ความเขา้ ใจทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น กัญญาภทั ร สอนสดุ ชา สารนพิ นธน์ ้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ ารัฐศาสตรก์ ารปกครอง บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย พฤศจกิ ายน 2560 (ลิขสทิ ธเ์ิ ปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั )
ความเขา้ ใจทางการเมอื งในระบอบประชาธปิ ไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น กัญญาภทั ร สอนสดุ ชา สารนพิ นธน์ ้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ ารัฐศาสตรก์ ารปกครอง บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั พฤศจกิ ายน 2560 (ลิขสทิ ธเ์ิ ปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั )
POLITICAL UNDERSTANDING OF DEMOCRACY OF PEOPLE IN THE AREA OF CHUM PHAE MUNICIPALITY, CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE KANYAPHUT SONSUDCHA A THEMATIC PAPER SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY NOVEMBER 2017 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)
5820850332050: สาขาวิชา : รัฐศาสตร์การปกครอง ; ร.ม. (รัฐศาสตรมหาบัณฑิต) คาสาคญั : ความเขา้ ใจ / ระบอบประชาธปิ ไตย กัญญาภัทร สอนสุดชา : ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนใน เขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (POLITICAL UNDERSTANDING OF DEMOCRACY OF PEOPLE IN THE AREA OF CHUM PHAE MUNICIPALITY, CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE) คณะกรรมการควบคุมสารนิพนธ์ : ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ี ปรึกษา, พระนทิ ศั น์ ธีรปญโฺ ญ,ดร. อาจารย์ทป่ี รึกษารว่ ม. 138 หนา้ . ปี พ.ศ. 2560. สารนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ ดังน้ี 1) เพื่อศึกษาความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อ เปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุม แพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกัน และ 3) เพื่อ ศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชน ในเขต เทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษา คือ ประชาชนผู้มี สิทธิ์เลือกตั้งในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จานวน 394 คน โดยใช้สูตร ของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคร้ังนี้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มีลักษณะเป็นแบบตรวจเช็ครายการ (Check List) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ ค่าความถ่ี (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage)ค่าเฉลี่ย (Mean)ค่าส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)สถิตทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉล่ียประชากร (Independent t-test) และวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) หรือ F-test ทดสอบความ แตกตา่ งของคา่ โดยใชว้ ิธี Scheffé ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุม แพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉล่ีย 3.67 เมื่อพิจารณารายด้าน โดยเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ด้านท่ีมีค่าเฉลี่ยมากท่ีสุด คือ ด้านหลักการของระบอบ ประชาธิปไตย มีค่าเฉล่ีย 3.78 รองลงมาได้แก่ ด้านพฤติกรรมเก่ียวกับวัฒนธรรมทางการเมือง มี คา่ เฉลีย่ 3.63 ส่วนด้านทีม่ คี ่าเฉลย่ี นอ้ ยทีส่ ดุ คือ ด้านความสนใจบทบาททางการเมอื งมีคา่ เฉลี่ย 3.58 2. ผลการเปรียบเทียบประชาชนท่ีมีเพศต่างกัน มีความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ไม่ แตกต่างกัน ส่วนประชาชนท่ีมีอายุ ระดับการศึกษา และอาชีพต่างกันมีความเข้าใจทางการเมือง ใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดย รวม แตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .05
ข 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น สามารถแยก เป็นรายด้าน มีรายละเอียดดังน้ี (1) ด้านหลักการของระบอบประชาธิปไตย คือ รัฐบาลต้องมาจาก การเลือกตั้งไม่ใช่มาจากการยึดอานาจ รัฐบาลควรนานโยบายท่ีเสนอมาให้ประชาชนเลือกและทา อย่างจริงจัง และ ควรมีการสนับสนุนส่งเสริมการจัดกิจกรรมเก่ียวกับประชาธิปไตยอย่างเสรีและ จริงจัง (2) ด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง พบว่า ควรพูดคุยถึงประวัติของ นกั การเมอื งวา่ เปน็ คนดีหรอื ไม่ ไม่ชักชวนเอนเอียง ชักชวนพดู คยุ เป็นกลางสนทนาเชิงบวก ให้เกิดการ พัฒนาสร้างสรรค์ ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ควรให้ประชาชนมีส่วน ร่วมมาก ๆ ท่ีจะได้ตัดสินใจเลือกนักการเมืองท่ีไม่เข้ามากอบโกยผลประโยชน์ และ ต้องปลูกฝังและ เพิ่มหลกั สูตรการเรยี นการสอนให้เยาวชนรุ่นใหม่ในวัยเรียนตั้งแต่ระดับประถมถึงอุดมศึกษา (3) ด้าน ความสนใจในบทบาททางการเมือง พบว่า ต้องแนะนาสร้างความเข้าใจในการออกไปใช้สิทธิ์เลือก บุคคลท่ีดี การเลือกตั้งเมื่อส้ินสุดแล้ว นักการเมืองที่ได้ตาแหน่งควรเข้ามาดูแลประชาชนที่ได้ให้ นโยบายทุกคร้ัง กจิ กรรมควรสรา้ งความรทู้ างการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมีประโยชน์อย่างไร ต่อ ชุมชนและสว่ นรวม ควรให้ประชาชนมสี ่วนรว่ มเร่ืองผลประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่นักการเมืองคิดเอง ทาเอง สรุปเอง และ ควรให้ประชาชนรับฟังความเคลื่อนไหวทางการเมือง รับข้อมูลข่าวสารมาก ๆ เพอ่ื ตัดสนิ ใจไมผ่ ดิ พลาด และไมเ่ ป็นการเลือกต้ัง
ค 5820850332050: MAJOR: GOVERNMENT; M.Pol.SC. (MASTER OF POLITICAL SCIENCE) KEYWORDS : DEMOCRATIC POLITICAL PERCEPTION KANYAPHAT SONSUDCHA : DEMOCRATIC POLITICAL PERCEPTION OF PEOPLE IN CHUM PHAE MUNICIPALITY, CHUM PHAE DISTRICT, KHONKAEN PROVINCE. ADVISORY COMMUNITY: DR.PADIT KAMDEE, ADVISOR, PHRANITAT TEERAPANYO, DR., CO-ADVISOR. 138 PP., B.E. 2560 (2017). The objectives of the master project were as follows: 1) to study the democratic political perception of people in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, KhonKaen, 2) to compare the democratic political perception of people, classified by gender, age, educational level and occupation, in Chum Phae District, KhonKaen, and 3) to study recommendations on the democratic political perception of people in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, KhonKaen. The research samples were 394 electorate people, calculated by the sample size formula of Taro Yamane. The research instrument used for data collection was the questionnaire check list. The data were analyzed by the statistics comprised of frequency distribution, percentage, arithmetic mean, standard deviation whereas the data analysis was conducted by the independent t-test statistic and by the One-Way ANOVA through F-test. The paired difference test was conducted through Scheffé’s methodology. The research of research were found as follws: 1. The democratic political perception of people in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, KhonKaen, was found to be overall at a high level of the mean ( = 3.67). When each aspect was considered in the descending order, the aspect of “the principle of democracy” was found to be at the highest level of the mean ( = 3.78), followed by the aspect of “the behavior of political culture” ( = 3.63), and the aspect “the attention of political roles” was found to be at the lowest level of the mean ( = 3.58). 2. The comparison of the democratic political perception of people with the different gender in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, KhonKaen, was found not to be overall different. Nevertheless, the comparison of the democratic
ง political perception of people with different ages, educational levels and occupations, in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, KhonKaen, was found not to be overall different at a statistically significant level of 0.05. 3. Suggestions for solutions Political Understanding of Democratic People in Chum Phae Municipality, Chum Phae District, Khon Kaen Province Can be separated. The details are as follows (1) The principle of democracy is The government must come from the election, not from the power. The government should bring the policy to the people and choose seriously. It should be encouraged to promote free and serious democratic activities. (2) Politico-cultural behavior. Should discuss the history of politicians as good or not. Do not persuade Persuade neutral talk, positive conversation. To develop creative. It should be open to the public to comment freely. People should be very involved in the decision to choose politicians who do not take advantage. And to instill and increase the curriculum to the new generation of youth from elementary school to higher education. (3) Interest in political roles To introduce an understanding of the right to choose a good person. Election at the end The politician who gets the position should take care of the people who have given the policy every time. What should be the benefit of political activity in the democratic system? To the community and the community Should people participate in the benefits to the public. Politicians do not own the idea itself. And should people listen to the political movement. Get more information to make the right decision. And not an election.
จ ประกาศคณุ ูปการ สารนิพนธ์ฉบับน้ีสาเร็จลงได้เพราะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือและความกรุณาจาก หลายฝ่าย ผู้วิจัยจึงขอขอบคุณสถาบัน องค์กร และบุคคลท่ีได้ให้ความช่วยเหลือได้แก่ มหาวิทยาลัย มหามกฎุ ราชวิทยาลยั และคณาจารย์ทุกท่านท่ีได้ประสิทธิ์ประสาทวิชาจนสามารถนาความรู้มาเขียน สารนิพนธน์ ี้ได้ และกรุณาชแ้ี นะนาทางในการศึกษาค้นคว้า ขอขอบคุณ ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ีปรึกษาสารนิพนธ์ และพระนิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร. อาจารยท์ ี่ปรกึ ษาสารนพิ นธร์ ่วม ขอขอบคณุ ประธานและคณะกรรมการสอบสารนิพนธ์ ซ่ึงประกอบด้วย รศ.(พิเศษ)ดร.สุกิจ ชัยมสุ กิ ประธานกรรมการ รศ.ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ กรรมการ ผศ.บรุ ินทร์ ภสู่ กุล กรรมการ ท่ีกรุณา แก้ไขเพิ่มเติมเน้ือหา และแนะนาเกี่ยวกับรูปแบบการจัดพิมพ์สารนิพนธ์ให้ถูกต้องตามรูปแบบของ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลยั ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านท่ีได้ตรวจสอบสารนิพนธ์และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย จนแล้วเสร็จเรียบรอ้ ย ขอขอบคุณเจ้าหน้าท่ีของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยทุกท่านท่ีได้อุทิศแรงกายและ แรงใจให้บริการท่ีดีเย่ียม สนับสนุนการทาสารนิพนธ์ ซ่ึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสาเร็จตลอดจน ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ท่ีให้ความช่วยเหลือด้วยการเติมเต็มส่ิงท่ีขาดแคลนและคอยให้กาลังใจด้วยดี เสมอมา ทุกทา่ นท่ีกลา่ วมา ไดเ้ สียสละเวลาอันมคี ่าในการให้คาปรึกษา แนะนาองค์ความรู้ให้บริการ และช่วยเหลอื แกไ้ ขข้อบกพรอ่ งตา่ ง ๆ ของสารนิพนธฉ์ บบั น้ีจนแลว้ เสร็จสมบูรณ์ ท้ายที่สุดขอขอบคุณ บดิ า มารดา ครบู าอาจารย์ ตลอดจนทกุ ท่านที่มีส่วนชว่ ยส่งเสริมให้สารนิพนธ์ฉบับน้ีสาเร็จลงได้ด้วยดี ทุกประการ กัญญาภทั ร สอนสุดชา
สารบญั หน้า ก บทคดั ย่อภาษาไทย ค บทคัดย่อภาษาอังกฤษ จ ประกาศคณุ ูปการ ฉ สารบัญ ซ สารบญั ตาราง ฒ สารบัญแผนภูมิ บทที่ 1 1 1 บทนา 2 1.1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา 3 1.2 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ัย 3 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 3 1.4 สมมติฐานของการวิจยั 4 1.5 คานยิ ามศัพท์เฉพาะที่ใชใ้ นการวจิ ยั 6 1.6 ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะไดร้ บั 6 9 2 เอกสารและงานวิจยั ท่เี กีย่ วข้อง 13 2.1 แนวคิดเกย่ี วกับความเขา้ ใจ 23 2.2 ทฤษฎกี ารเมือง 29 2.3 ทฤษฎีประชาธปิ ไตย 33 2.4 แนวคิดทางการเมืองในแบบประชาธปิ ไตย 36 2.5 ประชาธปิ ไตยในพระไตยปิฏก 42 2.6 สภาพพ้นื ที่ศึกษา 44 2.7 งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วข้อง 44 2.8 สรปุ กรอบแนวคิดที่ใช้ในการวิจัย 44 47 3 วธิ ดี าเนินการวิจยั 48 3.1 กลมุ่ ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง 3.2 เทคนิควิธีการส่มุ ตวั อยา่ ง 3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั 3.4 การสร้างและตรวจสอบคณุ ภาพเครื่องมือวิจัย
สารบัญ (ตอ่ ) ช บทที่ หนา้ 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 50 3.6 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 50 3.7 สถติ ิท่ีใช้ในการวจิ ัย 51 5447 4 การวิเคราะห์ขอ้ มูล 54 4.1 สัญลกั ษณท์ ี่ใช้ในการเสนอผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 55 4.2 ขนั้ ตอนการวเิ คราะห์ข้อมูล 56 4.3 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู 96 97 5 สรปุ ผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 99 5.1 สรุปผล 104 5.2 อภิปรายผล 106 5.3 ข้อเสนอแนะ 110 111 บรรณานกุ รม 113 ภาคผนวก 119 122 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เช่ียวชาญตรวจสอบเครือ่ งมือ 130 ภาคผนวก ข หนังสอื ขอความอนุเคราะห์เป็นผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบเครือ่ งมือ 135 ภาคผนวก ค หนังสอื ขอความอนุเคราะห์เก็บรวบรวมขอ้ มูล 138 ภาคผนวก ง แบบสอบถาม ภาคผนวก จ คา่ ดัชนีความสอดคลอ้ งของข้อคาถาม (IOC) ภาคผนวก ฉ ค่าสมั ประสิทธแ์ิ อลฟา ประวัติผวู้ จิ ัย
สารบัญตาราง ตารางท่ี หนา้ 3.1 แสดงวธิ ีสุ่มตัวอย่าง 45 4.1 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผ้ตู อบแบบสอบถาม จาแนกตามเพศ 56 4.2 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามอายุ 56 4.3 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกระดับการศกึ ษา 57 4.4 แสดงจานวน และร้อยละของผูต้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามอาชพี 57 4.5 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 58 ชุมแพ จงั หวัดขอนแก่น โดยรวมและรายดา้ น 4.6 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 59 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น ด้านหลกั การของระบอบประชาธิปไตย 61 4.7 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 63 ชุมแพ จงั หวัดขอนแก่น ดา้ นพฤตกิ รรมเกี่ยวกบั วัฒนธรรมทางการเมือง 4.8 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 65 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น ดา้ นความสนใจบทบาททางการเมอื ง 65 4.9 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 66 ชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามเพศ 4.10 แสดงผลการเปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ 66 ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ท่ีมี เพศตา่ งกนั 4.11 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านหลกั การของระบอบประชาธปิ ไตย จาแนกตามเพศ 4.12 แสดงผลการเปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านหลักการ ของระบอบประชาธิปไตย ท่มี เี พศตา่ งกัน
ฌ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.13 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 67 ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนก 67 ตามเพศ 68 4.14 แสดงผลการเปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ 68 ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านพฤติกรรม 69 เก่ยี วกับวฒั นธรรมทางการเมือง ทีม่ เี พศต่างกัน 69 4.15 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 70 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 71 ชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามเพศ 71 4.16 แสดงผลการเปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความ สนใจบทบาททางการเมอื ง ทมี่ เี พศตา่ งกนั 4.17 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามอายุ 4.18 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ท่ีมอี ายุต่างกนั 4.19 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามอายุ ดว้ ยวธิ ีการของเชฟเฟ่ (Scheffé) 4.20 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ ด้านหลกั การของระบอบประชาธิปไตย จาแนกตามอายุ 4.21 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นหลกั การของระบอบประชาธิปไตย จาทีม่ อี ายุตา่ งกัน
ญ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.22 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ 72 ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด 73 ขอนแก่น ด้านหลักการของระบอบประชาธิปไตย จาแนกตามอายุ ด้วยวิธีการของ 73 เชฟเฟ่ (Scheffe) 74 4.23 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 75 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 75 ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนก 76 ตามอายุ 77 4.24 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเกีย่ วกบั วัฒนธรรมทางการเมอื ง ท่มี อี ายุต่างกนั 4.25 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเก่ียวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนกตามอายุ ด้วยวิธี การของเชฟเฟ่ (Scheffe) 4.26 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามอายุ 4.27 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมอื ง ทีม่ อี ายุต่างกัน 4.28 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามอายุ ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffe) 4.29 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามระดับการศึกษา
ฎ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.30 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- 77 ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 78 โดยรวม ทม่ี รี ะดับการศึกษาตา่ งกัน 79 4.31 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ 79 ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด 80 ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามระดบั การศกึ ษา ด้วยวธิ กี ารของเชฟเฟ่ (Scheffé) 81 4.32 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 81 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 82 ชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น ด้านหลักการของระบอบประชาธิปไตย จาแนกตามระดับ การศกึ ษา 4.33 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นหลกั การของระบอบประชาธปิ ไตย ท่มี รี ะดบั การศึกษาต่างกนั 4.34 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ดา้ นหลกั การของระบอบประชาธิปไตย จาแนกตามระดับการศึกษา ด้วย วธิ ีการของเชฟเฟ่ (Scheffe) 4.35 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านพฤตกิ รรมเกี่ยวกับวฒั นธรรมทางการเมืองจาแนกตาม ระดบั การศึกษา 4.36 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นพฤติกรรมเกย่ี วกับวัฒนธรรมทางการเมือง ทมี่ รี ะดับการศกึ ษาต่างกัน 4.37 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเก่ียวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนกตามระดับการ ศึกษา ด้วยวธิ กี ารของเชฟเฟ่ (Scheffe)
ฏ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.38 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 83 ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามระดับ 83 การศกึ ษา 4.39 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- 84 ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 85 ดา้ นความสนใจบทบาททางการเมอื ง ที่มรี ะดบั การศกึ ษาตา่ งกัน 85 4.40 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ 86 ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด 87 ขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามระดับการศึกษา ด้วย 87 วิธกี ารของเชฟเฟ่ (Scheffe) 4.41 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามอาชพี 4.42 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม ที่มอี าชพี ต่างกัน 4.43 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามอาชพี ดว้ ยวธิ ีการของเชฟเฟ่ (Scheffé) 4.44 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น ด้านหลกั การของระบอบประชาธปิ ไตย จาแนกตามอาชีพ 4.45 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นหลักการของระบอบประชาธปิ ไตย ท่ีมอี าชพี ตา่ งกัน
ฐ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.46 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ 88 ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด 89 ขอนแก่น ด้านหลักการของระบอบประชาธิปไตย จาแนกตามอาชีพ ด้วยวิธีการ 89 ของเชฟเฟ่ (Scheffé) 90 4.47 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง 91 การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ 91 ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนก 92 ตามอาชพี 93 4.48 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นพฤติกรรมเกี่ยวกับวฒั นธรรมทางการเมอื ง ท่ีมอี าชีพต่างกนั 4.49 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทางการเมือง จาแนกตามอาชีพ ด้วย วธิ กี ารของเชฟเฟ่ (Scheffe) 4.50 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชมุ แพ จงั หวัดขอนแกน่ ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามอาชีพ 4.51 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง ท่ีมอี าชพี ตา่ งกัน 4.52 แสดงการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านความสนใจบทบาททางการเมือง จาแนกตามอาชีพ ด้วยวิธีการของ เชฟเฟ่ (Scheffe) 4.53 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้าน หลักการของระบบประชาธิปไตย
ฑ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.54 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเก่ียวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- 94 ธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมอื งชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้าน 95 พฤติกรรมเก่ียวกับวัฒนธรรมทางการเมอื ง 4.55 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิป ไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านความสนใจในบทบาททางการเมือง
สารบัญแผนภูมิ ฒ แผนภมู ทิ ่ี หน้า 2.1 แสดงสรุปกรอบแนวคดิ ที่ใชใ้ นการวิจยั 43
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ ประเทศไทยนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา ในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา โครงสร้างของระบบการเมืองได้เน้นความเป็นประชาธิปไตยแบบ ประชาชนมีสว่ นรว่ ม และจะใหค้ วามสาคญั ในเรือ่ งสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชนในด้านต่าง ๆ เป็นอย่าง มาก โดยเฉพาะสทิ ธิเสรีภาพในดา้ นการแสดงออกซงึ่ ความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชน เพราะการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็นและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจะมี อิทธิพลต่อการกาหนดและเปล่ียนแปลงแนวนโยบายของรัฐบาลและผู้บริหารประเทศ กล่าวคือใน ประเทศท่ีมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย รัฐจะต้องให้หลักประกันแก่ประชาชนในด้านสิทธิ เสรภี าพทั้งในด้านการแสดงออกซ่ึงความคิดเห็นและการมสี ่วนร่วมทางการเมือง ซ่ึงถือว่าเป็นหลักการ สาคัญยิ่งประการหน่ึง ทั้งนี้การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนเท่ากับเป็นการยอมรับว่าการ ปกครองของประเทศน้ัน ๆ เป็นการปกครองโดยประชาชน การเป็นท่ียอมรับการเมืองการปกครอง เป็นระบอบประชาธิปไตย ประชาชนเป็นจักรกลที่สาคัญท่ีสุดที่จะทาให้การเมืองทางานได้อย่างมี ประสิทธิภาพและความสาคัญยิ่งอีกอย่างหน่ึงในระบอบประชาธิปไตยคือ การกระทาของรัฐบาลต้อง สอดคลอ้ งกบั ความปรารถนาของประชาชน ซ่ึงการเลือกตั้งจะสร้างกลไกเชื่อมโยงส่วนสาคัญของส่วน น้ันเขา้ ด้วยกนั รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2550 ได้เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วม ทางการเมอื งเพือ่ รกั ษาอานาจและผลประโยชน์ของตนเอง มีการออกกฎหมายท่ีส่งเสริมให้ประชาชน มีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง เช่น พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 พระราชบัญญัติการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 เป็นต้น หากประชาชนมีความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชา- ธิปไตย แล้ว ย่อมทาให้ทราบบทบาทสิทธิและหน้าท่ีของตนเอง ถือเป็นเรื่องสาคัญประการหน่ึงเป็น การปกครองที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนที่มากที่สุด เทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอ ชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เป็นอีกองค์กรหน่ึงท่ีมีความสาคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่มีการกระจายอานาจการปกครองจากส่วนกลางสู่ภูมิภาค การปกครองท้องถิ่นเป็นการปกครองที่มี การเลือกผนู้ าขึน้ มาบริหารจดั การและกาหนดนโยบายตา่ ง ๆ ของท้องถ่นิ แต่อยา่ งไรก็ตามในสังคมแต่ ละสังคมจะมีประชาชนเพียงบางส่วนเท่านั้น ท่ีมีความเข้าใจในการเมืองระบอบประชาธิปไตย หาใช่ท้ังหมดไม่ ผู้ท่ีมีความเข้าใจทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยเหล่าน้ันจะมีส่วนร่วมในรูปแบบ
2 และในระดับที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันท่ีกระบวนการทางการเมืองได้มีความหลากหลาย มากข้ึนจึงทาให้การปกครองในระดับท้องถ่ินไม่มีการพัฒนาเท่าที่ควรและเป็นการกระจายอานาจ การปกครองที่ไม่ประสบความสาเร็จทาให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่มีการพัฒนาไปสู่ ทิศทางทีด่ ี จากความสาคัญของปัญหาดังกล่าว จึงควรมีการศึกษาหาแนวทางแก้ไขเก่ียวกับความ เข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ประชาชนต้องมีความเข้าใจอุดมการณ์ของประชาธิปไตยท่ีถูกต้องเสียก่อนและ ประชาชนมีความเข้าใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งข้อมูลท่ีได้จากการวิจัย สามารถนาไปเปน็ ขอ้ มลู ในการจัดทาแผนนโยบายและยทุ ธศาสตรใ์ นการพัฒนาความรู้ความเข้าใจทาง การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนให้มากยิ่งขึ้น นอกจากน้ีผลของการวิจัยยังจะทาให้ ทราบข้อเสนอแนะจากประชาชนสามารถนามาเป็นข้อมูลเพื่อกาหนดแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขให้ ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจ และเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ในระดับ ท้องถนิ่ เพิม่ มากขนึ้ และเกิดประโยชน์สงู สดุ ตรงกับความต้องการของประชาชน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจท่ีจะศึกษาความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชน ในเขตเทศบาลเมอื งชมุ แพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ อันเป็นมาตุภูมิของผู้วิจัย ซึ่ง จะศึกษาว่าประชาชนมีความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอย่างไร และเปรียบเทียบ ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชนที่มี เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ตลอด จนศึกษาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ท่ีทาให้ประชาชนสนใจ อันจะสามารถนาไปใช้เป็นแนวทางส่งเสริม พัฒนาความรู้ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และนาไปสู่การหาข้อเสนอแนะเกี่ยว กับความรู้ความเขา้ ใจทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตย และสามารถนาผลการศึกษาไปใช้เพื่อการ พัฒนาการเมืองของทอ้ งถิ่นในอนาคตตอ่ ไป 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของกำรวจิ ัย 1.2.1 เพื่อศึกษาความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขต เทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแกน่ 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชนใน เขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ท่ีมีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพ ต่างกนั 1.2.3 เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเก่ียวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชน ในเขตเทศบาลเมอื งชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น
3 1.3 ขอบเขตของกำรวจิ ัย ในการศึกษาคร้ังนี้ ผูว้ ิจยั ได้กาหนดขอบเขตการศกึ ษาค้นควา้ ไว้ ดงั นี้ 1.3.1 ขอบเขตด้ำนประชำกร ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในเขตท้องที่เทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ จานวน 24,800 คน กลุ่มตัวอย่าง ท่ีใช้ในการวิจัยในคร้ังนี้ กาหนดมาจากประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกต้ังในเขต เทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จานวน 394 คน โดยใช้สูตรของทาโร่ยามาเน่ (Taro Yamane) 1.3.2 ขอบเขตด้ำนเนอ้ื หำ ศกึ ษาความเข้าใจทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมือง ชุมแพ 3 ดา้ น อันได้แก่ 1) ด้านหลักการของระบอบประชาธปิ ไตย 2) ด้านพฤติกรรมเกย่ี วกับวฒั นธรรมทางการเมือง 3) ดา้ นความสนใจบทบาททางการเมือง 1.3.3 ขอบเขตดำ้ นพ้ืนท่ี พื้นทข่ี องเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ ท้งั 38 ชมุ ชน 1.3.4 ขอบเขตดำ้ นเวลำ การวิจัยครั้งนี้ทาการศึกษาระหว่างวันท่ี 1 ธันวาคม พ.ศ.2559 ถึง วันท่ี 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 1.4 สมมติฐำนของกำรวิจยั 1.4.1 ประชาชนท่ีมี เพศ อายุ การศึกษา และอาชีพ ต่างกัน มีความเข้าใจทางการเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แตก ต่างกนั 1.5 ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รบั 1.5.1 ทาให้ทราบความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขต เทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแกน่ 1.5.2 ทาให้ทราบผลการเปรยี บเทยี บความเข้าใจทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตยของ ประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชพี ต่างกนั
4 1.5.3 ทาให้ทราบข้อเสนอแนะเก่ียวกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของประชาชน ในเขตเทศบาลเมอื งชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแกน่ 1.5.4 ทาให้สามารถนาผลการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลสารสนเทศในการปรับปรุงความเข้าใจ ทางการเมอื งในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ 1.6 คำนิยำมศพั ท์เฉพำะท่ใี ช้ในกำรวิจยั ควำมเขำ้ ใจ หมายถึง ความเขา้ ใจรายละเอียดของการเมอื งในระบอบประชาธิปไตย ข้อมูล ตา่ ง ๆ สามารถที่จะสอื่ ความหมาย แปลความ ตีความ ขยายความ หรือแสดงความความคิดเห็นเกี่ยว กับการเมืองในระบอบประชาธปิ ไตย กำรเมืองในระบอบประชำธิปไตย หมายถึง ระบบการปกครองที่ประชาชนเป็นใหญ่ เป็นการปกครองที่มุ่งเชิดชูสิทธิเสรีภาพของประชาชน ความเสมอภาคทางสังคม ศักดิ์ศรีความเป็น มนษุ ย์ โดยทก่ี ารปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองของประชาชน โดยประชาชนเพื่อ ประชาชน การปกครองในระบบน้ีจะมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการตอบสนองความต้อง การของประชาชน และอาจกล่าวได้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยประชาชนส่วนใหญ่ให้การ ยอมรบั มากทีส่ ดุ ประชำชน หมายถึง ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองชุมแพ อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแก่น เทศบำล หมายถึง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท่ีจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช 2496 และแก้ไขเพ่ิมเติมจนถึงพระราชบัญญัติเทศบาล ฉบับท่ี 12 พุทธศักราช 2546 ใน ทีน่ ้หี มายถึง เทศบาลเมอื งชุมแพ อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแก่น ด้ำนหลักกำรของระบอบประชำธิปไตย หมายถึง หลักการทั่ว ๆ ไปที่ประชาชนในเขต เทศบาลเมืองชุมแพ ได้รับรู้ในมิติหลักการระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ หลักอานาจอธิปไตยเป็นของ ปวงชน หลกั เสรีภาพ หลักเสมอภาค หลกั กฎหมาย หลกั เสียงข้างมาก ด้ำนพฤติกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรมทำงกำรเมือง หมายถึง การแสดงออกพฤติกรรมของ ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองชุมแพท่ีเก่ียวกับวัฒนธรรมทางการเมือง ได้แก่การมีส่วนร่วม การเห็น คณุ คา่ และความสาคญั ลกั ษณะทางการเมืองทพี่ บเหน็ ในชนชัน้ ตา่ ง ๆ การกล่อมเกลาทางการเมอื ง ด้ำนควำมสนใจบทบำททำงกำรเมือง หมายถึง การแสดงความสนใจท่ีจะมีบทบาททาง การเมืองโดยตรงหรอื โดยอ้อมในกจิ การทางการเมืองด้านต่าง ๆ ทง้ั ในระดบั ชาตแิ ละระดับท้องถ่ิน ปจั จยั สว่ นบุคคล หมายถึง ข้อมูลท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในพ้ืนท่ีเทศบาลเมือง ชุมแพ อาเภอชมุ แพ จงั หวัดขอนแก่น คือ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา และอาชพี
5 เพศ หมายถึง เพศของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 2 เพศ คือ 1) เพศชาย และ2) เพศหญงิ อำยุ หมายถึง อายุของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 5 ช่วง คือ 1) อายุ 18-30 ปี, 2) อายุ 31-40 ป,ี 3) อายุ 41-50 ปี, 4) อายุ 51-60 ปี และ 5) อายุ 61 ปีขนึ้ ไป ระดับกำรศึกษำ หมายถึง ระดับการศึกษาสูงสุดของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสาร นิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 5 ระดับ คือ 1) ระดับประถมศึกษา, 2) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น, 3) ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลาย/ปวช., 4) ระดับอนุปรญิ ญาตร/ี ปวส. และ 5) ระดับปริญญาตรหี รอื สงู กว่า อำชีพ หมายถึง อาชีพของผู้ตอบแบบสอบถามสาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 4 อาชีพ คือ 1) รับราชการ/รัฐวิสาหกิจ, 2) รับจ้าง/เกษตรกรรม, 3) ค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว และ 4) แม่บ้าน/ นักศกึ ษา
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง การวิจัยเร่ือง “ความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน ในเขต เทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น” ผศู้ กึ ษาวิจัยได้ทาการศึกษาทฤษฎีและแนวคิดเพื่อ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับความเข้าใจทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน เพื่อมาใชเ้ ป็นแนวทางการศึกษาวจิ ัย โดยมีรายละเอียดดงั ต่อไปนี้ 2.1 แนวคดิ เกยี่ วกบั ความเข้าใจ 2.2 ทฤษฎกี ารเมือง 2.3 ทฤษฎีประชาธิปไตย 2.4 แนวคดิ ทางการเมอื งในแบบประชาธิปไตย 2.5 ประชาธิปไตยในพระไตรปฎิ ก 2.6 สภาพพื้นท่ีศึกษา 2.7 งานวิจยั ทเี่ กีย่ วขอ้ ง 2.8 สรปุ กรอบแนวคิดท่ใี ชใ้ นการวิจยั 2.1 แนวคดิ เก่ียวข้องกบั ความเขา้ ใจ ความหมายของความเข้าใจ ความเข้าใจนั้นเป็นความสามารถในการแปลความ ตีความ และขยายความจากข้อมูลและ สิ่งตา่ ง ๆ ซึ่งเป็นพฤติกรรมด้านความเข้าใจ และนักวิชาการได้ให้ความหมายของความเข้าใจไว้ ได้แก่ เบนจามิน เอส.บลูม (Benjamin S. Bloom) ได้ให้คาอธิบายไว้ว่าความเข้าใจ หมายถึง พฤติกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ซ่ึงเน้นการจาไม่ว่าจะเป็นการระลึกถึงหรือระลึกได้ก็ตาม ซ่ึงเป็นผลจากการ เรียนรู้ โดยเร่ิมต้นจากการรวมสรรสาระต่าง ๆ เหล่านั้นจนพัฒนาไปสู่ขั้นท่ีมีความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น ตอ่ ไป ความเขา้ ใจอาจแยกออกเปน็ ความเข้าในเฉพาะส่งิ ความเขา้ ใจในเรือ่ งแบบแผนและความเข้าใจ เรื่องสากล และความสามารถทางปัญญาและทักษะ ได้แก่ 1) ความสามารถทีจ่ ะใหค้ วามหมายของคา (การแปลความหมาย) 2) ความสามารถในการเขา้ ใจความหมายของการคิด (การตคี วาม) 3) ความสามารถในการท่ีจะคาดคะเนถึงส่งิ ท่ีอาจเกดิ ขน้ึ ได้ (การประเมินค่า) แนวคดิ ของเบนจามนิ อธบิ ายวา่ ความเข้าใจ การเน้นการจาไม่ว่าจะเป็นการระลึกถึง หรือ ระลกึ ได้ก็ตาม ซ่ึงเป็นผลท่เี กดิ จาก การเรยี นรู้ จนเกดิ ความสามารถทางปัญญาจนกลายเป็นทักษะการ
7 แปลความหมายตา่ ง ๆ ได้ การตีความที่ถูกต้องตามความหมาย และการประเมินค่าถ้อยคาตามความ หมาย ซ่ึงสามารถสง่ ผลโดยตรงตอ่ ความเขา้ ใจของบคุ คลนน้ั ๆ จอรน์ ฮอสเปอร์ (John Hospers) ชี้ให้เห็นว่า “ความเข้าใจเป็นข้ันตอนต่อมาจากความ รู้ โดยเปน็ ข้ันตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นท่ีสูงข้ึน จนถึงระดับของการสื่อ ความหมาย ซึง่ อาจเป็นไปไดโ้ ดยการใชป้ ากเปลา่ ข้อเขียน ภาษา หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้น หลังจากทีบ่ คุ คลไดร้ ับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียนแล้วแสดง ออกมาในรูปของการใชท้ กั ษะหรอื การแปลความหมายต่าง ๆ เช่น การบรรยายข่าวสารท่ีได้ยินมาโดย คาพูดของตนเอง หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหน่ึง โดยคงความหมายเดิม เอาไว้ หรอื อาจเป็นการแสดงความคดิ เหน็ หรอื ใหข้ ้อสรปุ หรอื การคาดคะเนก็ได้” ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า ความเข้าใจ เป็นการรับรู้ในส่ิงที่ได้มาจากกระบวนการท่ีก่อให้เกิด การเรียนรู้มาจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวของมนุษย์ ในแหล่งเรียนรู้และสถานการณ์ท่ีแตกต่างหรือคล้าย คลงึ กนั เช่น จากการศึกษาเลา่ เรยี น การอภปิ รายความเห็นร่วมกับบคุ คลอนื่ เปน็ ต้น สมศักด์ิ ศรีสันติสุข (2538, หน้า 2-15) ได้ให้ความหมายไว้ว่าความเข้าใจเกิดจากประสบ การณต์ ่าง ๆ ในสงั คมท่ีมนษุ ยป์ ระสบทง้ั ทางธรรมชาติ และทางสังคมหมายความว่า เม่ือมนุษย์เกิดมา จะต้องพ่ึงพาอาศยั อยกู่ ับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสังคม ซึ่งมีบทบาทสาคัญต่อการดารงชีวิตของ มนุษย์ มนุษย์จะต้องมีความเข้าใจสิ่งแวดล้อมและสังคม และเข้าใจการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึน ทั้งท่ีมาจากสิ่งแวดล้อมและสังคม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์จะต้องแสวงหาความเข้าใจต่าง ๆ เพ่ือให้เกดิ ความเขา้ ใจสาเหตุ และการแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ ต่อปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสังคม ซ่ึง ความเขา้ ใจของมนษุ ย์ไดม้ ีการพฒั นามากมายและมีหลายระดับความเข้าใจความสามารถและพ้ืนฐาน ของมนษุ ย์ ซ่ึงแบ่งตามทัศนะตา่ ง ๆ ได้ดงั นี้ 1) ทัศนะของบุคคลท่ัวไป ย่อมมีลักษณะท่ีแตกต่างกันไปตามพื้นฐานและความสามารถ ของแต่ละบุคคล บุคคลท่ัวไปในท่ีน้ีนั้นจะหมายถึงประชาชนท่ัวไป ท่ีประกอบอาชีพท่ีไม่เก่ียวข้อง กับการเรียนการสอน เช่น ชาวไร่ ชาวนา พ่อค้า นักธุรกิจ เป็นต้น บุคคลท่ัวไปเหล่าน้ีมีทัศนะต่อ ความหมายของความรทู้ ี่เกิดจากความรแู้ ละความเข้าใจจากการถ่ายทอดสืบต่อมาจากประเพณีบุคคล เหล่าน้ีอาจจะมีความรู้ในระดับปฏิบัติ ไม่ใช่นามธรรม บางทีเขามีความเข้าใจแต่ไม่สามารถถ่ายทอด ออกมาได้ 2) ทัศนะของนกั วิชาการ ความเข้าใจ ในความหมายของนักวิชาการ ต้องเป็นวิทยาศาสตร์ เนื่องจากนักวิชาการสนใจในเรื่องของข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ ความรู้ช่ือถือได้นักวิชาการจึง สนใจที่จะค้นคว้าอย่างมีระบบตามแขนงวิชาของตน เพ่ือที่จะนาความรู้นั้นสร้างเป็นทฤษฎีต่อไป จึง กล่าวได้ว่าความรู้ในด้านทัศนะของนักวิชาการ ก็คือองค์ความรู้ที่มีลักษณะรวบรวมความคิดรวบยอด และมีลักษณะของนามธรรมเป็นส่วนมาก อาจจะเห็นว่าแต่ละสาขาวิชาการต่าง ๆ ก็จะมีความรู้ใน
8 สาขาน้ัน และถ้าเป็นบุคคลธรรมดาก็จะไม่เข้าใจในคาศัพท์หรือแนวความคิดของนักวิชาการต่าง ๆ เหลา่ นน้ั 3) ทัศนะของนักปฏิบัติ ความหมายของความเข้าใจของนักปฏิบัติเกี่ยวข้องกับความเข้าใจ ใน เหตุการณ์ หรือ ปรากฏการต่าง ๆ ท้ังทางธรรมชาติและทางสังคม ที่อธิบายได้ในลักษณะที่นาไป ใช้ได้ เราอาจกล่าวได้ว่า นักปฏิบัติเป็นบุคคลท่ีเช่ือมโยงระหว่างความรู้ของบุคคลท่ัวไปและนักวิชา การ เพื่อนาความรู้น้ันไปใช้ประกอบแก่ส่วนรวม ระดับความนึกคิดความลึกซ้ึงของความรู้ อาจจะอยู่ ในรูปธรรมและนามธรรมของบุคคลท่ัวไป จากความหมายดังกล่าวพอจะสรุปได้ว่า “ความรู้” เป็น พฤติกรรามขั้นแรกของการเรียนรู้ และการรับรู้ โดยอาศัยการอ่าน การได้ยิน ได้ฟัง การจดจา และ การย้อนราลึก ข้นั ตอนนีไ้ ม่ตอ้ งใชค้ วามคิดหรือสมรรถภาพทางสมองมากนัก แต่สาคัญเพราะสามารถ พัฒนาไปสูก่ ารเกิดความเข้าใจ การนาความรู้ไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล สว่ น “ความเข้าใจ” เปน็ ขน้ั ตอนทีถ่ ัดมาจากความรู้ การส่ือสารความหมายของการทาความเข้าใจ จึง เกี่ยวข้องกับการตีความ การแปลความหมาย และการคาดคะเนด้วยข้ันตอนทั้งสองน้ีมีความสาพันธ์ ใกล้ชิดกันมาก จึงทาให้พฤติกรรมของความรู้และความเข้าใจเป็นส่ิงท่ีแยกออกจากกันได้ยาก เพราะ มักเกิดขึน้ ควบคูก่ นั ไป แสงจันทร์ โสภากาล (2544, หน้า 15) ได้ให้ความหมายไว้ว่าความเข้าใจ เป็นการรับรู้ การประมวลผล ความรู้ท่ีแบ่งเป็นระบบ หรือความสามารถในการดัดแปลงย่นย่อรวมกันจึงประกอบ ด้วยการแปลความหมาย การตีความ และการขยายความเขา้ ใจ หรือความคิดรวบยอด สรุปความเข้าใจเกิดจากประสบการณ์ต่าง ๆ ในสังคม ท่ีมนุษย์ประสบท้ังทางธรรมชาติ และทางสังคมหมายความว่า เม่ือมนุษย์เกิดมาจะต้องพ่ึงพาอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสังคม ซ่ึงมีบทบาทสาคัญต่อการดารงชีวิตมนุษย์จะต้องมีความเข้าใจสิ่งแวดล้อมและสังคม และเข้าใจการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน ท้ังท่ีมาจากสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สาเหตุ และการแกไ้ ขปัญหาตา่ ง ๆ ต่อปรากฏการณท์ างธรรมชาติและสังคม ซึ่งความเข้าใจของมนุษย์ มีหลายระดับสงั คมท่ตี นอาศยั อยู่ จักรกริช ใจดี (2542, หน้า 8-9) ได้ให้ความหมายของความเข้าใจไว้ว่า “ความเข้าใจ (Comperhension) หมายถึง ความสามารถจับใจความสาคัญของเร่ืองราวต่าง ๆ ได้ท้ังภาษา รหัส สญั ลกั ษณ์ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม แบ่งเป็น การแปลความ การตีความ การขยายความ” โดยแยก ความเขา้ ใจออกเป็น 3 ลกั ษณะ ดังนี้ 1. การแปลความ คือ ความสามารถในการจับใจความให้ถูกต้องกับสิ่งท่ีส่ือความหมายหรือ ความสามารถในการถ่ายเทความหมายจากภาษาหน่ึงไปสู่อีกภาษาหนึ่ง หรือจากการสื่อสารรูปแบบ หนง่ึ ไปสอู่ กี รปู แบบหนึง่
9 2. การตีความ คือ ความสามารถในการอธิบาย หรือแปลความหมายหลาย ๆ อันมาเรียบ เรียง โดยทาการจัดระเบียบ สรุปยอดเป็นเน้ือความใหม่ โดยยึดเป็นเน้ือความเดิมเป็นหลักไม่ต้อง อาศัยหลักเกณฑ์อน่ื ใดมาใช้ 3. การขยายความ คือ ความสามารถท่ีขยายเนื้อหาข้อมูลที่รับรู้มาให้มากข้ึน หรือเป็น ความสามารถในการทานาย หรือคาดคะเนเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างดี โดยอาศัยข้อมูลอ้างอิงหรือ แนวโน้มทีเ่ กินเลยจากข้อมลู ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า ลักษณะความเข้าใจ หมายถึง ความทรงจาในเร่ืองราว ข้อเท็จจริง รายละเอียดต่าง ๆ และความสามารถในการนาความรู้ท่ีเก็บรวบรวมมาใช้ดัดแปลง อธิบายเปรียบ เทียบในเร่อื งนั้น ๆ ไดอ้ ย่างมเี หตุผล 2.2 ทฤษฎีการเมอื ง ความหมายของการเมือง การเมืองมีความหมายหลากหลาย แต่ในที่น้ีผู้วิจัยมุ่งจะกล่าวถึง ความหมายของการเมือง ตามพจนานุกรม ความหมายของการเมืองตามทัศนะของนักปราชญ์ และทัศนะของผู้รู้อื่น ๆ ท่ีได้ให้ ความหมายไว้ดงั น้ี ราชบณั ฑติ ยสถาน (2526, หน้า 90) การเมืองมคี วามหมายหลากหลาย แต่ในที่น้ีผู้วิจัยมุ่ง จะกล่าวถึง ความหมายของการเมืองตามพจนานุกรม ความหมายของการเมืองตามทัศนะของ นกั ปราชญ์ และทศั นะของผู้รู้อ่นื ๆ ทไ่ี ดใ้ หค้ วามหมายไวด้ งั น้ี พจนานกุ รมฉบบั ราชยบัณฑติ สถาน พ.ศ. 2525 ได้ใหค้ วามหมายของการเมอื งไว้ดังน้ี 1. งานท่ีเก่ียวกับรัฐหรือแผ่นดิน เชน่ วิชาการเมอื ง ได้แก่ วิชาวา่ ด้วยรฐั การจัดส่วนแห่งรัฐ และการดาเนนิ การแห่งรัฐ 2. การบริหารประเทศเฉพาะนโยบายที่เก่ียวกับการบริหารประเทศ เช่น การเมืองระหว่าง ประเทศ ได้แก่ การดาเนินนโยบายตา่ งประเทศ 3. กิจการอานวยหรอื ควบคมุ การบรหิ ารราชการแผ่นดิน เช่น ตาแหน่งทางการเมือง ได้แก่ ตาแหน่งซึ่งได้มีหน้าที่อานวย (คณะรัฐมนตรี) หรือควบคุม (สภาผู้แทนราษฎร) การบริหารราชการ แผน่ ดนิ กระมล ทองธรรมชาติ (2515, หน้า 12) การเมืองตามความหมายของนักปราชญ์ และ ท่านผูร้ ไู้ ดใ้ หค้ วามหมายของการเมืองไวด้ งั นี้ การเมือง คือ การท่ีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลในสังคม ซึ่งอาจมีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือ ขัดแย้งกัน หรือมีความคิดเห็นเหมือนกันทาการต่อสู้เพ่ือสรรหาบุคคลไปทาหน้าที่ในการปกครอง ประเทศแทนเขา และเพ่ือให้ได้มาซ่ึงอานาจที่จะทาให้พวกเขาสามารถตัดสินใจในเรื่องราวของส่วน รวมไดโ้ ดยธรรม
10 อนันต์ สมุทวณิช (2527, หน้า 6) ความหมายทางการเมอื งมี 2 ประการ คือ 1. การเมืองเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง และมีขอบเขตจากัดอยู่ที่ องคก์ ารและสถาบนั การเมอื งสาคัญ ๆ ได้แก่ คณะรัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง กลุ่มอิทธิพล กลุ่มผล ประโยชน์ ระบบราชการ คณะทหาร การเลอื กตงั้ การปฏิวัติ การรัฐประหาร เป็นต้น การเมืองในความ หมายนี้จึงแคบ เพราะเป็นการเชื่อมโยงกิจกรรมการเมืองเข้ากับสถาบันองค์การทางการเมืองมากกว่า การมองเปน็ ปฏิสัมพนั ธ์ทง้ั ระบบ 2. การเมืองเป็นกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นทั่วไป และมีอยู่อย่างกว้างขวาง โดยมองในลักษณะที่ กว้าง ๆ ว่าเป็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแต่ระดับสังคมย่อย ๆ ได้แก่ครอบครัว ชุมชนขนาดเล็ก สโมสร องคก์ าร สถาบัน หรือสงั คมระดบั ชาติ สุขุม นวลสกุล และวิศิษฐ์ ทวีเศรษฐ (2530, หน้า 1) การเมืองหมายถึง กิจกรรมท่ีเกี่ยว กับการแข่งขนั หรอื แสวงหาอานาจ ซง่ึ ส่งผลกระทบตอ่ สงั คม โดยสว่ นรวม จิระโชค วีระสัย (2540, หน้า 26) การเมืองเป็นกิจกรรมท่ีเกี่ยวกับการได้มาซึ่งอานาจใน การปกครอง และการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อใช้อานาจนั้นในการแบ่งปันผลประโยชน์ ให้แก่ ประชาชนในรัฐ ซึง่ กระทาโดยฝ่ายการเมอื ง หรอื เรยี กว่า นักการเมือง อุทมุ พร วิลาทอง (2541, หนา้ 11) การเมอื งมีความหมาย 3 ประการ คือ 1. การเมืองเป็นกิจกรรมที่แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการแข่งขัน ระดับบุคคลต่อบุคคล กล่มุ บุคคลตอ่ กลุม่ บุคคล สงั คมต่อสังคม 2. การเมืองเป็นกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นสภาพที่ ค่อนขา้ งขาดแคลน 3. การเมืองเป็นกิจกรรมซึ่งเกี่ยวกับการแสวงหาผลประโยชน์ อันมีผลสะท้อนต่อคน หมู่มาก สายสุณี ศักรางกูร (2542, หน้า 8) การเมืองเป็นเร่ืองความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับ การบังคบั บัญชาและการถูกบงั คับบญั ชา การเป็นผู้ปกครองและผถู้ กู ปกครอง บุหงา ทาระพันธ์ (2550, หน้า 9) การเมือง หมายถึง การอยู่ร่วมกันของบุคคลในสังคม ซึ่งมีความเห็นเหมือนกันหรือขัดแย้งกันเพ่ือหาผลประโยชน์ร่วมกัน ช่วยกันขจัดปัญหา จัดสรร ประสานประโยชน์เพ่อื ความคงอย่แู ละมีชีวติ ความเปน็ อยทู่ ี่ดี ความหมายของการเมอื งที่กลา่ วมานี้ สามารถสรุปได้ว่า การเมืองเป็นเรื่องของบุคคลที่รวม กลุ่มกันเพื่อเข้ามามีอานาจในการกาหนดนโยบายสาธารณะ เพ่ือสนองตอบความต้องการของ ประชาชนส่วนใหญ่ และเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้ตอบสนองความ ตอ้ งการของกลุ่มตน
11 ทฤษฎที างการเมือง อรินทร์ นิติเศรษฐ์ (2549, หน้า 6) การเมืองเป็นกิจกรรมของบุคคลและสถาบันในอันท่ี จะขจัดปัญหา หรือความขัดแย้งในการจัดสรรแบ่งปัน เพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน จัดประสานผล ประโยชน์เพื่อความคงอยู่และสวัสดิภาพของสังคมโดยส่วนรวม ดังนั้นทฤษฎีทางการเมืองจึงเป็น การศึกษาเก่ียวกับเร่ืองความรู้ทางการเมือง ซ่ึงในทางรัฐศาสตร์ หมายถึง กระบวนการนามาซ่ึง วัฒนธรรมทางการเมอื งแก่ประชาชน จะทาให้บุคคลมีทัศนะ หรือมีความรู้สึกต่อระบบการเมืองนั้น ๆ ทฤษฎีเรียนรู้ทางการเมืองการปกครองมีแนวคิด 2 ระดับ พฤติกรรม 3 ลักษณะ หน่วยการเรียนรู้ 6 หน่วย และขั้นตอนการเรยี นรู้ 3 ขั้นตอน ดังนี้ แนวคดิ 2 ระดบั การศึกษาเรื่องการเรียนรู้ทางการเมือง เป็นการศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมทางการเมือง ของบุคคลในสงั คม โดยมองเปน็ 2 ระดับ คอื 1. ระดับการวิเคราะห์ในบุคคล โดยมองว่าบุคคลได้รับความรู้ทางการเมืองในด้านใดและ วิธีการใด 2. ระดบั การมองว่าภายในสงั คมหนง่ึ บุคคลโดยสว่ นใหญถ่ กู อบรมขดั เกลาให้มีทัศนคติและ พฤตกิ รรมทางการเมอื งแบบใด และองค์การหรอื สถาบันใดท่ใี ห้การอบรมจนเปน็ ท่ีมีอิทธิพลสาคัญ การเรยี นรู้ทางการเมืองจะดาเนนิ ไปในลักษณะเป็นกระบวนการคือ “ตลอดชีวิตของบุคคล จะต้องผ่านการเรียนรู้ทางการเมืองมาตลอด และพฤติกรรมทางการเมืองของบุคคลก็อาจจะคงเดิม หรือเปล่ียนแปลงไปตามกาลเวลาก็ได้ การเรียนรู้ทางการเมืองเป็นกระบวนการท่ีเกี่ยวข้องกับไป มี การสอนส่งิ ใดแก่ใครดว้ ยวธิ กี ารใด ภายใต้สภาวการณอ์ ย่างไรและบงั เอญิ เกิดส่งิ ใดขน้ึ ” พฤตกิ รรม 3 ลกั ษณะ การศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ทางการเมืองแบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ระบบ ทางการเมือง ทัศนคติ และการเข้าร่วมในทางการเมือง ระบบทางการเมืองจะศึกษาเก่ียวกับสถาบัน โครงสร้าง และปทัสถานของระบบการเมือง ทัศนคติจะศึกษาเรื่อง อานาจตัวบุคคล กลุ่มบุคคล นโยบาย อุดมคติทีท่ าให้ได้มาซ่งึ อานาจและอทิ ธิพล ส่วนการเข้ารว่ มทางการเมือง จะศึกษาพฤติกรรม 3 ลักษณะ คอื 1. การมีกฎเกณฑ์และแบบแผน เช่นการมีบทบาททางการเมืองอย่างมีระเบียบหลักเกณฑ์ เคารพต่ออานาจในการปกครอง เคารพต่อกฎหมาย เพ่ือท่ีจะส่งเสริมวิธีทางการเมืองการปกครอง ให้มั่นคงข้นึ 2. การเคารพต่ออานาจอันชอบธรรมในการปกครอง 3. สภาพทัว่ ไป
12 หนว่ ยการเรยี นรูท้ างการเมอื ง 6 หนว่ ย หน่วยการเรียนรู้ทางการเมือง (Agent of Political Socialization) หมายถึง หน่วยดัง ต่อไปนี้ 1. ครอบครัว ครอบครัวถือว่าเป็นหน่วยสังคมหน่วยแรก ที่มนุษย์ได้สัมผัสชีวิตแรกเร่ิมท่ี ครอบครวั ด้งนั้น ครอบครัวจึงมีอิทธิพลต่อสมาชิกอย่างมาก โดยเฉพาะ บิดา มารดา และเป็นผู้ได้รัย ความเชื่อถือมากที่สุด ทั้งน้ีเพราะบิดา มารดา เป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดตัวเรามากท่ีสุด ตามหลักจิตวิทยา Sigmund Freud ที่กล่าวว่าบุพการีเป็นตัวมโนธรรม หรือ Ego แต่เร่ิมแรก เช่น บิดานิยมหลัก ประชาธิปไตยย่อมอบรมบุตรของตนในแนวทางประชาธิปไตย หรืออบรมกล่อมเกลาทางการเมืองที่มี อิทธิพลสูงแตะตอ่ เนื่องเปน็ ระยะยาว 2. สถาบันการศึกษา โรงเรียนถือว่าเป็นสถาบันที่มีบทบาทที่สาคัญต่อการเรียนรู้ทาง การเมอื ง ซึ่งเรมิ่ ต้งั แต่บุคคลยังเด็ก โดยโรงเรียนจะนาหลักสูตรของวิชาต่าง ๆ มาให้นักเรียนได้ศึกษา หลักสูตรจึงถือว่าเป็นส่ิงสาคัญท่ีจะเป็นส่ิงท่ีทาให้เด็กได้รับการเรียนรู้ทางการเมือง นอกจากได้เรียน จากหลักสูตรของโรงเรียนและ พธิ กี ารตา่ ง ๆ ในโรงเรยี น เช่น การเคารพธงชาติ การเข้าแถว และการ จัดแบ่งหน้าที่ในการรักษาความสะอาด เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้มีส่วนทาให้เด็กได้รับการกล่อมเกลาทาง การเมือง ครูก็เป็นบคุ ลอีกคนหน่งึ ทมี่ คี วามสาคญั ในขั้นตอนการเรียนรู้ทางการเมืองในโรงเรียน เด็ก ๆ มักจะเอาตัวอยา่ งจากครทู ต่ี นเคารพ เชอื่ ฟัง หรือชื่นชม 3. กลุม่ เพ่อื น ถือเป็นอีกกลุม่ หนง่ึ ท่ีมีส่วนช่วยครอบครัวในการเรียนรู้ทางสังคม โดยเฉพาะ สังคมสมัยใหม่ กลุ่มเพ่ือนจะทาหน้าท่ีแทนบิดา มารดา และครอบครัว ช่วยถ่ายทอดระเบียบวิธีและ คณุ คา่ ค่าง ๆ กลุ่มเพื่อจะเป็นกลุม่ แรกท่ีเด็ก ๆ จะไดส้ มั ผสั ดว้ ยมีกิจกรรมร่วมกัน มีความสัมพันธ์ที่เท่า เทียมกัน แต่ละกลุ่มจะมีการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดซ่ึงกันและกัน แต่ละคนส่วนใหญ่จะเอาแบบ อย่างจากกันเปน็ ภาพทีต่ ดิ ตัวจนเปน็ ผูใ้ หญ่ ทาใหม้ ที ศั นคตทิ ดี่ ีคลอ้ ยตามกัน 4. กลุม่ อาชพี เป็นกลมุ่ ทที่ าใหเ้ กิดการเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ ทางสังคม โดยจะมีอิทธิพลต่อผู้ ท่เี ขา้ สกู่ ลุ่มอาชพี จะเป็นตวั การในการถ่ายทอดขา่ วสารความนา่ เช่อื ถือเข้าไปในกลุ่ม 5. ส่ือมวลชน ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีหน้าที่สาคัญที่จะเสนอข่าวสาร เป็นช่องทางหรือการ สื่อสารท่ีเสนอความคิดเหน็ ของบุคคล ทาใหบ้ ุคคลไดร้ ับความคิดเห็น ทัศนคติ ค่านิยม ความโน้มเอียง ทางการเมืองท่ีส่ือเสนอ นบั วันสือ่ มวลชนจะมีบทบาทต่อการเรยี นรู้ทางการเมอื งเพ่มิ มากข้นึ 6. สถาบันทางการเมือง ได้แก่ พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ซ่ึงกลุ่มดังกล่าวนี้นอกจาก จะทาหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรของรัฐ สร้างความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันภายในประเทศ และเป็นสถาบันท่ีทาหน้าท่ีรวมกลุ่มผู้มีค่านิยมทางการเมือง คล้ายคลงึ กนั เข้าไว้ด้วยกัน
13 ขนั้ ตอนการเรียนรู้ทางการเมือง 3 ขั้นตอน ขน้ั ตอนการเรียนรูท้ างการเมืองเกี่ยวกบั องคก์ ร แนวความคิด และความเขา้ ใจ แบ่งได้ดังน้ี 1. ขั้นระบุองค์กรทางการเมืองได้ (Idenification of Political Objects) เป็นข้ันแรกที่จะ เรียนรวู้ า่ สถาบัน หรอื องค์กรทางการเมอื งต่าง ๆ คอื อะไร 2. ขั้นเกิดมีแนวความคิด (Conceptualization) เป็นขั้นตอนท่ีมนุษย์เริ่มมีประสบการณ์ ขน้ึ มนษุ ยจ์ ะเริม่ มีความร้ทู างการเมืองแน่ชัด 3. ขน้ั เข้าใจสาระความเป็นจริง (Overt Activity) เป็นข้ันตอนท่ีมนุษย์มีความรู้สึกต้องการ มีกิจกรรมท่ีเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง เช่น การวิพากษ์วิจารณ์ การทางานของรัฐบาลการสนับ สนนุ เงินแกผ่ ู้สมัครเขา้ รบั การเลือกต้ัง กนลา สุขพาณิช (2532, หน้า 68) การเรียนรู้ทางการเมือง เป็นกระบวนการถ่ายทอด ทัศนคติทางการเมืองและแนวทางการปฏิบัติกิจกรรมทางการเมืองที่สอดคล้องกับค่านิยม และ วัฒนธรรมทางการเมืองของสังคมไทยในขณะน้ันให้กับประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกันหมายถึง การที่ บิดามารดาของสังคมในขณะนั้นให้สิ่งใดกับประชาชนทั่วไป หรือหมายถึง “การท่ีบิดามารดาและ ผู้สงู อายุไดถ้ ่ายทอดปทัสถานท่ีตนในการประพฤติปฏิบัติทางการเมืองและความเช่ือทางการเมืองของ ตนไปสลู่ ูกหลาน ซงึ่ เรียกว่ากระบวนการถ่ายทอดทางวฒั นธรรมนัน่ เอง” สมศักดิ์ เกี่ยวกิ่งแก้ว (2526, หน้า 45) ในประเทศท่ีประสบความสาเร็จทางการเมืองการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยน้ันจะพบว่า มีการอบรมประชาชนตั้งแต่เริ่มเติบโตมาในครอบครัว องคก์ รที่อยนู่ อกครอบครัว เช่น สถาบนั การศกึ ษา กลมุ่ เพอ่ื น และกลุ่มอาชีพเป็นหน่วยท่ีสาคัญในการ หล่อหลอม หรือปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยม รวมท้ังสร้างความรอบรู้ และสร้างความเคยชินต่อ ระบบทางการเมอื งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอยู่ตลอดมา “ทาให้ประชาชนซ่ึงเป็นหน่วยหน่ึง ของระบบการเมืองเกิดความรู้ความเข้าใจและศรัทธาต่ออุดมการณ์ในระบอบประชาธิปไตยอย่าง แท้จรงิ ” สรุปได้ว่า การเมืองหมายถึงกระบวนการหรือวิธีการให้ได้มาซ่ึงอานาจในการบริหาร ราชการแผ่นดนิ และการใช้อานาจในการบริหารราชการแผน่ ดินตามกฎหมาย และนโยบายเพื่อให้เกิด ความผาสกุ ของประชาชน 2.3 ทฤษฎีประชาธิปไตย ความหมายของประชาธิปไตย ลิขิต ธีรเวคิน (2546, หน้า 8) ได้ให้คาจากัดความของประชาธิปไตยไว้ว่า เป็นระบบการ ปกครองทีป่ ระชาชนมีสทิ ธิม์ ีเสยี งในการมีสว่ นร่วมในการปกครองประเทศ ราชบัณฑิตยสถาน (2542, หน้า 656) ได้ให้ความหมายของประชาธิปไตยไว้ว่า หมายถึง ระบอบการปกครองท่ีถอื มติปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสยี งขา้ งมากเปน็ ใหญ่
14 โกวิท วงศส์ วุ ฒั น์ (2534, หน้า 52) กล่าวว่า “ประชาธิปไตย” มีต้นกาเนิดมาจากภาษากรีก โดยความหมายด่ังเดิมของหมู่ชนหรือประชาชน การปกครองแบบน้ีตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Damo- cracy” ซ่ึงมีรากศัพท์เดิมมาจากคาว่า “Demos” ซ่ึงแปลว่า “ประชาชน” และ “Kratos” แปลว่า “อานาจ” เม่ือรวมกันเข้าแล้วก็มีประชาธิปไตยท่ีรู้จักกันในหมู่ขาวกรีกโบราณ เมื่อประมาณ 2,000 กว่าปี หมายถึง การปกครองในความหมายว่า “อานาจประชาชน” หรือ “ประชาชนเป็นเจ้าของ อานาจ” เพราะฉะน้ันหลักการข้ันมูลฐานของระบบประชาธิปไตย ก็คือการยอมรับนับถือความสาคัญ ของความเป็นมนษุ ย์ ของบุคคล ความเสมอภาค และเสรภี าพในการดาเนินชีวิต วิทยากร เชียงกูล (2532, หน้า 25) ให้ความหมายของประชาธิปไตยไว้ว่า หมายถึง อานาจหรือการปกครองโดยประชาชน เป็นระบบการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง โดย ผ่านผ้แู ทนของตนท้งั โดยทางตรงและทางอ้อม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และชาญวิทย์ เกษตรศิริ (2518, หน้า 94) ให้ความหมายว่า “ประชาธปิ ไตย คือสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค สิทธปิ ระกอบด้วยการรู้จักหน้าท่ี เสรีภาพจะต้อง ไม่กระทบกระเทือนต่อบุคคลอ่ืน ไม่ว่าจะทางใดทางหน่ึง ส่วนความเสมอภาคคือความเสมอภาคทาง โอกาสท่ีจะทางานทกุ ชนดิ ตลอดจนความเสมอภาพในการก้าวหนา้ ตอ่ ไปในกิจการงานของตน ดังน้ัน ความหมายของ ประชาธปิ ไตย อาจสรุปได้ว่า เป็นระบอบการปกครองท่ีอานาจการ ปกครองของรฐั บาลมาจากการยินยอมของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นการปกครองท่ีสอดคล้องกับความ ต้องการของคนสว่ นใหญ่ โดยการดาเนนิ การใหป้ ระชาชนได้รับและใช้อานาจโดยสม่าเสมอ เสรี มีการ เลือกตั้งท่ีเป็นการแข่งขัน โดยทุกคนที่มีสิทธิเท่าเทียมกันในการเลือกต้ัง หลักการพ้ืนฐานของ ประชาธิปไตย คือ เสรีภาพของประชาชน ที่รวมเสรีภาพในการเลือกต้ัง การพูด ได้รับข้อมูล สมาคม รวมกลุม่ และมีสว่ นร่วมในการแข่งขนั ทางการเมือง ทฤษฎเี กี่ยวกับประชาธิปไตย จรูญ สุภาพ (2535, หน้า 53) ทฤษฎีประชาธิปไตยเป็นทฤษฎีที่มีความเช่ือพื้นฐานว่าการ ปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ การปกครองท่ีมีอานาจอธิปไตยเป็นอานาจสูงสุด ประกอบด้วย อานาจนิติบญั ญัติ อานาจบริหาร และอานาจตุลาการ ซึ่งเป็นอานาจของปวงชน ดังนั้นประชาธิปไตย จึงมีความเก่ียวขอ้ งกับประชาชนในด้านการจดั ระเบียบการจัดการปกครองประเทศ และวิธีชีวิตในการ ดารงอยู่ร่วมกันอย่างยอมรับสิทธิเสรีภาพความสาคัญและประโยชน์ซ่ึงกันและกัน โดยอาศัยกระบวน การเลือกตัง้ โดยการเลือกผู้แทนเขา้ ไปทาหน้าที่รกั ษาผลประโยชน์และใชอ้ านาจทางการเมืองแทน ซ่ึง หมายถึง ความสามารถที่จะกาหนดและบังคับใช้สิทธิและหน้าที่ได้อย่างถูกต้องชอบธรรม ตามอุดม การณ์ประชาธิปไตยทปี่ ระกอบด้วยหลักการสาคญั ดงั ต่อไปน้ี 1. หลักท่ีถือว่าประชาชนเป็นแหล่งที่เกิดและเป็นเจ้าของอานาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ
15 2. หลกั การในการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 3. การใชห้ ลักเหตผุ ล 4. หลักการปกครองโดยเสียงขา้ งมากโดยไม่ละเมิดสิทธิของฝ่ายข้างนอ้ ย 5. กฎหมายหรอื หลักนิติธรรม 6. หลักความเสมอภาค พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย กล่าวว่า “ธรรมชาติหรือโครงสร้างของสาธารณรัฐประชาธิปไตย ก็คือ อานาจอธิปไตยอยู่ที่องค์คณะประชาชน ผู้ซ่ึงในบางแง่ก็เป็นองค์อธิปัตย์ ในอีกบางแง่ก็เป็นผู้ได้ ปกครอง องค์คณะประชาชนเป็นองคอ์ ธปิ ตั ย์ เมือ่ เขาลงคะแนนเสยี งซ่งึ ก็เปน็ เจตจานงของเขาเอง เจต จานงขององค์อธิปัตย์ก็คือ ตัวอธิปัตย์น่ันเอง ประชาชนผู้ใต้ปกครองเมื่อเขาต้องเคารพเช่ือฟัง ผูป้ กครองซ่งึ เขาเองเป็นผู้แต่งต้ัง โกวิท วงศ์สรุ วัฒน์ กลา่ ววา่ “ระบอบการปกครองทช่ี อบธรรมมอี ยรู่ ะบอบเดียวเท่านั้น คือ ระบอบท่ีอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (Lasouverainetedemocratique) ระบอบการปกครอง อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบกษัตริย์ ระบอบชนาธิปไตย หรือคณาธิปไตย ไม่อาจเป็นการปกครองที่ชอบ ธรรมได้เสนอลกั ษณะสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยไว้ 4 ประการ ดังนี้ 1. ประชาชนเปน็ เจา้ ของอานาจอธปิ ไตย คือ การทีป่ ระชาชนเปน็ ผู้มีอานาจสูงสดุ ในรฐั 2. ประชาชนทุกคนในรัฐมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ตลอดจนมีสิทธิ เสรภี าพในขอบเขตของกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน 3. การดาเนินการต่าง ๆ ของรัฐนน้ั ถอื เอาเสียงข้างมากเป็นเคร่ืองตัดสิน แต่ในเวลาเดียวกัน เสียงส่วนน้อย หรือคนส่วนน้อยในรัฐจะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย เพ่ือป้องกันมิให้ประชาชน สว่ นใหญก่ ดขี่ข่มเหงอยา่ งผิดทานองคลองธรรม 4. กระบวนการประชาธิปไตย คือ วิธีการปกครองซ่ึงได้รับความยินยอมพร้อมใจของ ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งแสดงออกในรูปของการเลือกต้ัง การอภิปราย การออกเสียงประชามติ การ เสนอร่างกฎหมายของประชาชน เปน็ ตน้ แจค ซี. พลาโน(Jack C. Plano) และคณะ ให้นิยามระบอบประชาธิปไตยว่า เป็นการ ปกครองแบบหนึง่ ท่ีอานาจการเมืองนนั้ ในท่สี ดุ นั้นอยทู่ ป่ี ระชาชน ในรัฐประชาธิปไตยพหุนิยมสมัยใหม่ ตามปกติอานาจจะถูกกลุ่ม หรือสถาบันต่าง ๆ นาไปใช้ในระบบปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อน ซึ่งจะเกี่ยวโยง ถงึ การประนีประนอมหรือตอ่ รองในกระบวนการตัดสนิ ใจอดุ มการณ์ของประชาธิปไตย รวมถึงแนวคิด เหล่าน้ี คอื 1. ปัจเจกชนนิยม ซึ่งยึดหลักว่าหน้าท่ีหลักของรัฐ คือ การทาให้เอกชนแต่ละคนได้บรรจุ ศกั ยภาพแห่งการพฒั นาทสี่ งู สดุ 2. เสรีภาพ ซ่ึงอนุญาตให้บุคคลทุกคนมีประมาณเสรีภาพมากที่สุดที่ไม่ขัดต่อความมี ระเบียบเรียบรอ้ ยของสังคม
16 3. ความเสมอภาค ซึ่งถือว่าทุกคนถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมาให้เท่าเทียมกัน มีสิทธิและโอกาส ตา่ ง ๆ เสมอกนั 4. ภราดรภาพ ซ่ึงอธิบายว่าเอกชนจะไม่ใช้เสรีภาพไปในทางท่ีผิด แต่จะร่วมมือกันเพ่ือ สร้างสังคมทด่ี พี ร้อม เอ็ดวาร์ ซี. สมิช แบะ เอมาลด์ซูรเชอร์ (Edwar C. Smith and AmoldZurcher) ได้อธิบายเก่ียวกบั การปกครองระบอบประชาธิปไตยว่าตงั้ บนความคดิ เร่ืองความเสมอภาค มีสถาบันที่ ค้าประกนั ความเสมอภาค การเลอื กตัง้ สม่าเสมอ เสรีภาพตา่ ง ๆ สิทธิของคนข้างน้อย ความเสมอภาค ในโอกาส ศักด์ศิ รขี องมนุษย์การให้อภัยแกผ่ ู้ใดการมีโอกาสได้รับบริการของรัฐ และสังคมเท่าเทียมกัน สว่ นความเสมอภาคในระบอบประชาธปิ ไตยมีความหมายกว้างไกลถึงความเสมอภาคในทางเศรษฐกิจ รวมท้ังโอกาสได้รับการศึกษาขั้นต่าของพลเมืองทั้งปวงและโอกาสศึกษาขั้นสูงของผู้ท่ีมีความสามารถ จะเรยี นได้ สรุปได้ว่า ทฤษฎีประชาธิปไตยเป็นทฤษฎีที่มีความเช่ือพื้นฐานว่า การปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย คือ การปกครองที่มีอานาจอธิปไตยเป็นอานาจสูงสุด ประกอบด้วย อานาจนิติบัญญัติ อานาจบริหารและอานาจตุลาการ ซึ่งเป็นอานาจของปวงชน ประชาชนเป็นข้าวของอานาจอธิปไตย ประชาชนทุกคนในรัฐมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ตลอดจนมีสิทธิเสรีภาพในขอบเขต ของกฎหมายอยา่ งเท่าเทยี มกนั อุดมการณ์ประชาธิปไตย จักร พันธ์ชูเพชร (2538, หน้า 114-115) อุดมการณ์ประชาธิปไตยจะมีหลักการท่ีเป็น พ้นื ฐาน คอื การยอมรบั ว่าอานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน การให้ประชาชนทกุ คนมีความเสมอภาค ทางการเมือง การรบั ฟงั ความคดิ เห็นและการปกครอง โดยยอมรับมติเสียงข้างมาก ดังน้ัน อุดมการณ์ ประชาธปิ ไตยประกอบด้วย 1. เสรีภาพ ให้ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพ เช่น เสรีภาพในการพูด เสรีภาพในการตีพิมพ์ โฆษณา เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรภี าพในการชมุ นมุ อยา่ งสนั ติ เปน็ ตน้ แตท่ ั้งนี้ จะต้องไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยของสงั คม 2. ความเสมอภาค โดยถือว่าทุกคนเกิดมามีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ย่อมมีสิทธิและ โอกาสเทา่ เทียมกัน ความเสมอภาคท่ีเป็นอุดมการณ์พื้นฐานของประชาธิปไตย ได้แก่ ความเสมอภาค ในความเป็นมนุษย์ ความเสมอภาคทางกฎหมาย ความเสมอภาคในโอกาส และความเสมอภาคทาง การเมอื ง เป็นต้น 3. ภราดรภาพ คอื การอยู่กันอย่างเป็นมิตร มีความสัมพันธ์เสมือนญาติหรือพ่ีน้องไม่มีการ เหยียดผวิ หรือแบง่ ชนช้นั ในลกั ษณะของความขัดแยง้ นิยม รัฐอมฤต (2552, หน้า 4-6) ในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้มีการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย มีวัตถุประสงค์ที่พบในรัฐธรรมนูญของประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย รวมท้ังของ
17 ประเทศไทย จะพบวา่ มีการบญั ญัตเิ กยี่ วกบั เรือ่ งสทิ ธิเสรภี าพและความเสมอภาคของประชาชนไว้เป็น เป้าหมายของการปกครองท้ังสิ้น และอาจจะตีความอย่างกว้าง ๆ ว่าในส่วนที่เก่ียวข้องกับหน้าท่ีของ ประชาชนคือ เป้าหมายในการสรา้ งภารดรภาพ หรือส่ิงที่พึงปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ หาก จะสังเกตจากเหตุการณ์ปฏิวัติฝร่ังเศส การต่อสู้ของขุนนางอังกฤษเพื่อให้ได้สิทธิในการตรวจสอบการ ใช้อานาจของกษตั ริย์ และขบวนการเรยี กรอ้ งเอกราชของชาวอเมริกาแล้ว อาจกล่าวได้ว่า อุดมการณ์ ประชาธปิ ไตยสามารถแบ่งออกได้ 4 ประการ ได้แก่ 1) สทิ ธเิ สรีภาพ ชะวัชชัย ภาติณธุ (2548, หน้า 24) สิทธิ หมายถึง อานาจอันชอบธรรม ซ่ึงความถูกต้อง ชอบธรรมนน้ั มีท่ีมาจากการเคารพซึ่งกนั และกนั การใชส้ ทิ ธินน้ั ใชไ้ ด้เท่าทีไ่ มไ่ ปละเมิดในสิทธิผู้อื่น เช่น เคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานซึ่งกันและกันเป็นความจาเป็นของชีวิต มองถึงความจาเป็นอันเป็นที่สุดของ ชีวิต องค์ประกอบท่ีสาคัญ คือ ความถูกต้องชอบธรรมสิทธิอันถูกต้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ หรือสิทธิ ตัง้ แต่เกิด ความยุติธรรม (Rightness) ท่ีกล่าวว่า “ความจาเป็นอันเป็นท่ีสุดของชีวิต” หมายความว่า อยา่ งไร คาตอบกค็ อื ความจาเป็นพ้ืนฐานทั้งหลาย เช่นความจาเป็นในเร่ืองอาหาร ที่อยู่อาศัยหรือถ่ิน กาเนิด การสบื พันธ์ อนั เปน็ ที่มาของเผ่าพันธุ์หรือชาติกาเนิด การต่อสู้ด้ินรนเพื่อความอยู่รอดของการ ดารงชีวิต หรือจากอุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บก็ตาม เหล่าน้ีคือสิทธิขั้นพ้ืนฐาน ท่ีพื้นฐานที่มนุษย์พึง ได้รับอยา่ งสมศักด์ศิ รกี ับการดารงชีวิต และสทิ ธิท่จี ะมชี วี ิตรอด สิทธิมนุษยชน (Droits De I’Homme) เป็นสิทธิตามธรรมชาติ (Droits Naturel) ของ มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์ก็มีสิทธิเสรีภาพอย่างไร้ขอบเขต แต่การที่มนุษย์มาอยู่ร่วมกันเป็น สังคมและมีการวางระเบียบกฎเกณฑ์ของสังคมทาให้เสรีภาพหลายอย่างของมนุษย์ถูกจากัดลง ย่ิง สังคมวิวัฒนาการมากขึ้นเท่าใดระเบียบกฎเกณฑ์ก็ยิ่งมีมากขึ้นเร่ือย ๆ มนุษย์จึงเสมือนถูกจองจาด้วย พันธนาการและห่างจากวิถีชีวิตตามธรรมชาติออกไปทุกที สิทธิมนุษยชนจะกลับมีได้อย่างสมบูรณ์ก็ ต่อเมื่อเคร่ืองพันธนาการเหล่านี้ถูกทาลายลง อันจะทาให้มนุษย์กลับไปสู่สภาพตามธรรมชาติอย่าง แท้จริง สิทธมิ นษุ ยชนเปน็ สทิ ธติ ามธรรมชาติ ไมใ่ ชส่ ทิ ธิตามกฎหมาย สิทธิตามธรรมชาติมีมาต้ังแต่ การเกิดของมนุษยชาติในครั้งดึกดาบรรพ์ คาจากัดความอย่างง่าย ๆ ของสิทธิตามธรรมชาติก็คือ “สิทธิของมนุษย์ที่จะเป็นอิสรเสรี ได้รับความสมบูรณ์พูนสุข และสามารถกาหนดใจตนเองได้ซึ่งมี ความสาคญั เหนอื ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง ขอ้ จากัดหรือพันธะใด ๆ ท่ีป่นั ทอนสทิ ธดิ ังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งท่ีทาลาย ความม่นั คงของชีวติ มนุษย์” รุ่งพงษ์ ชัยนาม (2554, หน้า 45) แต่สิทธิตามกฎหมายมีขึ้นเมื่อมนุษย์มาอยู่รวมกันเป็น สังคม แล้วสร้างกฎหมายจารีต ประเพณีหรือกฎหมายลายลักษณ์อักษรข้ึนมาภายหลังเพื่อประกัน หรือรับรองสิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ที่มามีก่อนหน้าที่จะสร้างกฎหมายนั้น แม้กฎหมายจะมี
18 จุดมุ่งหมายเพ่ือพิทักษ์สิทธิของบุคคล แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลในทางจากัดหรือทาลายสิทธิของ บคุ คลท่ีมีมากแต่ด้ังเดมิ ดว้ ยเชน่ กัน แม้จะมีความเห็นพ้องกันในเร่ืองของความจาเป็นของการมีเสรีภาพส่วนบุคคล และความ เสมอภาค แต่ก็ไม่ใช่เร่ืองง่ายนักที่จะให้ทุกฝ่ายยอมรับในความหมายที่เฉพาะเจาะจงของคาดังกล่าว นักประชาธิปไตยแต่ละคนไม่ได้ให้คุณค่าของเสรีภาพส่วนบุคคล และคุณประโยชน์ของหลักความ เสมอภาคประการใดประการหน่ึงท่ีตรงกัน สิทธิปัจเจกบุคคลน้ันเป็นแบบแผนของกฎเกณฑ์ในเร่ือง ของเสรีภาพและความเสมอภาคท่ีสมาชิกของสังคมใดสังคมหนึ่งมีอยู่ ซึ่งจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ในแต่ละสังคม แม้แต่ในสังคมท่ีเป็นประชาธิปไตยด้วยกัน แบบแผนของสิทธิท่ีสังคมกาหนดข้ึนมานั้น เป็นดัชนีท่ีสาคัญที่สุดท่ีแสดงถึงคุณภาพชีวิตท่ีสังคมนั้น ๆ จะนาไปสู่ สิทธิของปัจเจกบุคคลซึ่งมักจะ พิจารณาในแง่มนุษย์ท่อี ย่ใู นสงั คม สนธิ เตชานันท์ (2543, หน้า 100-113) สิทธิในทางกฎหมายของปัจเจกบุคคล รวมท้ัง ข้อจากัด ซ่ึงรัฐบาลได้ให้หลักประกันแก่พลเมืองของตนในปัจจุบัน สิทธิปัจเจกบุคคลอาจแบ่งออกได้ เปน็ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ 1. สิทธิทางการเมือง (Political Rights) สทิ ธทิ างการเมอื งข้นั พื้นฐาน 3 ประการ ซงึ่ เปน็ รากฐานท่ีก่อใหเ้ กิดระบบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยนน้ั ปรากฏชัดเจนในคาประกาศสากลแหง่ สิทธมิ นุษยชน มาตรา 21 ดังนี้ 1) บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะมีส่วนรว่ มในการปกครองประเทศของตน ทั้งโดยทางตรงหรือ โดยผา่ นทางการเลอื กต้ังผ้แู ทนซ่งึ เป็นไปโดยเสรี 2) บุคคลทกุ คนมีสทิ ธทิ ี่จะไดร้ ับบรกิ ารสาธารณะในประเทศของตนอยา่ งเท่าเทยี มกัน 3) เจตจานงของประชาชนจะต้องเป็นรากฐานของอานาจในการปกครอง เจตจานงน้ีจะ แสดงออกมาเป็นครง้ั คราวในการเลือกต้ังท่ีแท้จริง ซ่ึงจะต้องเป็นสิทธิการออกเสียงเลือกต้ังทั่วไปและ เป็นสิทธิท่ีเท่าเทียมกัน การออกเสียงเลือกต้ังน้ันจะต้องกระทาโดยลับ หรือ โดยกระบวนการออก เสยี งเลือกตงั้ แบบอื่นที่มลี กั ษณะเสรเี ทา่ ๆ กนั นีก่ ็คือเงื่อนไขขน้ั ตา่ ของระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้แล้วก็ไม่อาจท่ี จะอา้ งได้เลยว่าเป็นระบอบประชาธปิ ไตย สิทธิตา่ ง ๆ ทีป่ จั เจกบคุ คลมีในทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมนั้น มีอิทธิพลต่อการใช้ สทิ ธิขั้นพ้นื ฐานทางการเมอื งเปน็ อย่างมาก สิทธิดังกล่าว ได้แก่ สิทธิบุคคล เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิที่จะ มอี สิ รภาพ สิทธิทจ่ี ะมีความม่ันคงปลอดภัย สิทธิทจ่ี ะได้รบั การคุ้มครองทางกฎหมาย โดยเท่าเทียมกัน สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก สิทธิที่จะได้รับข่าวสารท่ีเที่ยงตรงไม่ บิดเบือน สิทธิท่ีจะมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสันติ สิทธิท่ีจะมีเสรีภาพในการร้องเรียน เพื่อรัฐบาล แกไ้ ขความทกุ ขร์ อ้ น นอกจากนน้ั ก็ยงั มีสิทธอิ ่นื ๆ อกี มากมายหลายประการ
19 ในระยะยาวสิทธิทางการเมืองที่ปัจเจกบุคคลมอี าจจะมีความสาคัญเสียย่ิงกว่าสิทธิประการ อ่ืน ๆ จริงอยู่คนที่หิวโหยไม่สู้จะสนใจในการใช้สิทธิทางการเมือง แต่ถ้าจะพูดกันในระยะยาวแล้ว สิทธิทางการเมืองจะเป็นเครื่องมือท่ีจะนามาซึ่งสิทธิท่ีสมบูรณ์และสิทธิท่ีเท่าเทียมกันในด้านอื่น ๆ รวมทั้งสิทธิท่ีจะไม่ต้องหวาดเกรงในเรื่องของความอดอยาก สิทธิทางการเมืองกับสิทธิในด้านอ่ืน ๆ น้ันไม่ได้เกิดข้ึนพร้อมกันหรือเกิดข้ึนมาในเวลาเดียวกัน ความเจริญงอกงามของสิทธิส่วนบุคคลส่วน ใหญ่เกิดข้ึนภายหลังจากท่ีพลเมืองของประเทศเหล่านั้นมีสิทธิทางการเมืองที่เท่าเทียมกันแล้วซึ่ง แสดงใหเ้ หน็ ถึงความสาคัญของสิทธิทางการเมือง อีกหลายประเทศทพ่ี ลเมืองมีสทิ ธทิ างการเมอื งท่จี ากดั จาเขี่ยหรือไม่มีสิทธิทางการเมืองเลย การกีดกันสทิ ธิทางการเมือง จึงอาจแบ่งออกเป็นการกระทาอย่างเปิดเผย และท่ีกระทาอย่างซ่อนเร้น ท่กี ระทาโดยกฎหมายและที่กระทาอย่างไม่เป็นทางการ ซ่ึงรัฐบาลอาจเป็นผู้ดาเนินการเองหรือบุคคล เอกชนเป็นผู้ดาเนินการ ตัวอย่างเช่น แอฟริกาใต้เป็นประเทศหนึ่งท่ีเดิมกีดกันสิทธิทางการเมืองด้วย เหตุผลทางเชื้อชาติอย่างเปิดเผย โดยนโยบายกีดกันผิวท่ีเรียกว่า Apartheid, รูปแบบท่ีซ่อนเร้นด้วย การขจดั บคุ คลทมี่ คี ุณสมบัตอิ อกเสียงเลือกต้องไม่ใหใ้ ชส้ ทิ ธิด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ทดสอบว่าอ่านออก เขียนได้หรือไม่ กาหนดคุณสมบัติในทางทรัพย์สิน การให้สินบน และซื้อด้วยเงิน รวมท้ังการใช้ความ รุนแรงและการข่มขู่ เป็นต้นยุทธวิธีใด ๆ ก็ตามทีทาให้การใช้สิทธิออกเสียงเลือกต้ังเป็นไปอย่าง ไม่เท่าเทยี ม ยอ่ มจะถอื ได้วา่ เปน็ การกีดกนั โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาหรับประเทศที่การเลือกต้ังเป็นสิ่งท่ีมี ความหมาย กล่าวคือ การเลือกตั้งเป็นตัวกาหนดการเปล่ียนแปลงอานาจทางการเมือง สิทธิทาง การเมอื งจะไม่มีความหมายเลยถ้าหากกล่มุ อิทธิพลหรือกลมุ่ ผลประโยชน์ใด ๆ สามารถท่ีจะสอดแทรก อานาจหรอื อทิ ธิพลถึงขั้นที่กาหนดการใช้อานาจทางการเมืองในสังคม เม่ือใดก็ตามท่ีกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่ม หนึง่ ในสังคมสามารถท่ีจะกาหนดนโยบายสาธารณะท่ีพลเมืองส่วนใหญ่มิได้ต้องการ หรือยินยอมแล้ว ก็เทา่ กับปฏเิ สธสทิ ธทิ างการเมอื งน่ันเอง และเมอ่ื อานาจทาอยู่เบือ้ งหลังสามารถท่ีจะบงการให้เลือกตั้ง บุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือกาหนดนโยบายประการหน่ึงประการใด ก็เท่ากับว่าสิทธิทางการเมืองของ สังคมนนั้ ไมม่ ีความหมาย กลุ่มผลประโยชน์น้ันมีคุณประโยชน์อย่างย่ิงในสังคมประชาธิปไตย แต่ถ้าหากกลุ่ม ผลประโยชน์สอดแทรกแรงกดดันท่ีหนักหน่วง มันก็อาจจะเป็นการละเมิดหลักการพ้ืนฐานในข้อท่ีว่า พลเมืองควรจะตอ้ งมสี ทิ ธิทางการเมืองเท่าเทยี มกัน และข้อท่ีว่าเสียงส่วนใหญ่ควรที่จะต้องเป็นเสียงท่ี กาหนดแนวทางสงั คม 2. สทิ ธใิ นทางเศรษฐกจิ (Economic Rights) สิทธิของปัจเจกบุคคลในการเป็นเจ้าของการใช้และการโอนสิทธิในทางเศรษฐกิจนั้นมิใช่ เป็นไปโดยไม่มีข้อจากัด สิทธิในทรัพย์สินนั้นไม่เคยมีโดยสมบูรณ์ และก็ไม่สามารถท่ีจะทาให้สมบูรณ์ โดยท่วั ไปขอ้ กาหนดในเรอ่ื งของทรัพย์สินทรี่ ัฐบาลบังคับใช้จะเป็นเร่ือง 4 ประการ
20 1) กรรมวธิ ีทไี่ ดม้ าซงึ่ ทรพั ยส์ นิ 2) ประเภทของสนิ คา้ เศรษฐกิจและการบริการท่ีอาจครอบครอง 3) ประโยชน์พึงจะได้รับจากสินค้าเศรษฐกิจและการบรกิ ารน้ัน ๆ 4) กรรมวิธีในการโอนหรอื ถ่ายเทสนิ คา้ เศรษฐกิจและการบรกิ าร แต่ละสงั คมจะมคี วามแตกตา่ งกันเปน็ อยา่ งมากในประเด็นเหล่าน้ี ในทุกสังคมจะไม่ยอมรับ การครอบครองทรัพยส์ ินที่ไดม้ าโดยการฉ้อโกง ขโมยหรือการกระทาในลักษณะอ่ืนท่ีผิดกฎหมาย โดย จะยอมรับวิธีการครอบครองทรัพย์สอนท่ีได้มา โดยการซื้อหาหรือการแลกเปลี่ยน มีบางสังคมใน ปัจจุบันท่ไี มย่ อมรับการได้มาซึ่งทรัพย์สินเพียงบางส่วนหรือทั้งหมด โดยการสืบทอด เช่น ไม่ย่อมให้มี การสบื ทอดมรดก อาจจะมกี ารจากดั สิทธดิ งั กลา่ ว โดยการเกบ็ ภาษีอย่างหนักหนว่ ง เปน็ ตน้ ทุกประเทศจะวางข้อกาหนดบางประการว่าสินค้าเศรษฐกิจประเภทใดบ้างที่ปัจเจกบุคคล ซ่ึงเป็นพลเมืองสามารถครอบครอง และประเภทใดบ้างท่ีสังคมโดยส่วนรวมจะเป็นผู้ครอบครองบ้าง กาหนดไม่ใหค้ รอบครองหรอื เป็นเจ้าของยาอันตรายบางชนิด อาวุธบางประเภท แร่ธาตุบางอย่างไม่มี ระบอบการปกครองแบบใดที่ยอมให้มีการใช้ทรัพย์สินในลักษณะท่ีจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่นแม้ว่าจะ เปน็ เรื่องยากทีจ่ ะระบคุ วามหมายของคาวา่ อันตราย สาหรับในเรื่องของการโอนหรือเปลี่ยนมือทรัพย์สินน้ันก็เป็นเรื่องท่ีรัฐบาลจาเป็นท่ีจะต้อง เข้าไปควบคุม เช่น ไม่ยอมให้มีการโอนทรัพย์สอนโดยการตกทอดเป็นมรดก การจะต้องมีใบอนุญาต การมบี ทกาหนดมใิ หข้ ายสรุ าเมรัยแก่เยาวชน เปน็ ตน้ แนวความคิดสองดา้ นทกี่ ลา่ วถึงทรัพยส์ อน คอื บคุ คลหนง่ึ อาจมีกรรมสทิ ธิ์ในทรัพย์สิน โดย ที่ไม่อาจจะนาทรัพย์สินน้ันไปใช้ในทางแสวงหากาไร แต่อาจจะมีความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่ามันเป็น เรอื่ ง ที่ไม่ถูกต้องท่ีจากัดสิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินเพื่อแสวงหากาไร ซึ่งการตีความถึงการแสวงหา กาไรก็ไม่จาเป็นต้องมขี ้อสรุปแต่ประการใด แนวความคิดทงั้ สองถูกใช้อยา่ งประสบผลมาแลว้ ทง้ั สิ้น ประเด็นข้อถกเถียงที่สาคัญในเรื่องทรัพย์สินอยู่ที่รูปแบบองค์การท างสังคมและทาง เศรษฐกิจว่า แบบใดอานวยประโยชนไ์ ด้มากกวา่ กัน บุคคลหนึ่งอาจจะเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจแบบแข่ง ขันโดยรัฐบาลเขา้ มายุ่งเก่ยี วนอ้ ยท่ีสดุ นา่ จะเป็นวิธีการท่ีดีท่ีสุดที่จะก่อให้เกิดผลผลิตสูงสุดและยังเกิด ประโยชน์แก่มนุษย์ชาติกว้างขวางที่สุด อีกบุคคลหนึ่งอาจมีความเห็นที่ตรงกันข้ามโดยเห็นว่า เศรษฐกิจแบบสหกรณ์ (Cooperative Economy) ท่ีรัฐบาลเป็นผู้วางแผนและควบคุมเป็นสิ่งที่จะ กอ่ ให้เกิดการกินดอี ยดู่ ีของมนุษย์ชาติ การควบคุมทรัพยากรทางเศรษฐกิจน้ัน ก็คือการควบคุมทรัพยากรของอานาจทางสังคม ฝา่ ยหน่ึงมีความเห็นว่าอานาจควรจะอยู่ในมือของพลเมืองแต่ละคน อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าอานาจควรจะ อยู่ทีร่ ัฐบาล ท้ังสองฝ่ายต่างก็มีขอ้ โต้แย้งซ่งึ กันและกนั
21 3. สทิ ธสิ ว่ นบุคคล (Personal Rights) การยอมรับในเสรภี าพส่วนบุคคลอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเกณฑ์ทางการเมืองหรือสังคม โดยทั่วไป ต่างก็ได้ปฏิบัติต่อพลเมืองท้ังหลายอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติคาประกาศ สทิ ธสิ ่วนบคุ คลและการค้มุ ครองสทิ ธิส่วนบคุ คลอาจจะปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ หรือในพระราชบัญญัติ แห่งสิทธิ (Bill of Rights) หรืออาจเป็นแกนสาคัญของรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หรือใน กฎเกณฑ์ท่ีเปน็ ธรรมเนยี มปฏิบัติ สิทธิส่วนบุคคลนอี้ าจจะพิจารณาแบ่งออกได้เป็น 3 ดา้ น 1) สิทธติ า่ ง ๆ ท่บี ุคคลซง่ึ เป็นพลเมอื งทกุ คนควรจะต้องมี เพื่อท่ีจะมีบทบาทท่ีเท่าเทียม กันในสังคมและเป็นประชาธิปไตย 2) กลไกทเี่ ป็นเครอ่ื งปกป้องค้มุ ครองต่าง ๆ ซึง่ เป็นหลักประกันปัจเจกบุคคลจากการใช้ อานาจรัฐตามอาเภอใจ 3) สิทธิส่วนบุคคลในหมู่ประชากรท่ีต้องมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีขอบเขตในเร่ืองของ การกดี กันในระหว่างสมาชกิ ของสังคมนนั้ เนอื่ งมาจากเชือ้ ชาติ สผี ิว เพศ หรอื ความเช่อื ทางศาสนา สิทธิส่วนบุคคลถูกพิจารณาทั้งในด้านของการปฏิบัติในทางกฎหมายและจารีตประเพณี ทางสังคม สิทธิสว่ นบคุ คลมิใชเ่ ปน็ ผลของขอ้ กาหนดของสิทธิประการใด ประการหนึ่งตามความหมาย ท่ีเคร่งครัดในทางกฎหมาย แต่เป็นผลสะท้อนกว้าง ๆ ของทัศนคติของสังคมโดยส่วนรวม ซึ่งรวมถึง แนวความคิดโดยส่วนรวมในเรื่องของบทบาทของสังคมต่อชีวิตของปัจเจกบุคคลและแนวทางชีวิตท่ี ปจั เจกบุคคลควรทีจ่ ะมุง่ ไปสู่ภายในขอบเขตความสามารถของตน รปู แบบของประชาธิปไตย ครองชัย ภูริเมธางกูร (2555, หน้า 32–34) ประชาธิปไตย ตามนัยของความเกี่ยวพันกับ ปัจเจกบุคคลมี 4 รูปแบบ คือ 1. ประชาธปิ ไตยทางตรง ประชาธิปไตยทางตรง เป็นระบบที่ให้ประชาชนเจ้าของอานาจอธิปไตย เป็นผู้ใช้อานาจ อธิปไตยดว้ ยตนเอง หรือร่วมใชอ้ านาจอธปิ ไตย โดยมีองคป์ ระกอบสาคญั 2 ประการ คอื 1) ประชาชนเป็นผรู้ ิเรม่ิ โดยการริเร่มิ นน้ั ตอ้ งมีสภาพบงั คบั ให้มีการเริม่ ตน้ กระบวนการ 2) ประชาชนเปน็ ผู้ตัดสินใจขัน้ สดุ ท้าย การขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง ย่อมทาให้รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง นั้น ๆ ไม่อาจเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ การตัดสินใจในข้ันสุดท้ายโดยประชาชน ถือเป็นองค์ ประกอบท่ีสาคัญที่สุดของประชาธิปไตยทางตรง 2. ประชาธิปไตยแบบผแู้ ทน ประชาธิปไตยแบบผู้แทน เป็นระบบท่ีให้ประชาชนเลือกผู้แทนไปใช้อานาจอธิปไตยแทน ตนเอง ถ้าเป็นระบบรัฐสภา ประชาชนจะเลือกตั้งเฉพาะสมาชิกรัฐสภา ซ่ึงเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และ
22 สมาชิกรัฐสภาจะไปแต่งต้ังฝ่ายบริหารเอง ถ้าเป็นระบบประธานาธิบดี ประชาชนจะเลือกต้ังฝ่าย นิติบัญญัติและฝ่ายบริหารด้วยตนเอง ประชาธิปไตยแบบผู้แทนอาจกล่าวได้ว่าเป็นประชาธิปไตย โดยอ้อม อย่างไรก็ตามประชาธิปไตยแบบผู้แทนยังมีปัญหาอยู่ว่า ผู้แทนท่ีประชาชนเลือกเข้าไปนั้น จะทาหนา้ ท่สี มกบั การเปน็ ผแู้ ทนของปวงชนหรือไม่ เพราะมักพบว่าเมื่อผู้แทนได้รับอานาจ ก็จะมีบาง คนท่ีใช้อานาจไปในทางท่ีผิด ไม่ถูกต้องเหมาะสม และบางคร้ังเป็นไปเพ่ือตนเอง หรือกลุ่มของตน และมีการตัดสินใจที่ประชาชนไม่ได้รับทราบ ทาให้รูปแบบของประชาธิปไตยอ่ืน ๆ มีการนามาใช้ ในเวลาตอ่ ๆ มา 3. ประชาธิปไตยแบบมสี ่วนร่วม แนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม เกี่ยวข้องกับวิธีการกระจายอานาจและทรัพยากร ต่าง ๆ ท่ีไม่เท่าเทียมกัน อันมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และวิธีการที่ประชาชน เหล่าน้นั มีอิทธิพลต่อการตดั สนิ ใจทม่ี ผี ลกระทบตอ่ ตน ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมจึงหมายถึงการท่ี อานาจในการตัดสินใจ ไม่ควรเป็นของกลุ่มคนจานวนน้อย แต่อานาจควรได้รับการจัดสรรในระหว่าง ประชาชน เพื่อทุก ๆ คนได้มีโอกาสที่จะมีอิทธิพลต่อกิจกรรมส่วนรวม หลักการหรือองค์ประกอบ สาคัญของคาว่าประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมคือ การให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเมืองและการ บริหาร ได้แก่ เน้นกระจายอานาจในการตัดสินใจและการจัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ ในระหว่าง ประชาชนใหเ้ ท่าเทียมกัน 4. ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ โดยท่ัวไปประชาธิปไตยมักเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับ นักกฎหมายและการออกกฎหมายอื่น ๆ รัฐธรรมนูญท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร จึงเป็นเคร่ืองประกันต่อ ประชาชนว่า รฐั บาลจะปฏบิ ตั ใิ นแนวทางทแี่ นน่ อนและถูกต้อง เป็นจุดแข็งของประชาธิปไตยอย่างแท้ จริง ขน้ึ กับสิทธิพน้ื ฐานทแ่ี นน่ อนและเสรีภาพ สิทธิและเสรภี าพนีต้ ้องได้รบั การปกป้อง เพ่ือให้แน่ใจว่า ประชาธิปไตยจะประสบความสาเร็จ ในหลายประเทศ สิทธิเหล่านั้นระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อเป็น แนวทางสาหรบั การออกกฎหมายอน่ื ๆ ผ้วู ิจัยไดน้ าแนวคิดเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยมาใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ โดยเห็นว่าระบอบ ประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่อานาจในการปกครองของรัฐบาล มาจากการยินยอมของปวงชน ภายใต้หลักแห่งเสรีภาพ และภราดรภาพ รวมท้ังเป็นกระแสการปกครองหลักของโลกที่เน้น ให้ประชาชนเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย เพื่อจะได้ทราบถึงความเข้าใจทางการเมืองในระบอบ ประชาธปิ ไตยของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองชมุ แพ อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น
23 2.4 แนวคดิ ทางการเมืองในแบบประชาธปิ ไตย พระสรรเสริญ เมตโิ ก (ธีโรภาส) (2556, หนา้ 40-43) 1) ระบบรฐั สภา (Parliamentary System) หลกั การสาคญั ของการปกครองระบบรัฐสภา คือ 1.1) ตาแหนง่ ประมุขของประเทศแยกออกจากตาแหน่งบรหิ าร ประมุขของประเทศมีหน้าท่ีในฐานะประมุขเพียงอย่างเดียว ไม่มีบทบาทหรืออานาจ ในการบริหาร ประมุขของประเทศอาจมาจากการสืบเช้ือสายตามราชวงศ์ของระบบกษัตริย์หรือ เป็นบุคคลธรรมดาท่ีได้รับการเลือกตั้งให้เป็นประมุขตามกาหนดเวลาหน่ึงก็ได้ ประมุขจะมาทาหน้าท่ี เป็นประธานพิธีการของประเทศ เป็นผู้รับรองทูตต่างประเทศ เป็นผู้ลงนามประกอบกฎหมายต่าง ๆ เป็นตน้ 1.2) ตัวแทนของประชาชนทาหนา้ ทน่ี ิตบิ ญั ญตั ิ รัฐสภาเป็นสถาบันที่เป็นตัวแทนของประชาชน ตามหลักการแล้วรัฐสภามีอานาจสูงสุด รัฐสภาจะเป็นผู้เลือกรัฐบาลข้ึนมาทาหน้าท่ีบริหาร ในประเทศอังกฤษ เมื่อรัฐสภาไม่ไว้วางใจรัฐบาล รัฐบาลต้องลาออกจากตาแหน่ง แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีสิทธิท่ีจะยุบสภาได้ ซ่ึงเป็นการล้มท้ัง อานาจบริหารและอานาจนิติบัญญัติไปในตัว ดังน้ันตามความจริงแล้ว รัฐบาลต่างหากท่ีดูเหมือนว่ามี อานาจที่แท้จริง ท้ังในด้านบริหารและด้านนิติบัญญัติ เพราะถ้ารัฐบาลควบคุมเสียงข่างมากในสภาไว้ ได้ อานาจของรัฐบาลก็จะมคี วามมน่ั คงมากตามไปดว้ ย 1.3) รฐั บาลมาจากรฐั สภา การได้มาซ่ึงรฐั บาล หรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยส่วนใหญ่ต้องมาจากสมาชิกรัฐสภาเพราะ ถือว่าสมาชิกรัฐสภามาจากประชาชน ดังน้ัน นายกรัฐมนตรีจึงต้องมาจากผู้แทนของประชาชนด้วย แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความ เหน็ ของบุคคลซึง่ สมควรไดร้ บั แต่งตง้ั เป็นนายกรฐั มนตรี และกไ็ มไ่ ดก้ าหนดว่ารัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติ มาจากผูแ้ ทนราษฎร 1.4) การคงอยขู่ องรฐั บาลข้ึนอยกู่ ับความไวว้ างใจของรฐั สภา กล่าวคือ ถ้ารัฐสภาไม่รับรองนโยบายของคณะรัฐมนตรีชุดใด คณะรัฐมนตรีชุดนั้นต้อง ลาออกหรือยุบสภาเพ่ือใหม้ ีการเลอื กต้ังใหม่ขึ้นมาอีกคร้ังหนึ่ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2550 สภาผ้แู ทนราษฎรมีมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี หรือวุฒิสภามีมติให้ ถอดถอนออกจากตาแหนง่ 2) ระบบประธานาธบิ ดี (Presidential System) หลักการสาคัญของการปกครองระบบประธานาธิบดี คือ
24 2.1) ประมุขของรฐั และประมุขของฝา่ ยบรหิ ารเป็นบคุ คลเดยี วกนั หัวหน้าฝ่ายบริหารคือประธานาธิบดีเป็นบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนทั้ง ประเทศทาให้มีอานาจในการบริหารประเทศอย่างมากมาย และได้รับความเคารพจากประชาชนใน ฐานะประมขุ ของประเทศอีกดว้ ย 2.2) มกี ารแบ่งแยกอานาจ (Separation of Powers) การแยกอานาจหน้าท่ีฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ โดยประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกจาก ประชาชนจะเปน็ ผู้สรรหาและแต่งต้ังคณะรัฐมนตรี โดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐมนตรีจะไม่ สามารถเปน็ สมาชิกรัฐสภาได้ 2.3) ฝ่ายบรหิ ารเป็นอสิ ระตอ่ การควบคุมต่อรัฐสภา ประธานาธบิ ดเี ปน็ อสิ ระจากการควบคุมของรัฐสภา รัฐสภาไม่มีอานาจลงมติไม่ไว้วางใจ รฐั บาลเนอ่ื งจากการแยกอานาจบริหารและนติ ิบัญญัติออกจากกนั 2.4) รัฐมนตรีต้องรบั ผดิ ชอบโดยตรงตอ่ ประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเป็นประมุขของฝ่ายบริหารแต่เพียงผู้เดียว มีอานาจในการแต่งต้ังถอด ถอนรัฐมนตรไี ด้ รัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อรฐั สภา ไมจ่ าเป็นต้องไปร่วมประชุมสภา เพื่อตอบกระทู้ ถามจากรฐั สภาแต่ประการใด 2.5) หลักการคา้ นอานาจ (Balance of Power) ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการใช้วิธีการตรวจสอบซึ่งกันและกัน (Check and Balance) ท้ังนี้เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงใช้อานาจมากเกินไปกว่าท่ีกาหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ประธานาธบิ ดีและรัฐสภาตา่ งได้รับเลือกต้ังมาจากประชาชน ดังนั้น จึงมีการแบ่งแยกอานาจกันอย่าง เด็ดขาด กล่าวคือ ประธานาธิบดีมีอานาจใจการใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) ตามรัฐธรรมนูญ โดยการไม่ลง นามในกฎหมายท่ีเสนอโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ในขณะที่รัฐสภามีอานาจลบล้างสิทธิยังยั้งของประธานา- ธิบดีได้ด้วย ทั้งน้ีโดยการลงคะแนนรอบสอง ซ่ึงหากคะแนนเสียงของสมาชิกสภาทั้งสองเห็นด้วย คะแนน 2 ใน 3 กจ็ ะถือวา่ กฎหมายนน้ั มีผลบังคบั ใช้ได้ นอกจากนร้ี ัฐสภามีอานาจอย่างหน่ึงท่ีจะกล่าว โทษประธานาธิบดีได้อานาจท่ีกล่าวโทษน้ัน เรียกว่าอิมพีชเม้นต์ (Impeachment) โดยการอิมพีช เม้นท์นั้นต้องมีคะแนน 2 ใน 3 ของรัฐสภา และขั้นตอนสุดท้ายวุฒิสภาจะเป็นผู้ปลด (Removal) ตาแหน่งประธานาธิบดี ซ่ึงใช้คะแนน 2 ใน 3 ของจานวนวุฒิสภาและศาลสูง (SupremeCourt) มี อานาจชีข้ าดว่ากฎหมายนน้ั ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญหรอื ไม่ 2.6) บทบาทของวฒุ ิสภา (Senate) วุฒิสภามีอานาจในการให้ความเห็นชอบการแต่งต้ังเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร เช่น รัฐมนตรี เอกอัครราชทูตตามท่ปี ระธานาธบิ ดเี สนอมา เป็นตน้ หากวุฒสิ ภาไม่ให้ความเห็นชอบก็จะดารงตาแหน่ง ไมไ่ ด้
25 2.7) อานาจตลุ าการ ประธานาธิบดีเป็นผู้แต่งต้ังผู้พิพากษาโดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน ใน สหรฐั อเมริกา ประธานาธบิ ดมี อี านาจในการถว่ งดุลรฐั สภาโดยใชส้ ทิ ธิยังย้ัง (Veto) ในขณะท่ีรัฐสภาใช้ วธิ กี ารกล่าวโทษ (Impeachment) เพ่ือให้วุฒิสภาเป็นผู้ปลด (Removal) ประธานาธิบดี โดยศาลสูง (Supreme Court) มอี านาจช้ขี าดว่ากฎหมายฉบับใดท่ฝี า่ ยนิติบัญญตั ิออกมานั้นขัดตอ่ กฎหมาย รัฐธรรมนูญหรอื ไม่ ทัง้ นเี้ พอ่ื ตรวจสอบการใช้อานาจของฝ่ายนิติบัญญัติไปด้วยในตัวซ่ึงหาก กฎหมายทอี่ อกโดยฝ่ายนิตบิ ัญญตั ิน้ันขดั กับหลักรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบบั นัน้ ก็เปน็ อันตกไป 3) ระบบกึ่งรัฐสภาหรือกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Parliamentary System, Semi- Presidential System) หลกั การสาคญั ของการปกครองกึ่งรฐั สภาหรอื กึ่งประธานาธิบดี คือ 3.1) ประธานาธิบดมี อี านาจเดด็ ขาด ประธานาธิบดีได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน เป็นผู้ที่แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และฝ่ายบริหาร ประธานาธิบดีจะจัดสรรอานาจการบริหารประเทศให้แก่นายกรัฐมนตรี และคณะ รัฐมนตรี คือประธานาธิบดีมีอานาจทางการเมืองส่วนนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่มาเป็นผู้บริหารงาน แต่ อานาจการอนุมตั ิ ตดั สนิ ใจ ลงนามในกฎหมาย ยังคงอยทู่ ี่ประธานาธบิ ดี 3.2) รัฐสภามอี านาจนติ บิ ญั ญตั แิ ละบริหารบางส่วน รัฐสภามีอานาจในการออกกฎหมายแล้ว ยังมีอานาจบริหารบางส่วน โดยการนาระบบ รัฐสภาและระบบประธานาธิบดีรวมกัน คือ ประธานาธิบดีแต่งต้ังรัฐบาลโดยท่ีรัฐสภาก็มีอานาจตรวจ สอบ ควบคุมการทางานของรัฐบาลได้ ดังน้ันความคงอยู่ของรัฐบาลจึงยังข้ึนอยู่กับความไว้วางใจของ รัฐสภาดว้ ย 3.3) นายกรัฐมนตรีตอ้ งรบั ผิดชอบต่อประธานาธิบดีและรัฐสภา เม่ือประธานาธิบดีได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้บริหารแล้ว ก็ยังต้องรับผิดชอบต่อ รัฐสภา คือนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีสามารถเข้าร่วมประชุมในรัฐสภาได้ แต่ไม่มีสิทธิในการ ออกเสียง นอกจากน้ที ั้งสององคก์ รมอี านาจในการถอดถอนนายกรฐั มนตรีได้ ดงั นั้นนายกรัฐมนตรีต้อง รบั ผดิ ชอบต่อประธานาธบิ ดแี ละรัฐสภา หลกั การพนื้ ฐานของประชาธปิ ไตย วัชระ จุนสาลี (2540, หน้า 34) ลักษณะหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตย ประกอบด้วย 5 ประการ คอื 1) หลกั อธิปไตยของปวงชน ทางทฤษฎี : ประชาชนจะต้องเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย เพ่ือให้การปกครองเป็นของ ประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนสามารถแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของประชาธิปไตยโดยใช้อานาจ
26 กาหนดตัวผู้ปกครอง โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง อานาจในการกาหนดตัวผู้ปกครองน้ี จะหมาย รวมถงึ อานาจในการเลือกตั้ง และถอดถอน การกาหนดตัวผู้ปกครอง คือสัญลักษณ์ของการปกครอง โดยประชาชน ทางปฏิบัติ : เน่ืองจากประเทศไทยปกครองภายใต้ระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซ่ึงในระบบน้ีพระมหากษัตริย์จะทรงอยู่เหนือการเมืองทั้งปวง ดังนั้น ผู้ปกครองภายใต้ระบอบการปกครอง แบบประชาธิปไตย แบบรัฐสภา อันทรงมีพระมหา กษัตริย์ ทรงเป็นประมุข คือ นายกรัฐมนตรีผู้มาจากการเลือกตั้งภายในสภาผู้แทนราษฎร ประชาชน สามารถแสดงออกถงึ การเป็นเจา้ ของประชาธิปไตยได้ โดยการเลือกผู้แทนราษฎรเพื่อมาเป็นกระบอก เสยี งของตนเองภายในรัฐสภา ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่า หลักการอานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน คือ ประชาชนแสดงออก ซึ่งการเป็นเจ้าของโดยใช้อานาจที่มีตามกระบวนการเลือกต้ังอย่างอิสระและทั่วถึงในการให้ได้มาซึ่ง ตัวผู้ปกครองและผู้แทนของตน รวมท้ังประชาชนมีอานาจในการคัดค้านและถอดถอนผู้ปกครอง และผู้แทนที่ประชาชนเห็นว่า มิได้บริหารประเทศในทางท่ีเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เช่น มีพฤติกรรมร่ารวยผิดปกติ 2) หลักเสรภี าพ ทางทฤษฎี : ในระบอบประชาธปิ ไตยจะตอ้ งเคารพในเสรภี าพของประชาชน หลักเสรีในระบอบประชาธิปไตยจะต้องมีขอบเขตท่ีชัดเจน คือ “การไม่ละเมิดซ่ึงกันและ กนั ” เพือ่ ประกันความเสมอภาคในการใช้เสรีภาพของประชาชน หลักเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ประกอบดว้ ย 2.1) เสรีภาพทางการเมอื ง กล่าวคอื เสรภี าพในการใช้สิทธิเลือกต้ัง ถอดถอนผู้ปกครอง (อา้ งองิ จากหลักอธิปไตยผู้ปกครองในท่ีน้ี คือนายกรฐั มนตรี) 2.2) เสรีภาพในการคิดการพูดการเขียน และการโฆษณาเพ่ือวิพากษ์วิจารณ์นโยบาย ของรัฐบาลทงั้ ในทางสนบั สนนุ และคดั คา้ น 2.3) เสรีภาพในการชุมนุม และการเคล่ือนไหวเพื่อแสดงความต้องการหรือการสนับ สนนุ และคดั คา้ นรัฐบาล โดยการชุมนมุ เคลอื่ นไหวจกั ตอ้ งไม่ละเมิดเสรภี าพของผอู้ ่นื 2.4) เสรีภาพในการรับรู้ข่าวสารการตัดสินใจของรัฐบาล ซึ่งรวมทั้งเสรีภาพ ในการ ขุดคุ้ยและเปิดโปงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคนในรัฐบาล ท้ังข้าราชการการเมือง และข้าราชการ ประจา 2.5) เสรีภาพในการนับถือศาสนา กล่าวคือ ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการเลือก ปฏบิ ัตติ นตามวิถที างศาสนาใด ๆ กต็ ามที่ตนเชือ่
27 2.6) เสรภี าพในการเปน็ เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน กล่าวคือ ประชาชนมีเสรีภาพใน การถือครองทรัพยส์ นิ ทัง้ อสงั หาริมทรัพยแ์ ละสังหาริมทรพั ย์ 2.7) เสรีภาพในการเลือกถ่ินที่อยู่อาศัย กล่าวคือ ประชาชนมีเสรีภาพในการเลือกถิ่นท่ี อยู่อาศยั ตราบใดที่ไมล่ ะเมิดเสรภี าพของผู้อนื่ 2.8) เสรีภาพในการประกอบอาชพี ทางปฏิบัติ : ทางด้านเสรภี าพนี้ ประชาชนชาวไทยค่อนข้างจะเข้าใจถึงเสรีภาพของตนเอง ตามหลักประชาธิปไตยอย่างดี อย่างไรก็ตามการใช้เสรีภาพตามหลักประชาธิปไตยนั้น จักต้องไม่เป็น การละเมดิ ต่อเสรขี องผ้อู ืน่ รวมทง้ั ไม่เปน็ ภยั ตอ่ ความมนั่ คงของรัฐ อีกทั้งต้องไม่เป็นการละเมิดต่อหลัก กฎหมายต่าง ๆ ดว้ ย ประชาชนยงั ค่อนข้างจะขาดความเขา้ ใจในประเดน็ น้ี ดงั นนั้ จึงพอสรปุ ได้ว่า หลักเสรีภาพ คือประชาชนทุกคนมคี วามสามารถในหารกระทาหรือ งดเว้นการกระทาอย่างใดอย่างหน่ึงตามที่บุคคลต้องการ ตราบเท่าทีก่ ารกระทาของเขานั้นไม่ไปละเมิด ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมและความมั่นคงของ ประเทศชาติ 3) หลักความเสมอภาค ทางทฤษฎี : ระบอบประชาธิปไตย ยอมรับในความแตกต่างของมนุษย์ ในเรื่องความ สามารถ เพราะความสามารถของมนุษย์ข้ึนอยู่กับลักษณะทางพันธุกรรม ซึ่งเป็นธรรมชาติท่ีอยู่เหนือ การควบคุม แต่ระบอบประชาธปิ ไตยจะเชือ่ ว่าถ้ามนุษย์มีโอกาสที่เสมอภาคเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าจะมี ความสามารถตา่ งกัน มนุษย์จะสามารถดารงชีวิตทีด่ ีร่วมกันได้ ความเสมอภาคในทางโอกาส หมายถึง ประชาชนจะต้องมีโอกาสท้ังในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน โดย เฉพาะโอกาสท่ีจะได้รับการศึกษาเพ่ือพัฒนาตนเองให้มีสมรรถนะที่จะปกป้องตนเองให้ปลอดภัยจาก การเอารดั เอาเปรียบของผู้อนื่ ทางปฏิบัติ : หลักการความเสมอภาคตามระบอบประชาธิปไตยน้ันโดยทั่วไปแล้ว แทบจะ เป็นหลักการทางอุดมคติ ซึ่งยากท่ีจะเกิดขึ้นได้จริง เพราะจะไปขัดแย้งกับหลักเสรีภาพ ตามระบอบ ประชาธิปไตย กล่าวคือตามหลักเสรีภาพน้ัน ประชาชนมีสิทธิ์ท่ีจะถือครองทรัพย์สินได้ตามความ สามารถของตนเอง แต่เมื่อเรานาหลักการด้านความเสมอภาคมาประยุกต์จะเกิดความขัดแย้งข้ึน เน่อื งจากประชาชนแตล่ ะคนมคี วามสามารถ ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั ในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และสังคม หลักความเสมอภาคที่สามารถจะเห็นได้ชัดที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ก็คือความเสมอ ภาคทางด้านการศกึ ษา กลา่ วคือ ประชาชนทุกคนจักต้องมีโอกาสในการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน เพ่ือ เป็นรากฐานในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง ให้สามารถทัดเทียมกับผู้อื่นได้ โอกาสทางการศึกษา ยังเป็นตัวบ่งชี้ได้ถึงความเข้าใจในระบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยของรัฐบาลน้ัน ๆ ได้ อกี ด้วย
28 ดังน้ัน จึงพอสรุปได้ว่าหลักความเสมอภาค คือการเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนสามารถ เขา้ ถึงทรัพยากรและคณุ ค่าต่าง ๆ ของสงั คมท่มี ีอยูจ่ ากัดอยา่ งเท่าเทียมกัน โดยไม่ถูกกีดกันด้วยสาเหตุ แหง่ ความแตกต่างทางชั้นวรรณะทางสงั คม ชาตพิ ันธุ์ วฒั นธรรมความเป็นอยู่ฐานะทางเศรษฐกิจ หรือ ด้วยสาเหตุอ่นื 4) หลักกฎหมาย ทางทฤษฎี : ระบอบประชาธิปไตยน้ันถือว่าชนชั้นใดบัญญัติกฎหมายย่อมเป็นไปเพ่ือ ประโยชน์ของชนชั้น ดังนั้นระบอบประชาธิปไตยจะเป็นระบอบการปกครอง เพื่อประโยชน์ของ ประชาชนก็ต่อเมื่ออานาจในการบัญญัติกฎหมายต้องเป็นของประชาชนเพราะ ประชาชนย่อมไม่ บัญญัติกฎหมาย เพื่อทาลายผลประโยชน์ของตน กล่าวคือหลักกฎหมายท่ีสาคัญในระบอบ ประชาธิปไตยนั้น ต้องมีที่มาชอบธรรม คือมาจากอานาจอธิปไตยของปวงชน กฎหมายจะต้องบังคับ ใช้กับประชาชนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันโดยไม่เลือกปฏิบัติไม่ว่าคนรวยหรือคนจน และจะต้องให้ ความคุม้ ครองภายใตก้ ระบวนการยตุ ิธรรมแก่ประชาชนอยา่ งเสมอภาคเท่าเทยี มกัน ทางปฏิบตั ิ : ภายใตห้ ัวข้อนเ้ี ปน็ ไปได้ยากในสังคมไทย เน่ืองจากสังคมไทยในหลาย ๆ ภาค สว่ นยงั ให้ความสาคญั กบั ฐานะมากกวา่ ศลี ธรรม จริยธรรม อกี ทั้งกฎหมายยังมีการบัญญัติโทษท่ีไม่เอื้อ ต่อความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย กล่าวคือ “โทษปรับ” เน่ืองจากเป็นโทษท่ีข้ึนอยู่กับฐานะทาง เศรษฐกจิ ของผู้ทไ่ี ดร้ ับโทษทจี่ ะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่าสามารถจะไถ่ถอนตัวเองได้หรือไม่ อีกท้ังเจ้าพนักงาน ยังเกรงกลัวต่ออานาจอิทธิพล ทาให้การบังคับใช้กฎหมายขาดความเท่าเทียมกัน และกฎหมายยัง ออกมาจากภาคการเมือง ซึ่งหลาย ๆ ฉบับน้ันไม่ได้เอ้ือต่อประโยชน์ของมหาชนโดยตรงหากแต่เอ้ือ ประโยชน์ใหต้ ่อพวกพ้องซง่ึ ขัดต่อหลักประชาธิปไตยอยา่ งมาก ดงั นั้น จงึ พอสรปุ ไดว้ า่ หลักกฎหมายคือการใหค้ วามคุ้มครองสทิ ธิข้ันพื้นฐานของประชาชน ท้ังในเรื่องสิทธิเสรีภาพในทรัพย์สิน การแสดงออก การดารงชีพ ฯลฯ อย่างเสมอหน้ากันโดย ผูป้ กครองไมส่ ามารถใช้อานาจใด ๆ ลิดรอนเพิกถอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ และไม่สามารถใช้ อภิสทิ ธอิ ย่เู หนอื กฎหมาย หรอื เหนือกว่าประชาชนคนอ่ืน ๆ ได้ 5) หลกั เสียงข้างมาก ทางทฤษฎี : การตดั สนิ ใจใด ๆ จะใช้เสียงเอกฉันท์คงเป็นไปได้น้อย แต่เพื่อให้มั่นใจว่าการ ตัดสินใจนั้นจะต้องเป็นไปเพ่ือประโยชน์ของคนส่วนใหญ่จงกาหนดให้ใช้เสียงข้างมากเป็นเกณฑ์การ ใช้เสียงข้างมากน้ันจะต้องให้ความเคารพต่อเสียงข้างน้อยด้วย เพราะเสียงข้างน้อยจะทาหน้าที่ใน การควบคุม กากับ และตรวจสอบ การใช้เสียงข้างมากว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือ ไม่ ถ้าเสียงขา้ งมากลงมติ ตดั สินใจ ขัดต่อประโยชนข์ องประชาชนอันเป็นลักษณะของเผด็จการรัฐสภา แล้ว ประชาชนมีสิทธิท่ีจะปฏิเสธการตัดสินใจของเสียงข้างมากได้ และถ้ารัฐบาลไม่ปฏิบัติตาม เจตจานงของประชาชนแล้ว ประชาชนยอ่ มมสี ทิ ธทิ จี่ ะถอดถอนรัฐบาลตามหลกั การอธปิ ไตย
29 ทางปฏิบัติ : หลักการเสียงข้างมากนี้เป็นอีกหนึ่งหลักการที่ประชาชนค่อนข้างเข้าใจเป็น อย่างดี แต่ยังขาดความเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ และหน้าที่ของฝ่ายเสียงข้างน้อย อีกท้ังเสียงข้างน้อย บางครั้งยงั ไมไ่ ด้ทาหน้าที่ในการตรวจสอบฝ่ายเสียงขา้ งมาก กลับปฏบิ ัตติ นเปน็ ตัวถ่วง พยายามละเมิด เสรีภาพของมวลชนโดยรวมหลักการ เสียงข้างมากท่ีสามารถจะอยู่ร่วมกับเสียงข้างน้อยได้อย่างสงบ สุข นี้นับได้ว่าเป็นอีกหน่ึงหลักการที่มีลักษณะเป็นอุดมคติ เน่ืองจากฝ่ังท่ีเป็นเสียงข้างน้อย ย่อมมี ความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และย่อมจะหาทางท่ีจะทาให้ตัวเองได้รับความเป็นธรรมซึ่งอาจ เปน็ การละเมดิ ต่อหลักเสรีภาพได้ ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า หลักการเสียงข้างมากต้องควบคู่ไปกันการเคารพในสิทธิของเสียง ข้างน้อย การตัดสินใจใด ๆ ท่ีส่งผลกระทบต่อประชาชนหมู่มากไม่ว่าจะเป็น การเลือกตั้งผู้แทนของ ประชาชนเขา้ ส่รู ะบบการเมือง การตดั สนิ ใจของฝา่ ยนติ ิบญั ญตั ิ ฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายตุลาการย่อมต้อง ถอื เอาเสยี งข้างมากที่มีต่อเรื่องน้ัน ๆ เป็นเกณฑ์ในการตัดสินทางเลือก โดยถือว่าเสียงข้างมากเป็นตัว แทนที่สะท้อนความตอ้ งการ ขอ้ เรียกร้องของประชาชนหมู่มาก หลักการนี้ต้องควบคู่ไปกับการเคารพ และคมุ้ ครองสทิ ธิเสยี งข้างนอ้ ยดว้ ย ท้ังนกี้ เ็ พือ่ เปน็ หลกั ประกันว่าฝ่ายเสียงข้างมากจะไม่ใช้วิธีการพวก มากลากไปตามผลประโยชน์ ความเห็นหรือกระแสความนิยมของพวกตนอย่างสุดโต่ง แต่ต้อง ดาเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งหมด เพ่ือสร้างสังคมที่ประชาชนเสียงข้างน้อย รวมทั้งชน กล่มุ นอ้ ย ผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข โดยไม่มีการเอาเปรียบกันและสร้าง ความขดั แยง้ ในสังคมมากเกนิ ไป 2.5 ประชาธปิ ไตยในพระไตรปิฎก พระสุธีวีญาณ (2541, หน้า 82-87) พระพุทธศาสนามีคัมภีร์พระไตรปิฎก ท่ีได้กล่าวถึง ประชาธปิ ไตยไว้อยา่ งหน้าสนใจ พระพุทธศาสนามีคัมภีรพ์ ระไตรปฎิ กเปน็ คาสอนที่มีเหตุ มีผลยึดหลัก วิทยาศาสตร์ท่ีตรวจสอบได้อีกท้ังยังสอนหลักการปกครองท่ีมีความเป็นธรรมต่อผู้ใต้ปกครอง ได้ กลา่ วถึงประชาธปิ ไตยไวด้ งั นี้ 2.5.1 ประชาธปิ ไตยตามแนวพระวนิ ัยปฎิ ก พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติพระวินัยเพ่ือเป็นแนวในการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ แต่การบัญญัติวินัยน้ันก็ทรงบัญญัติตอนเป็นพระสงฆ์มิได้บัญญัติตามลาพัง ต้องให้เกิดเรื่องก่อน แล้วประชุมสอบสวนแล้วบัญญัติพระวินัยท่ามกลางพระสงฆ์ ด้วยความเห็นชอบของพระสงฆ์ ต่างพร้อมใจกันนาไปปฏิบัติการทากรรมต่าง ๆ ของสงฆ์ ยกเว้น อปโลกกรรมล้วนให้ทาเป็นการสงฆ์ ทง้ั สิ้นกลา่ วคอื ญัตติกรรม คอื ทาดว้ ยสงฆ์จตุวรรค คอื 4 รปู ขนึ้ ไป เช่น การสวดปาฎิโมกข์ ญตั ตกิ รรม คอื ทาด้วยสงฆป์ ัญจวรรค คอื 5 รูปขนึ้ ไป เช่น เร่ืองกฐนิ
30 ญตั ติจตุตถฺ กรรม คือ ทาดว้ ยสงฆ์ ทสวรรค คือ ต้ังแต่ 10 รูปข้ึนไป ยกเว้นในท่ีกันดาร เช่น การอปุ สมบท การให้มานัตต์ การสวดอัพภาน ก็ต้องใช้สงฆ์ตั้งแต่ 21 รูปข้ึนไป จึงกล่าวได้ว่าพระวินัย คือ รฐั ธรรมนูญและกฎหมายต่าง ๆ พระสงฆ์ คอื สมาชกิ สภาผู้แทน อานาจสงฆ์ คือ อานาจประชาธิปไตย อธิกรณ์สงฆ์ 4 คือ 1. ววิ าทาธิกรณ์ คือ การขัดแย้งกนั เกีย่ วกบั ธรรมวนิ ยั 2. อนวุ าทาธกิ รณ์ คอื การโจทยก์ นั ด้วยอาบตั ติ า่ ง ๆ 3. อาปตั ตาธิกรณ์ คือ การละเมดิ อาบตั ติ า่ ง ๆ 4. กิจจาธกิ รณ์ คือ กจิ ของสงฆ์ท่เี กิดขน้ึ ทจ่ี ะพึงทาดว้ ยสงฆจ์ านวนตา่ ง ๆ อธกิ รณต์ ่าง ๆ กจ็ ะต้องระงบั ด้วยวธิ ีการที่เรยี กวา่ อธิกรณสมถะ 7 อย่าง คอื 1. สัมมขุ าวนิ ยั ระงบั ตอ่ หน้าสงฆ์ต่อหน้าบคุ คลตอ่ หน้าวัตถุ 2. สตวิ นิ ัย การระงบั ด้วยการใหเ้ กียรติแก่พระอรหนั ต์ ผูม้ สี ตสิ มบูรณ์ 3. อมฬู หกวินัย การระงับเหตุด้วยการยกเวน้ ใหแ้ กผ่ ู้ทาผดิ ในขณะท่เี ป็นบา้ คือได้หลงไป 4. เยภุยฺยสิกา ระดับด้วยเสยี งข้างมากดว้ ยการลงมติ 5. ปฏญิ ญาตกรณะ ระงับดว้ ยการทาตามปฏญิ ญา 6. ตัสสปาปิยสิกากรรม ระงับด้วยการลงโทษศัตรูผู้ถูกสอบสวนแล้ว พูดไม่อยู่กับร่องกับ รอย ใหก้ ารรบั แลว้ ปฏเิ สธ ปฏิเสธแล้วรับ เปน็ ตน้ 7. ติณวตั ถารกวินัย ระงบั ดว้ ยการประนีประนอมทั้งสองฝ่าย ทั้งอธิกรณ์และการระงับต้องทาเป็นการสงฆ์เป็นส่วนใหญ่ ดุจการต้ังกรรมาธิการต่าง ๆ ฉะนัน้ จึงเปน็ การทางานเป็นกลุ่มเป็นทีม และในการประชุมทากรรมต่าง ๆ เป็นการสงฆ์น้ัน ต้องมีมติ เป็นเอกฉันท์จริง ๆ ถ้ามีข้อข้องใจมีสิทธิยับยั้งได้ แม้เพียงเสียงเดียวสงฆ์ท้ังหมดก็ต้องฟัง ลงท้าย กรรมวาจาว่า...“ยสฺสายสฺมโต ขมติ................... โส ตุณฺหสฺส ยสฺส น ขมติ โส ภาเสยฺย” ถ้ากรรมนี้ ชอบใจตอ่ ท่านผใู้ ด ท่านผู้นน้ั พงึ เงยี บ ถา้ ไม่ชอบใจตอ่ ท่านใดท่านผู้นั้นพึงพูดข้ึน “อนึ่งการทากรรมอัน ใดก็ตาม พระวินัยจะต้องพร้อมเพียงกัน ดังคาขึ้นต้นของกรรมวาจาว่า “ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺล” ซึ่งแปลว่า ถา้ ความพร่ังพร้อมของสงฆ์ พรอ้ มแลว้ สงฆพ์ ึงทา ดังน้ี 2.5.2 ประชาธปิ ไตยตามแนวพระสตุ ตันตปิ ฎิ ก ประชาธปิ ไตยตามแนวพระสุตตันตปิ ิฎกซึ่งอาจนามาเป็นประเดน็ ในการวิจารณ์ ไดด้ งั นี้ 1) หลักเสรีภาพทางความคิด พระพุทธเจ้าได้ให้โอกาสแก่ชาวกาลามะในการที่จะ เชอื่ หรอื ไมเ่ ชือ่ คาสอนของนกั บวช ท่มี าเผยแพรค่ าสอนด้วยข้อความต่อไปนี้ ดูก่อน กาลามะท้งั หลาย ทา่ นทั้งหลายอยา่ เชื่อ เพยี งเพราะ 1. การฟงั ตามกันมา (มา อนุสสฺ เวน)
31 2. การถือกนั สบื ๆ มา (มา ปรมปฺ ราย) 3. ขา่ วเลา่ ลอื (มา อิติกิราย) 4. การอ้างตารา (มา ปฏิ กสมฺปทาเนน) 5. การใช้ตรรกะ (มา ตกฺกเหต)ุ 6. การอนมุ าน (มา นยเหต)ุ 7. การตรกึ ตรองตามอาการ (มา อาการปริวติ กเฺ กน) 8. เข้าไดก้ ับทฤษฎที ี่ตนคิดไว้ (มา ทฏิ ฐฺ นิ ิชฺฌานกฺขนฺตยิ า) 9. มองเห็นลกั ษณะวา่ น่าเชอ่ื ได้ (มา ภพฺพรูปตาย) 10. สมณะ น้เี ปน็ ครูของเรา (มา สมโณ โน ครูต)ิ ต่อเมื่อได้รู้ได้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่าน้ัน เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จงึ ควรละ หรือถอื ปฏิบัติตามนนั้ 2) ความเสมอภาค ในพระธรรมวินัย จะเห็นได้ว่าจากหลักความอัศจรรย์ของพระ ธรรมวนิ ัยมอี ยู่ 8 อยา่ งคอื เปรียบเทยี บกับความอัศจรรย์ของมหาสมุทร 8 อย่าง ดงั น้ี 1. ธรรมวินยั หรอื พระพุทธศาสนามกี ารศึกษาตามลาดับทาตามลาดับปฏิบัติตาม ลาดับ แทง ตลอด อรหัตมรรค ดว้ ยการทาตอ่ เน่ืองดจุ มหาสมุทรลุ่มลกึ ตามลาดับ 2. สาวกของพระพุทธเจ้า ที่แท้ไม่ล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว แม้จะต้องสละ ชวี ิตก็ยอม ดุขมหาสมทุ รไม่ล้นฝ่ัง 3. สงฆ์ย่อม กันคนชว่ั ให้ห่างไกลดจุ ทะเลซดั ซากศพใหเ้ ข้าสู่ฝง่ั ฉะนัน้ 4. วรรณะ ออกบวชแล้ว ย่อมละซึ่งช่ือโคตรในกาลก่อนถึงการนับว่าเป็น สมณะ ศากยบุตร ดจุ น้าจากแมน่ า้ ทั้งหลาย เม่ือถึงมหาสมุทรแล้ว กเ็ ป็นน้ามหาสมทุ รอันเดยี วกนั 5. แม้ฝนตก มหาสมุทรกไ็ ม่ปรากฏความพรอ่ งและความเต็ม ฉันใด ภิกษุในธรรม วนิ ัยที่ดับกเิ ลสด้วยนพิ พานธาตุ ยอ่ มไม่ทานิพพานใหเ้ ตม็ 6. พระธรรมวินัย มีรสเดียว คือ วิมุตติรส รสแห่งความหลุดพ้น ดุจมหาสมุทรมี รสเดียว คอื รสเค็ม (เอกรโส-โลณรโส, เอกรโส-วิมุตตฺ ริ โส) 7. มหาสมุทรเต็มไปด้วยรัตนะนานาประการ ฉันใด พระธรรมวินัยก็มากด้วย ธรรมรัตนะ คือ สติปัฎฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, มรรคมี องค์ 8, ฉนั น้ัน 8. มหาสมุทรเป็นท่ีอยู่ของสัตว์มีชีวิตใหญ่ ๆ เช่น ปลาติมิติมังคลา ติปริมังคลา อสูร นาค คนธรรพ์ ฉันใด พระธรรมวินัยก็มีอริยบุคคล 4 และผู้ปฏิบัติเพ่ือเป็นอริยบุคคล 4 ฉันน้ัน เหตนุ ี้จงึ ทาใหภ้ กิ ษุยนิ ดยี ่ิงในพระธรรมวนิ ยั
32 3) หลักความเป็นพี่เป็นน้องกัน หรือภารดรภาพ คือ สหธรรมิก ผู้ปฏิบัติธรรมร่วม กันควรมีธรรมต่อไปนี้ 1. สังคหวัตถุ 4 คือ การแบ่งปัน พูดไพเราะ บาเพ็ญประโยชน์ และวางตัวเคียง บ่าเคียงไหล่รวมสุขรว่ มทุกข์ 2. สาราณียธรรม 6 คือ จะพูด จะทา จะคิด ก็ประกอบด้วย เมตตาจิต แบ่งปัน ลาภกันอยา่ งทั่วถงึ มศี ลี เสมอกนั และมที ัศนะเสมอกัน 3. หลักอปริหาณิยธรรม 7 คือ หม่ันประชุมกันเนืองนิตย์ เม่ือประชุมก็พร้อมกัน เขา้ ประชมุ และพรอ้ มเพียงกันเลกิ ประชมุ ไมท่ าลายหลกั การเดิม เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ คุ้มครองกุลสตรี มใิ หถ้ กู ข่มเหง เคารพเจดยี ์ อนุสาวรยี ค์ นสาคัญของชาติ และให้การคุ้มครองอารักขาสมณะชี พราหมณ์ ผปู้ ฏิบัตดิ ีปฏิบตั ิชอบในรฐั 4) หลักการใช้อธิปไตย พระพุทธเจ้าทรงนิยม ธรรมาธิปไตย คือเอาหลักการเป็น ใหญ่ มิใช่อัตตาธิปไตย เอาตนเป็นใหญ่ หรือโลกาธิปไตย เอาโลกหรือพวกพ้องเป็นใหญ่ ดังพระองค์ แสดงไว้อยา่ งชัดเจนวา่ “ทีใ่ ดไมม่ สี ัตบุรษุ ทน่ี ้นั มใิ ช่สภา” สัตบุรุษ คือ ผู้รู้จักเหตุผล ผู้รู้จักคน รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน และรู้จัก ความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คล จึงอาจกลา่ วได้ว่า “พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นหลักการปกครอง ของพระสงฆโ์ ดยพระสงฆ์ และเพือ่ พระสงฆอ์ ันมปี ระโยชน์ 10 อย่าง เป็นเป้าหมาย คือ 1. เพื่อหมคู่ ณะยอมรับว่าดี 2. เพอื่ ใหห้ มคู่ ณะมีความผาสุก 3. เพ่ือขม่ คนช่วั 4. เพอ่ื ปกป้องคนดี 5. เพื่อขจัดทุกข์ในปจั จุบัน 6. เพ่ือตัดทกุ ข์ในอนาคต 7. เพ่อื ผ้ทู ย่ี งั ไมศ่ รัทธาไดม้ คี วามศรทั ธา 8. เพอ่ื รักษาจิตของคน ท่ศี รัทธาอยแู่ ล้ว ใหเ้ ล่ือมใสยง่ิ ๆ ขึ้นไป 9. เพอ่ื ความตงั้ มั่นแห่งพระสทั ธรรม คอื พระพุทธศาสนา 10. เพ่ืออนุเคราะห์พระวินัย คือ หลักการอันดีงามของการอยู่ร่วมกันโดยสันติอย่าง เรียกว่า “มีสันตสิ ุขในสว่ นตน และสันติภาพในส่วนรวม” สรุปได้ว่า จากการศึกษาค้นคว้าผู้วิจัยได้พบว่าตามแนวคิดประชาธิปไตยในพระไตรปิฎก ของพุทธศาสนาน้ัน พระพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ในพระวินัยปิฎก และพระสุตตันติปิฎก ไว้อย่างน่าสนใจ เมือ่ พิจารณาในแงศ่ ลี ธรรมแลว้ จะเห็นไดอ้ ยา่ งชัดเจนว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยน้ีมีรากฐาน มาจากการปกครองอย่างมีศีลธรรมอย่างแท้จริง กล่าวคือประชาธิปไตยเคารพในความเป็นธรรม มี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149