขตอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จานวน 157 รูป กลุ่มตัวอย่างคานวณหาขนาด ตัวอย่างจากสูตรทาโรยามาเน่ จานวน 113 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบ สอบถาม ท่มี ีระดับความเช่ือมั่น 0.84 และแนวทางการสัมภาษณ์ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถิติสาหรับทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ F-test ทีร่ ะดบั นยั สาคญั ทางสถติ ิ .05 ผลการวิจยั พบวา่ 1) บทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตยอาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ พบวา่ บทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย โดยรวมอยใู่ นระดบั มากท่สี ดุ เมอื่ พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบวา่ อยใู่ นระดับมากที่สุดทุกด้าน เรียง ลาดับ ด้านทม่ี คี า่ เฉล่ียจากสงู สดุ ไปหาตา่ สุด ได้แก่ ดา้ นการปกครอง รองลงมาคือ ด้านการเผยแผ่ศาสนา ด้าน การศาสนศกึ ษา ด้านสาธารณูปการ ดา้ นสาธารณะสงเคราะห์ และดา้ นการศึกษาสงเคราะห์ 2) ผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบ ประชาธิปไตย พบว่า พระสังฆาธิการที่มีพรรษา วุฒิการศึกษาสายสามัญ วุฒิการศึกษาเปรียญธรรม และตาแหน่งพระสังฆาธิการแตกต่างกัน มีบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตาม ระบอบประชาธปิ ไตยแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติทรี่ ะดับ .05 3) ปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย ปัญหาได้แก่ พระภิกษุสามเณรไม่สนใจในการศึกษาพระธรรม วินยั ขอ้ เสนอแนะได้แก่ ควรตักเตือนสตพิ ระสงฆป์ ระพฤตปิ ฏบิ ัติอยู่ในกรอบของพระวินยั อยา่ งเครง่ ครัด

ข 5820850312005: MAJOR: GOVERNMENT; M.Pol.Sc. (MASTER OF POLITICAL SCIENCE) KEYWORDS : ROLES, FOUNDATION, MANAGEMENT PHRAPRAKASIT MATSAKARN: ROLES OF ECCLESIASTICAL ADMINISTRATIVE MONKS TOWARDS DEMOCRATIC ADMINISTRATION OF THE SANGHA COUNCIL IN CHUMPHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE. ADVISORY COMMUNITY: PHRANITAT TEERAPANYO, DR. ADVISOR, DR.PADIT KUMDEE, CO-ADVISOR, 197 PP., B.E. 2561 (2018). This thesis aims to study: 1) The roles of sangha leaders in the administration of monastic orders in democratic system, 2) Compare the roles of the sangha leaders in the administration of monastic orders in the democratic system and 3) Problems, obstacles, and suggestions to follow the roles of sangha leaders in the administration of monastic orders in democratic system. The research population included the 157 monks in Chum Phae District, Khon Kaen Province. The 113 samples are the representative from Taro Yamane. The instrument used for data collection was a questionnaire with a confidence level of 0.84 and Interview Guide. Statistics used in data analysis were frequency, percentage, mean, and standard deviation. The statistic for the hypothesis test was F-test at statistically significant level .05. The research of research were found as follws: 1) The roles of sangha leaders in the management of monastic orders in Chum Phae District, Khon Kaen Province Overall, at the highest level. When considering each aspect, it was found that all aspects are at the highest. The highest rank was from the highest to the lowest, the highest was the administration, the second was the propaganda. Religious education Public Works, Public Charities and the education. 2) The comparison of the roles of the sangha leaders in the administration of the monastic orders in the democratic system revealed the common line qualification Education and the position of the monk is affect the role differently. The roles of monks in the administration of monastic orders under the democratic system was significantly different at .05 level.

ค 3) Problems, obstacles, and suggestions to follow the roles of the sangha leaders in administering the monastic orders in the democratic system, namely, monks, novices, are interested in studying the Dharma. Suggestions are: The monks should reminded that the novice monks practice strictly within the framework of the discipline.

ง ประกาศคุณูปการ วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีสาเร็จลงได้เพราะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือและความกรุณาจาก หลายฝ่าย ผู้วิจัยจึงขอขอบคุณสถาบัน องค์กร และบุคคลที่ได้ให้ความช่วยเหลือได้แก่ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวทิ ยาลัย และคณาจารย์ทกุ ทา่ นที่ได้ประสิทธิป์ ระสาทวิชาจนสามารถนาความรู้ มาเขียน วิทยานพิ นธ์นี้ได้ และกรุณาช้แี นะนาทางในการศกึ ษาค้นควา้ ขอขอบคุณ พระอาจารย์นิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร.(วงศ์วังเพ่ิม) อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และอาจารย์ ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม ท่ีกรุณาแก้ไขเพ่ิมเติมเนื้อหาและ แน ะน าเก่ีย ว กับรู ปแบบการ จั ดพิมพ์ส าร นิ พน ธ์ให้ ถูกต้อง ส มบูร ณ์ด้ว ย ดี ตามรู ปแบบของบัณฑิต วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทั้งห้าท่าน ประกอบด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล ดร.วินิจ ผาเจริญ, ดร.ทองแพ ไชยต้นเทือก, รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ และ ดร.พูล สวัสด์ิ นาทองคา ทีก่ รณุ าตรวจสอบและชว่ ยแก้ไขเครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั ครั้งนี้ ขอขอบคุณคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ซ่ึงประกอบด้วย รองศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุกิจ ชัยมุสิก ประธานกรรมการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล ดร.ปดิษฐ์ คาดี รอง ศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจนั ทร์ พระนิทศั น์ ธีรปญั โญ, ดร. (วงศว์ งั เพิม่ ) ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยทุกท่านท่ีได้อุทิศแรงกาย และแรงใจให้บริการที่ดีเยี่ยม สนับสนุนการทาวิทยานิพนธ์ ซ่ึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสาเร็จ ตลอดจนขอขอบคุณเพื่อน ๆ ท่ีให้ความช่วยเหลือด้วยการเติมเต็มส่ิงท่ีขาดแคลนและคอยให้กาลังใจ ด้วยดี เสมอมาและขาดมิได้คือคุณวิญา วงศ์ลิขิตปัญญา ผอ.โรงเรียนเต็กก่าดรุณธรรม เป็นผู้ให้ความ อปุ ถมั ภด์ ้านการศึกษา ทุกทา่ นที่กลา่ วมา ไดเ้ สียสละเวลาอนั มคี ่าในการให้คาปรึกษา แนะนาองค์ความรู้ให้บริการ และชว่ ยเหลือแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของสารนพิ นธ์ฉบับน้ีจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ ท้ายท่ีสุดขอขอบคุณ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ตลอดจนทุกท่านท่ีมีส่วนช่วยส่งเสริมให้วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีสาเร็จลงได้ ด้วยดที ุกประการ พระประกาศติ ฉนฺทกโร (มสั การ)

สารบัญ หนา้ ก บทคัดย่อภาษาไทย ข บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ ง ประกาศคณุ ูปการ จ สารบญั ช สารบญั ตาราง น สารบัญแผนภูมิ บทที่ 1 1 1 บทนา 2 1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา 3 1.2 วัตถปุ ระสงค์การวิจยั 3 1.3 สมมตฐิ านการวจิ ัย 4 1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 4 1.5 คานิยามศัพท์ทใี่ ชใ้ นวิจยั 6 1.6 ประโยชน์ทไี่ ด้รับจากการวจิ ัย 6 10 2 เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง 14 2.1 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกบั บทบาท 19 2.2 แนวคดิ เกย่ี วกบั การบริหารจัดการ 43 2.3 แนวคดิ เกยี่ วกบั การปกครองในระบอบประชาธิปไตย 44 2.4 แนวคิดเกี่ยวกับพระสังฆาธิการ 48 2.5 บรบิ ทพนื้ ท่ีการศกึ ษา 49 2.6 งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง 49 2.7 สรปุ กรอบแนวคิดการวจิ ัย 50 50 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ยั 51 3.1 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 52 3.2 เทคนิควธิ กี ารส่มุ ตวั อยา่ ง 3.3 เครือ่ งมือที่ใช้ในการวิจัย 3.4 การสรา้ งและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล

สารบัญ (ตอ่ ) ฉ 3.6 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล หน้า 3.7 สถิตทิ ใ่ี ช้ในการวิจยั 52 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 53 4.1 สญั ลกั ษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 56 4.2 ลาดบั ขัน้ ตอนการวิเคราะหข์ ้อมูล 56 4.3 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 56 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 58 5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั 144 5.2 อภปิ รายผลการวิจัย 144 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 148 บรรณานกุ รม 154 ภาคผนวก 156 ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครือ่ งมอื 160 ภาคผนวก ข รายนามผ้ใู หส้ มั ภาษณ์ 161 ภาคผนวก ค หนงั สือขอความอนเุ คราะหเ์ ปน็ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมอื 163 ภาคผนวก ง หนังสอื ขอความอนเุ คราะห์เกบ็ รวบรวมข้อมูล 165 ภาคผนวก จ แบบสอบถาม 171 ภาคผนวก ฉ แบบสมั ภาษณ์ 174 ภาคผนวก ช แบบประเมนิ ค่าดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถาม 181 ภาคผนวก ซ คา่ ความเช่ือมนั่ ของแบบสอบถาม 184 ภาคผนวก ฌ ภาพประกอบการสัมภาษณ์ 187 ประวัตผิ วู้ จิ ยั 190 197

สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 4.1 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามอายุ 58 4.2 แสดงจานวน และร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามพรรษา 58 4.3 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามวุฒิการศึกษาสาย 59 สามัญ 59 4.4 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามวุฒิการศึกษาทาง 60 ธรรม 60 4.5 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามวุฒิการศึกษา เปรยี ญธรรม 61 4.6 แสดงจานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามตาแหน่งพระ สังฆาธกิ าร 62 4.7 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 63 จงั หวัดขอนแกน่ โดยรวมและรายดา้ น 4.8 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 64 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ดา้ นการปกครองคณะสงฆ์ 65 4.9 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 66 จงั หวดั ขอนแก่น ด้านการศาสนศกึ ษา 4.10 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ดา้ นการศกึ ษาสงเคราะห์ 4.11 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ด้านการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนา 4.12 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ดา้ นการสาธารณปู โภค

ซ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.13 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 67 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 68 จงั หวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณสงเคราะห์ 69 4.14 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 70 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 70 จงั หวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามอายุ 71 4.15 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 71 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ที่มี 72 อายุตา่ งกัน 72 4.16 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นการปกครอง จาแนกตามอายุ 4.17 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ที่มีอายตุ า่ งกนั 4.18 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ด้านการศาสนศกึ ษา จาแนกตามอายุ 4.19 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศาสนศกึ ษา ท่มี ีอายุตา่ งกัน 4.20 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านการศึกษาสงเคราะห์ จาแนกตามอายุ 4.21 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศึกษาสงั เคราะห์ ทมี่ ีอายุต่างกนั

ฌ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.22 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 73 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 73 จังหวัดขอนแกน่ ดา้ นการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา จาแนกตามอายุ 74 4.23 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 74 จัดการสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย แผ่พระพทุ ธศาสนา ทมี่ ีอายตุ ่างกนั 75 4.24 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 76 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 76 จงั หวดั ขอนแก่น ด้านการสาธารณปู การ จาแนกตามอายุ 77 4.25 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 77 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณปู การ ทมี่ อี ายุต่างกัน 4.26 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ จาแนกตามอายุ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.27 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการสาธารณูสงเคราะห์ จาแนกตามอายุ 4.28 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณสู งเคราะห์ ทม่ี อี ายุต่างกนั 4.29 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามพรรษา 4.30 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จดั การสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ที่มี พรรษาตา่ งกนั

ญ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.31 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 78 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตาม 79 พรรษา เป็นรายคตู่ ามวธิ ีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 79 4.32 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 80 จงั หวัดขอนแก่น ดา้ นการปกครอง จาแนกตามพรรษา 81 4.33 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 81 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ท่มี ีพรรษาต่างกัน 82 4.34 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 83 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการปกครอง 83 จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.35 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านการศาสนศกึ ษา จาแนกตามพรรษา 4.36 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศาสนศกึ ษา ทม่ี พี รรษาตา่ งกนั 4.37 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศาสนศึกษา จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.38 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านการศกึ ษาสงเคราะห์ จาแนกตามพรรษา 4.39 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้าน การศึกษาสงเคราะห์ ทม่ี ีพรรษาต่างกัน

ฎ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.40 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศึกษาสงเคราะห์ 84 จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) 85 ของ Fisher 85 4.41 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 86 จังหวัดขอนแกน่ ด้านการเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา จาแนกตามพรรษา 87 4.42 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 87 จดั การสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย แผ่พระพทุ ธศาสนา ท่ีมีพรรษาต่างกนั 88 4.43 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 89 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนา จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Dif- ference) ของ Fisher 4.44 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นการสาธารณปู การ จาแนกตามพรรษา 4.45 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณูปการ ทีม่ ีพรรษาตา่ งกัน 4.46 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.47 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น ด้านการสาธารณสู งเคราะห์ จาแนกตามพรรษา

ฏ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.48 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 89 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณูสงเคราะห์ ที่มีพรรษาตา่ งกัน 90 4.49 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 91 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณู 91 สงเคราะห์ จาแนกตามพรรษา เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 92 4.50 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 93 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 93 จงั หวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามวุฒิการศกึ ษาสายสามญั 94 4.51 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 94 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ท่ีมี วุฒิการศึกษาสายสามญั ตา่ งกัน 4.52 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตาม วุฒิการศึกษาสายสามัญ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Differ- ence) ของ Fisher 4.53 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแก่น ด้านการปกครอง จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ 4.54 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ที่มีวฒุ กิ ารศกึ ษาสายสามัญต่างกัน 4.55 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศาสนศกึ ษา จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ 4.56 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศาสนศึกษา ทม่ี วี ุฒิการศกึ ษาสายสามัญตา่ งกนั

ฐ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.57 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศาสนศึกษา 95 จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Sig- 96 nificant Difference) ของ Fisher 96 4.58 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 97 จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการศกึ ษาสงเคราะห์ จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาสายสามัญ 97 4.59 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ 98 ศึกษาสงเคราะห์ ท่มี วี ฒุ ิการศึกษาสายสามัญต่างกัน 99 4.60 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 99 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จาแนกตามวุฒิการศึกษาสาย สามัญ 4.61 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย แผพ่ ระพุทธศาสนา ทีม่ วี ฒุ ิการศึกษาสายสามญั ต่างกนั 4.62 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธ ศาสนา จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.63 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ดา้ นการสาธารณปู การ จาแนกตามวุฒกิ ารศกึ ษาสายสามญั 4.64 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณปู การ ทมี่ ีวุฒกิ ารศึกษาสายสามัญตา่ งกัน

ฑ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.65 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ 100 จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Sig- 101 nificant Difference) ของ Fisher 101 4.66 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 102 จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการสาธารณสู งเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศกึ ษาสายสามญั 103 4.67 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 103 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ 104 สาธารณูสงเคราะห์ ทม่ี วี ฒุ ิการศึกษาสายสามญั ต่างกัน 104 4.68 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 105 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณู สงเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศึกษาสายสามัญ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.69 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางธรรม 4.70 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ที่มี วฒุ กิ ารศึกษาทางธรรมต่างกนั 4.71 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น ด้านการปกครอง จาแนกตามวฒุ กิ ารศกึ ษาทางธรรม 4.72 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ทมี่ ีวุฒิการศึกษาทางธรรมตา่ งกนั 4.73 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ ดา้ นการศาสนศึกษา จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาทางธรรม

ฒ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.74 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 105 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ 106 ศาสนศึกษา ท่มี วี ุฒกิ ารศึกษาทางธรรมตา่ งกนั 106 4.75 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 107 จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการศกึ ษาสงเคราะห์ จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาทางธรรม 107 4.76 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 108 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ 108 ศึกษาสงเคราะห์ ทีม่ ีวุฒกิ ารศึกษาทางธรรมต่างกนั 109 4.77 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 109 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จาแนกตามวุฒิการศึกษาทาง ธรรม 4.78 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย แผ่พระพทุ ธศาสนา ทีม่ วี ฒุ กิ ารศกึ ษาทางธรรมตา่ งกัน 4.79 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นการสาธารณูปการ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางธรรม 4.80 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณปู การ ทม่ี วี ุฒิการศกึ ษาทางธรรมตา่ งกัน 4.81 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ด้านการสาธารณูสงเคราะห์ จาแนกตามวุฒกิ ารศกึ ษาทางธรรม 4.82 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณสู งเคราะห์ ทม่ี ีวฒุ กิ ารศึกษาทางธรรมต่างกนั

ณ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.83 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 110 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 110 จังหวดั ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษาทางเปรยี ญธรรม 4.84 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 111 จัดการสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ท่ีมี 112 วุฒกิ ารศึกษาทางเปรียญธรรมต่างกัน 112 4.85 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 113 ตามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามวุฒิ 113 การศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 114 4.86 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น ดา้ นการปกครอง จาแนกตามวฒุ กิ ารศกึ ษาทางเปรียญธรรม 4.87 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ท่ีมวี ฒุ ิการศกึ ษาทางเปรยี ญธรรมตา่ งกนั 4.88 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ด้านการศาสนศึกษา จาแนกตามวุฒิการศกึ ษาทางเปรยี ญธรรม 4.89 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศาสนศึกษา ท่มี วี ฒุ กิ ารศกึ ษาทางเปรียญธรรมตา่ งกนั 4.90 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศาสนศึกษา จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher

ด สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.91 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 115 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 115 จังหวัดขอนแก่น ด้านการศึกษาสงเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญ 116 ธรรม 117 4.92 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 117 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ 118 ศึกษาสงเคราะห์ ท่ีมีวุฒกิ ารศกึ ษาทางเปรียญธรรมตา่ งกนั 119 4.93 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 119 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศึกษา สงเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.94 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จาแนกตามวุฒิการศึกษาทาง เปรยี ญธรรม 4.95 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จดั การสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย แผพ่ ระพทุ ธศาสนา ท่ีมวี ุฒกิ ารศึกษาทางเปรยี ญธรรมต่างกัน 4.96 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระ พุทธศาสนา จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.97 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญ ธรรม 4.98 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณูปการ ทีม่ ีวุฒิการศึกษาทางเปรยี ญธรรมต่างกัน

ต สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.99 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 120 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ 121 จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least 121 Significant Difference) ของ Fisher 122 4.100 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 123 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 123 จงั หวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูสงเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญ 124 ธรรม 125 4.101 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณสู งเคราะห์ ท่มี ีวุฒกิ ารศึกษาทางเปรยี ญธรรมต่างกนั 4.102 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณู สงเคราะห์ จาแนกตามวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.103 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ าร 4.104 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จดั การสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ท่ีมี ตาแหนง่ พระสังฆาธกิ ารตา่ งกัน 4.105 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตาม ตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Dif- ference) ของ Fisher 4.106 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ด้านการปกครอง จาแนกตามตาแหน่งพระสงั ฆาธิการ

ถ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.107 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 125 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ปกครอง ทม่ี ตี าแหน่งพระสงั ฆาธิการต่างกนั 126 4.108 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ 127 ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการปกครอง 127 จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Sig- nificant Difference) ของ Fisher 128 4.109 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ 129 สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 129 จังหวัดขอนแกน่ ด้านการศาสนศกึ ษา จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ 4.110 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 130 จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศาสนศกึ ษา ทีม่ ตี าแหนง่ พระสังฆาธิการตา่ งกัน 4.111 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศาสนศึกษา จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Sig- nificant Difference) ของ Fisher 4.112 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ ด้านการศกึ ษาสงเคราะห์ จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธกิ าร 4.113 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ ศกึ ษาสงั เคราะห์ ทีม่ ีตาแหน่งพระสังฆาธิการตา่ งกนั 4.114 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการศึกษา สงเคราะห์ จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher

ท สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.115 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ 131 จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆา 131 ธิการ 4.116 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร 132 จดั การสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผย 133 แผ่พระพุทธศาสนา ที่มีตาแหน่งพระสงั ฆาธิการตา่ งกนั 133 4.117 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการเผยแผ่พระ 134 พุทธศาสนา จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD 135 (Least Significant Difference) ของ Fisher 135 4.118 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ดา้ นการสาธารณูปการ จาแนกตามตาแหนง่ พระสังฆาธิการ 4.119 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณปู การ ทม่ี ีตาแหนง่ พระสงั ฆาธกิ ารตา่ งกัน 4.120 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณูปการ จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Sig- nificant Difference) ของ Fisher 4.121 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับบทบาทของพระ สังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านการสาธารณูสงเคราะห์ จาแนกตามตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการ 4.122 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหาร จัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการ สาธารณสู งเคราะห์ ท่ีมีตาแหน่งพระสังฆาธกิ ารตา่ งกนั

ธ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.123 แสดงผลการเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในการบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการสาธารณู 136 สงเคราะห์ จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธิการ เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD 137 (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.124 แสดงจานวน และร้อยละข้อเสนอแนะเกี่ยวกับบทบาทของพระสังฆาธิการในการ บริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น

สารบัญแผนภูมิ น แผนภมู ิท่ี หน้า 2.1 แสดงสรุปกรอบแนวคดิ ที่ใชใ้ นการวิจยั 48

บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นและควำมสำคญั ของปญั หำ การบริหารคณะสงฆ์มีมาแล้วต้ังแต่พุทธกาลหลักที่ใช้คือพระธรรมวินัยเมื่อพระพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้วเกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นจึงได้มีการทาปฐมสังคายนาข้ึนที่เมืองราชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปเป็นประธานการบริหารคณะสงฆ์ก็เรียบร้อยมาได้ระยะหน่ึงต่อมาก็เกิดถือลัท ธิ ตา่ งกนั เกดิ ความไม่เรียบร้อยข้ึนอีกเป็นเช่นน้ีตลอดมา เม่ือพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ประมาณ 200 ปี เศษพระเจ้าอโศกมหาราชได้ครอบครองอาณาจักรอินเดียอย่างกว้างขวางพระองค์เลื่อมใสใน พระพุทธศาสนาได้ยกพระพุทธศาสนาเป็นประธานสาหรับประเทศเป็นครั้งแรกพวกเดียรถีย์ได้ปลอม ตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาเพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตนเป็นอันมากเกิดความไม่เรียบร้อย ขึ้นในสังฆมณฑลพระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรเป็นประธานสังคายนาพระ ธรรมวินัยที่เมืองปาตลีบุตรเม่ือ พ.ศ. 236 วางระเบียบพระธรรมวินัยให้รวมลงเป็นอย่างเดียวกัน สังฆมณฑลจึงได้บริหารพระสงฆ์ด้วยความเรียบร้อยสืบต่อมาเม่ือพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ออกไปยัง ประเทศต่าง ๆ การบริหารสังฆมณฑลจึงต้องอนุโลมไปตามแบบแผนประเพณีของประเทศนั้น ๆ ในบางส่วนเพ่ือให้พุทธจักรและอาณาจักรเป็นไปด้วยดีท้ังสองฝ่ายสรุปแล้วพระภิกษุสงฆ์มีกฎหมายที่ พงึ ปฏบิ ัตอิ ยสู่ ามประเภทคือพระวินัย จารตี และกฎหมายแผ่นดิน หลังจากพุทธปรินิพพานมาแล้ว การปกครองคณะสงฆ์เร่ิมต้นด้วยการสังคายนาเพื่อรวบ รวมพระธรรมวินัยให้เข้าเป็นหมวดหมู่ และมีการตรวจสอบเพ่ือความถูกต้องตามหลักธรรมวินัยท่ี พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ เพ่ือป้องกันมิให้กระจัดกระจาย ในภายหลังพุทธกาลไม่นาน คณะสงฆ์เร่ิมมี ความคดิ เห็นเกี่ยวกับหลักธรรมวินัยแตกต่างกันไป จนเกิดความแตกแยกในหมู่คณะสงฆ์โดยแบ่งแยก รูปแบบการปกครองออกไปหลายคณะ และอานิสงส์จากการทาสังคายนาครั้งที่ 3 ทาให้ประเทศไทย ไดร้ ับพทุ ธศาสนามาเผยแผ่ในเมืองไทย เริ่มจากดินแดนสุวรรณภูมิ สู่อาณาจักรสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนกระทั้งมาจนถึงทุกวันน้ี การปกครองคณะสงฆ์ไทยยัง ปฏิบัติตามรูปแบบการปกครองของพระพุทธองค์ถือตามพระธรรมวินัยเป็นหลัก ถึงแม้คณะสงฆ์จะมี ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรกับอาณาจักร การพ่ึงอานาจรัฐน่าจะเป็นการสร้างความศักดิ์สิทธิ์ ให้กับพระธรรมวินัยและความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา ในขณะที่ประเทศกาลังพัฒนาไปตาม อารยประเทศ ถึงอย่างไรก็ตาม พระสงฆ์ก็ยังอยู่บนกรอบแห่งพระธรรมวินัยเดี ยวกันนั้นเอง (พระเมธีธรรมาภรณ์, 2549, หนา้ 12)

2 ดังนั้นในปัจจุบัน การปกครองคณะสงฆ์ จึงถือว่าเป็นปัจจัยสาคัญ เพราะถ้ามีระบบการ ปกครองดีศาสนาก็จะมีความเจริญมั่นคง การปกครองหรือการบริหารที่ดีนั้น จะต้องมีรูปแบบและ วิธีการจัดการ หรือมีแนวคิดซึ่งข้ึนอยู่กับการแบ่งงานมอบหมายอานาจและกระจายงานให้ผู้อยู่ฝ่าย บริหารหรือระดับต่าง ๆ รับผิดชอบตามความรู้ความสามารถของตน และพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เพราะการปกครองคณะสงฆ์เป็นเกณฑ์การจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ (กรมการศาสนา, 2540, หน้า 1) การปกครองคณะสงฆ์จึงถือว่าเป็นหัวใจหลักในการบริหารจัดการกิจการของคณะสงฆ์ คือ ด้านการปกครอง ด้านการศึกษา ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ด้านการเผยแผ่ ด้านสาธารณูปการ และ ด้านสาธารณสงเคราะห์ ให้ดาเนินไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎระเบียบ มหาเถรสมาคม ข้อบังคับ มติ พระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชหรือคาส่ังของผู้บังคับบัญชาเหนือตน การระงับ อธิกรณ์ การวินิจฉัย การลงนิคหกรรม การวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ต่าง ๆ ตลอดถึงการแต่งตั้งถอดถอน เจ้าคณะพระสงั ฆาธิการ ควบคมุ ดูแลใหเ้ ป็นไปตามขอ้ วตั รปฏบิ ตั ขิ องจริยาพระสังฆาธิการ และสถาบัน ของพระสงฆ์ไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้ตระหนักถึงความสาคัญในระบบการปกครองคณะสงฆ์ใน ด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัจจุบันน้ี วิทยาการด้านการบริหารและด้านการจัดการก้าวหน้าไปมาก คณะสงฆ์ควรจะได้ใช้วิทยาการเหล่านั้นมาช่วยเสริมการบริหารและปกครองคณะสงฆ์ กิจการ คณะสงฆ์บางอยา่ งอาจอาศยั การบรหิ ารแบบราชการของฝ่ายบ้านเมือง กิจการคณะสงฆ์บางอย่างอาจ อาศัยการบริหารที่คล่องตัวแบบภาคเอกชน และกิจการบางอย่างต้องบริหารตามหลักพระธรรมวินัย ท่สี อดคลอ้ งกบั หลักประชาธิปไตย จากบทบาทหน้าที่ดังกล่าวเป็นหน้าที่กว้างขวางเป็นอย่างมากในการบริหารกิจการ ให้ เปน็ ไปตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์ ผูว้ จิ ัยเหน็ ว่าจึงสมควรศึกษาบทบาทของพระสงั ฆาธกิ าร มีความแตกต่าง อะไรบ้างที่มีผลต่อการบริหารกิจการคณะสงฆ์ และมีปัญหาอุปสรรคอะไร ซ่ึงผลการศึกษาที่ได้ จะนาไปเปน็ ขอ้ เสนอแนะในการบริหารกิจการคณะสงฆใ์ ห้เกดิ ประสิทธิภาพประสิทธผิ ลตอ่ ไป 1.2 วัตถปุ ระสงค์กำรวจิ ยั 1.2.1 เพ่ือศึกษาบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแก่น 1.2.2 เพ่ือเปรียบเทียบบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบ ประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ 1.2.3 เพ่ือศกึ ษาปัญหาอปุ สรรคและข้อเสนอแนะในการปฏิบัติตามบทบาทของพระสังฆาธิ การในบรหิ ารจดั การสงฆต์ ามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่

3 1.3 สมมติฐำนกำรวิจยั 1.3.1 พระสงั ฆาธกิ ารทีม่ อี ายแุ ตกต่างกนั มบี ทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ ตามระบอบประชาธิปไตยแตกตา่ งกนั 1.3.2 พระสังฆาธิการท่ีมีพรรษาแตกต่างกันมีบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการ สงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตยแตกต่างกัน 1.3.3 พระสังฆาธิการท่ีมีวุฒิการศึกษาสามัญ แตกต่างกันมีบทบาทของพระสังฆาธิการ ในบรหิ ารจดั การสงฆต์ ามระบอบประชาธิปไตยแตกต่างกนั 1.3.4 พระสังฆาธิการที่มีวุฒิการศึกษาทางธรรมแตกต่างกันมีบทบาทของพระสังฆาธิการ ในบรหิ ารจดั การสงฆต์ ามระบอบประชาธิปไตยแตกตา่ งกนั 1.3.5 พระสังฆาธิการท่ีมีวุฒการศึกษาทางเปรียญธรรมแตกต่างกันมีบทบาทของ พระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตยแตกตา่ งกัน 1.3.6 พระสังฆาธิการที่มีตาแหน่งปกครอง แตกต่างกันมีบทบาทของพระสังฆาธิการใน บริหารจัดการสงฆต์ ามระบอบประชาธปิ ไตยแตกตา่ งกนั 1.4 ขอบเขตของกำรวจิ ยั 1.4.1 ขอบเขตดำ้ นประชำกร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาท่ีใช้ในการศึกษา คร้ังนี้ ได้แก่ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอ ชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น จานวน 157 รปู และกลุ่มตวั อยา่ ง 113 รปู 1.4.2 ขอบเขตด้ำนเน้อื หำ การวิจัยคร้ังน้ีศึกษาบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบ ประชาธปิ ไตย อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ ใน 6 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง ด้านการศาสนศึกษา ดา้ น การศึกษาสงเคราะห์ ดา้ นการเผยแผ่ศาสนา ด้านสาธารณูปการ และด้านสาธารณสงเคราะห์ 1.4.3 ขอบเขตด้ำนระยะเวลำ ระยะเวลาทใี่ ช้ในการดาเนินการครงั้ น้ี ต้งั แตเ่ ดือน กันยายน พ.ศ. 2559 – ธนั วาคม 2560 1.4.4 ขอ้ ตกเบอ้ื งต้น บริหารจัดการสงฆ์ หมายถึง การบริหารงานคณะสงฆ์ (มหานิกาย) เฉพาะพระสังฆาธิการ ท่มี ตี าแหน่งในทางการปกครอง ในเขต อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น

4 1.5 ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ ับจำกกำรวจิ ยั 1.5.1 นาผลการศกึ ษาทไี่ ดไ้ ปเป็นข้อเสนอแนะในการพัฒนาการบริหารจัดการกิจการคณะ สงฆ์ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อสังคมและชมุ ชนต่อไป 1.5.2 นาข้อมูลท่ีได้นาไปเป็นแนวทางในการศึกษาบริหารจัดการกิจการคณะสงฆ์ในพ้ืนท่ี อืน่ ต่อไป 1.5.3 นาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการพัฒนา ด้านศึกษาสงเคราะห์ ด้านสาธารณสงเคราะห์ และดา้ นสาธารณูปการ ซ่งึ มกี ารพัฒนานอ้ ยเมื่อเปรียบเทียบกับดา้ นอน่ื ๆ 1.5.4 นาเป็นข้อมูลในการพัฒนาศักยภาพ พระสังฆาธิการ เพื่อให้บริหารงานคณะสงฆ์ให้ เจริญร่งุ เรอ่ื งตอ่ ไป 1.6 นยิ ำมศัพทเ์ ฉพำะ บทบำท หมายถงึ การแสดงออก พฤติกรรม หรือการกระทาท่ีส่งผลถึงส่ิงรอบข้างให้มีการ เปลี่ยนแปลงไปในทศิ ทางท่ีดขี ้นึ ในทางใดทางหนึ่ง พระสังฆำธิกำร หมายถึง พระภิกษุผู้ได้รับการแต่งต้ังให้ได้รับตาแหน่งทางการปกครอง ในเขตพนื้ ท่ีแตง่ ตัง้ ใหเ้ ปน็ เจ้าอาวาสวดั ในอาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแก่น กำรบริหำรจัดกำร หมายถึง การที่พระสังฆาธิการจะต้องปฏิบัติหรือจะต้องกระทาอันถือ เป็นหน้าที่หลักทางปกครองคณะสงฆ์ ประกอบด้วย การปกครอง การศาสนศึกษา การศึกษา สงเคราะห์ การเผยแพร่พุทธศาสนา การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ ซึ่งเป็นกิจการพระ ศาสนาทเ่ี น้นทเ่ี น้นงานในหน้าท่ีขององคก์ รปกครองคณะสงฆ์ โดยแท้ ประกอบดว้ ย 6 ด้าน ด้ำนกำรปกครอง หมายถึง การปกครองคณะสงฆ์และปฏิบัติหน้าท่ีของพระสังฆาธิการ ในการดูแล ควบคุม และส่งเสริมการรักษาความสงบเรียบร้อยละของคณะสงฆ์ในวัด ให้ปฏิบัติพระ ธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คาสั่ง มติ ประกาศของเถรสมาคม และ ตามพระบัญชาของพระสงั ฆราช ด้ำนกำรศำสนศึกษำ หมายถึง การจัดให้มีการศึกษาและเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแก่ บรรพชิตและคฤหัสถ์ทั้งแผนกบาลีและแผนกธรรม รวมทั้งส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรได้เรียนใน สานักเรียนทวี่ ดั ใกล้เคยี งด้วย ด้ำนกำรศึกษำสงเครำะห์ หมายถึง การจัดการศึกษาเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลสถาบัน การศกึ ษาหรอื จดั สถานศกึ ษาภายในวัด เพอ่ื สงเคราะห์แก่เด็กและเยาวชนให้ได้รับการศึกษาโดยไม่ขัด ต่อธรรมวินัย เช่น โรงเรียนการกุศลภายในวัด โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เด็กยากจนศูนย์ศึกษา พระพุทธศาสนาวันอาทติ ย์ หรือศนู ย์อบรมเดก็ ก่อนวัยเรียน

5 ด้ำนกำรเผยแผ่พระพุทธศำสนำ หมายถึง การจัดให้มีการเทศนา การจัดเกี่ยวกับการ อบรมสมถะและวิปัสสนากรรมฐาน จากการบรรยายหรือปาฐกถา การจัดศาสนพิธีต่าง ๆ เพื่อรักษา พิธกี รรม และวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทงั้ เผยแผ่ธรรมทางวทิ ยุชมชน ดำ้ นกำรสำธำรณปู กำร หมายถงึ การกอ่ สรา้ ง และการบรู ณปฏสิ งั ขรณ์ศาสนสมบัติของวัด ด้วยการรักษา ซ่อมแซม ปรับปรุง ตกแต่งศาสนสถานที่มีอยู่เดิมให้ม่ันคงถาวร และการก่อสร้างเพิ่ม เติมให้เหมาะสมกบั ศาสนสมบัตทิ ี่จาเปน็ ตอ่ การดารงพระพุทธศาสนาใหม้ ่นั คง ด้ำนกำรสำธำรณะสงเครำะห์ หมายถึง การดาเนินกิจการสาธารณะประโยชน์เพื่อเช่ือ เหลือกเก้ือกูลแก่คนในชุมชนและสังคม โดยการจัดกิจกรรมอันเป็นสาธารณสมบัติหรือสาธารณกุศล เพ่ือให้ความช่วยเหลือแก่คนในชุมชนรวมถงึ การพฒั นาสงั คมและชมุ ชน สงฆ์ หมำยถึง พระภิกษุมีจานวนส่ีรูปขึ้นไปเรียกว่าสงฆ์ถึงจะทาสังฆกรรมได้ เช่น อปุ สมบทใชส้ งฆ์ 10 รูป เจรญิ พระพุทธมนต์ใช้ 4 รูปขึ้นไปเปน็ ตน้ ประชำธปิ ไตย หมายถงึ การบริหารจัดการ 6 ด้านของการปกครองคณะสงฆ์ อำยุ หมายถึง อายุของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งเป็น 20-30 ปี, 31- 40 ปี, 41-50 ปี, 51-60 ปี และ 61 ขึน้ ไป พรรษำ หมายถึง พรรษาของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งจานวนปีที่บวช 1-10 พรรษา, 11-20 พรรษา และ มากกวา่ 20 พรรษาข้นึ ไป วุฒิกำรศึกษำสำยสำมัญ หมายถึง ระดับการศึกษาสายสามัญของผู้ตอบแบบสอบถาม วทิ ยานพิ นธฉ์ บับนี้ แบ่งเปน็ ต่ากว่าปริญญาตรี, ปริญญาตรี และสูงกว่าปรญิ ญาตรี วุฒิกำรศึกษำทำงธรรม หมายถึง ระดับการศึกษาทางธรรมของผู้ตอบแบบสอบถาม วทิ ยานพิ นธฉ์ บับนี้ แบง่ เปน็ นกั ธรรมชั้นตรี, นกั ธรรมชั้นโท และนักธรรมชัน้ เอก วฒุ ิกำรศึกษำเปรยี ญธรรม หมายถงึ ระดับการศึกษาเปรียญธรรมของผู้ตอบแบบสอบถาม วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งเป็น ไม่มีวุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรม, ประโยค 1-2 ถึง ปธ. 3, และ ปธ. 4-6 ตำแหน่งพระสังฆำธิกำร หมายถึง ตาแหน่งของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งเป็น เจา้ คณะอาเภอ, รองเจา้ คณะอาเภอ, เจ้าคณะตาบล, เจา้ อาวาส และรองเจา้ อาวาส

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง การวิจัยเรื่องบทบาทของพระสังฆาธิการในบริหารจัดการสงฆ์ตามระบอบประชาธิปไตย อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวการ วิจัย ดงั นี้ 2.1 แนวคิดที่เก่ียวข้องกบั บทบาท 2.2 แนวคดิ เกีย่ วกับการบริหารจดั การ 2.3 แนวคดิ เกี่ยวกบั ประชาธปิ ไตย 2.4 แนวคิดเก่ียวกับพระสงั ฆาธิการ 2.5 บรบิ ทพ้นื ทก่ี ารศกึ ษา 2.6 ผลงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง 2.7 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 2.1 แนวคดิ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั บทบาท 2.1.1 ความหมายบทบาท (Role) ได้มีนักวิชาการท้ังชาวไทยและต่างประเทศ ได้ให้ความหมายหรือคานิยามของคาว่า “บทบาท” ไว้อยา่ งกว้างขวาง ซ่งึ พอจะสรุปไดด้ ังนี้ ราชบัณฑิตยสถาน (2546, หน้า 459) ได้ให้ความหมายว่า บทบาท หมายถึง การทาตาม หนา้ ทีท่ ่กี าหนดไว้ เชน่ บทบาทของแม่ บทบาทของครู เปน็ ตน้ อาจกล่าวได้ว่า บทบาท หมายถึง การ ปฏบิ ัตติ ามหน้าทที่ ม่ี ีสถานภาพหรอื ตาแหน่งหน้าท่ีดารงอยู่ อาจเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย หรือเป็น การปฏิบัติตามความคาดหวังของบุคคลอืน่ นิรันดร์ จงวุฒิเศย์ (2539, หน้า 19) กล่าวว่า บทบาท หมายถึง พฤติกรรมของบุคคล ท่ีผู้อ่ืนคาดหวังว่าจะต้องแสดงออก หรือกระทาให้สอดคล้องเหมาะสมกับตาแหน่งหน้าที่และความ รับผดิ ชอบท่ีบคุ คลนน้ั ดารงตาแหนง่ อยู่ รุ่งเจริญ สายพันธ์ (2540, หน้า 8) นักสังคมวิทยา กล่าวว่า บทบาท คือ การปฏิบัติตาม สทิ ธแิ ละหน้าท่ีของสถานภาพ (ตาแหน่ง) เช่น มตี าแหนง่ เป็นพอ่ บทบาทก็คือเล้ียงดูลูก เป็นครูอาจารย์ บทบาทคือ สัง่ สอนอบรมนักเรยี น เป็นคนไข้ บทบาทคือปฏิบัติตามคาส่ังของแพทย์ และกล่าวต่อไปอีก วา่ บทบาทจะชว่ ยให้บุคคลมพี ฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและกาหนดความรับผิดชอบของงานต่าง ๆ ทปี่ ฏิบตั ิ

7 จรี พรรณ กาญจนจิตรา (2544, หน้า 21) อธบิ ายของคาว่า บทบาท (Role) แยกพิจารณา ไดส้ องประการ คอื ประการแรก พจิ ารณาดา้ นโครงสร้างสังคม (Social structure) บทบาท หมายถึง ตาแหน่งทางสังคมซ่ึงแสดงถึงคุณสมบัติหรือลักษณะของบุคคลท่ีครองตาแหน่ง ส่วนประการที่สอง พิจารณาจากการแสดงบทบาทหรือการปะทะสังสรรค์ทางสังคม (Social interaction) บทบาท หมายถึง ผลเนื่องท่มี ีแบบแผนการกระทาจากการเรียนรขู้ องบุคคล อุทัย หิรัญโต (2546, หน้า197) ได้อธิบายว่า บทบาท คือ หน้าท่ีหรือพฤติกรรมอันพึง คาดหมาย ของบุคคลในแต่ละกลุ่มหรือสังคมหนึ่ง ๆ หน้าที่หรือพฤติกรรมดังกล่าว โดยปกติแล้วเป็น ส่ิงท่กี ลุ่มหรอื สงั คม หรอื วัฒนธรรมนัน้ กาหนดขน้ึ เพือ่ ความเปน็ ระเบยี บของสงั คม สมพงษ์ ดุลยอนุกิจ (2549, หน้า 56-57) บทบาท คือ ความคาดหวังเก่ียวกับพฤติกรรม ของบุคคลชุดหน่ึง ที่ควรแสดงออกมาในสถานการณ์เฉพาะหน่ึง ๆ ตาแหน่งทุกตาแหน่งในสังคมถูก คาดหวังในการแสดงบทบาทท่ีเหมาะสมเม่ือบุคคลน้ันครอบครองตาแหน่งสังคมเหล่านั้น แต่บางคน ตอ้ งแสดงในหลายบทบาทและตอ้ งเผชญิ กบั ความขดั แยง้ ของบทบาท (Role conflict) เพราะขณะที่มี ความคาดหวังจากบทบาทหนึง่ อาจจะมีความขดั แยง้ อีกบทบาทหนึ่ง ศิริรัตน์ แอดสกุล (2555, หน้า 66) ให้ความหมายของคาว่า “บทบาท” หมายถึง การ ปฏิบัติตามสิทธิหน้าที่ของสถานภาพหรืออาจกล่าวได้ว่าบทบาทหรือพฤติกรรมท่ีคาดหวังสาหรับผู้ท่ี อยู่ในสถานภาพต่าง ๆ ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร (Role expectation) เป็นบทบาทท่ีคาดหวังโดยกลุ่ม หรือสังคม เพ่ือท่ีจะได้มีการกระทาระหว่างกันได้ รวมท้ังสามารถคาดการณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นได้ เช่น บทบาทของแม่ สงั คมกจ็ ะคาดหวังไวว้ ่าจะตอ้ งเล้ียงลูก Alex Thio (2000, p. 36) ได้กล่าวถึงความหมายของคาว่า “บทบาท” ว่าคือ บทบาทท่ี ถูกคาดหวังว่าจะต้องแสดงตามสถานภาพ สถานภาพและบทบาทเหมือนเหรียญสองด้าน สถานภาพ เป็นส่ิงท่ีคงที่ (Static) แต่บทบาทเป็นสิ่งที่ไม่คงที่ (Dynamic) ข้ึนอยู่กับสถานการณ์และตัวบุคคล เป็นหลัก โดยปกติและสถานภาพและบทบาทมักจะเป็นของคู่กัน กล่าวคือ มีสถานภาพก็จะต้องมี บทบาทมาด้วย แตก่ ็ไม่เสมอไป ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า บทบาทของบุคคลในสังคมข้ึนอยู่กับสถานภาพที่ครองอยู่ และ คุณสมบัติส่วนตัวของบุคคล ซ่ึงมีความแตกต่างไปตามลักษณะและอุปนิสัย ความคิด ความรู้ ความ สามารถ มูลเหตุจงู ใจ การอบรม ความพอใจ รวมทั้งสภาพทางกายภาพและจิตใจของบุคคลที่ดาเนินต่อ บทบาทน้ัน จากความหมายของคาว่า บทบาท ดังท่ีได้กล่าว สรุปได้ว่า บทบาท หมายถึง การแสดง พฤติกรรม หรือการกระทาต่าง ๆ ของบุคคลในตาแหน่งใดตาแหน่งหนึ่งที่แสดงออกมาตามหน้าที่ท่ี ได้รับมอบหมาย โดยผกู พนั กับสถานภาพ หรือฐานะตาแหน่งทางสังคมที่ดารงอยู่เช่นเดียวกับการแสดง บทบาทของพระสังฆาธกิ ารทตี่ ้องปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีตามบทบาทหน้าทที่ ี่ได้มอบหมาย

8 2.1.2 ประเภทและองคป์ ระกอบของบทบาท ได้มีนักวิชาการแบ่งประเภทและองค์ประกอบของบทบาทท่ีคล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน ดังน้ี ฑิตยา สุวรรณชฎ (2527, หนา้ 43) ไดแ้ บ่งประเภทของบทบาท ไว้ดังนี้ 1. บทบาททีค่ วรจะเป็น (Ideal role) หรือบทบาทอุดมคติ เป็นบทบาทท่มี ีการกาหนดสิทธิ และหน้าทขี่ องตาแหน่งทางสงั คม 2. บทบาทท่ีแสดงออกจริง (Actual role) เป็นบทบาทท่ีสถานภาพแสดงจริง ซึ่งอาจเป็น บทบาทที่สังคมคาดหวัง หรือเป็นบทบาทของตนเองที่คาดหวัง หรืออาจไม่เป็นบทบาทท่ีสังคมคาด หวงั และตนเองคาดหวัง 3. บทบาทตามความคาดหวัง (Expected role) เป็นบทบาทที่ต้องแสดงความคาดหวัง ในขณะเดียวกันเจ้าของหรือสถานภาพน้ัน ก็จะสามารถรับรู้ว่าตนเองมีบทบาทอย่างไร และสามารถ คาดหวังตนเองว่า ควรแสดงพฤติกรรมอย่างไร ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตามที่สังคมคาดหวัง และตนเองคาดหวงั ไวรัช เจียมบรรจง (2523, หน้า65) ได้จาแนกบทบาทตามตาแหน่งว่า โดยทั่วไปคนจะมี ตาแหนง่ ในสงั คมอย่างนอ้ ย 5 ประเภท ดังนี้ 1. บทบาทตามเพศและบทบาทตามวัย บทบาทเหลา่ นี้จะมีอิทธิพลตอ่ พฤติกรรมของทุกคน ทุกขณะตลอดชีวิต เช่น บทบาทของชาย บทบาทของหญิง บทบาทของเด็ก และบทบาทของผู้ใหญ่ เปน็ ต้น 2. บทบาทของอาชีพ บทบาทเหล่าน้ีสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างอิสระมากกว่าบทบาท อน่ื ๆ เช่น บทบาทของคนขายของ บทบาทของนกั สง่ เสริม บทบาทครู เป็นต้น 3. บทบาททางเกียรตยิ ศ เช่น บทบาทของผู้นา บทบาทของหัวหน้า บทบาทของประชาชน บทบาทของคนรับใช้ บทบาทของลูกน้อง เป็นต้น 4. บทบาททางครอบครวั ไดแ้ ก่ บทบาทของ พ่อ แม่ และลูก 5. บทบาทในกลุ่มเพื่อน หรือกลุ่มท่ีมีความสนใจคล้าย ๆ กัน ได้แก่ บทบาทของสมาชิกใน กลุ่ม หรือชมรมตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ สงวน สิทธิเลิศอรุณ (2542, หน้า 173) อธิบายว่า ตาแหน่งเป็นผลรวมของสิทธิหน้าที่ เพราะตาแหน่งก่อให้เกิดสิทธิและหน้าท่ีท่ีก่อให้เกิดบทบาท ฉะน้ัน บทบาทเป็นผลรวมของสิทธิและ หน้าที่ บุคคลย่อมแสดงบทบาทตามสิทธิและหน้าที่ตามสถานภาพ การแสดงบทบาท แบ่งออกได้ 3 ลกั ษณะ 1. บทบาทตามความคาดหวัง (Expected role) เป็นบทบาทที่แสดงออกตามความคาด หวังของคนอืน่

9 2. บทบาทตามลักษณะของการรับรู้ (Perceived role) เป็นบทบาทท่ีเจ้าของสถานภาพ รบั รู้ว่าตนเองควรมีบทบาทอยา่ งไร 3. บทบาทท่ีแสดงจริง (Actual role) เป็นบทบาทที่เจ้าของสถานการณ์แสดงจริง ซึ่งเป็น บทบาทที่สังคมคาดหวัง หรือเป็นบทบาทของตนเองคาดหวัง หรืออาจจะไม่เป็นบทบาทตามท่ีสังคม หรือตนเองคาดหวังก็ได้ ชุดา จิตพิทักษ์ (2552, หน้า 36-37) ได้กล่าวถึง การศึกษาบทบาทเพื่อให้เข้าใจถึงความ ขัดแย้งทางบรรทัดฐานของสังคม และสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ทางสังคม ดังน้ันจึงควรทาความ เขา้ ใจเก่ยี วกบั บทบาท 3 ประการ คอื 1. ความคาดหมายหรือความคาดหวัง (Role expectation) ท่ีแสดงให้เห็นถึงโครงสร้าง ของความรูค้ วามเข้าใจ ประกอบดว้ ย ด้านการเรา้ จากการติดต่อเก่ียวข้องของบุคคลกับพฤติกรรมของ บุคคลอืน่ และด้านการตอบสนองจากแนวโนม้ ของการแสดงออก 2. การรับรู้ในบทบาท (Role perception) บทบาทแต่ละบทบาทมีความสัมพันธ์กันใน ระบบสังคม การกระทาตามบทบาทน้ันขึ้นอยู่กับความเข้าใจของปัจเจกบุคคล การแปลความหมาย รวมท้ังคุณสมบัตสิ ่วนบคุ คล สง่ิ เหล่าน้ีกาหนดให้บุคคลรับรู้ หรือแสดงบทบาทแตกต่างกันออกไปตาม ลกั ษณะอุปนิสัย ความคิด ความรู้ มลู เหตุจูงใจ ประสบการณ์เดิม การฝึกอบรม ฝึกฝน ความพึงพอใจ รวมถึงสถานภาพทางกายและจิตใจของบคุ คลท่ดี าเนนิ ตามบทบาทน้ัน 3. การขัดแย้งในบทบาท (Role conflict) บุคคลท่ีมีสถานภาพมากกว่าหน่ึงสถานภาพ ในสถานการณ์หน่ึง ๆ บทบาทของเขาที่จะตอ้ งกระทาจึงมีมากกว่าหน่ึงบทบาท ซึ่งอาจก่อให้เกิดความ วุ่นวายยุ่งยากสาหรับเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทท้ังหลายนั้นขัดแย้งกัน บุคคลประสบความ ลาบากใจที่จะต้องกระทาหรอื ตัดสนิ ใจแสดงบทบาทใดบทบาทหนึ่งได้อย่างราบรืน่ Boom and Selznick (1977, pp 34-55) ได้กล่าวถึงประเภทของบทบาท ไวด้ ังนี้ 1. บทบาทท่ีกาหนดไว้หรือบทบาทตามอุดมคติ (Socially prescribed Ideal) เป็น บทบาทตามอดุ มคติท่ีกาหนดสทิ ธแิ ละหน้าท่ีของตาแหน่ง 2. บทบาททค่ี วรกระทา (Perceived role) เป็นบทบาททแ่ี ต่ละบุคคลเช่ือว่าควรจะกระทา ตามหน้าทขี่ องตาแหนง่ ซ่งึ อาจไมต่ รงตามบทบาทในอุดมคติทุกประการ และอาจแตกต่างกันไปในแต่ ละบุคคล 3. บทบาทที่กระทาจริง (Performed role) เป็นบทบาทที่แต่ละบุคคลได้กระทาไปจริง ตามความเช่ือ ความคาดหวัง ตลอดจนความกดดันและโอกาสที่จะกระทาในแต่ละสังคมในช่วงระยะ เวลาหนง่ึ จากประเภทและองค์ประกอบของบทบาทท่ีกล่าวมาข้างต้น ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า บทบาทจะแสดงถึงอานาจหน้าที่ของบุคคลท่ีได้รับมอบหมายให้กระทา หรือท่ีได้รับการคาดหวังโดย

10 คนอ่ืนให้กระทา เช่น บทบาทของพระสังฆาธิการในการเป็นผู้ปกครองคณะสงฆ์ท่ีจะต้องปฏิบัติตาม อานาจหนา้ ทต่ี ามระเบียบ แบบแผน กฎเกณฑ์ และชมุ ชนย่อมมีความคาดหวังให้ตัวแทนน้ัน ๆ ปฏิบัติ หนา้ ทีอ่ ยา่ งเตม็ ความสามารถ เพื่อให้เกดิ ประโยชน์ต่อสถานบนั ทางศาสนา 2.1.3 ปจั จัยของการแสดงบทบาท Allport (1973, pp. 186-188) ได้เสนอแนวคิดเก่ียวกับการแสดงบทบาทของบุคคลว่า ขึ้นอยู่กับปจั จยั 4 ประการ คอื 1. ความคาดหวังในบทบาท (Role expectation) เป็นบทบาทตามความคาดหวังของ บคุ คลอน่ื หรอื บทบาทท่สี ถาบัน องค์การ หรือกลุ่มทางสังคม คาดหวังให้บุคคลปฏิบัติตามสิทธิหน้าท่ี ที่บุคคลครองตาแหนง่ อยู่ 2. การรับรู้บทบาท (Role perception) เป็นการรับรู้บทบาทของตนว่าควรจะมองเห็น บทบาทของตนได้ตามการรับรู้น้ัน ซึ่งเก่ียวข้องกับความสัมพันธ์กับความต้องการของบุคคลน้ัน ทง้ั น้ีการรบั รบู้ ทบาท และความต้องการของบุคคลย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะพ้ืนฐานส่วนบุคคล ตลอดจน เป้าหมายชีวิต และค่านิยมของบุคคลท่ีสวมบทบาทนนั้ 3. การยอมรับบทบาทของบุคคล (Role acceptance) ซ่ึงเกิดข้ึนได้เมื่อมีความสอดคล้อง กันของบทบาทตามความคาดหวังของสังคม และบทบาทหน้าที่ท่ีตนเองรับรู้อยู่ การยอมรับบทบาท น้ันเปน็ เรื่องเก่ยี วกบั ความเข้าใจในบทบาท และการส่ือสารระหว่างสังคมและบุคคล ท้ังนี้เพราะบุคคล ไม่ได้ยินดียอมรับบทบาททกุ บทบาทเสมอไป แม้ว่าจะได้รับการคัดเลือก หรือถูกแรงผลักดันจากสังคม ให้รบั ตาแหน่ง และมบี ทบาทหน้าที่ปฏิบัติก็ตาม เพราะถ้าหากว่าบทบาทท่ีได้รับนั้น ทาให้ผลเสียหาย หรือเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงถ้าขัดแย้งกับความต้องการหรือค่านิยมของบุคคลน้ัน ผู้มี ตาแหนง่ น้ันอยกู่ ็พยายามหลีกเลี่ยงบทบาทนั้น และไม่ยอมรบั บทบาทน้ัน 4. การปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของบุคคล (Role performance) เป็นบทบาทท่ีเจ้าของ สถานภาพแสดงจริง ซึ่งอาจจะเป็นการแสดงบทบาทตามที่สังคมคาดหวัง หรือเป็นการแสดงบทบาท ตามการรับรู้ และตามความคาดหวังของตนเอง การที่บุคคลจะปฏิบัติตามหน้าท่ีได้ดีเพียงใดนั้น ขึน้ อยูก่ บั บทบาทน้ันของบุคคลทีค่ รองตาแหน่งอยู่ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความสอดคล้องกันของบทบาท ตามความคาดหวงั ของสงั คมการรบั รบู้ ทบาทของตนเอง 2.2 แนวคดิ เกย่ี วกับการบริหารจดั การ แนวคิดทางการจัดการพบว่า มีกลุ่มแนวคิดท่ีสาคัญ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแนวความคิด คลาสสิก (Classical approach) กลุ่มแนวคิดพฤติกรรมมนุษย์ (Human behavior approach) และ กลุ่มความคิดการจัดการสมัยใหม่ (Modern management approach) มีรายละเอียดดังนี้ (พิมล จรรยน์ ามวฒั น์, 2546, หน้า 212-124)

11 2.2.1 กลุ่มแนวความคิดคลาสสิก (Classical approach)ประกอบด้วยทฤษฎีพื้นฐาน 3 ทฤษฎี ไดแ้ ก่ 2.2.1.1 แนวความคิดการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific management) ท่ี เนน้ การใชว้ ธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการปรับปรุงความสามารถในการผลิตของคนงาน ซ่ึง Frederick Taylor ได้นาความคิดพ้ืนฐานน้ีมาจาก Charles Babbage ที่เก่ียวกับการแบ่งงานกันทาตามความ ชานาญด้วยการลดความยากของงาน โดยนามาใช้ในการแก้ปัญหาที่โรงงานอุตสาหกรรมที่กาลัง ประสบปัญหาในขณะนั้น จงึ ได้นาเอาวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในเทคนิคของการออกแบบงาน และกาหนดมาตรฐานการผลิต ซ่ึงหลักการพ้ืนฐานของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ท่ีสาคัญ คือ (1) พัฒนาศาสตร์ข้ึนสาหรับแตล่ ะปัจจยั ของงานท่ีต้องทา (2) มีการคัดเลือก ฝึกอบรม และพัฒนาคนงาน แต่ละคนด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ (3) ร่วมมือกับคนงาน เพ่ือให้ม่ันใจว่าการทางานต้องสอดคล้องกับ หลักการของการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ และ (4) การแบ่งความรับผิดชอบระหว่างฝ่ายจัดการกับ คนงาน ฝ่ายจัดการรบั ผดิ ชอบศึกษาวิธกี ารทางาน สว่ นคนงานทางานท่ีไดร้ บั มอบหมายใหส้ าเรจ็ 2.2.1.2 แนวความคิดการจดั การเชิงบริหาร (Administrative management) แนว คิดนใ้ี หค้ วามสาคัญกับการบริหารท่ีสามารถนาไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง แนวความคิดน้ีเกิดจาก Henri Fayol ได้ทาการศึกษาวิธีการทางานและวิเคราะห์ปัญหาผู้บริหารระดับสูงในองค์การต่าง ๆ พบว่า กลักการจัดการเป็นหน้าท่ีที่อาจกาหนดข้ึนเป็นสากลได้ และเป็นกระบวนการของกิจกรรมที่ผู้บริหาร ต้องกระทาเพื่อเป็นแนวทางไปสู่ผลสาเร็จ โดยมีหลักการดังกล่าว ได้แก่ การแบ่งงาน การมอบมอบ อานาจหน้าท่ีกับความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย เอกภาพในการบังคับบัญชา ความเป็นหน่ึงเดียวของ ทิศทางกิจกรรมต่าง ๆ แยกประโยชน์ส่วนบุคคลออกจากประโยชน์องค์การ การจ่ายค่าตอบแทนท่ี เปน็ ธรรม การรวมอานาจหน้าที่ สายการบังคับบัญชา ความเป็นระเบียบ ความเสมอภาค เสถียรภาพ ด้านบุคลากร ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และความสามัคคีในองค์การ หลักการที่กล่าวมาครอบคลุม กิจกรรมการจัดการท่ีเกี่ยวข้องกับการจัดองค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับประสิทธิภาพ การผลิต 2.2.1.3 แนวความคิดระบบราชการ (Bureaucracy) เป็นแนวคิดที่เน้นประโยชน์ ของโครงสร้างองค์การแบบ “ระบบราชการ” ของนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันช่ือ Max Weber เก่ียว กับโครงสร้างองค์การท่ีเน้นความมีเหตุมีผลเพ่ือประสิทธิภาพขององค์การ เขาได้กาหนดตัวแบบโครง สร้างองค์การท่ีสาคัญ คือ (1) มีแบ่งแผนกงานอย่างชัดเจน (2) การลาดับชั้นบังคับบัญชา (3) การ กาหนดกฎระเบียบเป็นแนวทางการปฏิบัติงาน (4) การแยกสิทธิและทรัพย์สินส่วนบุคคลออกจาก องค์การ (5) การคดั เลอื กบคุ ลากรขึ้นอยูก่ บั ความรู้ความสามารถ และ (6) ความม่นั คงในอาชพี 2.2.2 กลุ่มแนวความคิดพฤติกรรมมนุษย์ (Human behavior approach) ประกอบ ด้วย

12 2.2.2.1 แนวความคิดจิตวิทยาอุตสาหกรรม โดยมีนักวิชาการชื่อ Hugo Mouns- terberg ไดท้ าการศึกษาสาเหตุของการทางานของคนงาน พบว่า ผู้บริหารที่เน้นการจัดการ เชิงวิทยา ศาสตร์จะพยายามจัดหาคนงานโดยพจิ ารณาจากทกั ษะเชงิ กายภาพที่สอดคล้องกับทักษะที่จาเป็นต้อง ใช้ในการทางาน โดยมองข้ามทักษะด้านจิตใจหรือปัจจัยเชิงจิตวิทยา เขาจึงมุ่งเน้นการทดสอบเพ่ือ คดั เลือกคนงานดว้ ยการทดสอบทางจิตวทิ ยา 2.2.2.2 แนวความคิดพฤติกรรมมนุษย์ ของ Lillian M. Gilbreth นักวิชาการสตรี ชาวอเมริกันที่ให้ความสนใจจิตวิทยาการจัดการ ผลงานของเขาช่วยเสริมสร้างความเข้าใจมนุษย์ใน งานอุตสาหกรรม การศึกษาพฤติกรรมของคนงานเป็นรายบุคคล โดยทาการตรวจสอบรูปแบบของ การจัดการและสรุป 3 รูปแบบด้วยกัน คือ (1) การจัดการแบบดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม เป็นการ จดั การของผู้บริหารทเี่ ครง่ ครัดในการทางาน เพราะเชอ่ื มน่ั ในเอกภาพบังคบั บัญชาและการรวมอานาจ หน้าที่ (2) การจัดการแบบด้ังเดิมกับการจัดการแบบวิทยาศาสตร์ และ (3) การจัดการแบบวิทยา ศาสตร์ ผบู้ รหิ ารที่เน้นการคัดเลือกบุคลากร การใช้ส่ิงจูงใจ การจัดสวัสดิภาพสาหรับคนงาน และการ พัฒนาบุคลากร 2.2.2.3 ผลการศึกษาที่ฮอว์ธอร์น (Hawthorn Studies) ถือว่าเป็นรากฐานของ ความคดิ เชงิ พฤตกิ รรมศาสตรท์ ่ีทาใหท้ ราบถึงพฤติกรรมบคุ คลและกล่มุ การศึกษาน้ีโดย Elton Mayo ให้ความสาคัญในเร่ืองบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นา จากการศึกษาหลายครั้งพบว่า บรรทัด ฐานทางพฤติกรรมของกลุ่มมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทางานของบุคคลและกลุ่ม คนงานจะถูกจูงใจ จากการได้รับรางวัลตอบแทนในรูปบทบาทการได้รับบทบาทใหม่ทางสังคม มากกว่าการเปลี่ยน สภาพแวดล้อมทางกายภาพ แสดงใหเ้ ห็นว่าปจั จยั ทางสงั คมและจิตวิทยามีอิทธิพลต่อประสิทธิภาพใน การผลิตเปน็ อย่างมาก 2.2.2.4 แนวความคิดของเซอร์ ไอ บาร์นาร์ด (Chester I. Barnard) ประกอบด้วย แนวคิด 2 ประการ ได้แก่ คานิยามและการอธิบายเกี่ยวกับหน้าที่ผู้บริหารระดับสูง และทฤษฎีการ ยอมรับในอานาจหน้าท่ี ซ่ึงสรุปได้ดังน้ี (1) หน้าที่ของผู้บริหารระดับสูง ประกอบด้วย การจัดวาง ระบบการสือ่ สารทงั้ องค์การและรกั ษาระบบ (2) ส่งเสริมและจัดเตรียมกาลังด้วยการสรรหาบุคคลที่ดี ท่ีสุด และจ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม และ (3) กาหนดจุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์สาหรับ องคก์ าร เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดเกี่ยวกับระบบความร่วมมือ การออกคาส่ังอย่างเดียวไม่เพียง พอท่ีจะให้คนงาน เพราะคนอาจปฏิเสธคาสั่งได้ เนื่องจากคนเราจะยอมรับการส่ือสารว่าเป็นอานาจ หน้าที่ก็ต่อ เมื่อเป็นไปตามเงื่อนไข 4 ประการ ได้แก่ (1) เขาสามารถที่จะเข้าถึงและเข้าใจในการ ส่ือสารนัน้ (2) ขณะที่เขาตัดสินใจเขาช่ือว่าเป็นเรื่องท่ีไม่มีข้อจากัดขัดแย้งกับจุดมุ่งหมายขององค์การ

13 (3) ขณะทีเ่ ขาตดั สนิ ใจทีเ่ ช่ือวา่ สอดคล้องกับประโยชน์ส่วนตัวของเขา และ (4) เขามีความสามารถท้ัง ทางสมองและร่างกายทจี่ ะทาตามได้ 2.2.3 กลุ่มแนวความคิดการจัดการสมัยใหม่ (Modern management approach) ประกอบดว้ ยแนวคดิ พื้นฐาน 3 แนวคิด คือ วิทยาการจัดการ การบริหารศาสตร์ และพฤติกรรมศาสตร์ และแนวความคิดท่เี กดิ จากการบูรณาการแนวความคดิ ต่าง ๆ 2 แนวคดิ ซงึ่ มีรายละเอียดดงั น้ี 2.2.3.1 แนวความคิดวิทยาการจัดการ เน้นในเรื่องของการจัดการทางาน (Work Management) ในเชงิ ปรมิ าณ เปน็ มุมมองทีต่ า่ งจากแนวความคิดคลาสสิค โดยการนาเอาวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร์มาใช้ในการตัดสินใจ และการนาคณิตศาสตร์และสถิติมาช่วยในการจัดการการผลิตและ ปฏิบัติการมากกว่าวิธีการเชิงพฤติกรรม แนวความคิดนี้จะเป็นตัวแบบทาคอมพิวเตอร์ในการบริหาร ธรุ กจิ ทีน่ ามาใช้ 2.2.3.2 แนวความคดิ การบริหารศาสตร์ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า แนวความคิดเชิง กระบวนการจัดการ ท่ีเน้นธรรมชาติของการจัดการและองค์การ โดยได้รับอิทธิพลจากนักทฤษฎีการ จัดการเชงิ บริหารของกลมุ่ แนวคิดคลาสสิก ซง่ึ มุ่งพจิ ารณาหน้าทที่ างการจัดการ 2.2.3.3 แนวความคิดทางพฤติกรรมศาสตร์ เกิดจากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการ ต่าง ๆ มีแนวคิดพ้ืนฐานมาจากแนวความคิดเชิงพฤติกรรม โดยนักจิตวิทยา นักสังคมวิทยา นัก มานษุ ยวิทยา นักจิตวทิ ยาสังคม และนักจิตวิทยาอุตสาหกรรม ที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมต่อเน่ืองจากแนวคิด เดิมที่ให้ความสาคญั กับพฤติกรรมบคุ คล พฤตกิ รรมกลมุ่ และการพัฒนาองค์การ 2.2.3.4 แนวความคิดเชิงสถานการณ์ (Contingency approach) เน้นความถูกต้อง ของการจัดการท่ีต้องแปรผันกับสถานการณ์ท่ีเปล่ียนไป แนวคิดนี้เกิดจากการยอมรับผลงานวิจัยทาง พฤติกรรมศาสตร์ เน่ืองจากหลักการและแนวคิดที่เป็นสากลของกลุ่มแนวคิดคลาสสิกหมดความ นา่ เชือ่ ถือ และเกดิ แนวโน้มการจัดการแบบใหม่ ท่ีมีชื่อเรียกว่า การจัดการตามสถานการณ์ มีลักษณะ เด่นสองประการ คือ (1) ไม่สนับสนุนหลักการสากล แต่มุ่งเน้นความเป็นสากลของสถานการณ์ท่ีนา หลักการต่าง ๆ มาใช้ และ (2) การตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางปฏิบตั โิ ดยคานึงถึงสถานการณ์อยูเ่ สมอ 2.2.3.5 แนวความคิดเชิงระบบ (System approach) เป็นกรอบการมององค์การ แบบใหม่ องค์การเป็นระบบรวมของส่วนประกอบต่าง ๆ มีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน และมิทธิพลต่อ กัน เสมือนว่าเป็นอวัยวะของสิ่งมีชีวิต มีโครงสร้างท่ีไม่ตายตัว แต่ละส่วนขององค์ประกอบเหล่านั้นมี ปฏิสัมพันธ์กันและทางานเพ่ือบรรลุวัตถุประสงค์ส่วนรวมร่วมกัน นอกจากน้ียังมองว่าองค์การเป็น ระบบหน่ึงอยู่ในขอบเขตสภาพแวดล้อมภายนอกท่ีใหญ่กว่า แนวคิดเชิงระบบก้าวหน้ากว่าแนวคิดเชิง สถานการณ์มาก และเป็นท่ีมาของศัพท์ท่ีใช้กันมาก ได้แก่ (1) ระบบ หมายถึง กลุ่มของส่วนประกอบ ต่าง ๆ ท่ีมีความสัมพันธ์กัน และทางานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ (2) ระบบย่อย หมายถึง กลุ่ม ของส่วนประกอบต่าง ๆ ท่ีมีความสัมพันธ์กัน และทางานร่วมกันเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ แต่เป็นเพียง

14 ส่วนหนึ่งของระบบท่ีใหญ่กว่า (3) ระบบเปิดและระบบปิด ระบบเปิด คือ ระบบที่มีปฏิสัมพันธ์อย่าง อิสระกับสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่ระบบปิดคือ ระบบท่ีมีปฏิสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยหรืออาจไม่มีเลย ดังน้ันองค์การที่มีความยืดหยุ่นภายในจึงมีลักษณะเป็นระบบเปิด (4) ตัวแบบปัจจัยนาเข้า กระบวน การแปรสภาพ ปจั จยั นาออก เปน็ ตวั แบบเพอื่ นามาใช้วเิ คราะหร์ ะบบเปิด ท่ีมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล้อม ภายนอก ด้วยการรับปัจจัยนาเข้าจากส่ิงแวดล้อมมาสู่ระบบ แล้วผ่านกระบวนการแปรสภาพออกมาสู่ สภาพแวดล้อม (5) อาณาเขต คือเส้นแบ่งระหว่างองค์การกับส่ิงแวดล้อม และ (6) สภาวะที่ม่ันคง หมายถึง สภาวะแห่งดุลยภาพระหว่างความอยู่น่ิง ไม่เปลี่ยนแปลงกับความไม่อยู่นิ่งที่เคลื่อนท่ีหรือ เปลีย่ นแปลง 2.3 แนวคิดเก่ียวกับการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย 2.3.1 ประเภทของประชาธปิ ไตย แนวคิดทฤษฎีประชาธิปไตย มีลักษณะสาคัญในแง่หลักการและอุดมการณ์ที่ได้มีการ วิวัฒนาการตั้งแต่นครรัฐกรีกมาสู่ประชาธิปไตย 2 แบบ คือ ประชาธิปไตยแบบตัวแทน (Repre- sentative Democracy) อันเป็นมรรควิธีในการทาให้ผลประโยชน์ของคนในสังคมได้รับการตอบ สนองจากรัฐ กับประชาธิปไตยแบบเปิดกว้าง (Dialogic Democracy) ที่เน้นการเปิดพ้ืนที่สาธารณะ ในสังคม ให้เกิดการถกเถียงอย่างกว้างขวางเพื่อสร้างวาทกรรม “สาธารณะ” (Public Discourse) อันจะนาไปสูก่ ารแก้ปัญหาร่วมกัน และมีความหมายคล้ายกับ “ประชาธิปไตยแบบเข้มข้นและมีพ้ืนที่ ให้ความแตกต่างกับความหลากหลาย” สว่ นการเมืองของประชาธิปไตยแบบหลังนี้ ไมไ่ ด้ช่วงชิงอานาจ รัฐ แตเ่ ป็นการชว่ งชงิ การนาในการสร้างนานิยาม/ความหมายชดุ ใหม่ให้กับสิ่งที่ต่อสู้เพื่อให้มีฐานะเป็น คานิยามหลกั ของสงั คม จะเห็นได้ว่า โดยทางทฤษฎีแนวคิดประชาธิปไตย มุ่งให้เกิดประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็น ท่ีตั้ง แต่อย่างไรก็ตามในสภาพของความเป็นจริง ประชาธิปไตยได้พัฒนามาสู่ระบบของการแข่งขัน ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ มากกว่า ผู้ปกครองมักอ้างเสียงประชาชนที่เลือกตนเองเข้ามาเป็น ความชอบธรรมในการดาเนินการตัดสินใจ แม้จะเป็นการกระทาที่ท้ายที่สุดมุ่งท่ีประโยชน์เฉพาะกลุ่ม หรือพวกพ้อง ดังท่ี ไชยวัฒน์ เจริญสินโอฬาร (2545, หน้า 49) ได้กล่าวว่า การเมืองบนฐาน ผู้ปกครองยุคสมัยใหม่ วางอยู่บนพื้นฐานของรัฐ-ชาติ อย่างเดียว ท่ีให้รัฐ-ชาติ เป็นศูนย์กลางของการ มองการเมืองเป็นเร่ืองการช่วงชิงอานาจและการเลือกตัวแทนเพื่อเข้าไปปกป้องผลประโยชน์ของตน เทา่ นัน้ 2.3.2 หลกั การทส่ี าคญั ของประชาธิปไตย ชัยอนนั ต์ สมุทวนิช (2545, หน้า 5-15) ได้กลา่ วถึงหลักการประชาธิปไตยไวด้ ังนี้

15 2.3.2.1 หลกั เสรีภาพ ฐานความคิดของประชาธิปไตยในเร่ืองเสรีภาพ เชื่อว่ามนุษย์ มีความสามารถพอที่จะใช้สติปัญญาในการใช้เหตุผลเลือกส่ิงที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม ดังนั้นมนุษย์ควรมีเสรีภาพท่ีจะเลือกการดารงชีวิตที่ตนเองพึงพอใจ เสรีภาพที่จะแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะกระทาหรือไม่กระทาอย่างใดอย่างหน่ึง ดังท่ี รุสโซ ถือเป็นหัวใจ แต่ที่น่าสนใจคือว่า ความเช่ือในเร่ืองความสามารถของมนุษย์ในเร่ืองการใช้เหตุผล มีความแตกต่างกัน ทาให้ระดับของ ประชาธิปไตยแตกตา่ งไปดว้ ย แตอ่ ย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาจากฐานความเช่ือที่เห็นว่าการกระทาของ มนุษย์ มงุ่ ทาเพือ่ ประโยชน์ของส่วนรวม ดว้ ยสานึกของมนุษย์ท่ีเห็นว่าประโยชน์ส่วนรวมคือประโยชน์ ของแต่ละคนรวมกัน เพราะประโยชน์ส่วนรวมที่แท้จริงแล้ว คือส่ิงท่ีเป็นผลประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ ของทุกคนในที่สุด ส่วนในประเด็นการล่วงละเมิด หากพิจารณาในมุมมองท่ีว่าในสังคมท่ีเปิดให้มีเสรี ภาพอยา่ งเต็มที่ มนษุ ยท์ ุกคนในสังคมทใี่ ช้เสรภี าพ และไปลว่ งละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นย่อมมีโอกาสถูก ละเมดิ พอ ๆ กนั ดังน้ันมนุษย์ท่ีมีเหตุผลย่อมไม่ไปละเมิดผู้อ่ืน เพราะไม่ประสงค์ท่ีจะถูกละเมิดในทาง กลับกันเช่นกัน ประเด็นปัญหาจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องของการละเมิดในตัวของมันเอง แต่น่าจะเป็นเร่ือง ของความเสมอภาคด้วย เพือ่ มใิ ห้ใครใชเ้ สรภี าพเกนิ เลยไปกวา่ ผอู้ ื่นทีอ่ าจนาไปสกู่ ารละเมิด 2.3.2.2 หลักความเสมอภาค หลักความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มี ความหมายถึงการทม่ี นุษยจ์ ะต้องมคี วามเท่าเทียมกันในทางกายภาพ ความสามารถ สติปัญญา ความ รู้ ความเป็นอยู่ รายได้ เศรษฐกิจ เพราะตามข้อเท็จจริงย่อมเป็นไปไม่ได้ ความเสมอภาคในท่ีนี้จึงเป็น ความเสมอภาคทางการเมอื ง ทางกฎหมาย สาระสาคัญของหลกั ความเสมอภาค ได้แก่ ประการแรก การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองประเทศอย่างทั่วถึงและ เท่าเทียมกัน เช่น ผู้มีสิทธิเลือกต้ังมีคะแนนเสียงหนึ่งเสียงเท่ากันหมดในการลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง อันมีผลต่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเสมอกัน ความเสมอภาคในเร่ืองน้ี ได้ผ่านการพัฒนาเปล่ียนแปลงมาต้ัง แต่สมัยนครรัฐกรีซซึ่งถือเป็นต้นแบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยทางตรง ท่ีจากัดสิทธิ พลเมือง ไม่ให้ผู้หญิง เด็ก ทาส และคนต่างถิ่น มีสิทธิทางการเมือง จากน้ันมีการพัฒนาไปสู่ประเด็น การเลือกปฏิบัติโดยให้สิทธิตามฐานะเศรษฐกิจ จนมาถึงปัจจุบันที่มีข้อจากัดเพียงในเรื่องของอายุ และคนตา่ งถิน่ ดงั นน้ั การกาหนดให้อายุ และสัญชาติ เป็นคณุ สมบัตขิ องผมู้ ีสทิ ธิเลอื กต้ัง เป็นตน้ ประการที่สอง ความเท่าเทียมกันในด้านสิทธิข้ันพื้นฐานของพลเมือง อาทิ สิทธิใน การมีชีวิตอยู่ มีอากาศบริสุทธ์ิหายใจ มีท่ีอยู่อาศัย มีน้าสะอาดดื่ม มีอาหารกินอย่างเพียงพอ ได้รับ การศกึ ษา การเข้าถึงการรกั ษาพยาบาล การได้รบั บริการสาธารณะจากรัฐ ฯลฯ สิทธิต่าง ๆ เหล่านี้แม้ จะปรากฏเปน็ หลักประกันภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่ในความเป็นจริงแล้วยงั มีข้อจากัดอยู่มาก ประการท่ีสาม ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย แม้รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะมีข้อ บัญญัติชัดเจนในเร่ืองความเสมอภาค แต่มีการเลือกปฏิบัติยังปรากฏอยู่ในสภาพความเป็นจริงใน สังคมและในกฎหมายลูกหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเน่ืองมาจากเพศ การศึกษา หรือสถานะทาง สงั คม

16 ประการสุดท้าย ซึ่งเป็นประการที่สาคัญท่ีสุด คือ ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ที่เห็นว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอกัน ไม่มีใครบังอาจล่วงละเมิดความเป็นมนุษย์ของ บคุ คลใดได้ ไม่ว่าจะมีสถานภาพทางสังคม ยศถาบรรดาศักด์ิ ฐานะทางเศรษฐกิจ ตาแหน่งหน้าที่การ งาน ความรู้ความสามารถ การศึกษา แตกต่างกนั มากนอ้ ยเพยี งใด มนุษย์ทุกคนต่างมีความเป็นคนเท่า กัน ความข้อน้ีดูเหมือนว่าจะเป็นประเด็นปัญหาท่ีสาคัญในสังคมไทย ท่ียังให้ความสาคัญกับยศถา บรรดาศกั ด์ิ ตดิ ยึดถอื กบั ระบบเจา้ ขนุ มลู นาย ระบบอุปถัมภ์ แมจ้ ะมกี ารเลกิ ทาสไปนานแลว้ ก็ตาม 2.3.2.3 หลักเหตุผล หลักเหตุผลเป็นหลักการเบื้องต้นของระบอบประชาธิปไตย บนสมมตฐิ านทส่ี าคญั อย่างยิง่ อย่างหน่ึงวา่ “มนุษยเ์ ป็นสัตว์โลกที่มีเหตุ กระทั่งสามารถใช้เหตุผลท่ีตน มอี ยู่ในการแกป้ ญั หาต่าง ๆ ที่ตนเผชิญอยู่ ตลอดถึงการปรับปรุงพัฒนาความเป็นอยู่ของตนให้มีความ เจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ” อย่างไรก็ตามมีผู้โต้แย้งว่า พฤติกรรมการกระทาของมนุษย์ไม่ใช่เหตุทาง สติปัญญาเสมอไป การแสดงออกทางการเมืองอาจเกิดจากแรงผลักดันปลุกเร้าหรือสัญชาติญาณได้ เราอาจเห็นการแสดงออกของมนุษย์ที่เป็นไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึกและไร้เหตุผล อย่างไรก็ตามแม้ บางครั้งมนุษยด์ จู ะไมม่ ีเหตผุ ล แต่อาจเพียงเปลยี่ นมมุ มองหน่ึง เพราะมนุษย์ต่างมีเหตุผลไม่เหมือนกัน มีสติปัญญาแตกต่างกัน อาจพิจารณาได้ว่า การท่ีมนุษย์ไม่ได้ใช้เหตุผลในพฤติกรรมหนึ่ง ๆ หรือการ กระทาหนึ่ง ๆ ไม่ได้หมายความว่าคน ๆ น้ันเป็นผู้ที่ไม่มีเหตุผล หรือใช้เหตุผลไม่เป็น เพราะในความ เป็นจริงของมนุษย์ แม้บุคคลที่ประกอบด้วยปัญญาความรู้ ก็ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เป็นเหตุเป็นผลเสมอ ไป ดังน้ันข้อโต้แย้งที่ว่า พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากแรงผลักดันปลุกเร้าหรือสัญชาติญาณ แสดงว่า มนษุ ย์เปน็ ผไู้ ม่มเี หตุไม่มีผลน้ันไม่จริงเสมอไป โดยพื้นฐานแล้วยังมีความเชื่อว่าในความมีเหตุมีผลของ มนษุ ย์ ดว้ ยเหน็ วา่ พน้ื ท่สี าคัญของความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาของมนุษย์ เพราะหากไม่เช่ือ เชน่ น้นั เทา่ กบั วา่ เรากาลังจะบอกมนษุ ยว์ า่ ไม่มคี วามสามารถทีจ่ ะเรยี นรพู้ ฒั นาได้ 2.3.2.4 หลักการยนิ ยอม ความยนิ ยอมหรือความสมัครใจเป็นแก่นของกระบวนการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยประชาธิปไตยเช่ือมั่นในจิตวิญญาณเสรีของมนุษย์ การท่ีสังคม จะมีระบอบการปกครองได้ สมาชิกในสังคมต้องยินยอมพร้อมใจท่ีจะสละเสรีภาพบางส่วนของตนให้ เปน็ อานาจของผู้ปกครอง เป็นต้น ความยินยอมพร้อมใจจึงเป็นสาระสาคัญของประชาธิปไตย เพราะ ถ้าปราศจากการยินยอมของประชาชนผู้อยู่ใต้อานาจการปกครองแล้ว การปกครองน้ันนับได้ว่าเป็น การปกครองแบบเผด็จการ และมีนักวิชาการหลายท่านได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการล้มลุกคลุกคลานของ ประชาธิปไตยว่า เป็นผลเน่ืองจากการนาเข้าความคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาลอกเลียนแบบ อย่างไม่สมเหตุสมผลและไม่ผสมผสานกับวัฒนธรรมแวดล้อมกับความเป็นสังคมไทย หรือเป็นการ นาเข้าเฉพาะกระพี้เพ่ือประโยชน์ของชนช้ันปกครองในสมัยนั้น แต่ละเลยสาระและหลักการสาคัญท่ี ทาให้ประชาธิปไตยไมถ่ กู พฒั นาในบริบทของสังคมไทย

17 ประเดน็ คาถามในเร่ืองของความยินยอมพร้อมใจ อาจต้องมองลึกไปถึงพื้นฐานความ เช่ือในเรื่องเสรีภาพของมนุษย์ เพราะถ้าไม่เชื่อในเรื่องเสรีภาพ ซึ่งจาเป็นต้องมีความยินยอม เพราะ เม่ือไม่มีเสรีภาพ ย่อมสามารถบังคับกะเกณฑ์ประการใด ๆ ก็ได้ ได้มีนักวิชาการไทยตั้งสมมติฐานว่า สังคมไทยเป็นสังคมทาสท่ปี ล่อยไม่ไป ยงั เปน็ สังคมทย่ี ดึ อยู่กบั ระบบอุปถัมภ์ แต่มีบางฝ่ายเห็นตรงข้าม ว่าสังคมไทยเป็นสังคมเสรี มักทาอะไรแต่ตามใจตนเองดังคาพูดทีว่า “ทาอะไรตามใจ คือไทยแท้” ดังนั้นความยินยอมพร้อมใจจึงถือได้ว่าเป็นวิถีท่ีมีอยู่ในชีวิตของสังคมไทย ข้อถกเถียงเรื่องการ กาหนดให้การเลือกต้ังเป็นหน้าท่ีตามรัฐธรรมนูญบัญญัติ จึงมองได้ว่าขัดกับหลักการพื้นฐานของ ประชาธปิ ไตยในเรอ่ื งการยินยอมพร้อมใจ เพราะถ้าคนจานวนหนึ่งไม่ยินยอมพร้อมกันไปเลือกตั้งด้วย เหตผุ ลใด ๆ ก็ตาม จะตคี วามไดห้ รอื ไมว่ ่าเขาไม่ยินยอมพรอ้ มใจในการมอบอานาจการปกครองให้ผู้ใด จงึ เปน็ ที่น่าสงสัยได้ว่าความเข้าใจในเร่ืองความสัมพันธ์ของอานาจกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็น ความรู้ความเข้าใจท่ัวไปในสงั คมไทยหรือไม่ 2.2.3.5 หลักศีลธรรมคุณธรรม หลักข้อน้ีเป็นผลมาจากสมมติฐานท่ีว่า มนุษย์เป็น สัตว์โลกทศี่ ีลธรรม จริยธรรม ไม่เห็นแกต่ วั จนเกนิ ไป มคี ุณธรรม ความเสียสละท่ีเห็นแก่ประโยชน์ส่วน รวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ดังท่ีนครรัฐกรีกโบราณจึงให้ความสาคัญกับ Civic Virtue หรือคุณธรรม พลเมืองว่าเป็นพื้นฐานท่ีสาคัญของระบอบประชาธิปไตย โสคราตีส เห็นว่ามนุษย์จะมีชีวิตที่ดีและมี ความสขุ ตอ้ งยึดม่ันในคุณธรรมผูป้ กครองต้องมีคุณธรรม เพ่ือให้ทุกคนตระหนักในคุณค่าของคุณธรรม และยึดถือเป็นคุณค่าแห่งวิถีชีวิต เพ่ือชีวิตที่ดีของสังคม คุณธรรมที่สาคัญตามแนวคิดของโสคราตีส ประกอบดว้ ย 1) ปัญญา คอื ความรเู้ กี่ยวกับความดี อะไรคอื ความดี ความเลว ความดีสามารถอธิบาย ได้ด้วยเหตุผล และเหตุผลของความดีที่ทาให้มนุษย์มีความสุข 2) ความกล้าหาญ คือ ความรู้เก่ียวกับ ส่ิงที่เราควรกลัวหรือไม่กลัว และมคี วามกล้าหาญท่ีทาความดีในทุกสถานการณ์ แม้ความดีนั้นจะเส่ียง กบั ชีวติ ก็ตาม 3) การควบคุมตนเอง คือ การมีชีวิตตามทานองคลองธรรมแห่งความดีไม่ปล่อยให้ชีวิต ตกเป็นทาสของอารมณแ์ ละความปรารถนาต่าง ๆ ท่ีไม่เหมาะไม่ควร 4) ความยุติธรรม การแสดงออก ในรูปแบบการกระทาที่เคารพสิทธิคนอื่น และการไม่ยินยอมทาความช่ัวต่อผู้อ่ืน คนที่ยุติธรรมจะต้อง ไม่ตอบแทนการกระทาที่ อยุติธรรมของผู้อื่นด้วยความอยุติธรรม ท้ังนี้บรรทัดฐานทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมือง หรือศีลธรรมทางการเมืองในสังคมประชาธิปไตยแต่ละสังคมมีความแตกต่าง กนั ไป ขึ้นอยกู่ บั คณุ ธรรมผู้ปกครองและความต่ืนตัวทางการเมืองของประชาชนพลเมือง รวมถึงปัจจัย ทางเศรษฐกิจ วฒั นธรรมและสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมด้วย 2.3.2.6 หลักความสามารถในการพัฒนาตนเอง นักคิดประชาธิปไตยเชื่อว่ามนุษย์มี ความสามารถในการปรับปรุงตนเองให้ก้าวหน้า มีความเจริญทั้งทางความคิด สติปัญญา ความรับผิด ชอบชวั่ ดี และวิทยาการต่าง ๆ ในมนุษย์แต่ละคนมีธรรมชาติหรือมีศักยภาพที่ซ้อนเร้นอยู่ ศักยภาพน้ี สามารถทาให้มนุษย์บรรลุความเป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ มีจิตใจที่เป็นอิสระ ประกอบด้วยความสุขและ

18 ความคดิ สรา้ งสรรค์อย่างเตม็ ท่ี ศกั ยภาพ ความมีเหตุมีผลและความรู้สึกรักความยุติธรรม เป็นส่ิงท่ีติด ตัวมนุษย์มาแตก่ าเนดิ คุณสมบัตินนี้ า่ จะอยู่เหนอื ความใฝต่ ่าหรือความเห็นแก่ตัวของบุคคล โดยเฉพาะ เม่อื ไดร้ บั การศกึ ษาอบรมแล้ว และมคี วามเขา้ ใจในความจาเป็นของมนุษย์ท่ีต้องอยู่ร่วมกันพึ่งพาอาศัย กัน มนุษย์จะรู้จักการประนีประนอม หลีกเล่ียงการใช้กาลังความรุนแรง และเกิดความรับผิดชอบต่อ ส่วนรวมมากขึ้น ประเด็นที่สาคัญประเด็นหนึ่งคือ ปรัชญาพ้ืนฐานของประชาธิปไตยไม่นิยมการใช้ ความรนุ แรง หรือมีการลม้ ลา้ งเปลยี่ นแปลงด้วยวธิ ีการทร่ี นุ แรง ประชาธิปไตยท่ียึดหลักการที่คอยเป็น คอ่ ยไป ดว้ ยการใช้สติปัญญาเหตุผลเพื่อให้การเกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ด้วยเช่ือว่าเมื่อทุกคนใช้ เหตุผล สามารถนาไปสู่ความสาเร็จ การเห็นพ้องและการยอมรับด้วยความสมัครใจในที่สุด ดังที่หลัก การนี้เป็นพื้นฐานสาคัญท่ีมาของสัญญาประชาคม และการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี หลักการประชา- ธิปไตย ไม่เชื่อในการกระทาท่ีไร้เหตุผลด้วยการบังคับให้คนยินยอมรับความคิดเห็นของตนเองว่าเป็น ความคิดเห็นที่ถูกต้องที่สุด ที่ทุกคนต้องเชื่อตามปฏิบัติตามด้วยการใช้กาลังบังคับ แต่ด้วยการใช้ เหตผุ ลความอดทน อดกลัน้ จนความคดิ ความเหน็ ทแี่ ตกตา่ งไดร้ ับการยอมรับ 2.2.3.7 หลักการปกครองตนเอง การปกครองตนเองนับว่ามีความสาคัญอย่างยิ่ง เม่ือมนุษย์มีสติปัญญา มีเหตุผล มีศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์เสมอกัน จึงไม่น่าจะมีใครมีสิทธิ์มีอานาจ เหนือใครในการปกครองจนกว่าจะได้มีการตกลงยินยอม การปกครองน้ันจึงจะมีความชอบธรรม อย่างไรก็ตาม การปกครองตนเองหรือประชาธิปไตยโดยตรงควรเป็นทางเลือกเป็นอันดับแรกดังนคร รฐั กรีกโบราณที่ถือเป็นตัวอย่างคลาสสิกของการปกครองตนเองท่ีพลเมืองทุกคนมีส่วนร่วมโดยตรงใน ความรับผิดชอบบริหารจัดการดูแลบ้านเมืองด้วยตนเอง โดยหลักประชาธิปไตยแล้วการปกครอง ตนเอง ถือเป็นการปกครองที่ดีท่ีสุด ที่เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้เสรีภาพอย่างมากท่ีสุดในการกาหนด วิถีชีวิตของตนเองและชุมชนท่ีตนอยู่ด้วย หลักประชาธิปไตยเชื่อว่าทางที่ดีท่ีสุดในการแก้ปัญหาของ สาธารณชน คือ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาศึกษาและมีข้อตกลงใจในเรื่องน้ัน ดังที่ รุสโซ่ กล่าวไว้ว่าในสัญญาประชาคมในเร่ืองเจตจานงท่ัวไป คนหมู่มากทาให้เกิดวิจารณญาณที่รอบคอบ และถูกต้องในส่ิงท่ีคิดและปฏิบัติภายหลังจากที่ได้สามารถหล่อหลอมความคิดท้ังหลายเป็นหน่ึง เดยี วกันแลว้ เหตผุ ลของความเช่อื มัน่ ในหลกั การปกครองระบอบประชาธิปไตยน่าจะดีที่สุด ได้แก่ 1) ไม่ เชื่อในผู้นา หรือคณะผู้นาที่ปกครองประเทศว่าจะดารงไว้ซึ่งคุณธรรม และยุติธรรมตลอดไป เพราะ ที่สดุ แล้วแนวโน้มวา่ บคุ คลเหลา่ น้จี ะเห็นแกต่ วั มากกว่าประโยชน์โดยส่วนรวม การปกครองตนเองของ ประชาชนจึงน่าจะตัดความบกพร่องจากชนชั้นปกครอง 2) ความเช่ือที่ว่าประชาชนจะเต็มใจปฏิบัติ หน้าที่ตามกฎหมาย ยอมรับภาระและข้อจากัดท้ังปวงในสังคมท่ีตนเองมีส่วนร่วมในการกาหนด กฎเกณฑ์หรือบญั ญัติกฎเกณฑ์เหลา่ น้ขี ้ึน และ 3) บุคคลย่อมปรารถนาท่ีจะอยู่ในโลกที่ตนสร้างขึ้นเอง มากกวา่ โลกท่คี นอืน่ สรา้ งให้แมว้ า่ โลกของคนอ่นื จะสะดวกสบายก็ตาม

19 หลักการประชาธิปไตยทั้ง 7 ข้อข้างต้น อาจนาไปสู่ข้อถกเถียงอภิปรายในมุมมองต่าง ๆ ได้ต่อไปอีก แต่ประเด็นสาคัญ คือ หลักการแห่งเสรีภาพ ความเสมอภาค ศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ หลักความเป็นธรรม ท่ีเป็นเบ้าหลอมของประชาธิปไตยที่มีธรรมาธิปไตยเป็นจิตวิญญาณ สังคม ประชาธิปไตยจึงไม่เป็นเพียงชุมชนที่ประกอบด้วยผู้คนท่ีอยู่กันด้วยเสรีภาพและเสมอภาค แต่เป็น ชุมชนที่มีอิสรภาพในการตัดสินใจด้วยตนเองมาร่วมก่อร่างสร้างชุมชนบนความเสมอภาคเท่าเทียม การพัฒนาชมุ ชนท่ีเป็นหนว่ ยทางสงั คม มภี ราดาภาพและความสมานฉันท์จึงต้องมีประชาธิปไตยในวิถี ชวี ิตของชุมชนการเมือง 2.4 แนวคดิ เกยี่ วกับพระสังฆาธกิ าร 2.4.1 ความหมายของพระสังฆาธิการ การบริหารวัดต้องประกอบด้วยหลักการบริหารและหลักธรรมท่ีดีที่เหมาะสม เพ่ือให้เกิด ประสิทธภิ าพ ก่อให้เกิดความศรทั ธาเส่อื มใสแกส่ าธชุ นทวั่ ไปมพี ลังดึงดดู ให้มีผู้สนใจใฝบ่ ญุ มาสร้างกุศล ท่ีวัด เพ่ือฝึกฝนกาย วาจา ใจให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งข้ึนไป การบริหารวัดถือเป็นหน้าที่ของพระสังฆาธิ การ โดยเฉพาะพระสังฆาธิการระดับช้ันเจ้าอาวาส ผู้วิจัยจึงได้ศึกษาแนวคิดเก่ียวกับพระสังฆาธิการ ในประเด็นต่อไปนี้ ความหมายของพระสังฆาธิการ ความสาคัญขอพระสังฆาธิกการ คุณลักษณะของ พระสังฆาธิการ บทบาทหน้าที่ของพระสังฆาธิการ การแต่งตั้งพระสังฆาธิการ และการพ้นจาก ตาแหนง่ หนา้ ทีพ่ ระสังฆาธกิ าร ความหมายของพระสังฆาธิการ สังเวียน พิลาพันธ์ (2553, หน้า 43) กล่าวไว้ว่า “พระสังฆาธิการ” เป็นคารวมตาแหน่ง พระภิกษุผู้ปกครองคณะสงฆ์ ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2535 เริ่มใช้มาแต่ พ.ศ. 2506 จนถึงปัจจุบัน โดยมีกฎมหาเถร สมาคมฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2506) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ กาหนดนามเป็นครั้งแรกโดย เปลี่ยนคาว่า “พระคณาธิการ” มาเป็น “พระสังฆาธิการ” ให้สอดคล้องกับลักษณะการดาเนินกิจการ คณะสงฆ์ รวมคาว่า “พระ” “สังฆะ” และ “อธิการ” เป็นพระสังฆาธิการ แปลตามรูปศัพท์ว่า “พระ ภิกษุผู้ทางานโดยสิทธิขาดในทางคณะสงฆ์” พระภิกษุผู้ทางานในคณะสงฆ์โดยมีอานาจเต็มตาม ตาแหนง่ ” ซึ่งในแม่บทท่านบัญญัติว่า หมายถึง “พระภิกษุผู้ดารงตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์มีตาแหน่ง ดังนี้ เจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาคเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะอาเภอ รองเจา้ คณะอาเภอ เจา้ คณะตาบล รองเจา้ คณะตาบลและเจา้ อาวาส รองเจ้าอาวาสผ้ชู ว่ ยเจ้าอาวาส เจ้าคณะและเจ้าอาวาสดังกล่าวน้ี เป็นผู้บริหารงานคณะสงฆ์อย่างมีอานาจเต็มตาม กฎหมายและครอบคลุมงานทุกส่วนในเขตปกครองหรือในวัด ส่วนรองเจ้าคณะ รองเจ้าอาวาส และ ผู้ช่วยเจ้าอาวาส จะมีอานาจหน้าที่เต็มตามตาแหน่งเมื่อได้รับการมอบหมาย จึงบัญญัตินามว่า

20 “พระสังฆาธกิ าร” ซึ่งเทยี บได้กับข้าราชการฝ่ายราชอาณาจกั ร สว่ นเลขานกุ ารเจ้าคณะและเลขานุการ รองเจา้ คณะ ไม่ถอื วา่ เปน็ พระสงั ฆาธกิ าร เพราะเปน็ เพียงผู้ทาการเลขานุการ “พระสังฆาธิการ” แต่เดิมมาจากคาว่า “พระคณาธิการ” เป็นนามบัญญัติตามพระราช บัญญัติคณะสงฆ์ พุทธศักราช 2484 มีอานาจหน้าท่ีเฉพาะการบริหารการคณะสงฆ์และการพระ ศาสนาตามท่ีกาหนดในองค์การท่ี 4 คือ องค์การปกครอง องค์การศึกษา องค์การเผยแพร่ และองค์ การสาธารณปู การในส่วนภูมิภาค เจ้าคณะตรวจการและเจา้ คณะตรวจการผู้ช่วยภาคต่าง ๆ ทาหน้าท่ี ควบคมุ สั่งการ และแนะนา ช้แี จง กิจการอันเกี่ยวกับการบริหารการคณะสงฆ์ให้เป็นไปตามพระธรรม วนิ ัย สงั ฆาณัติ กตกิ าสงฆ์ กฎองค์การ กฎหมาย ข้อบังคบั และระเบยี บในช้ันจังหวัดและชั้นอาเภอ ได้ แยกหน้าที่บริหารการคณะสงฆ์เป็นองค์การ มีกรรมการสงฆ์ประจาองค์การ โดยเจ้าคณะจังหวัดเป็น ประธานคณะกรรมการสงฆจ์ งั หวดั เจา้ คณะอาเภอ เปน็ ประธานคณะกรรมการสงฆ์อาเภอ แม้ในตอนสุดท้ายแห่งการใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว ในช้ันภาคก็ได้กาหนดให้มีเจ้าคณะ ตรวจการประจาองค์การดังเช่นชั้นจังหวัดและอาเภอ แต่ยังมิได้แต่งต้ังเจ้าคณะตรวจการประจาองค์ การตามท่ีกาหนดข้ึนใหม่ก็ถูกยกเลิกเสียส่วนในช้ันตาบลและช้ันวัด เจ้าคณะตาบลและเจ้าอาวาส คง รับปฏิบัตหิ น้าที่งานของทกุ องคก์ าร “พระสังฆาธกิ าร” เป็นนามบัญญตั ิตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซ่ึงแก้ไขเพ่ิม เติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มีอานาจหน้าที่ในการปกครองคณะสงฆ์ ใน เขตปกครองของตน คือ บริหารการคณะสงฆ์และการพระศาสนาตามที่กาหนดใน 4 องค์การเดิม แต่ มิได้จัดเป็นองค์การ ซึ่งเป็นตัวองค์กรบริหาร คงยึดเอาเฉพาะลักษณะงานในองค์การน้ัน ๆ เปลี่ยน เรียกว่า “การ” กลา่ วคือ 1. การรกั ษาความเรยี บร้อยดงี าม (เดมิ คอื งานในองค์การปกครอง) 2. การศาสนศึกษา (เดิมคืองานในองค์การศกึ ษา) 3. การเผยแพร่พระพทุ ธศาสนา (เดมิ คืองานในองค์กรเผยแผ่) 4. การสาธารณปู การ และเพมิ่ การศึกษาสงเคราะห์และการสาธารสงเคราะห์เข้า พร้อมท้ัง เอาการนิคหกรรม (เดิมคือการวินิจฉัยอธิกรณ์) รวมเข้าอยู่ในอานาจหน้าที่เจ้าคณะชั้นนั้น ๆ เพื่อมิให้ เกดิ ความถ่วงดลุ แหง่ อานาจดังเช่นกฎหมายฉบับเดิม เพ่ือใหก้ ารปฏิบตั ิเป็นไปโดยถูกต้อง สะดวก รวด เร็ว และเป็นธรรมได้กาหนดให้มีรองเจ้าคณะ เป็นผู้ช่วยเจ้าคณะในช้ันน้ัน ๆ อีกส่วนหนึ่ง แม้ในส่วน วัด กใ็ ห้มีรองเจา้ อาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส เพือ่ เปน็ ผู้ชว่ ยเจา้ อาวาสวดั นั้น ๆ จากความหมายของพระสังฆาธิการ ดังกล่าวข้างต้น สรุปได้ว่า พระสังฆาธิการ หมายถึง พระภกิ ษุผดู้ ารงตาแหนง่ ปกครองคณะสงฆ์มีอานาจหน้าที่ในการริหารกิจการของคณะสงฆ์และกิจการ วดั ทง้ั หมด โดยได้รบั แตง่ ตัง้ อยา่ งถูกต้องตามพระราชบัญญตั ิคณะสงฆ์ เป็นตาแหน่งที่สาคัญย่ิง ผู้ดารง ตาแหน่งน้ีต้องฝึกฝนอบรมศึกษา เพิ่มพูนทั้งความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมของตน เพื่อจะได้ ปรับปรงุ พฒั นาวดั ใหเ้ จริญรุ่งเรอื งยิ่ง ๆ ขึน้ ไป

21 2.4.2 ความสาคญั ของพระสังฆาธกิ าร พระธนดล นาคสุวัณโณ (2550, หน้า 33) กล่าวไว้ว่า พระสังฆาธิการเป็นผู้ปกครองดูแล คณะสงฆ์ในเขตปกครองและวัดให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย กฎหมาย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบยี บ คาสง่ั มติ ประกาศ และพระราชบัญชาสมเดจ็ พระสังฆราช มหี น้าที่ควบคุมและส่งเสริมรักษา ความเรียบร้อย ดีงามของคณะสงฆ์ จัดการและพัฒนาการศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผย แผ่พระพทุ ธศาสนา การสาธารณปู การ และการสาธารณสงเคราะห์ให้เป็นไปด้วยดี พระสังฆาธิการจึง มีความสาคัญในการดแู ลพระภิกษุ สามเณร ดูแลวัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ให้ภิกษุ สามเณรมีจริยา วัตรงดงาม ประพฤติปฏิบัติตนตามหลักพระธรรมวินัย นับว่า พระสังฆาธิการเป็นผู้จรรโลงพระพุทธ ศาสนาให้ยั่งยืน ดูแลความประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุ สามเณรมิให้ออกนอกพระธรรมวินัย และ พระสังฆาธิการโดยเฉพะเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส และผู้ช่วยเจ้าอาวาส จะต้องบารุงรักษาจัดการวัด และสมบัติของวัดให้เป็นไปโดยความเรียบร้อย ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ท่ีพานัก อยู่ในวัดปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และเป็นธุระในการศึกษาอบรมและส่ังสอนพระธรรมวินัยแก่ บรรพชิตและคฤหสั ถ์ ให้ความสะดวกตามสมควรในการบาเพ็ญกุศล กระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา (2540, หน้าคานา) ระบุถึงความสาคัญของพระ สงั ฆาธิการว่า พระพุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาตจิ ะเจริญรุง่ เรอื งถาวรสืบต่อไปก็ด้วยจะต้องอาศัย พระสังฆาธิการเป็นสาคัญ เน่ืองจากพระสังฆาธิการเป็นผู้ใกล้ชิดกับประชาชนโดยเฉพาะ พระสังฆาธิ การระดบั เจ้าอาวาส ซงึ่ เปน็ ท่ีเคารพเลื่อมใสศรัทธาของประชาชน ตามพระราชบัญญัติ คณะสงฆ์ เจ้า อาวาสจึงมีอานาจหน้าที่ในการบริหารและจดั การวัดให้เป็นไปอย่างมีประสทิ ธิภาพ สานกั งานเจ้าคณะภาค 11 (อ้างใน พระธนดล นาคสุวัณโณ, 2550, หน้า 79) ระบุถึงความ สาคัญของพระสังฆาธิการว่า เป็นผู้ขับเคลื่อนการบริหารกิจการคณะสงฆ์และการพระพุทธศาสนาให้ ปฏิบัติถูกต้อง เป็นประโยชน์ท้ังงานการศาสนศึกษา การเผยแผ่พระพุทธศาสนา การสาธารณูปการ การศกึ ษาสงเคราะห์ และการสาธารณสงเคราะห์ ดังน้ัน พระสังฆาธิการจึงเป็นผู้ปฏิบัติภารกิจของพระพุทธศาสนา ส่งเสริมทานุบารุงพระ พทุ ธศาสนาใหเ้ จริญร่งุ เรอื ง สรา้ งศรัทธาแก่มหาชน และสรา้ งความม่ันคงให้เกิดข้ึนแก่พระพุทธศาสนา ใหด้ ารงอยู่ตลอดไป 2.4.3 คุณลักษณะของพระสังฆาธกิ าร พระสงั ฆาธกิ ารเปน็ ผทู้ ี่ตดั สนิ ใจ สั่งการให้ภารกิจต่าง ๆ ของวัด มีอานาจหน้าที่ความรับผิด ชอบสูงสุดในวัด ใช้อานาจในการดาเนินการต่าง ๆ ให้เป็นไปด้วยดีและบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ กาหนดไว้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล คุณลกั ษณะของพระสังฆาธิการ มผี ู้กลา่ วไวด้ งั นี้ กระทรวงศึกษาธิการ กรมการศาสนา (2542, หน้า403) ได้กล่าวถึงกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยการแต่งตั้งถอดถอนพระสังฆาธิการ กาหนดคุณลักษณะของพระ สังฆาธกิ ารไว้ ดงั นี้

22 คุณความดีเฉพาะตัวของผู้จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆาธิการ เรียกว่า “คุณสมบัติ พระสังฆาธกิ าร” แยกเปน็ 2 ประการ คือ คุณสมบัตทิ ว่ั ไป และคณุ สมบัติเฉพาะตาแหน่ง 1. คณุ สมบัติทั่วไป กาหนดไว้ 7 ข้อ ได้แก่ 1.1 มพี รรษาสมควรแกต่ าแหนง่ 1.2 มคี วามรสู้ มควรแก่ตาแหน่ง 1.3 มีความประพฤตเิ รียบร้อยตามพระธรรมวนิ ยั 1.4 เป็นผฉู้ ลาดสามารถในการปกครองคณะสงฆ์ 1.5 ไม่เป็นผู้มีร่างกายทุพพลภาพ ไร้ความสามารถ หรือมีจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเปน็ โรคเรอ้ื น หรอื เป็นวณั โรคในระยะอนั ตรายจนเป็นทีน่ า่ รงั เกยี จ 1.6 ไม่เคยตอ้ งคาวินิจฉยั ลงโทษในอธกิ รณท์ ี่พงึ รงั เกียจมาก่อน 1.7 ไม่เคยถกู ถอดถอนหรือถูกปลดจากตาแหนง่ ใด เพราะกระทาความผดิ มากอ่ น 2. คุณสมบัติเฉพาะตาแหน่ง มีรายละเอียดแตกต่างกัน ดังความในกฎมาเถะสมาคม ฉบับท่ี 24 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วยการแต่งต้องถอดถอนพระสังฆาธิการ ข้อ 7, 10, 14, 18, 22, 26, 29 และ 30 คุณสมบตั ดิ ังกลา่ วนี้ คงกาหนดมาตรฐานข้ันต่า สูงไปกว่าที่กาหนดไว้เป็นการดียิ่ง และกาหนด ตายตัวเฉพาะพรรษา นอกน้ันหากมีความจาเป็นผ่อนผันได้เฉพาะกรณีพระสังฆาธิการนอกจากจะต้อง ประกอบด้วยคุณลักษณะของพระสังฆาธิการแล้ว ควรมีคุณลักษณะของผู้บริหารด้วย เพราะต้องเป็นผู้ ท่ีมีทั้งความรู้คู่คุณธรรม และต้องมีความสามารถรอบตัว โดยเฉพาะอย่างย่ิงคุณลักษณะในการบริหาร กจิ การคณะสงฆ์ มีผูก้ ลา่ วไว้ ดงั น้ี พระพิจิตรธรรมพาที (ชยั วฒั น์ ธม.มวฑ.ฒโน) (อ้างใน สาลี รักสุทธี, 2549, หน้า 53-54) กลา่ วว่า ผบู้ รหิ ารควรเป็นดังน้ี 1. หนั หนา้ เข้าหากนั มีปัญหาให้หนั หน้าเข้าปรกึ ษากนั อย่าประจนั หน้า 2. หม่ันแก้ไข อย่ามัวแต่คิดแก้กฎหมาย กติกาสังคมหันเข้าหากับกิเลสตน แต่จงแก้นิสัย สันดานตนให้เข้ากับกฎ กติกา อย่านิยมแก้ข่าวหรือแก้ตัว เพราะไม่มีอะไรดีขึ้นดังคาท่ีว่า “อยากดีให้ แก้ไข อยากบรรลยั ให้แก่ตวั ” 3. ให้อภัย ความผิดพลาดเป็นเร่ืองของมนุษย์ แต่การรู้จักให้อภัยเป็นวิสัยของเทวดา อย่า ผูกใจเจ็บ อยา่ คดิ อาฆาต อย่าจ้องพยาบาท อยา่ จองเวร แตจ่ งใหอ้ ภยั 4. ปลูกไมตรี จงปลูกต้นรักในดวงใจให้เกิดขึ้น หัดรักคนอื่น หวังดีและมีไมตรีต่อผู้อ่ืนคิด ชว่ ยเหลอื ผู้อ่นื แล้วทา่ นจะมคี วามสขุ อยา่ ลมื “ปลูกไมตรีอย่ารรู้ ้าง สร้างไมตรอี ย่าร้โู รย” 5. สามัคคกี นั ไว้ รักใคร่ปรองดอง พร้อมเพรียง กลมเกลียวกันไว้ เร่ืองใหญ่จะเป็นเรื่องเล็ก มากจะนอ้ ย หนกั จะเปน็ เบา ยากจะเปน็ ง่าย 6. โปร่งใสในภาพพจน์ ตอ้ งเปน็ คนซื่อสัตย์สจุ รติ ซ่อื ต่อหน้าที่ ต่อเพื่อนร่วมงาน

23 7. ลดอาชญากรรม ควบคุมความประพฤติให้อยู่ในระบบแห่งศีลธรรม นาตนและหมู่คณะ ให้ตั้งอยูใ่ นความเทย่ี งธรรม 8. ทาตนให้เปน็ แบบอยา่ ง ดาเนนิ ชวี ิตด้วยความสะอาด ไม่มีแผลท้ังต่อหนา้ และลบั หลงั 9. ปล่อยวางเร่ืองยุ่ง เร่ืองยุ่ง ๆ ควรปล่อยเสียบ้าง เร่ืองท่ีนาโทษมาให้ตน ครอบครัว หมู่ คณะควรปลอ่ ยให้หา่ งไกล 10. ม่งุ ผดงุ ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ ด้วยการประพฤตติ นเป็นพลเมอื งดี จากเหน็ ไดว้ า่ พระสงั ฆาธกิ ารจะบรหิ ารกจิ การคณะสงฆ์ใหม้ ีประสิทธิภาพ ต้องฝึกฝนตนเอง ให้มีคณุ ลักษณะที่ดี ตามแนวทางการฝึกฝนอบรมตนเองของพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าทงั้ 2 ประการ คอื 1. ถึงพร้อมด้วยวิชชา หมายถึง การมีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญา รู้ว่าส่ิงใดถูก-ผิด ดี-ช่ัว คุณ-โทษ,ประโยชน์-มิใช่ประโยชน์ ควร-ไม่ควร และสามารถพิจารณาได้ว่าส่ิงใด ควร-ไม่ควร มากกว่าถูก-ผิดเพียงอย่างเดียว ทาส่ิงใดต้องมองท้ังผลดีและผลเสีย ทาสิ่งท่ีดีมีผลดีมากกว่าผลเสีย และฝึกตนจนถงึ ส่ิงใดเสยี หายไม่ทาเลย 2. ถึงพรอ้ มด้วยจรณะ หมายถงึ ความประพฤติท่ีดีงาม มีคุณธรรม มีจิตเมตตา ไม่หลงใหล ในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ใช้ธรรมะครองใจคนมากกว่าว่าใช้กฎระเบียบ ๆ มีไว้อานวยความสะดวก เป็นแนวทางให้เป็นหน่ึงเดียวกัน เป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม ไม่ใช่มีไว้บังคับ เพราะจะทาให้ ผูร้ ่วมงานด้วยไมส่ บายใจ ไมอ่ ยากร่วมงานด้วย 2.4.4 บทบาทหน้าที่ของพระสังฆาธิการ พระสังฆาธิการเป็นตาแหน่งที่มอบให้กับพระภิกษุท่ีมีความรู้ความสามารถบริหารจัดการ งานวัดได้เป็นอย่างดี หน้าท่ีนี้ถือเป็นหัวใจสาคัญของการดารงอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป ผู้ที่ดารงตาแหน่งน้ีจึงควรเป็นผู้ท่ีสนใจใฝ่รู้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมท้ังความรู้ทางโลกและทางธรรมใน ด้านต่าง ๆ อย่างสม่าเสมอ รวมทั้งควรศึกษาเกี่ยวกับบทบาทการทาหน้าที่ของตนให้สามารถปฏิบัติ หนา้ ท่ไี ดส้ มบรู ณ์ บทบาทและอานาจหน้าทข่ี องพระสงั ฆาธกิ ารทคี่ วรศกึ ษาไว้ มดี ังน้ี ราชบัณฑิตยสถาน (2546, หน้า 602) ได้ให้ความหมายของคาว่าบทบาท หมายถึง การ ทาท่าตามบท การราตามบท การทาหนา้ ทที่ กี่ าหนดไว้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 มาตรา 15 ตรี (อ้างใน สมเด็จพระมหา รชั มังคลาจารย์, 2541, หน้า 66) กาหนดอานาจหน้าท่ีของมหาเถรสมาคมไว้ดังต่อนี้ คือปกครองคณะ สงฆ์ให้เป็นไปโดยเรียบร้อยดีงาม ปกครองและกาหนดการบรรพชาสามเณรควบคุมและส่งเสริมการ ศาสนศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ การเผยแผ่ การสาธารณูปการ การสาธารณสงเคราะห์ รักษาหลัก พระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา และปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืน ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติน้ีหรือ กฎหมายอนื่ จากความหมายของบทบาทดงั กล่าวขา้ งต้นสรปุ ได้ว่า บทบาทของพระสังฆาธิการ หมายถึง อานาจหน้าที่ของพระภิกษุ ซ่ึงได้รับการแต่งต้ังให้ดารงตาแหน่งพระสังฆาธิการจังหวัดกาญจนบุรี ให้

24 ดาเนินงานกิจการคณะสงฆ์ ปกครองดูแลความประพฤติของพระภิกษุ สามเณร ให้เคารพเอ้ือเฟ้ือต่อ กฎหมาย พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ กฎกระทรวง กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ คาสั่ง มติ ประกาศ พระบญั ชาสมเดจ็ พระสังฆราช สงั วรและปฏบิ ัติตามพระธรรมวินัยโดยเครง่ ครัด 2.4.5 หลักการบริหารวดั ในการวจิ ัย ภารกจิ การบริหารวดั หรือการบริหารกิจการคณะสงฆ์ของพระสังฆาธิการ ตามกฎมหาเถร สมาคม พ.ศ. 2541 ฉบับที่ 23 ข้อ 25 (1), (2) ท้ัง 6 ประการ มีรายละเอียดดังน้ี (สานักเลขาธิการ มหาเถรสมาคม, 2542 , หน้า 71) 2.4.5.1 ดา้ นการปกครองคณะสงฆ์ การปกครอง หมายถึง ปกครองและสอดส่องดูแลบรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือ พานักอาศัยอยู่ในวัดน้ันให้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบหรือคาสั่ง ของมหาเถรสมาคมการปกครองเป็นงานหลักในการบรหิ ารกิจการคณะสงฆ์ ถือเป็นหัวใจสาคัญในการ ทางานรว่ มกัน ผ้ปู กครองทม่ี คี วามรูค้ วามสามารถและคุณธรรมดยี อ่ มเป็นท่ีรักของผู้ร่วมงาน ก่อให้เกิด ความสามัคคีมีประสิทธิภาพ คณะสงฆ์จะงดงาม มีแบบแผนแนวทางปฏิบัติเป็นหน่ึงเดียวกันนาความ ศรทั ธาเลื่อมใสใหแ้ ก่มหาชนท่ัวไป การปกครองคณะสงฆ์เป็นการปกครองตามพระธรรมวินัย ยึดถือพระธรรมวินัยเป็น หลักประกอบกับกฎหมายบ้านเมือง มติ คาสั่ง ระเบียบ กฎ ข้อบังคับท่ีออกโดยมหาเถรสมาคม ที่ไม่ ขัดต่อพระธรรมวินัย และมีการปกครองโดยลดระดับช้ัน จากบนลงล่างตามสายการบังคับบัญชา เพื่อใหเ้ กิดความเรยี บร้อยและเปน็ เอกภาพในการบรหิ ารงานของสงั ฆมณฑล การปกครองคณะสงฆ์ มผี ใู้ หค้ วามหมายและแนวคดิ ไว้หลายประการ ดังนี้ พระราชบัญญตั คิ ณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 (สัมพันธ์ เสริมชีพ, 2543, หนา้ 144-145) กลา่ วไว้ในหมวด 3 การปกครองคณะสงฆ์ ดังนี้ มาตรา 20(5) คณะสงฆ์ต้องอยูภ่ ายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม การจัดระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ให้เปน็ ไปตามที่กาหนดในกฎมหาเถรสมาคม มาตรา 20 ทวิ (6) เพ่ือประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลาง และส่วน ภมู ภิ าค ใหม้ เี จา้ คณะใหญป่ ฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีในเขตปกครองคณะสงฆ์ การแต่งต้ังและการกาหนดอานาจหน้าท่ีเจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วิธกี ารทกี่ าหนดในกฎมหาเถรสมาคม มาตรา 21 การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้จัดแบ่งเขตการปกครองจานวน และเขตปกครองดังกล่าวให้เป็นไปตามท่ีกาหนดในกฎมหาเถรสมาคมดังนี้ภาคจังหวัด อาเภอและ ตาบล มาตรา 22 การปกครองคณะสงฆ์ส่วนภูมิภาค ให้มีพระภิกษุเป็นผู้ปกครองตามชั้น ตามลาดับ ดังตอ่ ไปน้ีจา้ คณะภาคเจ้าคณะจังหวดั เจ้าคณะอาเภอและเจ้าคณะตาบล

25 เมือ่ มหาเถรสมาคมเห็นสมควรจัดใหม้ ีรองเจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะจังหวัด รองเจ้า คณะอาเภอ และรองเจ้าคณะตาบล เปน็ ผู้ช่วยเจา้ คณะน้นั ๆ กไ็ ด้ มาตรา 23 การแต่งตั้ง ถอดถอนพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้า อาวาส พระภิกษุอันเกี่ยวกับตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตาแหน่งอ่ืน ๆ และไวยาวัจกร ให้เป็นไปตาม หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารที่กาหนดในกฎมหาเถรสมาคม พระเทพปริยัติสุธี (2540, หน้า 1) กล่าวไว้ว่า การปกครองคณะสงฆ์มีแบบแผนที่ วางไวเ้ ป็นแนวปฏิบัติในการปกครองคณะสงฆ์ เรียกว่า “ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์” แบ่งออกได้ 2 ส่วน คือ ส่วนหนัก แบบแผนการกาหนดหน่วยงาน เขตปกครอง ผู้ปกครองหรือผู้รับมอบงานหรือ คณะผ้รู ับมอบงาน ส่วนย่อย ได้แก่ แบบแผนการกาหนดอานาจหน้าท่ี การควบคุม บังคับบัญชา การ ประสานงาน การต้ังผู้รกั ษาการแทน และการวางระเบยี บวธิ ีปฏบิ ตั ิอน่ื ๆ พระมหาจรรยา สทุ ธญิ าโณ (2544, หน้า 11) กล่าวไว้ว่า ลักษณะการปกครองของ พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ใช้ธรรมะเป็นใหญ่ไม่ใช่อานาจหรืออาชญา การปกครองที่มีธรรมเป็นใหญ่มี จุดหมายเพอื่ ให้ผปู้ กครองและผถู้ ูกปกครองเขา้ ถงึ ธรรม มิไดม้ จี ุดประสงค์อย่างอื่น เช่น ใช้อานาจเพื่อ ลาภผลหรอื ชื่อเสียงเกยี รติยศ หวั ใจสาคัญของการปกครองของพระพุทธเจ้าอยู่ที่พระธรรมวนิ ยั ไพบูลย์ เสียงก้อง (2544, หน้า 21-27) กล่าวว่า ด้านการปกครอง เป็นงานในการ ปกครองดแู ลวัดให้เปน็ ไปดว้ ยความเรียบร้อยตามมาตราท่ี 37 (2) ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขปรับปรุง ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2535 ที่กาหนดให้เจ้าอาวาสมีหน้าท่ีปกครองและสอดส่องให้ บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่อยู่หรือที่พานักอาศัยอยู่ในวัดนั้นปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคาสั่งของมหาเถรสมาคม โดยอาศัยตามอานาจมาตรา 38 เป็นเคร่ืองมือใน การปกครอง พระธรรมปรยิ ัตโิ สภณ (2545, หน้า 8-10) กล่าวถึงรูปแบบจัดองค์กรปกครองคณะ สงฆต์ ามพระราชบญั ญตั ิ พ.ศ. 2505 ดังนี้ 1. ผู้บัญชาการ ได้แก่ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นองค์ประมุข สงฆ์และ เป็นผู้บัญชาการคณะสงฆ์สูงสุด ทรงบัญชาการคณะสงฆ์ทางมหาเถรสมาคม ตามอาจแห่ง กฎหมายและพระธรรมวนิ ัย ทง้ั นเี้ พ่อื ความเจริญรงุ่ เรืองแหง่ พระพุทธศาสนา 2. องค์กรปกครองคณะสงฆ์สว่ นกลาง แยกเปน็ 2 คอื 2.1 มหาเถรสมาคม ได้แก่องค์กรปกครองคณะสงฆ์สูงสุด ซ่ึงเป็นองค์กรหลัก ประกอบดว้ ย 2.1.1 สมเดจ็ พระสงั ฆราช ทรงดารงตาแหนง่ ประธานกรรมการโดยตาแหนง่ 2.1.2 สมเด็จพระราชาคณะ เป็นกรรมการโดยตาแหน่ง