เอกสารประกอบการเรียนรู้ วชิ า สังคมศึกษา รหัสวชิ า 31101 ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา2563 นางสาวดุธาสิทธ์ิ แดงงาม กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม โรงเรียนนารายณ์คาผงวทิ ยา สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 33
ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม (ส 31101) จานวน 2 มาตรฐาน 27 ตวั ช้ีวดั เวลาเรยี น 60 ชว่ั โมง มาตรฐาน ส1.1 9 ตวั ชีว้ ดั 1-5 ส 1.1 ม.4/1 วิเคราะห์สังคมชมพทู วีปและคตคิ วามเช่อื ทางศาสนาสมัยก่อนพระพุทธเจ้า หรือสังคม สมัยของศาสนาท่ตี นนับถือ ส 1.1 ม.4/2 วเิ คราะห์พระพทุ ธเจ้าในฐานะเป็ นมนุษย์ผู้ฝึ กตน ได้อย่างสูงสุดในการตรัสรู้ การก่อตัง้ วธิ ีการสอนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา หรือวิเคราะห์ประวัตศิ าสดาท่ตี นนับถือตามท่ี กาหนด ส 1.1 ม.4/3 วิเคราะห์พทุ ธประวัตดิ ้านบริหารและการธารงรักษาพระพทุ ธศาสนาหรือวเิ คราะห์ประวัติ ศาสดาท่ีตนนับถือตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/4 วิเคราะห์ข้อปฏบิ ัตทิ างสายกลางในพระพทุ ธศาสนา หรือแนวคดิ ของศาสนาท่ตี นนับถอื ตาม ท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/5 วเิ คราะห์การพัฒนาศรัทธาและปัญญาท่ีถูกต้องในพระพทุ ธศาสนาหรือแนวคิดของศาสนา ท่ตี นนับถือตามท่กี าหนด
มาตรฐาน ส1.1ตวั ชวี้ ัด 6-10 ส 1.1 ม.4/6 วิเคราะห์ลักษณะประชาธิปไตยในพระพุทธศาสนา หรือแนวคดิ ของ ศาสนาท่ตี นนับถอื ตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/7 วเิ คราะห์หลกั การของพระพุทธศาสนากับหลกั วิทยาศาสตร์ หรือแนวคดิ ของศาสนาท่ตี นนับถอื ตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/8 วิเคราะห์การฝึ กฝนและพฒั นา การพ่งึ ตนเองและการมุ่งอิสรภาพใน พระพทุ ธศาสนาหรือแนวคดิ ของศาสนาท่ตี นนับถือตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/9 วเิ คราะห์พระพทุ ธศาสนาว่าเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา ซ่งึ เน้น ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั กับวิธีการแก้ปัญหาหรือแนวคดิ ของศาสนา ท่ตี นนับถอื ตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/10 วิเคราะห์พระพุทธศาสนาในการฝึ กตนไม่ให้ประมาท มุ่งประโยชน์และ สนั ตภิ าพบคุ คล สังคมและโลก หรือแนวคิดของศาสนาท่ตี นนับถอื ตามท่กี าหนด
มาตรฐาน ส 1.1ตวั ชวี้ ดั 11-15 ส 1.1 ม.4/11 วเิ คราะห์พระพุทธศาสนากับปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงและการ พัฒนาประเทศแบบย่งั ยนื หรือแนวคดิ ของศาสนาท่ตี นนับถอื ตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/12 วเิ คราะห์ความสาคญั ของพระพุทธศาสนาเก่ียวกบั การศึกษาท่ี สมบรู ณ์ การเมอื งและสนั ตภิ าพ ส 1.1 ม.4/13 วเิ คราะห์หลกั ธรรมในกรอบอริยสจั 4 หรือหลกั คาสอนของ ศาสนาท่ตี นนับถอื ส 1.1 ม.4/14วเิ คราะห์ข้อคดิ และแบบอย่างการดาเนินชีวติ จากประวตั สิ าวก ชาดก เร่ืองเล่าและศาสนิกชนตัวอย่างตามท่กี าหนด ส 1.1 ม.4/15 วเิ คราะห์คุณค่าและความสาคญั ของการสังคายนาพระไตรปิ ฎก หรือคัมภรี ์ของศาสนาท่ตี นนับถอื และการเผยแผ่
มาตรฐาน ส 1.1 ตวั ชวี้ ัด 16-20 ส 1.1 ม.4/16 เช่อื ม่ันต่อผลของการทาความดี ความช่วั สามารถวเิ คราะห์สถานการณ์ท่ตี ้อง เผชิญและตัดสนิ ใจเลอื กดาเนินการ หรือปฏบิ ตั ติ นได้อย่างมีเหตุผลถกู ต้อง ตามหลกั ธรรมจริยธรรมและกาหนดเป้ าหมาย บทบาทการดาเนินชีวติ เพ่อื การอยู่ร่วมกนั อย่างสนั ตสิ ุขและอย่รู ่วมกนั เป็ นชาติอย่างสมานฉันท์ ส 1.1 ม.4/17 อธิบายประวัตศิ าสดาของศาสนาอ่นื ๆ โดยสังเขป ส 1.1 ม.4/18 ตระหนักในคุณค่าและความสาคญั ของค่านิยม จริยธรรมท่เี ป็ นตัวกาหนด ความเช่อื และพฤติกรรมท่แี ตกต่างกันของศาสนิกชนศาสนาต่างๆ เพ่อื ขจดั ความขัดแย้งและอยู่ร่วมกันในสงั คมอย่างสันติสุข ส 1.1 ม.4/19 เหน็ คุณค่าเช่อื ม่ันและมุ่งม่ันพฒั นาชวี ิตด้วยการพฒั นาจติ และพฒั นาการ เรียนรู้ด้วยวิธีคดิ แบบโยนิโสมนสิการ หรือการพฒั นาจติ ตามแนวทางของ ศาสนาท่ตี นนับถือ ส 1.1 ม.4/20 สวดมนต์แผ่เมตตาและบริหารจติ และเจริญปัญญาตามหลักสตปิ ัฎฐาน หรือ ตามแนวทางของศาสนาท่ตี นนับถือ
มาตรฐานท่ี 1.1ตวั ชวี้ ดั ท่ี 21-22 ส 1.1 ม.4/21 วเิ คราะห์หลกั ธรรมสาคญั ในการอย่รู ่วมกันอย่าง สนั ตสิ ุขของศาสนาอ่นื ๆ และชกั ชวน ส่งเสริม สนับสนุนให้บุคคลอ่นื เหน็ ความสาคัญของการทา ความดตี ่อกนั ส 1.1 ม.4/22 เสนอแนวทางการจัดกจิ กรรม ความร่วมมือของ ทกุ ศาสนาในการแก้ปัญหาและพฒั นาสังคม
มาตรฐาน ส 1.2 ตวั ชวี้ ดั 1-5 ส 1.2 ม.4/1 ปฏบิ ตั ติ นเป็ นศาสนิกชนท่ดี ตี ่อสาวก สมาชิกในครอบครัวและ คนรอบข้าง ส 1.2 ม.4/2 ปฏบิ ตั ติ นถกู ต้องตามศาสนพธิ ี พธิ ีกรรมตามหลักศาสนาท่ตี น นับถอื ส 1.2 ม.4/3 แสดงตนเป็ นพุทธมามกะ หรือแสดงตนเป็ นศาสนิกชนของ ศาสนาท่ตี นนับถอื ส 1.2 ม.4/4 วเิ คราะห์หลักธรรม คตธิ รรมท่เี ก่ียวเน่ืองกบั วันสาคญั ทาง ศาสนาและเทศกาลท่สี าคญั ของศาสนาท่ตี นนับถอื และปฏบิ ตั ิ ตนได้ถกู ต้อง ส 1.2 ม.4/5 สัมมนาและเสนอแนะแนวทางในการธารงรักษาศาสนาท่ตี นนับ ถอื อนั ส่งผลถงึ การพัฒนาตนพฒั นาชาตแิ ละโลก
ส 31101 ชนั้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๔
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ ๑ สงั คมชมพทู วีปและคติความเชื่อทางศาสนา สมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ ตวั ช้ีวดั วิเคราะหส์ งั คมชมพทู วีปและคติความ เช่ือทางศาสนาสมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ หรอื สงั คมสมยั ของศาสดาท่ีตนนบั ถือ (ส 1.1 ม. 4/1)
ผงั การเรยี นรู้ 2 คติความเชื่อ ทางศาสนา 1 ความเป็ นมา สมยั กอ่ น พระพทุ ธเจา้ สงั คม ลกั ษณะ ชมพทู วีป (ดินแดน) การแบ่งความเช่ือ สงั คม จิตวิญญาณ ศาสนา ลทั ธิ (นกั บวช (วรรณะ, (พราหมณ)์ ชนชน้ั ) ครสิ ต์ ประวตั ิ 3 อิสลาม ลกั ษณะ อ่ืน ๆ สงั คม ศาสนาท่ีตนนบั ถือ ความเช่ือ
ประวตั ิความเป็ นมาของชมพทู วีป พระไตรปิ ฎกกลา่ วไวด้ งั น้ี 1. เป็ นท่ีอยขู่ องมนษุ ยห์ รอื มนสุ สภมู ินน้ั อยบู่ นพ้ืนดิน 2. ตง้ั อยทู่ างทิศใตข้ องเขาพระสเุ มร ุ 3. มีไมห้ วา้ เป็ นพญาไมป้ ระจาทวีป หรอื เกาะแห่งตน้ หวา้ (ตน้ ชมพู แปลว่าตน้ หวา้ ) สมยั กอ่ นพทุ ธกาล สมยั พทุ ธกาล 1.มีชนพ้ืนเมืองดง้ั เดิม เรยี กว่า พวกดราวิเดียน 1.พระบิดาของพระพทุ ธเจา้ มีดินแดน และถกู พวกอารยนั รกุ ราน ไดค้ รอบครองตอน เล็กๆ ของชมพทู วีปปกครอง เหนือ 2.มีอาณาเขตกวา้ งขวาง เรยี กว่า มหาชนบท 2.เป็ นแหลง่ กาเนิดของพระพทุ ธศาสนา ชนบทเหลา่ น้ีแบ่งเป็ น 2 สว่ น คือ สว่ นกลาง เรยี กว่า มชั ฌิมชนบท (16 แควน้ ) หรอื มธั ยม 3. ปัจจบุ นั ไดแ้ ก่ อาณาบรเิ วณท่ีเป็ น ประเทศ สว่ นท่ี เป็ นหวั เมืองชน้ั นอก เรยี กว่า ปัจจนั ตชนบท (5 แควน้ เล็กๆ ) ประเทศอินเดีย ประเทศปากีสถาน ประเทศเนปาล และประเทศบงั คลาเทศ
ชมพทู วีป เหตทุ ่ีเรยี กชื่อน้ี เพราะทวีปน้ีมีไม้ หวา้ เป็ นพญาไมป้ ระจาทวีป (ตน้ ชมพู แปลว่าตน้ หวา้ ) ไมห้ วา้ ตน้ น้ีอยใู่ นป่ าหิม พานต์ ลาตน้ วดั โดยรอบ 15 โยชน์ จากโคน ถึงยอดสงู สดุ 100 โยชน์ จากโคนถึงค่าคบ สงู 50 โยชน์ ที่ค่าคบมีก่ิงทอดออกไปในทิศ ทงั้ 4 แต่ละกิ่งยาว 50 โยชน์ วดั จากโคนตน้ ไปทางทิศไหนกจ็ ะสงู เท่ากบั ความยาวในแต่ ละทิศ คือ 100 โยชน์ ใตก้ ิ่งหวา้ ทง้ั 4 นนั้ เป็ นแม่น้าใหญ่ไหลผ่านไปในทิศทง้ั หลาย ผล หวา้ มีกลิ่นหอม รสหวานปานน้าผ้ึง หม่นู ก ทง้ั หลายชวนกนั มากินผลหวา้ สกุ นนั้ บางที ผลสกุ ก็หลน่ ลงตามฝ่ังแม่น้า แลว้ งอก ออกเป็ นเน้ือทอง และถกู น้าพดั ออกไปจมลง ในมหาสมทุ ร เรยี กทองนนั้ ว่า ทองชมพนู ทุ เพราะอาศยั เกิดมาจาก ชมพนู ที ตน้ หวา้
ดอกหวา้ ผลหวา้ มีกลิน่ หอม รสหวานปานนา้ ผ้ึง หม่นู กทง้ั หลายชวนกนั มากนิ ผลหวา้ สกุ นน้ั บางที ผลสกุ กห็ ลน่ ลงตามฝั่งแม่นา้ แลว้ งอกออกเป็ นเน้ือทอง และถกู น้าพดั ออกไปจมลงใน มหาสมทุ ร เรยี กทองนนั้ ว่า ทองชมพนู ทุ เพราะอาศยั เกิดมาจาก ชมพนู ที
มหาชนบท 16 แควน้
มหาชนบท 16 แควน้ ประกอบดว้ ย องั คะ กรุ ุ และแควน้ มคธะ ปั ญจาละ กาสี มจั ฉะ เล็กๆ อีก 5 โกศล สรุ เสนะ แควน้ คือ สกั กะ วชั ชี อสั สกะ โกลิยะ ภคั คะ มลั ละ อวนั ตี วิเทหะ และ เจตี คนั ธาระ องั คตุ ตราปะ วงั สะ กมั โพชะ
สงั คมในชมพทู วีป ความเป็ นมา ชาวพ้ืนเมืองคือพวกดราวิเดียน เม่ือประมาณ 800 ปี กอ่ นพทุ ธกาล พวกอารยนั ซึ่งเป็ นชนผิวขาวไดอ้ พยพเขา้ มายดึ ครองดินแดนสว่ นที่อดุ ม สมบรู ณข์ องชมพทู วีป ไลช่ นพ้ืนเมืองคือพวกดราวิเดียนใหถ้ อยรน่ ไปทางทิศ ใตแ้ ละทิศตะวนั ออกแถบลม่ ุ แมน่ ้าคงคา สว่ นพวกอารยนั ก็ไดเ้ ขา้ ครอบครอง ดินแดนตอนเหนือ ไดแ้ ก่ ภาคเหนือของประเทศอินเดียในปัจจบุ นั ในสมยั พทุ ธกาลเรยี กวา่ มชั ฌิมชนบท หรือ มธั ยมประเทศ พวกอารยนั เม่ือเขา้ มายดึ ครองดินแดนชมพทู วีปแลว้ ไดเ้ รยี กชน พ้ืนเมืองหรือดราวิเดียนว่า ทสั ย ุ หรอื ทาส หรือ มิลกั ขะ ซึ่งแปลว่า ผเู้ ศรา้ หมอง ผมู้ ีผิวสดี า หรอื เรยี กว่า อนารยิ กะ แปลวา่ ผไู้ มเ่ จริญ ไดเ้ รยี กตวั เอง วา่ อารยนั หรอื อรยิ กะ ซ่ึงแปลวา่ ผเู้ จรญิ
ลกั ษณะสงั คมชมพทู วีป ดา้ นการเมืองการปกครอง ระบอบการปกครอง •ราชาธิปไตย/สมบรู ณาญาสิทธิราช –กษตั รยิ ม์ ีอานาจเด็ดขาด รชั ทายาทสืบสนั ติวงศ์ เชน่ แควน้ มคธ แควน้ โกศล แคว้ อวนั ตี (กษตั รยิ ย์ ดึ ปกครองโดยธรรม) •สามคั คีธรรม/ประชาธิปไตยระดบั หนึ่ง กษตั รยิ ไ์ มม่ ีอานาจ เด็ดขาด ไมม่ ีการสืบสนั ติวงศ์ มี “สณั ฐาคาร”เป็ นประมกุ ดารง ตาแหนง่ ตามระยะเวลาที่กาหนด
มีการแบ่งวรรณะ 4 วรรณะคือ วรรณะพราหมณ์ = พวกศึกษาคมั ภีรพ์ ระเวท หนา้ ท่ีติดต่อ พระเจา้ +ทาพิธีกรรม สีประจาวรรณะคือสีขาว วรรณะกษตั รยิ ์ = พวกนกั รบ นกั ปกครอง สปี ระจาวรรณะคือ สแี ดง วรรณะแพศย์ หรอื ไวศยะ = ประชาชน ประกอบพานิชยกรรม เกษตรกรรม ฯลฯ สปี ระจาวรรณะ คือสีเหลือง วรรณะศทู ร = พวกกรรมกรผใู้ ชแ้ รงงาน สปี ระจาวรรณะสี อะไรกไ็ ดย้ กเวน้ สีของวรรณะทงั้ สามขา้ งตน้
ลกั ษณะสงั คมชมพทู วีป (ต่อ) ดา้ นความเชื่อ 1.เช่ือในเรอ่ื งการลา้ งบาป อินเดียในสมยั ชมพทู วีปเชื่อถือ เรอื่ งการลา้ งบาป โดยเฉพาะในแมน่ ้าคงคา ซ่ึงถือว่าเป็ น แมน่ ้าศกั ดิ์สิทธ์ิท่ีไหลมาจากสวรรคค์ ือภเู ขาหิมาลยั เม่ือได้ ด่ืมหรอื อาบจะไดบ้ ญุ มาก ความชว่ั ที่ทาไวท้ งั้ หมดจะถกู ลอยไปกบั สายน้ากลายเป็ นผบู้ รสิ ทุ ธ์ิทง้ั กายและใจ เมื่อมี พระพทุ ธเจา้ ความเช่ือเหลา่ น้ีก็จางไป เพราะพระองคต์ รสั ว่าการลา้ งบาปวิธีน้ี ลา้ งไดแ้ ต่กายไมไ่ ดล้ า้ งใจดว้ ย 2. ความเชื่อเกี่ยวกบั โลกและชีวิต
ดา้ นศาสนา อินเดียในสมยั ชมพทู วีป เป็ นศาสนาพราหมณม์ ีการ เช่ือถือเกี่ยวกบั การเวียนเกิดเวียนตายของวิญญาณ การแสวงหาทางหลดุ พน้ จากความทกุ ข์ มกั จะมีอยู่ 2 ทาง คือ 1. กามสขุ ลั ลิกานโุ ยค คือการหมกหมนุ่ เสพสขุ ทาง กามารมณ์ โดยถือว่ากามสขุ นน้ั เป็ นเครอ่ื งหลดุ พน้ 2. อตั ตกลิ มถานโุ ยค คือ การทาตนใหล้ าบากดว้ ย การบาเพ็ญตบะรวมทง้ั การทรมานตนตามแบบโยคี
สงั คมในชมพทู วีป : การแบ่งชนั้ วรรณะ สมยั ชมพทู วีปแบ่งชนชน้ั เป็ น 4 วรรณะ รวม 4 วรรณะ พราหมณ์ พวกศกึ ษาคมั ภรี ์พระเวท หน้าท่ตี ิดต่อพระเจ้า+ ทาพิธีกรรม สปี ระจาวรรณะคือสขี าว กษตั รยิ ์ แพศย์ พวกนักรบ นักปกครอง สปี ระจา ศทู ร วรรณะคือสแี ดง พวกประชาชน พ่อค้า เกษตรกรรม ฯลฯ สีประจาวรรณะคอื สีเหลอื ง พวกกรรมกรผู้ใช้แรงงาน สปี ระจา วรรณะสอี ะไรกไ็ ด้ยกเว้นสขี อง วรรณะทงั้ สามข้างต้น จณั ฑาล
นอกจากน้ียงั มีชนชน้ั ต่าอีกประเภทหนึ่งเรยี กวา่ “จณั ฑาล” ถือว่าเป็ นคนนอกวรรณะ เพราะถือกาเนิด มาจากบิดามารดาเป็ นคนต่างวรรณะกนั คือมารดาอยู่ ในวรรณะสงู บิดาอยใู่ นวรรณะต่า เช่น มารดาเป็ น พราหมณ์ บิดาเป็ นศทู ร บตุ รท่ีเกดิ มาจะกลายเป็ น จณั ฑาล พวกน้ีจะถกู เหยยี ดหยามจากวรรณะอื่น ๆ ไม่ มีสทิ ธิใด ๆ ในสงั คม มีสถานภาพต่ากว่าสตั วเ์ ดรจั ฉาน แมก้ ระทง่ั เดินผา่ นใหพ้ ราหมณเ์ ห็น หรอื ใหเ้ งาไปทบั กบั เงาของพราหมณ์ พราหมณจ์ ะถือว่าเป็ นเสนียดจญั ไร กลบั ถึงบา้ นตอ้ งเอาน้าลา้ งตาหรอื อาบน้านมลา้ งเสนียด
วรรณะพราหมณ์
วรรณะกษัตริย์
วรรณะ แพศย์
วรรณะศูทร และ จณั ฑาล
คติความเชื่อใน จิตวิญญาณ สงั คมชมพทู วีป สมยั กอ่ น ศาสนา พระพทุ ธเจา้ (พราหมณ)์ ลทั ธิต่าง ๆ
ความเชื่อในเรอื่ งจิตวิญญาณ เช่ือในเรอ่ื งสภาพดินฟ้ า อากาศ ตน้ ไม้ ภเู ขา เชื่อในเรอ่ื งของความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เชื่อวา่ มีวิญญาณของเทพเจา้ สิงสถิตอยใู่ น ธรรมชาติ เชน่ ตน้ ไมม้ ีเทพเจา้ สงิ สถิต
ความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ เชื่อในคมั ภีรพ์ ระเวทที่มีเทพเจา้ คือ พระพรหม เป็ นผสู้ รา้ งโลก สรา้ งจกั รวาล สรา้ งชีวิตมนษุ ย์ สรา้ งสง่ิ มีชีวิตทง้ั ปวง เช่ือว่า การบวงสรวงต่อเทพเจา้ ดว้ ยการใช้ สตั วบ์ ชู ายญั เทพเจา้ จะใหใ้ นสิ่งที่ตอ้ งการ
คติความเชื่อทางศาสนาสมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ สมัยก่อนอารยนั เข้าส่อู นิ เดยี (๒,๐๐๐ – ๑,๕๐๐ ปี ก่อน พ.ศ.) พวกอารยันชนผิวขาว เข้ามารวมตัวเป็ นกลุ่ม นอกจากนัน้ ยังนับถือ และ ท่เี ข้ามายึดชมพทู วีป แถบภเู ขาคอเคซสั และ บชู าวิญญาณของบรรพบุรุษอีกด้วย โดย ย้ายมาปากแม่นา้ วอลก้า เข้าใจว่ามนุษย์และสตั ว์ตายไปแต่เพยี ง ม.อูราลเหนือ ทะเลสาบ ร่ายกาย ส่วนวิญญาณยงั คงอยู่ ยงั มี แคสเปี ้ ยน การบริโภคอาหารเหมือนกับมนุษย์ท่ยี งั ไม่ตาย ทาให้เกิดมีการบวงสรวงและ มีการเคารพพระเจ้าหลายองค์ซ่งึ เป็ นรูปแบบของธรรมชาติ เช่น เซ่นวิญญาณกนั ความเช่อื อกี ว่า ดิน นา้ ลม ไฟ พระอาทติ ย์ วญิ ญาณของคนท่ตี ายไปแล้วนัน้ ยังมภี พ พระจนั ทร์ และดวงดาว เป็ นต้น อยู่เบอื้ งบน เพ่อื การบูชาวญิ ญาณของ เช่อื ว่าธรรมชาตใิ ห้คุณให้โทษแก่ คนเหล่านัน้ จงึ ได้เผาเคร่ืองบูชายญั ให้ เขาถอื ว่าเป็ นลัทธิแรกของมนุษย์ ควนั ไฟลอยขึน้ ไป จงึ ทาให้เกิดมลี ัทธิ บชู ายัญเกิดขนึ้
สมยั พระเวท (๘๐๐ – ๓๐๐ ปี ก่อน พทุ ธศักราช) สมยั พระเวทนี้ พวก พระเวทเป็ นคัมภรี ์ทางศาสนา ท่พี วกพราหมณ์ได้รวบรวม อารยันได้นับถอื พระ ขึน้ จากบทเพลงสวดในเวลาทาศึกและการสังเวย เรียกว่า อนิ ทร์เป็ นเทพเจ้าสงู สุด ฤคเวท ประกอบด้วย 4 ส่วน เรียกว่า พระอนิ ทร์ทาหน้าท่คี ล้าย ตัวพระราชา มีความ จตุเพทางคศาสตร์ คอื เป็ นอยู่อย่างสมบรู ณ์ ฤคเวท บทสวดสรรเสริญเทพเจ้า สามเวท บทสวดอ้อนวอนในพธิ ีบชู ายญั ต่างๆ ยชุรเวท บทเพลงขบั สาหรับสวดหรือร้องเป็ นทานองบชู ายญั อาถรรพเวท ว่าด้วยอาคมทางไสยศาสตร์ ผู้คนได้ทาพลีบชู าและสวดขับกล่อมสรรเสริญพระเจ้าด้วยนา้ โสม เพ่อื จะให้เทพเหล่านัน้ โปรดปรานช่วยเหลือตน เป็ น การอ้อนวอนขอความเหน็ ใจจากพระเจ้า
สมัยพราหมณ์ (๓๐๐ – ๑๐๐ ปี ก่อน พุทธศักราช) พราหมณ์มีบทบาทและอานาจมาก หรือพวกพราหมณ์เจ้า พระยศ คนท่วั ไปเคารพนับถือพราหมณ์ให้ความศักด์ิสทิ ธ์ิ เพราะถือว่าพราหมณ์เป็ นตวั แทนของพระเจ้า เป็ นตัวกลาง ตดิ ต่อระหว่างพระเจ้ากับประชาชน เป็ นผู้ถ่ายบาปให้แก่ ประชาชน ตามอุดมคติ ความเช่อื ด้วยความเมตตาปรานี ไม่ คิดค่าตอบแทน มุ่งม่ันเพยี รเพ่งเคร่งครัดในพธิ ีกรรม ประกอบด้วย ความซ่อื สตั ย์มีความเพยี รเพ่ง มีความเคร่งครัด ปฏบิ ตั ิพรหมจรรย์ มีความขยนั ศึกษาคมั ภรี ์พระเวทและมีความ เสยี สละทาตนให้เป็ นท่พี ่งึ ของประชาชนทางจติ ใจ ในสมัยพราหมณ์นี้ มีการประกอบพธิ ีกรรม ทาการบวงสรวงไหว้วอนอย่างหนัก เพ่อื ให้ พระเจ้าโปรดปราน มีการฆ่าววั แพะ แกะ ม้า มนุษย์ เพ่อื สงั เวยพระเจ้า ด้วยความ ประสงค์ท่จี ะเข้าร่วมอย่กู ับพระพรหม การประกอบพธิ ีบชู ายญั นีไ้ ด้แพร่กระจายไปท่วั ทกุ หนทกุ แห่ง ตามเทวาลยั และสถานท่อี นั ศักด์ิสทิ ธ์ิเต็มไปด้วยเลือดอนั แดงฉาน มีควันไฟ แห่งการบชู ายญั ลุกโขมงขึน้ ทุกหนแห่ง
สมัยอุปนิษัท (๑๕๐ – ๕๐ ปี ก่อน พุทธศักราช) อุปนิษัทเป็ นคมั ภรี ์หน่ึงในศาสนา ๑) การปฏบิ ตั ิพธิ ีกรรมทางศาสนา พราหมณ์ หมายถึงปลายแห่งยุคพระเวท หรือ การบวงสรวง การสวดเวทมนต์ คาถาอาคม เวทานตะ เป็ นยุคท่บี ุคคลแสวงหาความหลุด การบชู ายญั เป็ นต้น พ้นจากทกุ ข์ ด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยความรู้ ๒) การบาเพญ็ พรต ได้แก่การ ความคดิ ท่เี ป็ นปรัชญาหลังจากท่ยี ุ่งยากสบั สน บาเพญ็ ตบะ การทรมานร่างกาย เป็ นต้น อย่กู ับยุคของพราหมณ์มาเป็ นเวลานาน ยุคนี้ ๓) การแสวงหาความหลุดพ้นด้วย เคารพนับถือ พระพรหม ถอื ว่า เป็ นผู้สร้างโลก ปัญญา และเช่อื ในเร่ืองของการปฏิบตั ิ 3 คอื
ความเชื่อในลทั ธิต่าง ๆ ประกอบดว้ ยลทั ธิต่างๆ 6 ลทั ธิ
๖) นิครนถน์ าฎ ๑.ลทั ธิ ๒) ลทั ธิ บตุ รหรอื ศาสดา ปรู ณะกสั ส มกั ขลิโคสาล มหาวีระ แห่ง ศาสนาเชน ลทั ธิทง้ั ๖ ๕) ลทั ธิสญั ชยั ๓.ลทั ธิ เวลฏั ฐบตุ ร อชิตเกสกมั พล ๔) ลทั ธิ ปกชุ กจั จายนะ
ความเช่ือ : ลทั ธิต่าง ๆ สมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ มีความเห็นและเชื่อ 2 สว่ น น่ิงเฉย ไมไ่ ดท้ าอะไร 1. วิญญาณ จึงไมต่ อ้ งรบั ผิดชอบ อะไรต่อบญุ และบาป ลทั ธิท่ี 1 ลทั ธิ ที่รา่ งกายกระทาไว้ ปรู ณะกสั สปะ ทาดีไมไ่ ดด้ ี ทาชวั่ ไมไ่ ดช้ วั่ ทางาน จึงเป็ น 2. รา่ งกาย ผกู้ ระทาไมว่ า่ บญุ หรอื บาป
สงิ่ ทงั้ หลายไมม่ ีวนั ดบั สญู ตอ้ งฟ้ื นคืนชีพข้ึนมา ลทั ธิท่ี 2 ไมว่ า่ จะอยภู่ พไหน สงู หรอื ต่าของสตั วท์ ง้ั หลาย ยอ่ มไมม่ ีเปลี่ยนแปลง การกระทาทกุ อยา่ งเกิดจาก ลทั ธิมกั ขลิโคสาล ความบงั เอิญ โชควาสนา อานาจของ ชะตากรรม ดวงดาว แมก้ ระทงั่ พระเจา้
ลกั ษณะ หม่ ผา้ ดว้ ยเสน้ ผม เป็ นลทั ธิหยาบคาย นา่ เกลียด ลทั ธิที่ 3 มีความคิดรนุ แรง คดั คา้ นลทั ธิอ่ืน ลทั ธิ ในโลกน้ีไมม่ ีชีวิตไมว่ ่าจะเป็ นคนโดยเฉพาะ อชิตเกส มีความเห็นว่า มารดา บิดา หรือสตั ว์ หรอื ส่งิ มีชีวิต กมั พล ไมม่ ีการเคารพกราบไหว้ ไมว่ ิงวอนต่อส่ิงศกั ด์ิสทิ ธิ์ ทาสิ่งใดไปไมม่ ีผลเกิดข้ึน ไมม่ ีการเวียนว่าตายเกิด ชีวิตจบส้นิ ท่ี ป่ าชา้ ไมม่ ีบาปบญุ คณุ โทษ การทาบญุ คือ คนโง่ การแสวงหาความสขุ จึงเป็ นส่ิงที่ควรทา ความสขุ ไดม้ าจากการ ปลน้ สดมภ์ ยอ่ งเบา เผาบา้ นสงั หารชีวิต กค็ วรทา
ลทั ธิท่ี 4 เช่ือว่า ทกุ ส่ิงทกุ อยา่ งเกดิ ข้ึน เกดิ สภาวะ7 อยา่ งคือ ดิน น้า ลทั ธิปกชุ กจั จายนะ ลม ไฟ สขุ ทกุ ข์ วิญญาณ ไมม่ ีการเปล่ยี นแปลงไป ไมไ่ ด้ เกิดจากใครทาหรอื กาหนดข้ึน เป็ นสภาพที่ยง่ั ยนื แนน่ อน ไมม่ ีบาปกรรม
ผนู้ าลทั ธิเคยเป็ นอาจารยข์ องพระโมคคลั ลานะและพระสารบี ตุ ร ลทั ธิน้ีมีความเห็นวา่ ลทั ธิที่ 5 พดู ฟังยาก เอาแนน่ อนอะไรไมไ่ ด้ พดู สา่ ย ไปสา่ ยมาเหมือนปลาไหล คือพดู ซดั ไปซดั ลทั ธิสญั ชยั เวลฏั ฐ มา พดู อยา่ งคนตาบอด ไมส่ ามารถนา บตุ ร ตนและผอู้ ่ืนใหเ้ ขา้ ถึงความจรงิ ได้ เชน่ โลก น้ีโลกหนา้ ไมม่ ี จะว่าไมม่ ีก็ไมใ่ ช่ จะวา่ มีก็ ไมใ่ ช่ ไมม่ ีทง้ั สองอยา่ ง มีปัญญาทราม โง่เขลา ไมก่ ลา้ ตดั สินใจใดๆ ไดอ้ ยา่ ง เด็ดขาด เพราะไมร่ จู้ รงิ ตามสภาวะนนั้
ลทั ธิน้ีเกิดข้ึนกอ่ นพทุ ธศาสนาประมาณ 43 ปี หลงั จากออกบวชและแสวงหาโมกขธรรมอยู่ 12 ปี จึงไดส้ าเร็จโมกษะ(การ หลดุ พน้ ) รวมเวลาสง่ั สอนได้ 30 ปี จึงนิพพาน ลทั ธิท่ี 6 หลกั ธรรมที่สาคญั คือความไมเ่ บียดเบียน(อหิงสา) มี ความเชื่อใกลเ้ คียงกบั พระพทุ ธศาสนา จดุ ประสงคเ์ พื่อ ลัทธทิ ่ลี ัทธทิ ่ี ความหลดุ พน้ จากสงั สารวฎั เหมือนกนั น6ิครนถน์ าฎ ลทั ธิน้ีมีแนวคิดวา่ สง่ิ ท่ีจะนาไปสโู่ มกษะไดน้ นั้ คือแกว้ 3 บต6ุ รหรอื ดวง ไดแ้ ก่ มีความเห็นชอบ มีความรชู้ อบ มีความ ศาสดามหา ประพฤติชอบ วีระ แห่ง การบาเพ็ญตนใหล้ าบาก หรอื อตั ตกิลมถานโุ ยค เป็ น ทางนาไปสกู่ ารบรรลธุ รรมคือโมกษะ ผใู้ ดฝึ กฝนตนดี ศาสนาเชน แลว้ ยอ่ มไมห่ วนั่ ไหวต่อทกุ สิง่ ทกุ อยา่ ง ท่ีเกิดข้ึนกบั ตวั เองทงั้ ทางกาย วาจา และใจ
ลทั ธิที่ 6 นิครนถน์ าฎบตุ รหรอื ศาสดามหาวีระ แห่งศาสนาเชน ตวั ท่านศาสดา คือมหาวีระไดบ้ าเพ็ญขนั ติธรรมนาน ไมข่ ยบั เขย้ือนจากที่จนเถาวลั ยเ์ ล้ือยข้ึนพนั รอบกายตนเอง นกั บวชเชน ตอ้ งปฏิบตั ิตามศีล 5 ขอ้ คือ 1.เวน้ จากการฆา่ สิ่งท่ีมีชีวิตรวมทงั้ พืช 2.เวน้ จากการพดู เท็จ 3.เวน้ จากการถือเอาสง่ิ ของท่ีเจา้ ของไมไ่ ดใ้ ห้ 4. เวน้ จากการประพฤติผิดในกาม 5.ไมย่ ินดีในกามวตั ถ ุ
สงั คมชมพทู วีปและคติความเชื่อทางศาสนาในสมยั กอ่ น พระพทุ ธเจา้ กบั ศาสนาที่ตนนบั ถือ ศาสนาพทุ ธ ดา้ นสงั คมชมพทู วีป ศาสนาพทุ ธ 1 มีสว่ นเกี่ยวขอ้ งในเรอ่ื ง ดินแดน หรอื อาณาเขตไดแ้ ก่ แควน้ สกั กะ ที่ พบว่า พระบิดาหรอื พระเจา้ สทุ โธทนะ เคย ปกครองดินแดน และเป็ นดินแดนท่ี 2 กาเนิดพระพทุ ธศาสนา ดา้ นคติความเชื่อ มีลทั ธิในศาสนาเชนที่มีหลกั ธรรมและหลกั ปฏบิ ตั ิ ที่ใกลเ้ คียงกบั ศาสนาพทุ ธ คือ มีการปฏบิ ตั ิตนใหพ้ น้ จากความ หลดุ พน้ และเป็ นตน้ แบบของศาสนาพทุ ธกอ่ นท่ีพระพทุ ธเจา้ จะทรง นามาพฒั นาเป็ นศาสนาพทุ ธท่ีสมบรู ณจ์ นถึงปัจจบุ นั น้ี
สงั คมชมพทู วีปฯ : ศาสนาที่ตนนบั ถือ (ต่อ) ศาสนา เฉพาะศาสนาพราหมณ์ สว่ นคติความเช่ือเป็ น พราหมณ-์ มีสว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั ศาสนาท่ีนบั ถือเทพเจา้ ฮินด ู สงั คมชมพทู วีปในเรอ่ื ง คือพระพรหมท่ีเช่ือวา่ ของการครอบครอง พระพรหมเป็ นผสู้ รา้ ง ดินแดนในชมพทู วีป สง่ิ มีชีวิตทง้ั ปวง ชว่ ง ของชาวอารยนั และ หลงั ไดผ้ นวกรวม การจดั ระบบชนั้ วรรณะ ศาสนาฮินดเู ขา้ มาดว้ ย ใหก้ บั ประชาชนในชมพู แต่รวมหลงั จากศาสนา ทวีป พทุ ธ
ศาสนาอ่ืน ๆ ศาสนาครสิ ต์ ไมม่ ีการบนั ทึกไว้ เช่น อาจจะเนื่องจากเป็ น ศาสนา ศาสนาท่ีเกดิ ข้ึน ภายหลงั ศาสนาพทุ ธ อิสลาม จึงยงั ไมม่ ีสว่ นเกยี่ วขอ้ ง กบั สงั คมชมพทู วีป ศาสนาอื่น ๆ ..............
แบบฝึ กหดั หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เรอ่ื ง สงั คมชมพทู วีปและคติความเชื่อทางศาสนา สมยั กอ่ นพระพทุ ธเจา้ ใหน้ กั เรยี นวิเคราะหเ์ น้ือหาที่ไดร้ บั จากการเรยี น หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 โดยสรปุ ออกมาเป็ นผงั ความคิด(Mindmap) ใน 1 หนา้ กระดาษ สามารถเลา่ รายละเอียดไดค้ รบเน้ือหา
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 การตรสั รู้ การกอ่ ตง้ั พระพทุ ธศาสนา วิธีการสอน และการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาตามแนวพทุ ธจรยิ า ตวั ช้ีวดั วิเคราะหพ์ ระพทุ ธเจา้ ในฐานะเป็ นมนษุ ยผ์ ฝู้ ึ ก ตนไดอ้ ยา่ งสงู สดุ ในการตรสั รู้ การกอ่ ตง้ั วิธีการสอน และการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนา หรอื วิเคราะหป์ ระวตั ิ ศาสดาที่ตนนบั ถือตามท่ีกาหนด (ส 1.1 ม.4/2)
แผนผงั การเรยี นรู้ การตรสั รู้ การกอ่ ตง้ั พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธศาสนา วิธีการสอน • พทุ ธประวตั ิ (ยอ่ ) และการเผยแผ่ • การตรสั รู้ • การกอ่ ตงั้ วิธีการสอนและการเผย พระพทุ ธศาสนาตาม แผพ่ ทุ ธศาสนาตามแนวพทุ ธจรยิ า แนวพทุ ธจรยิ า แนวทางพทุ ธจรยิ า • ความหมาย
พทุ ธประวตั ิของพระพทุ ธเจา้ กว่าจะถึงวนั น้ี
ทบทวนความจากบั พทุ ธประวตั ิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129