Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตำบลเขาแก้ว อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

Description: งานวิจัย/วิทยานิพนธ์

Search

Read the Text Version

ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเกบ็ ภาษใี นเขตเทศบาล ตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จงั หวดั เลย ศรกายสิทธิ์ วรินทรา สารนิพนธ์นี้เปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ ารัฐศาสตร์การปกครอง บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย มกราคม 2561 (ลขิ สิทธิ์เปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย)

ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเกบ็ ภาษใี นเขตเทศบาล ตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จงั หวดั เลย ศรกายสิทธิ์ วรินทรา สารนิพนธ์นี้เปน็ ส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสตู รรฐั ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ ารัฐศาสตร์การปกครอง บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย มกราคม 2561 (ลขิ สิทธิ์เปน็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย)

NEED OF PEOPLE FOR TAX COLLECTOR’S SERVICES OF KHAO KAEW SUB-DISTRICT MUNICIPALITY, CHIANG KHAN DISTRICT, LOEI PROVINCE SORNKAIYASIT WARINTRA A THEMATIC PAPER SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY JANUARY 2018 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)

5820850332005: สาขาวิชา: รฐั ศาสตร์การปกครอง; ร.ม. (รฐั ศาสตรมหาบณั ฑิต) คาสาคัญ : ความต้องการ, การใหบ้ รกิ าร, การเสยี ภาษี ศรกายสิทธ์ิ วรินทรา : ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขต เทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย (NEED OF PEOPLE FOR TAX COLLECTOR’S SERVICES OF KHAO KAEW SUB-DISTRICT MUNICIPALITY, CHIANG KHAN DISTRICT,LOEI PROVINCE) คณะกรรมควบคุมสารนิพนธ์ : พระนิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร. อาจารย์ท่ี ปรกึ ษาหลกั , ดร.ปดษิ ฐ์ คาดี อาจารยท์ ี่ปรึกษาร่วม, 138 หนา้ . ปี พ.ศ. 2561 สารนิพนธ์น้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จดั เก็บภาษใี นเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ 2) เปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ 3) ขอ้ เสนอแนะของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ประชาชนท่ีเสียภาษีให้แก่เทศบาล จานวน 1,994 คน กาหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งจากสูตร ทาโรย่ ามาเน่ (Taro Yamane) ได้จานวน 333 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.909 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉล่ีย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สถิติสาหรับทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การทดสอบที (t-test) และการเปรียบเทยี บรายคู่ (F-test) ทร่ี ะดับนยั สาคญั ทางสถิติ .05 ผลการวจิ ัยพบวา่ 1) ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง ทุกด้าน เรียง ลาดบั ด้านทมี่ ีค่าเฉลี่ยจากสงู สดุ ไปหาตา่ สดุ ไดแ้ ก่ ด้านการเข้าถึง ได้รองลงมาคือ ด้านความสุภาพ ด้าน ส่ิงท่ีสามารถจับต้องได้ ด้านความรับผิดชอบ ด้านความเข้าใจและรู้จักลูกค้า ด้านความไว้วางใจ ด้าน ความสามารถ ด้านการติดต่อส่ือสาร และด้านความน่าเช่อื ถือ 2) เปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาล ตาบลเขาแก้ว พบว่า ประชาชนที่มีเพศและอายุแตกต่างกันมีความต้องการของประชาชนในการ ให้บริการจัดเก็บภาษีไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ส่วนประชาชนที่มีรายได้ต่อปีแตกต่าง กันมีความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่รี ะดับ .05 3) ข้อเสนอแนะแนวทางเก่ียวกับการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว ไดแ้ ก่ จดั สถานท่สี าหรับผู้มาเสยี ภาษเี พียงพอและควรมีป้ายประชาสัมพันธ์ในการเสียภาษีให้ชัดเจนคิด เป็นร้อยละ 6.31 รองลงมาคือ เทศบาลตาบลเขาแก้วควรจัดทาบัตรคิวไว้สาหรับผู้มาเสียภาษีคิดเป็น ร้อยละ 5.71 และควรตอ้ งมีเจ้าหนา้ ท่ีอยเู่ วรช่วงพักกลางวันคอยใหบ้ ริการ คิดเป็นร้อยละ 4.50

ข 5820850332005 : MAJOR : GOVERNMENT; M.Pol.SC. (MASTER OF POLITICAL SCIENCE) KEYWORD : NEED, SERVICES, TAX SORNKAIYASIT WARINTRA : NEED OF PEOPLE FOR TAX COLLECTOR’S SERVICES OF KHAO KAEW SUB-DISTRICT MUNICIPALITY, CHIANG KHAN DISTRICT, LOEI PROVINCE. ADVISORY COMMUNITY: PHRANITAT TEERAPANYO, DR., ADVISOR, ASSOC.PROF.DR. PADIT KUMDEE, CO-ADVISOR, 138 PP., B.E. 2561 (2018). This thesis aims to study: 1) Needs of people in taxation services in Khao Kaew municipality area, 2) Comparison of the needs of the public in the tax collection services in Khao Kaew Municipality and 3) Public Opinion on Taxation Services in Khao Kaew Municipality. Population used in this study include : that 1,994 taxpayers in the municipality rated the sample size of the Taro Yamane formula 333. The instrument used for data collection was a questionnaire with a reliability of .909. Statistics used in data analysis were frequency, percentage, mean, standard deviation. Statistics for t-test and F-test were statistically significant at .05 level. The research of research were found as follws: 1) Needs of people in taxation services in Khao Kaew municipality area. The overall level was moderate. When considering each aspect, it was found that the mean was highest in all aspects, ranging from the highest to the lowest, namely the accessibility, followed by the politeness What can be tangible? Responsibility Understanding and Knowing Customers Trust Ability Communication and reliability. 2) Comparing the needs of the people in taxation services in Khao Kaew municipality showed that people with different sex and age. There was no statistically significant difference in the needs of the public in collecting tax services. There was a statistically significant difference at the 0.05 level between the people with different income per year and 3) Suggestions for guidelines on taxation services in the Khao Kaew municipality include the establishment of sufficient taxpayers 'premises and publicity of taxpayers' tax receipts. 6.31 percent. Sub-district administration organizations should prepare the queue for taxpayers. 5.71 percent and should be staffed during the day 4.50 percent.

ค ประกาศคณุ ูปการ สารนิพนธ์ฉบับนี้ สาเร็จได้ด้วยความกรุณาอย่างดียิ่งจากบุคคลหลายฝ่าย ในการให้คา แนะนาปรกึ ษา และปรับปรุงแกไ้ ขสารนพิ นธ์ ทาให้งานวจิ ยั ฉบบั นส้ี มบูรณ์ ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์พิเศษ ดร. สุกิจ ชัยมุสิก ผู้เป็นประธานสอบสารนิพนธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ กรรมการสอบสารนิพนธ์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. บุรินทร์ ภู่สกุล กรรมการสอบสารนิพนธ์ พระนิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร. อาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ีปรึกษาร่วม ที่ให้คาปรึกษา ให้ความช่วยเหลือและให้ข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชน์ ตลอดจนตรวจทานแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งตา่ ง ๆ ดว้ ยความเอาใจใส่เพื่อให้สารนิพนธ์เสร็จสมบูรณ์ ทาให้การ ศกึ ษาวิจยั ในคร้ังนป้ี ระสบความสาเร็จผูว้ ิจยั ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล ดร.ทองแพ ไชยต้นเทือก ดร.วินิจ ผาเจริญ และดร.พูลสวัสด์ิ นาทองคา ที่กรุณาเป็นผู้เช่ียว ชาญในการตรวจสอบเคร่อื งมอื วจิ ยั ใหค้ าแนะนาปรับปรงุ เน้อื หาสาระเพอ่ื ใหม้ ีความสมบูรณย์ ิ่งข้ึน ขอขอบพระคุณท่านคณาจารย์ สาขาวิชารัฐศาสตร์การปกครองที่ได้ประสิทธ์ิประสาท ความรู้ และประสบการณ์ตลอดระยะเวลาท่ีศึกษา พนักงานเจ้าหน้าท่ี เพ่ือนนักศึกษาปริญญาโท สาขารัฐศาสตร์การปกครองทุกท่าน ที่เป็นกาลังใจ รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องท่ีมิได้กล่าวนามไว้ ณ ที่น้ี ทใ่ี หค้ วามรว่ มมือ ชว่ ยเหลือ และให้กาลงั ใจดว้ ยดีเสมอมา ขอขอบพระคุณ ร้อยตารวจโทพิทักษ์ชัย วรินทรา นางศิวารัตน์ วรินทรา และญาติทุกคนท่ี ให้กาลงั ใจ และสนับสนนุ ผู้วิจยั เสมอมา คุณค่าและประโยชน์ของสารนิพนธ์ฉบับนี้ ผู้วิจัยขอมอบเป็นกตัญญูกตเวทิตาแด่ บุพการี บูรพาจารย์ และผู้มีพระคุณทุกท่านท้ังในอดีตและปัจจุบัน ท่ีทาให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีการศึกษาและ ประสบความสาเรจ็ มาจนตราบเทา่ ทกุ วนั นี้ ศรกายสิทธิ์ วรินทรา

สารบัญ หน้า บทคดั ยอ่ ภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ข ประกาศคณุ ูปการ ค สารบัญ ง สารบัญตาราง ฉ สารบญั แผนภมู ิ ณ บทที่ 1 1 บทนา 1 3 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา 3 1.2 วัตถุประสงคข์ องการวิจัย 3 1.3 สมมตฐิ านของการวิจัย 4 1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั 5 1.5 ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการวิจยั 7 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะท่ีใช้ในการวจิ ยั 7 2 เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง 10 2.1 แนวคดิ เกีย่ วความตอ้ งการ 17 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี ก่ยี วกับหลกั การใหบ้ รกิ าร 26 2.3 แนวคิดเก่ียวกบั การจดั เกบ็ ภาษีทอ้ งถนิ่ 30 2.4 แนวคิดเกี่ยวกบั เทศบาลตาบล 32 2.5 บริบทพนื้ ท่ใี นการวจิ ัย 38 2.6 งานวิจัยท่ีเกีย่ วข้อง 40 2.7 สรุปกรอบแนวคดิ ในการวิจยั 40 3 วิธีดาเนนิ การวจิ ยั 41 3.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง 42 3.2 เทคนิควธิ ีการสุ่มตวั อย่าง 3.3 เครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั

สารบญั (ต่อ) จ 3.4 การสร้างและการหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือ หน้า 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 42 3.6 การวิเคราะหข์ อ้ มลู 43 3.7 สถิตทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 43 4 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 44 4.1 สัญลกั ษณท์ ่ีใช้ในการเสนอผลการวิเคราะหข์ ้อมลู 47 4.2 ลาดับข้นั ตอนการวิเคราะห์ข้อมูล 47 4.3 ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู 47 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ 48 5.1 สรปุ ผลการวจิ ัย 102 5.2 อภปิ รายผลการวจิ ัย 102 5.3 ข้อเสนอแนะ 105 บรรณานกุ รม 108 ภาคผนวก 109 ภาคผนวก ก รายชอ่ื ผู้เชีย่ วชาญตรวจสอบเครอื่ งมอื 112 ภาคผนวก ข หนงั สือขอความอนเุ คราะหเ์ ปน็ ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครือ่ งมือ 113 ภาคผนวก ค หนังสือขอความอนเุ คราะห์เกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 115 ภาคผนวก ง แบบสอบถาม 121 ภาคผนวก จ แบบประเมินคา่ ดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบสอบถาม 124 ภาคผนวก ฉ คา่ ความเชอื่ มน่ั ของแบบสอบถาม 132 ประวัติผู้วิจยั 135 138

สารบญั ตาราง ตารางท่ี หนา้ 3.1 จานวนประชากรและกลุ่มตัวอย่างของประชาชนท่ีเสียภาษีใหก้ ับเทศบาลตาบลเขาแกว้ 41 4.1 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามเพศ 48 4.2 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามอายุ 48 4.3 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามระดับการศกึ ษา 49 4.4 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม จาแนกตามอาชพี 49 4.5 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จาแนกตามรายได้ 50 4.6 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 51 โดยรวมและรายดา้ น 4.7 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 52 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความไวว้ างใจ 53 4.8 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 54 ดา้ นความรบั ผดิ ชอบ 4.9 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 55 ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย คา้ นความสามารถ 56 4.10 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 57 ด้านการเขา้ ถงึ ได้ 4.11 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความสุภาพ 4.12 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการตดิ ต่อสื่อสาร

ช สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.13 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 58 ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 59 ดา้ นความน่าเชื่อถอื 60 4.14 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 61 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 61 ดา้ นความร้คู วามเขา้ ใจและรูจ้ ักลูกค้า 62 4.15 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 62 ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 63 ด้านส่ิงทสี่ ามารถจับตอ้ งได้ 63 4.16 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 64 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวม จาแนกตามเพศ 4.17 แสดงผลการเปรยี บเทยี บความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวดั เลย โดยรวม ทม่ี เี พศตา่ งกัน 4.18 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความไวว้ างใจ จาแนกตามเพศ 4.19 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความไว้วางใจ ที่มีเพศ ตา่ งกัน 4.20 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความรับผิดชอบ จาแนกตามเพศ 4.21 แสดงผลการเปรียบเทยี บความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความรับผิดชอบ ท่ีมี เพศตา่ งกัน 4.22 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความสามารถ จาแนกตามเพศ

ซ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.23 แสดงผลการเปรียบเทียบความตอ้ งการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน 64 เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความสามารถ ที่มีเพศ 65 ตา่ งกัน 65 4.24 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 66 ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 66 ดา้ นการเข้าถึงได้ จาแนกตามเพศ 67 4.25 แสดงผลการเปรยี บเทยี บความตอ้ งการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน 67 เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการเข้าถึงได้ ท่ีมีเพศ 68 ตา่ งกนั 68 4.26 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความสุภาพ จาแนกตามเพศ 4.27 แสดงผลการเปรียบเทยี บความตอ้ งการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จังหวดั เลย ด้านความสุภาพ ท่ีมีเพศต่าง กัน 4.28 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นการติดตอ่ สอ่ื สาร จาแนกตามเพศ 4.29 แสดงผลการเปรียบเทยี บความตอ้ งการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการติดต่อส่ือสาร ท่ีมี เพศต่างกัน 4.30 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความน่าเชือ่ ถอื จาแนกตามเพศ 4.31 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความน่าเช่ือถือ ที่มีเพศ ต่างกัน

ฌ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.32 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 69 ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 69 ด้านความรู้ความเข้าใจลกู ค้า จาแนกตามเพศ 70 4.33 แสดงผลการเปรียบเทยี บความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน 70 เขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย ด้านความรู้ความเข้าใจลูกค้า 71 ท่มี เี พศต่างกัน 71 4.34 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 72 ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 72 ด้านสง่ิ ท่สี ามารถจบั ตอ้ งได้ จาแนกตามเพศ 73 4.35 แสดงผลการเปรยี บเทียบความตอ้ งการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสิ่งที่สามารถจับต้องได้ ทม่ี เี พศต่างกนั 4.36 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ ริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวม จาแนกตามอายุ 4.37 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวม ที่มี อายุต่างกนั 4.38 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความไว้วางใจ จาแนกตามอายุ 4.39 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความไว้ วางใจ ที่มอี ายุตา่ งกัน 4.40 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความรับผิดชอบ จาแนกตามอายุ

ญ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4.41 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 73 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความรับ 74 ผดิ ชอบ ทีม่ อี ายุต่างกัน 74 4.42 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 75 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 75 ดา้ นความสามารถ จาแนกตามอายุ 76 4.43 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 76 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความ 77 สามารถ ท่ีมอี ายุต่างกนั 77 4.44 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นการเขา้ ถึงได้ จาแนกตามอายุ 4.45 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย ด้านการเข้าถึง ได้ ทม่ี อี ายุตา่ งกนั 4.46 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความสุภาพ จาแนกตามอายุ 4.47 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความ สภุ าพ ท่มี อี ายุตา่ งกนั 4.48 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นการติดต่อส่อื สาร จาแนกตามอายุ 4.49 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการติด ต่อส่อื สาร ทม่ี อี ายุตา่ งกนั

ฎ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.50 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 78 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 78 ด้านความน่าเช่อื ถอื จาแนกตามอายุ 79 4.51 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 79 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความน่า 80 เชือ่ ถอื ท่มี อี ายุต่างกัน 80 4.52 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 81 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 81 ดา้ นความร้คู วามเขา้ ในและร้จู กั ลกู คา้ จาแนกตามอายุ 82 4.53 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความรู้ ความเขา้ ใจและรู้จกั ลกู ค้า ทมี่ อี ายุตา่ งกนั 4.54 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นส่ิงที่สามารถจบั ต้องได้ จาแนกตามอายุ 4.55 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านส่ิงท่ี สามารถจบั ตอ้ งได้ ทม่ี อี ายุตา่ งกัน 4.56 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวม จาแนกตามรายไดต้ ่อปี 4.57 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย โดยรวม ที่มี รายไดต้ อ่ ปีตา่ งกัน 4.58 แสดงผลการเปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษี ในเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย โดยรวม จาแนกตามอายุ เปน็ รายคู่ตามวธิ ีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher

ฏ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.59 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน 83 ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 83 ดา้ นความไว้วางใจ จาแนกตามรายได้ตอ่ ปี 4.60 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 84 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความไว้ 85 วางใจ ที่มรี ายไดต้ ่อปีต่างกัน 85 4.61 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความไว้วางใจ จาแนก 86 ตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) 87 ของ Fisher 87 4.62 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความรับผิดชอบ จาแนกตามรายไดต้ ่อปี 4.63 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความ รบั ผดิ ชอบ ที่มรี ายไดต้ อ่ ปีตา่ งกนั 4.64 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย ด้านความรับผิดชอบ จาแนก ตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.65 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความสามารถ จาแนกตามรายได้ตอ่ ปี 4.66 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความ สามารถ ทม่ี รี ายได้ต่อปีต่างกัน

ฐ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.67 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความสามารถ จาแนก 88 ตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) 89 ของ Fisher 89 4.68 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 90 ดา้ นการเขา้ ถึงได้ ตามรายไดต้ อ่ ปี 91 4.69 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 91 จัดเกบ็ ภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย ด้านการเข้าถึง ได้ ทีม่ รี ายได้ตอ่ ปีตา่ งกัน 92 4.70 แสดงผลการเปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน 93 เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการเข้าถึงได้ จาแนก ตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.71 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความสภุ าพ จาแนกตามรายไดต้ อ่ ปี 4.72 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความ สภุ าพ ท่มี รี ายไดต้ อ่ ปีตา่ งกัน 4.73 แสดงผลการเปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย ด้านความสุภาพ จาแนกตาม รายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.74 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการตดิ ตอ่ ส่อื สาร จาแนกตามรายไดต้ ่อปี

ฑ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.75 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 93 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านการติด 94 ตอ่ สอื่ สาร ท่ีมรี ายได้ต่อปีตา่ งกัน 94 4.76 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย 95 ดา้ นความน่าเชอ่ื ถอื จาแนกตามรายไดต้ ่อปี 96 4.77 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ 96 จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความน่า เช่ือถือ ท่มี รี ายไดต้ ่อปีต่างกัน 97 4.78 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน 98 เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความน่าเช่ือถือ จาแนก 98 ตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.79 แสดงค่าเฉลี่ย (  ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการให้บรกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นความเข้าใจและร้จู ักลูกคา้ จาแนกตามรายได้ตอ่ ปี 4.80 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความเข้า ใจและร้จู กั ลูกคา้ ท่ีมรี ายได้ต่อปีต่างกัน 4.81 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านความเข้าใจและรู้จัก ลูกค้า จาแนกตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) ของ Fisher 4.82 แสดงค่าเฉล่ีย (  ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และความต้องการของประชาชน ในการใหบ้ รกิ ารจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ดา้ นสิง่ ทีส่ ามารถจบั ตอ้ งได้ จาแนกตามรายไดต้ ่อปี 4.83 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนความต้องการของประชาชนในการให้บริการ จัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสิ่งที่ สามารถจับตอ้ งได้ ท่ีมรี ายไดต้ อ่ ปีตา่ งกัน

ฒ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.84 แสดงผลการเปรยี บเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีใน เขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ด้านสิ่งที่สามารถจับต้องได้ 99 จาแนกตามรายได้ต่อปี เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least Significant 100 Difference) ของ Fisher 4.85 แสดงจานวนและร้อยละข้อเสนอแนะเก่ียวกับความต้องการของประชาชนในการ ใหบ้ ริการจดั เก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จังหวดั เลย

สารบัญแผนภูมิ ณ แผนภมู ิท่ี หน้า 2.1 แสดงสรุปกรอบแนวคดิ ที่ใช้ในการวิจยั 39

บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ การบริหารงานท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล ที่ได้จัดต้ังข้ึนตามกฎหมาย คือ พระราชบัญญัติ เทศบาล 2496 รวมท้ังฉบับแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายน้ีบัญญัติให้เทศบาลเป็นทบวงการเมือง มีฐานะ เป็นนิติบุคคล สามารถทานิติกรรมสัญญาได้ตามท่ีกฎหมายกาหนด องค์กรเทศบาลแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยมีเท่ากับกฎหมายที่กาหนดและมาจากการเลือกต้ัง ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเทศบาลน้ัน นอกจากนี้เทศบาลยังแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ เทศบาลตาบล เทศบาลเมือง และเทศบาลนคร (วิรัช วิรัชภาวรรณ, 2548, หน้า 142) อานาจหน้าท่ี ของเทศบาลมีเฉพาะตามเท่าที่กฎหมายกาหนด เช่น อานาจในการรักษาความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน การบารุงรกั ษาทางบกและทางนา้ การรกั ษาความสะอาดของถนน และที่สาธารณะรวมท้ัง การกาจัดขยะมูลฝอยและส่ิงปฏิกูล การป้องกันโรคติดต่อ การบารุงศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ิน และใน สว่ นของพระราชบัญญัตกิ าหนดแผนและขนั้ ตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 16 ได้กาหนดให้เทศบาลมีอานาจหน้าท่ีและการจัดระบบให้บริการสาธารณะ เพ่ือประโยชน์ของประชาชน เป็นต้นว่าการจัดทาแผนพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง การส่งเสริมการ ท่องเท่ียว การจัดการศึกษา การสังคมสงเคราะห์และการพัฒนาชีวิตเด็ก สตรี คนชรา และผู้ด้อย โอกาส การส่งเสริมประชาธิปไตย ความเสมอภาคและสิทธิเสรีภาพของประชาชนตลอดจนส่งเสริม การมีสว่ นร่วมของประชาชนในการพฒั นาท้องถ่ิน ปัจจุบันสถานการณท์ างด้านเศรษฐกิจ สงั คม การเมือง และเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาตลอด เวลา ทาใหก้ ารเปลยี่ นแปลงในทกุ ด้านเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ สง่ ผลให้ภาระหน้าท่ีของเทศบาลมีเพ่ิมมาก ข้ึนทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ การลงทุนเพ่ือดาเนินการตามภาระหน้าท่ี เช่น การบาบัด น้าเสีย การกาจดั ขยะมูลฝอยและสง่ิ ปฏกิ ูล การจราจร การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ เป็น ต้น ล้วนแล้วแต่จะต้องใช้เงินเป็นจานวนมากในการก่อสร้างและบริหารจัดการ การจัดหาเงินโดย วิธีการอื่น เช่น การขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล และการขอเพ่ิมส่วนแบ่งของการจัดสรรภาษี การ ปรบั ปรงุ ฐานภาษหี รอื การขยายฐานภาษตี อ้ งใชร้ ะยะเวลาอีกนาน อกี ท้งั มกั ได้รับการคดั ค้านจาก ประชาชนหรือหน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ ง รวมถึงตัวแทนองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต่าง ๆ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) กรุงเทพมหานคร และเมือง พัทยา หรือแม้แต่เทศบาลเอง ก็ต้องต่อสู้กันเพ่ือให้ได้มาซึ่งสัดส่วนการจัดสรรภาษี และเงินอุดหนุน

2 จานวนมาก ๆ ถึงแม้รัฐบาลจะให้การส่งเสริมและสนับสนุนงบประมาณให้กับท้องถิ่นเป็นจานวนมาก โดยกาหนดให้ท้องถิ่นมีรายได้เพ่ิมขึ้นในปี พ.ศ. 2544 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของรายได้ที่รัฐบาล จัดเก็บได้ และกาหนดเป้าหมายให้รัฐจัดสรรรายได้ให้แก่ท้องถ่ินภายปี 2549 ไม่น้อยกว่าร้อยละ 35 ในขณะทขี่ อ้ เทจ็ จรงิ องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นได้รบั การจัดสรรจากรัฐในปี พ.ศ. 2549 เพียงร้อยละ 24 เท่าน้ัน การพ่ึงรายไดข้ องทอ้ งถนิ่ ทีจ่ ัดเก็บเอง จึงเป็นสิ่งแรกท่ีทุกท้องถิ่นพึงพิจารณาเพ่ือหารายได้ ให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย การดาเนินการต่าง ๆ ตามภาระหน้าที่ที่กฎหมายบัญญัติไว้ท้ังในพระราช บัญญตั เิ ทศบาล พ.ศ. 2496 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จนถึง (ฉบับท่ี 13) และพระราชบัญญัติกาหนดแผน และข้ันตอนการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 จาเป็นอย่างย่ิงท่ี เทศบาลจะต้องมีรายได้อย่างเพียงพอท่ีจะใช้ในการบริหารจัดการ ในขณะท่ีสถานการณ์ทางคลังของ เทศบาลท่ัวประเทศโดยรวม ต้องประสบกับปัญหาการมีรายได้ไม่เพียงพอท่ีจะนาไปใช้จ่ายเพ่ือจัดให้ บริการสาธารณะ และพฒั นาโครงสร้างพ้ืนฐานท้ังทางด้านเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากต้นทุนของการดาเนินงานแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงทาง เทคโนโลยเี ป็นไปอยา่ งรวดเร็ว เมื่อพิจารณาการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย หากไมไ่ ดร้ ับการอุดหนุนจากรัฐบาล อาศัยเพียงรายได้ท่ีจัดเก็บเองคงไม่เพียงพอในการพัฒนาท้องถ่ิน เทศบาลยังคงพงึ่ พิงรายได้ท่ีรัฐบาลจัดสรรให้อยู่เป็นอย่างมาก การปรับสถานภาพการคลังท้องถ่ิน จึง เป็นเร่ืองท่ีมีความจาเป็นและเร่งด่วน งานด้านบริการจึงเป็นปัจจัยด้านหน่ึงท่ีทาให้เทศบาลสามารถ จดั เกบ็ รายได้เพมิ่ ขนึ้ ดังน้นั เทศบาลตาบลเขาแกว้ ไดต้ ระหนักถงึ ความสาคัญในการให้บริการด้านการ คลัง โดยเฉพาะด้านการจัดเก็บภาษี มีการเร่งรัดและจัดพัฒนาการจัดเก็บรายได้ให้เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ สามารถเก็บได้อย่างครบถ้วนทั่วถึง เป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนได้ใช้บริการตรงกับ ความต้องการการให้บริการการจัดเก็บภาษี เทศบาลตาบลเขาแก้ว ได้มีการจัดทาแผนการจัดเก็บ รายได้และแผนปฏิบัติการของงานจัดเก็บรายได้ตลอดปี มุ่งเน้นการปรับปรุงการให้บริการในการ จัดเก็บภาษีและทาการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลภาษีท่ีต้องชาระ เช่น การจัดการด้าน ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลที่ต้องชาระภาษี เช่น การประชาสัมพันธ์เสียงตามสาย ทางวิทยุกระจายเสยี ง การแจกแผน่ พบั การปดิ ประกาศ ณ สานักงานเทศบาลตาบล การปฏิบัติข้างต้นนาไปสู่การให้บริการของเทศบาล ซึ่งต้องมีกระบวนการและขั้นตอนใน การใหบ้ ริการไม่ซับซ้อนยุ่งยาก การบริการต้องมีความเหมาะสม มีความชัดเจนในข้ันตอนของการขอ รับบริการต่าง ๆ ในส่วนของเจ้าหน้าท่ี บุคลากรผู้ให้บริการต้องเอาใจใส่และกระตือรือร้นในการให้ บริการตลอดจนสามารถให้คาแนะนาช้ีแจงข้อสงสัยแก่ผู้รับบริการ ไม่เลือกปฏิบัติในการให้บริการ ทั้งนี้เพ่ือให้ประชาชนผู้มารับบริการเกิดความประทับใจ ตรงต่อความต้องการของประชาชน และมี ทัศนคติที่ดีต่อเทศบาล ดังนั้นเพื่อให้การบริการของเทศบาลสามารถอานวยความสะดวกและตอบ

3 สนองต่อความต้องการของประชาชนได้ดียิ่งขึ้น อีกท้ังเพ่ือให้สอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการท่ีดี พ.ศ. 2546 ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอานวยความ สะดวก ตอบสนองความต้องการของประชาชน และเพ่อื ยกระดับมาตรฐานบริการท่ีเป็นความต้องการ ของประชาชน (ขวญั ตา อรยิ พทิ ยาภรณ์, 2554, หนา้ 4) จากความเป็นมาและสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาความต้องการ ของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เพื่อนาข้อมูลท่ีได้ไปปรับปรุงแก้ไขการให้บริการการจัดเก็บภาษีให้ประชาชนผู้มารับบริการได้ตรงกับ ความต้องการ ซึ่งจะช่วยทาให้เทศบาลตาบลเขาแก้ว มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มมากข้ึนและ เพยี งพอสาหรับการพฒั นาเพื่อความอยดู่ ีมสี ขุ ของประชาชนตอ่ ไป 1.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาล ตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขต เทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จังหวดั เลย 1.2.3 เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาล ตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย 1.3 สมมติฐำนของกำรวิจัย 1.3.1 การวิจยั คร้งั นไ้ี ด้ต้ังสมมติฐานไวว้ า่ ประชาชนที่มี เพศ ต่างกันมีความต้องการในการ ใหบ้ รกิ ารจัดเกบ็ ภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชยี งคาน จงั หวดั เลย แตกตา่ งกนั 1.3.2 การวจิ ัยครง้ั นี้ไดต้ ง้ั สมมตฐิ านไวว้ า่ ประชาชนท่ีมี อายุ ต่างกันมีความต้องการในการ ให้บริการจดั เกบ็ ภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย แตกตา่ งกนั 1.3.3 การวิจยั คร้งั นไ้ี ดต้ ัง้ สมมติฐานไว้วา่ ประชาชนทม่ี ี รายได้ตอ่ ปี ต่างกันมีความต้องการ ในการให้บรกิ ารจดั เกบ็ ภาษใี นเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย แตกตา่ งกัน 1.4 ขอบเขตของกำรวิจัย ในการวิจยั ครั้งน้ี ผูว้ ิจยั ได้กาหนดขอบเขตของการศึกษา ดงั นี้ 1.4.1 ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลมุ่ ตัวอย่ำง 1. ประชากรท่ีใช้ในการศึกษาคร้ังน้ี ได้แก่ ตัวแทนครัวเรือนในเขตพ้ืนท่ีที่เสียภาษี ให้แก่ เทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จานวน 1,994 ครัวเรือน หรือจานวน 1,994 คน (ใน 1 ครวั เรอื น มตี ัวแทนเปน็ ผูไ้ ปเสยี ภาษีจานวน 1 คน)

4 2. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ ตัวแทนครัวเรือนผู้เสียภาษีให้กับ เทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย จานวน 333 คน ได้จากการคานวณหากลุ่ม ตวั อย่างโดยใช้สตู ร Taro Yamane 1.4.2 ขอบเขตด้ำนเนอื้ หำ การวิจยั ครั้งน้ผี วู้ ิจยั ได้นาแนวคดิ ของ พาราซูราแมน และคณะ (Parasuraman et ai 1990, p. 46) ซึ่งได้กาหนดแนวทฤษฎีไว้ 10 ประการ แต่ผู้วิจัยได้นามาใช้ในการกาหนดขอบเขตด้านเน้ือหา จานวน 9 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความไวว้ างใจ 2) ดา้ นความรับผิดชอบ 3) ด้านความสามารถ 4) ด้านการเข้าถึงได้ 5) ดา้ นความสภุ าพ 6) ด้านการติดต่อสอ่ื สาร 7) ด้านความน่าเชอ่ื ถอื 8) ดา้ นความเข้าใจและรู้จักลูกค้า 9) ดา้ นส่ิงทสี่ ามารถจบั ตอ้ งได้ 1.4.3 ขอบเขตดำ้ นพ้นื ท่ี พน้ื ท่ีทาการวจิ ัย ได้แก่ เทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จังหวดั เลย 1.4.4 ขอบเขตดำ้ นเวลำ การวจิ ยั คร้งั นกี้ าหนดระยะเวลาระหว่าง วนั ที่ 1 ธันวาคม 2559-31 พฤษภาคม 2560 1.5 ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับจำกกำรวิจยั 1.5.1 ทาให้ทราบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาล ตาบลเขาแก้ว อาเภอเชยี งคาน จงั หวัดเลย 1.5.2 ทาให้ทราบผลการเปรียบเทียบความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บ ภาษใี นเขตเทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย 1.5.3 ทาให้ทราบข้อเสนอแนะของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขตเทศบาล ตาบลเขาแกว้ อาเภอเชียงคาน จงั หวัดเลย 1.5.4 ทาให้สามารถนาผลจากการวิจัยท่ีได้ นาเสนอเทศบาลเพื่อปรับปรุงแก้ไขการให้ บริการการจัดเก็บภาษี ตอบสนองตรงต่อความต้องการของประชาชนผู้มารับบริการได้ ซึ่งจะช่วยทา ให้เทศบาลตาบลเขาแก้ว มีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพ่ิมมากข้ึนและเพียงพอสาหรับการพัฒนา ทอ้ งถน่ิ

5 1.6 นยิ ำมศัพท์เฉพำะที่ใช้ในกำรวิจัย ควำมต้องกำร หมายถึง บริการท่ีตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างมีมาตร ฐาน สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้มาติดต่อขอรับบริการ ประกอบด้วย ความไว้วางใจความ รบั ผดิ ชอบ ความสามารถ การเข้าถงึ ได้ ความสุภาพ การติดต่อส่ือสาร ความน่าเช่ือถือ ความเข้าใจและ รูจ้ ักลกู ค้า และสง่ิ ที่สามารถจบั ตอ้ งได้ ประชำชน หมายถึง ประชาชนผู้เสียภาษีในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลย กำรให้บริกำรจัดเก็บภำษี หมายถึง ลักษณะของการให้บริการจัดเก็บภาษี ได้แก่ ภาษี โรงเรือนและที่ดิน ภาษีป้าย ภาษีบารุงท้องท่ี ตลอดจนค่าธรรมเนียม ค่าปรับ ใบอนุญาตต่าง ๆ ท่ี เทศบาล ตาบลเขาแก้วจัดเก็บเองตามกฎหมาย เทศบำลตำบล หมายถึง เทศบาลตาบลเขาแก้ว อาเภอเชียงคาน จังหวัดเลยที่จัดต้ังขึ้น ตามพระราชบญั ญัติเทศบาล พทุ ธศกั ราช 2496 และท่ีแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ควำมไว้วำงใจ หมายถึง ความเช่ือถือได้ของการให้บริการ ได้แก่ การปฏิบัติงานของ เจ้าหนา้ ทสี่ ามารถสร้างความมนั่ ใจ ความถูกต้องแมน่ ยาในการใหบ้ ริการแก่ประชาชน ควำมรับผิดชอบ หมายถึง ความพร้อมในการตอบสนอง การให้บริการท่ีสอดคล้องกับ เวลา และการใหบ้ ริการทีเ่ หมาะสม ตลอดจนสามารถชว่ ยแกป้ ัญหาใหแ้ กป่ ระชาชนไดเ้ ปน็ อย่างดี ควำมสำมำรถ หมายถึง การท่ีผู้ให้บริการมีความรู้ ความสามารถ และทักษะที่จะปฏิบัติ งานดา้ นการใหบ้ ริการได้เปน็ อย่างดี กำรเข้ำถึงได้ หมายถึง การที่ประชาชนสามารถติดต่อขอรับบริการได้อย่างสะดวกและใช้ บริการได้หลายช่องทาง โดยครอบคลุมถึงเวลาเปิดดาเนินการ สถานที่ต้ัง และวิธีการอ่ืนที่จะเอ้ือ อานวยความสะดวกในการให้บริการ ควำมสุภำพ หมายถึง การที่ผู้ให้บริการมีความสุภาพ เรียบร้อย มีความนับถือในตัว ผู้รบั บริการ มีความเอาใจใส่ และมคี วามเป็นมิตรต่อผ้รู บั บรกิ าร กำรติดต่อสื่อสำร หมายถึง การสื่อสารและการให้ข้อมูลแก่ผู้รับบริการด้วยภาษาที่เข้าใจ งา่ ย รวมทง้ั รบั ฟงั ความคดิ เห็นและข้อเสนอแนะ หรอื คาตชิ มของผรู้ บั บรกิ ารในเรอื่ งต่าง ๆ ควำมน่ำเช่ือถือ หมายถึง สามารถสร้างความเชื่อม่ันความไว้วางใจในบริการโดยเสนอ บรกิ ารทดี่ ีทีส่ ุดให้แกผ่ ูร้ บั บริการ ควำมเข้ำใจและรู้จักลูกค้ำ หมายถึง ความพยายามท่ีจะเข้าใจและรับรู้ถึงความต้องการ ของผรู้ ับบริการ สิ่งท่ีสำมำรถจับต้องได้ หมายถึง ลักษณะภายนอกท่ีสามารถมองเห็นได้ของบุคลากร อปุ กรณท์ ใ่ี หบ้ ริการ รวมถงึ สอ่ื ตา่ ง ๆ ทเ่ี ผยแพรอ่ อกไปวา่ มีความเหมาะสม สวยงามและทนั สมัย

6 เพศ หมายถึง เพศ ของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 2 เพศ คือ 1) เพศชาย และ 2) เพศหญิง อำยุ หมายถงึ อายุ ของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 3 ช่วงอายุ คอื 1) อายุไม่เกนิ 30 ป,ี 2) อายุระหว่าง 31-40 ปี และ 3) อายุมากกว่า 40 ปขี ้ึนไป ระดับกำรศึกษำ หมายถึง ระดับการศึกษาของผู้ตอบแบบสอบถามสาหรับสารนิพนธ์ฉบับ นี้ แบง่ เป็น 1) ประถมศกึ ษา, 2) มัธยมศกึ ษา, 3) อนปุ ริญญาหรือปวส.} 4) ปริญญาตรี, 5) ปริญญาโท และ 6) ปริญญาเอก อำชีพ หมายถึง อาชีพของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับงานสารนิพนธ์ฉบับน้ี แบ่งเป็น 6 ช่วง อาชพี คือ 1) เกษตรกรรม, 2) รับจ้างท่ัวไป, 3) ธุรกิจส่วนตัว, 4) รับราชการ, 5) พนักงานบริษัท และ 6) อน่ื ๆ รำยได้ต่อปี หมายถึง รายได้เฉล่ียต่อปีของผู้ตอบแบบสอบถาม สาหรับสารนิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งเป็น 3 ช่วง คือ 1) ไม่เกิน 50,000 บาท, 2) ระหว่าง 50,001-100,000 บาท และ 3) มากกว่า 100,001 บาท

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่เี ก่ียวข้อง การศึกษาวิจัยเร่ือง “ความต้องการของประชาชนในการให้บริการจัดเก็บภาษีในเขต เทศบาลตาบลเขาแกว้ อาเภอเชยี งคาน จังหวัดเลย” ผู้วิจัยได้ทาการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัย ที่เกี่ยวขอ้ ง เพื่อเปน็ แนวทางการวจิ ยั ตามลาดับดังนี้ 2.1 แนวคดิ เกยี่ วความต้องการ 2.2 แนวคดิ และทฤษฎีเก่ียวกับหลกั การใหบ้ รกิ าร 2.3 แนวคิดเกยี่ วกับการจัดเก็บภาษที ้องถ่นิ 2.4 แนวคดิ เกย่ี วกับเทศบาลตาบล 2.5 บรบิ ทพน้ื ในการวิจัย 2.6 งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวขอ้ ง 2.7 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 2.1 แนวคิดเก่ียวกบั ความตอ้ งการ 2.1.1 ความหมายของความตอ้ งการ กรองแก้ว อยู่สุข (2535, หน้า 47) อธิบายถึงความต้องการของคนว่ามีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ยากที่จะกาหนดตายตัวลงไป การเปล่ียนแปลงข้ึนอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น อายุ การศึกษา รายได้ สถานภาพ รวมถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ท่ีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ด้วยการอ่าน ความตอ้ งการของคนวา่ เขาต้องการส่ิงใด ด้วยการถามเจ้าตัวโดยตรงไม่อ้อมค้อม เป็นวิธีการที่ถูกต้อง แต่ไม่ดีท่ีสุด เพราะคนจานวนมากรู้สึกว่าเป็นการยากท่ีจะพูดถึงความต้องการของตนเองให้คนอื่นฟัง ดังนั้นการท่ีจะทราบถึงความต้องการของแต่ละคนด้วยการสังเกต แต่หลีกเล่ียงการใช้ความต้องการ ของตัวเราเปน็ เกณฑ์ ว่าคนอืน่ มคี วามต้องการเหมือนเรา วิจิตร อาวกุล (2535, หน้า 58) กล่าวว่า ความต้องการของมนุษย์ หมายถึง สภาวะท่ี บคุ คลยังขาดหรอื ไมม่ ีส่ิงใดสงิ่ หน่ึง และมีความต้องการที่จะมีหรือให้ได้มาซ่ึงส่ิงเหล่าน้ัน ซ่ึงสิ่งที่มนุษย์ ยังขาดอยู่ ยังต้องการแต่ไม่มี ไม่ได้นี้ จะเกิดช่องว่างความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย ความต้องการหาก ไม่ได้รับการบาบัดให้เป็นท่ีน่าพอใจตามสมควรแล้ว จะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ การพัฒนาการ ตา่ ง ๆ เป็นอยา่ งยิง่

8 วิรัชฏ์ คงคะจันทร์ (2535, หน้า 66) กล่าวว่า ความต้องการ หมายถึง สภาวะที่บุคคลยัง ขาดหรือยังไม่มีส่ิงใดสิ่งหน่ึงและมุ่งให้ได้มาซ่ึงส่ิงนั้น สภาวะท่ีบุคคลยังขาดหรือยังไม่มีสิ่งใดสิ่งหน่ึง ก็คือช่องว่างอันเกิดขึ้นจากส่ิงที่บุคคลมีอยู่กับสิ่งที่บุคคลปรารถนา ถ้าหากบุคคลไม่ได้มาซึ่งส่ิงท่ีตน ปรารถนาน้ีแล้ว จะทาให้บุคคลอยู่ในสภาวะท่ีพยายามขวนขวายให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้นอยู่เรื่อย ๆ และ ความปรารถนาของบุคคลในสิ่งตา่ ง ๆ มักจะเปลยี่ นแปลงตามสภาพแวดล้อม สรุป ความต้องการ หมายถึง สภาพที่ขาดสิ่งใดสิ่งหน่ึงของบุคคล การสูญเสียความสมดุล ทางร่างกายหรือจิตใจของมนุษย์ และมนุษย์จะพยายามทาตนให้อยู่ในสภาพที่สมดุล และทาให้เกิด ความต้องการท่ีจะให้ได้ส่ิงที่ขาดหาย เพ่ือตอบสนองความต้องการของตนเอง ซ่ึงความต้องการแต่ละ บุคคลจะไม่อยู่น่ิง จะมีความต้องการอยู่ตลอดเวลา หากยังไม่ได้รับการตอบสนองความต้องการ เหล่านัน้ 2.1.2 ประเภทของความตอ้ งการ ประเภทของความต้องการ มีนักวิชาการได้แบ่งความต้องการออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ กมลรัตน์ หล้าสุวรรณ (2544, หน้า 33) ได้แบ่งความต้องการออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) ความต้องการทางด้านร่างกาย ซึ่งเกิดจากภายในร่างกาย ได้แก่ ความต้องการอาหาร น้า เป็นต้น และ 2) ความต้องการด้านจิตใจ ซึ่งเกิดข้ึนจากสังคม ได้แก่ ความต้องการความรัก ความมีชื่อเสียง เป็นตน้ มาสโรว์ (Maslow, 1968, p. 351) อ้างใน เสนาะ ติเยาว์ (2546, หน้า 58) ได้อธิบาย ทฤษฎีความต้องการว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีความต้องการให้กับตนเองท้ังสิ้น และความต้องการนั้นมี มากมายต่างกัน ซ่ึง Maslow ได้จัดลาดับความต้องการของมนุษย์จากข้ันต่าสุดไปถึงขั้นสูงสุด ไว้ดังนี้ 1) ความตอ้ งการทางดา้ นรา่ งกาย 2) ความต้องการทางด้านความปลอดภัย 3) ความต้องการทางด้าน ความรักและความเป็นเจ้าของ 4) ความต้องการท่ีจะเป็นท่ียอมรับและยกย่องจากคนอ่ืน และ 5) ความต้องการทีจ่ ะตระหนักในความสามารถของตนเอง วิจิตร อาวะกุล (2537, หน้า 47) ได้แบง่ ความตอ้ งการของมนุษย์ ดงั นี้ 1) ความม่นั คงในการทางาน (Security) หมายถงึ งานทตี่ นทาอยนู่ ัน้ มีความยั่งยืนไม่เลิกล้ม งา่ ย ๆ และมีฐานะทางการเงินดี สามารถฝากชวี ติ อนาคตได้ แตถ่ า้ บริษัทหรอื หน่วยงานไม่มั่นคง จิตใจ ของผู้ทางานจะหวั่นไหวกลัวตกงาน ต้องแสวงหาบริษัทหรือหน่วยงานที่ม่ันคง หากมีการลาออก เปลีย่ นงานคอ่ นข้างสงู แสดงว่าหนว่ ยงานนนั้ ไมม่ ีความม่ันคง 2) การยอมรับนับถือ (Recognition) คือ การที่ทุกคนต้องการมีเกียรติยอมรับนับถือใน ความรู้ความสามารถ ไม่มีการแบ่งคุณวุฒิ สถาบันการศึกษา หรือมีการดูหม่ินเหยียดหยามในความรู้ ความสามารถ หรือการแบ่งฐานะทางเศรษฐกจิ

9 3) ความก้าวหน้า (Opportunity) เป็นความต้องการที่มีโอกาสก้าวหน้าสูงข้ึนมีความ ก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน ได้เงินเดือนเพิ่มข้ึน ได้เลื่อนตาแหน่งสูงข้ึน ได้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศ รจู้ ักคนมากขึน้ ไดช้ ว่ ยเหลอื สังคม ทางานใหห้ น่วยงานเพิ่มข้นึ ความกา้ วหน้าทาให้คนมีกาลังใจในการ ทางานและเปน็ ความตอ้ งการของมนุษย์ท่คี ุกรุ่นอยูภ่ ายในดว้ ยกันทกุ คน 4) ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ (New experience) การได้รับการฝึกอบรมศึกษาดู งาน การเปลีย่ นการดารงตาแหนง่ ต่าง ๆ หรือการเป็นกรรมการต่าง ๆ ยอ่ มทาให้คนเราไม่ซ้าซากจาเจ ท่ที าให้เบื่อหนา่ ย ทาใหก้ ระฉับกระเฉง ซ่ึงถอื ว่ามนษุ ย์ได้รับประสบการณใ์ หม่ ๆ 5) การมเี สรภี าพ (Freedom) การทคี่ นเรามีความตอ้ งการเสรภี าพในการทางาน ทางานได้ คล่องตัวไมอ่ ดึ อดั กบั กฎระเบยี บขอ้ บังคับ มีโอกาสแสดงความคิดเห็นทางการพูด การเขียน ไม่ถูกกดข่ี มีสิง่ อานวยความสะดวกตามสมควร 6) การยอมรับนับถือเป็นส่วนหน่ึงหรือมีส่วนร่วมในงาน (Belonging) มนุษย์มีความ ต้องการให้กลมุ่ ยอมรับว่าเปน็ พวกเดยี วกัน ไม่ต้องการความรู้สกึ วา่ เปน็ คนละพวก 2.1.3 แนวคดิ ทฤษฎเี กี่ยวกับความตอ้ งการ มาสโรว์ (Maslow 1972, p. 235) อ้างใน ชาญชัย อาจินสมาจาร (2535, หน้า 3) ได้ แสดงความคดิ ว่าความต้องการของคนเป็นจุดเริม่ ตน้ ของกระบวน โดยไดต้ ง้ั สมมตฐิ านไวว้ ่า 1) คนมคี วามตอ้ งการอย่เู สมอ และความต้องการของคนไม่มีท่ีสนิ้ สดุ 2) ความต้องการอย่างหน่ึงอย่างใดที่ได้รับการสนองแล้วจะไม่เป็นส่ิงที่ก่อให้เกิดพฤติ กรรมอีก 3) ความต้องการของคนจะเรียงลาดับตามความสาคัญเมื่อความต้องการอย่างหน่ึงได้รับ การตอบสนองแล้ว ความตอ้ งการอย่างอืน่ ในระดบั สงู ขึ้นจะเกิดข้ึนมาทันที กิตติ พยัคคานนท์ (2550, หน้า 104) ได้กล่าวถึงความต้องการทางจิตใจตามทฤษฎีของ Bayton วา่ มนษุ ย์มีความตอ้ งการทางจติ ใจ 3 ประการ คอื 1) ความต้องการความรักและการมีพวก เป็นความต้องการข้ันต้นของมนุษย์เนื่องจากคน ต้องอยใู่ นสงั คม 2) ความตอ้ งการมีชื่อเสียง เกียรตยิ ศ และความเด่น มนุษย์เมื่อได้รับความรักของพวกพ้อง แลว้ จะต้องมอี ิทธิพลเหนอื คนอนื่ ให้คนยอมรับ 3) ความต้องการที่ต้องรักษาช่ือเสียง เกียรติยศ และความเด่นตลอดเวลา ซ่ึงมนุษย์เป็น ความสาเรจ็ สูงสดุ ในการดารงชีวติ ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า ความต้องการ หมายถึง สภาวะใดสภาวะหน่ึงที่บุคคลขาดส่ิงใดสิ่งหนึ่ง จาเป็นต้องกระทาส่ิงท่ีขาดหายให้เกิดความสมดุลเพ่ือตอบสนองความต้องการทุกอย่างจาเป็นท่ี น่าพอใจ ท้ังร่างกายและจิตใจของบุคคลนั้น ๆ ความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ได้อยู่นิ่ง สามารถ เปล่ียนแปลงไดต้ ลอดเวลา

10 2.2 แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกับหลกั การใหบ้ รกิ าร ปจั จบุ ันองค์การทงั้ ภาครฐั และเอกชนท่มี ่งุ การใหบ้ รกิ ารเป็นสินค้าหลักนั้น ต่างมุ่งเน้นสร้าง ภาพพจน์และคุณภาพของการบริการเพ่ือตอบสนองต่อความต้องการของผู้รับบริการ ดังน้ันการให้ บริการท่ีดีและมีคุณภาพ จึงจาเป็นต้องประยุกต์ใช้แนวคิดทางจิตวิทยาในการให้บริการคือแนวคิด จิตวิทยาและจิตวิทยาเชิงพุทธ ผสมผสานเข้าด้วยกันในลักษณะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ในอันที่จะ เสรมิ สร้างกลยทุ ธก์ ารให้การบรกิ ารและการพัฒนาทกั ษะการใหก้ ารบรกิ ารท่เี น้นคุณภาพและประสิทธิ ภาพ เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายของการสร้างความพึงพอใจสูงสุดเกินคาดแก่ผู้รับบริการและ ชว่ ยให้องค์การประสบความสาเร็จตามเปา้ หมาย 2.2.1 ความหมายของการใหบ้ ริการ การบริการ (Service) หมายถึง กิจกรรมหรือปฏิบัติการใด ๆ เพ่ือช่วยเหลือในการ ดาเนินงานที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่ืน (Hospitality) ซึ่งเป็นการปฏิบัติด้วยความตั้งใจ สนใจดูแล เอาใจ ใส่อยา่ งมไี มตรจี ิต ส่งผลให้เกิดความพงึ พอใจ โดยไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลากหลายดงั เช่น กรอนรอส (Groonroos, 1990, p. 149) ได้ให้คานิยามไว้ว่า การบริการ หมายถึง กิจ กรรมหนึ่งหรือกิจกรรมหลายอย่างที่มีลักษณะไม่อาจจับต้องได้ ซึ่งโดยทั่วไปไม่จาเป็นต้องทุกกรณีท่ี เกิดข้ึนจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับพนักงานบริการและหรือลูกค้ากับบริษัทผลิตสินค้ากับ ระบบของการให้บริการไดจ้ ดั ไว้ เพื่อชว่ ยผอ่ นคลายปญั หาของลูกคา้ คอตเลอร์ (Kotler, 1997, p. 347) ได้ให้คานิยามไว้ว่าการบริการ หมายถึง กิจกรรมหรือ ปฏิบัติการใด ๆ ที่กลุ่มบุคคลหน่ึงสามารถนาเสนอให้อีกกลุ่มบุคคลหนึ่งซ่ึงไม่สามารถจับต้องได้และ ไม่ได้ส่งผลของความเป็นเจ้าของสิ่งใด ท้ังนี้การกระทาดังกล่าวอาจจะรวมหรือไม่รวมอยู่กับสินค้าท่ีมี ตวั ตนได้ ศิริวรรณ เสรีรัตน์ (2538, หน้า 53) และคณะได้ให้ความหมายบริการว่า เป็นกิจกรรม ผลประโยชนห์ รือความพงึ พอใจทส่ี นองความต้องการแกผ่ ้ทู เี่ กี่ยวข้องและมารบั ประโยชนน์ ้นั สมชาติ กิจยรรยง (2543, หน้า 58) ได้ให้ความหมายของการบริการในความหมายโดย รวมว่าหมายถึงการช่วยเหลือ หรืออนุเคราะห์ หรือให้ความสะดวกเป็นกิจกรรมที่ทาเพื่อผู้อ่ืนตาม หนา้ ท่ีการงาน สมิต สัชณุกร (2543, หนา้ 124) ได้ใหแ้ นวคดิ เกย่ี วกบั การบรกิ ารไวว้ ่า การบรกิ ารเป็นการ ปฏิบตั งิ านทก่ี ระทาหรือตดิ ตอ่ เกีย่ วข้องกับผู้ใช้บริการ ให้เขาได้ใช้ประโยชน์ทางใดทางหน่ึง ด้วยความ พยายามใด ๆ ก็ตามและด้วยวิธีที่หลากหลาย ให้คนต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องได้รับความช่วยเหลือซึ่งแยก พจิ ารณาลักษณะของการบรกิ ารได้ดงั น้ี 1) เป็นพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกต่อผู้อื่น ซึ่งจะเห็นได้จากการกระทาโดยแสดงออกใน ลกั ษณะของสหี นา้ แววตา กริยาท่าทาง คาพดู และน้าเสียง โดยพฤติกรรมท่ีปรากฏใหเ้ ห็นจะเกิดผลได้ ทันที และแปรผลได้รวดเรว็

11 2) เป็นการกระทาท่ีสะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดและจิตใจ การบริการจะข้ึนอยู่กับความคิด ของผู้ใหบ้ ริการท่จี ะแสดงออกถงึ อารมณ์ ความร้สู ึก ความเช่ือ ความปรารถนาและคา่ นยิ ม 3) เปน็ ส่งิ ทบี่ คุ คลไดก้ ระทาขนึ้ เช่อื มโยงถงึ ผลประโยชนข์ องผูร้ ับบรกิ าร ศภุ นิตย์ โชครตั นชัย (2536, หน้า 96) ได้ใหค้ าจากัดความของการบริการไว้ว่า “การบริการ เปน็ กระบวนการของการปฏบิ ัติตนเพอ่ื ผูอ้ ่นื ในอนั ทจี่ ะทาให้ผอู้ ื่นได้รับความสุข ความสะดวก หรือความ สบาย” นอกจากนี้ การบริการยังเป็นการกระทาท่ีเกิดจากจิตใจท่ีเป่ียมไปด้วยความปรารถนาดี ช่วยเหลือ เกื้อกูล เอื้อเฟ้ือเผ่ือแผ่ เอ้ืออาทรมีน้าใจไมตรีให้ความสะดวกรวดเร็วให้ความเป็นธรรมและ ความเสมอภาค ซ่ึงการให้บริการจะมีท้ังผู้ส่งและผู้รับ กล่าวคือ ถ้าเป็นการบริการท่ีดีเมื่อผู้ให้บริการไป แลว้ ผู้รบั บริการจะเกดิ ความประทับใจ หรอื เกดิ ทศั นคติที่ดีต่อการบริการดังกล่าวได้ จากความหมายการบริการ ผู้วิจัยสรุปไว้ว่า การบริการ หมายถึง พฤติกรรม กิจกรรมหรือ การปฏิบัติของบุคคลเพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของท้ังผู้ให้และผู้รับ ที่สามารถ สัมผสั ได้ด้วยความรสู้ ึก 2.2.2 ทฤษฏีเก่ยี วกับการให้บริการ จากการทบทวนเอกสารท่ีเก่ียวของพบว่ามีผู้นาเสนอทฤษฏีเกี่ยวกับหลักการให้บริการไว้ ดงั นี้ แม็กซ์เวเบอร์ (Max Weber. 1966, p. 258) ได้ให้หลักการไว้ว่า การให้บริการท่ีมี ประสทิ ธภิ าพและเป็นประโยชน์มากทส่ี ุด คอื การให้บริการโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวและประเพณี วัฒนธรรมของสังคม เช่น ช่วยเหลือบริการคนบางคนเป็นพิเศษเพราะรู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว กล่าวคือ การใหบ้ รกิ ารนั้นจะต้องปฏบิ ัตติ ามกฎระเบียบที่วางไว้อย่างเคร่งครัดเพ่ือให้การกระทาของตน เป็นไปอย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพสูงสุดซ่ึง Weber ได้อธิบายว่า พฤติกรรมข้าราชการในระบบ ราชการ “ต้องปราศจากอารมณ์และความเกลียดชัง” (Wine iraet studio-Without hatred or passion) เคทซ์อิลิฮู และ เบรนด้าแดเนท (Katz Elihu and Brenda Fanet.1973, p. 369) ได้ ศึกษาการบริการประชาชน เช่น หลักการที่สาคัญของการให้บริการขององค์กรของรัฐ ประกอบด้วย หลักการ 5 ประการ คือ 1) การติดต่อเฉพาะงาน (Specificity) เป็นหลักการที่ต้องการให้บทบาทของประชาชน และเจ้าหน้าท่ีอยู่ในวงจากัด เพื่อให้การควบคุมเป็นไปตามระเบียบกฎเกณฑ์และทาได้ง่ายทั้งน้ีโดยดู จากเจ้าหน้าที่ท่ีให้บริการว่าให้บริการประชาชนเฉพาะเรื่องที่ติดต่อหรือไม่ ปฏิบัติหรือมีการสอบถาม เรื่องอ่ืนหรือไม่เกี่ยวข้องกับเร่ืองท่ีติดต่อหรือไม่ หากมีการให้บริการ ท่ีไม่เฉพาะเร่ืองและสอบถาม เร่อื งทไี่ ม่เก่ยี วข้อง นอกจากจะทาใหล้ ่าช้าแล้วยังทาใหก้ ารควบคมุ เจา้ หนา้ ทเ่ี ปน็ ไปไดย้ าก

12 2) การให้บริการที่มลี ักษณะเป็นทางการ (Universality) หมายถึง การที่ผู้ให้บริการจะต้อง ปฏิบัติต่อผู้รับบริการอย่างเป็นทางการไม่ยึดถือความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่ยึดถือการให้บริการแก่ ผรู้ ับบรกิ ารทกุ คนอยา่ งเท่าเทียมกนั ในทางปฏิบัติ 3) หลักความเสมอภาค บริการที่จัดไว้น้ันจะต้องให้แก่ผู้มาใช้บริการทุกคนอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน ไม่มีการใช้สิทธิพิเศษแก่บุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในลักษณะต่างจากกลุ่มอ่ืน ๆ อยา่ งเหน็ ไดช้ ดั 4) หลักความประหยัด ค่าใช้จ่ายท่ีต้องใช้ในการบริการจะต้องไม่มากจนเกินกว่าผลที่จะ ไดร้ ับ 5) หลักความสะดวก บริการท่ีจัดให้แก่ผู้รับบริการจะต้องเป็นในลักษณะปฏิบัติได้ง่าย สะดวก สบาย ส้นิ เปลืองทรัพยากรไม่มากนักทั้งยังไม่เป็นการสร้างความยุ่งยากใจให้แก่ ผู้บริการหรือ ผู้ใชบ้ ริการมากจนเกนิ ไป สมิต สัมชณุกร (2546, หน้า 79) ได้กล่าวว่า การบริการท่ีเป็นการให้ความช่วยเหลือหรือ ดาเนินการเพือ่ ประโยชนข์ องผู้อนื่ นัน้ จะต้องมีหลักยึดถือปฏิบัติมิใช่ว่าการให้ความช่วยเหลือหรือการ ทาประโยชน์ต่อผอู้ ่นื จะเปน็ ไปตามใจของเราผ้ซู ่ึงเป็นผู้ให้บริการ โดยทั่วไปหลักการให้บริการมีข้อควร คานึงถึงดงั น้ี 1) สอดคล้องตรงตามความต้องการของผู้รับบริการ การให้บริการต้องคานึงถึงผู้รับบริการ เป็นหลัก โดยนาความต้องการของผู้รับบริการมาเป็นข้อกาหนดให้บริการ แม้ว่าจะเป็นการให้ความ ช่วยเหลือที่เราเห็นว่าดีและเหมาะสมแก่ผู้รับบริการเพียงใดแต่ถ้าผู้รับบริการไม่สนใจหรือไม่ให้ความ สาคัญ การบรกิ ารนั้นก็อาจจะไร้คา่ 2) ทาให้ผู้รับบริการเกิดความพอใจ คุณภาพคือความพอใจของลูกค้าเป็นหลักเบ้ืองต้น เพราะฉะน้ันการบริการจะต้องมุ่งให้ผู้รับบริการเกิดความพอใจและถือเป็นหลักสาคัญในการประเมิน ผลการใหบ้ รกิ าร ไม่ว่าเราจะตั้งใจให้บริการมากมายเพียงใดก็เป็นเพียงด้านประมาณ แต่คุณภาพของ บริการวัดได้ดว้ ยความพอใจของลกู ค้า 3) ปฏิบัติโดยถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน การให้บริการซึ่งจะสนองตอบความต้องการและ ความพอใจของผู้รับบริการที่เห็นได้ชัดคือการปฏิบัติที่ต้องการตรวจสอบความถูกต้องและความ สมบรู ณ์ครบถ้วน เพราะหากมีข้อผิดพลาดขาดตกบกพร่องแล้วก็ยากท่ีจะทาให้ลูกค้าพอใจแม้จะมีคา ขอโทษขออภัยกไ็ ด้รบั เพียงความเมตตา 4) เหมาะสมแก่สถานการณ์ การให้บริการท่ีรวดเร็วหรือให้บริการตรงตามกาหนดเวลาท่ี เป็นสาคัญ ความล่าช้าทาให้การบริการไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ นอกจากการให้บริการที่ทันต่อ กาหนดเวลาแลว้ ยังตอ้ งพิจารณาถึงความเร่งรีบของลกู ค้าและสนองตอบใหร้ วดเรว็ กอ่ นกาหนดดว้ ย 5) ไมก่ ่อผลเสยี หายแกบ่ ุคคลอ่ืน ๆ การให้บริการในลักษณะใดก็ตามจะต้องพิจารณาอย่าง รอบคอบ ไม่มุ่งเอาแต่ประโยชน์ที่จะเกิดแก่ลูกค้าและฝ่ายเราเท่านั้น แต่จะต้องคานึงถึงผู้เกี่ยวข้อง

13 หลายฝ่ายรวมทั้งสงั คมและสิง่ แวดลอ้ ม ควรยดึ หลกั การให้บริการว่า จะต้องระมัดระวังไม่ทาให้เกิดผล กระทบทาความเสียหายให้แกบ่ ุคคลอน่ื ๆ ด้วย จากแนวคิดของนักวิชาการท่ีผ่านมาข้างต้นสรุปความหมายได้ว่า หลักการให้บริการที่ดี จะต้องสอดคล้องกับความต้องการของบุคคลส่วนใหญ่ เช่น ความเสมอภาคในการให้บริการความ สม่าเสมอในการบริการ การให้บริการท่ีตรงต่อเวลา การให้บริการอย่างเพียงพอและต่อเนื่องและต้อง มกี ารพฒั นาระบบการให้บรกิ ารใหม้ ีประสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ขึ้น 2.2.3 แนวคิดเกี่ยวกับหลกั การใหบ้ ริการ จินตนา บุญบงการ (2539) ได้กล่าวถึงหลักการของการให้บริการว่า เป็นสิ่งจับต้องสัมผัส แตะต้องอาศัยได้ยาก และเสื่อมสูญสภาพไปได้ง่าย บริการจะทาขึ้นทันทีและส่งมอบให้ผู้รับบริการ ทันทีหรือเกือบจะทันที ดังนั้นการบริการจึงเป็นกระบวนการของกิจกรรมของการส่งมอบบริการจาก ผูใ้ ห้ไปยังผรู้ บั บรกิ าร ไมใ่ ช่ส่งิ ทจ่ี บั ต้องไดช้ ัดเจน แตอ่ อกมาในรูปแบบของเวลา สถานที่รูปแบบ และท่ี สาคญั เป็นสิ่งท่เี อ้อื อานวยทางจติ ใจ ทาให้เกิดความพึงพอใจ คาว่าการบริการ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า SERVICE ซ่ึงถ้าหากหาความหมายดี ๆ ให้กับอักษรภาษาอังกฤษ 7 ตัวน้ี อาจได้ความหมายของการ บริการท่สี ามารถยดึ เป็นหลกั การปฏิบตั ิไดต้ ามความหมายของอักษร ท้ัง 7 น้ีคอื S = Smiling & Sympathy ยิ้มแย้มและเอาใจเขามาใส่ใจเรา เห็นอกเห็นใจต่อความ ลาบากยงิ่ ยากของผมู้ ารับการบรกิ าร E = Early F\\Response ตอบสนองตอ่ ความประสงคจ์ ากผู้รบั บริการอยา่ งรวดเร็ว R = Respectful แสดงออกถงึ ความนบั ถือใหเ้ กยี รตผิ ู้รับบรกิ าร V = Voluntariness Manner การให้บริการที่ทาอย่างสมัครใจเต็มใจทาไม่ใช่ทางานอย่าง เสยี ไมไ่ ด้ I = Image Enhancing การรักษาภาพลักษณ์ของผู้ให้บริการและภาพลักษณ์ขององค์กร ด้วย C = Courtesy ความออ่ นนอ้ ม อ่อนโยน สุภาพ มีมารยาทดี E = Enthusiasm ความกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นขณะให้บริการและให้บริการว่าผู้รับ บรกิ ารคาดหวังเอาไว้ 2.2.4 ลกั ษณะของการบรกิ าร ปณิศาลัญ ชานนท์ (2548, หน้า 38) ได้กล่าวถึง ลักษณะบริการว่าสามารถจาแนกออก เป็น 4 ประการ ดังนี้ 1) ไม่สามารถจับต้องได้ (Intangibility) หมายความว่า ผู้บริโภค (ลูกค้าท่ีคาดหวัง) ไม่ สามารถรู้สึกมองเห็น ได้ยิน ล้ิมรส หรือได้กล่ิน ทาให้ไม่สามารถทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ก่อนท่ีจะทาการ ซ้ือ เช่น การทาศัลยกรรม หรือการโดยสารบนเครื่องบิน ส่ิงเหล่าน้ีผู้บริโภคไม่สามารถรู้ผลของการ

14 บริการได้จนกว่าจะมีการผา่ ตดั หรอื การเดนิ ทางจริง ทาให้ผู้บริโภคพยายามจะแสวงหาส่ิงท่ีจะบ่งบอก ถึงคุณภาพของการบริการ (Service Quality) เพ่ือทาให้ตัวเองเกิดความเช่ือมั่นท่ีจะใช้บริการนั้น ๆ นักการตลาดจึงต้องพยายามทาให้บริการมีความสามารถในจับต้องได้ให้มากที่สุดโดยโปรแกรมการ ส่งเสริมการตลาดควรช้ีให้เหน็ ถึงประโยชนท์ ี่จะไดร้ ับการบริการอย่างชัดเจนมากว่าท่ีจะเน้นตัวบริการ เทา่ นั้น 2) ความไม่สามารถแบง่ แยกได้ (Service Inseparability) หมายความวา่ การผลิตและการ บริโภคเกิดข้ึนในขณะเดียวกัน ในประเด็นน้ีจะตรงข้ามกับการผลิตสินค้าซึ่งเร่ิมจากการนาวัตถุดิบมา ผลิต แลว้ นาไปเก็บไว้ในคลงั สินคา้ และหลังจากที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจึงจะเกิดการบริโภคส่วนบริการ นั้นเริ่มจากการท่ีผู้บริโภคตัดสินใจซ้ือแล้วจังจะเกิดการผลิตและการบริโภคในขณะเดียวกัน เช่น ผูบ้ ริโภคตดั สนิ ใจว่าจะตัดผมท่ีร้านนี้แล้วช่างตัดผมจึงเริ่มกระบวนการผลิต (การตัดผม) และผู้บริโภค ได้รบั ทรงผมใหมใ่ นขณะเดยี วกัน 3) ความไม่แน่นอน (Service Variability) กล่าวคือ คุณภาพในการให้บริการจะผันแปร ไปตามผู้ให้บริการ และข้ึนอยู่กับว่าให้บริการเม่ือไหร่ ท่ีไหน และอย่างไร ตัวอย่าง ภาพรวมการให้ บริการของโรงแรมแมรอิ อท (Marriott) อาจสงู กวา่ มาตรฐานทว่ั ไป แตก่ ารให้บริการของพนักงานภาย ในโรงแรมแต่ละคนอาจไม่เหมอื นกนั บางคนอาจให้บริการดีกว่าอีกคนหน่ึง ซ่ึงทาให้การให้บริการเกิด ความไมแ่ นน่ อน เปน็ ตน้ 4) ความไม่สามารถเก็บไว้ได้ (Perish Ability) บริการเป็นส่ิงท่ีไม่สามารถเก็บไว้ในโกดัง หรอื คลงั สินคา้ เม่ือบริการเกิดข้นึ นักการตลาดจะไม่สามารถเก็บไว้เพื่อขายหรือใช้ในภายหลังได้ความ ไม่สามารถเก็บไว้ได้ และไม่เกิดปัญหาถ้าอุปสงค์ท่ีมีต่อบริการนั้นคงที่แต่เม่ืออุปสงค์ที่มีต่อบริการมี ความผันผวนมาก จะทาให้เกิดอุปสรรคในการบริหาร เช่น ในช่วงที่ไม่ใช่วันหยุดเทศกาลโรงแรมและ รสี อร์ทตา่ ง ๆ จะคิดราคาห้องพักในระดับต่า หรือกรณีของร้านอาหารจ้างพนักงานชั่วคราวเพื่อเสิร์ฟ อาหารในชว่ งทมี่ ลี ูกค้ามาก 2.2.5 ความสาคัญของการบรกิ าร สมชาติ กิจยรรยง (2543 หน้า 39) ได้กล่าวถึงความสาคัญของการบริการเป็นการให้ บริการท่ดี ีและมีคุณภาพจากตวั บุคคลซ่ึงต้องอาศัยเทคนิค กลยุทธ์ ทักษะและความแนบเนียน ต่าง ๆ ที่จะทาให้ชนะใจลูกค้า ผู้ที่มาติดต่อธุรกิจ หรือบุคคลท่ัวไปที่มาใช้บริการจึงถือได้ว่ามีความสาคัญ อย่างยิ่ง ในปัจจุบันนี้ การให้บริการสามารถกระทาได้ ทั้งก่อนและในระหว่างการติดต่อหรือภายหลัง การติดต่อโดยได้รับการบริการจากตัวบุคคลทุกระดับภายในองค์กร รวมท้ังผู้บริการขององค์กรน้ัน ๆ การบริการท่ีดีจะเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ติดต่อกับองค์กรธุรกิจเกิดความเชื่อถือศรัทธา และการสร้าง ภาพลักษณ์ซงึ่ จะมีผลในการจดั ซ้ือหรือบริการอน่ื ๆ ในโอกาสหนา้

15 จิตตินันท์ เดชนะคุปต์ (2545 หน้า 87) ได้กล่าวว่า ความสาคัญของการให้บริการให้เกิด ในจิตใจให้บริการต้องเร่ิมจากการมีทัศนคติท่ีดีในการบริการ หากทุกคนมีจิตสานึกในการให้บริการ และถอื วา่ ทุกคนในบริษัทมีความรับผิดชอบร่วมกัน ทุกคนล้วนเป็นทูตในความสัมพันธ์กับลูกค้า ความ ผิดพลาดบกพร่องในหน้าท่ี บกพร่องในการบริการ จะมีผลต่อลูกค้าและเป็นการบ่อนทาลาย ช่ือเสียง ของบรษิ ทั ในทส่ี ุดฉะนั้นผู้ให้บรกิ ารจะตอ้ งคดิ ให้ไดเ้ สมอว่า 1) ลกู ค้าต้องถกู เสมอ 2) ผ้ใู ห้บริการเปน็ พระเอกไมไ่ ดเ้ ป็นแค่ตัวพระรอง 3) งานบรกิ ารเปน็ งานผู้ให้ 4) งานบริการเปน็ งานฝกึ ระดบั จติ ใจ 5) รกั งานบรกิ ารต้องทาใจและอดทน 6) บรกิ ารอย่างเอาใจลูกค้ามาใส่ใจเรา 7) ยอมรับความแตกต่างของลูกคา้ 8) บรกิ ารลูกค้าเสมอื นญาตขิ องตนเอง 9) บรกิ ารเสมอื นเปน็ เจ้าของกิจการ ลกั ษณะที่ดขี องผู้ใหบ้ รกิ ารต้อนรับ 1) แต่งกายเรยี บรอ้ ย 2) พดู จาชัดเจน มหี างเสยี งไพเราะ 3) ทาตนเปน็ คนสุภาพ สง่าผ่าเผย 4) ย้มิ อยูเ่ สมอ ทง้ั ใบหนา้ ดวงตา และริมฝีปากเปน็ ยมิ้ ทีส่ ดชื่นประทบั ใจ 5) หลักเล่ยี งคากล่าวปฏิเสธ แตต่ ้องพยายามหลีกเล่ียงการรับคาที่ยงั ไม่แนใ่ จ 6) แสดงใหป้ รากฏชัดว่าเต็มใจใหบ้ ริการ 7) หลกี เลี่ยงการโตแ้ ย้งหรอื ฉนุ เฉียว ใสอ่ ารมณ์โกรธตอ่ ผ้มู าตดิ ต่อทุกกรณี 8) ระลกึ ไว้เสมอวา่ ความอดกล้ันรกั ษาอารมณข์ ุน่ มัวนัน้ คืองานหรือหน้าทีข่ องเรา 9) ยกใหป้ ระชาชนผูม้ าติดต่อเป็นผู้ชนะหรือถูกเสมอ สรุปได้ว่า แนวความคิดในการให้บริการเพ่ือให้การบริการบรรลุถึงวัตถุประสงค์และ เป้าหมายของการบริการน้ัน ผู้ให้บริการจะต้องยึดถือลูกค้าเป็นหลัก ว่าถูกต้องเสมอ ดังคากล่าวท่ีว่า ลูกค้าคอื พระเจา้ พนกั งานบริการเป็นพระเอก เพราะจะตอ้ งแสดงบทบาทให้ดี เพื่อให้ลูกค้าประทับใจ และกลับมาเพื่อใช้ซ้า การบริการเป็นผู้ให้ จะต้องมีจิตใจอดทน เอาใจลูกค้ามาใส่ใจเรายอมรับลูกค้า เปน็ เสมอื นญาตขิ องเราเอง และบริการลูกค้าเปรียบเสมือนเราเป็นเจ้าของกิจการเสียเอง ซ่ึงพนักงาน จะต้องมีลกั ษณะที่ดี คือ แต่งกายเรียบร้อย พูดจาชัดเจน มีหางเสียงไพเราะ ทาตนเป็นคนสุภาพ สง่า ผา่ เผย ยิ้มแย้ม แจ่มใสอยู่เสมอ ทั้งใบหน้า และดวงตา และริมฝีปาก หลีกเลี่ยงคากล่าวปฏิเสธ แสดง

16 ให้ปรากฏชดั เจนวา่ เตม็ ใจให้บรกิ าร ไม่มีอารมณ์ฉุนเฉียว ใส่อารมณ์ต่อลูกค้า ระลึกเสมอว่าต้องอดทน อดกลนั้ ยกใหล้ ูกค้า หรอื ผมู้ าติดตอ่ เป็นผูถ้ ูกอยเู่ สมอ 2.2.6 เกณฑ์ในการพิจารณาคุณภาพการบริการ เกณฑใ์ นการพิจารณาคณุ ภาพการบริการ พาราซูราแมน และคณะ (Parasuraman et al. 1990, p. 46) ได้กล่าวถึงคุณภาพการบริการท่ัวไปว่ามีเกณฑ์ท่ีมักใช้ในการพิจารณาคุณภาพการ บรกิ าร ซ่ึงประกอบดว้ ยคณุ ลกั ษณะ 10 ประการ 1) ความไว้วางใจ (Reliability) หมายถึง ความไว้วางใจได้มาตรฐานและบริการที่เก่ียวข้อง กับผลงาน และความพร้อมที่จะให้บริการอย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ หมายความว่า องค์การจะต้องให้ บริการอย่างถกู ต้อง เหมาะสมต้งั แตแ่ รก และหมายถึงการท่ีองค์การนัน้ สัญญาหรือรบั ปากกบั ลูกคา้ ไว้ 2) ความรับผิดชอบ (Reponsiveness) หมายถึง มีความพร้อมในการตอบสนองและมี ความเชย่ี วชาญในการให้บริการ 3) ความสามารถ (Competence) หมายถึง ความรู้ความสามารถ และทักษะในงาน บรกิ ารท่ีรับผดิ ชอบอยอู่ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 4) การเข้าถงึ ได้ (Access) หมายถงึ การเขา้ รบั บรกิ ารด้วยความสะดวกและคล่องตวั 5) ความสุภาพ (Courtesy) หมายถึง ความสุภาพอ่อนน้อม ให้ความเอาใจใส่กับลูกค้า และแสดงความเปน็ มติ รเมอื่ ตดิ ตอ่ กับลกู ค้า 6) การตดิ ตอ่ สอื่ สาร (Communication) หมายถึง ความสามารถในการส่ือสาร ใช้ภาษาที่ เขา้ ใจง่าย และรู้จักรับฟงั ผู้เขา้ มารบั บริการ 7) ความเชอ่ื ถือ (Creditability) หมายถึง การสร้างความสามารถเชื่อม่ันกับลูกค้าด้วยการ แสดงความซือ่ สัตยส์ ุจรติ 8) ความปลอดภัย (Security) หมายถึง ความปลอดภัยจากอันตราย ความเส่ียงภัยหรือ จากปัญหาตา่ ง ๆ 9) ความเข้าใจและรูจ้ ักลูกค้า (Understanding the Customer) หมายถึง ความพยายาม ในการค้นหาและทาความเข้าใจกับความต้องการของลูกคา้ 10) สิ่งที่สามารถสัมผัสได้ (Tangibles) หมายถึง หลักฐานทางกายภาพของบริการ สงิ่ อานวยความสะดวก อุปกรณ์ ตลอดจนเคร่ืองมือในการบริหาร คณุ ลักษณะดงั กลา่ ว หากองค์การท่ีประกอบธุรกิจด้านการบริการคานึงถึงความสาคัญของ คณุ ภาพการบรกิ ารเพ่ือนาไปใช้ในการจูงใจลูกค้าให้เกิดการซื้อซ้า และเป็นลูกค้าประจา และท่ีสาคัญ ต้องทาความเข้าใจในตัวผู้ปฏิบัติงานบริการของทุกฝ่าย และนามาซ่ึงกลยุทธ์การบริการตามแนว นโยบายขององคก์ าร ก็จะทาใหอ้ งคก์ ารนั้นประสบความสาเร็จได้

17 2.3 แนวคดิ เกย่ี วกับการจัดเก็บภาษีท้องถ่นิ ประเภทภาษีขน้ั ตอน ตงั้ แต่การสารวจ การประเมิน การจัดเก็บ การพิจารณาอุทธรณ์และ การบังคับหรือเปรียบเทียบปรับผู้หลีกเลี่ยงภาษี ฯลฯ ภาษีและอากร ประเภทนี้ ได้แก่ภาษีโรงเรือน และที่ดินภาษีบารงุ ทอ้ งที่และภาษปี ้าย 2.3.1 ภาษโี รงเรือนและทด่ี นิ ความเป็นมา ภาษีโรงเรือนและท่ีดิน มีพัฒนาการมาจาก “อากรตลาดหรือภาษีโรงร้าน” โดยในช้นั แรกภาษีประเภทนี้ มีการจัดเก็บเฉพาะอากรตลาดตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เพ่ิมการเก็บภาษีเรือ แพ โรงร้าน ในปี พ.ศ.2541 ปีพทุ ธศักราช 2475 ไดม้ กี ารตราพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธ ศักราช 2475 ให้มีผลบังคับใช้ต้ังแต่วันที่ 1 เมษายน 2475 โดยยกเลิกกฎหมายภาษี โรงร้าน ตึก แพ พ.ศ.1232 และประกาศแก้ไขเพ่ิมเติมภาษี เรือ แพ โรงร้าน พ.ศ. 2474 ซ่ึงในข้ันแรกบังคับ ใช้เฉพาะในเขตจังหวัดพระนครและธนบุรีบางท้องที่ ต่อมาได้ขยายบังคับใช้ท่ัวกรุงเทพมหานครและ ในจงั หวัดอนื่ ทกุ จงั หวัดพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มีการแก้ไขเพิ่มเติม มาแลว้ รวม 3 ครัง้ คือ ครั้งแรก พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและท่ีดิน แก้ไขเพ่ิมเติมพุทธศักราช 2475 เป็นการ แก้ไขเพม่ิ เติมในสาระสาคัญ 3 ประการคอื ประการแรก แกไ้ ขบทยกเวน้ ภาษีทีก่ าหนดให้โรงเรือนหรือ สิง่ ปลูกสรา้ งทีเ่ จา้ ของอยู่อาศยั เองและมรี ายไดป้ ีละไม่เกิน 60 บาทต่อปี ได้รับการยกเว้นภาษี สาหรับ โรงเรือนและส่ิงปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่เจ้าของอยู่เองทั้งหมด แต่ทั้งนี้ต้องไม่ได้ใช้เป็นท่ีไว้สินค้าหรือ ประกอบการอุตสาหกรรม ประการที่สอง ยกเลิกการจัดเก็บภาษีที่ดินซึ่งไม่ได้ใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือน หรือส่ิงปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ในมาตรา 16 และมาตรา 17 ประการที่สาม ลดอัตราภาษีร้อยละ 15 ของคา่ รายปลี งเป็นรอ้ ยละ 12.5 ของค่ารายปี ครั้งที่สอง พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและท่ีดิน (ฉบับท่ี 3) พุทธศักราช 2485 แก้ไข ระยะเวลาประกาศให้เจ้าของทรัพย์สินมายื่นแบบแสดงรายการทรัพย์สินเพื่อชาระภาษี จากเดิม ภายใน 2 เดือน นับแต่วันท่ี 1 เมษายนของทุก ๆ ปี เป็นภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่ 1 มกราคมของ ทกุ ๆ ปี เพือ่ ให้สอดคลอ้ งกบั การกาหนดใหว้ นั ท่ี 1 มกราคมเป็นวันข้นึ ปีใหม่ คร้ังที่สาม พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและท่ีดิน (ฉบับท่ี 4) พ.ศ. 2534 มีการแก้ไขเพิ่ม เตมิ ในสาระสาคัญคือ กาหนดให้รัฐวิสาหกิจต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แก้ไขหลัก เกณฑ์การประเมินค่ารายปี และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอานาจประกาศหลักเกณฑ์ การประเมินค่ารายปี แก้ไขกาหนดระยะเวลาและวิธีการย่ืนแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีปรับปรุง วิธีการในการจัดเกบ็ ชาระภาษที ั้งของรัฐวิสาหกจิ และของประชาชนใหม่ การจัดเกบ็ ภาษีโรงเรอื นและท่ีดนิ

18 ภาษีโรงเรือนและทีด่ นิ ในเขตองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่นใด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน้ัน มีอานาจจัดเก็บเป็นรายไดข้ องตนเองและผู้บริหารท้องถ่ินมีอานาจแต่งตั้ง “พนักงานเจ้าหน้าที่” และ “พนักงานเก็บภาษี” เพ่ือปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกาหนดตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและ ที่ดนิ พ.ศ. 2475 ภาษีโรงเรอื นและทด่ี นิ จัดเก็บจากทรัพย์สนิ ได้แก่ 1. โรงเรือนหรอื ส่ิงปลูกสร้างอยา่ งอื่น ๆ และท่ีดนิ ทใ่ี ช้ตอ่ เนือ่ งกบั โรงเรือนหรือส่ิงปลูกสร้าง น้ัน ทั้งน้ีทรัพย์สินต้องไม่อยู่ในข่ายได้รับการยกเว้นภาษีทรัพย์สินท่ีได้รับการยกเว้นภาษี ได้แก่พระ ราชวงั อันเป็นส่วนของแผ่นดนิ 2. ทรพั ยส์ ินของรฐั บาลที่ใช้ในกิจการของรัฐบาลหรือสาธารณะและทรัพย์สินของการรถไฟ แห่งประเทศไทยทใ่ี ช้ในกิจการรถไฟโดยตรง 3. ทรพั ยส์ ินของโรงพยาบาลสาธารณะและโรงเรยี นสาธารณะ ซ่งึ กระทากิจการอันมิใช่เพ่ือ เปน็ ผลกาไรสว่ นบคุ คล และใชเ้ ฉพาะในการรักษาพยาบาลและการศกึ ษา 4. ทรัพย์สินซ่ึงเป็นศาสนสมบัติอันใช้เฉพาะในศาสนกิจอย่างเดียวหรือเป็นท่ีอยู่ของสงฆ์ ทรัพย์สินซึ่งปิดไว้ตลอดปี และเจ้าของไม่ได้อยู่เองหรือให้ผู้อื่นอยู่นอกจากคนเฝ้าในโรงเรือนหรือสิ่ง ปลูกสรา้ งอยา่ งอน่ื ๆ หรือในทดี่ นิ ซงึ่ ใช้ตอ่ เนอื่ งกนั 5. ทรัพย์สินของการเคหะแห่งชาติที่ผู้เช่าซ้ืออาศัยอยู่เอง ไม่ได้ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือ ประกอบการอตุ สาหกรรมหรือประกอบกิจการอน่ื เพื่อหารายได้ 6. ทรัพย์สินซ่ึงเจ้าของอยู่เอง หรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และไม่ได้ใช้เป็นท่ีไว้สินค้าหรือ ประกอบการอุตสาหกรรมนอกจากน้ียังมีการลดหย่อนภาษี ในกรณีทรัพย์สินถูกร้ือถอน หรือทาลาย ระหว่างปี หรือทรพั ย์สินทาขนึ้ ระหว่างปี ให้ประเมินค่ารายปที รพั ย์สินเฉพาะส่วนที่ใช้ประโยชน์ได้จาก ทรัพย์สินเท่าน้ัน สาหรับทรัพย์สินทาขึ้นระหว่างปี ให้ประเมินค่ารายปีทรัพย์สินเฉพาะส่วนท่ีใช้ ประโยชนไ์ ด้จากทรัพย์สินเทา่ น้นั สาหรบั ทรัพยส์ ินท่เี จ้าของโรงเรอื นตดิ ตง้ั ส่วนควบทสี่ าคัญ มีลักษณะ เปน็ เครื่องจักรกลไก เคร่ืองกระทาหรือเคร่ืองกาเนิดสินค้าเพื่อใช้ดาเนินการอุตสาหกรรมบางอย่างใน โรงเรือน ให้ลดค่ารายปีลงเหลือ 1 ใน 3 ของค่ารายปีของทรัพย์สินท่ีรวมท้ังส่วนควบน้ันผู้มีหน้าที่ใน การเสียภาษี ได้แก่ เจ้าของทรัพย์สินหรือเจ้าของโรงเรือนหรือส่ิงปลูกสร้างอย่างอ่ืน ๆ ในกรณีท่ีเจ้า ของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ กับเจ้าของท่ีดินเป็นคนละคนของกันการจัดเก็บภาษี พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องประเมินค่าหารายปีของทรัพย์สินที่เสียภาษี โดยประเมินจากจานวนเงินท่ี ทรัพย์สนิ น้นั สมควรให้เช่าไดใ้ นปีหนึ่ง ๆ และหากทรัพย์สินให้เช่าให้ถือว่าค่าเช่า คือ ค่ารายปี แต่ถ้ามี เหตุอันสมควรท่ีทาให้เห็นว่าค่าเช่านั้นไม่ใช่จานวนเงินอันสมควรให้เช่าได้หรือกรณีหาค่าเช่าไม่ได้ให้ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอานาจประเมินค่ารายปีได้โดยคานึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาดพ้ืนท่ี ทาเลท่ีต้ัง และบริการสาธารณะท่ีทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ ท่ีรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยกาหนด เม่ือหาค่ารายปีได้แล้วจึงนามาคิดคานวณภาษีโดยคิดในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี

19 สาหรับวิธีการชาระภาษี ผู้มีหน้าท่ีเสียภาษีจะต้องมาย่ืนแบบแสดงรายการเพ่ือเสียภาษี ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีและชาระภายใน 30 วันนับถัดจากวันรับแจ้งการประเมินภาษี และ หากผู้มีหน้าท่ีเสียภาษีไม่พอใจการประเมิน อาจยื่นคาร้องอุทธรณ์ต่อผู้บริหารท้องถิ่นได้ภายใน 15 นับแตว่ ันรับแจ้งการประเมินและหากยังไมพ่ อใจคาชีข้ าดของผูบ้ ริหารท้องถ่ินสามารถนาคดีไปฟ้องต่อ ศาลภายใน 30 วนั นบั แตว่ ันที่ได้รบั คาชีข้ าดกไ็ ด้ 2.3.2 ภาษบี ารงุ ทอ้ งที่ ความเปน็ มา เดิมมกี ารจดั เกบ็ อากรค่านา ภาษีค่าท่ีไร่อ้อย และอากรส่วนใหญ่ต่อมาได้มีการ ประกาศใชป้ ระมวลรษั ฎากร ซึ่งมีผลใช้บังคับต้ังแต่วันท่ี 1 เมษายน พุทธศักราช 2482 มีผลยกเลิกการ จัดเก็บเงินดงั กล่าวและจัดเก็บ “เงินช่วยบารุงท้องที่” แทนและได้เปล่ียนเป็น “ภาษีบารุงท้องท่ี” ในปี 2495 แตย่ งั คงเป็นการจัดเก็บตามประมวลรัษฎากรอยู่ กระทั่งได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษี บารงุ ทอ้ งท่ี พ.ศ. 2508 ซึ่งมีผลใช้บังคับต้งั แตว่ ันที่ 2 พฤศจิกายน 2508 เปน็ ตน้ มา สาหรับการจัดเก็บภาษีบารุงท้องท่ี แต่เดิมกรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บ ต่อมาได้มีการ ประกาศใช้พระราชบัญญัติรายได้เทศบาล พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติรายได้สุขาภิบาล พ.ศ. 2498 จึงได้โอนมาให้เทศบาลสุขาภิบาล และองค์การบริการส่วนจังหวัด เป็นผู้จัดการแทน กระทั้ง เมื่อพระราชบัญญัติภาษีบารุงท้องท่ี พ.ศ. 2508 มีผลใช้บังคับ จึงได้กาหนดให้เป็นภาษีประเภทท่ี ท้องถ่ินจัดเก็บเป็นรายได้ของตนเองมาจนถึงปัจจุบัน และองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่ดาเนินการ จัดเกบ็ ในปจั จบุ นั คอื เทศบาล องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล เมอื งพัทยา และกรุงเทพมหานคร ในการจดั เก็บภาษบี ารุงท้องท่ี ผู้วา่ กรุงเทพมหานคร นายกเทศมนตรี นายกเมืองพัทยาและ นายกองคก์ ารบริหารสว่ นตาบล มีอานาจแต่งตั้งเจ้าพนักงานประเมิน และเจ้าพนักงานสารวจสาหรับ ในเขตพ้นื ที่ของตน โดยเรียกเก็บจากทรัพย์สินประเภท “ท่ีดิน” ซ่ึงหมายถึงพื้นท่ีดินทั่วไปและรวมถึง พืน้ ทที่ ี่เป็นภูเขาหรือทีม่ นี ้าดว้ ย ผู้มีหน้าท่ีเสียภาษี ได้แก่ เจ้าของท่ีดิน ซ่ึงหมายถึงบุคคลหรือคณะบุคคล ไม่ว่าเป็นบุคคล ธรรมดาหรือนิติบุคคลท่ีมีกรรมสิทธิ์หรือครอบครองอยู่ในท่ีดินไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนเจ้าของ ที่ดินไมต่ อ้ งเสยี ภาษีบารุงทอ้ งท่ี สาหรบั ทด่ี นิ ดงั ต่อไปนี้ 1) ท่ดี นิ ท่เี ป็นท่ีตัง้ พระราชวังอนั เปน็ ส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน 2) ที่ดินท่ีเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือที่ดินของรัฐที่ใช้ในกิจการของรัฐหรือ สาธารณะโดยมิไดห้ าผลประโยชน์ 3) ท่ีดินของราชการส่วนท้องถิ่นที่ใช้ในกิจการของราชการส่วนท้องถ่ินหรือสาธารณะโดย มไิ ดห้ าผลประโยชน์ 4) ทดี่ นิ ทีใ่ ช้เฉพาะการพยาบาลสาธารณะ การศกึ ษา หรอื การกุศลสาธารณะ 5) ที่ดินที่ใช้เฉพาะศาสนกิจศาสนาใดศาสนาหน่ึง ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธ์ิของวัดไม่ว่าจะใช้ ประกอบศาสนกจิ ศาสนาหนงึ่ หรอื ไม่ หรอื ที่ศาลเจา้ โดยมิได้หาผลประโยชน์

20 6) ท่ีดนิ ทใ่ี ชเ้ ป็นสุสานและฌาปนสถานสาธารณะ โดยมไิ ด้รับประโยชนต์ อบแทน 7) ท่ีดินที่ใช้ในการรถไฟ การประปา การไฟฟ้า หรือการท่าเรือของรัฐ หรือที่ใช้เป็น สนามบนิ ของรัฐ 8) ท่ดี นิ ทีใ่ ช้ต่อเนอื่ งกับโรงเรือนทตี่ อ้ งเสียภาษโี รงเรือนและทีด่ ินอยู่แลว้ 9) ท่ีดินของเอกชนเฉพาะส่วนท่ีเจ้าของที่ดินยินยอมให้ทางราชการจัดใช้เพ่ือสาธารณะ ประโยชน์ โดยเจ้าของท่ีดนิ มิไดใ้ ชห้ รอื หาผลประโยชน์ในทด่ี ินเฉพาะส่วนน้ัน 10) ท่ีดินท่ีเป็นท่ีต้ังทาการขององค์การสหประชาชาติ ทบวงการพิเศษของสหประชาชาติ หรือองค์กรระหว่างประเทศอ่ืนในเม่ือประเทศไทยมีขอ้ ผูกพนั ให้ยกเว้นตามอนุสัญญาหรือความตกลง 11) ท่ีดินที่เป็นที่ต้ังท่ีทาการของสถานทูตหรือสถานกงสุล ท้ังน้ีเป็นไปตามหลักถ้อยทีถ้อย ปฏิบัติต่อกนั 12) ท่ีดนิ ทก่ี าหนดในกฎกระทรวงนอกจากการยกเว้นภาษีให้กับท่ีดินบางประเภทดังกล่าว แล้วกฎหมายยังให้อานาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกข้อกาหนด เพื่อลดหย่อนไม่ต้องเสียภาษี บารุงท้องที่ ในกรณีท่ีบุคคลธรรมดาซ่ึงเป็นเจ้าของท่ีดินแปลงเดียวหรือหลายแปลงที่อยู่ในจังหวัด เดยี วกนั ไดใ้ ชท้ ดี่ นิ เป็นท่ีอยอู่ าศัยของตน เปน็ ทเ่ี ลยี้ งสัตว์ของตน หรือประกอบกสิกรรมของตน โดยถ้า เป็นทดี่ นิ ในเขตองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลลดหย่อนได้ 3-5 ไร่ ในเขตเทศบาลลดหย่อนได้ 200 ตาราง วา-1 ไร่ ในเขตเมืองพัทยา เขตเทศบาลเมืองหรือเขตเทศบาลนคร ลดหย่อนได้ 50-100 ตารางวา และในเขตกรุงเทพมหานครหากเป็นชุมชนหนาแน่นมากลดหย่อนได้ 50-100 ตารางวาชุมชนหนา แนน่ ปานกลาง 100 ตารางวา-1 ไร่ และทอ้ งทช่ี นบทลดหย่อยได้ 3-5 ไร่ การจัดเก็บภาษีบารุงท้องท่ีจะต้องมีการประเมิน “ราคาปานกลางของท่ีดิน” ซ่ึงกฎหมาย กาหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งตั้งคณะกรรมการตีราคาปานกลางที่ดิน โดยจะต้องตีราคาปาน กลางของท่ีดินทุกรอบระยะเวลา 4 ปี สาหรับการตีราคาปานกลางให้นาราคาที่ดินซึ่งซ้ือขายกันโดย สจุ ริตคร้ังสุดทา้ ย ไม่น้อยกว่า 3 ราย ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ก่อนปีที่จะมีการประเมินมาคานวณถัว เฉล่ยี เป็นราคาปานกลาง อัตราภาษีกาหนดเป็นบัญชีอัตราภาษีบารุงท้องท่ีท้ายพระราชบัญญัติแบ่งเป็น 34 อัตรา ตามราคาปานกลางของท่ีดินโดยอัตราท่ี 1- 33 เป็นอัตราภาษีของราคาปานกลางที่ไม่เกินไร่ละ 30,000 บาท ซึ่งจะเสียภาษีประมาณไร่ละ 70 บาท และอัตราที่ 34 เป็นอัตราภาษีของราคาปาน กลางทเี่ กินไร่ละ 30,000 บาท ให้เสียภาษี 25 บาท ต่อทุก ๆ 10,000 บาท ของราคาปานกลาง อัตราภาษีทั้ง 34 อัตราหากเป็นท่ีดินใช้ประกอบการกสิกรรมเฉพาะประเภทไม้ล้มลุกให้ เสียก่ึงราคา แต่ถ้าเจ้าของที่ดินประกอบการกสิกรรมประเภทไม้ล้มลุกน้ันด้วยตัวเองให้เสียภาษีอย่าง สูงไม่เกิน ไร่ละ 5 บาท สาหรับที่ดินท่ีทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทาประโยชน์ตามควรแก่สภาพให้เสีย ภาษีเพิ่มข้นึ อกี 1 เทา่

21 ในทางปฏบิ ตั ิเจา้ หนา้ ท่จี ะคานวณหาคาภาษตี ่อไร่ของผู้มหี นา้ ทีเ่ สียภาษีโดยใช้สูตร ค่าภาษีต่อไร่ = (ราคาปานกลางท่ดี นิ x 25)-5 10,000 เมือ่ ไดค้ ่าภาษตี ่อไร่แล้ว ก็จะนาไปคณู กบั เนอื้ ที่ดนิ ที่อยู่ในขา่ ยทตี่ ้องเสยี ภาษจี รงิ อกี คร้ังหนึ่ง สาหรบั ขน้ั ตอนการจัดเก็บภาษี เร่ิมต้ังแต่เจ้าของที่ดิน ต้องย่ืนแบบแสดงรายการที่ดินภาย ในเดือนมกราคมของปีแรกที่มีการตีราคาปานกลางและให้ใช้ได้ทุกปีในรอบระยะเวลา 4 ปี หากเป็น ท่ีดินนอกเขตเทศบาล ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจให้เจ้าพนักงาสารวจยื่นแบบแสดงรายการท่ีดินแทน เจ้าของที่ดินกไ็ ด้ และเจ้าพนกั งานประเมนิ จะแจ้งการประเมินภายในเดือนมีนาคม และการประเมินนี้ ให้ใช้สาหรับปีต่อไปจนครบ 4 ปี และเจ้าของที่ดินก็ต้องชาระภายในเดือนเมษายนของทุกปี หาก เจ้าของท่ีดินไม่พอใจการประเมินภาษีบารุงท้องท่ีมีสิทธ์ิอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและเมื่อผู้ว่า ราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นประการใดแล้วผู้อุทธรณ์ยังมีสิทธิอุทธรณ์คาวินิจฉัยของผู้ว่า ราชการจงั หวดั ต่อศาลได้ภายใน 30 วัน 2.3.3 ภาษีป้าย ความเป็นมาภาษีป้าย เริ่มมีการบัญญัติไว้เป็นคร้ังแรก ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2496 โดยให้เพ่ิมภาษีป้ายเป็นลักษณะ 2 หมวด 5 ของประมวล รัษฎากร ในคร้ังแรกให้กรมสรรพากรเป็นผู้จัดเก็บต่อเม่ือมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติรายได้ เทศบาล พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2498 จึงได้โอนมาให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นเป็นผู้จัดเก็บเป็นรายได้ของตนเอง และต่อมาได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติภาษีป้ายพ.ศ. 2510 โดยยกเลกิ บทบญั ญัติวา่ ด้วยภาษีปา้ ยในประมวลรัษฎากร และยังใช้บงั คบั มาจนกระทั่งปัจจุบัน ในการจัดเก็บภาษีป้าย ผู้บริหารท้องถ่ินมีอานาจแต่งต้ังพนักงานเจ้าหน้าที่เพ่ือปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัติภาษีป้ายจัดเก็บจากป้ายท่ีแสดงชื่อ ย่ีห้อ หรือเครื่องหมายท่ีใช้ในการประกอบ การค้าหรือประกอบกิจการอ่ืนเพ่ือหารายได้ หรือโฆษณาการค้า หรือกิจการเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะ แสดงหรือโฆษณาไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยตัวอักษร ภาพหรือเคร่ืองหมายอื่นเขียน แกะสลัก จารึก หรือทา ใหป้ รากฏดว้ ยวธิ ีอืน่ เจา้ ของปา้ ยเปน็ ผ้มู ีหนา้ ทเี่ สียภาษปี ้าย กรณที ีห่ าเจ้าของป้ายไม่ได้ให้ผู้ครอบครอง อาคารหรอื ทีด่ นิ ปา้ ยนนั้ ตดิ ตง้ั หรือแสดงอยู่ เปน็ ผเู้ สียภาษปี ้ายตามลาดับ เจา้ ของปา้ ยไมต่ อ้ งเสยี ภาษี สาหรบั ปา้ ยดังนี้ 1) ปา้ ยท่แี สดงไว้ ณ โรงมหรสพและบริเวณของโรงมหรสพ น้นั เพอ่ื โฆษณามหรสพ 2) ป้ายที่แสดงไว้ทสี่ นิ คา้ หรือท่สี ิง่ ห้มุ ห่อหรือบรรจสุ นิ คา้ 3) ป้ายทแ่ี สดงไวใ้ นบรเิ วณงาน ที่จัดข้นึ เป็นคร้ังคราว 4) ปา้ ยทแ่ี สดงไวท้ ่คี น หรอื สัตว์

22 5) ป้ายที่แสดงไว้ภายในอาคารที่ใช้ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่น หรือภายใน อาคารซ่ึงเป็นรโหฐาน ท้ังนี้เพื่อหารายได้ และแต่ละป้ายมีพื้นท่ีไม่เกินท่ีกาหนดในกฎกระทรวงแต่ไม่ รวมถึงปา้ ยตามกฎหมายวา่ ดว้ ยทะเบียนพาณิชย์ 6) ป้ายของราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคหรือราชการส่วนท้องถิ่นตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดิน 7) ป้ายขององค์การที่จัดตั้งข้ึนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรัฐบาลหรือตาม กฎหมายว่าดว้ ยการน้นั ๆ และหนว่ ยงานท่ีนารายได้สง่ รฐั 8) ป้ายของธนาคารแหง่ ประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคาร เพื่อการสหกรณ์ และบรรษัทเงินทนุ อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 9) ป้ายของโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนหรือสถาบันอุดมศึกษา เอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่แสดงไว้ ณ อาคารหรือบริเวณของโรงเรียน เอกชนหรือสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนนนั้ 10) ปา้ ยของผปู้ ระกอบการเกษตรซ่ึงค้าผลผลิตอนั เกิดจากการเกษตรของตน 11) ป้ายของวัด หรือผู้ดาเนินกิจการเพ่ือประโยชน์แก่การศาสนาหรือการกุศล สาธารณะ โดยเฉพาะปา้ ยของสมาคมหรือมูลนิธิ 12) ป้ายตามที่กาหนดในกฎกระทรวงอัตราภาษีป้ายเป็นไปตามอัตราท่ีกาหนดใน กฎกระทรวง ซ่ึงในปัจจบุ ันกาหนดอตั ราภาษปี า้ ยไว้ดังน้ี 12.1) ปา้ ยทม่ี ีอักษรไทยล้วน ใหค้ ิดอตั รา 3 บาท ตอ่ 500 ตารางเซนตเิ มตร 12.2) ป้ายท่ีมีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศและหรือปนกับภาพและหรือเครื่อง หมายอน่ื ใหค้ ดิ อตั รา 20 บาท ตอ่ 500 ตารางเซนติเมตร 12.3) ป้ายท่ีไม่มีอักษรไทย หรือป้ายที่มีอักษรไทยบางส่วนหรือท้ังหมดอยู่ใต้หรือต่า กวา่ ตัวอกั ษรตา่ งประเทศ ให้คิดอตั รา 40 บาท ต่อ 500 ตารางเซนตเิ มตร หากป้ายใดเมื่อคานวณแล้ว มีภาษตี อ้ งเสยี ตา่ กว่า 200 บาท ให้เสียภาษี 200 บาท ข้ันตอนในการจัดเก็บภาษีป้าย เริ่มจากเจ้าของป้ายมีหน้าท่ีต้องยื่นแบบแสดงรายการเพ่ือ เสยี ภาษีป้ายกับองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ท่ปี ้ายน้ันตดิ ตั้งหรือแสดงอยู่ เว้นแต่ป้ายที่ติดต้ังหรือแสดง ไว้ท่ียานพาหนะ ให้ยื่นต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ซึ่งการจดทะเบียนยานพาหนะได้กระทาขึ้นใน เขต ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี และพนักงานเจ้าหน้าทจี่ ะได้แจง้ การประเมินให้เจ้าของหรือผู้ครอบ ครองป้ายทราบ และมีผู้หน้าที่เสียภาษีป้ายมีหน้าที่ต้องนาเงินไปชาระภายใน 15 วัน หากผู้มีหน้าที่ เสียภาษเี หน็ วา่ การประเมินไม่ถูกต้อง มีสิทธิอุทธรณ์การประเมินต่อผู้บริหารท้องถ่ิน หรือผู้ที่ผู้บริหาร ท้องถิ่นมอบหมายภายใน 30 วัน เม่ือได้วินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว หากไม่พอใจผู้อุทธรณ์ยังมีสิทธิฟ้องต่อ ศาลภายใน 30 วันได้

23 ระบบภาษีที่ดีนั้นจะต้องได้รับความร่วมมือในการเสียภาษีด้วยดีจาก ประชาชน กล่าวคือ ประชาชนท่ีมีหน้าท่ีเสียภาษีให้แก่รัฐน้ัน จะยินยอมเสียภาษีให้แก่รัฐด้วยดีโดยไม่พยายามหลบเลี่ยง หรอื หนีภาษี ท้งั น้ีเพราะว่าการที่ประชาชนให้ความร่วมมือในการเสียภาษี จะทาให้ รัฐบาลเก็บภาษีได้ มากและเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บน้อย ในกรณีตรงข้ามถ้าหากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือในการ เสยี ภาษแี ก่รัฐแล้ว จะทาให้รัฐบาลประสบกับความยุ่งยากในการจัดเก็บภาษีมาก ซ่ึงจะทาให้ต้องเสีย ค่าใช้จา่ ยในการจัดเกบ็ สงู และจะเก็บภาษีได้น้อยไมเ่ ต็มเมด็ เต็มหน่วย ดังน้ัน ปัญหาสาคัญที่สุดในการจัดเก็บภาษีก็คือ ทาอย่างไรจะทาให้ประชาชนให้ความ ร่วมมือหรือยินยอมเสียภาษีแก่รัฐโดยสมัครใจ การที่ประชาชนยินยอมเสียภาษีแก่รัฐด้วยความสมัคร ใจ หรอื มจี ติ สานึกในการเสียภาษีมากน้อย แคไ่ หนนน้ั ยอ่ มขน้ึ อย่กู บั ปจั จัยตา่ ง ๆ มากมาย ดังต่อไปน้ี (เกรกิ เกียรติ พพิ ัฒน์เสรธี รรม, 2543, หนา้ 136) 1) ข้ึนอยู่กับการเห็นความสาคัญของการเสียภาษี ถ้าหากประชาชนผู้มีหน้าท่ีต้องเสียภาษี น้ันเห็นถึงประโยชน์หรือความสาคัญของการเสียภาษีแล้ว ความยินยอมหรือการให้ความร่วมมือใน การเสียภาษีแก่รัฐก็จะมีมาก แต่ในกรณีตรงกันข้ามถ้าหากประชาชนมองไม่เห็นประโยชน์ของภาษีที่ ตนเสียไปแล้ว ความยินยอมเสียภาษีของประชาชนก็จะต่า ตัวอย่างเช่น ถ้าประชาชนมองเห็นว่าเงิน ภาษีอากรท่ีตนเสียไปน้ันได้ถูกนาไปใช้เพ่ือประโยชน์ของสังคมส่วนรวมและตนก็เป็นผู้ท่ีได้รับ ประโยชน์นั้นด้วยความยินยอมที่จะเสียภาษีก็ย่อมจะมีมาก ในกรณีตรงกันข้ามหากเงินที่เสียภาษีไป น้ันถูกนาไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดยเฉพาะ ความสมัครใจท่ีจะเสียภาษีก็ ยอ่ มจะมนี ้อย 2) ขึน้ อยู่กับประสิทธภิ าพในการบริหารงานและการใช้เงินของรัฐ ความสมัครใจในการเสีย ภาษีของประชาชนนั้น อาจจะพิจารณาได้จากประสิทธิภาพในการบริหารงาน และประสิทธิภาพใน การใช้เงินของรัฐบาล ถ้าหากรัฐบาลบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ และเงินภาษีอากรทุกบาททุก สตางค์ได้ถูกนาไปใช้อย่างคุ้มค่าแล้วก็จะช่วยให้ความสมัครใจในการเสียภาษีของประชาชนมีมากแต่ ในทางตรงกนั ขา้ มถ้าหากรัฐบาลบรหิ ารงานอย่างไม่มปี ระสิทธิภาพและใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแบบ ล้างผลาญแลว้ ความสมัครในทจ่ี ะเสยี ภาษขี องประชาชนก็จะมีน้อย การควบคุมประสิทธิภาพในการบริหารงานและการใช้เงินของรัฐบาลน้ัน อาจจะทาให้โดย การเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม และมีส่วนควบคุมการปฏิบัติงานของรัฐโดยผ่านกลไก ของการปกครองในระบบประชาธิปไตย ซึง่ ทาใหป้ ระชาชนมคี วามรู้สึกว่าตนเป็นเจ้าของประเทศ และ จะต้องมีหน้าท่ีความรับผิดชอบต่อประเทศมากขึ้น ในเร่ืองนี้ปรากฏว่าในประเทศที่มีการกระจาย อานาจทางการคลัง ให้แก่รัฐบาลท้องถ่ินนั้น ความสานึกถึงหน้าที่การเสียภาษีแก่ท้องถิ่นของ ประชาชนมักจะมีสูง ทั้งน้ีเพราะว่าประชาชนผู้เสียภาษีนั้นได้มองเห็นถึงความสาคัญของภาษีท่ีตนได้ เสียใหแ้ ก่ทอ้ งถ่นิ

24 3) ข้ึนอยกู่ ับความเป็นธรรมในการเสียภาษี การที่จะทาให้ประชาชนผู้เสียภาษีแต่ละคนให้ ความร่วมมือในการเสียภาษีให้แก่รัฐบาลน้ัน ระบบของภาษีอากรที่จะจัดเก็บน้ันจะต้องให้ความเป็น ธรรมแก่ผเู้ สยี ภาษที ุกคนด้วย ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีน้ัน จะต้องพิจารณาท้ังความเป็นธรรมในการเก็บภาษีแต่ ละประเภทและความเป็นธรรมในการบริหารการจัดเก็บด้วยกล่าวคือ ภาษีท่ีเก็บน้ันควรจะเก็บจาก ประชาชนทุกกลุ่มอย่างท่ัวถึงมิใช่มุ่งท่ีจะเก็บจากผู้เสียภาษีกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงโดยเฉพาะนอกจากน้ีใน การปฏิบัติการจัดเก็บภาษี แต่ละชนิดนั้น จะต้องเก็บจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีชนิดนั้นอย่างทั่วถึง และ อย่างเสมอภาค ในกรณีที่มีการจัดเก็บไม่ท่ัวถึงหรือมีการเลือกปฏิบัติน้ัน จะก่อให้เกิดความไม่เป็น ธรรมในหมผู่ เู้ สียภาษีชนดิ น้นั ซึ่งจะเปน็ เหตผุ ลสาคัญทาใหป้ ระชาชนพยายามหลบเล่ียงการเสยี ภาษี 4) ขึ้นอยู่กับการลงโทษของกฎหมาย และการลงโทษของสังคม เนื่องจากภาษีเป็นสิ่งที่ รัฐบาลบังคับการจัดเก็บเงินได้หรือผลประโยชน์จากประชาชน ดังน้ันประชาชนย่อมจะไม่อยากจะ เสียสละผลประโยชน์ของตนแก่รัฐบาล นอกเสียจากว่าผู้เสียภาษีนั้นจะได้เห็นถึงความสาคัญของภาษี และรัฐบาลหรือสังคมมีการลงโทษผ้มู ีเจตนาหลบเล่ียงภาษีอย่างรุนแรง การป้องกันการหลบเล่ียงการ เสียภาษีจะทาได้ผล เม่ือมีทั้งการลงโทษโดยกฎหมาย และการลงโทษโดยสังคม ซึ่งพอจะพิจารณาได้ โดยย่อ ดงั นี้ 4.1) การลงโทษโดยกฎหมาย ในกรณีที่ผู้เสียภาษีจงใจหนีภาษีอย่างผิดกฎหมาย (Tax Evasion) นัน้ เมื่อจับได้จะต้องมีการลงโทษทร่ี ุนแรง ท้งั นเ้ี พราะว่าผ้ทู ี่เจตนาหนีภาษีดังกล่าวนั้น จะต้องตดั สนิ ใจชัง่ น้าหนักระหวา่ งผลประโยชน์ที่ตนจะได้รับจากการหนีภาษีกับโทษท่ีตนจะได้รับเมื่อ ถูกจับได้ ถ้าหากผลประโยชน์จากการหนีภาษีมีมากกว่าโทษท่ีจะต้องรับอย่างมากมายแล้ว การหนี ภาษีของประชานก็จะมีมากในกรณีภาษีน้ันมักจะปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลมักจะให้การร่วมมือ กับผู้หนีภาษีด้วย โดยเฉพาะอย่างย่ิงการหนีภาษีรายใหญ่ ๆ ดังน้ันกฎหมายจะต้องมีการลงโทษ เจ้าหน้าทข่ี องรัฐใหห้ นกั ยงิ่ กวา่ ผหู้ นีภาษดี ้วย 4.2) การลงโทษของสังคม การป้องกันการหนีภาษีจะได้ผลมากยิ่งข้ึนถ้าหากสังคมหรือ ประชาชนส่วนใหญ่รังเกียจผู้ท่ีหนีภาษี การลงโทษของสังคมน้ันจะเป็นมาตรการบังคับทางอ้อมทาให้ นักการเมอื งหรือผู้ที่เป็นผู้นาของสังคมไม่พยายามหลบเลี่ยงภาษี เมื่อบุคคลซึ่งเป็นผู้นาของสังคมและ ผู้ท่ีกุมกลไกอานาจรฐั ได้เสียภาษอี ย่างครบถ้วนแลว้ ย่อมจะทาให้ เขาเหล่านน้ั สามารถจัดการกับผู้ที่หนี ภาษีไดอ้ ย่างเต็มท่ี และก็ไมต่ อ้ งการให้ผอู้ น่ื หลบเลี่ยงภาษี ปัญหาทัศนคติของสังคมหรือการลงโทษผู้หนีภาษีของสังคมน้ัน เป็นหัวใจสาคัญที่จะ กระตุน้ ใหป้ ระชาชนมีจิตสานกึ ของการเสียภาษีมากข้ึน แต่อุปสรรคท่ีสาคัญที่สุดในเร่ืองนี้ก็คือผู้ท่ีเป็น ผูน้ าของสงั คมหรอื ผทู้ ่กี มุ กลไกอานาจรฐั สว่ นใหญไ่ ม่สามารถแสดงตนเปน็ แบบอย่างท่ีดีในการเสียภาษี แก่ประชาชนทัว่ ไปได้ ดังนน้ั จะขอรอ้ งให้ประชาชนทุกคนเสียภาษีแกร่ ัฐย่อมจะทาให้ไม่ค่อยได้ผล

25 หลกั เกณฑท์ ีด่ ใี นการจดั เกบ็ ภาษี องคป์ ระกอบท่สี าคัญอกี ประการหนึ่งของระบบภาษีท่ีดีก็คือการบริหารการจัดเก็บภาษีท่ีมี ประสิทธิภาพ ปัญหาประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีน้ันจะข้ึนอยู่กับความร่วมมือของประชาชนในการ เสียภาษี และขนึ้ กบั ความซื่อสัตยส์ จุ ริตและประสิทธิภาพในการทางานของเจ้าหน้าทีภ่ าษีเปน็ สาคญั อย่างไรก็ตาม การที่จะมีระบบการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพได้นั้น ก็จาเป็นจะต้องมี หลกั เกณฑ์การจัดเก็บภาษที ด่ี เี ปน็ แนวทางในการกาหนดการจัดเก็บภาษีแตล่ ะประเภทด้วย ซ่ึงในเรื่อง น้ีนักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ได้วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีท่ีดีมาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่สมัย อาดมั สมทิ (Adam Smith) ดงั น้ี 1) หลักเกณฑ์ที่ดีในการจัดเก็บภาษีของอาดัมสมิท (ธิวาลัย นาวี, 2546) ใน ค.ศ. 1776 อาดัมสมทิ ได้วางหลักเกณฑ์ทดี่ ีในการจดั เกบ็ ภาษซี ่ึงเป็นท่ียอมรับของนกั ทฤษฎที ัว่ ไป ดังนี้ 1.1) ประชาชนทุกคนในแตล่ ะประเทศควรจะต้องเสียสละรายได้หรือผลประโยชน์ตาม ฐานะทางเศรษฐกิจของตน เพ่ือสนับสนุนการปฏิบัติงานของรัฐ ท้ังนี้เพราะว่า แต่ละคน ต่างก็ได้รับ ประโยชนแ์ ละการคุ้มครองจากรัฐ 1.2) ภาษีที่ประชาชนต้องเสียเองมีความแน่นอนไม่มีลักษณะกากวม ลักษณะและ รปู แบบของภาษี ตลอดจนจานวนทีจ่ ะต้องเสียภาษจี ะตอ้ งเปน็ ที่ชัดแจ้งแก่ผู้เสียภาษีทกุ คน 1.3) การเก็บภาษีทุกชนิดควรจะต้องจัดเก็บตามวัน เวลาสถานที่ที่ผู้เสียภาษีสะดวก และจะตอ้ งอานวยความสะดวกในการเสยี ภาษีแก่ผู้เสียภาษีด้วย 1.4) ภาษีทุกชนิดท่ีจัดเก็บนั้น จะต้องเป็นภาระแก่ผู้เสียภาษีน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แต่ทาให้รัฐบาลได้รับรายไดม้ ากท่สี ดุ เท่าทจ่ี ะมากได้ 2) หลักเกณฑท์ ด่ี ใี นการจัดเก็บภาษีในปจั จุบนั 2.1) หลักของความแนน่ อน (Certainly) การบรหิ ารการจัดเก็บภาษีที่มีประสิทธิภาพน้ัน กฎหมายท่ีใช้ในการเก็บภาษีทุกประเภทจะต้องมีความแน่นอนและเป็นท่ีแจ้งชัดแก่ผู้เสียภาษีทุกคน กล่าวคอื ภาษที กุ ประเภทท่ีจะจัดเก็บนนั้ จะต้องเป็นท่ีแจ้งชัดและมีความแน่นอนในเรื่องฐานภาษี อัตรา ภาษี ตลอดจนวัน เวลา และวธิ ีการทจ่ี ัดเก็บภาษี 2.2) หลักของความประหยัด (Low Compliance and Collection Costs) ระบบ ของการบริหารการจัดเก็บภาษีทดี่ ีนนั้ ภาษีอากรแตล่ ะประเภทที่จัดเก็บจะต้องเป็นภาระแก่ผู้เสียภาษี นอ้ ยที่สดุ และเสยี ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีท่ีต่าทีส่ ุด 2.3) หลักของความเสมอภาค (Equity) การจัดเก็บภาษีท่ีดีนั้น จะต้องก่อให้เกิดความ ยุติธรรมหรือความเสมอภาคในหมู่ผู้เสียภาษีทุกคน หลักความยุติธรรมในการเก็บภาษีน้ันเป็นหัวใจ สาคัญของระบบภาษีที่ดี การพิจาณาความเป็นธรรมนั้น เราจะต้องพิจารณาทั้งความเป็นธรรมเกี่ยว กบั ภาษที จ่ี ะจัดเก็บ และความเปน็ ธรรมท่ีเกิดขน้ึ จากการปฏบิ ัติการจดั เก็บภาษนี ้นั

26 2.4) หลักของการยอมรับ (Acceptability) การบริหารการจัดเก็บภาษีอากรแต่ละ ประเภทจะทาได้ง่ายขึ้นถ้าหากประชาชนให้ความร่วมมือในการชาระภาษี อย่างไรก็ตามการท่ี ประชาชนจะยินดีให้ความร่วมมือในการชาระภาษีน้ัน ภาษีอากรทุกชนิดที่จะจัดเก็บจากประชาชน จะต้องไดร้ ับการยอมรับจากประชาชนสว่ นใหญ่ด้วย 2.5) หลักของความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ (Enforceability) ในระบบภาษีท่ีดีนั้นภาษี อากรทุกประเภทที่จะจัดเก็บจะต้องสามารถทาการบริหารการจัดเก็บอย่างไรได้ผลในการปฏิบัติภาษี อากรบางอย่าง แม้จะมีเหตุผลดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ การจัดเก็บเป็นไปได้ยาก ภาษีนั้นจะ ถอื เป็นภาษที ีด่ ีไมไ่ ด้ 2.6) หลักของการทารายได้ (Productivity) ภาษีที่ดีสาหรับรัฐบาลนั้น ควรเป็นภาษีที่ สามารถทารายไดใ้ ห้แกร่ ัฐบาลเปน็ อย่างดีด้วย กล่าวคือ เป็นภาษีท่ีมีฐานใหญ่ และฐานของภาษีขยาย ตวั ไดร้ วดเรว็ ตามความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซ่ึงจะทาให้รัฐบาลได้รับรายได้จากภาษีอาการน้ันได้ มากโดยท่ไี ม่ตอ้ งเพม่ิ อตั ราการจดั เก็บนัน้ 2.7) หลักของการยึดหยุ่น (Flexibility) ภาษีท่ีดีน้ันควรที่มีความยืดหยุ่นสามารถ ปรับตัวเข้ากับการเปล่ียนแปลงของภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หรือการเปล่ียนแปลงฐานเศรษฐกิจ ของผูช้ าระภาษไี ด้ง่าย 2.4 แนวคิดเก่ียวกบั เทศบาลตาบล 2.4.1 ความสาคญั ของเทศบาลตาบล จากสภาพการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วของสังคมไทยในปัจจุบัน ท้ังในด้าน เศรษฐกจิ สงั คม การเมอื งวัฒนธรรม และเทคโนโลยี ซ่ึงส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชาชนโดยทั่วไป โดย เฉพาะในดา้ นด้านเมืองการปกครอง จะเห็นได้ว่าประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น มีความสนใจ ตอ่ สภาพแวดล้อมทางสังคมรอบด้านเพิ่มมากข้ึน มีกระแสการเรียนรู้เก่ียวกับการกระจายอานาจการ ปกครองไปสู่ท้องถ่ิน จึงเป็นสิ่งจาเป็นอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันในระบอบประชาธิปไตยการ ปกครองตนเองของประชาชนในท้องถ่ินนับว่าเป็นรากฐานที่สาคัญอย่างย่ิง เทศบาลตาบล หรือ ทต. ได้รับการจัดตั้งข้ึนตาม พระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช 2496 มีอานาจในการให้บริการการ กาหนดนโยบายและการตัดสนิ ใจ การจัดแผนพัฒนาอาเภอ การทานิติกรรมท่ีจะก่อให้เกิดการเปล่ียน แปลง โอน สงวน หรือระงบั สทิ ธใิ นทางกฎหมายดว้ ยตนเอง ภายในอานาจหน้าที่ท่ีกฎหมายกาหนดไว้ นอกจากนี้ ยังมีอานาจในการออกข้อบัญญัติที่บังคับใช้กับราษฎรในทุกพื้นท่ีได้ด้วย อานาจหน้าที่ของ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินดังกล่าว ข้างต้นล้วนเป็นภารกิจท่ีเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขอนามัยขั้น พนื้ ฐานท่ีจะสง่ ผลกระทบต่อสขุ ภาพอนามยั ของประชาชน (ชชู ยั ศุภวงศ,์ 2542, หน้า 36-37)

27 2.4.2 อานาจหนา้ ที่ของเทศบาลตาบล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช 2496 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมจนถึงฉบับท่ี 11 พุทธศักราช 2543 มาตรา 50 ภายใต้ข้อบังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลตาบลมีหน้าที่ต้องทาในเขต เทศบาล ดังต่อไปน้ี 1) รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 2) ให้มีและบารุงทางน้าและทางบก 3) รักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดิน และท่ีสาธารณะ รวมทั้งการกาจัดขยะมูลฝอยสิ่งปฏิกูล 4) ป้องกันและระงับโรคติดต่อ 5) ให้มีเครื่องใช้ในการดับเพลิง 6) ให้ราษฎรได้รับการศึกษาอบรม 7) ส่งเสริมพัฒนาสตรี เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ 8) บารุงศิลปะจารีตประเพณี ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน และวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น และ 9) หน้าท่ีอื่นตามท่ีกฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่ของ เทศบาล มาตรา 15 ภายใตข้ ้อบังคับแห่งกฎหมาย เทศบาลตาบลจัดทากิจการใด ๆ ในเขตเทศบาล ดังต่อไปน้ี 1) ใหม้ นี า้ สะอาดหรือการประปา 2) ให้มีโรงฆ่าสัตว์ 3) ให้มีตลาด ท่าเทียบเรือและท่าข้าม 4) ให้มีสุสานและฌาปนสถาน 5) บารุงและส่งเสริมการทามาหากินของราษฎร 6) ให้มีและบารุง สถานที่ทาการพิทักษ์และรักษาคนเจ็บไข้ 7) ให้มีและการบารุงการไฟฟ้าหรือแสงสว่างโดยวิธีอ่ืน 8) ใหม้ ีและการบารงุ ทางระบายนา้ และ 9) เทศพาณิชย์ 2.4.3 โครงสร้างการบรหิ ารงานของเทศบาลตาบล โครงสรา้ งการบรหิ ารงานของเทศบาลตาบล ประกอบด้วย 1) ฝ่ายการเมอื ง มาจากการเลอื กต้ังของประชาชนโดยตรง 1.1) นายกเทศมนตรี มาจากการเลือกต้ังโดยตรงของประชาชนในเขตพ้ืนท่ีเทศบาล ตาบล โดยเปน็ เขตเทศบาลเป็นเขตเลือกตั้ง โดยต้องมีคุณวุฒิการศึกษาช้ันปริญญาตรี เป็นคนไทยโดย การเกดิ อายุ 30 ปี บริบูรณ์ โดยนายกเทศมนตรีมีอานาจในการแต่งตั้ง รองนายกเทศมนตรีไว้ช่วยใน การปฏบิ ตั ิราชการ ไมเ่ กนิ 2 คน และแต่งต้ังท่ีปรึกษานายกเทศมนตรี เลขานุการนายกเทศมนตรี อีก จานวนตาแหน่งละ 1 คน การแต่งต้ังและถอดถอน รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี เลขานกุ ารนายกเทศมนตรี เป็นอานาจของนายกเทศมนตรที ่จี ะแตง่ ต้งั และถอดถอนเม่ือใดก็ได้ 1.2) สมาชิกสภาเทศบาล มาจากการเลือกต้ังโดยตรงจากประชาชน จานวน 12 คน โดยแบ่งเขตการเลือกตั้งออกเป็น 2 เขต ๆ ละ 6 คน สมาชิกสภาเทศบาล ท้ัง 12 คน จะต้องเลือก สมาชิกกนั เองมาเป็นประธานสภาเทศบาล และรองประธานสภาเทศบาล อกี อยา่ งละ 1 คน 2) ผ่ายข้าราชการประจา จะมาจากการแต่งต้ัง (การแข่งขันเพื่อบรรจุแต่งตั้ง หรือรับโอน มาจากสว่ นราชการอ่ืน) โดยมีปลดั เทศบาลเปน็ ผบู้ งั คับบัญชาสูงสุด ของขา้ ราชการประจา และลูกจ้าง ในสานักงานเทศบาล มีการแบ่งแยกโครงสร้างการบริหารงานออกเป็น สานักปลัดเทศบาลกองวิชา การและแผนงาน กองคลงั กองชา่ ง กองการศกึ ษา กองสาธารณสุขและส่ิงแวดล้อม การแบ่งแยกโครงสร้างการบริหารงานนั้น ขึ้นอยู่กับความจาเป็นของเทศบาลซึ่งเม่ือการ แบง่ แยกสว่ นราชการเพิม่ อีก หรือไม่ขึน้ อยู่กบั เหตุผลความจาเปน็ จะเหน็ ได้ว่าการบริหารงานเทศบาล

28 น้ัน เลียนแบบการบริหารงานมาจากการบริหารราชการแผ่นดินในระดับชาติ คือ ฝ่ายการเมืองเป็น ผู้บังคับบัญชาสูงสุด และมีการแบ่งแยกการบริหารงานออกเป็นกระทรวง ทบวง กรม สาหรับหน้าท่ี การบรหิ ารงานหรอื ความรบั ผดิ ชอบแต่ละหน่วยงาน 2.4.4 บทบาทหน้าท่ีของเทศบาลตาบลในการใหบ้ ริการจดั เกบ็ ภาษี โกวิทย์ พวงงาม (2544, หน้า 197) ได้อธิบายว่าเทศบาลตาบลเป็นรูปแบบการปกครอง ทอ้ งถิน่ ทตี่ ้องทาหนา้ ทพี่ ัฒนาพน้ื ทใี่ นเขตใหเ้ จริญ ตามรายได้และงบประมาณในแต่ละปี นอกจากนี้ยัง ทาหน้าท่ีจัดเก็บภาษีบารุงท้องท่ี ภาษีโรงเรือนและที่ดิน อากรฆ่าสัตว์และผลประโยชน์อื่นท่ีเกิดจาก การฆ่าสตั ว์ ดังน้ันจะเหน็ ได้ว่ารายไดข้ องเทศบาลตาบลมีหลายทาง ซึ่งแบ่งออกเปน็ หมวดดงั น้ี 1) ภาษีอากรและค่าธรรมเนยี ม 1.1) ภาษีบารงุ ทอ้ งท่ี 1.2) ภาษีโรงเรือนและท่ีดิน 1.3) ภาษปี ้าย 1.4) อากรฆ่าสตั วแ์ ละผลประโยชน์อ่ืนจากการฆา่ สตั ว์ 1.5) ภาษแี ละค่าธรรมเนียมรถยนตล์ ้อเลอื่ น 1.6) ภาษธี รุ กจิ เฉพาะ 1.7) คา่ ธรรมเนยี มและใบอนุญาตขายสุรา 1.8) ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเลน่ การพนัน 1.9) อากรนกรังแอ่น 1.10) ค่าธรรมเนยี มตามกฎหมายวา่ ดว้ ยน้าบาดาล 1.11) อากรประทานบตั ร ในอนญุ าตและอาชญาบตั รการประมง 1.12) ค่าภาคหลวงและคา่ ธรรมเนียมตามกฎหมายวา่ ดว้ ยปา่ ไม้ 1.13) ค่าธรรมเนียมและจดทะเบียนและนติ ิกรรมตามประมวลกฎหมายท่ดี นิ 1.14) คา่ ภาคหลวงปโิ ตรเลียมตามกฎหมายว่าดว้ ยปิโตรเลียม 1.15) คา่ ภาคหลวงแรต่ ามกฎหมายวา่ ดว้ ยแร่ 1.16) เงินที่เก็บตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ 1.17) ภาษีมลู คา่ เพ่ิม 1.18) ค่าธรรมเนียม ค่าใบอนญุ าต และค่าปรบั ตามทกี่ ฎหมายกาหนด 2) เงนิ อุดหนนุ จากรัฐบาล 3) รายไดจ้ ากทรพั ย์สนิ และรายได้ประเภทอ่ืน ๆ 3.1) รายได้จากทรพั ยส์ นิ ของเทศบาลตาบล 3.2) รายไดจ้ ากการสาธารณปู โภค 3.3) รายไดเ้ ก่ียวกบั การพาณชิ ยข์ องเทศบาลตาบล

29 3.4) เงินหรอื ทรพั ย์สนิ ท่ีมผี ู้อทุ ศิ ให้ 3.5) รายได้อ่ืนตามทร่ี ฐั บาลหรอื หนว่ ยงานทรี่ ฐั จดั สรรให้ 3.6) รายได้อนื่ ตามท่ีจะมกี ฎหมายให้เป็นของเทศบาลตาบล 4) เงนิ กู้ โดยมหี ลกั การดังนี้ 4.1) กูจ้ าก กระทรวง ทบวง กรม องคก์ ารหรือนิติบุคคล 4.2) การกูต้ อ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากสภาเทศบาล 4.3) การก้ตู อ้ งปฏิบัตติ ามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย 5) แหล่งท่มี าของรายได้เทศบาลตาบล 5.1) รายได้จากเทศบาลตาบลจัดเก็บเองจากภาษอี ากรตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ 5.1.1) ภาษีบารงุ ท้องท่ี 5.1.2) ภาษโี รงเรอื นและทด่ี นิ 5.1.3) ภาษีป้าย 5.1.4) อากรฆ่าสัตว์ 5.2) รายได้ที่มีการจัดเก็บตามกฎหมายว่าด้วยการน้ัน และให้เทศบาลตาบลได้รับท้ัง จานวน เมอ่ื มกี ารจัดเกบ็ ในเทศบาลตาบล ได้แก่ 5.2.1) เงินอากรตามกฎหมายวา่ ด้วยนกนางแอน่ 5.2.2) คา่ ธรรมเนยี มตามกฎหมายว่าด้วยนา้ บาดาล 5.2.3) เงนิ อากรประทานบตั รใบอนุญาตและอาชญาบัตรตามกฎหมายว่าด้วยการ ประมง 5.2.4) ค่าภาคหลวงและค่าธรรมเนยี มตามกฎหมายวา่ ด้วยป่าไม้ 5.2.5) ค่าธรรมเนยี มและจดทะเบียนสทิ ธิและนติ ิกรรมตามประมวลกฏหมายที่ดนิ 5.3) รายได้ทไ่ี ดร้ บั การจัดสรรใหเ้ มือ่ มกี ารจดั เก็บตามกฎหมายว่าด้วยการน้นั 5.3.1) ภาษแี ละคา่ ธรรมรถยนต์และล้อเล่ือนอากร เม่ือจัดเก็บได้ในจังหวัด จัดสรร ให้เทศบาลตาบล ตามหลักเกณฑ์และวิธีการบัญญัติไว้ กฎหมายว่าด้วยการน้ัน (พ.ร.บ. การขนส่งทาง บก และ พ.ร.บ.รถยนต์) 5.3.2) ค่าภาคหลวงแรแ่ ละคา่ ภาคหลวงปิโตเลียม เม่ือจัดเก็บได้ในเทศบาลตาบล ใดใหจ้ ัดสรรให้เทศบาลตาบลตามหลักเกณฑ์และวิธกี ารกาหนดไว้ในกระทรวงมหาดไทย 5.3.3) เงินที่เก็บตามกฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ เม่ือจัดเก็บได้ในเทศบาล ตาบลใดใหแ้ บง่ ใหเ้ ทศบาลตามหลักเกณฑ์และวธิ กี ารกาหนดไว้ในกระทรวงมหาดไทย 5.3.4) รายได้ที่เทศบาลตาบล ตอ้ งออกขอ้ บญั ญัติเพื่อจัดเก็บเพิ่มขึ้นตามกฎหมาย นั้น เป็นรายได้ที่เทศบาล มอี านาจออกข้อบัญญัติเพ่ือเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น อัตราที่ เรียกเกบ็ ตามขอ้ บญั ญตั ขิ องกฎหมายว่าด้วยการน้ัน

30 2.5 บริบทพนื้ ทใ่ี นการวิจยั สภาเทศบาลตาบลเขาแก้ว ได้ก่อสร้างข้ึน เมื่อปี พ.ศ. 2523 โดยงบประมาณของโครงการ สร้างงานในชนบท (กสช.) จานวน 251,000 บาท และเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 สภา เทศบาลตาบลเขาแก้วไดร้ บั การยกฐานะ เป็น องค์การบริหารส่วนตาบลเขาแก้ว ตามราชกิจจา เล่มที่ 133 ตอนพเิ ศษ 52ง ต่อมา เมอื่ วันท่ี 17 มิถนุ ายน พ.ศ. 2548 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ ลงนามในประกาศยกฐานะ จากองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลเขาแก้วเป็นเทศบาลตาบลเขาแก้ว การยกฐานะเปน็ องค์การบริหารส่วนตาบล จากสภาตาบล ตามราชกิจจา เล่มที่ 133 ตอน พิเศษ 52ง จงึ จัดตั้งสภาตาบลเขาแก้วเป็นองค์การบริหารส่วนตาบลเขาแก้ว เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2540 การยกฐานะเป็นเทศบาล อาศัยอานาจตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติสภา ตาบลและองค์การบริหารส่วนตาบล พ.ศ.2537 ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติสภาตาบลและ องค์การบริหารส่วนตาบล (ฉบับที่5) พ.ศ. 2546 และมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงจัดต้ังองค์การบริหารส่วนตาบลเขาแก้วเป็นเทศบาล ตาบลเขาแก้ว เมือ่ วนั ที่ 17 มิถนุ ายน พ.ศ.2548 2.5.1. สภาพทวั่ ไป 1) ที่ตง้ั พิกดั QV 900699 เทศบาลตาบลเขาแก้ว ทศิ เหนอื ตดิ กับตาบลเชยี งคาน, ตาบลบฮุ ม อาเภอเชยี งคาน ทิศใต้ ติดกบั ตาบลจอมศรี, ตาบลธาตุ อาเภอเชยี งคาน ทศิ ตะวนั ออก ตดิ กบั ตาบลชมเจรญิ อาเภอปากชม ตาบลธาตุ อาเภอเชียงคาน ทิศตะวนั ตก ติดกับ ตาบลนาซา่ ว อาเภอเชียงคาน มีระยะทางห่างจากอาเภอเชียงคาน ประมาณ 15 กิโลเมตร ตาบลเขาแก้ว มีเนื้อที่ ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มและที่ราบเชิงเขา โดยมีพื้นท่ีท้ังหมดประมาณ 133 กิโลเมตร หรือประมาณ 83,125 ไร่ 2) ภูมิประเทศมีหมู่บ้านตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่ม 10 หมู่บ้าน ตั้งอยู่ที่ราบเชิงเขา 3 หมู่บ้าน พ้ืนท่ีส่วนใหญ่เป็นป่าสงวน (ป่าภูเขาแก้ว-ดงปากชม) ส่วนพ้ืนที่การเกษตรใช้ปลูกข้าว มันสาปะหลัง ทาสวน 3) จานวนหมู่บ้าน 13 หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านในเขตเทศบาลตาบลเขาแก้วทั้ง 13 หมู่บา้ น หม่ทู ่ี 1 บ้านโสกเก่า หม่ทู ่ี 2 บา้ นโสกใหม่ หมทู่ ่ี 3 บา้ นนาเบน หมทู่ ี่ 4 บ้านนาปา่ หนาด

31 หมทู่ ่ี 5 บ้านวังอาบชา้ ง หมทู่ ี่ 6 บา้ นตาดซ้อ หมทู่ ่ี 7 บ้านเขาแกว้ หมู่ท่ี 8 บ้านท่าบม หมู่ที่ 9 บ้านท่าบม หมทู่ ี่ 10 บา้ นโสกเกา่ หมู่ท่ี 11 บ้านโสกใหม่ หม่ทู ี่ 12 บา้ นนาป่าหนาด หมทู่ ่ี 13 บา้ นท่าบม ประชากรประชากรทั้งสิ้น 7,629 คน แยกเป็น ชาย 3,881 คน หญิง 3,748 คน จานวนครัวเรือน 1,889 ครัวเรือนมีความหนาแน่นเฉลี่ย 65.18 คน /ตารางกิโลเมตรผู้มีสิทธิเลือกต้ัง 56,815 คน (ข้อมูล ณ เดือนกนั ยายน 2549) ทม่ี า : http://cheangkhan.loei.police.go.th