97 รูปท่ี 4 การเปลีย่ นแปลงของอณุ หภูมิและความเค็มตามความลึกของน้าทะเล ความเคม็ ของน้าทะเล นา้ ทะเลมแี ร่ธาตลุ ะลายปนอย่ดู ว้ ยมากมาย ประมาณ 3.45 % กบั ยังมีธาตุอีก 32 ชนิด เชน่ คลอรนี โซเดยี ม แมกนีเซียม ออกซิเจน กามะถัน แคลเซียม โปแตสเซียม ตอนท่ีเริ่มมที ะเลมหาสมทุ รใน ตอนแรก ๆ นั้น แรธ่ าตุทลี่ ะลายปนอยใู่ นนา้ ทะเลส่วนใหญ่คงละลายจากหินในบริเวณน้ัน ต่อมาจงึ ได้รบั จาก พ้นื ดนิ โดยแมน่ ้าละลายแร่ธาตุจากหนิ และพาไหลมาด้วย แรธ่ าตบุ างส่วนจะเปลยี่ นสภาพกลบั สูส่ ภาพเดิมได้ สัตว์ทะเลดูดแร่ธาตจุ ากน้าทะเลไปสรา้ งเปลอื กห่อห้มุ ลาตวั ของมัน ส่วนใหญเ่ ปน็ สารประกอบแคลเซยี ม แร่ ธาตบุ างสว่ นจะกลายเป็นของแข็ง จะพบในบริเวณท่ีอุณหภูมนิ า้ ทะเลสงู ข้ึนและคารบ์ อนไดออกไซดร์ ะเหยไป หรือในบริเวณที่การระเหยของนา้ ทะเลเปน็ ไปอยา่ งรวดเรว็ มาก อย่างไรกต็ ามแม้ว่าแรธ่ าตลุ ะลายบางส่วนจะ หายไป แต่ปรมิ าณของแรธ่ าตุละลายในน้าทะเลจะเพม่ิ ข้ึนเร่อื ย ในนา้ ทะเลมีเกลือธรรมดามาก เพราะสตั ว์ ทะเลไมต่ อ้ งการเกลือชนิดนี้ เมอ่ื น้าทะเลระเหยไปตามธรรมดาเกลือชนิดน้จี ึงยงั เหลอื อยู่ ตรงกันขา้ มกับ แคลเซียมซ่งึ หายไปจากน้าทะเลมากกวา่ ความเคม็ ของน้าทะเลที่ระดบั น้าทะเลนน้ั แตกตา่ งไปตามท่ีตา่ ง ๆ ทางซีกโลกเหนอื น้าทะเลเค็มทีส่ ดุ ที่ใกล้ ๆ กบั ละติจดู 25 องศาเหนือ ทางซีกโลกใต้เคม็ มากท่ีสดุ ท่ีประมาณ ละติจดู 20 องศาใต้ เนอ่ื งจากการระเหย
98 ของนา้ ทะเลมีมากและหยาดนา้ ฟา้ มนี ้อย จากบรเิ วณนี้ไปทางเสน้ ศนู ย์สูตรและข้ัวโลกความเคม็ จะลดลง (รูปที่ 5) รูปท่ี 5 ความเค็มของนา้ ทะเลบริเวณผิวหนา้ กา๊ ซ ในน้าทะเลมีก๊าซละลายปนอยูด่ ว้ ย ที่มีมากคือ ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ คารบ์ อนไดออกไซด์ในน้าทะเลมีมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ 18 –27 เทา่ ก๊าซในนา้ ทะเลสว่ นใหญ่ นา้ ทะเลดูดมาจากบรรยากาศ บางสว่ นมาจากภูเขาไฟใต้ทะเลหรือพวกอินทรียวัตถุท่ีเน่าเปอ่ื ย หรอื ไดจ้ าก สารประกอบบางอยา่ ง ออกซิเจนเป็นสง่ิ สาคญั ตอ่ สิ่งมชี วี ิตท่ีอาศัยอยูใ่ นน้าทะเล คารบ์ อนไดออกไซดเ์ ป็น อาหารของสาหรา่ ยสเี ขียวและสีนา้ ตาล น้าทะเลทเี่ ย็นจะเก็บกา๊ ซได้มากวา่ นา้ ทะเลที่อุ่น เมือ่ นา้ ทะเลท่ีพ้นื ท้อง มหาสมุทรทางข้ัวโลกไหลมาทางเส้นศนู ยส์ ตู รจะอุ่นขนึ้ และจะปลอ่ ยก๊าซบางสว่ นกลบั ไปในอากาศ บางทีนา้ ทะเลไหลข้ึนมาจะอุ่นข้ึนจะปลอ่ ยก๊าซบางส่วนกลบั ไปในอากาศเช่นเดยี วกัน ความถ่วงจาเพาะของนา้ ทะเลและความกดของน้าทะเล ความถ่วงจาเพาะของน้าทะเลประมาณ 1.025 ข้นึ อยู่ กับความเค็มของนา้ ทะเล ที่ขั้วโลกความถว่ งจาเพาะสงู ข้ึนประมาณ 1.028 ทเ่ี ขตร้อนเหลือประมาณ 1.022 การเปลยี่ นแปลงความแนน่ อนของน้ารวมกบั การเปลี่ยนแปลงอุณหภมู ิ น้าหนัก ความเจอื จางหรือความเข้มข้น ของน้าทะเล ทาใหเ้ กิดกระแสนา้ บางชนดิ ในมหาสมุทร น้าทะเล 1 ลุกบาศก์เมตรจากระดับน้าทะเลลงไปหนักประมาณ 1.08 ตันหรือ 1,080 กิโลกรมั ลกึ ลงไปทรี่ ะดับ ลึก 1,000 เมตรน้าทะเลจะหนักประมาณ 1,080 ตันตอ่ เน้ือที่ 1 ตารางเมตร
99 พืชและสตั ว์ในทะเลมหาสมุทรทะเลมหาสมุทรแบง่ ตามลักษณะของพชื และสตั วไ์ ดห้ ลายเขต (รูปท่ี 6) 1. เขตชายฝั่ง คอื เขตทอ่ี ยู่ระหว่างระดบั น้าทะเลสงู สดุ กับน้าทะเลต่าสุด คลนื่ ซัดอย่เู กือบตลอดเวลา ส่งิ มีชีวิต ในเขตนี้จงึ ยดึ ตวั กับพ้ืนหรือฝังตัวอยู่ในโคลน บางชนิดหลบอย่ใู นแอง่ บางชนิดมโี คลงสรา้ งที่ทาให้มันมชี ีวติ อยู่ ไดแ้ มจ้ ะไมม่ นี า้ ทะเลเหลอื อย่เู ลย บางชนดิ ขดุ รูในหินและอาศยั อย่ทู ่นี ัน่ 2. เขตทะเลต้ืน คือเขตระหว่างระดบั น้าตา่ สดุ กบั ขอบนอกสุดของไหล่ทวีป นา้ ในเขตน้ีไม่ลึกมากและอุ่นเพราะ ไดร้ ับความร้อนจากดวงอาทิตย์ อาหารอดุ มสมบรู ณ์ ส่งิ มชี วี ิตมีมากมายหลายชนดิ 3. เขตนา้ ลกึ ลาดทวปี คือเขตระหว่างระดบั น้าลึก 120 เมตรกับ 1,800 เมตร ตอนบนนา้ ไดร้ บั แสงสว่างบ้างแต่ พืชมนี อ้ ย ท่ีพื้นมีสัตว์ทะเลมากแตพ่ ชื ก็มีน้อยอีก การทบั ถมของตะกอนในเขตนีเ้ ป็นไปอย่างช้าๆ มพี วก แคลเซียมซึ่งส่วนใหญ่คอื เปลอื กของพวกแพลงก์ตอน และพวกซลิ กิ าซึง่ ส่วนใหญเ่ ป็นไดอะตอม และซากของ ฟองน้า 4. เขตทะเลลึก อยู่ถดั เขตชายฝ่ัง ส่ิงมีชีวิตในเขตน้ีรวมเอาพวกแพลงก์ตอน ซงึ่ ลอยอยู่ในนา้ และสัตว์ทว่ี ่ายนา้ ได้ พชื ท่มี ีมากคือสาหรา่ ยและไดอะตอม สตั วม์ มี ากมายหลายชนดิ ซากพืชและสตั ว์ในสว่ นนี้ที่เนา่ เปอื่ ยไปและ ส่วนท่ีเป็นอนินทรยี สารมสี ว่ นช่วยทาใหเ้ กดิ หนิ ช้นั ขนี้ 5. เขตบาดาล คือส่วนท่ีอย่ใู ต้ระดบั ลกึ 1,800 เมตรลงไป เขตน้ีไม่ได้รับแสงแดด อุณหภูมิของน้าเกือบจะถึงขีด เยือกแขง็ ความกดมากกวา่ 1 ตนั ตอ่ เนื้อที่ 1 ตารางเซนติเมตร พชื ที่ต้องการแสงแดดไม่มีในเขตนี้ สตั ว์ทีก่ นิ พืชเป็นอาหารต้องกนิ ของท่ีจมลงมาจากตอนบนท่นี า้ ถูกแสงแดด เปลอื กและกระดูกสัตวท์ อ่ี าศัยอยทู่ ี่พื้นของ เขตนแี้ สดงให้เหน็ วา่ สตั วท์ ่จี ะอาศัยอยู่ใส่วนนี้ไดต้ ้องมลี กั ษณะพเิ ศษจึงจะมชี วี ติ อยู้ได้ รปู ท่ี 6 การแบ่งเขตทะเลมหาสมทุ รตามลกั ษณะของพืชและสัตว์
100 การเคลื่อนไหวของน้าทะเล คลื่น คล่นื ส่วนใหญเ่ กดิ จากลม แผน่ ดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด ตลอดจนแผน่ ดินถล่มที่พนื้ ท้องมหาสมุทรทาให้เกิด คลน่ื ไดด้ ว้ ย คล่นื ชนิดนเี้ รียกว่า ซนู ามิ นานๆ จะเกดิ ขนึ้ สกั คร้ังหน่งึ แตท่ าให้เกดิ อนั ตรายและความเสียหาย อย่างมากมายเม่ือคลื่นชนิดน้ซี ัดเข้าหาฝ่ัง เมอ่ื ลมพัดมากระทบกบั พนื้ น้า จะทาใหน้ ้านูนสูงขึน้ มาคลา้ ยสันเขามากมายหลายแนวดว้ ยกัน เรียกวา่ คล่ืน (รูปที่ 7) ความสงู ของคล่นื และระยะหา่ งของคลน่ื ทาใหท้ ราบถงึ ความแรงของลม เม่ือคล่ืนเคลอ่ื นที่จาก แหล่งกาเนิดจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกวา่ คลืน่ หัวเรียบ เพราะมันจะรวมเอาคลื่นขนาดเล็กเขา้ ไปดว้ ย คล่ืนหัว เรยี บจะเคล่อื นที่ด้วยความเร็วทเ่ี ปน็ อตั ราส่วนกับความยาวของคลน่ื ตอนน้ีเปน็ คล่ืนนา้ ลกึ คลื่นเมอ่ื ซดั เขา้ ไป ถึงฝ่งั จะกระทบกบั พน้ื ทาให้คล่นื สงู ขนึ้ และระยะห่างของคล่ืนนอ้ ยลง เม่ือคล่ืนเข้าใกล้ฝงั่ ท่ีมีหวั แหลม สว่ น หน่ึงจะกระทบกบั หัวแหลมก่อนส่วนอืน่ แนวหน้าสุดของคลืน่ จะเปล่ยี นรูปเป็นรูปโคง้ ขนานไปกับฝ่ัง เรียกวา่ เกดิ การหักเหของคลนื่ (รปู ท่ี 8) ยิ่งเข้าฝัง่ เข้าไปที่จดุ จุดหนึง่ โมเลกุลของน้าจะพบกบั ส่งิ เสียดทานท่ีพ้ืนท้อง มหาสมุทร ทาใหผ้ วิ หน้าของคลนื่ แตกกลายเป็นคลื่นหวั แตกน้าจะเปน็ ฟองไหลข้ึนไปท่ีฝัง่ เรยี กว่า ฟองคลน่ื บน หาด (รูปที่ 9) รปู ที่ 7 คลนื่
101 รปู ที่ 8 การหกั เหของคล่ืน รปู ที่ 9 คล่ืนหวั แตก
102 นา้ ขน้ึ น้าลง คือปรากฏการณ์ทร่ี ะดับน้าทะเลสงู ขึน้ และต่าลง นา้ จะข้นึ สองครง้ั ในระยะเวลา 24 ช่ัวโมง 52 นาที นา้ ขึ้นนา้ ลงนน้ั เกิดจาการทด่ี วงอาทิตย์และดวงจันทร์ดึงดดู โลก แรงดงึ ดดู มผี ลตอ่ ท้ังพน้ื ดนิ และพ้ืนนา้ แต่ นา้ เคลือ่ นไหวง่ายกว่าจึงถูกดงึ ดดู ได้งา่ ยกวา่ ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และโลก เรยี งรายอยู่ในระดับราบใกล้เคียงกัน แตจ่ ะเปลี่ยนที่กันอยู่เรื่อย ๆ แรงดึงดูด ของดวงอาทติ ย์และดวงจันทร์ท่มี ตี อ่ โลกมีอยตู่ ลอดเวลา เนื่องจากดวงจันทร์อยใู่ กลโ้ ลกมากกวา่ ดวงอาทิตย์ อื ทธพิ ลของดวงจันทรจ์ งึ มีมากกวา่ ดวงอาทิตย์ ถา้ ดวงอาทิตยแ์ ละดวงจนั ร์อยู่ในแนวเส้นตรงเดยี วกนั จะชว่ ยกัน ดึงดูดนา้ ทาให้น้าขึ้นสงู ผดิ ปกติ สาหรับดวงจนั ทร์นั้นจะดงึ ดูดนา้ ทผ่ี ิวโลกสว่ นหนึ่งใหม้ ารวมอยู่ทางด้านที่ใกล้กับดวงจนั ทร์มากท่ีสดุ เรยี กวา่ น้าขึ้น ในขณะท่ีด้านตรงข้ามของโลกจะมนี า้ ขน้ึ เชน่ เดยี วกันแต่ระดับต่ากว่าเล็กน้อย (รูปที่ 10) รูปท่ี 10 การเกดิ น้าข้นึ นา้ ลง จากภาพจะเหน็ ว่าระยะทางระหว่างดวงจนั ทร์กบั โลกเป็น 59 เท่าของรศั มีของโลก (กจ = 59 ร) ระยะทาง ระหว่างศนู ย์กลางของโลกถึงดวงจนั ทร์เปน็ 60 เท่า (ลจ = 60 ร) และระยะทางจากดวงจันทร์ถึงโลกจุดทห่ี า่ ง จากดวงจนั ทร์มากท่ีสุดเป็น 61 เทา่ (ขจ = 61 ร) แรงดึงดดู ระหว่างของสองส่ิงจะเปลี่ยนแปลงไปตาม ระยะทางกาลังสอง แรงดึงดูดท่ี ก ล และ ข จะเป็น (1/59)2 ,(1/60)2 ,(1/61)2 หมายความว่าดวงจันทรจ์ ะ ดงึ ดูดน้าทจี่ ดุ ก ด้วยกาลังแรงมากว่าดงึ ดูดโลกซ่ึงมีศนู ยก์ ลางอยู่ท่ี ล เนอื่ งจากความแตกต่างของแรงดงึ ดดู น้า ท่จี ุด ก ซงึ่ อยู่ใกล้กับดวงจันทรม์ ากทส่ี ดุ จะถูกดึงดดู ไดม้ ากกวา่ ท่จี ุด ล นืทจ่ี ุด ก จะไหลออกหา่ งจากจดุ ล ท่จี ดุ
103 ข ซงึ่ อยู่ไกลจากดวงจันทร์มากทีส่ ดุ แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะมีน้อยกวา่ ท่ีจดุ ก หรือ ล นา้ สว่ นหน่งึ จะ เหลอื อยทู่ ่ีจดุ ข มปี ริมาณเทา่ ๆ กบั น้าสว่ นทีถ่ กู ดวงจันทร์ดึงดดู ไปท่จี ดุ ก หรือ ล น้าส่วนหนึง่ จะอยู่ที่จดุ ข มี ปรมิ าณเท่า ๆ กับนา้ ส่วนที่ถูกดวงจันทรด์ งึ ดดู ไปที่จดุ ก ทบี่ รเิ วณ ค และ ง นา้ ถูกดงึ ดูดไประดับนา้ จึงตา่ เรียกว่า น้าลง การทโ่ี ลกหมนุ รอบตวั เองในเวลา 24 ช่วั โมง ทาให้จดุ ทุกจุดที่อยบู่ นเส้น ลองติจดู เดยี วกันมีน้า ขึน้ ทกุ 12 ชั่วโมง 26 นาที ในทะเลเปิดระดบั นา้ ขึ้นและน้าลงไม่แตกตา่ งกันมากนกั ท่ีแถบชายฝ่ังทวปี ต่าง ๆ จะตา่ งกนั มากกว่า ย่งิ ในอ่าว แคบ ๆ ท่ปี ากอา่ วกว้างมากความแตกต่างระหวา่ งนา้ ขึน้ นา้ ลงย่ิงมาก เชน่ ที่อ่าวฟนั ดี ตา่ งกัน 6 - 15 เมตร ระดับน้าจะค่อย ๆ สงู ขึ้นและคอ่ ย ๆ ลดลง แต่ที่ชายฝ่ังบางแห่งนา้ ขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นทชี่ ายฝ่ังของจนี และ อนิ เดีย เรียกวา่ สันนา้ ทน้ คือน้าไหลเข้ามาคล้ายกับกาแพงสงู เวลาน้าข้ึนไหลผา่ นชอ่ งแคบหรือไหลเข้าไปใน อ่าวหรอื ไหลผ่านระหวา่ งเกาะ จะเกดิ กระแสน้าข้นึ ลงทาให้วตั ถทุ ีพ่ ้ืนท้องมหาสมทุ รบรเิ วณนน้ั เคลอ่ื นทไ่ี ด้ กระแสน้ามหาสมุทร กระแสน้ามหาสมุทรคือการไหลของนา้ ทะเลตามแนวราบอย่างสม่าเสมอกระแสนา้ มหาสมทุ รจะชว่ ยปรับอุณหภูมขิ องพน้ื ผวิ โลก ช่วยถ่ายเทความร้อน (รปู ที่ 11) มีสาเหตหุ ลายอย่างท่ที าใหเ้ กิดมีกระแสนา้ มหาสมุทร 1. ลม ลมทาให้เกดิ กระแสนา้ มหาสมุทรโดยการทลี่ มพัดมาเหนือน้า แลว้ ทาใหน้ ้าไหลตามมาดว้ ย ลมแน่ทศิ ท่ี ทาให้เกิดกระแสน้า คือ ลมค้าและลมฝ่ายตะวนั ตก ลมค้าซึ่งพดั แรงแรงและพดั สมา่ เสมอจะทาใหเ้ กดิ กระแสนา้ ศนู ย์สตู รแถบเสน้ ศูนย์สตู ร ทแ่ี ถบละติจดู 40 องศา ลมพดั จากตะวนั ตกไปตะวันออกเรียกวา่ ลมฝ่าย ตะวันตก ลมนจ้ี ะพัดพาน้าให้ไหลจากตะวันตกกลับไปทางตะวนั ออก เชน่ กระแสนา้ แอตแลนติกเหนือ กระแสนา้ แปซฟิ ิกเหนอื 2. ความแตกต่างของความแน่นของนา้ ทะเล นา้ ทะเลในแถบขัว้ โลกเย็นมีความแนน่ มากจะจมลงและไหลมา ตามพ้ืนท้องมหาสมุทรมาทางเส้นศนู ย์สูตร นา้ ที่ผิวหนา้ ทางเสน้ ศนู ย์สูตรซึ่งร้อนจะไหลไปทางขวั้ โลก 3. โลกหมนุ รอบตวั เอง ทาให้เกิดแรงเหวี่ยงหรอื แรงเฉ แรงเหวย่ี งหรอื แรงเฉทาให้ทศิ ทางการไหลของ กระแสน้าเฉไปจากทศิ ทางท่ีควรจะเป็น ทางซีกโลกเหนือจะเฉไปทางขวา ทางซกี โลกใต้จะเฉไปทางซ้าย 4. พ้ืนดินทขี่ วางทางอยู่ เม่ือกระแสนา้ ไหลไปพบทวีปหรือผืนดินที่ขวางอยู่ กระแสนา้ จะเปลี่ยนทศิ ทางการไหล ซง่ึ จะขน้ึ อยกู่ บั รูปร่างของพ้นื ดนิ ทขี่ วางทางอยู่ เชน่ กระแสนา้ ศูนย์สตู รในมหาสมุทรแอตแลนตกิ ตอนเหนือไป ถึงชายฝ่งั ประเทศบราซิล กระแสน้าจะเปลีย่ นทางไหลเลียบชายฝงั่ ขึน้ ไปทางเหนอื ไปพบหมเู่ กาะแอนตลิ ลสิ แลว้ แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งขา้ มทะเลแครบิ เบียนเขา้ ไปในอ่าวเม็กซโิ กอีกสายหน่ึงไหลผ่านไปทางตะวันออก ของหมู่เกาะแอนติลลสิ หรอื กระแสน้าศูนยส์ ูตรในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ไหลไปถึงชายฝง่ั บราซิล ซ่งึ มี
104 ลกั ษณะคลา้ ยลิ่มยนื่ ออกมา กระแสนา้ ศนู ย์สตู รจะเปล่ียนทาง สว่ นหนงึ่ จะไหลข้ึนไปทางเหนือ เขา้ ไปใน มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนอื อีกสว่ นหน่งึ ไหลลงมาทางใต้ 5. ระดบั นา้ ที่แตกตา่ งกนั จะทาใหม้ ีกระแสนา้ มหาสมุทรได้ รปู ท่ี 11 กระแสนา้ มหาสมุทร เกาะคือพื้นดนิ ที่สงู ขึ้นมาจากพ้ืนท้องมหาสมุทรและมีน้าล้อมรอบ มีขนากตา่ ง ๆ กันไปใหญบ่ ้างเลก็ บ้าง ถา้ เกาะหลาย ๆ เกาะเรียงรายกันเป็นแนวยาวเรียกวา่ ทิวเกาะ ถ้าเกาะหลายเกาะรวมกันอย่เู ป็นกล่มุ เรียกว่า กลมุ่ เกาะ เกาะแบ่งออกเป็นสองประเภท
105 1.เกาะริมทวีป เกาะขนาดใหญส่ ว่ นมาก เชน่ เกาะองั กฤษ กรีนแลนด์ แทสเมเนีย เปน็ ส่วนของแผน่ ดนิ ใหญม่ า กอ่ น ต่อมาพน้ื ดินสว่ นทอ่ี ย่รู ะหว่างเกาะกับทวีปยุบตวั ลงไปใต้ระดับนา้ ทะเล ส่วนท่ีถูกตดั ขาดออกไปกลายเปน็ เกาะ พ้ืนน้าระหวา่ งเกาะกบั ทวปี จะเปน็ พืน้ น้าแคบ ๆ ตืน้ ๆ เรียกว่า ชอ่ งแคบ เกาะประเภทน้ีมพี ชื สัตว์ และ โครงสรา้ งของหินคลา้ ยคลงึ กับทวีปที่อยู่ใกลเ้ คียงกนั 2. เกาะกลางสมทุ ร อยู่กลางมหาสมทุ ร เกาะประเภทนี้คอื สว่ นยอดของภเู ขาที่อย่ทู ่ีพื้นท้องมหาสมุทร เกาะ บางเกาะเปน็ เกาะภเู ขาไฟท่สี ูงและทรุ กนั ดาร เรยี กวา่ เกาะภูเขาไฟ บางเกาะเกิดจากตัวปะการัง เรียกวา่ เกาะ ปะการงั เป็นเกาะทม่ี ีความแตดต่างระหว่างสว่ นสูงกบั สว่ นต่านอ้ ยมาก เกาะภเู ขาไฟเกิดจากลาวาทับถมกนั จนสงู พ้นระดับนา้ ขนึ้ มา ภูเขาไฟสว่ นใหญ่ยงั คุอยู่และมแี ผ่นดินไหวบ่อย ๆ เกาะภเู ขาไฟมกั อยู่เรียงรายกันเป็นแนวยาว มรี ูปโคง้ และอย่ใู กล้ ๆ ขอบของรอ่ งลึกบาดาล เกาะปะการงั เกดิ จากตัวปะการังซึง่ เปน็ สัตว์ทะเลอาศัยอยใู่ นน้าท่อี ณุ หภูมิสงู กวา่ 20 องศาเซลเซยี ส (68 องศา ฟาเรนไฮน)์ น้าลกึ ประมาณ 45 เมตรและไมม่ ีพวกทรายแป้งลอยปนอยู่ในน้า ตวั ปะการังอย่กู นั เป็นกลุ่ม มัน ผลติ ปนู ขาวไดแ้ ละดดู ปูนขาวจากน้าทะเลได้ เม่ือตายไปจะกลายเป็นหินปนู ตัวเป็นปะการังทาให้เกิดพืดหนิ ปะการงั ชายฝั่งทรี่ อบ ๆ เกาะริมทวปี เกาะภูเขาไฟ หรอื ที่รอบ ๆ ทวีป ตวั ปะการังท่ีอยู่เหนอื ภูเขาหรอื ภูเขาไฟ ใตท้ ะเลทีก่ ลางมหาสมุทรอาจถับถมกนั ทาใหย้ อดเขาสงู ข้นึ เป็นเกาะปะการังได้ บางครัง้ ตัวปะการงั ทบั ถมกนั อย่รู อบ ๆ เกาะภูเขาไฟกลางมหาสมทุ ร ต่อมาภเู ขายุบจมหายไปใตน้ ้าทาให้เปน็ เกาะปะการังที่มีรปู ร่างกลม มี นา้ ตรงกลางทีเ่ รียกว่า เกาะอะโทล (รปู ที่ 12) รปู ท่ี 12 เกาะอะโทล ชายฝัง่ ชายฝั่งยกตวั เมอื่ ขอบของทวปี มรี ะดับสงู ข้นึ เรอ่ื ย ๆ หรอื ระดบั นา้ ทะเลต่าลง สว่ นซึง่ เคยอยูใ่ ต้ระดับนา้ จะโผล่ ข้ึนมา ไหลท่ วีปสว่ นหน่ึงจะกลายเป็นทีร่ าบชายฝ่งั ไป เกิดแนวชายฝั่งใหมข่ น้ึ เนือ่ งจากไหลท่ วีปสว่ นใหญ่ค่อย ๆ ลาดลงและราบเรยี บ แนวชายฝ่ังใหมจ่ ะค่อนขา้ งเรยี บ ท่รี าบชายฝ่งั จะแบนราบและเปน็ ทลี่ ุม่ นา้ ขงั คล่ืนไม่ สามารถจะซัดเข้ามาถงึ แนวชายฝง่ั ใหม่ไดเ้ พราะน้าต้นื คลืน่ จะแตกเสียกอ่ น ตอนท่ีคลนื่ แตกจะมีแนวสันดอน
106 ขานไปกบั ฝ่ัง ระหวา่ งแนวสนั ดอนกับชายฝ่ังเป็นทะเลสาบนา้ เค็ม สนั ดอนบางแห่งจะขาดตอน เวลานา้ ขึ้นนา้ ลงจะมีกระแสน้าขึน้ ลงพาทรายเข้ามา น้าจากบนฝง่ั จะพาวัตถุน้าพามาถับถมด้วย ทาให้สันดอนใกล้ฝั่งเข้ามา เรอื่ ย ๆ (รูปที่ ) รปู ท่ี 13 ก ชายฝัง่ ยกตวั รูปท่ี 13 ข ชายฝ่งั ยกตวั ชายฝ่ังยุบตัว เมือ่ ขอบของลาดทวปี ลดระดบั ลงหรอื ระดบั น้าทะเลสงู ขนึ้ นา้ จะไหลบา่ ทว่ มขอบของทวีป ทาให้ ส่วนนัน้ จมหายไปใตน้ า้ กระแสน้าขน้ึ ลงจะไหลเขา้ ไปในแม่นา้ ได้ไกลขนึ้ นา้ ทะเลจะไหลท่วมสว่ นท่ีจมหายไปใต้
107 น้า ตอนทีเ่ คยเปน็ ปากแม่นา้ มากอ่ นแล้วพ้ืนดินสองฝั่งของแมน่ ้าจมหายไปใต้น้า จะทาใหเ้ กดิ เปน็ อ่าวรปู ร่าง ยาวล้าเข้าไปในพน้ื ดิน เรยี กว่า ชะวากทะเล ในกรณีที่แนวชายฝง่ั นนั้ เปน็ เนนิ เขาหรือภเู ขามาก่อนแล้วมีการลด ระดบั ลง ตรงทป่ี ากแมน่ ้าจมหายไปใตน้ ้าจะเปน็ อ่าวที่น้าลกึ เรียกวา่ อา่ วรีอา พื้นดินทีเ่ หลือออยจู่ ะเป็น หัวแหลมหรอื เกาะ ในบรเิ วณทีเ่ ป็นภเู ขาและเคยมธี ารนา้ แข็งหุบเขาปกคลุมแลว้ จมหายไปใต้นา้ หุบเขา เหล่านั้นจะกลายเปน็ อา่ วรูปยาว แคบ ลึก และสงู ชนั เรยี กว่า อา่ วฟยอร์ด ชายฝง่ั แบน้ีมีท่ีราบนอ้ ยมาก อาจมี บางตอนท่ีน้าต้นื เพราะมีวตั ถุทนี่ ้าแขง็ พามาท้งิ ไว้ ห่างออกไปมเี กาะเล็ก ๆ มากมาย เกาะเหล่านเี้ ดมิ เป็นสว่ น ของแผน่ ดนิ มาก่อน แลว้ ถกู ตัดขาดออกไปเพราะ พ้นื ดนิ สว่ นหนง่ึ จมหายไปใต้นา้ (รูปที่ 14) ชายฝั่งรอี า
108 ชายฝงั่ ฟยอรด์ รูปท่ี 14 ชายฝงั่ ยบุ ตวั ชายฝั่งคงระดบั พบในบริเวณท่ีระดบั น้าทะเลกบั ระดบั พ้นื ดินไม่เปลี่ยนแปลงเลยเปน็ เวลานานมาก การเปลย่ี นมี แต่การทับถมของวตั ถุใหม่ ๆ ในตอนที่พ้นื ดินกบั พน้ื นา้ จดกัน (รปู ที่ 15) ชายฝัง่ ที่จดั เขา้ ไวใ้ นประเภทนีค้ ือ ชายฝง่ั ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่นา้ ชายฝง่ั ทเ่ี กดิ จากลาวาทับถมกันใกล้ ๆ ทะเล ชายฝงั่ ทเี่ กิดจากการเลื่อนตวั ของหนิ ชายฝั่งที่มพี ดื หนิ ปะการังอยดู่ ้วย ชายฝงั่ ดินดอนสามเหล่ยี มปากแม่นา้ ชายฝัง่ ท่เี กดิ จากลาวาทับถมกันใกล้ ๆ ทะเล
109 ชายฝั่งทเ่ี กิดจากการเลื่อนตวั ของหนิ รูปท่ี 15 ชายฝ่งั คงระดับ ชายฝ่ังผสม คอื ฝั่งทเี่ กดิ จากการท่รี ะดับพื้นนา้ กบั ระดับพื้นดนิ เปลีย่ นแปลงหลายคร้ังด้วยกนั ตอนแรกพื้นดนิ ลดระดบั ลง ทาให้มชี ะวากทะเลและอา่ วรอี า ตอ่ มาพน้ื ดินมีระดบั สูงขึน้ เกิดมที ่ีราบชายฝั่ง สันดอนนอกฝั่ง และทะเลสาบน้าเคม็ เช่นทต่ี อนกลางของชายฝง่ั ตะวนั ออกของสหรัฐอเมริกา
110 แบบฝกึ หดั เรื่อง อณุ หภูมิและความเคม็ ของมหาสมุทร คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. น้าผิวหนา้ มหาสมทุ รบริเวณ A มอี ุณหภูมแิ ละความเค็มสูงกว่าบริเวณ B ใชห่ รอื ไมเ่ พราะเหตใุ ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
111 แบบฝึกหดั เรอื่ ง อุณหภูมแิ ละความเค็มของมหาสมุทร คาชีแ้ จง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1. น้าผิวหน้ามหาสมุทรบริเวณ A มอี ุณหภมู แิ ละความเค็มสงู กว่าบรเิ วณ B ใช่หรอื ไม่เพราะเหตใุ ด แนวคาตอบ บริเวณ A มีอุณหภมู ิสูงกว่าบริเวณ B เพราะ รงั สีดวงอาทิตย์ตกกระทบผวิ หนา้ มหาสมทุ รบริเวณ A ในแนวต้ังฉาก ส่วนบริเวณ B รังสดี วงอาทติ ย์ตกกระทบผิวหน้ามหาสมุทรในแนวเฉยี ง ทาให้พ้นื ผวิ นา้ บริเวณ A มีความเข้มรังสีดวงอาทิตย์มากกว่าบรเิ วณ B ดงั นน้ั น้าผิวหนา้ มหาสมุทรบรเิ วณ A จึงมอี ุณหภมู ิสูงกว่า บรเิ วณ B บริเวณ B มคี วามเค็มสงู กว่าบรเิ วณ A เพราะ เหนือผิวน้าบริเวณ B มกี ารจมตัวของอากาศทมี่ ีความช้นื น้อย ทาให้น้าผวิ หนา้ มหาสมุทรเกิดการระเหยไดม้ าก ประกอบกับบริเวณนไ้ี ดร้ บั หยาดนา้ ฟา้ นอ้ ยกว่าบริเวณอื่นจึง ทาใหม้ คี วามเค็มสงู ในขณะท่ีบริเวณ A เกิดการระเหยของน้า ผิวหนา้ มหาสมทุ รไดม้ ากเนือ่ งจากมคี วามเข้ม รงั สีดวงอาทติ ย์มาก แต่กไ็ ด้รับนา้ จืดจากแผน่ ดิน และหยาดน้าฟ้าทาใหบ้ ริเวณนีม้ ีความเค็มนอ้ ยกว่าบรเิ วณ B
112 แผนการจัดกิจกรมการเรียนรู้ 7 สารระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รายวชิ า ว 32261 รายวิชา โลกดาราศาสตร์ และอวกาศ 2 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9 การหมุนเวยี นของน้าในมหาสมุทร เรอื่ ง การหมนุ เวียนน้าในมหาสมุทรกับลมฟ้าอากาศและภมู ิอากาศ 1. สาระ / ผลการเรยี นรู้ สาระ เข้าใจสมดลุ พลังงานของโลก การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก การหมุนเวยี น ของนา้ ในมหาสมทุ ร การ เกดิ เมฆ การเปลีย่ นแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อส่ิงมีชวี ติ และส่งิ แวดล้อม รวมท้ังการพยากรณอ์ ากาศ ผลการเรียนรู้ 1. อธบิ ายปจั จยั ท่ีทาให้เกิดการแบ่งช้ันน้าในมหาสมุทร 2. อธบิ ายปัจจยั ท่ีทาให้เกิดการหมุนเวยี นของน้าในมหาสมุทรและรูปแบบการหมุนเวยี นของน้าใน มหาสมุทร 3. อธบิ ายผลของการหมุนเวยี นของน้าในมหาสมทุ รท่ีมตี ่อลกั ษณะลมฟา้ อากาศ สง่ิ มชี วี ิต และส่งิ แวดลอ้ ม 2. สาระสาคญั นา้ ในมหาสมุทรมอี ุณหภมู แิ ละความเค็มของน้าแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะแถบละตจิ ูดและแตล่ ะระดับความลกึ ซง่ึ หากพจิ ารณามวลน้าในแนวดิ่งและใช้อุณหภูมิเปน็ เกณฑ์ จะสามารถแบ่งชัน้ น้า ได้เป็น 3 ช้นั คือ น้าชัน้ บน นา้ ชน้ั เทอรโ์ มไคลน์ และน้าชั้นลา่ ง การหมุนเวียนของนา้ ผิวหนา้ ในมหาสมุทรไดร้ บั อทิ ธิพลจากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ละแถบละติจูด เปน็ ปจั จัยหลักประกอบกบั แรงคอริออลิส และขอบทวปี ที่ขวางก้ันการไหลของน้า ทาให้กระแสน้าผิวหนา้ มหาสมุทรไหลในทศิ ทางตามเขม็ นาฬิกาในซีกโลกเหนอื และทวนเข็มนาฬิกาในซีกโลกใต้ ซง่ึ กระแสนา้ ผวิ หน้ามหาสมุทรมีทงั้ กระแสน้าอุ่นและกระแสน้าเยน็ ส่วนการหมุนเวียนของกระแสน้าลกึ เกิดจาก นา้ ผวิ หนา้ มหาสมุทรมคี วามหนาแน่นเพิ่มขน้ึ จึงจมตัวลงและไหลอยู่ในระดับลึก ทัง้ กระแสนา้ ผิวหน้ามหาสมทุ ร และกระแสน้าลึกจะหมุนเวยี นต่อเนื่องกนั เกิดเป็นการหมนุ เวยี นของนา้ ในมหาสมทุ ร
113 นอกจากนี้ ชายฝั่งบางบรเิ วณอาจเกดิ น้าผุดหรือนา้ จม ซึ่งเปน็ การหมุนเวยี นของนา้ ในมหาสมทุ รรูปแบบหน่งึ ที่ ส่งผลต่อระบบนเิ วศในมหาสมทุ ร การหมุนเวียนอากาศและน้าในมหาสมุทร ส่งผลตอ่ ลักษณะลมฟา้ อากาศ สิ่งมชี ีวติ และสง่ิ แวดลอ้ ม แตกต่างกนั ไป หากการหมุนเวยี นอากาศและน้าในมหาสมุทรเกิดความแปรปรวนจะทาใหเ้ กิดผลกระทบ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานญี า ซ่งึ เกิดจากความแปรปรวนของลมค้าและส่งผลต่อสภาพลมฟ้าอากาศของ ประเทศทอ่ี ย่บู ริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก รวมถึงบรเิ วณอ่นื ๆ บนโลก 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ ด้านความรู้ (K) 1. วเิ คราะหข์ ้อมลู และอธิบายผลจากการหมนุ เวยี นของน้าผิวหน้ามหาสมุทร 2. อธิบายการเกดิ ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานีญา และผลต่อสิ่งมีชีวติ และส่งิ แวดล้อม ด้านทกั ษะ/กระบวนการ (P) 1. ทักษะการสังเกต 2. การตง้ั สมมตฐิ าน 3. การตคี วามหมายข้อมูลและข้อสรปุ ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์(A) 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 2. ซื่อสัตยส์ ุจริต 3. มวี นิ ัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อย่อู ยา่ งพอเพยี ง 6. มงุ่ มัน่ ในการทางาน 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ติ สาธารณะ 4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคิด 3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 4. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
114 5.สาระการเรียนรู้ การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก 6. ภาระงาน/ชิน้ งาน - แบบทดสอบ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 9 การหมนุ เวียนของนา้ ในมหาสมทุ ร - ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง การหมนุ เวียนน้าในมหาสมุทรกบั ลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ หน่วยย่อยท่ี 3 เร่ือง การหมุนเวยี นนา้ ในมหาสมทุ รกบั ลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศ ข้ันนำเข้ำสู่บทเรียน (Engagement Phase) 1. ครูนาเข้าสบู่ ทเรียนโดยครใู หน้ ักเรยี นสังเกตรปู 9.10 ในหนงั สือเรยี นหน้า 71 จากนัน้ ทบทวนความรู้ เก่ยี วกับกระแสน้าผวิ หน้ามหาสมุทรโดยใช้ตวั อยา่ งคาถามดังนี้ “บริเวณใดของโลกทีม่ ีความรอ้ นมาก และบรเิ วณใดของโลกทมี่ ีความร้อนน้อย” แนวคาตอบ บรเิ วณศูนยส์ ูตรมีความร้อนมาก บริเวณละตจิ ูดสงู ๆ ไปจนถึงแถบขวั้ โลกมีความรอ้ นน้อย ข้นั สำรวจและค้นพบ (Exploration Phase) 1. นกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลการหมนุ เวียนนา้ ในมหาสมุทรกับลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศจำกหนงั สือเรียน รำยวชิ ำโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ เลม่ 3 และใบควำมรู้ 2. นกั เรียนทำใบงำนแบบฝึกทกั ษะ ข้นั อธิบำยและลงข้อสรุป ( Explanation Phase) 1 . นกั เรียนร่วมซกั ถำม และครูอธิบำยเพ่ิมเติมเกี่ยวกบั ขอ้ มลู การหมุนเวยี นนา้ ในมหาสมทุ รกบั ลมฟา้ อากาศ และภูมิอากาศ เพื่อให้นกั เรียนสรุปสำระสำคญั ลงในสมดุ จดบนั ทึก ข้นั ขยำยควำมรู้ (Expansion Phase) 1. นกั เรียนสนทนำซกั ถำมครูเก่ียวกบั ขอ้ สงสัย ศึกษำเพิม่ เติมจำกใบควำมรู้เร่ืองการหมุนเวียนนา้ ใน มหาสมุทรกับลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศ
115 ข้นั ประเมิน (Evaluation) 1. สังเกตพฤติกรรมกำรเรียนรู้และกำรร่วมกิจกรรมของนกั เรียน 2. ครูสังเกตกำรณ์ตอบคำถำมของนกั เรียน 3. ครูวดั ประเมินจำกกำรทำแบบฝึกหดั 8. สอ่ื การเรยี นรู้ 1. หนงั สือเรียน รายวิชาเพ่ิมเตมิ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม.5 เล่ม 3 2. ใบความรู้ท่ี 1 เรื่องการหมุนเวียนน้าในมหาสมุทรกับลมฟา้ อากาศและภูมิอากาศ 3. PowerPoint การหมนุ เวยี นน้าในมหาสมุทรกับลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศ 9. แหล่งการเรียนรู้ 1. ห้องเรยี น 2. แหลง่ การเรยี นร้สู นเทศ
116 10.การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ สิง่ ทตี่ ้องวัดผลและประเมินผล วธิ ีวดั เคร่ืองมอื วดั เกณฑ์การประเมิน - มผี ลประเมิน ดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจ (K) - การทา - ใบกิจกรรมฝกึ ทกั ษะ คณุ ภาพระดบั ดี ใบฝึก 1.1 มากขน้ึ ไป 1. ผลจากการหมุนเวยี นของนา้ ผวิ หนา้ ทักษะ - ทาคะแนน 80 % มหาสมุทร - แบบทดสอบ ข้นึ ไป 2. ผลจากปรากฏการณเ์ อลนโี ญและลานีญา - มีผลประเมนิ ตอ่ ส่งิ มีชวี ิต และสงิ่ แวดล้อม คณุ ภาพระดับดีขึ้น ไป ด้านทักษะกระบวนการ (P) - การ - แบบสงั เกต 1. ทักษะการสังเกต สังเกต พฤติกรรม การทา - มีผลประเมิน 2. การตงั้ สมมตฐิ าน คุณภาพระดับดีข้ึน กจิ กรรมฝึกทกั ษะ ไป 3. การตคี วามหมายข้อมลู และข้อสรปุ ด้านคณุ ลักษณะ (A) - การ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม 1. ซอ่ื สตั ยส์ ุจรติ สังเกต การเรียน 2. มวี ินัย 3. ใฝ่เรยี นรู้ 4. ม่งุ มั่นในการทางาน 5. ตรงต่อเวลา เกณฑ์กำรให้คะแนน ระดบั คะแนน 80-100% ดีมำก ระดบั คะแนน 70-79% ดี ระดบั คะแนน 60-69% ปำนกลำง ระดบั คะแนน 50-59 % พอใช้ ระดบั คะแนน 0 - 49% ปรับปรุง
117 แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สิ่งที่ตอ้ งกำรวดั / คำอธิบำยคณุ ภำพ ประเมินผล ดี (3) พอใช้ (2) ดีมำก (4) ปรับปรุง (1) 1. เขำ้ เรียนตรงต่อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เขำ้ เรียนสำยเกิน 20 เวลำ เวลำสม่ำเสมอดี เวลำสม่ำเสมอ เขำ้ เวลำบ้ำงบำงคร้ัง นำที มำก เรียนสำยไม่เกิน 5 แต่เขำ้ เรียนสำยไม่ นำที เกิน 10 นำที 2. ใฝ่เรียนรู้ มีควำม มีควำม มีควำม มีควำมกระตือรือร้น กระตือรือร้นใน กำรเรียนดีมำก กระตือรือร้นใน กระตือรือร้นดีและ ในกำรเรียนดี มีกำร กำรเรียนมีกำรตอบ มีกำรตอบคำถำม ตอบคำถำมบำ้ งเป็น คำถำมในช้นั เรียน เกือบทกุ คร้ัง บำงคร้ัง ทุกคร้ัง 3. มีระเบียบวินยั ทำงำนเป็นระเบียบ ทำงำนเป็นระเบียบ ทำงำนเป็นระเบียบ ท ำ ง ำ น ไ ม่ เ ป็ น และถกู ตอ้ งหมด และถกู ตอ้ ง 80% และถูกตอ้ ง 60% ระเบียบ และถูกตอ้ ง ข้ึนไป ข้นึ ไป 40% ข้ึนไป 4. ควำมรับผดิ ชอบ ทำงำนท่ีไดร้ ับ ท ำ ง ำ น ที่ ไ ด้ รั บ ท ำ ง ำ น ท่ี ไ ด้ รั บ ท ำ ง ำ น ที่ ไ ด้ รั บ มอบหมำยดีมีควำม มอบหมำยดีมีควำม มอบหมำยดีมีควำม มอบหมำยพอใช้มี ถูกตอ้ งตรงเวลำ ถกู ตอ้ ง ถูกตอ้ งเป็นบำงคร้ัง ควำมถูกตอ้ งบำ้ ง 1. เขำ้ เรียนตรงต่อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เข้ำเรี ย นต ร ง ต่ อ เขำ้ เรียนสำยเกิน 20 เวลำ เวลำสม่ำเสมอดี เวลำสม่ำเสมอ เขำ้ เวลำบ้ำงบำงคร้ัง นำที มำก เรียนสำยไม่เกิน 5 แต่เขำ้ เรียนสำยไม่ นำที เกิน 10 นำที
118 เกณฑ์กำรตดั สินคะแนน ระดบั คณุ ภำพ ดีมำก ช่วงคะแนน ดี 13 - 16 พอใช้ 9 - 12 ปรับปรุง 5-8 0-4
119 เกณฑก์ ารประเมนิ แบบสังเกตพฤตกิ รรมระหว่างเรียน รายการประเมนิ ระดบั คุณภาพ การทางานเปน็ ทีม 321 รับฟังความคิดเห็นของ รับฟังความคิดเห็นของ รับฟังความคิดเห็นของ ผู้อื่นเป็นอย่างดีมากและ ผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่และ ผู้อื่นน้อยมากและมีส่วน ร่วมกันทางานจนงาน ร่วมกันทางานจนงาน ร่วมร่วมกันในการ สาเรจ็ ลุล่วง สาเรจ็ ลุลว่ ง ท างานกลุ่มเพียง เลก็ นอ้ ย ความตรงตอ่ เวลาใน สง่ งานตรงเวลาทก่ี าหนด ส่งงานหลงั จากเวลาที่ สง่ งานหลังจากเวลาท่ี การสง่ งาน กาหนด 1 วนั กาหนดมากกว่า 1 วนั เกณฑ์การประเมนิ ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ 5-6 ระดบั คะแนนดี 3-4 ระดบั คะแนนพอใช้ 1-2 ระดบั คะแนนปรบั ปรงุ ตง้ั แต่ระดับคะแนนพอใช้ขึน้ ไป เกณฑ์การผ่าน ผ่าน ไม่ผา่ น สรปุ ผลการประเมนิ
120 แบบสังเกตพฤตกิ รรมระหว่ำงเรียน คำชี้แจงใหผ้ สู้ อนสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวำ่ งเรียนแลว้ ทำเครื่องหมำย✓ลงในช่องที่ตรงกบั คะแนน ลำดับ ชื่อ-สกลุ ผู้รับกำรประเมิน กำรทำงำนเป็ นทีม ควำมตรงต่อเวลำในกำรส่งงำน รวม 321 3 2 1 ดีมำก ดี พอใช้ ดมี ำก ดี พอใช้ ชื่อ..................................................ผปู้ ระเมิน ....................../..................../....................
121 กิจกรรมเสนอแนะ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................. บันทกึ ผลหลงั การสอน สรปุ ผลการเรยี นการสอน นักเรยี นทั้งหมดจานวน ......... คน จุดประสงคก์ ารเรียนรูข้ อ้ ท่ี จานวนนกั เรยี นทผี่ า่ น จานวนนักเรยี นที่ไมผ่ า่ น จานวนคน ร้อยละ จานวนคน รอ้ ยละ ปญั หา/อุปสรรค/แนวทางการแก้ไข ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ลงช่ือ.................................................................... (………………………………………………………) ตาแหนง่ ครวู ทิ ยฐานะ........................................
122 ลงช่ือ................................................................. (………………………………………………………) หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ลงชอื่ ................................................................. (………………………………………………………) รองผู้อานวยการกลุ่มบริหารงานวิชาการ ความคิดเหน็ ของหัวหน้าสถานศกึ ษา ไดท้ าการตรวจแผนการจดั การเรยี นรูข้ อง...............................................................................แลว้ มี ความคิดเหน็ ดังนี้ 1. เปน็ แผนการเรียนรูท้ ่ี ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรงุ 2. การจัดกจิ กรรมไดน้ ากระบวนการเรยี นรู้ เน้นผ้เู รยี นเปน็ สาคัญมาใช้ในการสอนไดอ้ ย่างเหมาะสม ยังไมเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคญั ควรปรบั ปรงุ พฒั นาตอ่ ไป 3. ข้อเสนอแนะอื่น ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ลงช่ือ................................................................. (………………………………………………………) ผู้อานวยการโรงเรียน
123 ใบความรู้ เร่ือง การหมนุ เวียนของน้าในมหาสมุทร มหาสมทุ ร มหาสมทุ ร คอื เปลือกโลกส่วนที่มีลกั ษณะคล้ายกบั แอ่งและมีน้าปกคลมุ อยู่ มเี นื้อท่ีประมาณร้อยละ 71 ของเปลือกโลกท้ังหมด มหาสมุทรอย่รู ะหว่างทวปี และอยลู่ ้อมรอบทวิปดว้ ย ส่วนท่ีอยู่ขอบ ๆ ของมหาสมุทร เรียกวา่ ทะเล บางสว่ นเรยี กว่าอา่ ว บางทเี ราใช้คาวา่ ทะเลแตห่ มายถึงมหาสมทุ รก็มี บางทีเราใช้คาว่าทะเลแต่ หมายถงึ มหาสมุทรก็มี ทะเลมหาสมุทรนนั้ เปน็ หินจาพวกหนิ บะซอลตจ์ ึงเรียกกนั อีกอยา่ งหน่ึงวา่ ไซมา ผวิ หน้าของทะเลมหาสมุทร เรยี กวา่ ระดบั นา้ ทะเล ซง่ึ ไมไ่ ดแ้ บนราบเหมือนแผน่ กระดาษ แต่จะโคง้ นูนออกมาเหมือนเปลือกโลกส่วนนนั้ ระดับนา้ ทะเลน้ีไม่คงทแ่ี ต่เปลี่ยนแปลงได้ เพราะน้าเปน็ ของเหลวจงึ เปลี่ยนได้งา่ ย การเปลยี่ นแปลงของ ระดับน้าทะเลเป็นการเปลย่ี นเพยี งช่วั ครงั้ ชวั่ คราว ซึ่งอาจจะเกิดขนึ้ เพราะมีน้าขึน้ นา้ ลง หรอื มีฝนตกมาก ผดิ ปกติ หรือมีลมพดั มาเหนือนา้ ทะเล และจะไม่ท้ิงร่องรอยไวเ้ ลย แต่จะสงั เกตได้ที่แถบชายฝง่ั พ้ืนท้อง มหาสมุทรซ่ึงเปน็ สว่ นหนึ่งของโลกนนั้ จะมลี กั ษณะโค้งนูนออกมาเหมือนระดบั น้าทะเล การที่มนี า้ ขังอย่ไู ด้ เพราะสว่ นนอี้ ยู่ไกล้จดุ ศนู ย์กลางของโลกมากกว่าส่วนที่เปน็ พืน้ ดนิ ที่อยตู่ ดิ ต่อกนั ทะเลมหาสมุทรมีความลึก โดยเฉลยี่ ประมาณ 3.7 กโิ ลเมตร(12,450 ฟตุ หรอื 2.36 ไมล์ แต่สว่ นใหญ่ลึกกวา่ น้ีประมาณ 4.7 กโิ ลเมตร ( 3 ไมล์ ) หรือมากกวา่ นน้ั และยังมสี ว่ นทลี่ ึกมากกว่านี้ คือลกึ ถงึ 9.5 กโิ ลเมตร ( 6 ไมล์ ) ท่ีด้านตะวันตกของ มหาสมุทรแปซิฟกิ ซึ่งถือกันว่าเปน็ ตอนท่ีลึกท่สี ุดของทะเลมหาสมุทรทั้งหมด มชี ือ่ เรยี กว่า รอ่ งลึกบาดาลมา เรยี น่านัน้ ลึกถึง 10.692 กิโลเมตร ( 35,640 ฟตุ ) ทะเลมหาสมุทรน้ันแบ่งออกได้เป็นสว่ นต่าง ๆ ดังนี้ (รูปท่ี 1 ) 1. ไหล่ทวปี เป็นส่วนทตี่ ้นื ทส่ี ดุ และอยู่ตดิ กับส่วนท่ีเปน็ ทวปี บางทถี ือวา่ เป็นส่วนของทวีป บางทีถือวา่ เปน็ ส่วน ของทวีป พนื้ ของไหล่ทวีปบางตอนจะเรยี บ บางตอนมีร่องยาว บางตอนมีสนั เนิน บางตอนมแี อง่ กลม บางตอน มีเนินเขา บางส่วนเปน็ หิน บางสว่ นปกคลมุ ด้วยโคลน ทราย หรือกรวด ไหลท่ วปี เปน็ สว่ นที่มกี ารเปล่ียนแปลง อาจเปน็ การเปล่ยี นแปลงแบบกรรมวิธปี รับระดับ หรือการเปลีย่ นแปลง ท่เี กดิ จากการเคลอ่ื นไหวแปรรูปของเปลือกโลก ไหล่ทวปี จะมีระดับสูงขนึ้ และมีขนาดกว้างออกไป เพราะมวี ัตถุ ต่าง ๆ จากพน้ื ดินมาทับถมอยู่ ตัวกระทาทน่ี าเอาวัตถเุ หลา่ นน้ั มาคือ แม่น้า ลมและสง่ิ ท่ีหลดุ ร่วงจากฝ่งั จาก การกระทาของทะเลมหาสมุทรเอง ถ้าชายฝง่ั จมตวั ลงน้าทะเลจะไหลทว่ มขน้ึ ไปถึงส่วนที่ป็นทีร่ าบชายฝง่ั ไหล่ ทวปี จะเปลย่ี นแปลงไป ถา้ ชายฝง่ั ยกตวั สงู ขึ้นไหลท่ วีปอาจกลายเป็นที่ราบชายฝั่งไป
124 2. ลาดทวปี อย่ถู ัดจากไหลท่ วีป มคี วามลาดชนั มาก 65 กโิ ลเมตรต่อระยะทาง 1 กโิ ลเมตรทอดไปถึงระดับนา้ ลกึ ประมาณ 3,600 เมตรลาดทวีปในท่ีต่าง มีความกว้างแตกตา่ งกันไปโดยเฉล่ียจะกวา้ งเป็น 2 เท่าของไหล่ ทวปี ขอบนอกสดุ ของลาดทวปี จะตดิ ต่อกับพ้ืนท้องมหาสมุทรเปน็ แนวทีเ่ หน็ ได้ชัดเจน เพราะเปน็ ตอนท่ีมกี าร เปล่ยี นระดับ ลาดทวีปนเ้ี ปน็ ส่วนขอบของเปลือกโลกท่ีเรยี กว่าไซอัล ทลี่ าดทวปี และทขี่ อบๆ ของไหลท่ วีปบางตอนมีหบุ เขาลึกอยรู่ ะหวา่ ง หบุ ผาชนั ใตท้ ะเล (รปู ที่ 1) หุบผาชนั ใต้ ทะเลบางแห่งมสี าขาอยูด่ ว้ ย กน้ หุบผาชนั ใต้ทะเลสว่ นใหญม่ ีความลึก 1,800-2,000 เมตร ต่ากว่า ระดบั นา้ ทะเล สาเหตุของการเกิดหุบผาชันใต้ทะเลนยี้ ังไม่ทราบแน่ นอน มกี ารสันนิษฐานกนั หลายอย่าง บ้างวา่ เน่ืองจากการเปลี่ยนระดบั ของหิน บ้างวา่ เพราะคล่ืนขนาดใหญท่ า ให้เกดิ กระแสน้าซึ่งไหลแรง ทาใหส้ ่วนนัน้ สึกกร่อนไป บ้างว่าน้าใตด้ นิ บริเวณนนั้ ลดน้อยลงทาให้เกิดการยุบตวั รูปท่ี 1 สว่ นตา่ งๆ ของทะเลมหาสมทุ ร 3. พน้ื ทอ้ งมหาสมุทร คือชว่ งตอนกลางของมหาสมทุ ร ชว่ งนีไ้ มไ่ ด้ราบเรยี บแต่มสี ่วนสูงสว่ นต่าดว้ ย ได้แกส่ นั เขา ซึง่ แคบบ้าง กวา้ งบ้าง ที่ราบสงู แอ่งรูปกลม แอ่งรูปยาว ภูเขา เชน่ สันเขามิดแอตแลนติก ซึง่ ทอดจาก ไอซ์แลนดล์ งมาเกอื บถงึ ทวปี แอนตาร์กติค บางตอนสูงขึ้นมาเหนือนา้ เป็นเกาะ เชน่ หมูเ่ กาะอะซอร์ส และเกาะ เลก็ ๆ อ่ืน ๆ ส่วนใหญ่อย่ใู ตร้ ะดบั น้าทะเลคือหมเู่ กาะฮาวาย สันเขาแหง่ น้ยี าวประมาณ 720 กโิ ลเมตร อ่าว เมก็ ซโิ ก ทะเลแครบิ เบียน ทะเลแดง เปน็ ตวั อยา่ งของแอง่ ลึกบนพ้นื ท้องมหาสมทุ ร (รูปท่ี 2 )
125 รปู ที่ 2 ส่วนตา่ ง ๆ ทีพ่ น้ื ท้องมหาสมุทร ภูเขาใตท้ ะเล พบที่พน้ื ท้องมหาสมทุ ร ภเู ขาใตท้ ะเลบางลูกมียอดตัด เรยี กว่า กียโ์ อต์พบมากที่ตอนกลางและที่ ดา้ นตะวนั ตกของมหาสมทุ รแปซิฟคิ ระหวา่ งหมเู่ กาะมาเรยี นากบั หมูเ่ กาะฮาวายยอดของภูเขากโี อต์อยทู่ รี่ ะดับ น้าลึก 1,200 - 1,800 เมตรเดมิ อาจเป็นยอดภเู ขาไฟแลว้ คล่นื ทาให้สกึ กร่อนไปหรืออาจมปี ะการังมาเกาะเหนอื ยอดเขาทาให้ยอดตดั ต่อมาพื้นทอ้ งมหาสมทุ รลดระดบั ต่าลงหรอื นา้ ทะเลมรี ะดบั สงู ข้ึนเลยจมหายไปใต้น้า (รูป ท่ี 3) รปู ที่ 3 ภเู ขาใตท้ ะเลและกโี อต์
126 รอ่ งลกึ บาดาลและเหวทะเล รอ่ งลกึ บาดาลเป็นแอ่งลกึ รปู ยาวและขอบสงู ชนั อยทู่ ่ีพื้นท้องมหาสมุทร รอ่ งลึก บาดาลอย่คู ่อนมาทางลาดทวีปหรอื ใกล้เกาะ เช่น รอ่ งลึกบาดาลอาลวิ เซียนรอ่ งลึกบาดาลมินดาเนา ร่องลกึ บาดาลมาเรียนา รอ่ งลึกบาดาลชวา ส่วนเหวทะเลหมายถึงแอ่งลมุ่ ท่ีมีความลกึ เกนิ กว่า 600 เมตร กาเนิดของ รอ่ งลกึ บาดาลน้ีไม่เป็นท่ที ราบกันแนน่ อน คาดกนั วา่ เกิดจากการคดโคง้ ของพน้ื ท้องมหาสมุทร และร่องลึก บาดาลเป็นส่วนท่ตี ่า แตม่ ีร่องลึกบาดาลบางแหง่ มลี กั ษณะคล้ายหบุ เขาทรุด แนวทม่ี ีร่องลึกบาดาลนน้ั เป็นแนว ท่เี ปลือกโลกยงั มกี ารเคลอ่ื นไหวอยู่ เพราะแผน่ ดินไหวทีเ่ กิดขึ้นนน้ั มีหลายครง้ั ท่ีมแี หล่งกาเนิดอยู่ที่ใตร้ อ่ งลึก บาดาลเหล่าน้นั ลงไป อุณหภูมิของนา้ ทะเล อณุ หภูมิของนา้ ทะเลนนั้ ข้นึ อยู่กบั การแผ่รงั สีดวงอาทิตย์มากกว่าความร้อนจากแก่นโลก หรอื กมั มนั ตภาพรังสีจากพ้ืนทอ้ งมหาสมทุ ร อุณหภูมขิ องน้าทะเลจะต่างกันท้ังทางแนวราบ คือจากเส้นศนู ย์ สูตรไปทางขว้ั โลก และทางแนวด่งิ คอื จากระดับนา้ ทะเลลงไปถงึ พ้นื ท้องมหาสมทุ รทางแนวราบนั้นท่เี ส้นศนู ย์ สูตรอณุ หภูมเิ ฉลย่ี ทีร่ ะดับน้าทะเลประมาณ 26 องศาเซลเซียส ( 80 องศาฟาเรนไฮน์) ท่ีข้วั โลกประมาณ -2 องศาเซลเซยี ส (28องศาฟาเรนไฮน์) ทางแนวดิ่งทแ่ี ถบอากาศรอ้ นอณุ หภูมิจะลดลงอยา่ งรวดร็วจากระดับนา้ ทะเลถึงระดับลกึ ประมาณ 1,080 เมตร อุณหภมู ิทรี่ ะดบั น้ีประมาณ 4 องศาเซลเซียส จากระดับลึก 1,080 – 1,800 เมตร อุณหภูมลิ ดลง พ้นระดบั นีล้ งไปถึงพน้ื ท้องมหาสมุทรอุณหภมู ิเกือบไม่เปลยี่ นแปลง ประมาณ 2 องศาเซลเซยี ส ทีข่ ้วั โลกอุณหภมู ทิ ี่พนื้ ท้องมหาสมทุ รประมาณ 2 องศาเซลเซยี ส
127 รปู ที่ 4 การเปลี่ยนแปลงของอุณหภมู แิ ละความเค็มตามความลกึ ของนา้ ทะเล ความเค็มของน้าทะเล น้าทะเลมแี รธ่ าตุละลายปนอยู่ดว้ ยมากมาย ประมาณ 3.45 % กับยังมีธาตอุ ีก 32 ชนดิ เช่น คลอรนี โซเดียม แมกนีเซียม ออกซิเจน กามะถัน แคลเซยี ม โปแตสเซียม ตอนท่ีเริ่มมที ะเลมหาสมทุ รใน ตอนแรก ๆ น้นั แรธ่ าตุท่ีละลายปนอย่ใู นน้าทะเลส่วนใหญ่คงละลายจากหินในบริเวณน้ัน ตอ่ มาจงึ ได้รบั จาก พืน้ ดินโดยแมน่ ้าละลายแรธ่ าตจุ ากหนิ และพาไหลมาด้วย แร่ธาตบุ างส่วนจะเปลี่ยนสภาพกลับส่สู ภาพเดมิ ได้ สัตวท์ ะเลดดู แร่ธาตจุ ากน้าทะเลไปสรา้ งเปลอื กห่อหุ้มลาตัวของมัน สว่ นใหญ่เป็นสารประกอบแคลเซยี ม แร่ ธาตุบางส่วนจะกลายเปน็ ของแข็ง จะพบในบรเิ วณทอี่ ุณหภูมินา้ ทะเลสงู ขนึ้ และคารบ์ อนไดออกไซด์ระเหยไป หรอื ในบรเิ วณที่การระเหยของนา้ ทะเลเปน็ ไปอยา่ งรวดเร็วมาก อยา่ งไรกต็ ามแม้วา่ แร่ธาตลุ ะลายบางส่วนจะ หายไป แตป่ ริมาณของแร่ธาตุละลายในนา้ ทะเลจะเพ่มิ ขึ้นเรอื่ ย ในน้าทะเลมเี กลือธรรมดามาก เพราะสตั ว์ ทะเลไม่ต้องการเกลอื ชนิดน้ี เมื่อน้าทะเลระเหยไปตามธรรมดาเกลือชนดิ นจี้ ึงยงั เหลอื อยู่ ตรงกนั ขา้ มกบั แคลเซียมซ่ึงหายไปจากนา้ ทะเลมากกว่า ความเคม็ ของนา้ ทะเลทีร่ ะดบั น้าทะเลนนั้ แตกตา่ งไปตามท่ีตา่ ง ๆ ทางซีกโลกเหนือนา้ ทะเลเคม็ ที่สุดท่ีใกล้ ๆ กับ ละตจิ ดู 25 องศาเหนอื ทางซกี โลกใตเ้ ค็มมากทีส่ ดุ ทปี่ ระมาณ ละตจิ ูด 20 องศาใต้ เนอื่ งจากการระเหย
128 ของน้าทะเลมีมากและหยาดน้าฟา้ มนี ้อย จากบรเิ วณน้ีไปทางเส้นศูนยส์ ตู รและขัว้ โลกความเค็มจะลดลง (รปู ที่ 5) รูปท่ี 5 ความเค็มของน้าทะเลบริเวณผวิ หนา้ ก๊าซ ในนา้ ทะเลมีกา๊ ซละลายปนอยดู่ ว้ ย ท่ีมมี ากคือ ไนโตรเจน ออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ในน้าทะเลมีมากกวา่ คาร์บอนไดออกไซดใ์ นอากาศ 18 –27 เท่า ก๊าซในน้าทะเลส่วนใหญ่ นา้ ทะเลดดู มาจากบรรยากาศ บางส่วนมาจากภูเขาไฟใตท้ ะเลหรอื พวกอินทรียวตั ถุที่เน่าเปอื่ ย หรอื ได้จาก สารประกอบบางอยา่ ง ออกซิเจนเปน็ สิ่งสาคญั ตอ่ สงิ่ มชี วี ิตทอี่ าศยั อยใู่ นน้าทะเล คารบ์ อนไดออกไซดเ์ ป็น อาหารของสาหรา่ ยสีเขยี วและสนี ้าตาล น้าทะเลท่ีเย็นจะเก็บกา๊ ซได้มากว่าน้าทะเลที่อุ่น เม่อื น้าทะเลที่พืน้ ท้อง มหาสมทุ รทางขวั้ โลกไหลมาทางเสน้ ศูนย์สูตรจะอนุ่ ขึ้น และจะปลอ่ ยก๊าซบางสว่ นกลับไปในอากาศ บางทนี ้า ทะเลไหลขึ้นมาจะอุ่นข้ึนจะปลอ่ ยกา๊ ซบางสว่ นกลบั ไปในอากาศเช่นเดยี วกนั ความถว่ งจาเพาะของน้าทะเลและความกดของนา้ ทะเล ความถ่วงจาเพาะของน้าทะเลประมาณ 1.025 ขน้ึ อยู่ กับความเคม็ ของนา้ ทะเล ท่ีขั้วโลกความถว่ งจาเพาะสูงขน้ึ ประมาณ 1.028 ท่เี ขตร้อนเหลอื ประมาณ 1.022 การเปลีย่ นแปลงความแนน่ อนของนา้ รวมกบั การเปลีย่ นแปลงอุณหภูมิ นา้ หนกั ความเจือจางหรอื ความเข้มข้น ของน้าทะเล ทาใหเ้ กิดกระแสน้าบางชนิดในมหาสมุทร นา้ ทะเล 1 ลุกบาศก์เมตรจากระดบั น้าทะเลลงไปหนักประมาณ 1.08 ตันหรือ 1,080 กโิ ลกรมั ลึกลงไปทร่ี ะดับ ลึก 1,000 เมตรนา้ ทะเลจะหนักประมาณ 1,080 ตันตอ่ เน้ือท่ี 1 ตารางเมตร
129 พืชและสัตว์ในทะเลมหาสมุทรทะเลมหาสมุทรแบ่งตามลกั ษณะของพชื และสัตว์ไดห้ ลายเขต (รูปที่ 6) 1. เขตชายฝ่ัง คอื เขตท่อี ยรู่ ะหวา่ งระดบั นา้ ทะเลสูงสุดกบั น้าทะเลตา่ สุด คล่นื ซัดอยู่เกือบตลอดเวลา สงิ่ มชี ีวิต ในเขตน้จี ึงยดึ ตวั กับพ้ืนหรือฝังตวั อย่ใู นโคลน บางชนดิ หลบอยใู่ นแอ่ง บางชนดิ มโี คลงสรา้ งท่ที าให้มันมชี วี ิตอยู่ ไดแ้ ม้จะไม่มนี ้าทะเลเหลืออยเู่ ลย บางชนิดขดุ รูในหนิ และอาศัยอยู่ทีน่ น่ั 2. เขตทะเลตน้ื คือเขตระหวา่ งระดบั น้าต่าสดุ กับขอบนอกสุดของไหล่ทวปี นา้ ในเขตน้ไี ม่ลึกมากและอุน่ เพราะ ได้รบั ความร้อนจากดวงอาทิตย์ อาหารอดุ มสมบูรณ์ สิง่ มีชีวิตมีมากมายหลายชนิด 3. เขตน้าลกึ ลาดทวีป คือเขตระหวา่ งระดบั นา้ ลึก 120 เมตรกบั 1,800 เมตร ตอนบนนา้ ได้รับแสงสว่างบา้ งแต่ พืชมนี ้อย ที่พ้นื มสี ัตวท์ ะเลมากแตพ่ ืชกม็ ีน้อยอีก การทบั ถมของตะกอนในเขตนี้เป็นไปอย่างช้าๆ มีพวก แคลเซียมซงึ่ ส่วนใหญ่คือเปลอื กของพวกแพลงก์ตอน และพวกซิลกิ าซ่งึ สว่ นใหญเ่ ปน็ ไดอะตอม และซากของ ฟองน้า 4. เขตทะเลลกึ อยถู่ ดั เขตชายฝงั่ ส่งิ มชี ีวิตในเขตนร้ี วมเอาพวกแพลงก์ตอน ซ่งึ ลอยอยู่ในนา้ และสัตว์ทวี่ ่ายนา้ ได้ พชื ทม่ี ีมากคอื สาหร่ายและไดอะตอม สัตว์มีมากมายหลายชนดิ ซากพชื และสตั ว์ในส่วนนี้ที่เนา่ เปื่อยไปและ ส่วนที่เป็นอนนิ ทรยี สารมสี ว่ นชว่ ยทาใหเ้ กิดหินชั้นขี้น 5. เขตบาดาล คือสว่ นที่อยใู่ ต้ระดบั ลกึ 1,800 เมตรลงไป เขตน้ีไม่ไดร้ บั แสงแดด อุณหภูมิของนา้ เกือบจะถงึ ขีด เยือกแข็ง ความกดมากกวา่ 1 ตนั ตอ่ เนอื้ ท่ี 1 ตารางเซนติเมตร พชื ทีต่ ้องการแสงแดดไม่มีในเขตนี้ สตั ว์ทีก่ นิ พืชเป็นอาหารต้องกนิ ของท่จี มลงมาจากตอนบนท่ีนา้ ถูกแสงแดด เปลอื กและกระดูกสัตวท์ อี่ าศัยอยูท่ ่ีพืน้ ของ เขตน้แี สดงให้เหน็ วา่ สตั ว์ท่ีจะอาศัยอยู่ใส่วนน้ีได้ต้องมีลักษณะพเิ ศษจึงจะมชี วี ติ อยู้ได้ รปู ที่ 6 การแบง่ เขตทะเลมหาสมทุ รตามลกั ษณะของพืชและสัตว์
130 การเคลื่อนไหวของน้าทะเล คลื่น คล่นื ส่วนใหญ่เกดิ จากลม แผน่ ดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด ตลอดจนแผน่ ดินถลม่ ทพ่ี น้ื ท้องมหาสมุทรทาให้เกดิ คลน่ื ไดด้ ว้ ย คล่นื ชนิดนเี้ รียกว่า ซนู ามิ นานๆ จะเกดิ ขนึ้ สกั คร้ังหน่งึ แตท่ าให้เกดิ อนั ตรายและความเสียหาย อย่างมากมายเมือ่ คลื่นชนิดน้ซี ัดเข้าหาฝ่ัง เมอ่ื ลมพัดมากระทบกบั พื้นน้า จะทาใหน้ ้านูนสูงขึน้ มาคลา้ ยสันเขามากมายหลายแนวด้วยกัน เรียกว่า คล่นื (รูปที่ 7) ความสูงของคล่ืนและระยะห่างของคลน่ื ทาใหท้ ราบถงึ ความแรงของลม เมื่อคล่ืนเคล่อื นทีจ่ าก แหล่งกาเนิดจะมีขนาดใหญ่ขึ้น เรียกว่า คลนื่ หัวเรียบ เพราะมันจะรวมเอาคลื่นขนาดเลก็ เขา้ ไปดว้ ย คลนื่ หัว เรยี บจะเคล่อื นท่ดี ว้ ยความเรว็ ทเ่ี ปน็ อัตราสว่ นกับความยาวของคลน่ื ตอนน้ีเปน็ คลื่นนา้ ลกึ คลื่นเมอ่ื ซัดเข้าไป ถึงฝ่งั จะกระทบกบั พน้ื ทาให้คล่นื สงู ขนึ้ และระยะห่างของคล่ืนนอ้ ยลง เม่ือคล่ืนเข้าใกล้ฝงั่ ท่ีมีหวั แหลม ส่วน หน่ึงจะกระทบกับหัวแหลมก่อนสว่ นอนื่ แนวหน้าสุดของคลืน่ จะเปล่ยี นรูปเป็นรูปโค้งขนานไปกบั ฝง่ั เรียกว่า เกดิ การหักเหของคลนื่ (รูปที่ 8) ยิ่งเข้าฝัง่ เข้าไปที่จดุ จุดหนึง่ โมเลกุลของน้าจะพบกบั ส่ิงเสียดทานท่ีพน้ื ท้อง มหาสมุทร ทาใหผ้ วิ หน้าของคลนื่ แตกกลายเป็นคลื่นหวั แตกน้าจะเปน็ ฟองไหลข้ึนไปท่ฝี ัง่ เรยี กวา่ ฟองคล่ืนบน หาด (รูปที่ 9) รปู ที่ 7 คลนื่
131 รปู ที่ 8 การหกั เหของคล่ืน รปู ที่ 9 คล่ืนหวั แตก
132 น้าขึน้ น้าลง คือปรากฏการณ์ท่ีระดบั นา้ ทะเลสงู ข้นึ และตา่ ลง น้าจะข้ึนสองครง้ั ในระยะเวลา 24 ช่วั โมง 52 นาที นา้ ขน้ึ น้าลงน้นั เกิดจาการท่ดี วงอาทิตย์และดวงจนั ทร์ดึงดูดโลก แรงดึงดูดมผี ลต่อท้ังพื้นดนิ และพน้ื นา้ แต่ นา้ เคลอื่ นไหวง่ายกว่าจึงถูกดงึ ดูดได้ง่ายกว่า ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และโลก เรยี งรายอย่ใู นระดบั ราบใกล้เคียงกนั แต่จะเปลยี่ นที่กันอยเู่ รอ่ื ย ๆ แรงดึงดดู ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่ีมีตอ่ โลกมีอยู่ตลอดเวลา เนือ่ งจากดวงจนั ทรอ์ ยใู่ กลโ้ ลกมากกวา่ ดวงอาทติ ย์ อื ทธพิ ลของดวงจนั ทร์จึงมีมากกว่าดวงอาทิตย์ ถา้ ดวงอาทิตยแ์ ละดวงจนั ร์อยู่ในแนวเสน้ ตรงเดยี วกันจะช่วยกัน ดงึ ดูดนา้ ทาให้น้าขึน้ สงู ผิดปกติ สาหรับดวงจันทรน์ นั้ จะดึงดูดนา้ ทผ่ี ิวโลกสว่ นหนึง่ ใหม้ ารวมอยทู่ างด้านท่ีใกลก้ บั ดวงจนั ทร์มากทสี่ ดุ เรียกว่า น้าขนึ้ ในขณะที่ดา้ นตรงข้ามของโลกจะมนี ้าข้ึนเชน่ เดียวกันแต่ระดบั ตา่ กวา่ เลก็ น้อย (รูปท่ี 10) รปู ท่ี 10 การเกดิ นา้ ข้นึ น้าลง จากภาพจะเห็นวา่ ระยะทางระหวา่ งดวงจันทรก์ บั โลกเป็น 59 เท่าของรัศมขี องโลก (กจ = 59 ร) ระยะทาง ระหวา่ งศูนยก์ ลางของโลกถงึ ดวงจนั ทร์เป็น 60 เทา่ (ลจ = 60 ร) และระยะทางจากดวงจนั ทร์ถึงโลกจุดทีห่ า่ ง จากดวงจนั ทร์มากทสี่ ุดเปน็ 61 เทา่ (ขจ = 61 ร) แรงดึงดูดระหวา่ งของสองส่ิงจะเปลย่ี นแปลงไปตาม ระยะทางกาลังสอง แรงดึงดดู ท่ี ก ล และ ข จะเป็น (1/59)2 ,(1/60)2 ,(1/61)2 หมายความวา่ ดวงจนั ทร์จะ ดึงดูดน้าทจ่ี ุด ก ดว้ ยกาลงั แรงมากวา่ ดงึ ดูดโลกซ่งึ มีศูนยก์ ลางอยู่ท่ี ล เน่ืองจากความแตกตา่ งของแรงดึงดูด น้า ที่จุด ก ซงึ่ อยู่ใกล้กับดวงจันทรม์ ากที่สุดจะถูกดึงดดู ไดม้ ากกว่าท่จี ุด ล นืทีจ่ ดุ ก จะไหลออกห่างจากจดุ ล ที่จดุ
133 ข ซงึ่ อยู่ไกลจากดวงจันทรม์ ากทีส่ ดุ แรงดึงดูดของดวงจันทร์จะมีน้อยกวา่ ท่จี ุด ก หรือ ล น้าส่วนหนึง่ จะ เหลอื อยทู่ ่ีจดุ ข มปี ริมาณเทา่ ๆ กบั นา้ สว่ นทีถ่ กู ดวงจันทร์ดึงดดู ไปท่จี ดุ ก หรือ ล น้าส่วนหน่ึงจะอยู่ท่ีจุด ข มี ปรมิ าณเท่า ๆ กับนา้ ส่วนที่ถูกดวงจนั ทรด์ งึ ดดู ไปที่จุด ก ที่บรเิ วณ ค และ ง นา้ ถูกดึงดูดไประดับนา้ จงึ ต่า เรียกว่า น้าลง การทโ่ี ลกหมนุ รอบตวั เองในเวลา 24 ช่วั โมง ทาให้จุดทุกจดุ ท่ีอยบู่ นเสน้ ลองติจดู เดยี วกันมีนา้ ขึน้ ทกุ 12 ชั่วโมง 26 นาที ในทะเลเปิดระดบั นา้ ขึ้นและน้าลงไม่แตกตา่ งกันมากนัก ท่ีแถบชายฝง่ั ทวปี ต่าง ๆ จะตา่ งกนั มากกว่า ยง่ิ ในอา่ ว แคบ ๆ ท่ปี ากอา่ วกว้างมากความแตกต่างระหวา่ งน้าขึน้ นา้ ลงย่งิ มาก เช่นที่อ่าวฟันดี ต่างกนั 6 - 15 เมตร ระดับน้าจะค่อย ๆ สงู ขึ้นและคอ่ ย ๆ ลดลง แต่ท่ชี ายฝัง่ บางแหง่ นา้ ขึน้ อย่างรวดเร็วเช่นที่ชายฝั่งของจนี และ อนิ เดีย เรียกวา่ สนั นา้ ทน้ คือน้าไหลเข้ามาคล้ายกับกาแพงสงู เวลานา้ ขน้ึ ไหลผา่ นชอ่ งแคบหรอื ไหลเข้าไปใน อ่าวหรอื ไหลผ่านระหวา่ งเกาะ จะเกดิ กระแสน้าข้นึ ลงทาให้วตั ถทุ ี่พ้นื ท้องมหาสมทุ รบรเิ วณน้ันเคลื่อนทีไ่ ด้ กระแสน้ามหาสมุทร กระแสน้ามหาสมทุ รคือการไหลของนา้ ทะเลตามแนวราบอย่างสม่าเสมอกระแสนา้ มหาสมทุ รจะชว่ ยปรับอุณหภูมขิ องพน้ื ผวิ โลก ช่วยถา่ ยเทความร้อน (รูปท่ี 11) มีสาเหตหุ ลายอยา่ งท่ที าใหเ้ กิดมีกระแสนา้ มหาสมุทร 1. ลม ลมทาให้เกดิ กระแสนา้ มหาสมุทรโดยการทลี่ มพัดมาเหนือนา้ แล้วทาให้น้าไหลตามมาดว้ ย ลมแนท่ ศิ ที่ ทาให้เกิดกระแสน้า คือ ลมค้าและลมฝ่ายตะวนั ตก ลมค้าซึ่งพดั แรงแรงและพัดสม่าเสมอจะทาใหเ้ กดิ กระแสนา้ ศนู ย์สตู รแถบเสน้ ศูนยส์ ตู ร ทแ่ี ถบละติจูด 40 องศา ลมพัดจากตะวันตกไปตะวันออกเรยี กวา่ ลมฝา่ ย ตะวันตก ลมนจ้ี ะพัดพาน้าให้ไหลจากตะวันตกกลบั ไปทางตะวนั ออก เชน่ กระแสนา้ แอตแลนตกิ เหนอื กระแสนา้ แปซฟิ ิกเหนอื 2. ความแตกต่างของความแน่นของน้าทะเล นา้ ทะเลในแถบขัว้ โลกเยน็ มีความแน่นมากจะจมลงและไหลมา ตามพ้ืนท้องมหาสมทุ รมาทางเส้นศูนย์สูตร น้าที่ผิวหนา้ ทางเสน้ ศนู ยส์ ูตรซ่งึ ร้อนจะไหลไปทางขั้วโลก 3. โลกหมนุ รอบตัวเอง ทาให้เกิดแรงเหวี่ยงหรอื แรงเฉ แรงเหวย่ี งหรือแรงเฉทาใหท้ ิศทางการไหลของ กระแสน้าเฉไปจากทศิ ทางท่ีควรจะเปน็ ทางซีกโลกเหนือจะเฉไปทางขวา ทางซีกโลกใตจ้ ะเฉไปทางซ้าย 4. พ้ืนดินทขี่ วางทางอยู่ เม่ือกระแสนา้ ไหลไปพบทวีปหรือผืนดินท่ขี วางอยู่ กระแสน้าจะเปล่ยี นทศิ ทางการไหล ซง่ึ จะขน้ึ อยกู่ บั รูปรา่ งของพ้นื ดนิ ที่ขวางทางอยู่ เชน่ กระแสนา้ ศนู ย์สตู รในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือไป ถึงชายฝ่งั ประเทศบราซิล กระแสน้าจะเปลีย่ นทางไหลเลียบชายฝ่ังข้ึนไปทางเหนือ ไปพบหมเู่ กาะแอนตลิ ลสิ แลว้ แยกเป็นสองสาย สายหนึ่งข้ามทะเลแครบิ เบียนเข้าไปในอา่ วเม็กซโิ กอีกสายหน่ึงไหลผา่ นไปทางตะวันออก ของหมู่เกาะแอนติลลสิ หรอื กระแสน้าศูนยส์ ูตรในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใตไ้ หลไปถงึ ชายฝั่งบราซลิ ซงึ่ มี
134 ลกั ษณะคลา้ ยลิ่มยนื่ ออกมา กระแสนา้ ศนู ย์สตู รจะเปล่ียนทาง ส่วนหนง่ึ จะไหลข้ึนไปทางเหนือ เขา้ ไปใน มหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนอื อีกสว่ นหน่งึ ไหลลงมาทางใต้ 5. ระดบั นา้ ที่แตกตา่ งกนั จะทาใหม้ ีกระแสนา้ มหาสมุทรได้ รปู ท่ี 11 กระแสนา้ มหาสมุทร เกาะคือพื้นดนิ ที่สงู ขึ้นมาจากพ้ืนท้องมหาสมุทรและมีน้าล้อมรอบ มีขนากตา่ ง ๆ กันไปใหญบ่ ้างเลก็ บ้าง ถา้ เกาะหลาย ๆ เกาะเรียงรายกันเป็นแนวยาวเรียกวา่ ทิวเกาะ ถ้าเกาะหลายเกาะรวมกันอย่เู ป็นกล่มุ เรียกว่า กลมุ่ เกาะ เกาะแบ่งออกเป็นสองประเภท
135 1.เกาะริมทวีป เกาะขนาดใหญส่ ว่ นมาก เชน่ เกาะองั กฤษ กรนี แลนด์ แทสเมเนีย เปน็ ส่วนของแผน่ ดนิ ใหญม่ า กอ่ น ต่อมาพน้ื ดินสว่ นทอ่ี ย่รู ะหว่างเกาะกับทวปี ยุบตวั ลงไปใตร้ ะดบั นา้ ทะเล ส่วนท่ีถูกตดั ขาดออกไปกลายเปน็ เกาะ พ้ืนน้าระหวา่ งเกาะกบั ทวปี จะเปน็ พืน้ นา้ แคบ ๆ ตนื้ ๆ เรยี กว่า ชอ่ งแคบ เกาะประเภทน้มี ีพืช สัตว์ และ โครงสรา้ งของหินคล้ายคลงึ กับทวีปที่อยู่ใกลเ้ คียงกนั 2. เกาะกลางสมทุ ร อยู่กลางมหาสมทุ ร เกาะประเภทนี้คอื สว่ นยอดของภูเขาท่ีอย่ทู ่ีพื้นท้องมหาสมุทร เกาะ บางเกาะเปน็ เกาะภูเขาไฟท่สี ูงและทรุ กนั ดาร เรยี กวา่ เกาะภเู ขาไฟ บางเกาะเกิดจากตัวปะการัง เรียกวา่ เกาะ ปะการงั เป็นเกาะทีม่ ีความแตดต่างระหว่างส่วนสูงกบั สว่ นต่าน้อยมาก เกาะภเู ขาไฟเกิดจากลาวาทับถมกนั จนสงู พ้นระดับนา้ ขึน้ มา ภูเขาไฟส่วนใหญ่ยงั คุอยู่และมีแผน่ ดนิ ไหวบอ่ ย ๆ เกาะภเู ขาไฟมกั อยู่เรยี งรายกันเป็นแนวยาว มีรูปโคง้ และอยูใ่ กล้ ๆ ขอบของรอ่ งลึกบาดาล เกาะปะการงั เกดิ จากตัวปะการังซึง่ เปน็ สัตว์ทะเลอาศัยอยใู่ นนา้ ท่ีอณุ หภูมิสงู กว่า 20 องศาเซลเซยี ส (68 องศา ฟาเรนไฮน)์ น้าลกึ ประมาณ 45 เมตรและไมม่ ีพวกทรายแป้งลอยปนอยู่ในนา้ ตวั ปะการังอย่กู นั เป็นกลุ่ม มัน ผลติ ปนู ขาวไดแ้ ละดูดปูนขาวจากน้าทะเลได้ เม่ือตายไปจะกลายเป็นหินปูน ตวั เป็นปะการังทาใหเ้ กิดพดื หิน ปะการงั ชายฝั่งทรี่ อบ ๆ เกาะริมทวปี เกาะภูเขาไฟ หรอื ที่รอบ ๆ ทวีป ตวั ปะการังท่ีอยูเ่ หนอื ภเู ขาหรือภูเขาไฟ ใตท้ ะเลทีก่ ลางมหาสมทุ รอาจถับถมกนั ทาใหย้ อดเขาสงู ข้นึ เปน็ เกาะปะการังได้ บางคร้ังตัวปะการงั ทับถมกนั อย่รู อบ ๆ เกาะภูเขาไฟกลางมหาสมทุ ร ต่อมาภเู ขายุบจมหายไปใตน้ า้ ทาใหเ้ ปน็ เกาะปะการงั ทีม่ รี ปู รา่ งกลม มี นา้ ตรงกลางทีเ่ รียกว่า เกาะอะโทล (รปู ที่ 12) รปู ท่ี 12 เกาะอะโทล ชายฝัง่ ชายฝั่งยกตวั เมอื่ ขอบของทวปี มรี ะดับสงู ข้นึ เรอ่ื ย ๆ หรือระดับนา้ ทะเลต่าลง ส่วนซง่ึ เคยอยู่ใต้ระดับนา้ จะโผล่ ข้ึนมา ไหลท่ วีปสว่ นหน่ึงจะกลายเป็นทีร่ าบชายฝ่งั ไป เกดิ แนวชายฝ่งั ใหมข่ ้ึนเนื่องจากไหลท่ วีปส่วนใหญ่คอ่ ย ๆ ลาดลงและราบเรยี บ แนวชายฝ่ังใหมจ่ ะค่อนขา้ งเรยี บ ท่รี าบชายฝงั่ จะแบนราบและเปน็ ทีล่ มุ่ น้าขงั คลน่ื ไม่ สามารถจะซัดเข้ามาถงึ แนวชายฝง่ั ใหม่ไดเ้ พราะน้าต้นื คลนื่ จะแตกเสยี กอ่ น ตอนท่ีคลนื่ แตกจะมีแนวสันดอน
136 ขานไปกบั ฝ่ัง ระหวา่ งแนวสนั ดอนกับชายฝ่ังเป็นทะเลสาบนา้ เคม็ สนั ดอนบางแห่งจะขาดตอน เวลานา้ ขึ้นนา้ ลงจะมีกระแสน้าขึน้ ลงพาทรายเข้ามา น้าจากบนฝง่ั จะพาวัตถุน้าพามาถับถมด้วย ทาให้สันดอนใกล้ฝ่ังเข้ามา เรอื่ ย ๆ (รูปที่ ) รปู ท่ี 13 ก ชายฝัง่ ยกตวั รูปท่ี 13 ข ชายฝ่งั ยกตวั ชายฝ่ังยุบตัว เมือ่ ขอบของลาดทวปี ลดระดบั ลงหรอื ระดบั น้าทะเลสงู ขนึ้ นา้ จะไหลบา่ ทว่ มขอบของทวีป ทาให้ ส่วนนัน้ จมหายไปใตน้ า้ กระแสน้าขน้ึ ลงจะไหลเขา้ ไปในแม่นา้ ได้ไกลขนึ้ นา้ ทะเลจะไหลท่วมสว่ นท่ีจมหายไปใต้
137 น้า ตอนทีเ่ คยเปน็ ปากแม่นา้ มากอ่ นแล้วพ้ืนดินสองฝั่งของแมน่ า้ จมหายไปใต้น้า จะทาให้เกิดเปน็ อ่าวรปู รา่ ง ยาวล้าเข้าไปในพน้ื ดิน เรียกว่า ชะวากทะเล ในกรณีที่แนวชายฝ่งั นน้ั เปน็ เนนิ เขาหรือภเู ขามาก่อนแลว้ มีการลด ระดบั ลง ตรงทป่ี ากแมน่ ้าจมหายไปใตน้ ้าจะเปน็ อ่าวที่น้าลกึ เรยี กวา่ อา่ วรีอา พ้นื ดินทเ่ี หลอื ออยู่จะเป็น หัวแหลมหรอื เกาะ ในบรเิ วณทีเ่ ป็นภเู ขาและเคยมธี ารนา้ แข็งหุบเขาปกคลุมแลว้ จมหายไปใต้น้า หบุ เขา เหล่านั้นจะกลายเปน็ อา่ วรูปยาว แคบ ลึก และสงู ชนั เรยี กว่า อ่าวฟยอร์ด ชายฝั่งแบนมี้ ีท่ีราบน้อยมาก อาจมี บางตอนท่ีน้าต้นื เพราะมีวตั ถุทนี่ ้าแขง็ พามาท้งิ ไว้ ห่างออกไปมเี กาะเล็ก ๆ มากมาย เกาะเหลา่ นีเ้ ดมิ เปน็ ส่วน ของแผน่ ดนิ มาก่อน แลว้ ถกู ตัดขาดออกไปเพราะ พ้นื ดนิ สว่ นหนึ่งจมหายไปใตน้ ้า (รูปที่ 14) ชายฝั่งรอี า
138 ชายฝงั่ ฟยอรด์ รูปท่ี 14 ชายฝงั่ ยบุ ตวั ชายฝั่งคงระดบั พบในบริเวณท่ีระดบั น้าทะเลกบั ระดบั พ้นื ดินไม่เปลี่ยนแปลงเลยเปน็ เวลานานมาก การเปลย่ี นมี แต่การทับถมของวตั ถุใหม่ ๆ ในตอนที่พ้นื ดินกบั พน้ื นา้ จดกัน (รปู ที่ 15) ชายฝัง่ ที่จดั เขา้ ไวใ้ นประเภทนีค้ ือ ชายฝง่ั ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่นา้ ชายฝง่ั ทเ่ี กดิ จากลาวาทับถมกันใกล้ ๆ ทะเล ชายฝงั่ ทเี่ กิดจากการเลื่อนตวั ของหนิ ชายฝั่งที่มพี ดื หนิ ปะการังอยดู่ ้วย ชายฝงั่ ดินดอนสามเหล่ยี มปากแม่นา้ ชายฝัง่ ท่เี กดิ จากลาวาทับถมกันใกล้ ๆ ทะเล
139 ชายฝง่ั ที่เกดิ จากการเล่อื นตวั ของหิน รปู ที่ 15 ชายฝงั่ คงระดับ ชายฝ่ังผสม คอื ฝั่งทเี่ กดิ จากการที่ระดบั พืน้ น้ากับระดบั พื้นดินเปลย่ี นแปลงหลายครงั้ ดว้ ยกนั ตอนแรกพื้นดนิ ลดระดบั ลง ทาให้มชี ะวากทะเลและอ่าวรอี า ตอ่ มาพื้นดนิ มีระดับสงู ขน้ึ เกิดมีท่ีราบชายฝ่ัง สันดอนนอกฝั่ง และทะเลสาบนา้ เค็ม เชน่ ทีต่ อนกลางของชายฝ่งั ตะวนั ออกของสหรัฐอเมริกา
140 แบบฝกึ หัด เรือ่ ง การหมนุ เวยี นของนา้ ในมหาสมุทร คาช้ีแจง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1.น้าผุดและนา้ จมเกดิ ขึ้นไดท้ ุกบริเวณของมหาสมุทรหรือไม่ เพราะเหตใุ ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. การเกิดนา้ ผดุ สง่ ผลตอ่ น้าผิวหนา้ มหาสมทุ รบริเวณนน้ั อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
141 แบบฝกึ หดั เรอ่ื ง การหมนุ เวยี นของน้าในมหาสมุทร คาช้แี จง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 1.นา้ ผดุ และน้าจมเกิดขึน้ ได้ทุกบริเวณของมหาสมุทรหรอื ไม่ เพราะเหตุใด แนวคาตอบ น้าผุดและน้าจมไม่สามารถเกดิ ข้ึนได้ทุกบริเวณของมหาสมุทร เน่ืองจากการเกิดน้าผุดและน้าจม จาเปน็ ตอ้ งมลี มพดั ในทิศทางขนานกับชายฝงั่ 2. การเกดิ น้าผดุ สง่ ผลต่อน้าผิวหนา้ มหาสมุทรบริเวณนัน้ อย่างไร แนวคาตอบ ปรมิ าณมากยกตัวขน้ึ ดา้ นบน ส่งผลใหแ้ พลงกต์ อนพชื เพม่ิ จานวนอย่างรวดเรว็ และเปน็ อาหาร ให้กบั สง่ิ มชี ีวติ อ่ืน ๆ จงึ เกิดความอุดมสมบูรณ์และมีสตั วน์ า้ ชกุ ชมุ จนเป็นแหลง่ ทาการประมงที่สาคัญ
142 แผนการจัดกิจกรมการเรียนรู้ 8 สารระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รายวชิ า ว 32261 รายวชิ า โลกดาราศาสตร์ และอวกาศ 2 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 9 การหมุนเวยี นของนา้ ในมหาสมุทร เร่อื ง การหมนุ เวียนน้าในมหาสมทุ ร 1. สาระ / ผลการเรียนรู้ สาระ เข้าใจสมดลุ พลังงานของโลก การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก การหมุนเวยี น ของนา้ ในมหาสมทุ ร การ เกิดเมฆ การเปลย่ี นแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อส่งิ มชี ีวิต และสง่ิ แวดล้อม รวมทั้งการพยากรณอ์ ากาศ ผลการเรียนรู้ 1. อธิบายปจั จัยทท่ี าให้เกิดการแบ่งช้ันน้าในมหาสมุทร 2. อธบิ ายปัจจัยท่ที าให้เกิดการหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทรและรูปแบบการหมุนเวยี นของน้าใน มหาสมุทร 3. อธิบายผลของการหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทรท่ีมตี อ่ ลกั ษณะลมฟา้ อากาศ สง่ิ มชี วี ิต และส่งิ แวดลอ้ ม 2. สาระสาคญั นา้ ในมหาสมุทรมอี ุณหภูมิและความเคม็ ของน้าแตกตา่ งกันในแตล่ ะแถบละตจิ ูดและแตล่ ะระดับความลกึ ซ่งึ หากพิจารณามวลนา้ ในแนวดิ่งและใช้อุณหภูมิเป็นเกณฑ์ จะสามารถแบ่งชน้ั นา้ ได้เป็น 3 ช้นั คือ น้าชัน้ บน นา้ ชนั้ เทอร์โมไคลน์ และน้าช้ันล่าง การหมนุ เวยี นของนา้ ผิวหนา้ ในมหาสมุทรได้รบั อทิ ธพิ ลจากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ละแถบละติจูด เป็นปัจจัยหลักประกอบกบั แรงคอริออลิส และขอบทวปี ท่ีขวางกน้ั การไหลของนา้ ทาให้กระแสน้าผิวหนา้ มหาสมุทรไหลในทิศทางตามเขม็ นาฬิกาในซีกโลกเหนอื และทวนเขม็ นาฬิกาในซีกโลกใต้ ซง่ึ กระแสน้าผิวหน้ามหาสมุทรมีทง้ั กระแสน้าอุ่นและกระแสน้าเยน็ ส่วนการหมนุ เวียนของกระแสน้าลกึ เกิดจาก นา้ ผวิ หนา้ มหาสมทุ รมีความหนาแนน่ เพ่ิมขนึ้ จงึ จมตวั ลงและไหลอยู่ในระดับลกึ ทงั้ กระแสนา้ ผิวหน้ามหาสมทุ ร และกระแสน้าลึกจะหมุนเวียนตอ่ เนือ่ งกันเกิดเปน็ การหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทร
143 นอกจากน้ี ชายฝ่ังบางบริเวณอาจเกิดน้าผุดหรือนา้ จม ซึ่งเปน็ การหมุนเวียนของน้าในมหาสมุทรรปู แบบหน่งึ ที่ สง่ ผลตอ่ ระบบนิเวศในมหาสมทุ ร การหมนุ เวยี นอากาศและน้าในมหาสมุทร ส่งผลต่อลักษณะลมฟา้ อากาศ ส่ิงมชี ีวิต และส่ิงแวดล้อม แตกตา่ งกนั ไป หากการหมุนเวียนอากาศและน้าในมหาสมุทรเกิดความแปรปรวนจะทาให้เกิดผลกระทบ เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญและลานญี า ซึ่งเกิดจากความแปรปรวนของลมค้าและสง่ ผลต่อสภาพลมฟ้าอากาศของ ประเทศทีอ่ ย่บู ริเวณมหาสมุทรแปซฟิ ิก รวมถึงบรเิ วณอน่ื ๆ บนโลก 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ ดา้ นความรู้ (K) 1. อธิบายปัจจยั และรูปแบบการหมนุ เวียนของนา้ ผวิ หนา้ มหาสมทุ ร 2. อธิบายปัจจยั และรูปแบบการหมนุ เวียนของนา้ ลกึ 3. อธิบายการเกิดและผลท่เี กดิ จากนา้ ผดุ และนา้ จม ด้านทักษะ/กระบวนการ (P) 1. ทกั ษะการสงั เกต 2. การตง้ั สมมติฐาน 3. การตคี วามหมายข้อมลู และข้อสรุป ดา้ นคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์(A) 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2. ซ่ือสัตยส์ ุจริต 3. มีวินยั 4. ใฝ่เรยี นรู้ 5. อย่อู ย่างพอเพียง 6. มุ่งม่นั ในการทางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มจี ติ สาธารณะ 4. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคดิ 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
144 5.สาระการเรยี นรู้ การหมุนเวยี นของอากาศบนโลก 6. ภาระงาน/ชน้ิ งาน - แบบทดสอบ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 9 การหมนุ เวยี นของน้าในมหาสมทุ ร - ใบงานท่ี 1 เรื่อง การหมนุ เวยี นของน้าในมหาสมุทร 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ หนว่ ยย่อยที่ 2 เรื่อง การหมนุ เวยี นของนา้ ในมหาสมุทร ข้นั นำเข้ำสู่บทเรียน (Engagement Phase) 1. ครูนาเขา้ สบู่ ทเรียนโดยเล่าเหตกุ ารณ์ตู้คอนเทนเนอรท์ ต่ี กลงสมู่ หาสมุทรตามหนงั สือเรียนหน้า65 - 66 ข้นั สำรวจและค้นพบ (Exploration Phase) 1. นกั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูลอุณหภมู ิและความเค็มของมหาสมุทร จำกหนงั สือเรียนรำยวิชำโลก ดำรำศำสตร์ และอวกำศ เลม่ 3 และใบควำมรู้ 2. นกั เรียนทำใบงำนแบบฝึกทกั ษะ ข้นั อธบิ ำยและลงข้อสรุป ( Explanation Phase) 1 . นกั เรียนร่วมซกั ถำม และครูอธิบำยเพ่ิมเติมเก่ียวกบั ขอ้ มูลการหมุนเวียนของนา้ ในมหาสมุทร เพอ่ื ให้ นกั เรียนสรุปสำระสำคญั ลงในสมดุ จดบนั ทึก ข้นั ขยำยควำมรู้ (Expansion Phase) 1. นกั เรียนสนทนำซกั ถำมครูเก่ียวกบั ขอ้ สงสัย ศึกษำเพ่ิมเติมจำกใบควำมรู้เร่ืองการหมนุ เวยี นของน้าใน มหาสมุทร ข้นั ประเมิน (Evaluation) 1. สงั เกตพฤติกรรมกำรเรียนรู้และกำรร่วมกิจกรรมของนกั เรียน 2. ครูสังเกตกำรณ์ตอบคำถำมของนกั เรียน
145 3. ครูวดั ประเมินจำกกำรทำแบบฝึกหดั 8. สอ่ื การเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรยี น รายวชิ าเพม่ิ เตมิ โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ม.5 เลม่ 3 2. ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง การหมนุ เวียนของนา้ ในมหาสมุทร 3. PowerPoint เร่ืองการหมนุ เวียนของน้าในมหาสมุทร 9. แหลง่ การเรยี นรู้ 1. หอ้ งเรยี น 2. แหล่งการเรียนร้สู นเทศ
146 10.การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ วธิ ีวัด เครอ่ื งมือวดั เกณฑ์การประเมิน สิ่งทตี่ ้องวัดผลและประเมนิ ผล - มีผลประเมนิ คุณภาพระดบั ดี ดา้ นความรูค้ วามเขา้ ใจ (K) - การทา - ใบกิจกรรมฝึกทักษะ มากขึน้ ไป 1. การหมุนเวยี นของนา้ ผวิ หน้ามหาสมทุ ร ใบฝกึ 1.1 - ทาคะแนน 80 % 2. การหมุนเวยี นของน้าลึก ทักษะ ขึ้นไป 3. น้าผุด และน้าจม - แบบทดสอบ - มผี ลประเมิน คุณภาพระดบั ดีขน้ึ ด้านทักษะกระบวนการ (P) - การ - แบบสังเกต ไป 1. ทกั ษะการสังเกต สงั เกต พฤติกรรม การทา 2. การตัง้ สมมติฐาน - มผี ลประเมิน 3. การตคี วามหมายข้อมลู และข้อสรุป กิจกรรมฝึกทกั ษะ คณุ ภาพระดับดีขึ้น ไป ด้านคุณลกั ษณะ (A) - การ - แบบสังเกตพฤติกรรม 1. ซื่อสัตยส์ จุ รติ สงั เกต การเรียน 2. มวี ินยั 3. ใฝ่เรียนรู้ 4. มุ่งมนั่ ในการทางาน 5. ตรงตอ่ เวลา เกณฑ์กำรให้คะแนน ดีมำก ระดบั คะแนน 80-100% ดี ระดบั คะแนน 70-79% ปำนกลำง ระดบั คะแนน 60-69% พอใช้ ระดบั คะแนน 50-59 % ปรับปรุง ระดบั คะแนน 0 - 49%
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180