สารบัญ บทที่ หนา ๑ บทนำ…………………………………………………………………………………………………………………………… ๑ ๑.๑ ควำมเป็นมำ..………………………………………………………..…………………………………………… ๑ ๑.๒ วัตถุประสงคของกำรศึกษำ...................………….……………………………………………………… ๒ ๑.๓ ควำมสำคญั ของกำรศกึ ษำ...................….….…………………………………………………………..... ๒ ๑.๔ ขอบเขตของกำรศึกษำ....................………………………………………………………………………. ๓ ๑.๕ กรอบแนวคิดของกำรศึกษำ................…………………………………………………………………… ๓ ๑.๖ นยิ ำมศัพทเฉพำะ……………………………………………………………………………………………… ๓ ๑.๗ ประโยชนท่ีคำดว่ำจะไดร้ บั .......................................................................................... ๔ ๕ ๒ เอกสำรทเ่ี ก่ียวขอ้ ง………………………………………………………………………………………. ๕ ๒.๑ โครงกำรปฐมนเิ ทศโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจใุ หม่ (ครผู ู้ชว่ ย).................………………..…. ๙ ๒.๒ หลักสตู รกำรปฐมนเิ ทศครูผชู้ ่วย…………………………………………..………………………………. ๗๗ ๒.๓ กำรประชุมโดยใช้ True VROOM……………………………………………………………………… ๑๐๔ ๓ วธิ ีดำเนินกำรศึกษำ.…………………………………………………………………………………………………......... ๑๐๔ ๓.๑ วธิ ีดำเนินกำรศกึ ษำ.....................……………………………………………………………….…………… ๑๐๕ ๓.๒ ประชำกรทศี่ กึ ษำ……………………………………………………………………………………………….. ๑๐๕ ๓.๓ เคร่องมอที่ใช้ในกำรศึกษำ.................………………………………………………………….………… ๑๐๕ ๓.๔ กำรเกบรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………………………………......
บทท่ี ๑ บทนา ๑.๑ ความเปน็ มา เน่องจำกผู้ที่เป็นครูจำเป็นต้องมีวินัย คุณธรรม และจิตสำนึกของควำมเป็นครูอยู่ในจิตใจ เพ่อให้กำร ปฏิบัติงำนด้ำนกำรเรียนกำรสอนเป็นไปอย่ำงมีคุณภำพ และเป็นแบบอย่ำงที่ดีของเยำวชนและสังคมได้ สำหรับ ข้ำรำชกำรครูผชู้ ว่ ย เป็นกลไกและเปน็ พลงั สำคัญในกระบวนกำรทำงกำรศึกษำ เพ่อสรำ้ งสรรคและพัฒนำเยำวชน ให้เป็นทรัพยำกรมนุษยที่มีคุณภำพ และเป็นกำลังสำคัญในกำรพัฒนำชำติบ้ำนเมองต่อไป แต่ตัวข้ำรำชกำรครู ผู้ช่วย จะต้องมีควำมพร้อมท้ังด้ำนคุณวุฒิ คุณธรรม และควำมประพฤติดีอยู่ในข้ันเพียงพอที่จะใช้งำนได้ ในด้ำน กำรพัฒนำด้ำนคุณวุฒิ ข้ำรำชกำรครูผู้ช่วย ได้ผ่ำนกำรศึกษำเล่ำเรียนมำแล้ว แต่กำรพัฒนำด้ำนวินัย คุณธรรม และจริยธรรม ซ่ึงเป็นส่ิงจำเป็นต่อกำรปฏิบัติงำนของข้ำรำชกำรครูยังไม่ได้มีกำรดำเนินกำร หรอไม่อำจประเมิน หรอช้ีชัดได้แน่นอนว่ำ มีควำมเหมำะสมหรอเพียงพอหรอไม่ เพียงใด จึงจำเป็นอย่ำงยิ่งท่ีจะต้องสร้ำงเสริมวินัย คุณธรรม และจริยธรรมให้แก่ข้ำรำชกำรครูผู้ช่วย เพ่อชี้บอกแนวทำงและควำมคิดที่ถูกต้อง และสร้ำงภูมิคุ้มกัน พฤตกิ รรมที่ไม่พึงประสงค ทีข่ ้ำรำชกำรครูบรรจุใหม่ จะต้องมปี ระสบในสถำนกำรณต่ำง ๆ และเพ่อให้ผูท้ ่ีจะรับ รำชกำรเป็นครูได้มีเวลำปล่อยวำงภำระ เพ่อใช้สติปัญญำ พิจำรณำตนในกำรตรวจสอบและทดสอบตนเอง เพ่อ เตรียมควำมพรอ้ มสำหรับควำมเป็นครู อันเป็นกำรพัฒนำจิตใจใหม้ อี ุดมกำรณและจติ วญิ ญำณของควำมเป็นครู มำตรำ ๕๖ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดให้ผู้ได้รับกำรบรรจุและแต่งตั้งเข้ำรับรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำในตำแหน่ง ครู ผู้ช่วย ต้องเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้มตำมหลักเกณฑและวิธีกำรท่ี ก.ค.ศ. กำหนด เป็นเวลำไม่น้อย กว่ำ ๒ ปี ก่อนแตง่ ต้งั ให้ดำรงตำแหนง่ ครู เพ่อเพ่ิมพูนควำมรู้ ทักษะ และบคุ ลิกลักษณะ ในกำรประกอบวิชำชีพ ให้กำรปฏิบัตงิ ำนและปฏิบตั ิตนที่เหมำะสมกบั วิชำชีพครู (รำชกิจจำนุเบกษำ, ๒๕๕๑ : ๓๓) และสำนกั งำน ก.ค. ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑและวิธีกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ตำมหนังสอ สำนักงำน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ ๐๒๐๖.๗/ว ๑๙ ลงวนั ที่ ๒๕ ตลุ ำคม ๒๕๖๑ เพ่อทรำบและถอปฏิบตั ิ สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้นฐำน ตระหนักดีว่ำกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำง เข้ม ตำแหน่งครูผู้ช่วย ดังกล่ำวเป็นบทบำทหน้ำท่ีของผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำ แต่จำกกำรติดตำมกำรเตรียม ควำมพร้อมและพฒั นำอย่ำงเข้ม ตำแหนง่ ครผู ู้ชว่ ย ที่ผ่ำนมำ พบวำ่ แต่ละสถำนศึกษำปฏิบัติแตกต่ำงกนั ซ่ึงส่งผล ให้ขำ้ รำชกำรครแู ละบุคลำกรทำงกำรศึกษำ ตำแหน่งครูผู้ช่วย ได้รบั กำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอยำ่ งเข้มไม่ เท่ำเทียมกัน ครูผู้ช่วยบำงคนมีโอกำสดี ที่ได้รับกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้ม แต่ยังมีอีกจำนวนไม่ น้อยท่ีขำดโอกำส เน่องจำกกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้มในตำแหน่งครูผู้ช่วย ไม่ครบถ้วนตำมท่ี ก.ค.ศ.กำหนด สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้ันพ้นฐำน ได้พยำยำมเฟ้นหำแนวทำง ในกำรสนับสนุนและ สง่ เสรมิ กำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเขม้ ตำแหน่งครผู ูช้ ว่ ย มำโดยตลอด สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขั้นพ้นฐำน พิจำรณำแล้วเหนว่ำ กำรมอบหมำยให้สำนักงำนเขต พ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำ/มัธยมศึกษำ เป็นหน่วยจัดกำรพัฒนำตนเอง ผ่ำนระบบออนไลน และกำรประชุม ปฏิบัติกำรเสริมสร้ำงสมรรถนะครูผู้ช่วยสู่กำรเป็นครูมออำชีพ ดำเนินกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้ม แก่ครูผู้ช่วย ทำให้ครูผู้ช่วยทุกคนได้รับโอกำสท่ีเท่ำเทียมกันในกำรเตรียมควำมพร้อมและพัฒนำอย่ำงเข้ม จึงได้
๒ จัดทำคู่มอกำรพัฒนำตนเองผ่ำนระบบออนไลนและกำรประชุมปฏิบัติกำรเสรมิ สรำ้ งสมรรถนะครูผูช้ ่วย สู่กำรเปน็ ครูมออำชีพ พร้อมด้วยเอกสำรประกอบกำรพัฒนำตนเองผ่ำนระบบออนไลน และกำรประชุมปฏิบัติกำรอ่น ๆ ท่ี จำเป็น อีกทั้งสนับสนุนงบประมำณในกำรประชุมปฏิบัติกำร ให้สำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำ/ มัธยมศึกษำ ท่ีเป็นหน่วยจัดประชุมปฏิบัติกำร ดำเนินกำรจัดประชุมปฏิบัติกำรในคร้ังนี้ให้เกิดประสิทธิภำพ และ ประสิทธผิ ลสูงสุด (สำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศกึ ษำข้ันพ้นฐำน, ๒๕๖๒ : ๒) สำนกั งำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก มสี ถำนศึกษำในสังกดั ทัง้ หมด ๑๓๑ โรงเรียน พ้นท่ีเขตบริกำรรับผิดชอบท้ังหมด ๔ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมองนครนำยก อำเภอปำกพลี อำเภอบ้ำนนำ และอำเภอองครักษ และมีครูผู้ช่วยท่ีบรรจุใหม่ ซึ่งยังไม่ได้รับกำรพัฒนำสู่กำรเป็นครูมออำชีพ จำนวน ๑๗๒ คน (สำนกั งำนเขตพน้ ท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก, ๒๕๖๔ : ๓) ประกอบกับสถำนกำรณในปจั จุบันท่ีมีกำร แพร่ระบำดของโรคติดเช้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ (COVID ๑๙) ท่ีมีจำนวนผู้ติดเช้อสะสมและผู้ติดเชอ้ รำยใหม่ ซ่ึง เป็นกำรติดเช้อในประเทศ เพิ่มจำนวนข้ึนอย่ำงต่อเน่อง และได้แพร่กระจำยออกไปในหลำยพ้นที่อย่ำงรวดเรว นำยกรฐั มนตรีจงึ ออกข้อกำหนดออกตำมควำมใน มำตรำ ๙ แหง่ พระรำชกำหนดกำรบรหิ ำรรำชกำรในสถำนกำรณ ฉุกเฉนิ พ.ศ.๒๕๔๘ (ฉบบั ที่ ๒๐) ลงวันที่ ๑๖ เมษำยน ๒๕๖๔ ซ่ึงมกี ำรเพมิ่ เตมกำรบังคับใช้มำตรกำรควบคุมแบบ บูรณำกำร รวมทั้งปรับระดับพ้นที่สถำนกำรณในจังหวัดท่ีตรวจพบกำรแพร่ระบำด และได้กำหนดให้จังหวัด นครนำยกเปน็ พน้ ทคี่ วบคุม (คณะกรรมกำรโรคติดตอ่ จังหวัดนครนำยก, ๒๕๖๔ : ๑-๓) จำกเหตุผลและควำมสำคัญดังกล่ำว กลุ่มพัฒนำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ สำนักงำนเขตพ้นท่ี กำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ได้ตระหนักและให้ควำมสำคญั กับกำรพัฒนำครูผู้ช่วย ซึ่งข้ำพเจ้ำในฐำนะรอง ผู้อำนวยกำรสำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ท่ีได้รับมอบหมำยจำกผู้บังคับบัญชำให้ดูแล รบั ผิดชอบกลุ่มพัฒนำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ จึงไดเ้ สริมสร้ำงสมรรถนะของครูผู้ช่วย ผ่ำนระบบแอพ พลิเคชัน Tru Vroom โดยจัดทำโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สงั กัดสำนักงำนเขตพน้ ท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนครนำยก ข้นึ ๑.๒ วตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา ๑) เพ่อประเมินโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัด สำนกั งำนเขตพ้นท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนครนำยก ๒) เพ่อรำยงำนผลกำรดำเนินงำนตำมโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกดั สำนกั งำนเขตพน้ ท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนครนำยก ๑.๓ ความสำคญั ของการศกึ ษา กำรศกึ ษำครงั้ นี้ ข้ำพเจ้ำได้กำหนดควำมสำคัญของกำรศึกษำ ไว้ดงั นี้ ๑) ผลของกำรประเมินโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผชู้ ่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัด สำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ทำให้ทรำบว่ำ ครูผู้ช่วย มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ เกี่ยวกับ คุณธรรม จริยธรรม จรรยำบรรณวิชำชีพ วินัย กำรรักษำวินัย กำรดำเนินกำรทำงวินัย กำรอุทธรณและกำรร้อง ทุกข สมรรถนะของครู และกำรขอมีและเลอ่ นวิทยฐำนะ มำกน้อยเพียงใด ๒) เพ่อเผยแพร่ผลกำรดำเนินงำนตำมโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนกั งำนเขตพ้นทก่ี ำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ตอ่ สำธำรณชน
๓ ๑.๔ ขอบเขตของการศกึ ษา รำยงำนผลกำรดำเนินงำนตำมโครงกำรปฐมนิเทศครบู รรจุใหม่ (ครูผ้ชู ว่ ย) ประจำปงี บประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนกั งำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ข้ำพเจ้ำไดก้ ำหนดขอบเขตของกำรศกึ ษำ ดังน้ี ๑) ดานเนอ้ื หา หมวดท่ี ๑ คุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยำบรรณวชิ ำชีพ หมวดที่ ๒ วนิ ยั กำรรกั ษำวนิ ยั กำรดำเนนิ กำรทำงวนิ ัย กำรอุทธรณและกำรร้องทุกข หมวดที่ ๓ สมรรถนะของครู หมวดที่ ๔ กำรขอมแี ละเลอ่ นวิทยฐำนะ ๒) ดานกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้ำหมำยท่ีใช้ในกำรศึกษำคร้งั นี้ ได้แก่ ครูผู้ช่วย สังกัดสำนักงำนเขตพ้นที่กำรศึกษำ ประถมศกึ ษำนครนำยก จำนวน ๑๙๘ คน ๑.๕. กรอบแนวคิดของการศึกษา เน่องจำกสถำนกำรณกำรแพร่ระบำดของโรคติดเช้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ ในปัจจุบัน มีผู้ติดเช้อ เพ่ิมขึ้น อย่ำงมำกมำย เพ่อเป็นกำรปฏิบัติตำมข้อกำหนดในประกำศของศูนยบริหำรสถำนกำรณกำรแพร่ระบำดของโรค ติดเช้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ และคณะกรรมกำรโรคติดต่อจังหวัดนครนำยก จึงได้กำหนดกรอบแนวคิดของ กำรศึกษำ ตำมโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนักงำนเขต พน้ ท่กี ำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนครนำยก ดงั ภำพประกอบ กำรปฐมนเิ ทศครูผ้ชู ่วย ครูผูช่วย มคี วามรู ความเขาใจ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และจรรยำบรรณวิชำชีพ ผ่ำนระบบแอพพลิเคชนั วนิ ัย กำรรักษำวนิ ยั กำรดำเนนิ กำรทำงวนิ ยั True Vroom กำรอุทธรณและกำรร้องทุกข สมรรถนะของครู กำรขอมีและเล่อนวทิ ยฐำนะ ๑.๖. นิยามศพั ท์เฉพาะ กำรรำยงำนผลกำรดำเนินงำนตำมโครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก เพ่อให้เกิดควำมเข้ำใจในควำมหมำยของ คำศัพทท่ีใช้ในกำรศึกษำครงั้ นี้ ขำ้ พเจำ้ จงึ ไดน้ ิยำมศัพทเฉพำะ ไว้ดงั นี้ ๑) โครงกำร หมำยถึง โครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจใุ หม่ (ครูผชู้ ว่ ย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สงั กดั สำนักงำนเขตพ้นทก่ี ำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ๒) ครูผู้ช่วย หมำยถึง ตำแหน่งข้ำรำชกำรที่ได้รับกำรบรรจุเข้ำรับรำชกำรใหม่ สังกัดโรงเรียนใน สำนกั งำนเขตพน้ ท่ีกำรศกึ ษำประถมศกึ ษำนครนำยก ทยี่ งั ไม่ได้รับกำรปฐมนเิ ทศจำกเขตพ้นทีก่ ำรศึกษำ ๓) กำรปฐมนิเทศ หมำยถึง กำรช้ีแจงเบ้องต้น เพ่อให้ครูผู้ช่วย ท่ีบรรจุเข้ำรับรำชกำรใหม่ ได้มีควำมรู้
๔ ควำมเข้ำใจเก่ียวกับ วินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยำบรรณวิชำชีพ กำรจัดกำรเรียนกำรสอน กำรบริหำร จัดกำรช้ันเรียน กำรมสี ว่ นร่วมในกำรพัฒนำสถำนศกึ ษำ และชมุ ชนกำรเรียนรทู้ ำงวิชำชีพ ทักษะกำรใชภ้ ำษำและ เทคโนโลยีดจิ ทิ ัล ๔) คุณธรรม หมำยถึง สิ่งท่ีมีคุณค่ำมีประโยชน เป็นควำมดีงำม เป็นมโนธรรม เป็นเคร่อง ประคับ ประครองใจให้เกลียดควำมชั่ว กลัวบำป ใฝ่ควำมดีและเป็นเคร่องกระตุ้น ผลักดันให้เกิดควำมรู้สึกผิดชอบ เกิดจติ สำนึกที่ดี มคี วำมสงบ เยนภำยใน ๕) จรยิ ธรรม หมำยถึง ศีลธรรม ธรรมที่ข้อประพฤตปิ ฏบิ ัติ ๖) จรรยำบรรณวชิ ำชีพ หมำยถงึ มำตรฐำนกำรปฏิบตั ิตนท่ีกำหนดขนึ้ เปน็ แบบแผนในกำรประพฤติตน ซ่ึงผู้ประประกอบวิชำชพี ทำงกำรศึกษำต้องปฏบิ ัติตำม เพ่อรักษำและส่งเสริมเกียรติคุณชอ่ เสยี ง และฐำนะของผู้ ประกอบวชิ ำชีพทำงกำรศึกษำ ให้เป็นทเี่ ชอ่ ถอศรัทธำแก่ผู้รบั บริกำรและสังคม อันจะนำมำ ซ่ึงเกียรตแิ ละศักด์ิศรี แห่งวชิ ำชพี ๗) วนิ ยั หมำยถงึ กฎ ข้อบังคบั ที่ต้องปฏิบตั ติ ำม หำกฝำ่ ฝืนอำจตอ้ งรับโทษ ๘) กำรอุทธรณ หมำยถึง กำรที่ผู้ถูกลงโทษทำงวินัย ขอให้ผู้มีอำนำจหน้ำท่ี ตำมที่กฎหมำยกำหนดไว้ ยกเร่องขน้ึ พจิ ำรณำใหม่ ให้เปน็ ไปในทำงท่เี ป็นคณุ แก่ผู้ถูกลงโทษ ๙) กำรรอ้ งทกุ ข หมำยถงึ กำรร้องขอให้แก้ไขปญั หำที่เหนว่ำตนไม่ไดร้ ับควำมเป็นธรรม หรอมคี วำมคับ ขอ้ งใจเน่องจำกกำรกระทำของผบู้ งั คับบญั ชำ ในเรอ่ งเก่ยี วกบั กำรบริหำรงำนบุคคลท่ีไม่ใชก่ ำรโต้แยง้ คำสง่ั ลงโทษ ทำงวินยั หรอกำรแต่งตงั้ คณะกรรมกำรสอบสวนทำงวนิ ัย ๑๐) สมรรถนะ หมำยถึง สมรรถนะครู ประกอบด้วย สมรรถนะหลักและสมรรถนะประจำสำยงำน ๑๑) วิทยฐำนะ หมำยถึง ตำแหน่งควำมรู้ ควำมสำมำรถ ควำมชำนำญกำร หรอควำมเช่ียวชำญของ ขำ้ รำชกำรครูและบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ ในกำรปฏบิ ตั งิ ำนวชิ ำชพี ๑.๗ ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดรับ ๑) ไดร้ ปู แบบแนวทำงกำรปฐมนเิ ทศครผู ชู้ ่วย ในชว่ งสถำนกำรณกำรแพร่ระบำดของโรค Covid ๑๙ ๒) ประหยัดงบประมำณของทำงรำชกำร ในกำรดำเนนิ กำรปฐมนเิ ทศครผู ชู้ ว่ ย
บทที่ ๒ เอกสารที่เกยี่ วของ รำยงำนผลกำรดำเนินงำนตำมโครงกำรปฐมนเิ ทศครูบรรจุใหม่ (ครผู ู้ช่วย) ประจำปีงบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนักงำนเขตพน้ ทกี่ ำรศึกษำประถมศกึ ษำนครนำยก ข้ำพเจำ้ ไดน้ ำเสนอเอกสำรที่เก่ียวข้อง ดังน้ี ๑. โครงกำรปฐมนิเทศครูบรรจใุ หม่ (ครูผ้ชู ่วย) ๒. หลกั สูตรกำรปฐมนิเทศครูผชู้ ว่ ย ๓. กำรประชุมโดยใช้ True VROOM ๑. โครงการปฐมนิเทศครูบรรจใุ หม่ (ครผู ูช่วย) (สำนักงำนเขตพ้นที่กำรศึกษำประถมศกึ ษำนครนำยก. ๒๕๖๔ , หนำ้ ๑๔๕-๑๔๗) แบบโครงการ/กจิ กรรม ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โครงการ ปฐมนเิ ทศครูบรรจุใหม(่ ครผู ู้ช่วย) ประจำปงี บประมำณ ๒๕๖๔ ลักษณะโครงการ โครงกำรใหม่ โครงกำรตอ่ เน่อง งำนประจำ งำนพัฒนำ ความสอดคลองกบั ยทุ ธศาสตร์ ๒๐ ปี (โปรดเลอกเพียง ๑ ยุทธศำสตรที่สอดคล้องมำกทส่ี ดุ ) ยทุ ธศำสตรที่ ๓ ด้ำนกำรพัฒนำและเสริมสรำ้ งศกั ยภำพทรพั ยำกรมนุษย นโยบายสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน(โปรดเลอกเพียง ๑ นโยบำยท่สี อดคล้องมำกที่สุด) นโยบำยท่ี ๓ ดำ้ นกำรพฒั นำและเสรมิ สรำ้ งศักยภำพทรัพยำกรมนุษย จุดเนน ด้ำนผู้เรียน ด้ำนครู และบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ ด้ำนกำรบริกำรจัดกำร แผนงานงบประมาณ : พน้ ฐำนด้ำนกำรพฒั นำและเสรมิ สร้ำงศกั ยภำพคน กลมุ่ ที่รบั ผิดชอบ กลมุ่ พฒั นำครแู ละบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ ๑. หลกั การและเหตุผล ตำมมำตรำ ๗ แห่งพระรำชบัญญัติระเบียบข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ พ.ศ.๒๕๔๗ และทีแ่ ก้ไขเพ่ิมเติมบัญญตั ิให้ข้ำรำชกำรครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำผู้ใดไดร้ ับกำรบรรจแุ ละแต่งต้ัง ตำมมำตรำ ๔๕ หรอมำตรำ ๕๐ ก่อนกำรมอบหมำยหน้ำให้ปฏิบัติ ให้ผู้บังคับบัญชำแจ้งภำระงำน มำตรฐำน คณุ ภำพ มำตรฐำนวิชำชีพ จรรยำบรรณวิชำชีพ เกณฑกำรประเมนิ ผลงำนระเบียบแบบแผนหลักเกณฑและวิธีกำร ปฏิบัตริ ำชกำร บทบำทหน้ำที่ของข้ำรำชกำรในฐำนะเปน็ พลเมองทด่ี ี ตำมหลกั เกณฑและวธิ ีกำรที่ ก.ค.ศ. กำหนด สำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก เป็นหน่วยงำนกำรศึกษำท่ีจัดต้ังข้ึนตำม พระรำชบัญญัติระเบียบบรหิ ำรรำชกำรกระทรวงศึกษำธกิ ำร พ.ศ.๒๕๔๖ มหี นำ้ ท่ีประสำนกำรระดมทรัพยำกรด้ำน ต่ำงๆ รวมท้ังทรัพยำกรบุคคล เพ่อส่งเสริม สนับสนุนกำรจัดและกำรพัฒนำคุณภำพและมำตรฐำนกำรศึกษำใน เขตพ้นที่กำรศึกษำ กอรบกับสำนักงำนเขตพ้นที่กำรศึกษำประถศึกษำนำยก ได้มีกำรบรรจุครูผู้ช่วยเพ่อให้ครู ผู้ช่วยดังกล่ำว มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ เป้ำหมำยขององคกร ระเบียบ แนวปฏิบัติตนในกำรทำงำน สิทธิประโยชนและสวสั ดิกำรต่ำงๆ ท่ีพึงจะได้รับ วัฒนธรรมองคกร เพ่อให้สำมำรถปฏิบัติงำนอย่ำงมีประสิทธภิ ำพ ทำงำนอย่ำงมีควำมสุข ควบคู่ไปกับควำมเจริญก้ำวหน้ำในหน้ำที่รำชกำรและสร้ำงขวัญกำลังใจสร้ำงศรัทธำใน วชิ ำชีพครู จงึ จัดโครงกำรสง่ เสริมขวัญกำลงั ใจ ศรัทธำวชิ ำชีพครแู ละปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ ขึ้น
๖ ๒. วัตถุประสงค์ ๑. เพ่อให้ข้ำรำชกำรครูบรรจุใหม่ มีขวัญและกำลังใจ เกิดควำมศรัทธำในวิชำชีพและมีควำมภำคภูมิใจ ในวิชำชีพครู ๒. เพ่อใหข้ ำ้ รำชกำรครูได้เข้ำใจแนวทำงกำรปฏบิ ตั ิ ระเบียบ วนิ ัย รวมท้ังสิทธปิ ระโยชน สวัสดกิ ำร และ พฒั นำตนในกำรทำงำนได้อยำ่ งเหมำะสม และมีควำมเจรญิ กำ้ วหน้ำ มคี วำมภำคภูมใิ จองคกร ๓. เพ่อเป็นกำรเสริมสร้ำงจริยธรรม เจตคติที่ดีในกำรทำงำนเกิดควำมผูกพั นต่อองคกร และ ควำมสำมัคคใี นหมู่คณะ ๓. เป้าหมาย เชิงปรมิ ำณ (ผลผลติ / out put) จำนวน ๒๑๐ คน ๑. ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำตำแหนง่ ครผู ูช้ ว่ ย จำนวน ๑๘๕ คน ๒. เจ้ำหนำ้ ทก่ี ล่มุ พัฒนำครแู ละบุคลำกรทำงกำรศึกษ/กลุ่มบริหำรงำนบุคคล จำนวน ๑๙ คน ๓. วทิ ยำกร จำนวน ๖ คน เชิงคุณภำพ (ผลลัพท / out come) ๑. ร้อยละ ๑๐๐ ของข้ำรำชกำรครูบรรจุใหม่(ครูผู้ช่วย) ได้รับกำรพัฒนำเตมตำมศักยภำพและสำมำรถ จัดกำรเรยี นรูไ้ ด้อยำ่ งมคี ณุ ภำพตำมมำตรฐำน ปฏบิ ตั ิงำนไดต้ ำมมำตรฐำนวิซำชพี ๒. รอ้ ยละ ๑๐๐ ของข้ำรำชกำรครบู รรจใุ หม่ เกิดศรัทธำในวชิ ำชีพและมีควำมภำคภูมิใจในวชิ ำชพี ครู ๔. วธิ ีดาเนนิ การ ที่ กิจกรรมหลัก ระยะเวลำ(ระบุ) ผู้รับผดิ ชอบ ๑ ปฐมนิเทศ/กำรประชมุ สมั มนำ พฤศจิกำยน กลุ่มพัฒนำครแู ละ ๑.๑ แต่งตั้งคณะทำงำน ๑.๒ ประชมุ สัมมนำ ๒๕๖๓ - กันยำยน บคุ ลำกรทำงกำรศึกษำ ๒๕๖๔ ๑.๓ ประเมินผล/สรปุ ผล ๕. ระยะเวลา และสถานทดี่ าเนนิ การ ดำเนนิ กำร พฤศจกิ ำยน ๒๕๖๓ - กันยำยน ๒๕๖๔ สถำนท่ดี ำเนนิ กำรสถำนทร่ี ำชกำร
๗ ๖. งบประมาณ จำนวน ๕๑,๖๐๐ บำท จำกแผนงบประมำณ : พน้ ฐำนด้ำนกำรพฒั นำและเสรมิ สรำ้ งศกั ยภำพคน (ขอถัวจ่ำยทกุ รำยกำร) รำยละเอียดตำมเอกสำรท่ีแนบ งบประมาณ งบประมาณจาแนกตามหมวด กจิ กรรมและรายละเอียดในการใชงบประมาณ ท่ีใช รายจา่ ย กิจกรรม ปฐมนิเทศ/ประชุมสัมมนำ…………………… ค่าตอบแทน คา่ ใชสอย คา่ วัสดุ ๑.๑ ค่ำตอบแทนวิทยำกร จำนวน ๖ คนๆละ ๒ ชมๆ . ๖๐๐.บำท ๗,๒๐๐ ๑.๒ ค่ำอำหำรว่ำและเคร่องด่ม จำนวน.๖..คนๆละ..๒... มอ้ ๆ ละ...๓๕...บำท ๑๔,๗๐๐ ๑.๓ ค่ำอำหำรกลำงวนั จำนวน....๖...คนๆละ..๑..ม้อๆ ละ.๑๒๐..บำท ๒๕,๒๐๐ ๑.๔ ค่ำวสั ดุ (ระบ.ุ ..........) ๔,๕๐๐๐ รวมงบประมาณท้ังสิ้น ๕๑,๖๐๐ ๗,๒๐๐ ๓๙,๙๐๐ ๔,๕๐๐ (รายการใดไม่มคี ่าใชจ้ า่ ย ใหต้ ดั รายการน้นั ๆ ออก และเรียงลาดับ) ๗. การวเิ คราะหค์ วามเสี่ยงของโครงการ ปัจจยั ควำมเสีย่ ง - จำนวนครูไม่เป็นไปตำมทีก่ ำหนด แนวทำงกำรบริหำรควำมเสยี่ ง - กำหนดเตรียมแผนรองรับ ๘.การประเมนิ ผล /ตัวชว้ี ัดความสาเร็จและคา่ เปา้ หมาย ตวั ชว้ี ดั ค่าเปา้ หมาย วธิ ีการวดั และ เครื่องมือท่ใี ชใน ประเมนิ ผล การประเมนิ ผล เชิงปรมิ ำณ ๑.จำนวนครผู ู้ช่วย ๑๗๐ คน เข้ำรับกำรปฐมนเิ ทศและ รอ้ ยละ สังเกต แบบสอบถำม ประชุมสมั มนำ เชิงคุณภำพ ๑๐๐ ๑. จำนวนครผู ูช้ ว่ ยสำมำรถจัดกำรเรียนกำรสอนได้อย่ำงมี ประสิทธภิ ำพ ร้อยละ ประเมินตำม รำยงำนผลกำร ๒. ข้ำรำชกำรครบู รรจใุ หม่มีขวญั และกำลงั ใจ เกิดควำม ๑๐๐ สภำพจรงิ จดั กำรศึกษำ ภำคภูมิใจ และศรัทธำในวชิ ำชีพครู รอ้ ยละ สอบถำม แบบสอบถำม ๑๐๐
๘ ๙. ผลลพั ท์ / ผลผลิต ทเี่ กดิ จากโครงการ (ผลท่เี กดิ ขน้ึ /สง่ ผลถึง ผูเรยี น อยา่ งไร) ๙.๑ ข้ำรำชครบู รรจุใหม่ (ครูผ้ชู ว่ ย) มคี วำมร้คู วำมเข้ำใจในภำรกิจหนำ้ ที่ควำมรบั ผดิ ชอบ ๙.๒ ครูผู้ช่วยเกิดควำมภำคภูมิใจและศรัทธำในวิชำชีพครู และสำมำรถปฏิบัติงำนได้อย่ำงมี ประสิทธภิ ำพ ๙.๓ ขำ้ รำชครูมีขวัญและกำลงั ใจในกำรปฏิบัติหนำ้ ท่ี เกิดผลดตี อ่ กำรจัดกำรเรียนกำรสอน ลงชอ่ ผรู้ ับผดิ ชอบโครงกำร (นำงสำวศรกมล ระโหฐำน) ตำแหน่ง นกั ทรพั ยำกรบคุ คลชำนำญกำร ปฏิบัตหิ นำ้ ที่ ผ้อู ำนวยกำรกลุม่ พฒั นำครแู ละบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ ลงชอ่ ผใู้ หค้ วำมเหนชอบโครงกำร (นำยอภชิ ยั ซำซุม) รองผ้อู ำนวยกำรสำนักงำนเขตพน้ ท่ีกำรศกึ ษำประถมศึกษำนครนำยก ลงชอ่ ผู้อนุมัติโครงกำร (นำยเสรี ขำมประไพ) ผอู้ ำนวยกำรสำนักงำนเขตพ้นที่กำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก เน่องจำกสถำนกำรณกำรแพร่ระบำดของโรคติดเช้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ ในปัจจุบันได้มีกำร แพร่ระบำดไปอย่ำงกว้ำงขวำง ในส่วนของพ้นท่ีจังหวัดนครนำยก ได้มีผู้ป่วยติดเช้อไวรัสโคโรนำ ๒๐๑๙ เพิ่มข้ึน อย่ำงต่อเน่อง ประกอบกับกำรประกำศใช้มำตรกำรควบคุมโรคของคณะกรรมการโรคติดต่อจงั หวดั นครนายก ส่งผลให้ไม่สามารถดาเนินการตามที่ได้วำงแผนไว้ในโครงการปฐมนิเทศครูบรรจุใหม่ (ครูผู้ช่วย) ประจำปี งบประมำณ ๒๕๖๔ สังกัดสำนักงำนเขตพ้นท่ีกำรศึกษำประถมศึกษำนครนำยก ดังนั้น เพ่อให้โครงกำรสำมำรถ ดำเนินกำรได้ในสถำนกำรณปัจจุบัน กลุ่มพัฒนำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบวิธีกำร ปฐมนิเทศครูผู้ช่วย และกำรวัดผล/ประเมินผล กำรเกบรวบรวมข้อมูล โดยใช้ระบบ True VROOM และระบบ ออนไลน แทนกำรปฐมนเิ ทศเดมิ ท่ีได้วำงแผนไวใ้ นโครงกำร
๒.หลกั สูตรการปฐมนเิ ทศครูผชู ว่ ย หลกั สูตรการปฐมนเิ ทศครูผูชว่ ย ตามหลกั เกณฑ์ และวิธีการเตรียมความพรอยและพัฒนาอย่างเขม หมวดท่ี ๑ คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ความหมายของคณุ ธรรม จริยธรรม คำว่ำ คุณธรรม ตรงกบั ภำษำอังกฤษว่ำ virtue จำกกำรศกึ ษำค้นคว้ำเอกสำร คำวำ่ คุณธรรมจริยธรรม มักจะใช้ควบคู่กันเสมอ คำว่ำ “คุณธรรม” กับคำว่ำ “จริยธรรม” เป็นคำท่ีแยกกัน มีควำมหมำยแตกต่ำงกัน “คุณธรรม” แปลว่ำ ควำมดี มีประโยชน เป็นคำท่ีมีควำมหมำยเป็น นำมธรรม ส่วน “จริย”แปลว่ำ กิริยำท่ีควร ประพฤติ เป็นคำท่ีมีควำมหมำยเป็นรูปธรรม ส่วนคำว่ำ “ธรรม” มีควำมหมำย หลำยประกำร เช่น ควำมดี หลัก คำสอนของศำสนำ หลกั ปฏิบัติ เม่อนำคำ ทัง้ สองมำรวมกันจะได้เป็นคุณธรรม และจริยธรรม ซ่งึ มีผู้ใหค้ วำมหมำย ตำ่ งๆ คำว่ำ คุณธรรม จริยธรรม มคี วำมหมำยใกล้เคยี งกันมำก จึงมกั มีผใู้ ช้คำสองคำนีไ้ ปดว้ ยกนั เป็น คุณธรรมและ จริยธรรม แตค่ ำสองคำน้ีมีควำมแตกต่ำงกัน พจนำนุกรม ฉบับรำชบัณฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๒๕ ให้ควำมหมำย คุณธรรม ไว้ว่ำ หมำยถึง สภำพควำม คุณงำมควำมดี สำนกั งำนเลขำธกิ ำรสภำกำรศกึ ษำ ไดป้ ระมวลจำกกำรประชุมระดมควำมคดิ สรุปได้ว่ำ คุณธรรม หมำยถึง ส่งิ ทม่ี คี ุณค่ำมีประโยชน เป็นควำมดีงำม เป็นมโนธรรม เปน็ เคร่องประคบั ประครองใจให้ เกลยี ดควำมชัว่ กลวั บำป ใฝ่ควำมดีและเป็นเคร่องกระต้นุ ผลกั ดนั ให้เกิดควำมรสู้ ึกผิดชอบ เกิดจิตสำนึกท่ดี ี มีควำมสงบ เยนภำยใน พจนำนุกรม ฉบับรำชบณั ฑิตยสถำน พ.ศ. ๒๕๒๕ ใหค้ วำมหมำย จรยิ ธรรม (ethics,behavior) ไวว้ ่ำ จรยิ คอ กริยำที่ควรประพฤติ ควำมประพฤติ (canduct, manner. Habit) ใช้เป็นคำนำหน้ำสมำส เช่น จริยศึกษำ จริยำ กิริยำท่ีควรประพฤติ ควำมประพฤติ (conduct, behavior, morals) มักใช้เป็นคำหลังสมำส เช่น ธรรมจริยำ จรยิ ธรรม คอ ศลี ธรรม (ethics, ethical, behavior) ธรรมท่ขี อ้ ประพฤตปิ ฏิบตั ิ กฎ ศีลธรรม สำนักงำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ สรุปได้ว่ำ จริยธรรม หมำยถึง สิ่งท่ีพึงประพฤติ ปฏิบัติ มีพฤติกรรม ท่ีดีงำมต้องประสงคของสังคม เป็นแนวปฏิบัติสำหรับสังคม เพ่อให้เกิดควำมเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงำม เกิด ควำมสงบร่มเยนเป็นสุข เกิดควำมรักควำมสำมัคคี เกิดควำมอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัยในกำรดำรงชีวิต เช่น ศีลธรรม กฎหมำย ธรรมเนยี มประเพณี เป็นตน้ ความสาคัญของคุณธรรม จรยิ ธรรม คุณธรรม จริยธรรม เป็นพ้นฐำนที่สำคัญของคนทุกคน คุณธรรม เป็นเร่องนำมธรรมเกี่ยวกับคนดีท่ีอยู่ ภำยในจติ ใจ คุณธรรมเปน็ พฤติกรรมหรอลักษณะกำรแสดงออกของคนเรำจำก ภำยใน เป็นส่ิงดีที่ แสดงออก ทำง กำย วำจำหรอจติ ใจ ท้งั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม เปน็ คำท่มี คี วำมเกยี่ วข้องกันใน ด้ำนคุณงำมควำมดี กล่ำวคอ จริยธรรม คอ ควำมประพฤติ ท่ีถูกต้อง ดีงำมทั้งกำยและวำจำ สมควรที่บุคคล จะประพฤติปฏิบัติเพ่อให้ ตนเองและคนในสังคม รอบข้ำงมีควำมสงบสุข สงบ เยอกเยน จริยธรรมเป็นเร่องของ กำรฝึกนิสัยท่ีดี โดยกระทำ อย่ำงต่อเน่องสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย ผู้มีควำมประพฤติดีงำมอย่ำงแท้จริงจะต้องเป็นผู้มีควำมรู้สึกในด้ำนดีอยู่จน
๑๐ เป็นนิสัยควำมประพฤติดีงำมอย่ำงแท้จริง จะต้องเป็นผู้มีควำมรู้สึกในด้ำนดีอยู่ตลอดเวลำ คอ มีคุณธรรมอยู่ใน จิตใจหรออำจกล่ำวได้ว่ำ จริยธรรมเป็นเร่องของกำรประพฤติปฏิบัติ เป็นพฤติกรรมภำยนอก ส่วนคุณธรรมเป็น สภำพควำมงำมควำมดีภำยในจิตใจ ซ่ึงท้ังสองส่วนต้องเกี่ยวข้อง สัมพันธกัน พฤติกรรมของคน ท่ีแสดงออกมำท้ัง ทำงกำยและวำจำนั้น ย่อมเก่ียวเน่องสัมพันธ และเป็นไปตำมควำมรู้สึกนึกคิดทำงจิตใจ และสติปัญญำกำร พัฒนำคณุ ธรรมจรยิ ธรรมของบคุ คลจึงต้องพัฒนำทั้ง ๓ ด้ำนควบคู่ กนั ไป คอ กำรพัฒนำดำ้ นสติปัญญำ ดำ้ นจิตใจ และดำ้ นพฤติกรรม ดังนน้ั คณุ ธรรมจริยธรรม จงึ เปน็ พ้นฐำนทส่ี ำคัญของมนุษยทุกคน เป็นส่งิ สำคญั ในสังคม ควำม สงบสุขและควำมเจริญก้ำวหน้ำจะบังเกิดขึ้น เม่อคนในสังคมมีคุณธรรม นโยบำยสังคมของรัฐบำลมุ่งม่ันที่จะ สร้ำงสังคมเข้มแขงให้คนในชำติอยู่เยนเป็นสุขร่วมกันอย่ำงสมำนฉันท บนพ้นฐำนของคุณธรรม ในส่วนของภำค กำรศึกษำได้กำหนดไว้ว่ำ จะเร่งรัดปฏิรูปกำรศึกษำโดยยึดคุณธรรมนำควำมรู้ พัฒนำคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพ้น ของกระบวนกำรเรียนรู้ท่ีเช่อมโยงควำมร่วมมอของสถำบันครอบครัว สถำบันศำสนำและสถำบันกำรศึกษำ คุณธรรมจรยิ ธรรมจึงมคี วำมสำคญั และเปน็ สิง่ จำเปน็ อย่ำงย่งิ สำหรบั สังคมไทยที่ต้องกำรทง้ั คนดีและคนเกง่ องคป์ ระกอบของจรยิ ธรรม กรมวิชำกำร ไดส้ รปุ ไวว้ ำ่ จรยิ ธรรมของบุคคลมีองคประกอบ ๓ ประกำร คอ ๑. ด้ำนควำมรู้ (moral reasoning) คอ ควำมเข้ำใจในเหตุผลของควำมถูกต้องดีงำม สำมำรถตดั สนิ แยกควำมถูกต้องออกจำกควำมไม่ถูกต้องไดด้ ้วยควำมคดิ ๒. ด้ำนอำรมณควำมรสู้ ึก (moral attitude and belief) คอ ควำมพงึ พอใจ ควำมศรัทธำ เล่อมใส ควำม นยิ มยนิ ดีทจ่ี ะรับจริยธรรม มำเป็นแนวทำงในกำรประพฤตปิ ฏบิ ัติงำน ๓. ดำ้ นพฤติกรรม (moral conduct) คอ กำรกระทำหรอกำรแสดงออกของบุคคล ในสถำนกำรณต่ำงๆ ซ่งึ เชอ่ ว่ำเกิดจำกอิทธพิ ลของทงั้ ๒ องคประกอบข้ำงต้น ลักษณะทางจรยิ ธรรม ควำมรู้เชิงจริยธรรม หมำยถึง กำรมีควำมรู้ควำมเข้ำใจในสังคมของตนนั้นถอว่ำกำรกระทำชนิดใด ควรกระทำและกำรกระทำชนิดใดควรงดเว้น ทัศนคติเชิงจริยธรรม หมำยถึง ควำมรู้สึกของบุคคลเกี่ยวกับลักษณะหรอพฤติกรรมเชิงจริยธรรม ต่ำงๆ ว่ำตนชอบหรอไม่ชอบลักษณะนั้นๆ เพียงใด ทัศนคติเชิงจริยธรรมของบุคคลส่วนมำกจะสอดคล้องกับค่ำนิยมของ สังคมน้ัน แต่บุคคลในสถำนกำรณปกติ อำจมีทัศนคติต่ำงไปจำกค่ำนิยมของสังคมกได้ ทัศนคติเชิง จริยธรรมน้นั จะรวมท้ังควำมรู้และควำมรู้สึกในเร่องน้ัน ในช่วงเวลำหน่ึงอำจเปล่ียนแปลงไปจำกเดิมได้ เหตุผลเชิงจริยธรรม หมำยถึง กำรที่บุคคลให้เหตุผลในกำรเลอกที่จะไม่กระทำ หรอเลอกท่ีจะกระทำพฤติกรรมอย่ำงใด อย่ำงหน่ึงใน สถำนกำรณน้ัน ๆ เหตุผลดังกล่ำวจะช่วยให้ทรำบเหตุจูงใจท่ีอยู่เบ้องหลังกำรกระทำของบุคคล ซ่ึงกำรกระทำ บำงอย่ำงอำจขัดกับควำมรสู้ กึ ของบคุ คลสว่ นใหญ่ ทง้ั นีข้ ึน้ อยูก่ บั เหตผุ ลและสถำนกำรณเปน็ ลำดบั พฤตกิ รรมเชิงจริยธรรม หมำยถึงกำรท่ีบคุ คลแสดงพฤติกรรมทสี่ ังคมยอมรบั เชน่ กำรให้ทำนกำรเสียสละ กำรช่วยเหลอผู้อ่น เป็นต้น ส่วนพฤติกรรมเชิงจริยธรรมซ่ึงเกิดขึ้นในสภำพท่ีบุคคลถูกยั่วยุให้กระทำผิด กฎเกณฑ เพ่อประโยชนส่วนตน เช่น กำรโกง กำรกล่ำวเทจ ซ่ึงเป็นพฤติกรรมท่ีจะไม่เกิดข้ึนในผู้ที่มีจริยธรรมสูง พฤติกรรม เชิงพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สังคมให้ควำมสำคัญมำกกว่ำจริยธรรมประเภทอ่น ๆ เพรำะกำรกระทำในทำงที่ดีและเลว ของบุคคลย่อมส่งผลโดยตรงต่อควำมผำสุกและควำมทุกขร้อนของสังคม จำกกำรศึกษำลักษณะพฤติกรรมทำง
๑๑ จริยธรรม พอสรุปได้ว่ำ กำรท่ีบุคคลมีควำมรู้ ทัศนคติและเหตุผลทำงจริยธรรมที่จะทำใหบ้ ุคคลแสดงพฤตกิ รรม ถ้ำบคุ คลใดมคี วำมรู้ ทัศนคติ และเหตผุ ลทำงจริยธรรมสงู กจะไมท่ ำผดิ กฎเกณฑ ซงึ่ พฤติกรรมเชิงจรยิ ธรรมเป็น สิง่ ที่ทำให้สงั คมอยอู่ ย่ำงเปน็ สขุ บทบาทของครใู นการส่งเสริมคณุ ธรรม จรยิ ธรรมนกั เรียน ปัจจุบันคนไทยกำลังประสบปัญหำวิกฤตคุณธรรมและจริยธรรมลดลง ขณะเดียวกัน วัฒนธรรมและ ระบบคุณค่ำท่ีดีงำมของสังคมไทยเร่ิมเส่อมถอยลง โดยเป็นผลกระทบมำจำกกำรเล่อนไหลทำงวัฒนธรรมจำก ต่ำงชำติเข้ำมำสู่ประเทศไทยผ่ำนส่อและเทคโนโลยีสำรสนเทศ โดยเฉพำะเดกและเยำวชนยังขำดทักษะในด้ำน กำรคิดวิเครำะหอย่ำงเป็นระบบ ไม่สำมำรถคัดกรองและเลอกรับวัฒนธรรมที่ดีหรอไม่ดีได้ ทำให้เกิดกำร ปรับเปล่ียนคำ่ นิยมและพฤติกรรมท่เี นน้ วัตถนุ ยิ มและบริโภคนยิ มมำกขึน้ ขำดจิตสำนกึ สำธำรณะให้ควำมสำคัญกับ ส่วนตนมำกกว่ำส่วนรวม ทำให้คุณธรรมและจริยธรรมของคนไทยลดลงนำไปสู่ปัญหำต่ำงๆ ทำงสังคม นอกจำกน้ี เดกและเยำวชน ในสถำนศึกษำส่วนหน่ึงขำดวินัย ขำดควำมรับผิดชอบ ขำดคุณธรรม จริยธรรม มีกำรแสดงออก ทำงเพศอยำ่ งเสรมี ำกข้ึน กำรเล่นกำรพนนั กำรสบู บุหรมี่ ำกขน้ึ นำไปสูก่ ำรติดยำเสพตดิ กำรตดิ เหลำ้ เท่ยี วกลำงคน และทะเลำะเบำะแว้งกัน สถำบันหลักทำงสังคมที่มีบทบำทสำคัญต่อกำรปลูกฝังศีลธรรมให้สำนึกในคุณธรรม จริยธรรมและอบรมหล่อหลอมใหค้ วำมรู้แก่เดกและเยำวชนมลี ดน้อยถอยลง สถำบันครอบครวั ทเ่ี คยมรี ะบบเครอ ญำติในกำรช่วยเหลอเก้อกูลกันและมีควำมเข้มแขงในกำรอบรม สั่งสอน และปลูกฝังศีลธรรมและค่ำนิยมที่ดีงำม ให้แก่ลูกหลำนเริ่มเปรำะบำงลง เน่องจำกวิถีชีวิตปรับเปล่ียนไปต้องดิ้นรนทำงเศรษฐกิจมำกขึ้นส่งผลต่อ ควำมสัมพันธในครอบครัวอ่อนแอลง ปัญหำกำรหย่ำร้ำงเพิ่มมำกขึ้น ขณะเดียวกันวิถีชีวติ สมัยใหม่มีผลให้ควำม เช่อศรัทธำในหลักศำสนำเส่อมถอยลง กำรจัดกำรศึกษำในปัจจุบันเป็นไปตำมจุดมุ่งหมำยของพระรำชบัญญัติ กำรศึกษำแหง่ ชำตพิ ทุ ธศักรำช ๒๕๔๒ แก้ไขเพิม่ เตมิ (ฉบับที่ ๒) พทุ ธศักรำช ๒๕๔๕ ซง่ึ กำหนดคณุ ลกั ษณะคนไทย ท่ีพึงประสงคไว้ในมำตรำ ๖ กล่ำวว่ำ “กำรจัดกำรศึกษำต้องเป็นไปเพ่อพัฒนำคนไทยให้เป็นมนุษยที่สมบูรณท้ัง ร่ำงกำย จิตใจ สติปัญญำ ควำมรู้คู่คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในกำรดำรงชวี ิต สำมำรถอยู่ร่วมกับผู้อ่นได้ อย่ำงมีควำมสุข” ซึ่งสอดคล้องกับจุดมุ่งหมำยของหลกั สูตรกำรศึกษำข้ันพ้นฐำน พ.ศ. ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนำคนไทยให้ เป็นมนุษยท่ีสมบูรณ เป็นคนท่ีมีสติปัญญำดี มีควำมสุขและมีควำมเป็นไทย มีศักยภำพในกำรศึกษำต่อและ ประกอบอำชีพ จึงกำหนดจุดมุ่งหมำยซึ่งถอเป็นมำตรฐำนกำรเรียนรู้ ผู้เรียนมีคุณธรรมจริยธรรมและค่ำนิยมท่ี พึงประสงคเหนคุณค่ำในตนเอง เรียนดี มีวินัย และปฏิบัติตนตำมหลักธรรมของพระพุทธศำสนำหรอศำสนำท่ีตน นับถอ ยึดหลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียง จึงได้บรรจุหลักสูตรกิจกรรมพัฒนำผู้เรียนไว้เป็นอีกสำระหนึ่งที่ โรงเรียนจะต้องดำเนินกำรจดั กิจกรรมนี้เพ่อให้ผูเ้ รียนเป็นเยำวชนไทยมีคุณภำพและมีคุณลักษณะที่พึงประสงคอยู่ รว่ มกับผ้อู ่นในสงั คมไดอ้ ยำ่ งมคี วำมสุข คณุ ธรรมและจรยิ ธรรมสาหรับผูทาหนาท่ีครู คุณธรรมจริยธรรมเป็นสิง่ สำคัญจำเป็นในกำรอยรู่ ่วมกันของคนในสงั คม เพรำะกำรกระทำของบุคคลหนง่ึ ย่อมส่งผลต่ออีกคนหน่ึง ดังนั้นหำกคนในสังคมขำดคุณธรรมแล้วย่อมส่งผลกระทบต่อผู้เกี่ยวข้องและสังคมได้ ถ้ำ คนในสังคมโดยเฉพำะผู้ที่เป็นผู้นำไม่ว่ำจะเป็นองคกรเลกหรอใหญ่และเป็นหน่วยงำนของรัฐหรอ เอกชน ดังน้ัน คุณธรรมจริยธรรม จึงเป็นเร่องสำคัญสำหรับผู้ที่ทำหน้ำท่ีครูต้องใส่ใจและนำไปใช้สู่กำรปฏิบัติเป็นส่วนหน่ึงของ กำรดำเนินชีวิตและกำรทำงำน อย่ำงไรกตำมเร่องน้ีเร่องน้ีเป็นสิ่งท่ีสังคมคำดหวังแต่ในเชิงวิชำกำรและพฤติกรรม
๑๒ สังคมของคนในสังคมไทยนั้น ยังนับว่ำเป็นปัญหำอยู่มำก และครูที่ดี ควรมีคุณลักษณะควำมเป็นผู้นำซึ่ง ประกอบด้วยคณุ สมบัติดงั ต่อไปน้ี ๑. เปน็ ผูม้ ีบุคลกิ ภำพทดี่ ี (Good Personality) คอ เป็นผู้มสี ุขภำพกำยและสภุ ำพจติ ทีด่ ี ๑.๑ มีสุขภำพท่ีดี คอ เป็นผู้มีสุขภำพอนำมัยท่ีดี มีท่วงท่ำกิริยำ รวมท้ังกำรแต่งกำยท่ีสุภำพ เรยี บร้อยดงี ำม สะอำด และดสู งำ่ งำมสมฐำนะ ๑.๒ มสี ุขภำพจิตทดี่ ี คอ เป็นผมู้ อี ัธยำศัยใจคอทง่ี ำม เป็นคนดี มีศลี ธรรม ไดแ้ ก่ ศรัทธำ ศลี สุตะ จำคะ วริ ิยะ สติ สมำธิ และปญั ญำ กับท้ังมีกัลยำณมติ ตธรรม คอ มีคุณธรรมของคนดี - เปน็ ผมู้ ศี รัทธำ หมำยถงึ เปน็ ผรู้ ูจ้ กั ศรัทธำบุคคลและข้อปฏิบัติทค่ี วรศรัทธำ ไมล่ มุ่ หลง งมงำยในทต่ี ั้งแหง่ ควำมลุ่มหลง - เป็นผูม้ ศี ลี คอ ผทู้ ่ีร้จู ักสำรวมระวงั ควำมประพฤติปฏิบัติทำงกำยและวำจำให้เรียบร้อย ดงี ำม ไมป่ ระพฤตเิ บียดเบยี นตนเองและผู้อ่น - เปน็ ผ้มู ีสตุ ะ คอ ผูไ้ ดเ้ รียนรู้ทำงวิชำกำรและไดศ้ ึกษำค้นควำ้ ในวชิ ำชีพดี - เปน็ ผู้มจี ำคะ คอ เป็นผมู้ จี ิตใจกว้ำงขวำง ไม่คับแคบ รจู้ ักเสยี สละ - เป็นผู้มีวิริยะ คอ ผู้ขยันหม่ันเพียร ในกำรประกอบกิจกำรงำนงำนอำชีพ และ/หรอใน หน้ำท่รี บั ผดิ ชอบ - เป็นผู้มีสติ คอ ผรู้ จู้ กั ยับย้ัง ช่ังใจ รูจ้ ักคดิ ไตรต่ รองให้รอบคอบ ก่อนคิด พดู ทำ - เปน็ ผ้มู สี มำธิ คอ ผมู้ จี ติ ใจตั้งม่นั ข่มกิเลสนวิ รณ - เปน็ ผมู้ ีปัญญำ คอ ผทู้ ่ีรอบรู้กองสงั ขำร ผูร้ อบรูส้ ภำวธรรมทีป่ ระกอบด้วยปัจจยั ปรุง แตง่ (สังขำร) และทีไ่ ม่ประกอบด้วยปัจจยั ปรุงแตง่ (วิสังขำรคอพระนิพพำน) ผูร้ ู้แจ้งพระอริยสัจ ๔ รวมเป็นผ้มู ีปญั ญำอันเหนชอบรอบรู้ทำงเจริญ ทำงเส่อม แหง่ ชีวติ ตำมทเี่ ปน็ จรงิ ๒. เปน็ ผูม้ ีกัลยำณมติ ตธรรม คอ ผู้มีคุณธรรมของมติ รทด่ี ี ๗ ประกำร คอ ๑) เป็นผู้นำ่ รัก(ปิโย) คอ เป็นผู้มจี ติ ใจประกอบด้วยเมตำกรุณำพรหมวิหำร ๒) เป็นผนู้ ่ำเครำพบูชำ(คร)ุ คอ เปน็ ผูท้ ี่สำมำรถเอำเปน็ ท่ีพึ่งอำศยั เป็นทพ่ี ึง่ ทำงใจ ๓) เปน็ ผนู้ ่ำนับถอ น่ำเจรญิ ใจ(ภำวนโี ย) ดว้ ยวำ่ เปน็ ผไู้ ดฝ้ กึ ฝนอบรมตนมำดีแลว้ ควรแก่ กำรยอมรบั และยกยอ่ งนับถอ เอำเป็นเย่ยี งอยำ่ งได้ ๔) เป็นผู้รู้จักพูดจำโดยมีเหตุผลและหลกั กำร(วตั ตำ) ร้จู กั ช้ีแจง แนะนำใหผ้ ู้อ่นเขำ้ ใจดี แจ่มแจ้ง เป็นที่ปรึกษำทด่ี ี ๕) เป็นผอู้ ดทนต่อถ้อยคำทีล่ ว่ งเกนิ วพิ ำกษวจิ ำรณ ซกั ถำมหรอขอปรกึ ษำหำรอ ขอใหค้ ำแนะนำ ต่ำงๆ ได้ (วจนกั ขโม ) ๖) สำมำรถแถลงชแี้ จงเร่องท่ีลกึ ซง้ึ หรอเร่องย่งุ ยำกซบั ซ้อนใหเ้ ข้ำใจอยำ่ งถูกต้องและตรงประเดน ได้ (คัมภรี ัญ จะ กะถัง กัตตำ) ๗) ไมช่ ักนำในอฐำนะ (โน จัฏฐำเน นโิ ยชะเย) คอ ไมช่ กั จูงไปในทำงเส่อม(อบำยมุข) หรอไป ในทำงทเ่ี หลวไหล ไร้สำระหรอที่เปน็ โทษ เปน็ ควำมทุกขเดอดร้อน
๑๓ จริยธรรมสาหรับครู ความหมายของจรยิ ธรรม จรยิ ะ แปลวำ่ กริ ยิ ำ ควำมประพฤติ กำรปฏบิ ตั ิ ฉะนัน้ จรยิ ธรรม จงึ หมำยถึง แนวทำงกำรปฏิบตั ิ สำหรับมนุษยเพ่อใหบ้ รรลุถึงสภำพชีวิตทพ่ี ึงประสงค ทำ่ นพุทธทำสภิกขุ อธบิ ำยไวว้ ำ่ จรยิ ธรรม หมำยถงึ ตัวของกฎที่ต้องปฏบิ ตั ิ สว่ นจริยศำสตร คอ เหตผุ ลสำหรับใชอ้ ธิบำยกฎท่ตี ้อปฏิบตั ิ มลี ักษณะเป็นปรชั ญำและเม่อรวมทง้ั สองสว่ นเข้ำด้วยกนั จะเรยี กวำ่ จริยศกึ ษา พจนำนุกรม อธิบำยว่ำจริยธรรมมีควำมหมำย ๒ นยั คอ ๑. โดยนัยท่เี ปน็ ภำวะทำงจติ ใจ (Idea) นั้น จริยธรรม แปลว่ำ ควำมคิดท่วี ำ่ บำงพฤติกรรมเปน็ ส่งิ ท่ี ถกู ต้องและควรทำและเป็นที่ยอมรบั และบำงพฤติกกรมเป็นส่งิ ทผ่ี ิดหรอเลว ทงั้ นี้เป็นไปไดโ้ ดยควำมคดิ เหนของ แต่ละบคุ คลและโดยควำมคดิ เหนของสงั คม นอกจำกนจ้ี รยิ ธรรมยงั เปน็ คณุ ภำพหรอสถำนะในกำรดำเนินชวี ิตอยู่ อยำ่ งถูกต้อง ๒. จริยธรรมเปน็ ระบบของลักษณะและคณุ ค่ำทเ่ี ก่ียวพนั กับพฤตกิ รรมของคนสว่ นใหญ่ ซง่ึ โดยทั่วไป แลว้ เปน็ ทย่ี อมรับของสังคมหรอเฉพำะกลุม่ คน จรยิ ธรรม แปลวำ่ สิง่ ท่เี ปน็ ข้อประพฤติ ปฏบิ ตั ิ หรอกฎ ทคี่ วรปฏบิ ัตใิ นทำงที่ดี ทคี่ วรกระทำเพ่อให้ เกิดสิง่ ท่ดี ีหรอมีสนั ติสุขในสังคม ในกำรเทศนำสัง่ สอนของพระสงฆในศำสนำพธุ นนั้ มสี องแบบคอ เทศนำธรรมและ เทศนำจรยิ ะ เทศนำธรรม หมำยถงึ กำรบอกหรอกำรอธบิ ำยข้อควำมตำ่ งๆ วำ่ คออะไร? เปน็ อยำ่ งไร ? มปี ระโยชน หรอเปำ้ ประสงคอย่ำงไร? ส่วนเทศนำจรยิ ะ คอ กำรอบรมและกำรอธบิ ำยสิ่งท่ีพึงกระทำ หรอบอกถึงพฤติปฏบิ ัติ ในทำงที่ดี คณุ ธรรมกับจรยิ ธรรมเป็นเร่องเดียวเกีย่ วพันกัน อำจกล่ำวไดว้ ำ่ คุณธรรมเป็นธรรมฝ่ำยดีท่ีอยู่ภำยใน จติ ใจของบคุ คล กำรแสดงออกของคณุ ธรรมใหป้ ระจักษนัน้ เรียกวำ่ จริยธรรมนน่ั เอง หลักคุณธรรมท่ีครคู วรยดึ ถือปฏิบตั ิ ๑. ครเู ปน็ ผู้มหี ลกั ธรรมในกำรครองงำนทด่ี ี ด้วยคุณธรรม คอ อทิ ธบิ าท ๔ ไดแ้ ก่ ๑.๑ ฉันทะ ควำมรักงำน คอ จะต้องเป็นผู้รักงำนที่ตนมีหน้ำท่ีรับผิดชอบอยู่ และจะต้องเอำใจใส่ กระตอรอร้นในกำรเรียนรู้งำน เพ่ิมพูนวิชำควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรทำกิจกำรงำน และมุ่งมั่นที่จะทำงำนใน หนำ้ ทรี่ ับผดิ ชอบหรอกจิ กำรงำนอำชีพของตนให้สำเรจเรยี บร้อยอย่เู สมอ ๑.๒ วริ ยิ ะ ควำมเพยี ร คอ จะต้องเป็นผมู้ ีควำมขยนั หมัน่ เพียร ประกอบด้วยควำมอดทน ไมย่ ่อทอ้ ต่อควำมยำกลำบำกในกำรประกอบกจิ กำรงำนในหนำ้ ทีห่ รอในอำชีพของตน จงึ จะถงึ ควำมสำเรจและ ควำมเจรญิ ก้ำวหนำ้ ได้ ๑.๓ จิตตะ ควำมเปน็ ผู้มีใจจดจ่ออยู่กบั กำรงำน ผูท้ ่ีทำงำนได้สำเรจดว้ ยดี มีประสทิ ธภิ ำพจะตอ้ ง เป็นผูเ้ อำใจใสต่ ่อกจิ กำรงำนท่ีทำ และมุง่ กระทำงำนอย่ำงต่อเนอ่ งจนกวำ่ จะสำเรจ ไม่ทอดท้ิงหรอวำงธุระ เสียกลำงคัน ไม่เปน็ คนจบั จด หรอทำงำนแบบทำ ๆ หยุด ๆ ๑.๔ วิมงั สา ควำมเป็นผรู้ ู้จักพจิ ำรณำเหตุ สงั เกตผลในกำรปฏบิ ัติงำนของวำ่ ดำเนนิ ไปตำมนโยบำย และแผนงำนที่วำงไว้หรอไม่ ได้ผลสำเรจหรอมีควำมคบหน้ำไป ตำมวัตถุประสงคที่กำหนดไว้หรอไม่เพียงไร มอี ุปสรรคหรอปัญหำท่ีควรได้รับกำรปรับปรุงแก้ไขวธิ ีกำรทำงำน หรอวธิ กี ำรบรหิ ำรกิจกำรงำนนั้นให้สำเรจตำม
๑๔ วัตถุประสงคได้อย่ำงไร ขั้นตอนน้ีเป็นกำรนำข้อมูลจำกท่ีได้ ติดตำมประเมินผลงำนหรอตรวจงำนนั้นแหละมำ วิเครำะหวิจยั ให้ทรำบเหตุผลของปัญหำหรออุปสรรค ข้อขัดข้องในกำรทำงำน แล้วพิจำรณำแก้ไขปัญหำเหล่ำนน้ั และปรับปรุงพฒั นำวิธกี ำรทำงำนใหด้ ำเนนิ ไปสู่ ควำมสำเรจ ให้ถึงควำมเจรญิ กำ้ วหนำ้ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไปได้ ๒. ครูเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ (Human Relation) ท่ีดี ด้วยคุณธรรม คอ พรหมวิหาร ๔ และ สงั คหวัตถุ ๔ พรหมวหิ ำรธรรม คณุ ธรรม ๔ ประกำร คอ ๑) เมตตา คอ ควำมรกั ปรำรถนำท่ีจะให้ผูอ้ ่นอยู่ดมี ีสุข ๒) กรณุ า คอ ควำมสงสำร ปรำรถนำให้ผูม้ ที กุ ข เดอดร้อน ใหพ้ ้นทกุ ข ๓) มุทิตา คอ ควำมพลอยยนิ ดี ทผ่ี ู้อ่นได้ดี ไม่คิดอิจฉำริษยำกัน ๔) อเุ บกขา คอ ควำมวำงเฉย ไม่ยนิ ดยี นิ ร้ำย เมอ่ ผู้อน่ ถงึ ซง่ึ ควำมวิบตั ิ โดยที่เรำกชว่ ยอะไรไม่ได้ กตอ้ งปล่อยวำงใจของเรำเองด้วยปัญญำ สังคหวตั ถุธรรม ๔ ประกำร คอ ๑) ทาน ร้จู กั ใหป้ ัน สงิ่ ของ ของตน แกผ่ ู้อน่ ทคี่ วรใหป้ ัน ๒) ปิยวาจา ร้จู กั เจรจำอ่อนหวำน คอ กล่ำวแตว่ ำจำทส่ี ภุ ำพอ่อนโยน ๓) อัตถจริยา ร้จู กั ประพฤติสง่ิ ที่เปน็ ประโยชนแก่ผูอ้ ่น ๔) สมานัตตตา เป็นผูม้ ีตนเสมอ คอไมถ่ อตวั เย่อหยิง่ จองหอง อวดดี คุณธรรม ๔ ประกำรน้ี เป็นเครอ่ งยดึ เหนย่ี วจิตใจของผ้อู ่นไว้ได้ และยังควำมสมัครสมำนสำมัคคี ใหเ้ กิดขน้ึ ระหว่ำง กนั และกนั ดว้ ยหรอจะเรียกวำ่ เป็น“หลกั ธรรมมหำเสนห่ ” กได้ ๓. ครูเปน็ ผมู้ ีควำมคิดริเร่มิ (Initiatives) ดว้ ยควำมคดิ สรำ้ งสรรค (Creative) โครงกำรใหมๆ่ ที่เปน็ ประโยชนสุขแกห่ มู่คณะ สงั คม และประเทศชำตแิ ละวิธีกำรทำงำนใหม่ๆ กิจกำรงำนไดบ้ ังเกิดผลดี มปี ระสิทธิภำพ สงู ยง่ิ ขึ้น ๔. ครูมีควำมคดิ พฒั นำ (Development) คอเปน็ นกั พัฒนำ ปรับปรุงแก้ไขส่ิงท่ีล้ำหลังหรอ ขอ้ บกพร่องในกำรทำงำนให้ดีขึน้ อย่เู สมอ ๕. ครูเปน็ ผู้มสี ำนกึ ในภำระหนำ้ ทคี่ วำมรบั ผิดชอบ (Sense of Responsibilities) คอ มีสำนกึ ในควำมรับผดิ ชอบตอ่ ตนเอง โดยกำรศึกษำหำควำมรู้ เพม่ิ พนู ศักยภำพ และสำนึกในกำรสร้ำงฐำนะของตน และมี สำนึกในหน้ำท่ีควำมรับผิดชอบต่อส่วนรวม คอ ต่อครอบครัว ต่อองคกรและหมู่คณะที่ตนรับผิดชอบอยู่ และ ตอ่ สังคมประเทศชำติใหเ้ จรญิ สนั ตสิ ุข ๖. ครมู ีควำมมนั่ ใจตนเอง(Self Confidence) หมำยถงึ มีควำมม่นั ใจโดยธรรม คอมีควำมมั่นใจ ในควำมรู้ ควำมสำมำรถ สตปิ ัญญำ วสิ ยั ทศั นและทงั้ คุณธรรม คอควำมเปน็ ผมู้ ีศีลมีธรรมอันตนได้ศึกษำ อบรมมำดี แลว้ มิใช่มีควำมมั่นใจอย่ำงผิดๆ ลอยๆ อยำ่ งหลงตวั หลงตน ทั้งๆ ท่ีแทจ้ ริงตนเองหำได้มีคุณสมบตั ิ และคณุ ธรรมดี สมจรงิ ไมแ่ ละจักต้องรู้จกั แสดงควำมมั่นใจ ในเวลำ คิด พูด ทำ ใหเ้ หมำะสมกับกำละ เทศะ บคุ คล สถำนที่ และ ประชุมชน ๗. ครูยดึ ม่ันหลกั ควำมเหมำะสม คอ ร้จู ักคดิ พดู ทำกิจกำรงำนและปฏิบัติงำนไดเ้ หมำะสม ถกู กำลเทศะ บุคคล สังคม และสถำนกำรณ กล่ำวคอเป็นผู้มีสปั ปรุ ิสธรรม คอ คณุ ธรรมของสตั บรุ ษุ คอ คนดี มศี ลี ธรรม มี ๗ ประกำร อนั ไดแ้ ก่ ๑) ธัมมัญญุตำ รจู้ กั เหตุ ไดแ้ ก่ ปญั ญำรู้เหตุแหง่ ทำงเจรญิ และทำงเสอ่ ม
๑๕ ๒) อัตถญั ญุตำ รู้จักผล ได้แก่ ปัญญำรู้ผลท่ีเปน็ มำแต่เหตุ หรอปัจจยั ใหเ้ กดิ ผลตำ่ งๆ ตำมท่ีเป็นจริง ๓) อัตตัญญุตำ รจู้ ักตน คอ รู้ภมู ิธรรม ภมู ปิ ัญญำและฐำนะของตนตำมทีเ่ ปน็ จริง แลว้ วำงตนให้ เหมำะสมแกฐ่ ำนะ ๔) มัตตญั ญุตำ รจู้ ักประมำณ ปฏิบตั ิตน วำงตนใหเ้ หมำะสมแกฐ่ ำนะ และรู้จักประมำณในกำร บริโภค ใช้สอนทรพั ยที่มีอยแู่ ละตำมมตี ำมได้ ๕) กำลญั ญุตำ รู้จักกำล คอ รูจ้ ักเวลำหรอโอกำสที่สมควร และไมค่ วรพูดหรอกระทำกำรต่ำงๆ ๖) ปรสิ ัญญุตำ รจู้ กั ชมุ ชน วำ่ มีอัธยำศยั ใจคอ ฐำนะควำมเปน็ อยแู่ ละขนบธรรมเนียมประเพณขี อง หมชู่ นตำ่ งๆ เพ่อใหร้ ู้จกั วำงตัวใหเ้ หมำะสม ๗) ปคุ ลัญญุตำ รจู้ ักบคุ คล วำ่ มีอธั ยำศัยใจคอ มีภูมิธรรม ภูมปิ ญั ญำ และมีฐำนะอย่ำงไรเพ่อปฏบิ ตั ิ ตนหรอวำงตน ให้เหมำะสมตำมฐำนะของเรำและของเขำ กำรเสรมิ สรำ้ งคุณธรรม จรยิ ธรรมสำหรบั ครูผูท้ ำหน้ำท่คี รูท่ีดี ควรมีหลักธรรมจรยิ ธรรม สำหรับ พัฒนำตน เพ่อเสริมสรำ้ งคุณธรรม ได้แก่ ๑. ศลี คอ กำรสำรวมระวงั ควำมประพฤติปฏิบัติ ทำงกำย และทำงวำจำ ใหเ้ รียบรอ้ ยดงี ำม ไม่ประพฤติเบียดเบียนตนเองและผอู้ น่ ๒. สมำธิ คอ กำรรักษำใจให้ผ่องใสปรำศจำกกิเลสนวิ รณ แลว้ ให้ตัง้ ม่นั อยใู่ นอำรมณเดยี่ ว ๓. ปัญญำ คอ กำรรอบรู้กองสังขำร รอบรู้สภำวธรรมที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (สังขำร) และท่ี ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง(อสังขำร คอพระนิพำน) และรู้แจ้งเหนแจ้งพระอริยสัจ ๔ รวมเป็นผู้มีปัญญำอัน เหนชอบรอบรู้ทำงเจริญ ทำงเส่อม แห่งชีวิต ตำมท่ีเป็นจริง ศีล สมำธิ และปัญญำนี้ รวมเรียกว่ำ ไตรสิกขำ คอ หลักธรรมท่ีควรศึกษำปฏิบัติ ๓ ประกำร คุณธรรมจริยธรรมสำหรับผู้ทำหน้ำท่ีครู คุณธรรม และจริยธรรมเป็น เสมอนบทบัญญัติของควำมดีและควำมงำมของจิตใจ ที่ส่งผลให้บุคคลประพฤติดี ประพฤติชอบ คุณธรรมและ จริยธรรมจึงเป็นองคประกอบท่ีมีควำมสำคัญต่อกำรประกอบกำรในวิชำชีพของบุคคลในทุกสำขำอำชีพ กำรทำ ควำมเข้ำใจกับควำมรู้เบ้องต้นเก่ียวกับคุณธรรมและจริยธรรมจ ะทำให้ผู้ประกอบวิชำชีพมีควำมตระหนักถึง คุณประโยชนและโทษทีเ่ ป็นผลสบเนอ่ งจำกกำรมคี ุณธรรม --------------------------------------- จรรยาบรรณวชิ าชีพของครู คำว่ำ “จรรยำบรรณ” ประกอบด้วยคำ ๒ คำ คอ จรรยำ หมำยถึง ควำมประพฤติ และ บรรณ หมำยถึงหนังสอ เม่อนำมำรวมกันแล้ว “จรรยำบรรณ” จึงหมำยถึง หนังสอหรอเอกสำรที่กล่ำวถึงสิ่งที่ผู้อยู่ใน อำชีพน้ัน ควรประพฤติปฏิบัติเพ่อรักษำช่อเสียง เกียรติยศ และฐำนะของวิชำชีพนั้น ๆ รำชบัณฑิตยสถำน (๒๕๒๕:๒๑๒-๒๑๓) อธิบำยว่ำ “จรรยำ” เป็นคำนำม หมำยถึง ควำมประพฤติกริยำ ที่ควรปฏิบัติในหมูคณะ เชน่ จรรยำแพทย จรรยำครู เป็นต้น “จรรยำ” นิยมใช้ในทำงที่ดี หำกใช้คำว่ำ “ไม่มีจรรยำ” หมำยควำมว่ำ ไม่มี ควำมประพฤติที่ดี สวนคำว่ำ “จรรยำบรรณ” หมำยถึง ประมวลควำมประพฤติท่ีผู้ประกอบอำชพี กำรงำน แต่ละ อย่ำงกำหนดขึน้ เพ่อรกั ษำและสงเสริมเกยี รติคุณ ช่อเสียงและฐำนะของสมำชิก ซงึ่ อำจเขียนเป็นลำยลักษณอักษร หรอไม่กได้
๑๖ ควำมหมำยของวชิ ำชพี (Profession) Wilbert E. Moore อธิบำยว่ำ วชิ ำชพี คอ กำรประกอบอำชีพ เตมเวลำ โดยผู้ประกอบวิชำชีพ (professional) อุทิศเวลำให้แก่อำชีพนั้น ๆ ผู้ ประกอบวิชำชีพอยู่ในกลุ่ม ผู้ประกอบอำชีพเดียวกัน และมักมี กำรจัดตั้งสมำคมวิชำชีพอย่ำงเป็นรูปธรรม ผู้ประกอบวิชำชีพ จะต้องมีควำมรู้ และทักษะในกำรประกอบวชิ ำชีพ น้ัน ๆ อันเป็นผลมำจำกกำรท่ีได้รับกำรฝึกอบรม หรอกำรศึกษำตรงตำมสำขำที่ ประกอบวิชำชีพ นอกจำกนี้ผู้ประกอบวิชำชีพจะต้องยึดมั่นอยู่กับกฎเกณฑของกำรประกอบวิชำชีพ ปฏิบัติงำน และให้บริกำรด้วยจิตสำนึกในวิชำชีพ ตลอดจนมีควำมเป็นอิสระในกำรประกอบวิชำชีพ อันเน่องมำจำกกำรท่ี ผู้ประกอบวิชำชีพมีควำมเชี่ยวชำญในกำรประกอบวิชำชีพของตนในระดับสูง สำหรับกรณีของประเทศไทยนั้น อำจกล่ำวได้ว่ำคนไทยเร่ิมรู้จักคำว่ำ \"วิชำชีพ\" เป็นคร้ังแรก ในรัชสมัยของพระบำทสมเดจพระจุลจอมเกล้ำ เจำ้ อยู่หวั (รชั กำลท่ี ๕) และวิชำชพี แรกที่คนไทยรู้จัก กคอ วิชาชีพขาราชการ จะเหนไดจ้ ำกกำรท่ีพระองคทรง ปฏิรูปโครงสร้ำงของระบบรำชกำร ตลอดจนกำรบริหำรประเทศให้ทันสมัยทัดเทียมกับนำนำอำรยประเทศ ดังที่ เรำทรำบกันดีว่ำ พระองคทรงดำเนินนโยบำยตำมพระรำชบิดำของพระองค คอ พระบำทสมเดจพระจอมเกล้ำ เจ้ำอยู่หัว ในกำรปรับปรุงประเทศให้เป็นสมัยใหม่ (modernization) ตลอดระยะเวลำท่ีทรงครองรำชยน้ัน ตั้งแต่ รัชสมัยของพระองคใน พ.ศ.๒๔๑๑ จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ อันเป็นปีสุดท้ำยแห่งรัชกำลของพระองค ดังน้ัน คำว่ำ \"วิชำชีพ\"(profession) จึงเร่ิมใช้กันเป็นครั้งแรก ในรัชกำลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร หมำยถึงวิชำชีพข้ำรำชกำร และกำรประกอบวชิ ำชีพนัน้ หมำยถงึ กำรประกอบวชิ ำชพี ข้ำรำชกำรน่ันเอง ควำมหมำยของจรรยำบรรณวิชำชีพ ตำมข้อบังคับคุรุสภำ ว่ำด้วยจรรยำบรรณของวิชำชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้ควำมหมำย “จรรยำบรรณ วิชำชีพ” หมำยถึง มำตรฐำนกำรปฏิบัติตนที่กำหนดขึ้นเป็นแบบแผน ในกำรประพฤติตน ซ่ึงผู้ประประกอบ วิชำชีพทำงกำรศึกษำต้องปฏิบัติตำม เพ่อรักษำและส่งเสริมเกียรติคุณ ช่อเสียง และฐำนะของผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศึกษำ ให้เป็นที่เช่อถอศรัทธำแก่ผู้รับบริกำรและสังคม อันจะ นำมำ ซึ่งเกยี รติและศักด์ิศรแี ห่งวิชำชีพ” นอกจำกน้ัน ข้อบังคับคุรุสภำยังกำหนดตำมควำมหมำยของ “ผู้ประกอบ วิชำชีพทำงกำรศึกษำ” หมำยถึง “ครู ผู้บริหำรสถำนศึกษำ ผู้บริหำรกำรศึกษำ และบุคลำกรทำง กำรศึกษำอ่น ซึ่งได้รับใบอนุญำตเป็นผู้ประกอบวิชำชีพตำม พ.ร.บ. สภำครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ พ.ศ. ๒๕๔๖” (รำชกิจจำนุเบกษำ,๒๕๕๖. หน้ำ ๗๒-๗๔) ส่วนที่ ๑ จรรยาบรรณต่อตนเอง ครูต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนำตนเองด้ำนวิชำชีพ บุคลิกภำพและวิสัยทัศนให้ทันต่อกำรพัฒนำ ทำงวิทยำกำร เศรษฐกิจ สังคม และกำรเมองอยู่เสมอโดยต้องประพฤติและละเว้นกำรประพฤติตำมแบบแผน พฤตกิ รรม (ขอ้ ๑๐) ดงั ตวั อย่ำงต่อไปนี้ ก พฤตกิ รรมท่พี ึงประสงค์ ๑) ประพฤติตนเหมำะสมกับสถำนภำพและเป็นแบบอย่ำงท่ดี ี ๒) ศึกษำ ค้นคว้ำ รเิ ร่มิ สรำ้ งสรรคควำมรใู้ หม่ในกำรพฒั นำวชิ ำชพี อย่เู สมอ ๓) สง่ เสริมและพัฒนำครูในกำรใชน้ วตั กรรมและเทคโนโลยใี นกำรจดั กำรเรียนรู้
๑๗ ๔) สร้ำงผลงำนทแี่ สดงถงึ กำรพฒั นำควำมรู้และควำมคิดในวชิ ำชพี จนเปน็ ท่ียอมรบั ๕) ส่งเสริมกำรปฏบิ ัตงิ ำนโดยมีแผนปฏบิ ตั กิ ำรแบบมีส่วนร่วม และใชน้ วตั กรรมเทคโนโลยีทเี่ หมำะสม กบั สภำพปัจจุบันและกำ้ วทันกำรเปลี่ยนแปลงในอนำคต ข พฤติกรรมทไี่ ม่พึงประสงค์ ๑) เกี่ยวข้องกับอบำยมขุ หรอเสพสิ่งเสพติดจนขำดสติหรอแสดงกิริยำไม่สุภำพเป็นทนี่ ่ำรังเกียจในสงั คม ๒) ประพฤติผดิ ทำงชสู้ ำวหรอมพี ฤติกรรมลว่ งละเมดิ ทำงเพศ ๓) ไม่พฒั นำควำมรใู้ นวิชำชพี เพ่อพัฒนำตนเองและองคกร ๔) ไม่สง่ เสรมิ กำรนำเทคโนโลยสี ำรสนเทศ เพ่อไปปรบั ปรงุ พฒั นำกำรจัดกำรศกึ ษำอย่ำงต่อเน่อง ๕) ไม่มแี ผนหรอไม่ปฏบิ ัติงำนตำมแผน ไม่มีกำรประเมินผลหรอไม่นำผลกำรประเมนิ มำจดั ทำ แผนปฏิบัตกิ ำรอยำ่ งต่อเน่อง ------------------------------------------------ สว่ นที่ ๒ จรรยาบรรณต่อวชิ าชีพ ครูต้องรัก ศรัทธำ ซ่อสัตย สุจริต รับผิดชอบต่อวิชำชีพและเป็นสมำชิกท่ีดีขององคกรวิชำชีพ โดย ตอ้ งประพฤตแิ ละละเวน้ กำรประพฤติตำมแบบแผนพฤตกิ รรม (ข้อ ๑๑) ดงั ตัวอยำ่ งตอ่ ไปน้ี ก พฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค์ ๑) แสดงควำมชน่ ชมและศรัทธำในคุณค่ำของวชิ ำชีพ ๒) รกั ษำช่อเสียงและปกป้องศักดศิ์ รีแห่งวชิ ำชีพ ๓) ยกย่องและเชิดชูเกยี รตผิ มู้ ผี ลงำนในวชิ ำชพี ใหส้ ำธำรณชนรบั รู้ ๔) ปฏิบตั ิหน้ำท่ีด้วยควำมรบั ผดิ ชอบ ซ่อสตั ย สุจริต ตำมกฎ ระเบียบ และแบบแผนของทำงรำชกำร ๕) ปฏิบัติหนำ้ ที่ด้วยควำมม่งุ มั่น ตั้งใจ และใช้ควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรพฒั นำครแู ละบุคลำกร ๖) สนบั สนนุ กำรจดั กิจกรรมเกี่ยวกบั กำรพัฒนำครู กำรเรียนกำรสอน และกำรบริหำรสถำนศกึ ษำ ๗) สง่ เสรมิ ให้ครูและบคุ ลำกรได้ศึกษำ ค้นคว้ำ วิเครำะห วจิ ยั และนำเสนอผลงำนทีเ่ กีย่ วข้องกับวชิ ำชพี ๘) เขำ้ รว่ ม ส่งเสรมิ และประชำสมั พนั ธกิจกรรมของวิชำชีพ หรอองคกรวิชำชีพอยำ่ งสร้ำงสรรค ข พฤตกิ รรมทไี่ ม่พงึ ประสงค์ ๑) วพิ ำกษหรอวิจำรณองคกรหรอวชิ ำชีพจนทำใหเ้ กดิ ควำมเสยี หำย ๒) ดหู ม่นิ เหยียดหยำม ใหร้ ้ำยผรู้ ่วมประกอบวิชำชีพ ศำสตรในวชิ ำชพี หรอองคกรวิชำชพี ๓) ประกอบกำรงำนอ่นที่ไม่เหมำะสมกบั กำรเป็นผู้ประกอบวชิ ำชีพทำงกำรศึกษำ ๔) ไมซ่ อ่ สัตยสุจริต ไม่รบั ผดิ ชอบหรอไม่ปฏิบัตติ ำมกฎ ระเบียบ หรอแบบแผนของทำงรำชกำร จนกอ่ ให้เกดิ ควำมเสยี หำย ๕) ละเลยเพกิ เฉยหรอไม่ดำเนนิ กำรต่อผรู้ ว่ มประกอบวิชำชพี ที่ประพฤติผดิ จรรยำบรรณ ๖) คัดลอกหรอนำผลงำนของผู้อ่นมำเปน็ ของตน ๗) บดิ เบอนหลักวิชำกำรในกำรปฏิบัติงำนจนก่อใหเ้ กดิ ควำมเสียหำย
๑๘ ๘) ใช้ควำมรู้ทำงวิชำกำร วชิ ำชพี หรออำศัยองคกรวิชำชีพแสวงหำประโยชนเพ่อตนเองหรอผู้อน่ โดยมชิ อบ --------------------------------- ส่วนท่ี ๓ จรรยาบรรณต่อผรู ับบริการ ครูต้องรัก เมตตำ เอำใจใส่ ช่วยเหลอ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษยและผู้รับบริกำรตำมบทบำทหน้ำท่ี โดยเสมอหน้ำ ครูและผู้บริหำรสถำนศึกษำต้องส่งเสริมให้เกิดกำรเรียนรทู้ ักษะและนิสัยท่ีถูกต้องดงี ำม แก่ศษิ ยและ ผู้รับบริกำร ตำมบทบำทหน้ำที่อย่ำงเตมควำมสำมำรถด้วยควำมบริสุทธิ์ใจ ครูและผู้บริหำรสถำนศึกษำ ต้อง ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอย่ำงทดี่ ี ทงั้ ทำงกำย วำจำและจิตใจ ครูและผ้บู รหิ ำรสถำนศึกษำต้องไมก่ ระทำตนเป็น ปฏิปักษต่อควำมเจริญทำงกำย สติปัญญำ จิตใจอำรมณและสังคมของศิษยและผู้รับบริกำร ครูและผู้บริหำร สถำนศึกษำต้องให้บริกำรด้วยควำมจริงใจและเสมอภำค โดยไม่เรียกรับหรอยอมรับผลประโยชน จำกกำรใช้ ตำแหน่งหน้ำท่ีโดยมิชอบ โดยต้องประพฤติและละเว้นกำรประพฤติตำมแบบแผนพฤติกรรม (ข้อ ๑๒) ดังตัวอย่ำง ต่อไปน้ี ก พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ ๑) ปฏิบตั งิ ำนหรอใหบ้ ริกำรอยำ่ งมีคุณภำพ โดยคำนึงถงึ สิทธขิ นั้ พ้นฐำนของผ้รู บั บรกิ ำร ดำเนนิ งำนเพ่อ ปกปอ้ งสิทธเิ ดก เยำวชน และผูด้ ้อยโอกำส ๒) บริหำรงำนโดยยึดหลกั กำรบรหิ ำรกิจกำรบำ้ นเมองท่ดี ี ๓) รบั ฟงั ควำมคดิ เหนทมี่ เี หตุผลของศษิ ยและผรู้ บั บริกำร ๔) ครูและบคุ ลำกร มสี ่วนร่วมวำงแผนกำรปฏบิ ัตงิ ำนและเลอกวธิ กี ำรปฏบิ ตั ทิ เ่ี หมำะสมกบั ตนเอง ๕) เสรมิ สร้ำงควำมภำคภมู ิใจให้แก่ศิษยและผ้รู บั บริกำร ด้วยกำรรบั ฟังควำมคิดเหนยกย่อง ชมเชย และให้ กำลงั ใจอย่ำงกัลยำณมติ ร ๖) ให้ศษิ ยและผ้รู บั บริกำรได้มสี ว่ นร่วมในกำรเสนอแนวคดิ หรอวิธีกำรทเี่ ป็นประโยชนตอ่ กำรพฒั นำวชิ ำชพี ข พฤติกรรมทไ่ี ม่พึงประสงค์ ๑) ปฏบิ ัตงิ ำนมงุ่ ประโยชนส่วนตนหรอพวกพ้อง ไม่เป็นธรรมหรอมีลักษณะเลอกปฏบิ ัติ ๒) เรียกรอ้ งผลประโยชนตอบแทนจำกผูร้ ับบริกำรในงำนตำมบทบำทหน้ำท่ี ---------------------------------------- สว่ นท่ี ๔ จรรยาบรรณตอ่ ผรู ่วมประกอบวิชาชีพ ครูพึงช่วยเหลอเก้อกูลซ่ึงกันและกันอย่ำงสร้ำงสรรค โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม สร้ำงควำมสำมคั คี ในหมู่คณะ โดยพงึ ประพฤติและละเวน้ กำรประพฤติตำมแบบแผนพฤติกรรม (ข้อ ๑๓) ดังตวั อย่ำงตอ่ ไปนี้
๑๙ ก พฤตกิ รรมท่ีพึงประสงค์ ๑) รเิ ร่ิมสร้ำงสรรคในกำรบริหำรเพอ่ ให้เกดิ กำรพัฒนำทกุ ดำ้ นตอ่ ผ้รู ่วมประกอบวชิ ำชพี ๒) ส่งเสริมและพทิ ักษสิทธิของผู้ร่วมประกอบวชิ ำชีพ ๓) เปน็ ผู้นำในกำรเปลีย่ นแปลงและพฒั นำ ๔) ใช้ระบบคณุ ธรรมในกำรพจิ ำรณำผลงำนของผู้ร่วมประกอบวชิ ำชพี ๕) มคี วำมรกั ควำมสำมคั คี และร่วมใจกนั ผนึกกำลงั ในกำรพัฒนำกำรศกึ ษำ ๖) ยอมรับฟงั ควำมคดิ เหนและข้อเสนอแนะของผ้รู ว่ มประกอบวิชำชพี ข พฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ ๑) นำเสนอแง่มมุ ทำงลบต่อวิชำชีพ ข้อเสนอไม่เป็นประโยชนตอ่ กำรพัฒนำ ๒) ปกปิดควำมรู้ ไมช่ ่วยเหลอผรู้ ่วมประกอบวิชำชีพ ๓) แนะนำในทำงไม่ถูกต้องต่อผู้ร่วมประกอบวิชำชีพจนทำใหเ้ กิดผลเสียต่อผรู้ ่วมประกอบวชิ ำชีพ ๔) ไมใ่ ห้ควำมชว่ ยเหลอหรอรว่ มมอกบั ผูร้ ว่ มประกอบวชิ ำชีพ ในเร่องทตี่ นมคี วำมถนัด แม้ไดร้ บั กำรร้องขอ ๕) ปฏบิ ัติหนำ้ ท่โี ดยคำนึงถงึ ควำมพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก ไม่ตระหนกั ถึงควำมแตกต่ำงระหวำ่ ง บุคคลของผู้ร่วมประกอบวิชำชีพ ๖) ใชอ้ ำนำจหน้ำทป่ี กป้องพวกพ้องของตนท่กี ระทำผดิ โดยไม่คำนงึ ถงึ ควำมเสยี หำยท่เี กดิ ขนึ้ กบั ผ้รู ว่ มประกอบวชิ ำชพี หรอองคกำร ๗) ยอมรับและชมเชยกำรกระทำของผู้ร่วมประกอบวิชำชพี ท่บี กพร่องต่อหน้ำทหี่ รอศลี ธรรมอันดี ๘) วพิ ำกษ วจิ ำรณผูร้ ว่ มประกอบวิชำชพี ในเร่องที่ก่อให้เกิดควำมเสียหำยหรอแตกควำมสำมัคคี -------------------------------------- สว่ นท่ี ๕ จรรยาบรรณตอ่ สังคม ครพู ึงประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นเป็นผ้นู ำในกำรอนุรักษและพฒั นำเศรษฐกจิ สงั คม ศำสนำ ศลิ ปวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญำ สงิ่ แวดล้อม รกั ษำผลประโยชนของส่วนรวม และยดึ มน่ั ในกำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอันมี พระมหำกษัตรยิ ทรงเป็นประมขุ โดยพึงประพฤติและละเวน้ กำรประพฤติตำมแบบแผนพฤติกรรม (ข้อ ๑๔) ดังตวั อย่ำงต่อไปนี้ ก พฤตกิ รรมทพี่ ึงประสงค์ ๑) ยดึ ม่นั สนับสนนุ และสง่ เสริม กำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตรยิ ทรงเปน็ ประมุข ๒) ใหค้ วำมรว่ มมอและชว่ ยเหลอในทำงวิชำกำรหรอวชิ ำชพี แก่ชุมชน ๓) สง่ เสรมิ และสนับสนนุ กำรจดั กจิ กรรมเพ่อใหศ้ ิษยและผ้รู ับบรกิ ำรเกิดกำรเรยี นรู้และสำมำรถ ดำเนนิ ชวี ติ ตำมหลักเศรษฐกิจพอเพียง
๒๐ ๔) เปน็ ผู้นำในกำรวำงแผนและดำเนินกำรเพ่ออนรุ ักษสงิ่ แวดล้อม พฒั นำเศรษฐกจิ ภูมิปญั ญำ ท้องถน่ิ และศิลปวัฒนธรรม ข พฤตกิ รรมท่ไี ม่พงึ ประสงค์ ๑) ไมใ่ หค้ วำมร่วมมอหรอสนบั สนุนกิจกรรมของชุมชนทจ่ี ดั เพ่อประโยชนต่อกำรศกึ ษำทง้ั ทำงตรง หรอทำงออ้ ม ๒) ไม่แสดงควำมเปน็ ผ้นู ำในกำรอนรุ กั ษหรอพัฒนำเศรษฐกิจ สงั คม ศำสนำศลิ ปวัฒนธรรม ภูมปิ ญั ญำหรอสง่ิ แวดล้อม ๓) ไม่ประพฤติตนเป็นแบบอย่ำงทดี่ ใี นกำรอนุรกั ษหรอพัฒนำสิง่ แวดล้อม ๔) ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ปฏิปักษตอ่ วฒั นธรรมอันดีงำมของชุมชนหรอสังคม ------------------------------- หมวด ๓ แบบแผนพฤตกิ รรมตามจรรยาบรรณของวชิ าชีพครู ส่วนที่ ๑ จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ครูตอ้ งมวี นิ ยั ในตนเอง พัฒนำตนเองด้ำนวชิ ำชีพ บคุ ลกิ ภำพและวสิ ัยทศั นให้ทันตอ่ กำรพฒั นำทำง วทิ ยำกำร เศรษฐกจิ สังคม และกำรเมองอยู่เสมอ โดยตอ้ งประพฤติและละเว้นกำรประพฤตติ ำมแบบแผน พฤติกรรม (ข้อ ๑๕ ) ดงั ตัวอยำ่ งตอ่ ไปนี้ ก พฤตกิ รรมทพ่ี งึ ประสงค์ ๑) ประพฤติตนเหมำะสมกบั สถำนภำพและเป็นแบบอยำ่ งท่ีดี ๒) ศึกษำ คน้ คว้ำ ริเร่ิมสร้ำงสรรคควำมรู้ใหม่ในกำรพฒั นำวิชำชพี อยเู่ สมอ ๓) สง่ เสรมิ กำรใชน้ วัตกรรมเพอ่ พฒั นำกำรศึกษำใหม้ ีคุณภำพ ๔) นำแนวทำงหรอรปู แบบใหม่มำใช้ในกำรปฏบิ ตั ิงำนจนเกดิ ประโยชนต่องำนในหน้ำท่ีและองคกำร ๕) สำมำรถใช้นวตั กรรม เทคโนโลยีในกำรปฏิบัติงำน ๖) สร้ำงผลงำนทแ่ี สดงถงึ กำรค้นพบและพัฒนำควำมรู้ ควำมคิดในวิชำชีพ ๗) เปน็ ผูน้ ำในกำรจัดทำแผนปฏบิ ตั ิกำรใหเ้ หมำะสมกบั สภำพปัจจบุ นั และก้ำวทันกำรเปล่ยี นแปลง ในอนำคต ข พฤตกิ รรมทไ่ี ม่พึงประสงค์ ๑) เก่ยี วขอ้ งกบั อบำยมขุ หรอเสพส่งิ เสพตดิ จนขำดสติหรอแสดงกริ ยิ ำไม่สุภำพเปน็ ทีน่ ่ำรงั เกยี จ ในสังคม ๒) ประพฤตผิ ิดทำงชู้สำวหรอมพี ฤตกิ รรมล่วงละเมดิ ทำงเพศ ๓) ไม่ปรบั เปลย่ี นพฤติกรรม ไม่กระตอรอรน้ ไมเ่ อำใจใส่จนปฏิบัติงำนไม่แล้วเสรจทันเวลำ หรอ เป้ำหมำยท่กี ำหนดและทำให้เกิดควำมเสียหำยต่องำนในหน้ำที่ ----------------------------------
๒๑ สว่ นท่ี ๒ จรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ ครูตอ้ งรัก ศรัทธำ ซอ่ สัตยสุจริต รบั ผิดชอบตอ่ วิชำชพี และเป็นสมำชกิ ที่ดีขององคกรวิชำชีพ โดย ตอ้ งประพฤติและละเว้นกำรประพฤติตำมแบบแผนพฤตกิ รรม(ข้อ ๑๖) ดังตวั อยำ่ งตอ่ ไปน้ี ก พฤตกิ รรมที่พึงประสงค์ ๑) แสดงควำมชน่ ชมและศรทั ธำในคุณคำ่ ของวิชำชีพ ๒) รกั ษำ ช่อเสียงและปกป้องศกั ดิ์ศรแี ห่งวิชำชีพ ๓) ยกย่องและเชดิ ชูเกียรตผิ ู้มีผลงำนในวชิ ำชพี ให้สำธำรณชนรับรู้ ๔) ปฏิบตั หิ น้ำทด่ี ว้ ยควำมรับผิดชอบ ซอ่ สัตยสจุ รติ ตำมกฎ ระเบียบ และแบบแผนของทำงรำชกำร ๕) ปฏบิ ัติหน้ำทด่ี ้วยควำมมุ่งมัน่ ตั้งใจและใชค้ วำมรคู้ วำมสำมำรถในกำรพัฒนำครูและบุคลำกร ๖) ใหค้ วำมรว่ มมอจดั กจิ กรรมที่เก่ยี วกับกำรพฒั นำงำนท่ีตนปฏบิ ัติหรองำนที่รับผดิ ชอบ โดย ไมเ่ รยี กร้องผลประโยชนตอบแทนทค่ี วรไดร้ ับ ๗) สนบั สนนุ ส่งเสริมกำรศึกษำ ค้นควำ้ วเิ ครำะห วิจัย และนำเสนอผลงำนที่เกย่ี วข้องกบั วิชำชีพ ก่อให้เกดิ ประโยชนต่อวิชำชพี ๘) สรำ้ งสรรคเทคนิค วิธกี ำรใหม่ทำงกำรศึกษำเพ่อพฒั นำวิชำชพี ๙) เข้ำรว่ ม ส่งเสรมิ และประชำสัมพนั ธกจิ กรรมของวชิ ำชพี หรอองคกรวชิ ำชีพอย่ำงสร้ำงสรรค ข พฤตกิ รรมท่ไี ม่พึงประสงค์ ๑) วิพำกษหรอวจิ ำรณองคกรหรอวิชำชพี จนทำให้เกิดควำมเสียหำย ๒) ดูหม่ิน เหยียดหยำม ใหร้ ้ำยผู้รว่ มประกอบวชิ ำชีพ ศำสตรในวิชำชพี หรอองคกรวิชำชพี ๓) ประกอบกำรงำนอน่ ท่ีไมเ่ หมำะสมกับกำรเป็นผู้ประกอบวิชำชีพทำงกำรศกึ ษำ ๔) ไมซ่ อ่ สัตยสุจริต ไมร่ บั ผดิ ชอบหรอไม่ปฏบิ ัตติ ำมกฎ ระเบยี บหรอแบบแผนของทำงรำชกำร จนก่อให้เกิดควำมเสยี หำย ๕) ละเลย เพกิ เฉยหรอไม่ดำเนนิ กำรตอ่ ผู้ร่วมประกอบวชิ ำชพี ทป่ี ระพฤติผิดจรรยำบรรณ ๖) คัดลอกหรอนำผลงำนของผู้อ่นมำเปน็ ของตน ๗) บดิ เบอนหลกั วิชำกำรในกำรปฏิบตั ิงำน จนกอ่ ใหเ้ กิดควำมเสียหำย ๘) ใชค้ วำมรูท้ ำงวิชำกำร วชิ ำชีพหรออำศัยองคกรวชิ ำชพี แสวงหำประโยชนเพอ่ ตนเองหรอผอู้ น่ โดยมิชอบ --------------------------------------------- ส่วนที่ ๓ จรรยาบรรณตอ่ ผรู ับบรกิ าร ครูต้องรกั เมตตำ เอำใจใส่ ชว่ ยเหลอ สง่ เสริม ให้กำลงั ใจแกศ่ ิษยและผรู้ ับบรกิ ำรตำมบทบำทหน้ำที่ โดยเสมอหน้ำ ครูต้องส่งเสริมใหเ้ กิดกำรเรียนรู้ ทักษะ และนิสัยท่ีถูกต้องดีงำมแก่ศิษยและผรู้ บั บริกำร ตำม บทบำทหน้ำที่อย่ำงเตมควำมสำมำรถด้วยควำมบริสุทธ์ิใจ ครูต้องประพฤติปฏิบัตติ นเปน็ แบบอยำ่ งที่ดีทั้งทำงกำย
๒๒ วำจำและจิตใจ ครูต้องไมก่ ระทำตนเป็นปฏิปักษต่อควำมเจรญิ ทำงกำย สติปัญญำ จติ ใจ อำรมณ และสงั คม ของ ศษิ ยและผู้รบั บริกำรและครูต้องใหบ้ ริกำรด้วยควำมจรงิ ใจและเสมอภำคโดยไม่เรียกรับหรอยอมรบั ผลประโยชน จำกกำรใชต้ ำแหน่งหน้ำที่โดยมชิ อบ โดยตอ้ งประพฤตแิ ละละเวน้ กำรประพฤติตำมแบบแผนพฤติกรรม (ข้อ ๑๗ ) ดังตวั อยำ่ งต่อไปนี้ ก พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์ ๑) ปฏิบตั ิงำนหรอให้บรกิ ำรอย่ำงมคี ณุ ภำพโดยคำนึงถงึ สิทธิข้นั พ้นฐำนของผูร้ ับบริกำร ๒) ส่งเสริมให้มีกำรดำเนนิ งำนเพ่อปกป้องสิทธิเดก เยำวชน และผดู้ ้อยโอกำส ๓) บริหำรงำนโดยยึดหลกั กำรบริหำรกจิ กำรบำ้ นเมองท่ดี ี ๔) รับฟงั ควำมคิดเหนท่มี ีเหตุผลของผู้รับบรกิ ำร ๕) ปฏบิ ัตหิ น้ำทอ่ี ยำ่ งมุง่ มนั่ ตง้ั ใจเพ่อให้ผู้รับบริกำรพัฒนำตนเองไดเ้ ตมตำมศกั ยภำพ ๖) ให้ผ้รู บั บริกำรได้รว่ มวำงแผนกำรปฏิบัติงำนและเลอกวิธกี ำรปฏิบัตทิ ี่เหมำะสมกบั ตนเอง ๗) เป็นกลั ยำณมติ รกับผรู้ ับบรกิ ำร ข พฤติกรรมทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ ๑) ปฏบิ ตั งิ ำนมงุ่ ประโยชนส่วนตนหรอพวกพ้อง ไม่เป็นธรรมหรอมลี ักษณะเลอกปฏบิ ัติ ๒) เรียกรอ้ งผลประโยชนตอบแทนจำกผู้รบั บริกำรในงำนตำมบทบำทหน้ำที่ --------------------------------------------- ส่วนท่ี ๔ จรรยาบรรณตอ่ ผูร่วมประกอบวิชาชพี ครพู ึงช่วยเหลอเกอ้ กลู ซ่ึงกันและกนั อยำ่ งสรำ้ งสรรค โดยยดึ มน่ั ในระบบคุณธรรมสรำ้ งควำมสำมคั คี ในหมคู่ ณะ โดยพึงประพฤติและละเว้นกำรประพฤตติ ำมแบบแผนพฤติกรรม (ขอ้ ๑๘) ดงั ตวั อย่ำงต่อไปน้ี ก พฤตกิ รรมทพ่ี ึงประสงค์ ๑) ริเรม่ิ สร้ำงสรรคในกำรบริหำรเพอ่ ใหเ้ กดิ กำรพฒั นำทุกด้ำนต่อผูร้ ว่ มประกอบวชิ ำชพี ๒) สง่ เสรมิ และพิทกั ษสทิ ธิของผู้รว่ มประกอบวชิ ำชีพ ๓) เป็นผ้นู ำในกำรเปลยี่ นแปลงและพัฒนำ ๔) ใช้ระบบคณุ ธรรมในกำรพิจำรณำผลงำนของผ้รู ่วมประกอบวชิ ำชีพ ๕) มคี วำมรกั ควำมสำมคั คี และร่วมใจกันผนึกกำลงั ในกำรพฒั นำกำรศึกษำ ๖) ยอมรับฟงั ควำมคิดเหนและขอ้ เสนอแนะของผู้รว่ มประกอบวชิ ำชีพ ข พฤตกิ รรมทไ่ี ม่พึงประสงค์ ๑) นำเสนอแง่มมุ ทำงลบต่อวชิ ำชพี ข้อเสนอไม่เป็นประโยชนต่อกำรพฒั นำ ๒) ปกปิดควำมรู้ ไมช่ ่วยเหลอผู้ร่วมประกอบวชิ ำชีพ ๓) แนะนำในทำงไม่ถูกต้องต่อผู้รว่ มประกอบวชิ ำชีพ จนทำให้เกิดผลเสียต่อผูร้ ่วมประกอบวิชำชพี ๔) ไมใ่ หค้ วำมช่วยเหลอหรอรว่ มมอกับผรู้ ่วมประกอบวชิ ำชพี ในเร่องท่ีตนมีควำมถนัดแม้ไดร้ บั กำรรอ้ งขอ
๒๓ ๕) ปฏบิ ัติหนำ้ ทโ่ี ดยคำนงึ ถงึ ควำมพึงพอใจของตนเองเป็นหลกั ไม่ตระหนกั ถึงควำมแตกตำ่ งระหวำ่ ง บุคคลของผูร้ ่วมประกอบวชิ ำชพี ๖) ใชอ้ ำนำจหน้ำทีป่ กป้องพวกพ้องของตนทีก่ ระทำผิด โดยไม่คำนงึ ถึงควำมเสียหำยที่เกิดข้ึนกับ ผรู้ ว่ มประกอบวชิ ำชีพหรอองคกำร ๗) ยอมรับและชมเชยกำรกระทำของผู้รว่ มประกอบวชิ ำชพี ทบี่ กพรอ่ งตอ่ หนำ้ ท่หี รอศลี ธรรมอันดี ๘) วพิ ำกษ วจิ ำรณผ้รู ่วมประกอบวิชำชีพในเรอ่ งท่ีก่อใหเ้ กดิ ควำมเสยี หำยหรอแตกควำมสำมัคคี ---------------------------- สว่ นที่ ๕ จรรยาบรรณต่อสงั คม ครูพงึ ประพฤตปิ ฏบิ ัติตนเปน็ ผู้นำในกำรอนรุ กั ษและพฒั นำเศรษฐกิจ สงั คม ศำสนำ ศิลปวฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญำ สง่ิ แวดลอ้ ม รกั ษำผลประโยชนของสว่ นรวมและยดึ ม่นั ในกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยอนั มี พระมหำกษัตรยิ ทรงเปน็ ประมขุ โดยพงึ ประพฤตแิ ละละเว้นกำรประพฤตติ ำมแบบแผนพฤติกรรม (ข้อ ๑๙) ดงั ตัวอย่ำงต่อไปนี้ ก พฤตกิ รรมทพ่ี ึงประสงค์ ๑) ยดึ มน่ั สนบั สนุน และสง่ เสริม กำรปกครองระบอบประชำธิปไตยอนั มีพระมหำกษัตรยิ ทรงเป็น ประมขุ ๒) ให้ควำมรว่ มมอและช่วยเหลอในทำงวิชำกำรหรอวิชำชีพแกช่ มุ ชน ๓) ส่งเสริมและสนับสนุนกำรจัดกิจกรรมเพ่อให้ศิษยและผู้รับบริกำรเกิดกำรเรียนรู้และสำมำรถ ดำเนนิ ชีวิตตำมหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ๔) เป็นผนู้ ำในกำรวำงแผนและดำเนนิ กำรเพ่ออนรุ ักษสิ่งแวดล้อม พฒั นำเศรษฐกิจภูมปิ ัญญำท้องถ่ิน และศิลปวฒั นธรรม ข พฤตกิ รรมที่ไม่พึงประสงค์ ๑) ไมใ่ ห้ควำมร่วมมอหรอสนับสนนุ กจิ กรรมของชมุ ชนทจี่ ดั เพอ่ ประโยชนตอ่ กำรศึกษำท้งั ทำงตรงหรอ ทำงอ้อม ๒) ไม่แสดงควำมเปน็ ผนู้ ำกำรอนุรักษหรอพัฒนำเศรษฐกจิ สังคม ศำสนำ ศิลปวฒั นธรรม ภมู ิปญั ญำ หรอส่ิงแวดลอ้ ม ๓) ไม่ประพฤติตนเปน็ แบบอย่ำงทด่ี ใี นกำรอนุรักษหรอพัฒนำสิง่ แวดล้อม ๔) ปฏบิ ัติตนเปน็ ปฏิปักษต่อวัฒนธรรมอนั ดีงำมของชมุ ชนหรอสังคม --------------------------------------
๒๔ หมวดที่ ๒ วินัย การรักษาวนิ ัย การดาเนนิ การทางวินัย การอุทธรณ์และการรองทกุ ข์ (ตาม พ.ร.บ.ระเบียบขาราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่แี กไขเพมิ่ เติม) ความหมาย วินยั คอ กฎ ขอ้ บังคับ ท่ีตอ้ งปฏิบตั ติ ำม หำกฝำ่ ฝืนอำจต้องรับโทษ วนิ ยั หมำยถงึ กำรควบคุมควำมประพฤติหรอพฤติกรรมของคนในองคกร ให้เป็นไปตำมแผนที่ พึงประสงค (หมวด ๖ วนิ ยั และกำรรักษำวนิ ยั มำตรำ ๘๒ – ๙๗) การดาเนินการทางวนิ ยั มำตรำ ๙๘-๑๐๖ หมำยถึง กระบวนกำรและข้นั ตอนกำรดำเนินกำรในกำรออกคำส่งั ลงโทษ ซงึ่ เปน็ ขั้นตอนท่ีมี ลำดบั ก่อนหลังต่อเน่องกัน อันได้แก่ - การต้ังเรอื่ งกล่าวหา (กำรกระทำ หรอพฤติกำรณแห่งกำรกระทำ ทก่ี ล่ำวอ้ำงว่ำ ผ้ถู กู กล่ำวหำกระทำผดิ วินัย - การสอบสวน - การพิจารณาความผดิ และกาหนดโทษ - การสงั่ ลงโทษ รวมทง้ั กำรดำเนนิ กำรต่ำง ๆ ในระหว่ำงกำรสอบสวน เชน่ กำรสง่ั พัก/ให้ออก ไวก้ ่อน เพอ่ รอฟงั ผลกำรพจิ ำรณำ เปน็ ต้น การดาเนินการทางวนิ ัย ๑. วนิ ยั ไม่รำ้ ยแรง ๒. วินัยร้ำยแรง วนิ ัยไม่รายแรง คอ ควำมผดิ ทมี่ ีโทษไม่ถึงต้องออกจำกรำชกำร (ภำคทัณฑ ตดั เงินเดอน ลดเงินเดอน) - ต้งั กรรมกำรสอบสวน - สรปุ พยำนหลกั ฐำนให้แก้ข้อกลำ่ วหำ - วนิ ิจฉัย - ผบู้ ังคบั บญั ชำส่ังลงโทษ วนิ ยั รายแรง คอ ควำมผิดท่มี ีโทษถึงต้องออกจำกรำชกำร (ไล่ออก ปลดออกจำกรำชกำร) - ตง้ั กรรมกำรสอบสวนวนิ ยั รำ้ ยแรง - สรุปพยำนหลกั ฐำนใหแ้ กข้ ้อกล่ำวหำ - กำรสง่ั พกั รำชกำร ให้ออกจำกรำชกำรไว้ก่อน - วินจิ ฉัย - สง่ั ลงโทษ โดยมติ กศจ. โทษทางวินัย มี ๕ สถำน (มำตรำ ๙๖) ๑. ภำคทณั ฑ ๒. ตดั เงนิ เดอน ๓. ลดเงินเดอน ๔. ปลดออกจำกรำชกำร ๕. ไลอ่ อก
๒๕ ขั้นตอนการสอบสวนวนิ ัยรายแรง ๑. ประธำนกรรมกำรลงลำยมอช่อ วันเดอนปีทรี่ ับทรำบคำสง่ั ๒. ประชุมกรรมกำรเพ่อวำงแนวทำงกำรสอบสวน ๓. แจ้งและอธบิ ำยข้อกล่ำวหำ แจ้งสทิ ธิของผู้ถูกกลำ่ วหำ และถำมวำ่ จะรับสำรภำพหรอไม่ ๔. รวบรวมพยำนหลกั ฐำน/ประชมุ เพ่อพิจำรณำวำ่ พยำนหลักฐำนใดสนับสนุนข้อกล่ำวหำ ๕. สรุปพยำนหลักฐำนทสี่ นบั สนุนขอ้ กล่ำวหำ และให้โอกำสผู้ถกู กลำ่ วหำชี้แจง นำสบแก้ข้อกลำ่ วหำ ๖. สอบสวนและรวบรวมพยำนหลกั ฐำนฝ่ำยผู้ถูกกล่ำวหำ ๗. ประชมุ พิจำรณำพยำนหลกั ฐำนทง้ั หมด เพอ่ ลงมติวำ่ ผถู้ กู กลำ่ วหำ กระทำผิดวินยั หรอไม่ ๘. ทำรำยงำนกำรสอบสวน ๙. เสนอสำนวนกำรสอบสวนต่อผ้สู ่งั แต่งต้งั กรรมกำรสอบสวน หลกั การพิจารณาความผดิ ๑. หลักนติ ธิ รรม ๒. หลกั มโนธรรม หลกั การพจิ ารณากาหนดโทษ ๑. หลกั นิตธิ รรม ๒. หลักมโนธรรม ๓. หลักควำมเป็นธรรม ๔. นโยบำยของทำงรำชกำร การส่งั ลงโทษ - ผู้มอี ำนำจส่งั ลงโทษ ตอ้ งเปน็ ผู้บังคบั บญั ชำตำมกฎหมำย - ผูบ้ งั คับบัญชำ จะมอี ำนำจสั่งลงโทษผูใ้ ต้บังคับบัญชำในสถำนโทษใด ไดเ้ พียงใด เป็นไปตำมท่ี กำหนดในกฎ ก.ค.ศ. ขอควรคานงึ ถงึ ในการส่งั ลงโทษ - กำรส่งั ลงโทษเกินอำนำจ - ผูถ้ ูกลงโทษ มใิ ชผ่ ใู้ ต้บงั คบั บัญชำ - กำรสั่งลงโทษโดยมิได้ต้งั กรรมกำรสอบสวน - กำรสง่ั ลงโทษโดยมไิ ด้นำเสนอองคคณะพจิ ำรณำ - กำรสง่ั ลงโทษหำ้ มมิใหส้ งั่ ย้อนหลัง - สถำนภำพกำรเป็นข้ำรำชกำร การอุทธรณ์ หมำยถงึ กำรทผ่ี ถู้ กู ลงโทษทำงวินัย ขอให้ผูม้ อี ำนำจหน้ำท่ี ตำมท่กี ฎหมำยกำหนดไว้ ยกเรอ่ ง ข้นึ พจิ ำรณำใหม่ ใหเ้ ป็นไปในทำงทีเ่ ปน็ คณุ แกผ่ ูถ้ ูกลงโทษ กำรพิจำรณำอุทธรณ ต้องดำเนินกำรให้เปน็ ไปตำมกฎ ก.ค.ศ. วำ่ ดว้ ยกำรอุทธรณและกำร พิจำรณำอทุ ธรณ พ.ศ. ๒๕๕๐ การอุทธรณ์คาสง่ั ลงโทษ วนิ ยั ไม่รายแรง (มาตรา ๑๒๑) ถกู ส่งั ลงโทษ ภำคทัณฑ ตดั เงินเดอน ลดเงินเดอน ให้มสี ิทธอิ ุทธรณ ต่อ กศจ. ภำยใน ๓๐ วนั นบั แต่วันทีไ่ ด้รับแจ้งคำสั่ง การอุทธรณ์คาสงั่ ลงโทษ วนิ ัยรายแรง (มาตรา ๑๒๒)
๒๖ ถูกสัง่ ลงโทษ ปลดออก ไลอ่ อก ถูกส่ังใหอ้ อกจำกรำชกำร ให้มีสทิ ธิอทุ ธรณ ตอ่ ก.ค.ศ. ภำยใน ๓๐ วัน นบั แต่วันท่ไี ด้รบั แจ้งคำส่งั การรองทกุ ข์ (มาตรา ๑๒๓) กำรรอ้ งทุกข หมำยถงึ กำรร้องขอให้แก้ไขปญั หำท่เี หนว่ำตนไม่ได้รับควำมเปน็ ธรรม หรอมี ควำมคับข้องใจเน่องจำกกำรกระทำของผู้บังคับบัญชำ ในเรอ่ งเกีย่ วกับกำรบรหิ ำรงำนบุคคล ท่ีไมใ่ ช่กำรโตแ้ ยง้ คำสัง่ ลงโทษทำงวนิ ัย หรอกำรแตง่ ต้งั คณะกรรมกำรสอบสวนทำงวนิ ยั ให้มีสิทธิร้องทุกข ตอ่ กศจ. หรอ ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี กฎหมาย กฎ ระเบียบ หลักเกณฑ์และวิธีการที่เกย่ี วของ - พระรำชบญั ญัติระเบยี บขำ้ รำชกำรครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำ พ.ศ. ๒๕๔๗ และท่ีแกไ้ ข เพิ่มเติม - พระรำชบญั ญตั ิวธิ ปี ฏิบตั ิรำชกำรทำงปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และท่ีแกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๗ - กฎ ก.ค.ศ. ว่ำด้วยกำรรอ้ งทกุ ขและกำรพจิ ำรณำร้องทุกข พ.ศ. ๒๕๕๑ การพจิ ารณารองทุกข์ ของ กศจ. กำรพจิ ำรณำรอ้ งทุกขต้องดำเนนิ กำรให้เปน็ ไปตำม กฎ ก.ค.ศ. วำ่ ด้วยกำรร้องทุกขและ กำรพิจำรณำร้องทกุ ข พ.ศ. ๒๕๕๑ หมวดท่ี ๓ สมรรถนะของครู แนวคิดทเ่ี กย่ี วกบั สมรรถนะ แนวคดิ เก่ียวกับ สมรรถนะเริ่มจำกกำรนำเสนอบทควำมทำงวชิ ำกำรของเดวดิ แมคเคลิ แลนด (David C. McClelland) นกั จติ วิทยำแห่งมหำวิทยำลัยฮำรวำรด เมอ่ ปี ค.ศ.๑๙๖๐ ซ่ึงกล่ำวถึง ควำมสมั พันธ ระหวำ่ งคณุ ลักษณะทีด่ ีของบุคคล (excellent performer) ในองคกำรกบั ระดับทักษะควำมรคู้ วำมสำมำรถโดย กล่ำวว่ำ กำรวัด IQ และกำรทดสอบบุคลิกภำพ ยังไม่เหมำะสมในกำรทำนำยควำมสำมำรถหรอสมรรถนะของ บุคคลไดเ้ พรำะไม่ได้สะท้อนควำมสำมำรถทีแ่ ท้จรงิ ออกมำได้ ณรงควิทย แสนทอง (๒๕๔๗) ให้ควำมหมำยเกยี่ วกับแนวคดิ สมรรถนะ คอ ระดับของ ควำมสำมำรถในกำรปรบั ใช้กระบวนทศั น (paradigm) ทัศนคติ พฤติกรรมควำมรู้และทักษะเพ่อกำรปฏิบตั งิ ำน ให้ เกิดคณุ ภำพ ประสิทธภิ ำพและประสทิ ธิผลสงู สุด ในกำรปฏิบตั หิ น้ำที่ของบุคคลในองคกร อำนนท ศกั ด์วิ รวชิ ญ (๒๕๔๗, หน้ำ ๖๑) ไดส้ รปุ คำนิยำมของสมรรถนะไว้วำ่ สมรรถนะ คอ คณุ ลักษณะของบุคคล ซึง่ ได้แก่ ควำมรู้ ทกั ษะควำมสำมำรถและคุณสมบัติต่ำง ๆ อนั ได้แก่ ค่ำนิยม จริยธรรม บคุ ลกิ ภำพคณุ ลักษณะทำงกำยภำพและอ่นๆ ซง่ึ จำเปน็ และสอดคล้องกบั ควำมเหมำะสมกับองคกำร โดยเฉพำะ อยำ่ งย่ิงต้องสำมำรถจำแนกได้ว่ำ ผ้ทู ่ีจะประสบควำมสำเรจในกำรทำงำนได้ต้องมีคณุ ลักษณะเด่น ๆ อะไร หรอ ลักษณะสำคญั ๆ อะไรบ้ำงหรอกล่ำวอกี นัยหนง่ึ คอสำเหตทุ ี่ทำงำนแล้วไม่ประสบควำมสำเรจ เพรำะขำด คุณลักษณะบำงประกำรคออะไรเป็นต้น สรปุ ไดว้ ่ำ แนวคดิ เกย่ี วกับสมรรถนะ หมำยถึง ควำมรทู้ ่สี ำมำรถนำมำใชใ้ ห้เกิดกิจกรรมจน ประสบควำมสำเรจถอวำ่ เปน็ ส่วนหนง่ึ ของสมรรถนะ สมรรถนะในท่ีนี้จึงหมำยถึงพฤติกรรมท่ี ก่อใหเ้ กิดผลงำน สูงสุด
๒๗ ๑. ความหมายของสมรรถนะ “สมรรถนะ” หรอ “ขดี ควำมสำมำรถ”สำหรับกำรให้ควำมหมำยของคำว่ำ สมรรถนะ ตำมแนวคดิ ทใ่ี หเ้ กดิ ประสิทธภิ ำพและประสิทธผิ ลสูงสุด คอ สำนกั งำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรอน (๒๕๔๘, หน้ำ ๕) ใหค้ วำมหมำย สมรรถนะ หมำยถึง คุณลักษณะเชงิ พฤติกรรมที่เป็นผลมำจำกควำมรู้ทักษะควำมสำมำรถและคุณลักษณะอ่น ๆ ทท่ี ำให้บุคคลสำมำรถ สรำ้ งผลงำนได้โดดเดน่ กวำ่ เพ่อนร่วมงำนอน่ ๆ ในองคกำร กล่ำวคอ กำรทบี่ ุคคลจะแสดงสมรรถนะใดสมรรถนะ หนึ่งได้มักจะต้องมีองคประกอบของท้ังควำมรู้ ทักษะ/ควำมสำมำรถและคุณลักษณะอน่ ๆ ตวั อยำ่ งเช่น สมรรถนะ กำรบริหำรที่ดี ซ่ึงอธิบำยว่ำ “สำมำรถ ให้บริกำรที่ผู้รับบริกำรตอ้ งกำรได้” น้ัน หำกขำดองคประกอบต่ำง ๆ ได้แก่ ควำมรู้ในงำนหรอทกั ษะ ที่เกี่ยวข้อง เชน่ อำจต้องหำข้อมูลจำกคอมพิวเตอรและคณุ ลักษณะของบคุ คลทเี่ ป็นคน ใจเยน อดทน ชอบช่วยเหลอผู้อ่น แล้วบุคคลกไม่อำจจะแสดงสมรรถนะของกำรบริกำรทด่ี ี ดว้ ยกำรให้บรกิ ำรที่ ผู้รบั บริกำรต้องกำรได้ กล่ำวอีกนัยหนึง่ “สมรรถนะ” กคอคุณลักษณะเชงิ พฤติกรรม เปน็ พฤตกิ รรมที่องคกำร ต้องกำรจำกข้ำรำชกำร เพรำะเช่อวำ่ หำกข้ำรำชกำรมีพฤติกรรมกำรทำงำนในแบบท่ีองคกำรกำหนดแล้ว จะส่งผล ให้ขำ้ รำชกำรผู้น้นั มีผลกำรปฏิบตั งิ ำนดีและสง่ ผลให้องคกำรบรรลุเป้ำประสงคทตี่ ้องกำรไว้ ตวั อยำ่ งเชน่ กำร กำหนดสมรรถนะกำรบริกำรที่ดี เพรำะหน้ำทหี่ ลักของข้ำรำชกำร คอ กำรใหบ้ ริกำรแก่ประชำชน ทำให้หน่วยงำน ของรฐั บรรลวุ ัตถุประสงคคอ กำรทำใหเ้ กิดประโยชนสขุ แก่ประชำชน รศั มี สหี ะนันท (๒๕๕๑) ได้ใหค้ วำมหมำย สมรรถนะ หมำยถงึ ทักษะ ควำมรู้ คณุ ลักษณะ ในดำ้ นต่ำง ๆ ทีบ่ คุ ลจำเปน็ ต้องมีในกำรปฏิบตั งิ ำน ตำมบทบำทและหน้ำทค่ี วำมรบั ผิดชอบของตนเอง ซึ่งเป็นส่งิ ทจ่ี ะสง่ ผลถึงควำมสำเรจในงำนหรอประสทิ ธิภำพมำกหรอน้อยของงำนนั้น ๆ นพดลย เพชระ (๒๕๕๒, หน้ำ ๑๔) ได้สรปุ ควำมหมำยของสมรรถนะไวว่ำ สมรรถนะ หมำยถึง ลักษณะเฉพำะของแตล่ ะบุคคลทม่ี ผี ลทำใหบ้ ุคคลน้ัน ปฏบิ ัติงำนในควำมรบั ผิดชอบของตนได้ดี ส่งผลให้ องคกำรพฒั นำขึน้ นันทยิ ำ ชัยชนะเลศิ (๒๕๕๒, หนำ้ ๓๒) ได้ใหค้ วำมหมำยของสมรรถนะ หมำยถงึ คณุ ลักษณะ ท่จี ำเป็นของบคุ คลในกำรปฏิบตั งิ ำนตำมหนำ้ ทีท่ รี่ ับผดิ ชอบ ประกอบด้วย ควำมรู้ ทักษะ ควำมสำมำรถและ คณุ ลักษณะอน่ ๆ ทจ่ี ำเป็น เป็นปัจจัยท่ีส่งผลใหบ้ คุ คลสำมำรถปฏิบัตหิ น้ำทขี่ อง ตนไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ เกิดควำมสำเรจในกำรปฏิบัติงำน ดงั น้ันสมรรถนะเปน็ เคร่องชว้ี ัดควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคลทม่ี ผี ลกำรปฏิบัติงำน ตำ่ งกัน เม่อพจิ ำรณำจำกควำมหมำยของนักวิชำกำร ตำ่ ง ๆ ดังกลำ่ ว จึงสรุปได้ว่ำ สมรรถนะ หมำยถึง ควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทักษะ หรอคุณลักษณะท่เี หมำะสมในกำรปฏิบัตงิ ำน ในหนำ้ ที่ท่รี บั ผิดชอบ เพอ่ ให้กำรขับเคล่อนของ องคกรดำเนนิ ไปอย่ำงมีประสิทธิภำพ ประสบควำมสำเรจตำมเปำ้ หมำย อำรีวรรณ นอ้ ยดี (๒๕๕๓, หน้ำ ๑๕) กลำ่ ววำ่ สมรรถนะ หมำยถงึ คุณลกั ษณะเชงิ พฤตกิ รรมท่ี เป็นผลมำจำกควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทักษะและคุณลักษณะอ่น ๆ ที่ทำให้ผบู้ ริหำรสถำนศึกษำ สำมำรถสร้ำงผลงำน ได้โดดเด่นกว่ำ เพ่อนรว่ มงำนคนอน่ ๆ ณฐำ สันกว๊ำน (๒๕๕๔) สมรรถนะ หมำยถึงส่งิ ที่อยใู่ นตวั บุคคล ซง่ึ ถอเปน็ ตัวกำหนดพฤติกรรม ของตวั บคุ คลใหม้ ีควำมรู้ มที ักษะ มีควำมสำมำรถและมีคุณลักษณะทำงด้ำนตำ่ ง ๆ ทำใหบ้ คุ คลนั้น ปฏิบัติงำนได้ อย่ำงมีประสิทธิภำพ และบรรลุตำมเปำ้ หมำยที่ตั้งไว้ สรปุ ไดว้ ำ่ สมรรถนะ หมำยถึง กลมุ่ พฤติกรรมท่ีองคกรต้องกำรจำกขำ้ รำชกำร เพรำะเช่อวำ่ หำก ขำ้ รำชกำรมีพฤติกรรมกำรทำงำนในแบบที่องคกำรกำหนดแล้ว จะสง่ ผลให้ขำ้ รำชกำรผนู้ ้ันมผี ลกำรปฏบิ ัติงำนดี และส่งผลใหอ้ งคกรบรรลุเปำ้ ประสงคท่ีต้องกำรไว้ ตัวอยำ่ งเช่น กำรกำหนดสมรรถนะกำรบรกิ ำรทีด่ ี เพรำะหนำ้ ท่ี หลักของข้ำรำชกำร คอ กำรใหบ้ รกิ ำรแกป่ ระชำชน ทำให้หนว่ ยงำนของรัฐบรรลวุ ัตถุประสงค คอกำรทำให้ เกดิ ประโยชนสุขแก่ประชำชน
๒๘ ๒. องคป์ ระกอบของสมรรถนะ ตำมแนวคิดของเดวิด แมคเคิลแลนด (David C. McClelland) ไดแ้ บ่งองคประกอบของ สมรรถนะ ออกเป็น ๕ สว่ น คอ ๑. ควำมรู้ (knowledge) คอ ควำมร้เู ฉพำะในเร่องทีต่ ้องรู้ เปน็ ควำมร้ทู ่เี ป็นสำระสำคญั เช่น ควำมรูด้ ้ำนเคร่องยนต เปน็ ต้น ๒. ทักษะ (skill) คอ สงิ่ ที่ต้องกำรให้ทำได้อย่ำงมีประสิทธิภำพ เช่น ทักษะทำงคอมพวิ เตอร ทกั ษะทำงกำรถ่ำยทอดควำมรู้ เป็นต้น ทกั ษะท่ีเกดิ ได้นนั้ มำจำกพ้นฐำนทำงควำมรู้และสำมำรถปฏบิ ตั ิได้อย่ำง แคล่วคลอ่ งว่องไว ๓. ควำมคิดเหนเกีย่ วกับตนเอง (self – concept) คอ เจตคติ ค่ำนิยมและควำมคิดเหนเก่ยี วกับ ภำพลักษณของตนหรอสิ่งทีบ่ ุคคลเช่อว่ำตนเองเปน็ เชน่ ควำมมน่ั ใจในตนเอง เปน็ ต้น ๔. บุคลิกลักษณะประจำตัวของบคุ คล (traits) เป็นส่ิงทอี่ ธบิ ำยถึงบคุ คลน้นั เชน่ คนทนี่ ำ่ เชอ่ ถอ และไว้วำงใจได้ หรอมีลักษณะเปน็ ผู้นำ เป็นต้น ๕. แรงจงู ใจ/เจตคติ (motives/attitude) เปน็ แรงจงู ใจหรอแรงขับภำยในซึง่ ทำให้บุคคล แสดง พฤติกรรมที่มุ่งไปสูเ่ ป้ำหมำยหรอมุง่ สู่ควำมสำเรจ เปน็ ต้น วรรณชัย จองแก (๒๕๕๔) ไดแ้ บ่งองคประกอบของสมรรถนะ ประกอบด้วย ๑. ทักษะ (skills) เป็นสง่ิ ท่ีบุคคลกระทำไดด้ แี ละฝึกปฏบิ ัตเิ ป็นประจำ จนเกดิ ควำมชำนำญ เช่น ทกั ษะของครูในกำรสอนทีส่ อนมำนำน โดยไมด่ ตู ำรำ ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติงำนตำมควำมมุ่งมั่น จำกจิตใจ และรำ่ งกำยโดยควำมสำมำรถน้ีจะรวมไปถึงกำรคดิ เชิงระบบ ทีจ่ ะต้องคดิ ถงึ ควำมเปน็ เหตุเป็นผลดว้ ย ๒. ควำมถนัด (aptitude) จะเปน็ ควำมสำมำรถทีม่ ีมำแต่เดิม จะนำไปสูท่ ักษะและควำมรู้ ซึ่ง เป็นประสบกำรณ เปน็ ควำมสำมำรถที่มีมำแต่เดิม และควำมสำมำรถทเี่ กดิ ขึ้นภำยหลังที่ จำเปน็ ตอ้ งใชก้ ำรเรยี นรู้ ควำมพยำยำมศึกษำหำข้อมูล ๓. ควำมรู้ (knowledge) เปน็ ควำมรเู้ ฉพำะดำ้ นของบุคคล เชน่ ควำมรภู้ ำษำอังกฤษ ควำมรู้ ด้ำนกำรสอนของครู ควำมรดู้ ้ำนกำรบรหิ ำรกำรศึกษำ เป็นตน้ ๔. ทศั นคตหิ รอแนวคดิ ของตน (self concept) เปน็ ทัศนคติ ค่ำนิยม และควำมคิดเหน เก่ยี วกบั ภำพลักษณของตน หรอส่ิงทบี่ ุคคลเช่อวำ่ ตนเองเปน็ ซง่ึ จะสำมำรถสงั เกตจำกพฤติกรรมทแ่ี สดงออกมำ เช่น เป็นคนที่มคี วำมเช่อมั่นในตนเองสงู จะเช่อว่ำตนเองสำมำรถแก้ไขปัญหำต่ำง ๆ ได้ หรอ บำงคนชอบท่จี ะ โต้แยง้ กมกั จะแสดงออกถึงพฤตกิ รรมก้ำวรำ้ ว เป็นต้น ๕. บคุ ลิกลักษณะประจำตัวของบุคคล (personal characteristic or attributes) เป็นบุคลกิ ประจำตวั ของบุคคล หรอ เปน็ อปุ นสิ ยั เป็นคุณลักษณะท่มี ักจะแสดงออกเพ่อโต้ตอบต่อสถำนกำรณ ข้นึ อยู่กับ สภำพแวดล้อม สถำนกำรณและประสบกำรณของแตล่ ะคน เปน็ สิง่ ที่อธบิ ำยถึงบคุ ลผู้นั้น เช่น เขำเป็นคนที่ น่ำเช่อถอและไว้วำงใจได้ หรอเขำมลี ักษณะเปน็ ผู้นำ เปน็ ต้น ๖. แรงจงู ใจหรอแรงขับดันภำยใน (motivation) เปน็ แรงจูงใจหรอแรงขับภำยใน ซ่ึงทำให้ บุคคลแสดงพฤติกรรมท่ีม่งุ ไปสู่สงิ่ ท่ีเปน็ เปำ้ หมำยของเขำ เชน่ บคุ คลทมี่ ุง่ ผลสำเรจ มักชอบตั้งเปำ้ หมำยท่ที ำ้ ทำย และพยำยำมทำงำนใหส้ ำเรจตำมเปำ้ ทีต่ ั้งไว้ ตลอดจนพยำยำมปรับปรงุ วิธีกำรทำงำนของตนเองตลอดเวลำ จำกแนวคดิ ดงกั ลำ่ วข้ำงตน้ พอสรปุ องคประกอบของสมรรถนะ ได้ดงั นี้ ๑. ควำมรู้ (knowledge) คอ ผลจำกกำรขดั เกลำและเลอกใชส้ ำรสนเทศ โดยมกี ำรจัดระบบ ควำมคิดเสียใหม่ให้เปน็ “ควำมรู้และควำมเช่ียวชำญเฉพำะเรอ่ ง”
๒๙ ๒. ทกั ษะ (skill) คอควำมสำมำรถในกำรทำงำนได้ดว้ ยควำมคลอ่ งแคลง่ ซง่ึ กำรพิจำรณำว่ำ ผูร้ บั กำรฝกึ มีทักษะดหี รอไมน่ ั้น สำมำรถดไู ด้ดว้ ยตัวแปร 3 ตวั คอ เวลำทใ่ี ชป้ ฏิบตั ิ กำรสงั เกตขณะปฏิบตั ิงำน และ ผลของงำน ๓. ทัศนคติ (attitude) คอ ควำมรสู้ กึ นกึ คิด และควำมโนม้ เอยี งของบุคคล ท่มี ี ต่อข้อมลู ข่ำวสำร และกำรเปิดรับรำยกำรกรองสถำนกำรณทีไ่ ด้รับมำ ๔. บุคลิกภำพ (personality) คอ ลกั ษณะเฉพำะของบุคคล ที่บง่ บอกควำมแตกตำ่ งระหวำ่ ง บคุ คล ๕. แรงจงู ใจ (motivation) คอ พลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังกำหนดทศิ ทำงและ เป้ำหมำยของพฤติกรรมน้ัน ๓. ประเภทของสมรรถนะ กำรจำแนกประเภทของสมรรถนะมีควำมแตกต่ำงกนั ไป หลำยแบบในแต่ละองคกร ข้นึ อยู่กบั องคกรว่ำจะกำหนดให้มสี มรรถนะตัวใดบ้ำง มีนกั วิชำกำรหลำยคนได้เสนอแนวคดิ ในกำรจำแนกสมรรถนะ ดังนี้ สำนักงำนคณะกรรมกำรข้ำรำชกำรพลเรอน (๒๕๔๕, หนำ้ ๘๔) ได้แบ่งประเภทของสมรรถนะไว้ ดังน้ี สมรรถนะหลัก (core competency) คอ คณุ ลักษณะร่วมของข้ำรำชกำรพลเรอนทกุ ตำแหนง่ ท้ังระบบ กำหนดข้ึน เพ่อหล่อหลอมค่ำนยิ มและพฤติกรรมที่พงึ ประสงครว่ มกัน ประกอบดว้ ย สมรรถนะ ๕ สมรรถนะ สมรรถนะประจำกลมุ่ งำน คอ สมรรถนะที่กำหนดเฉพำะสำหรับแตล่ ะกลมุ่ งำนเพ่อ สนับสนุนให้ข้ำรำชกำร แสดงพฤตกิ รรมท่เี หมำะสมแกห่ น้ำที่และส่งเสรมิ ให้สำมำรถปฏบิ ัตภิ ำรกิจ ในหนำ้ ท่ีได้ดียิง่ ขึน้ โดยโมเดลสมรรถนะ กำหนดใหแ้ ตล่ ะกลุ่มงำนมสี มรรถนะประจำ มสี มรรถนะประจำกลุม่ งำนละ3 สมรรถนะ(ยกเว้นกล่มุ งำนนักบรหิ ำร ระดบั สูง มี ๕ สมรรถนะ) ณรงควทิ ย แสนทอง (๒๕๔๗) ไดแ้ บ่งประเภทของสมรรถนะ ตำมแหล่งท่มี ำออกเป็น ๓ ประเภท คอ ๑. สมรรถนะสว่ นบุคคล (personal competencies) เป็นควำมสำมำรถทม่ี เี ฉพำะตัวของบคุ คล หรอกลุม่ บุคคลเท่ำนั้น เชน่ ควำมสำมำรถในด้ำนกำรวำดภำพของศิลปนิ กำร แสดงกำยกรรมของนักกีฬำบำงคน นักประดิษฐคดิ ค้นสง่ิ ต่ำงๆ เหลำ่ นี้ ถอเป็นควำมสำมำรถเฉพำะตัว ทย่ี ำกต่อกำรเรยี นรู้หรอลอกเลยี นแบบได้ ๒. สมรรถนะเฉพำะงำน (job competencies) เป็นควำมสำมำรถเฉพำะบุคคลท่ตี ำแหนง่ หรอ บทบำทนนั้ ๆ ตอ้ งกำร เพ่อทำใหง้ ำนบรรลผุ ลสำเรจตำมที่กำหนดไว้ เชน่ ควำมสำมำรถในกำรเป็นผู้นำ ทีมงำน ของผู้บริหำร ตำแหนง่ หัวหน้ำกลมุ่ งำน ควำมสำมำรถในกำรวิเครำะหวจิ ัย ในตำแหน่งงำนทำงดำ้ นวิชำกำร เปน็ ควำมสำมำรถ ทสี่ ำมำรถฝึกฝนและพัฒนำได้ ๓. สมรรถนะองคกำร (organization competencies) เปน็ ควำมสำมำรถทเ่ี ปน็ ลักษณะเฉพำะ ขององคกำรที่มสี ว่ นทำใหอ้ งคกำรนั้นไปสคู่ วำมสำเรจและเปน็ ผู้นำในดำ้ นนั้น ๆ ได้ เชน่ โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยำนุสรณ เป็นสถำนศึกษำมีควำมเชยี่ วชำญดำ้ นกำรสอนวิทยำศำสตร จริ ประภำ อคั รบวร (๒๕๔๙, หนำ้ ๖๘) กล่ำวว่ำ สมรรถนะในตำแหน่งหนง่ึ ๆ จะประกอบไป ด้วย ๓ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑. สมรรถนะหลกั (core competency) คอ พฤติกรรมท่ีดี ท่ีทุกคนในองคกำรตอ้ งมี เพ่อแสดงถึง วฒั นธรรมและหลกั นิยมขององคกำร ๒. สมรรถนะบริหำร (professional competency) คอ คุณสมบัติควำมสำมำรถด้ำนกำรบรหิ ำรที่ บคุ ลำกรในองคกำรทุกคนจำเปน็ ต้องมีในกำรทำงำน เพ่อให้งำนสำเรจและสอดคล้องกบั แผนกลยทุ ธ วิสยั ทศั น ของ องคกำร
๓๐ ๓. สมรรถนะเชิงเทคนคิ (technical competency) คอ ทักษะด้ำนวิชำชีพท่ีจำเป็นในกำรนำไป ปฏบิ ัตงิ ำนให้บรรลผุ ลสำเรจ โดยจะแตกต่ำงกัน ตำมลักษณะงำน โดยสำมำรถจำแนกได้ ๒ ส่วนย่อย ไดแ้ ก่ สมรรถนะเชิงเทคนิคหลัก (core technical competency) และสมรรถนะเชงิ เทคนิคเฉพำะ (specific technical competency) ปยิ ะชัย จันทรวงศไพศำล (๒๕๔๙, หนำ้ ๑๖) แบง่ สมรรถนะ ออกเปน็ ๓ ประเภทได้แก่ ๑. สมรรถนะหลัก (core competency) หมำยถงึ ส่วนทเี่ ป็นควำมเช่ียวชำญเฉพำะด้ำน ท่เี ป็นผลมำ จำกกำรผสมผสำนระหวำ่ งเทคโนโลยีทซี่ ับซอ้ นและกำรปฏิบัตงิ ำนท่กี ลมกลน ๒. สมรรถนะในกำรบรหิ ำรจัดกำร (professional competency) หมำยถงึ สว่ นท่ีเปน็ ควำม สำมำรถในกำรบรหิ ำรจัดกำร ซ่งึ จะแปรผันตำมกลยทุ ธขององคกรและหน่วยงำน ไมห่ ยดุ น่งิ เปน็ ส่วนทสี่ นับสนนุ ผล กำรดำเนนิ งำนให้เกดิ ประสิทธิภำพสงู สดุ ยึดถอเปำ้ หมำยขององคกรเป็นหลัก และต้องสำมำรถวัดผลได้ ๓. สมรรถนะในตำแหนง่ หน้ำท่ี (functional competency) หมำยถงึ สว่ นท่เี ป็นควำมสำมำรถท่ีใช้ เฉพำะตำแหนง่ งำนน้ัน ๆ เพ่อให้ม่ันใจว่ำบคุ ลำกรมีควำมรู้ ทักษะและควำมสำมำรถเพียงพอต่อกำรปฏบิ ัตงิ ำน พลสัณห โพธิ์ศรที อง (๒๕๔๙, หน้ำ ๒๑๖) ได้แบง่ ประเภทของสมรรถนะ ที่นำไปใช้ในองคกำร แบง่ ได้ ๒ ประเภทคอ ๑. สมรรถนะขององคกำร เปน็ สมรรถนะระดบั องคกำร ทบ่ี คุ คลทกุ ระดับขององคกำรต้องมี เพ่อให้ กำรปฏิบัติงำนบรรลุผลสัมฤทธ์ิ โดยเปน็ สมรรถนะท่เี ป็นหลัก ซง่ึ ส่งผลให้องคกำรมผี ลงำน ทแี่ ตกต่ำงจำกองคกำร อน่ ๆ ตัวอย่ำงเชน่ สมรรถนะของสถำบันกำรศึกษำ อำจได้แก่ ประสิทธภิ ำพในกำรสอนหรอกำรสร้ำงผลงำนวิจัย องคควำมร้ใู หม่ ๆ เปน็ ตน้ ในขณะท่ีองคกำรอ่น ๆ มุ่งเนน้ กำรสร้ำงควำมเป็นเลศิ ทำงกำรใหบ้ รกิ ำร เป็นต้น ๒. สมรรถนะเกีย่ วกับงำน เป็นสมรรถนะระดับบุคคล ที่บคุ คลต้องมเี พ่อใหก้ ำรปฏบิ ัติงำนใน ภำรกิจหรอตำแหนง่ ต่ำง ๆ ประสบควำมสำเรจได้ผลผลติ ตำมที่องคกำรต้องกำร ตัวอย่ำง เช่น ครู อำจำรยตอ้ งมี สมรรถนะในกำรส่งเสริมผู้เรียน สำมำรถเรียนรอู้ ยำ่ งมคี ุณภำพ จนถึงขนั้ เกง่ สมรรถนะสำมำรถจำแนกได้เป็น 5 ประเภท คอ (อำ้ งใน นพดลย เพชระ, ๒๕๕๒ หน้ำ ๑๗) ๑. สมรรถนะสว่ นบคุ คล (personal competencies) หมำยถงึ สมรรถนะทแ่ี ตล่ ะคนมี เป็น ควำมสำมำรถเฉพำะตัว คนอ่นไมส่ ำมำรถลอกเลียนแบบได้ เช่น กำรตอ่ สู้ปอ้ งกันตวั ของจำพนม นักแสดงช่อดงั ในหนงั เร่อง “ตม้ ยำกงุ้ ” ควำมสำมำรถของนักดนตรี นักกำยกรรมและนักกีฬำ เป็นตน้ ลักษณะเหล่ำน้ี ยำกที่จะ เลยี นแบบหรอต้องมคี วำมพยำยำมสูงมำก ๒. สมรรถนะเฉพำะงำน (job competencies) หมำยถงึ สมรรถนะของบุคคลกับกำรทำงำนใน ตำแหนง่ หรอบทบำทเฉพำะตัว เชน่ อำชพี นักสำรวจกตอ้ งมคี วำมสำมำรถในกำรวิเครำะหตัวเลข กำรคิดคำนวณ ควำมสำมำรถในกำรทำบญั ชี เป็นตน้ ๓. สมรรถนะองคกำร (organization competencies) หมำยถึง ควำมสำมำรถพิเศษเฉพำะ องคกำรนั้น เท่ำนน้ั เชน่ บรษิ ัทเนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษทั ท่ีมีควำมสำมำรถในกำรผลติ เคร่องใช้ไฟฟ้ำ หรอบรษิ ัทฟอรด (มอเตอร) จำกัด มคี วำมสำมำรถในกำรผลิตรถยนต เป็นต้น หรอบริษัททโี อเอ (ประเทศไทย) จำกัด มคี วำมสำมำรถในกำรผลติ สี ๔. สมรรถนะหลัก (core competencies) หมำยถงึ ควำมสำมำรถสำคญั ที่บคุ คลต้องมีหรอต้องทำ เพ่อให้บรรลผุ ลตำมเปำ้ หมำยทต่ี ั้งไว้ เช่น พนกั งำนเลขำนกุ ำรสำนกั งำน ต้องมสี มรรถนะหลักคอกำรใช้คอมพวิ เตอร ได้ ตดิ ตอ่ ประสำนงำนได้ดี เป็นต้น หรอผูจ้ ัดกำรบริษทั ตอ้ งมีสมรรถนะหลัก คอ กำรสอ่ สำร กำรวำงแผน และกำรบริหำรจดั กำรและกำรทำงำนเปน็ ทีม เป็นต้น ๕. สมรรถนะในงำน (functional competencies) หมำยถึง ควำมสำมำรถของบุคคลที่มีตำม หนำ้ ทีท่ ี่รบั ผดิ ชอบตำแหน่งหนำ้ ท่ี อำจเหมอนแต่ควำมสำมำรถตำมหนำ้ ที่ตำ่ งกัน เช่น ข้ำรำชกำรตำรวจเหมอนกนั
๓๑ แต่มีควำมสำมำรถต่ำงกัน บำงคนมสี มรรถนะทำงกำรสบสวนสอบสวน บำงคนมีสมรรถนะทำงปรำบปรำม เปน็ ต้น วรรณชยั จองแก (๒๕๕๔) ไดแ้ บ่งประเภทของสมรรถนะไว้ดังนี้ ๑. สมรรถนะสว่ นบุคคล (personal competencies) หมำยถงึ บคุ ลกิ ลักษณะของบุคคลที่สะท้อน ใหเ้ หนถึงควำมรู้ ทักษะ ทัศนะคติ ควำมเช่อ และอปุ นสิ ัย ท่ีแต่ละคนมี เปน็ ควำมสำมำรถเฉพำะตัว คนอน่ ไม่สำมำรถลอกเลยี นแบบได้ ๒. สมรรถนะหลัก (core competencies) หมำยถึง บุคลิกลักษณะของคนทสี่ ะทอ้ นใหเ้ หนถงึ ควำมรู้ ทกั ษะ ทศั นคติ ควำมเช่อและอปุ นสิ ยั ของคน สว่ นท่เี ปน็ ควำมเช่ียวชำญเฉพำะด้ำน ที่เป็นผลมำจำก กำรผสมผสำนระหวำ่ งเทคโนโลยีท่ีซบั ซ้อนและกำรปฏบิ ตั งิ ำนอยำ่ งกลมกลน ควำมสำมำรถสำคัญทบ่ี คุ คลต้องมี หรอตอ้ งทำ เพ่อให้บรรลผุ ลตำมเป้ำหมำยท่ีตั้งไว้ ๓. สมรรถนะเฉพำะงำน (job competencies) หมำยถงึ บุคลิกลักษณะของคนทส่ี ะท้อนให้เหน ถึงควำมรู้ ทักษะ ทศั นคติ ควำมเช่อ และอุปนิสยั ที่สมรรถนะของบุคคลกับกำรทำงำนในตำแหน่ง หรอบทบำท เฉพำะตวั ควำมรู้หรอทกั ษะพ้นฐำนที่บคุ คลจำเป็นต้องมีในกำรทำงำน ๔. สมรรถนะในงำนหรอตำแหน่งหน้ำที่ (functional competencies) หมำยถงึ สมรรถนะท่ี เปน็ ควำมสำมำรถของบุคคลท่ใี ชเ้ ฉพำะตำแหน่งงำนน้ัน ๆ เพอ่ ให้ม่ันใจว่ำ พนกั งำนมีควำมรู้ ทักษะ และ ควำมสำมำรถเพียงพอต่อกำรปฏิบัติงำน อำจจะเปน็ เรอ่ งของเทคนิคหรอวิชำชีพ ๕. สมรรถนะองคกร (organization competencies) หมำยถงึ ควำมสำมำรถพิเศษ เฉพำะ องคกรน้ัน ในกำรทำงำนให้บรรลุเปำ้ หมำยท่ีกำหนด และโดดเด่นกว่ำองคกรอ่น ๖. สมรรถนะในกำรบรหิ ำรจดั กำร (professional competency/management competency) หมำยถึง สมรรถนะในกำรบรหิ ำรจัดกำรตำมกลยทุ ธขององคกรและหน่วยงำน ท่เี รยี กว่ำ พลวัต สำมำรถยดหยุ่นกับควำมเปล่ียนแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ ทำให้องคกรสำมำรถปรบั เปลยี่ นวิสัยทศัน พนั ธกจิ และปจั จัยตำ่ ง ๆ เพอ่ ให้กำรบรหิ ำรมปี ระสิทธิภำพ บรรลเุ ปำ้ หมำยท่ีกำหนด จำกกำรแบง่ ประเภทสมรรถนะ จึงสรปุ ได้วำ่ สมรรถนะสำมำรถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอ สมรรถนะหลกั (core competency) ซึง่ เป็นคุณลกั ษณะทบี่ ุคลำกรทุกคนในองคกรจำเป็นต้องมี เพอ่ ให้สำมำรถ ปฏบิ ตั หิ นำ้ ท่ีได้บรรลุตำมเป้ำหมำยทอี่ งคกรวำงไว้ อกี ประเภทหน่ึงคอสมรรถนะตำมสำยงำน (functional competency) ซ่ึงเปน็ คุณลักษณะของบุคลำกรทีส่ ะทอ้ นให้เหนถึงควำมรู้ ควำมสำมำรถ ทักษะ ทัศนคติ ควำม เช่อและอปุ นสิ ยั ท่จี ะชว่ ยสง่ เสริมให้สำมำรถสรำ้ งผลงำนในกำรปฏบิ ัติงำนตำแหน่งนั้น ๆ ได้สงู กว่ำมำตรฐำน ๔. สมรรถนะครูสายผสู อน พระรำชบัญญตั ิกำรศึกษำแห่งชำติ พุทธศักรำช ๒๕๔๒ กล่ำวถึง สมรรถนะของครู ไวด้ ังน้ี ๑. มคี วำมรูค้ วำมเข้ำใจว่ำกำรศึกษำเปน็ กระบวนกำรเรียนร้เู พ่อควำมเจรญิ งอกงำมของบุคคล และสงั คม โดยกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ กำรฝึกอบรม กำรสบสำนทำงวฒั นธรรม กำรสร้ำงสรรคจรรโลง ควำมก้ำวหนำ้ ทำงวชิ ำกำร กำรสรำ้ งองคควำมรู้ อนั เกิดจำกกำรจัดสภำพแวดล้อม สงั คมกำรเรยี นรู้ และปัจจัยเก้อหนนุ ให้ บุคคลเรยี นรู้ อย่ำงต่อเน่องตลอดชวี ติ (มำตรำ ๔) ๒. มคี วำมรูค้ วำมเข้ำใจในมำตรฐำนกำรศึกษำ คอข้อกำหนดเกี่ยวกบั คณุ ลักษณะคณุ ภำพ ทพ่ี ึงประสงคและมำตรฐำน ท่ีต้องกำรใหเ้ กดิ ข้ึนในสถำนศึกษำทุกแห่ง และเพ่อใชเ้ ปน็ หลักในกำรเทียบเคยี ง สำหรับกำรสง่ เสริมและกำรกำกบั ดแู ล กำรตรวจสอบและกำรประกนั คุณภำพ ๓. มคี วำมมุ่งมั่นในกำรพัฒนำนักเรียนให้เปน็ ผู้ทสี่ มบูรณทง้ั ร่ำงกำย จติ ใจ สติปัญญำ ควำมรู้ คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในกำรดำรงชีวติ สำมำรถอยู่รว่ มกับผ้อู ิน่ ไดอ้ ยำ่ งมีควำมสขุ (มำตรำ ๖)
๓๒ ๔. มคี วำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ มีควำมตระหนักและมีควำมสำมำรถในกำรจัดกระบวนกำรเรยี น ทมี่ งุ่ ปลกู ฝงั ให้นักเรียนเปน็ ผู้ท่ีมสี ิง่ ต่อไปน้ี (มำตรำ ๗๗) ๔.๑ จิตสำนึกท่ีถูกต้องเกี่ยวกับกำรเมองกำรปกครอง ในระบอบประชำธปิ ไตย อนั มี พระมหำกษัตริยเปน็ ประมุข ๔.๒ รจู้ ักรักษำและสง่ เสรมิ สทิ ธหิ น้ำทีเ่ สรภี ำพ ๔.๓ เคำรพกฎหมำย มคี วำมเสมอภำคและศักด์ิศรีควำมเป็นมนุษย ๔.๔ มคี วำมภูมใิ จในควำมเปน็ คนไทย ๔.๕ รจู้ ักรกั ษำผลประโยชนสว่ นรวมและของประเทศชำติ ๔.๖ สง่ เสรมิ ศำสนำ ศลิ ปวัฒนธรรมของชำติ ๔.๗ สง่ เสริมและมสี ่วนร่วมดำ้ นกีฬำ ภูมปิ ญั ญำทอ้ งถน่ิ ภมู ปิ ญั ญำไทยและควำมรู้ อนั เป็นสำกล ๔.๘ อนรุ กั ษทรัพยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดล้อม ๔.๙ มคี วำมสำมำรถในกำรประกอบอำชพี สจุ ริต รูจ้ ักพ่ึงพำตนเอง ๔.๑๐ มีควำมคิดรเิ ร่ิมสร้ำงสรรค ใฝ่รู้และเรียนรดู้ ้วยตนเองอย่ำงต่อเน่อง ๕. เปน็ ผู้สำมำรถจดั กำรศึกษำโดยใหส้ งั คมมสี ่วนรว่ มในกำรจัดกำรศึกษำ (มำตรำ ๘) ยอมรับ และสำมำรถจดั กำรให้เกิดกำรมีสว่ นรว่ มจำกบุคคล ครอบครวั ชมุ ชน องคกรชมุ ชน องคกรส่วนท้องถ่นิ เอกชน องคกรเอกชน องคกรวิชำชีพ สถำบันศำสนำ สถำนประกอบกำรและสถำบันสังคมอ่นในกำรจัดกำรศึกษำอย่ำง เหมำะสม (มำตรำ ๙ (๖)) ๖. มีควำมสำมำรถในกำรทำงำนใหบ้ คุ คล ครอบครวั ชมุ ชน องคกรชุมชน องคกรสว่ นท้องถ่ิน เอกชน องคกรเอกชน องคกรวชิ ำชพี สถำบนั ศำสนำ สถำนประกอบกำรและสถำบนั สังคมอ่น ระดมทรัพยำกร เพอ่ กำรศึกษำ โดยเปน็ ผู้จดั หรอมีส่วนรว่ มในกำรจัด ตำมควำมจำเป็น (มำตรำ ๙ (๕)) (มำตรำ ๕๘) ๗. มคี วำมสำมำรถในกำรวจิ ยั เพ่อพัฒนำกำรเรยี นรู้ทีเ่ หมำะสมกับผู้เรยี น (มำตรำ ๓๐) และ สำมำรถพัฒนำสำระและกระบวนกำรเรียนรู้อย่ำงต่อเน่อง (มำตรำ ๘) ๘. มีควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ ในกำรจัดโอกำสทำงกำรศกึ ษำรวมท้ังผู้ด้อยโอกำส โดยให้มีโอกำส และคณุ ภำพทดั เทยี มกนั (มำตรำ ๑๐) ๙. มีควำมร้คู วำมคิด ตระหนักว่ำ ผูเ้ รยี นทุกคนมีควำมสำมำรถทจ่ี ะเรยี นรู้และพัฒนำตนเอง ได้ ผูเ้ รยี นมีควำมสำคัญทสี่ ุดในกระบวนกำรจัดกำรศึกษำและส่งเสริมให้ผู้เรียนสำมำรถพัฒ นำตำมธรรมชำตแิ ละ เตมตำมศักยภำพ (มำตรำ ๒๒) ๑๐. มคี วำมรูค้ วำมคดิ ตระหนกั และสำมำรถจัดกระบวนกำรเรียนรู้ให้นักเรียนได้ทั้งควำมรู้ ควำมคิด คุณธรรมและบูรณำกำรในเร่องตอ่ ไปน้ี (มำตรำ ๒๓) ๑๐.๑ ควำมรู้เกีย่ วกับตนเองและควำมสัมพันธของตนเองกับสงั คม ไดแ้ ก่ ครอบครวั ชุมชน ชำตแิ ละสงั คมโลก รวมถึงควำมรูเ้ กย่ี วกับประวัตศิ ำสตร ควำมเป็นมำของสังคมและระบบกำรเมองกำรปกครอง ในระบอบประชำธปิ ไตยอันมีพระมหำกษัตริยเป็นประมขุ ๑๐.๒ ควำมรแู้ ละทักษะด้ำนวิทยำศำสตรและเทคโนโลยี รวมทง้ั ควำมรู้ ควำมเข้ำใจและ ประสบกำรณ เร่อง กำรจัดกำร กำรบำรงุ รกั ษำและกำรใช้ประโยชนจำกทรพั ยำกรธรรมชำติและสงิ่ แวดล้อมอย่ำง สมดลุ ยั่งยน ๑๐.๓ ควำมรเู้ กย่ี วกับ ศำสนำ ศิลปวัฒนธรรม กำรกฬี ำ ภูมิปญั ญำไทยและกำรประยุกตใช้ ๑๐.๔ ควำมร้แู ละทักษะด้ำนคณิตศำสตรและด้ำนภำษำ เน้นกำรใช้ภำษำไทยอย่ำงถูกตอ้ ง ๑๐.๕ ควำมรู้และทักษะในกำรประกอบอำชีพและกำรดำรงชีวติอย่ำงมีควำมสุข
๓๓ ๑๑. ในกำรจดั กระบวนกำรเรียนรู้ ครู สถำนศึกษำและหนว่ ยงำนทีเ่ ก่ียวข้อง ควรมี ควำมสำมำรถ ดังนี้ ๑๑.๑ จดั เนอ้ หำสำระและกจิ กรรมให้สอดคล้องกบั ควำมสนใจและควำมถนัดของผูเ้ รียน โดยคำนงึ ถงึ ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบุคคล ๑๑.๒ ฝึกทักษะกระบวนกำรคิด กำรจัดกำร กำรเผชญิ สถำนกำรณ และกำรประยุกต ควำมรู้ มำใช้เพ่อป้องกันและกำรแก้ไขปญั หำ ๑๑.๓ จดั กจิ กรรมให้ผู้เรยี น รู้จักประสบกำรณจรงิ ฝึกกำรปฏบิ ัติ ทำได้ คดิ เปน็ ทำเป็น รักกำรอำ่ น และเกิดกำรใฝร่ ้อู ย่ำงตอ่ เน่อง ๑๑.๔ จดั กำรเรียนกำรสอนโดยผสมผสำน สำระควำมรู้ด้ำนตำ่ ง ๆ อย่ำงไดส้ ัดส่วน สมดลุ กนั รวมทั้งปลูกฝงั คณุ ธรรม ค่ำนิยมทีด่ ีงำม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค ไว้ในทุกวชิ ำ ๑๑.๕ สำมำรถจดั บรรยำกำศ สภำพแวดลอ้ ม ส่อกำรเรียนและสำมำรถใชก้ ำรวิจยั โดยให้ เป็นสว่ นหน่ึงของกระบวนกำรเรยี นรู้ ๑๑.๖ สำมำรถจัดกำรเรียนรู้ให้เกดิ ได้ทุกเวลำ ทุกสถำนที่ ๑๑.๗ สำมำรถประสำนควำมร่วมมอกับ บดิ ำมำรดำ ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชน ทุกฝ่ำยเพ่อรว่ มพัฒ นำผู้เรียนตำมศักยภำพ ๑๒. มีควำมรคู้ วำมเขำ้ ใจ ตระหนักและสำมำรถประเมนิ ผเู้ รียน โดยพิจำรณำจำกพัฒนำกำร ของ ผ้เู รยี น ควำมประพฤตกิ ำรสงั เกตพฤตกิ รรมกำรเรียน กำรรว่ มกจิ กรรมและกำรทดสอบ ควบค่กู นั ไปใน กระบวนกำรเรียนกำรสอนตำมควำมเหมำะสม (มำตรำ ๒๖) ๑๓. มีควำมสำมำรถในกำรจัดหลักสตู รในส่วนทเ่ี ก่ียวข้องกบั สภำพปัญหำให้ชมุ ชนและสงั คม ภมู ิปญั ญำท้องถน่ิ คุณลักษณะอันพงึ ประสงค เพ่อเป็นสมำชิกท่ีดขี องครอบครวั ชมุ ชน สงั คม ประเทศชำติ (มำตรำ ๒๗) โดยใหม้ ีควำมหลำกหลำยเหมำะสมกับวยั และศักยภำพ โดยสำระหลกั สูตรใหม้ ีท้งั วิชำกำร วิชำชีพ เพอ่ มงุ่ ให้พฒั นำคนใหส้ มบูรณทัง้ ดำ้ นควำมรู้ ควำมคดิ ควำมสำมำรถ ควำมดงี ำมและควำมรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม (มำตรำ ๒๘) ๑๔. มีควำมสำมำรถในกำรจัดกระบวนกำรเรยี นรู้ให้แก่ชมุ ชนได้ (มำตรำ ๒๙) ๑๕. มีควำมรูค้ วำมเข้ำใจเร่องกำรประกันคณุ ภำพท้ังภำยนอกและภำยใน สำมำรถดำเนินกำร ตำมแนวทำงกำรประกนั คุณภำพ ยอมรับกำรตรวจสอบ กำรรำยงำน กำรให้ขอ้ มลู ในกำรตรวจสอบ มคี วำม รับผิดชอบ รับสภำพเพอ่ กำรแก้ไขปรับปรุง (มำตรำ ๔๗-๕๐) ๑๖. มีควำมสำมำรถปฏิบตั ติ ำมมำตรฐำนคณุ ภำพวิชำชีพครูและจรรยำบรรณวิชำชพี ตำมท่ี องคกรวชิ ำชพี ครู (มำตรำ ๕๓) และองคกรกำรบริหำรงำนบุคคลของข้ำรำชกำรครู (มำตรำ ๕๔) ๑๗. พึงพอใจในฐำนะทำงสงั คมและวชิ ำชพี (มำตรำ ๕๕) ๑๘. มคี วำมสำมำรถในกำรนำทรพั ยำกรบคุ คลในชมุ ชนเข้ำมำมีส่วนร่วมในกำรจัดกำรศึกษำ อย่ำงเหมำะสม (มำตรำ ๕๗) ๑๙. มีควำมสำมำรถใช้ ผลติ กำรพฒั นำ กำรดูแลรักษำ ส่อเทคโนโลยที ำงกำรศกึ ษำ (มำตรำ ๖๕) ๒๐. สำมำรถจัดกำรเรยี นกำรสอนใหผ้ ูเ้ รยี นมีควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยที ำงกำรศึกษำ ในโอกำสแรกทท่ี ำได้ เพ่อให้มีควำมรแู้ ละทักษะเพยี งพอท่ีจะใชเ้ ทคโนโลยีเพ่อกำรศกึ ษำในกำรแสวงหำควำมรู้ ด้วยตนเองได้อย่ำงตอ่ เน่องตลอดชวี ิต (มำตรำ ๖๖) สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำขนั้ พ้นฐำน (๒๕๕๓ , หนำ้ ๒-๑๕) ไดก้ ำหนดสมรรถนะครู ประกอบดว้ ย สมรรถนะหลักและสมรรถนะประจำสำยงำน ดงั น้ี
๓๔ ๑. สมรรถนะหลัก (Core Competency) ประกอบด้วย ๕ สมรรถนะ คอ ๑.๑ กำรมุ่งผลสัมฤทธ์ิในกำรปฏบิ ัติงำน ๑.๒ กำรบริกำรท่ีดี ๑.๓ กำรพฒั นำตนเอง ๑.๔ กำรทำงำนเป็นทีม ๑.๕ จริยธรรม และจรรยำบรรณวชิ ำชพี ครู ๒. สมรรถนะประจำสำยงำน (Functional Competency) ประกอบด้วย ๖ สมรรถนะ คอ ๒.๑ กำรบรหิ ำรหลักสูตรและกำรจัดกำรเรียนรู้ ๒.๒ กำรพัฒนำผเู้ รยี น ๒.๓ กำรบรหิ ำรจัดกำรชนั้ เรยี น ๒.๔ กำรวิเครำะห สงั เครำะห และกำรวิจัยเพ่อพฒั นำผู้เรียน ๒.๕ ภำวะผู้นำครู ๒.๖ กำรสร้ำงควำมสมั พันธและควำมรว่ มมอกับชมุ ชนเพ่อกำรจดั กำรเรยี นรู้ ๑. สมรรถนะหลัก (Core Competency) สมรรถนะที่ ๑ การมุง่ ผลสัมฤทธ์ใิ นการปฏิบตั ิงาน (Working Achievement Motivation) หมำยถึง ควำมมุ่งม่ันในกำรปฏิบตั งิ ำนในหน้ำที่ใหม้ ีคุณภำพ ถกู ต้อง ครบถว้ นสมบูรณ มคี วำมคดิ รเิ ร่ิมสร้ำงสรรค โดยมกี ำรวำงแผน กำหนดเปำ้ หมำย ติดตำมประเมินผลกำรปฏบิ ตั งิ ำน และปรับปรงุ พฒั นำประสิทธภิ ำพและ ผลงำน อยำ่ งต่อเน่อง สมรรถนะ ตวั บ่งชี้ รายการพฤติกรรม การม่งุ ผลสัมฤทธ์ิ ๑.๑ ควำมสำมำรถในกำร ๑. วเิ ครำะหภำรกิจงำน เพ่อวำงแผนกำร ในการปฏบิ ตั ิงาน วำงแผน กำรกำหนดเปำ้ หมำย แก้ปัญหำอย่ำงเปน็ ระบบ (Working กำรวเิ ครำะห สงั เครำะห ๒. กำหนดเป้ำหมำยในกำรปฏิบตั ิงำนทกุ ภำคเรียน Achievement ภำรกิจงำน ๓. กำหนดแผนกำรปฏิบตั งิ ำนและกำรจัดกำร Motivation) เรยี นรู้อยำ่ งเปน็ ข้ันตอน ๑.๒ ควำมมุ่งม่ันในกำรปฏิบัติ ๑. ใฝเ่ รียนรู้เกย่ี วกบั กำรจดั กำรเรยี นรู้ หน้ำท่ี ให้มีคุณภำพ ถูกต้อง ๒. ริเร่มิ สร้ำงสรรคในกำรพฒั นำกำรจัดกำรเรยี นรู้ ครบถ้วน สมบรู ณ ๓. แสวงหำควำมรู้ทเ่ี กยี่ วกับวิชำชพี ใหม่ ๆ เพ่อ กำรพฒั นำตนเอง ๑.๓ ควำมสำมำรถในกำร ๑. ประเมินผลกำรปฏบิ ัติงำนของตนเอง ตดิ ตำมประเมิน ผลกำร ปฏิบัติงำน ๑. ใช้ผลกำรประเมินกำรปฏิบัติงำนมำปรบั ปรงุ / ๑.๔ ควำมสำมำรถในกำรพัฒนำ พัฒนำกำรทำงำนให้ดยี ิ่งข้ึน กำรปฏิบัตงิ ำนให้มีประสทิ ธิภำพ ๒. พัฒนำกำรปฏบิ ตั ิงำนเพ่อตอบสนองควำม อย่ำงต่อเน่อง เพ่อให้งำน ตอ้ งกำรของผูเ้ รยี น ผปู้ กครอง และ ชมุ ชน ประสบควำมสำเรจ
๓๕ สมรรถนะท่ี ๒ การบริการท่ดี ี (Service Mind) หมำยถึง ควำมต้งั ใจและควำมเตมใจใน กำรให้บรกิ ำร และกำรปรับปรงุ ระบบบรกิ ำรใหม้ ีประสทิ ธิภำพอย่ำงตอ่ เน่อง เพ่อตอบสนองควำมต้องกำรของ ผ้รู ับบรกิ ำร สมรรถนะ ตวั บ่งช้ี รายการพฤติกรรม การบรกิ ารท่ีดี ๒.๑ ควำมตง้ั ใจและเตมใจใน ๑. ทำกจิ กรรมตำ่ งๆ เพ่อประโยชนส่วนรวม เมอ่ มี (Service Mind) กำรให้บริกำร โอกำส ๒. เตมใจ ภำคภมู ใิ จและมีควำมสุขในกำร ใหบ้ ริกำรแก่ผู้รับบริกำร ๒.๒ กำรปรบั ปรงุ ระบบบรกิ ำร ๑. ศกึ ษำควำมต้องกำรของผรู้ ับบริกำร และนำ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ ำพ ข้อมูลไปใชใ้ นกำรปรับปรงุ ๒. ปรบั ปรุงและพฒั นำระบบกำรใหบ้ ริกำรให้มี ประสทิ ธิภำพ สมรรถนะท่ี ๓ การพัฒนาตนเอง (Self- Development) หมำยถงึ กำรศกึ ษำคน้ ควำ้ หำควำมรู้ ตดิ ตำมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องคควำมรใู้ หมๆ่ ทำงวชิ ำกำรและ วชิ ำชีพ มกี ำรสรำ้ งองคควำมรแู้ ละ นวัตกรรม เพ่อพฒั นำตนเอง และพัฒนำงำน สมรรถนะ ตวั บง่ ช้ี รายการพฤตกิ รรม การพัฒนาตนเอง ๓.๑ กำรศึกษำค้นควำ้ หำควำมรู้ ๑. ศกึ ษำคน้ ควำ้ หำควำมรู้ มุง่ มัน่ และแสวงหำ (Self- ตดิ ตำม องคควำมรู้ใหมๆ่ ทำง โอกำสพฒั นำตนเองด้วยวิธกี ำร ท่ีหลำกหลำย เชน่ Development) วิชำกำรและวิชำชพี กำรเขำ้ รว่ มประชมุ /สัมมนำ กำรศึกษำดงู ำน กำรค้นคว้ำด้วยตนเอง ๓.๒ กำรสร้ำงองคควำมรู้และ ๑. รวบรวม สงั เครำะหข้อมลู ควำมรู้ จัดเป็น นวัตกรรม ในกำรพฒั นำองคกร หมวดหมู่ และปรับปรุงให้ทนั สมยั และวิชำชพี ๒. สรำ้ งองคควำมรูแ้ ละนวตั กรรมเพ่อพัฒนำกำร จดั กำรเรียนรอู้ งคกรและวิชำชพี ๓.๒ กำรแลกเปล่ียนควำม ๑. แลกเปล่ียนเรยี นรกู้ ับผอู้ น่ เพ่อพฒั นำตนเอง คดิ เหน และสร้ำงเครอข่ำย และพฒั นำงำน ๒. ใหค้ ำปรกึ ษำ แนะนำ นเิ ทศ และถำ่ ยทอด ควำมรู้ ประสบกำรณทำงวชิ ำชพี แก่ผอู้ ่น ๓. มีกำรขยำยผลโดยสรำ้ งเครอขำ่ ยกำรเรยี นรู้ สมรรถนะที่ ๔ การทางานเป็นทีม (TeamWork) หมำยถึง กำรให้ควำมร่วมมอ ช่วยเหลอ สนับสนุน เสริมแรงให้กำลังใจแก่เพ่อนร่วมงำน กำรปรับตัวเข้ำกับผู้อ่น หรอทีมงำน แสดงบทบำทกำรเป็นผู้นำหรอผู้ตำมได้ อย่ำงเหมำะสมในกำรทำงำนร่วมกับผู้อ่น เพ่อสร้ำงและดำรงสัมพันธภำพของสมำชิก ตลอดจนเพ่อพัฒนำ กำร จดั กำรศึกษำให้บรรลผุ ลสำเรจตำมเป้ำหมำย
๓๖ สมรรถนะ ตัวบง่ ช้ี รายการพฤติกรรม การทางานเป็นทีม (TeamWork) ๔.๑ กำรให้ควำมร่วมมอ ๑. สรำ้ งสัมพนั ธภำพทด่ี ใี นกำรทำงำนรว่ มกบั ผู้อ่น ชว่ ยเหลอและ สนับสนนุ เพ่อน ๒. ทำงำนรว่ มกบั ผู้อน่ ตำมบทบำทหน้ำท่ีที่ไดร้ ับ รว่ มงำน มอบหมำย ๓. ช่วยเหลอ สนับสนนุ เพอ่ นร่วมงำน เพอ่ สู่ เปำ้ หมำยควำมสำเรจร่วมกัน ๔.๒ กำรเสรมิ แรงให้กำลงั ใจ ๑. ใหเ้ กยี รติ ยกย่องชมเชย ให้กำลงั ใจแก่ เพอ่ นร่วมงำน เพอ่ นร่วมงำนในโอกำสทีเ่ หมำะสม ๔.๓ กำรปรับตัวเขำ้ กับกล่มุ คน ๑. มที ักษะในกำรทำงำนรว่ มกับบคุ คล/กลมุ่ บคุ คล หรอ สถำนกำรณท่ีหลำกหลำย ไดอ้ ย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพทง้ั ภำยในและภำยนอก สถำนศึกษำและในสถำนกำรณตำ่ งๆ ๔.๔ กำรแสดงบทบำทผนู้ ำหรอ ๑. แสดงบทบำทผนู้ ำหรอผู้ตำมในกำรทำงำน ผูต้ ำม ร่วมกบั ผู้อ่นไดอ้ ยำ่ งเหมำะสมตำมโอกำส ๔.๕ กำรเขำ้ ไปมีสว่ นรว่ มกับ ๑. แลกเปลี่ยน/รับฟงั ควำมคิดเหนและ ผอู้ ่นในกำรพัฒนำกำรจัด ประสบกำรณภำยในทีมงำน กำรศึกษำใหบ้ รรลผุ ลสำเรจตำม ๒. แลกเปลยี่ นเรยี นรู้/รบั ฟงั ควำมคดิ เหนและ เป้ำหมำย ประสบกำรณระหว่ำงเครอขำ่ ยและทมี งำน ๓.รว่ มกับเพอ่ นร่วมงำนในกำรสรำ้ งวัฒนธรรม กำรทำงำนเป็นทีมใหเ้ กดิ ขึ้นในสถำนศึกษำ สมรรถนะท่ี ๕ จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชพี ครู (Teacher’s Ethics and Integrity) หมำยถึง กำรประพฤติปฏบิ ตั ิตนถกู ต้องตำมหลกั คุณธรรม จรยิ ธรรม จรรยำบรรณวชิ ำชพี ครู เปน็ แบบอย่ำงทด่ี แี ก่ ผูเ้ รียน และสังคม เพอ่ สร้ำงควำมศรทั ธำในวิชำชพี ครู สมรรถนะ ตัวบ่งชี้ รายการพฤตกิ รรม จริยธรรม และ ๑. ควำมรกั และศรัทธำ ๑. สนบั สนนุ และเขำ้ ร่วมกจิ กรรมกำรพัฒนำจรรยำบรรณ จรรยาบรรณ วชิ าชพี ในวิชำชีพ วชิ ำชีพ ครู (Teacher’s ๒. เสยี สละ อุทิศตนเพ่อประโยชนต่อวชิ ำชีพ และเปน็ Ethics and สมำชกิ ทด่ี ีขององคกรวชิ ำชพี Integrity) ๓ ยกยอ่ ง ช่นชมบุคคลท่ีประสบควำมสำเรจในวิชำชพี ๔. ยึดม่ันในอุดมกำรณของวิชำชีพ ปกป้องเกียรติและ ศักด์ิศรีของวิชำชีพ ๒. มีวินัย และควำม ๑. ซอ่ สตั ยตอ่ ตนเอง ตรงต่อเวลำ วำงแผนกำรใช้จ่ำย และ รับผิดชอบ ในวชิ ำชพี ใช้ทรัพยำกรอย่ำงประหยดั ๒. ปฏบิ ัติตนตำมกฎ ระเบยี บ ขอ้ บงั คับ และวฒั นธรรมท่ี ดีขององคกร
๓๗ สมรรถนะ ตัวบง่ ชี้ รายการพฤติกรรม ๓. ปฏิบตั ติ นตำมบทบำทหน้ำท่ี และมุ่งมั่นพฒั นำกำร ประกอบวิชำชีพใหก้ ้ำวหน้ำ ๔. ยอมรบั ผลอนั เกิดจำกกำรปฏบิ ัตหิ นำ้ ท่ขี องตนเอง และ หำแนวทำงแก้ไขปัญหำ อุปสรรค ๓. กำรดำรงชวี ิต ๑. ปฏิบตั ิตน/ดำเนินชีวติ ตำมหลกั ปรัชญำของเศรษฐกิจ อยำ่ งเหมำะสม พอเพียงได้เหมำะสมกับสถำนะของตน ๒. รักษำสิทธิประโยชนของตนเอง และไม่ละเมดิ สทิ ธขิ อง ผ้อู น่ ๓. เออ้ เฟื้อเผอ่ แผ่ ช่วยเหลอ และไมเ่ บยี ดเบียนผอู้ ่น ๔. กำรประพฤติ ๑. ปฏบิ ัติตนไดเ้ หมำะสมกับบทบำทหนำ้ ที่และ ปฏิบัตติ น เปน็ แบบอยำ่ ง สถำนกำรณ ๒. มคี วำมเปน็ กัลยำณมติ รตอ่ ผู้เรยี น เพ่อน ที่ดี รว่ มงำน และผรู้ บั บริกำร ๓. ปฏบิ ตั ติ นตำมหลกั กำรครองตน ครองคน ครองงำน เพอ่ ให้กำรปฏิบตั งิ ำนบรรลผุ ลส ำเรจ ๔. เป็นแบบอยำ่ งทดี่ ีในกำรส่งเสรมิ ผูอ้ น่ ให้ปฏบิ ัติตนตำม หลกั จริยธรรม จรรยำบรรณวชิ ำชีพครู และพัฒนำจนเป็น ที่ยอมรับ ๒. สมรรถนะประจาสายงาน (Functional Competency) สมรรถนะที่ ๑ การบรหิ ารหลักสตู รและการจดั การเรียนรู (Curriculum and Learning Management) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรสรำ้ งและพัฒนำหลกั สตู ร กำรออกแบบกำรเรียนรูอ้ ย่ำงสอดคล้อง และเป็นระบบ จัดกำรเรียนรู้ที่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั ใชแ้ ละพฒั นำส่อนวตั กรรมเทคโนโลยีและกำรวดั ประเมินผล กำรเรียนรู้ เพ่อพฒั นำผู้เรยี นอยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพและเกิดประสทิ ธิผลสงู สดุ สมรรถนะ ตัวบ่งช้ี รายการพฤติกรรม การบริหารหลกั สูตร ๑. กำรสร้ำงและพฒั นำ ๑. สรำ้ ง/พัฒนำหลักสตู รกล่มุ สำระกำรเรยี นรูท้ ่ี และการจัดการเรียนรู หลักสตู ร สอดคลอ้ งกับหลกั สูตรแกนกลำงและท้องถนิ่ (Curriculum and ๒. ประเมนิ กำรใชห้ ลกั สตู รและนำผลกำรประเมินไปใช้ Learning ในกำรพฒั นำหลักสูตร Management) ๒. ควำมรู้ ควำมสำมำรถใน ๑. กำหนดผลกำรเรยี นรู้ของผู้เรียนที่เน้นกำรวิเครำะห กำรออกแบบกำรเรียนรู้ สังเครำะห ประยุกต รเิ ร่มิ เหมำะสมกับสำระกำรเรียนรู้ ควำมแตกต่ำงและธรรมชำตขิ องผเู้ รยี นเปน็ รำยบคุ คล ๒. ออกแบบกิจกรรมกำรเรยี นรู้อยำ่ งหลำกหลำย เหมำะสมสอดคล้องกบั วัย และควำม ต้องกำรของ ผเู้ รยี น และชุมชน
สมรรถนะ ตวั บ่งชี้ ๓๘ ๓. กำรจดั กำรเรียนรู้ รายการพฤติกรรม ทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั ๓. เปิดโอกำสใหผ้ ้เู รยี นมสี ่วนร่วมในกำรออกแบบ กำรเรียนรู้ กำรจดั กจิ กรรมและกำร ประเมินผลกำร ๔. กำรใช้และพัฒนำส่อ เรียนรู้ ๔. จดั ทำแผนกำรจัดกำรเรียนร้อู ยำ่ งเปน็ ระบบ นวตั กรรม เทคโนโลยี โดยบรู ณำกำรอย่ำงสอดคล้องเช่อมโยงกัน เพ่อกำรจัดกำรเรียนรู้ ๕. มกี ำรนำผลกำรออกแบบกำรเรียนรไู้ ปใช้ในกำรจัด ๕. กำรวัดและประเมนิ ผล กำรเรียนรู้ และปรับใชต้ ำมสถำนกำรณ อย่ำงเหมำะสม กำรเรียนรู้ และเกดิ ผลกับผู้เรียนตำมที่คำดหวงั ๖. ประเมินผลกำรออกแบบกำรเรียนรูเ้ พอ่ นำไปใช้ ปรับปรงุ /พฒั นำ ๑. จดั ทำฐำนข้อมูลเพ่ออกแบบกำรเรยี นรู้ทเี่ นน้ ผู้เรยี น เปน็ สำคญั ๒. ใช้รูปแบบ/เทคนิควิธกี ำรสอนอยำ่ งหลำกหลำย เพ่อใหผ้ เู้ รียนพัฒนำเตมตำมศักยภำพ ๓. จัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ที่ปลูกฝงั /สง่ เสรมิ คุณลักษณะ อนั พึงประสงคและสมรรถนะของ ผู้เรียน ๔. ใช้หลกั จิตวทิ ยำในกำรจัดกำรเรียนร้ใู ห้ผู้เรยี นเกดิ กำรเรยี นรอู้ ย่ำงมคี วำมสุข และพัฒนำ อยำ่ งเตม ศกั ยภำพ ๕.ใช้แหล่งเรยี นร้แู ละภมู ปิ ัญญำท้องถ่นิ ในชุมชน ใน กำรจดั กำรเรียนรู้ ๖. พัฒนำเครอข่ำยกำรเรยี นรู้ระหว่ำงโรงเรียนกบั ผ้ปู กครอง และชุมชน ๑. ใชส้ ่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีในกำรจัดกำรเรยี นรู้ อยำ่ งหลำกหลำย เหมำะสมกับเน้อหำ และกจิ กรรม กำรเรียนรู้ ๒. สบคน้ ขอ้ มลู ผำ่ นเครอขำ่ ยอินเตอรเนตเพ่อพัฒนำ กำรจดั กำรเรยี นรู้ ๓. ใช้เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรในกำรผลิตสอ่ /นวตั กรรม ทใี่ ช้ในกำรจดั กำรเรียนรู้ ๑. ออกแบบวธิ กี ำรวดั และประเมินผลอยำ่ งหลำกหลำย เหมำะสมกับเน้อหำกิจกรรม กำรเรยี นรแู้ ละผ้เู รยี น ๒. สร้ำงและนำเคร่องมอวัดและประเมนิ ผลไปใช้อย่ำง ถกู ต้องเหมำะสม
๓๙ สมรรถนะ ตวั บง่ ช้ี รายการพฤตกิ รรม ๓. วดั และประเมินผลผ้เู รียนตำมสภำพจริง ๔. นำผลกำรประเมนิ กำรเรยี นร้มู ำใชใ้ นกำรพฒั นำ กำรจดั กำรเรยี นรู้ สมรรถนะที่ ๒ การพฒั นาผูเรียน (Student Development) หมำยถึง ควำมสำมำรถใน กำรปลกู ฝงั คุณธรรมจรยิ ธรรม กำรพัฒนำทักษะชวี ิต สขุ ภำพกำยและ สขุ ภำพจติ ควำมเป็นประชำธิปไตย ควำมภูมิใจในควำมเปน็ ไทย กำรจดั ระบบดูแลช่วยเหลอผเู้ รียน เพ่อพัฒนำผู้เรยี นใหม้ คี ุณภำพ สมรรถนะ ตวั บ่งช้ี รายการพฤตกิ รรม การพฒั นาผเู รียน ๒.๑ กำรปลกู ฝงั คณุ ธรรม ๑. สอดแทรกคุณธรรม จรยิ ธรรมแกผ่ ู้เรยี นในกำรจัด (Student จริยธรรมให้แกผ่ เู้ รยี น กำรเรยี นร้ใู นชั้นเรยี น Development) ๒. จดั กจิ กรรมสง่ เสรมิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรมโดยใหผ้ ้เู รยี น มสี ่วนรว่ มในกำรวำงแผนกจิ กรรม ๓. จดั ทำโครงกำร/กิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรม จรยิ ธรรมให้แก่ผู้เรียน ๒.๒ กำรพฒั นำทักษะชีวติ ๑. จดั กจิ กรรมเพ่อพัฒนำผู้เรียนด้ำนกำรดูแลตนเอง และ สุขภำพกำยและ มที กั ษะในกำรเรยี นรู้ กำรทำงำน กำรอยรู่ ว่ มกันใน สขุ ภำพจติ ผูเ้ รยี น สังคมอยำ่ งมคี วำมสขุ และรู้เท่ำทันกำรเปลี่ยนแปลง ๒.๓ กำรปลกู ฝังควำมเป็น ๑. สอดแทรกควำมเป็นประชำธิปไตย ควำมภมู ใิ จ ประชำธปิ ไตย ควำมภูมิใจ ในควำมเปน็ ไทย ให้แกผ่ เู้ รยี น ในควำมเป็นไทยให้กับ ๒. จัดทำโครงกำร/กจิ กรรมส่งเสริมควำมเปน็ ผูเ้ รียน ประชำธปิ ไตยควำมภูมิใจในควำมเป็นไทย ๒.๔กำรจัดระบบดแู ล ๑. ใหผ้ ้เู รียน คณะครผู สู้ อน และผู้ปกครองมีส่วนรว่ มใน ช่วยเหลอ นักเรยี น ดูแลชว่ ยเหลอนักเรียนรำยบคุ คล ๒. นำข้อมูลนักเรียนไปใชช้ ่วยเหลอ/พัฒนำผเู้ รยี นทง้ั ดำ้ นกำรเรียนรแู้ ละปรบั พฤติกรรม เปน็ รำยบุคคล ๓. จัดกจิ กรรมเพ่อปอ้ งกนั แก้ไขปัญหำ และสง่ เสริม พัฒนำผู้เรยี นให้แก่นักเรยี นอย่ำงทวั่ ถงึ ๔. ส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ัติตนอยำ่ งเหมำะสมกบั ค่ำนิยม ท่ดี งี ำม ๕. ดแู ล ชว่ ยเหลอ ผู้เรียนทุกคนอย่ำงท่ัวถึง ทันกำรณ สมรรถนะท่ี ๓ การบรหิ ารจัดการช้ันเรียน (Classroom Management) หมำยถงึ กำรจัด บรรยำกำศกำรเรยี นรู้ กำรจัดทำข้อมลู สำรสนเทศและเอกสำรประจำชั้นเรียน/ประจำวิชำ กำรกำกบั ดูแลชนั้ เรียน รำยชั้น/รำยวิชำ เพ่อส่งเสรมิ กำรเรยี นรู้อยำ่ งมีควำมสุขและควำมปลอดภัยของผู้เรียน
๔๐ สมรรถนะ ตวั บ่งชี้ รายการพฤตกิ รรม การบรหิ ารจดั การ ช้นั เรียน ๑. จัดบรรยำกำศทส่ี ง่ เสริม ๑. จดั สภำพแวดลอ้ มภำยในหอ้ งเรียน และภำยนอก (Classroom Management) กำรเรยี นรู้ ควำมสุขและ ห้องเรียนท่เี ออ้ ต่อกำรเรยี นรู้ ควำมปลอดภยั ของผู้เรียน ๒. ส่งเสรมิ กำรมีปฏิสัมพนั ธที่ดีระหว่ำงครกู ับผู้เรียน และผูเ้ รียนกับผู้เรียน ๓. ตรวจสอบส่งิ อำนวยควำมสะดวกในห้องเรียนให้ พรอ้ มใชแ้ ละปลอดภัยอย่เู สมอ ๒. จัดทำขอ้ มูลสำรสนเทศ ๑. จดั ทำขอ้ มูลสำรสนเทศของนักเรยี นเปน็ รำยบคุ คล และเอกสำรประจำชน้ั และเอกสำรประจำชัน้ เรียนอย่ำง ถกู ต้อง ครบถ้วน เป็น เรยี น /ประจำวชิ ำ ปจั จบุ นั ๒. นำข้อมูลสำรสนเทศไปใช้ในกำรพัฒนำผเู้ รยี นได้เตม ตำมศักยภำพ ๓. กำกับดแู ลชัน้ เรียน ๑. ให้ผูเ้ รียนมีส่วนรว่ มในกำรกำหนด กฎ กติกำ รำยช้นั /รำยวิชำ ข้อตกลงในชัน้ เรียน ๒. แก้ปัญหำ/พัฒนำนักเรียนดำ้ นระเบียบวนิ ัย โดยกำร สร้ำงวินยั เชิงบวกในชั้นเรียน ๓. ประเมนิ กำรกำกับดูแลชั้นเรียน และนำผลกำร ประเมนิ ไปใช้ในกำรปรบั ปรงุ และพัฒนำ สมรรถนะท่ี ๔ การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวจิ ัยเพ่ือพฒั นาผเู รยี น (Analysis & Synthesis & Classroom Research) หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรทำควำมเขำ้ ใจ แยกประเดนเป็นสว่ นยอ่ ย รวบรวม ประมวลหำขอ้ สรปุ อย่ำงมรี ะบบและนำไปใชใ้ นกำรวิจัยเพอ่ พัฒนำผู้เรยี น รวมท้ังสำมำรถวิเครำะหองคกร หรองำนในภำพรวมและดำเนินกำรแกป้ ัญหำ เพ่อพฒั นำงำนอยำ่ งเปน็ ระบบ สมรรถนะ ตัวบ่งช้ี รายการพฤติกรรม การวิเคราะห์ ๑. กำรวเิ ครำะห ๑. สำรวจปญั หำเก่ยี วกบั นักเรยี นท่เี กดิ ขน้ึ ในช้ันเรียน สังเคราะห์ และการ เพอ่ วำงแผนกำรวจิ ยั เพ่อพัฒนำผเู้ รียน วจิ ัยเพ่ือพัฒนา ๒. วิเครำะหสำเหตขุ องปัญหำเกี่ยวกบั นักเรียนท่เี กดิ ขึน้ ผเู รียน (Analysis & ในช้ันเรียนเพอ่ กำหนดทำงเลอก ในกำรแก้ไขปัญหำระบุ Synthesis & สภำพปจั จุบัน Classroom ๓. มกี ำรวเิ ครำะหจุดเดน่ จุดดอ้ ย อปุ สรรคและโอกำส Research) ควำมสำเรจของกำรวิจยั เพ่อแกไ้ ขปัญหำท่ีเกิดขึ้นใน ชน้ั เรยี น ๒. กำรสังเครำะห ๑. รวบรวม จำแนกและจดั กลมุ่ ของสภำพปัญหำของ ผเู้ รยี น แนวคิดทฤษฎีและวธิ กี ำร แก้ไขปญั หำเพ่อ สะดวกต่อกำรนำไปใช้
สมรรถนะ ตวั บง่ ช้ี ๔๑ ๓. กำรวจิ ยั เพ่อพฒั นำ รายการพฤติกรรม ผเู้ รยี น ๒. มีกำรประมวลผลหรอสรุปขอ้ มูลสำรสนเทศท่เี ป็น ประโยชนตอ่ กำรแก้ไขปัญหำในช้นั เรียนโดยใช้ขอ้ มูล รอบดำ้ น ๑. จดั ทำแผนกำรวิจัย และดำเนนิ กระบวนกำรวจิ ยั อยำ่ งเป็นระบบตำมแผนดำเนินกำร วิจยั ท่ีกำหนดไว้ ๒. ตรวจสอบควำมถกู ต้องและควำมนำ่ เช่อถอของ ผลกำรวจิ ยั อย่ำงเปน็ ระบบ ๓. มีกำรนำผลกำรวจิ ัยไปประยุกตใชใ้ นกรณีศึกษำอน่ ๆ ทม่ี บี รบิ ทของปัญหำทคี่ ล้ำยคลึงกัน สมรรถนะท่ี ๕ ภาวะผนู าครู (Teacher Leadership) หมำยถึง คุณลกั ษณะและพฤติกรรม ของครทู แี่ สดงถงึ ควำมเกยี่ วข้องสมั พันธสว่ นบุคคลและกำรแลกเปลย่ี นเรยี นรซู้ ึง่ กันและกันท้งั ภำยในและภำยนอก ห้องเรยี นโดยปรำศจำกกำรใช้อิทธิพลของผูบ้ รหิ ำรสถำนศกึ ษำ ก่อให้เกดิ พลังแห่งกำรเรียนรู้เพ่อพฒั นำกำรจัด กำรเรียนรใู้ หม้ ีคุณภำพ สมรรถนะ ตวั บ่งชี้ รายการพฤติกรรม ภาวะผนู าครู ๑.วฒุ ภิ ำวะควำมเปน็ ๑. พจิ ำรณำทบทวน ประเมินตนเองเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออก (Teacher ผ้ใู หญ่ ที่เหมำะสมกบั ตอ่ ผ้เู รยี นและผู้อน่ และ มีควำมรับผดิ ชอบต่อตนเองและส่วนรวม Leadership) ควำมเปน็ ครู (Adult ๒. เหนคุณคำ่ ใหค้ วำมสำคัญในควำมคิดเหนหรอผลงำน และให้ Development) เกยี รตแิ ก่ผู้อน่ ๓. กระต้นุ จงู ใจ ปรับเปลีย่ นควำมคดิ และกำรกระทำของผูอ้ ่นให้มี ควำมผูกพนั และมุ่งมั่นต่อ เป้ำหมำยในกำรทำงำนรว่ มกนั ๒.กำรสนทนำอย่ำง ๑. มปี ฏสิ ัมพันธในกำรสนทนำ มีบทบำท และมสี ว่ นร่วมในกำร สร้ำงสรรค สนทนำอยำ่ งสรำ้ งสรรคกับผู้อ่น โดยม่งุ เนน้ ไปท่ีกำรเรียนรขู้ อง (Dialogue) ผู้เรียนและกำรพัฒนำวชิ ำชีพ ๒. มที กั ษะกำรฟงั กำรพูด และกำรตัง้ คำถำม เปิดใจกวำ้ ง ยดหยุ่น ยอมรับทัศนะทีห่ ลำกหลำย ของผอู้ น่ เพอ่ เป็นแนวทำงใหม่ๆ ใน กำรปฏบิ ัตงิ ำน ๓. สบเสำะขอ้ มูล ควำมรู้ทำงวชิ ำชีพใหม่ ๆ ท่สี ร้ำงควำมท้ำทำยใน กำรสนทนำอย่ำงสร้ำงสรรค กบั ผูอ้ ่น ๓.กำรเปน็ บุคคลแห่ง ๑. ให้ควำมสนใจต่อสถำนกำรณต่ำงๆ ทเ่ี ปน็ ปัจจบุ ัน โดยมีกำร กำรเปลี่ยนแปลง วำงแผนอยำ่ งมวี ิสัยทัศนซง่ึ เชอ่ มโยงกบั วสิ ัยทศั น เปำ้ หมำย และ (Change Agency) พันธกจิ ของโรงเรียนรว่ มกับผู้อ่น ๒.รเิ ริ่มกำรปฏบิ ตั ิทน่ี ำไปสู่กำรเปลี่ยนแปลงและกำรพัฒนำ นวตั กรรม
๔๒ สมรรถนะ ตวั บง่ ช้ี รายการพฤตกิ รรม ๓.กระตนุ้ ผู้อ่นให้มกี ำรเรยี นรู้และควำมรว่ มมอในวงกว้ำงเพ่อพฒั นำ ผู้เรยี น สถำนศกึ ษำ และวิชำชีพ ๔. ปฏิบตั งิ ำนรว่ มกับผอู้ ่นภำยใตร้ ะบบ/ข้ันตอนทเี่ ปล่ียนแปลงไป จำกเดมิ ได้ ๔.กำรปฏบิ ัติงำนอย่ำง ๑. พิจำรณำไตรต่ รองควำมสอดคล้องระหวำ่ งกำรเรยี นรขู้ อง ไตรต่ รอง (Reflective นักเรียน และกำรจดั กำรเรียนรู้ Practice) ๒. สนับสนนุ ควำมคดิ ริเริ่มซงึ่ เกดิ จำกกำรพจิ ำรณำไตรต่ รองของ เพ่อนรว่ มงำน และมีส่วนร่วม ในกำรพฒั นำนวตั กรรมตำ่ งๆ ๓. ใช้เทคนคิ วิธกี ำรหลำกหลำยในกำรตรวจสอบ ประเมินกำร ปฏบิ ตั งิ ำนของตนเอง และ ผลกำรดำเนนิ งำนสถำนศึกษำ ๕.กำรมุง่ พัฒนำ ๑. กำหนดเป้ำหมำยและมำตรฐำนกำรเรียนรทู้ ท่ี ำ้ ทำย ผลสัมฤทธ์ิผู้เรียน ควำมสำมำรถของตนเองตำมสภำพจริง และปฏิบตั ใิ ห้บรรลผุ ล (Concern for สำเรจได้ improving pupil ๒. ให้ข้อมลู และขอ้ คิดเหนรอบดำ้ นของผเู้ รยี นต่อผู้ปกครองและ achievement) ผเู้ รียนอย่ำงเปน็ ระบบ ๓. ยอมรับขอ้ มูลป้อนกลับเกี่ยวกับควำมคำดหวงั ด้ำนกำรเรยี นรู้ ของผูเ้ รียนจำกผูป้ กครอง ๔. ปรบั เปลี่ยนบทบำทและกำรปฏบิ ตั งิ ำนของตนเองให้เอ้อตอ่ กำร พัฒนำผลสัมฤทธิ์ผู้เรยี น ๕. ตรวจสอบขอ้ มูลกำรประเมินผู้เรียนอย่ำงรอบด้ำน รวมไปถึง ผลกำรวจิ ยั หรอองคควำมรู้ ต่ำงๆ และนำไปใชใ้ นกำรพฒั นำ ผลสมั ฤทธิ์ผู้เรียนอยำ่ งเป็นระบบ สมรรถนะที่ ๖ การสรางความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชนเพื่อการจดั การเรยี นรู (Relationship & Collaborative – Building for Learning Management) หมำยถึง กำรประสำน ควำมรว่ มมอ สร้ำงควำมสมั พันธท่ีดีและเครอข่ำยกบั ผปู้ กครอง ชุมชน และองคกรอน่ ๆ ทัง้ ภำครัฐและเอกชน เพ่อสนบั สนุนส่งเสรมิ กำรจัดกำรเรียนรู้ สมรรถนะ ตวั บ่งช้ี รายการพฤตกิ รรม การสราง ๑. กำรสร้ำง ๑. กำหนดแนวทำงในกำรสรำ้ งควำมสมั พนั ธท่ีดี และควำมร่วมมอ ความสัมพันธแ์ ละ ควำมสัมพันธ กบั ชุมชน ความร่วมมือกับ และควำมรว่ มมอ ๒. ประสำนให้ชมุ ชนเขำ้ มำมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมตำ่ งๆ ของ ชมุ ชนเพื่อการจัด กับชมุ ชน เพ่อ สถำนศกึ ษำ การเรยี นรู กำรจัดกำรเรียนรู้ ๓. ให้ควำมร่วมมอในกจิ กรรมตำ่ งๆ ของชมุ ชน
สมรรถนะ ตวั บง่ ช้ี ๔๓ (Relationship & Collaborative – ๒. กำรสรำ้ ง รายการพฤตกิ รรม Building for เครอข่ำย ๔. จดั กิจกรรมทเี่ สริมสรำ้ ง ควำมสมั พนั ธและควำมร่วมมอกบั Learning ควำมร่วมมอเพ่อ ผปู้ กครอง ชมุ ชน และ องคกรอน่ ๆ ทง้ั ภำครฐั และเอกชนเพอ่ กำร Management) กำรจัดกำรเรยี นรู้ จดั กำรเรียนรู้ ๑. สรำ้ งเครอข่ำยควำมร่วมมอระหวำ่ งครู ผู้ปกครอง ชุมชน และ องคกรอน่ ๆ ทง้ั ภำครัฐและ เอกชน เพ่อสนบั สนุนส่งเสริมกำร จัดกำรเรียนรู้
๔๔ หมวดที่ ๔ การขอมแี ละเลื่อนวิทยฐานะ การประเมนิ ใหขาราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา ตาแหนง่ ครู มีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะ สังกดั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน (สำนักงำน ก.ค.ศ. , ๒๕๖๐. หน้ำ ๖-๓๖) ก.ค.ศ. กำหนดหลักเกณฑและวิธีกำรให้ข้ำรำชกำรครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำ ตำแหนง่ ครู มี วิทยฐำนะและเล่อนวทิ ยฐำนะ โดยมีเจตนำรมณเพ่อส่งเสริมสนับสนนุ ใหข้ ้ำรำชกำรครูและบคุ ลำกรทำงกำรศึกษำ ผู้ดำรงตำแหนง่ ครู ได้มีกำรส่ังสมควำมชำนำญและมคี วำมเชย่ี วชำญในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน กำรพัฒนำตนเอง อยำ่ งต่อเน่อง และสง่ เสรมิ ให้ครูประพฤติปฏิบัติตนเปน็ แบบอยำ่ งท่ดี ี มีวนิ ัย คณุ ธรรม จริยธรรม และจรรยำบรรณ วิชำชพี ซงึ่ สำนักงำน ก.ค.ศ. ไดแ้ จ้งใหส้ ว่ นรำชกำรเพ่อทรำบและถอปฏบิ ัติ ตำมหนังสอสำนกั งำน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ ๐๒๐๖.๓/ว ๒๑ ลงวนั ที่ ๕ กรกฎำคม ๒๕๖๐ โดยมีสำระสำคัญสรุปได้ ดังน้ี ๑. ระยะเวลำกำรดำรงตำแหนง่ คร/ู ขอมี/เล่อนเปน็ วิทยฐำนะ ชนก. ชนพ. ชช. และ วทิ ยฐำนะทด่ี ำรงอยู่ปัจจบุ ัน ชชพ. วทิ ยฐำนะละ ๕ ปี ๒. ช่วั โมงกำรปฏบิ ัตงิ ำน ประเภท/ ชว่ั โมงกำรปฏบิ ตั ิงำน เง่อนไข ชนก/ชนพ. รวมไมน่ ้อยกว่ำ ๘๐๐ ชม./ปี ระดบั ทั้งหมด ชช/ชชพ. รวมไมน่ ้อยกวำ่ ๙๐๐ ชม./ปี กำรศกึ ษำ ต้องมชี วั่ โมงสอนขัน้ ตำ่ - ประถม, ชนก/ชนพ. ตำมท่ี ก.ค.ศ. กำหนด ๓. วนิ ยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม มธั ยม ๘๐๐ ชม./ปี และปฏบิ ตั ิงำนอน่ โดย และจรรยำบรรณวิชำชีพ อำชีวะ, กศน. ต้องมีชวั่ โมง PLC ฯลฯ ชช/ชชพ. ขั้นตำ่ ๕๐ ชวั่ โมงตอ่ ปี ๔. ผ่ำนกำรพฒั นำตำมที่ ก.ค.ศ. กำหนด ๙๐๐ ชม./ปี ๕. ผลงำนที่เกดิ จำกกำรปฏิบตั ิ ไม่ถูกลงโทษทำงวินยั /จรรยำบรรณวชิ ำชพี หนำ้ ท่ี ยอ้ นหลงั ๕ ปกี ำรศกึ ษำ ยอ้ นหลงั ๕ ปี นับถึงวนั ที่ย่นคำขอ ตดิ ต่อกัน นบั ถึงวนั ส้นิ ปกี ำรศึกษำ ก่อนวันที่ย่นคำขอ มชี ่วั โมงกำรอบรมและพัฒนำ ปลี ะ ๑๒ – ๒๐ ชั่วโมง รวม ๕ ปี จำนวน ๑๐๐ ชวั่ โมง ๑. ดำ้ นกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน ๒. ดำ้ นกำรบรหิ ำรจัดกำรชนั้ เรยี น ๓. ดำ้ นกำรพฒั นำตนเองและวิชำชีพ ตอ้ งผำ่ นเกณฑ ๓ ปีกำรศกึ ษำ ** ชช. และ ชชพ.** เพมิ่ ผลงำนทำงวชิ ำกำรไม่นอ้ ยกว่ำ ๒ รำยกำร ภำยในระยะเวลำย้อนหลงั ๕ ปีกำรศึกษำ ชช. เป็นงำนวิจยั ชน้ั เรยี น ไมน่ ้อยกว่ำ ๑ รำยกำร ตดิ ต่อกนั ชชพ. เป็นงำนวจิ ยั เก่ียวกับกำรศกึ ษำ ไมน่ อ้ ยกว่ำ ๑ รำยกำร
๔๕ ๑. คุณสมบตั ขิ องผขู อมีวิทยฐานะและเลอ่ื นวิทยฐานะ มีดงั นี้ ๑.๑ ระยะเวลำกำรดำรงตำแหน่งครู วิทยฐำนะครูชำนำญกำร ต้องดำรงตำแหน่งครู มำแล้วไม่น้อยกว่ำ ๕ ปี นับถึงวันที่ย่นคำขอ หรอดำรงตำแหน่งอ่นที่ ก.ค.ศ. เทยี บเท่ำ วิทยฐำนะครูชำนำญกำรพิเศษ ต้องดำรงตำแหน่งครูท่ีมีวิทยฐำนะครูชำนำญกำร มำแล้ว ไม่น้อยกว่ำ ๕ ปี นบั ถงึ วันทย่ี น่ คำขอ หรอดำรงตำแหนง่ อน่ ที่ ก.ค.ศ. เทยี บเท่ำ วิทยฐำนะครูเช่ียวชำญ ต้องดำรงตำแหน่งครูท่ีมีวิทยฐำนะครูชำนำญกำรพิเศษ มำแล้ว ไม่น้อยกว่ำ ๕ ปี นับถึงวันทีย่ ่นคำขอ หรอดำรงตำแหนง่ อน่ ท่ี ก.ค.ศ. เทยี บเทำ่ วิทยฐำนะครูเช่ียวชำญพิเศษ ต้องดำรงตำแหน่งครูที่มีวิทยฐำนะครูเช่ียวชำญ มำแล้ว ไม่นอ้ ยกวำ่ ๕ ปี นับถงึ วนั ทย่ี ่นคำขอ หรอดำรงตำแหน่งอน่ ท่ี ก.ค.ศ. เทียบเทำ่ ๑.๒ มจี ำนวนชัว่ โมงกำรปฏิบตั งิ ำนเป็นไปตำมที่ ก.ค.ศ. กำหนด ๑.๒.๑ ชั่วโมงกำรปฏิบัติงำน หมำยถึง จำนวนช่ัวโมงสอนตำมตำรำงสอน งำนสนับสนุน กำรจดั กำรเรียนรู้ กำรมสี ่วนร่วมในชมุ ชนกำรเรยี นร้ทู ำงวิชำชพี และงำนตอบสนองนโยบำยและจดุ เนน้ จำนวนช่วั โมงสอนตำมตำรำงสอน หมำยถึง จำนวนชว่ั โมงสอนในวิชำ/สำขำ/กลมุ่ สำระ กำร เรียนรู้ทีก่ ำหนดไวต้ ำมหลักสตู ร กำรจดั ประสบกำรณกำรเรยี นรู้ กิจกรรมฟื้นฟสู มรรถภำพผูเ้ รียน งำนสนับสนุนกำรจัดกำรเรียนรู้ หมำยถึง กำรปฏิบัติงำนท่ีเป็นประโยชนต่อกำรส่งเสริม และพัฒนำกำรจัดกำรเรียนรู้ของสถำนศึกษำ และกำรมีส่วนร่วมในชุมชนกำรเรียนรู้ทำงวิชำชีพ รวมทั้งงำน สนบั สนนุ กำรบรหิ ำรสถำนศึกษำ เชน่ งำนวิชำกำร งำนบุคคล งำนงบประมำณ และงำนบริหำรทัว่ ไป เป็นตน้ งำนตอบสนองนโยบำยและจุดเน้น หมำยถึง กำรปฏิบัติงำนท่ีตอบสนองนโยบำย และ จุดเน้นของรฐั บำล กระทรวงศึกษำธิกำร และสว่ นรำชกำรต้นสงั กัด ๑.๒.๒ ผู้ดำรงตำแหน่งครูท่ีจะขอมีวิทยฐำนะหรอเล่อนวิทยฐำนะ ต้องมีชั่วโมงกำร ปฏิบัติงำน ดงั น้ี วิทยฐำนะครูชำนำญกำรหรอวิทยฐำนะครูชำนำญกำรพิเศษ ต้องมีชั่วโมงกำรปฏิบัติงำน ในแต่ละปีไม่น้อยกว่ำ ๘๐๐ ช่ัวโมง โดยในชั่วโมงกำรปฏิบัติงำนต้องมีชั่วโมงกำรมีส่วนร่วมในชุมชนกำรเรียนรู้ ทำงวชิ ำชพี ในแตล่ ะปไี ม่น้อยกว่ำ ๕๐ ช่ัวโมง ทั้งน้ี ตอ้ งมชี ่ัวโมงสอนขนั้ ตำ่ ตำมที่ ก.ค.ศ. กำหนดด้วย วิทยฐำนะครูเช่ียวชำญหรอวิทยฐำนะครูเชี่ยวชำญพิเศษ ต้องมีช่ัวโมงกำรปฏิบัติงำน ใน แต่ละปีไม่น้อยกว่ำ ๙๐๐ ชั่วโมง โดยในชั่วโมงกำรปฏิบัติงำนต้องมีชั่วโมงกำรมีส่วนร่วมในชุมชนกำรเรียนรู้ ทำงวิชำชีพ ในแต่ละปีไม่นอ้ ยกว่ำ ๕๐ ชว่ั โมง ทง้ั นี้ ต้องมีชวั่ โมงสอนข้ันตำ่ ตำมที่ ก.ค.ศ. กำหนดดว้ ย สำหรับกำรเสนอผลงำนทำงวิชำกำรในวิชำ/สำขำ/กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ใด ในช่วง ระยะเวลำย้อนหลัง ๕ ปี ผู้ขอจะต้องมีชั่วโมงสอน ในวิชำ/สำขำ/กลุ่มสำระกำรเรียนรู้ ที่เสนอผลงำนทำงวิชำกำร น้ันด้วย
๔๖ ๑.๒.๓ จำนวนช่วั โมงสอนตำมตำรำงสอน ที่ ก.ค.ศ. กำหนด ดังน้ี ประเภท/ระดับการศกึ ษา ชั่วโมงสอนตามตารางสอน ๑. ปฐมวัย ไมต่ ำ่ กวำ่ ๖ ช่ัวโมง/สัปดำห ๒. ประถมศกึ ษำ ไมต่ ำ่ กวำ่ ๑๒ ชว่ั โมง/สัปดำห (รวมโรงเรยี นวัตถปุ ระสงคพิเศษ หรอ โรงเรยี นจดั กำรเรียนรวม) ๓. มธั ยมศกึ ษำ ไมต่ ่ำกวำ่ ๑๒ ชั่วโมง/สัปดำห (รวมโรงเรยี นวัตถุประสงคพเิ ศษ หรอ โรงเรยี นจัดกำรเรยี นรวม) ๔. กำรศกึ ษำพิเศษ ไม่ต่ำกวำ่ ๖ ชว่ั โมง/สัปดำห ๔.๑ เฉพำะควำมพิกำรและศูนยกำรศกึ ษำพเิ ศษ ไม่ต่ำกว่ำ ๑๒ ช่ัวโมง/สัปดำห ๔.๒ ศึกษำสงเครำะหและรำชประชำนุเครำะห ๑.๓ มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยำบรรณวิชำชีพ โดยไม่เคยถูกลงโทษทำงวินัย หรอ จรรยำบรรณวิชำชพี ในชว่ งระยะเวลำย้อนหลงั ๕ ปี นับถงึ วันท่ยี ่นคำขอ ในกรณีท่ีผู้ดำรงตำแหน่งครู อยู่ระหว่ำงถูกดำเนินกำรทำงวินัยหรอจรรยำบรรณวิชำชีพ โดยยัง ไม่มีคำสั่งลงโทษ ใหถ้ อวำ่ ผ้นู น้ั มีคุณสมบตั ิในข้อน้ี ๑.๔ ผ่ำนกำรพัฒนำ ตำมหลักเกณฑและวิธีกำรที่ ก.ค.ศ. กำหนด ซ่ึง ก.ค.ศ. ได้กำหนด หลักเกณฑและวิธีกำรพัฒนำข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ สำยงำนกำรสอน ตำมหนังสอสำนักงำน ก.ค.ศ. ท่ี ศธ ๐๒๐๖.๗/ว ๒๒ ลงวนั ท่ี ๕ กรกฎำคม ๒๕๖๐ โดยมสี ำระสำคญั ดังน้ี ๑.๔.๑ ครูต้องเข้ำรับกำรพัฒนำอย่ำงต่อเน่องทุกปี โดยมีกำรประเมินตนเองเพ่อวิเครำะห ควำมจำเป็นในกำรพฒั นำ และนำผลจำกกำรวิเครำะหมำจัดทำแผนกำรพัฒนำตนเองเป็นรำยปี เสนอผ้อู ำนวยกำร สถำนศกึ ษำเพ่อพิจำรณำอนญุ ำต ๑.๔.๒ กำรเข้ำรับกำรพัฒนำ ต้องเข้ำรับกำรพัฒนำในหลักสูตรท่ีสถำบันคุรุพัฒนำให้กำร รับรอง จำนวนไม่น้อยกว่ำ ๑๒ ชวั่ โมง แต่ไมเ่ กนิ ๒๐ ช่วั โมงต่อปี รวมภำยในระยะเวลำ ๕ ปี จำนวน ๑๐๐ ชั่วโมง กรณีมีชั่วโมงกำรพัฒนำไม่ครบ ๑๐๐ ชั่วโมง ให้นำชั่วโมงกำรมีส่วนร่วมในชุมชนกำรเรียนรู้ทำงวิชำชีพ (Professional Learning Community : PLC) ส่วนทีเ่ กินจำก ๕๐ ชัว่ โมงในแตล่ ะปีมำนบั รวมได้ ๑.๔.๓ กำรเข้ำรับกำรพัฒนำตำมข้อ ๑.๔.๒ ในแต่ละปีต้องครบ ๓ องคประกอบ ซ่ึง ประกอบด้วย ด้ำนควำมรู้ ด้ำนทักษะ และด้ำนควำมเป็นครู เพ่อให้มีคุณลักษณะท่ีคำดหวังตำมมำตรฐำน วิทยฐำนะ ทีจ่ ะขอรบั กำรประเมนิ นัน้ ข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ ตำแหน่งครู ท่ีได้รับกำรพัฒนำตำมข้อ ๑.๔.๑ – ๑.๔.๓ ครบถ้วนแล้ว ให้ถอว่ำผ่ำนกำรพัฒนำก่อนกำรแต่งต้ังให้มีวิทยฐำนะและเล่อนวิทยฐำนะ ตำมมำตรำ ๘๐ แห่งพระรำชบญั ญัตริ ะเบยี บขำ้ รำชกำรครแู ละบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดว้ ย ๑.๕ มีผลงำนที่เกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำที่ สำยงำนกำรสอน ในช่วงระยะเวลำย้อนหลัง ๕ ปี กำรศึกษำติดต่อกัน นับถึงวันสิ้นปีกำรศึกษำก่อนวันที่ย่นคำขอ ซึ่งจะต้องมีกำรประเมินและมีผลกำรประเมิน เป็นไปตำมเกณฑกำรตัดสินแต่ละวิทยฐำนะตำมที่กำหนดไว้ในหลักเกณฑนี้ ไม่น้อยกว่ำ ๓ ปีกำรศึกษำ โดย
๔๗ พิจำรณำจำกข้อมูลที่บันทึกไว้ในแบบรำยงำนผลงำนท่ีเกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำท่ี ตำแหน่งครู รำยปีกำรศึกษำ (วฐ.๒) กำรประเมินผลงำนท่ีเกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำท่ีตำมข้อนี้ เป็นกำรประเมินกำรปฏิบัติงำน ตำม หน้ำที่ควำมรับผิดชอบ ตำมมำตรฐำนตำแหนง่ และมำตรฐำนวทิ ยฐำนะ ซ่ึงข้ำรำชกำรครูทุกคนตอ้ งมี กำรประเมนิ ๓ ด้ำน รวม ๑๓ ตัวช้ีวัด คอ ด้ำนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน (๘ ตัวชี้วัด) ด้ำนกำรบริหำรจัดกำรช้ันเรียน (๓ ตวั ช้ีวดั ) และดำ้ นกำรพัฒนำตนเองและพัฒนำวชิ ำชีพ (๒ ตวั ชว้ี ัด) เป็นปกติทุกปกี ำรศึกษำ โดยเมอ่ สิน้ ปีกำรศึกษำ ผู้ดำรงตำแหน่งครู ต้องประเมินผลกำรปฏิบัติงำนของตนเอง ตำมแบบ วฐ.๒ เสนอผู้อำนวยกำร สถำนศึกษำ ผู้ขอรับกำรประเมินและผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำต้องเป็นผู้รับรองข้อมูล เอกสำร และหลักฐำน เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอด้วย หำกภำยหลังกำรตรวจสอบพบว่ำมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตำมหลักเกณฑที่ ก.ค.ศ. กำหนด ให้ถอวำ่ เปน็ ผขู้ ำดคุณสมบตั ิ ๒. การประเมนิ ๒.๑ กำรประเมินผดู้ ำรงตำแหน่งครู ให้มีกำรประเมิน ดงั น้ี ๒.๑.๑ ประเมินผลงำนท่ีเกิดจำกกำรปฏบิ ัติหน้ำที่ สำหรับทุกวิทยฐำนะ ต้องประเมินผลงำน ทเี่ กดิ จำกกำรปฏบิ ัติหน้ำท่ี มี ๓ ดำ้ น ๑๓ ตัวช้ีวัด ดังนี้ ๒.๑.๑.๑ ดำ้ นกำรจัดกำรเรียนกำรสอน มี ๘ ตวั ชี้วัด ประกอบด้วย ๑) กำรสร้ำงและ หรอพัฒนำหลักสูตร จำนวน ๑ ตัวชี้วัด ๒) กำรจัดกำรเรียนรู้ จำนวน ๔ ตัวชี้วัด ได้แก่ กำรออกแบบหน่วยกำร เรียนรู้ กำรจัดทำแผนกำรจัดกำรเรียนรู้/แผนกำรจัดกำรศึกษำเฉพำะบุคคล(IEP)/แผนกำรสอนรำยบุคคล(IIP)/ แผนกำรจัดประสบกำรณ กลยุทธในกำรจัดกำรเรียนรู้ และคุณภำพผู้เรียน ๓) กำรสร้ำงและกำรพัฒนำ ส่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีทำงกำรศึกษำ และแหล่งเรียนรู้ จำนวน ๑ ตัวชี้วัด ๔) กำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้ จำนวน ๑ ตัวชวี้ ัด และ ๕) กำรวจิ ัยเพ่อพัฒนำกำรเรยี นรู้ จำนวน ๑ ตัวช้ีวดั ๒.๑.๑.๒ ด้ำนกำรบริหำรจัดกำรชั้นเรียน มี ๓ ตัวชี้วัด ประกอบด้วย ๑) กำรบริหำร จัดกำรช้ันเรียน ๒) กำรจัดระบบดูแลช่วยเหลอผู้เรียน และ ๓) กำรจัดทำข้อมูลสำรสนเทศ และเอกสำรประจำ ช้ันเรยี นหรอประจำวชิ ำ ๒.๑.๑.๓ ด้ำนกำรพัฒนำตนเองและพัฒนำวิชำชีพ มี ๒ ตัวช้ีวัด ประกอบด้วย ๑) กำรพัฒนำตนเอง และ ๒) กำรพฒั นำวิชำชพี ๒.๑.๒ ประเมินผลงำนทำงวิชำกำร สำหรับวิทยฐำนะครูเชี่ยวชำญ และวิทยฐำนะครู เช่ียวชำญพิเศษ นอกจำกต้องผำ่ นกำรประเมินผลงำนที่เกิดจำกกำรปฏบิ ัติหน้ำท่ีแล้ว ตอ้ งผ่ำนกำรประเมินผลงำน ทำงวิชำกำร ที่แสดงให้เหนถึงสมรรถนะในกำรวจิ ัยเพอ่ พฒั นำกระบวนกำรเรยี นร้แู ละกำรพัฒนำวิชำชพี ดังน้ี ๒.๑.๒.๑ วทิ ยฐำนะครูเช่ียวชำญ ต้องมีผลงำนทำงวชิ ำกำร ซ่งึ เปน็ งำนวจิ ัยในช้นั เรียน หรอรำยงำนผลกำรพัฒนำกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เกิดจำกชุมชนกำรเรียนรู้ทำงวิชำชีพ หรอผลงำนทำงวิชำกำร ในลักษณะอ่น ที่มีจุดมุ่งหมำยในกำรแก้ปัญหำด้ำนกำรเรียนรู้ของผู้เรียนและสอดคล้องกับแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ มีกำรศึกษำแนวคดิ ทฤษฎี และองคควำมรู้ต่ำง ๆ เพ่อแก้ปญั หำและนำไปสู่กำรสรปุ องคควำมร้เู พ่อพัฒนำคุณภำพ ของผ้เู รยี น จำนวนไมน่ อ้ ยกว่ำ ๒ รำยกำร โดยตอ้ งเปน็ งำนวิจัยในชนั้ เรยี น อย่ำงน้อย ๑ รำยกำร
๔๘ ๒.๑.๒.๒ วิทยฐำนะครูเช่ียวชำญพิเศษ ต้องมีผลงำนทำงวิชำกำร ซึ่งเป็นงำนวิจัย เก่ียวกับกำรจัดกำรเรียนกำรสอน หรอรำยงำนผลกำรพัฒนำกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เกิดจำกชุมชน กำรเรียนรู้ทำง วิชำชีพ หรอผลงำนทำงวิชำกำรในลักษณะอ่น ที่มีจุดมุ่งหมำยในกำรแก้ปัญหำด้ำนกำรเรียนรู้ของผู้เรียน และ สอดคล้อง กับแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ มีกำรศึกษำแนวคิด ทฤษฎีและองคควำมรู้ต่ำง ๆ เพ่อแก้ปัญหำ และนำไปสู่ กำรสรุป องคควำมรู้เพ่อพัฒนำคุณภำพของผู้เรียน จำนวนไม่น้อยกว่ำ ๒ รำยกำร โดยต้องเป็นงำนวิจัยเก่ียวกับ กำรจดั กำรเรียนกำรสอน อยำ่ งน้อย ๑ รำยกำร ทั้งนี้ ผลงำนทำงวิชำกำรท่ีผู้ขอเสนอ ต้องเป็นผลงำนในช่วงระยะเวลำย้อนหลัง ๕ ปี นับถึงวันที่ย่นคำขอ และต้องไม่เป็นผลงำนทำงวิชำกำรท่ีใช้เป็นส่วนหน่ึงของกำรศึกษำเพ่อรับปริญญำ หรอ ประกำศนียบัตรใด ๆ หรอเป็นผลงำนทำงวิชำกำรที่เคยใช้เพ่อเล่อนตำแหน่งหรอเพ่อให้มีวิทยฐำนะ หรอเล่อน วทิ ยฐำนะมำแลว้ ๒.๒ ผ้ปู ระเมนิ ผอู้ ำนวยกำรสถำนศึกษำในฐำนะผู้บงั คับบญั ชำเป็นผปู้ ระเมิน โดยให้ดำเนินกำร ดงั นี้ ๒.๒.๑ ให้ประเมินผลงำนทเ่ี กดิ จำกกำรปฏิบตั หิ น้ำทีข่ องผูด้ ำรงตำแหนง่ ครูทุกคน ใน สถำนศึกษำ ภำคเรียนละ ๑ ครั้ง โดยภำคเรียนที่ ๑ เป็นกำรประเมินเพ่อให้คำแนะนำและพัฒนำ และ ภำคเรียนที่ ๒ ใหป้ ระเมินภำพรวมทงั้ ปี ๒.๒.๒ ให้ตั้งคณะกรรมกำรจำกข้ำรำชกำรครูและบุคลำกรทำงกำรศึกษำในสถำนศึกษำหรอ นอกสถำนศึกษำ เพ่อตรวจสอบและกลั่นกรองข้อมูลในแบบบันทึกกำรประเมินผลงำนที่เกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำท่ี ตำแหน่งครู และแบบรำยงำนผลงำนที่เกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำท่ี ตำแหน่งครู รำยปีกำรศึกษำ (วฐ.๒) พร้อมทั้ง เสนอควำมเหนประกอบกำรพิจำรณำของผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำ ในกำรประเมินผลงำนท่ีเกิดจำกกำรปฏิบัติ หน้ำที่ ในแตล่ ะปกี ำรศึกษำ ๒.๒.๓ เม่อส้ินปีกำรศึกษำให้พิจำรณำผลกำรประเมินตนเองของผู้ดำรงตำแหน่งครู ทั้ง ๓ ดำ้ น ๑๓ ตวั ชีว้ ัด ตำมแบบบนั ทึกกำรประเมนิ ผลงำนทเ่ี กิดจำกกำรปฏิบตั หิ นำ้ ท่ี ตำแหน่งครู และตำมแบบรำยงำน ผลงำนทเี่ กิดจำกกำรปฏบิ ัตหิ น้ำที่ ตำแหน่งครู รำยปีกำรศึกษำ (วฐ.๒) อย่ำงตอ่ เนอ่ งทุกปีกำรศึกษำ ๒.๒.๔ ให้สรุปผลกำรประเมินให้ผูด้ ำรงตำแหน่งครูทรำบ ปีกำรศึกษำละ ๑ ครั้ง หำกผู้ดำรง ตำแหน่งครู ไม่เหนด้วย ให้เปิดโอกำสได้ปรึกษำและชี้แจง หำกผู้ประเมินพิจำรณำแล้วเหนว่ำถูกต้องตรงตำม ควำมเปน็ จรงิ แล้ว แต่ผดู้ ำรงตำแหน่งครู มีควำมเหนไมส่ อดคล้องกับผู้ประเมิน ให้สถำนศึกษำแจ้งไปยังสำนักงำน เขตพ้นทีก่ ำรศกึ ษำ เพ่อแต่งตง้ั คณะกรรมกำรตรวจสอบผลกำรประเมนิ และเม่อไดข้ อ้ ยุติเป็นประกำรใด ให้ถอเป็น อนั ส้นิ สุด ๒.๒.๕ กรณีกำรประเมินในปีกำรศึกษำใด หำกผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำไม่อำจประเมิน ผลงำนที่เกิดจำกกำรปฏิบัติหน้ำที่ของผู้ดำรงตำแหน่งครู ด้วยเหตุใด ๆ ให้เสนอ กศจ. แต่งต้ังข้ำรำชกำรครูและ บคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำในจงั หวัดน้ันทม่ี ีควำมรู้ ควำมสำมำรถเหมำะสมเปน็ ผปู้ ระเมินแทน ๒.๒.๖ เม่อผู้ดำรงตำแหน่งครูยน่ คำขอมีวทิ ยฐำนะหรอเลอ่ นเปน็ วิทยฐำนะใด ให้เสนอคำขอ ตำมแบบ วฐ.๑ และผู้อำนวยกำรสถำนศึกษำตอ้ งสรุปผลกำรประเมิน ๕ ปีกำรศึกษำย้อนหลังติดต่อกันนบั แตว่ ันท่ี ย่นคำขอตำมแบบ วฐ.๓
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110