Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ เรื่อง e-Learning

หนังสือ เรื่อง e-Learning

Published by abhichat.a, 2016-07-25 23:36:21

Description: e-Learning_Book

Keywords: อภิชาติ,abhichat.com

Search

Read the Text Version

บทที่ 2 การออกแบบการเรียนการสอนแบบอเี ลริ น นงิ แบบจาํ ลองการเรียนการสอนอีเลิรน์ นิงตามแนวคิดของ Anderson และ Elloumi (2004) นนั้ แบง่ องคป์ ระกอบการเรยี นเป็น 5 องคป์ ระกอบ คอื 1. ผู้เรียน โดยแบบจําลองน้ีเสนอว่าการเรียนอีเลิร์นนิงเป็นการเรียนรายบุคคล เรียนแบบ รว่ มมอื กนั กบั เพอ่ื นร่วมชนั้ เรยี นครอบครวั เรยี นจากแหลง่ ทรพั ยากรการเรยี นเรมิ่ จากชมุ ชนในออนไลน์ และ การสอ่ื สารการเรยี นรปู แบบต่าง ๆ 2. ผสู้ อน แบบจาํ ลองน้ี ผสู้ อนจดั เตรยี ม เน้อื หาแหลง่ ทรพั ยากรการเรยี น ออกแบบการปฏสิ มั พนั ธ์ การเรยี นและสอ่ื สารการเรยี นการสอนกบั ผเู้ รยี น 3. แหล่งทรัพยากรการเรียนสนับสนุนให้ผู้เรียนสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ช่วยสอน สถานการณ์จาํ ลอง เกม หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารจาํ ลอง หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เป็นตน้ เป็นแหลง่ ใหผ้ เู้ รยี นคน้ หาความรู้ 4. ความร/ู้ เน้ือหาในรายวชิ าทอ่ี อกแบบใหผ้ สู้ อนและผเู้ รยี นสามารถเชอ่ื มโยงถงึ กนั ได้ 5. ปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นโดยรปู แบบปฏสิ มั พนั ธเ์ ป็นแบบทนั ทที นั ใด หรอื ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบไมป่ ระสานเวลา แบบจาํ ลองการสอนอเี ลริ น์ นงิ ของ Anderson & Elloumi (2004) ภาพที่ 2.24 แบบจาํ ลองการสอนอเี ลริ น์ นิงของ Anderson & Elloumi (2004)40 อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 2 การออกแบบการเรียนการสอนแบบอเี ลิรน นิง การออกแบบการเรยี นการสอนอเี ลริ น์ นิงทก่ี ลา่ วมาแลว้ ทงั้ หมดขา้ งตน้ โดยใชพ้ น้ื ฐานการออกแบบการสอนในทน่ี ้ีไดเ้ น้นโดยใชแ้ บบจําลองการสอน ADDIE และมตี วั อย่าง แนวคดิ การออกแบบการสอนแบบอเี ลริ ์นนิงมสี ามแนวคดิ เพ่อื ให้ผู้อ่านได้เป็นแนวทางสู่การออกแบบการสอนอีเลริ ์นนิงของตนเองต่อไปซง่ึ การออกแบบการสอนควรตอ้ งใชศ้ าสตรแ์ ละศลิ ป์รว่ มกนั จะทาํ ใหป้ ระสบความสาํ เรจ็ ในการสอนดว้ ยอเี ลริ น์ นงิ อีเลริ น นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 41

บทที่ 2 การออกแบบการเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น นงิ42 อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ ีสอนแบบอเี ลิรนนงิ วธิ สี อนแบบอเี ลริ น์ นิง ไม่ใช่เพยี งแต่ใชเ้ ทคโนโลยแี ละสารสนเทศในการจดั การเรยี นการสอนเท่านัน้แต่มแี นวคดิ ในการเรยี นการสอนทเ่ี น้นตวั ผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั เมอ่ื ศกึ ษาถงึ อเี ลริ น์ นิง โดยทวั่ ไปจงึ มกั จะกล่าวถงึหรอื อธบิ ายเน้นทก่ี ารใชเ้ ทคโนโลยแี ละเคร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ตในการสอน และมองขา้ มในเร่อื งของการสอนซง่ึ ทจ่ี รงิ เป็นประเดน็ สําคญั ความรู้ศาสตรก์ ารสอน หรอื เร่อื งของการเรยี นการสอนอเี ลริ ์นนิง (e-Pedagogy)มคี วามสาํ คญั และเป็นสาระสาํ คญั ต่อการเรยี นการสอนอเี ลริ น์ นิง โดยการสอนในอเี ลริ น์ นิง มพี น้ื ฐานมาจากการสอนทส่ี อนกนั ในหอ้ งเรยี นปกติ แต่เป็นการปรบั มาใชใ้ นอเี ลริ น์ นิง ดงั นนั้ สงิ่ ทค่ี วรจะเน้นวธิ กี ารสอนแบบอีเลิร์นนิง คือ e-Teaching ซ่ึงเป็นการใช้ศาสตร์และศิลป์ ของผู้สอน ท่ีจะถ่ายทอดความรู้ เน้ือหาประสบการณ์ต่าง ๆ ใหผ้ เู้ รยี นอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลตามวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นการสอนมากทส่ี ุด วธิ กี ารสอนน้ียงั กําหนดใหผ้ เู้ รยี นบรรลุเป้าหมายอะไร ทําอะไรได้ ทําไดอ้ ย่างไร ในกจิ กรรมการเรยี นอเี ลริ น์ นิง การเรียนแบบอีเลริ ์นนิงนัน้ ผู้สอนและผู้เรียนไม่ได้พบเผชิญหน้ากนั โดยตรง จึงต้องออกแบบการส่อื สารการเรยี นการสอนเป็นอย่างดี มใิ ช่การเรยี นรู้ท่ีผู้เรยี นเปล่ียนจากการอ่านหน้าหนังสอื มาอ่านจากหน้าจอคอมพวิ เตอร์ วธิ สี อนท่หี ลากหลายควรนํามาออกแบบในการเรยี นแบบอเี ลริ ์นนิง การเลอื กวธิ ีสอนแบบอเี ลริ น์ นิงวธิ ใี ดใหเ้ หมาะสมต่อการสอ่ื สารการเรยี นรกู้ บั ผเู้ รยี นนนั้ ผสู้ อนหรอื นกั ออกแบบการสอนควรพจิ ารณาอย่างยง่ิ โดยสามารถกําหนดวธิ กี ารสอนน้ีในขนั้ ตอน การออกแบบ ตามแบบจําลอง ADDIEดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ในบทท่ี 2 บทท่ี 3 น้ี ขอนําเสนอตวั อย่างสําหรบั จดั การสอนแบบอเี ลริ น์ นิง ได้แก่ (1) วธิ สี อนแบบบรรยาย(2) วธิ สี อนแบบอภปิ ราย (3) วธิ สี อนแบบโครงงาน (4) วธิ สี อนแบบแกป้ ญั หา และ (5) วธิ สี อนแบบกรณีศกึ ษาตามลาํ ดบั ซง่ึ วธิ สี อนเหล่าน้ีสามารถช่วยผสมผสานโดยขนั้ ตอนการสอนแต่ละวธิ รี ่วมกบั การใชเ้ ทคโนโลยีและเคร่อื งมอื สอ่ื สารทางอนิ เทอรเ์ นต็ ทจ่ี ะนําสกู่ ารสอ่ื สารการเรยี นการสอนทม่ี บี รรยากาศและสภาพแวดลอ้ มแหง่ การเรยี นรทู้ ด่ี ี ประสบความสาํ เรจ็ ในการสอนทไ่ี ม่แตกต่างหรอื ดกี ว่าการเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี นปกติวธิ สี อนแบบอเี ลริ น์ นิง ทงั้ 5 วธิ ี มรี ายละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี อีเลิรนนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 43

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ นนงิ 1. การสอนแบบบรรยาย การสอนแบบอเี ลริ น์ นิง หรอื อาจเรยี กอกี คาํ วา่ การสอนออนไลน์ เป็นวธิ สี อนทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั เน่อื งจากผเู้ รยี นสามารถเลอื กเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองตามความต้องการ เม่อื มคี วามพรอ้ ม ในสถานทใ่ี ด เวลาใดกไ็ ด้ เน่อื งจากเน้อื หาสาระการเรยี นไดถ้ กู จดั เกบ็ ไวใ้ นเครอ่ื งคอมพวิ เตอรแ์ มข่ า่ ย (Server) สอ่ื สารโดยใชเ้ คร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ต เป็นช่องทางการส่อื สารการเรยี นการสอน โดยมกี ารกําหนดกจิ กรรมการเรยี น และการสอน ท่ีออกแบบด้วยวิธสี อนหลากหลาย มกี ารนําเสนอเน้ือหา ส่อื แบบดจิ ิตอล การส่อื สาร การมีปฏสิ มั พนั ธ์ และการวดั ประเมนิ ผลผา่ นระบบเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอร์ การออกแบบการสอนแบบอเี ลริ น์ นงิ ควรกระทาํ ใหเ้ ป็นเสมอื นหรอื ใกลเ้ คยี งกบั การสอนในหอ้ งเรยี น ปกติ โดยใชโ้ ปรแกรมระบบจดั การเรยี นการสอน (Learning Management System: LMS) เป็นซอฟทแ์ วร์ สําคญั เพ่ือจําลองวิธีการส่อื สารการสอนจากการสอนปกติในห้องเรียนมาใช้รูปแบบเคร่อื งมือต่าง ๆ ของระบบจดั การเรยี นการสอน ซง่ึ องคป์ ระกอบของระบบบรหิ ารจดั การเรยี นการสอน ประกอบดว้ ย การเกบ็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานของผเู้ รยี น สถติ กิ ารเขา้ เรยี น การร่วมกจิ กรรมการเรยี น การสอ่ื สารปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ รยี น กบั ผูส้ อน และผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี นดว้ ยกนั รวมถงึ การวดั และประเมนิ ผล เป็นต้น โดยปจั จยั สาํ คญั ทจ่ี ะทําให้ การสอนอเี ลริ ์นนิงประสบความสาํ เรจ็ นัน้ ต้องกําหนดวธิ กี ารส่อื สาร หรอื วธิ ีสอนท่เี หมาะสมเช่นเดียวกบั การสอนในหอ้ งปกติ การสอนแบบบรรยายจงึ เป็นวธิ กี ารสอนทถ่ี ูกนํามาใชม้ ากทส่ี ุด และแทรกอย่ใู นวธิ สี อน ทุกชนิด ราชบณั ฑติ ยสถาน (2551: 262) ไดน้ ิยามความหมายของวธิ กี ารสอนแบบบรรยายทใ่ี ชใ้ นหอ้ งเรยี น ปกตวิ ่าหมายถงึ วธิ กี ารสอนแบบหน่ึง ท่ผี ูส้ อนใช้การพูด บอก เล่า สาระความรูแ้ ละความคดิ ต่าง ๆ ใหแ้ ก่ ผเู้ รยี นโดยผเู้ รยี นมบี ทบาทเป็นผฟู้ งั ทําความเขา้ ใจ จดบนั ทกึ โดยอาจมกี ารอภปิ รายประกอบ การสอนแบบน้ี เหมาะสาํ หรบั ชนั้ เรยี นกลุ่มใหญ่ ซง่ึ การสอนออนไลน์แบบบรรยายใชก้ ารสอ่ื สารโดยการเขยี นเพอ่ื การสอ่ื สาร มากทส่ี ดุ การประยุกตใ์ ช้การสอนแบบบรรยายในการเรยี นการสอนแบบอีเลิรน์ นิง การสอนโดยใชก้ ารบรรยายเป็นวธิ กี ารสอนทจ่ี ําเป็นทงั้ การบรรยายในชนั้ เรยี น และการบรรยายใน อเี ลริ น์ นิง การสอนแบบบรรยายควรกาํ หนดใหเ้ กดิ 3 ปจั จยั ดว้ ยกนั คอื 1. เกดิ การมสี ว่ นรว่ มและการปฏสิ มั พนั ธใ์ นระดบั สงู (การเรยี นทม่ี ปี ฏสิ มั พนั ธ)์ 2. เกดิ เน้อื หาทช่ี ดั เจน ซง่ึ ช่วยใหผ้ เู้ รยี นสามารถเช่อื มโยงหวั ขอ้ ต่าง ๆ ไดง้ า่ ย 3. ผูบ้ รรยายมคี วามกระตอื รอื รน้ ในการสอน ซง่ึ ทําใหก้ ารสอนมชี วี ติ ชวี า การปฏสิ มั พนั ธ์จะช่วย กระตุน้ ใหใ้ หผ้ เู้ รยี นเรยี นรไู้ ดม้ ากขน้ึ44 อเี ลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอเี ลิรน นงิ การเรยี นออนไลน์ของ TCU ใชร้ ะบบ TCU LMS ในการจดั การเรยี นการสอน ในบางรายวชิ า เช่นหลกั สตู ร TCU Academy มกี จิ กรรมปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น หลงั จากเรยี นในหอ้ งเรยี นแลว้ ยงั มกี ารอบรมเสรมิความรู้ บรรยาย เพม่ิ เตมิ นอกหอ้ งเรยี น ภาพท่ี 3.1 ตวั อยา่ งบทเรยี นในหลกั สตู ร TCU Academy กจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบอีเลิร์นนิง บทบาทผู้สอนคอื ผู้สนับสนุน คอยช่วยเหลือแนะนําการเรยี นแก่ผูเ้ รยี น ทงั้ น้ีผูส้ อนอาจเป็นผู้ออกแบบการเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง โดยจดั เตรยี มไว้ให้กบัผู้เรียน หาแหล่งเรียนรู้ท่เี ก่ยี วขอ้ ง มปี ฏสิ มั พนั ธ์ส่อื สารกบั ผู้เรียนผ่านเคร่อื งมือส่อื สารทางอนิ เทอร์เน็ตเพ่อื ความเขา้ ใจทง่ี ่ายขน้ึ สามารถสรุปกจิ กรรมการสอนเปรยี บเทยี บในหอ้ งเรยี นปกตแิ ละหอ้ งเรยี นออนไลน์ดงั ภาพต่อไปน้ี อเี ลิรน นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 45

บทท่ี 3 วิธสี อนแบบอีเลิรนนิง ภาพที่ 3.2 แสดงกจิ กรรมการเรยี นการสอนเปรยี บเทยี บการเรยี นแบบปกตกิ บั การเรยี นแบบอเี ลริ น์ นงิ46 อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วธิ สี อนแบบอีเลิรนนงิ กิจกรรมปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนกบั บทเรียน และผเู้ รียนกบั ผสู้ อน กจิ กรรมการสอนทส่ี ามารถประยกุ ตใ์ ชก้ บั การสอนแบบบรรยาย สามารถสรปุ ขนั้ ตอนมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี 1. ขนั้ เตรียมการสอน ผสู้ อนดาํ เนนิ การดงั น้ี 1.1 วนิ ิจฉัยผู้เรยี น โดยพจิ ารณาถงึ พน้ื ความรู้ ประสบการณ์เดมิ ความสามารถของผูเ้ รยี นอาจใชก้ ระดานสนทนา เป็นเคร่อื งมอื ให้ผู้เรยี นแนะนําตวั เล่าประสบการณ์ เขยี นความคาดหวงั หรอื ใช้แบบทดสอบกอ่ นเรยี นเพอ่ื ประโยชน์ในการเตรยี มเน้อื หาและวธิ กี ารสอน 1.2 เตรยี มเน้ือหา โดยพจิ ารณาถงึ ความละเอยี ด ลกึ ซง้ึ มากน้อย และลําดบั ของเน้ือหาให้เหมาะสมกบั เวลาและลกั ษณะของผเู้ รยี น เช่นใช้การเขยี นสอ่ื สารถงึ ผเู้ รยี น การบนั ทกึ เป็นไฟลว์ ดี ทิ ศั น์สอ่ื สารถงึ ผเู้ รยี น 1.3 เตรยี มคําถาม เพ่อื นําเสนอในกระดานสนทนา หรอื กระดานบทนําแต่ละครงั้ เพ่อื ใชถ้ ามผเู้ รยี นระหวา่ งการบรรยาย จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นต่นื ตวั และสนใจไดด้ ขี น้ึ 1.4 เตรยี มส่อื การเรยี นการสอน ทจ่ี ะช่วยใหผ้ ู้เรยี นเขา้ ใจบทเรยี นไดด้ ขี น้ึ เช่น ภาพ เสยี งวดี ทิ ศั น์ สอ่ื มลั ตมิ เี ดยี เวบ็ ไซตภ์ ายนอก เป็นตน้ 1.5 เตรยี มการวดั ผลประเมนิ ผล อาจจดั ทาํ เป็นแบบทดสอบหลงั การเรยี น เป็นแบบฝึกหดัหรอื การพมิ พถ์ ามคําถามเพ่อื วดั ดวู ่าผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรตู้ ามจุดประสงคท์ ก่ี ําหนดไวห้ รอื ไม่ และมากน้อยเพยี งใด 2. ขนั้ สอน ประกอบดว้ ย 2.1 ขนั้ นํา ผสู้ อนอาจใชว้ ธิ ี 1) พมิ พ์ขอ้ ความ หรอื ใชไ้ ฟลบ์ นั ทกึ เสยี ง วดี ทิ ศั น์ การนดั chat เพ่อื ซกั ถามพูดคุยกบั ผเู้ รยี นเพ่อื เตรยี มความพรอ้ มกอ่ นเรมิ่ เรยี น 2) พมิ พข์ อ้ ความ หรอื ใชไ้ ฟลบ์ นั ทกึ เสยี ง วดี ทิ ศั น์ การนดั chat ทบทวนการบรรยายในครงั้ ก่อนเพ่อื เชอ่ื มโยงกบั เร่อื งใหม่ 2.2 ขนั้ อธบิ าย เป็นขนั้ สาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในเน้ือหาทเ่ี รยี น ผสู้ อนควรดาํ เนินการใชก้ จิ กรรมโดยพมิ พข์ อ้ ความ หรอื ใชไ้ ฟลบ์ นั ทกึ เสยี ง วดี ทิ ศั น์ การนดั chat ดงั น้ี 1) บอกโครงเร่อื ง ขอบขา่ ยของเน้ือหา และแจง้ จดุ ประสงคข์ องบทเรยี น 2) อธบิ ายใหช้ ดั เจนตามลาํ ดบั เน้อื หาอย่างต่อเน่ืองกนั 3) สงั เกตปฏกิ ริ ยิ าของผเู้ รยี นตลอดเวลาเพอ่ื การยา้ํ ซา้ํ หรอื หยุดทบทวนใหม่ 4) ถามคาํ ถามในบางตอนเพอ่ื กระตุน้ ความสนใจของผเู้ รยี นและทดสอบความเขา้ ใจ 5) ยกตวั อย่างประกอบ เพ่อื เพมิ่ ความแจ่มแจง้ ในบทเรยี น อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 47

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอีเลริ นนงิ 2.3 ขนั้ สรุป ผสู้ อนอาจใชว้ ธิ กี ารพมิ พข์ อ้ ความ หรอื ใชไ้ ฟลบ์ นั ทกึ เสยี ง วดี ทิ ศั น์ การนดั chat เพอ่ื 1) สรปุ โยงเน้อื เร่อื งตงั้ แต่ตน้ จนจบ 2) ตงั้ ปญั หาใหผ้ เู้ รยี นไดค้ ดิ วเิ คราะหว์ จิ ารณ์ 3) ฝากปญั หาใหผ้ เู้ รยี นไปคดิ ต่อ 4) เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดซ้ กั ถามปญั หา 5) มอบหมายงานใหผ้ เู้ รยี นไปคน้ ควา้ เพมิ่ เตมิ 6) ควรไดบ้ อกล่วงหน้าถงึ เน้ือหาทจ่ี ะเรยี นในครงั้ ต่อไป 3. ขนั้ ติดตามผล ประกอบดว้ ย 3.1 วดั ผลประเมนิ ผลผเู้ รยี น ผสู้ อนอาจใชว้ ธิ ี 1) ตรวจจากบนั ทกึ ทผ่ี เู้ รยี นสง่ งาน แบบฝึกหดั การบา้ น 2) การตงั้ คาํ ถามในกระดานสนทนา การพมิ พแ์ สดงความคดิ เหน็ 3) ใหท้ าํ ขอ้ ทดสอบ หรอื แบบฝึกหดั เพม่ิ เตมิ 3.2 วดั ผลประเมนิ ผลผสู้ อน อาจใชว้ ธิ ี 1) จดั ทาํ แบบสอบถามใหผ้ เู้ รยี นไดแ้ สดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั วธิ กี ารสอน 2) ใหน้ ําเสนอขอ้ เสนอแนะเพอ่ื เป็นประโยชน์แก่การสอน 3) ใชร้ ะบบ LMS เพ่อื ตรวจสอบพฤตกิ รรมการเรยี นของผเู้ รยี น การเสนอแนะการใช้ เครอ่ื งมืออินเทอรเ์ น็ต (internet tools) ที่เหมาะสมในการเรียนการสอน การสอนอเี ลริ น์ นงิ แบบบรรยาย สามารถใช้ เคร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ต ทเ่ี หมาะสมในการเรยี นการสอน เพ่อื ให้การสอนบรรยายเป็นไปดว้ ยดี ในทน่ี ้ีขอนําเสนอตวั อย่างการกาํ หนดกจิ กรรมการเรยี นกบั เคร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ต ดงั น้ี 1. กจิ กรมเพอ่ื ทราบ ตรวจขอ้ มลู ผเู้ รยี น ความสนใจต่อการเขา้ เรยี น และความสนใจต่อเน้ือหาและ กจิ กรรม สามารถใชเ้ คร่อื งมอื ใน LMS โดยตรง เพ่อื ตรวจสอบความสนใจ การเขา้ ใชง้ านตรวจสอบขอ้ มูล พน้ื ฐาน สถติ กิ ารเขา้ เรยี น 2. การเรยี นจากเน้ือหาและส่อื แบบดิจิตอล สามารถใช้เคร่อื งมอื LMS ท่บี รรจุเน้ือหาดจิ ิตอล สอ่ื ในรูปตวั อกั ษร วดี ทิ ศั น์ มลั ตมิ เี ดยี และใชเ้ คร่อื งมอื ในอนิ เตอรเ์ น็ตภายนอก LMS เพม่ิ เตมิ เช่น Google document, Slider share, Youtube เป็นตน้48 อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอเี ลิรนนิง 3. กจิ กรรมแสดงความคดิ เหน็ , ถามตอบ สามารถใชเ้ คร่อื งมอื เช่น กระดานสนทนา กระดานขา่ วการเกบ็ ขอ้ มลู ผา่ น Social Bookmarking การแสดงกจิ กรรมการเรยี นผ่าน Virtual World เป็นตน้ ภาพที่ 3.3 กจิ กรรมการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิงและเคร่อื งมอื จากระบบจดั การเรยี นการสอน 4. การส่อื สารการเรยี นการสอนและปฏสิ มั พนั ธ์ ดว้ ยเคร่อื งมอื ในระบบ LMS คอื ประกาศรายวชิ ากระดานสนทนา จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-Mail) การประชุมทางไกล อภปิ รายถามตอบผ่านเคร่อื งมอือนิ เทอรเ์ นต็ ผา่ น facebook twitter, skype 5. แนะนําแหล่งเรียนรู้ แหล่งขอ้ มูล เพ่อื ศกึ ษาเพิ่มเติมภายในอินเทอร์เน็ต โดยใช้เคร่อื งมือเชอ่ื มโยงเวบ็ ไซตภ์ ายนอก, wiki Pedia, Blogspot Wordpress แลว้ RSS/fecal นําไปแสดงใน LMS เป็นตน้ อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 49

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอเี ลิรนนิง ภาพที่ 3.4 ตวั อยา่ งหน้ากระดานขา่ วในบทเรยี น และหน้าแนะนําแหล่งเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ50 อเี ลิรนนิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วธิ สี อนแบบอีเลริ นนิง เพอ่ื สรปุ ใหช้ ดั เจนเขา้ ใจงา่ ยขน้ึ สามารถแสดงกจิ กรรมการเรยี นการสอนบรรยายในอเี ลริ น์ นิง และการใชเ้ ครอ่ื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ตไดด้ งั ตารางต่อไปน้ีกิจกรรมการเรยี นการสอน เครอ่ื งมือ / วิธีการ LMS1.ขอ้ มูลพน้ื ฐานผเู้ รยี น ความสนใจต่อการเขา้ เรยี น • การเขา้ ใชง้ าน ( log in)และความสนใจต่อเน้อื หา และกจิ กรรม • โฟลเดอรข์ อ้ มลู ผเู้ รยี น2.การเรยี นจากเน้อื หาและสอ่ื แบบดจิ ติ อล • โปรแกรมเกบ็ สถติ กิ ารเขา้ เรยี น การใชง้ านจากระบบ • โฟลเดอรเ์ น้อื หา และสอ่ื การสอนแบบดจิ ติ อล3.กจิ กรรมการเรยี นโดยการอภปิ ราย • สรา้ งเป็นเอกสาร โดยใช้ Google Docs, Slideshare,แสดงความคดิ เหน็ ถาม-ตอบ4.การสอ่ื สาร/การเรยี นการสอนปฏสิ มั พนั ธ์ Scribd หรอื Everynote • วดิ โี อคลปิ หรอื ศกึ ษาขอ้ มลู เพมิ่ เตมิ จากวดิ โี อคลปิ5.แนะนําแหลง่ เรยี นรแู้ หลง่ ขอ้ มลู เพอ่ื ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ อยา่ ง TeacherTube หรอื YouTube • กระดานสนทนา (web board) กระดานขา่ ว • การสนทนาแบบทนั ทที นั ใด (chat) • เกบ็ ขอ้ มลู ผ่าน Social Bookmarking เชน่ Delicious, Digg, Stumbleupon • แสดงกจิ กรรมการเรยี น Virtual World ผา่ น Second Life • ประกาศรายวชิ า (Bulletin Board )และกระดานสนทนา • จดหมายอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (e-mail) • การประชมุ ทางไกล (video conference) • อภปิ ราย/ถามตอบ facebook ผา่ น Twitter หรอื ผา่ น Skype กไ็ ด้ • เชอ่ื มโยงไปเวบ็ ไซตท์ เ่ี กย่ี วขอ้ ง (web link) • Wikipedia ในการคน้ ควา้ เพมิ่ เตมิ • Blogspot โดยนําองคค์ วามรทู้ ส่ี อน มาเรยี บเรยี งอธบิ าย ไวใ้ น Blog หรอื ใน Wordpress หรอื ทาํ เป็น RSS/Feed แลว้ นําไปแสดงใน moodleภาพที่ 3.5 กจิ กรรมการเรยี นการสอนอเี ลริ น์ นงิ แบบบรรยายและการใชเ้ คร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ นต็ อเี ลริ นนิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice 51

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอเี ลิรนนิง 2. การสอนแบบอภิปราย การประยุกตใ์ ช้วิธีการสอนอภิปรายในการเรียนการสอนแบบอีเลิรน์ นิง การสอนโดยใชก้ ารอภปิ รายในการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง นนั้ มอี งคป์ ระกอบทแ่ี ตกต่างจากการสอนใน หอ้ งเรยี นปกตหิ ลายประการ โดยมรี ปู แบบการอภปิ รายเป็น 2 รปู แบบ คอื 1. การอภปิ รายในอเี ลริ น์ นิงแบบไม่ประสานเวลา (Asynchronous discussion) ทม่ี กี ารกาํ หนด ช่วงเวลาใหผ้ รู้ ว่ มอภปิ รายเขา้ มาอภปิ ราย โดยไม่จะเป็นตอ้ งอย่พู รอ้ มกนั ณ เวลาเดยี วกนั ในขณะอภปิ ราย 2. การอภปิ รายในอเี ลริ น์ นิงแบบประสานเวลา (Synchronous discussion) ทผ่ี รู้ ่วมอภปิ รายเขา้ มาอภิปรายอย่พู รอ้ มกนั ณ เวลาเดยี วกนั ในขณะอภปิ ราย ซ่งึ รูปแบบน้ีจะใกล้เคยี งกบั การอภิปรายในชนั้ เรยี น เพยี งแต่สอ่ื สารผา่ นเทคโนโลยแี ละผรู้ ่วมอภปิ รายอยคู่ นละสถานทไ่ี ด้ ภาพท่ี 3.6 การอภปิ รายในการสอนอเี ลริ น์ นงิ52 อีเลริ นนิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ น นิงวิธีการสอนอภิปรายในการสอนแบบอีเลิรน์ นิง วิธีการสอนแบบอภิปราย เป็น วิธีการสอนท่ีให้ผู้เรียนสนทนาแลกเปล่ียนความคิดเห็น ผ่านกระบวนการสนทนา ชแ้ี จงเหตุผล ความรแู้ ละประสบการณ์ หรอื พจิ ารณาหวั ขอ้ ทก่ี ลุ่มสนใจร่วมกนั ระหว่างนกั เรยี นกบั นกั เรยี น หรอื ครกู บั นกั เรยี น สามารถอภปิ รายเป็นรายบุคคล เป็นกลุม่ เลก็ หรอื เป็นกลมุ่ ใหญ่กไ็ ด้โดยมขี นั้ ตอนการสอน ดงั น้ีขนั้ เตรียมการอภิปราย โดยการเตรยี มหวั ขอ้ หรอื ประเดน็ อภปิ ราย อาจใหผ้ เู้ รยี นร่วมกําหนดประเดน็ การอภปิ รายได้ เลือกรูปแบบการอภิปรายให้สอดคล้องเหมาะสมกบั จุดประสงค์ของการเรียน กําหนดบทบาทหน้าท่ที ่ีจําเป็นในการอภปิ รายแก่ผเู้ รยี น เตรยี มความพรอ้ มแก่ผู้เรยี นเกย่ี วกบั บทบาทหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบของผูเ้ รยี น ก่อนเรมิ่การอภปิ ราย และมอบหมายใหผ้ เู้ รยี นไปศกึ ษาคน้ ควา้ เน้ือหาสาระ ประเดน็ ความคดิ สาํ คญั ในการอภปิ รายขนั้ ดาํ เนิ นการอภิปราย โดยผู้สอนบอกหวั ขอ้ ประเดน็ และจดุ ประสงค์การอภปิ ราย พรอ้ มกบั เง่อื นไขหลกั เกณฑ์การอภปิ ราย และดําเนินการอภิปราย ใหผ้ เู้ รยี นพูดคุยแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ ตามประเดน็ อภปิ ราย โดยผู้สอนทําหน้าท่ีในการคอยดูแลอยู่ห่างๆ กระตุ้นให้กําลงั ใจ และให้คําแนะนําเม่อื ผู้เรียนต้องการ โดยไม่เข้าไปกํากบั หรือแทรกแซงผเู้ รยี นขณะการอภปิ รายเขปนั้ ิดสโอรปกุ าทสําใกหา้ผรูฟ้ สงั รซุปกั ผถลามกาผรสู้ ออภนิปถราามยคําผถู้สาอมนผใูอ้ หภผ้ ปิ ู้เรรยีายนไสดรใุ้ปนผสลากราะสรอาํ คภญัปิ รทา่ีตยอ้ งนกําาเสรในหอผ้ ผูเ้ ลรยีกนารไอดภร้ บัิปรแาลยะตช่อ่วทย่ีปอธรบะิ ชาุมยใหเ้ กดิ ความกระจา่ งในเน้ือหาบางตอนได้สรปุ บทเรียน ผู้สอนเป็นผู้สรุปเช่ือมโยงเน้ือหาสาระสําคญั จากการอภปิ รายกบั บทเรยี นท่ีกําลงั เรียนรู้ โดยเสริมข้อคิดแทรกความรู้ ย้ําประเดน็ สําคญั และสรุปแนวคดิ หลกั ให้แก่ผู้เรยี น ตลอดจนแนวทางการนําความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในชวี ติประเมินผลการเรียน ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้และผลการอภิปรายภายหลงั ส้ินสุดบทเรียน โดยประเมินครอบคลุมถงึ เน้ือหา หวั ขอ้ การอภิปราย จุดประสงค์ รูปแบบพฤติกรรมของผูเ้ รยี น บรรยากาศ สง่ิ แวดลอ้ มต่าง ๆในการอภปิ ราย ฯลฯ เพ่อื เป็นขอ้ มลู ในการปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนดว้ ยวธิ กี ารอภปิ รายครงั้ ตอ่ ไป อีเลริ นนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 53

บทท่ี 3 วธิ ีสอนแบบอีเลิรน นงิ บทบาทผสู้ อนและผเู้ รยี นในการสอนโดยใช้การอภิปรายในอีเลิรน์ นิง บทบาทผสู้ อน จากขนั้ ตอนการสอนโดยใช้การอภิปรายท่ีได้นําเสนอในข้างต้น สรุปได้ว่าผู้สอนมีบทบาท ในขนั้ ตอนต่างๆ ของการสอน ดงั น้ี 1. เตรียมการอภิปราย โดยการเตรยี มหวั ขอ้ หรอื ประเดน็ อภปิ ราย อาจให้ผู้เรยี นร่วมกําหนด ประเด็นการอภิปรายได้ เลือกรูปแบบการอภิปรายให้สอดคล้องเหมาะสมกับจุดประสงค์ของการเรียน กาํ หนดบทบาทหน้าทท่ี จ่ี าํ เป็นในการอภปิ รายแกผ่ เู้ รยี น เตรยี มความพรอ้ มแก่ผเู้ รยี นเกย่ี วกบั บทบาทหน้าท่ี ความรบั ผดิ ชอบของผู้เรยี น ก่อนเริ่มการอภปิ ราย และมอบหมายให้ผู้เรยี นไปศกึ ษาค้นคว้าเน้ือหาสาระ ประเดน็ ความคดิ สาํ คญั ในการอภปิ ราย 2. ดาํ เนินการอภิปราย โดยผสู้ อนบอกหวั ขอ้ ประเดน็ และจุดประสงคก์ ารอภปิ ราย พรอ้ มกบั เง่ือนไขหลกั เกณฑ์การอภิปราย และดําเนินการอภิปราย ให้ผู้เรยี นพูดคุยแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ ตาม ประเดน็ อภปิ ราย โดยผสู้ อนทาํ หน้าทใ่ี นการคอยดแู ลอยหู่ า่ ง ๆ กระตุน้ ใหก้ ําลงั ใจ และใหค้ าํ แนะนําเม่อื ผูเ้ รยี น ตอ้ งการ โดยไมเ่ ขา้ ไปกาํ กบั หรอื แทรกแซงผเู้ รยี นขณะการอภปิ ราย 3. ขนั้ สรปุ 3.1 สรุปผลการอภิปราย ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นสรุปผลการอภปิ ราย นําเสนอผลการอภปิ รายต่อ ทป่ี ระชุม เปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั ซกั ถาม ผสู้ อนถามคาํ ถามผอู้ ภปิ รายไดใ้ นสาระสาํ คญั ทต่ี ้องการใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั และชว่ ยอธบิ ายใหเ้ กดิ ความกระจ่างในเน้อื หาบางตอนได้ 3.2 สรุปบทเรยี น ผสู้ อนเป็นผสู้ รุปเช่อื มโยงเน้ือหาสาระสาํ คญั จากการอภปิ รายกบั บทเรยี น ทก่ี ําลงั เรยี นรู้ โดยเสรมิ ขอ้ คดิ แทรกความรู้ ย้ําประเดน็ สาํ คญั และสรุปแนวคดิ หลกั ใหแ้ ก่ผู้เรยี น ตลอดจน แนวทางการนําความรไู้ ปใชเ้ ป็นประโยชน์ในชวี ติ 3.3 ประเมนิ ผลการเรยี น ผูส้ อนประเมนิ ผลการเรยี นรูแ้ ละผลการอภิปรายภายหลงั สน้ิ สุด บทเรยี น โดยประเมนิ ครอบคลุมถึงเน้ือหา หวั ขอ้ การอภิปราย จุดประสงค์ รูปแบบพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี น บรรยากาศ สงิ่ แวดลอ้ มต่าง ๆ ในการอภปิ ราย ฯลฯ เพ่อื เป็นขอ้ มูลในการปรบั ปรุงการเรยี นการสอนด้วย วธิ กี ารอภปิ รายครงั้ ต่อไป Christensen (1991) กล่าวว่า การสอนโดยใช้การอภิปรายอาจจะทําให้ผูส้ อนมภี าระมากขน้ึ ใน ช่วงแรก เช่น การเตรยี มพรอ้ มท่มี ีประสทิ ธิภาพสาํ หรบั การอภปิ รายในห้องเรยี นอาจจะใชเ้ วลานานกว่า การสอนแบบดงั้ เดมิ เน่อื งจากผสู้ อนไม่เพยี งแต่จะต้องคาํ นึงถงึ สง่ิ ทส่ี อน แต่ยงั ต้องตระหนกั ว่ากาํ ลงั จะสอน ใครและอย่างไร และการสอนในหอ้ งเรยี นกต็ อ้ งใชพ้ ลงั งานมากกว่าปกติ จะตอ้ งดงึ ความสนใจไวต้ ลอดเวลา (กจิ กรรมท่ตี ่อเน่ืองในการอภปิ ราย) และเน้ือหา (ทรพั ยากรในการอภิปราย) จะต้องมกี ารผู้มดั ทงั้ ในเร่อื ง ปญั ญา และอารมณ์ การนําการอภิปรายท่ีมีประสิทธิภาพนัน้ จะต้องมีความสามารถทัง้ สองด้านน้ี และจะสาํ เรจ็ ไดก้ ด็ ว้ ยความอดทนเท่านนั้54 อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วิธสี อนแบบอีเลิรน นงิสาํ หรบั ขอ้ ดีและข้อจาํ กดั ของการเรยี นการสอนอภิปรายในการสอนแบบอีเลิรน์ นิงสามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ขอ้ ดี 1. ทุกขอ้ ความการอภปิ รายถูกเกบ็ อย่ใู นระบบ (System Keep Log) อ่านยอ้ นหลงั ได้ (ผูร้ ่วมอภปิ รายตามประเดน็ ไดท้ นั ทกุ คน ผสู้ อนใชป้ ระเมนิ ผลการทาํ งานกลุ่มและการเรยี นรไู้ ด)้ 2. สมาชกิ มสี ทิ ธเิ ท่าเทยี มในการอภิปราย (Equally and All) และทุกคนได้อภิปรายทวั่ ถึงเน่อื งจากเป็นการอภปิ รายผา่ นเทคโนโลยี ผรู้ ว่ มอภปิ รายทค่ี ดิ เรว็ พดู เรว็ เสยี งดงั ไม่ไดม้ อี ทิ ธพิ ลเหนือผรู้ ่วมอภปิ รายอ่นื ๆ 3. สมาชกิ กลุ่มจะอย่ทู ใ่ี ด และเวลาแตกต่างอย่างไร (Any place / Any Time) กเ็ ขา้ ร่วมการสอนโดยใชก้ ารอภปิ รายได้ 4. ผรู้ ่วมอภปิ รายสามารถอา้ งองิ และใชส้ ่อื มลั ตมิ เี ดยี (Multimedia / Rich resources) ร่วมในการอภปิ รายไดก้ วา้ งขวางขอ้ จาํ กดั 1. การส่อื สารผ่านเทคโนโลยี ไม่คล่องตวั เหมอื นการส่อื สารแบบธรรมชาติ และบางคนอาจจะมีอุปสรรค เชน่ ไม่สามารถพมิ พแ์ ป้นพมิ พไ์ ดเ้ รว็ หรอื ทกั ษะดา้ นเทคโนโลยไี ม่มาก เป็นตน้ 2. เวลาทใ่ี ชใ้ นการอภปิ รายมมี ากขน้ึ แต่ตอ้ งกาํ กบั และบรหิ ารเวลาใหด้ ี 3. สภาพแวดลอ้ มในการส่อื สาร เป็นการส่อื สารผ่านเทคโนโลยี และอาจจะเป็นการส่อื สารคนละเวลา การนดั หมายอาจจะตอ้ งคาํ นึงถงึ ความแตกต่างของเวลา 4. การตคี วามหมายขอ้ ความอาจจะคลาดเคล่อื น (ไม่มี อวจนภาษา มแี ต่ วจนภาษา ผ่านตวั อกั ษรและเสยี ง) 5. การบรหิ ารกลุม่ ยากขน้ึ (ไมไ่ ดน้ งั่ อยดู่ ว้ ยกนั ) 6. ขาดความรสู้ กึ รว่ มกลมุ่ (sense of group / sense of community) 7. ขาดแรงจงู ใจจากบรรยากาศของการร่วมอภปิ รายแบบเหน็ หน้า (lack of face to face motivation)บทบาทผเู้ รยี น ผเู้ รยี นมบี ทบาทในเตรยี มตวั และเตรยี มความพรอ้ มก่อนการอภปิ รายดว้ ยการศกึ ษาคน้ ควา้ เน้ือหาสาระ ประเดน็ การอภิปราย ศกึ ษาบทบาทหน้าท่คี วามรบั ผดิ ชอบของตนในการอภปิ ราย วธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นในการร่วมอภปิ รายอย่างถูกตอ้ งเหมาะสม ผเู้ รยี นอาจร่วมกาํ หนดประเดน็ การอภปิ รายและร่วมวางแผนงานในการอภิปรายร่วมกบั ผู้สอนได้ ในขณะการอภปิ รายผู้เรียนร่วมอภิปรายพูดคุยแลกเปล่ยี นแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกบั สง่ิ ท่ีเรียนหรอื สงิ่ ท่ีไปศึกษาค้นคว้ามาตามบทบาทหน้าท่ขี องตน สรุปผลการอภิปรายนําเสนอผลการอภิปรายต่อท่ปี ระชุม เปิดโอกาสให้ผู้ฟงั ซกั ถาม และสรุปบทเรียนร่วมกบั ผูส้ อน (บุญชมศรสี ะอาด, 2537: 53, อจั ฉรา ประไพตระกลู , 2548: 30, อาภรณ์ ใจเทย่ี ง, 2550: 146-148) และทศิ นาแขมมณี, 2551: 347-349) อีเลิรน นิง: จากทฤษฎสี กู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 55

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ น นิง การเสนอแนะการใช้ เครอ่ื งมอื อินเทอรเ์ น็ต (internet tools) ท่ีเหมาะสมในการอภิปราย 1) Groupmail (สาํ หรบั การอภปิ ราย ในกรณที ไ่ี ม่สะดวกใชเ้ ครอ่ื งมอื อ่นื ๆ ในการอภปิ ราย) 2) Webboard (สาํ หรบั การอภปิ ราย) 3) Chat (Text / Voice / Video) (สาํ หรบั การทําความเขา้ ใจในประเดน็ ทแ่ี ตกต่าง สาํ หรบั การสรุป การอภปิ ราย) 4) Wiki (สาํ หรบั การชว่ ยกนั สรปุ รายงานการอภปิ ราย) 5) Poll (สาํ หรบั การลงคะแนนเสยี ง หากมคี วามคดิ เหน็ แตกต่างกนั ชดั เจน) 6) Web 2.0 Tools ต่าง ๆ (Secondlife / Facebook / Twitter) เพ่อื ใหข้ อ้ มลู ลา่ สดุ และกระตุน้ การเขา้ ร่วมการอภปิ ราย ภาพที่ 3.7 เคร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ นต็56 อีเลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ น นงิ 3. การสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลกั (Problem-Based Learning) ในช่วงเวลาท่ีผ่านมามีทฤษฎีการเรียนรู้เกิดข้ึนหลายทฤษฎี ทฤษฎีท่ีได้รับความสนใจมากในปจั จุบนั คอื ทฤษฎกี ารเรยี นรคู้ อนสตรคั ตวิ สิ ม์ (Constructivist Learning Theory) ซง่ึ เช่อื ว่าการเรยี นรู้จะเกดิ ขน้ึ เม่อื ผเู้ รยี นไดส้ รา้ งความรูท้ เ่ี ป็นของตนเองขน้ึ มาจากความรทู้ ม่ี อี ย่เู ดมิ หรอื จากความรทู้ ร่ี บั เขา้ มาใหม่ แนวคดิ น้เี ป็นแนวคดิ หลกั ของการเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั มรี ปู แบบการเรยี นรทู้ เ่ี กดิ จากแนวคดิ น้ีหลายรูปแบบ เช่น การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนรู้แบบช่วยเหลอื กัน(Collaborative learning) การเรยี นรโู้ ดยการคน้ ควา้ อสิ ระ (Independent investigation method) และการเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นหลกั (Problem-based learning) การเรยี นแบบใช้ปญั หาเป็นหลกั เป็นการเรยี นท่เี น้นผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง การเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ จากการเสาะแสวงหาความรเู้ พ่อื มาใชแ้ กป้ ญั หาทไ่ี ดร้ บั มอบหมายอย่างมกี ระบวนการและขนั้ ตอนทางวทิ ยาศาสตรท์ ําให้ได้มาซง่ึ ความรทู้ ่ที นั ต่อเหตุการณ์และเป็นความรูท้ ่ีผู้เรียนนําไปใช้ได้จริงพัฒนาทกั ษะในการแก้ปญั หาร่วมกัน เพ่อื แก้ปญั หาดงั กล่าวเกิดโดยแนวทฤษฎีการเรยี นรู้คอนสตรคั ตวิ สิ ม์ (Contructivism) โดยใหผ้ ู้เรยี นสร้างองค์ความรู้ใหม่จากปญั หาและโลกของความเป็นจรงิ โดยครผู สู้ อนจะเปลย่ี นบทบาทเพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ทกั ษะการเรยี นรู้ การคดิ การวเิ คราะห์ และการแกป้ ญั หา นอกจากน้ีรปู แบบของกระบวนการเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลกั สามารถทจ่ี ะพฒั นาในเร่อื งทกั ษะการสอ่ื สารของผเู้ รยี น การทาํ งานร่วมกนั เป็นทมี ไดอ้ กี ดว้ ยวิธีการสอนแบบใช้ปัญหาเป็ นหลกั • ผู้สอนมหี น้าทอ่ี อกแบบกจิ กรรมในรูปแบบของการกําหนดโจทย์หรอื ปญั หา (Problem) รวมทงั้ ผสู้ อนมหี น้าทจ่ี ดั การเตรยี มแหลง่ เรยี นรตู้ ่าง ๆ (Learning Resource) ผสู้ อนในกระบวนการเรยี น การสอนแบบ Problem Based Learning จะเป็นผูอ้ ํานวยความสะดวกใหแ้ ก่ผูเ้ รยี นในชนั้ เรยี น (Facilitator) • Problem Based Learning เน้นการเรยี นการสอนแบบกลุ่ม โดยอาจจะมกี ารแบ่งสมาชกิ ภายใน กลุ่ม 6-8 คน ซง่ึ มกี ารแบ่งหน้าทข่ี องสมาชกิ ในกลุ่ม โดยจะมี Facilitator คอยใหค้ ําแนะนํา ชแ้ี นะ เกย่ี วกบั ปญั หาทต่ี งั้ ไว้ เช่น - ผเู้ รยี นวเิ คราะหไ์ ดถ้ กู ทางหรอื ไม่ - ออกนอกประเดน็ หรอื ไม่ - การกาํ หนด Scenario ว่าจะใหผ้ เู้ รยี นไปอยา่ งไร - Learning Outcome จากปญั หาทต่ี อ้ งการน้คี อื อะไร - Learning Issue ทใ่ี หแ้ กผ่ เู้ รยี น ผเู้ รยี นจะตอ้ งไปคน้ ควา้ อะไรเพมิ่ เตมิ - วธิ กี ารแกป้ ญั หาทน่ี กั เรยี นศกึ ษาคน้ ควา้ มานนั้ จะสามารถแกป้ ญั หาไดห้ รอื ไม่ - แนวทางในการแกป้ ญั หา เป็นตน้ อีเลริ นนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 57

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอีเลิรน นงิ ขนั้ ตอนการจดั การการเรยี นการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลกั มีดงั นี้ 1. ขนั้ กาํ หนดปญั หา 1.1 เตรยี มแหลง่ การเรยี นร/ู้ ขอ้ มลู 1.2 เตรยี มประเดน็ ปญั หา กรณตี วั อยา่ ง 1.3 กาํ หนดหวั เร่อื ง เป็นสงิ่ ทผ่ี เู้ รยี นสนใจและสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์การสอนของผสู้ อน 1.4 ประเดน็ การเรยี นรู้ เพ่อื ใหค้ วามรจู้ ากสภาพจรงิ 1.5 ใหผ้ เู้ รยี นวเิ คราะหข์ อ้ มลู จากปญั หา 1.6 ขอ้ เทจ็ จรงิ ทก่ี าํ หนด 2. ขนั้ รวบรวมวเิ คราะหข์ อ้ มลู แนวคดิ ในการทจ่ี ะแกป้ ญั หาหรอื สาเหตุทเ่ี ป็นไปไดข้ องปญั หา 2.1 รวบรวมขอ้ มลู และการคน้ ควา้ เพมิ่ เตมิ 2.2 รวบรวมความคดิ ผเู้ รยี น/ ระดมความคดิ เหน็ 2.3 การสาํ รวจและรวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปญั หา 2.4 วเิ คราะหข์ อ้ มลู / ทาํ แผนขอ้ มลู 2.5 รา่ งความคดิ / สรา้ งตน้ แบบ 3. ขนั้ เลอื กแนวทางสาํ หรบั แกป้ ญั หาและการเรยี นรู้ 3.1 ผเู้ รยี นรว่ มกนั แลกเปลย่ี นความรรู้ ะหวา่ งกนั ผ่านเคร่อื งมอื การสอ่ื สารออนไลน์ 3.2 ชแ้ี นะแนวทางการเลอื กระหวา่ งผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี น หรอื ผสู้ อน 3.3 ผเู้ รยี นรว่ มกนั แลกเปลย่ี นความรรู้ ะหว่างกนั ผา่ นเคร่อื งมอื การส่อื สารทางอนิ เทอรเ์ น็ต 3.4 ชแ้ี นะแนวทางการเลอื กระหวา่ งผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี น หรอื ผสู้ อน 4. ขนั้ กาํ หนดประเดน็ คน้ หาความรเู้ พม่ิ เตมิ เพอ่ื แกป้ ญั หา 4.1 ช่วยผเู้ รยี นกาํ หนดจุดมงุ่ หมาย ขอบเขตการศกึ ษา 4.2 ผเู้ รยี นเลอื กแหลง่ ขอ้ มลู ทจ่ี ะไปคน้ หา 4.3 กาํ หนดวตั ถุประสงคแ์ นวคดิ วธิ กี ารแกป้ ญั หา 4.4 วางแผนการเรยี นรแู้ บบนําตนเอง/ การเรยี นรรู้ ่วมกนั 5. ขนั้ กาํ หนดแผนหรอื วธิ กี ารทจ่ี ะไดม้ าซง่ึ ขอ้ มลู ในการแกป้ ญั หานนั้ ระบุแหลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นไปได้ 5.1 ดาํ เนินการตามกจิ กรรมทไ่ี ดว้ างแผนไว้ 5.2 ดาํ เนินการเรยี น ดาํ เนินกจิ กรรมการเรยี นรรู้ ว่ มกนั 5.3 ปฏบิ ตั กิ ารเรยี นรรู้ ว่ มกนั โดยมผี สู้ อนกาํ กบั ดแู ลและใหข้ อ้ เสนอแนะจากผเู้ รยี น และผสู้ อน 5.4 การมเี อกสารคมู่ อื และเคร่อื งมอื ต่าง ๆ สนบั สนุนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองออนไลน์58 อเี ลิรนนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ นนิง6. ขนั้ สรปุ ผล/การนําเสนอผลงาน 6.1 ผเู้ รยี นนําเสนอผลงานออนไลน์ 6.2 ประเมนิ ผลงานโดยผสู้ อน 6.3 ผสู้ อนตรวจสอบผลงานเสนอแนะขอ้ บกพรอ่ งเพอ่ื ปรบั ปรงุ ภาพท่ี 3.8 การสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นหลกัการประยกุ ตใ์ ช้วิธีการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลกั ในการเรียนการสอนแบบอีเลิรน์ นิง 1. เน้นการจดั การเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั ใหไ้ ดส้ รา้ งการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง โดยใช้รปู แบบกจิ กรรมการเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลกั โดยมกี ารกาํ หนดปญั หา ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทร่ี ะบุมกี ารเช่อื มโยงความรู้ ประสบการณ์เดมิ แนวคดิ ในการทจ่ี ะแกป้ ญั หาหรอื สาเหตุทเ่ี ป็นไปได้ของปญั หาประเดน็ ความรู้ท่ีต้องไปหาข้อมูลเพมิ่ เติมเพ่อื ท่จี ะจดั การกบั ปญั หานัน้ และแผนหรือวธิ กี ารท่จี ะได้มาซง่ึ ขอ้ มลู ในการแกป้ ญั หานนั้ ระบุแหล่งขอ้ มลู ทเ่ี ป็นไปไดก้ บั การแสวงหาความรใู้ หม่และประสบการณ์ใหม่ท่ีไดม้ าจากการเรยี นรจู้ ากสภาพปญั หาจรงิ 2. ใหผ้ เู้ รยี นไดม้ โี อกาสคน้ หา ความรใู้ นเร่อื งทเ่ี ป็นปญั หาทส่ี นใจจากการคน้ พบตนเองและเรยี นรแู้ บบนําตนเองดว้ ยการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต่าง ๆ การเรยี นรรู้ ่วมกนั ระหวา่ งผเู้ รยี น โดยครเู ป็นผชู้ แ้ี นะแนวทางช่วยเหลอื อาํ นวยความสะดวก (Facilitator) ในการจดั การเรยี นรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รยี นและกระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นได้คดิ ไดป้ ฏบิ ตั ใิ นแต่ละขนั้ ตอน อเี ลริ นนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice 59

บทท่ี 3 วิธีสอนแบบอีเลิรน นิง 3. ผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากสภาพปญั หาทพ่ี บ ผ่านการวเิ คราะห์ การทํางานร่วมกนั ภายใต้ กระบวนการเรยี นรแู้ บบกลุ่ม โดยการทํากจิ กรรมการเรยี นรรู้ ่วมกนั ผ่านระบบขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ตแลกเปลย่ี น ความรู้ แสดงความคดิ เหน็ ผ่านช่องทางการส่อื สารบนเครอื ข่ายอนิ เตอรเ์ น็ต รวมถงึ การสบื คน้ ขอ้ มลู และ การเชอ่ื มโยงขอ้ มลู ไปสแู่ หลง่ การเรยี นรอู้ ่นื ๆ - เน้นผเู้ รยี นเป็นสาํ คญั - เป็นการเรยี นแบบร่วมมอื (Cooperative Learning) - การชว่ ยเหลอื กนั แบบกลมุ่ ยอ่ ย - บทบาทของครผู สู้ อนเป็นผอู้ าํ นวยความสะดวก (Facilitator) - กระบวนการกลุ่มดาํ เนนิ การโดยผเู้ รยี น ผสู้ อนทาํ หน้าทส่ี งั เกต ใหค้ าํ ชแ้ี นะ คาํ แนะนําและ คาํ ปรกึ ษา - เป็นการบรู ณาการเน้อื หาความรตู้ ่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั - เน้นทกั ษะการคดิ การคน้ ควา้ การสอ่ื สารและการแกป้ ญั หา ภาพที่ 3.9 การสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นหลกั ในการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง60 อเี ลิรนนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วธิ ีสอนแบบอเี ลริ น นิง ภาพที่ 3.10 ตวั อยา่ งบทเรยี นเร่อื งการสอนโดยใชป้ ญั หาเป็นหลกั ทม่ี า: www.thaicyberu.go.thผลท่ีได้รบั จากการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลกั - ผเู้ รยี นมที กั ษะในการสอ่ื สารและทกั ษะการทาํ งานรว่ มกนั - ทกั ษะการแกป้ ญั หา - เกดิ คุณลกั ษณะการเรยี นรแู้ บบนําตนเองบทบาทผสู้ อน ผเู้ รียนในห้องเรียน • ขนั้ สอน - การดาํ เนินกจิ กรรมโดยผ่านระบบอนิ เทอรเ์ นต็ - ศกึ ษาประเดน็ ปญั หาในรปู แบบของเอกสาร เช่น Microsoft Word, Power Point หรอื PDF File - สมาชกิ ในกลุ่มสรา้ งความสมั พนั ธก์ นั โดยการใชเ้ คร่อื งมอื ต่าง ๆ บนอนิ เทอรเ์ น็ต เช่น Web board, Chat room และ Conference - ครผู สู้ อนเป็นผกู้ ระตุน้ ใหค้ าํ แนะนํา คาํ ชแ้ี นะ สง่ เสรมิ และสนบั สนุน เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นบรรลุเป้าหมาย ทไ่ี ดก้ าํ หนดไว้ - กาํ หนดแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ ทอ่ี ย่บู นระบบอนิ เทอรเ์ น็ต - รวบรวมความรู้ - เลอื กวธิ กี ารแกป้ ญั หา อีเลริ นนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 61

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอีเลิรน นงิ • ขนั้ หลงั เรยี น - เกบ็ ขอ้ มลู ไวใ้ นระบบโดยอาจใชเ้ คร่อื งมอื ต่าง ๆ เช่น Blog หรอื Social Media เขา้ มาช่วย ในการวิเคราะห์ปญั หา การศกึ ษาค้นคว้า การทํางานร่วมกนั และการติดตามพฤติกรรม ผเู้ รยี นตลอดเวลา กิจกรรมการเรยี นการสอน - การเตรยี มผเู้ รยี น ขอ้ มลู พน้ื ฐานผเู้ รยี น - การวเิ คราะหป์ ญั หา โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื เช่น Web board, Chat room เป็นตน้ - การศกึ ษาแหล่งเรยี นรตู้ ่างๆ ผา่ น Web link หรอื Web bookmark - กจิ กรรมการแสดงความคดิ เหน็ การอภปิ ราย ผ่าน Web board, Chat room หรอื Web blog - การสอ่ื สารหรอื การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ ผ่านทางประกาศขา่ ว, กระดานสนทนา, e-mail หรอื Video Conference - การวดั ประเมนิ ผล โดยอาจใหผ้ เู้ รยี นสง่ เป็นไฟลท์ วั่ ไป หรอื เป็น Portfolio หรอื ผา่ นทาง Blog 3) กิจกรรมการสอน ขนั้ ตอนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลกั ประกอบด้วย ขนั้ ท่ี 1 จดั กระบวนการกล่มุ - แนะนําสมาชกิ - อธบิ ายกฎและสง่ิ ทต่ี อ้ งดาํ เนินการ - อธบิ ายรายละเอยี ดหน้าทข่ี องผอู้ าํ นวยความสะดวกและนกั ศกึ ษา ขนั้ ท่ี 2 ขยายรายละเอยี ดของปญั หา - นําเสนอปญั หา - ทาํ ความเขา้ ใจและทาํ ความกระจา่ ง กบั ปญั หา - อธบิ ายปญั หา ขนั้ ท่ี 3 สรา้ ง และขยายแนวคดิ - วตั ถุประสงคข์ องแนวคดิ ในการทาํ ความเขา้ ใจและแกไ้ ขปญั หาทไ่ี ดร้ บั ขนั้ ท่ี 4 หวั ขอ้ ในการเรยี นรู้ - กาํ หนดสงิ่ ทต่ี อ้ งการรู้ และวธิ กี ารเรยี นรใู้ นการทาํ ความเขา้ ใจและแกป้ ญั หา - กาํ หนดประเดน็ ทต่ี อ้ งการเรยี นรู้ - หาแนวคดิ ในการทาํ แผนปฏบิ ตั กิ าร - ไต่สวนหรอื คน้ ควา้ ถงึ แห่งขอ้ มลู ขนั้ ท่ี 5 เรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง - คน้ หาและสรุปขอ้ มลู ใหต้ รงกนั62 อเี ลริ น นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วิธีสอนแบบอีเลิรนนิง ขนั้ ท่ี 6 สงั เคราะหแ์ ละนํามาใช้ - ประเมนิ แหลง่ ทรพั ยากรการเรยี น สาํ หรบั ความเชอ่ื มนั่ และเทย่ี งตรง - ดาํ เนินการเปรยี บเทยี บระหวา่ งขอ้ มลู ทน่ี ํามาร่วมกนั - สงั เคราะห์ และประยกุ ตค์ วามรใู้ หม่กบั การแกป้ ญั หา - พฒั นา ประเดน็ ต่าง ๆ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั - อภปิ ราย พฒั นาและตดั สนิ วธิ กี ารแกป้ ญั หา ขนั้ ท่ี 7 สะทอ้ นและตอบกลบั - ตอบกลบั ถึงวธิ ีการแก้ปญั หาของตัวเองและของกลุ่ม ขบวนการในการแก้ปญั หาสร้าง การเรียนรู้และวิธีการในการอํานวยความสะดวกของผู้อํานวยความสะดวกในการเรียนรู้ การดาํ เนนิ การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลน์แบบใชป้ ญั หาเป็นหลกั ประกอบดว้ ย - การเตรยี มผเู้ รยี น ขอ้ มลู พน้ื ฐานผเู้ รยี น - การวเิ คราะหป์ ญั หา โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื เช่น Web board, Chat room เป็นตน้ - การศกึ ษาแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ ผ่าน Web link หรอื Web bookmark - กจิ กรรมการแสดงความคดิ เหน็ การอภปิ ราย ผ่าน Web board, Chat room หรอื Web blog - การสอ่ื สารหรอื การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ ผ่านทางประกาศขา่ ว, กระดานสนทนา, e-mail หรอื Video Conference - การวดั ประเมนิ ผล โดยอาจใหผ้ เู้ รยี นสง่ เป็นไฟลท์ วั่ ไป หรอื เป็น Portfolio หรอื ผา่ นทาง Blogกิจกรรมปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รยี น/ผเู้ รยี น ผเู้ รยี น/ผสู้ อน ผ้สู อน/บทเรียน - การแลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ หรอื การอภปิ รายผ่าน Web board, Chat room, Web blog, Video Conferenceการเสนอแนะการใช้เครอ่ื งมอื อินเทอรเ์ น็ต (internet tools) ที่เหมาะสมในการสอนแบบปัญหาเป็นหลกั เคร่ืองมือทางอินเทอร์เน็ตท่ีใช้ร่วมกับการจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลักประกอบดว้ ย - เวบ็ ไซตแ์ หลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ งต่าง ๆ (Weblink) - กระดานสนทนา (Web board), หอ้ งสนทนา (Chat room), เวบ็ บลอ็ ก (Web blog), การพดู คุยประชมุ ผา่ นจอภาพ (Video Conference) - การสง่ จดหมายอเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-mail) อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 63

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอเี ลิรนนงิ 4. การสอนแบบโครงการ การสอนแบบโครงการ (Project-based Learning) มรี ากฐานมาจากปรชั ญาและการศกึ ษา เชงิ ประสบการณ์ ของ John Dewey และแนวคดิ การศกึ ษาแบบพพิ ฒั นาการ (Progressive Education) ซง่ึ เช่อื ว่าการศกึ ษาเป็นการสรา้ งประสบการณ์ชวี ติ ทต่ี ่อเน่ืองโดยมผี เู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง (Buck Institute for Education อา้ งถึงใน Coffey, 2008) นอกจากน้ี Grant (2002) ไดก้ ล่าวเสรมิ ว่า การสอนแบบโครงการ มที ฤษฎรี ากฐานจาก ทฤษฎีสรรคนิยม (Constructivism) ทฤษฎกี ารสร้างสรรค์ความรู้ (Constructionism) และทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ บบร่วมมอื (Cooperative Learning) โดยการสอนแบบโครงการนนั้ เป็นการเรยี นรู้ ทส่ี ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ และลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ว้ ยตนเองตามความสนใจ ความถนดั และความสามารถ ของผู้เรียนผ่านกิจกรรมท่ีเช่ือมโยงกบั ชีวิตจริง ภายใต้การทํางานร่วมกนั เป็นทีมและการดูแลและให้ คําแนะนําจากผสู้ อน การประเมนิ ผลของการเรยี นในรูปแบบน้ีมกั อย่ใู นรูปของผลงานและกระบวนการซ่งึ นิยมประเมินผลด้วยตารางรูบริค ส่งผลให้การเรียนในรูปแบบน้ีจะเสริมสร้างการใฝ่รู้ (Inquiry mind) กระบวนการคดิ (Thinking process) ตลอดจนกระบวนการการแกป้ ญั หา (Problem solving skill) ใหแ้ ก่ ผเู้ รยี นไดเ้ ป็นอย่างดี การประยุกตใ์ ช้การสอนแบบโครงการในการเรียนการสอนแบบอีเลิรน์ นิง การจดั การเรยี นรแู้ บบโครงการ (Project-Based Learning) เป็นการจดั การเรยี นรทู้ เ่ี น้นผเู้ รยี นเป็น สาํ คญั โดยผเู้ รยี นไดเ้ รยี นรใู้ นความรคู้ วามเขา้ ใจในความคดิ รวบยอดและหลกั การทส่ี าํ คญั ผ่านกระบวนการ เสาะแสวงหาความรู้ ค้นคว้า ปฏิบตั ิ และสร้างผลงานด้วยตนเองภายใต้คําแนะนําของผู้สอน การจัด การเรยี นรใู้ นรปู แบบน้ี ผเู้ รยี นจะเกดิ การเรยี นรจู้ ากประสบการณ์จรงิ จากกจิ กรรมการร่วมมอื กนั ทําโครงการ ทเ่ี ลอื กทาํ ตามความสนใจ ซง่ึ ผเู้ รยี นจะไดป้ ระยุกตใ์ ชแ้ ละบรู ณาการความรแู้ ละทกั ษะต่าง ๆ จากหลากหลาย วชิ านําไปสู่ทกั ษะการทํางานท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพอย่างมคี วามหมาย การทํางานร่วมกนั กบั ผูอ้ ่นื เสรมิ สร้าง ทกั ษะการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ อกี ทงั้ ไดน้ ําเสนอผลงานในรูปแบบต่าง ๆ โดยทผ่ี สู้ อนจะประเมนิ ผลจาก คณุ ภาพของผลงาน (Outcome) และกระบวนการในการดาํ เนนิ การโครงการเป็นระยะ ๆ (Process)64 อเี ลริ น นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอีเลิรน นงิกิจกรรมการสอน การเรยี นการสอนแบบโครงการทป่ี ระยุกต์ใช้ในการเรยี นการสอนออนไลน์สามารถสรุปขนั้ ตอนสาํ คญั ไดท้ งั้ สน้ิ 6 ขนั้ ตอน โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ีขนั้ ที่ 1 การเตรยี มความพรอ้ ม ผสู้ อนจดั เตรยี มขอบเขตของโครงการ ตลอดจนเตรยี มแหลง่ ขอ้ มลู และคําถามนํา (เช่น ช่อื หวั ขอ้ทส่ี นใจศกึ ษา ทม่ี าและความสาํ คญั และ/หรอื เหตุผลทส่ี นใจศกึ ษาหวั ขอ้ ดงั กล่าว) โดยสามารถนําเสนอได้ในหลากหลายรปู แบบเชน่ text, video clip, หรอื online news รายละเอยี ดดงั น้ี ผู้สอนจัดเตรียมขอบเขตของโครงการ ตลอดจนเตรียมแหล่งข้อมูล และคําถามนําผ่านDissemination Tool เช่น Text Media: Doc and PDF หรอื Fast Media: Twitter and Plurk หรอื DiscoveryTool เช่น • Text Media: Doc, PDF, Wiki, Google Docs • Rich Media: PowerPoint, Flash, Sound Clip (POD Cast) • Multi Media: Video Clips (VOD Cast) จากนัน้ ผู้เรียนเลอื กใช้ Communication Tool สําหรบั การแบ่งกลุ่ม และเลือกสรรเคร่อื งมือทเ่ี หมาะสมสาํ หรบั การรว่ มระดมสมองในการทาํ โครงการต่อไป Communication Tool ต่าง ๆ เช่น • Delayed communication: Webboard, FaceBook Fan Page (Invitation only), and Plurk • Real time communication: Chat room (by appointment only) • Fast communication: Twitterขนั้ ท่ี 2 กาํ หนดหวั ขอ้ ผู้เรียนศึกษาขอบเขตโครงการ แหล่งข้อมูล ตลอดจนค้นหาแหล่งข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆและแลกเปล่ียนข้อมูลกับสมาชิกในกลุ่มเพ่ือพยายามตอบคําถามนําท่ีผู้สอนได้ตัง้ ไว้ ผ่านเคร่ืองมือตดิ ต่อส่อื สารแบบไม่ประสานเวลาต่าง ๆ (Asynchronous Communication tools) เช่น e-mail, groupdiscussion board, wiki หรอื เคร่อื งมอื ตดิ ต่อส่อื สารแบบประสานเวลาต่าง ๆ (Synchronous Communicationtools) เช่น chat, web conference แลว้ กาํ หนดหวั ขอ้ โครงการของกลุ่มขนั้ ท่ี 3 วางแผนโครงการ เม่อื ผสู้ อนไดเ้ หน็ ชอบกบั หวั ขอ้ ทก่ี ลุ่มของตนไดน้ ําเสนอแลว้ ผเู้ รยี นในแต่ละกลุม่ วางแผนการจดั ทาํโครงการ โดยระบุกจิ กรรมในแต่ละขนั้ ตอนและตารางการดาํ เนินการ ตลอดจนกําหนดบทบาทหน้าท่ขี องสมาชกิ ในกลุ่มใหช้ ดั เจนผ่านเคร่อื งมอื ตดิ ต่อส่อื สารทงั้ แบบไม่ประสานเวลาต่าง ๆ หรอื แบบประสานเวลาตามความสะดวกของสมาชกิ ในกลุม่ จากนนั้ นําเสนอขอ้ สรุปแก่ผสู้ อนผ่านกระดานสนทนาในรายวชิ า อเี ลริ นนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 65

บทที่ 3 วธิ สี อนแบบอีเลริ น นงิ ขนั้ ที่ 4 ค้นคว้าและเตรยี มการนําเสนอ สมาชิกในกลุ่มร่วมกันค้นคว้าเพ่อื ให้ได้ความรู้ในการจัดทําโครงการ เช่น จากการสมั ภาษณ์ ผู้เช่ียวชาญผ่าน Video conference การค้นคว้าขอ้ มูลบนเว็บไซต์ การทํา online survey ตลอดจน การสงั เกตหรือการลงพ้ืนท่ีจริง จากนัน้ จึงแลกเปล่ียนประสบการณ์และความรู้ใหม่กับสมาชิกในกลุ่ม ซง่ึ สามารถทําไดท้ งั้ แบบประสานเวลาและไม่ประสานเวลาตามความสะดวกของสมาชกิ ในกลุ่ม เช่น group discussion board, wiki, chat, web conference และจดั ทํา group blog เพ่อื บนั ทกึ การแลกเปลย่ี น ประสบการณ์และการสรา้ งความรใู้ หมข่ องกลมุ่ ขนั้ ที่ 5 นําเสนอผลงาน ผูเ้ รยี นจดั ทาํ รายงานและเตรยี มการนําเสนอทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ผลของกจิ กรรมของโครงการ (ผลงาน และกระบวนการ) แลว้ นําเสนอผา่ นเคร่อื งมอื ออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น video clip, online text, webpage, blog เป็นตน้ ขนั้ ที่ 6 ประเมินผล ผสู้ อนประเมนิ ผลงาน (Outcome) และกระบวนการในการดําเนินการโครงการ (Process) เช่น กระบวนการการดําเนินงานอย่างมรี ะบบ การมสี ่วนร่วมของผเู้ รยี นและผลงานทไ่ี ดบ้ นั ทกึ ผ่าน Group Blog ทงั น้ี สามารถใช้ rubric ในการประเมนิ ผลงานและกระบวนการดงั กล่าว ภาพท่ี 3.11 ขนั้ ตอนการสอนแบบโครงการ66 อีเลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ น นิงกิจกรรมปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รียนกบั บทเรียน และผเู้ รยี นกบั ผสู้ อน ในการจดั กจิ กรรมปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างผู้เรยี นกบั บทเรยี น และผู้เรยี นกบั ผูส้ อนการเรยี นการสอนแบบโครงการนนั้ ผสู้ อนควรคาํ นึงถงึ การเรยี นรทู้ ผ่ี เู้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง กล่าวคอื กจิ กรรมดงั กล่าวจะตอ้ งตรงกบั ความต้องการและความสามารถในการทํางานของผูเ้ รยี น ส่งเสรมิ การทํางานร่วมกนั ระหว่างผูเ้ รยี นผสู้ อน และบคุ คลในชมุ ชนทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปญั หา ทงั้ ในขนั้ ตอนของการทาํ งาน การนําเสนอผลงาน หรอื การมีสว่ นร่วมในการประเมนิ ผลโครงงาน กจิ กรรมทใ่ี นขนั้ นําทเ่ี น้นใหม้ ปี ฏสิ มั พนั ธน์ นั้ อาจเรมิ่ จากการใชค้ าํ ถามหรอื ประเดน็ ปญั หา เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเกดิ ความสงสยั จากนนั้ ผเู้ รยี นดาํ เนินกจิ กรรมเพ่อื หาคาํ ตอบ ดว้ ยการสบื สอบคน้ หาขอ้ มูลสารสนเทศวางแผน ตลอดจนออกแบบการรวบรวมขอ้ มลู และการใชเ้ ครอ่ื งมอื วเิ คราะหข์ อ้ มลู สรปุ ผล และนําเสนอผลการศกึ ษาต่อไป ดงั นนั้ จะเหน็ ไดว้ ่าเทคโนโลยตี ่าง ๆ นนั้ สามารถนํามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ ทงั้ ในขนั้ ตอนของการสบื สอบการสรา้ งผลงาน การสบื คน้ ขอ้ มูลสารสนเทศผ่านทางอนิ เตอรเ์ น็ต การตดิ ต่อการแลกเปลย่ี นขอ้ มูลข่าวสารระหว่างกนั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตลอดจนการวเิ คราะหผ์ ล ทงั้ น้ี จงึ ขอสรุปบทบาทผูส้ อนและผูเ้ รยี นในกจิ กรรมต่าง ๆ ทส่ี ง่ ผลใหม้ ปี ฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ รยี นกบั บทเรยี น และผเู้ รยี นกบั ผสู้ อน สามารถสรุปไดด้ งั น้ีบทบาทผสู้ อน บทบาทผเู้ รยี นกําหนดหวั ขอ้ โครงงานเบ้ืองต้น เพ่อื ให้ผู้เรยี นเห็น ผู้เรียนเสนอหัวข้อโครงงานหรือประเด็นใหม่ความจาํ เป็นของหวั ขอ้ และทกั ษะต่าง ๆ ทต่ี อ้ งพฒั นา ท่ีเหมาะสมและเป็นท่ีสนใจ ผู้เรียนตัดสินใจเลือกแล้วผู้สอนพูดคุยกบั ผู้เรยี นเก่ียวกบั โครงงาน เปิด หวั ขอ้ การทาํ โครงงานโอกาสให้ผู้เรียนเสนอหวั ข้อโครงงานหรือประเด็นใหม่ท่ีน่าสนใจได้ และให้ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจในการทาํ โครงงานเปิดโอกาสใหผ้ เู้ รยี นร่วมกนั วางแผนการทาํ โครงงาน ผู้เรียนร่วมวางแผนการทําโครงงาน ดําเนินการดําเนินการค้นคว้าและพัฒนาช้ินงาน โดยผู้สอน คน้ ควา้ และพฒั นาชน้ิ งานแลกเปลย่ี นความรกู้ บั ผอู้ ่นือํานวยความสะดวก เตรียมแหล่งค้นคว้า ให้ นําเสนอโครงงาน เช่น การเสนอปากเปล่าในชัน้คําแนะนํา ตลอดจนพิจารณาทักษะพ้ืนฐานของ เรยี นพร้อมกบั การทํารายงาน การนําเสนอในชุมชนผเู้ รยี นและฝึกทกั ษะเฉพาะทางทจ่ี ําเป็นใหแ้ ก่ผูเ้ รยี น การแสดงนิทรรศการ เป็นตน้เพ่อื ใหส้ ามารถทาํ โครงงานไดส้ าํ เรจ็ อีเลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 67

บทที่ 3 วธิ ีสอนแบบอเี ลิรน นิง บทบาทผสู้ อน บทบาทผเู้ รียนการประเมนิ การทําโครงงานของผู้เรยี น โดยผู้สอน ประเมินผลการทําโครงงานของตนเองและกลุ่มอาจใชว้ ธิ กี ารสงั เกตทกั ษะต่างๆ และความรทู้ ผ่ี เู้ รยี น สะท้อนความคิดเก่ียวกับงานของตนและเพ่ือนใช้ในการทําโครงงาน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนการ การทํางานกลุ่ม ความรู้สึกเก่ียวกับงาน ตรวจสอบประเมนิ ตนเองและเพอ่ื น รวมทงั้ ใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นร่วม ความก้าวหน้าของงาน ทักษะและความรู้ท่ีได้ในการกําหนดสง่ิ ท่ีจะประเมนิ และเสนอแนะวธิ กี าร สงิ่ ทต่ี ้องปรบั ปรุง ผ่านการอภปิ รายกลุ่มย่อย การใช้ประเมนิ แบบสอบถาม การใช้แบบตรวจสอบรายการ การจดั ทําแฟ้ มสะสมงาน การเขียนบันทึกการเรียนรู้ หรือ การเขียนเรียงความ โดยผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ กาํ หนดสงิ่ ทจ่ี ะประเมนิ และเสนอแนะวธิ กี ารประเมนิการเสนอแนะการใช้เครอ่ื งมอื อินเทอรเ์ น็ต (Internet tools) ที่เหมาะสมในการสอนแบบโครงการ การใชเ้ ครอ่ื งมอื อนิ เทอรเ์ นต็ ทเ่ี หมาะสมในการเรยี นการสอนแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 แนวทางตามยุคของเคร่อื งมอื เครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ ไดแ้ ก่ เทคโนโลยเี วบ็ 2.0 ซง่ึ สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 4 ดา้ นหลกั ๆ คอื 1. Application Web ไดแ้ ก่ Google document , Blog , Feed 2. Communication Tool ไดแ้ ก่ Chat, Desktop Video Conference, Podcast 3. Community Tools ไดแ้ ก่ Wiki, Web board 4. File sharing Tool ไดแ้ ก่ Photo sharing, Video sharing, Music sharing & Document sharing ทงั้ น้ี การใช้เคร่อื งมืออนิ เทอร์เน็ตอีกแนวทางหน่ึงคือ เทคโนโลยีเว็บ 3.0 ซ่งึ นอกจากจะนําคุณประโยชน์ของปฏสิ มั พนั ธข์ องเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ในยุคเทคโนโลยเี วบ็ 2.0 มาใชแ้ ลว้ จะเน้นในเร่อื งของความเป็นจรงิ เสมอื นมากขน้ึ อกี ด้วย ดงั ตวั อย่างเวบ็ ไซต์ Second life และ opensource ช่อื OpenSimulator ทไ่ี ดร้ บั ความนิยมในหลายสถาบนั การศกึ ษาต่าง ๆ เพ่อื ใชเ้ ป็นช่องทางหน่ึงในการตดิ ต่อสอ่ื สารการเขา้ รว่ มกจิ กรรมต่าง ๆ ของผเู้ รยี นผา่ นเครอื ขา่ ยสงั คมออนไลน์ทม่ี คี วามเสมอื นจรงิ68 อีเลริ นนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ ีสอนแบบอเี ลริ น นงิ ภาพที่ 3.12 แสดงเทคโนโลยเี วบ็ 2.0 แบง่ ตามประเภทของการใชง้ านเป็น 4 ดา้ นหลกั ๆ จะเหน็ ไดว้ ่าเคร่อื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ตทเ่ี หมาะสมในการเรยี นการสอนนนั้ มอี ย่มู ากมาย อย่างไรกต็ ามในการเลอื กใช้เคร่อื งมอื ดงั กล่าว ควรพจิ ารณาหลกั การทางการศกึ ษาตามแนวทางของกรวยประสบการณ์(Cone of learning experience) โดย Edgar Dale ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ร่องรอยความรูท้ ไ่ี ดร้ บั จากประสบการณ์ท่ีต่างกนั เม่อื เวลาผ่านไป 2 สปั ดาห์ กล่าวคอื เคร่อื งมอื ส่อื สารทใ่ี ชส้ าํ หรบั การเรยี นเชงิ รบั (passive learning)ได้แก่การอ่านอย่างเดยี ว (เหลอื ร่องรอย 10%) การไดย้ นิ (เหลอื ร่องรอย 20%) การเหน็ (เหลอื ร่องรอย30%) และการเหน็ และการไดย้ นิ (เหลอื ร่องรอย 50%) เครอ่ื งมอื ทเ่ี หมาะสม ไดแ้ ก่ เคร่อื งมอื นําเสนอต่าง ๆเช่น YouTube และ Slideshare อเี ลริ นนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 69

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอเี ลริ น นงิ ในทางตรงกนั ขา้ ม เคร่อื งมอื สอ่ื สารทใ่ี ชส้ าํ หรบั การเรยี นเชงิ รุก (active learning) ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ รอ่ งรอยความรทู้ ห่ี ลงเหลอื อย่มู ากกวา่ 50% ขน้ึ ไปหลงั จากไดร้ บั จากประสบการณ์ทต่ี ่างกนั เม่อื เวลาผ่านไป 2 สปั ดาหไ์ ดแ้ ก่ การไดพ้ ูด (เหลอื ร่องรอย 70%) การพดู และการปฏบิ ตั ิ (เหลอื ร่องรอย 90%) เคร่อื งมอื ทเ่ี หมาะสมไดแ้ ก่ เคร่อื งมอื ท่เี สรมิ สรา้ งปฏสิ มั พนั ธต์ ่างๆ เช่น เวบ็ คอนเฟอรเ์ รนท์ (Skype, Voicethread) การสมั มนาออนไลน์ (Webinar) ผา่ น Slide Sharing การเขยี นบนั ทกึ ออนไลน์ดว้ ย Blogger เป็นตน้ ภาพท่ี 3.13 แสดงการเลอื กใชเ้ ครอ่ื งมอื อนิ เทอรเ์ น็ต ตามแนวทางของกรวยประสบการณ์ Digital Bloom's Taxonomy ทม่ี า: http://ccesmedia.blogspot.com/2012/02/digital-blooms-taxonomy.html70 อเี ลิรน นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอเี ลิรน นงิ 5. การสอนแบบกรณีศึกษา การสอนดว้ ยกรณศี กึ ษาเป็นวธิ กี ารสอนทไ่ี ดร้ บั ความนิยมในหลากหลายสาขาวชิ า เช่น การจดั การกฎหมาย และแพทยศ์ าสตร์ รวมถงึ ทางการศกึ ษาเพ่อื สอนนิสติ นักศกึ ษาครู ในกระบวนการเรยี นการสอนลักษณะน้ี ผู้สอนจะนําเสนอกรณีตัวอย่างท่ีทําให้ผู้เรียนเกิดการคิด หาคําตอบท่ีหลากหลายเพ่ือใช้ในการอภปิ ราย และหาทางแกไ้ ขปญั หาซง่ึ มที างออกทห่ี ลากหลาย ซง่ึ แตกต่างจากการเรยี นรจู้ ากหลกั การและทฤษฎที จ่ี ะพบแต่ปญั หาทม่ี โี ครงสรา้ งตามโจทยแ์ ลว้ (Well-structured problem solving) การสอนดว้ ยกรณศี กึ ษาจะทาํ ใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรไู้ ดเ้ รว็ ขน้ึ สามารถประยุกตใ์ ชค้ วามรจู้ ากการเรยี นไปใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านได้จรงิการประยกุ ตใ์ ช้การสอนแบบกรณีศกึ ษาในการเรียนการสอนแบบอิเลิรน์ นิง การสอนเพ่ือให้ผู้เรยี นสามารถนําความรู้ท่ไี ด้รบั ไปใช้แก้ปญั หาได้นัน้ ถือว่าเป็นความสําคญั ยง่ิของการให้ศกึ ษา มรี ูปแบบการเรยี นการสอนหลากหลายรูปแบบทต่ี ้องการพฒั นาความคดิ การแกป้ ญั หาของผูเ้ รยี น ซ่งึ เน้นการออกแบบสงิ่ แวดลอ้ มทางการเรยี นรทู้ ส่ี ง่ เสรมิ ให้ การเรยี นการสอนสามารถพฒั นาผู้เรียนได้ในระดบั การคิดแก้ปญั หา เช่น การเรียนการสอนแบบคอนสตรคั ติวิสม์ (Constructivist learningenvironment; Jonassen, 1998) สง่ิ แวดลอ้ มทางการเรยี นรรู้ ะบบเปิด (Open-ended learning environments;Land & Hannafin, 1996) เป็นตน้ ซง่ึ ทงั้ สองตวั อย่างทก่ี ล่าวนนั้ ลว้ นเช่อื มนั่ ว่าการเรยี นรเู้ ป็นกระบวนการท่ีผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธ์กบั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่ผี สู้ อนไดอ้ อกแบบไวเ้ พ่อื ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นไดส้ รา้ งความรดู้ ว้ ยตนเอง ซ่ึงเป็นไปตามทฤษฎีการเรียนรู้คอนสตรัคติวิสม์ เน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือกระทําเพ่ือให้เกิดประสบการณ์ การแปลความหมาย ตคี วามและเชอ่ื มโยงกบั ความรเู้ ดมิ ซง่ึ จะทาํ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การปรบั เปลย่ี นโครงสรา้ งทางปญั ญาตามแนวคดิ cognitive constructivisim ของ Piaget ซง่ึ ในระหว่างการแปลความหมายตคี วามเพอ่ื เชอ่ื มโยงกบั ความรเู้ ดมิ นนั้ หากมกี ารปฏสิ มั พนั ธแ์ ลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ บั กลุ่มบุคคลซง่ึ เป็นสงั คมท่ีจะช่วยผลกั ดนั ให้เกดิ การประบวนการของการแปลความ ตคี วามและเช่อื มโยงกบั ความรูเ้ ดมิ ซง่ึ จะทําให้ผเู้ รยี นเกดิ การสร้างความรใู้ หม่ได้นัน้ จะเป็นแนวคดิ ท่เี น้นการเรยี นรู้โดยเน้นปฏสิ มั พนั ธ์ทางสงั คม ตามแนวคดิ ของ social constructivism ของ Vygotskyจาํ นวนผเู้ รยี นกบั การออกแบบการสอนด้วยกรณีศกึ ษา กลุ่มผู้เรียนขนาดเล็ก จํานวนน้อยกว่า 15 คน กลุ่มผู้เรียนขนาดกลาง จํานวน 15-50 คนกลุ่มผู้เรียนขนาดใหญ่ จํานวนมากกว่า 50 คนข้ึนไป ส่งผลต่อการออกแบบการสอนด้วยกรณีศึกษาอย่างชดั เจน เน่ืองจากการเรยี นการสอนลกั ษณะน้ีต้องการให้ผู้เรยี นได้มีโอกาสคิดไตร่ตรอง วิเคราะห์และหาทางแก้ปญั หา ดังนัน้ การออกแบบส่ือและนําเสนอกรณีตัวอย่างจําเป็นต้องพิจารณาถึงเวลาและปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างการเรยี นทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice 71

บทท่ี 3 วิธสี อนแบบอีเลิรนนงิ การสอนดว้ ยกรณีศกึ ษาในหอ้ งเรยี นในกรณีทม่ี จี าํ นวนผเู้ รยี นจาํ นวนมาก จาํ เป็นตอ้ งมกี ารจดั กลุ่ม การเรยี นใหม้ ขี นาดเลก็ ทเ่ี หมาะสม และมผี ชู้ ่วยสอนทํางานร่วมกนั เช่น การสอนเป็นทมี การมผี ชู้ ่วยสอน ในระดบั บณั ฑติ ศกึ ษาเป็นผูช้ ่วย หรอื การจดั แบ่งกลุ่มผเู้ รยี นใหท้ ํางานในกลุ่มขนาดเลก็ เป็นต้น และหาก จํานวนผเู้ รยี นมขี นาดเลก็ จะทําให้การเรยี นการสอนมปี ฏสิ มั พนั ธ์ในระดบั สงู ทงั้ น้ีอาจจดั กลุ่มผูเ้ รยี นให้มี ขนาดเลก็ ลงไดอ้ กี เช่น กลุ่ม 3-5 คนซ่งึ สง่ เสรมิ การเรยี นรรู้ ่วมกนั ซง่ึ หากจดั การสอนดว้ ยกรณีศกึ ษาดว้ ย อเี ลิร์นนิง สามารถใช้เคร่ืองมอื ส่อื สารทางอินเทอร์เน็ตจดั แบ่งกลุ่มผู้เรยี นให้ทํางานในกลุ่มขนาดเลก็ ได้ เช่น กระดานสนทนา (web board) หรอื บลอ็ ก (blog) ประจาํ กลมุ่ เป็นตน้ การเตรยี มกรณีศกึ ษาสาํ หรบั ผสู้ อน กรณีศกึ ษาเป็นหวั ใจสาํ คญั ของการเรยี นรดู้ ว้ ยวธิ นี ้ี ดงั นัน้ การเตรยี มกรณีศกึ ษาจงึ เป็นสง่ิ ทผ่ี สู้ อน จะตอ้ งใหค้ วามสาํ คญั อย่างยงิ่ คาํ แนะนําสาํ หรบั การจดั ทาํ กรณตี วั อยา่ ง มดี งั น้ี ควรเป็นเร่อื งพฒั นาจากสถานการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ สามารถนําเสนอได้ทงั้ คําพูด สง่ิ ของ เหตุการณ์ตวั อย่างประกอบ เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นสามารถเช่อื มโยงกบั ความเป็นจรงิ ในชวี ติ และ พจิ ารณาตามความเป็นจรงิ ควรนําเสนอประเดน็ หรอื ปญั หามากกว่าการสอนหลกั การ ทฤษฎี แต่ประเดน็ หรอื ปญั หา นัน้ ๆ มคี วามขดั แยง้ ทม่ี คี วามซบั ซ้อน หรือมคี วามหลากหลายของทางแก้ปญั หาตาม มุมมองของผู้มสี ่วนได้ส่วนเสยี (stakeholders) ท่ตี ่างกนั ทําให้ต้องเช่อื มโยงหลกั การ และทฤษฎตี ่าง ๆ เขา้ มาพจิ ารณาในชว่ งของการอภปิ รายเพอ่ื หาทางแกไ้ ขปญั หา กรณีตัวอย่างนําเสนอด้วยวิธีการเล่าเร่ือง (story-telling) ซ่ึงประกอบด้วยฉาก สถานการณ์ การกระทํา บุคคลท่ีเก่ียวข้องกับปญั หา ซ่ึงอาจนําเสนอผ่านข้อความ ภาพเหตุการณ์ เสยี ง หรอื วดี ทิ ศั น์ การเล่าเร่ืองจะต้องลําดบั ให้เข้าใจง่าย มีความกระจ่างของสิ่งท่ีต้องการนําเสนอใน กรณีศกึ ษา72 อเี ลริ น นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอีเลิรน นิง ขนั้ ตอนการเขียนกรณีศึกษา มดี งั น้ี 1. ขนั้ วางแผน มขี นั้ ตอนย่อย 3 ขนั้ ตอนไดแ้ ก่ 1.1 การระบจุ ุดมงุ่ หมายของการเขยี นกรณตี วั อย่าง ซง่ึ จาํ เป็นตอ้ งมคี วามชดั เจนตงั้ แต่แรกเรมิ่เพ่อื ใหก้ ารสอนดว้ ยกรณตี วั อย่างบรรลุตามวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ก่ี าํ หนดไวต้ งั้ แต่ตน้ ดงั นนั้ ในขนั้ น้ีจะตอ้ งตอบคาํ ถาม 2 ขอ้ ดงั น้ี 1) ผลลพั ธก์ ารเรยี นรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการสอนดว้ ยกรณีศกึ ษาคอื อะไร (ตอบแยกเป็นรายกรณีศกึ ษา) 2) การสอนดว้ ยกรณศี กึ ษาจะนําไปใชอ้ ย่างไร เช่น นําเสนอเพ่อื ดงึ ความสนใจของผเู้ รยี นหรอื เน้นการเรยี นรูจ้ ากกรณีศกึ ษาเป็นหลกั หรอื เป็นตวั อย่างประกอบการเรยี นดว้ ยวธิ กี ารอภิปราย หรอืเน้นการประเมนิ การเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น 1.2 วเิ คราะหผ์ เู้ รยี น ขนั้ ตอนน้ีเป็นขนั้ ตอนทส่ี าํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาขอ้ มูลผเู้ รยี นเพ่อืใช้ประกอบการจดั การเรยี นการสอน ได้แก่ ระดบั ความรู้ของผู้เรยี น ความสามารถในการใช้ภาษาเพ่ือการสอ่ื สาร ความสามารถในการอภปิ รายคดิ หาเหตุผล 1.3 เลอื กสารสนเทศทจ่ี ําเป็นต้องมใี นกรณีตวั อย่าง ซง่ึ จะตอ้ งผ่านความคดิ ในขอ้ 1.1 มาแลว้เพอ่ื ใชเ้ ป็นขอ้ มลู การระบุความตอ้ งการกาํ หนดประเดน็ ปญั หา หรอื สง่ิ ทต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรจู้ ากกรณีตวั อย่าง ระบแุ หลง่ ขอ้ มลู ทจ่ี ะตอ้ งรวบรวมขอ้ มลู และสารสนเทศทงั้ จาก บุคคลทเ่ี กย่ี วขอ้ ง รวมทงั้ หน่วยงานทใ่ี หข้ อ้ มลู เหล่านัน้ ได้ จากนนั้ ตดิ ต่อแหล่งขอ้ มูลซง่ึ หมายรวมถงึ การระบุใหไ้ ดว้ ่าจะไดข้ อ้ มูลจากทใ่ี ด เช่นหนงั สอื พมิ พ์ สอ่ื ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ภาพยนตร์ โทรทศั น์ วดี ทิ ศั น์ เวบ็ ไซต์ เป็นต้น หรอื การระบุบุคคลทเ่ี กย่ี วขอ้ งทจ่ี ะใหข้ อ้ มลู เกย่ี วกบั กรณศี กึ ษานนั้ ๆ 2. ขนั้ การลาํ ดบั ความคิด การเขยี นกรณีตัวอย่างและลําดบั เหตุการณ์ท่เี ก่ยี วข้องถอื ได้ว่ามีความสาํ คญั ต่อการใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรแู้ ละเขา้ ใจสถานการณ์ของกรณีตวั อยา่ ง และค่อย ๆ ลาํ ดบั ความคดิ ทม่ี ีต่อปญั หาเพ่อื หาทางแกไ้ ขปญั หา การใชภ้ าษาจะเน้นการเขยี นบรรยายแบบบอกเล่าเร่อื ง ซง่ึ จะนําเสนอเร่อื งราวทเ่ี กดิ ขน้ึ ฉาก สถานท่ี ตวั ละครทเ่ี กย่ี วขอ้ ง สงิ่ ท่เี กดิ ขน้ึ ทม่ี าของเหตุการณ์ว่าเกดิ ขน้ึ เพราะอะไรและอย่างไร ทงั้ น้คี วรมพี ลอ็ ตเร่อื งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความไม่แน่นอนของมุมมอง การแกไ้ ขปญั หาอนั เป็นจุดหกั เห หรอื ขอ้ ขดั แย้ง ซ่งึ ทาํ ใหม้ กี ารตคี วามทห่ี ลากหลายมุมมอง การตดั สนิ คุณค่า การตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาและผลทไ่ี ดร้ บั จากการกระทาํ นนั้ ๆ 3. ขนั้ ร่างและเขียนเรียบเรียง สง่ิ ท่สี ําคญั ของการเขยี นคอื จะต้องไม่ลมื ความคดิ หลกั ท่เี ป็นวตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรจู้ ากกรณตี วั อย่างขณะทก่ี าํ ลงั มกี ารบรรยายฉาก เหตุการณ์หรอื ตวั ละครต่าง ๆ เพ่อื ให้เขา้ สปู่ ระเดน็ ปญั หาไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ไม่ใชเ้ วลามากเกนิ ไปกบั ขอ้ มลู ประกอบอน่ื ๆ นอกจากน้จี ะตอ้ งเตรยี มให้ขอ้ มูลประกอบต่าง ๆ เพ่ือสร้างแนวทางให้กบั ผู้เรยี นได้เข้าใจตรงกนั ในเชิงความจริง เช่น ระเบยี บกฎหมาย ความเป็นจรงิ ในเชงิ คุณคา่ และจรยิ ธรรมทอ่ี าจเกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ ปญั หานนั้ ๆ อเี ลริ น นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice 73

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอเี ลริ น นงิ 4. ขนั้ ทบทวนและปรบั ปรงุ เน่ืองจากกรณศี กึ ษามคี วามสาํ คญั ต่อกจิ กรรมการเรยี นรทู้ ต่ี อ้ งการให้ บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ท่ีกําหนดไว้ จึงจําเป็นต้องมีการอ่านทบทวนซ้ํา ประเมินการเขยี น และ ปรบั ปรุงขอ้ มูลของกรณีศกึ ษาโดยพจิ ารณาว่ากรณีศกึ ษานัน้ ๆ จะทาํ ใหเ้ กดิ จุดมุ่งหมายการเรยี นรไู้ ด้ หรอื ไม่ ขนั้ ตอนน้ีผสู้ อนจงึ ตอ้ งพจิ ารณาอ่านทบทวนอย่างไตร่ตรอง เพ่อื ประเมนิ ว่ามสี งิ่ ทต่ี อ้ งการใหผ้ เู้ รยี น ไดว้ ิเคราะห์ อภิปราย เห็นขอ้ ขดั แย้ง หรอื เป็นไปตามเกณฑ์ของการจดั ทํากรณีศึกษาน้ีตามจุดมุ่งหมาย ครบถ้วนหรอื ไม่ ซ่งึ ในขนั้ ตอนน้ีอาจมผี ู้สอนท่านอ่นื ๆ หรอื ผูเ้ ช่ยี วชาญพจิ ารณาเพมิ่ เตมิ Lane (2007) ไดเ้ สนอคาํ ถามหลกั ไว้ 10 ขอ้ สาํ หรบั ใหผ้ สู้ อน หรอื ผปู้ ระเมนิ กรณศี กึ ษาไดต้ รวจสอบในขนั้ การทบทวนดงั น้ี 1) กรณีศกึ ษาน้ีทาํ ใหเ้ กดิ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั หรอื ไม่ 2) มปี ญั หา หรอื ประเดน็ ทอ่ี ย่ใู นกรณีศกึ ษาเพยี งพอและเกย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นาผลลพั ธ์ การเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั หรอื ไม่ 3) กรณีศกึ ษามคี วามสมบรู ณ์ ซบั ซอ้ น และมจี ุดรวมความสนใจทพ่ี อเพยี งหรอื ไม่ 4) กรณีศกึ ษามกี ารนําเสนอสถานการณ์ ปญั หา หรอื ประเดน็ หรอื ไม่ 5) กรณศี กึ ษาทน่ี ําเสนอมคี วามใกลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ หรอื ไม่ 6) มสี ว่ นประกอบต่าง ๆ ของสไตลก์ ารเล่าเร่อื งนําเสนอไวใ้ นกรณีศกึ ษาหรอื ไม่ เช่น สไตล์ การเล่าเรอ่ื ง การพฒั นาของเหตุการณ์ทเ่ี ป็นปญั หา การสรา้ งพลอ็ ตเรอ่ื งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ มมุ มองทต่ี ่างกนั เป็นตน้ 7) เหตุการณ์และการกระทาํ ในกรณีศกึ ษามกี ารลาํ ดบั อย่างสมควรตามเหตุผลหรอื ไม่ 8) เหตุการณ์ต่าง ๆ ทป่ี รากฏในกรณีศกึ ษามคี วามเช่อื มต่อกบั สญั ญาณหรอื จุดสงั เกต ของการเปลย่ี นผ่านทเ่ี หมาะสมหรอื ไม่ 9) เน้ือหาในกรณีศึกษามีความถูกต้อง เก่ียวข้องและเหมาะสมกบั เน้ือหาหลักของ การเรยี นรใู้ ช่หรอื ไม่ 10) หากมแี หล่งขอ้ มลู จากภายนอกเพม่ิ เตมิ ประกอบในกรณีศกึ ษา แหล่งขอ้ มูลภายนอกนนั้ เหมาะสมหรอื ไม่ แผนภาพที่ 3.10 ขนั้ ตอนการเขยี นกรณศี กึ ษา74 อเี ลิรน นิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วธิ สี อนแบบอเี ลิรน นงิการเตรยี มผเู้ รยี นเพอื่ เขา้ สู่การเรยี นรดู้ ว้ ยกรณีศึกษา ผเู้ รยี นทม่ี คี วามคุน้ เคยกบั การเรยี นลกั ษณะแบบดงั้ เดมิ เช่น การสอนแบบบรรยาย จะมลี กั ษณะการเรยี นแบบตงั้ รบั การเรยี นในลกั ษณะน้ีจะมกี ารเปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ จงึ มคี วามจาํ เป็นทจ่ี ะต้องเตรยี มผูเ้ รยี นให้มีความพร้อมและคุ้นเคยต่อวธิ ีการเรียนรู้แบบใหม่น้ี ตวั อย่างการเตรยี มผู้เรยี นของ HarvardMedical School จะมกี ารแนะนําใหผ้ เู้ รยี นชนั้ ปีท่ี 1 รจู้ กั กบั การเรยี นรดู้ ว้ ยกรณีศกึ ษา ดงั น้ี 1) จดั ปฐมนิเทศในหวั ขอ้ การซ่อมท่อน้ําซง่ึ เป็นอาชพี ของช่างต่อประปา (หวั ขอ้ ท่ไี ม่เก่ยี วกบั แพทยศาสตร์ เพ่อื ใหท้ ุกคนรจู้ กั ) 2) ผเู้ รยี นจาํ นวน 160 คนเขา้ หอ้ งเรยี นสาํ หรบั การบรรยาย และชมการสาธติ การเรยี นจากกลุ่มผเู้ รยี นขนาดเลก็ ซง่ึ เป็นร่นุ พช่ี นั้ ปีท่ี 2 และ 3) ในครงั้ แรกของวชิ าทจ่ี ะสอนดว้ ยวธิ นี ้ี ผสู้ อนใหเ้ วลากบั การอภปิ รายกล่มุ และการวเิ คราะหก์ รณีศกึ ษาเพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นคุน้ เคย และปรบั ตวั เขา้ กบั วธิ กี ารเรยี นรนู้ ้ี ข้อมูลข้างต้นทําให้สะท้อนถึงการเตรียมผู้เรียนในการเรียนรู้ด้วยกรณีศึกษาด้วยอีเลิร์นนิงซง่ึ ผเู้ รยี นยงั ไม่คนุ้ เคยกบั การใชเ้ คร่อื งมอื ในการเรยี นรู้ อกี ทงั้ ยงั ตอ้ งมวี นิ ยั ในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองอย่างสงูและหากมกี ารจดั การเรยี นอเี ลริ น์ นิงโดยอาศยั กระบวนการปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คมด้วยแลว้ จําเป็นอย่างยง่ิท่ีจะต้องสร้างความเข้าใจในวิธีการอภิปรายผ่านทางคอมพิวเตอร์ซ่ึงเป็นการส่อื สารหลัก (computer-mediated communication) ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในการเรยี นลกั ษณะน้ีกิจกรรมการสอน นักการศกึ ษาได้ระบุขนั้ ตอนการสอนในการสอนด้วยกรณีศกึ ษาไวห้ ลากหลาย และแตกต่างกนัเช่น Mauffette-Leenders, Erskine, and Leenders (1997 อา้ งถงึ ใน Flynn & Klein, 2001) แบ่งเป็นกจิ กรรมการเรยี นรู้ 10 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ 1) วเิ คราะหป์ ญั หา 2) ตดั สนิ ปญั หาหรอื ประเดน็ ปญั หาทพ่ี บในกรณีตวั อย่าง3) ตดั สนิ เกย่ี วกบั สถานการณ์ในกรณีตวั อยา่ งว่าสงิ่ มคี วามสาํ คญั และเร่งด่วน 4) วเิ คราะหส์ ถานการณ์นนั้ ๆทงั้ ในเชงิ ปรมิ าณและคุณภาพ 5) คดิ หาทางแกไ้ ข 6) กาํ หนดเกณฑใ์ นการตดั สนิ 7) เลอื กทางเลอื กทพ่ี อใจและคาดการณ์ถงึ ผลลพั ธท์ ต่ี ามมาของทางเลอื กนัน้ 8) ร่างการกระทําและแผนการทจ่ี ะดาํ เนินการ 9) ระบุสารสนเทศทเ่ี กย่ี วขอ้ งซง่ึ ขาดหายไป และ 10) เสนอสมมตฐิ านทค่ี าดไวร้ ะหว่างการวเิ คราะห์ สว่ นนกั การศกึ ษาทา่ นอ่นื ทไ่ี ดอ้ ธบิ ายการสอนทใ่ี หผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูแ้ กป้ ญั หาทม่ี โี ครงสรา้ งไม่ชดั เจน(Ill-structured problem solving) มขี นั้ ตอนการสอนแบ่งออกเป็น 7 ขนั้ ไดแ้ ก่ 1) การวเิ คราะห์ปญั หาและความจําเป็นของสภาพท่บี งั คบั ให้เกดิ ข้นึ 2) การระบุและขยายความคดิ เห็น มุมมองของผู้ท่มี สี ่วนเกย่ี วขอ้ งกบั ปญั หา 3) เสนอทางแกป้ ญั หาทเ่ี ป็นไปได้ 4) ประเมนิ ทางแกป้ ญั หา 5) ตรวจสอบทางแกป้ ญั หานนั้ ๆ 6) การนําทางแกป้ ญั หานนั้ ไปใชแ้ ละตรวจสอบ และ 7) การปรบั ทางเลอื กในการแกป้ ญั หา (Jonassen,1997) สาํ หรบั ในเอกสารน้เี สนอกจิ กรรมการสอนดว้ ยกรณีศกึ ษาแบง่ เป็น 5 ขนั้ ตอนตามการศกึ ษาของ Choi& Lee (2009) ซง่ึ ไดเ้ สนอรปู แบบการเรยี นรดู้ ว้ ยกรณศี กึ ษาตามแนวความคดิ ของ Jonassen ดงั น้ี อีเลริ นนิง: จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 75

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอเี ลิรนนงิ ขนั้ ตอนการเรียน สิ่งแวดล้อมทางการเรยี นรู้ (มีการจดั เตรียมโดยผสู้ อน)1. ทาํ ความเขา้ ใจกบั สถานการณ์และบรบิ ทจาก กรณีตวั อย่าง กรณตี วั อยา่ ง2. วเิ คราะหป์ ญั หา มมุ มองทห่ี ลากหลายทม่ี ตี ่อปญั หา3. เสนอทางแกป้ ญั หา ทางแกป้ ญั หาทห่ี ลากหลายจากมมุ มอง ของผเู้ ชย่ี วชาญ4. ตดั สนิ ใจ ทฤษฎี หลกั การและตวั อย่างทเ่ี กย่ี วขอ้ ง5. สะทอ้ นคดิ จากผลของทางเลอื ก ขอ้ เสนอแนะต่อวธิ แี กป้ ญั หาขนั้ ที่ 1 ทาํ ความเขา้ ใจกบั สถานการณ์และบริบทจากกรณีตวั อยา่ ง ในขนั้ น้ผี เู้ รยี นไดเ้ จอกบั กรณศี กึ ษาซง่ึ นําเสนอปญั หาทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ จุดประสงค:์ เพ่ือให้ผู้เรยี นทําความรู้จกั กบั สถานการณ์ปญั หาท่มี คี วามซบั ซ้อน และพจิ ารณาถงึ ปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภาระงานของผเู้ รยี น: ทาํ ความเขา้ ใจกบั กรณีศกึ ษา และวเิ คราะหป์ ญั หา โดยตอบคาํ ถามหลกั 2 ขอ้“ตามความคิดเห็นของผู้เรียน อะไรเป็นปญั หาของกรณีศึกษาน้ี และเพราะอะไรจึงคิดเช่นนัน้ ” และ“ถา้ ผเู้ รยี นเป็น... (บุคคลในกรณศี กึ ษา)...จะแกป้ ญั หาอยา่ งไร และเพราะเหตุใด” สื่อการเรยี นการสอน: การนําเสนอกรณีศกึ ษาผา่ นสอ่ื รปู แบบต่าง ๆ (Text media or Rich media)เช่น ข้อความ คลิปเสียง คลิปวิดีโอ มัลติมีเดีย เป็นต้น และการใช้เคร่ืองมือส่ือสารทางอินเทอร์เน็ตเพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นตอบคําถาม การวเิ คราะหป์ ญั หา สามารถดําเนินการไดท้ งั้ แบบรายบุคคลและเป็นกลุ่มเล็ก(3-4 คน) เช่น อเี มล กระดานสนทนา บลอ็ ก วกิ ิ หรอื สอ่ื เครอื ข่ายสงั คมต่าง ๆ (social networking media)(หมายเหตุ กระดานสนทนา บลอ็ ก และวกิ ิ สามารถออกแบบใหท้ าํ งานเฉพาะกลุ่มเลก็ ได)้76 อเี ลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 3 วธิ สี อนแบบอเี ลริ น นงิขนั้ ที่ 2 วิเคราะหป์ ัญหา ขนั้ น้เี สนอความคดิ มมุ มองของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในกรณีศกึ ษาต่อปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ จุดประสงค:์ เพ่อื ให้ผู้เรยี นพจิ ารณาความคดิ มุมมองของผู้ท่มี ีส่วนเก่ยี วขอ้ งต่อปญั หาท่เี กิดข้นึชว่ ยทาํ ใหเ้ ปิดความคดิ ทก่ี วา้ งขน้ึ ภาระงานของผเู้ รียน: พจิ ารณาปญั หาในมมุ มองทห่ี ลากหลาย และปรบั แกค้ วามคดิ ในการแกป้ ญั หาหรอื ยนื ยนั สื่อการเรยี นการสอน: การนําเสนอกรณศี กึ ษาผ่านสอ่ื รูปแบบต่าง ๆ (Text media or Rich media)เช่น ขอ้ ความ คลปิ เสยี ง คลปิ วดิ โี อ เป็นตน้ และการใชเ้ คร่อื งมอื สอ่ื สารทางอนิ เทอรเ์ น็ตเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นตอบคาํ ถาม การวเิ คราะหป์ ญั หา สามารถดําเนินการไดท้ งั้ แบบรายบุคคลและเป็นกลุ่มเลก็ (3-4 คน) เช่น อเี มลกระดานสนทนา บลอ็ ก วกิ ิ หรอื ส่อื เครอื ข่ายสงั คมต่าง ๆ (social networking media) (หมายเหตุ กระดานสนทนา บลอ็ ก และวกิ ิ สามารถออกแบบใหท้ าํ งานเฉพาะกลุม่ เลก็ ได)้ขนั้ ท่ี 3 เสนอทางแก้ปัญหา ขนั้ น้ีเสนอความคดิ มุมมองของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในกรณีศกึ ษาทม่ี ตี ่อทางแกไ้ ขปญั หา จดุ ประสงค:์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นพจิ ารณาความคดิ มุมมองของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งต่อปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึช่วยทาํ ใหเ้ ปิดความคดิ ทก่ี วา้ งขน้ึ ภาระงานของผู้เรียน: พิจารณามุมมองการแก้ปญั หาท่ีหลากหลาย และปรับแก้ความคิดในการแกป้ ญั หา หรอื ยนื ยนั ส่ือการเรยี นการสอน: การนําเสนอกรณศี กึ ษาผ่านสอ่ื รูปแบบต่าง ๆ (Text media or Rich media)เช่น ขอ้ ความ คลปิ เสยี ง คลปิ วดิ โี อ มลั ตมิ เี ดยี เป็นต้น และการใชเ้ คร่อื งมอื สอ่ื สารทางอนิ เทอร์เน็ตเพ่อื ให้ผเู้ รยี นตอบคาํ ถามการวเิ คราะหป์ ญั หา สามารถดําเนินการไดท้ งั้ แบบรายบุคคลและเป็นกลุ่มเลก็ (3-4 คน)เช่น อเี มล กระดานสนทนา บลอ็ ก วกิ ิ หรอื สอ่ื เครอื ขา่ ยสงั คมต่าง ๆ (social networking media) (หมายเหตุกระดานสนทนา บลอ็ ก และวกิ ิ สามารถออกแบบใหท้ าํ งานเฉพาะกลมุ่ เลก็ ได)้ อเี ลิรน นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 77

บทที่ 3 วิธสี อนแบบอีเลิรนนิง ขนั้ ที่ 4 ตดั สินใจ ขนั้ น้ีเป็นการเช่อื มโยงกบั ความรู้ท่เี ป็นหลกั การ ทฤษฎี และขอ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ท่เี ก่ยี วขอ้ ง ผู้เรยี น จะตอ้ งศกึ ษาขอ้ มลู ดงั กล่าว เพ่อื ใชใ้ นการคดิ ตนั ใจทางแกป้ ญั หาอกี ครงั้ จุดประสงค์: เพ่ือช่วยให้ผู้เรียนได้เช่ือมโยงความรู้โดยการประยุกต์ใช้ความรู้ท่ไี ด้ศึกษาใน การกาํ หนดทางแกไ้ ขปญั หา ภาระงานของผ้เู รียน: ศกึ ษาหลกั การ ทฤษฎี และขอ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง พจิ ารณามุมมอง การแกป้ ญั หาทห่ี ลากหลาย และปรบั แกค้ วามคดิ ในการแกป้ ญั หา หรอื ยนื ยนั ส่ือการเรียนการสอน: การนําเสนอเน้ือหาความรผู้ ่านส่อื รูปแบบต่าง ๆ (Text media or Rich media) เชน่ ขอ้ ความ คลปิ เสยี ง คลปิ วดิ โี อ มลั ตมิ เี ดยี เป็นตน้ และแหล่งเรยี นรภู้ ายนอก เช่น เวบ็ ไซต์ต่าง ๆ ทค่ี ดั สรร โดยผูส้ อน และหรอื ผเู้ รยี นคน้ หาเพม่ิ เตมิ ผ่าน search engine และการใชเ้ คร่อื งมอื ส่อื สารทางอนิ เทอรเ์ น็ต เพ่ือให้ผู้เรยี นตอบคําถามการวเิ คราะห์ปญั หา สามารถดําเนินการได้ทงั้ แบบรายบุคคล และเป็นกลุ่มเล็ก (3-4 คน) เช่น อเี มล กระดานสนทนา บลอ็ ก วกิ ิ หรอื ส่อื เครอื ข่ายสงั คมต่าง ๆ (social networking media) (หมายเหตุ กระดานสนทนา บลอ็ ก และวกิ ิ สามารถออกแบบใหท้ าํ งานเฉพาะกลุ่มเลก็ ได)้ ขนั้ ที่ 5 สะท้อนคิดจากผลของทางเลอื ก ผเู้ รยี นไดร้ บั การประเมนิ ผลของทางเลอื กทเ่ี สนอไว้ (จากมุมมองความคดิ เหน็ ของผทู้ ม่ี สี ว่ นเกย่ี วขอ้ ง) และหลงั จากการไดร้ บั ขอ้ ตชิ มแลว้ ผเู้ รยี นเขยี นบนั ทกึ สะทอ้ นคดิ ต่อสงิ่ ทไ่ี ดเ้ รยี นรจู้ ากกรณศี กึ ษา จุดประสงค:์ เพ่อื ให้ผู้เรียนไดร้ บั การประเมนิ ตามสภาพจริง และเกดิ การสะท้อนคดิ ถึงวธิ ีการคดิ แกป้ ญั หาของตนเอง ภาระงานของผเู้ รยี น: เตรยี มนําเสนอผลการวเิ คราะหแ์ ละทางแกป้ ญั หาแก่เพ่อื นร่วมชนั้ และผสู้ อน ซง่ึ สามารถนําเสนอไดห้ ลากหลายวธิ กี าร เช่น การนําเสนอดว้ ย PPT การนําเสนอดว้ ยสถานการณ์จําลอง เป็นตน้ สื่อการเรียนการสอน: การใชเ้ คร่อื งมอื สอ่ื สารทางอนิ เทอรเ์ น็ตเพ่อื สอ่ื สารระหว่างผสู้ อนกบั ผเู้ รยี น และระหว่างผูเ้ รยี นดว้ ยกนั เพ่อื ประเมนิ ทางเลอื กนัน้ ๆ ทงั้ แบบรายบุคคลและเป็นกลุ่มเล็ก (3-4 คน) เช่น อเี มล กระดานสนทนา บลอ็ ก วกิ ิ หรอื สอ่ื เครอื ขา่ ยสงั คมต่าง ๆ (social networking media) (หมายเหตุ กระดานสนทนา บลอ็ ก และวกิ ิ สามารถออกแบบใหท้ าํ งานเฉพาะกลมุ่ เลก็ ได)้78 อเี ลิรน นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 3 วิธีสอนแบบอเี ลริ น นงิการออกแบบการสอนด้วยกรณีศกึ ษาด้วยอีเลิรน์ นิง - พจิ ารณาและออกแบบสอ่ื และเทคโนโลยที ใ่ี ชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะการเรยี นรใู้ นแต่ละขนั้ ตอน - การเตรยี มผเู้ รยี นสาํ หรบั การเรยี นแบบอภปิ ราย - การเตรยี มผเู้ รยี นใหพ้ รอ้ มกบั การสอ่ื สารผา่ นทางคอมพวิ เตอร์ - ออกแบบและจดั เตรยี มกรณีศกึ ษาใหพ้ รอ้ มรวมทงั้ ขอ้ มลู ขา้ งเคยี งทจ่ี าํ เป็น - ออกแบบและจดั เตรยี มเกณฑก์ ารประเมนิ ตามสภาพจรงิ จากวธิ กี ารสอนทน่ี ําเสนอมาขา้ งต้นแลว้ ในการนําวธิ กี ารสอนเหล่าน้ีส่กู ารปฏบิ ตั จิ รงิ ผสู้ อนแบบอเี ลริ น์ นิงควรออกแบบการสอนใหเ้ ป็นเสมอื นหรอื ใกล้เคยี งกบั การสอนในหอ้ งเรยี นปกติ โดยใชเ้ คร่อื งมอืจากโปรแกรมระบบจดั การเรยี นการสอน ท่ไี ด้จดั เตรยี มเคร่อื งมือต่าง ๆ ไว้ ร่วมกบั เคร่อื งมอื ส่อื สารบนอนิ เทอร์เน็ตอ่ืน ๆ ประกอบ เพ่อื ทําให้ผู้สอนได้ใช้วิธีการสอนจากการสอนปกติในห้องเรียนมาสอนในห้องเรยี นอีเลิร์นนิง โดยหลกั สําคญั คอื วิธีการสอนหรอื วิธีการส่อื สารจะเป็นตัวกําหนดการใช้เคร่ืองมือดงั กล่าว ทงั้ น้ีเพ่ือให้เกิดความชดั เจน ในการสอนอีเลิร์นนิง ผู้สอนควรส่อื สารกบั ผู้เรยี นก่อนสอน ด้วยแผนการเรยี นรู้ของแต่ละครงั้ เพ่อื ให้เขา้ ใจภาพของการเรยี นการสอนในครงั้ นัน้ ตวั อย่างการออกแบบแผนการเรยี นรู้ เพอ่ื การสอนอเี ลริ น์ นิง แสดงดงั ตาราง อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 79

บทที่ 3 วธิ ีสอนแบบอีเลิรนนิงแผนการเรยี นรวู้ ิชา การประกนั คณุ ภาพอีเลิรน์ นิง (Quality Assurance in e-Learning) สปั ดาหท่ี 2 ผสู อน: ผชู ว ยศาสตราจารย ดร.ฐาปนีย ธรรมเมธา โครงการมหาวิทยาลยั ไซเบอรไทย หลกั สตู ร ผเู ชียวชาญอเี ลริ นนงิ วชิ า การประกนั คุณภาพอีเลริ นนิงวัตถปุ ระสงคเชิงพฤตกิ รรม กาํ หนดการเรียน• ผูเรยี นระบุความมุงหมาย หลักการและแนวทางการประกนั คณุ ภาพการศึกษาแบบอีเลริ นนิง วันที่ 17-23 ม.ี ค. 2553• ผเู รยี นสรุปและสังเคราะหระบบและรปู แบบการประกันคณุ ภาพการศึกษาแบบอเี ลิรน นงิ แนวคดิ ตาง ๆลําดบั วตั ถุประสงค เน้อื หา/ สือ่ การเรยี น กจิ กรรม / วิธีการเรยี นการสอน การประเมินผล1 ผูเรยี นระบคุ วามมงุ หมาย หลักการ เน้อื หา - ผเู รยี นเขยี นบันทกึ ความรเู กยี่ วกบั หลกั การและแนวทางการประกันคณุ ภาพ หลักการและแนวทางการประกนั และแนวทางการประกันคณุ ภาพการศกึ ษาแบบ -ผลงานการเขยี นบนั ทกึ (ม/ี ไมม)ีการศกึ ษาแบบอเี ลิรน นงิ คุณภาพการศึกษาแบบอเี ลริ นนิง เลิรน นิงแนวคิด (กระดานกิจกรรม 2.1) รูปแบบการประกันคณุ ภาพตาม2 ผูเ รยี นสรปุ และสงั เคราะหร ะบบและ แนวคดิ ตาง ๆ - ผูเรยี น แลกเปลย่ี นแหลงเรยี นรดู านประกัน -การมสี ว นรว มในการแลกเปลย่ี นรปู แบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษา สื่อการเรียน คุณภาพการศึกษาแบบอีเลิรน นงิ แหลง เรียนรูแบบอีเลริ นนงิ แนวคดิ ตาง ๆ 1. เอกสารประกอบการสอน (กระดานกิจกรรม 2.2) 2. แหลง เรยี นรูจากเวบ็ ไซต ภายนอก อีเลิรน นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 1

บทที่ 4 ปฏสิ มั พนั ธการเรยี นการสอนแบบอเี ลิรนนงิ ปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น์ นิงมบี ทบาททส่ี าํ คญั ยง่ิ ในการติต่อส่อื สารระหว่างผูส้ อนกบั ผูเ้ รยี น เพราะเม่อื เปลย่ี นรูปแบบการสอนจากในหอ้ งเรยี นปกติไปสู่หอ้ งเรยี นทใ่ี ช้อนิ เทอร์เน็ตเป็นช่องทางการสอ่ื สาร จากเดมิ ทผ่ี สู้ อนและผเู้ รยี นใชก้ ารส่อื สารดว้ ยคําพูดทางวาจาเป็นหลกั แต่เม่อื เปลย่ี นวธิ กี ารเรียนเป็นแบบอีเลิร์นนิงแล้ว การส่อื สารนัน้ จะใช้การเขยี นข้อความมากกว่าการใช้คําพูด และต้องใช้เคร่ืองมือในการส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ต เพ่ือให้เกิดปฏิสัมพันธ์ทางการเรียน ระบบบริหารจดั การเรยี นการสอนทงั้ หลายจงึ ไดจ้ ดั เตรยี มทงั้ เคร่อื งมอื และวธิ กี ารสอ่ื สารการสอนไวใ้ ชผ้ สู้ อนและผเู้ รยี นได้ส่อื สารกนั เป็นหลกั ดงั นนั้ ในบทน้ีจะกล่าวถงึ (1) ปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง (2) รูปแบบปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิง (3) ปฏสิ มั พนั ธก์ บั รปู แบบการสอนต่าง ๆ และ (4) ตวั อย่างการออกแบบปฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นงิ 1. ปฏิสมั พนั ธ์การเรียนการสอนแบบอีเลิรน์ นิง ปฏสิ มั พนั ธ์ เป็นการกระทําหรอื กจิ กรรมระหว่างของสองสงิ่ สอง หรอื หลายสงิ่ เพ่อื ให้ผลลพั ธท์ ่ดี ีมีประโยชน์หรืออาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสิ่งท่ีกระทําหรือตอบโต้ ในการเรียนรู้ด้วยคอมพิวเตอร์พบว่าปฏิสมั พันธ์เป็นองค์ประกอบด้านหน่ึงท่ที ําให้ส่อื การเรียนรู้ทางคอมพิวเตอร์มีลกั ษณะชดั เจนส่อืการเรยี นรใู้ นลกั ษณะอน่ื ๆ เช่น สอ่ื สง่ิ พมิ พ์ บทเรยี นโปรแกรม ชุดการเรยี น สอ่ื วดี ทิ ศั น์ ในทน่ี ้ีขอนําเสนอเฉพาะปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างระบบอเี ลริ ์นนิง กบั ผู้ใช้อเี ลริ ์นนิง โดยการศกึ ษาเก่ียวกบั ปฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างผใู้ ช้ กบั คอมพวิ เตอร์ (Human-computer interaction :HCI), การตดิ ต่อกบั ผใู้ ช้ (user interface), การตดิ ต่อกบั ผใู้ ชด้ ว้ ยกราฟิก Graphical User Interface (GUI) เป็นต้น ดงั นนั้ การเรยี นอเี ลริ น์ นิงจงึ มลี กั ษณะทใ่ี ช้ปฏสิ มั พนั ธก์ ารติดต่อส่อื สารการเรยี นการสอนมากท่สี ุด เพราะเป็นการจดั การเรยี นรูท้ ่ที ดแทนการสอนในหอ้ งเรยี นปกติ การเรยี นอเี ลริ น์ นิงมลี กั ษณะดา้ นการสรา้ งปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น และกําหนดใหผ้ เู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธ์สนองตอบต่อโปรแกรมเป็นปฏสิ มั พนั ธก์ ารส่อื สารทงั้ ทางเดยี ว และปฏสิ มั พนั ธส์ องทาง ดงั นนั้ การออกแบบปฏสิ มั พนั ธท์ เ่ี หมาะสมจะชว่ ยใหก้ ารสอ่ื สารการเรยี นการสอนบรรลวุ ตั ถุประสงค์ อเี ลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 81

บทท่ี 4 ปฏสิ มั พันธการเรยี นการสอนแบบอีเลริ นนิง ภาพที่ 4.1 ลกั ษณะการเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น์ นิง ลกั ษณะปฏิสมั พนั ธใ์ นการเรยี นแบบอีเลิรน์ นิง ปฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิงเป็นการสอ่ื สารระหว่างผสู้ ง่ สารกบั ผรู้ บั สารตามกระบวนการ ส่อื สารซง่ึ การส่อื สารการเรยี นการสอนในการเรยี นอเี ลริ น์ นิง คอื ผเู้ รยี นกบั เน้ือหา และกจิ กรรมการเรยี นรู้ ท่ีอยู่ในระบบหรือเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ผู้สอนกบั ผู้เรียน บทเรียนกบั ผู้เรียน ผู้เรียนกบั ผู้เรียน เป็นต้น เพอ่ื ความชดั เจนในการแสดงปฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิง ไดด้ งั ภาพ ภาพท่ี 4.2 ปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นแบบอเี ลริ น์ นงิ82 อเี ลริ นนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 4 ปฏิสัมพันธก ารเรียนการสอนแบบอีเลิรน นิง มผี ลการศกึ ษาแนวคดิ ด้านปฏิสมั พนั ธ์ในการเรยี นการสอนแบบอเี ลริ ์นนิงไว้หลายเร่อื งดว้ ยกนัในทน่ี ้ขี อเสนอแนวคดิ ตามลาํ ดบั 1) รอดด์ (Rhode,2007) 2) โชน (Schone, 2007) 3) มวั ส์ (Moore, 1993)และ 4) สวอน (Swan, 2004) โดยรายละเอยี ดแสดงแนวคดิ ต่าง ๆ ดงั น้ี รอดด์ (Rhode, 2007) ไดน้ ําเสนอปฏสิ มั พนั ธใ์ นอเี ลริ น์ นิง 2 ประเภท คอื 1.ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบทางการ (Formal Interaction) เป็นปฏสิ มั พนั ธใ์ นลกั ษณะทก่ี ําหนดใหผ้ ู้เรยี นและผู้สอนแบบอีเลิร์นนิงมีกิจกรรมร่วมกนั ตามการส่ือสารการเรียนการสอน โดยการกําหนดบทบาททแ่ี น่นอนของวธิ กี ารปฏสิ มั พนั ธ์ เชน่ เดยี วกบั การเรยี นในหอ้ งเรยี นปกตทิ ผ่ี สู้ อน และผเู้ รยี นสามารถสอ่ื สารการเรยี นการสอนร่วมกนั แบ่งเป็นลกั ษณะปฏสิ มั พนั ธ์ 5 ลกั ษณะ คอื 1.1 ผสู้ อนมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้ือหา (Instructor-Content Interaction) 1.2 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น (Learner-Learner Interaction 1.3 เน้อื หามปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้ือหา (Content-Content Interaction) 1.4 ผสู้ อนมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น (Instructor-Learner Interaction) 1.5 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้อื หา (Learner-Content Interaction) จากลกั ษณะปฏสิ มั พนั ธท์ งั้ 5 รปู แบบ สามารถสรปุ ไดด้ งั ภาพ ภาพท่ี 4.3 ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบเป็นทางการ 2. ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบไม่เป็นทางการ (Informal Interaction) แบ่งเป็นลกั ษณะปฏสิ มั พนั ธ์ 6 ลกั ษณะ คอื 2.1 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผเู้ รยี น (Learner-Learner Interaction) 2.2 ผสู้ อนมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้ือหา (Instructor-Content Interaction) 2.3 เน้ือหามปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้ือหา (Content-Content Interaction) 2.4 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้อื หา (Learner-Content Interaction) 2.5 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั เครอื ขา่ ย (Learner-Network Interaction) 2.6 ผเู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั กลมุ่ ปฏสิ มั พนั ธ์ (Learner-Collective Interaction) อเี ลริ น นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice 83

บทท่ี 4 ปฏิสัมพนั ธก ารเรียนการสอนแบบอเี ลิรน นงิ ภาพที่ 4.4 ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบไม่เป็นทางการ จากปฏสิ มั พนั ธก์ ารเรยี นอเี ลริ น์ นิง เกย่ี วขอ้ งกบั องคป์ ระกอบ 3 สว่ น คอื 1. ผสู้ อน 2. ผเู้ รยี น และ 3. เน้ือหา ดงั ภาพ ภาพที่ 4.5 องคป์ ระกอบปฏสิ มั พนั ธ์ ดงั นัน้ การเรยี นอเี ลริ น์ นิงทผ่ี ู้เรยี นและผสู้ อนอยู่ในสภาพแวดลอ้ มออนไลน์ร่วมกนั เม่อื นํารปู แบบ ปฏิสมั พนั ธ์แบบทางและแบบไม่เป็นทางมาใช้ร่วมกนั เพ่ือการออกแบบและพฒั นาการเรยี นอีเลิร์นนิง สามารถสรปุ ความสมั พนั ธข์ องรปู แบบปฏสิ มั พนั ธท์ งั้ สอง ไดด้ งั แผนภาพ ภาพที่ 4.6 ความสมั พนั ธข์ องรปู แบบปฏสิ มั พนั ธแ์ บบทางการและไม่ทางการ ทม่ี า: http://www.flickr.com/photos/jrhode/2041352741/in/set-7215759450293398184 อเี ลริ นนงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทที่ 4 ปฏสิ มั พนั ธการเรียนการสอนแบบอีเลิรน นิง แนวคดิ ของ โชน (Schone, 2007) ไดเ้ สนอรูปแบบปฏสิ มั พนั ธข์ องการเรยี นอเี ลริ น์ นิงเป็น 4 รปู แบบคอื ภาพท่ี 4.7 ปฏสิ มั พนั ธแ์ นวคดิ ของโชน (Schone, 2007) 1. ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบนิ่ง (Passive Interaction) ระดบั การเรยี นเพยี งรบั สารสนเทศ โดยอ่านขอ้ ความ จากหน้าจอ ดภู าพกราฟิก แผนภาพ แผนภูมิ 2. ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบจาํ กดั (Limited Interaction) ระดบั ทม่ี กี ารกําหนดการสอ่ื สารเรยี นการสอนแบบง่าย ๆ เช่น แบบฝึกหดั , หน้าต่าง pop-up, rollovers หรอื มภี าพเคล่อื นไหว การจบั คู่ท่เี ก่ยี วขอ้ ง กบั ขอ้ ความ ผปู้ ฏบิ ตั เิ รยี นตามกระบวนการหรอื ขนั้ ตอน อาจจะโตต้ อบกบั ภาพเคล่อื นไหว 3. ปฏสิ มั พนั ธแ์ บบซ้าํ ซอ้ น (Complex Interaction) ผเู้ รยี นมรี ูปแบบการโตต้ อบทห่ี ลากหลายมากขน้ึ เช่น อาจต้องป้อนขอ้ ความในกล่องและ ยา้ ยขอ้ ความ ทดสอบการประเมนิ ขอ้ มูลทน่ี ําเสนอ ป้อนขอ้ มลู จรงิ ลงในช่องวา่ ง 4. ปฏสิ มั พนั ธ์ในเวลาจรงิ (Real-Time Interaction) ปฏสิ มั พนั ธท์ ก่ี ําหนดให้เกดิ ขน้ึ แบบเสมอื นจรงิ ในเวลาเดียวกนั กบั สภาพแวดลอ้ มบนเครอื ข่าย เช่น กําหนดเป็นสถานการณ์ สภาพแวดล้อม ใหผ้ เู้ รยี นตอบสนองโดยการรว่ มมอื กนั อีเลิรน นงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบัติ e-Lerning: from theory to practice 85

บทท่ี 4 ปฏิสมั พันธการเรียนการสอนแบบอีเลิรนนิง มวั ส์ (Moore, 1993) นักวชิ าการในวงการการศกึ ษาทางไกล ไดแ้ บ่งรปู แบบของปฏสิ มั พนั ธ์ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในการเรยี นทางไกลไว้ 3 รปู แบบ กล่าวคอื 1) ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ รยี นกบั เน้อื หา (Learner-content interaction) ปฏสิ มั พนั ธล์ กั ษณะน้ีเกดิ ขน้ึ จากการทม่ี กี ารออกแบบรูปแบบของบทเรยี นทส่ี ร้างปฏสิ มั พนั ธ์ให้ ผเู้ รยี นไดม้ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั เน้ือหา ซง่ึ สะทอ้ นผ่านการตงั้ คําถาม การเลอื กหาคําตอบจากบทเรยี นเพ่อื ให้ ผเู้ รยี นไดค้ ดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และประเมนิ 2) ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ รยี นกบั ผสู้ อน (Learner-instructor interaction) ปฏสิ มั พนั ธล์ กั ษณะน้เี ป็นการสอ่ื สารแลกเปลย่ี นความรรู้ ะหว่างผสู้ อนกบั ผเู้ รยี น ซง่ึ ผเู้ รยี นจะไดร้ บั การกระตุ้นความสนใจจากผู้สอนดว้ ยการตงั้ คําถาม การอภปิ ราย ซง่ึ ทําใหเ้ กดิ การส่อื สารสองทาง ผู้สอน สามารถใหผ้ ลป้อนกลบั (Feedback) แก่ผเู้ รยี นกลบั รวมทงั้ การประเมนิ ความเขา้ ใจในการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น ดว้ ย 3) ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี น (Learner-learner interaction) ปฏสิ มั พนั ธล์ กั ษณะน้ีเป็นการสอ่ื สารทเ่ี กดิ ขน้ึ ระหว่างผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี นทงั้ การสอ่ื สารแบบประสาน เวลา และไม่ประสานเวลา การส่อื สารโต้ตอบกันระหว่างผู้เรยี นสามารถกระทําได้ทงั้ แบบหน่ึงต่อหน่ึง และแบบหน่ึงต่อกลุ่มเลก็ และหน่งึ ต่อกล่มุ ใหญ่ สวอน (Swan, 2004) ไดศ้ กึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหว่างปฏสิ มั พนั ธก์ บั การเรยี นรใู้ นสภาพการเรยี นอี เลริ น์ นิง พบว่าประสทิ ธภิ าพของการเรยี นรเู้ กดิ ขน้ึ จากปฏสิ มั พนั ธท์ เ่ี กดิ ขน้ึ ระหว่างการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิง 4 แบบคอื 1) ปฏสิ มั พนั ธก์ บั เน้อื หา เป็นสว่ นทผ่ี เู้ รยี นแสดงออกทางปญั ญา (Cognitive presence) 2) ปฏิสมั พนั ธ์กบั ผู้สอน เป็นส่วนท่ผี ู้เรียนติดต่อกับผู้สอน ทําให้เหน็ ว่าผู้สอนดําเนินการสอน (Teaching presence) 3) ปฏสิ มั พนั ธ์กบั เพ่อื นร่วมชัน้ เป็นส่วนท่ผี ู้เรียนส่อื สารกบั เพ่อื นร่วมชนั้ ทําให้เห็นว่ามสี งั คม เกดิ ขน้ึ (Social presence) 4) ปฏสิ มั พนั ธก์ บั สว่ นต่อประสาน (Interface) ทอ่ี อกแบบใหผ้ เู้ รยี นตดิ ต่อกบั บทเรยี นออนไลน์86 อีเลิรนนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 4 ปฏิสัมพันธก ารเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น นงิ ภาพที่ 4.8 รปู แบบปฏสิ มั พนั ธ์ ทม่ี า: Swan (2004) เม่อื ผเู้ รยี นเขา้ สรู่ ะบบการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นงิ โดยผ่านระบบบรหิ ารจดั การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นจะพบกบัสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรแู้ บบใหม่ ผเู้ รยี นมกั ความคาดหวงั ต่อการเรยี นรใู้ นรปู แบบน้ี ทใ่ี หอ้ สิ ระและสามารถทจ่ี ะเขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรยี นรไู้ ด้ ดงั นนั้ ผเู้ รยี นมคี วามตอ้ งการทจ่ี ะรถู้ งึ วธิ กี ารและทกั ษะสาํ คญั ทจ่ี ะตอ้ งมตี ่อการเรยี นรู้ในระบบแบบอเี ลริ ์นนิงทจ่ี ะช่วยให้การเรียนประสบความสาํ เรจ็ สําหรบวธิ ีและทกั ษะสําคญั ท่ีผเู้ รยี นจะต้องมนี ัน้ จําเป็นทจ่ี ะต้องได้รบั การสนบั สนุนส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นพฒั นาทกั ษะเหล่านัน้ ได้ นอกจากการเน้นทก่ี ารสอ่ื สารปฏสิ มั พนั ธ์ทม่ี ากเพยี งพอในการสนบั สนุนการเรยี นแลว้ McLoughlin and Marshall(2000) ไดเ้ สนอแนวคดิ การชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี น (Scaffolding) ในสภาพการเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น์ นิงไวด้ งั น้ี(1) การจดั ใหม้ กี ารสนับสนุนช่วยเหลอื แบบเพ่อื นช่วยเพ่อื น (2) การส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นควบคุมและกํากบั ตนเอง อเี ลริ นนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice 87

บทท่ี 4 ปฏิสัมพนั ธการเรยี นการสอนแบบอีเลริ นนิง (3) การใหข้ อ้ มูลป้อนกลบั ทเ่ี หมาะสมกบั เวลา (4) มวี ธิ กี ารเรยี นรูห้ ลากหลายรปู แบบ และ (5) อธบิ าย บทบาทและความคาดหวงั สาํ หรบั ผเู้ รยี น โดยสง่ิ สนบั สนุนทงั้ 4 ประการน้ี จะทําใหป้ ฏสิ มั พนั ธ์ในการเรยี นแบบอเี ลริ น์ นิงไดร้ บั ความสาํ เรจ็ มากยงิ่ ขน้ึ เน่ืองจากปฏิสมั พนั ธ์การเรยี นการสอนแบบอเี ลริ ์นนิงนัน้ ต้องอาศยั ระบบคอมพวิ เตอร์สนับสนุน การเรยี นรรู้ ว่ มกนั (Computer-Supported Collaborative Learning) เน้นเทคโนโลยที ช่ี ว่ ยใหผ้ เู้ รยี นสามารถ ทาํ งานร่วมกนั ไดท้ งั้ ในหอ้ งเรยี นและนอกหอ้ งเรยี น เป็นการสอ่ื สารผ่านคอมพวิ เตอร์ (Computer-Mediated Communication) หมายถงึ การส่อื สารท่มี ปี ฏสิ มั พนั ธ์ระหว่างบุคคลผ่านทางระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอร์ (Herring, 2003) ทาํ ใหก้ ารตดิ ต่อส่อื สารระหว่างกนั สะดวก รวดเรว็ และมปี ฏสิ มั พนั ธม์ ากขน้ึ กว่าขอ้ จํากดั ในการพบปะกนั เน่อื งจากความต่างดา้ นเวลา และสถานท่ี การใชเ้ ครอื ข่ายคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ มาช่วยสนับสนุน การเรียนรู้จึงกลายเป็นองค์ประกอบหน่ึงของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกนั หรือการจดั การเรียน แบบร่วมมือ เทคโนโลยีการส่ือสารท่ีเกิดข้ึนจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ดังนัน้ จึงนิยมแบ่งรูปแบบ ปฏิสัมพันธ์การส่ือสารการเรียนการสอนแบบอีเลิร์นนิง โดยแบ่งตามมิติของเวลาได้ 2 ลักษณะคือ ปฏิสมั พนั ธ์แบบไม่ประสานเวลา (Asynchronous) และ ปฏสิ มั พนั ธ์แบบประสานเวลา (Synchronous) โดยไดก้ ลา่ วถงึ มาหลายครงั้ ในบทกอ่ น ๆ นอกจากน้ี ลกั ษณะการส่อื สารปฏิสมั พนั ธ์ และการมีส่วนร่วมในการทํางานของผู้เรยี น ผู้สอน สามารถเลือกใช้เคร่ืองมือเทคโนโลยีท่ีสนับสนุนการทํางานร่วมกนั ได้ทงั้ แบบให้ผู้เรยี นทํางานคนเดยี ว และทาํ งานร่วมกนั เป็นกลุม่ ในทน่ี ้ีเสนอตวั อย่างการใชก้ จิ กรรมการเรยี นรรู้ ่วมกนั ช่วยพฒั นาทงั้ เน้ือหาขอ้ มูล เช่นการใช้ วกิ ิ (wiki) เป็นเคร่อื งมือสําหรบั การทํางานการเขยี นงานของผู้เรียนร่วมกนั ของผู้เรยี นแบบ อีเลิร์นนิงท่ีจะใช้ปฏิสัมพนั ธ์การเรียนร่วมกัน มีปฏิสมั พันธ์กับการเขียนวิกิของตนเอง โดยการเขียน และปรบั แกไ้ ขงานของตนเอง หรอื ปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผู้เรยี นหลายๆ คน ร่วมกนั เขยี นวกิ ิ แต่ปรบั แก้ไขเฉพาะ สว่ นงานของตนเองจนถงึ การทผ่ี เู้ รยี นมปี ฏสิ มั พนั ธก์ บั ผูเ้ รยี นดว้ ยหลาย ๆ คนโดยร่วมกนั เขยี นและแกไ้ ข งานของทุก ๆ คนไดท้ งั้ หมด จากตวั อยา่ งการเขยี นวกิ นิ ้เี ป็นการแสดงปฏสิ มั พนั ธท์ างการเรยี นการสอนแบบ อเี ลริ น์ นงิ วธิ หี น่งึ ทช่ี ดั เจนมาก88 อีเลริ นนงิ : จากทฤษฎีสกู ารปฏิบตั ิ e-Lerning: from theory to practice

บทท่ี 4 ปฏิสมั พนั ธก ารเรยี นการสอนแบบอเี ลริ น นงิตารางท่ี 4.1 ลกั ษณะการใชเ้ ทคโนโลยที เ่ี ออ้ื ต่อการเขยี นวกิ ริ ว่ มกนั นอกจากน้ีการเลอื กใช้เทคโนโลยที ่เี อ้อื ต่อการมปี ฏสิ มั พนั ธใ์ นการเรยี นและการทํางานร่วมกนั ในอเี ลริ น์ นงิ สามารถ ทาํ ไดห้ ลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ 1) แบบตดิ ตงั้ ชุดคําสงั่ ทเ่ี รยี กว่า Wiki Software ในระบบคอมพวิ เตอรแ์ ม่ข่าย (Server computer)ของหน่วยงานได้ ซง่ึ เป็นซอฟตแ์ วรป์ ระเภท open source สามารถหาดาวน์ โหลดโปรแกรมเพ่อื ตดิ ตงั้ กบัระบบคอมพวิ เตอรแ์ มข่ า่ ยภายในหน่วยงานได้ เชน่ Twiki และ Mediawiki เป็นตน้ 2) แบบทไ่ี มต่ อ้ งตดิ ตงั้ โปรแกรม แต่เป็นการทาํ งานผ่านเวริ ล์ ไวดเ์ วบ็ ซง่ึ มที งั้ แบบใหใ้ ชบ้ รกิ ารโดยไม่คดิ ค่าธรรมเนียม ไดแ้ ก่ Google Docs เป็นตน้ หรอื แบบทค่ี ดิ ค่าใชบ้ รกิ าร ไดแ้ ก่ Pbwiki, Wikispacesเป็นตน้ 3) แบบทต่ี ดิ ตงั้ ร่วมอย่ใู นระบบบรหิ ารจดั การการเรยี นรู้ (Learning Management System) เช่นMoodle Blackboard, Design 2Learn เป็นตน้ อีเลริ น นงิ : จากทฤษฎสี กู ารปฏบิ ตั ิ e-Lerning: from theory to practice 89


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook