ปาฐกถาพิเศษ พันเอกปน่ิ มทุ กุ นั ต์ แสดงในท่ีประชมุ ใหญค่ รุ ุสภา โชคชาตาของเด็ก ทา่ นผฟู้ งั ท่ีเคารพ ประเทศไทยเรามีปรศิ นาค้างเมอื งอยสู่ ามขอ้ คอื อ.ี ยุง. เยา. ได้มีผู้ พยายามแก้กนั มาทกุ ยคุ ทกุ สมยั จนกระทัง่ คนแก้ได้ดบิ ไดด้ ไี ปก็มาก เสียผู้เสียคนและ ล้มหายตายจากไปก็ไม่น้อย อี. ยุง. เยา. ก็ยังคงเป็นปริศนาค้างเมืองอยู่นั่นเอง และก็เลยกลายเป็นทาเลท่ีนักแก้ปริศนาใช้ทามาหากินกันตลอดมาคือถ้าไม่อยากพูดอยาก ทาเรื่องอ่ืนก็หันมาทาพดู เรอื่ งนี้ เป็นมีแงท่ ีจ่ ะพดู จะทารอคอยอยเู่ สมอ อี – คืออีสาน หมายถึงภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยเรา มีปัญหาเก่ียวกับพ้ืนแผ่นดินแห้งแล้ง ผู้คนยากจน เพราะทามาหากินลาบาก เป็นเรื่องท่ี แกไ้ ขได้ยากมากอย่างหนงึ่ ยุง – คือยุงกรงุ เทพฯ ซง่ึ มอี ยจู่ านวนมากมายคอยรบกวนความสาราญใจ ของชาวเมืองมาหลายชั่วอายุคนแล้ว การที่จะกาจัดยุงให้หมดไปก็เป็นปัญหาใหญ่แก้ได้ ยากมาก เยา – คือเยาวชนได้แก่เร่ืองเด็กมีปัญหาที่พวกผู้ใหญ่จะต้องขบคิด มากมายเล่นเอาปวดเศียรเวียนเกลา้ ไปตาม ๆ กนั นอกจากจะเป็นปัญหาวัวพันหลักแล้ว ยงั เปน็ ปญั หางอกได้เสียอีกดว้ ย เลยกลายเป็นเรือ่ งแกใ้ ห้สาเร็จเสรจ็ สิ้นได้ยาก เร่อื งท่ีท่านกรรมการกาหนดให้ผมมาพดู วันนี้ กเ็ ปน็ แขนงหน่ึงของปรศิ นา คา้ งเมืองคือแขนงสุดท้าย เรื่องเยาวชน ฉะน้ันก่อนท่ีจะพูดต่อไปขอเรียนไว้ล่วงหน้าว่า เร่ืองน้ีเป็นเร่ืองงอกได้ ปิดทางน้ีก็ไปปูดทางโน้น ครั้งต้อนทางโน้นก็หนีมาทางน้ี คอื เป็นเร่ืองทไี่ ม่มีใครสามารถพูดให้จบอย่างเกล้ียงเกลาลงได้ในครั้งหนึ่งคร้ังเดียว ถึง จะพูดกันจนเหน่ือยแล้วท่านผู้ฟังก็ยังคงมองเห็นว่าอีกหลายอย่างที่ผู้พูดไม่ได้พูด ซึ่งก็ เป็นความจรงิ จงึ ขอตกลงกนั ไวว้ ่าผมจะพูดเทา่ ทจี่ ะพูดไดใ้ นเวลานเ้ี ทา่ นน้ั
เดก็ ทกุ วนั นมี้ ปี ญั หามากจรงิ หรอื การเตรียมตัวมาพูดวันนี้ ผมมีความลาบากใจอยู่อย่างหน่ึง คือไม่รู้ว่าตน ควรจะพูดเรื่องอะไรของเด็ก จึงจะตรงกับความต้องการของท่านผู้ฟัง อีกประการหน่ึง ยุคน้ีเป็นยุคที่ปัญหาเด็กกาลังเฟืองมาก อะไร ๆ เก่ียวกับเด็กได้มีท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ยกขึ้นมาพูดกันจนพรุนหมดแล้ว เป็นต้นว่าเรื่องเด็กกาพร้า เด็กอนาถา เด็กตาบอด เด็กหูหนวก เด็กพิการ เด็กขาดแคลน เด็กเกเร จนกระท่ังเด็กจิตทราม เด็กปัญญาอ่อน และปัญหาในแง่อื่น ๆ อีกมาก ขณะนี้เองก็กาลังว่าด้วยเด็กภาคอีสาน คือ ฯ พณ ฯ นายกรัฐมนตรีได้มีเมตตาพาเด็กชาวอีสานบ้านนอกมาเที่ยวกรุงเทพฯ และพร้อมกันนี้ ท่านผู้ทรงคุณวุฒิอีกฝ่ายหน่ึงกาลังถกกันเรื่องเด็กเกิดมากเกินไป เรื่องเหล่าน้ีถูกนับ รวมเขา้ เปน็ ปญั หาเดก็ ทง้ั นั้น เมื่อไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรดี ผมก็เลยน่ังตรวจดูทางในหลายเพลา ได้ตั้ง ปัญหาขึ้นเองว่า เหตุใดเด็กทุกวันนี้ จึงมีปัญหาทาให้ผู้ใหญ่ต้องปวดหัวมากเหลือเกิน เด็กในอดีตเป็นอย่างไรบ้าง และอนาคตเล่าเด็กจะเป็นอย่างไร เพราะทุกวันนี้ดูรู้สึกว่า เด็กมีปัญหามากเสียจริง ๆ เด็กตาคา ๆ เลยจะกลายเป็นเครื่องหมายคาถามไปแล้ว เวลาผู้ใหญ่มองไปท่ีตัวเด็กก็เห็นเคร่ืองหมายคาถามเต็มไปหมดทั้งข้างหน้าข้างหลัง กลายเป็นโรคอ่อนเพลยี ละเห่ียใจไปตาม ๆ กนั ถงึ แมเ้ ดก็ เองก็เถอะ เรามองเหน็ ผู้ใหญ่ รู้สึกราคาญเหมือนกัน ปลีกตัวไปให้พ้นหูพ้นตาผู้ใหญ่เสียดูรู้สึกว่า มีความสบายใจมากกว่า และเขากก็ าลงั เดนิ ทางน้ีกันมากขึ้นทุกวนั คือหนผี ใู้ หญ่ ผมเองตรวจดูแล้วเห็นว่า เป็นความจริงที่ว่าปัญหาเก่ียวกับเด็กทุกวันน้ีมี มากกว่าแต่ก่อน แตม่ ใิ ช่หมายความว่ามีมากมายก่ายกองจนเป็นเร่ืองผิดปกติวิสยั ไม่ใช่ อย่างนั้น ปัญหาบางอย่างผมเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาของเด็กสักหน่อย แต่ก็ถูกโละให้เป็น เร่ืองของเด็ก ยกตัวอย่างเช่นเรื่องเด็กเกิดมากข้ึน ถ้าตรองดูด้วยใจเป็นธรรมแล้วก็จะ เห็นว่าไม่ใช่เร่ืองของเด็ก เด็กจะเกิดหรือไม่เกิดมันเป็นเร่ืองของผู้ใหญ่ต่างหากเด็กไม่ เก่ียวเร่ืองอ่ืน ๆ ทานองน้ีก็ยังมีอีกมากเม่ือกะเทาะปัญหาพวกน้ีทิ้งเสียแล้วปัญหาเด็กก็ จะน้อยลง แต่ทั้งน้ีผมก็ยอมรับว่าทุกวันนี้มีปัญหาเด็กมากข้ึนกว่าแต่ก่อนจริง ๆ ที่มาก นน้ั ไม่ใช่มากเพราะเด็กทุกวันน้ีใจบาปหยาบช้ากว่าเด็กสมัยก่อน หามิได้ แต่ปัญหาเด็ก มีมากขน้ึ ด้วยเหตุสามประการ คอื
ประการท่ี ๑ทุกวันนี้ท่าน“ผู้สร้าง”ได้สร้างมนุษย์ข้ึนใส่โลกไว้มากกว่าแต่ ก่อน แต่โอกาสเดียวกันท่านไม่ได้ขยายโลกให้กว้างขวางข้ึนตามส่วนท่ีควรจะเป็น อยา่ งเชน่ ประเทศไทยเรานี้ เมอื่ คนรุ่นเรายังเปน็ เดก็ ๆหรือก่อนพวกเราเกิดนดิ หน่อย คนไทย มีเพียง ๗ – ๘ ล้านคนเท่านั้น แต่เดี๋ยวน้ีจานวนคนได้เพ่ิมข้ึนถึง ๒๕ – ๒๖ ล้านคน เข้าไปแล้ว และยังกาลังทยอยกันมาเกิดอยู่อีกทุกช่ัวโมง จากเวลาที่ผมเริ่มพูดมาจนถึง เวลานี้ก็อาจอุแว้ออกมาคนสองคนแล้วก็ได้ เพราะตามตัวเลขสถิติบอกว่าเด็กเกิดปีละ ประมาณ ๗ – ๘ แสนคน ท่านทั้งหลายโปรดคิดดู จานวนคนในประเทศเพิ่มข้ึนทุกช่ัวโมง แต่ผืน แผ่นดินของประเทศไทยไม่เคยเพ่ิมขึ้นเลยแม้แต่ศอกเดียว พลาดท่ายังหดเข้าเสียอีกด้วย อย่างเช่นปีกลายน้ี ไทยเราถูกแย่งเอาเขาพระวิหารไป แผ่นดินไทยตอนน้ันก็หดเขา้ มาอีก นไ่ี มใ่ ชว่ า่ ผมมายุให้มกี ารเรยี กร้องดินแดงคนื แตต่ อ้ งการชี้ใหเ้ ห็นจดุ ที่ทาใหเ้ กิดปญั หาเด็ก เปรียบอุปมาง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ คิดสมมติว่าเราเล้ียงไก่ไว้จานวนหน่ึง ปรากฏว่าลูกไก่ นั้นเพ่ิมมากข้ึนทุกวัน แต่เล้าไก่ยังคงมีขนาดกว้างยาวเท่าเดิม แล้วมันจะเกิดอะไรข้ึน ท่านผู้ฟังกรุณานึกดู แน่นอนท่ีสุดการที่ไก่เพ่ิมจานวนข้ึนน้ัน ปากที่มันจะกินอาหารก็ มากขึน้ ท้องทีม่ นั จะใส่อาหารกม็ ากขึน้ ตนี ท่ีมันจะค้ยุ เขยี่ อาหารกม็ ากข้นึ อะไร ๆ กม็ ากข้ึน แต่พื้นท่ีจะคุ้ยเข่ียอาหารสิเท่าเดิมก็เป็นของแน่นอนเหลือเกินว่า โอกาสที่มันจะจิกจะตี กันก็มากขึ้นเป็นธรรมดา แต่ถ้ามีเร่ืองวิวาทตบดีกันระหว่างลูกไก่กับลูกไก่ เราก็ไม่ จาเป็นท่จี ะไปประณามวา่ ลกู ไกเ่ ดีย๋ วนีน้ ิสัยไม่ดเี หมือนลกู ไกส่ มัยก่อน เรอ่ื งเดก็ ประพฤติ ในทางไมด่ ีมากข้นึ กเ็ หมือนกัน อาจเนอื่ งมาจากความกดดันเกีย่ วกับคนมากกไ็ ด้ ประการท่ี ๒ผมต้องขออภัยถ้าหากพูดผิดไป คือทุกวันน้ีศิลปศาสตร์ต่าง ๆ เจริญมากเหลือหลาย ความรู้แต่ละเรื่องได้ถูกแยกซอยออกเป็นแขนงเล็กแขนงน้อย อีกมาก ยกตัวอย่างเช่นวิชาหมอ สมัยก่อนหมอคนเดียวรักษาคนไข้ได้หมดท้ังตัว คือ เหมาได้เลย อยา่ งมากกม็ ีแค่หมอยา หมอนวด หมอตาแย แต่มาสมยั น้ีก็แยกออกเป็น หมดประจาอวัยวะต่าง ๆ หรือไม่ก็ประจาโรคต่าง ๆ ดังที่ปรากฎอยู่ทั่วไป เช่น หมอ ตา หมอหู หมอคอ หมอฟัน หมอผิวหนัง หมอประสาท ฯ ล ฯ ทางด้านกฎหมาย ด้านปรัชญา ด้านการศึกษาและการเศรษฐกิจก็เหมือนกันคือแยกวิชาความรู้ออกเป็น แขนงต่าง ๆ มากขนึ้ แตล่ ะแขนงก็มผี ูศ้ ึกษาจนสาเรจ็ แตกฉานหลายท่านหลายคน ทีน้ี แต่ละคนก็เกิดมาสนใจเรอ่ื งเดก็ เหมือนกัน ท่านผู้ฟังโปรดลองคิดดูถ้าสมมตวิ า่ เราเอา เด็กคนหน่ึงมายืนอยู่ท่ีน่ี แล้วก็เชิญท่านผู้ทรงคุณวุฒิแขนงต่าง ๆ สักร้อยท่านมา วเิ คราะหด์ ู ผลกป็ รากฏวา่ เดก็ คนเดียวเกดิ มรี ้อยปญั หา และเมอ่ื ท่านผทู้ รงคุณวฒุ ิรอ้ ย ท่านน้ัน นาเอาปัญหาเด็กที่ท่านวิเคราะห์ได้ไปพูดให้คนอื่นฟัง ท่านละสิบคนเท่านั้น
ปัญหาเด็กก็จะดูเหมือนเป็นเร่ืองใหญ่โตเต็มบ้านเต็มเมือง เล่นเอาผู้ใหญ่ตกอกตกใจไป ตาม ๆ กนั ประการที่ ๓ปัญหาเด็กอาจมากขึ้นอีกทางหน่ึง ผมต้องกราบขออภัย คือโดยเหตุที่ผใู้ หญ่เราพากันคดิ มากไปเอง แต่ท่คี ิดมากกเ็ พราะความรกั เดก็ เป็นหว่ งไม่อยาก ให้เขาต้องประสบความลาบากเหมือนอย่างท่ีพวกเราโดนมาแล้ว หรืออย่างที่พวกเรา เคยพบเคยเห็น พวกเราเป็นพวกเกิดนาน เห็นโลกมามาก หวิดจะตายกันมาคนละ หลาย ๆ ครั้งแล้ว เพราะความเป็นห่วงนี้แหละทาให้เราเกิดความวิตกกังวล เห็นอะไร มนั น่าหวงไปหมด เห็นเดก็ กินขา้ วน้อยก็เป็นห่วงวา่ เดก็ จะอายุสั้น คร้ังเด็กกินขา้ วมากก็ เปน็ หว่ งวา่ เดก็ จะหากนิ ไมพ่ อปากพอทอ้ ง วา่ ทจ่ี รงิ ผูใ้ หญส่ มยั ก่อนกค็ งเกดิ ความร้สู กึ เช่นนี้เหมอื นกัน และผู้ทถี่ กู ทา่ น เปน็ หว่ งก็คอื พวกเราน่เี อง เพราะเราทกุ คนกค็ อื อดีตเด็กด้วยกันทง้ั นน้ั แตส่ มัยกอ่ นโน้น การอภิปรายเร่ืองเด็กไม่เอิกเกริกเหมือนอย่างทุกวันน้ี เพราะยังไม่มีวิทยุกระจายเสียง ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีหอประชุมใหญ่ ไม่มีเครื่องขยายเสียง การอภิปรายเรื่องเด็กจึง กระทากันแค่ในครัวบ้าง ในวงอาหารบ้าง อย่างมากก็แค่ศาลาวัด แล้วท่านพูดมาก ๆ ท่านก็ไม่เรียกว่า “อภิปราย” อย่างพวกเราทุกวันน้ี แต่ท่านเรียกว่า “บ่น” ผู้ท่ีขยัน อภิปรายท่านเรียกว่า “คนขี้บ่น” แทนที่จะอุปโลกน์ตัวเองว่าเป็น “ผู้ทรงคุณวุฒิ” อยา่ งทกุ วนั นี้ บน่ เสรจ็ แลว้ ก็แล้วกนั ไป ไมม่ ีใครบันทึกเสียงบน่ เอาไว้ ไม่มีใครเอาคาบ่นมาพิมพ์แจกพิมพ์ขายอย่างทุกวันนี้ คาบ่นเรื่องเด็กจึงส้ินสุด กันลงเป็นแห่ง ๆ เรื่องของเด็กบ้านไหนก็ยุติลงในภายในบ้านน้ัน แต่มาสมัยน้ีเครื่อง อุปกรณ์ในการบ่นของเราดีมาก เราเลยนิยมกันอย่างกว้างขวางบ่นเป็นการสาธารณะ เร่ืองในบ้านนี้ก็รู้ไปถึงบ้านโน้น เร่ืองเมืองโน้นก็ร้มู าถึงเมืองน้ี พอที่เด็กบ้านนอกจะไม่รู้ เรื่องเด็กบางกอกก็เลยรู้แจ้งเห็นจริงไปหมด ข่าวคราวเรื่องเด็กก็เลยดูหนาหูข้ึนทุกวัน นเี่ ปน็ เหตหุ นึง่ ทท่ี าให้ดรู สู้ กึ ว่าเดก็ สมยั น้มี ีปัญหามากขึน้ ที่พดู มาน้ีผมไม่ได้พุดใหท้ า่ นท้ังหลายชะลา่ ใจในเรอ่ื งเดก็ คอื ผมยอมรบั ว่า ผมเหน็ ด้วยว่าปัญหาเด็กมีมากและเปน็ เรือ่ งจาเป็นที่เราจะตอ้ งชว่ ยกันคิดช่วยกันแก้ แต่ ผมเห็นว่าปัญหาเดก็ ไม่ไดม้ ีมากมายจนเกินไป และไม่ได้หมายความวา่ เด็กทุกวันนี้เป็น คนใจบาปหยาบช้ากว่าเดก็ สมัยก่อนผมไม่เคยคิดอยา่ งนีเ้ ลย ผมม่ันใจตลอดมาว่า เด็กก็ คอื เด็กน่ันเอง ที่น้ีเม่ือนารวบรวมปัญหาเด็กมาดูแล้ว ก็บังเอิญพบว่ามีปัญหาเด็กอยู่อีก เรื่องหน่ึง ยังไม่มีท่านผู้ใดพูดหรือแม้จะพูดกันในวงแคบ ท้ัง ๆ ที่แทบทุกคนสนใจอยู่ มาก นั่นคือเร่ืองโชคชาตาของเด็ก ผมเลยตกลงใจว่าจะพูดเร่ืองนี้ ท่านผู้ฟังจะคิดว่า
เป็นเพียงการผ่อนคลายความเคร่งเครียดในการประชุม หรือจะฟังเอาเป็นปัญหาเร่ือง เด็กจริง ๆ ก็ได้ทั้งนั้น แต่ใจผมเองอยากจะชกั ชวนพวกเรารุน่ ผู้ใหญ่แล้วทุกท่านให้มาริ เป็นหมอดูแมน่ ๆ ดูบา้ ง จะไดไ้ มต่ ้องหนกั แรงในการล้อมคอกเมอื่ ววั หายกันตอ่ ไป โชคชาตาคอื อะไร โชคชาตา หมายถึงเหตุการณ์ดีหรือร้ายอนั เกิดแกช่ ีวติ ของมนุษยเ์ รา เช่น ความยากจน ความมั่งมี ได้รบั ความรักใคร่ ถูกเขาเกลียดชัง สอบได้ สอบตาก มียศ มอี านาจ ติดคุกติดตะราง ฯ ล ฯ เรื่องเหล่าน้ีรวมเรียกว่าโชคชาตา คือหมายความถึง เหตุการณ์ทง้ั ข้างดีข้างร้าย เม่ือตีความหมายคาว่าโชคชาตาอย่างนี้ ปัญหาท่ีว่าโชคชาตามีจริงหรือไม่ก็เป็น อนั หมดไป เพราะใคร ๆ ก็ยอ่ มทราบวา่ เหตุการณ์ดีร้ายเกิดแก่คนเราน้ันมีแน่ เรารู้เรา เหน็ กันอยู่ท่ัวไป อน่ึง โชคชาตานนั้ นอกจากจะมีแก่ตัวบุคคลแล้ว ยังมีได้แก่ครอบครัว หน่วยงาน ตลอดจนถึงประเทศชาติด้วย เรื่องโชคชาตาจึงกลายเป็นเร่ืองใหญ่มาก และเป็นเรื่องท่ีใคร ๆ ดูเบาไม่ได้ ไม่มีใครอยากยากจน แต่คนเราก็ต้องยากจนไปตาม โชคชาตา ไม่มีใครอยากติดคุกแต่หลายคนก็ต้องติดคุกไปตามโชคชาตา ไม่มีใครอยาก หย่าร้างจากคู่ครอง แต่ชายหญิงท่ีจาใจต้องหย่าร้างกันไปตามโชคชาตาก็มีอยู่เสมอ แสดงว่าโชคชาตาไม่ได้เป็นไปตามที่คนเราชอบ หากแต่เป็นไปตามกฎอีกอันหน่ึง ตา่ งหาก จึงเปน็ เร่อื งท่นี ่าศึกษามากทเี ดยี ว หมอดู เมื่อพูดถึงเรื่องโชคชาตาก็ต้องพูดถึงเรื่องหมอดู จะได้หมดสงสัยกันไปที เพราะหมอดูกับเรื่องโชคชาตาดูเหมือนจะพัวพันกันอยู่เสมอ แยกขาดจากกันไม่ได้ เหมือนอย่างโรคภัยไขเ้ จ็บกับหมอยานน่ั เอง เร่ืองมีอยู่ว่า คนเราน้ีอยากจะรู้โชคชาตาของตนล่วงหน้า เพ่ือจะได้ ปรับปรุงแก้ไขหรือเตรียมตัวไว้ เร่ืองของเรื่องก็คือกลัวว่าตนจะเคราะห์ร้าย หรือไม่ก็ กลัวว่าโชคชาตาของตนจะไม่ดีเด่นพอนั่นเอง เหมือนกันคนเดินทางท่ีอยากรู้ระยะทาง ข้างหน้าเอาไว้ ซึ่งก็เป็นวิธีท่ีดีอยู่แต่ก็อย่างว่านั้นแหละ คนอยากรู้โชคชาตาล่วงหน้า นานเท่านาน แต่ธรรมชาติกลับปิดบังโชคชาตาของเขาไว้ ไม่ยอมให้รู้ล่วงหน้าได้เลย แม้แต่ว่าอีกชั่วโมงหนึ่งข้างหน้าน้ี เขาจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ นอกจากจะนึกเดาเอาเอง น่พี ดู ถงึ วิสยั ของสามญั มนุษยท์ วั่ ไป
เมื่อเหตุการณ์เป็นอย่างนี้ ก็มีคนพวกหนึ่งพยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติ ใหไ้ ด้ ได้พยายามรวบรวมสถติ หิ รอื หาวธิ ีตรวจสอบดูโชคชาตาของใคร ๆ คร้ังค้นได้วิธีที่ เหน็ วา่ มีความแมน่ ยาอยบู่ า้ ง กร็ ับบรกิ ารทานายทายทักโชคชาตาใหค้ นอืน่ คนประเภท นี้เรียกกันว่า “หมอดู” แต่ก็แปลกอยู่เหมือนกัน หมอดูบางคนไม่อยากให้คนอ่ืน เรียกว่า “โหร” ซึ่งที่แท้แล้วคาว่า โหร นั้นไม่ได้มีความหมายลึกซ้ึงอะไรเลย นอกจากจะแปลว่าผู้รู้วันคืนเท่าน้ัน ตรงกันข้ามกับคาว่าหมอดู ซ่ึงเป็นคาท่ีประชาชน รอ้ งเรยี กด้วยความนบั ถอื หรือเป็นคาสดุดีเกยี รตคิ อื คาวา่ “หมอ” นี้ ในภาษาไทยเรา ใช้รอ้ งเรียกคนท่ีทาคุณแก่คนอื่นเฉพาะอย่างย่ิงเป็นผ้ชู ่วยแก้ไขความยุ่งยากมืดมนให้เขา อย่างเช่น หมอยา หมอนวด หมอตาแย ดงั กล่าวแล้ว คนท่ีเป็นหมอนั้นตามปกติไม่มี ใครเขารังเกียจ มแี ต่คนเขารกั เวน้ แต่หมอที่ไปทาอะไรเลยเถิดไป อย่างเช่น หมอเสน่ห์ อนั ท่จี ริงก็แสนจะดี เปน็ คนที่โลกนา่ จะขอบคณุ มากทเี ดียว เพราะเป็นผู้ช่วยทาให้คนท่ีไม่น่ารักให้น่ารัก แต่ถ้าหมอเสน่ห์เกิดไปเล่นยาแฝด เข้าด้วยอย่างท่ีเราเรียกว่า “หมอเสน่ห์ยาแฝด” ก็เลยกลายเป็นคนท่ีใคร ๆ ตาหนิไป หรืออย่างหมอความก็เหมือนกัน หมอความ จริง ๆ น้ันเป็นเสมือนพ่อพระของ ประชาชน เพราะช่วยรักษาสิทธิไว้ให้เขา ใคร ๆ ก็ไว้เนื้อเช่ือใจ แต่ถ้าหากหมอความ คนใดบาเพ็ญตัวเป็น “หมอหาความ” เข้า เขาก็กลายเป็นคนที่ใคร ๆ พากัน หวาดระแวง เรื่องอย่างน้ีเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล หมอดูก็เหมือนกัน ถ้าเกิดดูตาม ตาราไม่ทันใจหันไปใช้อุปเท่ห์หมอเดามาก ๆ เข้า คนทั้งหลายเขาก็หัวเราะแยะเอา เทา่ น้ัน แต่อย่างไรเสยี คาวา่ หมอดกู ็ยังเปน็ คาทีไ่ ปเพราะกว่าคาว่าโหรอยู่น่ันเอง ท่พี ูดนี้ โปรดอย่าเข้าใจว่าผมคิดจะหาเสียงจากหมอดู หรือคิดจะรังแกหมอดู ไม่ใช่ทั้งนั้น แต่ อยากจะพูดถึงเรื่องการตรวจโชคชาตาของมนุษย์อันเป็นเป้าหมายของปาฐกถาเรื่องนี้ เท่าน้นั การตรวจโชคชาตาของคนเราเท่าทีม่ อี ยู่ทุกวันนมี้ ากมายหลายวิธเี หลือเกิน แมว้ า่ จะลองต้งั ใจนบั ดูว่ามกี ว่ี ิธีด้วย ก็ยังไม่อาจนับได้ แต่กช็ ่างปะไร ผมไมไ่ ด้ตง้ั ใจทจี่ ะ บรรยายวิชาหมอดู และท่านผู้ฟังทั้งหลายก็คงไม่อยากฟังเร่ืองนั้น เราพูดกันเฉพาะใน หลักการสาคัญ ๆ ก็พอ การตรวจโชคชาตาทุกวันน้ีผมเห็นว่าพอจะสรุปลงได้เป็นสองวิธี เท่าน้ัน คือวิธีทางโลกกับวิธีทางศาสนา วิธีแก้โชคชาตาก็เหมือนกัน มีทางทากันอยู่ สองวธิ เี ท่านั้น
วิธีตรวจโชคชาตาทางโลก วิธีตรวจโชคชาตาทางโลก ผมหมายถึงวิธีท่ีชาวโลกท่ัวไปคิดค้นขึ้น และ นาออกใช้ หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า เราคัดเอาวิธีตรวจโชคชาตาท่ีพระพุทธศาสนาส่ัง สอนไว้ออกต่างหากเสีย นอกจากน้ันจัดเป็นวิธีทางโลกท้ังสิ้น ซ่ึงมีอยู่หลายพวกหลาย วิธดี ว้ ยกัน อาทิเช่น พวกดูดวงชาตา คือ คานวณดูว่าในเวลาที่ผู้ นน้ั เกดิ ดวงดาวสาคัญ ๆ บนท้องฟ้ากาลงั โคจรอยู่ใน ราศใี ด แล้วกจ็ าลองเอาตาแหน่งทด่ี าวโคจรอยู่น้นั ลง ในรูปวงกลม ซึ่งสมมติว่าเป็นรูปจักรวาล แบ่งเป็น สบิ สองราศรี รูปวงกลมนเี้ รยี กว่าดวงชาตา หมอดูตรวจดูตาแหน่งดวงดาวในดวงชาตาแล้ว ก็ทานายทายทักว่าใครจะ มีโชคชาตาเป็นอย่างไรบ้าง หมดดูประเภทน้ีนิยมกันว่าทันสมัยและแม่นยาท่ีสุด แต่ก็ เป็นการยากที่จะรับรองได้ว่ามีความแม่นยาจริงหรือไม่เพียงใด จากการอาศัยตาแหน่ง ดาวเป็นเคร่ืองพยากรณ์นี้ ว่ากันว่าสามารถจะรู้ได้ว่า โชคชาตาของใครจะเป็นอย่างไร ในอนาคต ถ้าเห็นว่าดวงชาตาของใครจะอาภพั ต่อไปภายหนา้ กม็ ีการแนะนาใหท้ าพิธรี ับ ดาวพระเคราะหบ์ า้ ง สง่ ดาวพระเคราะหบ์ ้าง ซึ่งท่านผู้ฟงั ก็คงจะเคยเหน็ มาแล้ว
อีกพวกหนงึ่ หมอดทู กั ษา กาหนดลงไวว้ ่า เกณฑช์ าตาชีวิตของคนเรามอี ยู่ แปดลักษณะ คือ บรวิ าร อายุเดช ศรี มลู ะ อุตสาหะ มนตรี และกาลกิณี และก็เอา วัน เดือน ปีเกิด ของผู้น้ันเข้าไปจับคู่ว่าตกปูมใด แล้วก็ทายไป นอกจากนี้ยังแนะให้ แก้ไขโชคชาตาโดยการตั้งช่ือให้ดี คือให้เว้นอักษรท่ีเป็นกาลกิณีเสีย อย่าให้มีในชื่อ ว่า กันว่าถ้าขืนมีตัวอักษรกาลกิณีอยู่ในช่ือแล้ว ก็จะอาภัพอับวาสนา แต่ว่าก็ว่าเถอะ ช่ือ ตัวผมเองก็มีตัวกาลกิณีนาหน้าเหมือนกัน หมอเคยแนะนาให้แก้โดยเปล่ียนชื่อเสียใหม่ แต่ก็ไม่ได้แก้ ท่ีไม่แก้นั้นก็ไม่ใช่คิดจะดื้อดึงอะไรหรอก แต่คิดว่าจะยอมอุทิศตัวให้เป็น บทเรียนของคนอื่น เป็นการพิสูจน์ว่าคนที่ตัวอักษรกาลกิณีนาหน้าชื่ออย่างน้ี โชค วาสนามันจะไปได้ก่มี ากน้อยเท่าน้นั เอง อกี พวกหน่ึง หมอดูลักษณะครับ คิดดูลกั ษณะเน้อื ตวั ของผนู้ ั้นเองเป็นต้น ว่าดูลายมือ ดูไฝ ดูฝ้า จนกระท่ังผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใช้ดูได้ท้ังน้ัน ใช้ดูว่าคน ลายมือตัดฝ่าจะตายโหง คนนิว้ มือแนบกันสนทิ ตอ่ ไปจะมีเงนิ ดังนี้ เป็นต้น วธิ ีแก้โชค ชาตาก็มตี า่ ง ๆ กัน อยา่ งเช่นผมนเ้ี องหมอดซู ินแสบอกว่าต้องไวห้ นวด ไม่เชน่ นั้นจะหา กินไมพ่ อปากพอท้อง และตอ้ งไวเ้ ล็บนิว้ ก้อยขา้ งขวา ไมเ่ ชน่ นั้นจะตายเร็ว แตแ่ ล้วผมก็ ไม่ไดท้ าท้งั สองอยา่ ง ถา้ ทาตามปานนคี้ งจะหนวดเฟ้มิ ไปแล้ว นอกจากนี้กย็ ังพวกเส่ยี งทาย เช่นเส่ยี งติ้วบา้ ง เขยา่ เซียมซีบา้ ง ทอดเบี้ยบ้าง จนกระท่ังพวกเข้าทรงลงผีแล้วก็ซักถามโชคชาตาของตนจากผีสางเทวดา แล้วยังมีพวก อื่น ๆ อีกมากมายทีเดียว ท่ีนามาเล่านี้ไม่ประสงค์จะสนับสนุนหรือคัดค้านหมอดูชนิด ใด ๆ ท้ังส้ิน เพียงแต่เอามาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น การบางอย่างแม้จะเป็นเร่ืองของผู้ถือ โชคลาง แต่เห็นว่ามีประโยชนก์ ็มี ควรแก่การสนับสนุน ยกตัวอย่าง เช่นการต้ังชอื่ คน ที่หมอดูสอนให้พิถีพิถันในการตั้งช่ือนั้น ผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้ทาให้มีการ ระมัดระวังข้ึน ถ้าตั้งไม่เป็นก็จะได้ไปหาคนที่เขามีภูมิช่วยตั้งให้ ไม่เช่นน้ันก็แย่ เหมือนกัน คือน่าราคาญเวลารอ้ งเรยี กหรอื เขยี นชื่อ อย่างเช่นท่ีผมรู้จกั มีอย่คู รอบครัวหนึ่ง พ่อชื่อ – ทะ ลกู ช่ือ – ท๊ะ เลยปนกันไปหมดเวลาออกช่ือ ต้องบอกด้วยวา่ หมายถงึ คน ลกู หรอื คนพอ่ เรียกทีไรกวนโมโหทกุ ที ไม่ร้วู ่าใครเป็นคนต้ังให้ แล้วก็กานนั ผใู้ หญ่บ้าน
สมภารเจ้าวัดไม่รู้ไปไหนหมด จึงไม่ช่วยกันเปล่ียนช่ือให้ ปล่อยให้ยุ่งอยู่ได้ จนกระท้ัง เฒา่ กระท้ังแก่ น่ีแหละครับ การตรวจแก้โชคชาตาแบบชาวบ้าน ซ่ึงเมื่อสรุปแล้วคือดู โชคชาตาจากส่ิงแวดล้อมตวั จนกระท่ังดาวเดือน และบางทีก็ไปเกณฑ์เอาผสี างเทวดา มาซักถามดูเรื่องเหล่านี้ผมไม่อยากจะคิดในทางตาหนิติเตียน แต่เป็นเร่ืองที่ควรเห็นใจ เพราะคนเราอยากรู้จักโชคชาตาล่วงหน้า แต่เมื่อธรรมชาติไม่ยอมให้เรารู้ได้เอง ท่าน เหล่านั้นก็พยายามท่ีจะเอาชนะธรรมชาติให้ได้ ในทางพระพุทธศาสนาก็นิยมอนาคตังส ญาณคอื การรู้อะไรล่วงหน้า แต่วธิ ีปฏิบัตเิ ท่านั้น ทีแ่ ตกตา่ งออกไป วธิ ตี รวจโชคชาตาทางศาสนา ทางศาสนา ท่านสนใจในเร่ืองโชคชาตาอยู่มากเหมือนกัน ตามปกติพระ พุทธองค์ก็ทรงสอนคนให้รู้จักมองการณ์ไกล เป็นห่วงใยในอนาคตของตนและของ ลูกหลาน บางทีจะย่ิงกว่าท่ีคนเราทั่วไปมีความห่วงใยเสียด้วยซ้า คือทรงสอนให้เป็น ห่วงถึงชวี ิตข้างหน้า แมแ้ ตห่ ลงั จากตายแล้ว และหลงั จากชาติหน้าโนน้ ต่อไปอีก แตใ่ น ท่ีนี้ผมอยากจะตีวงให้แคบเข้า และพูดเจาะเข้าสู่จุดหมายของปาฐกถาวันน้ีเท่านั้นคือ เร่ืองโชคชาตาของเด็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การป้องกันมิให้เด็กของเราตกไปเป็น คนเคราะหร์ ้าย หรอื เป็นคนอาภพั อับโชคในชวี ิตของเขา ก่อนอื่น ขอได้โปรดนึกถึงความจริงอันหนึ่งว่า ชีวิตคนของคนเราแต่ละ คนน้ี ก็เหมือนกับตึกรามบ้านช่องทั่ว ๆ ไปน่ันเอง คือตึกรามบ้านช่องนั้น เมื่อสร้าง ขน้ึ แล้วมนั กจ็ ะต้องรับนา้ หนกั สมั ภาระทีค่ นเอามาบรรจไุ ว้ ตง้ั ต้นแต่รบั น้าหนักตวั มนั เอง รบั น้าหนักคนที่อยู่อาศัย รับน้าหนกั ข้าวของพัสดตุ ่าง ๆ ตลอดจนตอ้ งต้านทานพายุลม ฝนท่ีจะมากระแทกกระทั้น ตึกรามบ้านช่องบางหลังรับน้าหนักได้มาก แต่บางหลังรับ น้าหนักได้เฉพาะตวั เองเท่าน้ันกแ็ ทบแย่ พอถูกบรรทุกด้วยของหนัก หรือถูกระทบแรง ก็โย้เย้ ถึงกบั พังครืนลงจริง ๆ ก็มี ถึงชีวิตของคนเราน้ีก็เหมือนกัน เกิดมาเป็นคนแล้ว ก็ต้องรับน้าหนัก ท่ีเราเรียกว่ารับภาระ อย่างน้อยท่ีสุดก็ภาระในการดารงชีวิตตัวเอง รับภาระท่ีต้องเล้ียงดูครอบครัว รับภาระที่จะต้องปกครองคนอ่ืน รับยศ รับอานาจ รบั หนา้ ที่ รับช่ือเสียง และรบั เร่อื งราวตา่ ง ๆ รอ้ ยแปดพนั ประการเราจะเห็นไดว้ ่า คน บางคนเม่ือชีวิตยังโสดอย่ตู ามลาพังก็อยไู่ ด้ ย้ิมแย้มแจ่มใสวันยังคา่ แต่พอมีครอบครัวเข้า อาการยม้ิ แย้มจะค่อย ๆ หายไป ยงั มีลูกคนที่หนึ่ง คนท่สี อง คนที่สาม และคนต่อๆ ไป สหี น้าท่าทางก็ย่ิงเสียรปู เสยี ทรงไปมาก หน้าท่เี คยเบกิ บานก็บึ้งตึง รมิ ฝีปากที่เคยเผยอ ยิ้มก็เม้มแล้วเม้มอีก ต้องขบกราม ต้องขมวดค้ิว บางคนถึงกับขู่คารามออกมาดัง ๆ เล่นเอาลูกเมียอกส่ันขวัญแขวนไปกม็ ี ทัง้ นี้ท้ังนั้นก็เพราะทนรับน้าหนกั ไมไ่ หว ชีวติ จะพัง
เสียงขู่คารามออกมานั้น ก็เหมือนกับเสียงที่ดังลั่นออกมาจากเรือนโรงท่ีรับน้าหนักเกิน ตวั ก่อนท่มี ันจะพังน่ันเอง เป็นความจริงท่ีว่า คนบางคนรับน้าหนักได้น้อย ถ้าจะให้รับ หน้าท่ีรักษาเงินสักพันสองพันบาทพอจะรักษาได้ ห้าปีสิบปีก็ไม่เป็นไร แต่พอให้รักษา เงินแสนเงินล้านกท็ นไม่ไหว ถงึ กับพังโครมครามลงมาจริง ๆ ก็มีออกบ่อยไป เล่นเอาตารวจ ต้องเท่ียววงิ่ เกบ็ เศษชีวิตสลกั หกั พงั ไป ฝากกรมราชทณั ฑ์ไมเ่ ว้นแตล่ ะปี นา่ สงสารจรงิ ๆ การสรา้ งตกึ รามบา้ นเรอื นนั้น นายช่างเขาจะกะไว้ลว่ งหนา้ วา่ ตรงไหนบ้าง ท่ีจะต้องรับน้าหนัก แล้วเขาก็เตรียมลงรากฐานตรงน้ันไว้อย่างแข็งแรงเป็นพิเศษ งาน สร้างโชคชาตาชีวิตของคนเราก็เหมือนกัน ทางศาสนาท่านคานวณไว้แล้วว่า ชีวิตของ คนเราคนหนึ่ง ๆ น้ีมีจุดที่จะต้องรับน้าหนักสาคัญท่ีสุดอยู่ห้าจุดด้วยกัน คือของหนักท่ี จะมาบรรทุกลงในชีวิตของเราท่ีสาคัญท่ีสุด มีอยู่ห้าอย่างได้แก่ ๑. อานาจ ๒. เศรษฐกิจ ๓. ครอบครัว ๔. เครดิต และ ๕. ปัญหาต่าง ๆ (ซ่ึงต้องใช้สมองและ สติปัญญา) เร่ืองทงั้ ห้านเ้ี ปน็ สมั ภาระทที่ ุก ๆ ชวี ติ จะต้องแบกไว้ จะดีหรือเสียก็อยตู่ รงนี้ ถ้าใครบรรทุกไว้ได้มากก็โชคชาตาดีนัก ถ้าใครบรรทุกไว้ได้น้อยก็อับโชควาสนาและถ้า ใครไม่สามารถรับน้าหนักไวไ้ ดช้ ีวิตกล็ ้มเหลว ท่ีเรียกวา่ ดวงแตก รอยรา้ วท้ังหา้ ก็แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนไหนจะถึงแก่อาภัพอับโชคในอนาคตถึง ขนาดวงรา้ วหรือดวงแตกครองชีวิตตอ่ ไปไม่ไดโ้ ดยราบร่ืนวธิ ีสังเกตก็ตอ้ งดูที่พ้ืนฐานจิตใจ ของเด็กคนนน้ั นั้นเองดูสวิ า่ พ้ืนเพราะฐานชวี ิตของเขาแข็งแรงดีหรอื ไม่ การดูพ้ืนฐานของคน ก็เหมือนกับการดูพื้นฐานตึกเหมือนกัน คือถ้าเรา อยากรู้ว่าตึกหลังไหนพื้นฐานแข็งแรงหรือไม่ เราก็ไม่จาเป็นต้องไปขุดดูราคาดูเข็มที่ใต้ พ้ืนตึกเพียงแต่เราปล่อยให้กาลเวลาผ่านไป กะว่าตึกหลังนั้นมีอายุประมาณสัก ๗ – ๘ ปี แล้วเราก็ตรวจดูรอยร้าวท่ีผนังของมัน ตึกหลังไหนมีรากฐานม่ันคงพอก็ไม่มีรอยร้าว ปรากฏ แต่ถ้าตึกหลังใดรากฐานไม่แข็งแรงพอ ไปโดนช่างที่ไม่มีภูมิ หรือช่างข้ีโกงทา เอาไว้อย่างชุ่ย ๆ รอยร้าวก็จะปรากฏออกมาตามฝาผนังของมัน ตึกหลังใดมีรอยร้าว มากเราก็ไว้ใจไม่ค่อยได้ เพราะไม่รู้ว่ามันจะพังลงมาเม่ือไรเพราะฉะน้ันรอยร้าวปรากฏ ขึ้นที่ฝาผนังตึกหลังใด มันจึงลดราคาตึกหลังน้ันลงโดยลาดับ ฉันใดก็ดี การตรวจดู พนื้ ฐานของคนกค็ ล้าย ๆ กัน คือคอยสังเกตดรู อยร้าวทีอ่ อกมาจากตัวเขา
วธิ ีสังเกตรอยรา้ วของเด็ก ก็ตอ้ งปล่อยให้ชวี ิตของเขาไดผ้ ่านกาลเวลาไป พอสมควรก่อน คอื ให้ชีวติ ของเขาเริม่ รบั น้าหนกั ตามปกตกิ ป็ ระมาณอายุ ๗ – ๘ ขวบ เดก็ จะเรมิ่ แสดงพฤติกรรมอันเปน็ รอยรา้ วออกมาที่สาคญั มีอยหู่ ้าอยา่ ง ดงั ในภาพต่อไปน้ี : รอยร้าวทั้งห้าน้ี ถ้าไม่รีบป้องกันใช้ให้ดีและ ยิ่ง เขาโตขึ้นเท่าไร ก็ย่ิงจะเห็นชัดเจนมากขึ้นเท่าน้ัน และถ้าใครมีรอยร้าวชนิดใดอย่าในจิตใจบ้าง ก็ แสดงออกมาให้เราเห็นหมดทุกอย่าง เม่ือเขามี อายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ ซึ่งคนโบราณเรียกว่า วยั เบญจเพศเพราะฉะน้ันคนโบราณทา่ นจะยกลูก สาวให้ใคร ท่านจึงมักจะรีรอขอเวลาดูไปก่อน จนกว่าพ่อหน่มุ จะมีอายุเลยวัยเบญจเพศแลว้ จะไดร้ ู้ ว่าพ้ื น ฐาน ชีวิต แ ข็ง แ ร ง พ อ ที ่จ ะ เ ลี้ย ง ดู ครอบครัวไดห้ รือไมแ่ ละโชคชาตาจะมน่ั คงเพียงใด เป็นที่น่าสังเกตว่า เด็กคนใดมีรอยร้าวในเร่ืองใด โตขึ้นเขาก็มักจะได้รับ ความลาบากเพราะเร่ืองทานองน้ันเช่นเม่ือยังเด็กมีความโหดร้าย โตขึ้นก็จะต้องโทษ อย่างใดอย่างหนึ่งเพราะความโหดร้ายมุทะลุดุดันของตัวเอง หญิงสาวบางคนไปหลง บูชารอยร้าวของชายหนุ่มก็มี เช่นเห็นชายหนุ่มแสดงนิสัยนักเลงชอบด่าว่าเตะต่อยใครๆ ไม่หวาดกลัว และบางทีก็แสดงกิริยาเช่นนั้นเพื่อป้องกันเธอน่ันเอง และก็เลยเข้าใจว่า เขาเป็นชายชาตรีที่แท้จริง หวังจะฝากชีวิตไว้กับเขาหานึกไม่ว่ากิริยาเช่นนั้นแสดง ออกมาจากพ้ืนฐานจิตใจอันไม่น่าไว้วางใจของเขา ซ่ึงในวันหนึ่งหรือหลาย ๆ วัน ข้างหน้า เธอจะต้องน่ังเอาหัวเข่าเช็ดน้าตา เพราะความโหดร้ายทารุณของเขา อย่างนี้เป็นต้น แม้ชายหนุ่มบางคนท่ีหลงบูชารอยร้าวของหญิงสาวก็มีเหมือนกัน เช่น เห็นแม่สาวคู่รักโกหกพ่อแม่ของตัวเพ่ือคนรัก ก็หลงบูชาว่าน่ันเป็นรักแท้ และหลงรัก เอาสุดหัวใจหานึกเฉลยี วใจไม่ว่าในวันข้างหน้าตนเองจะต้องช้าใจเพราะน้าคาอนั ไม่อยู่ใน ร่องในรอยของเธอ
อำนำจ เศรษฐกจิ ครอบครัว เครดติ ปัญหาต่างๆ รองรับ รองรับ รองรับ รองรับ รองรับ ด้วยศีลข้อทหี่ นึ่ง ด้วยศีลข้อทส่ี อง ด้วยศีลข้อทสี่ ำม ด้วยศีลข้อทสี่ ่ี ด้วยศีลข้อทสี่ ่ี ศลี ห้าขอ้ คอื ขอ้ ที่ ๑. ตง้ั ใจงดเวน้ จากการฆ่ากัน ข้อที่ ๒. ตง้ั ใจงดเวน้ จากการขโมยของกัน ข้อที่ ๓. ตงั้ ใจงดเวน้ การทาชู้ ข้อที่ ๔. ตง้ั ใจงดเวน้ จากการโกหกกัน ข้อที่ ๕. ตั้งใจงดเวน้ จากการส้องเสพของมนึ เมาเสียสติ รวมความแล้วรอยร้าวท้ังห้าที่แสดงออกมาจากตัวเด็กแต่ละคนนี่แหละ เป็นลางบอกให้เราร้โู ชคชาตาของเขาเองวา่ จะเป็นอยา่ งไรในอนาคต วิธแี กโ้ ชคชาตา วิธีแก้โชคชาตาตามทางศาสนาก็คือ มุ่งเข้าไปแก้พ้ืนฐานจิตใจของเด็ก น่ันเอง พระพุทธเจ้ามิได้ทรงสอนให้เราแก้โชคชาตาด้วยการอ้อนวอน หรือบวงสรวง หรือทาอย่างอ่ืนใด อันเป็นการนอกเหนือไปจากตัวของเด็กแต่ละคน และโดยเหตุผล อันเดียวกัน พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญคนท่ีปล่อยชาตาชีวิตไปตามยถากรรม โดยไม่คิด อ่านปรับปรุงแก้ไขได้กล่าวแล้วว่า ชีวิตคนเราจะต้องรับภาระอันหนักหน่วงเพ่ิมข้ึน ตลอดเวลาห้าอย่างด้วยกัน การสร้างซ่อมพื้นฐานของชีวิต ท่านก็มุ่งให้สามารถรับ น้าหนักภาระทั้งห้าน้ันเป็นเบ้ืองแรก วิธีการก็คือสอนให้รักษาศีลห้าข้อ ซ่ึงแต่ละข้อ ท่านวางไวพ้ อเหมาะกับภาระเหล่านี้ ดังน้ี :
ตามท่ีได้ขยายความออกไปนี้ ท่านย่อมจะเห็นได้แล้วว่า การท่ีพระท่าน สอนให้สมาทานศีล และให้รกั ษาศีลนนั้ ก็เพื่อท่ีจะใหผ้ ปู้ ฏิบัติสรา้ งซ่อมพน้ื ฐานชีวิตของ ตนเอง เพ่ือความเป็นคนมีโชคดีนั้นเอง ส่วนเหตุผลท่ีว่าศีลห้าเป็นเคร่ืองรองรับภาระ แห่งชีวติ ประเภทนัน้ ๆ ไว้ไดอ้ ย่างไร จะยกตัวอย่างเพยี งประเด็นแรก สมมติวา่ ถา้ คน ท่ีมีอานาจเป็นคนโหดร้าย ฆ่าฟันใคร ๆ ได้ไม่รู้สึกสะทกสะท้านในใจเลย ผลที่สุดเขา จะเป็นคนอย่างไร แน่นอน อานาจของเขาน่ันเองจะกลับมาเป็นภัยต่อตัวเขาเอง และ ตอ่ คนอืน่ ๆ ด้วย คนมีอานาจแต่ไม่มศี ีลข้อทห่ี นึ่ง ก็เหมือนกับปืนหรือลูกระเบิดท่ีไม่มี สลกั นิรภยั หรือเหมือนกบั ดาบที่ไมม่ ีฝกั อาจเป็นอันตรายแก่ตัวผู้นั้นเองและคนอ่ืน ได้โดยง่าย วธิ ีรบั ศีลและตอ่ ศีล เพราะทางศาสนาท่านเห็นความสาคัญของศีลตามท่ีกล่าวมาแล้วท่านจึง พยายามอานวยความสะดวกแก่ศาสนิกชนในการรับศีล คือให้ทุกคนได้มีโอกาสกล่าว สมาทานศีลได้มากท่สี ุด เราจะสังเกตไดว้ ่า ในพิธีทางศาสนาทุกอย่างทา่ นให้เร่ิมต้นด้วย การรบั ศีลท้ังนนั้ ไมว่ า่ จะฟังเทศน์ ฟังสวดมนต์ หรือทาบญุ สุนทานอย่างไร เป็นต้องมี การให้ศีล และรับศีลประกอบด้วย แต่ก็เป็นท่ีน่าเสียดายท่ีว่า เม่ือพระท่านอานวย ความสะดวกในการรับศีลมากขึ้นศาสนิกชนกลับตีราคาศีลน้อยลง จนถึงกบั จะเข้าใจว่า ศีลเป็นเพียงของแถมพก เพราะส่วนมากเราไม่ได้นิมนต์พระท่านมาให้ศีล แต่นิมนต์ ท่านมาเทศน์ มาสวดมนต์ ท่านก็แถมศีลให้เอง คนทั้งหลายจึงมองข้ามความสาคัญ ของศีลไป แม้ว่าตามเหตุผลแล้วการให้ศีลและรับศีลห้าหกนาทีน้ัน สาคัญย่ิงกว่าการ เทศน์หรือสวดมนต์ตั้งคร่ึงค่อนชั่วโมงเสียด้วยซ้า เมื่อเป็นเช่นน้ีนาน ๆ เข้าการให้ศีล ของพระจึงเข้าลักษณะเป็น “ศีลหว่าน” เสียมาก คือเหมือนกับชาวนาท่ีทานาหว่าน กาข้าวปลูกขึ้นมาแล้วก็หว่านไปไม่กาหนดว่าเมล็ดข้าวปลูกจะไปตกบนก้อนหิน บนกอหญ้า หรือบนท่อนไม้ก็ตาม การทานาหว่านจึงได้ผลน้อยไม่เหมือนพวกทานาดา เขาเลือก เหน็บต้นกล้าลงเฉพาะตรงที่ ๆ มันจะงอกได้จริง ๆ ทุกวันน้ีท่ีศีลห้าไม่สู้จะงอกงาม เหมือนสมัยก่อนก็เพราะพระท่านให้ศีลหว่านนั่นเอง และท่ีท่านจาต้องให้ศีลหว่านก็ เพราะชาวบา้ นเราทาตวั เป็นนาดอน ขดุ ยากไถยากอยสู่ กั หนอ่ ย ในการสร้างซอ่ มพนื้ ฐานทางจติ ใจให้แก่เดก็ ไทยเรานั้น ผมเห็นว่าการฟื้นฟู ระบบการรับศลี และต่อศลี จาเป็นท่สี ุด จึงอยากจะเลา่ เรื่องน้ีให้ทา่ นฟงั พอเปน็ ข้อสงั เกตว่า ประเพณีรับศีลแต่เดิมนั้นทา่ นทากันอยา่ งนี้ คอื การรับศลี ท่านให้ทาเมอ่ื ปฏิญาณตนเป็น พุทธมามกะหรือเป็นอุบาสกอุบาสิกา จุดตรงน้ีแหละที่เรารับศีลของพระศาสนา และ เพราะรับศีลนี้เอง เราจึงได้นามว่าเป็นอุบาสกอุบาสิกา คืออุบาสกอุบาสิกาต้องมีศีล
ครน้ั รับศลี แลว้ กต็ ั้งใจรกั ษาศลี ตลอดมา เรียกวา่ นจิ ศีล ทีนี้ในระหว่างท่ีรักษาอยนู่ ถี้ ้าเรา ไปล่วงละเมิดข้อใดเข้า ศีลข้อนั้นก็ขาด และเม่ือข้อใดขาดก็สมาทานข้อนั้นใหม่ เรียกว่าต่อศีล การต่อศีลนี้เป็นวิธีการปรับปรุงระดับจิตใจที่ดีมาก ที่ต่อนั้นต้องต่อ เฉพาะข้อขาดเท่านน้ั ข้อใดไม่ขาดเรากไ็ ม่ตอ้ งตอ่ เพื่อส่งเสริมการต่อศีลเฉพาะขอ้ ท่ีขาดตามท่ีกล่าวนถี้ ้ามีคนหลายคนขอรับ ศีลพร้อมกันโดยพระผู้ให้ศีลรูปเดียวท่านจึงมีคาอาราธนาพิเศษไว้ว่า “มยังภันเตวิสุง วิ สุงรักขนัตถายะ ติสรเณนสหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ” ซึ่งแปลว่า “พวกข้าพเจ้า ขอรบั ศีลห้า.....โดยวิธี ตา่ งคนต่างรบั ” คาว่า วสิ ุง วสิ ุง น้นั หมายความแต่ละคนศีล ขาดไม่เหมือนกันจึงต่างคนต่างรับ เม่ืออาราธนาศีลแล้วพระท่านก็นาว่าคาสมาทานศีล ไปตามลาดับ ขอ้ ใดท่ศี ีลของเราไมข่ าด เรากฟ็ ังเป็นการตรวจสอบศีลของเรา ในขณะที่ ตรวจสอบน้ัน แม้จะว่าตามพระให้ออกเสียงก็ได้แต่พอไปถึงข้อที่ศีลเราขาด เราก็ สมาทานข้อนน้ั โดยเปลง่ เสียงสมาทาน ทานองเดยี วกบั พระสงฆท์ า่ นรบั ศีลหนเดยี วเมอื่ วันอุปสมบท หลงั จากนั้นมาท่านฟังปาตโิ มกข์ก็ฟังทุกข้อ แต่ถ้าข้อใดท่านละเมิดท่านก็ แสงอาบัติเฉพาะข้อน้ัน การต่อศีลเฉพาะข้อท่ีขาดอย่างน้ีเรียกว่า “ปัจเจกสมาทาน” คือรบั เฉพาะขอ้ ที่ต้องการจะรบั ท่ีพูดนี้ผมไม่ได้คัดค้านหรือลบล้างมติที่ว่า การรับศีลโดยการอาราธนาว่า วสิ งุ วิสุง นั้น หมายถงึ ผู้รับแยกรับเปน็ ขอ้ ๆ เผ่ือว่าข้อใดตนละเมดิ กจ็ ะขาดเฉพาะข้อ นน้ั ข้ออนื่ ยงั อยู่ การอธบิ ายอย่างนี้ก็ถกู อยู่ แตผ่ มเองกย็ งั ไมเ่ หน็ ว่า การสมาทานศีล แบบเผื่อขาดอย่างน้ีจะดีกว่าวิธอี ื่นอย่างไร และไม่รู้เหมือนกันว่า การับศีลแบบนี้ทาให้ จิตใจของผู้รับดีข้ึนได้อย่างไร ถ้าจะบอกว่าเพราะหวงแหนศีลมาก ถ้าศีลขาดบางข้อ กข็ อให้เหลืออยบู่ า้ งจึงรบั อยา่ งน้ี ก็ฟงั ไม่ข้ึนจริง ๆ คล้าย ๆ กบั หนุ่มสาวอ้างว่าตนรักกันมาก จึงเขียนใบหย่าให้กันไว้พร้อมกับการจดทะเบียนสมรส อย่างน้ีใครเล่าจะเห็นว่าเป็น ความรักท่ีแทจ้ ริง ผมเองเช่ือข้างว่า การอาราธนาแบบ วิสุง วิสุง น้ัน ใช้สาหรับการ ต่อศีลข้อที่ขาดสาหรับคนหลายคนต่อจากพระสงฆ์รูปเดียว และถ้าปฏิบัติอย่างนี้จะ เห็นผลในทางจิตใจจริง ๆ ทดลองดูสักเดอื นเดียวก่อนกไ็ ด้ อีกประการหน่ึง การรับศีลน้ันถ้ารู้สึกว่าศีลของเราข้อใดขาด ก็ไม่จาเป็น ท่ีจะต้องรอคอยวันพระ หรือให้มีการสวดมนต์ฟงั เทศน์เสียกอ่ นจึงจะต่อศีล เราอาจไป หาพระสงฆร์ ูปใดรูปหนึ่ง แล้วขอสมาทานศลี จากทา่ นเม่ือไรก็ไดย้ ิ่งรบี เร่งทาไดก้ ย็ ่ิงดี
สรุป ผมขอสรุปวา่ เดก็ ๆ ของเราจะโชคชาตารีร้ายประการใด ย่อมข้นึ อยกู่ ับ พื้นฐานทางจิตใจของเขา และผู้ท่ีจะสร้างซ่อมพ้ืนฐานจิตใจให้เขาก็คือพวกผู้ใหญ่เรา นี่เอง เฉพาะอย่างย่ิง พวกครูบาอาจารย์เห็นจะปฏิเสธไม่ได้ เราน่ีแหละจะเป็นผู้ตอก เข็มลงรากโชคชาตาชีวิตให้เขา แต่ก็ควรทราบว่า ชาตาของช่างตอกเข็มนั้นพอจะเอาดี ไดอ้ ยู่ แตจ่ ะเอาเดน่ ยากอย่สู ักหน่อย คนร้อยคนพันคนท่ีเดินไปตามถนนราชดาเนนิ น้ัน อาจไม่มีสักคนเดียวทีจ่ ะนึกชมชา่ งตอกเข็มใต้อาคารอันใหญโ่ ตเหล่านั้น เพราะส่วนมาก ไปติชมแต่ชา่ งตบแตง่ เหนือพืน้ ดินท่ีเห็นไดง้ า่ ย ๆ และแม้คนเข้าวดั ร้อยคนพันคน กอ็ าจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวท่ีคิดชมรากฐานของตัวโบสถ์วิหาร เพราะมัวชมแต่ช่อฟ้าใบระกาที่ชู สลอนอยู่กลางฟ้าคอยต้อนรับแขก ชาตากรรมของครูเราก็พวกเดียวกับช่างตอกเข็มนั่นแหละ แต่ก็ช่างปะไร เร่ืองของนักบุญก็อย่างน้ีทั้งน้ัน นักบุญย่อมไม่ใฝ่ฝันที่จะให้คนอ่ืนรู้ว่า เวลาน้ีเราอยู่ทไี่ หน แตเ่ ป็นหนา้ ทข่ี องเราที่จะถามหาว่าเขา (ศิษย์)อยู่ที่ไหนในเวลาน้ี. คาบรรยายชุด เร่อื ง ชีวติ วบิ ัติ อบรมทหารทางวทิ ยุกระจายเสยี งกองทพั กบ พ.ศ. ๒๕๐๒
บรรยายคร้งั ที่ ๑ คนอาภัพ1 คนเราลงได้เป็นคนอาภัพแล้ว มันทาอะไรไม่ได้เร่ืองจริงๆ ถ้าจะได้ก็ไปได้ แต่ไอ้เรื่องที่มนั ไมเ่ ป็นเรื่อง พลาดท่ายังถกู เขาหาเรื่องเสียอีก ท้ังๆ ท่ีเราเองก็ไม่รู้เรอ่ื ง เร่ือง ของเรือ่ งกค็ อื ไม่เปน็ เรือ่ งน่ันเอง หมายความว่า คนอาภัพน้ันทาดีไม่ได้ ทาได้ก็ไม่ดี เป็นทหารก็เอาดีไม่ได้ เป็นตารวจก็เอาดีไม่ได้ เป็นพลเรือนก็เอาดีไม่ได้ แล้วจะไปเป็นอะไรอีก แม้จะมีโชคดี จนถึงจะโกนผมโกนค้ิวเข้าบวชในศาสนาแล้ว ก็เอาดีในทางศาสนาได้ สึกออกมาก็ยังไม่ พ้นอีเหละเปะปะ พระรัตนตรัยหลุดลุ่ยแทบจาไม่ได้ก็มี น่ีแหละที่ว่าคนอาภัพแล้วทา อะไรไม่ขึ้นมันแยจ่ รงิ ๆ บางท่านอตุ สา่ หห์ อบมงุ้ เข้าวัดหลงั จะน่ังวิปัสสนา หนีจากโลกอัน อาภัพนี้เสียรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ยังไปไม่รอดอยู่นั่นแหละ หลับตาลงตัวมันก็จะหลับ ลืม ตาขน้ึ ใจมันก็ฟุ้งสร้าน นา่ ราคาญจรงิ อะไรทาให้คนอาภัพ? เป็นปัญหาค้างโลกอีกอย่างหน่ึงเหมือนกัน คือต้อง ขบคดิ กันเร่อื ยไป ไมเ่ หมือนปญั หาทางวิชาการบางอย่าง คนเดียวตอบได้ อีกร้อยพันคนก็ เสร็จธุระไปเอง การค้นหาเหตุที่ทาให้คนอาภัพน้ัน ท้ังทางโลกทางธรรมสนใจทั้งนั้น แต่ เมื่อต่างคนต่างค้น ก็เลยต่างคนต่างเจอ เมื่อต่างคนต่างเจอก็เลยต่างคนต่างแก้ ตรงนี้ แหละเป็นเรื่องท่ีผู้สนใจในโชคชาตาของตน และของคนอ่ืน ควรจะศึกษาให้ถ่องแท้ วันนี้ และอีกหลายวันต่อไป ข้าพเจ้าก็จะช่วยแก้ตรงปมนี้ ตีเสียว่าเรามานวดเส้นนวดสายกัน เสียที จะได้หนคี วามอาภพั ไดค้ ลอ่ งๆ ว่าทางโลกเสียก่อน การแก้อาภัพแบบทางโลกนนั้ มักจะใช้แบบ “หาเรื่อง” ท่วี ่า “ทางโลกๆ” น้ี โปรดเข้าใจว่า หมายถึงชาวโลกท่ัวไปที่นิยมทากนั เป็นลัทธนิ อกคา สอนของพระพทุ ธศาสนา ที่ว่าชาวโลดชอบใช้ วิธีหาเรื่องก็คอื ว่า เมื่อตนรูส้ กึ ว่าอาภัพอับโชค ก็คิดส่ายออกนอกตัวไปหาเรื่องเอากับสิ่งต่างๆ ว่ามาทาให้ตัวอาภัพ เช่นบางคนคิดว่า ท่ดี ินท่ปี ลกู บ้านเรอื นอยู่มีส่ิงเสนยี ดจญั ไรแอบแฝงอยู่ บางคนกห็ าวา่ บ้านเรอื นปลกู ไม่ถูก ฤกษ์ถกู ทิศ ไม่เช่นนั้นก็โทษเสา โทษคาน โทษตง โทษชนิดไม้ แลว้ แต่จะวา่ ไป ว่าเท่าไรก็ ถกู เท่านั้นเพราะที่ดินบา้ นเรอื งเหล่านั้น ไมเ่ คยทจ่ี ะตอ่ ลอ้ ต่อเถยี งคนว่าเลยแมแ้ ต่คาเดียว บางคนไประแวงจนกระทั่งจานวนลูกหมาลูกแมวว่ากันว่า ถ้าแมวออกลูกห้า หมา ออกลูกหก เจ้าของจะแย่ ดังนี้เป็นต้น บางคนโทษกระท่ังผีสางนางไม้ เทวดาอารักษ์ และอ่ืนๆ อีกเยอะแยะ รวมความว่า ตัวอาภัพคนเดียวเที่ยวโทษใครๆ ท่ัวจักรวาล ดูๆ ก็ 1สานวนโวหารในเรื่องนี้ เป็นการพดู ปากเปล่ากับพลทหาร
น่าขา ดูๆ ก็น่าติ ลูกหมาลูกแมวมันจะไปสาคัญกว่าลูกคนได้อย่างไร พวกผู้ชายไปเท่ียว หยอดลกู ไว้ท่ีโนน่ ท่ี สองแมส่ ามแม่ น่ันต่างหากเลา่ น่าวิตกกว่า บางคนนึกย้อนเข้าหาตัว เหมือนกัน แต่มักจะนึกไม่ถูกตัวจริงๆ มันเฉียดไปเสียหมด เช่นนึกว่า ชื่อตัวเป็นกาลกิณี ตวั จึงอาภพั ดังนี้เป็นตน้ คือ นกึ วา่ ตัวอาตมาดีนักดีหนาอยแู่ ล้ว แตช่ อื่ มันไม่ดี นกึ อย่างนี้ก็ ตาหนิพ่อแม่ของตัวเองที่ตั้งช่ือไม่ดีให้ ซ่ึงความจริงนั้น ในโลกนี้ยังไม่มีมนุษย์คนใดท่ีติด คุกเพราะชื่อตัวหรือเจ็บป่วยล้มตายเพราะชื่อตัว และที่มีความผิดฐานตั้งช่ือไม่ดี จึงตก นรกอเวจี ก็ยังไม่เคยมีเลย พวกที่ไปตกระกาลาบากเอามากมายน้ัน เห็นมีแต่พวกท่ีไม่ รักษาช่ือท่ี พ่อ แม่ ครูอาจารย์ ต้ังให้ ไปสร้างช่ือให้ตัวเองว่าเป็นไอ้โจรไอ้เสือไอ้ขี้เหล้าขี้ ยา เท่านน้ั ชาวโลกเห็นเหตุแห่งความอาภัพอย่างน้ี วีแก้ความอาภัพตามแบบโลกจึง มุ่งออกไปข้างนอก คือไปแก้ข้างนอก ดูเหมือนว่าใครสามารถขุดค้นออกไปได้ไกลตัว เท่าไรก็ยังเป็นท่ีนิยมมากเท่าน้ัน เช่นหมอดูคนอ่ืนๆ เขาเล่นดาวเพียง ๙ ดวง คือ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู พระเกตุ คานวณดาวได้แค่น้ีก็ว่าดีนักหนาแล้ว แต่ถ้าใครบอกออกมาว่า ดาวพระเคราะห์เก้าองค์ น้นี ะ่ มันดาวข้างบ้านทงั้ น้ัน ที่จริงยงั มดี าวอกี ๓ – ๔ ดวง ท่ีห่างตัวจากโลดออกไปอกี ๒ – ๓ ลา้ นไมล์ มอี ิทธพิ ลมากเหลอื เกิน คนทหี ลงั นี้จะต้องไดร้ ับความนิยมมากกว่าคนอนื่ ๆ อันทจี่ ริงก็คือว่าสามารถไปหาเรอ่ื งเอากบั ดาวที่อย่หู า่ งไกลได้มากทสี่ ดุ นนั่ เอง วบิ ตั ิ ๔ ในทางศาสนา พระพทุ ธเจา้ ก็ทรงเป็นโลกวทิ ู คอื ทรงรู้แจง้ เรอ่ื งสตั ว์โลกโชค ชาตาราศขี องใครจะเปน็ อยา่ งไร เพราะอะไร พระองค์ทรงทราบ ความอาภัพของคนเรานี้ พระองคก์ ท็ รงรบั รองวา่ มจี ริง เป็นความจริง ไมใ่ ช่ ชาวโลกกลวั กันไปลมๆ แล้งๆ บางคนอาภัพจนทาความดีไม่ได้ บางคนอาภพั ถงึ ขน้ั ไมไ่ ดท้ าความดี บางคนอาภัพถึงขนาดไมม่ บี า้ นเรือนอยู่ บางคนอาภัพขนาดอยูบ่ า้ นเรือนของตนไมไ่ ด้ บางคนอาภัพแม้แตอ่ าศัยคนอน่ื อยูก่ ไ็ มไ่ ด้ บางคนอาภัพจนอยู่บนแผนดินก็ไม่ได้ บางคนอาภพั จนแมแ้ ตพ่ ระกไ็ ม่โปรด
บางคนอาภัพถึงขนาดไม่อาจบรรลุสวรรค์นพิ พานไดเ้ ลย บางคนอาภพั หาคนรักไมไ่ ด้ บางคนอาภพั ถึงข้นึ ผู้คนเกลยี ดทงั้ แผน่ ดิน เรอื่ งเหลานี้เปน็ โชคชาตาของมนุษย์ เป็นของมไี ด้จริง พระรับรอง ตวั อย่าง ก็อยู่ถมไป เราอาจพูดได้ว่าความคิดเห็นหรือทรรศนะของทางศาสนาตรงกันกับชาวโลก และอาจพูดได้ว่า ทางศาสนามองโชคชาตาของชาวมนุษย์ละเอียดลึกซึ้งว่าชาวโลกมากนัก อย่างเช่นหมอดูบ้านเราทายกันแต่ว่า คนน้ันคนนี้จะร้อนท่ีนั่ง พลัดที่นาคาที่อยู่ แต่ทาง พระท่านว่าถงึ ว่า คนๆ นน้ั จะอาภพั ขนาดไม่มแี มแ้ ต่สคุ ติโลกที่จะไปเกดิ เสยี ดว้ ยซา้ อยา่ ง นีเ้ ป็นต้น ท่ีแตกแต่งกันมากระหว่างทรรศนะ ของชาวโลกกับพระพุทธศาสนา คือ เรื่องมูลเหตุท่ีทาให้คนอาภัพอับวาสนา ในเม่ือชาวโลกเพ่งมองไปที่ส่ิงนอกตัว ศาสนา กลับสอนว่า มูลเหตุแห่งความอาภัพนั้น ท่ีสาคัญที่สดุ รากเหง้าเค้ามูลมันอยู่ในตัวของเรา นเี่ อง และท่วี า่ ในตัวๆ นี้ คืออยู่ภายในของตวั จริงๆ ไมใ่ ช่แค่มูลแมลงวนั ตามผิวหนัง หรือ แค่รอยย่นของหนังฝ่ามือ แต่หากเกี่ยวด้วยพฤติกรรมของตัว และนิสัยจิตใจของผู้นั้น จริงๆ มลู เหตุท่ีว่าน้ี ท่านเรียกวา่ “วิบัต”ิ มอี ยู่ส่อี ยา่ ง คอื 2 ๑. ศีลวิบัติ ศลี เสีย ๒. อาจารวิบตั ิ ความประพฤติเสยี ๓. ทฐิ วิ ิบตั ิ ทฐิ ิเสีย และ ๔.อาชีววิบัติ อาชพี เสยี ก่อนที่จะขยายความของแต่ละข้อ โปรดสังเกตด้วยว่า เร่ืองท่ีจะทาให้ คนเราตกตา่ อาภัพอบั โชค จนถึง เสียผู้เสียคน ตกนรกอเวจี ทางศาสนาระบุไว้ในที่ต่างๆ อีกมากมายหลาย อย่าง เช่นการคบมิตรชั่ว การอยู่ในอัปปฏิรูปเทส (สถานที่อันไม่สมควร) และอื่นๆ แต่ เม่ือดูในวิบัติส่ีแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องเหล่าน้ัน ข้อนี้โปรดทราบว่า วิบัติสี่อย่างนี้ เป็น รากเหง้าเค้ามูลของเครื่องเหล่านั้นอีกทีหน่ึง หมายความว่า ถ้ามีส่ีอย่างน้ีในตัวแล้วไอ้ พวกนั้นมันตามมาเอง เช่น พอเรามีอาจารวบิ ัติแลว้ พวกสุรานารีและมิตรช่ัวท้ังปวงมันก็ รุมกันมาเอง จะว่าอะไรมี นรกอเวจีมันก็งอกออกมาจากน่ีท้ังนั้น เหล้าฝ่ิน กัญชา 2(๑) จากพระไตรปิฎก จลุ วรรค ภาค ๑
เฮโรอนี มนั ก็งอกไปจากนี่ เหมอื นหน้าต่างบ้านไม่ปดิ เปิดอา้ ซา่ ไว้ แดดกส็ อ่ ง ฝนกส็ าด ข้ี ฝุ่นก็เข้า ขโมยก็เข้า แมลงหวี่แมลงวันก็เข้าได้ทั้งน้ัน ปัญหาสาคัญมันยู่ที่หน้าต่างบ้าน ฉันใดก็ดี วิบัติส่ีก็ฉันนั้น คือท่านชี้จุดสาคัญๆ ท่ีจะชักนาความวิบัติร้อยแปดมาสู่ตัวเรา ซึ่งเม่ือรวมแลว้ มยี สู่ จี่ ุด จุดไหนจะนาไปสคู่ วามอาภพั อยา่ งไรแคไ่ หนจะได้แยกอธบิ ายเป็น เร่ืองๆ ไปตอนน้ีโปรดเก็บเอาสาระสาคัญไว้แต่เพียงว่าเรื่องความอาภัพอัพวาสนาของ คนเรานนั้ พระพทุ ธองค์ทรงชวี้ า่ มาจากจุดสาคญั สจ่ี ุด คือ: ๑. ศีล ๒. อนาจาร ๓. ทฐิ ิ ๔. อาชพี จะแก้อาภัพก็แก้ที่ส่ีจุดน้ีจงึ จะหายอาภพั อีกเรื่องหน่ึงคอื ความหมายของคาว่าวิบตั ิ นา่ จะ พูดรมรวมๆ ไว้ก่อนเวลาไปถึงข้อนั้นๆ จะได้ไม่ต้องพูดอีกคาว่า วิบัติๆ ซึ่งติดอยู่ในคาว่า ศีลวบิ ตั ิ อาจารวบิ ตั ทิ ิฐิวิบตั ิอาชวี วบิ ัติ น้ันมีความหมายแคไ่ หน คาว่า “วิบัติ” นั้นแปลวา่ เสียคือเสียหายใช้การไม่ได้ข้าพเจา้ เองก็จาคาพูด ไม่รจู้ ะอธบิ ายอยา่ งไรเพราะเสียมนั กม็ ีหลายชน้ั หลายขนาดและหลายแห่ง อย่างเชน่ บา้ น เรา ฝาผุมันกย็ ังเป็นบ้านหลังคาร่ัวมันกย็ ังเป็นบ้านบนั ไดหักมันกย็ ังเป็นบ้านคือมนั เสยี หาย เหมือนกันแต่ว่าเสียขนาดพอเป็นบ้านได้ตามความเข้าใจของข้าพเจ้าเสียอย่างที่เรียกว่า วิบัติน้ันหมายถึงเสียท่ีเป็นต้นตอของความเสียหายอ่ืนๆคือเสียทีรากฐานพ้ืนเพถ้าลงได้ เสียอย่างนั้นแล้วไปทาอะไรก็เสียหมด ไปเก่ียวข้องกับอะไรเข้าสิ่งน้ันก็พลอยเสียไปตาม เหมือนอย่างปลาเน่า เน้ือเน่าความเสียมันอยู่ท่ีในเน้ือในปลานั้นแล้วเอาไปผัดมันก็เสีย เอาไปแกงมันก็เสียใส่น้าใส่ผักก็เสียน้าเสียผักกินเข้าไปก็เสียท้องได้แต่กล่ินก็เสียใจไอ้ท่ี เสียท้ังหมดน้ีมันมาจากตัวปลาหรือช้ินเนื้อมันเสียทั้งนั้นอย่างนี้ถ้าจะเหยาะบาลีเถื่อนก็ จะตอ้ งเรยี กวา่ “ปลาวบิ ัติ–เนือ้ วบิ ัต”ิ ส่วนเสยี ขนาดเสยี กลนิ่ เสียรสน้ันไม่ถึงขนั้ วบิ ัติ ถ้าเทียบกับความเสียหายของบ้านเรือนก็ไม่ใช่แต่ฝาโหว่ หลังคาร่ัว หรือบ้านรกแต่หมายถึงตัวไม้ที่ประกอบกันเป็นบ้านเรือนนั้นมันผุเสียแล้ว ไมท้ ่เี น้อื ผุแลว้ นนั้ มันจะเป็นสว่ นใดของบ้านกไ็ มด่ ีทัง้ นัน้ แหละ
ความวิบัติในตัวคนเราก็เหมือนกันหมายถึงเสียท่ีต้นตอเสียอย่างเนื้อปลา มันเน่าเสียอย่างเนื้อไม้มันผุ อยา่ งท่ีว่ามันแลว้ และโปรดสังเกตไว้ด้วยว่าคนเราถ้าได้ลงมี วบิ ัติสี่อย่างน้ีในตัวแลว้ ไปทาอะไรเขา้ กเ็ สียคือนอกจากตวั จะเสียแล้วยังทาให้งานให้คนท่ี ไปเกี่ยวข้องนัน้ เสยี ไปด้วย เป็นเพ่ือนใครก็ทาใหเ้ พอ่ื นเสียคน เปน็ คคู่ รองของใครก็ทาใหค้ นนั้นเสียใจ เปน็ ผูร้ บั ผดิ ชอบหน้าท่ใี ดหน้าทีน่ ัน้ กเ็ สยี หาย คือมันเสียกนิ แถวไปหมดอย่างกะปลาเนา่ เนือ้ เนา่ ท่ีว่ามาแลว้ นั่นเอง เป็นท่ีน่าสังเกตว่าการเลือกคนเพ่ือเข้าประจาตาแหน่งงานต่างๆนั้นน่าจะ พิจารณาด้วยว่าในตวั ของผนู้ นั้ มีเชอ้ื วบิ ตั สิ อี่ ย่างน้ีอยู่หรือไม่มีมากหรือน้อยเท่าไร การ เลือกคนเฉพาะด้านวิชาความรู้นั้นก็ดีอยู่แต่ว่าอาจพลาดได้เหมือนเราเลือกแต่พริกหอม กระเทียมไมไ่ ดด้ ูวา่ ปลาท่ีจะแกงเน่าหรอื ไม่นั่นเองเพราะคนวบิ ัตแิ ล้วถงึ จะไปได้งานดๆี ก็ ไปทาให้งานเขาเสียไปได้ตาแหน่งดีๆ ก็ไปทาให้ตาแหน่งเขาเสียต้องระวังให้มากระวังย่ิง กวา่ ทจี่ ะเอาปลาเนา่ เน่าใส่ลงในหมอ้ แกงสักร้อยเท่าจงึ จะพอ ต่อไปน้ีจะอธิบายวิบัติสี่อย่างนั้นโดยอธิบายไปตามลาดับข้อแล ะ อธิบายแบบคยุ สกู่ นั ฟังไมใ่ ช่แต่งตารา. วิบตั ขิ ้อที่ ๑ ศลี วบิ ัติ “ศีลวบิ ตั ิ” แปลวา่ “ศลี เสยี ” จงึ จะตรงกบั ความหมายแท้ ถ้าแปลวา่ “เสีย ศีล” ดูรู้สกึ นา้ หนักจะเบาไปคอื ถ้าบอกวา่ เสียศีล ทาให้นกึ ถึงศีลขาด ซ่ึงเป็นเรื่องธรรมดา สาหรับคนมีกิเลสทั่วไปกย็ อ่ มขาดบ้างดีบา้ ง ขาดแลว้ ก็ต่อใหม่แต่ท่ที ่านหมายความถึงศีล ในตัวมันเสยี หายปนุ ป้ี ศีลใชไ้ มไ่ ด้หรอื ไมม่ ีดอี ะไรเป็นชนิ้ เปน็ อัน ความจริงเร่ืองศีลนี้ข้าพเจา้ พูดมามากแล้วเขียนไว้ก็มาก ไมอ่ ยากจะพูดอีก แต่จะข้ามไปเสียกไ็ ม่ค่อยสบายใจเพราะเปน็ หว่ งพวกคุณหนุ่มๆ สาวๆ เพราะคนหนมุ่ คน สาวน้ันมักจะเป็นคนอาภัพอยู่อย่างหน่ึงคือเขาไม่ค่อยถึงธรรมะใครจะพูดก็ไม่ค่อยได้ฟัง
ใครเขียนกไ็ มค่ ่อยได้อา่ นเรอ่ื งของเร่ืองเพราะ “ติดหนุ่ม–ติดสาว” ถา้ บังเอิญใครไมไ่ ด้เคย อ่านเคยฟังเรื่องราวของศีลอย่างละเอียด (เช่นในคาบรรยายพุทธศาสตร์ฉบับฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ) มาก่อนแล้วมาอ่านเรื่องศีลวิบัติที่นี่ก็จะขาดความเช่ือม่ันไม่เห็น ความสาคัญของศีลวิบัติ คือจะไปนึกเอาแต่ว่าแม้จะเสียศีลก็แค่มีบาป แม้จะบาปก็ไม่มี ใครมองเห็นจะไปยุ่งหน่อยก็ตอนเจอยมบาลแต่ก็ช่างปะไรว่ิงเต้นประจบยมบาลหน่อยก็ รอดตัวไปเองคิดอย่างน้ีเรียกว่าคิดไกลออกนอกตัวแทนที่จะกลัวบาปกรรมกลับไปกลัว ยมบาลเหมือนกับคนที่กล้ากินอาหารสกปรกแทนท่ีกลัวเช้ืออหิวาตกโรค กลับไปกลัว สัปเหร่อคิดจะไปประจบเอากับสัปเหร่อจะได้ประโยชน์อะไรเพราะสัปเหร่อแกไม่ใช่คน ทาให้เราตายแตเ่ ป็นคนคอยเผาเราตอนตายแลว้ เท่านัน้ เอง คาว่า “ศีล” ท่ีเรากาลังพูดอยู่น้ีแปลว่า “ความปกติ” ตอนน้ีอย่าพ่ึงนึกถึง ศีลห้า ศลี แปด หรอื ศีลสิบ ศลี พระศลี เณรยกไว้ก่อนขอใหน้ ึกเอาง่ายๆ ว่า ของทุกสิ่งทุก อยา่ งมันมพี ้นื แล้วก็ต้งั อยบู่ นพืน้ อะไรไม่มีพื้นอย่ไู มไ่ ด้ แก้วนา้ วางอย่บู นโตะ๊ โตะ๊ วางอย่บู น พ้ืนบ้านบ้านวางอยู่บนพื้นดินต้นไม้ทุกต้นก็งอกขึ้นจากพ้ืนดิน แม้พวกกล้วยไม้หรือ กาฝากที่เกาะต้นอ่ืนก็เอาต้นท่ีมันเกาะเป็นพ้ืนแล้วต้นน้ันก็เกิดข้ึนบนพื้นดินอีกทีน้ีพื้น ของแต่ละส่ิงหลายอย่างนั้นมันมีชื่อต่างๆกันแล้วแต่ลักษณะของสิ่งน้ันเช่นพื้นดินพื้นน้า พื้นนภากาศพ้นื โลกดังน้เี ปน็ ตน้ ส่วนพื้นของคนเราไม่ใช่สถานที่และสิ่งของอย่างน้ันมันเป็นภาวะหน่ึงคือ “ความปกต”ิ ตัวความปกติน่นั แหละคือพื้นคน ในทางชีวิตร่างกายขอให้คิดง่ายๆ แค่ว่าการที่ตัวเราเองมีชีวิตอยู่ได้ ก็เพราะร่างกายของเราเป็นปกติเช่นจมูกหายใจเป็นปกติกระเพาะอาหาร ย่อยอาหารเป็นปกติกินได้นอนได้ตามปกติถ้าทุกส่ิงทุกอย่างในตัวเรามี ความเป็นปกติภาพดีอยู่ชีวิตของเราก็ยังดารงอยู่ได้ น่ีแหละที่ว่าชีวิตตั้งอยู่ บนพื้นฐานคือความปกติ ที่น้ีในทางความเจริญของชีวิตก็เหมือนกันความเป็นสามีความเป็นภรรยา ความเป็นครูบาอาจารย์ความเป็นเจ้าคนนายคนเป็นนายร้อยนายพันนายพลจนกระท่ัง ความเปน็ พระสงฆ์เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคณุ และเป็นอะไรดีๆ ทกุ อย่างย่อมต้ังขึ้นจากความปกติ ของผู้นั้นท้ังน้ันคือสติก็ปกติ–ไม่สติวิปลาสจริตก็ปกติ–ไม่วิกลจริตประสาทก็ปกติไม่ใช่ ประสาทพิการจนกระท่ังความประพฤติและนิสัยใจคอก็ปกติดีพอสมควรจึงจะเป็นอะไร กับเขาได้ ที่น่ีคาวา่ “ปกติๆ” น้นั เวลาพูดเป็นภาษาบาลซี ง่ึ เปน็ ภาษาทางศาสนาทา่ น เรียกส้ันๆ ว่า “ศีล” เพียงเท่านี้เราก็จาหลักได้แล้ว เห็นได้ตรงจุดทีเดียวที่ว่า “ศีลวิบัติ”
ก็หมายถึงว่า “พื้นเสยี ” ตรงตัวเลยทเี ดียวก็เมื่อพน้ื มันเสียแลว้ มันจะไมว่ ิบัตอิ ยา่ งไรโปรด คดิ ดเู อง ต่อไปนี้เราพูดกันถึงเรื่องศีล ตามท่ีเรารู้กันท่ัวไปว่าศีลมีอยู่หลายระดับคือ ศีลหา้ ศีลแปด ศลี สิบ และศีลสองร้อยยี่สบิ เจ็ด ทนี ี้ทีว่ ่าศีลวิบัติๆ นน้ั เอาศลี ระดบั ไหน? ข้อนี้ตอบไม่ยากคือ ศีลแต่ละระดับก็เป็นพื้นของคนแต่ละระดับ พูดง่ายๆ คอื พนื้ ใครพ้นื มัน ภิกษภุ าวะ (ความเปน็ ภิกษ)ุ ต้ังอยู่บนศลี ๒๒๗, ศลี ๒๒๗ จึงเป็นพน้ื ของภิกษุ สามเณรภาวะ (ความเป็นสามเณร) ตั้งอยูบ่ นศีล ๑๐, ศีล ๑๐จึงถอื เป็นพื้น ของสามเณร อุโปสถิกภาวะ (คือความเป็นผู้รักษาอุโบสถ) ตั้งอยู่บนศีล ๘, ศีล ๘ จึงเป็น พ้นื ของคนประเภทน้ี มนสุ สภาวะ (ความเปน็ มนุษย์) ตั้งอยบู่ นศีล๕, ศลี ๕ จึงเป็นพนื้ ของมนุษย์ รวมความว่าพระก็ต้ังอยู่บนศีลพระ เณรก็ตั้งอยู่บนศีลเณร อุบาสกก็ต้อง อย่บู นศลี ของอุบาสกคนก็ต้องอย่บู นศีลคน คณุ จาพวกไหนกต็ ง้ั อยู่บนศลี ของคนประเภท นน้ั แล้วก็ซ้อนๆ กันข้ึนไปเหมือนแก้ววางบนโต๊ะๆ วางบนบ้านๆ วางบนพื้นดินอย่างท่ีว่า มาแล้ว หรือถ้าจะเขียนในรูปให้ถกู กบั ความหมายก็คงจะเป็นเหมอื นรปู ภาพซ้อนกันข้นึ สี่ ใบ ทั้งนี้แสดงให้เห็นชัดๆ ว่าถ้าศีล ๒๒๗ วิบัติแล้วความเป็นพระก็ต้ังอยู่ไม่ได้ ถ้าศีล ๘ เสียทั้งความเป็นพระความเป็นสามเณรและความเป็นผู้รักษาอุโบสถก็ตั้งอยู่ ไม่ไดถ้ ้าศีล ๕ เสียความเป็นผู้เป็นคนก็หมดและเม่ือลงได้เลิกเป็นคนแล้วที่จะเป็นอะไรๆ ข้างบนนนั้ ก็เปน็ ไปไม่ไดอ้ ยู่น่ันเอง ที่พูดโยงไปโยงมานี้ต้องการตอบคาถามนิดเดียวท่ีว่า ศีลวิบัติหมายถึงเอา ศลี ระดับไหนซง่ึ ก็ไดค้ าตอบว่าใครจะเป็นอะไรก็หมายถึงศีลทเ่ี ปน็ พน้ื ของผู้น้ันแตท่ ีส่ าคัญ ท่ีสุดคือศีลห้าเพราะถ้าลงได้ศีลห้าวิบัติแล้ว ศีลอ่ืนก็พังไปตามๆ กันหมดเหมือนแผ่นดิน ถล่มเสียแล้วบ้านช่องตู้โต๊ะถ้วยชามรามไหบนบ้านน้ันมันก็ทลายหมดอยู่เองฉะนั้นควร สนใจในศลี หา้ กอ่ น ศีลห้าขอ้ ที่ ๑
(เจตนางดเว้นจากการฆ่า) พ้ืนของมนุษย์ต่างจากพ้ืนของสัตว์เดียรัจฉานในลาดับแรกที่สุดคือความ เมตตากรณุ า สัตว์เดียรัจฉานโดยท่ัวไปมีความโหดร้ายเป็นพ้ืนมีขนหยาบหนังหนา เล็บ ยาว เขี้ยวแหลมและย้ิมไม่เป็นแสดงว่าพื้นใจของมันโหดร้ายหรืออย่างน้อยก็กรุณาต่อ สัตว์อนื่ ไมเ่ ปน็ จะมีบ้างก็น้อยเต็มทีจนไม่นับวา่ มี วนมนุษย์เรานี้มีความเมตตากรุณาเป็นพ้ืนคือรู้สึกรัก รู้จักสงสารเน้ือตัว ของคนก็ผิวละเอียดขนบางเลบ็ มน ฟันทู่ ที่สาคญั คอื ยิม้ เป็น ความเมตตากรุณานี้เป็นพ้ืนของความรักทุกประเภทในชีวิตเช่นพ่อแม่รัก ลูก หนุ่มสาวรักกันผัวเมียรักกันเพ่ือนฝูงรักกันผู้น้อยจงรักผู้ใหญ่ปราณีรวมความว่า สรรพความรักท้ังปวงเกิดจากเมตตากรุณานี่แหละเรียกว่าศีลข้อที่ ๑ เป็นพื้นของมนุษย์ พ้นื ในแงน่ ี้ ถ้าใครทาพ้ืนของตัวเองคือแสดงความโหดร้ายเป็นปกติ สรรพความรักท้ัง ปวงก็พังทลายหมด ความโหดร้ายน้ันเป็นของร้อนเหมือนไฟตรงกันข้ามกับความรักซึ่ง เป็นของเย็นเหมอื นนา้ ในกองไฟยงั ไม่มพี ืชชนดิ ใดงอกข้นึ ได้ ในความโหดรา้ ยก็ไม่มีความรักใดๆ เกดิ ขนึ้ เหมอื นกนั ครั้นเราขาดเพลงความรักดอกผลของความรักก็ขาดแคลนหมดอะไรเล่า เปน็ ดอกผลของความรัก?มีแยะ เช่น:
- ยศตาแหน่ง - บาเหน็จความชอบ - วชิ าความรู้ - มติ รภาพ - มรดก - การชว่ ยเหลอื ตา่ งๆ ฯลฯ พวกน้ันมีเป็นดอกเป็นผลของความรักทั้งน้ันจะพูดว่า “ดอกรัก” ก็ได้ถ้า เรามี “ต้นรัก” ไว้แล้วดอกรกั มันก็มี โค่นต้นรักทิง้ เสยี เราก็อดดอกรกั การท่ีพระสอนให้รักษาศีลข้อที่ ๑ ก็จะอะไรเสียอีกเล่าคือให้รักษาพื้นเดิม เมตตากรุณาเอาไว้ความรักจะได้งอกงามแล้วเราจะได้เชยชม “ดอกรกั ” ให้ช่นื ใจเกิดมา เปน็ คนกับเขาท้งั ทหี ารักไม่ได้เลยสักครั้งเดียวมันก็เสยี ชาติเกิดเท่าน้นั ! และถา้ ลงได้โหดรา้ ยแล้วเปน็ สญู เสยี ความรักจริงๆอย่าว่าแตจ่ ะให้คนอน่ื มา รักเลยแมแ้ ตผ่ วั เมยี ก็รักกันไมล่ ง พ่อแม่ก็ไม่รักใครๆกไ็ ม่รักจนทีส่ ดุ ตารวจกไ็ ม่รกั อัยการก็ ไม่รักผู้พิพากษาก็ไม่รักหนักเขา้ ผู้คุมก็ไม่รัก และบางคนแม้แต่เพชฌฆาตก็ไม่รัก เสียศีลข้อท่ี ๑ อาภัพอยา่ งน้ี ก่อนผ่านข้อนี้ไปขอย้าว่าความโหดร้ายในใจของเราเองทาความอาภัพแก่ ตวั เราแตก่ ็แปลกท่ีคนเราไม่ค่อยจะกลวั ความร้ายของตวั เองยิ่งตวั ร้ายมากก็ยิ่งกลวั ตัวเอง น้อยลงแล้วกไ็ ปกลวั ความร้ายของเปรตของผีของดาวของเดือนแล้วกเ็ ลยไปต้ังหน้าตั้งตา ขับไล่ผรี า้ ยมารร้ายขับไลเ่ คราะห์ร้ายโชคร้ายและไลค่ วามร้ายของบ้านของเรือนของสวน ของนา ลืมไลค่ วามรา้ ยในตวั เอง แล้วจะหมดเคราะห์ร้ายได้อยา่ งไร ?
ศีลห้าขอ้ ท่ี ๒ (เจตนางดเวน้ จากการลักปล้นฉอ้ โกง) พ้ืนเพของมนุษย์มีอีกอย่างหน่ึงคือการทามาหากินความจริงสัตว์โลกทุก ชนดิ มันมีปากมีทอ้ งมันก็ต้องหากนิ ท้ังน้ันเสืองูจระเข้ เปด็ ไก่หมู แมว หากินทุกอย่างและ สตั วพ์ วกนนั้ ตัวหยาบใจหยาบ ความพิถีพิถนั ในการกินอาหารจึงมีน้อยกว่าคน พดู งา่ ยๆ คือ: สัตวเ์ ดียรัจฉานมีงานเพียง–หากนิ มนษุ ยม์ งี าน-ทามาหากิน หมายความว่าสัตว์เดียรัจฉานทั่วไปนั้นมันหาได้มันก็กินเลยกินตรงนั้นกิน อย่างนั้นอย่างเช่นช้างหากินพอมันเจอกอไผ่มันก็ม้วนเอาใบไผ่เข้าปากกินลงท้องนกลิง จระเขเ้ สือววั ควาย ฯลฯ กเ็ หมอื นกันท้ังน้ันคอื เจอท่ีไหนกินที่น่ันและกินเท่านั้นไม่ต้องขน ข้าวยงุ้ ข้าวฉางหรอื เขา้ ครัวขน้ึ โตะ๊ เหมอื นอย่างคนเรา แม้จะมีสัตว์บางชนิดรูจ้ กั หาอาหาร มาเก็บไว้เช่นมดงา่ มหรือผ้ึงก็มีน้อยเตม็ ทีและยตุ ิแค่อาหารกินเหมือนกนั คือไม่ต้องปรงุ ไม่ ต้องผสมเหมือนคนได้หญ้ากินหญ้า คร้ันไปเจอใบไม้ก็กินใบไม้ ไม่ต้องเอาหญ้ากับใบไม้ ผสมกันเรียกว่าธรุ ะเขาน้อยกวา่ เรา แต่คนเรามีชีวิตละเอียดอ่อนกว่าเขา คือต้องทามาเสียก่อนแล้วจึงหากิน หมายความว่าทาอะไรได้แล้วก็ขนเอาไปใส่ยุ้งใส่ฉางไว้อย่างน้อยก็เอามาเข้าครัวหลายๆ อย่างแล้วจึงผสมหรือปรงุ กินอีกทีหนึ่ง กับข้าวคาเดียวที่มนุษย์เราส่งเขา้ ปากนั้นท่านลอง ดูซวิ า่ มีอะไรบ้างและมาจากไหนเม่ือไรสมมติวา่ อาหารคาน้ันเปน็ ขา้ วกบั นา้ พริกปลาทูเวลา แยกแล้วพบว่ามขี ้าวสุก กะปนิ ้าปลานา้ ตาลมะนาวผัก ฯลฯ ซง่ึ มาคนละทิศละทางใกลก้ ็มี ไกลก็มีน่ีคืออาหารคาเดียวท่ีคนกินโปรดสังเกตดูว่าของเหล่านี้ต้องทามาไว้เสียก่อนแล้ว จึงหากิน และนีเ่ พียงน้าพริกคาเดียวถ้าคดิ ถงึ อาหารอีกหลายๆ คาและหลายๆ อย่าง เราจะยิ่งเห็นว่าการกินของคนเราน้ีจุกจิกกว่าสัตว์โลกชนิดอ่ืนมากทีเดียวนอกจากเร่ือง กินเรายังมีอีกหลายเรื่องที่ยุ่งยากกว่าพวกน้ันเขากินแล้วนอนได้แต่เรากินแล้วยังจะต้อง
สูบบุหรี่ต้องไปดูหนังต้องเขียนหนังสือ และต้องอะไรๆ อีกหลายอย่าง ผ้าผ่อนก็ต้องนุ่ง ผมเผ้ากต็ ้องตดั ซงึ่ เร่อื งเหลา่ น้พี วกนน้ั เขาไม่ต้องกังวล รวมความว่าความต้องการปัจจัยของเรามีมากและละเอียดปลีกย่อย มาก คือต้องมสี ่วนผสมพอดีๆ จะมีแต่ผา้ นุ่งไมม่ ีอาหารกินกไ็ ม่ได้หรือจะมแี ต่อาหารกนิ แตไ่ ม่มี ผ้าผ่อนติดตัวเลยก็ไม่ได้งานของมนุษย์ยิ่งใหญ่ท่านจึงพูดสรุปย่อๆ ว่า “การทามา หากิน” แต่สมัยน้ีเราเรียกว่า “เศรษฐกิจ” ความจริงอันเดียวกันคาว่า “เศรษฐกิจ” เก๋ดี แต่ความหมายอร่อยส้คู าว่า “ทามาหากิน” ไม่ได้ ทีน้ีเศรษฐกิจนั้นไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจระดับไหนคือเป็นเศรษฐกิจของตัว บุคคลเศรษฐกิจของครอบครัวเศรษฐกิจของวัดวาสมาคมหรือเศรษฐกิจของประเทศก็ ตามจะเป็นไปได้ต้องมี “กรรมสิทธิ์” เปน็ มูลฐานแตล่ ะคนจะต้องเคารพในกรรมสทิ ธ์ิของ กันและกันรู้ว่าอันไหนของใครถ้าไม่มี “กรรมสิทธ์ิ” เสียอย่างเดียวแล้วการซื้อการขอ การแลก กไ็ มม่ ที ัง้ นัน้ ระบบเศรษฐกิจกไ็ มม่ ีคนเราก็แย่งกนั กนิ เหมือนสตั วใ์ นปา่ เทา่ นั้น รวมความแล้วพ้ืนเพของมนุษย์ในด้านการทามาหากินหรือด้านเศรษฐกิจก็ คือการเคารพในกรรมสทิ ธิข์ องผอู้ น่ื ศีลขอ้ ที่ ๒ ก็มุ่งส่งเสรมิ ในเรอื่ งนี้ คนเราถ้าไม่มีศีลข้อที่ ๒ หรือศีลข้อวิบัติแล้วก็หมายความว่าเป็นคนไม่ เคารพในกรรมสิทธิ์ของใครแล้วจะเจริญได้อย่างไร คนอย่างนี้จะแต่งตั้งให้เป็นอะไรก็ ไมไ่ ด้ท้ังนน้ั คนท้ังหลายของไม่ไว้วางใจแล้วมนั กว็ างไม่ได้จรงิ ๆเสียด้วยถา้ ใครขืนไปวางใจ คนศีลข้อ ๒ วบิ ตั ิแล้วมีหวงั หมดตวั จรงิ ๆ ทรัพย์ของคนเราน้ันอาจหมดได้เงินทองข้าวของหมดได้ท้ังนั้นแต่มีทรัพย์ วเิ ศษอยู่กอ้ นหนึ่งคือ “ความไว้วางใจ” ซึง่ ถ้าใครรักษาให้ดแี ล้วกินไม่ร้จู ักหมดและทรพั ย์ ก้อนนี้ไม่มีท่ีจะได้มาจากทางอ่ืนนอกจากรักษาศีลข้อ ๒ ความไว้วางใจนี่แหละคือทรัพย์วิเศษ บ้านเมืองของคุณเจริญแล้วใช้กันมากร้านอาหารทุกร้านในเมืองไทยพ่ียอมให้เรากิน อาหารก่อน อิ่มแล้วจึงชาระเงินก็เพราะว่าเราได้รับความไว้วางใจจากเขาว่าอย่างไรเสีย เราก็ตอ้ งมีศีลข้อ ๒ แน่ๆ รถเมล์ยอมใหเ้ ราข้ึนไปอยู่บนรถก่อนจึงชาระเงิน ก็เพราะเขาว่าเช่ือ ว่าเรามีศีลขอ้ ๒ ลกู จ้างทางานใหน้ ายจ้างก่อนสิน้ เดอื นหรอื เสรจ็ งานแล้วจึงรับเงนิ เพราะ เขาเช่ือว่านายจ้างมีศีลข้อ ๒ ชาวนาปลูกข้าวไว้เต็มทุ่งไม่ได้กั้นรั้วก้ันกาแพงเลยก็เพราะ เช่ือว่าคนอ่ืนมีศีลข้อ ๒ คนเอาเงินหมื่นเงินแสนไปฝากธนาคารไว้ทั้งๆ ที่พวกธนาคารก็ ไม่ใช่ญาติกาญาติเกกันเลยก็เพราะเขาเช่ือว่าพวกธนาคารมีศีลข้อ ๒ ลูกค้าซื้อยาในขวด
ซ้ือขนมปังในกล่องซื้อนมในกระป๋องท้ังๆ ท่ีตัวเองก็มองไม่เห็นหรือไม่ได้ชิมของข้างใน เลยว่ามันเป็นของท่ีตัวตอ้ งการหรือเปล่าก็เพราะเช่ือวา่ คนผลิตคนขายมีศลี ข้อ ๒ รัฐบาล อุตส่าห์วางโครงการพัฒนาประเทศกะทุนไว้เท่าน้ันเท่าน้ีท้ังๆ ที่เงินน้ันยังไม่มีแต่คาดว่า พลเมืองจะเสยี ภาษีอากรให้น่ีก็หมายความวา่ บ้านเมืองเจริญเพราะรัฐบาลเชื่อว่าพลเมือง มีศีลข้อ ๒ เพียงเทา่ น้ีท่านกจ็ ะไดเ้ ห็นแลว้ ว่าถ้าคนเราขาดศลี ขอ้ นี้แลว้ จะอาภัพหรอื ไม่ เพยี งใดและบ้านเมืองของคนท่ีศลี ขอ้ นวี้ ิบัตเิ สียแล้วจะล่มจมหรือไม่ ศีลขอ้ ที่ ๓ (เจตนางดเว้นจากการประพฤติผดิ ประเวณ)ี ศีลข้อนี้คือการงดเว้นจากการประพฤติผิดประเวณีเร่ืองนี้ก็เป็นปัญหาสาคัญ อย่างยง่ิ ในสังคมมนุษย์คอื มนุษยเ์ รามีความรสู้ ึกนกึ คดิ สงู กวา่ เดียรจั ฉานในทางรักลูกและ ลกู ก็รกั พ่อแมร่ สู้ ึกรักใคร่ระหว่างลูกกับผูใ้ ห้กาเนดิ ของตนน่แี หละเปน็ รากเหงา้ เค้ามูลของ ระบบ “วงศ์ญาติ” หรอื “วงศต์ ระกลู ” มีการถอื ว่าเราอยใู่ นวงศ์เดยี วกับคนน้นั ๆ และคน น้ันก็เป็นตระกูลเดียวกับคนโน้นจากความรู้สึกอันนี้ทาให้คนเราหวงแหนประเวณีคือมี การจากัดผู้กองไม่ประพฤติสาส่อน ถ้าผู้ใดล่วงละเมิดคู่ครองของคนอื่นหรือผู้ใดนอกใจ คู่ครองของตนก็เป็นการกระทาที่ขัดใจอีกฝ่ายหน่ึงอย่างรุนแรงและเกิดเป็นอริกันอย่าง งา่ ยดาย ท่านผู้ฟังโปรดนึกวาดภาพดูว่าถ้าจะมีชายคนหนึ่งไม่มีศีลข้อนี้เลยเห็น ผู้หญิงทั้งโลกเป็นเมียของตัวเองไปหมดอยากจะฉุดใครฉุดอยากจะปล้าใครปล้าลูกใคร เมยี ใครไม่เว้น คนอยา่ งนี้จะมีใครไว้วางใจอยา่ ว่าแตจ่ ะใหเ้ ปน็ นายหรอื เป็นเพ่ือนเลยแม้แตจ่ ะ เปน็ ลูกจา้ งในบ้านหรือชัน้ ที่สดุ ขออาศยั นอนในบา้ นสกั คนื เดยี วกค็ งไมม่ ีใครเต็มใจและถ้า ใครๆเขารวู้ ่าเป็นคนบา้ กามอย่างน้ันผหู้ ญิงทไี่ หนจะยินดีแตง่ งานดว้ ยที่จะหวังเป็นลกู เขย เขาน่ะเย็นใจเสียเถอะ เว้นแตจ่ ะไปเจอเอาผู้หญิงตาถั่วรกั ใครโดยไม่ดูกาพืชให้ดีเสียก่อน ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ ผหู้ ญงิ เปน็ ผูศ้ ีลวบิ ตั ิในข้อน้ีชีวิตคงจะเน่าเฟะไม่เป็นท่าจาไว้ง่ายๆ วา่ คนท่ีศีลข้อ ๓ วิบัติก็คือคนบ้ากามนั่นเองชีวิตจะอาภัพหรือไม่ใครๆ ก็รู้และอย่าว่าแต่ใน ชวี ิตของชาวบา้ นธรรมดา แม้ไปบวชเปน็ พระเป็นเณรกไ็ ม่พน้ ปาราชกิ
ศลี ข้อ ๔ (เจตนางดเวน้ จากการพูดเทจ็ ) ศีลข้อน้ีคือการงดเว้นจากการพูดเท็จจะเป็นการโกหกซ่ึงหน้าหรือการทา หลกั ฐานเท็จแจง้ ความเท็จรายงานเทจ็ ก็รวมอยู่ในขอ้ หา้ มนี้ เร่ืองนี้เห็นจะไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะเป็นท่ีทราบกันอยู่แล้วว่าคน จอมกะล่อนมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกอย่างนี้ใครเขาจะไว้วางใจ หรือจะพูดให้โก้ๆ หน่อยก็หมายความว่าเปน็ คนไม่มีเครดติ หมดความเช่อื ถือไม่มใี ครเช่อื หน้า แลว้ จะทามา หากินอย่างไรเร่ืองน้ีขอไม่พูดมาก เพราะใครๆก็ทราบอยู่แล้วว่าการพูดเท็จแต่ละคาคือ การขุดหลมุ ฝังตวั เองแตล่ ะทีนัน่ เอง ศีลขอ้ ๕ (เจตนางดเวน้ จากการดื่มน้าเมา) ศีลข้อน้ีคืองดเว้นจากการเสพส่ิงเสพติดให้โทษเช่นเหล้า ฝ่ินกัญชาเฮโรอีน ฯลฯ รวมความว่าเป็นคนขเ้ี มา บางคนจะนึกท้วงว่าก็ทีคนกินเหล้าเขาได้ดิบได้ดีก็มีอยู่ถมไปไม่เห็นอาภัพ แต่กลับร่งุ เรืองใหญ่โตแทบจาไมไ่ ด้ก็มเี ห็นสบู บุหรี่ใบตองถองเหลา้ โรงกับมะขามเปียกอยู่ ไม่ก่ีปีน่ีเองเดี๋ยวน้ีสิฟาดบุหรี่กระป๋องเล่นตราขาวกับแก้มอย่างยอดทุกวัน แล้วจะว่า อาภัพอย่างไร? เร่ืองน้ีต้องเข้าใจให้ดีคนอย่างที่ว่านี้ยังไม่ถึงข้ันศีลวิบัติเพียงแต่ขาดศีล เทา่ นน้ั ส่วนคนท่ีถึงศลี วบิ ัติหมายถึงคนทีไ่ ม่นาพาในศลี ขอ้ นี้เลยตกเปน็ ทาสของส่ิงเสพติด ให้โทษแล้วเห็นจะถึงขนาดที่เรียกว่าขี้เหล้าขี้ยา ขี้ฝ่ิน ขี้กัญชา คนประเภทน้ีหมดความ อาลัยตายอยากในชีวิตเหน็ ลกู ก็ไม่สาคัญเมียก็ไมส่ าคญั บ้านช่องก็ไมส่ าคัญหน้าท่ีการงาน ก็ไม่สาคัญอะไรๆ ไม่สาคัญทั้งนั้นแม้แต่ว่าตัวเองจะยืนท่าไหนจะนั่งท่าไหนจะอาบน้าหวี ผมหรือไม่ไม่สาคัญท้ังน้ัน เห็นสาคัญอยู่อย่างเดียวคือส่ิงเสพติดท่ีจะเสพเข้าไปเท่านั้น อยา่ งนีส้ ิได้อาภพั แน่ๆ
เท่าท่ีบรรยายมานี้เพียงแต่ช้ีช่องให้ดูว่าคนเราถ้าศีลวิบัติแล้วโชคชาตาจะ เป็นอย่างไรและท่ีแยกใหด้ ูเป็นขอ้ ๆทนี ี้ท่านผฟู้ ังจะเห็นไดว้ ่าลงได้ศีลวิบัติแล้วแมข้ ้อใดข้อ หน่ึงกท็ าให้คนผนู้ นั้ อาภัพจริงๆ ศีลข้อที่ ๑. วบิ ตั ิทาใหอ้ าภัพทางเมตตากรุณา ศีลขอ้ ท่ี ๒. วบิ ัติทาให้อาภพั ทางเศรษฐกจิ ศีลขอ้ ที่ ๓. วิบัตทิ าให้อาภพั ทางครอบครัว ศีลขอ้ ที่ ๔. วบิ ัติ ทาใหอ้ าภัพทางเครดติ ศลี ขอ้ ที่ ๕. วิบัติทาใหอ้ าภพั ทางสติปญั ญา ถ้าใครศีลในตัววิบัติหมดทั้งห้าข้อคนนั้นก็จะอาภัพอับวาสนาโดยประการ ทง้ั ปวงวธิ แี ก้วิบตั ิทต่ี รงท่สี ุดไดผ้ ลดีท่ีสุดกค็ ือพยายามรกั ษาศลี ใหไ้ ด.้ วบิ ัติขอ้ ท่ี ๒ อาจารย์วบิ ัติ ติดนา้ เมา จุดวิบัติแห่งชีวิตจุดที่สองพระตรัสว่าอาจอยู่ท่ีอาจาระ พูดเต็มศัพท์ว่า อาจารวิบัตแิ ปลวา่ อาจาระเสยี หมายความว่าถ้าอาจาระเสียๆ แล้วทาดีไม่ข้ึนทาข้ึนแลว้ ก็ พงั ทลายเปน็ ชีวิตทลี่ ้มเหลว ศลี กบั อาจาระ อาจาระ หมายถงึ ความประพฤติ กอ่ นอ่นื โปรดแยกความหมายกันเสยี ก่อน ในเรอื่ งวิบัติของชวี ิตน้ี พระพทุ ธเจา้ ตรัสไว้ส่ีเรอ่ื งเปน็ สี่ข้อ คือเรอ่ื งศลี วิบัติ ๑ เรอื่ งอาจาร วิบัติ ๑ เรื่องทิฐิวิบัติ ๑ และเรื่องอาชีพวิบัติอีก ๑ รวมเป็นส่ี การที่ท่านแยกไว้อย่างน้ี แสดงให้เห็นว่า คาว่าอาจาระหรือความประพฤติน้ันเป็นเร่ืองหนึ่งต่างหากจากศีล คือไม่ใช่เร่ือง มีศีลหรือเสียศีล เป็นอีกเรื่องหน่ึงต่างหากจากอาชีพคือการทามาหากิน เพราะท่านแยกไว้
แล้วศีลเป็นเร่ืองของการกระทา อาชีพเป็นเร่ืองของงาน ส่วนอาจาระนี้เป็นเร่ืองของความ ประพฤติ ถ้าจะถามว่าความประพฤติหมายถึงอะไร? ก็หมายถึงส่ิงท่ีเราชอบทาทา บ่อยๆ ทาเสมอเป็นอาจิณศัพท์เดิมท่านอมความไว้ให้แล้ว คือคาว่าอาจาระอาจารนั้น แปลตามศัพท์วา่ ชอบเที่ยวไปเสมอคือไปทาในส่ิงน้นั บ่อยๆ ถึงคาว่าประพฤติๆ ที่เราพูด กันศัพท์เดิมก็ปวุติแปลว่าเป็นไปบ่อยเหมือนกัน เช่นประพฤติตัวสุภาพ ประพฤติเป็น พาลเกเร ประพฤติตัวเป็นคนมัธยัสถ์ ประพฤติตัวเป็นคนสุรุ่ยสุร่าย ประพฤติตัวเป็นคน สงบเสง่ียม ประพฤติตัวเป็นคนเย่อหย่ิงจองหอง อาการที่เป็นไปเหล่านี่แหละเรียกว่า ความประพฤติ หรืออาจาระแตท่ ง้ั นี้หมายถงึ ว่าทาอย่างนนั้ บ่อยๆ เปน็ ไปเสมอๆ ถา้ ไมไ่ ป ริทาอะไรเข้าเพียงคร้ังสองคร้ัง การท่ีทาน้ันเขายังไม่เรียกว่าประพฤติเพราะไม่ได้ทาเป็น อาจณิ ความประพฤตขิ องแต่ละคนน้ันมนั ออกมาจากใจของผนู้ ้ัน เหตุใดคนจึงสนใจกับความประพฤติของคนอ่ืน ก็เพราะอยากจะทราบพ้ืน เพจติ ใจของเขา คือ อยา่ งนี้คนเราแต่ละคนมใี จเปน็ สาคัญ ถา้ ไม่มใี จตัวก็ไมม่ ีความสาคัญ ค่าตัวของเราจริงๆ ฝากไว้กับใจหรือ อยู่ท่ีใจ ทีน้ีใจคนเราที่ดีก็มี ร้ายก็มี รวมความว่ามี ท้ังใจดีใจเสีย เวลาคนอื่นเขาทาอะไรด้วย เราต้องพยายามดูเสียก่อนว่าคนๆ น้ีใจเป็น อย่างไร เช่นเราจะเอาใครเป็นเพ่ือน เราก็ดูเสียก่อนว่าใจของคนน้ันดีหรือไม่ดี เราจะแต่งงานด้วยเราก็ดูว่าใจคนน้ันน่าจะแต่งด้วยไหม คนอ่ืนเขาจะทาอะไรกะเราก็ เหมือนกัน เราก็พยายามดูใจเรา อยากรู้ว่าใจเขาเป็นอย่างไร เหมาะไหมท่ีจะเอาเป็น ลูกเขยลกู สะใภ้ เหมาะไหมทจ่ี ะเอาเปน็ ผัวเป็นเมีย เหมาะไหมจะให้เป็นนายสิบ นายรอ้ ย นายพนั เหมาะไหมท่ีจะใหเ้ ป็นลูกจ้างเป็นคนงาน เป็นกานนั ผใู้ หญ่บ้าน การเลือกคนตอ้ ง เลือกดูใจ เพราะคาของคนอยู่ทีน่ ่ัน ถ้าเลือกผิดก็ลาบาก ไปเลือกเอาคนใจแคบเป็นเพ่อื น เป็นแล้วก็อึดอัดใจเรา ไปเลือกคนใจร้ายเป็นผู้ปกครอง เป็นแล้วตัวก็ร้อนใจ ไปเลือกคน ใจเหลาะแหละเปน็ ผัวเป็นเมีย เปน็ แล้วชวี ิตสมรสก็ไม่ราบรน่ื คนทุกคนจงึ มคี วามจาเป็น ทจี่ ะตอ้ งเลือก คาสอนทางพทุ ธศาสนา ย่ิงสอนให้เลือกพุทธะพระพุทธเจ้าทรง เปิดเผยว่าใจคนเราน้ีมีสันดานเดิมไม่เหมือนกัน มีกรรมดีกรรมชว่ั ติดตัวมา ต่างกัน เรียกว่า “นานาจิตฺต” นานาชนิด ต่างจากคาสอนของบางลัทธิศาสนา
ท่ีถือว่าดวงวิญญาณหรือจิตใจแบ่งภาคมาจากพระผู้เป็นใหญ่ เวลาคนเกิด พระองค์ก็ทรงประทานดวงวิญญาณอันบริสุทธ์ิให้มา เม่ือคนเกิดมาทุกคน ได้วิญญาณหรือดวงใจอันบรสิ ุทธ์ิมาแล้ว ธุระท่ีจะต้องเลือกก็น้อย เรียกว่า ดีๆท้ังนั้น แต่ทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงสอนอีกอย่างหนึ่ง คือทรง สอนว่า จิตใจของใครของมัน เวียนว่ายตายเกิดมานับอเนกชาติ ชั่วระยะ อันยาวนานที่จิตท่องเท่ียวอยู่ในสงสารนี้ จิตจึงมีสภาพแตกต่างกัน ดีบ้าง ช่ัวบ้าง เพราะฉะนั้นจังทรงสอนให้ทุกคนรู้จักเลือกคน เช่นในการคบหา สมาคมก็ทรงสอนใหเ้ ลอื กคน ในการแตง่ งานกท็ รงสอนใหเ้ ลือกคู่ ในการให้ ยศให้ศักด์ิ ให้คายกย่องชมเชย ทรงสอนให้เลือกท้ังน้ัน จะว่าอะไรมีแม้แต่ จะยกเมือไหว้ใครก็ทรงสอนให้เลือก ท่ีพระองค์ตรัสสอนว่าให้บูชาคนควร บูชา น่ันแหละคือการเลือก มีข้าวมีแกงจะทาบุญก็ทรงสอนให้เลือกพระท่ี จะรับทาน พระองค์ตรัสไว้ตรงๆว่าเราตถาคตสรรเสริญเฉพาะทานท่ีเลือก (คือเลือกผู้รบั ) นี่แหละธุระทีค่ นเขาจะเลือกมีมาก และเวลาน้ีเราแต่ละคน ก็เลือกกนั ที่เลือกนนั้ เลอื กใจว่า คนๆนม้ี ีหวั ใจอยา่ งไร แต่การท่ีจะรวู้ ่าใครมีจิตใจเป็นอย่างไร เราจะไปดูที่จิตใจตรงๆ ดูไม่ได้ ใจเปน็ ธาตุท่ีละเอยี ด เหลือทีจ่ ะดจู ะถา่ ยรูปดูก็ไมเ่ หน็ จะเอ็กซเรยด์ ูก็ไม่ตดิ ชัน้ ท่ีสุดจะผ่า ท้องควักเอาหัวใจออกมาดูก็ไม่ได้ เพราะใจเป็นธาตุกายสิทธ์ิเหลือที่จะเห็นด้วยตาและ ด้วยกล้อง ถ้าเช่นนั้นจะดูได้ท่ีไหน? ก็ต้องดูที่ความประพฤติ ความประพฤติที่แต่ละคน แสดงออกมาน่ันแหละ คือกล้องขยายดวงใจของแต่ละคนให้คนอ่ืนเห็น ใจแคบ ใจกว้าง ใจดี ใจจืด ใจเค็ม ใจแข็ง ใจอ่อน ตอ้ งดทู ่ีความประพฤติของผู้นั้นจึงจะเห็น เหมอื นอย่าง เราจะดูงู งูกับงูตัวมันก็เหมือนๆกัน มีหัวมีหางเหมือนกัน ตัวยาวๆ ไม่มีขาเหมือนกัน เราอยากจะรู้ว่าตวั ไหนใจร้ายมากใจร้ายนอ้ ย ตัวไหนเป็นงูเห่า งจู งอาง งูสิง งปู ลา เราจะ ดูท่ีไหน? เราก็ดูลายที่ตัวมัน ลายท่ีตัวมันเองนั่นแหละบอกให้เรารู้ว่าใจมันร้ายดีแค่ไหน ดูเสือดูหมีกเ็ หมอื นกัน เขาดลู ายนอกตัวแล้วทายเข้าถึงหวั ใจมัน ดูใจคนต้องดูท่ีลายของเขา แต่ว่าลายคนไม่ได้อยู่ท่ีใบหน้า ที่ผิวหนัง ไม่ได้อยู่ที่เส้ือกางเกง หากอยู่ที่ความประพฤติ ความประพฤติน่ันแหละคือลายคน แต่ลายอย่างนี้ไม่ใช่ติดกระจ่างอยู่ตลอดวันตลอดคืน มันแสดงออกเป็นพักๆ เป็นคราวๆ เราจึงเรียกกันว่า “ลวดลาย” ไม่ใช่ลายเฉยๆ ความประพฤติของใครก็เป็นลวดลายของคนน้ัน และลวดลายของใครก็ส่อถึงจิตใจของ คนน้ัน เพราะฉะน้ันคนท้ังหลายจึงพากันสนใจดูความประพฤติของคนอื่น ไม่ว่าจะ
เข้าโรงเรียน ไม่ว่าจะเข้าทางาน ไม่ว่าจะรับใคร เป็นอะไร เขาต้องดูความประพฤติอยู่ เสมอเวลาเข้างานสาคัญๆ ทาราชการ เขาตั้งกรรมการ ๔ คน ๕ คน ช่วยกันคัดเลือกก็มี เรอ่ื งท่ีกรรมการคดั เลอื กนนั้ มีอยู่หลายเรอ่ื ง แตท่ สี่ นใจมากที่สดุ คือเลือกความประพฤติก็ เท่ากับดู “ลาย” ของผู้น้ันนั่นเอง ช่วยกันดูว่าลายอย่างนี้ควรรับไหม งานท่ีสาคัญใหญ่หลวง เช่นสมัครเป็นผู้แทนทางการให้ประชาชนไปช่วยกันเลือก ดูกันหลายหูหลายตาว่าใครมี ลายอยา่ งไรน่าไวใ้ จได้หรอื ไม่? ตกลงวา่ ความประพฤตขิ องเรา เราเองคดิ วา่ มันเป็นเร่ืองสว่ นตวั “ฉันอยาก ประพฤติยังไงมันเรื่องของฉัน” แต่อีกด้านหนึ่ง ความประพฤตินั้นเปน็ หลักประกันความ ไว้วางใจของคนอื่นที่มีต่อเรา ความประพฤติของใครก็ฟ้องตัวคนน้ันเอง เพราะฉะน้ัน พระพุทธเจ้าจึงทรงชี้ลงไปว่า ความประพฤตินี่แหละเป็นจุดสาคัญอีกจุดหนึ่ง เกี่ยวกับ ความเสื่อมความเจริญของชีวติ ถ้าความประพฤตวิ ิบตั เิ สยี แลว้ จะทาดีไมข่ ึน้ ท่านวา่ อยา่ งน้ี ทีนี้จะพูดถึงความประพฤติวิบัติ ความประพฤติอย่างไรท่ีเป็นความ ประพฤติวับติ? เป็นเร่ืองจากัดขอบเขตยากสักหน่อย เพราะความประพฤติขึ้นอยู่กับ ฐานะของบุคคลด้วย ความประพฤติบางอบ่างเด็กทาไม่เสีย แต่ผู้ใหญ่ทาเข้าแล้วเสีย บางอย่างพระทาเข้าเสีย แต่พวกคฤหัสถท์ าไม่เสีย บางอย่างทหารทาเสีย แต่ถ้าพลเรือน ทาไม่ถึงกับเสีย ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับฐานะของคนแต่ละประเภท แต่น่ีเราพูดกันเฉพาะในวง ฆราวาส คอื คนชาวบ้านอย่างเราๆ และพูดกันเฉพาะความประพฤติกลางๆ คอื นี่ใครทา ก็เสีย ทหารทาก็เสีย ตารวจทาก็เสีย พลเรือนทาก็เสีย ชาวบ้านนอกหรือชาวกรงุ ทาแล้ว เสยี ทั้งนนั้ เราพูดเฉพาะที่เปน็ กลางๆ และที่วบิ ัติขนาดขัดขวางความเจริญก้าวหน้าจรงิ ๆ เท่านัน้ ในพระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ มคี าสอนของพระพุทธเจ้าอยู่หมวดหนึ่ง แสดงถึง ความประพฤตวิ บั ตเิ ส่อื มเสยี ของคน ประเภทท่ีจะทาให้ผูน้ ้ันหายนะลม่ จมในชาติปัจจุบัน น้ีทีเดียว มีอยู่ ๖ ขอ้ หรือ ๖ เร่อื ง คอื ๑. ยาเสพติดใหโ้ ทษ ๒. ติดเทย่ี ว ๓. ตดิ ดมู หรสพ ๔. ตดิ การพนนั ๕. ตดิ เพอ่ื นช่ัว และ ๖. เกยี จครา้ น
ความประพฤติในหกอย่างน้ี เป็นความประพฤติวิบัติสาหรับคฤหัสถ์ ใครมี ความประพฤติอย่างนี้ทาดีไม่ขึ้น สร้างขึ้นแล้วก็พังลงเพราะพื้นเดิมของตัวไม่อานวย การสร้างชีวิตของเราท่ีจะให้ม่ังมีศรีสุข ให้มีเกียรติ มีช่ือเสียง ให้มีคนนับหน้าถือตา ต้องคานึงถึงความประพฤติของตัวด้วยเสมอ ความประพฤติต้องไม่เสีย ความรู้ ชื่อเสียง ทรัพย์สมบัตติ ่างๆ จึงจะคงอยู่ได้ ถ้าความประพฤติของตัวเขาเองเสียเสียแล้ว ส่ิงที่หามา เพิม่ ใหมเ่ หล่านั้นก็ช่วยอะไรไมไ่ ด้ ความเสียในความประพฤติของคนเรานั้น มีหลายช้ัน เสียน้อยพอทาความ ดีกลบไว้ได้ก็มี เสียมากจนกลบไม่ไหวความดีตั้งอยู่ไม่ได้ก็มี นึกดูการแต่งตัวก็แล้วกัน เคร่อื งแต่งตวั ทีเ่ ราประดิษฐข์ ึ้นขายกันอยทู่ กุ วนั น้ี มีหลายอยา่ ง อยา่ งของสตรมี ียาทาปาก หมึกเขียนคิ้ว มีแหวน มีต่างหู และอ่ืนๆอีกหลายอย่าง ของเหล่านั้นเรียกว่า “ของแต่งตัว” หมายความว่า เราต้องมีตัวท่ีจะแต่งอยู่แล้ว ของเหล่าน้ันจึงจะช่วยทาให้ งามได้ สมมติว่าเราจะแต่งด้วยยาทาปาก ก็หมายความว่าริมฝีปากเรามีแล้ว ถ้าปากเรา แหว่งหรือบิดๆเบ้ียวๆ ถึงจะทาวันยังค่าก็แต่งไม่ขึ้น เราจะแต่งหน้าด้วยแป้งนวล ก็หมายความว่าหน้าเราเรียบร้อยพอสมควร ถึงหน้าเรามีแผลเป็นเหวอะหวะจะผัดแป้ง เท่าไรๆก็ผัดไม่ข้ึน ทุนเดิมของเรานี่แหละสาคัญ เพราะเป็นท่ีรองรับเครื่องแต่งที่ได้มา จากท่ีอ่ืน ถ้าพูดรวมถึงชีวิตก็คล้ายๆกัน ความประพฤติเป็นพื้นที่รองรับ ถ้าความ ประพฤตเิ สยี เหลวแหลกแลว้ ถึงจะมีใบประกาศนียบัตรติดไว้ท้ังข้างหน้าข้างหลงั เครดิต ในตวั เรากไ็ ม่ดขี น้ึ ใครเขาไม่เช่ือหนา้ ความเสยี หายทางความประพฤติ ๖ อย่าง ทพ่ี ระพุทธเจ้าตรัสไว้น้ัน เป็นความเสียที่แต่งไม่ขึ้น เหมือนปากแหว่ง หน้าเป็นแผลเป็นหูขาด น้ิว ด้วนอย่างนั้นเอง พระตรัสเรียกว่า “อบายมุข” คือ เป็นปากของความ เสื่อม คนทตี่ กไปใน ๖ ทางนี้ เหมือนคนตกอบายเสียแลว้ ทาความดีไม่ข้ึน ทีน้จี ะอธบิ ายทลี ะขอ้ ให้เห็นผลได้ผลเสีย ความประพฤติเสียจุดแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ การติดยาเสพติดให้โทษ ขอให้ทาใจกวา้ งๆ ฟงั ของทา่ นดูเสียก่อน ใครเป็นอยแู่ ล้วก็อย่าเพ่ิงหลงขัดใจว่าท่านวา่ เรา คือคนเรามักจะเปน็ ถ้าคาสอนทางศาสนาเกิดตาหนิ ในเรื่องที่ตรงกบั ความประพฤติของ เราเข้า ก็มักจะเกิดความรู้สึกวา่ พระว่าตัว ความจริงไม่ใช่ ท่านไม่ได้เจาะจงใคร ท่านว่า ไวต้ ามความจรงิ ขอใหน้ ึกดูว่าพระพุทธเจ้าตรสั เร่ืองเหลา่ น้ีไว้ตัง้ สองพันกว่าปีแล้ว ตงั้ แต่ ก่อนเราเกิดเป็นไหนๆ แล้วท่านจะว่าตัวเราได้อย่างไร หมอเขียนตารายาว่าด้วยอาการ
โรคไว้ก่อน เราเกิดมาทีหลังมาป่วยเข้า อาการของเรามันไปตรงกับอาการโรคในตารา หมอเข้าเอง อย่าไปหลงโกรธตารา หรอื โกรธหมอเขา้ จะบาปกรรมเปลา่ ๆ จุดแรกที่ควรระวัง คือการเสพยาเสพติดให้โทษ ในทางศาสนาเวลาเอ่ยถึง ยาเสพติดให้โทษ ท่านเอ่ยถึงสุราเมรัยก่อนเสมอ ในศีลห้าก็ห้ามดื่มสุราเมรัย ในหลัก อบายมุขก็ระบุสุราเมรัยเหมือนกัน แต่ในทางตีความ ซึ่งอธิบายไว้ในที่ ต่างๆ ท่าน หมายถึงของเสพติดให้โทษทุกอย่างเช่น ฝืน กัญชา ใบกระท่อม และของอย่างอื่นซึ่งว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นของเสพติดให้โทษแล้ว เป็นอันต้องห้ามทั้งส้ิน ถ้าใครไปเสพไปสูบ ไปกนิ จนตดิ แลว้ ก็ถือว่าความประพฤตวิ ิบตั ิ คือเสียความประพฤติ ทาไมจึงวา่ เสียความประพฤติ บางทา่ นอาจนกึ ค้านวา่ เงนิ ฉนั เอง ฉนั ซอื้ สบู กินของฉันเอง ฉันไม่ได้ฉ้อโกงหรือกะเกณฑ์ให้ใครมาเสียเงินเสียทองให้ แล้วทาไมจึงว่า ฉันเสีย ที่ว่าน้ีเพราะหาท่ีเสียไม่เจอ หาดูไม่ถูกแห่งพระท่านบอกว่าใครติดยาเสพติด คน น้ันเสียความประพฤติแต่เราไปเที่ยวสอดส่ายดูที่ชาวบ้าน ว่าท่ีเราทาอย่างน้ี มีใครเสีย อะไรบ้าง มันไปคนละทางเสียแล้ว พระท่านก็ไม่บอกว่าไปทาให้ชาวบ้านเสีย แต่ท่าน บอกว่า ความประพฤติของผู้น้ันเองเสียไป เสียๆ แล้วท่านว่าอย่างน้ี ท่านว่าเสียความ ประพฤติเราก็ตอ้ งดูทคี่ วามประพฤติสิจึงจะเหน็ ไมใ่ ชว่ ่าเงนิ เราเสยี แต่ไปเที่ยวหาดูถุงเงิน ของชาวบ้าน มนั กไ็ ม่เจอท่ีเสยี ท่ีน้ีทาไมจึงว่าเสีย? แก้ตรงน้ีเสียที คนติดยาเสพติด ทาไมจึงว่าเสียความ ประพฤติ ท่ีวา่ เสียก็หมายความวา่ มนั ไมเ่ ป็นของเรา มันเปน็ ของเขาอ่นื นึกดเู สยี อย่างอื่น ก่อนสิ อย่างเช่นเสียเงิน ก็หมายความว่า เงินของเรามันตกไปเป็นของคนอื่น เสียของ เสยี ขา้ ว เสียววั เสียควายก็หมายความว่า มันได้หลุดไปจากเราเสียแล้ว เราเสียให้ใครมัน ก็ไปข้ึนอยู่กับคนนั้น การเสียความประพฤติก็เหมือนกัน โดยปกติคนเราย่อมครองความ ประพฤติของตัวโดยอิสระ เหมือนเสื้อกางเกงของเราเองจะนุ่งจะสวมก็ได้ตามใจ แต่ถ้า เราไปติดของอย่างว่านั้นเสียแล้ว เราต้องเสียความประพฤติให้แก่มัน ส่ิงท่ีเราติดนั้นมัน มาเป็นนายครองหัวใจเราๆก็ขาดความเป็นอิสระ น่ีแหละที่ว่าเสียความประพฤติ คือ ความประพฤตขิ องเราแท้ๆ มันเสยี ไปอยกู่ บั เขา ในสายตาของคนอื่นที่ดูเรา ถ้าเราเป็นอย่างน้ัน เขาว่า “เราความประพฤติ เสีย” แต่ตัวเราเองดูตัวเองจะเห็นว่า “เราเสียความประพฤติ” แต่ถ้าคนอ่ืนเขาดูเขาว่า เราน่ีความประพฤติเสีย ท่ีว่าเขาว่าเสียก็เพราะเขาเห็นว่าของเรามันไม่งาม มันไม่ดี ไม่ เหมาะ พอเขาเห็นอย่างน้ีเข้าเขาก็หมดความเล่ือมใส ไม่อยากเล่นด้วย ไม่อยากรัก ไม่ อยากนับถือ ไม่อยากเข้าหุ้น ไม่อยากข้องอยากเก่ียว เหมือนเราเห็นผลไม้ท่ีเสียแล้วเรา ไมอ่ ยากซอ้ื ไมอ่ ยากกนิ อยา่ งน้นั เอง
การท่ีเราเกิดมาเป็นคน เราจะดีได้ก็เพราะคนด้วยกันสนับสนุน คนเขาจะ สนับสนุนก็เพราะเขาเห็นว่าเราดี เขาจะรู้ว่าเราดีเขาก็ดูที่ความประพฤติ การท่ีเราเสีย ความประพฤตินั้น เท่ากับเราประจานตัวเอง ว่าฉันนี้เป็นคนไม่ดี ไม่น่ารัก ไม่น่านับถือ พดู แบะให้ดูเพยี งเท่าน้ีทกุ คนคงจะมองเหน็ แล้วว่า เสียความประพฤตแิ ลว้ จะถูกวิบตั ิเล่น งานอย่างไม่มีปัญหา และนอกจากจะเกิดวิบัติในตัวผู้นั้นเองแล้ว ยังทาให้สังคมท่ีเขา เกี่ยวข้องด้วยพลอยวิบัติตามไปด้วย โปรดนึกดูเถอะ ความวุ่นวายในครอบครัวก็ดีความ ยุ่งยากโกลาหลในหน่วยงาน และในวงการต่างๆก็ดี เกิดจากความประพฤติวิบัติของคน ใช่หรือไม่ ถ้าดูทางสังคม ยาเสพติดพรางตา คือทาให้ผู้เร่ิมคิดเห็นว่าเป็นประโยชน์ เช่นเห็นว่ามีเพื่อนฝูงรักใคร่ ไปมาหาสู่มาก เลยเข้าใจว่าของมึนเมาเสพติดต่างๆน้ันให้ ประโยชน์ แต่ความจริงแล้ว มันมีเร่ืองเส้นผมบังภูเขาอยู่ คือของมึนเมาเสพติดน้ันมัน เปน็ เร่อื งสมานจริง แตเ่ ปน็ การสมานเพื่อความแยกในอนาคต ท่านผฟู้ ังเคยกอ่ เจดยี ท์ ราย บ้างไหม วิธีก่อเจดีย์ทรายน้ันเขาเอาน้าผสมทรายให้อ่อนตัวแล้วกวาดตะล่อมข้ึนเป็นกอง ทรายเหล่านั้นจะถูกยึดไว้ด้วยน้า น้ายึดทราย แต่ถ้าน้ามากไป เกิดทาให้ทรายแยกกัน ปัน้ ไม่สาเร็จ ยาเสพติดก็เหมอื นน้าน่ันเอง ชีวิตเราเหมือนกองทราย ติดแคบ่ ุหรีห่ มากพลู ไม่เป็นไรเหล่านี้ของสมานแขก เป็นสื่อสัมพันธ์ แต่ถ้าติดหนักถูกกีดกันจากสังคมทีละ นอ้ ยๆ ตวั เราเองนแี่ หละจะชักตัวออกห่างจากสงั คมโดยไมร่ ตู้ วั การปล่อยตัวให้ตกอยู่ภายใต้อานาจของยาเสพติดเป็นอุปสรรคสาคัญใน การใชส้ มรรถภาพทางร่างกาย และทางสมองคิด เป็นทางวิบัตทิ ่เี ห็นไดช้ ัดทางหน่งึ สาหรับทางสังคม ยาเสพติดทาให้บังเกิดผลบ้างนิดหน่อยในตอนแรก คือ ทาให้เพื่อนฝูงรักใคร่ มีการพบปะกัน แต่การสมานด้วยยาเสพติดน้ัน เป็นการสมานเพื่อ แยกทางกันในอนาคต จาไว้ว่า ยาเสพติดน้ันมีลักษณะเหมือนน้ากับทรายดังกล่าวแล้ว คนป้ันเจดีย์ทรายเขาเอานาพรมให้ดินอ่อนแล้ว ปั้นให้เกาะกัน แต่ถ้าน้ามากไปน้ากลับ ทาทรายให้แยกกันป้ันไม่สาเร็จ ยาเสพติดก็เหมือนกันทีแรกๆเราจะเห็นว่ามันเป็นสื่อ สัมพันธ์ บ่ายหน้าไปไหนเจอแต่เพื่อนร่วมก๊ง ร่วมกล้อง ร่วมเขียง แต่ของเหล่าน้ียากที่ ใครจะหยดุ อยูแ่ ค่พอดๆี ได้ ช่ือมันบอกอยู่แล้วว่าของเสพติด ครั้นติดแลว้ ก็มาก พอมากก็ มกั จะเริ่มแยกออกจากสังคม ผู้ร่วมวงนั่นเองจะนึกตาหนิทางจติ ใจ แทนที่จะเหน็ เราเป็น ผนู้ ่าไว้วางใจ ขนาดเพอื่ ฝูงเห็นอย่างน้แี ล้ว คนนอกวงจะเห็นอยา่ งไรก็ไมต่ อ้ งพูดกไ็ ด้ เพราะฉะนั้น ทางดีที่สุดเรารักษาตัวไว้ดกี ว่า อย่าใหค้ วามประพฤติมตี าหนิ ในแง่น้ีเลย การที่เราจะรักษาตัวไว้ก็ไม่ใช่ของยากเย็นอะไร ข้อสาคัญเราเองอย่าหลงผิด เห็นเป็นดีเป็นชอบไป นึกไว้เสมอว่าการสร้างตัวสร้างชีวิตของเรา เหมือนก่อเจดีย์ทราย น่ันเอง เคยได้ใช้น้าเป็นเช้ือทาให้ทรายติดกัน แต่อย่าหลงผิดว่า ถ้าน้ามากๆแล้วเจดีย์
ทรายจะแน่นหนายิ่งขึ้น เปล่าเลย น้ามากเจดีย์พัง เช่นเดียวกันพอเร่ิมสร้างชีวิตคน หนุ่มๆมักจะนึกว่าต้องก๊งแต่ไปภายหลังชีวิตก็สลาย ถ้าติดของพวกน้ีจนงอมแงมแลว้ ย่ิง หมดสนิ้ แม้แต่ความหวงั พูดมาถึงตรงนี้อยากจะฝากข้อคิดเห็นส่วนตัวสักนิดหน่ึง กรุณารับฟังไว้ด้วย เปน็ ความเห็นเอกชน คือคนหน่มุ ๆสมัยนน้ี ยิ มดมื่ สุรากนั เรว็ เกินไป ยงั ไม่ทันจะออกจาก โรงเรียนเลย มีการเล้ียงเหล้ายากันแล้ว พอน่ังร้านอาหารก็ส่ังเหล้าส่ังเบียร์กินกัน สนุกสนาน สังเกตดูผู้ใหญ่ครูบาอาจารย์ก็ห้าม แต่ได้ผลน้อย เวลาน้ีมีคนท่ีคนหนุ่ม เกรงใจที่สดุ อยพู่ วกหนึ่ง เป็นพวกท่ีมสี ิทธิเหนือดวงใจของคนหนมุ่ ทง้ั หลาย คือพวกสาวๆ ถ้าพวกผู้หญิงช่วยเร่ืองน้ีก็สาเร็จ ที่ช่วยน้ันไม่ใช่ไปเที่ยวสอนเขา เพียงแต่แสดงออกโดย เปดิ เผยวา่ ไม่ชอบไม่เหน็ ด้วยกบั คนหนุ่มดม่ื สรุ า และร้สู กึ เสียอกเสยี ใจทีค่ ู่รกั นิยมกนิ เหลา้ ถ้าหญงิ สาวมาร่วมใจกันอยา่ งนจี้ ะเบาบางลงแยะ นึกวา่ ชว่ ยกนั รักษาหนุ่มไทยตาดาๆไว้ดู ก็แล้วกัน ถ้าหญิงสาวไม่ช่วย หรือยิ่ง “พ่ีก๊ง น้องก๊ง” เข้าด้วย ไปข้างหน้าจะแย่ ชาตไิ ทยเราจะขาเป๋แน่นอน ชะตากรรมของคนหนุ่ม และชะตากรรมของชาติในเร่ืองน้ี ฝากไว้ท่ีริม ฝีปากจม้ิ ล้ิมของหญงิ สาวทกุ คน วิบัติขอ้ ท่ี ๒ อาจารย์วบิ ตั ิ (ต่อ) การเที่ยงกลางคืน ระวงั จะเสยี ตัว พธุ นี้พบกันอีก ด้วยเร่ืองความวิบตั ิของชีวิตต่อจากที่บรรยายไวแ้ ลว้ เม่ือวัน พุธก่อนโน้น พระพุทธวจนะเร่ืองนี้น่าสนใจอย่างย่ิง สาหรับคนทุกคนที่รักตัว และ อยากจะต้ังเน้ือต้ังตัว ถ้าใครไม่รักตัวก็แล้วไป แต่ถ้ารักตัวก็ควรจะได้พิจารณา เพราะ ธรรมะเป็นเรอ่ื งของคนรักตวั พูดถึงตรงนี้ อยากจะขอย้าความรู้สึกให้สักเล็กน้อย คือเรื่องการ ปฏิบัติเก่ยี วกบั ตัวพระพุทธเจ้าได้ตรสั ไวว้ ่า “กิจฉฺ มจจฺ านชวี ิต” แปลวา่ ชีวติ เป้นของหายาก ทีต่ รสั อยา่ งนก้ี เ็ พื่อเตือนใจเราไม่ให้ประมาท ไมใ่ ห้ดเู บากับตัว เพราะตัวเราเป็นของหา ยากที่หายากก็เพราะมนั มนี ้อย เรามีอยู่คนละตวั เทา่ นั้น จากดั จริงๆ ในโลกน้ีจะหาทีไ่ หน ไม่ได้อีกแล้ว ในมงคลชีวิตภาค ๑ ข้าพเจ้าก็ได้เขียนสะกิดไว้หน่อยหนึ่งว่า ของในโลกน้ี
อะไรที่มันจะหายากเท่ากับตัวเราเป็นไม่มีแล้ว เพราะเรามอี ยตู่ ัวเดียว ตัวคนในโลกนี้ไม่รู้ กี่พันล้านตัว แต่มันก็เป็นตัวคนอ่ืนท้ังนั้น ส่วนตัวเราจริงๆมีหน่ึงเดียวเท่านั้น คือตัวเราที่ ครองอยูเ่ วลานี้เอง ผัวเมียยังหาใหม่ได้ เพ่ือนฝูงก็หาแทนได้ พ่อแม่กย็ ังพอจะหาพ่อเล้ียง แม่เลี้ยงได้ ลูกก็ยังพอหาลูกบุญธรรมมาเล้ียงแทน ถ้าหากของเดิมมีอันเป็นไปแต่ตัวเราน่ีสิ ตัวเดียวจากัดจริงๆ จะหาตัวเลี้ยงตัวบุญธรรมไม่ได้ทั้งนั้น ของที่มันมีจากัดอย่างนี้ คนฉลาดเขาตอ้ งใสใ่ จระวัง เพราะถา้ หากพลาดพล้ังมอี นั เปน็ ไปเรากห็ มดตัว ตัวเดยี วตาย ก็ตายหมด ตัวเดียวเสียก็เสียหมด ตัวเดียวเข้าคุกก็เข้าหมด เพราะมันมีจากัดตัวเดียว เท่าน้ัน เพราะฉะน้ันพระพุทธองค์จึงทรงสอนหนักหนา ให้ทุกคนระวังตัว การระวังน้ัน ไมใ่ ช่ระวัง แต่ตวั จะตายอย่างเดียว แต่ตอ้ งระวังตวั จะเสียดว้ ย เพราะถ้าตัวเราเสียๆ แล้ว มันทาให้เจริญงอกเงยยาก ถึงจะมีจ้าวนายชุบเล้ียง บุญมาวาสนาส่ง เพ่ือนฝูงก็เชียร์แต่ ถ้าลงได้ตัวเราเสียๆ แล้วก็จนใจพระพุทธเจ้าทรงช้ีจุดสาคัญที่คนจะเสียตัวได้ ๔ จุด ด้วยกัน เรียกว่าวิบัติ จุดแรกคือศีลวิบัติได้อธิบายมาแล้ว จุดท่ีสองอาจารวิบัติ คือวิบัติ ทางความประพฤติอธิบายบ้างแล้ว แต่ยังไม่จบ ความวิบัติทางความประพฤติ ๖ อย่าง ว่ามาแล้ว ๑ คือการติดยาเสพติดให้โทษ ซึ่งก็พอเหมาะกับเวลาท่ีทางรัฐบาลกาลัง กระตือรือร้นท่ีช่วยคนติดฝิ่นให้พ้นจากความเป็นทาสของฝ่ิน โรงฝ่ินทุกโรงบีดหมดแล้ว ตั้งแต่เที่ยงคืนที่แล้วมา ( ๓๐ มิ.ย. ๐๒ ) นับว่าทางการได้ปฏิบัติตามแนวทาง พระพุทธศาสนา สมควรท่ีชาวพทุ ธทกุ คนจะอนุโมทนาสาธทุ ่ัวกนั สาหรบั คนทต่ี ิดอยู่แล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นใจ และหวังว่าทุกคนคงเอาใจช่วยแต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็ต้องช่วงตัวเอง รวบรวมกาลงั ใจให้ดี ฝ่ินมนั ชนะเรามานานแลว้ บดั นี้เราจะชนะมันบ้างละ มันเป็นยางไม้เกิด ในป่า เราเป็นคนเกิดในบ้านในเมือง ใครจะชนะก็ลองดู แข็งใจเข้าไปเถิด เวลาน้ีเพ่ือน มนษุ ย์หลายล้านกาลงั ชว่ ยท่านอย่แู ล้ว สาหรับของเสพติดให้โทษอย่างอื่นก็ยังมี แม้คนท่ีไม่ติดฝิ่น และคนท่ียังไม่ ติดอะไร ก็ควรจะระวังตัวอย่าเผลอไผลไปนิยมชมชอบเข้า มากไปชีวิตจะวิบัติแล้วจะ เสียใจภายหลงั เรื่องตดิ ยาเสพติดเอาเปน็ ผา่ นไปที เทย่ี วกลางคนื พิจารณาจุดวิบัติท่ีสองต่อไป ในตาราท่านว่าไว้ว่า จุดท่ีสองคือ การเที่ยวกลางคือฟังดูก็แปลกดีแหมือกัน นึกๆ ก็เหมือนเป็นของ ธรรมดา ไม่นา่ จะเสยี ดาย แตน่ กึ ๆ กเ็ หน็ มที างเสยี หายแยะเหมือกนั การเท่ียวกลางคืนในทนี่ ้ี หมายถงึ การเที่ยวเตร่ ในยามค่าคืนดึกดื่น อนั เป็น การผดิ วิสัยสุภาพชนท่ัวไปจะทากนั ถ้าอยากจะเขา้ ใจว่าเที่ยวขนาดไหน ต้องยกเอาพระ
บาลีมาดู พระบาลีท่านใช้ศัพท์ว่า “วิกาลวิสิขา จริยานุโยคะ” แปลว่าชอบเท่ียวไปตาม ตรอกเล็กซอยน้อยในยามวิกาลๆ น่ีคือคาแปลพระบาลีพุทธวจนะออกมาตรงตัว ถา้ พดู ตามภาษาท่ีฟังกันง่ายๆ ก็คือไปเที่ยวตามตรอกตามซอยในยามค่าคืนดึกด่ืน แล้วก็ ไปบ่อยๆ ด้วยไม่ใช่นานๆ ที แต่ถึงแม้จะแปลแล้วขยายความแล้ว ก็ดูเหมือนกันจะยังไม่ จะแจ้งอยู่เหมือนกัน ถ้าจะพูดให้ตรงกับความหมายและฟังกันสั้นๆ เห็นจะหมายถึงคน ตดิ เที่ยว คนเรามีอยู่ประเภทหน่ึง ซึ่งเป็นคนใจแตก โดยเฉพาะคนท่ีอยู่ใน วัยหนุ่ม มีนิสัยชอบเที่ยวเตร่อยู่ไม่ติดบ้าน ความสุขอยู่ท่ีการเท่ียวหา ความเพลิดเพลินนอกบ้าน คนที่ติดความประพฤติแบบนี้แหละ ท่ีพระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนอาจารวิบัติ คือเสียความประพฤติ คือเป็น ความประพฤติท่ใี ชไ้ ม่ได้ ฟังดูแค่น้ี ดูรู้สึกว่าน้าหนักน้อยไปหน่วยใช่ไหม เพียงแต่ติดเท่ียงกลางคืน เท่าน้ี ดูไม่น่าจะประณามรุนแรงถึงขั้นเป็นอาจารวิบัติ คือเป็นคนเสียความประพฤติ แต่ ถ้าเล็งถึงเจตนารมณ์ของพระพุทธโอวาทในเร่ืองนี้แล้ว เราจะเห็นจริงเจตนารมณ์ อยา่ งไรๆ คอื เจตนารมณ์ที่พระพทุ ธเจ้าประสงคจ์ ะทรงชี้แจง ให้ทราบถึงความวบิ ตั ขิ องชีวิต ถ้าไปทาอยา่ งน้นั เข้าแล้วชวี ิตมนั ช้า แตง่ ยากหรอื แตง่ ไมไ่ ด้ แลว้ ลองพิจารณาถึงคนติดเทย่ี วอย่างว่าน้ันดู ช้าหรือไมช่ ้า อย่าลืมคาว่าติดนะ หมายความว่ามันติดเท่ียวไม่ติดบ้าน แต่ติดเท่ียว คนท่ีติดน้ันถ้าไม่ได้เที่ยวไม่ได้อยู่บ้าน ตัวเองใจมันตีบตัน หงุดหงิด งุ่นงา่ น ทาอะไรไม่ได้ เหมือนกับคนติดบุหรี่น่ันแหล่ะ ถ้าลง ได้ติดแล้วถ้าไมได้สูบใจไม่สบาย คิดอะไรไม่ค่อยออก ถ้าได้สูบแล้วโปร่ง ติดเที่ยว เหมือนกนั ถา้ ไมเ่ ทย่ี วไม่ได้อกจะแตก ใจคอมันหวุดหวดิ งนุ่ ง่านไปหมด อยา่ งนเ้ี รียกวา่ ตดิ ถ้าเพียงแต่ไปก็ได้อยู่ก็ได้ ก็นับว่ายังไม่ติด ทีนี้คนท่ีท่านว่าเสียความประพฤติ คือคน ประเภทตดิ เท่านน้ั แล้วกจ็ าเพาะเทยี่ วกลางคืนเท่านน้ั กลางวนั ท่านกไ็ ม่ว่า ขอให้นึกดูให้ดีจึงจะเห็นท่ีเสีย นึกดูอย่างนี้เสียก่อน คนท่ัวไปเขาให้ กลางคืนกับกลางวันต่างกันอย่างไร สามัญชนท่ัวโลกเขาใช้เวลากลางวัน สาหรับทางาน ใช้เวลากลางคืนสาหรับพักผ่อน เว้นแต่งานพิเศษบางอย่างจริงๆ เขาจึงทากลางคืน แต่ โดยทั่วไปแล้วเขาทางานกลางวันพักกลางคืน ธรรมชาติสร้างระยะเวลามาพอดีแล้ว ทีน้ี คนท่ีติดเท่ียวกลางคืนเป็นนิสยั จึงเป็นคนฝนื ระบบชีวติ ของตนเอง มีทางเสียหลายอย่าง คนที่ไม่เคยปกครองใกล้ชิดคนที่มีนิสัยแบบน้ี อาจไม่ทราบแต่ถ้าใครมีลูกมีหลานมีนิสัย ติดเทีย่ วกลางคืนจริงๆ แลว้ จะเห็นความเสือ่ มโทรมได้ชดั ทเี ดยี ว พระพทุ ธเจา้ ของเราได้
ทรงจาแนกโทษไว้ ๖ อย่าง เราเอาท่ีทรงแสดงไว้น้ันมาพิจารณาดูเลยเห็นจะดี ข้าพเจ้า ลองตรวจดูแล้ว รู้สึกท่านจาแนกไว้ดีมาก และครบทุกประเด็น โทษการติดนิสัยเที่ยว กลางคืน ๖ อย่างทตี่ รัสไวน้ น้ั คือ3 ๑. เปน็ การไม่รกั ษาตวั ๒. เป็นการทอดทิ้งครอบครัว ๓. เปน็ การทอดท้งิ ทรพั ย์ ๔. เปน็ ทรี่ ะแวงของคนทัง้ หลาย ๕. จะถกู กล่าวหา – ใส่ความ ๖. จะลาบากตวั เราลองพิจารณาทางเหตผุ ลดู ตามหวั ขอ้ ทพ่ี ระตรสั ไว้ แลว้ จะเหน็ สมจรงิ ข้อแรกการเท่ียวกลางคนื เป็นอาจิณ พระตรสั ว่าเป็นการไม่รักษาตวั ที่ว่า ไม่รักษาก็คือทอดทิ้งตัวเอง ข้อนี้น่าคิด เพราะคนที่ติดเท่ียวกลางคืนทุกคน จะรู้สึกใน ทางตรงข้าม คือรู้สึกว่ารักตัว อยากให้ตัวสนุกสบายจึงไปเที่ยว แต่ทางด้านศาสนากลับ สอนว่าเป็นการไม่รกั ษาตัวทีนี้การที่เราจะตัดสินใจว่า รักษาหรือไม่รกั ษาแน่ ต้องดูว่าตัว เราอะไรเสียไหม หรือไม่เสีย ถ้าดูแล้วมันมีที่เสียก็หมายความว่าเราไม่ได้รักษา ตามท่ี พระท่านตรัสถกู แล้ว เมื่อย้อนมาสารวจดตู ัวเอง เราจะเห็นท่ีเสียๆ แน่ ท่ีเห็นง่ายท่ีสดุ ก็คือ สุขภาพรา่ งกาย เวลากลางคนื เปน็ เวลาทธ่ี รรมชาติสรา้ งมา สาหรบั พักผอ่ น แต่เรากลับไปทรมานกาย อยู่จนดึกดื่นเที่ยงคืน การพักผ่อนก็ย่อมน้อยลง ไม่ได้พักเต็มที่ จริงอยู่ ในตอนแรกๆ และเฉพาะอย่างย่ิงคนวัยหนุ่ม ฤทธ์ิท่ี ชอบเที่ยวชอบสนุก และอยู่ในระยะร่างกายกาลังเติบโต ถึงจะเที่ยวซอกๆ หามรุ่งหามคา่ ก็อาจไม่รูส้ กึ งว่ งหรอื เพลีย แต่ว่าสุขภาพรา่ งกายก็ย่อมจะเสื่อม ลงอย่างแน่ๆ พอที่ร่างกายจะได้ออกกาลังไว้ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ ยาม ดินฟา้ อากาศวิปริต หรอื ออมไวใ้ นคราวมีการเจ็บการตาย แต่กเ็ ปล่าทั้งนั้น นี่เป็นการเสียหายลาดับแรกทีเดียว นอกจากทางสุขภาพแล้ว ท่ีเห็นได้ชัด อีกอย่างคือทางสมรรถภาพ การเงินแนะการทางาน คนท่ีเท่ียวกลางคืน เป็นอาจิณ กลางคืนเที่ยว นอนไม่เต็มตา ไม่แจ่มใส ครั้นเวลากลางวันไป ทางาน สมองก็ทึบ ไม่แจ่มใส จิตใจก็สะลมึ สะลอื อย่ใู นสภาพครึง่ หลบั คร่ึงตืน่ (3)จากพระไตรปิ ฎก เล่ม ๑๑ ปาฎิกวรรค ทีฆนิกาย หนา้ ๑๙๖
คนอย่างนี้ ไม่เหมาะสาหรับการทางานทุกอย่าง เหมาะอย่างเดียวคือนอน ถ้าเป็นนักเรียนก็หัวทึบ มักจะนั่งหลับในเวลาเรียน ถ้าเป็นข้าราชการหรือ พนักงานบริษัท ห้างร้าน ก็มักจะนั่งหลับ ถ้าไม่หลับก็ซึมความคิดสับสน ใช้การไม่ค่อยได้ ยิ่งถ้าบังเอิญเป็นคนท่ีต้องรับผิดชอบในเรื่องสาคัญ เช่น เป็นยาม หรือคนขับรถ ก็จะใช้การไม่ได้เอาเลยทีเดียว ประเด๋ียวก็ได้ตาย กนั เท่านัน้ เอง การเท่ียวหามรุ่งหามค่าแสดงชัดเลยว่า ทาให้สมรรถภาพใน ตัวบุคคลเสื่อมลงอย่างเห็นๆ อย่างนี่แหล่ะที่พระท่านว่าไม่รักษาตัวปล่อย ให้เสียตัวไป น่ีช้ีใหด้ ูพอเปน็ ตัวอย่างสาหรบั รบั โทษขอ้ แรก โทษข้อที่สอง เป็นการทอดทิ้งครอบครัว นี่สาหรับคนท่ีเป็นพ่อบ้านแม่ เรือนโดยตรง แต่สาหรับคนโสดก็มีส่วนเสียตามนี้ด้วย ตามปกติวิญญูชนท่ัวไปใช้เวลา กลางวันออกจากบ้านเรอื น แยกย้ายกนั ไปทามาหากนิ ครั้นเวลากลางคืนก็กลับมาพบปะกัน จะได้ใชเ้ ป็นเวลาช่วยกนั แกป้ ัญหาทางบ้าน สนทนาดูแลทกุ ข์สขุ ของกนั และกนั แตค่ นติด นสิ ัยเทย่ี วกลางคืน เป็นคนทิ้งครอบครัวใหว้ ้าเหวอ่ ยู่ลาพงั ถ้าเพียงครั้งสองครงั้ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าทาเป็นอาจิณเข้า ก็กลายเป็นความทรมานใจ สภาพจิตใจจะเปลี่ยนไปทางเส่ือม ขอให้สงั เกตดเู ถอะ ครอบครัวท่ถี ูกทอดทิ้งอยา่ งนี้ ไปๆ หนอ่ ยจะขาดความสดชืน่ รา่ เริง มี ความหงุดหงิดและอ่อนโยนตลอดเวลา สาหรับคนท่ียังหนุ่มไม่มีลูกเมีย ในยามค่าคืนก็ ควรจะได้อยู่ร่วมญาตพิ ่ีน้อง อยูใ่ กล้บิดามารดาหรือญาติ เวลากลางคืนเป็นเวลาแห่งญาตธิ รรม แต่ถ้าปลีกตัวไปเท่ียวเตร่เสีย ก็เท่ากับตนได้ทอดท้ิงคนทางครอบครัว ไมเ่ ป็นการสมควร กลายเป็นกาหลงรัง ผิดวิสยั ของผู้คิดตัง้ ตัวเปน็ คนมหี ลกั แหลง่ ตอ่ ไป โทษประการท่ีสาม ท่านว่าเป็นการทอดท้ิงทรัพย์ข้อนี้ก็ไม่มีปัญหาทราบ กันอยู่แล้ว คนติดนิสัยเที่ยวกลางคืนทาความไม่ปลอดภัยให้ทรัพย์ถึงสองสถาน คือ โจร ผูร้ ้ายพวกมิจฉาชพี ถ้าเขาจะลกั จะปลน้ เขามักใช้เวลากลางคืน เอาความมืดเป็นท่ีกาบัง ฉะน้ัน วิญญูชนท้ังหลาย เม่ือถึงเวลากลางคืนจึงพากันอยู่ดูแลบ้านเรือนขอนตน ถึงจะมี ธุระไปไหนๆ ก็ต้องรีบกลับ เพื่อทาความปลอดภัยให้แก่ทรัพย์ของตน แต่คนติดเที่ยว กลางคืนกลับตรงกันข้าม เกิดท้ังบ้านเรือนในยามควรท่ีจะดูแลรักษาท่านจึงว่าเป็นคน ทอดท้ิงทรัพย์ นี่สถานหนึ่ง อีกสถานหนึ่งคือการจับจ่ายไปในทางเที่ยว ซ่ึงเป็นการ สุรยุ่ สรุ า่ ยโดยไร้ประโยชน์ ข้อนีท้ ราบกนั อย่แู ล้ว โทษของการติดนิสัยเที่ยวกลางคืน ๓ ข้อท่ีว่ามาแล้ว เป็นโทษทางวัตถุ และร่างกายภายนอก ยงั เป็นโทษสถานเบา บางคนอาจคดิ แก้ตัวว่า ก่อนท่ีจะริ เป็นนักเทย่ี วกลางคืนก็ได้ระวงั ไว้แล้ว ทีนี้จะพูดถึงโทษอีกสามสถาน ซงึ่ คนติด นิสัยเที่ยวกลางคนื ไมม่ ที างแก้ตัวว่าได้ระวังไวแ้ ล้ว คือ :
โทษสถานที่ ๔ เป็นท่ีระแวงของคนทั้งหลาย คือระแวงว่าจะเป็นคนไม่ดี ถา้ ใครพบเห็นเข้าไปเตรอ่ ยตู่ ามตรอกตามซอกคา่ คืนดกึ ด่ืน เขาก็จะต้องนกึ เสียก่อนละว่า ถ้าเป็นจะเป็นอันธพาลหรือเป็นโจรขโมย ถ้าเกิดมีเหตุการณ์ร้ายข้ึนในละแวกน้ัน คนเท่ียวกลางคืนก็มักจะต้องถูกจับกุมไว้ก่อน ผิดถูกค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าแก้ตัวไม่ดีก็เลย พลอยรับโทษไปด้วย เฉพาะในวงการคนทีร่ ู้จักกัน เช่น คนบ้านใกลเ้ รือนเคียง ถา้ เราเป็น คนติดนิสัยอย่างว่า คนทั้งหลายเขาก็ย่อมเพ่งเล็ง มันแปลกน่ี อะไรบ้านช่องไม่อยู่ ! กลับต้ังดึกด่ืนเท่ียงคืนทุกวัน “ถ้าจะหากินในทางไม่ค่อยดีกระมัง !” ใจคนมันห้ามได้ เม่ือไร พอลงได้ระแวงไว้อย่างนี้แล้ว ก็ถูกระแวงกินแถว เห็นมีสตางค์ใช้ซ้ือของใหม่ๆ เข้าบ้าน เขาก็ซุบซิบกันวา่ นน่ั ถ้าจะขโมยใครเขามา เห็นลกู เมียเราแต่งตัวมีทองมีหยองหน่อย เขากร็ ะแวงว่า ถ้าจะไปจ้ีใครเขามากระมัง ถ้าเราจนเงินทองไม่มใี ช้ ขายของเก่าไปพากัน ว่า “มันเท่ียวหามรุ่งหามค่าก็หมดตัวละซิ” ถ้าลงหนังสือพิมพ์ลงข่าวมีการจ้ี การปล้น จับตัวคนร้ายไม่ได้ ชาวบ้านก็ระแวงอีกว่า “เม่ือคืนน้ีเห็นแกกลับดึก ถ้าจะใช้แล้วๆ” คร้ันเราป่วยออกจากบ้านไม่ได้ ไม่ได้ไปไหน ชาวบ้านเขาก็ว่า “ถ้าจะหลบเจ้าหน้าท่ี กระมัง” ข้ีผงเข้าตาเจ็บตานิดหน่อย คนเขาก็ระแวงว่า “ถ้ามีเชื่อ ! เท่ียงเก่งนักนี่” บ่นปวดเมื่อย เขาก็ว่าเราเป็นโรคเข้าข้อ ตัวเป็นผ่ืนคันนิดเดียว เขาก็ว่าเร่ิมออกดอก นี่แหละ ลงได้ติดเท่ียวกลางคืนบ่อยๆ แล้ว มันขาดทุนปนบี้หมดแล้ว อย่างน้ีเรียกว่า “เสียยี่ห้อ” น่ีดีว่าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงวัยรุ่นวัยสาว เกิดติดนิสัยออกนอกบ้าน กลางคืน กลับดึกๆ ดนื่ ๆ อยา่ งว่าแล้ว แล้วเลย ! ถงึ จะออกแถลงการณ์แก้ตัวว่าไปหากิน อากาศ กนิ โอโซน กินบะหม่ี ไอสครมี กแ็ ก้ความระแวงในใจคนไม่ได้ เพราะเขารู้เขาเห็น ว่ากลับบ้านดึกๆ ทุกวันเท่าน้ัน เขาก็ปักใจระแวงไปข้างไม่ดีกันทีเดียว เห็นแต่งตัวหรูๆ แทนทช่ี าวบ้านเขาจะชม เขากลบั มาซุบซบิ วา่ คงจะไปบาเรอใครมา ถือกระเป๋าใหม่ เขาก็ วา่ เจ๊กเอามาเลย นุง่ กระโปรงใหม่ เขากว็ ่าแขกเอามาฝาก ไดย้ ินแลว้ ปวดหวั โทษประการท่ี ๔ มักถูกใส่ความ และโทษประการท่ี ๕ ที่ว่าจะลาบากตัว เป็นอันกระจ่างแล้ว ลงได้ทาตาให้คนเขาระแวงแลว้ เม่ือมอี ะไรเกิดขึ้น เขากใ็ สค่ วามเอา เป็ดหายไก่หายเขาก็ว่า “มันจะเป็นใครท่ีไหนล่ะ ต้องไอ้นั้นขโมยแน่ๆ” ความประพฤติ เรามันวบิ ัติเสียแล้วน่ี เหมือนพ้ืนบ้านเรามันลมุ่ ฝนตกทขี ้ีหมขู ้ีหมามันกไ็ หลมารวมท่ีบา้ น เราจนได้ หนักเข้าเราเองจะเป็นฝ่ายต้องคอยแก้ตัว พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้ชาวบ้านเห็น แต่ก็อีกแหละ ยิ่งแก้ตัวมาก เขาก็ย่ิงสงสัยว่ากินปูนร้อนท้อง ย่ิงหลักเข้าไปอีก หนักเข้า เราไม่ได้ทาอะไรให้เพ่ือนบ้านเดือดร้อนเลยจริงๆ แต่ใครเขาจะลักของกันขโมยของกัน เราตอ้ งถกู ใส่ความทั้งนั้น
นี่แหละ เขาว่าชาตาเสีย ชาวบ้านร้านถิ่นบ้านใกล้ก็เลยถือเราเป็นศัตรู ตัดการคบหาสมาคมด้วย ถึงคราวจาเป็นจะหันหนา้ ไปพ่ึงใคร เป็นความลาบากเอาจริงๆ ลาบากเพราะอยากเที่ยวค่าคืนแท้ๆ เพราะฉะน้ันพระพุทธองค์จึงตรัสว่า การเที่ยว กลางคนื บ่อยๆ เปน็ ความประพฤติทีเ่ สยี อย่างหนง่ึ อ่านดูแต่หัวขอ้ ก็ดูจะไม่เสยี แตเ่ มื่อคิด ให้ละเอยี ดแล้วเสียจรงิ ๆ เสียเอามากๆ ด้วย มนั เสียยี่หอ้ ! วบิ ัตขิ ้อที่ ๒ อาจารวบิ ตั ิ (ตอ่ ) ตดิ ดกู ารเล่น จะพูดถึงเรื่องวิบัติของชีวิต ต่อจากท่ีพูดไว้แล้วเมื่อวันพุธก่อน คือ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ชีวิตของคนเรามีจุดวิบัติร้ายแรงอยู่ส่ีจุดด้วยกัน หมายความว่า ถ้าใครมีวิบัตทิ ้ังส่ีตามที่ตรสั น้ัน ชวี ิตของคนน้ันเอาดีไม่ได้จะต้องประสบความหายนะ ถ้า หากไม่รีบแก้ไขเสียให้ดี การที่นาเร่ืองนี้มาเสนอ ก็เพื่อพ่ีน้องทหารและท่านผู้ฟังท่ีรัก ความก้าวหนา้ จะไดต้ รวจดูตัว ถ้าเห็นว่ามจี ดุ วบิ ัตอิ ยูก่ ็ให้รีบแก้เสยี ชาตาจะดีข้ึน ที่จริงคน เป็นอันมากก็สนใจในเรื่องทานองนี้อยู่แล้ว อยากทราบว่ามีอะไรเป็นเสนียดจัญไรในตัว บ้างและจะแก้ไขอย่างไร แต่แล้วเขา้ ไมถ่ ึงจุดสาคัญเสียเป็นส่วนมาก ข้าพเจ้าขอโทษด้วย ท่ีจาเป็นจะต้องพูดเร่ืองนี้อย่างตรงไปตรงมา คือคนบางคนกลัวจะวิบัติมาถึงตัวกลัวเป็น ความกลัวถูกจับ กลัวติดคุก แต่แล้วไปหาดูความวิบัติในดวงชาตาบ้าง ดูตามเม็ดไฝตาม ลายมือบ้างตกบทแก้ก็ไม่ค่อยถึง แก้ด้วยการบนศาลกล่าวบ้าง ด้วยการรดน้ามั นต์ เสกเปา่ บ้าง ซึ่งเป็นการเข้าไมถ่ ึงจุดเรื่องน้ีได้ยา้ มามากแล้ว แตก่ ็ขอย้าอีก โดยขอย้าเพียง นิดเดียวว่า การตรวจวิบัติและแก้วิบัติแบบท่ีว่านั้นยังไม่ถึงจุด หวังได้ผลน้อยเต็มที่ เหมอื นตรวจโรคภายในตวั จากรปู ถ่าย และเหมือนรักษาโรคภัยด้วยคาปลอบโยน ได้ผล เพียงใหก้ าลังใจแก่ผู้ป่วยเทา่ นั้น จุดวิบัติของชีวิต พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้สี่จุดด้วยกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับ ความประพฤติ และนิสัยใจคอของเราท้ังสิ้น สี่จุดน้ันผ่านมาแล้วหนึ่ง วันน้ีจะพูดเฉพาะ จุดท่ีสอง คือเรื่องความวิบัติทางอาจาระ หรือท่ีเรียกว่าอาจารวิบัติ หมายถึงการเสีย ความประพฤติ ได้แจกแจงให้เห็นแล้วว่า ความบรสิ ทุ ธ์ิผดุ ผ่อนของชีวิต ต้ังบนรากฐานคือ ความประพฤติ หากความประพฤติเสียเสียแล้ว ความรุ่งเรืองทั้งปวงก็ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่ รองรบั คนผู้น้ันก็เจริญไมไ่ ด้ ในเรอื่ งความประพฤตเิ สยี นั้น ข้าพเจ้าได้ยกเอาหลักอบายมขุ ๖ มาเป็นหลักพิจารณา ได้อธิบายมาแล้วในข้อท่ี ๑ และท่ี ๒ คือการเสพยาเสพติด ให้โทษ กับการเที่ยวกลางคืน พูดจนเห็นชัดๆ แล้ววา่ ถ้าทาอยา่ งนนั้ แล้วความวบิ ัติมนั จะ เลน่ งานเอา
วันนี้จะชี้แจงเพ่ิมเติมบางแง่บางมุม ที่เป็นความวิบัติของความประพฤติ ตามแนวอบายมุข ที่พระตรัสน้ันเร่ืองต่อไปคือการติดดูการเล่น ข้อนี้ฟังดูเผินๆ ก็รู้สึกว่า น้าหนักเบาไปหน่วย หลายคนคงจะคิดว่าเคร่งเกินไป หรือเข้มงวดกวดงวดขันเกินไป เพียงแต่ติดเที่ยวดูการเล่นก็จัดว่าเสียจารระ คือความประพฤติวิบัติ ท่ีคิดว่าเบาน้ันอาจ เพราะเหตุสองอย่าง คือไม่เข้าใจความหมาย และไม่เคยเจอคนประเภทน้ี ถ้าเข้าใจและ เจอเขา้ แล้วจงึ จะหมดสงสัย ในหลักอบายมุข ๖ ท่านยกเอาเร่ืองน้ีข้ึนเป็นอบายมุขข้อหน่ึง อยใู่ นลาดับ ท่ี ๒ เสียด้วย คือเป็นข้อเสียร้ายแรงอยู่ มิใช่ขนาดพอดีพอร้าย การติดเที่ยวดูการเล่นน้ี หลักพระบาลีเดิมท่านใช้คาว่า “สนัชชาภิจรณะ” แปลตรงตัวว่า ติดเท่ียวดูการเล่น ในแบบเรียนนักธรรม และหนังสือเรียนของนักเรียนแสดงโทษของอบายมุขข้อน้ีไว้ ชวน ให้ฉงนเป็นอย่างย่ิง ถ้าครูอธิบายไม่แจ่มเกือบจะไม่เข้าใจเลยว่าเสียอย่างไร และให้โทษ อยา่ งไร คอื ในแบบท่ีพูดไวว้ ่า เทย่ี วดกู ารเล่นมโี ทษ ๖ อยา่ ง คือ: ๑. ราที่ไหนไปทนี่ นั่ ๒. ขับร้องทไ่ี หนไปท่ีนั่น ๓. ดดี สีตีเปา่ ทไ่ี หนไปท่ีน่นั ๔. เสภาที่ไหนไปท่ีน่นั ๕. เพลงที่ไหนไปที่นนั่ ๖. เถิดเทิงท่ีไหนไปที่นั่น ท่านผู้ฟังๆ ดูแล้วรู้สึกอย่างไร เห็นโทษของท่านเท่ียวดูการเล่นหรือเปล่า! เปล่าเลยใช่ไหม? ข้าพเจ้าเองก็เหมือนกัน เม่ือเขียนทีแรกก็งง คือในหัวข้อบอกว่า โทษการเที่ยวดูการเลน่ ๖ อยา่ ง แตเ่ วลาแจกลูกออกไปเป็นแตบ่ อกวา่ มรี อ้ งราทาเพลงท่ี ไหนไปทีน่ ั่น ไมเ่ ห็นจะมีโทษอะไร ความจรงิ ทที่ า่ นขยายออกไว้ให้ดนู ้นั ทา่ นต้องการจะชี้ ให้ดวู ่า การติดเที่ยวดูการเล่นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสน้ันคือคนมนี ิสัยอยา่ งนี้ ไมว่ ่าเขาจะ มีอะไรที่ไหนเป็นต้องไปท่ีนั่น ไปให้ได้ หรือไปจนได้ เพราะมันติดเข้าไปในหัวใจเสียแล้ว คล้ายๆ กะท่านจะบอกเราว่า คนที่ติดนิสัยแล้วเพียงแต่เถิดเทิงก็ไป ไม่ใช่การเล่นวิเศษ วิโสอะไรเลยท่านจะบอกเราว่าอย่างน้ีต่างหาก ต้องเล็งดูในใจของคนที่ติดแล้วจึงจะเห็น สมยั กอ่ นคนบางคนไดย้ ินเสียงกลองลิเกมือไมอ้ ่อนหมดเลย ทางานไม่ไหว ต้องรีบแตง่ ตัว ไปดูลิเกให้ได้ แม่ลูกอ่อนบางคนลืมป้อนข้าวลูกก็มี ถึงในสมัยนี้ก็มี เด็กนักเรียนบางคน ติดนิสัยดูการเล่นแล้วถือการเล่นใหญ่กว่าการเรียน กลางคืนดูการเล่นจนดึกด่ืน เช่น ดูหนังดูละคร เช้าต่ืนข้ึนกค็ ิดถึงเรื่องที่ดู สายไปโรงเรยี นเจอเพื่อนฝูงก็คยุ กนั แตเ่ ร่อื งหนังละคร
เข้าห้องเรยี นก็คิดถึงแต่เรื่องการละเล่น หนังเร่อื งนี้จะเข้าเรื่องน้ันจะออก พระเอกแสดง เท่านั้น นางเอกแสดงท่านี้ ไม่เป็นอันสนใจกับการเรียน ปะเหมาะบางคนยังซุกซ่อนเอา หนังสือการ์ตูนเรื่องเล่นเข้าไปอ่านขณะเรียนเสียด้วยซ้า เด็กท่ีติดนิสัยเท่ียวดูการเล่น อย่างแรง มักจะข่มใจตัวเองไม่อยู่หนีการเรียนไปหาการเล่น บางทีก็ไปเตร่ดูภาพหน้า โรงหนังจนกระทั่งเย็น นี่ติดอย่างเด็ก เลยเด็กข้ึนมาแล้วก็ยังมีและมีไม่น้อยเหมือนกัน บางคนทั้งๆ ที่มีงานสาคัญคามืออยู่ เช่นเป็นข้าราชการ หรืออยู่เวรยาม ย่อมเสี่ยง ความผิดหนีไปดูการเล่นดูหนังดูละครก็มี รวมความว่า การเท่ียวดูการเล่นที่พระตรัสว่า เป็นอบายมุข ที่เสียความประพฤติหมายถึงการติดเปน็ นิสัย ใหน้ ึกถึงคนติดฝิ่น ติดสุรา ก็ แล้วกัน ใจเหมือนกันน่ันแหละ แต่นั่นติดสูบ น่ีติดดู และดูแบบอบายมุขน้ีหมายถึงเที่ยว ไปดู ศัพท์ภาษาบาลีท่านใชค้ าวา่ “อภิจรณะ” แปลว่า “เท่ียวซอกๆ” เท่ียวขนาดน้ีเห็น จะตรงกบั ทีเ่ ขาพดู กนั ว่า “เท่ยี วหัวราน้า” กระมงั ส่วนการดูการเล่นเพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดทางจิตใจ เช่น ดูกีฬา ดูหนัง ฟังดนตรี หรือดูการแสดงต่างๆ เพ่ือความบันเทิง หรือเพ่ือ การสังคมศึกษา เป็นมื้อเป็นคราว ทางศาสนาไม่ตาหนทิ ี่ตาหนิเฉพาะเที่ยว ดูถงึ ขนาด อภิจรณะ เท่ียวซอ่ กๆ เทา่ นน้ั ติดเท่ียวดกู ารเล่นขนาดน้นั แล้ว เสยี ความประพฤติอย่างไร เหน็ จะไม่มีปญั หา เพราะธรรมดาว่าการเล่นนั้นมันไม่ใช่การจริง ชื่อมันก็บอกว่าการเล่น คนทั้งหลายเขาก็ ชอบ แต่ก็ชอบดูเล่นๆ ไม่ถึงกับมอบกายถวายตัวเอาเป็นงานจริงจังของชีวิต แต่คนติด เขา้ แลว้ เกิดถอื เอาเปน็ จรงิ เปน็ จัง เมอื่ ไปถอื เอาของเล่นเป็นของจรงิ เขา้ ทีๆ่ จะจรงิ กเ็ ลย กลายเป็นเล่น น่ีสิมันเสียตรงน้ี คนประเภทน้ีเป็นคนทาลายความไว้วางใจในตัวเอง ทีแรกก็ดูไม่เสียหายร้ายแรงอะไรนัก เพียงแต่ทาตัวเป็นคนเจ้าสาราญชอบสนุกสนานแต่ คร้ันติดเป็นนิสัยด่ืมด่าแล้วจะเห็นการเล่นเป็นของจาเป็น เหมือนกับคนสูบฝ่ินน่ันแหละ พอติดเข้าแล้วมันเลยหลายเป็นของจาเป็น เป็นตายร้ายดีต้องพยายามสูบให้ได้ หนักเข้า แม้ว่าข้าจะกินก็ดูจาเป็นน้อยกว่าฝิ่น กลัวอดฝ่ินมากกว่าอดข้าว ท้ังๆ ท่ีข้าวเป็นอาหาร เล้ียงชีพ ลูกเมียก็ดูจะรักน้อยกว่าฝน่ิ ที่ติดร้ายแรงจรงิ ๆ ถึงขนาดกลัวคุกตะรางน้อยกว่า กลวั อดฝนิ่ เสยี ด้วยซา้ ทีว่ ่านี้เทยี บให้เห็นว่า ของที่ไม่จาเปน็ นน่ั แหละ หากตดิ เขา้ แล้วมัน กเ็ ปน็ นายหวั ใจเราไดไ้ ม่รตู้ วั คนติดูการเล่นก็เหมือนกัน ทีแรกก็ดูเล่นๆ สนุกดีไม่เห็นเสียอะไร หนักเข้า ก็เลยกลางเป็นจริง คือมีจิตใจหมกมุ่นไปในทางเล่น คนเรามีใจอยู่คนละดวงเท่านั้น เม่ือเอาใจผูกพันไว้กับการเล่นแล้ว ก็เลิกถอยจากความจริงคนประเภทน้ีอยากจะดูที่เสีย ต้องดูทางงานจริง ดูแล้วจะเห็น คือเขาจะกลายเป็นคนขาดความจริงใจ เป็นคน
เหลาะแหละ ทาอะไรไม่ได้เรื่อง ติดเท่ียวดูการเล่นนั้นเสียอย่างน้ี แล้วขอให้พ่ีน้องทหาร หลับตานึกดูเถอะว่าเสียอย่างว่าน้ีเสียมากหรือเสียน้อย อย่างน้ีแหละที่ว่าเสียแต่งไม่ข้ึน คนประเภทนี้ไม่ว่าจะมอบงานอะไรให้ทาก็เห็นเป็นเล่นไปหมด ทาย่อหย่อน ทาเหลาะแหละ ถ้าลงได้มีอันเป็นอย่างน้ี ยากนักท่ีใครจะมอบความไว้วางใจให้ทางาน สาคัญ คนเราเกิดมาเป็นคนกับเขาชาติหน่ึง ไม่ทางานสาคัญเสียเลยก็ป่วยการ จะหา ความสาคัญอะไรได้ น่แี หละท่านจงึ วา่ เปน็ ความวบิ ัติทางความประพฤติ อันท่ีจริง การเท่ียวดูการเล่นต่างๆ นั้นเป็นทางพักผ่อนหย่อนใจ ทาใหส้ ขุ ภาพทางกายทางใจดขี น้ึ เหมอื นกนั แตท่ ้ังน้ีทั้งน้ันต้องให้พอเหมาะ พอดเี ปน็ มอ้ื เป็นคราว อย่าให้ถึงกบั ติด ถา้ ตดิ แลว้ ลาบากและมีทางเสยี หาย ดงั กลา่ วแล้ว. วิบัตขิ อ้ ท่ี ๒ อาจารวบิ ตั ิ (ต่อ) คบคนชั่ว วนั น้ีขอสนทนาต่อเรื่องเก่า คือเรื่องความวิบัติของชีวิต ซึง่ หมายถึงจุดท่ีทา ให้การสร้างชีวิตของเราล้มเหลว ทาดีไม่ข้ึน หรือทาขึ้นก็ไม่ดี จุดวิบัติน้ีพระพุทธเจ้าทรง แสดงไว้ มีสี่จดุ ดว้ ยกัน คอื : เร่อื งศีล ซงึ่ หมายถึงพื้นเพของชีวติ เรือ่ งอาจาระ ซ่งึ หมายถงึ พฤตกิ ารณข์ องชวี ิต เรือ่ งทฐิ ิ ซึง่ หมายถึงแนวทางชีวติ เรือ่ งอาชพี ซงึ่ หมายถงึ การเลยี้ งชีวติ รวมความให้ส้ัน ชีวิตของคนเราจะวิบัติล่มจมก็เกิดความวิบัติในส่ีจุดน้ี คือ วิบัติท่ีพ้ืนเพของชีวิต ท่ีพฤติการณ์ของชีวิต ท่ีแนวทางของชีวิต และท่ีการเล้ียงดูชีวิต ในสี่เรื่องน้ี เรื่องแรกคือเร่ืองพื้นเพของชีวิต ได้บรรยายไปแล้ว เป็นอันแล้วกันไป ถัดนั้น มาได้บรรยาย จุดท่ีสอง คือเรื่องอาจารวิบัติ ความเสียทางความประพฤติเสร็จแล้วก็ จาแนกแยกแยะออกไปว่า ท่วี า่ เสยี ความประพฤตนิ นั้ เสียอย่างไรบ้าง ทาอะไรขนาดไหน จึงเป็นความเสียความประพฤติ ได้แยกออกให้ฟังเป็นอย่างๆ รวม ๖ อย่าง ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในหกอยา่ งน้ันวา่ มาแล้วส่ี เหลือสอง วันนี้จะพูดสองอัน
ท่ีเหลือ ในขณะท่ีฟังโปรดราลึกไว้ด้วยว่า เวลานี้เราพูดกันถึงปัญหาความประพฤติ ท่ีเสีย และเสยี ขนาดจะทาใหช้ ีวิตวิบตั ิ ความวิบัติทางอาจาระประการท่ีห้า คือการคบหาสมาคมกับคนชั่ว เรื่องน้ี เกยี่ วกบั การสังคม การเขา้ สงั คมเป็นส่งิ จาเป็นอยา่ งหน่ึง ในการแสวงหาความกา้ วหนา้ ไม่ วา่ ในทางการศึกษา การอาชีพ และธุรกิจใดๆ ก็ตามเราจาเป็นจะต้องมีการสังคม คือทา ความรจู้ ักรักคุน้ กับคนอื่นใหม้ ากหนา้ หลายตา เวลามีธุระปะปงั เกิดขึ้นจะไดช้ ่วยเหลือกัน เรื่องเหล่าน้ี ดูเหมือนจะทราบกันอยู่แล้วสาหรับคนสมัยน้ี ย่ิงเด็กรุ่นใหม่ๆ น่ียิ่งแล้วเลย ปากยังไม่สิ้นกล่ินน้านมเสียด้วยซ้า วอนถึงเรื่องสังคมแล้วเด็กชั้น ป.๒ ป.๓ มีการคิดจะ จัดงานวนั เกิด มีการคดิ จะจัดเลี้ยงเพ่อื นฝูง แล้วก็เขยี นจดหมายถึงกัน สะกดการนั ต์ยังไม่ กระดิกเสียด้วยซ้า พอโตข้ึนหน่อยก็ย่ิงห้าวสังคมหนักข้ึน มีการแข่งขันว่าใครจะเพ่ือนมาก ใครจะมเี พอ่ื นตา่ งเพศสนใจมากกวา่ กนั พฤตกิ ารณ์เหล่านีแ้ สดงว่าคนทุกวนั นี้รู้จักค่าของ สังคมมากขึน้ เม่ือคนเขาร้จู ักกันอยู่แลว้ ธรุ ะท่ีข้าพเจ้าจะต้องแนะนาก็ไม่มี แนะนาทาไม เขารูก้ นั อยแู่ ลว้ และเขากใ็ ฝ่ฝันท่ีจะเขา้ สงั คมกันอยู่แลว้ ถงึ กบั หนีโรงเรียน ไปหาสงั คมก็มี ถึงกับหลบงานการไปเข้าสังคมก็มี เห็นๆ กันอยู่แล้ว ท่านผู้ฟังอาจยังจาได้บ้าง เมื่อ ข้าพเจ้าพูดถึงเร่ืองอิสรภาพ หรือความเป็นอิสระแก่ตัวในเร่ืองนั้นข้าพเจ้าบอกว่า คนสมัยกอ่ นไม่รู้จกั ค่าของอสิ รภาพ บรรดาผู้ท่ีรู้ต้องช่วยกนั ปลุกตะโกนเรียกใหท้ ุกคนต่ืน ข้ึนรับอิสรภาพ แต่ต่อมาคนรู้ค่าของอิสรภาพแล้วเกิดอยากได้อิสรภาพเป็นการใหญ่ อยากมีอิสระแก่ตัว ใครว่าอะไรนิดหรือทาอะไรหน่อย ก็ให้มีอันเสียใจว่าตัวเสียอสิ รภาพ หนักเข้าเลยจะสาลักอิสรภาพเสียให้ได้ เสียผู้เสียคนเพราะเร่ืองอยากมีอิสระเสียนักต่อ นักแล้ว ข้าพเจ้าจึงสรุปได้ว่า ตอนปลุกคนขึ้นรับอิสรภาพน้ันยากไม่ใช่น้อย แต่ตอนคน ตื่นแล้วเกิดหิวอิสรภาพแล้ว เราห้ามไม่ให้หลงอิสรภาพนี้ยากกว่าสักร้อยเท่าเห็นจะ ไดเ้ ปรียบเหมือนว่า การปลุกคนหลบั ใหล้ ุกข้นึ กนิ ข้าว กบั การหุงหาสารบั กับข้าวใหค้ นตื่น ขึ้นแล้วกิน งานมันหนักเบาต่างกันมาก หากับข้าวให้คนต่ืนแล้วกินย่อมยากกว่าปลุกคน หลับใหต้ ่ืนขนึ้ กินข้าวเป็นไหนๆ ปัญหาเร่ืองสังคม ก็มีลักษณะคล้ายๆ กะเรื่องอิสรภาพ อีกแหละ เวลาน้ีคนตื่นข้ึนแล้วอยากจะเข้าสังคม อยากจะเด่นใน สงั คม อยากจะกว้างในสังคม อยากกันอยู่แล้ว ปัญหาสาคัญเลื่อน มาอยู่ ตรงที่ว่า ทาอย่างไรคนจึงจะไม่เน่าเพราะสังคม ?! ทา อย่างไรทุกคนจึงจะรู้ความเป็นจริงว่า สังคมน่ะเหมือนกะมีด มีท้ัง สนั ทง้ั คม คน เล่นกับมีดมากๆ ต้องระวังตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นน้ิวจะ ขาดเพราะมีดคน เล่นกับสังคมก็เหมือนกัน พลาดท่าถูกสังคม
เฉือนจนเป็นผีตายโหงไปแล้วก็มาก เรื่องของสังคมมันอย่างน้ี ตา่ งหากไมใ่ ช่ว่าถา้ เรากวา้ งขวางแลว้ จะดเี สมอไป แต่ในความรู้สึกของคนไม่น้อยที่คิดว่า ความเสียหายทางสังคมมีอยู่ทาง เดียว คือผู้นั้นไม่ค่อยเข้าสังคมอย่างเช่นเห็นใครเปน็ คนเก็บตัว ไม่ค่อยขึ้นสโมสร ไม่ค่อย ไปมาหาสู่ใคร เราชอบตาหนิว่า คนนั้นเสียทางสังคมจะวา่ ไม่รู้จกั เข้าสังคม หรือทิ้งสงั คม ก็แลว้ แต่ แต่คิดวา่ เสียทางสังคม ทีร่ ้ายที่สดุ เพยี งเท่าน้ี เพยี งการไม่ค่อยเข้าสังคมนี้ แต่ใน ทรรศนะทางพระพุทธศาสนา เห็นว่าจุดน้ีไม่สาคัญ คือไม่ใช่ความเสียหายทางสังคม ร้ายแรงอะไรความเสียหายที่รา้ ยกว่าน้ันยังมีอีก และไม่ใช่เสียเพราะการไม่เข้าสงั คม แต่ เสียเพราะเมาสังคม หรือหลงสังคมไปคบหาสมาคมกับคนชั่วคนเลว เอาเป็นมิตรเป็น เกลอนี่สิเสียหายร้ายกาจนัก ทางศาสนาสอนว่าเราไม่มีมิตรเลยดีกว่ามีคนเลวเป็นมิตร ถ้าสมมติว่าโลกน้ีมีเราอยู่เพียงสองคน คือเรากับใครอีกคนหนึ่ง แต่ผู้น้ันเป็นคนช่ัวก็อย่า คบเอาเป็นมิตรเลยดีกว่า ท่านว่าอย่างนี้ แสดงว่าการสังคมจะดีหรือเสียมิใช่อยู่ท่ีกว้าง หรือแคบ ไม่ได้อยู่ที่ว่าเรารู้จักคนมากหรือน้อย แต่อยู่ท่ีว่า เราคบคนดีหรือคนชั่วน่ัน ต่างหาก เพราะฉะนั้นขอใหเ้ ราไดม้ าสนทนาทาความเขา้ ใจกนั ในเรื่องนี้ดบู ้าง ก่อนอื่น ขอใหพ้ ่ีน้องทหารและท่านผฟู้ ังต้ังข้อสังเกตไว้ดว้ ยว่า ในการทีเ่ รา เกิดมาเป็นคน ผู้ท่ีจะทาให้เราเสียได้มากท่ีสุดก็คือคนด้วยกัน สังเกตดูทรรศนะทางพุทธ ศาสนาเป็นอย่างนี้ ดูสิแทนที่พระพุทธองค์ก็จะทรงสอนให้เราระวังเสือสาง แมลงป่อง ตะขาบ กลับทรงสอนให้ระวงั คนด้วยกัน และความจริงก็เป็นเช่นนนั้ สัตว์ทุกชนิดในโลก ไม่ว่าจะร้ายกาจสักปานใดก็ตาม ทาอันตรายแก่เราได้แค่ตาย แต่ไม่มีสัตว์ชนิดใดทาให้ เราเสยี ผเู้ สียคนได้เลย มแี ตค่ นด้วยกนั เทา่ น้นั ทท่ี าใหค้ นเสยี คนได้ คนที่ทาให้เราเสียได้ พูดง่ายๆ ก็คือ คนที่เสียคนแล้ว ท้ังนี้ทั้งนั้น หมายถึง ทาให้เสียความประพฤตินะนี่ เรากาลังพูดถึงอาจารวิบัติ คือปัญหาเร่ืองความประพฤติ เท่าน้ัน ไม่ได้พูดกันถึงการเสียขนาดเป็นบาปเป็นกรรม แต่พูดกันถึงการเสียความ ประพฤติ คนที่ถ้าเราไปคบเอาเป็นมิตรเป็นเกลอแล้ว จะให้เราถูกตราหน้าว่าเสียความ ประพฤติน้ัน ภาษาทางศาสนาท่านใช้คาว่า “คนช่ัว” คือเขาน่ะช่ัวอยู่แล้ว ใครไปคบหา สมาคมเข้าก็เลยพลอยเสียไปด้วย ถูกหาว่าชั่วตามไปด้วย คนประเภทนี้ ได้แก่คนที่เป็น นกั เลงชนิดต่างๆ ๖ ประเภทดว้ ยกนั คือ: นักเลงการพนนั นักเลงเจ้าชู้ นักเลงสุรายาฝ่ิน นักเลงคา้ ของเถื่อน หลอกลวง
นักเลงขฉี้ อ้ นกั เลงอนั ธพาล รวมทั้งส้ิน ๖ นักเลงด้วยกัน ทั้งหกน้ีเป็นพระพุทธวจนะ มีมาในคัมภีร์ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๑ ปาฏกิ วรรคฑฆี นิกาย โปรดสังเกตคนท่ีทางศาสนาถือว่า เป็นคนช่ัวประเภทท่ีจะทาให้เราเสีย ความประพฤติ ในเม่ือไปคบเอาเป็นเพ่ือนคู่จิตมิตรคู่ใจเข้า ต้องถึงขั้นนักเลงทั้งน้ัน ภาษาบาลีท่านใช้คา โสณโท แปลว่านักเลง คนขนาดท่ีเรียกว่านักเลงหมายความว่า เป็นคนท่ีปักใจจมดิ่งไปในทางนั้นจริงๆ ถอนตัวไม่ขึ้น อย่างท่ีข้าพเจ้าเคยปรารภมาแล้วว่า ถึงข้ันติด เห็นเป็นดีเป็นชอบไปจริงๆ อย่างเช่นนักเลงประเภท ๑ นักเลงการพนัน ก็หมายความว่าหลงใหลกับการพนัน ยอมหมดตัวเพราะการพนันทีเดียว จึงเรียกว่า นกั เลงการพนัน ไม่ใช่วา่ ซ้ือล็อตเตอรี่เสี่ยงโชคใบสองใบ ก็จะเหมาเอาว่านักเลงการพนัน ไม่ใช่อย่างนั้น, นักเลงประเภท ๒ นักเลงเจ้าชู้ก็เหมือนกัน ถึงขนาดบ้ากามมักมาก ละเมอเพ้อพกกับเร่ืองกามารมณ์ ไม่เป็นอันทางานทาการ และทาทุกส่ิงทุกอย่างเพ่ือ กามารมณ์ ยอมเสยี เกียรตยิ ศ ยอ่ มเสยี ศักดศิ์ รี ยอมเสียศีลธรรม ทาการฉดุ คร่าอนาจารก็ ยอม อย่างน้ีเรียกว่านักเลงเจ้าชู้ ไม่ใช่เพียงแต่หลงรักผู้หญิงคนสองคน ก็จะถือว่าคนช่ัว ไม่ใช่นักเลงประเภท ๓ นักเลงเหล้าและฝ่ิน ก็หมายถึงคนประเภทตกเป็นทาสของส่ิงมึน เมาเสพติด ยอมทาทุกส่ิงทุกอย่างเพื่อส่ิงน้ันจริงๆ แม้จะปล้นเขาก็ลักเขากินก็เอา ขนาดนีจ้ ึงเรยี กวา่ นกั เลง ไมใ่ ชด่ ื่มสรุ าตามประสาคนในสงั คมทว่ั ไป ก็จะถอื ว่าเป็นนักเลงเหล้า และเหมาเอาว่าเป็นคนช่ัว ไม่ใช่อย่างน้ัน, นักเลงประเภท ๔ นักเลงค้าของเถื่อน ก็ หมายถึงคนต้ังหน้าหากินในทางต้มคน เช่นทาสินค้าปลอม ทายาปลอม ทาแบ๊งค์ปลอม ค้าของเถ่ือน เหล่าน้ีเป็นต้น ถึงข้ันปักใจ ตารวจจับได้ปรับไหมแล้ว ก็เอาใหม่ ติดคุกแล้ว ออกมาก็ปลอมอีกคือปักใจทาจริงๆ เรียกว่านักเลงของปลอม ไม่ใช่เพียงแต่ทาโดย รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะเหตุคับขันบังคับชั่วคร้ังช่ัวคราว, นักเลงประเภท ๕ นักเลงขี้ฉ้อ คือคนท่ีต้ังหน้าต้ังตาหากินในทางฉ้อโกงคนอ่ืน พอโกงได้โกงพอตู่ได้ตู่ สร้างเหล่ียมโกง เพ่ือนมนุษย์ไม่รู้จักส้ินสุด เช่นทาหลักฐานเท็จ ทาโฉนดเท็จ ปั้นพยานเท็จ รวมความหา กินทางโกง อย่างน้ีนักเลงขี้ฉ้อ ไม่ใช่เพียงเข้าใจผิดกันเป็นครั้งคราว, นักเลงประเภท ๖ คือนักเลงอันธพาลคือคนที่ติดนิสัยรังแกข่มเหงคนอ่ืน หาความสุขด้วยการเกะกะ อาละวาด คนประเภทน้ี ไม่มีใครมาพาลก็ไปหาพาลเอากับคนอ่ืน จนเป็นนิสัย อย่างน้ี
เรยี กว่านกั เลงอันธพาล ไม่ใช่พน่ี ้องทะเลาะกนั หรอื ใครคนหนึ่งถกู ยัว่ โทสะจนยงั้ สติไมอ่ ยู่ ทุบตีใครลงไป ก็จะนับว่าเป็นนักเลงอันธพาลทั้งหมด ไม่ใช่รวมความว่า คนประเภทน้ี ศาสนาเรียกว่าคนช่ัว ห้ามคบ หมายถึงคนชั้นนักเลงจริงๆ ไม่ใช่เพียงคนทาผิดชั่วครั้ง ช่ัวคราว เรื่องนักเลงน้ีความจริงชาวบ้านเราก็พูดกันมานานจนติดปาก แต่ไม่ค่อยได้วาง หลักเกณฑ์แน่นอนว่านักเลงมีกี่ประเภท แต่ทางศาสนาท่านจัดวิจัยไว้เรียบร้อยว่ามี ๖ ประเภท ทงั้ น้ีคนๆ เดยี วอาจครองตาแหน่งนกั เลง สอง – สาม ตาแหนง่ ด้วยกไ็ ด้ ถ้าหาก ใครเปน็ นกั เลงครบทงั้ ๖ แขนงกเ็ ห็นจะต้องเรียกวา่ ยอดนักเลง หรืออยา่ งไร เม่ือแจกแจงออกให้ดูแล้วอย่างน้ี ยังจะมีท่านผู้ใดสงสัยอยู่อีกหรือว่า การคบเปน็ มิตรเป็นเกลอกับคนประเภทนี้ จะทาให้เราเสียได้อยา่ งไร เสยี น่ะเสียแน่ ที่ว่า คบๆนี่ รวมทั้งการผูกสมัครรักใคร่ ท่ีจะเป็นคู่สามีภรรยากันด้วย จะคบเอาเป็น ลูกพ่ีลูกน้องมีหวังเสียทุกประตูเลยถ้าจะขยายส่วนที่เสียให้ดู ก็อาจแยกให้เห็นง่ายๆ ใน ๒ ทาง คือ: ๑. เสยี ความประพฤติ ขนาดเปน็ ทีร่ ังเกยี จของสงั คม ๒. เสยี ความประพฤติ ขนาดเราเองเปน็ คนชั่วไปจรงิ ๆ คืออย่างน้อย การคบคนอย่างว่าเป็นมิตร ก็ทาให้คนท้ังหลายระแวง แม้ เราทามาหาได้อะไรโดยสุจริตแท้ๆ เช่น เข้างานได้สอบได้ หรือได้ยศได้ตาแหน่งด้วย ความสามารถของเราจริงๆ คนท้ังหลายก็เข้าใจเอาว่าเราไปขู่เข็ญเอามา ฉกชิงเอามา ว่า ให้เราเสียผู้เสียคนได้ เพราะเขารู้ว่าเรามีเพื่อนฝูงเป็นคนชั่ว ทั้งๆท่ีตัวไม่ได้ทาชั่วเลย ก็ เปน็ ทรี่ ะแวงของคนอ่นื ตลอดจนเจา้ หน้าทข่ี องบา้ นเมอื งก็พลอยสงสยั ไปดว้ ยรวมความแลว้ การคบเอาคนชั่ว ๖ จาพวกน้ันเป็นมิตรคู่ใจ มีแต่ทาให้เครดิตในตัวเราตกตา่ และฉุด เราลงสู่นรกอเวจีในทสี่ ดุ .วบิ ัติข้อที่ ๒ อาจารวบิ ตั ิ (ต่อ) เกยี จครา้ นทางาน สาคญั ที่คน พบกันทางเสียงอีกคร้ังหน่ึงวันนี้ จะพูดเร่ืองเก่ียวกับความวิบัติแห่งชีวิตสู่ กันฟังอีกครั้ง ต่อจากที่พูดมาเม่ือพุธที่แล้ว ความจริงการพูดเร่ืองความวิบัติ ก็มุ่งเพื่อ ความเจริญนั่นเอง แต่เราหนั ไปศกึ ษาทางดา้ นความวบิ ตั ิ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137