ปญั หาการจัดการเลอื กตัง้ สมาชิกสภาองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั ขอนแก่น ในเขตเลอื กต้งั อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ เทพพนมพร สุดชุมแพ สารนิพนธน์ ้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลกั สตู รรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตรก์ ารปกครอง บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั พฤศจกิ ายน 2560 (ลิขสิทธิเ์ ปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย)
ปญั หาการจดั การเลอื กตัง้ สมาชกิ สภาองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขอนแก่น ในเขตเลอื กตั้งอาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น เทพพนมพร สดุ ชมุ แพ สารนิพนธ์น้ีเป็นส่วนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลักสตู รรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ ารฐั ศาสตรก์ ารปกครอง บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั พฤศจิกายน 2560 (ลขิ สทิ ธเิ์ ปน็ ของมหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั )
PROBLEMS OF ELECTION MANAGEMENT ON MEMBERS OF KHON KAEN PROVINCE ADMINISTRATIVE ORGANIZATIONS IN ELECTORATE AREAS OF CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE THEPPHANOMPHON SUDCHUMPHAE A THEMATIC PAPER SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY NOVEMBER 2017 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)
ก 5820850332029 : สาขาวชิ า : รฐั ศาสตร์การปกครอง; ร.ม.(รฐั ศาสตรมหาบณั ฑิต) คาสาคัญ : ปญั หา / การเลือกตงั้ เทพพนมพร สุดชุมแพ : ปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (PROBLEMS OF ELECTION ANAGEMENT ON MEMBERS OF KHON KAEN PROVINCE ADMINISTRATIVE ORGANIZATIONS IN LECTORATE AREAS OF CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE) คณะกรรมการควบคุมสารนิพนธ์ : รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ อาจารย์ท่ีปรึกษา, ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม. 125 หนา้ . ปี พ.ศ. 2560. สารนิพนธ์น้ีมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 2) เพ่ือ เปรียบเทยี บปญั หาการจัดการเลือกตง้ั สมาชิกสภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแก่น และ 3) เพ่ือศกึ ษาข้อเสนอแนะการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ บริหาร ส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน การศึกษาคือ เป็นกรรมการการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ท่ีจัดการ เลอื กตั้งสมาชกิ สภาองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น จานวน 300 คน โดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลคร้ังนี้ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire) มีลักษณะเป็นแบบตรวจเช็ครายการ (Check List) การวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) ค่า ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย ประชากร (Independent t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1. ปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขต เลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวมท้ัง 5 ด้านอยู่ในระดับปานกลาง มีค่าเฉลี่ย 2.86 เม่ือ พิจารณารายดา้ น โดยเรยี งตามค่าเฉลยี่ จากมากไปน้อย ดา้ นท่มี ีคา่ เฉลยี่ มากท่ีสุด คือ ด้านประชาชนผู้ มีสิทธิเลอื กต้งั มีคา่ เฉลี่ย 2.94 รองลงมาได้แก่ ด้านการประกาศผลการเลือกต้ัง มีค่าเฉลี่ย 2.74 ส่วน ดา้ นทมี่ คี ่าเฉลีย่ น้อยทส่ี ุด คอื ดา้ นการบรหิ ารการเลอื กตงั้ มีค่าเฉลยี่ 2.43 2. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ประชาชนที่มีสถานะต่างกันมีปัญหาการ จัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ โดยรวมแตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ิทรี่ ะดบั .05
ข 3. ข้อเสนอแนะเก่ียวกับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการประกาศผลการเลือกต้ัง พบว่ามาก ท่ีสุดคือ ควรมีการประกาศผลการเลือกต้ังอย่างรวดเร็ว หลังจากท่ีมีการนับคะแนนเสร็จทันที รองลงมาคอื ควรใหป้ ระชาชนไดท้ ราบผลการเลือกต้ังอย่างรวดเร็ว แล้วพิจารณาการทจุ ริตภายหลงั
ค 5820850332029 : MAJOR: GOVERNMENT; M.Pol.SC. (MASTER OF POLITICAL SCIENCE) KEYWORD : PROBLEMS / ELECTION THEPPHANOMPHON SUDCHUMPHAE : PROBLEMS OF ELECTION ANAGEMENT ON MEMBERS OF KHON KAEN PROVINCE ADMINISTRATIVE ORGANIZATIONS IN LECTORATE AREAS OF CHUM PHAE DISTRICT, KHON KAEN PROVINCE. ADVISORY COMMITTEE : ASSOC.PROF.DR. PHASAKORN DOKCHAN, ADVISORY, DR.PADIT KAMDEE CO-ADVISORY, 125 PP. B.E. 2560 (2016). The objectives of the master project were as follows: 1) to study election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen, 2) to compare election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in consti tuencies of Chum Phae district, KhonKaen, and 3) to study recommendations on the election of members of KhonKaen Provincial Administration Organization in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen. The research samples were totally 300 members of provincial administration organization council in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen, calculated by Taro Yamane’s formula. The research instrument was the questionnaire check list. The data were analyzed by the statistics comprised of frequency distribution, percentage, arithmetic mean, standard deviation. In addition, the data analysis was conducted by the independent t-test statistic to analyze differences of people’s mean. The research findings were as follows: 1. Election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen, were found to be overall in five aspects at a moderate level ( X = 2.86). When each aspect was considered in the descending order, the aspect of electorate people was found to be at the highest level ( X = 2.94), followed by the aspect of announcement of election returns ( X = 2.74), and the aspect of election management was found to be at the lowest level ( X = 2.43). 2. The comparison of election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in constituencies of Chum Phae
ง district, KhonKaen, was found that, for people with different status, election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen, were found to be overall different at a statistically significant level of 0.05. 3. The recommendations on election problems of members of KhonKaen Provincial Administration Organization Council in constituencies of Chum Phae district, KhonKaen, were found that, in the announcement of election returns, the item “the election returns should be instantly announced after the completion of vote counting,” was found to be at the highest level, followed by the aspect “The election returns should be known quickly and election fraud would be considered afterwards.”
จ ประกาศคณุ ูปการ สารนพิ นธ์ฉบับนส้ี าเร็จลงไดเ้ พราะได้รบั การสนบั สนนุ ช่วยเหลือและความกรุณา จากหลาย ฝ่าย ผู้วิจัยจึงขอขอบคุณสถาบัน องค์กร และบุคคลท่ีได้ให้ความช่วยเหลือได้แก่ มหาวิทยาลัยมหา มกุฎราชวทิ ยาลัย และคณาจารย์ทกุ ทา่ นทไ่ี ด้ประสทิ ธปิ์ ระสาทวิชาจนสามารถ นาความรู้ มาเขียนสาร นิพนธน์ ี้ได้ และกรณุ าชีแ้ นะนาทางในการศึกษาค้นคว้า ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ และ ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ทป่ี รกึ ษาสารนพิ นธ์ร่วม ทก่ี รุณาแก้ไขเพมิ่ เติมเน้อื หาและแนะนาเก่ียวกับ รูปแบบการจัดพิมพ์สารนิพนธ์ให้ถูกต้องตามรูปแบบของบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฎราช วิทยาลยั ขอขอบคุณคณะกรรมการสอบสารนิพนธ์ รองศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุกิจ ชัยมุสิก พระนิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร. และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล ตลอดจนเจ้าหน้าท่ี มหาวิทยาลยั ทชี่ ว่ ยอานวยความสะดวกในการสอบให้สาเร็จลุล่วงดว้ ยดี ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านท่ีได้ตรวจสอบสารนิพนธ์และเคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย จนแล้วเสรจ็ เรียบร้อย ขอขอบคุณเจ้าหนา้ ท่ขี องมหาวทิ ยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลัยทุกท่านท่ีได้อุทิศแรงกาย และ แรงใจให้บริการท่ีดีเยี่ยม สนับสนุนการทาสารนิพนธ์ ซ่ึงเป็นการส่งเสริมให้เกิดความสาเร็จตลอดจน ขอขอบคณุ เพอื่ นนักศกึ ษาปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์การปกครอง 2558 ทุกท่านที่ให้ ความช่วยเหลือ ดว้ ยการเตมิ เต็มส่ิงท่ขี าดและคอยให้กาลงั ใจดว้ ยดี เสมอมา ทุกทา่ นทก่ี ลา่ วมา ไดเ้ สียสละเวลาอนั มีค่าในการให้คาปรึกษา แนะนาองค์ความรู้ให้บริการ และช่วยเหลือแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของสารนพิ นธ์ฉบับนี้จนแลว้ เสร็จสมบูรณ์ ท้ายท่ีสุดขอขอบคุณ คุณแม่บุ โจภูเขียว คุณครูอาจารย์ทุกท่าน ครอบครัวญาติพ่ีน้องทุกท่านท่ีคอยเป็นกาลังใจและ สนับสนุน สง่ เสริมใหส้ ารนพิ นธฉ์ บับนส้ี าเรจ็ ลงไดด้ ว้ ยดที กุ ประการ เทพพนมพร สดุ ชุมแพ
สารบญั หน้า ก บทคัดย่อภาษาไทย ค บทคัดย่อภาษาองั กฤษ จ ประกาศคุณูปการ ฉ สารบัญ ซ สารบัญตาราง ฑ สารบัญแผนภมู ิ บทที่ 1 1 1 บทนา 3 1.1 ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา 3 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย 4 1.3 ขอบเขตของการวจิ ัย 4 1.4 สมมติฐานของการวจิ ัย 5 1.5 ประโยชน์ที่คาดวา่ จะไดร้ บั 7 1.6 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะทใี่ ช้ในการวิจยั 7 17 2 เอกสารและงานวิจัยที่เก่ยี วข้อง 26 2.1 แนวคิดและทฤษฎเี ก่ียวข้องกับการเลอื กตงั้ 30 2.2 ปัญหาและอปุ สรรคในการจดั การเลือกตัง้ องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่น 34 2.3 บทบาทหนา้ ที่ของสมาชิกสภาองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั 36 2.4 บริบทขององคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวดั ขอนแกน่ 38 2.5 หลกั ธรรมสาหรับการปฏิบัติงานในองคก์ ร 39 2.6 งานวจิ ัยท่ีเก่ยี วข้อง 39 2.7 สรปุ กรอบแนวคดิ ทใ่ี ช้ในการวิจยั 42 42 3 วธิ ดี าเนินการวิจัย 43 3.1 ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง 43 3.2 การสรา้ งเครื่องมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั 44 3.3 เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั 3.4 วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล 3.5 วิธกี ารวเิ คราะหข์ ้อมูล 3.6 สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล
สารบญั (ตอ่ ) ช บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 46 4.1 สัญลักษณท์ ี่ใชใ้ นการเสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 46 4.2 ขัน้ ตอนการวิเคราะห์ข้อมลู 46 4.3 ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล 48 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 81 5.1 สรุปผลการวิจยั 82 5.2 อภิปรายผลการวิจยั 84 5.3 ขอ้ เสนอแนะ 89 90 บรรณานุกรม 95 ภาคผนวก 96 98 ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบเคร่ืองมือ 104 ภาคผนวก ข หนงั สือขอความอนเุ คราะห์เป็นผเู้ ช่ียวชาญตรวจสอบเครือ่ งมือ 107 ภาคผนวก ค หนังสอื ขอความอนุเคราะหเ์ ก็บรวบรวมขอ้ มลู 116 ภาคผนวก ง แบบสอบถาม 122 ภาคผนวก จ ค่าดัชนีความสอดคลอ้ งของข้อคาถาม (IOC) 125 ภาคผนวก ฉ คา่ สมั ประสิทธ์แิ อลฟา ประวตั ิผูว้ จิ ัย
สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า 3.1 แสดงจานวนตาบล หมู่บ้านหรือชุมชน และกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภา 40 องค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัดขอนแกน่ เฉพาะเขตเลอื กต้ังอาเภอชุมแพ 41 3.2 จานวนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จาแนกตามตาบลท่ีใช้ในการเก็บรวบรวม 48 ขอ้ มลู ของอาเภอชมุ แพ 48 4.1 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามเพศ 49 4.2 แสดงจานวน และร้อยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามตาแหน่ง 4.3 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผูต้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามระดบั การศกึ ษา 50 4.4 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด 51 ขอนแกน่ โดยรวม 4.5 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 53 การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านบุคลากรที่จัดการเลือกตั้ง 54 4.6 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด 56 ขอนแกน่ ดา้ นผสู้ มคั รลงรับการเลือกต้งั 4.7 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 57 การเลือกต้ังสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านประชาชนผ้มู สี ทิ ธิเลือกต้งั 58 4.8 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการบริหารการเลอื กตงั้ 4.9 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นการประกาศผลการเลือกต้งั 4.10 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามเพศ
ฌ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.11 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ 58 59 บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 59 โดยรวม จาแนกตามเพศ 60 4.12 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 60 การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง 61 อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ ด้านบคุ ลากรทจ่ี ดั การเลอื กตัง้ จาแนกตามเพศ 61 4.13 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ 62 บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 62 ดา้ นบคุ ลากรที่จดั การเลอื กตั้ง จาแนกตามเพศ 4.14 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ ดา้ นผ้สู มัครรบั การเลอื กตงั้ จาแนกตามเพศ 4.15 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านผสู้ มัครรับการเลือกต้ัง จาแนกตามเพศ 4.16 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ ดา้ นประชาชนผมู้ สี ิทธเิ ลอื กตงั้ จาแนกตามเพศ 4.17 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านประชาชนผมู้ สี ิทธเิ ลือกตัง้ จาแนกตามเพศ 4.18 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น ดา้ นการบริหารการเลือกตัง้ จาแนกตามเพศ 4.19 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการบรหิ ารการเลอื กต้ัง จาแนกตามเพศ
ญ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.20 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 63 63 การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง 64 อาเภอชุมแพ จงั หวัดขอนแกน่ ด้านการประกาศผลการเลือกต้ัง จาแนกตามเพศ 64 4.21 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 65 ดา้ นการประกาศผลการเลือกตง้ั จาแนกตามเพศ 65 4.22 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 66 การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง 66 อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามตาแหน่ง 4.23 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ 67 บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามตาแหนง่ 4.24 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านบุคลากรท่ีจัดการเลือกตั้ง จาแนกตาม ตาแหน่ง 4.25 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นบุคลากรทจี่ ดั การเลือกตั้ง จาแนกตามตาแหนง่ 4.26 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านผู้สมคั รรับการเลอื กตั้ง จาแนกตามตาแหนง่ 4.27 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านผ้สู มัครรบั การเลือกตงั้ จาแนกตามตาแหนง่ 4.28 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง จาแนกตาม ตาแหน่ง
ฎ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.29 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ 67 บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น 68 ด้านประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้งั จาแนกตามตาแหนง่ 68 4.30 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง 69 อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการบริหารการเลือกต้ัง จาแนกตาม 69 ตาแหนง่ 70 4.31 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การ 70 บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการบรหิ ารการเลือกต้งั จาแนกตามตาแหนง่ 71 4.32 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการประกาศผลการเลือกตั้ง จาแนกตาม ตาแหน่ง 4.33 แสดงผลการเปรียบเทียบระดับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ดา้ นการประกาศผลการเลอื กตัง้ จาแนกตามตาแหนง่ 4.34 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแกน่ โดยรวม จาแนกตามตาแหนง่ 4.35 แสดงผลการวเิ คราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น โดยรวม จาแนกตามระดบั การศกึ ษา 4.36 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านบุคลากรที่จัดการเลือกต้ัง จาแนกตามระดับ การศกึ ษา
ฏ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.37 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา 71 72 องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด 72 ขอนแกน่ ดา้ นบุคลากรทีจ่ ดั การเลอื กตัง้ จาแนกตามระดับการศกึ ษา 73 4.38 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด 73 การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง 74 อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านผู้สมัครรับการเลือกต้ัง จาแนกตามระดับ 74 การศึกษา 75 4.39 แสดงผลการวเิ คราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านผสู้ มคั รรับการเลอื กตงั้ จาแนกตามระดบั การศกึ ษา 4.40 แสดงค่าเฉล่ีย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง อาเภอชมุ แพ จังหวดั ขอนแกน่ ด้านประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง จาแนกตามระดับ การศกึ ษา 4.41 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นประชาชนผมู้ ีสทิ ธิเลอื กตั้ง จาแนกตามระดับการศึกษา 4.42 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้ง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการบริหารการเลือกต้ัง จาแนกตามระดับ การศกึ ษา 4.43 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการบรหิ ารการเลือกตัง้ จาแนกตามระดับการศกึ ษา 4.44 แสดงค่าเฉลี่ย ( X ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับปัญหาการจัด การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ัง อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ด้านการประกาศผลการเลือกตั้ง จาแนกตาม ระดับการศกึ ษา
ฐ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.45 แสดงผลการวเิ คราะห์ความแปรปรวนของปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา 75 76 องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด 77 ขอนแกน่ ด้านการประกาศผลการเลือกตัง้ จาแนกตามระดบั การศกึ ษา 78 4.46 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา 79 องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัด 80 ขอนแก่น ด้านบุคลากรท่จี ดั การเลอื กตัง้ 4.47 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเก่ียวกับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ดา้ นผลู้ งสมคั รรับการเลือกตง้ั 4.48 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านประชาชนผ้มู สี ิทธเิ ลอื กต้งั 4.49 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ ด้านการบริหารการเลือกต้ัง 4.50 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแก่น ด้านการประกาศผลการเลอื กตั้ง
สารบัญแผนภมู ิ ฑ แผนภมู ทิ ี่ หน้า 2.1 แผนทีอ่ าเภอชุมแพ 32 2.2 แสดงสรุปกรอบแนวคดิ ที่ใชใ้ นการวิจัย 38
1 บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ ประเทศไทยมีการจัดระเบียบการปกครองแบบรัฐเด่ียว โดยมีการแบ่งการจัดระเบียบ บริหารราชการแผ่นดิน ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 1) ราชการบริหารส่วนกลาง ได้นาเอาหลักการรวม อานาจ การปกครอง มาใช้เป็นหลักสาคัญ ประกอบด้วย กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ 2) ราชการ บริหาร ส่วนภูมิภาค ได้นาเอาหลักการแบ่งอานาจการปกครองมาใช้เป็นหลักสาคัญ ประกอบด้วย จังหวัด กับอาเภอ และ 3) ราชการส่วนท้องถ่ิน ได้นาเอาหลักการกระจายอานาจการปกครองมาใช้ เป็นหลักสาคัญ ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตาบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา สาหรับองค์การบริหารส่วนจังหวัดน้ัน ในสมัยจอมพล ป. พิบูล สงคราม ไดเ้ ดินทางไปดงู านยังประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรปแล้วพิจารณาเห็นว่าประเทศไทยมีการ ปกครองท้องถิ่นอยู่เฉพาะเขตเมืองและก่ิงเมือง คือ เทศบาลและสุขาภิบาล ในขณะท่ีประชาชนส่วน ใหญ่กระจายอยู่ในเขตชนบทนอกเขตการปกครองท้องถ่ิน ดังนั้นรัฐบาลเห็นสมควรท่ีจะลดช่องว่างนี้ โดยการปรับปรุงสภาจังหวัดที่มีอยู่เดิม ภายใต้พระราชบัญญัติระเบียบองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2481และจัดต้ังข้นึ เปน็ องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั ภายใตพ้ ระราชบัญญัติระเบียบองค์การบริหาร ส่วนจงั หวัด พ.ศ. 2498 มีฐานะในการปกครองส่วนท้องถ่ินอีกรูปแบบหน่ึง เป็นนิติบุคคลต่างจากสภา จังหวัดเดิมท่ีเป็นเพียงสภาท่ีปรึกษา และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนี้ มีพื้นท่ีดูแลนอกเขตเทศบาล และสุขาภิบาล โดยโครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัดในปี พ.ศ. 2498 สภาจังหวัดมาจากการ เลือกต้ัง ของประชาชน ทาหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ จานวนสมาชิกสภาจังหวัดข้ึนอยู่กับสัดส่วนจานวน ประชาชนของแต่ละจังหวัด ฝ่ายบริหารขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เม่ือวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ส่งผลให้เกิดราชการส่วนท้องถิ่นอีกรูปแบบหน่ึง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายอานาจการ บริหาร การปกครองสู่องค์กรพนื้ ฐานในระดับจงั หวดั ถึงปัจจุบนั (ประชา พรมเพ็ญ, 2550) องค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหน่วยงานท้องถ่ินท่ีสาคัญสาหรับการพัฒนาประเทศ ซึง่ การพัฒนาการขององคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดน้ี จะเป็นไปตามแนวทางที่ต้ังไว้หรือไม่อย่างไรข้ึนอยู่ กับบทบาทของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งทาหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติหน้าท่ี ของฝ่ายบริหารมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดด้วย ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามโครงสร้างการบริหาร ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามที่พระราชบัญญัติองค์การบริหารงานออกเป็น 2 ส่วน คือ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดทาหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติ และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
2 ทาหน้าท่ีฝ่ายบริหาร โดยสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วยบุคคลในท้องถิ่นซึ่งได้รับการ เลือกต้ังจากประชาชนในท้องถ่ินเดียวกัน มีชื่อเรียกตามกฎหมายว่า สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัด ในอาเภอหนึ่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้หน่ึงคน เมื่อรวมจานวน สมาชิกสภาองค์การจังหวัดแต่ละอาเภอ ทาหน้าท่ี (1) ให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด (2) พิจารณาให้ความเห็นขอบร่างข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด ร่างข้อบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจาปี ร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพ่ิมเติม (3) ควบคุมการปฏิบัติงานของนายก องคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวดั ให้เปน็ ไปตามนโยบายและแผนพฒั นาองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด กฎหมาย ระเบยี บ คาสัง่ ขอ้ บงั คบั ของทางราชการ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งเป็นบุคคลท่ีมาจากการเลือกต้ังของประชาชน ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการเลือกตง้ั สมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถ่ิน ผู้ที่มีสิทธิในการสมัครเข้ารับ การเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด นอกจากจะมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ ต้องห้ามทางกฎหมายว่าด้วยการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่นแล้ว จะต้องไม่เป็นผู้ ท่พี น้ จากตาแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถ่ิน รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการหรือที่ปรึกษา ผบู้ รหิ ารทอ้ งถ่ิน เพราะเหตุมสี ว่ นไดเ้ สยี ไม่วา่ ทางใดทางหนึง่ ทางตรงหรอื ทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทากับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น การเลือกตั้งของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ให้ถือเกณฑ์จานวนราษฎรแต่ละจังหวัดตามหลักฐานการทะเบียนท่ีประกาศปีสุดท้ายก่อนปีทีมี การ เลือกตั้ง จงั หวัดใดมรี าษฎรไม่เกนิ หนงึ่ ลา้ นคน ให้มกี ารเลอื กต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้สามสิบคน ในอาเภอหน่ึงให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้หน่ึงคน เม่ือรวม จานวนสมาชิกองค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัดแต่ละอาเภอแลว้ (ทะนง คาประภา, 2556) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต้ังแต่ฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้กาหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องมีสภาท้องถ่ินและคณะผู้บริหารท้องถ่ินหรือผู้บริหาร ท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถ่ินต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน จากการออกเสียง ลงคะแนนโดยตรงและลับ ประกอบกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการ การเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 20 ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเก่ียวกับการ เลือกต้ัง มีอานาจสั่งการให้หน่วยงานราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น ปฏิบัติการเลือกต้ังที่เห็นสมควร ถ้าไม่ปฏิบัติตามคาส่ังทาให้เกิดการดาเนินการเลือกต้ังให้ถือว่าเป็น การกระทาความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (สานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง, 2554) ดังน้ัน การเลอื กตัง้ เป็นหวั ใจสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระดับชุมชน การเลือกตั้งท้องถ่ิน จะมีคณุ ค่าสมควรแกก่ ารยอมรับว่าได้ดาเนินไปตามครรลองของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ต่อเมอ่ื การเลือกตัง้ น้นั เป็นไปดว้ ยความสุจริตเทยี่ งธรรม
3 ผวู้ ิจยั ทางานอยู่ในหน่วยงานของรัฐเคยเปน็ กรรมการประจาหน่วยเลือกต้ัง ดังน้ันผู้วิจัย จึง สนใจที่จะศึกษาปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขต เลือกตง้ั อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของกำรวจิ ยั 1.2.1 เพ่ือศึกษาปญั หาการจดั การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลอื กตั้งอาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ 1.2.2 เพ่ือเปรียบเทียบปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลอื กต้งั อาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่ 1.2.3 เพ่ือศึกษาข้อเสนอแนะการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลือกตงั้ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ 1.3 ขอบเขตของกำรวจิ ยั 1.3.1 ด้ำนประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง ประชำกร ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ กรรมการการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วน จงั หวัดขอนแก่น ในระดับหน่วยการเลือกตั้งท่ีจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ปี พ.ศ. 2555 จาก 12 ตาบล 181 หมู่บ้าน หรอื ชุมชน จานวนกรรมการการเลือกต้ังหน่วยละ 7 คน (หน่วยเลือกต้ัง/ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 800 คน) มี หน่วยเลือกต้งั ทงั้ หมด 172 หน่วยเลือกต้งั รวมกรรมการการเลอื กตัง้ จานวน 1,204 คน กลุ่มตัวอยำ่ ง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ กาหนดมาจากประชากรท่ีเป็นกรรมการการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ท่ีจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วน จังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น (ส.อบจ.) ปี พ.ศ. 2555 ได้ขนาดกลุ่ม ตัวอย่าง จานวน 300 คน โดยคานวณหาขนาดตัวอย่างจากสูตรทาโร ย่ามาเน่ (Yamane, 1973, อ้างใน สวุ ิมล ติรกานันท์, 2546, หนา้ 198) 1.3.2 ขอบเขตดำ้ นเน้ือหำ ตัวแปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ เพศ ตาแหนง่ และระดับการศึกษา 1. เพศ จาแนกเปน็ เพศชาย เพศหญงิ 2. ตาแหนง่ จาแนกเป็น ประธานกรรมการ และกรรมการ 3. ระดบั การศกึ ษา จาแนกเปน็ มัธยมศกึ ษา ปรญิ ญาตรี และสูงกวา่ ปริญญาตรี
4 ตัวแปรตำม ได้แก่ ปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแกน่ ในเขตเลือกต้งั อาเภอชมุ แพ จงั หวดั ขอนแก่น 1. ด้านบุคลากรท่จี ัดการเลอื กต้ัง 2. ด้านผสู้ มคั รรับการเลอื กตัง้ 3. ด้านประชาชนผู้มีสิทธเิ ลือกตงั้ 4. ด้านการบรหิ ารการเลือกต้ัง 5. ดา้ นการประกาศผลการเลือกตัง้ 1.3.3 ขอบเขตดำ้ นพื้นท่ี ทาการวิจัยในพื้นท่ีอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แบ่งการปกครองออกเป็น 12 ตาบล 181 หม่บู ้านหรอื ชุมชน จานวนหน่วยเลือกตงั้ ท้ังหมด 172 หน่วยเลอื กตงั้ 1.3.4 ขอบเขตดำ้ นระยะเวลำ ดาเนนิ การวิจยั ระหว่าง 1 ธันวาคม 2559 ถึง 31 พฤษภาคม 2560 1.4 สมมติฐำนของกำรวจิ ยั 1.4.1 กรรมการการเลือกต้ังท่ีมีเพศแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัญหาการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แตกตา่ งกนั 1.4.2 กรรมการการเลือกตั้งท่ีมีตาแหน่งแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัญหาการจัดการ เลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น แตกตา่ งกนั 1.4.3 กรรมการการเลือกตั้งท่ีมีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อปัญหาการ จัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัด ขอนแกน่ แตกต่างกัน 1.5 ประโยชนท์ คี่ ำดว่ำจะได้รบั 1.5.1 ทาให้ทราบปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ขอนแก่น ในเขตเลอื กต้งั อาเภอชมุ แพ จังหวัดขอนแกน่ 1.5.2 ทาให้ทราบผลการเปรียบเทียบปญั หาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหาร สว่ นจงั หวัดขอนแกน่ ในเขตเลือกตัง้ อาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแกน่ 1.5.3 ทาใหท้ ราบข้อเสนอแนะเก่ียวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวดั ขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จงั หวดั ขอนแกน่
5 1.5.4 ข้อมูลท่ีได้จากการศึกษาสามารถนาไปเป็นข้อเสนอแนะ ปรับปรุงและเป็นแนวทาง ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตัง้ อาเภอชุมแพ จังหวดั ขอนแกน่ 1.6 นิยำมศัพท์เฉพำะทใี่ ช้ในกำรวิจยั สมำชิกองค์กำรบริหำรส่วนจังหวัด หมายถึง สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ที่ได้รับการเลือกต้ังโดยตรงจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วน จังหวัด พ.ศ. 2540 และตามพระราชบัญญัติการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถ่ิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 กรรมกำรกำรเลือกตั้ง หมายถึง ผู้ท่ีได้รับการแต่งตั้งจากผู้อานวยการการเลือกต้ังประจา องค์การบริหารส่วนจังหวัด ทาหน้าที่จัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ระดับหน่วยเลือกตั้งในชุมชน/หมู่บ้าน จานวน 7 คน ประกอบด้วย ประธานกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้งจานวน 1 คน และกรรมการประจาหน่วย เลอื กตั้งอีก จานวน 6 คน หน่วยเลือกต้ัง หมายถึง หน่วยเลือกตั้งท่ีผู้อานวยการการเลือกตั้งประจาจังหวัด กาหนดใหผ้ ทู้ ่ีมสี ิทธเิ ลอื กตง้ั ทาการลงคะแนนเลอื กตง้ั สมาชิกสภาองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ) ณ ทเี่ ลอื กตั้งประจาหมู่บา้ นหรือชมุ ชน กำรจดั กำรเลอื กต้งั หมายถงึ การดาเนินงานของกรรมการการเลือกต้งั สมาชกิ สภาองค์การ บรหิ ารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในระดับหน่วยการเลือกตั้ง ท่ีจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร จังหวัด (ส.อบจ) ปี พ.ศ. 2555 ภายใต้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหาร ทอ้ งถ่นิ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2554 ประกอบดา้ น 5 ด้าน ได้แก่ ด้ำนบุคลำกรท่ีจัดกำรเลือกตั้ง หมายถึง ความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกต้ังสมาชิกสภา องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ท่ีเก่ียวกับการ แต่งตั้งกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ัง การส่งคาส่ังแต่งตั้งกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้ง วิทยากรท่ี ทาหน้าท่ีอบรมกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ัง และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการประจาหน่วย เลือกตั้ง ด้ำนผ้สู มัครรบั กำรเลอื กตง้ั หมายถงึ ความคดิ เห็นของผมู้ สี ิทธิเลอื กต้งั สมาชกิ สภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ท่ีเกี่ยวกับ การใช้ อิทธิพลของผู้สมัครรับเลือกต้ัง บทบาทของหัวคะแนนในระบบการเลือกตั้งท้องถ่ินและการทุจริต เลือกตงั้
6 ด้ำนประชำชนผู้มีสิทธิเลือกต้ัง หมายถึง ความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่เก่ียวกับ พฤตกิ รรมการแสดงออกของประชาชนผู้มสี ทิ ธิเลอื กตั้ง ด้ำนกำรบริหำรกำรเลือกตั้ง หมายถึง ความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องคก์ ารบริหารสว่ นจังหวดั ขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่เก่ียวกับการ บริหารจัดการของผู้อานวยการประจาหน่วยเลือกต้ัง เอกสารการจัดการเลือกต้ัง และขั้นตอน การรับ - ส่งหีบบตั รเลอื กตั้ง ด้ำนกำรประกำศผลกำรเลือกต้ัง หมายถึง ความคิดเห็นของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภา องคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัดขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกตั้งอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ที่เกี่ยวกับการ ประกาศผลการเลือกต้ัง การออกคาวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกต้ัง การร้องเรียนของผู้สมัคร รับการเลอื กตัง้ ประชาชนผมู้ สี ิทธิในทอ้ งถ่นิ และการเพิกถอนสิทธเิ ลือกตั้ง ปญั หำ หมายถึง อปุ สรรคขัดขอ้ งของการดาเนินงานของกรรมการการเลือกต้ัง ท่ีเกี่ยวกับการ จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เฉพาะเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ ภายใต้พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2554 ตำแหน่ง หมายถึง ตาแหนง่ ของคณะกรรมการการเลือกตัง้ ของผตู้ อบแบบสอบถามสาหรับ สารนิพนธฉ์ บบั น้ี แบ่งเป็น 2 ตาแหนง่ คือ 1) ประธานกรรมการ และ 2) กรรมการ เพศ หมายถึง เพศของผู้ตอบแบบสอบถามสาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งออกเป็น 2 เพศ คอื 1) เพศชาย และ 2) เพศหญงิ ระดับกำรศึกษำ หมายถึง การศึกษาของผู้ตอบแบบแบบสอบถามสาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเปน็ 3 ระดบั คือ 1) มัธยมศกึ ษา, 2) ปรญิ ญาตรี และ 3) สงู กวา่ ปรญิ ญาตรี
7 บทท่ี 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง การวิจัย เร่ือง ปัญหาการจัดการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น ในเขตเลือกต้ังอาเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เพอ่ื เปน็ แนวทางในการดาเนนิ การวิจยั ดังน้ี 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วกับการเลือกตัง้ 2.2 ปญั หาและอุปสรรคในการจดั การเลือกตัง้ องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน 2.3 บทบาทหนา้ ทีข่ องสมาชิกสภาองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวดั ขอนแก่น 2.4 บริบทองคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวดั ขอนแกน่ และอาเภอชมุ แพ 2.5 หลักธรรมสาหรบั ปฏิบตั ิงานในองค์กร 2.6 งานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ ง 2.7 สรปุ กรอบแนวคิดทีใ่ ช้ในการวจิ ัย 2.1 แนวคดิ และทฤษฎีที่เก่ียวขอ้ งกบั การเลือกต้ัง การเลือกตั้งจัดเป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของประชาชน เป็นวิถี ทสี่ าคัญในการทป่ี ระชาชนจะไดม้ ีโอกาสควบคมุ เจา้ หนา้ ที่ของรฐั เป็นแนวทางท่ีประชาชนสามารถเข้า ไปมีส่วนรว่ มอย่างตรงไปตรงมา (Verba, Nie and Kim, 1978) นอกจากน้ีการเลือกตั้งคือวิถีทางของ การเป็นประชาธิปไตย ในประชาธิปไตยบนคลื่นลูกที่สามตามแนวคิดของ Huntingyon (1993) การเลือกตั้งเปน็ วธิ ีการล้มและสน้ิ สดุ ของเผด็จการ เป็นวิถีไปสู่การเป็นประชาธิปไตย เม่ือความชอบธรรม ในทางการเมืองเร่ิมเสื่อถอย ผู้ปกครองประเทศหลายประเทศมีการสร้างแรงผลักดันให้เกิดมีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมืองต่อไป ดังนั้นการเลือกตั้งจึงเป็นเครื่องมือสาหรับการลงคะแนน โดยพจิ ารณาจากตัวเลอื กที่กาหนดไว้ (Heywood, 1997) อย่างไรก็ดีการมีส่วนร่วมมิใช่ต้องการเพียง โอกาสในการลงคะแนนอย่างถูกกฎหมายแต่ยังต้องมบี ริบทของสังคมที่จูงใจให้ประชานมาเลือกตั้งและ แสดงความคิดเห็น การเท่าเทียมกันทางการเมืองไม่ใช้ต้องการเพียงสิทธิในการลงคะแนนที่เท่ากัน แตต่ อ้ งการประกนั วา่ เป้นกระบวนการทีไ่ ดม้ าซึ่งตัวแทนของทั้งประเทศอย่างแทจ้ รงิ (Frishkin, 1995) 2.1.1 ความสาคัญของการเลือกตง้ั การเลือกตั้งเป็นกระบวนการทางการเมืองอย่างหน่ึง ซึ่งหมายถึงกิจกรรมทางการเมือง ทแ่ี สดงออกถงึ การมีส่วนร่วมทางการเมอื งของประชาชนผูเ้ ป็นเจา้ ของอานาจอธิปไตย ด้วยการไปออก
8 เสียงเลือกตง้ั ผู้แทนของตน เพ่ือทาหนา้ ที่ในรฐั สภาและในรัฐบาล เป็นกลไกแสดงออกถึงเจตจานงของ ประชาชนท่ีเรียกร้องและสนับสนุนให้มีการปฏิบัติจัดทา หรือละเว้นการกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง ในทางการเมอื ง และการตัดสินใจในนโยบายสาธารณะท่ีจะมีผลกระทบต่อประชาชนการที่ประชาชน เลือกผู้แทนหรือกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์ และนโยบายท่ีสอดคล้องกับความ ต้องการของตนก็เพราะประชาชนเชื่อว่าผู้แทนท่ีตนเลือกไปใช้อานาจอธิปไตยแทนตนน้ันจะใช้ อุดมการณ์ที่ประกาศเป็นแนวทางในการนานโยบายไปปฏิบัติและบริหารรัฐกิจในทานองเดียวกัน เพ่ือเป็นการพิทักษ์ผลประโยชน์ตนเอง ประชาชนจะไม่เลือกผู้แทนที่มีอุดมการณ์และนโยบายท่ีเป็น ปฏิปักษ์ หรือเอ้ือต่อความต้องการของตน ดังนั้น การเลือกต้ังจึงเป็นกิจกรรมที่ประชาชนแสวงหา ทางเลือกและบาบัดความต้องการของตน เช่น การเลือกรัฐบาลที่มีอุดมการณ์ และนโยบายอนุรักษ์ นิยมหรือรัฐบาลที่มีอุดมการณ์และนโยบายก้าวหน้าตามแนวทางสังคมประชาธิปไตยเสรีประชาธิปไตย หรือสังคมนิยมเป็นต้น การตัดสินใจเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่สังกัดในกลุ่มอุดมการณ์หรือพรรค การเมืองหนึ่งนั้นเท่ากับว่าประชาชนได้มอบอานาจอธิปไตยของตนให้ผู้ท่ีเ ลือกตั้งและให้ความชอบ ธรรมแก่ผทู้ ่ตี นเลอื กในอันท่ีจะใช้อานาจการปกครองในห้วงเวลาท่กี าหนดไว้ การเลือกมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับการใช้สิทธิพลเมือง สิทธิจึงเป็นแนวความคิด ที่สาคัญในทางรัฐศาสตร์ กล่าวคือ เม่ือมนุษย์เกิดมาย่อมมีสิทธิตามธรรมชาติติดตัวมาด้วย สิทธิตาม ธรรมชาติท่ีสาคัญประการหน่ึง คือ สิทธิท่ีจะได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน สิทธิท่ีจะ แสวงหาความสะดวกสบาย หรือสิทธิท่ีจะดารงชีวิตอยู่อย่างสมควรแก่อัตภาพ เพื่อให้บรรลุ จุดมุ่งหมายพื้นฐานนี้ มนุษย์จึงสละสิทธิตามธรรมชาติบางส่วน คือสิทธิจะกระทาการใด ๆ ได้ตาม อาเภอใจ รัฐบาลหรือการปกครองที่ตนให้การตัดสินใจเลือกแล้ว ดังนั้น สิทธิในการเลือกรัฐบาล ผู้ปกครองจึงเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ติดตัวบุคคลในฐานะเป็นหน่วยหน่ึงของรัฐ ในอารยะประเทศได้ ให้การรับรองว่าการใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นเจตจานงของประชาชนที่ให้ได้มาซ่ึงรัฐ บาลที่ชอบธรรม (กรมการปกครอง, 2553) การเลือกตั้งจะมีความหมายและถือว่าเป็นฐานท่ีมาของความชอบธรรมในอานาจของ รัฐบาลและผู้ปกครองน้ัน จะต้องมีลักษณะตามหนักเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล ดังต่อไปนี้ (กระมล ทองธรรมชาติ และคณะ, 2531) 1. ความเป็นอิสระแห่งการเลือกต้ัง หมายถึง การแสดงเจตนารมณ์ในการเลือกตั้งจะต้อง เป็นไปอย่างอิสรเสรีปราศจากการบีบบังคับ ข่มขู่ ด้วยประการใดๆไม่ว่าจะเป็นการให้อามิสสินจ้าง หรือการใช้อิทธิพลบีบคั้น หลักการหรือเง่ือนไขข้อนี้มีรากฐานมาจากความเช่ือท่ีว่า สิทธิในการมีส่วน ร่วมใช้อานาจอธิปไตยนั้นเป็นของประชาชนทุกคน การได้มาซ่ึงสิทธิดังกล่าวเป็นการต่อสู้และ วิวัฒนาการประวัติศาสตร์ทางการเมืองอันยาวนาน ในเม่ือประชาชนเป็นผู้ทรงสิทธิย่อมอยู่กับการ วนิ ิจฉยั ของประชาชนเองวา่ ตนเองต้องการจะใชส้ ทิ ธขิ องตนมากน้อยเพยี งใด องค์การหรือรัฐจึงไม่ควร
9 แทรกแซงหรือสั่งการให้ประชาชนต้องกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง หมายความว่าองค์การของรัฐหรือ บคุ คลใดบุคคลหน่งึ ไมส่ ามารถจะบีบบังคับประชาชนคนใดคนหน่ึงไปออกเสียงเลือกตั้งหรือไม่ไปออกเสียง เลือกตั้ง การเลือกต้ังท่ีประชาชนขาดอิสระเสรี ผู้ปกครองอ้างว่าตนมีอานาจโดยชอบธรรมหาได้ไม่ ความเปน็ อิสระแห่งการเลอื กต้งั นย้ี ังรวมความไปถึงการทป่ี ระชาชนมีโอกาสทีจ่ ะเลือกบุคคลหรือพรรค การเมืองตามใจชอบอีกด้วย หมายความว่า ในการเลือกตั้งคร้ังหน่ึงๆ ประชาชนสามารถเลือก ผู้ปกครองจานวนหนึ่ง จากหลายๆ จานวน หรือจากพรรคการเมืองที่เสนอตัวเข้าแข่งขันอย่างน้อย สองพรรคข้นึ ไป การท่ปี ระชาชนจาต้องเลือกตั้งผู้ปกครองจากพรรคการเมืองเดียว หรือบุคคลจานวน เดยี วโดยไมม่ โี อกาสเลอื กจากแหล่งอ่ืน การเลอื กต้ังนั้นก็ปราศจากความหมาย ท่ีแท้จริงและมิได้ชี้แจง เจตนารมณข์ องประชาชนแตอ่ ย่างใด หลักการเลือกต้ังตามกาหนดระยะเวลา หมายถึง การจัดให้มีการเลือกตั้งตามที่กาหนด ระยะเวลา เช่น 3 ปี, 4 ปี หรือ 5 ปี ท้ังน้ี ให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้ปกครองว่าได้หรือไม่ ปฏิบัติไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนซ่ึงมีเงื่อนไขสาคัญในการพิจารณา ความชอบธรรมในการใช้อานาจของผู้ปกครอง และเป็นเงื่อนไขเพ่ือให้ประชาชนมีโอกาสสามารถ เปล่ยี นแปลงตวั ผูป้ กครองไดด้ ้วยสันติวิธี ผูป้ กครองท่ีใชอ้ านาจโดยชอบธรรมในระหว่างท่ีอยู่ในอานาจ เม่ือครบวาระแล้วกม็ ีโอกาสทจ่ี ะได้รบั ความไวว้ างใจจากประชาชน และได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ 2. การเลือกต้ังท่ียุติธรรม หมายถึง การเลือกต้ังที่บริสุทธิ์เป็นไปตามตัวบทกฎหมายและ เจตนารมณ์ของกฎหมาย ปราศจากครอบงาและเล่ห์ทางการเมือง ปราศจากการใช้อิทธิพลทาง การเมือง ทางเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคม เช่น นักการเมืองหรือข้าราชการท่ีอยู่ในตาแหน่งใช้ อานาจหน้าท่ีของตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งการสนับสนุน เพ่ือใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ของราชการในการหา เสยี งหรอื ผทู้ ีม่ ีกาลังทางเศรษฐกจิ เข้มแขง็ กว่าใช้เงินทองทุ่มเทหาเสียง หรือซื้อคะแนนเสียงเพ่ือตนเอง หรือสนับสนุนผู้สมัครท่ีตนสนับสนุน นอกจากน้ีการต่อสู้แข่งขันของผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือพรรค การเมืองจะต้องเป็นไปอย่างอิสระเสรีภายในขอบเขตกฎหมาย และเจตนารมณ์ของกฎหมายท่ีมี พื้นฐานอยบู่ นความยุติธรรมและความเสมอภาค 3. หลักการให้สิทธิเลือกตั้งเป็นการทั่วไป หมายถึง การให้สิทธิเลือกต้ังแก่ประชาชน โดยท่ัวไป โดยไม่มีการกีดกันหรือจากัดสิทธิบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นพิเศษ เนื่องมาจากเพศ ผิว สถานภาพทางเศรษฐกจิ สังคม เง่อื นไขขอ้ น้ีกเ็ นอ่ื งมาจากเหตุผลที่ว่า เม่ืออานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนย่อมทรงไว้ซ่ึงสิทธิในการเลือกตั้งตัวแทนเพ่ือทาหน้าที่แทนตนตราบใดท่ีประชาชนผู้นั้น ไม่ขาดคุณสมบัติ การมีคุณสมบัติในการมีสิทธิเลือกต้ังนั้น มักจะคานึงถึงคุณสมบัติที่สาคัญ 6 ประการ อนั ไดแ้ ก่ 3.1 อายุ ประเทศต่าง ๆ ต้องกาหนดขั้นต่าของการมีสิทธิเลือกต้ังไว้ การกาหนดอายุขั้นต่า ก็ด้วยเหตุผลท่ีว่ากาหนดให้ผู้ท่ีมีอายุต่ากว่าท่ีกาหนดใช้สิทธิเลือกตั้งก็อาจจะขาดความรู้ ความเข้าใจ
10 และประสบการณท์ างการเมอื ง ซงึ่ จะทาให้การวนิ จิ ฉยั ขาดเหตผุ ล บางกรณีก็อ้างผู้ท่ีอายุต่ากว่าเกณฑ์ ยังไม่ได้เสียภาษใี ห้แก่รฐั บาลก็ยงั ไม่ควรมสี ิทธทิ างการเมือง 3.2 ความเป็นพลเมือง หมายถึง การเป็นสมาชิกในรัฐหน่ึงๆ และการเป็นสมาชิกนั้น นามาซงึ่ สทิ ธิและหน้าที่ทางการเมือง ในเกือบทุกประเทศจะสงวนสิทธิทางการเมืองของตนซ่ึงเป็นคน ในบังคับหรือมีสัญชาติของตน ผู้ท่ีได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาติจะได้รับสิทธิดังกล่าวต่อเม่ือต้องมี คุณสมบตั อิ ยา่ งอื่นประกอบด้วย เช่น ระยะเวลา พืน้ ความรู้ การเป็นทหารหรือข้าราชการ เป็นตน้ 3.3 การรู้หนังสือการกาหนดเง่ือนไขพื้นความรู้ข้ันต่าเกิดจากเหตุผลท่ีว่า ผู้ท่ีอ่านออก เขียนได้เท่าน้ันที่จะรู้เรื่องการบ้านการเมือง และสามารถให้สิทธิของตนได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขนี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันท่ัวไป เพราะการที่จะรู้หรือไม่รู้หนังสือนั้นข้ึนอยู่กับการบริการของรัฐ ให้แก่ประชาชนและประชาชนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ก็ไม่ใช่ความผิดของประชาชน รัฐจะอ้าง เหตนุ ี้จากัดสิทธปิ ระชาชนไวไ้ มเ่ ปน็ การสมควรยิ่ง 3.4 คุณสมบัติเกี่ยวกับความประพฤติ หมายถึง การจากัดสิทธิบุคคลบางประเภทที่มี ความประพฤติท่ีเส่ือมเสียร้ายแรงจนถูกศาลตัดสินลงโทษ หรือตัดสินในการเลือกต้ัง เช่น ถูกลงโทษ ทางคดีมาด้วยความผิดร้ายแรง การถูกลงโทษให้เป็นบุคคลล้มละลายและถูกลงโทษในความรับผิด เกย่ี วกับการเลอื กต้ัง เป็นต้น 3.5 คณุ สมบตั เิ กี่ยวกบั ความสมบรู ณ์ทางด้านจิตใจ ในทุกสังคมย่อมจะมีบุคคลที่มีความ เจ็บป่วยทางด้านจิตใจซึ่งทาให้บุคคลประเภทนี้ขาดความสานึกที่ถูกต้อง เช่น บุคคลวิกลจริต จิตไม่สมประกอบ ถ้าหากจะให้มีสิทธิเลือกต้ัง การตัดสินใจของพวกเขาก็จะเป็นเจตนารมณ์ท่ีขาด ความสมบรู ณ์ ประเทศตา่ งๆ จงึ ไม่ใหส้ ิทธิเลอื กตงั้ แก่บุคคลประเภทน้ี 3.6 คุณสมบัติเกี่ยวกับสภาพทางสังคมบางประการ บุคคลบางประเภทถูกจากัดสิทธิ เน่ืองจากสถานภาพทางสังคม เช่น พวกนักพรต นักบวช ซ่ึงโดยบทบาทหน้าที่ในสังคมน้ันบุคคล ประเภทนสี้ งั คมถอื วา่ ไม่ควรมสี ่วนร่วมทางการเมอื งโดยการเลือกตั้ง เน่ืองจากจะไม่มีผลต่อสถานภาพ ของเขาเอง และอาจนามาซงึ่ มลทินของสถาบันทบี่ ุคคลประเภทนส้ี ังกดั อยู่ 4. หลักความเสมอภาค หมายถงึ การมีสทิ ธิในการเลือกตงั้ ของประชาชนมีความสาคัญและ ไดร้ บั การยอมรบั โดยเท่าเทยี มกัน ไม่ว่าผู้เลือกตั้งนั้นจะมีสถานภาพทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง อยา่ งใด หลักการท่ีใช้เป็นมาตรการในการให้ความเสมอภาคก็คือ การให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกต้ังคน หนึ่ง ๆ มีคะแนนเสียงเพียงหน่ึงคะแนน (One man, One vote) และคะแนนเสียงทุกคะแนนมี ความสาคญั เทา่ เทยี มกัน 5. หลักการลงคะแนนลับ หมายถึง การออกเสียงเลือกตั้งของประชาชนเป็นเอกสิทธิของผู้ เลือกตั้งโดยเด็ดขาด เอกสิทธิน้ีจะได้รับการปกป้องพิทักษ์ก็โดยการออกเสียงลับโดยผู้ออกเสียง ไม่จาเป็นต้องบอกผู้อื่นว่าตนเลือกใคร ท้ังนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยบริสุทธ์ิ ปราศจากการข่มขู่
11 บีบค้นั จากอทิ ธิพลใดๆ ที่จะมีผลกระทบต่อเสรีภาพของผู้เลือกตั้ง (กรมการปกครอง, 2535) ได้ระบุว่า ความสาคัญของการเลือกต้ังเป็นกิจกรรมทางการเมืองอย่างหน่ึง ในระบบการปกครองที่เช่ือว่าอานาจ อธิปไตยหรืออานาจสูงสุดในการปกครองเป็นของปวงชน ซ่ึงคิดค้นข้ึนแทนระบบการปกครองที่ถือคติ อานาจอธปิ ไตยเป็นของบคุ คลใดบุคคลเดยี วหรือคณะบุคคล โดยอ้างลัทธิเทวสิทธิ หรืออภิอานาจหรือ คว ามมีคุณส มบัติพิเศษบางปร ะการ เป็น เครื่ องมือให้ คว ามช อบธ ร รมใน อาน าจ ปกคร องของตน การเลือกต้ังเป็นกระบวนการที่เลือกสรรรัฐบาลที่มาทาการปกครองและสร้างความชอบธรรมให้แก่ อานาจปกครองผู้ปกครองให้เป็นไปโดยสันติ การเลือกตั้ง ในประเทศท่ีมีพรรคการเมืองหรือกลุ่ม การเมอื งมากกวา่ หนึง่ กลมุ่ มีบทบาทสาคัญในการยตุ ิขอ้ ขัดแย้ง ในระบบการเมือง โดยเคารพและปฏิบัติ ตามเกณฑ์กติกา และธรรมเนียมปฏิบัติที่ใช้บังคับในระบบการเมืองน้ันๆ การเลือกต้ังท่ีเป็นไปตาม กฎเกณฑ์และกติกาดังกล่าว จะทาให้คู่ต่อสู้ทางการเมืองยอมรับผลของการตัดสินของผู้เลือกต้ัง โดยฝ่ายที่ชนะจะได้รับมอบอานาจจากประชาชนให้ทาการปกครองในช่วงระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ ฝ่ายแพ้ก็จะหาทางเอาชนะในคราวต่อไปตามวิถีทางที่กฎเกณฑ์และกติกาได้กาหนดไว้ วิธีการเช่นนี้ ช่วยอานวยให้การสืบต่ออานาจการเมืองการปกครองเป็นไปอย่าง สันติวิธี ไม่ต้องอาศัยวิธีการท่ีผิด กฎหมายและไม่ชอบธรรม เช่น การปฏิวัติรัฐประหาร เป็นกลไกในการสับเปล่ียนอานาจ ดังนั้น กระบวนการการเลือกต้ังภายใต้เง่ือนไขที่กล่าวมาน้ีจะแตกต่างกันไป จากการเลือกต้ังในประเทศที่มี พรรคการเมอื งทีม่ อี านาจและอิทธิพลมากทีส่ ุดเพยี งพรรคเดยี ว หรือกลมุ่ คณะบุคคลเพียงคณะเดียวซ่ึง ใชก้ ารเลอื กตงั้ เปน็ เพียงข้ออ้างในการสร้างความชอบธรรม ในอานาจการปกครองเท่านั้น มิใช่กลไกเพ่ือ ขจัดความขัดแยง้ หรือเพื่อตัดสนิ การสืบต่ออานาจแตอ่ ย่างใด นอกจากนั้น กระบวนการเลือกต้ังยังเป็นกลไกสาคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ของประชาชน การไปใช้สิทธิเลือกต้ังทาให้บุคคลเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมประเทศ มีความเชื่อม่ันและศรัทธาในความสามารถของตนเองและเพื่อมนุษย์ว่าสามารถตัดสินใจเลือกรัฐบาล เลือกรูปแบบการปกครอง วิธีดาเนินการปกครอง ระบบเศรษฐกิจเพ่ือประโยชน์ของตนเองได้ การ เลือกต้ังจะนาไปสู่ความพยายามของประชาชนที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ และการกระทา ของ รัฐบาล ปัจจยั ตา่ งๆเหล่าน้ี จะช่วยให้มีบูรณาการภายในระบบการเมืองของชาติ และระดมประชาชน เข้ารว่ มในระบบการเมืองระบอบประชาธิปไตยมากขน้ึ การแสดงออกซ่ึงการเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตยและการยอมรับหรือไม่ยอมรับความชอบธรรม ในสิทธิและอานาจของผู้ปกครอง ประชาชนอาจแสดงออกได้หลายวิธีในระบบการเมืองการปกครอง ปัจจุบนั ทางหนึง่ ทปี่ ระชาชนแสดงออกโดยการเลือกตั้ง ด้วยเหตุน้ีผู้ปกครองในทุกระบบการเมือง จึง จดั ให้มกี ารเลอื กตั้งเพือ่ แสวงหาความชอบธรรมในอานาจปกครองให้แกต่ น โดยสรปุ การเลอื กต้งั มคี วามสาคัญดังต่อไปน้ี 1. เป็นการเลอื กผู้ปกครองหรอื รฐั บาลท่จี ะมาทาการปกครอง
12 2. สร้างความชอบธรรมทางการเมอื งใหแ้ กผ่ ปู้ กครอง 3. เปน็ กลไกเช่ือมโยงความตอ้ งการของประชาชนเขา้ กบั นโยบายสาธารณะ 4. ลดความตึงเครียดและความขัดแยง้ ทางการเมอื งและสงั คม 5. ทาใหเ้ กิดการบรู ณาการทางการเมอื ง 2.1.2 ปัจจัยทมี่ ผี ลต่อพฤติกรรมการเลอื กต้ัง สาหรับประเทศท่ีมีการพัฒนามุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตยและเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วม ทางการเมืองแล้วย่อมคาดหวังที่จะให้ประชาชนมีความสนใจในทางการเมืองและแสดงออกทาง การเมืองผ่านกระบวนการเลือกต้ัง (Cord, 1985) การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกต้ังของ ประชาชนจึงมุ่งที่จะตอบคาถาม เปน็ ตน้ ว่า ทาไมประชาชนจึงไปลงคะแนนเลือกต้ัง และการไปลงคะแนน น้ันประชาชนพจิ ารณาเลอื กตง้ั อย่างไร จากการสารวจงานการศึกษาวิจัยเก่ียวกับ “พฤติกรรมการเลือกต้ัง” พบว่า ผู้ศึกษาได้ให้ ความสนใจปัจจยั ทีม่ ีอิทธิพลต่อพฤตกิ รรมการเลือกตัง้ โดยอาจแยกเปน็ 3 ปัจจัย กล่าวคอื 1. ภูมหิ ลงั ทางเศรษฐกิจและสังคม 2. การรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เช่น การเสนอข่าวผ่านส่ือต่างๆ การจัดทาและนาเสนอแบบ สารวจความคดิ เหน็ (Poll) 3. อิทธิพลจากการโน้นน้าวชักจูงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การใช้อิทธิพลผู้นาชุมชน การใช้ เงินและสิ่งจูงใจ 2.1.3 พฤตกิ รรมการเลือกตง้ั กับสภาพเศรษฐกจิ และสังคม รายงานวิจัยจานวนมากในต่างประเทศเห็นว่าตัวแปรทางด้านสถานะทางเศรษฐกิจและ สังคม เช่น เพศ เชื้อชาติ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ การนับถือศาสนา และที่อยู่อาศัย เป็นต้น มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชน เช่น งานของ Verba, Nie and Kim (1978) Lipset (1997) และ Diamond (1997) เปน็ ต้น และสาหรับงานวจิ ัยซึ่งกระทาในประเทศไทย ท่ีมุ่งพิจารณาปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมว่ามีความเก่ียวข้องกับพฤติกรรมการเลือกตั้งข อง ประชาชนมีอยจู่ านวนมากพอสมควร อาทิ ธนัน อนุมานราชธน จันทนา สุทธิจารี และไพรัช ตระการศิรินนท์ (2543) ทาการวิจัย เรื่อง “ทัศนคติของประชาชนต่อการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกจังหวัดเชียงใหม่ 4 มีนาคม 2543” ซึ่งเป็น การศึกษาเกี่ยวกับทัศนคติของประชาชนต่อผลการเลือกต้ังวุฒิสภาคร้ังแรกต ามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เม่ือวันที่ 4 มีนาคม 2543 โดยทาการศึกษาจากประชาชน ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจากทุกอาเภอ ของจังหวัดเชียงใหม่ อาเภอละ 20 ตัวอย่าง จานวน 22 อาเภอ รวมจานวนตวั อย่างท่ีส้นิ 440 ตัวอย่าง ด้วยแบบสอบถามปลายเปิด โดยใช้วีการสุ่มตัวอย่างแบบตาม สะดวก (Convenience Sampling) พบว่า ผู้ตอบเพศชาย อายุระหว่าง 31-44 ปี การศึกษาระดับ
13 ปรญิ ญาตรขี ้นึ ไป ประกอบอาชีพรับราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และมีรายได้สูงกว่า 7,000 บาทต่อเดือน เป็นผู้มีความรู้ดีท่ีสุด ในขณะที่ผู้ตอบที่เป็นเพศหญิง อายุไม่เกิน 30 ปี การศึกษาระดับประถมศึกษา ประกอบอาชีพกรรมกร / เกษตรกร / รับจ้างท่ัวไป และมีรายได้ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน เป็นผู้มี ความรนู้ อ้ ยทส่ี ุด ปิยะนุช เงินคล้าย และคณะ (2539) ทาการวิจัยเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชน : ศึกษาเปรียบเทียบประชาชนในเขตเมืองกับประชาชนในเขตชนบท” ซึ่งเป็นการศึกษา การมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของประชาชนในเขตเมืองและเขตชนบท รวมทั้งทัศนคติของประชาชนในเขตเมืองและเขตชนบท ผลการวิจัยพบว่า การมีส่วนร่วมของประชาชน จะแตกต่างกันเมื่อภูมิหลังท่ีแตกต่างกันยกเว้นตัวแปรด้านเขตที่อยู่อาศัย ระดับรายได้ และระดับ การศึกษาท่ีแตกต่างกัน ไม่ทาให้การมีส่วนร่วมทางการเมืองแตกต่างกัน ส่วนทัศนคติ ต่อการปฏิบัติ หน้าท่ีของสมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร พบว่าความแตกต่างด้านเพศเท่านั้นที่ทาให้ความคิดเห็นแตกต่างกัน ตัวแปรอื่นๆ ได้แก่ ระดับอายุ ระดับรายได้ อาชีพ และการศึกษาไม่ทาให้ ความคิดเห็นแตกต่างกัน และยังพบว่าความคิดเห็นของประชาชนต่อบทบาทหน้าท่ีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีคาดหวังและที่ ปฏิบัติจริง มีความแตกต่างกันเฉพาะบทบาทหน้าที่ในการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล การเป็นฝ่ายค้านเพื่อ ตรวจสอบรัฐบาล การให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างประเทศ/ประกาศสงคราม การแก้ไขปัญหา ท้องถนิ่ / การดแู ลทกุ ขส์ ขุ ของประชาชนและการพฒั นาความเจรญิ ในทอ้ งถ่นิ กิตติพงษ์ วงษ์สามี (2536) ทาการศึกษาเร่ือง “ผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นจากการใช้สิทธิ ออกเสียงเลือกต้ังของบุคคลอายุ 18-19 ปี” ซึ่งมุ่งที่จะศึกษาถึงผลประทบที่น่าจะเกิดข้ึนจากการใช้สิทธิ ออกเสียงเลือกตง้ั ของบคุ คลอายุ 18-19 ปี ซึง่ มจี านวนท้ังสิ้นประมาณ 2.5 ล้านคน โดยศึกษาทัศนคติ ทางการเมือง ทัศนคติทางการเลือกต้ัง ทัศนคติการออกเสียงเลือกตั้ง และทัศนคติต่อแบบแผนการ ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของเยาวชนเหล่าน้ี และมีสมมติฐานว่า เยาวชนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน จะมี ทศั นคตทิ างการเมอื งทีแ่ ตกต่างกัน และมแี นวโนม้ ทจี่ ะมีพฤตกิ รรมทางการเมืองที่เกี่ยวกับการเลือกต้ัง ท่ีแตกต่างกันด้วยผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีทัศนคติค่อนข้างดีต่อการเมืองและการ เลือกต้ัง ทัศนคติทางการเมืองกับการเลือกตั้งของเยาวชนเหล่านี้ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสาคัญ กลา่ วคอื ผู้ที่มีทัศนคติทางการเมืองท่ีดีก็จะมีทัศนคติท่ีดีต่อการเลือกต้ังด้วย กลุ่มตัวอย่าง ที่มีภูมิหลัง ต่างกันมีทัศนคติทางการเมืองและการเลือกต้ังที่ไม่แตกต่างกัน ทัศนคติทางการเมือง ท่ีเก่ียวกับการ เลือกต้ังของกลุ่มตัวอย่าง ท่ีมีอายุ 18 ปี และ19 ปี ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญแต่อย่างใด กล่าวโดยท่ัวไปแล้วเยาวชนกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ แม้จะมีภูมิหลังแตกต่างกัน แต่ก็มีแนวโน้มแห่ง พฤติกรรมทางการเมอื งที่เกี่ยวกบั การเลอื กต้ังอย่างคล้ายคลึงกนั สมนึก พิพิธรังสี (2540) ทาการศึกษาเร่ือง “พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของ ประชาชนอายุ 18-19 ปี : ศึกษากรณีจังหวัดนครราชสีมา” ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ประชาชนอายุ
14 18-19 ปี ในจังหวัดนครราชสีมาส่วนใหญ่มีเหตุผลในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะต้องการ ไดผ้ สู้ มคั รทมี่ ีความรคู้ วามสามารถ สว่ นเหตุผลที่จะไมไ่ ปลงคะแนนเสยี งเลือกต้งั เพราะติดธุระมากที่สุด ส่วนใหญ่ไมเ่ หน็ ด้วยกบั การซ้ือเสยี ง ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจทางการเมืองสามารถตัดสินใจเลือก ผู้สมัครได้นานแล้ว เป็นผู้ตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง และมีเกณฑ์ในการลงคะแนนเสียงโดยนิยม ตวั บุคคลมากกวา่ พรรคการเมอื ง 2.1.4 พฤตกิ รรมการเลือกต้งั กับการรบั รขู้ ่าวสาร นอกจากปัจจยั ทางเศรษฐกิจและสังคมดังท่ีกล่าวไปแล้ว Alan R.Ball and B.Guy Peters (2000) กล่าวในงานวิจยั ของพวกเขาถงึ ความสาคญั ของการรบั รขู้ ้อมูลขา่ วสารผ่านส่ือกลางต่าง ๆ เช่น ครอบครัว สถานศึกษา ส่ือมวลชน องค์กรของรัฐ รวมท้ังตัวแทนของผู้สมัครและพรรคการเมืองว่ามีผล ต่อพฤติกรรมการเลือกต้ังของประชาชนอย่างมาก ซึ่งสอดคล้องกับการสารวจงานวิจัยในประเทศไทย พบวา่ มงี านวิจยั หลายชนิ้ ท่สี ามารถยืนยันขอ้ สรุปดังกลา่ ว อาทิ นฤพนธ์ เศรษฐสุวรรณ (2533) ทาการวิจัยเรื่อง “การรับรู้ข่าวสารและพฤติกรรมการไปใช้ สิทธิเลือกตั้ง : ศึกษากรณีการเลือกต้ังผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร วันท่ี 7 มกราคม พ.ศ. 2533” โดยการเก็บข้อมูลแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างท่ีมีถ่ินอาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงการเลือกต้ังและ ทาการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีทางสถิติ ได้รับผลการวิจัยที่น่าสมใจว่า ส่ือมวลชนที่ได้รับ ความเชื่อถือ มากที่สุดในการเผยแพร่ข่าวการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โทรทัศน์ และด้าน ความสัมพันธร์ ะหว่างการรับรู้ข่าวสารกับกิจกรรมการไปใช้สิทธิเลือกต้ังนั้น พบว่า ผู้ที่เปิดรับข่าวการ เลือกต้งั มากจะตดั สนิ ใจไดเ้ ร็วกวา่ ผทู้ ่เี ปิดรบั น้อย จิตติพล ผลพฤกษา (2536) ศึกษาเรื่อง “อิทธิพลของการรับรู้เหตุการณ์ทางการเมืองที่มี อิทธิพลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” เป็นการทาการศึกษาถึง อิทธพิ ลของการรับรู้เหตุการณ์ทางการเมืองต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยเลือกศึกษา เฉพาะกรณีการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่ีจังหวัดจันทบุรี เม่ือวันท่ี 13 กันยายน 2535 ซ่ึงเป็นการเลือกตั้งภายหลังการเกิดเหตุการณ์ไม่สงบทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2536 ผลการศึกษาพบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างส่วนมากมีระดับของการรับรู้เหตุการณ์ข่าวสารทางการเมืองค่อนข้างสูง กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพทางการเมืองความสัมพันธ์ระดับการรับรู้เหตุการณ์ข่าวสารทางการเมือง แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญ กลุ่มตัวอย่างส่วนมากรับรู้ข่าวสารจากส่ือมวลชนโดยให้ความเช่ือถือ แหล่งข่าวสารคือ “โทรทัศน์” มากที่สุด และติดตามเกือบทุกวัน กลุ่มตัวอย่างส่วนมากมีแบบแผน พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังคล้ายคลึงกัน การรับรู้ข่าวสารทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง มีอิทธิพลในระดับปานกลางถึงค่อนข้างมาก ต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่ไปเลือกตั้ง โดยความสานึกในหน้าที่และต้องการเสริมสร้างระบบประชาธิปไตยมากกว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงตัว ส.ส. หรือรัฐบาล เกณฑ์ตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงเลือกต้ังถือเอา
15 นโยบายหรือพรรคการเมืองและคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครรับเลือกตั้งและพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธปิ ัตยไ์ ด้รับความนยิ มและได้รับการลงคะแนนเสยี งให้มากทสี่ ดุ จินตรา พรหมชุติมา (2541) ได้ทาการศึกษางานการวิจัยเร่ือง “พฤติกรรมการเลือกตั้งของ ประชาชนในชุมชนแออัด”ซ่ึงเป็นการศึกษาถึงบทบาทการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองพฤติกรรมของ ประชาชนในการออกเสียงเลือกต้ังเกี่ยวกับแรงจูงใจในการใช้สิทธิเลือกต้ัง, พฤติกรรมของประชาชน ในชุมชนแออัดต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบพรรคการเมืองและเพื่อวิเคราะห์ ตรวจสอบปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมการตัดสินใจในการออกเสียงเลือกต้ัง ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้ ข่าวสารด้านการเมืองของประชาชนในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานคร รับรู้จากส่ือโทรทัศน์ สาหรับ ความสนใจทางการเมืองน้ันจะให้ความสนใจไม่มากนัก แต่มีความรู้ด้านการเมืองมากทั้งนี้อาจเป็น เพราะประชาชนในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครได้รับอิทธิพลจากส่ือ โดยเฉพาะโทรทัศน์ซ่ึงส่ือ เหล่านี้ย่อมมีส่วนช่วยให้ประชาชนในชุมชนแออัดได้รับความรู้ทางด้านการเมืองเป็นอย่างดี 2) ทัศนคติ ความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชนในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครมีต่อการเลือกต้ัง ประชาชนในชุมชนแออัดมีความเห็นว่าเป็นสิทธิมากกว่าเป็นหน้าท่ีสาหรับ ทัศนคติความเห็นที่มีต่อ นักการเมืองเป็นไปในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก โดยเห็นว่าการเลือกตั้งมีการซื้อสิทธิขายเสียงกันมาก 3) การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครจะมีบทบาท แค่กิจกรรมเฝ้ามองดูมากกว่าจะมีบทบาทในกิจกรรมเชื่อมโยงหรือเป็นกิจกรรมเข้าสู่การเมือง 4) ปัจจัยที่เป็นแรงจูงในท่ีทาให้ประชาชนในชุมชนแออัดในกรุงเทพมหานครไปเลือกต้ังเพราะอยาก ได้ผู้แทนดี ดังนั้น คุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงเป็นปัจจัยท่ีทาให้ได้รับการเลือกตั้งด้วย 5) เม่ือ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีข้ึนไปกับผู้ท่ีมีการศึกษาต่ากว่า ระดับปริญญาตรีจะพบว่าผู้ท่ีมีการศึกษาระดับปริญญาตรีข้ึนไป จะมีความสนใจทางด้านการเมืองมี ทัศนคตคิ วามคดิ เห็นในทางการเมอื ง มบี ทบาทการเข้ามีสว่ นร่วมทางการเมืองและมีพฤติกรรม ในการ ออกเสียงเลอื กตง้ั สูงกว่าผูท้ ่มี กี ารศกึ ษาระดับต่ากวา่ ปรญิ ญาตรี เอกพิธา ถาวรกุล (2536) ไดศ้ กึ ษาเรอื่ ง “อิทธิพลของการรับรู้ผลการสารวจประชามติที่มี ผลต่อการเปลี่ยนทัศนคติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎร : ศึกษาเฉพาะกรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร” ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ลักษณะ ทางประชากร ได้แก่ เพศ และอายุ ไม่มีความสัมพันธ์กันระดับการรับรู้ผลการสารวจประชามติ ลักษณะทางประชากร ได้แก่ ระดับการศึกษา และอาชีพมีความสัมพันธ์กับระดับการรับรู้ผลการ สารวจประชามติ โดยผู้ท่ีมีระดับการศึกษาสูง จะมีระดับการรับรู้ผลการสารวจประชามติแตกต่างกัน ไปตามกลุ่มอาชีพ โดยผู้มีอาชีพรับราชการหรือพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นกลุ่มอาชีพที่มีความถี่ ในการ รับรู้ผลการสารวจประชามติและมีความสนใจที่จะรับรู้ผลการสารวจประชามติสูงท่ีสุด อาชีพค้าขาย เป็นกลุ่มอาชีพที่มีความเชื่อถือผลการสารวจประชามติสูงท่ีสุด นอกจากนี้ยังพบว่า การรับรู้ การสารวจ
16 ประชามติท่มี ลี กั ษณะเป็นการพยากรณห์ รือการทานายผลการเลือกต้งั ในประเด็นต่างๆ ไม่ได้มีอิทธิพล ทาให้ผู้รับรู้ผลการสารวจประชามติดังกล่าวเปล่ียนทัศนคติของตนในการใช้สิทธิลงคะแนนเสียง เลือกตัง้ สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรแตอ่ ยา่ งไร เอกกฤษณ์ แจง้ แสง (2540) ทาการศึกษาเร่ือง “พฤติกรรมการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ซึ่งเป็นการศึกษาพฤติกรรมการไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยการ เปรียบเทียบระหว่างการเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการเลือกตั้งผู้ว่า ราชการ กรุงเทพมหานครว่ามีความแตกต่างกันเพียงใด ผลการศึกษาวิจัยพบว่า พฤติกรรมในการเลือกต้ังท้ังสอง ระดับ ในเรื่องเพศ อายุ การศึกษา ความเข้มข้นในการหาเสียง การติดป้ายคาขวัญสโลแกนรูปแปลก ใหม่ ประชาชนเขตห้วยขวางส่วนใหญ่มีความเห็นแตกต่างกัน สาหรับในเร่ืองที่มีความคิดเห็นตรงกัน คือ อาชีพ รายได้ เหตุผลการตัดสินใจ ความสนิทสนม ความพอใจ การวัดมติมหาชน การสื่อสาร นอกจากน้ียังมีความเห็นว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีการซ้ือเสียงมากกว่าการเลือกต้ัง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแต่มีความเห็นว่าผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมีการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้รวดเร็วกวา่ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร โดยสรุปจากการสารวจวรรณกรรมในด้านการรับรขู้ ่าวสารทางการเมืองท่ีเกี่ยวข้องกับการ เลือกต้ังน้ัน ประชาชนได้รับทางส่ือโทรทัศน์มากที่สุด เน่ืองจากเป็นสิ่งท่ีแพร่หลาย และยังเป็นส่ือท่ี ประชาชนใหค้ วามเช่ือถือมากที่สดุ ด้วย เน่ืองจากมีท้ังภาพและเสียงประกอบ ส่วนการใช้วิธีสารวจน้ัน ถึงแม้ว่ามีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่มีผู้วิจัยบางท่านพบว่าไม่ได้ทาให้ประชาชน เปลี่ยนทัศนคติ อย่างไรก็ตาม อาจสรุปในเบ้ืองต้นได้ว่า การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นปัจจัยสาคัญ อนั หนึ่งท่มี อี ิทธพิ ลตอ่ ประชาชนในการพิจารณาตดั สนิ ใจลงคะแนนเสียงเลอื กตง้ั 2.1.5 อิทธิพลจากการโน้มนา้ วชกั จงู ดว้ ยวิธตี ่างๆ การเลือกตั้งเป็นพ้ืนฐานท่ีสาคัญของการปกครองในระบบประชาธิปไตย เนื่องจากเป็น กิจกรรมทางงการเมืองที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอานาจประชาธิปไตย ด้วยการไปออกเสียงเลือกต้ังผู้แทนของตน เพื่อเข้าไปทาหน้าที่ในรัฐสภาและรัฐบาล ดังน้ันความ มุ่งหวังประการสาคัญของการเลือกตั้งก็คือ ต้องการให้เป็นเคร่ืองสะท้อนความต้องการ ที่แท้จริงของ ประชาชนผ่านการเลือกผู้แทนหรือกลุ่มทางการเมืองหรือพรรคการเมืองท่ีมีอุดมการณ์หรือมีนโยบาย ที่สอดคล้องกับความต้องการของตน แต่จากประสบการณ์ท่ีพบในประเทศกาลังพัฒนาท่ัวไป กลับ พบว่าบอ่ ยครัง้ ที่ประชาชนมไิ ด้ไปลงคะแนนตามเจนจานงท่แี ท้จริงของประชาชน งานวิจัยของนักวิชาการต่างประเทศท่ีศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งโดยเฉพาะ ในประเทศกาลังพัฒนา เช่น Samuel P. Huntington and Joan M. Nelson (1977) ได้ศึกษาถึง พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะถูกชักจูงมากกว่าที่จะเป็นการตัดสินใจด้วยตนเอง และประชาชนทถี่ กู ชกั จงู ให้ไปลงคะแนนเสียงส่วนใหญอ่ าศัยอยใู่ นเขตชนบท มกี ารศึกษาน้อยหรืออาจ
17 กลา่ วโดยภาพรวมว่า เป็นบุคคลที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมต่า ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยการถูก ระดม (mobilized) เป็นสาคัญ หาใช่เพราะความสานึกของตนเองแต่อย่างใด โดยชนชั้นนาในชุมชนจะเป็น ผู้มีอิทธิพลสาคัญที่จะสามารถชักจูงบุคคลเหล่าน้ีให้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้นอกจากน้ีในส่วน ของงานวิจัยในประเทศไทยมีงานอยู่จานวนหนึ่งที่เปน็ การสนับสนุนข้อคน้ พบดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ พรศักด์ิ ผอ่ งแผว้ และสจุ ิต บุญบงการ (2527) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการลงคะแนน เลียงเลือกตั้งของไทย พบว่า คนไทยไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ังด้วยความสานึกว่าเป็นหน้าที่มากกว่า เพอื่ แสดงออกซึง่ ความตอ้ งการเปล่ยี นแปลงรัฐบาลหรือควบคุมรัฐบาลหรือเพื่อพอให้คนท่ีตนพอใจเข้า ไปทางาน คนไทยส่วนใหญ่ยังเห็นว่า ส.ส. มีหน้าที่หรือบทบาทเพียงเพื่อเป็นปากเสียงแทนตนเท่านั้น การไปเลือกต้ังจึงไม่ใช่เรื่องท่ีเกิดจากความรู้สึกว่าตนเองมีอิทธิพล มีอานาจ หรือมีประสิทธิภาพทาง การเมืองท่ีจะผลักดันให้เกิดการเปล่ียนแปลงในตัวรัฐบาล ในนโยบายของรัฐบาลหรือเพื่อให้ผู้ที่ตน สนับสนุนได้รับเลือกตั้งเข้าไปทางาน การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นเพียงเร่ืองของการปฏิบัติ หนา้ ทข่ี องพลเมือง ดงั นน้ั จงึ มีโอกาสท่ีจะถูกชักจูงไปลงคะแนนเสียงได้มากเป็นลักษณะของการมีส่วนร่วม ทางการเมอื งแบบถกู ระดม (mobilized participation) อันจะเห็นได้จากอัตราการไปลงคะแนนเสียง ของประชาชนในชนบทหรือต่างจงั หวดั ซงึ่ มสี ูงมากกว่าในกรุงเทพมหานคร นอกจากน้ี ข้อค้นพบจากรายงานวจิ ัยอีกหลายชน้ิ ยงั แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการเลือกตั้ง ของประชาชนไทยมีความสัมพันธ์กับมูลเหตุจูงใจในด้านต่าง ๆ เช่น จากการศึกษาของ ชาญศักด์ิ ถวิล (2534) เป็นการศึกษาถึง การซื้อขายคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยศึกษากรณีการเลือกต้ังท่ัวไปวันท่ี 27 กรกฎาคม 2539 ในเขตตาบลแซงบาดาล อาเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ พบว่า การหาเสียง กระทาได้ง่ายในชนบทยากจน กลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มผู้ที่รายได้ต่า ฯลฯ ท้ังน้ีเพราะกลุ่มประชากร เหล่านี้มักจะมีการศึกษาน้อยและมักจะขาดความสามารถและทรัพย์สินเงินทุนที่จะนาไปใช้ในการ ประกอบอาชีพให้มีรายได้อย่างเพียงพอกับการเล้ียงดูครอบครัว และดาเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพได้จึง เปน็ ช่องทางท่ีจะทาให้มีการซ้ือเสียงท้ังโดยตรงและโดยวิธีแอบแฝงต่าง ๆ ได้ง่าย เช่น การจัดหาหรือ สัญญาว่าจะจัดหาสาธารณูปโภคและสาธารณูปการให้กับชุมชน ช่วยหรือสัญญาว่าจะช่วยชุมชน ช่วยเหลือเป็นตัวกลางติดต่อกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับปัญหาของประชาชนช่วยเหลือแก้ปัญหา ความเดือดร้อนส่วนตวั ของผลู้ งคะแนนเสียงเลือกต้งั ตลอดจนการใชเ้ งินเพื่อซอื้ เสียงในรูปแบบตา่ งๆ 2.2 ปัญหาและอุปสรรคในการจัดการเลอื กตงั้ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถนิ่ ภรณ์รวี บุญพรหม (2552) ได้กล่าวถึง การเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบใหม่ ด้วยข้อจากดั บางประการ ด้วยระเบียบข้อกฎหมายมากมายอาจทาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องท้ังหลายในท้องถ่ิน เขา้ ใจไม่ตรงกันจึงทาใหเ้ กดิ ปญั หา อุปสรรค ท่ีทาให้คณะกรรมการเลือกต้ังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ เป็นไปตามเจตนารมณข์ องกฎหมายเลือกต้ังทอ้ งถิน่ แบบใหมไ่ ดเ้ ท่าที่ควร มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
18 2.2.1 ปัญหาของบุคลากร 1. คณะกรรมการการเลือกต้ังประจาจังหวัด ควรสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งประจา จังหวัดที่มีจิตวิญญาณในการทางานเพ่ือประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง และจัดต้ังศูนย์ฝึกอบรม พฒั นาบคุ ลากรทกุ ระดบั 2. คณะกรรมการการเลือกต้ังประจาองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ควรมีกระบวนการ คดั สรรเพ่อื ใหไ้ ด้คนดี โดยกระบานการนั้นควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย และการทางาน ควรมกี ารวางแผนทางานร่วมกัน 3. คณะกรรมการประจาหนว่ ยเลือกตง้ั 3.1 การแต่งตั้งและการสรรหาคณะกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้งไม่มีประสิทธิภาพ มขี ้อเสนอแนะดังนี้ 3.1.1 ควรเปดิ รบั สมคั รลงทะเบียนผมู้ ีความประสงค์ซ่ึงสามารถตรวจสอบลว่ งหน้าได้ 3.1.2 ประสานติดตอ่ ไวเ้ ปน็ การลว่ งหน้า 3.1.3 ห้ามมใิ ห้แตง่ ต้งั พนกั งาน หรอื ลกู จ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเว้นแต่ ได้รบั อนญุ าตจากคณะกรรมการการเลือกต้ังก่อน 3.2 การอบรมไมม่ ีประสิทธิภาพ มีข้อเสนอแนะดงั นี้ 3.2.1 คัดเลือกฝึกอบรมและให้ความรู้แก่วิทยากรท่ีมีความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งมคี วามเต็มใจในการปฏิบตั หิ น้าทอี่ ยา่ งตอ่ เน่อื ง 3.2.2 แบง่ กล่มุ อบรม กลุ่มละประมาณ 4-5 หนว่ ย หรอื เป็นตาบล 3.2.3 สถานที่อบรมควรอยไู่ มไ่ กลจากผู้เขา้ รับการอบรม สามารถเดินทางสะดวก 3.2.4 จัดทาเอกสารคู่มือช้ีแจงส่วนท่ีสาคัญและย้าเตือนผู้เข้ารับการอบรม ในขั้นตอนทม่ี ีการกระทาผดิ พลาดบ่อย ๆ 3.3 การรับมอบหีบบัตรเลือกตั้ง และบัตรเลือกต้ังรวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ท่ีใช้ในการ เลอื กตั้ง มีขอ้ เสนอแนะดงั น้ี 3.3.1 ควรมีผู้รับผิดชอบระดับสูงคอยกากับดูแลและตรวจติดตามการส่งมอบรับ มอบให้รัดกุมตามระบบและขั้นตอนท่ีกาหนดไว้อยา่ งเคร่งครดั 3.3.2 ควรให้คณะกรรมการประจาหนว่ ยเลือกตั้งผูต้ รวจตดิ ตามการส่งมอบรับมอบ ใหร้ ดั กมุ ตามระบบและขนั้ ตอนท่ีกาหนดไว้อย่างเคร่งครัด 3.3.3 ควรแยกการสง่ บัตรเลอื กต้ังต่างหากไม่ให้ปะปนกบั การรับเอกสารอย่างอืน่ 3.3.4 ควรให้เปดิ หบี บัตรเลือกตั้งก่อนปิดหีบลงคะแนน โดยให้ผู้มีสิทธิเลือกต้ังเป็น พยานถ้าไม่มีให้คณะกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ัง รักษาความปลอดภัยอาสาสมัครสังเกตการณ์ ผู้อานวยการเลือกต้ังประจาหนว่ ยเลือกตั้งลงนามเป็นพยานแทน
19 3.3.5 ก่อนเปิดลงคะแนนควรมอบหมายให้คณะกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ัง รกั ษาความปลอดภยั เป็นผทู้ าเครอ่ื งหมายแสดงขอบเขตบริเวณทีเ่ ลอื กต้ัง 3.3.6 ควรให้คณะกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ังฝ่ายควบคุมหีบบัตรเลือกต้ังคอย แจ้งเตอื นผู้มสี ทิ ธิเลอื กต้งั ทกุ ครัง้ ทกุ ตอน 3.3.7 ควรให้ประธานกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ังตรวจสอบและย้าเตือน คณะกรรมการประจาหนว่ ยเลือกตั้งผ้ตู รวจสอบบญั ชีรายช่ือ 3.3.8 เมื่อคณะกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ังผู้ตรวจสอบบัญชีรายช่ือ รับบัตร ประจาตวั ประชาชน หรือ บตั รอื่นทท่ี างราชการออกให้จากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งแล้ว ให้อ่านรายช่ือบน บัตรดังกล่าว ก่อนตรวจสอบบญั ชรี ายชอ่ื บนบตั รดังกลา่ วดว้ ยเสยี งดังฟงั ชัด 3.3.9 ควรมอบให้ประธานกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้งมีอานาจตัดสินใจและส่ัง การและพยายามให้มกี ารตรวจสอบภายในทุกระยะตลอดเวลา 3.3.10 ควรให้ประธานกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้งกล่าวดัง ๆ ว่า “ให้ผู้มา แสดงตนขอใชส้ ิทธิเลอื กต้ังตอ่ คณะกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้งภายในเวลา 15.00 น. แล้วยังไม่ได้ รับบัตรเลือกต้ัง และผู้อยู่ในท่ีเลือกตั้ง ให้รอรับบัตรเลือกตั้งจากคณะกรรมการประจาหน่วยเลือกตั้ง เพือ่ ทาการลงคะแนนไดจ้ นเสร็จ” เมื่อมกี รณีดังกล่าว 3.3.11 ก่อนการจ่ายบัตรเลือกตั้งให้แก่ผู้มาใช้สิทธิเลือกต้ังทุกคร้ังทุกคน คณะกรรมการประจาหน่วยเลอื กต้ังควรต้องตรวจดวู า่ บคุ คลนน้ั มีช่ืออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกต้ัง หรือไม่ ทกุ ครั้งและกรณดี ังกล่าวให้ดาเนินการเพิ่มช่ือก่อนและให้ผู้ใช้สิทธิลงลายมือช่ือในบัญชีรายชื่อ ผูม้ ีสิทธเิ ลอื กต้ังด้วย 3.3.12 ก่อนปิดการลงคะแนน คณะกรรมการประจาหน่วยเลือกต้ังควรแบ่งงาน มอบหมายภารกิจในส่วนน้ีให้ชัดเจนและบันทึกไว้ในสมุดรายงานเหตุการณ์โดยเฉพาะเวลาออก เดนิ ทางไปส่งหบี บตั รเลือกตงั้ 3.3.13 ควรมอบผู้อานวยการเลือกต้ังประจาหน่วยเลือกต้ังคอยแนะนา เตือน คณะกรรมการประจาหนว่ ยเลอื กตัง้ และชว่ ยเหลือทาลายบัตรเลือกตัง้ ด้วยตนเอง 4. คณะกรรมการนบั คะแนนเลอื กตัง้ 4.1 ปัญหาการแต่งตั้งและการสรรหาคณะกรรมการนับคะแนนเลือกต้ังไม่มี ประสทิ ธภิ าพ มขี ้อเสนอแนะดังน้ี 4.1.1 ควรเปิดรับสมัครไว้ล่วงหน้า หรือลงทะเบียนผู้ประสงค์เป็นคณะกรรมการ ประจาหนว่ ยเลอื กตั้งซ่งึ สามารถตรวจสอบได้ลว่ งหน้า 4.1.2 ควรประสานก่อนการแต่งตั้ง และขอหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกรณีเร่งด่วน (ของคนใกล้ชิดได้)
20 4.1.3 ไม่ควรแตง่ ตงั้ พนักงานสว่ นทอ้ งถ่นิ 4.1.4 ในการอบรมควรช้ีแจงให้เห็นถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งบท กาหนดโทษ (ถ้ามี) หรอื แตง่ ต้งั คณะกรรมการนับคะแนนเลือกตั้งสารองไว้ 4.1.5 ควรให้ประธานกรรมการนับคะแนนเลือกตั้งประชุมชักซ้อมข้ันตอนการ ปฏิบัติ ณ สถานทน่ี ับคะแนน ก่อนปฏิบัตงิ านจรงิ ของคณะกรรมการนับคะแนนเลือกตั้งแตล่ ะฝ่าย 4.2 การอบรมไมม่ ปี ระสิทธิภาพ มีข้อเสนอแนะ ดงั นี้ 4.2.1 ควรหาวิทยากรทม่ี ีประสบการณ์และให้ความรูก้ ารเลือกตงั้ อยา่ งตอ่ เน่ือง 4.2.2 ควรแยกกลุ่มเป็นฝ่ายๆ 4.2.3 ควรอยศู่ ูนยก์ ลางผูเ้ ขา้ อบรมและสามารถเดินทางสะดวก 4.2.4 ควรจัดทาเอกสารข้อสังเกตและมีการสาธิตการปฏิบัติ ณ สถานท่ีนับ คะแนนจริง 4.2.5 ควรให้มีการสาธิตการวินิจฉัยบัตรเลือกตั้งและควรแต่งตั้งจากผู้มีวุฒิภาวะ พอสมควรและนา่ เชอื่ ถอื 4.3 การรับมอบและการตรวจรับหีบบัตรเลือกต้ัง บัตรเลือกตั้งและการวินิจฉัยบัตร เลอื กต้ังไมเ่ ปน็ ไปตามคู่มือและระเบียบกฎหมายมขี ้อเสนอแนะ ดงั น้ี 4.3.1 ควรจัดทาเอกสารที่เก่ียวข้องไว้ล่วงหน้าเพื่อกรอกรายการตัวเลขที่ถูกต้อง เทา่ น้นั ซึง่ ไดร้ ับทราบข้นั ตอนการปฏบิ ัติงานทง้ั ระบบดว้ ย 4.3.2 ควรจดั ทาบญั ชคี มุ เอกสารทุกชนิด บัตรเลือกตั้งในทุกหีบบัตรเลือกต้ังทุกถุง และประสานขอใช้สถานทรี่ าชการ เชน่ โรงพกั ไวเ้ ป็นการล่วงหน้า 4.3.3 ควรจดั ทาบตั รคิวของทุกหนว่ ยเลือกตั้ง 2.2.2 ปัญหาท่เี กดิ จากผูส้ มัครรับเลอื กตัง้ ในส่วนปัญหาที่เกยี่ วขอ้ งกับผ้สู มัครรับเลือกตง้ั และหัวคะแนนในความพยายามเอาชนะการ เลือกต้ังด้วยวิธีการทุจริตทุกรูปแบบ ผู้สมัครรับเลือกต้ังส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีการหาเสียงด้วยการแนะนา ตวั เองหรอื การแถลงนโยบายของตนให้ประชาชนทราบแตใ่ ชว้ ธิ กี ารตา่ ง ๆ ต่อไปนค้ี ือ 1. มีการใช้อิทธิพลของผู้สมัครรับเลือกต้ัง และหัวคะแนนแบบ “ขายตรง”ช่วยในการหา เสยี ง ซ่งึ หัวคะแนนยงั ไมม่ ีความเข้าใจ และขาดความรู้ในระบบการเลือกต้ังแบบใหม่ มีการบังคับชาวบ้าน ใหเ้ ลือกบุคคลตามทีห่ วั คะแนนชี้นา หัวคะแนนให้เงนิ เป็นระยะ ครั้งละไมม่ ากสามารถตรึงคนได้ 2. จากข้อมูลการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยในการให้ใบเหลือง ใบแดง ของ คณะกรรมการการเลือกตั้งปรากฏว่า การเลือกตั้งท้องถ่ินบางแห่งยังมีการซื้อเสียงแจกของ ด้วย วิธีการเล่ียงกฎหมาย และวิธีต่างๆ เช่นการว่าจ้างมีการให้ค่าตอบแทนแก่ผู้มาฟังการปราศรัย นอกจากนีย้ งั มีวธิ กี ารอืน่ ๆ เชน่ การจัดหายานพาหนะให้ มกี ารจ้างติดโปสเตอร์หาเสียงด้วยค่าแรงสูง
21 และให้สัญญากับคนจานวนมากว่าจะใหส้ ่ิงของหรือส่ิงอ่ืนที่ต้องการกับผู้นาชุมชนมีการให้ค่าตอบแทน ในรูปของเบี้ยประชุมแทนการแจกเงินโดยตรง มีการจัดเลี้ยงเป็นกลุ่มย่อย หรือแอบแฝงอยู่ตาม ท้องถ่ินต่าง ๆ มีการหาเสียงตามงานบวช งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหม่ มีการเล้ียงอาหารเคร่ืองดื่ม ตามร้านน้าชา การให้ทาสัญญากู้ยืม ซ่ึงหากไม่เลือกถูกฟ้อง แต่ถ้าเลือกสามารถมารับเงินเพิ่มได้ นอกจากนย้ี งั มีพฤติกรรมทผี่ ิดกฎหมายเลอื กตงั้ อื่น ๆ 1. มีการนานโยบายทเี่ กินกวา่ งบประมาณของท้องถิ่นนนั้ ๆ 2. มีการซอ้ื ตัวผ้สู มัครรับเลอื กตง้ั มีการจ้างผู้สมัครรับเลือกต้ังและกองเชียร์ 3. มีการใช้มือปืนของหัวคะแนน หรือ ผู้สนับสนุน โดยเฉพาะผู้สมัครรับเลือกต้ังที่มี ตาแหนง่ ทางการเมอื ง 4. มีการซ้ือ ทาลายป้ายหาเสยี งของคแู่ ข่งขันมีการทาลายคู่ต่อสู้ คู่แข่งทุกรูปแบบ มีการ หาเสียงโดยการปราศรัยท่ีทาใช้คาพูดโจมตี ใส่ร้าย นาจุดบกพร่องผู้อ่ืนมาโจมตี มีการหาเสียงด่าฝ่าย ตรงข้าม ไม่สร้างสรรค์ รวมทั้งยังมีผู้สมัครรับเลือกต้ังท่ีใช้อิทธิพลข่มขู่ประชาชนและผู้นาชุมชน ให้ เลือกตนเอง 5. มีการทุจริตด้วยวิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีอิทธิพลบางงราย ไม่ถูก ลงโทษโดยกรรมการการเลอื กตง้ั 6. มีการจ้างวานบุคคลท่ีได้รับความนิยมในพื้นท่ีน้ัน ๆ ไม่ให้ลงสมัครในพื้นที่ของตน และจ้างวานบคุ คลให้ลงสมคั รเพ่ือตดั คะแนนคู่แขง่ 7. เล่นพนัน เจ้าบุญทมุ่ มักเป็นเจา้ มือปล่อยเงินให้ลูกน้องไปเท่ียวท้าพนัน โดยมักพูดว่า เลือกตั้งครั้งน้ีฝ่ายตนไม่ได้ ใครไม่เชื่อให้ท้าพนัน 5 ต่อ 1 ทาให้ผู้เอาพนันต้องไปช่วยกันลงคะแนนให้ ฝา่ ยตนมากๆ เพ่ือได้ชนะเพราะหวังเงินพนนั 8. หวยผู้แทน เป็นการพนันอีกแบบหน่ึงท่ีผู้สมัครรับเลือกต้ังสืบสายโยงใยกับเจ้ามือ หวยใต้ดนิ เป็นหวั เบ้ยี ให้เจ้ามอื หวยจัดการเลอื กตง้ั ผสมเข้ากบั ระบบหวยเถอ่ื น 2.2.3 ปัญหาเกี่ยวกบั ประชาชนผูเ้ ลอื กตั้ง ประชานส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในชนบทยังขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเก่ียวกับ กฎหมายเลือกต้ัง ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฎหมาย เห็นว่าการซ้ือสิทธิขายเสียงเป็นเรื่องปกติ รวมทั้ง ไม่มีความรู้เร่ืองบทบาทอานาจหน้าที่ของนักการเมืองแต่ละระดับจึงไม่ส ามารถวิเคราะห์คุณสมบัติ ของผ้สู มัครรับเลอื กตง้ั กอ่ นการลงคะแนนเลอื กต้งั ไดอ้ ย่างมีคณุ ภาพ และเนอื่ งจากโครงสร้างสังคมไทย ยังเป็นระบบอุปถัมภ์ ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่ยังพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลหรือนักการเมืองในท้องถ่ิน จึงทาให้ผู้มีสิทธิเลือกต้ังลงคะแนนเลือกต้ังให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งท่ีเป็นผู้มีความสัมพันธ์ในลักษณะ เชิงอุปถัมภ์กันมาก่อน โดยมิได้มีการแยกแยะระหว่างการมอบอานาจอธิปไตยให้ผู้แทนในการทา หน้าทท่ี างด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร กับการตอบแทนผู้มีพระคุณ ที่มาช่วยเหลือค้าจุนทาง ด้าน
22 เศรษฐกจิ และสังคมอนั เป็นความจาเปน็ ทตี่ ้องได้รบั การตอบสนองในระยะสั้น หากประชาชน มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการปกครองในระบบประชาธิปไตย ตระหนักถึงผลระยะยาวที่ตนเอง และประเทศชาติจะได้รับการเลือกผู้ที่กระทาการทุจริตไปบริหารบ้านเมือง ความผูกพันระหว่างผู้อุ ถัมภ์กับผู้ได้รับการอุปถัมภ์ในสังคมไทยก็จะลดลง ซึ่งจะทาให้การลงคะแนนเลือกต้ังเป็น ไปโดยอิสระ อย่างแทจ้ ริง สรุปได้ดังนี้ 1. ประชาชนในชนบทยังขาดความจาเป็นพื้นฐานถูกละเลย ข้าราชการไม่ใช่ท่ีพ่ึง ที่แท้จริง เข้าพบยาก ผู้สมัครรับเลือกตั้งจึงแทรกเข้าไปแก้ปัญหาให้ด้วยการไปหานาความเจริญและ “นาเงิน” ไปใหเ้ ม่อื ถึงเวลาประชาชนเขาก็เลือกคนที่ไปสร้างคณุ ให้ 2. ประชาชนขาดจิตสานึก ขาดความรู้ความเข้าใจ สับสนเก่ียวกับการเลือกต้ังแบบใหม่ ขาด ความเข้าใจในเร่ืองการลงคะแนน 3. ประชาชนยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ สังคมไทยโดยพื้นฐานชาวบ้านอยู่ใน สังคมระบบอุปถัมภ์ ยังคงมีคาว่า “บุญคุณ” ทาให้ไม่กล้าแสดงตัวเป็นพยานแม้ยินดีมอบเงิน ส่ิงของ ใหเ้ ปน็ หลักฐาน 2.2.4 ปัญหาทางด้านกฎหมาย 1. กรณคี ณุ สมบตั ิของผู้มสี ิทธิเลือกต้งั ตามมาตรา 33 (3) พระราชบัญญัติการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2554 คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกต้ังกาหนดว่ามีชื่ออยู่ใน ทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปีนับถึงวันเลือกต้ัง กับมาตรา 105 ตามรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2540 ของผู้มสี ทิ ธเิ ลอื กตง้ั สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน จึงเป็นประเด็นปัญหา กล่าวคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบรายช่ือตนเองในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกต้ังแล้ว ปรากฏรายช่ือของตนเองในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงเข้าใจว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดตนเองก็ต้องมีชื่อเหมือนกันโดยไม่ได้ไปตรวจสอบรายชื่อ ในบัญชีรายช่ือผู้มีสิทธิ เลือกต้ังอีกครั้ง จนกระทั่งเกินระยะเวลาที่กฎหมายกาหนดไม่สามารถย่ืน เพ่ิม-ถอนช่ือได้จึงทาให้มีการ โวยวายทักทว้ งขน้ึ และมีจานวนมาก 2. กรณีการนับคะแนนเลือกตั้งรวมกัน ณ สถานท่ีนับคะแนนแห่งใดแห่งหน่ึงเพียงแห่ง เดยี ว มาตรา 87 ตามพระราชบัญญัติการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2554 กาหนดใหน้ บั คะแนนเลอื กตัง้ สมาชิกสภาท้องถ่ินทุกหน่วย ของแต่ละเขตเลอื กต้ังรวมกนั ณ สถานทีน่ บั คะแนนแห่งใดแหง่ หนงึ่ เพียงแห่งเดียว เว้นแต่การเลือกต้ัง
23 ผบู้ รหิ ารท้องถิน่ โดยตรงจากประชาชนให้นับคะแนนแห่งเดยี วภายในเขตทอ้ งท่ีนั้น เป็นประเด็นปัญหา กลา่ วคอื 2.1 ทาให้การนับคะแนนใช้เวลานาน มีขั้นตอนมาก ส่งผลให้การประกาศผลการ เลอื กตงั้ ล่าชา้ ไปด้วย 2.2 ทาให้เป็นสาเหตุของการร้องเรียนว่าระหว่างการขนหีบบัตรเลือกต้ังมายังสถานที่ นบั คะแนน มีการทจุ รติ เปลีย่ นบัตรเลอื กตั้งหรอื เปลยี่ นหบี บัตรเลือกตัง้ 3. กรณีท่ีกฎหมายกาหนดให้หัวหน้าพนักงานส่วนท้องถ่ินเป็นผู้อานวยการ การเลือกตั้ง ประจาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกรรมการการเลือกต้ังประจาองค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ินโดย ตาแหน่ง ตามมาตรา 19 ของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถ่ิน ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ไม่เอื้อต่อ การบริหารจัดการ งานเลอื กต้ัง 4. กรณีกฎหมายกาหนดอานาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งส่วนใหญ่ให้เป็นอานาจหน้าที่ ของผู้อานายการการเลือกตั้งประจาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามมาตรา 20 -21 ของ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ ที่ 3) พ.ศ. 2554 ส่วนคณะกรรมการการเลือกต้ังประจาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอานาจหน้าท่ี เพียงให้คาเสนอแนะกากับดูแลและให้ความเห็นชอบเท่านั้น จึงเป็นเสมือนตรายางประจาประทับ เท่านั้นไม่ได้มีอานาจในการดาเนินการแต่อย่างใด บางส่วนจึงขาดความทุ่มเทในการทางาน ส่วน ผู้อานวยการการเลือกต้ังประจาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีภารกิจในปริมาณที่มากเกินไปและไม่ สามารถมอบอานาจได้ท้ังๆ ที่มิใช่งานท่ีจาเป็นต้องดาเนินการเองท้ังหมด อาทิ การลงนามในคาส่ัง แต่งต้ังเจ้าพนักงานผู้ดาเนินการเลือกต้ังการเพ่ิมชื่อ ถอนช่ือสิทธิเลือกต้ัง ซ่ึงหากเป็นองค์กรปกครอง ส่วนทอ้ งถน่ิ ทม่ี ขี นาดเลก็ และโครงสรา้ งการจัดการเลอื กตง้ั ไม่ใหญ่มาก เช่น องค์การบริหารส่วนตาบล เทศบาล จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใดแต่ถ้าเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีพ้ืนท่ีขนาดใหญ่ จะ สง่ ผลในทางปฏบิ ตั ิมาก เน่ืองจากไมม่ ีความคล่องตัว 5. กรณีให้ปิดประกาศบัญชีรายชื่อผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งไว้ที่หน่วยเลือกตั้ง มาตรา 86/1 ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งปิดประกาศบัญชีรายช่ือผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งไว้ ท่ีหน่วย เลอื กตั้งเปน็ ประเด็นปญั หา กล่าวคอื 5.1 ทาให้การนาสง่ หีบบัตรเลอื กตั้งมายังท่เี ลอื กต้ังล่าช้า สง่ ผลให้การนับคะแนนรวมกัน ณ สถานทีน่ บั คะแนนลา่ ชา้ ไปด้วย ซ่งึ ทาให้การประกาศผลการเลือกต้ังลา่ ช้าไปด้วยเช่นกัน 5.2 ทาให้ขัดกับหลักการของการไม่ให้นับคะแนนที่หน่วย เพื่อป้องกันมิให้หัวคะแนน ตรวจสอบผลการแจกเงินซอ้ื เสยี ง
24 5.3 ทาให้ผู้มาใช้สิทธิเลือกต้ังเกิดความหวั่นไหวในอิทธิพลของผู้สมัครรับเลือกต้ังและ หวั คะแนน 2.2.5 ปญั หาการประกาศผลการเลือกตั้ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เข้ามาควบคุมการเลือกตั้งท้องถ่ินต้ังแต่วันท่ี 4 มีนาคม 2546 เป็นต้นมา สิ่งหน่ึงซ่ึงได้กลายเป็นปัญหาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไปด้วย คือ การท่ี คณะกรรมการการเลือกต้ังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้รวดเร็ว ส่งผลกระทบ ต่อองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะไม่อาจประชุมสภาท้องถ่ินได้ เนื่องจากยังไม่มีสมาชิกสภาท้องถ่ินครบ จานวนทาให้ไม่อาจเลือกผู้บริหารส่วนท้องถิ่นได้ หรือกรณีท่ีมีการเลือกต้ังผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง ผู้บริหารท้องถ่ินจะปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ต่อเมื่อมีสภา เพ่ือให้ผู้บริหารท้องถ่ินแถลงนโยบาย ต่อสภา ท้องถิ่นเสยี ก่อน ในระบบกฎหมายของการประกาศผลการเลือกต้ังไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ หรือ การเลือกต้ังระดับท้องถิ่น ต่างก็มีปัญหาทางกฎหมายเกิดขึ้นได้ท้ังนั้นโดยเฉพาะการเลือกต้ังสมาชิก สภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถิ่น เน่ืองจากในการจัดการเลือกต้ังสิ่งที่เป็นเคร่ืองมือสาคัญ ในการใช้ อานาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกต้ังคือกฎหมาย ซ่ึงในที่นี้หมายถึงกฎหมายเลือกต้ังท้องถ่ิน และกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินด้วย ปรากฏปัญหาทางกฎหมาย ในการ ประกาศผลการเลอื กตง้ั สมาชิกสภาท้องถ่นิ และผบู้ ริหารท้องถ่นิ ดังนี้ 1. ปัญหาท่ีเกิดจากการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถ่ิน ล่าชา้ นับตัง้ แตม่ ีพระราชกฤษฎกี าใหใ้ ช้บังคับพระราชบญั ญตั กิ ารเลอื กต้งั สมาชิกสภาท้องถ่ินหรือ ผู้บริหารท้องถ่ิน พ.ศ. 2545 และให้คณะกรรมการการเลือกต้ังเข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการ เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถ่ินทุกรูปแบบ ต้ังแต่วันที่ 4 มีนาคม 2546 คณะกรรมการ การเลือกตั้งจึงต้องรับผิดชอบในการจัดการเลือกตั้งท้ังองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การ บริหารส่วนตาบล กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา 2. ปัญหาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ออกคาวินิจฉัยเป็นหนังสือก่อนการประกาศ ให้มี การเลอื กต้งั ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2541 มาตรา 19 วรรค 3 ได้บัญญัติไว้ว่า “การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ทาเป็น หนังสือลงลายมือช่ือของกรรมการการเลือกตั้งท่ีพิจารณาวินิจฉัยทุกคน” ซ่ึงจากการที่กฎหมายได้ บัญญัติเอาไว้ตามที่กล่าวมา เม่ือคณะกรรมการการเลือกต้ังไม่ออกคาวินิจฉัยเป็นหนังสือก่อนการ ประกาศให้มีการเลอื กต้ังจงึ ทาใหก้ ระบวนการการเลือกต้ังลา่ ชา้ ไปด้วย
25 3. ปัญหาท่ีการประกาศผลการเลือกตง้ั ตอ้ งมีมติเปน็ เอกฉันท์ เน่ืองจากบทบัญญัติของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการ เลือกตั้ง พ.ศ. 2541 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า “การลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพ่ือพิจารณาดาเนินการตามอานาจหน้าที่ในมาตรา 10 (5) (6) (7) และ (8) ให้ใช้คะแนนเสียงเอกฉันท์” ซ่ึงหน่ึงในอานาจหน้าท่ีที่กฎหมายกาหนดบังคับไว้ คือ อานาจหน้าท่ีในการประกาศผลการเลือกตั้ง ดังน้ันถ้าคณะกรรมการการเลือกตั้งยังไม่มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าให้ประกาศผลการเลือกต้ัง คณะกรรมการการเลอื กตัง้ จะไม่สามารถดาเนินการประกาศผลการเลือกตัง้ ได้ 4. ปญั หาทม่ี กี ารรอ้ งเรียนของผู้สมัครรบั เลือกต้ัง หรอื ประชาชนผ้มู สี ทิ ธเิ ลือกตั้งท้องถนิ่ ในกรณีเลือกต้ังแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งระดับชาติ หรือการเลือกต้ังระดับ ท้องถ่ิน สิ่งที่เกิดข้ึนควบคู่กันมาก็คือ “การร้องเรียน” เน่ืองจากกฎหมายได้เปิดโอกาสให้ผู้สมัคร รับเลือกต้ัง หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกต้ังสามารถร้องเรียนการเลือกตั้งได้ หากพบว่ามีการทุจริต ในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตด้วยวิธีการใดหรือ โดยบุคคลใดก็ตาม ดังน้ัน ในการเลือกตั้ง สมาชกิ สภาท้องถิน่ และผบู้ ริหารท้องถ่นิ ซ่ึงถอื ว่าเป็นการเลือกต้ังที่มีผู้สมัครรับเลือกต้ังรวมท้ังประเทศ จานวนมากและคณะกรรมการการเลือกต้ังต้องจัดการเลือกต้ังอยู่ จึงทาให้เร่ืองร้องเรียนการเลือกตั้ง ยอ่ มมจี านวนมากตามไปด้วย 5. ปัญหาทค่ี ณะกรรมการการเลอื กต้ังสัง่ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือนับคะแนนใหม่หรือเพิก ถอนสิทธิเลือกต้ังแกผ่ ้สู มคั รรบั เลอื กตัง้ กรณที ค่ี ณะกรรมการการเลือกต้ังได้ส่ังให้มีการนับคะแนนใหม่หรือส่ังให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซ่ึงก็คือการให้ใบเหลือง หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งก็คือการให้ใบแดง เป็นกรณที กี่ ฎหมายไดใ้ ห้อานาจแกค่ ณะกรรมการไว้ โดยในการพิจารณาเร่ืองร้องเรียนเพื่อท่ีตัดสินว่า จะมีคาส่ังให้มีการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น คณะกรรมการการเลือกต้ังมี พระราชบัญญัติการเลือกต้ังใหม่หรือนับคะแนนใหม่ หรือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งได้ โดยกฎหมาย เลือกต้ังท้องถ่ินดังกล่าวนี้ได้บัญญัติข้อความสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2540 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการ เลือกต้ัง พ.ศ. 2541 ท่ีว่า“มีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการเลือกต้ังมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเท่ียง ธรรม”จะเห็นไดว้ ่ากวา่ ท่ีคณะกรรมการการเลอื กตัง้ จะมีหลักฐานอันควรเช่ือได้นั้น คณะกรรมการการ เลือกตั้งอาจต้องใชเ้ วลานาน ซงึ่ ถา้ หากผลการสบื สวนสอบสวนออกมาว่ายงั ไม่มหี ลักฐานอันควรเช่ือได้ และถือว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้บริสุทธ์ิคณะกรรมการเลือกต้ังจึงจะประกาศรับรองผลการเลือกต้ัง ตอ่ ไป แต่ทเี่ ป็นปัญหาทาใหค้ ณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลอื กตัง้ ลา่ ช้ายิ่งกว่าปกติอีก คือ ถ้าผลการสืบสวนออกมาว่ามีหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าการเลือกต้ังนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเท่ียง ธรรม คณะกรรมการการเลือกต้ังสามารถส่ังให้มีการนับคะแนนใหม่หรือ ส่ังให้มีการเลือกตั้งใหม่
26 (ให้ใบเหลือง) หรือ สั่งเพิกถอนเลือกตั้ง (ให้ใบแดง) ซ่ึงการท่ีคณะกรรมการการเลือกตั้งส่ังให้มีการ เลือกต้ังใหม่ หรือเพิกถอนสิทธิเลือกต้ังแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ย่อมทาให้มี การเลือกต้ังใหม่ก่อนที่ คณะกรรมการการเลือกตั้งจะประกาศผลการเลือกต้ัง อันเป็นการทาให้ต้องใช้เวลาในการจัดให้มีการ เลอื กต้งั ใหม่อีก จนกว่าการเลอื กต้งั จะเป็นไปโดยสุจรติ และทีย่ งธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงจะ สามารถประกาศผลการเลือกตงั้ ให้ผสู้ มคั รรับเลือกต้งั ได้ 6. ปัญหาทกี่ ฎหมายมไิ ดก้ าหนดระยะเวลาในการประกาศผลการเลอื กตัง้ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมายท่ีเกี่ยวกับคณะกรรมการการเลือกตั้งและ กฎหมายเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นมิได้มีบทบัญญัติใดๆ ที่กาหนดในเรื่องของ ระยะเวลาในการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถ่ินและผู้บริหารท้องถิ่นเอาไว้ ซ่ึงต่างจาก กฎหมายเลือกต้ังสมาชิกผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจึงเทียบเท่าเป็นการให้อานาจแก่ คณะกรรมการการเลือกต้ังในการดาเนินการเลือกต้ังสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถ่ิน ใช้ดุลพินิจได้เอง ทาให้คณะกรรมการการเลือกต้ังสามารถใช้เวลาโดยไม่คานึงว่าควรเร่งดาเนินการ ให้แล้วเสร็จโดยพลนั สง่ ผลให้การประกาศผลการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกต้ังเป็นไปอย่าง ลา่ ช้าด้วย 2.3 บทบาทหน้าทีข่ องสมาชกิ สภาองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด 2.3.1 โครงสรา้ งขององค์การบรหิ ารส่วนจงั หวดั องค์การบริหารส่วนจงั หวัด (อบจ.) คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของ ประเทศไทย มีจังหวัดละหน่ึงแห่ง ยกเว้นกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถ่ินรูปแบบ พิเศษ องค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 เป็น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมท้ังจังหวัด จัดต้ังขึ้นเพื่อบริการ สาธารณประโยชนใ์ นเขตจงั หวดั ตลอดท้ังช่วยเหลือพัฒนางานของ เทศบาล และองค์การบริหารส่วน ตาบล รวมท้ังการประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นเพื่อไม่ให้งานซ้าซ้อน โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคล โครงสร้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ประกอบด้วย สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดที่ได้รับการเลือกต้ังจากประชาชนโดยตรง จานวน 24 - 48 คน ตามจานวนราษฎรในจังหวัด นัน้ ๆ 1. จังหวัดท่ีมีราษฎรไม่เกิน 500,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ 24 คน 2. จังหวัดท่ีมีราษฎรไม่เกิน 1,000,001-1,500,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวัดได้ 36 คน
27 3. จังหวัดท่ีมีราษฎรไม่เกิน 1,500,001-2,000,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วน จังหวดั ได้ 42 คน 4. จังหวัดที่มีราษฎรมากกว่า 2,000,000 คน มีสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดได้ 48 คน โดยกาหนดให้อาเภอเป็นเขตเลือกตั้งเขตหน่ึง แต่ละอาเภอจะต้องมีการเลือกต้ังสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด อย่างน้อง 1 คน สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดมีประธานสภา องค์การบริหารส่วนจังหวัด 1 คน และมีรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด 2 คน ซ่ึงได้รับ เลือกตั้งมาจากสมาชิกสภา ประธานสภาและรองประธานสภา มีวาระการดารงตาแหน่งตามอายุของสภา คอื 4 ปี สภาองค์การบริหารสว่ นจังหวัด มหี น้าที่ดงั น้ี 1. หน้าที่ทางนิติบัญญัติ ได้แก่ การพิจารณาร่างข้อบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัดและ ขอ้ บัญญตั ชิ ว่ั คราวขององคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด เพื่อใช้ในการบริหารองค์การบริหารส่วนจังหวดั 2. หน้าท่ีควบคุมฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถามนายกองค์การบริการส่วนจังหวัด เกี่ยวกับการบริหารราชการขององค์การบริหารส่วนจังหวัด การตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อดาเนิน กิจการหรือพิจารณาสอบสวนเร่ืองที่อยู่ในงานขององค์การบริหารส่วนจังหวัด การเสนอข้อสอบถาม ต่อประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือให้หัวหน้าส่วนราชการ จงั หวัดช้ีแจงในเรื่องทเ่ี ก่ียวกับบทบาทหน้าทีข่ องราชการส่วนภูมิภาคท่ีมีความสัมพันธ์กับการปกครอง สว่ นท้องถิ่น 3. หน้าท่ีในการควบคุมตรวจสอบการบริหารงานของฝ่ายบริหาร โดยพิจารณาร่างข้อ บัญญัติงบประมารณรายจ่ายประจาปีและร่างข้องบัญญัติรายจ่ายเพ่ิมเติม ร่างข้อบัญญัติองค์การ บริหารส่วนจังหวัด ท้ัง 2 ประเภทนี้ มีความสาคัญเพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารกาหนด โครงการในการดาเนินการต่างๆ ท่สี อดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชนหรือไม่ และมี การใชง้ บประมาณแต่ละโครงการเป็นไปอยา่ งประหยัดและมปี ระสิทธภิ าพ ฝ่ายบริหาร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ทา หน้าที่บริหารกิจการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ภายใต้การดูแลควบคุมและตรวจสอบของสภา องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั ตามหลกั เกณฑ์ที่กาหนดไว้ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดและรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นหัวหน้า ของฝ่ายบริหารทาหน้าท่ีบังคับบัญชาข้าราชการและลูกจ้างขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ซ่ึงเป็น ข้าราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัด เรียกว่า “ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด” มีปลัดองค์การ บริหารสว่ นจงั หวดั เปน็ ผู้บังคบั บญั ชาข้าราชการและลูกจ้างองคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด การจัดโครงสร้างขององคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั มกี ารจดั แบ่งส่วนการบริการงานดงั น้ี
28 1. สานักงานปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีหัวหน้าสานักงานองค์การบริหารส่วน จังหวัด เป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่รับผิดชอบเก่ียวกับการบริหารงานทั่วไปขององค์การบริหารส่วน จังหวัดและราชการที่มิได้กาหนดเป็นหน้าท่ีของกองหรือส่วนราชการใดขององค์การบริหารส่วน จังหวัดโดยเฉพาะ รวมท้ังกากับและเร่งรัดการปฏิบัติราชการของส่วนราชการในองค์การบริหารส่วน จังหวัด ให้เป็นไปตามนโยบาย แนวทางและแผนการปฏบิ ตั ริ าชการขององค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด 2. กองกิจการสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีผู้อานวยการกองกิจการองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าท่ีรับผิดชอบงานในการประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด งานติดตามผลการปฏิบัติงานของสภาและคณะกรรมการของสภา งานทะเบียนและประวัติตลอดจน สิทธิสวัสดิการของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด งานเลขานุการ ประธานและรอง ประธานสภา งานสง่ เสรมิ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ 3. กองแผนงานและงบประมาณ มีผู้อานวยการกองแผนงานและงบประมาณเป็นผู้บังคับ บัญชา มีหน้าที่รับผิดชองในงานวิเคราะห์นโยบายและแผน การจัดทาแผนการพัฒนาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด การประสานงานจัดทาแผนการพัฒนาจังหวัด งานคณะกรรมการพัฒนาองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดและคณะกรรมการจัดทาแผนพัฒนาองค์การบริการส่วนจังหวัด จัดทาข้อบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย งานขออนมุ ตั ิดาเนินการตามขอ้ บญั ญัติ การโอนเงนิ 4. งบประมาณ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงงบประมาณ โครงการเงินอุดหนุนและงานพัฒนา รายได้ขององคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัด 5. กองคลังมีผู้อานวยการกองคลังเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการเงิน การบัญชี ทรพั ย์สนิ พัสดแุ ละระเบียบการคลงั ขององคก์ ารบริหารส่วนจังหวดั 6. กองช่าง มีผู้อานวยการกองช่างเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าท่ีความรับผิดชอบ ในการ ออกแบบ การควบคมุ การก่อสร้าง การควบคมุ ฝา่ ยเครื่องจกั รกล 7. หน่วยตรวจสอบภายใน มีผู้อานวยการหน่วยงานตรวจสอบภายในเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่รับผิดชอนในการตรวจสอบภายในเก่ียวกับ การเงิน การบัญชี การงบประมาณ การทะเบียน ทรัพยส์ นิ และการพสั ดใุ นความรับผิดชอบขององค์การบริการส่วนจังหวัด 8. กองหรือส่วนราชการที่เรียกช่ืออย่างอื่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดอาจประกาศ กาหนดการจดั ตั้งกองหรือส่วนราชการตามความจาเป็นและเหมาะสมขององค์การบริหารส่วนจังหวัด แตล่ ะแหง่ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ก.จ.จ.) กองหรือส่วนราชการอื่นที่เรียกช่ืออย่างอื่น ท่ีจัดต้ังข้ึนตามความรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วน จังหวดั แต่ละแห่งจากกฎหมายการจัดต้ังองค์การบริหารส่วนจังหวัด และกฎหมายว่าด้วยการกาหนด แผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น กองสาธารณสุข กองกจิ การขนส่ง กองทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองพัสดแุ ละทรัพย์สิน เปน็ ต้น
29 2.3.2 อานาจหน้าทขี่ ององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั องค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 มีอานาจหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม โดยในด้านพื้นที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดรับผิดชอบท้ังจังหวัด รวมทั้งอานาจหน้าท่ีเปล่ียนไปจากเดิม โดยมีอานาจหน้าที่ที่แตกต่างจากเทศบาล องค์การบริหาร ส่วนตาบล ตามลกั ษณะของพนื้ ท่ี ดงั นี้ 1. การตราข้อบัญญัตขิ ององคก์ ารบริหารส่วนจังหวดั โดยไม่ขดั หรือแย้งต่อกฎหมาย 2. การจดั ทาแผนองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั และประสานการจดั ทาแผนพัฒนาจังหวัดตาม ระเบยี บทคี่ ณะรฐั มนตรีกาหนด 3. สนับสนนุ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลและราชการสว่ นท้องถ่ินในการพัฒนาทอ้ งถ่ิน 4. ประสานและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วนตาบลและ ราชการส่วนทอ้ งถ่ิน 5. แบ่งสรรเงินซึ่งตามกฎหมายจะต้องแบ่งให้แก่องค์การบริหารส่วนตาบลและราชการ สว่ นทอ้ งถิน่ 6. อานาจหน้าท่ีของจงั หวัดตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการสว่ นจงั หวัด 7. คุม้ ครอง ดูแล และบารุงทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม 8. การทากิจการอ่ืนใดๆ อันเป็นอานาจหน้าที่ของส่วนราชการท้องถ่ินที่อยู่ในเขตองค์การ บรหิ ารส่วนจงั หวัด และกิจการนัน้ ๆ เป็นการรวมราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ รวมกันดาเนนิ การ 9. จดั ทากิจการอื่นใดๆ ตามท่กี าหนดไว้ในพระราชบัญญตั ินี้หรือกฎหมายอ่ืนให้เป็นอานาจ หน้าทขี่ ององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวดั บรรดาอานาจหน้าที่ของราชการกลางหรือส่วนภูมิภาคอาจมอบ ให้องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวัดปฏบิ ตั ิได้ ท้ังนต้ี ามทีก่ าหนดไวใ้ นกฎหระทรวง นอกจากนั้น พระราชบัญญัติกาหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ได้กาหนดอานาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ในการ จัดระบบบริการสาธารณะและเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถ่ิน โดยมีรายละเอียดถึง 29 ข้อ ซึ่งมีหน้าที่บางประการเหมือนเทศบาล เช่นการส่งเสริมการกีฬา เป็นต้น แต่กฎหมายได้กาหนด อานาจหน้าท่ีหลักขององค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นตัวประสานการจัดทาแผนพัฒนาจังหวัดและ การสนับสนุนท้องถิ่นอ่ืนๆ ในการพัฒนาท้องถ่ิน ตลอดจนการทากิจการใหญ่ซ่ึงเช่ือมต่อระหว่าง องค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ภายในจังหวัด เช่น การจดั ต้งั และดูแลบาบัดน้าเสยี การกาจัดขยะ เป็นต้น อานาจหน้าท่ีขององค์การบริหารส่วนจังหวัด จึงอาจพิจารณาได้ว่าเป็นพื้นท่ีทับซ้อนกับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นอ่ืน คือ เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตาบล ในด้านอานาจหน้าที่บางส่วนมี ความซ้าซอ้ นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบอ่ืนๆ ในบางส่วนเป็นการอุดช่องว่างอานาจหน้าท่ี ระหว่างท้องถิ่น ซึ่งไม่มีหน่วยงานใดและเป็นกิจการที่ต้องใช้เงินงบประมาณจานวนมาก องค์การ บริหารส่วนจังหวัดจะเขา้ ไปดาเนนิ การเอง
30 2.4 บรบิ ทขององค์การบรหิ ารสว่ นจงั หวัดขอนแก่น 2.4.1 องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดขอนแก่น ฝ่ายนโยบายและแผน กองแผนและงบประมาณ องค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น (2558) ไดร้ วบรวมบรบิ ทองค์การบริหารสว่ นจังหวดั ของแก่นไว้ในแผนยทุ ธศาสตร์ การพัฒนาองค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น พ.ศ. 2559-2563 ดังนี้ พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 หมวด 1 มาตรา 8 กาหนดให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการ ส่วนท้องถ่ิน โดยกาหนดเขตรับผิดชอบขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้แก่ เขตจังหวัด องค์การ บริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จึงมีเขตพื้นที่รับผิดชอบทั้งเขตจังหวัดขอนแก่น ซ่ึงจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัด ที่ ตั้งอยู่บริเวณ ตอนกลางของภูมิภาคและอยู่กลางกลุ่มความร่วมมือของประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง (The Greater Makong Subregion Cooperation : GMSC) ประกอบด้วย ประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม และมณฑลยูนนานของจีน และยังเป็นจุดตัดของทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 2 ที่เช่ือมระหว่างทิศเหนือและทิศใต้ (EastemSea Board : ESB) และทางหลวง แผ่นดนิ หมายเลข 12 ที่เช่อื มระหวา่ งทิศตะวนั ออกและตะวันตก (East -Weat Economic Corridor) จึงทาใหข้ อนแกน่ เปน็ เมืองศูนยก์ ลางการคมนาคมขนส่งในภูมิภาคและประตูสู่อินโดจีนนอกจากน้ีแล้ว ขอนแก่นยังเป็นเมืองศูนย์กลางการพัฒนาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือในหลายๆ ด้าน อาทิ ด้าน การศึกษา การสาธารณสขุ การบริการ การเงินการธนาคาร และการประชุมสัมมนา เป็นต้น ซ่ึงสภาพ ท่วั ไปและข้อมลู พน้ื ฐานทส่ี าคญั ของจังหวดั ขอนแก่นสรุป ไดด้ ังนี้ 2.4.1.1 ข้อมูลทั่วไปของจังหวัดขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดที่ได้รับการพัฒนาให้เป็นเมืองหลัก ถือเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2525 - 2529) จึงมคี วามเจริญรดุ หนา้ อยา่ งรวดเร็วในรอบสบิ ปที ผี่ ่านมาเปรียบประดุจเป็นเมือง หลวงแห่งทร่ี าบสูงอสี านนี้ 2.4.1.2 สภาพทางภมู ศิ าสตร์ 1. ท่ีตง้ั จังหวัดขอนแก่น ตั้งอยู่ท่ีราบสูงโคราชอยู่ระหว่างเส้นรุ้งท่ี 15- 17 องศาเหนือ และ เส้นแวงที่ 101- 103 องศาตะวันออกอยู่สูงกว่าระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ100-200 เมตร อยู่ห่าง จากกรุงเทพมหานคร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2หรือถนนมิตรภาพ 445 กม. และทางรถไฟสาย กรุงเทพหนองคาย 445 กม. มีพ้ืนที่ 10,885.99 ตารางกิโลเมตร หรือ 6.8 ล้านไร่ เป็นอันดับ ท่ี 15 ของประเทศ มีอาณาเขตตดิ ต่อกับจังหวัดใกล้เคียงรวม 9 จงั หวัด ดงั นี้
31 ทิศเหนือ ติดต่อกับจงั หวดั อุดรธานี จงั หวดั หนองบวั ลาภแู ละจงั หวัดเลย ทศิ ใต้ ติดต่อกับจงั หวดั นครราชสมี า และจังหวัดบุรรี มั ย์ ทศิ ตะวันออก ตดิ ต่อกบั จังหวัดกาฬสินธ์ุ และจังหวัดมหาสารคาม ทิศตะวันตก ติดตอ่ กับจังหวัดชัยภมู ิ และจังหวดั เพชรบูรณ์ 2. ลกั ษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป เปน็ ที่ราบสงู ๆ ต่า ๆ สลบั กันคล้ายเป็นลูกคล่ืน พ้ืนที่ ค่อย ๆ ลาดต่าลงมาทางใต้ มีที่ราบลุ่มบางตอนบริเวณลาน้าชีและลาน้าพอง ทางตอนเหนือของ จังหวัด ได้แก่ พ้นื ที่บริเวณอาเภอเมอื งขอนแกน่ อาเภอหนองเรอื อาเภออุบลรัตน์ อาเภอน้าพอง และ อาเภอภูเวียง เหมาะแก่การทานา ลักษณะดินส่วนใหญ่เป็นดินลูกรังและดินร่วนปนทราย ซ่ึงเก็บ ความชื้นได้ไม่มากนัก มีความสมบูรณ์ค่อนข้างต่า ส่วนบริเวณตอนเหนือของจังหวัดในพ้ืนที่อาเภอสี ชมพู อาเภอหนองเรือ และอาเภอน้าพอง อาเภอเมืองขอนแก่น (ตอนบน) มีความอุดมสมบูรณ์สูง ประกอบกับอยู่ใกล้กับแหล่งน้า คือ อ่างเก็บน้าเข่ือนอุบลรัตน์ เข่ือนทดน้าหนองหวาย หรือเขื่อนน้า พอง และมีคลองส่งน้าผ่ายพ้ืนท่ีดังกล่าวจึงทาให้มีผลผลิตสูงได้ผลดีกว่าในพื้นท่ีอื่น ๆ ของจังหวัด สาหรับบริเวณพื้นที่ซ่ึงมีความอุดมสมบูรณ์ต่าไม่เหมาะแก่การเกษตรกรรม ได้แก่ บริเวณพ้ืนท่ีตอนใต้ ของจังหวัดในเขตอาเภอพล อาเภอหนองสองห้อง อาเภอชนบท ซึ่งต้องดาเนินการหาทางช่วยเหลือ ด้านการปรับสภาพดิน หรือพัฒนาด้านอ่ืน ๆ ทดแทนต่อไป นอกจากน้ี จังหวัดขอนแก่นยังประสบ ปัญหาในด้านสภาพดินเค็ม อันเนื่องมาจากลักษณะทางธรณีวิทยา โดยที่ใต้ดินลงไปมีชั้นของเกลือ สะสมอยู่ในรูปของหินเกลือ เมื่อมีน้าไหลผ่านจะละลายเอาเกลือปนขึ้นมากับน้า เมื่อระเหยไปจึงมี คราบเกลืออยูบ่ นผิวดนิ ทาใหม้ ลี ักษณะไม่เหมาะสมทจี่ ะทาการเพาะปลกู 2.4.2 อาเภอชมุ แพ อาเภอชุมแพ ต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด อยู่ห่างจากตัวจังหวัดขอนแก่นประมาณ 82 กโิ ลเมตร และอยหู่ า่ งจากกรุงเทพมหานครประมาณ 520 กิโลเมตร มีอาณาเขตติดต่อกับเขต การ ปกครองข้างเคยี ง ดังต่อไปนี้ ทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กบั อาเภอภผู ามา่ นอาเภอภกู ระดึง (จังหวัดเลย) อาเภอสีชมพู และอาเภอเวยี งเก่า ทิศตะวนั ออก ติดตอ่ กบั อาเภอภเู วียงและอาเภอหนองเรือ ทศิ ใต้ ติดตอ่ กับอาเภอบา้ นแท่นอาเภอภเู ขยี ว และอาเภอคอนสารจังหวดั ชยั ภมู ิ ทศิ ตะวันตก ตดิ ต่อกับอาเภอคอนสาร (จังหวัดชยั ภูมิ) และอาเภอภผู าม่าน
32 แผนภูมที่ 2.1 แผนท่ีอาเภอชุมแพ 2.4.2.1 การแบ่งเขตการปกครอง การปกครองสว่ นภูมภิ าค อาเภอชุมแพแบ่งเขตการปกครองย่อยเปน็ 12 ตาบล 172 หม่บู ้าน ได้แก่ 1. ตาบลชุมแพ (Chum Phae) 28 หม่บู า้ น 2. ตาบลหนองไผ่ (NongPhai) 28 หมู่บา้ น 3. ตาบลไชยสอ (Chai So) 15 หมู่บ้าน 4. ตาบลนาเพยี ง (Na Phiang) 14 หมู่บ้าน 5. ตาบลหนองเสาเลา้ (Nong Sao Lao) 10 หมู่บา้ น 6. ตาบลโนนอุดม (Non Udom) 11 หมู่บ้าน 7. ตาบลขวั เรยี ง (KhuaRiang) 12 หมู่บ้าน 8. ตาบลนาหนองทุ่ม(Na NongThum) 13 หมู่บ้าน 9. ตาบลหนองเขยี ด (NongKhiat) 10 หมู่บ้าน 10. ตาบลวังหินลาด (Wang HinLat) 12 หมบู่ า้ น 11. ตาบลโนนหัน (Non Han) 10 หมบู่ า้ น 12. ตาบลโนนสะอาด (Non Sa-at) 9 หมบู่ ้าน การปกครองสว่ นท้องถิน่ ท้องที่อาเภอชุมแพประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15 แห่ง ได้แก่ เทศบาลเมืองชุมแพ ครอบคลุมพ้ืนท่ีบางส่วนของตาบลชุมแพ บางส่วนของตาบลหนองไผ่ และบางส่วน ของตาบลไชยสอ
33 เทศบาลตาบลโนนหัน ครอบคลุมพ้ืนที่บางส่วนของตาบลโนนหันและบางส่วนของ ตาบลโนนสะอาด เทศบาลตาบลหนองไผ่ ครอบคลุมพ้ืนที่ตาบลหนองไผ่ (เฉพาะนอกเขตเทศบาลเมือง ชมุ แพ) เทศบาลตาบลหนองเสาเล้า ครอบคลมุ พ้นื ท่ีตาบลหนองเสาเลา้ ท้งั ตาบล เทศบาลตาบลโคกสูงสัมพันธ์ ครอบคลุมพื้นท่ีบางส่วนของตาบลโนนอุดมและ บางส่วนของตาบลขวั เรียง เทศบาลตาบลนาเพยี ง ครอบคลมุ พ้ืนท่ตี าบลนาเพียงทัง้ ตาบล เทศบาลตาบลโนนสะอาด ครอบคลุมพื้นที่ตาบลโนนสะอาด (เฉพาะนอกเขต เทศบาลตาบลโนนหนั ) องค์การบริหารส่วนตาบลชุมแพ ครอบคลุมพื้นท่ีตาบลชุมแพ (เฉพาะนอกเขต เทศบาลเมืองชุมแพ) องค์การบริหารส่วนตาบลโนนหัน ครอบคลุมพ้ืนที่ตาบลโนนหัน (เฉพาะนอกเขต เทศบาลตาบลโนนหัน) องคก์ ารบริหารส่วนตาบลนาหนองท่มุ ครอบคลมุ พ้ืนที่ตาบลนาหนองทมุ่ ทัง้ ตาบล องค์การบริหารส่วนตาบลโนนอุดม ครอบคลุมพน้ื ทตี่ าบลโนนอุดม (เฉพาะนอกเขต เทศบาลตาบลโคกสูงสมั พนั ธ)์ องค์การบริหารส่วนตาบลขัวเรียง ครอบคลุมพื้นที่ตาบลขัวเรียง (เฉพาะนอกเขต เทศบาลตาบลโคกสูงสมั พันธ)์ องค์การบริหารส่วนตาบลไชยสอ ครอบคลุมพื้นท่ีตาบลไชยสอ (เฉพาะนอกเขต เทศบาลเมืองชุมแพ) องค์การบรหิ ารส่วนตาบลวงั หนิ ลาด ครอบคลุมพ้ืนทตี่ าบลวงั หินลาดทงั้ ตาบล องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลหนองเขียด ครอบคลุมพนื้ ท่ีตาบลหนองเขียดทัง้ ตาบล 2.4.2.2 ประชากร มีประชากร ท้ังสิ้น 122,685 คน แยกเป็น ชาย 61,015 คน หญิง 61,670 คน มี ความหนาแนน่ เฉลย่ี ต่อพ้ืนที่ 240.14 คน/ตารางกโิ ลเมตร 2.4.2.3 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ อาเภอชุมแพ มีเนอื้ ท่ีท้ังหมด 318,750 ไร่ พนื้ ที่โดยทวั่ ไปเปน็ พนื้ ทรี่ าบสูง ทิศเหนือ มีภูเขาสูงและท่ีราบสูงลาดเอียงไปทางทิศใต้ บริเวณทางทิศใต้มีลาน้าเชิญเป็นเส้นกั้นอาณาเขต ระหวา่ งอาเภอชมุ แพกบั อาเภอภูเขียวจงั หวดั ชัยภมู ิ พืน้ ทที่ างทศิ เหนือบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนพ้ืนท่ี ทางทิศตะวันตกบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติดงลาน รวมพื้นที่ป่าสงวนในเขตอาเภอชุมแพ ทัง้ หมด 90,250 ไร่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142