๑ คาพระ (๑) ปพุ เฺ พวสนนฺ ิวาเสน ปจจฺ ุปฺปนฺนหิเตน วา เอวนตฺ ชายเต เปมอปุ ฺปล ว ยโถทเก. ความรักย่อมเกิดด้วยเหตุสองประการ คือด้วยบุพเพสันนิวาส หรือด้วยการเก้ือกูลในป๎จจุบัน เปรียบดัง ดอกบวั ซึ่งเกิดขึน้ ดว้ ยอาศยั น้าและตมฉันนน้ั (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- แนะวธิ ีปลกู ความรัก วธิ เี ลอื กครู่ กั และรบั สภาพแห่งความรกั นิทาน:- คร้ังหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองสาเกตประทับอยู่ที่อัญชนวันวิหาร ได้มี พราหมณ์ชราผัวเมียคูห่ นึง่ ได้พบเห็นพระองค์ แล้วแสดงความรักต่อพระองค์ในฐานเป็นบิดามารดา คือ ร้องเรยี กพระองค์ว่า “ลกู ” และเรียกตวั เองว่า “พ่อ” หรอื “แม”่ ขา้ งฝุายพระพุทธเจ้าก็ทรงรับอย่างน้ัน คือ เรียกพราหมณ์ทั้งสองว่าพ่อ – แม่ และทรงไปมาหาสู่กับพราหมณ์นั้นมากกว่าใครๆ เมื่อทรงเห็น พระสงฆแ์ ละประชาชนประหลาดใจในเร่อื งนี้ พระองคจ์ งึ ทรงเปิดเผยวา่ การท่ีความรักอันสนิทเกิดข้ึนแก่ พราหมณ์เชน่ นน้ั ก็เพราะพราหมณ์ทั้งสองเคยเป็นบิดามารดาของพระองค์มาถึง ๓,๐๐๐ ชาติติด ๆ กัน คร้ันแล้วได้ทรงแสดงเหตเุ กดิ แห่งความรกั ดัง “คาํ พระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:- หมายความว่าคนเราจะรกั กันกด็ ้วยเหตุสองอย่างนี้ อย่างใดอย่างหน่ึง หรือทั้ง สองอย่าง คอื ๑. เคยอยรู่ ่วมกนั มาก่อน เช่นเป็นผัวเมียกัน เป็นพ่อแม่กัน เป็นศิษย์-อาจารย์กัน ตั้งแต่ชาติ กอ่ น ชาติน้ีมาเห็นกนั เข้าก็รักซาบซ้งึ (บุพเพสันนวิ าส) ๒. ไดช้ ่วยเหลือกนั เช่น ใหเ้ งิน ใหข้ อง หางานใหท้ าํ ชุบเลี้ยง ในชาติน้ี เกิดเหตุใจกันก็เลยรัก กัน ความรกั อยา่ งแรกนั้น รกั ดูดดมื่ ม่ันคงกว่าอย่างหลงั (๒) บยี านอหสฺสนทุกขฺ อปฺบียานญฺจทสฺสน. การไมไ่ ด้เหน็ คนรกั กท็ ุกข์ การไดเ้ หน็ คนท่ีเกลยี ดกท็ กุ ข์(ธ.บ. ๖) โอกาสทคี่ วรใช้:- บรรยายเร่อื งความรัก ความชัง นิทาน:- ผวั เมียคหู่ นึง่ มีลูกชายคนเดียว ทั้งสามคนรักกันมาก คร้ังอยู่มาลูกชายอยากบวชใน ศาสนา ทางฝาุ ยพ่อแม่กไ็ ม่พอใจทีจ่ ะให้ลูกบวชเพราะสมยั นัน้ คนกาํ ลังนยิ มออกบวชกันมาก และเม่ือบวช แลว้ ก็มกั จะไมส่ กึ เสยี ดว้ ย ฝุายลกู ชายเมอื่ ไมอ่ าจล้มความต้ังใจได้ จึงไดห้ นอี อกบวช คร้นั พอ่ แม่ร้เู ขา้ ก็ติดตามไปอ้อน วอนให้สกึ เม่ือลูกไม่ยอมสกึ สองคนผวั เมียก็เลยออกบวชเสียดว้ ย ผวั เป็นภกิ ษุ เมียเปน็ ภกิ ษณุ ี แตค่ ร้ันบวชแลว้ ท้งั สามคนกเ็ อาแต่น่งั คยุ กันไปวันหนึ่งๆ ไมศ่ ึกษาเลา่ เรียนธรรมวินัย หรอื ทํา ความเพยี รละกเิ ลสบ้างเลย พระพทุ ธเจ้าทรงทราบเรอื่ งเข้า จึงรบั สง่ั ใหพ้ ระชุดครอบครัวนนั้ เข้าเฝูา เมอ่ื ทรงสอบถามดกู ไ็ ด้ทรงทราบวา่ ท้งั สามท่านนน้ั รักกนั มาก ไม่อาจแยกกันได้ โอกาสนนั้ พระองคจ์ งึ ประทาน พระโอวาทดว้ ย “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:- ชดั เจนพออยแู่ ลว้ ___________________ ตวั เลขหมายเลม่ พระไตรปิฎก
๒ อตตฺ หิปรมํปโิ ย. ตนเองแหละเปน็ ท่ีรักอย่างย่ิง (๒๓) นตถฺ ิอตตฺ สมเํ ปมํ ความรกั เสมอด้วยตนไมม่ ี (๑๕) อติ ฺถี มลํ พรหมจริยสสฺ . สตรีเปน็ มลทนิ ของพรหมจรรย์ (๑๕) อิตฺถี ภณฺฑานมุตฺตมํ สตรีเปน็ ยอดแห่งข้าวของทัง้ ปวง (๑๕) (๓) อสาธุ สาธุนา ชเิ น. พงึ ชนะความไม่ไดด้ ้วยความดี (ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรใช้:- แนะวธิ ชี นะใจคนอื่น นทิ าน:- นายปณุ ณะผูข้ ดั สน ได้ออกจากบา้ นไปไถนาตัง้ แตเ่ ช้าตรู่ แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันหยุด งานของพวกกรรมกรกต็ าม เขาตัง้ ใจจะทาํ งานให้มาก และสง่ั ภรรยาใหน้ ําอาหารไปส่งแตเ่ ชา้ ดว้ ย ขา้ งฝาุ ยภรรยา ก็หงุ อาหารเสร็จแล้วไดอ้ อกจากบา้ นท่ีจะไปสง่ ขา้ วตามท่ีนัดไว้ แต่พอถึงกลาง ทางเห็นพระสารีบุตรเดนิ บณิ ฑบาตสวนทางมา นางเกดิ ความเล่ือมใส จึงเอาอาหารใส่บาตรพระเถระเสีย แล้วก็รีบกลบั บ้านหุงอาหารอกี สาํ รับหนึ่ง เสรจ็ ส้ินแลว้ กร็ ีบไปสง่ สามที ่ที ุ่งนา ปณุ ณะ รอเมยี ไม่เห็นมา จนกระทัง่ สาย ก็เกดิ ความเดือดดาลตระหงิดๆ ด้วยความหิว ภรรยา ของเขาไหวมนั พอสงั เกตเห็นอาการของผัวกําลังตกอยู่ในอารมณข์ นุ่ มัว จึงชงิ พูดปลอบโยนดว้ ยถ้อยคาํ ไพเราะวา่ “พจ่ี า๋ วันนี้พี่จงทําใจให้ผ่องใสสักวันหน่ึงเถอะนะทูนหัว เมื่อเช้าน้ีน้องได้ทําบุญถวายทาน แก่ พระธรรมเสนาบดี อาหารทีน่ าํ มานีห้ งุ ใหม่ๆ กาํ ลังร้อน...........!” วาจาที่ไพเราะทําความโมโหหิวข้าวในใจ ของปุณณะหายไป ในทส่ี ุดของเรื่องน้ี พระพทุ ธเจ้าจึงตรสั “คําพระ” ขา้ งบนน้ี (เรอ่ื งยังยาว) ความหมาย:-คําว่า “ความไม่ดี” ในที่นี้หมายถึงความดุร้าย หุนหัน เกียจคร้าน ฯลฯ ทุก อยา่ ง จะชนะได้ก็ด้วยความดีเท่านนั้ และ “ความดี” น้ัน ก็หมายถงึ การกระทาํ ในทางที่ดีตามควรแก่กรณี น้นั ๆ เชน่ “การเรยี น” ชนะ “ความโง่” เป็นต้น ___________________ ภตฺตา ปญญานมติ ถฺ ิยา. สามีเปน็ เคร่ืองทาํ ให้สตรีเด่น (ในสังคม) (๑๕) ตัวเลขหมายเลม่ พระไตรปิฎก
๓ (๔) กามโต ชายเต โสโก. ความโศกเกิดจากความใคร่ (๕) กามโต ชายเต ภย. ภัยเกิดจากความใคร่ (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- หักหา้ มใจ เมอื่ ตนจะตกอยู่ใต้อาํ นาจของความใคร่ นิทาน:- ทก่ี รุงสาวัตถี มีเด็กประหลาดคนหนึ่งเกิดในตระกูลม่ังคั่ง พ่อแม่ตั้งช่ือว่าคันธกุมาร ไมท่ ราบว่าเพราะเหตุผลกลใด คนั ธกุมารไมป่ รารถนาท่ีจะให้ผู้หญิงถูกเน้ือต้องตัวเขาเลย ถ้าผู้หญิงถูกตัว เขา้ เขากจ็ ะร้องไหจ้ ้าเหมือนถูกน้ํารอ้ นลวก แม้แต่มารดาของเขาเอง และพ่ีเลี้ยงนางนมเวลาจะอุ้มก็ต้อง เอาผ้ารองมอื คันธกุมารเตบิ โตข้ึนเป็นหนุ่ม พ่อแมพ่ ยายามอ้อนวอนให้เขาสนใจกับผู้หญิงบ้าง ก็ไม่ยอมท่า เดยี วแตแ่ ล้วพอ่ แมก่ ต็ ามใจวา่ เขาจะชอบผู้หญงิ อย่างไรก็จะหาให้ คันธกุมารอ้อนวอนไม่ได้จึงจ้างช่างมา ป้น๎ รปู ผู้หญงิ ขนึ้ คนหนง่ึ สวยงามทส่ี ุดในทรรศนะของเขา แล้วก็บอกแก่พ่อแม่ว่าถ้าได้คนอย่างน้ีจะแต่งงานด้วย ข้างฝุายพ่อแม่ก็จ้างคนออกตระเวณหาตามเมือง ต่างๆ จนเหน่ือยอ่อน วันหนึ่งเขานั่งพักอยู่ที่ข้างทางไปสู่ท่านํ้า เอารูปป้๎นต้ังไว้ อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งจู่ เข้ามาดรู ูปปน๎้ น้นั ว่า “หนหู ัวด้ือ หา้ มแลว้ ยงั ออกมานอกบา้ นอกี !” พวกพอ่ ส่อื จงึ ทราบได้ ว่ า ห ญิ ง น้ั น เขา้ ใจวา่ ผู้หญิงทเ่ี หมอื นรปู ป้น๎ มีจรงิ เมือ่ ตดิ ต่อสู่ขอได้แล้วก็ส่งข่าวไปให้คันธกุมารทราบ และรับเอาหญิง สาวออกเดินทางไปสาวัตถีโดยพาหนะเกวยี น ก็ประหลาดอีกเหมือนกนั คันธกมุ ารซึ่งเกลียดผหู้ ญงิ มาแตก่ ําเนดิ พอได้ข่าวจากคณะพ่อสื่อก็ เกดิ ความรกั อย่างรนุ แรง อยากไดค้ รองสาวรกั ในวันในพรุง่ แตข่ ณะทเ่ี ขารอคอยอย่ทู กุ ลมหายใจนั้น เขาก็ ได้รับข่าวจากพ่อสื่อว่า สาวสวยดังรูปป้๎นนั้นได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วในระหว่างทาง คันธกุมารเสียใจ โศกเศรา้ จนสดุ หัวใจ “คําพระ” ข้างบนนี้พระพุทธองค์ตรัสเตอื นสติ เขาผู้กําลงั ตกอยูใ่ นหว้ งแหง่ ความโศก (๖) รติยา ชายเต โสโก. ความโศกเกิดจากความใคร่ (๗) รตยิ า ชายเต ภย. อันตรายเกดิ จากความใคร่ (ธ.บ. ๙) [ โอกาสท่คี วรใช้:-เตือนใจคนท่ีเพลดิ เพลนิ กับเพศตรงกนั ขา้ ม นิทาน:- เมืองเวสาลีมีการปกครองโดยวิธีสามัคคีธรรม คือพวกกษัตริย์ลิจฉวีหลายตระกูล รวมกนั เป็นรัฐบาลบริหารบ้านเมอื ง มคี วามรกั ใคร่กลมเกลียว เป็นทีเ่ ล่อื งลือทว่ั ไป ครั้นอยู่มาวันหน่ึง พวกลิจฉวีหนุ่ม ๆ ได้พากันไปเที่ยวหาความสนุกนอกเมือง และได้เอา ผู้หญงิ โสเภณไี ปด้วยคนหนงึ่ คร้ันสนุกกันยังมิทันกระไรก็เกิดความหึงหวงข้ึน และเกิดการทะเลาะวิวาท ทุบตีกันเอง จนกระทั่งเลือดโทรมไปตาม ๆ กัน ความทราบถึงเจ้าพนักงานจงึ ได้เอาเปลมาหามลําเลียงเข้า เมอื ง เพื่อรกั ษาพยาบาล พระพุทธเจ้าทรงปรารภเหตุนจ้ี งึ ตรสั “คําพระ” ขอ้ นแ้ี กพ่ ระสงฆ์ ความหมาย:- คําว่า “ความใคร่” ในท่ีน้ีข้าพเจ้าแปลจากคําว่า “รติยา” ซ่ึงหมายถึงความ ยนิ ดีความพึงพอใจ ความดดู ดม่ื ใจในรสกาม อาจหมายถึงความหงึ หวงกไ็ ด้ ___________________
๔ ภตฺตุํฺจ ครโุ น สพเฺ พ ปฏปิ ูเชนตฺ ิ ปณฺทติ า. ภรยิ าที่ฉลาด ย่อมนับถอื สามีและคนควรเคารพ (๒๓) สสุ สฺ ูสา เสฏฐาภรยิ าน.ํ ในพวกภรยิ าท้งั หลาย ภรยิ าที่เชื่อฟ๎ง (ผัว) ดีท่ีสุด (๑๕) (๘) เปมโต ชายเต โสโก. ความโศกเกดิ จากความรกั (๙) เปมโต ชายโต ภย. ความกลัวเกดิ จากความรัก (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- บรรยายความให้ผู้ท่ีมีความรักพึงระมัดระวงั เชน่ ให้โอวาทแก่หนมุ่ ๆ สาว ๆ นิทาน:- ในกรุงสาวัตถี มีเศรษฐินีใจบุญคนหน่ึง ช่ือวิสาขา ทําบุญสุนทานไม่ขาด นางมี หลานสาวคนโปรดอยคู่ นหนง่ึ ช่ือสทุ ตั ตี เป็นทีร่ กั และไว้วางใจได้ทุกอย่าง ครั้นอยู่มาสุทัตตีได้ถึงแก่กรรม ลงด้วยโรคบางอยา่ ง ทาํ ใหน้ างวิสาขาเศร้าโศก เสยี ใจมาก เมื่อฝง๎ ศพหลานรกั เสร็จแล้ว นางวิสาขาก็เลยไปเฝูาพระพุทธเจ้า ท้ัง ๆ ที่ใบหน้ายังนองด้วย นํ้าตา พระตรสั ถามว่า “เหตุใดวสิ าขาจงึ ร้องไห้ ?” นางทูลว่า “เสยี ใจทคี่ นดี ๆ อย่างน้ีตายไป” พระ “หมดทงั้ เมอื งนี้มีคนสักเท่าไร !” นาง “มากมาย พะยะค่ะ” พระ “ถา้ ทุกคนดี อย่างหลานของเธอหมดจะเอาไหม ?” นาง “ก็ดสี ิ พะยะคะ่ ” พระ “แล้วคนเหล่านนั้ จะตายหรอื เปลา่ ” นาง “ตายแน่ พะยะค่ะ” พระพุทธเจ้าตรัสวา่ “ถ้าอย่างน้นั ก็หมายความว่าเธอจะต้องร้องไห้ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มี เวลาหยดุ พกั เลย” แลว้ ตรัส “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย:- เฉพาะขอ้ ทวี่ า่ ภัยหรือความกลัวเกิดจากความรักนน้ั ข้อสาํ คัญคือกลัวผู้ที่ตนรัก หรอื สิ่งท่ีตนรกั จะเป็นอนั ตราย จะพลดั พราก หรอื จะถูกแย่งชงิ เอาไป รวมความว่ากลัวรักจะเป็นอ่ืน และ เมอ่ื มคี วามรักในท่ีใดภยั กม็ กั จะมีอยู่ที่นนั่ ด้วย (๑๐) บียโต ชายเต โสโก. ความโศกเกิดจากของรกั (๑๑) บียโต ชายเต ภย. ภยั เกดิ จากของรัก (ธ.บ. ๖)
๕ โอกาสท่คี วรใช้:- ระงับความโศกเศรา้ เสยี ใจ ในคราวสูญเสียคนรกั – ของรกั นิทาน:- กฎุมพีนายหนึ่ง เที่ยวร้องไห้เสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน งานการก็เลิก เพราะ เสียดายลูกผู้ถึงแกก่ รรม ซึ่งได้ปลงศพไปเรียบร้อยแล้ว พระศาสดามีพระประสงค์จะโปรดเขาจึงเสด็จไป ยังเรือนน้ัน เมื่อกฎุมพีกราบทูลให้ทรงทราบความเสียใจของตนแล้ว พระศาสดาได้ประทานพระโอวาท ใจความว่า “อย่าคิดเลย อุบาสก, ความตายมใิ ชจ่ ะมแี ตแ่ ก่ใครคนใดคนหนึ่ง แตม่ แี ก่สรรพสัตว์ทั่วทุกพิภพ ผู้ทจี่ ะพน้ จากความตายไมม่ เี ลย ขอใหท้ า่ นคดิ เสียวา่ ธรรมชาติทีม่ ันจะตอ้ งตายได้ตายไปแลว้ ธรรมชาตทิ ่มี นั จะต้องแตกได้แตกแล้ว.......จงคิดอยา่ งทบ่ี ัณฑิตคิดเม่อื ลกู ตายว่า “ลกู เราท้งิ ร่างเก่า ดจุ งูลอกคราบ เมื่อร่างอันเก่าใช้การไม่ได้, เม่ือลูกเราตายแล้วและถูกเผา เขาจะไดร้ ูว้ ่าพวกญาตเิ สยี ใจกห็ าไม,่ ฉะนัน้ เราไมค่ วรเศรา้ โศกถึงเขา เขามีคติอย่างไร ก็ขอให้เขาไปสู่คติ อยา่ งนั้นเถิด” สุดท้ายได้ประทานโอวาทดัง “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:- แจ่มแจง้ พอแล้ว (๑๒) อุจฉฺ ินทฺ สิเนหมตฺตโน กุมทุ สารทกิ ว ปาณนิ า เธอจงถอนความสิเนห่ าของตนเสีย ดงั คนถอนดอกโกมุทซ่งึ เกิดในฤดศู ารทดว้ ยมอื (ธ.บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้:- หกั ใจเสียจากความรกั ซง่ึ สิน้ หวงั นทิ าน:- ชายหนุ่มรปู หล่อคนหนึ่ง เป็นบุตรของช่างทอง ได้เข้าบวชในพระศาสนาโดยมีพระ สารบี ุตรจะแนะนาํ วธิ ีควบคมุ จติ ใหเ้ ข้าสมาธิแก่ท่าน แตพ่ ระเถระใชว้ ธิ ีท่ีผิดหลกั การแนะนาํ ทางใจ คือท่าน เห็นว่า พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นเป็นคนละเมียดละมัยรักสวยรักงาม (ราคจริต) จึงแนะนําให้ท่านพิจารณา อสุภกรรมฐาน มองอะไรในแงค่ วามนา่ เกลยี ด พระภิกษุหนุ่มรูปนั้นไปปฏิบัติอยู่หลายเดือนไม่ได้ผลอะไร เลย ฝาุ ยพระจงึ พาเขา้ ไปเฝูาพระพุทธเจ้า พระองคท์ รงตรวจดูอุปนิสัยแล้วทรงเห็นว่า การแนะนําทางจิต นน้ั จะตอ้ งคล้อยไปถามอัธยาศยั ของผู้น้นั กอ่ น จึงทรงแนะนําให้เอาดอกบวั ดอกที่งามท่สี ดุ ปก๎ ไว้บนกอง ทราย และใหพ้ ระรูปนั้นน่งั ดสู แี ดงสดของดอกบัว บรกิ รรมวา่ “สีแดง ๆ” ขณะที่ท่านกําลังเพลิดเพลินอยู่ กับสแี ดงอันสวยสดของดอกบวั นนั้ ดอกบัวได้ค่อยๆ เหี่ยวไปและสีทวี่ ่าแดงนนั้ ก็ค่อยๆ เปล่ียนเป็นสีซีดลด ความสวยงามลงทีละน้อยๆ ความรู้สึกว่าดอกบัวเป็น “อนิจัง” ได้เกิดขึ้นในใจของท่าน ความติดพันใน ความงามคอ่ ย ๆ คลายออก เพราะเหน็ ความจริงว่าความงามเป็นอนิจัง ขณะน้ันพอดีมีเด็ก ๆ ลงไปถอน ดอกบัวในสระ แล้วเหวย่ี งข้ึนมากองไว้ริมสระ สีสณั ฐ์ของดอกบัวทีก่ องอยู่บนบกน้ัน เม่ือเปรยี บกับดอกบัว ที่ยงั อยูใ่ นสระ กต็ ่างกนั ออกไปทลี ะน้อย ๆ โอกาสนัน้ พระศาสดาไดต้ รัสเตือนท่านให้ถอนรักถอนอาลยั ออกจากใจของตนเสีย เพราะมัน เป็นส่ิงท่ีไม่แน่นอน สดช่ืนอยู่ชั่วขณะหน่ึงแล้วรักก็จะโรยไป “คําพระ” ข้างบนน้ีเป็นส่วนหนึ่งของพระ โอวาทนัน้ ความหมาย:-ฤดูศารทคอื หนา้ น้ํา วธิ ีถอนเสย้ี นรกั หกั คาใจ ท่านให้คิดถึงความชั่วความเสียใน ตวั คนที่เคยรกั แทนที่จะนกึ ถึงความดขี องเขา
๖ (๑๓) น กามกามา ลปยนตฺ ิ สนฺโต. สตั บรุ ุษย่อมไมบ่ ่นเพอ้ เพราะความใครใ่ นกาม(ธ.บ. ๔) โอกาสที่ควรใช้:- เตือนสติให้คนดียืนหยัดอดทนรักษาความดีของตนไว้ให้ได้ แม้จะถูกยั่วยุ ล่อลวงใจด้วยสงิ่ ทต่ี นปรารถนา นิทาน:- คร้ังหนึ่ง หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่นานนัก พระองค์ได้รับอาราธนาจาก อุบาสกชาวเมอื งเวรญั ชา ให้เสด็จไปจําพรรษาทเ่ี มอื งน้นั พร้อมดว้ ยสาวกเป็นจํานวนมาก คร้ันเข้าพรรษา แลว้ ไมน่ าน เมืองนนั้ เกดิ วิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพงอย่างร้ายกาจ พระสงฆ์กเ็ กดิ อตั คัตขัดสน จะจาริก ไปยังเมอื งอื่นก็ไมไ่ ด้ เพราะเปน็ ระหว่างพรรษา พระมหาโมคคัลลานะสงสารพระสงฆ์ทั้งหลาย จึงทูลขอ อนุญาตตอ่ พระศาสดาให้ พระสาวกไปภิกขาจารในถ่ินอ่ืน แต่พระศาสดาก็ไม่ทรงอนุญาต ต่อเหตุการณ์ คร้ังนั้น ปรากฏวา่ บรรดาพระพทุ ธสาวกไดอ้ ดทนตอ่ ความลาํ บากโดยมิไดป้ รปิ ากบ่น และพดู เลียบเคียงขอ อาหารจากใคร ๆ โดยวธิ กี ารอันมิชอบแต่อยา่ งใด พระพุทธเจา้ ไดท้ รงสรรเสรญิ พระสาวกเหลา่ น้นั ดว้ ย “คาํ พระ” ท่ียกมาน้ี ความหมาย:- สัตบุรุษในทน่ี ีห้ มายถงึ สภุ าพชน คนดี ธรรมดาสุภาพชนย่อมไม่บ่น ไม่พูดเพ้อ เจ้อ ไมเ่ อะอะโวยวายเพราะอยากได้ อยากกิน อยากดู อยากฟ๎ง ฯลฯ แต่ย่อมรักษากิริยาท่าทีของตนไว้ อยา่ งสมํ่าเสมอ (๑๔)มลิตถฺ ยิ า ทจุ ริต. ความประพฤติชวั่ เป็นมลทนิ ของสตรี (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้:-ให้โอวาทแกส่ ตรี นิทาน:- ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ วันหนึ่งได้มีชายคนหน่ึงไปเฝูาพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ตนได้รับความเสื่อมเสีย และอับอายขายหน้าใคร ๆ จนไม่อยากจะเผชิญหน้ากับใคร ๆ เพราะเมีย ประพฤตินอกใจ มกั มากในทางกาม จนใคร ๆ รกู้ นั ทัว่ บ้านทุกเมอื ง พระพทุ ธเจา้ ได้ตรัสแก่เขาว่า “ผู้หญิง กเ็ หมือนกับแมน่ ํ้า เหมอื นหนทาง เหมอื นรา้ นเคร่อื งดื่ม เหมอื นที่พักคนเดนิ ทาง และเหมอื นกับบ่อน้ํา เรา เปน็ บณั ฑิตไม่ควรถือสาหาความ เอาเป็นจริงเป็นจัง” เมื่อชายนั้นคลายทุกข์ทางใจแล้ว พระองค์จึงตรัส ปรารภถึงเรอ่ื งความประพฤติของสตรี ดัง “คําพระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:- คําว่า ทุจริต ซ่ึงแปลว่า ความประพฤติช่ัวในที่น้ี หมายถึง ความโลเลมักมาก ในทางกาม ทาํ นองหญิงมากชู้หลายผัว หญิงใดประพฤติช่ัวอย่างนี้ แม้จะมีรูปร่างสวยงาม แต่ก็เป็นรอย ตาํ หนทิ ่โี ลกเขานนิ ทายากท่จี ะทาํ ความดใี ด ๆ ลบล้างกลบเกลอื่ นได้ ภิยฺโย จ กาเม อภิปตฺถยนตฺ .ิ ผบู้ ริโภคกามกย็ ่งิ อยากจะได้กามมากขึ้น (๒๖) อูนา ว หุตวฺ าน ชหนฺติ เทหํ. ผบู้ รโิ ภคกามเป็นผพู้ รอ่ ง หิว จนตาย (๒๖) ___________________ ตวั เลขหมายเลม่ พระไตรปิฎก
๗ (๑๕) ยถา นที จ ปนโฺ ถ จ ปานาคาร สภา ปปาเอวโลกิตถฺ โิ ย นาม เวลา ตาสนวชิ ชฺ ติ. ธรรมดาวา่ สตรีในโลกนี้ ก็เหมือนแม่น้า หนทางสโมสร (โรงดื่ม) สภา และบ่อน้า ขอบเขตของสตรีหามีไม่ (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้:-เตอื นใจเมอื่ พลาดรกั นทิ าน:- ชายคนหนึง่ เปน็ คนดมี ีความเล่ือมใสในทางศาสนา ตามปกติก็ได้ไปฟ๎งธรรมในพระ พุทธสํานักเนือง ๆ แต่เขาเป็นคออาภัพทางคู่ครอง ได้เมียไม่ดี คือมีเมียเป็นคนมักมากในทางกาม ประพฤตนิ อกใจผวั จนใคร ๆ รู้กนั ทัว่ บ้านทั่วเมอื ง หนักเข้าผัวก็เลยมีปมด้อย จนไม่กล้าเข้าหน้าเพื่อนฝูง และแมแ้ ตไ่ ปวดั ฟ๎งเทศน์กง็ ด เพราะรู้สกึ ละอายใคร ๆ จนกระท่ังอยู่มาวันหนึ่ง เมื่อความอับอายขายหน้าท่วมท้นมากข้ึน จิตใจก็ถูกความทุกข์ ทรมานทบั ถม เขาจงึ ไปเฝาู พระพุทธเจ้า และกราบทูลเรอื่ งราวทง้ั หมดใหพ้ ระองค์ทรงทราบ พระพุทธเจ้าได้ตรัสปลอบใจเขาว่า ไมค่ วรเสียใจไปมาก และตรัส “คําพร” ข้างบนนี้เป็นการ ทรงแนะนําใหเ้ ขาทราบความจรงิ ไว้ ความหมาย:- คําพระขอน้ีเป็นคําที่พระองค์ตรัสต้ังแต่คร้ังยังเป็นพระโพธิสัตว์ แต่พระองค์ ทรงยกข้ึนแสดงอีก ที่ทรงเปรียบสตรีว่าเหมือนแม่น้ํา ฯลฯ หมายความว่าเป็นส่ิงท่ีไม่เก่าเพราะถูกใช้ อยา่ งเชน่ แม่น้ําและหนทาง ผูม้ าใชท้ ีหลงั ไม่จาํ เป็นจะตอ้ งรงั เกยี จว่าเป็นเดนจากคนอนื่ มาตา มิตตฺ ํสเกฆเร. มารดาเป็นมติ รในเรือนของตน (๑๕) ภรยิ า ปรมา สุขา. ภริยาเป็นเพ่ือนสนิท (๑๕) (๑๖) อติตฺตเยว กาเมสุ อนฺตโก กรุ ุเต วส. มจั ุราชยอ่ มรวบรวมเอาคนทไ่ี มร่ จู้ ักอ่ิมในกามไวใ้ นอา้ นาจ (ธ.บ. ๓) โอกาสทคี่ วรใช้:-ถอนความประมาทมัวเมาของคนท่ีเอาแตก่ ินแตเ่ ที่ยว ไม่รจู้ ักอ่ิมจกั พอ นิทาน:-ณ อุทยานอันเจิดจ้าแดนสุขาวดี สวรรค์พิภพ เทพบุตรมาลาภารีพาเทพธิดาหลาย รอ้ ยไปร่าเรงิ ดว้ ยการเกบ็ ดอกไมส้ วรรค์นานาชนดิ ขณะนน้ั เอง เทพธดิ านางหนง่ึ ซึ่งเป็นชายาของเทพบุตร ไดห้ ายไป ไมม่ ีใครทันเห็นวา่ นางไปทางไหน แตอ่ ีกไมก่ ่อี ึดใจต่อมา เทพธิดานางน้ันก็ปรากฏข้ึนท่ามกลาง หมอู่ ปั สรสวรรคอ์ กี “เธอหายไปไหนมาจ๊ะ ?” เพ่ือน ๆ ถาม “ฉนั จุตไิ ปเกิดทม่ี นษุ ยโ์ ลกจะ๊ ” “จรงิ ? !” เทพธดิ านางหนงึ่ ถามอย่างงนุ งง “จริงสิ !” “ไปอยเู่ มืองมนุษยน์ านกม่ี ากนอ้ ย ?” เทพธดิ าอกี นางซกั “๑๐๐ ปแี น่ะเธอ” “อะไรกนั ! เห็นหายไปเด๋ียวเดยี ว” อกี นางว่า ตวั เลขหมายเลม่ พระไตรปฎิ ก
๘ “จรงิ ๆ ฉันมีผวั คนหนึง่ แลว้ กม็ ีลกู ตัง้ สค่ี น พอแกเ่ ป็นแม่เฒ่าอายุ ๑๐๐ ปกี ต็ าย แล้วก็มาเกิด ทน่ี ่ี ปาุ นนพ้ี วกลูก ๆ และผัวของฉันคงรอ้ งไห้กนั ใหญ่” พระพทุ ธองค์ ทรงเลา่ เรอื่ งน้แี ล้ว จงึ ตรัสถามภาษิตข้างบนนั้น ความหมาย:- คนที่ไม่ร้จู กั อมิ่ ในการส้องเสพกามารมณ์ เหมือนปล่อยตัวให้ตนเป็นเชลยของ มจั จรุ าช คอื จะตายโดยไม่รตู้ วั เม่อื ไรกไ็ ด้ (๑๗) โย หเรมตฺตกิ ถาล, กสถาลบี โสหเร. ผู้ใดลกั ถาดดินได้ ผนู้ ัน้ ก็ต้องลักถาดสัมรดิ ได้ (ธ.บ. ๘) โอกาสท่ีควรใช้:- วนิ ิจฉยั นสิ ัยสนั ดานของคนชว่ั นิทาน:-พระภิกษุหนมุ่ รปู หนงึ่ ไปถกู ผูห้ ญงิ สาวพูดจาทอดสะพานให้ จงึ เกิดความกระสันคิดจะ สกึ ไปแตง่ งานกับนาง พระพุทธเจ้าทรงทราบเร่อื งจึงทรงเล่าอดตี นิทานให้ท่านฟ๎งว่า เม่ือชาติก่อนตัวท่าน เอง (พระหนุ่ม) ไปเรยี นศิลปะศาสตรใ์ นสาํ นกั ครู ลูกสาวครูเกิดชอบใจ ครูจึงยกให้แต่งงานกัน ขณะท่ีพา ภรยิ าสาวเดนิ ทางข้ามดงนัน้ มโี จรปุา ๕๐ คนมาตีปล้น ฝุายผัวได้ต่อสู้เต็มสามารถฆ่าโจรตายไป ๔๙ คน แลว้ เหลือแต่หัวหน้าคนเดียว ผลทส่ี ดุ ได้ปลุกปลํ้าจนกดคอโจรไว้กับพื้นแล้ว บังเอิญดาบหลุดมือ จึงบอก เมียสาวสง่ ดาบให้ ฝุายนางเมยี ขณะนัน้ เกดิ รกั โจรเขา้ แลว้ จึงส่งดาบทางดา้ มให้นายโจร! โจรน้นั กเ็ ลยฆ่าผวั ของนางตาย ผวั ตายแล้วนางจะขอไปกับโจรปุา แต่โจรรู้ท่าไม่ยอมรับเอาเป็นเมีย แถมยังลอก เอาทรัพย์สมบัตจิ ากตัวนางไปหมดสน้ิ ทงั้ ยงั กล่าวเยาะเยย้ ดงั คาํ บาลขี า้ งบนน้ี ความหมาย:- บาลีบทนี้เป็นคําพูดของโจร แต่พระพุทธเจ้านํามาตรัส หมายความว่า คนเรา ลงได้ทํารา้ ยผู้มคี ณุ ไดแ้ ล้ว ที่จะไม่ทํารา้ ยคนอื่นเป็นไมม่ ี (๑๘)‘อกโฺ กจฺฉิสอวธิมอชนิ ิ มอหาสิ เม’ เย จ ต อปุ นยหฺ นฺติ เวรเตส น สมมฺ ติ. คนทผี่ ูกโกรธไวว้ ่า คนโน้นดา่ เรา คนโนน้ ตเี รา คนโนน้ ชนะเรา คนโนน้ ได้ลักของเราไป เวรของคนเหล่านั้น ย่อมระงับไม่ได้ (ธ.บ. ๑) โอกาสที่ควรใช้:- เกล้ยี กล่อมคนท่ีโกรธกันแล้วใหค้ นื ดี หรือช้ีโทษของการจองล้างจองผลาญ กัน นิทาน:- เรอ่ื งมันไมน่ า่ จะเปน็ เรื่อง คือในคร้ังพุทธกาลมีพระแก่รูปหนึ่ง ทําล่วงเกินพระเถระ ผใู้ หญแ่ ล้วไม่ยอมขอโทษ แมว้ า่ ใคร ๆ จะช้ีแจงผิดถูก อยา่ งไรกต็ าม ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองค์ จงึ ตรัสเลา่ เร่อื งแตห่ นหลังให้ฟง๎ ว่า มีดาบสคนหน่ึง ชื่อเทวละ เดินทางจากปุาหมิ วันไปเมอื งพาราณสี ทีก่ ลางทางได้แวะไปขอพัก แรมทโ่ี รงงานของช่างปน๎้ หมอ้ เขาก็ให้พกั พอคาํ่ ลงอีกหนอ่ ยก็มดี าบสอีกคน ชื่อนารทะเข้ามาขอพัก ณ ท่ี เดยี วกัน ดาบสทั้งสองคยุ กนั พอควรแล้วก็ดับไปนอน จะเป็นที่อากาศร้อนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ เทวละแทนท่ีจะนอนตรงท่ีเขาจัดให้ แต่ไพร่ไป นอนขวางประตูโรง ตกดกึ ดาบสนารทะจะออกไปทําธรุ ะข้างนอก ไมน่ ึกวา่ จะมีใครอุตริมานอนขวางประตู จึงไปเหยยี บเอาตรงศรี ษะดาบสเทวละเข้า เทวละถามว่า “ใครมาเหยียบหวั ขา้ ” นารทะก็บอกว่า “ผมเอง
๙ ท่านอาจารย์ไม่เห็น ขอโทษด้วย” เทวละก็อดโทษอย่างแบบเสียไม่ได้ บ่นพึมพําว่า “อ้ายข้ีโกง ปุาเถ่ือน ดันมาเหยียบหวั คน!” วา่ แลว้ นารทะก็เลยออกไป ข้างฝุายเทวละกน็ กึ ในใจว่า เปลีย่ นทางหัวนอนดีกว่า เพราะนอนเอาหัวไปทาง นโี้ ดนเหยียบ คิดแลว้ กน็ อนเอาหวั ไปทางตรงกนั ข้าม ฝาุ ยนารทะถ่ายหนกั ถ่ายเบาเสร็จแลว้ จะกลับเข้าไป นอนอีก ก็ฉุดคิดข้ึนมาว่า ขาออกมา เราเดินริมทางนี้จึงเหยียบหัวเทวละ อย่ากระน้ันเลย เลี่ยงไปทาง ปลายตีนแกดีกว่า (หานึกไม่วา่ เทวละกลบั หัวนอนเสียแล้ว) แต่พอย่องเข้าไปก็เหยียบหมับเข้าตรงหัวเทว ละพอดี ๆ “อีกแล้ว !” เทวละร้องขนึ้ ด้วยความโมโห “ขอโทษครับ อาจารยน์ ารทะ” “เอาหัวไปทางโนน้ แกก็เหยียบ อุตสาหก์ ลบั หัวมาทางนี้ แกกต็ ามมาเหยียบจนได้ มันจงใจจะ เหยียบหัวกันชดั ๆ น่ี” เทวละไม่ยอมยกโทษ “ขอโทษเถิดครับ ผมก็ไม่รู้ว่าท่านกลับเอาหัวมาทางนี้ นึกว่าจะเลี่ยงมาทางปลายเท้า ก็เกิด มาเหยยี บหวั เอา...” นารทะ นารทะก็เฝาู วอนขอโทษ เทวละก็เล่นตัวไมย่ อมยกโทษทา่ เดยี ว จนสว่างคาท่ี คําพระบาลีขา้ งบนนน้ั พระพุทธองค์ตรัสช้โี ทษของการผกู โกรธว่า ทําให้เวรไมร่ ะงบั ลงได้ ความหมาย:- คําว่า เวร หมายถึงความคิดผูกอาฆาตจะจองล้างจองผลาญอีกฝุายหน่ึง เร่ือยไป คนท่ผี กู เวรไวก้ ับคนอ่นื น้ัน คนเองจะเป็นผู้ตกต่าํ คําพระในเร่ืองนแ้ี สดงว่าผู้ใดเอาแต่คิดว่าเขาทํา เราอยา่ งนัน้ อย่างนี้ ไมร่ ้จู ักยุติเลกิ แลว้ กันไป เวรของฝาุ ยนนั้ ยอ่ มไม่ระงบั ลงได้ (๑๙) นาหภกิ ขฺ เวอณฺณเอกสททฺ มบฺ ี สมนุปสฺสาม,ิ โย เอว ปรุ สิ จิตฺต สมาทาย ติฏฺฐติ ยถยิหภิกฺขเวอิตฺถีสทฺ โท ภิกษุทงั้ หลาย เราตถาคตไมเ่ หน็ มีเสียงชนดิ ใดทจี่ ะจับใจผชู้ ายไดเ้ หมือนเสยี งผหู้ ญิง (ธ.บ. ๑) โอกาสทคี่ วรใช้:- ในคราวทตี่ อ้ งการสรา้ งมตปิ ระชาชน หรือโน้นนา้ วใจของชุมชน นิทาน:-พระจกั ขุบาลผูต้ าบอด กําลังเดินทางจะไปเฝูาพระพุทธเจ้า โดยอาศัยสามเณรปาละ ซ่งึ เป็นหลานของท่านเองจงู ไป ขณะท่เี ดนิ ทางผา่ นราวปุาแหง่ หนง่ึ สามเณรได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลงอยู่ ในปุา เกิดความพิศวาทข้นึ มา จงึ โกหกพระเถระ ว่าตนปวดท้องถ่าย ขอเวลาถ่ายทุกข์สักประเด๋ียวแล้วก็ แวะเข้าไปหาผ้หู ญิง ปล่อยให้ท่านน่ังรออยู่เป็นนาน พระเถระรู้สึกผิดสังเกต เพราะพอสามเณรแยกจาก ทา่ นไปประเดยี๋ วหนง่ึ เสยี งผ้หู ญงิ รอ้ งเพลงกเ็ งยี บ ครั้นสามเณรกลับมาท่านจงึ ซักถามดู กไ็ ด้ ทราบความ จริงว่า สามเณรไปศลี ขาดเสียแลว้ จงึ จึงไมย่ อมเดนิ ทางไปกับเธอ ท่านผูร้ จนาคมั ภีร์พระธรรมบท เมือ่ บรรยายถึงเรื่องนี้ ทา่ นจงึ กลา่ วยืนยันวา่ พระพทุ ธเจ้าเคย ตรสั ไว้ว่า เสยี งท่ชี นะใจผ้ชู ายได้อยา่ งราบคาบไม่มเี สียงใดเกินเสยี งผูห้ ญิง ความหมาย:- คําวา่ “เสียงผู้หญิง” ในท่ีน้ีหมายถึงเสียงที่ออกจากปากผู้หญิงจริง ๆ ไม่ว่าจะ เป็นเสียงพูด เสียงร้องเพลง หรือแม่แต่เสียงร้องไห้ เสียงอ้อนออด แต่ในทางปฏิบัติอาจหมายถึง “เสียง นิยมของผู้หญิง” ด้วยก็ได้ คือในสังคมทั่วไป ถ้าพวกสตรีนิยมอย่างไร พวกผู้ชายก็มักจะคล้อยตามรวม ความว่าเป็นเสียงมอี ทิ ธิพลในสังคม
๑๐ (๒๐) นตฺถิ เจตสิกทุกขฺ อนเปกขฺ สสฺ คามณิ. พอ่ คุณเอ๋ย, ทกุ ข์ทางใจย่อมไมม่ แี ก่คนทห่ี มดหว่ ง (ธ.บ. ๔) โอกาสที่ควรใช้:- บรรยายโทษของความห่วงใยให้เห็นว่าเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ จะได้ หาทางกําจัดความห่วงใยออกจากใจใหม้ ากทสี่ ดุ นทิ าน:- มนษุ ยใ์ จชั่วคนหน่งึ อาศัยพระสงฆ์กินข้าวบาตร จนกระท่ังอ้วนพีมีความสุข ซ่ึงเดิม ตัวเองก็เปน็ คนเข็ญใจไรท้ ีพ่ ง่ึ ตอ่ มาได้ลาพระกลับไปเย่ียมลกู สาวท่บี า้ นเดิม ขณะเดินทางผ่านดงได้ถูกโจร ปุาจับได้ เขาจะนําไปเผาท้ังเป็นเพื่อบวงสรวงเทวดา ตาแก เกิด กลัว ตาย และแสดงสันดานอกตัญํู ออกมา โดยขอใหพ้ วกโจรไว้ชวี ิตแก แล้วแกกอ็ าสาพาโจรไปจับพระมาบชู ายญั แทน ในสาํ นักสงฆ์แห่งนั้นมีพระ ๓๐ รูป กับสามเณร ๑ รูป เมื่อนายโจรแจ้งความประสงค์จะจับ พระ ๑ รปู พระท้ัง ๓๐ รูป กบั สามเณร ๑ ช่ือสงั กิจ ก็สมัครหมด แต่ในท่ีสุดสามเณรสังกิจมีเหตุผลดีกว่า ในการทจี่ ะไปให้โจรบูชายญั โจรจึงจับสามเณรไป สามเณรสังกจิ รปู น้ี มีความขลังพิเศษมาแต่กําเนิดแล้ว คือมารดาตายตั้งแต่สามเณรยังอยู่ใน ท้อง เม่ือสัปเหร่อเผาศพนั้น ท่ีอ่ืนไหม้หมด แต่ตรงท้องไฟไม่ไหม้ ครั้นผ่าดูก็พบเด็ก และภายหลังได้มา บวชเป็นสามเณร และอยู่คงกระพัน โจรเอาดาบฟ๎นเท่าไร ๆ ก็ไม่เข้า ในที่สุดพวกโจรเลยยอมเป็นศิษย์ หัวหน้าโจรถามสามเณรว่า ตอนทเ่ี ขากําลังจะลงดาบนั้น เหตุใดสามเณรจึงไม่สะทกสะท้านเลย สามเณร จงึ ตอบดว้ ย “คําพระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย:- ผูท้ ่ีหมดห่วงโดยสิ้นเชิงคือ พระอรหันต์ นอกน้ันจะหมดห่วงได้ก็เป็นบางส่วน เท่านนั้ (๒๑) อนุมตโฺ ตบี นรสฺส นารีสุ ปฏิพทธฺ มโน ว ตาว โสวจฺโฉ ขรี ปโกว มาตร.ิ คนท่ีมใี จเกาะเกี่ยวในผู้หญิงอยูแ่ มแ้ ตน่ อ้ ย ก็ยงั คงเปน็ เหมือนลูกวัวท่ยี งั ดื่มนมแม่ (ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้:- แสดงโทษของการตดิ ผูห้ ญงิ โทษของความเปน็ คนเจ้าชู้ นิทาน:-สมัยพระพุทธกาลไดม้ ีคนแกก่ ลุม่ หนงึ่ มีความคิดตรงกนั ว่า พวกตนแก่แล้วแม้จะอยู่ใน บ้านเรือนตอ่ ไปกไ็ มม่ ีความหมายอะไร ควรจะออกบวชเสยี ดีกวา่ แลว้ กเ็ ลยพากันออกบวช ครั้นบวชแล้วก็ อา้ งตวั วา่ เป็นคนแก่ จะเลา่ เรียนพระธรรมวินัยกไ็ มไ่ หว จงึ ชวนกนั ไปปลูกศาลาท่ีพักอยู่ทางท้ายวัด แล้วก็ น่งั คยุ กันทัง้ วันตามประสาคนแก่ ถึงเวลาก็ไปบิณฑบาตมาเลี้ยงชพี แตว่ า่ ในบรรดาหลวงตาเหล่านั้น เมยี เก่าของหลวงตารูปหน่ึงเข้าใจปรนนิบัติเอาอกเอาใจคน แก่ พวกหลวงตาทั้งหลายจงึ พากนั โปรดปรานเขา ไปบณิ ฑบาตถึงไหนๆ ก็วกกลับมานั่งฉันที่บ้านน้ัน เผ่ือ นางจะได้ถวายอะไรเปรี้ยว ๆ เคม็ ๆ เพิ่มเติมใหเ้ จริญอาหารบา้ ง ครนั้ อยู่มา ระหว่างที่พวกหลวงตากําลัง เพลดิ เพลินอยกู่ บั รสมือของนางนั้น นางไดถ้ งึ แก่กรรมด้วยโรคป๎จจุบัน ทําให้พวกหลวงตาพากันเศร้าโศก ปรเิ ทวนาการมาก ไมเ่ ป็นอนั จะมาติกาบังสุกุลเอาแต่กอดคอกันร้องไห้นํ้าลายไหลยืด ไม่ใช่เพราะสงสาร นาง แต่เพราะกลัวจะไมม่ ขี องอร่อยๆ ฉันอกี ใคร ๆ เห็นคนแก่รอ้ งไห้กพ็ ากนั มามุงดู ความเร่ืองนี้ทราบไป ถึงพระพุทธเจา้ พระองค์จึงตรสั “คาํ พระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย:- ผู้ชายลงได้จิตใจเกาะเกี่ยวในผู้หญิงแล้ว ไม่ว่าจะเกาะเก่ียวในทางกาม หรือ แมแ้ ต่ทางรสมือดงั ในเรอื่ งนก้ี ็ตาม และไม่วา่ ผูน้ น้ั จะแก่หัวหงอกแล้วก็ตาม ก็จะตัดขาดได้โดยยากเหมือน
๑๑ ลกู ววั ท่ยี ังกนิ นมแม่ ก็ยอ่ มจะติดสอยห้อยตามแมว่ วั เร่อื ยไป ในทน่ี ท้ี ่านเปรียบเหมือนลูกวัว เพื่อแสดงถึง ว่าไมม่ คี วามคิดอา่ นทางอ่ืนนอกจากวง่ิ ตามผ้หู ญงิ (๒๒)อกโฺ กเธนชิเนโกธ พึงชนะความโกรธดว้ ยความไม่โกรธ (ธ.บ. ๖) โอกาสท่คี วรใช้:- แนะวธิ ีเอาชนะความโกรธในจิตใจของเราเอง และชนะคนที่โกรธเราดว้ ย นทิ าน:-อุตรา ธิดาของพหธุ นเศรษฐี แต่งงานกับหนุ่มลูกเศรษฐีชาวเมืองราชคฤห์ ครั้นไปอยู่ บ้านกับผัวแล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะไปวัดทําบุญเลย เพราะต้องคอยบําเรอผัวผู้ซ่ึงเป็นมิจฉาทิฐิ ด้วยความ อยากไปทําบุญ จงึ ไปจา้ งนางสิรมิ า โสเภณจี ้าวเสน่ห์ของเมืองน้ันมาอยู่กับผัวแทน โดยวิธีจ้างเหมาตลอด ครึ่งเดือน ๑๐,๐๐๐ กหาปนะ ผวั กช็ อบใจ เพราะสิริมาสวยมาก คร้ันอยู่กับลูกชายเศรษฐีหลายวันหลาย คืนเข้า สิรมิ าเจา้ เกิดลืมตวั นึกว่าตัวเป็นคุณนายจริง ๆ เห็นลูกชายเศรษฐีมองนางอุตราบ่อย ๆ ก็เกิดหึง ทงั้ ๆ ท่ีเขาเป็นผัวเมียกัน ตัวเองสิเขาจ้างมาตู๊ เอาไว้ช่ัวระยะหน่ึงเท่านั้น ด้วยแรงหึง วันหนึ่งสิริมาคว้า นํ้ามันกําลังเดือด ๆ เทลงบนตัวของอุตรา ขณะท่ีสิริมาปรี่เข้ามา อุตราแทนที่จะโกรธกลับคิดขอบใจ โสเภณีใหญ่ ที่มาชว่ ยประทังผัวไวใ้ หเ้ ธอมีโอกาสได้ทําบุญ อุตราไม่โกรธ แต่ก่อนที่สิริมาจะทําอะไรลงไป มาก พวกคนใช้ของนางอุตราก็รุมจับสิริมาไว้ได้ กดคอล้มลงและข้ึนคร่อมไว้หมายจะรุมกันสับเสียให้ แหลก แต่นางอุตรามาห้ามเอาไว้ทัน ความไม่โกรธของนางอุตรา นี่แหล่ได้ทําให้สิริมาสํานึกผิด และขอ ขมาลาโทษ กลับทําตัวเป็นมิตรท่ีดีของนางอุตราต่อมา พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุน้ีจึงตรัส “คําพระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:- วิธีปฏบิ ตั ิเราจะต้องฝึกใจให้มี “อักโกธะ” ไวก้ ่อน เมื่อมีเรือ่ งย่วั ใหโ้ กรธก็รีบนึก ว่า “ไม่โกรธ” แล้วใจก็จะไม่โกรธ (๒๓) โย เวอปุ ฺปติตโกธรถภนฺต ว ธารเย ตมห สารถี พฺรูมิ รสมฺ ิคภฺ าโหอติ โร ชโน. ผู้ใดยั้งความโกรธที่ก้าลังพุ่งข้ึนได้ เหมือนห้ามล้อรถที่ก้าลังแล่นไปไว้อยู่ เราเรียกผู้น้ันว่า “สารถี” คน นอกจากน้ีเปน็ เพียงคนถอื เชือก (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้: - หกั หา้ มความโกรธ นทิ าน:- สมยั เม่ือพระพุทธเจ้ายงั ไมห่ ้ามพระสงฆต์ ดั ตน้ ไม้ พระภิกษุรูปหน่ึงกําลังจะตัดต้นไม้ ต้นหน่ึงเอาไปสร้างกุฎี รุกขเทวดาผู้อาศัยอยู่ที่ต้นไม้น้ันได้ขอร้องท่านว่าอย่าตัดเลย เพราะเป็นที่อาศัย ของตน แต่พระภกิ ษุรูปนั้นไมท่ ราบการขอร้องของเทวดา จึงเง้ือขวานฟ๎นลงไป บังเอิญไปถูกเอาแขนลูก เทวดาขาด เทวดาบนั ดาลโทสะอยา่ งแรงจะทาํ รา้ ยพระภกิ ษุรปู นน้ั แต่มสี ติย้ังใจไว้ได้ทันโดยคิดว่าพระรูป น้ีกม็ คี รมู อี าจารย์ คือพระพทุ ธเจา้ ตนควรจะไปทลู บอกเล่าแกพ่ ระพุทธเจ้าดีกว่า จึงได้นําความทั้งปวงไป กราบทูลพระองค์ เม่อื พระพุทธเจ้าทรงทราบแล้วได้ ตรสั แก่รุกขเทวดาด้วยพระบาลขี า้ งบนนี้ ความหมาย:-การควบคุมตัวเราเองก็เหมือนเราขับรถ คนขับรถที่ฝีมือดีเข้าข้ันท่ีเรียกว่า “สารถี” ได้แก่คนท่ีสามารถหยุดรถท่ีกําลังแล่นไปเต็มท่ีให้หยุดได้ทันท่วงที คนท่ีทําไม่ได้ถึงขนาดน้ีไม่ เรียกว่าสารถี อย่างดีกเ็ ปน็ แค่คนถอื เชือก (คอื เชอื กมา้ เทยี มรถ หรือ ถือพวงมาลัย) คนที่ห้ามตัวห้ามใจได้ ขณะทบ่ี นั ดาลโทสะ ก็เรยี กไดว้ า่ เปน็ “สารถี” เหมือนกัน
๑๒ (๒๔) อปฺปมตตฺ โกบี หิโกโธ วา อิสสฺ า วา กาตุ น ยตุ ฺตรูปา. ความโกรธก็ดี ความรษิ ยากด็ ี แมเ้ ล็กน้อยก็ไมค่ วรทา้ (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้:-เตอื นใจคนท่ีโกรธและข้ีริษยาคนอ่ืน เฉพาะอย่างยิง่ สตรเี พศ นิทาน:-ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยย่ี มพระญาติท่ีเมืองกบิลพัศด์ุ ขณะน้ันพระนางโรหิณี กําลังประชวรด้วยโรคผิวหนัง พุพองไปทั้งองค์ จนไม่กล้าออกนอกตําหนักเพราะทรงอายใคร ๆ พระพุทธเจา้ ตรสั บอกบพุ กรรมแกพ่ ระนางว่า ชาตกิ อ่ นพระนางทรงเป็นอัครมเหสีของพระราชาองค์หน่ึง ทรงริษยาในนางฟอู นประจําราชสํานักคนหน่ึง ซึ่งรูปร่างโสภายิ่งกว่าพระนาง ด้วยแรงริษยาพระนางจึง ลอบเอาขุยเต่าร้าง (ถูกตัวแล้วคันเหมือนหมามุ่ยหรือตําแย) ไปโรยใส่เส้ือผ้าและท่ีนอนของนางฟูอนคน นัน้ นางฟอู นผู้น่าสงสารไปโดนผงคนั เข้าก็เกิดคันไปทง้ั ตวั จะฟูอนจะราํ กไ็ ม่ได้ เอาแตเ่ กาไม่เป็นอันกินอัน นอน รา่ งกายพพุ องไปหมด ดว้ ยผลกรรมอนั เกิดแต่ความริษยานี้ พระนางโรหิณีจึงเปน็ โรคผิวหนงั สุดท้าย พระองคจ์ ึงประทานโอวาทดว้ ย “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:- ความรษิ ยาได้แกก่ ารที่เหน็ คนอืน่ ได้ดแี ลว้ ร้อนรุ่มใจ คิดตดั รอนเขา หมวด ๑ (๒๕) โกธ ชเห, วปิ ปฺ ชเหยยฺ มาน คนควรละความโกรธเสีย, ควรสลดั มานะทง้ิ เสีย (ธ.บ. ๖) โอกาสทคี่ วรใช้ : - แนะนาํ โทษของความโกรธ, และวธิ ีบาํ บดั โรคผวิ หนงั อันเกดิ จากความโกรธ นิทาน : - กาลคร้ังหนง่ึ เจ้าหญงิ โรหิณี ซ่งึ เป็นพระญาตสิ นิท (นอ้ ง) ของพระอนรุ ธุ ประชวรด้วยโรค ผวิ หนงั อย่างแรง เป็นแผลพพุ องไปท่วั ทั้งองค์ จนไมส่ ามารถจะเสด็จออกนอกตาํ หนักได้ เพราะทรงละอาย พระอนรุ ุธผมู้ ีตาทพิ ย์ไดไ้ ปเยี่ยมและแนะนาํ วิธีบําบดั โรควา่ ให้พระนางสร้างหอฉันถวายพระ เป็นโรงสองชนั้ แล้วพระนางไปปด๎ กวาดทุกวนั พระนางโรหณิ ตี รสั ว่าไมม่ ีเงินสร้าง พระเถระถามว่า เครือ่ งแตง่ ตัวยงั มีอย่หู รือไม่ ถ้ามกี ็ให้เอาไปขายเอาเงินมาทาํ บุญเสยี พระนางจงึ ตกลงขายเคร่ืองแต่งตัวไดเ้ งนิ มาหนึง่ หม่นื นาํ มาสรา้ งหอฉนั พระอนรุ ธุ กไ็ ดเ้ อาเปน็ ธรุ ะดูแลการกอ่ สรา้ งให้จนเสรจ็ พระนางโรหิณไี ด้ทรงกวาดหอฉันทกุ วนั ๆ ไมช่ ้าโรคผวิ หนงั กค็ อ่ ยๆ หายไป ในวันฉลอง พระพทุ ธเจ้าไดต้ รสั บอกแกพ่ ระนางวา่ โรคผิวหนังของพระนางเกิดจากความโกรธ และ ความรษิ ยาคนทเ่ี ขาสวยกวา่ แลว้ ทรงโอวาทดว้ ยคําพระบทนี้ ความหมาย : - เหตุใดพระองค์จึงทรงสอนใหล้ ะมานะเสียด้วย? กเ็ พราะมานะ คอื ความถอื ตัว ทะนงตัว ทําให้เกิดความรษิ ยา ล้างผลาญคนท่ีเขาดกี ว่าตวั (๒๖) นตฺถิ ราคสโม อคตฺ ิ. ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี (๒๗) นตถฺ ิ โทสสโม กล.ิ โทษเสมอดว้ ยโทสะไม่มี (๒๘) นตถฺ ิ ขนฺธสมา ทุกขา. ทุกข์เสมอดว้ ยขนั ธ์ไม่มี (ธ.บ. ๖) โอกาสท่คี วรใช้ : - แสดงโทษของราคะ โทษะ และความลําบากในการบริหารชวี ติ
๑๓ นทิ าน : - ครง้ั หนึ่งพระพทุ ธเจ้าได้เสดจ็ เข้าไปเสวยภตั ตาหาร ในงานมงคลสมรสของหนุ่มสาว คหู่ นง่ึ ที่เมืองสาวัตถี ขณะที่เจ้าภาพกาํ ลงั เลย้ี งพระอยนู่ ้ัน เจา้ บา่ วเกิดอาการวกิ ฤตทางจิตใจ คือเกิดความคดิ ใฝฝุ ๎นท่ีจะไดเ้ ล้าโลมเจ้าสาวในเชงิ กาม จนกระทั่งใจลอย ไมเ่ ป็นอันจะทาํ อะไรถกู พระพุทธเจ้าทรงทราบวาระ จติ ของเขา จึงทรงใชอ้ าํ นาจฤทธิบ์ งั ตาเจา้ บ่าวไม่ใหม้ องเหน็ เจา้ สาวชวั่ คราว แล้วรับส่งั กบั เขาด้วย “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย : - ๑. ไฟราคะร้อนกวา่ ไฟท้ังปวง เพราะเผาใจใครเข้าแล้วอาจทาํ ผิดศีลธรรมได้ทุกอย่าง เช่น ฉุดคร่าห์ ทําชู้ ข่มขนื ฯลฯ ๒. โทษหรอื ทณั ฑ์ทค่ี นเราลงกัน ไมม่ โี ทษสถานใดหนักเทา่ ความคิดร้ายในใจ เราเอง เพราะคนเราเม่อื โทสะเกิดขึ้นแลว้ อาจทําร้ายคนอ่ืนไดท้ กุ อยา่ ง แม้แตฆ่ ่ามารดาบิดาของตน ๓. ขนั ธห์ า้ คอื รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ เป็นส่ิงที่บริหารใหม้ ีชีวติ อยไู่ ดย้ าก ตอ้ งกนิ ทุกวนั นอนทกุ วนั ปุวยเจบ็ สารพดั (๒๙) ตฎุ ฐี สขุ า ยา อิตรี ตเรน. ความพอใจกับป๎จจัยตามมตี ามได้เปน็ ความสุข (ธ.บ. ๒) โอกาสทคี่ วรใช้ : - แนะทางทาํ ใจใหเ้ ปน็ สุขหรอื บรรยายคณุ ของสนั โดษ นิทาน : - เม่อื พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ มรี ะยะหนงึ่ ทพ่ี วกขา้ ราชการพากนั ทจุ รติ ฉอ้ โกงกนั ทว่ั ไป ตัง้ แต่พระราชาลงมาจนกระทัง่ เสนาอาํ มาตย์ผนู้ ้อย การกดขีข่ ม่ เหงราษฎรไดเ้ ปน็ ไปอย่างกว้างขวาง ปราศจากความเมตตากรณุ า ประชาชน พลเมอื งเดอื ดร้อนกนั ทวั่ ทกุ หวั ระแหง วนั หนึง่ พระพทุ ธเจ้าประทับอยู่ ในสํานักปุาหิมพานต์ ไดท้ รงดาํ ริถงึ เร่ืองน้ี และทรงสงสารประชาชนอยา่ งยงิ่ พระองคท์ รงตั้งปญ๎ หาขึ้นใน พระทัยวา่ ถา้ พระองคจ์ ะครอบครองประเทศเหล่าน้ันแล้วเป็นพระราชาเสยี เองจะไดห้ รอื ไม่ และจะสามารถ ปกครองประชาชนให้รม่ เย็นได้ไหม ก็ทรงเหน็ ทางว่าพระองคอ์ าจทําได้ ความจรงิ ขอ้ ดาํ ริน้เี กิดจากความสังเวช พระทัยทไ่ี ด้เห็นความเหลวแหลกของผปู้ กครองบ้านเมอื งเท่านั้น แต่มารซ่งึ จ้องหาโอกาสอยู่แลว้ คิดวา่ พระองค์ ทรง “อยากสึก” จงึ เข้าไปเฝูา และกราบทูลเกล้ยี กล่อมให้พระองค์ทรงสละเพศไปครองราชย์ด้วยคํายกยอ ปก ป๎้น และบรรยายความสุขทจ่ี ะพึงไดน้ านาประการ ครงั้ น้นั พระพุทธเจ้าทรงตาํ หนิความคิดของมาร และตรัส “คาํ พระ” บทน้ี เพอื่ แสดงแก่มารว่า ความสุขของคนเรานนั้ ไมไ่ ดอ้ ยูท่ ีก่ ารมอี ํานาจเหนือคนอื่น ไม่ได้อยทู่ ่มี ีเงนิ มที องมากๆ แต่อย่มู ีเหตอุ ่นื ตามท่ี ทรงยกมาตรัส (ซึ่งมอี ยดู่ ว้ ยกนั ๑๒ ประการ) ความหมาย : - ทว่ี า่ “ป๎จจัยตามมตี ามได้” คือส่ิงท่ีตนหามาไดแ้ ลว้ ของท่เี ป็นของตวั แล้ว เช่น บ้านเรอื นของตน ลูกเมยี ของตน ความเป็นอยู่ของตน ตลอดจนประเทศชาติ ศาสนาและตาํ แหน่งหน้าที่ของตน ถา้ พอใจเสยี แลว้ กม็ ีความสุข ดีกว่าไปใฝุฝ๎นกบั ส่ิงทเี่ กินวิสยั ของตน (๓๐) ธมมฺ ปติ ิ สุง เสติ, วปิ ฺปสนเฺ นน เจตสา. บณั ฑติ ท่านอ่ิมธรรมะ มจี ิตใจผุดผ่อง ยอ่ มอยเู่ ปน็ สขุ (ธ.บ. ๔) โอกาสทคี่ วรใช้ : - พรรณนาลักษณะความสุขท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิธรรมะ ใหเ้ หน็ ว่าวิเศษแตกต่างจาก ความสุขท่ไี ดจ้ ากเครอ่ื งอิ่มทางโลกอย่างไร
๑๔ นทิ าน : - กกุ กุฏวดนี คร เปน็ เมอื งท่หี า่ งไกลจากเมืองอนื่ ถูกกั้นลอ้ มดว้ ยแม่นํา้ และภูเขา ทําให้การ คมนาคมตดิ ตอ่ กบั ต่างแคว้นลําบากมาก แต่พระราชามหากบนิ กับพระราชนิ อี โนชา แห่งนครนัน้ ทรงปกครอง ไพรฟ่ าู ประชาชนโดยทํานองครองธรรม เป็นท่ีรักของเสนาอาํ มาตย์ และพศกนิกรโดยท่วั หนา้ ข้อท่พี ระราชาทรงปรารถนาอย่างยงิ่ คือข่าวการเกิดขึน้ แหง่ พระศาสนา วา่ ได้มีพระศาสดาผู้รู้แจง้ เห็น จริงอยู่ ณ ที่ใด เพ่อื จะไดท้ รงนาํ ศาสนธรรมทถ่ี กู ต้องมาพฒั นาจติ ใจของมวลชน จนถึงกับทรงจดั ตงั้ กองสบื ขา่ ว ศาสนาข้ึน แบง่ เป็น ๔ กองแยกยา้ ยกนั ไปเปน็ ๔ ทศิ และพระองค์เองก็ทรงออกสบื เสาะหาอีกทางหนึง่ ด้วย ตอ่ มาได้ทรงทราบข่าวจากพวกพอ่ คา้ ม้าว่า พระศาสดาพุทธะกําลงั ประกาศพระศาสนาอยู่ในประเทศ โกศล ศาสนาของพระองค์ประเสริฐจริงพระราชาทรงดีพระทยั มาก ให้ทรงจดั ขบวนยาตราไปหาพระพทุ ธเจ้า ถงึ นครสาวตั ถี และออกทรงผนวชพรอ้ มด้วยพระราชินี และเสนาอํามาตย์ในท่ีสุดพระศาสดาทรงแสดง แก่พระสงฆ์ว่า พระราชามหากบินทรงอ่ิมธรรมะ และตรสั “คาํ พระ” ข้อนี้ ความหมาย : - ความอ่มิ ของคนมไี ดจ้ ากหลายทาง แตค่ วามอิ่มในธรรมะผดิ จากทางอน่ื คือ อม่ิ แลว้ จิตใจผุดผอ่ ง จงึ อยู่สบายดีมาก ไมอ่ ดึ อัด ไมม่ ีภยั (๓๑) โก นุ หาโส กิมานนฺโท นจิ จฺ ปชชฺ ลิเต สติ อนธฺ กาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. โลกลกุ เปน็ ไฟอยู่อยา่ งนี้ ยังจะมามวั รา่ เริงอะไรกัน! ตวั ตกอยูใ่ นความมดื แล้วยงั ไมร่ จู้ กั หาแสงสวา่ ง (ธ.บ. ๔) โอกาสทค่ี วรใช้ : - เตอื นสติคนทีป่ ระมาทสนกุ จนลมื ตาย นทิ าน : - เม่อื คร้ังนางวสิ าขายังมชี วี ติ อยู่นางไดจ้ ดั ให้มบี รกิ ารอบรมศีลธรรม และหนา้ ท่แี มบ่ ้านแก่ บรรดาหญิงแมบ่ า้ นท้ังหลาย ได้มีพวกพอ่ บ้านสง่ ภรรยาของตนรับการอบรมเปน็ จาํ นวนมาก ครัน้ อยมู่ าหญิง เหล่าน้ันเห็นพวกผู้ชายพากันกินเหล้าหามร่งุ หามค่ํา เกิดความไม่พอใจ จงึ นัดกันกนิ เหล้าประท้วง นางวิสาขา หา้ มปรามเท่าไรก็ไม่เชอ่ื ฟง๎ อยมู่ าวันหนึ่ง หญงิ เหลา่ นนั้ พากันหลอกนางวิสาขา ขอลาไปชมสวน นางวิสาขารูท้ นั วา่ หญิงเหล่าน้ัน จะแอบไปกนิ เหลา้ อกี จงึ ไมอ่ นญุ าต พอถูกขัดใจแม่พวกตัวดีทัง้ หลายก็วางแผนเฮย้ี วข้นึ มา วนั หนึง่ จึงแกล้งลวง นางวิสาขาว่าขอให้พาไปฟ๎งเทศน์ โดยทค่ี บคดิ กนั ว่า จะซ่อนขวดเหลา้ เข้าไปกนิ แลว้ จะเตน้ ระบําเฉพาะพระ พักตร์ของพระพุทธองค์ ให้นางวิสาขาได้อาย นางวสิ าขาหลงกลจงึ พาหญิงเหลา่ นั้นไปเฝูา พอได้เวลาหญงิ เหลา่ น้นั จะขยบั จะเรม่ิ แสดงพระพุทธองคท์ รงรทู้ นั จึงตรัส “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย : - คําว่า “โลกลกุ เป็นไฟ” หมายความวา่ หมมู่ นุษย์กาํ ลังถกู แผดเผาด้วยแรงกเิ ลสและ ทว่ี ่า “ตัวตกอยู่ในความมดื ” น้นั หมายถงึ ถกู ความโง่ครอบคลมุ ใจอยู่ (๓๒) สเุ ขน ผฏุ ฺฐา อถวา ทุกฺเขน น อจุ จฺ าวจ ปณฺฑติ า ทสสฺ ยนฺติ. บณั ฑิตไมว่ า่ จะมคี วามสุข หรอื เผชญิ กับความทกุ ข์ก็ไม่แสดงอาการสูงๆ ต่้าๆ (ธ.บ. ๔) โอกาสที่ควรใช้ : - เตอื นใจเวลาเผชญิ กบั เหตกุ ารณ์ จะไดไ้ มเ่ สยี มารยาท นทิ าน : - (โปรดอา่ นนทิ านของคําพระข้อ ๑๓ ดว้ ย) พระพทุ ธเจา้ กบั พระสงฆ์ได้รับทุกข์ทรมานอย่าง สาหัส เนอ่ื งจากเกดิ ข้าวยากหมากแพงระหวา่ งกลางพรรษา ท่ีเมอื งเวรญั ชา ครนั้ ออกพรรษาแล้วไดท้ รงพา พระสงฆ์เหลา่ นัน้ เสดจ็ ไปท่ีเมืองสาวตั ถี ณ ท่ีนัน้ พุทธบรษิ ทั ไดพ้ ากันเล้ยี งดพู ระสงฆ์อยา่ งอุดมสมบูรณ์ แต่ พระสงฆ์ท้ังหลายก็มไิ ดแ้ สดงความดีอกดีใจออกมานอกหนา้ แต่อยา่ งใด คงรกั ษามารยาทสงบเสง่ียมตลอดมา แต่ในเวลาเดียวกันน้ัน พวกคนยากจนซง่ึ มาคอยขอทานเศษอาหารจากพระ ได้กินอาหารอ่ิมทอ้ งแลว้ เกิดแสดง
๑๕ ความลิงโลดโห่รอ้ ง เล่นปลาํ้ กันวุ่นวาย พระสงฆท์ เี่ ปน็ นักสงั เกต จึงพูดปรารภเปรียบเทยี บระหว่างคนท้งั สอง เหล่าในทํานองว่า พระท่านอดอยากมาแล้วไดร้ บั เลีย้ งอย่างดี แต่ทา่ นก็เฉยๆ ส่วนคนกินเดนพวกนี้อดอยาก มาแล้วได้กินเพยี งอาหารอันเป็นเดนกลบั แสดงอาการลงิ โลดอันใหญโ่ ต โอกาสน้ันพระพุทธองคจ์ ึงตรสั “คํา พระ” ขอ้ น้ี ความหมาย : - บณั ฑติ คอื คนทเ่ี ป็นนกั ปราชญ์ไม่วา่ จะตกอยู่ในสถานะท่ตี นชอบหรอื เกลยี ดสักปาน ใด กค็ วบคุมกิริยามารยาทไว้สมา่ํ เสมอ ไมแ่ สดงอาการ “ตาโต” หรือบ่นเพอ้ ใหค้ นอื่นเหน็ ปมดอ้ ย (๓๓) โน เจ ลเภถ นิปก สหาย สทฺธี จร สาธุวหิ าริ ธีร ราชา ว รฏฺฐ วชิ ิต ปหาย เอโก จเร มาตงฺครญฺเญว นาโค. ถา้ เราไม่ไดเ้ พ่อื นท่ีมปี ๎ญญารักษาตัวอย่ดู ี และมคี วามทรงจาํ ก็ควรจะหนไี ปอย่เู สยี คนเดยี วเหมือน พระราชาทรงหนไี ปจากรัฐ ทพ่ี ระองคท์ รงชนะแลว้ และเหมือนชา้ งมาตงั คะทิ้งโขลง ฉะนนั้ (ธ.บ. ๑) โอกาสทีค่ วรใช้ : - เมือ่ ท่านเองเป็นผู้ใหญแ่ ละคนในปกครองเกิดทะเลาะกนั โดยท่ีต่างฝุายก็อา้ งว่าทาํ เพื่อเพื่อน คอื แยง่ กนั ทําดเี อาหนา้ ห้ามแลว้ ไมฟ่ ง๎ กค็ วรปฏบิ ตั ติ ามบทนี้ คอื หนไี ปคนเดียวอยา่ งลึกลับชวั่ คราว นทิ าน : - ครัง้ หนึ่ง พระวัดโฆษิตาราม เมืองโกสัมพเี กดิ ทะเลาะกัน แตกแยกกันครั้งใหญแ่ ละต่างฝาุ ย ก็อา้ งวา่ ตนปฏบิ ัตถิ กู ตอ้ งตามพระพทุ ธประสงคท์ ่ีสุด พวกชาวบา้ นกแ็ ตกกันเปน็ ก๊กเป็นเหล่าเข้าข้างพระท่ีตน ชอบ พระศาสดาทรงสง่ พระเถระผใู้ หญ่ไปห้าม ขอให้คืนดกี นั เสยี ก็ไมไ่ ดผ้ ล พระองค์เสดจ็ ไปหา้ มเองหลาย คร้งั กไ็ ม่ได้ผล เพราะแต่ละฝุายก็แรงทิฐมิ านะดว้ ยกัน อยมู่ าวนั หนึ่ง พระศาสดาได้เสด็จหนีไปอยา่ งลกึ ลับเขา้ ไปจาํ พรรษาอยู่ในปุารกั ขิตวันลาํ พัง พระองค์ เดียว มแี ต่ช้างกบั ลิงถวายการปฏบิ ัติ เมอ่ื พระองคท์ รงหายไป ประชาชนก็หันเข้าโจมตีพระท่ีทะเลาะกนั วา่ เป็น ผกู้ อ่ เหตุ และงดการทําบุญตักบาตรเสีย ในโอกาสทพ่ี ระอานนท์เถระเจ้าได้ตดิ ตามหาพระองค์ และไปพบอยู่ในปุาโดยลําพงั ไดท้ ลู ถามถงึ ความ ลาํ บากของพระองค์ พระองคจ์ ึงทรงตอบโดยพระบาลขี ้างบนน้ี ความหมาย : - นยั แหง่ พระคาถาน้บี ่งว่าคนทจ่ี ะเปน็ สหายอยรู่ ่วมกันเป็นสุข จะต้องมีลกั ษณะคอื ๑. มปี ๎ญญารักษาตวั คอื คดิ ปรับปรงุ ตวั เองแทนทจี่ ะต้งั หน้าถากถางคนอนื่ ถ่ายเดียว ๒. อยู่ดี คอื มี น้าํ ใจถอ้ ยทถี ้อยอาศัยกัน และ ๓. มีความทรงจาํ คือยึดถือวาจาสัตย์ (๓๔) กาเยน สวุตา ธีรา อโถ วาจาย สวตุ า มนสา สวุตา ธีรา เต เว สปุ รสิ วตุ า. ธีระชนผู้ส้ารวมทงั้ กาย ท้งั วาจา ทง้ั ใจ จึงจัดได้ว่าสา้ รวมรอบคอบดแี ลว้ (ธ.บ. ๖) โอกาสท่ีควรใช้ : - แนะนาํ ในการระมดั ระวงั ตัว มใิ ห้ตกเป็นเหย่อื ของมาร นิทาน : - ในระหวา่ งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนมอ์ ยูน่ ั้น มพี ระซกุ ซนอยู่กล่มุ หนึ่งจํานวน ๖ รปู เทีย่ ว ทาํ อะไรแผลงๆ พระพุทธเจ้าตอ้ งทรงตามบัญญัตวิ ินัยกันเรอื่ ยมา ซ่งึ เปน็ ทรี่ กู้ นั ดีว่า พระ “ฉพั พคั คยี ์” (แปลว่า พระหกรูป) วนั หนง่ึ พระฉพั พคั คยี เ์ กดิ นกึ สนุกข้ึนมา พากนั ใสเ่ ขียงเทา้ ไม้ (เก๊ยี ะ) แลว้ กถ็ อื ไม้เทา้ สองมอื เดนิ ทาํ เสยี งกุ๊กกัก๊ ๆบนหลงั หนิ ดาด พระพทุ ธเจ้ารับสงั่ ให้พระไปตามพวกฉพั พคั คียน์ น้ั มา ทรงสอบถามแลว้ บัญญตั ิ สิกขาบทห้ามพระใส่เขียงเทา้ ไม้ ครน้ั แลว้ จงึ ประทานโอวาทด้วย “คําพระ” ข้างบนน้ี
๑๖ ความหมาย : - คาํ ว่า “สาํ รวม” คอื การระมดั ระวัง, ในทีน่ ่ีพระองคท์ รงแนะว่า การระวังตวั นนั้ ต้อง ระวงั ทัง้ สามทางจงึ จะเป็นคนรอบคอบแท้ คอื ระวงั กาย..., มือเท้า ระวงั วาจา...ปาก ระวังใจ...ความนกึ คดิ (๓๕) อนวฏฺฐิตจติ ตฺ สสฺ ลหจุ ติ ตฺ สฺส ทพุ ฺภโิ น นจิ จฺ อทธฺ ุว สลี สสฺ สุขภาโว น วิชฺชต.ิ สขุ ภาพของผมู้ ใี จไม่ม่ันคง เหลาะแหละรังแกมติ รไม่มีอะไรจริงจงั ย่อมดีไมไ่ ด้ (ธ.บ. ๓) โอกาสท่คี วรใช้ : - แนะวิธสี รา้ งสุขภาพทางจติ ใจ นิทาน : - ครงั้ หนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ทรงเล่านทิ านประกอบพระธรรมเทศนาว่า มีนกขมิ้นตัวหน่ึงทํารังอยู่ ในปาุ หิมพานต์ ครั้นอยมู่ าวันหนึ่งเกดิ ฝนตกหนัก มีลงิ ตวั หนงึ่ มาขออาศัยอย่ใู นรงั นกขมิน้ นกจึงสนทนาซกั ถามวา่ “รา่ งกายของคุณก็เหมือนๆคน มีมอื เท้าเหมือนกัน ทําไมจงึ ไม่ปลกู เรอื นอยู่ ลงิ บอกว่า “เราขาดปญ๎ ญา ท่ีไมเ่ หมอื นคน” นกจงึ ปรารภถึงเร่ืองสุขภาพของชีวิตว่าเก่ียวขอ้ งกบั ความเป็นไปทางจติ ด้วย ดังเนื้อความคาถาข้างบน น้ี เจา้ วานรเกดิ เขา้ ใจผดิ คิดวา่ นกด่าเปรยี บเปรย จงึ โกรธเอา พอฝนสร่างก็ร้ือรังนกกระจัดกระจายแล้ว หนีไป ความหมาย : - สุภาษิตขอ้ นี้แม้จะเป็นคําของนก แต่ทางศาสนาก็รับว่าเป็นความจริง แสดงถึงทางที่ ทาํ ให้สุขภาพจิตเส่ือมเสยี และท่ีว่าสุขภาพจติ เสยี กค็ ือขาดป๎ญญาอยา่ งทีล่ งิ เปน็ นเี้ อง (๓๖) อทสฺสเนน พาลาน นจิ ฺจเมว สุขี สยิ า. คนเราจะมีสุขทแ่ี น่นอนไดก้ ็โดยท่ีไมไ่ ด้พบเห็นคนพาลเลย (ธ.บ. ๖) โอกาสทคี่ วรใช้ : - แนะนาํ ในเรอ่ื งการอยูด่ ี กนิ ดแี ละการปรับปรุงความเปน็ อยู่ของบคุ คลในสงั คม นิทาน : - ครั้งหน่ึง หลังจากพระพุทธเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว คือในระยะ ๓ เดือน ก่อน ปรินพิ พาน พระองคท์ รงอาพาธ และพระโรคไดก้ าํ เรบิ ข้ึนเปน็ คราวๆ ในคราวท่ีทรงอาพาธนน้ั ก็มีผู้มาถวายการ รักษาพยาบาล และขวนขวายในเรอ่ื งต่างๆมากหน้าหลายตา คนเหลา่ นน้ั ท่มี ีศักด์สิ งู เปน็ ถึงพระราชา มหาราชากม็ ี และทา้ วสักกะเทวราช ก็มาถวายการปฏิบัติด้วย โดยท่ีพระองค์เป็นผู้นําหม้อพระบังคนหนักไป นนั้ ก็ทรงทนู ไวบ้ นพระเศียร พระพุทธเจา้ ทรงปรารภเหตุนี้ จงึ ตรสั ถึงการคบหาสมาคม ใจความวา่ - การพบเห็นพระอรยิ บุคคลเปน็ การดี - การเที่ยวไปกับคนพาล จะนําความเสยี ใจมาใหไ้ ม่จบสน้ิ ฯลฯ และตรัส “คาํ พระ” ขา้ งบนนนั้ ดว้ ย ความหมาย : - คนพาลมีลกั ษณะ ๓ อยา่ ง คอื ๑. ทุจจฺ นิ ตฺ ิตจินตี คิดนึกแตใ่ นทางช่ัวเปน็ อาจณิ ๒. ทพุ ฺภาสิตภาสี พูดจาแต่ถ้อยคําหยาบช้า ด่าทอเป็นอาจิณ ๓. ทุกฺกตกมฺมการี ทําแต่งานชนิดที่ผิดทํานอง คลองธรรมเป็นอาจิน ตราบใดท่ีเรายังติดต่อกับคนประเภทนี้อยู่ ตราบน้ันคนเราก็จะมีความสุขยืนยาวไม่ได้ (โปรดดูอีกนัยหน่งึ จากคําพระขอ้ ท่ี ๓๘) (๓๗) ตณฺ หาย วปิ ฺปมุตฺตสสฺ นตฺถิ โสโก, กโุ ต ภย. ความโศกยอ่ มไมม่ ีแก่คนท่ีพ้นแล้วจากตัณหาภัยจักมแี ตท่ ่ีไหน (ธ.บ. ๖)
๑๗ โอกาสทค่ี วรใช้: - แสดงผลของการลดความทะยานออก คอื มากไปด้วยความต้องการจนหาขอบเขต ไมไ่ ด้ นิทาน : - ชาวนาคนหนง่ึ ตงั้ ภมู ิลาํ เนาอยู่ทแ่ี ขวงเมืองสาวตั ถี เขาเป็นคนมจิ ฉาทฐิ ิ ไมส่ นใจในศาสนา เลย วันหน่งึ เขาออกไปถางนาอยูร่ มิ ฝ๎่งน้าํ พระศาสดาได้เสดจ็ ไปถามเขาว่า “อุบาสก ท่านกาํ ลงั ทาํ อะไร?” เขา ทูลตอบอย่างเสยี ไม่ได้ว่า “ถางนา!” พระศาสดากเ็ สด็จเลยไป ตอนที่เขาเรม่ิ ไถนา พระศาสดาก็เสด็จไปตรสั ถามว่า “อบุ าสก ท่านกําลงั ทําอะไร?” เขากท็ ลู ตอบ อย่างเสยี ไม่ได้ว่า “ไถนา!” พระองคก์ ็เสด็จเลยไป เมอ่ื เขาเรม่ิ หวา่ น พระศาสดาก็เสด็จไปถามอีก ชาวนาคนนนั้ ถกู พระศาสดาตรสั ถามบ่อยๆ คงจะใจ อ่อน เลยกราบทูลว่า เห็นใจทีพ่ ระมาถามขา่ วคราวตอ่ ไปเขาจะขอถือวา่ พระพุทธเจา้ เปน็ เพือ่ นกับเขา เกีย่ ว ขา้ วแลว้ จะแบง่ ใหบ้ ้าง พระพุทธเจา้ ทรงรบั ไมตรีในฐานเป็นเพอ่ื นกบั เขา ตอ่ มาพอจวนถงึ เวลาเกีย่ วขา้ วได้เกิด นาํ้ เหนือหลากผดิ ฤดกู าล ข้าวในนาของเขาถกู กระแสนํา้ พดั ราบพนาสญู หมด เขาเสยี ใจมาก พระศาสดาได้ เสดจ็ ไปเยีย่ มและประทานโอวาทแกเ่ ขา ดงั “คําพระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย : - ตัณหา คอื ความทะยานอยากมี ๓ ลกั ษณะ คอื กามตัณหา อยากได,้ ภวตัณหา อยากเป็น, วิภวตณั หา อยากไมเ่ ป็น (๓๘) มาโรจ ภรสุ กญจิ วุตฺตา ปฏวิ เทยฺยุ ต. จงอย่าพูดคา้ หยาบกับใครๆ คนทถี่ กู ท่านวา่ แล้วจะโตต้ อบท่าน (ธ.บ. ๕) โอกาสทคี่ วรใช้ : - แนะวิธปี ฏิบตั ิเมือ่ ถกู ใส่ความด้วยเรอ่ื งอันเปน็ เทจ็ นิทาน : - ประชาชนและพระสงฆ์พากันซุบซิบนินทาพระโกณฑธาน์ว่าเป็นพระทุศีล เพราะผู้ท่ีเห็น ทา่ นอย่กู บั ผ้หู ญงิ สองต่อสองหลายคร้งั หลายคราว ในทส่ี ดุ จึงพากันนําความฟูองร้องต่อพระราชาป๎สเสนทิแห่ง ประเทศโกศล พระราชาได้ทรงนาํ กําลังเจา้ หนา้ ที่ไปล้อมกุฏิของท่าน เพื่อจะจับให้ได้ พอทรงสังเกตเห็นมีหญิง สาวทําลับๆล่อๆ อยู่ในกุฏิกับพระโกณฑธาน์ พระราชาก็ทรงบุกเข้าค้นด้วยพระองค์เอง แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ ลอ่ งหนหายไปอย่างลึกลบั ครั้นตรัสถามดู พระรูปนน้ั กท็ ูลวา่ ทา่ นไมเ่ คยเก่ยี วขอ้ งกับผู้หญิงคนใด มีแต่คนอ่ืนใส่ ความตลอดมา พระราชาทรงขอให้พระรูปน้ันเดินออกไปจากกุฏิ พอพระไปไกลพอสมควรพระองค์ก็ทรง ทอดพระเนตรเห็นมีผู้หญิงเดินตามหลังพระรูปน้ัน ในท่ีสุดจึงทรงรับได้ว่า หญิงที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ซ่งึ ต่อมาพระพุทธเจ้ากท็ รงแสดงวา่ น่นั เป็นภาพลวง อันเกดิ จากผลกรรมของพระโกณฑธ์ านน์ ้นั เองแลว้ ทรงแนะ ท่านว่าในกรณีท่ีท่านถูกใส่ความอย่างนี้ท่านจงนิ่งเสีย แม้ใครเขาจะว่าก็ช่างเขา ทรงเน้น ลงด้วย“คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย : - ในกรณีที่เราถูกใส่ความด้วยผลกรรมอยา่ งน้ี ยงิ่ เราแสดงความโมโหดา่ วา่ เขาการใส่ ความย่อมจะยุตลิ งไม่ได้ เพราะอีกฝุายจะต้องโต้ตอบไมส่ น้ิ สดุ (๓๙) ทกุ โฺ ข พาเลหิ สวาโส. การอยรู่ ว่ มกับคนพาลใหเ้ กดิ ทกุ ข์ (ธ.บ. ๗)
๑๘ โอกาสท่คี วรใช้ : - เตอื นใจในคราวทจี่ ะอย่รู ่วมกบั คนอ่นื เชน่ แตง่ งานกัน หรอื อยู่กนิ ดว้ ยกนั นทิ าน : - พระพทุ ธเจ้าทรงแสดงวถิ ที างแห่งความสุขหลายอย่างแกพ่ ระสงฆ์ แลว้ ทรงแสดงทางทจี่ ะ กอ่ ใหเ้ กดิ ทุกข์ดัง “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย : - คนพาลมลี ักษณะที่จะพงึ สังเกตได้ดงั น้ี นยั ท่ี ๑: คนพาลมลี ักษณะ ๓ อยา่ งได้แก่ (๑) ทุจฺจนิ ฺตติ จนิ ตฺ ี คดิ แตจ่ ะทําความชัว่ (๒) ทพุ ภฺ าสติ ภาสี ชอบพูดแตค่ ําชั่วช้าดา่ ทอ (๓) ทกุ กตฺ กมมฺ การี ชอบทาํ ความช่ัว ความผิดเป็นอาจณิ (จากมงคลทีปนี) นัยท่ี ๒: คนพาลมีลักษณะ ๕ อย่าง คอื (๑) อนย นยติ ชักนํา (เรา) ในทางผิด (๒) อธุราย นยิ ญุ ชฺ ติ เกะกะระรานคนอื่น (๓) ทนุ นฺ โย เสยฺยโส โหติ ดใี จเมอื่ ได้ทาํ ความผดิ (๔) สมมาวุตฺโตบ้ กุปปฺ ติ เราพดู ดีๆ กโ็ กรธ (๕) วินย โส นชานาติ ไมร่ บั รู้ระเบียบวินยั (จากมงคลทีปน)ี (๔๐) เขมี อเวรี อภโย ปณฺฑิโตติ ปวจุ จต.ิ ผูเ้ กษม ไม่มเี วร ไม่มภี ยั เรา(ตถาคต) จงึ เรยี กว่าบัณฑติ (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้ : - เตอื นใจผู้ทหี่ ลงคิดว่าตนเป็นคนดี ทัง้ ๆ ท่ยี งั ทาํ ให้คนอนื่ เดือดร้อน นทิ าน : - พระภิกษุเกเรกลุ่มหน่งึ ซ่งึ มจี าํ นวน ๖ รปู เรยี กว่าพวกฉัพพัคคีย์ ไปเท่ยี วกอ่ ความวนุ่ วาย ทกุ หนทกุ แหง่ จนกระทัง่ พระสงฆ์ทว่ั ไปพากันหลบหนา้ ด้วยความรําคาญ วันหนง่ึ พวกฉพั พัคคยี ์ชุดน้นั ไป ก่อกวนในโรงทานแห่งหนงึ่ พดู จารวนลามขม่ ขพู่ ระอนื่ จนพากันแตกหนไี ปหมดแล้วกฉ็ วยโอกาสหาเสียงว่า พวกตัวเก่งกว่าพระอน่ื ๆ พระทห่ี นีออกจากโรงทานไปน้นั ไดน้ ําความไปเล่าสู่กนั ฟง๎ คร้นั ความทราบถึงพระพุทธเจ้า พระองคจ์ ึง ตรสั “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย : - คาํ ว่า “ผู้เกษม” หมายความวา่ ไม่มใี ครเกลยี ดชงั “ไมม่ ีเวร” หมายความวา่ ไม่มีใคร ผูกใจเจบ็ “ไม่มภี ยั ” หมายความว่าไม่เปน็ ทหี่ วาดกลัวของใครๆ คนอยา่ งพระฉพั พัคคยี ์นีส้ าํ คัญตวั เองผดิ คิดว่า การท่ีพระภกิ ษุอื่นเกลยี ดกลวั ตนน้นั แสดงวา่ พวกคนเก่ง นา่ นบั ถอื (๔๑) สุโข พุทธานมุปปฺ าโท ความเกดิ ขึ้นแห่งพระพทุ ธเจา้ ท้าใหเ้ กดิ สุข (๔๒) สุขา สทธฺ มฺมเทสนา การแสดงธรรมของสัตบรุ ุษท้าให้เกดิ สุข (๔๓) สุขา สงฆฺ สฺส สามคั ค.ี ความพร้อมเพรยี งของหม่ใู ห้เกดิ สขุ (๔๔) สมคคฺ าน ตโป สโุ ข. ความพยายามของคนที่สามัคคีกนั ทา้ ให้เกิดสขุ
๑๙ โอกาสทคี่ วรใช้ : - พรรณนาประโยชนข์ องการทไ่ี ดพ้ บพระพทุ ธศาสนา – การฟง๎ เทศน์ – การสามัคคี กัน – การรว่ มแรงกนั นิทาน : - เย็นวนั หนึ่งพระภกิ ษหุ ลายรูปกําลงั สนทนากันในเร่ืองวา่ อะไรเปน็ ความสุข รูปหนึ่งบอกว่า การครองราชยส์ มบตั เิ ป็นความสขุ รูปหนึ่งบอกว่า การร่วมรสกามเป็นความสุข การได้กนิ ขา้ วดๆี กบั อร่อยๆ เปน็ ความสุข และรปู อ่นื ๆ กเ็ หน็ กนั ไปคนละทางสองทาง พอดีพระพุทธเจ้าเสด็จมาได้รบั ส่ังถามวา่ กาํ ลังคุยเร่ืองอะไรกนั ครั้นพระภิกษเุ หล่าน้ันกราบทลู ให้ทรงทราบแล้ว พระองค์จงึ ตรัสเฉลยด้วย “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย : - ข้อว่า “สุขา สงฺฆสสฺ สามคฺคี” หมายถงึ ความไมแ่ ตกแยกของหมู่คณะก็ทําให้ สมาชกิ ของหม่นู ้ันมีความสบายใจ สว่ นขอ้ วา่ “สมคฺคาน ตโป สโุ ข” หมายถึงการรว่ มกาํ ลงั กนั ทํางานอย่างใด อย่างหน่งึ เช่นการตัง้ สหกรณ์ การลงแขก และการทาํ งานในรูปกรรมการเปน็ ต้น (๔๕) ทุกโฺ ข สมานสวาโส การอยู่ร่วมกบั คนเสมอกันเปน็ ทกุ ข์ (ธ.บ. ๗) โอกาสทีค่ วรใช้ : - เตือนใจนักบรหิ าร นิทาน : - เจา้ ชายองค์หนงึ่ ได้ทรงสละสิทธิในการครองราชย์ของตน ออกทรงผนวช ครัน้ ถงึ วันนักขัตต ฤกษป์ ระจาํ ปี เกิดยืนรําพึงรําพันถึงความสุขทางฆราวาส เฉพาะอย่างย่ิงนึกไปถึง – เจ้าชายองค์อ่ืนๆ รุ่นราว คราวเดยี วทีย่ งั ครองฆราวาสว่า เขาคงจะมีความสุขกนั มาก แตต่ ัวเองสิ! อาภัพย่ิงกว่าใครๆ พระศาสดาได้ตรัสเตอื นทา่ นด้วย “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย : - คําว่า สมานสังวาส คือ การอยู่ร่วมกับคนเสมอกัน ท่ีทําให้เกิดสุขก็มี เช่นคนท่ีมีศีล เสมอกนั มที ิฐิเสมอกนั เป็นต้น แต่ในท่ีน้ีท่านหมายถึงคนท่ีมีชาติโคตรและวิทยฐานะพอๆกัน แต่ละคนก็มีทิฐิ มานะพอๆกัน ถ้าอยู่ร่วมกันก็มักจะไม่ยอมลงกัน ลําบากแก่การปกครอง (สู้วิธีจัดให้มีผู้ใหญ่ผู้น้อย อาวุโ ส ลดหลั่นกันไม่ได)้ (๔๖) เยส ปน ฉิพพฺ ิเธน จติ ฺต สุภาวติ . เตส อญฺเญน รกชฺ าวรเณน วา มนฺโตสเธหิ วา กจิ ฺฉ นตถฺ ิ. จติ ของใครได้รับการอบรมดีแล้ว โดยวธิ ที ้งั ๖ ธรุ ะทีจ่ ะต้องคุม้ ครองปอ้ งกนั เขาด้วยเวทย์มนต์ และ ของขลังอยา่ งอ่ืนย่อมไม่มี (ธ.บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้ : - เตือนใจผูท้ เี่ ป็นพุทธมามกะ ในเรื่องการคมุ้ ครองตวั นทิ าน : - คืนวันหนึง่ ถาดทองคาํ ไดห้ ายไปจากพระราชวงั แหง่ พระราชา กรุงราชคฤห์ ตอ่ มาตํารวจไป ค้นได้ในเกวยี นบรรทกุ ไมข้ องชาวบา้ นที่ชานเมือง และจับกุมตัวเดก็ น้อยคนหน่งึ ซง่ึ เฝูาเกวยี นนัน้ อยู่ ครนั้ คุมตวั มาสอบสวนกไ็ ดค้ วามว่าเดก็ นอ้ ยคนนน้ั นอนเฝูาเกวยี นอยู่คนเดยี ว ท่ขี ้างปาุ ช้าผดี ุตลอดคืน สว่ นพอ่ ของเดก็ ไป ตามววั ทห่ี ายไปแลว้ ถาดนน้ั ถกู ปศี าจลักเอาไปจากในวงั ไปวางไว้ในเกวียน ไมใ่ ช่ความผดิ ของเด็ก แต่มีปญ๎ หา เกดิ ข้ึนวา่ เหตุใดปีศาจจงึ ไมท่ ําอนั ตรายเด็ก เพราะยคุ นัน้ ผดี มุ าก เด็กใหก้ ารว่า ตนไดร้ ับการอบรมจากพ่อแม่ ใหภ้ าวนาว่า “นโม พทุ ธัสสะ” เสมอ นอกนั้นกไ็ มม่ เี วทมนตอ์ ะไร ได้มีผู้นําเรื่องน้ีไปทูลถามพระพุทธเจ้าวา่ การเสกคาถาเพียงเท่านีก้ ันผไี ด้จรงิ หรอื พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรัส “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี
๒๐ ความหมาย : - การอบรมจติ ๖ วิธีน้นั คอื ๑. พทุ ธานุสสติ – ระลึกถึงพระพุทธเจา้ ๒. ธัมมานสุ สติ – ระลึกถึงพระธรรม ๓. สงั ฆานสุ สติ – ระลกึ ถงึ พระสงฆ์ ๔. กายคตาสติ – ระลึกถึงสังขารรา่ งกายของตน ๕. พอใจในความไมเ่ บียดเบียนใคร ๖. พอใจในภาวนา คือสะสมความดี (๔๗) จเช มตฺตาสุข ธโี ร สมปฺ สสฺ วิปุล สุข ธรี ชนเม่อื เล็งเห็นสุขอนั ไพบลู ย์ ก็ควรสละสุขพอประมาณเสีย (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้ : -ช่วยในการตัดสนิ ใจในการลงทุนลงแรง ซึง่ ผ้ทู าํ จะต้องยอมเสียสละบางสิ่งบางอย่าง นทิ าน : - คร้งั หนึ่ง เมืองไพสาลีได้เกดิ ทุพภกิ ขภัย ผู้คนอดอยากลม้ ตายกนั มาก ชาวบา้ นนอกพากนั อพยพเขา้ ไปอาศัยอยใู่ นเมอื งใหญ่ เม่อื ผู้คนเกิดอัดแอกนั มากความสกปรกก็เกดิ ข้นึ เลยเกดิ โรคอหิวาตร์ ะบาด คร้งั ใหญ่ แมว้ ่าพวกผทู้ รงคุณวฒุ แิ ละเกจอิ าจารย์ จะช่วยกันกาํ จดั ป๎ดเปุาสักเท่าไรก็ไม่อาจทําให้ระงับได้ รฐั บาลไพสาลีจงึ สง่ ทตู มาทูลขอความชว่ ยเหลือจากพระพทุ ธเจ้า ซง่ึ ขณะนนั้ ประทบั อยทู่ ่ีเมือง ราชคฤห์ พระองค์ทรงรบั , ในการเสดจ็ สไู่ พสาลีคร้งั นัน้ เอง พระองค์ทรงไดร้ ับการต้อนรับอย่างมโหฬารย่ิง ตลอดระยะทางทเี่ สด็จผ่าน ค่ําวนั หนึ่งท่ีเมอื งไพสาลี พระสงฆ์พากนั กล่าวขวญั ชมเชยพระบญุ ญาบารมีของ พระพทุ ธเจ้าเกี่ยวกับเหตกุ ารณ์น้พี ระองคจ์ ึงทรงเล่าอดตี นทิ านใหพ้ ระสงฆ์ฟ๎งว่า การต้อนรบั อันมโหฬารนี้ เปน็ ผลบุญทีพ่ ระองค์ได้เคยเสียสละแรงกายทําความสะอาดลานพระเจดีย์ ตงั้ แตค่ รงั้ พระองคเ์ สวยพระชาติเป็นสังข พราหมณ์ แลว้ ได้ตรัสสอนพระสงฆ์ดว้ ย “คาํ พระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย : - ธีรชน คือคนมีป๎ญญา คําพระบทน้ีสอนวา่ ถ้าจาํ เป็นจะตอ้ งทิง้ ความสขุ เลก็ ๆน้อยๆ เพื่อให้ไดม้ าซึง่ ความสุขที่ดีกวา่ ก็ควรทาํ เหมอื นคนยอมใหห้ มอผา่ ตดั ร่างกาย เพอื่ รกั ษาไวซ้ ง่ึ ชีวิต (๔๘) สพฺเพ สงฺขารา อนิจจฺ า. สังขารท้งั ปวงไม่เทย่ี งแท้ (๔๙) สพเฺ พ สงฺขารา ทกุ ฺขา. สังขารทงั้ ปวงเป็นทุกข์ (๔๙) สพฺเพ ธมมฺ า อนตตฺ า. ธรรมทั้งปวงเปน็ อนตั ตา (ธ.บ. ๗) โอกาสที่ควรใช้ : - ศึกษาความจริงของสง่ิ ทั้งปวง นทิ าน : - “คําพระ” ทง้ั สามบทน้ี พระพทุ ธองคท์ รงเทศนาแกพ่ ระสงฆ์ตามปกติ ณ วัดเชตวนั วหิ าร เมอื งพาราณสี ความหมาย : - พระพุทธศาสนา สอนว่าสงั ขารทุกชนดิ มีลักษณะเหมือนกันอยู่ ๓ อย่าง คอื อนิจจงั ความไมเ่ ทย่ี ง ทุกขงั ความเปน็ ทกุ ข์ และอนัตตา ความไมใ่ ช่ตวั ตน ลกั ษณะทงั้ สามนเี้ รยี ก “สามัญลกั ษณะ” แปลวา่ “ลักษณะท่ัวไป” บางทกี เ็ รยี ก “ไตรลักษณ์” แปลวา่ ลกั ษณะ ๓ คําวา่ “สงั ขาร” หมายถงึ สิง่ ท่มี ปี ๎จจัยปรุงแตง่ ขึ้นทกุ อย่าง เช่น บา้ นเรอื น รถ เรอื ตน้ ไม้ แก้วนํา้ ฯลฯ คาํ ว่า “ธรรม” หมายถงึ ขันธ์หา้ คือรา่ งกาย ความสขุ ความทุกข์ ความทรงจํา ความคิดอ่าน ความรู้ คาํ ว่า “ไมเ่ ท่ียง” คอื มันเปลี่ยนแปลงไปได้ เชน่ คนเกดิ มาเปน็ เด็ก แล้วแก่ แล้วตาย คาํ ว่า “เปน็ ทกุ ข”์ คือมันไม่อาจทนอย่ใู นสภาพอย่างเดิมได้ตลอดไป ลาํ บาก คําว่า “อนัตตา” คอื คนเราไมอ่ าจจะบงั คบั ได้ตามต้องการ เช่นห้ามผมไมใ่ ห้หงอก – ทาํ ไม่ได้
๒๑ (๕๑) นตตฺ ิ สนตฺ ปิ ร สขุ . สุขอ่นื จากความสงบไมม่ ี (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้ : - ใหโ้ อวาทแก่บา่ วสาวและคนท่ีอยรู่ ่วมกัน นิทาน : - ครงั้ หนงึ่ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆส์ าวก ไดเ้ สด็จไปเป็นศริ ิมงคลในงานมงคลสมรส ของหนุ่มสาวคหู่ น่ึง ในเมืองสาวัตถี พระองคไ์ ด้ประทานพระโอวาท ๔ ขอ้ ว่า ๑. ราคะ คือความใคร่ในกาม เป็นไฟท่ีร้ายแรงกวา่ ไฟใดๆ (พอ่ บ้านแมเ่ รือนที่แรงด้วยราคะอาจทําชู้ นอกใจกัน และแตกแยก จิตใจรอ้ นรนหรือครอบครัวพงั ทะลายเหมอื นถูกไฟไหม)้ ๒. โทสะ คอื ความคดิ ร้ายด้วยแรงโกรธเป็นการลงโทษทรี่ า้ ยแรงย่งิ กวา่ โทษสถานใด (พอ่ บา้ นแมเ่ รือน ท่ีเปน็ เจ้าโทสะ กเ็ หมือนผู้คมุ ใจร้ายคอยโบยตีนักโทษในเรอื นจํา ประจาํ ครอบครัว) ๓. การบริหารชวี ิตลําบากมาก คือพ่อบา้ นแมเ่ รอื น จะตอ้ งทํามาหาเล้ียงชีวติ ของคนในครอบครัวซึง่ เปน็ เร่ืองลําบากมาก ๔. ความสงบ เป็นยอดของความสุข คือ ถ้ามคี วามสงบเป็นพ้นื ฐานอยแู่ ล้ว แมจ้ ะมที กุ ข์อืน่ มาปะทะ เรากพ็ อทนได้ ความหมาย : - ความสงบอย่างตํา่ ไดแ้ ก่ ความทีไ่ มค่ ิดร้าย พูดร้าย และทาํ ร้ายกัน ไม่ทาํ ความช่วั ดว้ ย กาย วาจา ใจ อย่างสูงไดแ้ กค่ วามสงบจากกเิ ลส ซ่ึงเรยี กว่านพิ พาน (๕๒) อปฺปสฺสทา ทุกขฺ า กามา. กามทั้งหลายมรี สอรอ่ ยน้อยแตม่ ีทุกขม์ าก (ธ.บ.๖) โอกาสทค่ี วรใช้ :- แสดงโทษของกามารมณ์ นทิ าน :-พระภิกษหุ นุ่มรูปหนง่ึ ได้ทราบ ว่าบดิ ามอบเงนิ ไว้ให้ ๑๐๐ กหปณะ ก่อนจะสิน้ ใจเงินจํานวน น้ที ําให้ท่านอยากจะสกึ โดยท่ีคดิ วาดภาพว่ามเี งินมากพอที่ออกไปตัง้ ตัว พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุ จึงรับสั่งให้ ท่านเขา้ เฝูา และทรงช่วยคดิ วา่ จะเอาเงนิ ลงทุนอะไรเท่าไร โดยที่พระองค์รบั สั่งใหพ้ ระรปู นนั้ ไปเกบ็ กอ้ นกรวด มามาก ๆ กอ่ น แลว้ กท็ รงช่วยแจงกอ้ นกรวดแทนเงิน ดังนี้ คา่ อาหารและเคร่อื งน่งุ หม่ ๕๐ ซอ้ื ววั ๒ ตวั ๒๔ ซื้อเมลด็ พชื ซอ้ื จอบ ฯลฯ คิดแล้วเงนิ ยงั ขาดอยอู่ ีกมาก พระหนมุ่ รูปนั้นเห็นจรงิ ด้วย จงึ เลกิ ความตง้ั ใจทจี่ ะสกึ คร้ันแล้ว พระพุทธเจ้าจงึ ประทาน “คาํ พระ” ขา้ งบนนีแ้ ก่พระภิกษุรปู นนั้ ความหมาย :- กาม คอื สิ่งทีน่ า่ ใคร่ ได้แก่ รูป เสียง กลน่ิ รส สัมผัส ซงึ่ เรียกวา่ “กามคณุ หา้ ” กาม เหลา่ น้ีแต่ละอย่างใหค้ วามชมุ่ ชนื่ ใจเพียงเล็กนอ้ ย แต่แฝงความทุกขย์ ากไวม้ าก เช่นมีภริยาคนหนึง่ กพ็ ว่ งเอา ความแก่ ความเจ็บ ความตายของเขามาดว้ ย
๒๒ (๕๓) ธมโฺ ม ทเว รกฺขติ ธมมฺ จารี. ธรรมย่อมรักษาผ้ปู ระพฤติกรรม (ธ.บ.๑) โอกาสที่ควรใช้ :-เมอื่ คนทําดีแต่ถกู ใสร่ า้ ยหรอื ถูกจองล้างจองผลาญโดยคนพาล ตลอดจนผู้ท่ีทําความ ดถี กู ทอดทง้ิ ตกระกาํ ลาํ บาก พงึ รําลกึ ถึงพุทธภาษติ ขอ้ น้ี นิทาน :- เหตเุ กดิ ท่ีวดั เวฬุวัน กรุงราชคฤห์ คอื หลังจากพระพทุ ธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๔ เดือน ได้มีสานุศิษย์ ของปรพิ าชกสองคนบวชในพระศาสนา คนหนึง่ ชอื่ อปุ ดิสสะ อีกคนช่ือโกลิตะ ครั้นบวชแล้วไม่นานทั้งสองก็ได้ บรรลุอรหันต์ ทีเ่ ราร้องเรียกวา่ พระสารบี ตุ ร – พระมหาโมคคัลลานะในกาลต่อมา เมอ่ื ทา่ นทงั้ สองตรัสรู้แลว้ ไม่ก่ีวัน พระพุทธเจ้าก็ทรงประกาศแต่งต้ังท่านเป็นอัครสาวก พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกฝุายขวา พระมหาโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกฝุายซ้าย หมายความ เป็นสาวกผู้ยอดยี่ยมกว่า พระสาวกท้ังหลาย จากการทรงแต่งตั้งนี้เองทําให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นในหมู่พระสงฆ์ ท่ียังเป็นปุถุชนซุบซิบนินทา กนั วา่ พระองค์ทรงมอี คติ ลําเอียงเพราะเห็นแกห่ น้า เพราะขณะนั้นเองกม็ พี ระสาวกที่บรรลุอรหันตก์ อ่ นจาํ นวน พันเศษแล้ว ถ้าจะทรงแต่งตงั้ กน็ ่าจะทรงเลอื กตามลําดบั อาวโุ ส เพ่ือท่ีจะทรงแก้ความข้องใจให้พระสงฆ์ พระองค์จึงทรงเล่าบุรพกรรมของพระสาวกเหล่านั้น ให้ พระสงฆฟ์ ง๎ สรปุ ได้ท่านเหลา่ น้ันทํากรรมดีมาแล้วท้ังนั้น แต่พระเถระผู้ใหญ่อ่ืน ๆ มิได้ปรารถนาตําแหน่งอัคร สาวก ส่วนพระสารีบุตรกบั พระมหาโมคคัลลานะนี้ปรารถนาตาํ แหน่งอัครสาวก การที่ท่านท้ังสองได้รับแต่งต้ัง น้ี กเ็ ป็นไปตามเหตตุ ามผลแล้ว คอื เปน็ ผลแหง่ กรรมดขี องทา่ นเอง (๕๔) ปาปาน อกรณ สขุ การไม่ทาํ บาปทําใหม้ ีความสุข (ธ.บ.๗) โอกาสที่ควรใช้ :- แสดงทางที่จะทาํ ให้เกิดความสุขอกี ทางหนึ่ง นทิ าน :- คร้งั หนงึ่ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ ี่ปาุ หิมพานต์ มมี ารเขา้ ไปทูลเชญิ พระองค์ ใหท้ รงสละ เพศบรรชิตออกไปครองราชสมบัติ และพรรณนาความสขุ ที่จะพึงได้จากราชสมบัติหลายประการ พระพทุ ธองค์ทรงคดั คา้ นความเห็นของมารแล้วทรงแสดงทางทจ่ี ะทาํ ให้คนมีความสุขอยา่ งอื่น ๑๒ ทาง “คําพระ” ข้างบนนเ้ี ปน็ พระดาํ รสั แสดงทางแห่งความสุขในคร้ังน้นั ความหมาย :- บาปในทนี่ ้หี มายถึงการทําทุจริตทางร่างกาย ทางวาจา และทางใจ การทําบาปนน้ั เปน็ การสรา้ งเหตุแหง่ ความทุกข์เดอื ดรอ้ นแกต่ นเม่อื งดทาํ บาปได้มากเท่าไร กเ็ ท่ากบั ตัดเหตแุ ห่งความทุกข์ได้มาก เท่าน้นั และมคี วามสขุ มาทดแทน อย่างนอ้ ยก็สขุ ทไ่ี มต่ อ้ งวติ กกังวลวา่ บาปกรรมจงใหผ้ ลแกต่ น
23 (๕๕) สพฺพสฺส พุกขฺ สสฺ สขุ ปทาน. การละทกุ ขท์ ั้งปวงเสียไดเ้ ป็นความสุข โอกาสท่ีควรใช้ :- ให้กาํ ลงั ใจแก่ผู้ทาํ ความเพยี รเพอื่ หลุดพ้นจากความทุกข์ นิทาน:- เม่อื พระพุทธเจ้ายงั ทรงมีพระชนมอ์ ยู่ มีระยะหนงึ่ ทีพ่ วกขา่ ราชการพากนั ทุจรติ ฉ้อโกงกนั ท่ัวไป ตั้งแต่พระราชาลงมาจนกระทั่งเสนาอาํ มาตยผ์ นู้ อ้ ย การกดข่ขี ม่ เหงราษฎรได้เปน็ อย่างกวา้ งขวาง ปราศจากความเมตตากรณุ า ประชาชนพลเมอื งเดือดร้อนกันท่ัวทกุ หวั ระแหง วนั หนึง่ พระพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ ในสาํ นักปุาหิมพานต์ ได้ทรงดาํ ริถึงเรือ่ งนี้ และทรงสงสารประชาชนอยา่ งยงิ่ พระองค์ทรงตง้ั ป๎ญหาข้ึนใน พระทัยว่า ถ้าพระองคจ์ ะครอบครองประเทศเหล่าน้นั แล้ว เปน็ พระราชาเสยี เองจะได้หรอื ไม่ และจะสามารถ ปกครองประชาชนใหร้ ่มเย็นได้ไหม กท็ รงเห็นทางวา่ พระองค์อาจทําได้ ความจรงิ ขอ้ ดาํ ริน้ีเกดิ จากความสังเวช พระทยั ทีไ่ ดเ้ หน็ ความเหลวแหลกของผู้ปกครองบ้านเมอื งเทา่ นน้ั แตม่ ารซ่ึงจ้องหาโอกาสอย่แู ล้วคิดว่าพระองค์ ทรง “อยากสึก” จงึ เขา้ ไปเฝาู และกราบทูลเกลี้ยกล่อมให้พระองค์ทรงสละเพศไปครองราชยด์ ้วยคํายกยอปอ ปน้๎ นานาประการ คร้ังนัน้ พระพทุ ธเจา้ ทรงดาํ ริความคิดของมาร และตรสั “คาํ พระ” บทน้ี เพ่อื แสดงแก่มารว่าความสุข ของคนเราน้ัน ไมไ่ ด้อยูท่ ่ีการมีอาํ นาจเหนอื คนอ่นื ไมไ่ ดอ้ ยู่ที่มีเงนิ มที องมากๆ แต่อยู่ท่ีเหตุอ่นื ตามที่ทรงยกมา ตรสั (ซงึ่ มอี ยดู่ ว้ ยกัน ๑๒ ประการ) ความหมาย :- พระพทุ ธเจ้าทรงสรรเสรญิ การที่คนเราชว่ ยตัวเองให้ผ่านพ้นจากความทุกข์ไม่ใชป่ ลอ่ ย ตัวใหจ้ มอยู่กบั ความทกุ ข์ตามยถากรรม เช่นการพยายามทํางาน หารายได้ใหต้ นพน้ จากความยากจนหรือ พยายามรกั ษาพยาบาลตวั ให้พน้ จากความทกุ ข์และความเจ็บปุวย เปน็ ตน้ ตลอดจนพยายามให้พ้นจาก ความคดิ ความแก่ ความเจ็บ ความตายโดยตลอด (๕๖) อตถฺ มหฺ ิ ชาตมหฺ ิ สุขา สหายา. ในคราวมีธุระเกิดขนึ้ สหายนําสขุ มาให้ (ธ.บ.๗) โอกาสที่ควรใช้ :- สรรเสริญการคบมติ รหรอื บรรยายคุณประโยชนข์ องมิตรสหาย นิทาน :- ครั้งหน่งึ พระพทุ ธเจา้ ประทบั อยทู่ สี่ ํานักสงฆ์ปุาหมิ พานต์ ยุคนัน้ พวกพระราชาและเสนา อาํ มาตยแ์ ควน้ ตา่ ง ๆ กําลังทจุ ริตฉอ้ โกงและรดี นาทาเน้นราษฎรกันอยา่ งนา่ อนาถใจ พระพุทธเจ้าทรงสงสาร ประชาชนมาก และบางครง้ั ก็ทรงตงั้ ป๎ญหาขึน้ ในพระทัยวา่ ถ้าพระองค์จะเป็นราชาครอบครองราชสมบัตเิ สยี เองหมดทุกแคว้น จะทําได้หรอื ไม่ ซึง่ เปน็ เพยี งพระดาํ ริด้วยความสงสารประชาชน ฝุายมารททราบวารจิตของ พระองค์เข้า คดิ วา่ พระองค์ปรารถนาที่สละสมณเพศ ไปครองราชย์สมบตั ิ จึงเขา้ ไปเฝาู และกราบทูลยยุ งให้ พระองค์ “สึก” โดยการยกยอปอปน๎้ หลายประกาส คร้งั นน้ั พระองคท์ รงตาํ หนิมาวา่ นาํ สิ่งที่ไร้สาระมากลา่ ว ความสุขที่แท้จริงมิไดอ้ ยู่ท่กี ารมอี าํ นาจมาก หรือมเี งนิ ทองมาก แตห่ ากอยู่เหตุอืน่ (หลายประการ) และตรัส “คาํ พระ” บทนี้ ความหมาย :- สหาย หมายถึงคนทร่ี กั กนั จรงิ หรอื คนที่มใี จต่อกันอย่างไมม่ จี ดื จาง ทิง้ กันไมล่ ง
24 (๕๗) ธมฺโม สจุ ิณโฺ ณ สุขมาวหาติ. ธรรมทปี่ ระพฤตดิ แี ลว้ ยอ่ มนาํ ความสุขมาให้ (๓๘) น ทคุ คฺ ตึ คจฺฉติ ธมฺมจาร.ี ผู้ประพฤติธรรมเปน็ ปกติยอ่ มไมไ่ ปทุคติ (ธ.บ.๘) โอกาสทีค่ วรใช้ :- บรรยายคณุ ของการประพฤติธรรม และเป็นข้อระลึกเมือ่ ถงึ คราวคับขัน นทิ าน :- เศรษฐีนใี จบญุ คนหนึ่ง ท่เี มืองกุรฆระ ได้ข่าววา่ ลูกชายของตนท่ีไปบวชร้ธู รรมะลึงซงึ้ ถึงกบั พระพุทธเจ้าทรงขอใหท้ า่ นแสดงธรรมแก่พระองค์ นางดีใจมาก คร้ันวนั หนง่ึ ขณะทพ่ี ระลูกชายเดนิ ทางมาเยี่ยม นางจึงจัดใหม้ กี ารแสดงธรรมนนั้ ข้ึนที่ศาลกลางเมือง ตั้งใจจะฟง๎ ธรรมตลอดคืน จงึ ส่ังให้นางทาสีคนหนงึ่ อยู่เฝาู บ้าน ฝุายพวกโจรซ่งึ ดว้ ยหาช่องจะปลน้ บา้ นน้มี านานแล้วเห็นไดโ้ อกาส จึงขดุ อุโมงค์บุกเข้าไปถงึ ในบา้ น นางทาสีวิ่งมาบอกท่านเศรษฐนี ี ๒ คร้ัง ๓ คร้งั ท่านก็ไม่ไป กลับพดู วา่ ฉันจะฟง๎ ธรรม เขาอยากไดอ้ ะไรกใ็ ห้เขา ขนเอาไปเถอะ หัวหน้าโจรซงึ่ มาคอยคมุ เชงิ อยทู่ ่ีธรรมศาลาได้ฟ๎งดังนน้ั กเ็ ลยใจออ่ น รบี สง่ คนไปบอกสมนุ ให้ เลกิ ปลน้ พระศาสดาทรงปรารภเหตนุ ี้จงึ ตรสั “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- ข้อท่ี ๓ ท่ีว่า “ไม่ไปทคุ ติ” หมายถึงไม่เกิดในภพท่ีชั่วชา้ ๓ สถาน คือ ๑นิรยะนรก ๒. ดริ ัจฉานโยนิ ๓. ปิตติวิสยั เปน็ เปรต (๕๙) อาตุร อสุขี ปตู ึ ปสสฺ นนฺเท สมุสฺสย อุคมฺ รนฺต ปคฺฆรนตฺ พาลาน อภิปตถฺ ติ . นนั ทา! เธอจงดูร่างกายอันอาดูร ไม่สะอาด เน่าไหลเข้าไหลออกอยเู่ ปน็ นติ ย์ (๖๐) อฎฐนี นคร กด มสโลหิตเลปน ยตฺถ ชรา จ มจจฺ ุ จ มาโน มกฺโข จ โอหโิ ต. ร่างกายอนั กรรมทําให้เปน็ เนืองกระดูก ฉาบด้วยเนื้อและเลอื ด เป็นแหลง่ ท่ตี ง้ั ของความถอื ตัวและการ ลบหลู่คนอนื่ (ธ.บ.๕) โอกาสท่คี วรใช้ :- บรรเทาความเมาในรปู รา่ งกาย และบรรยายทรรศนะของพระอิรยิ ะเจ้า นิทาน :- พระพุทธเจา้ ทรงมีพระอนชุ า (นอ้ งชาย) ๑ องค์ คือ พระนนท์ มีพระกนษิ ฐภคินี (น้องสาว) ๑ องค์ คอื รปู นนั ทา ซ่ึงเกดิ จากพระนางมหาปชาบดี (ต่างมารดากบั พระพทุ ธเจา้ ) ตอ่ มาพระบดิ ากส็ วรรคต พระมารดาก็ทรงผนวชเปน็ ภิกษุณี พระนนทก์ ็ทรงบวชเป็นภกิ ษุ พระนางรูปนนั ทาคิดว่าใครก็บวชหมดแลว้ จึง ทรงผนวชเป็นภกิ ษณุ ี แต่เพราะค่าทพ่ี ระนางหย่งิ ในรปู โฉมของตนและเมาในความสวยงาม แมท้ รงผนวชแล้วก็ ไม่ไปฟง๎ ธรรมของพระพทุ ธเจา้ เพราะวิตกวา่ ขนื ไปฟง๎ ก็จะได้ยินพระพทุ ธเจา้ เทศนต์ าํ หนิความสวยงาม ซง่ึ ตน ไม่ชอบใหใ้ ครตําหนิ เปน็ อยา่ งน้อี ยู่นาน ต่อมาวันหน่งึ พระนางตดั สนิ ใจไปฟง๎ ธรรมโดยหลบอยูห่ ลงั กลุ่มภิกษุณี โอกาสนน้ั พระพทุ ธเจา้ ได้ทรง นิรมติ ผหู้ ญงิ ขน้ึ คนหนง่ึ จากวัยสาวสวยแลว้ ก็ค่อย ๆ แก่ และตายไป ให้พระนางทอดพระเนตร และมพี ระ ดาํ รสั ดังยกมาไว้ขา้ งบนน้ีไปพลาง ความหมาย :- คําวา่ รา่ งกายไหลเขา้ ไหลออกคือกินอาหารเขา้ ไปและถา่ ยออก ดื่มน้ําเข้าไปและซมึ ออก หายใจเข้าและหายใจออก เปน็ อยู่อย่างนีจ้ งึ ไมต่ าย ส่วนคาถาท่ีสองทีว่ า่ เป็นแห่งทีต่ ้ังของความถือตวั และการลบหลู่คนอืน่ ๆ คือทรงแนะนําวา่ คนโง่นนั้ ตวั เองกค็ รองเมืองและกระดกู เหมอื นกันแตถ่ อื วา่ วเิ ศษวิโส กวา่ ใคร ๆ และยงั ลบหลู่ดูหม่นิ คนอื่นอกี
25 (๖๑) อปฺปํ วต ชีวิต อิท โอร วสฺสสถาบี มยี คิ. ชวี ติ น้ีช่างนอ้ ยนกั อยไู่ ด้แม้ยังไมถ่ งึ ร้อยปีก็ตาย (ธ.บ.๖) โอกาสที่ควรใช้ :- แสดงความเศรา้ สลดใจตอ่ มรณกรรมของใคร ๆ นิทาน :- ที่เมอื งสาเกตมีเรื่องแปลก ๆ อยู่เร่ืองหนึ่ง คอื มคี นชราผวั เมยี คู่หนง่ึ เกดิ รกั พระพุทธเจ้า เหมือนลกู ท้งั คู่เวลารอ้ งเรียกหรอื พูดถึงพระพุทธองค์ก็ใช้คาํ วา่ “ลูก” และเรยี กตวั เองวา่ พ่อ – แม่ ขา้ งฝุาย พระพุทธองค์ก็ทรงอนุเคราะหแ์ กท่ ่าทง้ั สอง คือทรงยอมรบั วา่ พระองคเ์ ป็นลูก ความเรื่องนีเ้ ปน็ ที่ทราบกันทว่ั ไป ในเมอื งนัน้ ครั้นต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมโปรดท่านทง้ั สอง จนได้บรรลอุ รหัตตผล แลว้ ท้งั สองก็ ปรนิ ิพพาน ในการปลงศพท่านท้งั สองน้ัน ใคร ๆ กบ็ อกกล่าวกนั วา่ พระพทุ ธเจ้าจะทรงปลงศพพระบิดาพระ มารดา โดยที่พระองค์ทรงเปน็ เจา้ ภาพผคู้ นจงึ ไปในงานมากมาย ในโอกาสน้นั พระองคไ์ ด้ทรงแสดง “คาํ พระ” บทนแ้ี ก่ผ้ไู ปในงาน ความหมาย :- ความในพระดาํ รสั แจ่มแจ้งแล้ว (๖๒) นตฺถิ โลเก อนามต. สถานที่ที่สตั ว์ไมเ่ คยตายไม่มีในโลก (ธ.บ.๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- ปลอบโยนผไู้ ด้รบั ทกุ ขเ์ พราะความตาย นิทาน :- ในสมยั พุทธกาลมีสามเณรรปู หน่ึงชือ่ ดิสสะ (ดิส) เปน็ คนมบี ญุ มาก มแี ต่คนเลอื่ มใสถวาย จตุปจ๎ จัยมากมาย และเปน็ คนฉลาด พระเจา้ พระสงฆก์ น็ ับถือ ท้งั ๆ ท่ียงั อย่ใู นวยั เยาว์ วันหนง่ึ พระศาสดาเสดจ็ ไปเย่ียมสามเณร แลว้ กท็ รงพาสามเณรขน้ึ ไปบนยอดเขา ทอดพระเนตร ทิวทศั นร์ อบ ๆ “ดิสสะ เธอยืนอยูบ่ นนมี้ องเห็นอะไร ?” พระพุทธเจา้ ตรสั ถามสามเณร “เห็นทะเลพระพุทธเจา้ ขา้ ” “เห็นทะเลแล้วเธอนกึ อย่างไร ?” “ข้าพระองค์นกึ ว่า นาํ้ ตาทคี่ นแต่ละคนรอ้ งไหเ้ มอื่ ไดร้ ับทกุ ข์ ตลอดเวลาทเ่ี วยี นว่ายตายเกิดอยู่ ในสงสาร มีปริมาณมากกว่านํา้ ในมหาสมุทรทงั้ สี่เสียอีกพระพทุ ธเจา้ ข้า” “ถกู ดิสสะ ถกู แลว้ ” พระพทุ ธเจ้าตรสั ถามสามเณรอีกวา่ “อ้อ ดสิ สะ เธออย่ตู รงเงื้อมไหนนะ?” สามเณรชพ้ี ลางกราบทูลวา่ “ตรงเงอ้ื มน้ันแนะ่ พระเจ้าข้า” “เมอื่ อยูต่ รงนั้น เธอคดิ อย่างไร ดิสสะ ?” “ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่า ที่ ๆ เราเคยนอนตายในโลกนี้นบั ไมถ่ ้วน พระพุทธเจา้ ขา้ ” พระศาสดาตรัสรบั รองคําของสามเณรดว้ ย “คําพระ” ข้างบนนี้ ความหมาย :- สตั ว์ทงั้ ปวงต้องตาย และเคยตายมาแล้วนบั คร้ังไมถ่ ว้ น
๒๖ (๖๓) อนิมติ ฺตมนญฺญาติ มจจฺ าน อิธ ชีวติ . ชวี ิตของสัตว์โลกนี้หามีอะไรเป็นนิมติ ไม่ (ธ.บ. ๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- เมื่อจะหักหา้ มความโศกา เพราะเหตุทค่ี นรักลม้ ตายโดยไม่คาดฝน๎ นิทาน :- ท่านเสนาบดพี ันธลุ ะ แม่ทพั ใหญแ่ ห่งประเทศโกศล โชควาสนากําลงั กระเดื่องเฟือ่ งฟถู ึง ขนาด เปน็ ท่ไี วว้ างพระราชหฤทัยของพระราชาป๎สเสนทยิ งิ่ กวา่ ใคร ๆ ทา่ นเองมลี กู ชายฝาแฝดถึง ๑๖ คู่ รวม เป็น ๓๖ คน และเปน็ นายทหารในกองทัพทั้งส้นิ เด่นนักก็มกั จะมคี นริษยา พวกเสนาอํามาตยท์ ต่ี กอันดบั ก็พากันใสร่ ้าย เพจ็ ทลู พระราชาว่า พนั ธุละคิด การใหญจ่ ะยดึ อาํ นาจราชสมบตั ิ พระราชาทรงเช่ือว่าเปน็ จรงิ จงึ แสรง้ เสเพทบุ ายสง่ ทา่ นแม่ทพั และลูก ๆ ไป ปราบกบฏชายแดน แล้วก็วางสายลับจับทา่ นพร้อมทัง้ ลกู ๆ ฆา่ เสียสิ้น ขา่ วนัน้ มาถึงมลั ลกิ า ศรภี รรยาของทา่ นแม่ทพั ขณะทีก่ าํ ลงั พาลกู สะใภ้และหลาน ๆ ทําบุญสนุ ทานอยู่ อย่างสนุกสนาน เม่ือสายฟาู ทฟ่ี าดลงส่พู ้ืนดนิ โดยไมม่ เี มฆตงั้ เค้าให้สังเกต พระเสรบี ตุ รเถระอคั รสาวกเบอ้ื งขวา ของพระพุทธเจา้ ประสงค์จะปลอบใจมหาอบุ าสกิ า จึงกล่าวธรรมภาษติ บทน้ี ความหมาย :- ชวี ติ ของสรรพสตั ว์ในโลกนีอ้ าจถึงแก่แตกดบั ลงทนั ทีทันใด โดยไม่มลี างร้ายบอกให้รู้ ลว่ งหนา้ เลยกเ็ ปน็ ได้ (๖๔) ต ปตุ ตฺ ปสุสมฺมตฺต พฺยาสตฺตมนส นร สตุ ฺต คาม มโหโฆว มจจฺ ุ อาทาย คจฉฺ ติ. มฤตยยู อ่ มพรากนรชนผมู้ ัวเมาในลูกและสัตว์เลยี้ ง ดุจกระแสนํา้ พัดเอาชาวบา้ นผหู้ ลบั ใหลไปฉันน้ัน (ธ.บ. ๕) โอกาสทีค่ วรใช้ :- ให้คตแิ ก่ผู้เล้ียงสัตว์มชี วี ติ นิทาน :- กสี าโคตมีผเู้ คราะหร์ า้ ย ได้แตง่ งานของลกู ชายของผู้มอี นั จะกิน ชาวเมืองสาวตั ถี แตพ่ อได้ ลูกคนหัวปีเพิ่ง ๑๐ เดอื น กาํ ลงั นา่ รกั ลกู ก็ตายในอ้อมอกของนางเอง กีสาโคตรมนี ั้นเกิดมาก็ยังไม่เคยมีลูก เธอ จงึ ท่มุ เทความรกั ลงไวใ้ นลูกอย่างสดุ หวั ใจและเพราะค่าทไ่ี มเ่ คยเห็นคนตายมาก่อน แม้ลกู ตายแล้วก็คิดว่าหนู นอ้ ยจะกลบั ฟื้นได้อีก หากแกไ้ ขถูกวิธีเธอไม่ฟง๎ เสยี งญาติ ไมฟ่ ง๎ เสยี งใคร ได้อมุ้ ลูกเทย่ี วตระเวณไปหาขอยาแก้ ตายจากใคร ๆ หลายต่อหลายแห่ง จนใคร ๆ หาว่าเธอเปน็ บ้า ในท่สี ุดมผี ู้แนะนําให้เข้าไปหาพระศาสดา พระองคม์ ไิ ดท้ รงเทศนาแก่เธอในทันที หากแตร่ บั สงั่ ให้เธอไปหาขอเมล็ดพันธ์ุ ผกั กาดจากชาวบ้าน เพื่อ พระองค์จะไดท้ รงปรงุ ยาแกต้ ายให้ แต่เมลด็ ผักกาดทีจ่ ะใช้ได้น้ัน ตอ้ งขอจากคนที่ญาตพิ ่นี ้องไมเ่ คยตายเลย กี สาโคตมีดใี จ รบี ไปตระเวนหาขอเมล็ดผักกาดจากชาวบา้ น จนกระทง่ั เหนด็ เหนอ่ื ยก็ไมไ่ ด้ เพราะไมพ่ บใคร ๆ ท่ี ญาติพน่ี ้องไมเ่ คยตาย จึงกลับมาทูลพระศาสดา พระองค์จึงตรัสพระบาลขี า้ งบนน้ีแกเ่ ธอ ทําใหเ้ ธอไดส้ ติ ความหมาย :- “นรชนผมู้ ัวเมาในลูกและสัตว์เล้ยี ง” หมายความว่า การเลยี้ งสัตวท์ ี่มีชวี ติ ทกุ อยา่ ง เรา กค็ งจะตอ้ งรวู้ า่ สัตว์เหลา่ นัน้ อาจตายได้ ถ้าไม่คาํ นึงในขอ้ น้เี ลย ผ้เู ล้ยี งน้นั เองจะเสียใจตาย
๒๗ (๖๕) มรณนตฺ ชีวติ . ชีวิตมีความตายเป็นที่สดุ (ธ.บ. ๕) โอกาสทีค่ วรใช้ :- แสดงกฎธรรมดาของชีวติ นิทาน :- พระภกิ ษุณชี อื่ อตุ ตราเถรี มีอายุ ๑๒๐ ปีแลว้ แต่เปน็ คนมีนิสยั เอื้อเฟอื้ เผ่ือแผ่บิณฑบาตได้ อาหารแลว้ กถ็ วายพระภกิ ษุหมด ตนเองยอมหิว เชา้ วนั หนึ่ง ขณะทท่ี ่านเดินบิณฑบาตผ่านตรอกแคบ เกิดไปเจอพระพุทธเจ้าเสดจ็ สานทางมาพระ ภกิ ษณุ หี าทางหลีกไม่พ้น จงึ กา้ วถอยหลงั กเ็ ลยเหยยี บชายจีวรของตนเองเสยี หลัก หกล้มลง! พระศาสดาเสด็จ เข้าไปใกล้ทรงทอดพระเนตรเหน็ สังขารของท่านชรามาก และอาการคงจะไม่รอดไปนานนักจงึ ประทานโอวาท แก่ทา่ นว่า ปรชิ ิณณฺ มทิ รูปํ : รปู กาย (ของท่าน) แกเ่ ต็มทีแลว้ โรคนทิ ฺธ : เปน็ รังแห่งโรค ปภงคฺ ุณ : เปือ่ ยพงั ภิชชฺ ติ ปตู ิ สนเฺ ทโห : กายท่ีถือว่าเป็นของตนนจ้ี ะสลายเปอื่ ยเน่าและลงท้ายด้วย “คาํ พระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย :- ความตายเป็นบทแสดงออกสุดทา้ ยของทกุ ๆ ชวี ิต
28 (๖๖) ปสสฺ ถ ภกิ ฺขเว อาตรุ อตฺตภาว. ภกิ ษุ ! พวกเธอจงดูเรือนร่างอันอาดรู โอกาสที่ควรใช้ :- บรรเทาความเมาในเพศตรงข้าม และเป็นอทุ าหรณแ์ สดงว่าคนเราน้ถี า้ ไมม่ จี ิตใจ เสยี อยา่ งเดยี ว กห็ มดคนรกั นทิ าน :- ทีเ่ มอื งราชคฤห์ มีหญงิ โสเภณีผู้เลอโฉมอยู่คนหนึง่ ช่อื ศิริมา ว่ากนั ว่ายกเวน้ พระอรยิ บคุ คล เสียแล้ว ไมม่ ผี ู้ชายคนใดเลยทยี่ ลโฉมของนางแลว้ จะไมน่ ึกรกั และปรารถนาในตัวเธอ อตั รารว่ มอภริ มยก์ บั เธอ คร้ังเดียวถงึ ๑๐๐๐ กหาปณะในยุคนัน้ และแม้แตพ่ ระภิกษหุ นุ่มทีไ่ ปรับบาตรในเรอื นศิริมากลับมาแลว้ ถึงกับ คลง่ั บน่ เพ้อถงึ แต่เธอ ต่อมา ศิริมาตายด้วยโรคป๎จจุบัน พระราชาจึงกราบทูลพระศาสดาทรงทราบ พระองค์ทูลเสนอให้ พระราชาประกาศขายศพของเธอจนทว่ั เมืองก็ไมม่ ีใครซอ้ื แม้ว่าจะลดราคาลงจนถึงกากณิกเดียว และ ประกาศยกให้เปลา่ ก็ไม่มีใครรับ ศพของเธอเนา่ อืดขึ้นจนกระท่ังหนอนทะลักอยู่ทั่วร่าง พระศาสดาทูลเสนอให้ พระราชาออกประกาศให้คนทั้งเมืองมาประชุมดูศพศิริมา เหลือไว้แต่เด็กเฝูาบ้านนอกน้ันใครไม่มาจะมีโทษ พระองค์เองก็มพี ระบญั ชาในหระภกิ ษุภิกษุณีท้ังปวงไปประชุมรอบศพของศิริมาด้วย ท่ามกลางมหาสันนิบาต นั้น พระศาสดาได้ทรงประกาศด้วยพระดาํ รสั ท่ยี กมาไวข้ า้ งบนน้ี ความหมาย :- ร่างกายของสรรพสัตวท์ ง้ั ปวงก็ย่อมเนา่ เปือ่ ยอยา่ งนท้ี ัง้ นั้น คําว่า “อาดูร” คอื ดูไม่ได้ (๖๗) อห นาโคว สงคฺ าเม จาปาโต ปตติ สร อตวิ ากยฺ ติติกขฺ ิสสฺ ทุสฺสีโล หิ พหุชชฺ โน. เรา (ตถาคต) จักอดกลั้นคําล่วงเกนิ ของคนอืน่ เหมอื นชา้ งทนลกู ศรท่ีตกจากแลง่ ในสงครามเพราะคนเป็น อันมากเป็นคนทศุ ีล (ธ.บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้ :- ปลุกปลอบในเมือ่ ถกู คนอ่นื ด่าวา่ ลว่ งเกิน นทิ าน:- เม่ือครงั้ พระพทุ ธเจา้ ประทับอยู่ทีเ่ มืองโกสมั พี นครหลวงแคว้นวังสะ ถูกนาง มาคัณทิยาจ้าง คนยากคนจนตามดา่ พระองค์ไปทุกหนทกุ แห่ง (รายละเอียดโปรดดูนิทานประกอบ “คาํ พระ” ข้อที่ ๑๓๕) เมื่อ พระอานนทท์ ลู เชิญเสด็จหนีไปยงั เมืองอ่นื พระองค์กไ็ ม่เสด็จ และตรัส “คาํ พระ” ข้างบนน้ี ความหมาย :- การลงมอื ทํางานเพื่อคนหมู่มาก ก็เหมือนกระโดดลงสู่สนามรบนั่นเอง คือจะต้องถูก ยิงมาจากทุกทิศ แต่เราก็ต้องอดทนเอา การท่ีผู้นําประโยชน์แก่คนหมู่มากถูกด่าว่าน้ัน ก็เพราะในสังคมมีคน ทศุ ลี มาก พวกคนทุศลี นั้นเทย่ี วทาํ ทจุ รติ ไว้ต่าง ๆ จงึ มีปกตเิ กลยี ดชังคนทําความดีและดา่ วา่ เอา (๖๘) มทิ ฺธี ยหา โหติ มหคฺฆโส จ นหิ ฺหายติ า สมฺปรวิ ตตฺ สายี มหาวราโหว นวิ าปปุฏโฐ ปนุ ปปฺ นุ คพภฺ มุเป ติ มนฺโท เมอื่ ใด คนกนิ จุ ขง้ี ว่ ง และนอนหลับกลิ้งเกลอื กไปมา เหมอื นหมูท่ีเขาปรนด้วยอาหารเม่ือนน้ั เขาจะ เหน็ คนซึมเข้าหอ้ งบ่อย ๆ (ธ.บ. ๗) โอกาสที่ควรใช้ :- เมื่อต้องการบาํ บัดความรูส้ ึกขี้ง่วงเหงาหาวนอน ให้กลายเปน็ คนมีความคิดแจม่ ใส นิทาน :- พระเจา้ ป๎สเสนทิโกศลราชาแหง่ ประเทศโกศล กลายเป็นคนง่วงซึมและอว้ นท้วนจนรู้สึกอดึ อดั วนั หน่งึ เสด็จไปเฝูาพระพทุ ธเจา้ พระองคท์ รงสงั เกตเห็นความลําบากของพระราชา จงึ ตรสั ภามวา่ “มหาบพติ ร คงจะเสด็จมาท้ัง ๆ ท่ยี งั ไม่ได้ทรงพักผ่อนกระมัง ?”
29 “ถกู แลว้ พะยะคะ่ , เด๋ียวนไี้ ม่ทราบวา่ เป็นอะไร หลังอาหารร้สู ึกอดึ อัดไม่สบายเลย” พระราชา “มหาบพิตร คนท่ีกนิ อาหารมากเกนิ ไปลําบากอย่างนท้ี ง้ั น้นั ” คร้นั แล้วได้ทรงแนะวธิ ีบําบัดวา่ ให้ลดอาหารลงม้ือละ ๑ คํา จนกวา่ ร่างกายจะปลอดโปร่งเปน็ ปกติ “คําพระ” ขา้ งบนนี้พระองคต์ รัสกับพระราชาในครงั้ นน้ั ความหมาย :- เน้อื ความคําแปลพระบาลชี ัดเจนดีอยูแ่ ลว้ (๖๙)อโรคยา ปรมา ลาภา. ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิง่ (ธ.บ. ๖) โอกาสที่ควรใช้ :- ส่งเสริมการรักษาสขุ ภาพอนามยั และกจิ การสาธารณสขุ นทิ าน :- พระราชาปส๎ เสนทิ แห่งประเทศโกศลทรงรู้สกึ ไมส่ าํ ราญพระวรกายมานานแล้ว โดยมพี ระ อาการอดึ อดั หลังเสวยพระกระยาหาร ตอ่ มาพระพุทธเจา้ ทรงนําวธิ บี าํ บดั ดว้ ยการลดอาหารลงคืออย่าเสวย จนถงึ อิ่ม (ดงั กล่าวแลว้ ในคําพระขอ้ ๓๖)พระราชาทรงปฏิบัติตาม ไดผ้ ลสมพระประสงค์ ครนั้ วันหนง่ึ พระราชาเสด็จไปเฝูาพระพุทธเจ้าและกราบทูลวา่ เวลานี้พระองค์ทรงสาํ ราญดีมากไม่มี โรครา้ ยเบยี ดเบยี น โอกาสน้นั พระพุทธองค์จงึ ตรัส “คําพระ” บทน้ี ความหมาย :- ทวี่ า่ ความไม่มโี รคเป็นลาภอยา่ งย่ิง คอื ถ้าตวั เรามีโรคภยั เสียแลว้ แม้จะมีลาภ อย่างใดๆกเ็ หมือนไมม่ ี ถึงจะได้อาหารก็กนิ ไม่อร่อยถึงจะได้ที่นอนกน็ อนไมห่ ลบั ถงึ จะได้เงินทองก็ใช้ สอยไม่สะดวก รวมความวา่ ลงไดต้ วั มีโรคแลว้ มนั ให้มอี นั ติดขดั ไปหมด แต่ถา้ เรามี “ความไม่มีโรค” ไวเ้ สียอย่าง เดียว ลาภอ่ืนๆ ก็จะหาได้ และอาํ นวยประโยชนแ์ กเ่ ราเอง
30 (๗๐) มนชุ สสฺ สทา สตีมโต มตฺต ชานโต ลทธฺ โภชเน,ตนกุ สสฺ ภวนติ เวทนา สณิก ชีรติ อายุ ปาลย. คนทมี่ สี ติเสมอ รปู้ ระมาณในการกินอาหาร ยอ่ มจะมีเวทนาเบาบาง อาหารก็จะคอ่ ยๆยอ่ ยไปหล่อ เล้ยี งอายุ (ธ.บ.๖) โอกาสท่คี วรใช้:- แนะนาํ ให้รจู้ ักกินอาหาร นิทาน:-คร้ังหน่ึงพระราชาปส๎ เสนทิแห่งประเทศโกศล มพี ระวรกายอึดอดั ไมท่ รงสาํ ราญถกู ความง่วง ครอบงาํ แมแ้ ต่ประทับอยู่ในทีเ่ ฝูาพระพทุ ธเจ้ากท็ รงสปั หงก และทรงขอให้พระพุทธเจ้าแนะวธิ ีบําบัดให้ พระพุทธเจ้าทรงแนะใหพ้ ระองคล์ ดความอ้วนโดยวธิ ีลดปริมาณอาหารที่เสวยลง วนั ละคํา (คอื วันแรก ๑ คาํ วนั ที่สอง ๒ คํา ฯ ล ฯ) จนกวา่ จะรสู้ ึกสบาย ไม่อึดอัด แต่เนอ่ื งจากพระราชาทรงเป็น “คนกินจุ”ลดเอง ไม่ได้ พระพทุ ธเจา้ จงึ รบั สัง่ ใหเ้ จ้าชายสทุ ัศนเ์ ขียนพระคาถาขา้ งบนนไ้ี ว้ พอพระราชาเสวยจวนจะอิ่มกใ็ ห้ เจา้ ชาย ว่าคาถาบทน้ี ขึน้ พระราชาจะไดส้ ตแิ ละทรงทงั้ พระกระยาหารคาํ สดุ ท้ายเสยี พระราชาทรงปฏิบัติตามพุทธวธิ ี ไม่ช้ากไ็ ด้ผล ความหมาย:-ชดั เจนอย่แู ลว้ ทา่ นผู้ต้องการจะบาํ บัดความอดึ อดั ของรา่ งกายอาจใชว้ ธิ ีนีไ้ ด้ (๗๑)ชินจวฺ า ปรมา โรลา ความหิวเป็นโรคอยา่ งยิ่ง (ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรจะใช้ :-ในการใช้จติ วิทยาสงั คมและการพัฒนาทางจติ ใจ นิทาน:- คร้ังหนึ่ง พระพทุ ธเจา้ ได้เสดจ็ จากเมอื งสาวตั ถไี ปยังเมืองอาฬวี โดยมพี ระประสงค์จะไปโปรด ชายเขญ็ ใจคนหนึ่งท่ีเมืองนน่ั แตม่ ไิ ดท้ รงเปิดเผยพระดําริให้ผ้ใู ดทราบ ครัน้ เสด็จไปถึงเมอื งอาฬวี ประชาชนก็ ไดถ้ วายการตอ้ นรบั เป็นอย่างดี แตบ่ งั เอญิ ชายเขญ็ ใจทีพ่ ระองคม์ ีพระประสงคจ์ ะไปโปรดนนั้ ไมไ่ ด้มาสูท่ ีฟ่ ๎ง เทศน์ เพราะไปตามววั ท่ีหายไปอยู่ พระพุทธเจา้ ก็ทรงรอเขาอยนู่ าน จนกระทง่ั เขาหาววั เจอแล้วก็ไดร้ บี มาสูท่ ่ี ฟง๎ ธรรม พระองค์ทอดพระเนตร เหน็ เขายืนอย่ดู ้วยอาการเหน็ดเหนื่อย จึงรบั ส่ังให้ผูป้ ฎิบัตสิ งฆจ์ ดั อาหารที่ เหลอื จากพระนั้นให้เขากินกอ่ น เมอื่ เขาอิม่ แลว้ และพกั ผอ่ นพอสมควรแล้วพระองค์จึงทรงแสดงธรรม เนอ่ื งจากการท่พี ระพทุ ธเจา้ รบั สงั่ ให้ จดั อาหารเลี้ยงคนๆ เดียวเป็นพิเศษอย่างน้ีไมเ่ คยมมี าก่อนเย็นวัน นนั้ พระสงฆจ์ ึงจับกลุม่ คุยกันในเรอื่ งน้ีวา่ เป็นการเหมาะหรอื ไม่ที่ทรงทําอย่างนน้ั พระพุทธเจา้ จึงทรงเปิดเผย พระประสงค์ใน การเสด็จ มาโปรด อาฬวใี หพ้ ระสงฆ์ทราบ และทรงแสดงวา่ ชายเข็ญใจผู้ทีพ่ ระองค์จะโปรด น้นั กําลังหิวจดั “คาํ พระ” ขอ้ น้คี อื พระดาํ รัสในคราวนน้ั ความหมาย:-คําวา่ “ความหวิ ” ในทน่ี ้ีนอกจากหมายถงึ ความหิวอาหารประจํามอื้ แลว้ ยงั กนิ ความไปถงึ โรคขาดอาหาร และความขาดแคลนอาหารของประเทศ ซ่งึ จะทาํ ให้สภาพของสังคมทรดุ โทรมจนพฒั นาไม่ขน้ึ หากไม่บําบัด “ความหิว” กอ่ น (๗๒)ชย เวร ปสวต.ิ ผู้ชนะยอ่ มก่อเวร (๗๓)ทกุ ข เสติ ปราชโิ ต. ผแู้ พ้ยอ่ มนอนเปน็ ทกุ ข์ (ธ.บ.๗) โอกาสท่คี วรใช้ :-เตอื นใจผู้ชนะอยา่ ให้ประมาท
31 นทิ าน.-คร้งั หนงึ่ ได้เกิดสงครามระหวา่ งประเทศโกศล กับประเทศมคธ ขา้ งฝุายโกศลมีพระเจา้ มหา โกศลเป็นจอมทัพ ฝุายมคธมีพระเจา้ อชาตศัตรูราชาหนมุ่ เปน็ จอมทัพการรบไดผ้ ลดั กนั แพผ้ ลัดกนั ชนะมา หลายครงั้ คร้ันมาตอนหลังกองทพั ของโกศลแพต้ ิดๆกันถงึ ๓ ครงั้ พระเจา้ มหาโกศลไดท้ รงถอยทัพหลวงไป ตงั้ ม่นั อยู่บ้านกาสกิ คาม ทรงแคน้ พระทยั อยา่ งย่ิงยวด จนกระทัง่ ไมเ่ สวยพระกระยาหารตามปกติ ขา่ วนี้ลือ กระฉ่อนไปไกลมา พระพุทธเจา้ ไดท้ รงทราบข่าวน้ีแลว้ จงึ ประทานโอวาทแกพ่ ระสงฆ์ ด้วย “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:-คาํ ว่า “ผ้ชู นะย่อมกอ่ เวร” นน้ั หมายความว่า พร้อมกบั เขาชนะฝาุ ยตรงกนั ข้ามนน้ั เขาจะ ไดส้ งิ่ ทตี่ ดิ มากับชัยชนะด้วย คอื ได้ “การผกู เวร” จากฝุายตรงขา้ ม (๗๔) นิพพานคมน มคฺด ขปิ ปฺ เมว วโิ สธเย บัณทติ ควรรับชําระทางไปนพิ พานโดยเร็ว (ธ.บ. ๔) โอกาสท่ีควรใช้:- เตอื นใจผูม้ วั เมาประมาทใหเ้ ร่งทําความเพยี รทางจติ นิทาน:-นางปฎาจารา เป็นลูกสาวของคฤหบดีคนหนง่ึ ในเมืองสาวตั ถี ได้เกิดความสมัครรกั ใครแ่ ละได้ เสยี กนั อย่างลบั ๆกบั คนใชใ้ นบา้ นฝาุ ยพ่อแมไ่ มท่ ราบเรื่องกไ็ ปตกลงรบั หมน้ั กับ ผู้ ชายอกี คนหนง่ึ ซ่ึงเป็นคน ฐานะดี ปฎาจารารู้สึกกลมุ้ ใจ เกรงว่าตนจะต้องแยกทางจากชรู้ กั จงึ ชวนเขาหนีออกจากบา้ นไปทํามาหากนิ อยู่ทบ่ี า้ นนอก กับพวกชาวชนบทห่างจากตวั เมอื งมากทเี ดยี ว ครั้นอยมู่ าก็มบี ตุ รดว้ ยกนั คนหน่งึ และอกี คนยัง อยใู่ นท้องจวนจะคลอดแล้ว ปฎาจาราไดอ้ ้อนวอนผัว ใหพ้ ากลับไปขอขมาพอ่ แม่ ในทสี่ ดุ ก็พากนั ออกเดนิ ทาง แต่มืดค่ําเสยี กอ่ นที่ข้ามดงใหญ่ จึงแวะนอนที่โคนตน้ ไมแ้ ห่งหนง่ึ คนื น้นั เกิดฝนตกหนกั เธอคลอดลูก และสามกี ็ ถูกงูกดั ตาย รงุ่ ขนึ้ เธอและลกู เดนิ ทางมาถงึ แม่นํ้าอจิรวดี เธอเอาลูกคนเล็กข้ามไปวางไว้ฟากข้างหน่ึงก่อน แลว้ จึงกลับมารบั ลกู คนโต ขณะเธอกําลงั เดินแหวกกระแสนาํ้ ข้ามฟากลกู คนโตเกิดว่งิ ลงในแม่นาํ้ ถกู กระแสน้ําพัด จมหายไปตอ่ หน้าตอ่ ตา ครนั้ หันกลับมาหาลกู คนเล็ก กพ็ อดเี หยย่ี วยกั ษ์โฉบลงมาจกิ ลูกของนางไปเสยี ปฎาจาราเสียใจ เดนิ ครงึ่ ดคี ร่งึ บา้ บา่ ยหนา้ สู่สาวตั ถี ก็พอไดพ้ บคนเดินสวนทางมา เธอได้ทราบข่าวว่า เมื่อคนื นี้เกิดพายุใหญ่ บ้านไดพ้ ังทับพ่อแมข่ องเธอตาย เขาชใ้ี หเ้ ธอดูควนั ไฟทีก่ าํ ลังพ่งุ ขึ้นท้องฟาู และบอกวา่ นน้ั เปน็ ควนั จากเชงิ ตะกอนเผาศพของทา่ นท้ังสอง ปฎาจาราเสยี ใจจนเปน็ บ้า จงึ วิ่งเตลิดเข้าวัดได้ฟ๎งธรรมของ พระพทุ ธเจ้า จงึ ได้สติ “คาํ พระ” ขา้ งบนเปน็ พระดาํ รสั ของพระพุทธเจ้าท่ีประทานแก่เธอ ความหมาย:-ทางไปนิพพานไดแ้ ก่มรรคแปด คอื ๑. ความเห็นถูกตอ้ ง ๒. ความคิดถูกต้อง ๓.เจรจา ชอบด้วยศีลธรรม ๔. ทําการงานชอบด้วยศีลธรรม ๕. เล้ียงชีพในทางท่ีชอบ ๖.ทําความเพยี รถูก ๘.ทาํ สมาธถิ กู (๗๕) นพิ พฺ าน ปรม สุข. นิพพานเปน็ สขุ อยา่ งย่งิ (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้ :- บรรยายคณุ คา่ ของนพิ พาน นิทาน:- พระพุทธเจ้าเสด็จไปเมืองอาฬวีเช้าวันน้ันมีคนมาทําบุญตักบาตรกันมา พระองค์ เสวยแล้วกไ็ ม่ทรงแสดงธรรม ทรงรอจนชายเข็ญใจคนหน่ึงมารับส่ังให้จัดอาหารเล้ียงเขา แล้วจึงทรง แสดงธรรมแก่ประชาชน ทําให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่พระสงฆ์ว่า การท่ีพระองค์ได้ทรงรอ คน ๆ เดยี วไมท่ รงแสดงธรรม ปล่อยให้คนอกี มากมายเสียเวลา คร้ันชายเข็ญใจคนนั้นมาแล้วยังรับส่ัง
32 ให้จดั อาหารเล้ยี งเขาเสยี ก่อนจงึ แสดงธรรมนั้น เปน็ เรือ่ งแปลกและบางท่านเห็นวา่ ไมเ่ หมาะ ไม่ควรทํา เสร็จแล้ว พระพทุ ธเจ้าไดท้ รงช้แี จงเหตุผลแก่พระสงฆ์ว่า การท่ีพระองค์เสดจ็ ไปเมอื งอาฬวีครง้ั น้นั เจาะจงโปรดเขาผู้เข็ญใจเท่านัน้ และบงั เอญิ วัวเขาหาย เขาจึงมาชา้ ทง้ั ๆ ทก่ี ําลงั หวิ จัด คนกําลังหิวจัด นนั้ สอนไม่ได้ผลจงึ ทรงบาํ บัดความหวิ ให้เขากอ่ น ในโอกาสนน้ั เอง ความหิวเป็นทุกขอ์ ย่างยิง่ สงั ขารท้ังหลายเป็นทุกขอ์ ย่างย่งิ และตรสั ยาํ้ ว่า “นพิ พานเป็นสุขอยา่ งยิ่ง” ความหมาย:- นิพพาน หมายถงึ ความหลดุ พ้นจากกิเลส ไม่มคี วามโลภ ความโกรธ ความหลง ไมม่ รี ักมชี งั การท่ีจิตจะบรรลนุ ิพพานไดต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามวิธที ี่เรียกวา่ มรรคแปด (๗๖) พหุ เว สรณ ยนตฺ ปพฺพตามิ วนานิ จ อารามรุกขเจตยานิ มนุสสา ภยลชฺชิตา เนต โข สรณ เขม เนต สรณมตุ ตม เนต สรณมาคมฺม สพพฺ ทกุ ขา ปมจุ ฺจติ. มนุษย์เป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว พากันยึดเอาภูเขาข้าง ป่าบ้าง อารามบ้าง ต้นไม้บ้าง เจดีย์บ้างเป็นที่พึ่ง, น่ันไม่ใช่ที่พึ่งอย่างดีเลยพวกเขาถือสิ่งน้ัน ๆ ว่าเป็นสรณะแล้ว ก็พันทุกข์ท้ังปวง ไมไ่ ด้ (ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรใช้:- แกค้ วามหลงงมงายของคนบางพวก ทถ่ี ือลทั ธอิ นั ไร้สาระ นทิ าน:- อคั คิทตั เป็นปโุ รหิตในราชสํานักของประเทศโกศล ตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้ามหาโกศล คร้นั พระเจา้ มหาโกศลสวรรคตแล้ว พระเจ้าบ่ัสเสนทิข้ึนครองราชย์ ซ่ึงตอนน้ันยังทรงพระเยาว์ อัคคิ ทตั ไม่อาจร่วมงานกับพระราชาองค์ใหม่ได้ จึงออกบวชเปน็ ฤาษีพร้อมด้วยบรวิ ารมากเหมอื นกัน เขาได้ บญั ญัติลทั ธขิ ึ้นเอง ซึ่งมีกติกาว่า ถ้าใครเกิดความกําหนัดข้ึน ให้ทําทัณฑกรรมตัวเอง โดยเอาหม้อไป ตักทรายในแม่น้ําข้ึนมาเทไว้ที่ลานอาศรม ๑ หม้อทุกคร้ัง พวกลูกศิษย์ก็ทําตาม อยู่มาไม่นานกอง ทรายก็ใหญ่โตมโหฬาร อัคคทิ ตั เรียกว่า เจดีย์ (เจดีย์ทราย) แล้วก็สอนให้ผู้คนกราบไหว้ ยึดเอาเป็นที่ พง่ึ ต่อมาพระพุทธเจ้าไดเ้ สด็จไป โปรดอคั คิทัตจนเลิกความเห็นผิด “คําพระ” ข้างบนน้ี คือพระ ดํารัสแก่อัคคิทัต และประชาชนทม่ี าชุมนุมในท่นี ้นั ความหมาย:- พระโอวาทนี้ยืนยันว่าการกราบไหว้อ้อนวอนก้อนหินประหลาด ต้นไม้ ประหลาด ฯ ล ฯ ไมม่ ปี ระโยชน์ คาํ ว่าเจดยี ใ์ นทนี่ หี้ มายถึงกองกรวดกองทราย ไม่ใช่อย่างพุทธเจดีย์ (๗๗) อญญฺ า หิ ลาภปู นิสา อญฺญา นพิ พฺ านคามินี. ทางที่จะมีลาภกบั ทางนิพพานเปน็ คนละทาง (ธ.บ. ๓) โอกาสทีค่ วรใช้:- เลือกทางดําเนินชีวิตและวินิจฉัยปฏิปทาของผอู้ ่ืน นิทาน:- (โปรดอา่ นนิทานประกอบคําพระขอ้ นตฺถิ โลเก อนามต ด้วย) สามเณรดสิ สะเปน็ ผู้ มลี าภสักการะมากเหลอื เกิน ใคร ๆ ก็อยากถวายอะไร ๆ แกส่ ามเณร จนลน้ เหลอื คร้นั ตอ่ มาสามเณร ไดป้ ลีกตัวไปอยู่ในปาุ ห่างไกลจากชมุ นมุ ชนมาก และมีความเปน็ อยูค่ อ่ นขา้ งจะแร้นแค้นกว่าอยใู่ กล้ เมืองใหญ่ เพราะคนไปมาไม่สะดวก
33 ครัง้ หน่ึง พระพทุ ธเจ้าเสด็จไปเย่ยี มสามเณรขากลับสามเณรก็ตามมาส่งเสด็จ พอถึงชายปาุ พระพุทธเจา้ ตรัสถามวา่ เธอจะไปกบั พระองคห์ รอื จะกลบั ไปอย่ใู นปุาอีก สามเณรขอกลับไปอย่ใู นปุา พระพทุ ธเจ้ากท็ รงอนุมตั ิ พระสงฆ์ตา่ งก็กลา่ วขวัญถึงสามเณร วา่ เป็นคนใจเด็ดดมี าก ยอมทิง้ ลาภสักการะได้ ในโอกาสนนั้ พระพุทธเจา้ จึงตรัส “คําพระ” ข้างบนน้ีแกพ่ ระสงฆ์ ความหมาย:- ทางเดนิ ของชีวิตมี ๒ ทางคือทางลาภ กับทางหลุดพ้น แล้วแต่ใครจะเลือกแต่ คน ๆ เดียวจะใหไ้ ด้ทง้ั สองอย่างพรอ้ มกันยอ่ มไม่ได้ ทางลาภ เป็นพอ่ ค้า, เป็นพระแสวงลาภ, เร่ียไร, หาเงินเกง่ พวกนไี้ ม่รวยเกียรติแ์ ตร่ วยทรพั ย์ ทางหลดุ พน้ เปน็ คร,ู เปน็ นกั ปราชญ์อาจารย์, เป็นพระวิป๎สสนาธุระ พวกน้ีไม่รวยทรัพย์แต่ รวยเกียรต์ิ (๗๘) สจฺจมตฺต กเถตฺวาปิ โกปมตตฺ ชหติ วฺ าปิ ปริตวฺ ก ทาน หตอฺ าปิ เทวโกก คจฺฉตเิ ยว. บุคคลเพยี งแต่กล่าวค้าสัตย์ก็ดี เพยี งแตเ่ ลิกโกรธเสยี ได้ก็ดใี หท้ านเพยี งเลก็ น้อยกด็ ี กไ็ ปสวรรค์ได้ (ธ.บ.๖) โอกาสที่ควรใช้:- แนะแนวปฏบิ ตั ิแก่ผใู้ ครจ่ ะไปสวรรค์ นิทาน:- คร้งั หนึง่ พระมหาโมคคลั นะจาริกไปสู่สวรรค์ ได้สอบถามเทวดาหลายตนท่ีมีความสุข มากวา่ ได้ทํากรรมอะไรไว้จงึ ไดส้ วรรคส์ มบัตินน้ั ๆ บางตนบอกท่านวา่ เมือ่ ครง้ั เป็นมนุษยไ์ มไ่ ด้ทําบญุ อะไรเลย เพียงแตร่ ักษาคาํ สัตยไ์ ด้เทา่ นน้ั บางตนบอกว่า ชาติก่อนเป็นคนใช้ในเรือนของคนอ่ืน ถูกนายจ้างด่าทอและทุบตีจนบวมช้ํา บญุ กุศลไม่ได้ทําเลย เพียงแตข่ ม่ ความโกรธไดเ้ ทา่ น้ัน บางตนบอกวา่ เคยให้ทานอ้อยลาํ เดยี ว บางตนบอกวา่ เคยใหฟ้ ๎กทองผลเดยี ว เพ่อื การกุศล พระมหาโมคคัลลานะจึงมากราบ ทูล ถาม พระพุทธเจ้าว่า อาจเป็นได้หรือ คนทําความดีนิด ๆ หนอ่ ย ๆ กไ็ ปสวรรคไ์ ด้ พระพุทธเจ้าจงึ ตรสั ตอบดว้ ย “คาํ พระ” ข้างบนนี้ ความหมาย:- ชดั เจนดีอยู่แลว้ (๗๙) อตตฺ นา หิ กต ปาปํ อตฺตสมภฺ ว อภิมตฺถติ หุมฺเมธ วชิร ว มหฺ ย มณี บาปท่ตี ัวท้าเอง เกิดในตวั มตี ัวเป็นแหล่งเกิดย่อมย้่ายีคนโฉดเขลา ดุจเพชรเฉือนแก้วมณีอัน เกดิ จากหนิ ฉนั นนั้ (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- ชี้แจงเรื่องบาป นทิ าน:- พระพุทธเจ้าทรงเลา่ ว่า ทางราชการได้แต่งตั้งนายด่านไว้คนหนึ่ง มีหน้าท่ีนําคนเดิน ทางผ่านดงใหญ่ ซึ่งมีโจรผู้ร้ายชุกชุม อยู่มาผัวหนุ่มเมียสาวคู่หน่ึงได้เดินทางไปถึงสํานักงานของนาย ดา่ น และขอร้องให้เขานาํ ข้ามดง ขา้ งฝุายนายดา่ นเห็นเมียของนายคนนั้นเข้าเกิดความพอใจใคร่ที่จะ ได้มาครอบครองเสียเอง จึงแกล้งทําโอ้เอ้หน่วงเหน่ียวให้ท้ังคู่พักค้างคืนที่เรือนตน อ้างว่าค่ําแล้วขืน เดินทางจะมีอันตรายคืนน้ันนายด่านเจ้าเล่ห์แอบเอาของมีค่าของตน ไปซุกไว้ในยานพาหนะของผัว เมยี พอรุ่งเช้ากเ็ อะอะวา่ ของหาย ใหอ้ า่ นตรวจคน้ คนเดนิ ทางทุกสายแนเ่ สยี ยง่ิ กว่าอะไร พอตรวจ เข้าก็พบสิ่งของที่หาย อยู่ในยานพาหนะของผัวเมียคู่น้ัน นายด่านก็ปล่อยให้ลูกน้องลงประชาทัณฑ์
34 ชายผู้สามจี นตาย แล้วตนก็เอาเมยี มาครองสมใจ พระองคท์ รงเลา่ วา่ นายด่านผู้น้ันตายแล้วไปตกนรก แม้มาเกิดในชาตนิ ้กี ็ถกู เขาฆ่าตายทั้งๆทต่ี ัวไม่มีความผิด และตรสั “คาํ พระ” บทนใ้ี นที่สุด ความหมาย:- บาปกรรมของใคร ก็เกิดจากการกระทําของคนน้ัน ไม่ได้มาจากอื่น และเมื่อ เกิดขึ้นแล้วมนั ก็ผลาญเขาผ้นู ้ันเองให้ยับเยนิ ไป (๘๐) เอกธนมฺ มตีตสฺส มุสาวาทสิ ฺส ชนฺตโุ น วิติณฺณ ปรโลกสฺส นตฺถิ ปาปํ อการิย บาปชนดิ ทคี่ นละเมดิ ธรรมะอยา่ งเอก ชอบพดู มสุ าไม่เชือ่ ว่าตายแลว้ เกิด จะทา้ ไม่ได้ไมม่ เี ลย (ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรใช้:- วินจิ ฉัยคุณลกั ษณะของคนเพื่อใหค้ วามไว้วางใจ นิทาน:- พวกเดยี รถีย์ พากันเดอื ดร้อนใจว่าเมอ่ื พระพุทธเจา้ ประกาศศาสนาทําให้คนเล่ือมใส มากขึน้ พวกตนก็ขาดความนิยม ลาภสักการะก็ขาดแคลนจึงวางแผนทําลายพระเกียรติพระพุทธเจ้า โดยจ้างนางจิญจา น้ันเป็นเร่ืองโฆษณาใส่ร้ายพระองค์ ว่าพระพุทธเจ้าได้หลับนอนกับตนจนมีท้อง แล้วกเ็ อาเศษผ้าพนั ท่อนไมไ้ วต้ รงหน้าทอ้ ง ทาํ เป็นท้องปุองใหค้ นหลงเชือ่ วา่ เปน็ จริง กลางเวลาผา่ นไป จนครบกาํ หนดคลอด นางทําเป็นไปยืนประจานพระพุทธเจ้าอยู่ ท่ามกลาง ศาลาท่ีประชุมฟ๎งเทศน์ ซ่ึงพระพุทธองค์ก็กําลังประทับอยู่ที่นั้น เวรกรรมของคนบาป! วัตถุท่ีผูกอยู่ หน้าท้องของแกเกิดหลุดลง คนท้ังหลายจึงรู้ความจริง แกเองก็วิ่งหนี้ประชาทัณฑ์ไปถูกธรณีสูบเอา นอกวัดเมื่อใครๆปรารภกันว่า นางจิญจาไม่น่าจะกล้าทําถึงขนาดน้ีพระพุทธเจ้าจึงตรัส “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:- “ธรรมอยา่ งเอก” หมายถึง “สจั จะ” ความสตั ย์จรงิ คนเราถ้าลงไดล้ ะเมิดสัจจะ แล้วก็โกหกได้ทุกอย่าง เมื่อโกหกได้ทุกอย่างแล้ว ยังเป็นคนไม่เชื่อว่าชาติหน้ามีจริงเสียอีกด้วย ก็ทํา บาปได้ทุกอย่าง (๘๑) ธมฺม สุจรติ จเร. จงประพฤติธรรมใหส้ ุจรติ (๘๒) น ต ทจุ จฺ ริต จเร. อยา่ ประพฤติธรรมให้ทุจรติ (๘๓) ธมมฺ จารี สุข เสติ. ผปู้ ระพฤตธิ รรมเปน็ ปกติย่อมอยู่เปน็ สุข (ธ.บ.๔) โอกาสท่คี วรใช้:- แนะนําหลักปฏบิ ัติแกผ่ ูท้ าํ ความดี นทิ าน:- ครงั้ เมือ่ พระพุทธเจ้าไดต้ รสั รูเ้ ปน็ พระพทุ ธเจ้าแลว้ พระราชบิดาได้ทูลเชิญเสด็จนิวัติ สู่กบลิ พัศดุ์ ซ่ึงเปน็ การเสดจ็ ครั้งแรกหลงั จากเสดจ็ ออกทรงผนวช เปน็ เวลานานกว่า ๗ ปี การรับเสด็จ ครง้ั นนั้ พระราชบิดาก็เตรียมการรับเสด็จมโหฬารมิใช่น้อยและจัดที่ประทับ ณ นิโครธาราม คร้ันรุ่ง เช้าพระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าไปบิณฑบาตตามถนนในเมือง (ทํานองเดียวกับพวกภิกขาจาร) พระราช บิดาได้ทรงตอ่ ว่าตอ่ ขานวา่ พระพทุ ธเจ้าทรงประพฤติให้พระ อ ง ค์ เ ส่ื อ ม เ สี ย ( ท่ี เ ท่ี ย ว ข อ ท า น ) พระพุทธเจ้าก็รับส่ังว่าพระองค์ได้ประพฤติตามเย่ียงพุทธประเพณีอันเป็นวงศ์ตระกูลของพระองค์ แลว้ ตรสั “คําพระ” ข้างบนน้ี เป็นการถวายความเข้าใจอนั ดตี ่อพระราชบดิ าผ้กู าํ ลงั น้อยพระทยั
35 ความหมาย:- คําวา่ ประพฤติธรรมใหส้ ุจรติ คือ การทาํ ความดใี ด ๆ กจ็ ง ทาให้ดี อย่าย่อหน่อ นอย่าบิดเบือน ถ้าจะบวชก็บวชให้ดี ถ้าจะรักษาศีลก็รักษาให้ดี, การทําความดีสักแต่ว่าทําเรียกว่า ประพฤติธรรมให้ทุจริต, คําว่า “ธรรมจารี” ท่ีแปลว่าผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ หมายความว่า ทํา ความดีได้สมา่ํ เสมอเป็นอาจิณ มใิ ชน่ าน ๆ จงึ ทําดสี กั ครั้ง (๘๔) สหา ชาครมานาน อโหรตตฺ านุสกิ ขฺ ิน นิพพฺ าน อธมิ ุตตฺ าน อฎฐ คจฉฺ นตฺ ิ อาสวา อาสวะของคนท่ีตื่นอยู่ทุกเม่ือ ศึกษาท้ังกลางวันกลางคืน น้อมใจสู่นิพพาน ย่อมมีอยู่ไม่ได้ (ธ.บ.๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- สง่ เสรมิ ความพยายามของผู้ใครจ่ ะหลดุ พน้ จากกิเลส นิทาน:- นางปุณณา ลูกจ้างตําข้าวของคฤหบดีชาวเมืองราชคฤห์ คืนวันหน่ึงเธอตําข้าวอยู่ จนกระทั่งดึก เหงื่อโทรมท้ังตัว จึงออกไปยืนตากลมอยู่นอกโรงกระเดื่อง ทอดสายตาไปทางยอด เขาคชิ ฌกฎู อันเป็นที่ประทบั ของพระพุทธเจ้า สักครู่หนึ่งเธอเห็นแสงไฟจากดวงโคม เดินแยกย้ายกัน เป็นสายๆทย่ี อดเขา เธอคดิ ว่าพระสงฆ์ก็คงจะมเี ร่อื งไมส่ บายเหมือนเธอเอง จงึ นอนไม่หลบั ครั้นรุง่ เข้า ปุณณาเอารําข้าวชุบบ้นั นาํ้ เปน็ แผ่นแล้วกป็ ิ้งไฟ ต้ังใจจะกนิ เองตามประสาคนยากพอเดิน ออกไปนอกหมบู่ ้าน ก็บังเอิญเจอพระพุทธเจ้าจึงเอาขนมน้ันใส่บาตร แล้วก็คิดว่า ถึงพระองค์จะทรง รับแล้วก็คงไม่เสวย ประเดี๋ยวพระองค์ก็คงหยิบทิ้งให้นกให้กา แล้วไปเสวยของอร่อยๆ ในรั้วในวัง พระพุทธเจ้าทรงรู้ วาระจิตของเธอ จึงทรงแวะเข้าไปประทับนั่งทีร่มไม้ เสวยขนมรําป้ิงให้เธอเห็น ก่อนเสดจ็ กลับวิหารได้ ทรงถามถงึ ขอ้ ทนี่ างคิดว่า พระไม่สบายเม่ือคืนน้ี ในการทรงตอบชี้แจงว่าพระ ไมไ่ ด้ไมส่ บาย แตท่ า่ นทาํ ความเพยี รจงึ ตรัส “คําพระ” บทน้ี ความหมาย:- อาสวะ คือกิเลสท่ีดวงใจสัตว์ให้บริสุทธ์ิไม่ได้ คือ ๑. กามารมณ์ ๒. ภพความ เป็นน่ันเป็นนี่ และ ๓. อวิชชา ความไม่รู้สัจธรรมส่วนคําว่า “ต่ืนอยู่ทุกเม่ือ” หมายถึงการมีสติไม่ ประมาท (๘๕) น ต ถมมฺ ถต สาธุ ย กตฺวา อนตุ ปุปต.ิ กรรมใดท้าแล้วรอ้ นใจภายหลัง กรรมนัน้ ทา้ แล้วไมด่ ี (ธ.บ. ๓) โอกาสที่ควรใช้:- อบรมผทู้ ําความผิดให้สํานกึ ตวั และใหร้ ูจ้ ักวนิ ิจฉัยกรรมของตนเอง นิทาน:- คืนวันหน่ึง พวกผู้รา้ ยเขา้ ปล้นบา้ นคฤหบดีในเมืองสาวัตถี และก็ขนเอาทรัพย์ออกไป แบง่ กนั ทท่ี ่งุ นานอกเมือง เลยทําถุงเงินตกไว้ตรงนนั้ ถงุ หนงึ่ รุ่งเช้าพระพุทธเจ้าเสด็จจากวัดเชตวัน ผ่านไปตรงบริเวณท่ีถุงเงินตกอยู่ แล้วก็ทรงช้ีให้พระ อานนท์ดู พลางตรัสว่า “อานนท์เห็นไหม อสรพิษ ?” พระอานนท์ก็ทูลตอบว่า “เห็นพระเจ้าข้า อสรพษิ !” พระอานนทก์ ท็ ลู ตอบว่า “เห็นพระเจ้าข้า อสรพษิ !” เสรจ็ แล้วก็เสด็จเลยไป ชาวนาซ่ึงกาํ ลังไถนาอยตู่ รง นั้นได้ยนิ พระดํารัสนกึ วา่ ตรงนั้นมงี ู จึงควา้ ไมเ้ ดนิ เข้าไปดู แต่แล้ว เห็นถุงเงนิ เกิดความโลภข้ึน จงึ นําไปซอ่ นไว้เสียอกี แหง่ หน่งึ พอสายหน่อยเจ้าทรัพย์เข้าสะกดรอยไปก็ ไปเจอเข้า เลยจับเอาชาวนาไปฟูองพระราชา คดีไม่มีทางรอดได้ เพราะหลักฐานมัดตัวจําเลยแน่น เหลือเกินเขาจึงถูกตัดสิน ให้ประหารชีวิต ขณะถูกควบคุมตัวไปสู่ที่ประหารเขาบ่นอยู่แต่คําว่า “อานนท์เห็นไหม อสรพิษ ?” ... “เห็นพระเจ้าข้า อสรพิษ !” จนพวกตํารวจสงสัย จึงนําตัวไปเฝูา พระราชาดูก่อน พระราชาทรงสอบสวนเขา ๆ ก็เลา่ เร่ืองตามความจริง พระราชาไม่ทรงเชื่อ แต่เห็นว่า จําเลยอ้างบุคคลสําคัญท่ีสุดเป็นพยาน จึงทรงนําจําเลยเข้าเฝูาพระพุทธเจ้า และได้ทรงทราบ
36 ข้อเทจ็ จริงจงึ ปล่อยตวั ไปพระพุทธภาษิตข้อนี้ เป็นพระโอวาททีพ่ ระพทุ ธเจ้าประทานแก่ชาวนาเม่ือเขา ได้รับการปลอ่ ยตัวพน้ ข้อหาแลว้ ความหมาย:- คําว่า “กรรม” ในทน่ี ้หี มายถงึ งานทกุ อย่างทเ่ี ราทาํ ลง รวมท้งั การพูดการเขียนดว้ ย (๘๖) อกต ทุกกฺ ฎ เสยฺโย, ปจฺฉา ตปฺปติ ทกุ ฺกฏ ความชวั่ ไมท่ ้าเสียเลยดีกวา่ เพราะกรรมชว่ั ย่อมเผาผลาญในภายหลัง(ธ.บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้:- เตอื นใจก่อนทีจ่ ะลงมอื ทาํ กรรมชวั่ นิทาน:- มีผวั เมยี คหู่ น่ึง ต้งั บ้านเรือนอยูแ่ ขวงเมอื งสาวตั ถี ผัวเป็นคนเจ้าชู้ ฝุายเมียก็เป็นคนข้ี หึง ขนมผสมนํ้ายา อยู่มาวันหน่ึงผัวเกิดไปตีสนิทกับหญิงคนใช้ในบ้านเข้า เป็นคราวเคราะห์ของคน เจ้าชู้ นางเมียเกิดจับได้และจับนางคนใช้มัดมือมัดตีน เอามีดโกนเชือดหูเชือดจมูกท้ิงไว้ในปูอง งับ ประตเู อาไว้แล้วชวนผวั ไปวดั โดยคดิ วา่ คงไม่มีใครมาเหน็ หญงิ คนใชเ้ ปน็ แน่ แตพ่ อผวั เมยี คล้อยหลงั ไปสักครใู่ หญ่ ๆ ญาติสนิทของครอบครัวน้ันเกิดมาที่บ้าน และไปเปิด ประตหู อ้ งดู ไปเจอหญงิ ผู้เคราะหร์ า้ ยเข้า จึงแกเ้ ชอื กให้พอหลุดจากเครื่องพันธนาการเท่าน้ัน นางคน ใช้ก็วง่ิ แจน้ ไปวดั เหน็ ผัวเมียกําลังนั่งฟ๎งเทศน์ของพระพุทธเจ้าอยู่ แต่ด้วยความแค้น จึงไปตะโกนฉีก หน้ากนั ต่อหน้าธารกาํ นลั เล่นเอาบรษิ ทั อลเวงกนั อยพู่ กั หน่งึ พระศาสดาทรงเห็นเหตกุ ารณ์น้ัน จึงตรัส “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย:- ชดั เจนดีอยแู่ ล้ว (๘๗) จตตฺ าริ ฐานานิ นโร ปมตโฺ ต อาปชฺชติ ปรทารู ปเสวี : อปญุ ญฺ ลาภ น นิกามเสยยฺ นนิ ทฺ ตติย นริ ย จตตุ ฺต. คนผู้ประมาทแลว้ ชอบ เสพ ภริยาของชายอ่ืนยอ่ มจะไดร้ ับโทษ ๔ สถาน คือ ๑. ไดส้ ิ่งทม่ี ิใช่บุญ ๒. ไม่ไดห้ ลับนอนตามต้องการ ๓. ถกู นนิ ทา ๔. ตกนรก (ธ.บ. ๗) โอกาสท่คี วรใช้:- แสดงโทษของการทาํ ชู้กับภริยาของคนอน่ื นิทาน:- นายเขมกะ (หลานของท่านอนาถปินฑิกคฤหบดี) เป็นคนรูปหล่อพราวด้วยเสน่ห์ ผหู้ ญงิ ทวั่ ไปเห็นเขาแล้วอดไม่ได้ท่ีจะไม่นึกใฝุฝ๎นในการร่วมประเวณีกับเขา พอดีกับตัวเขาเองก็ชอบ รสนิยม ในทางร่วมสนกุ กับภรยิ าของคนอน่ื ด้วย เขาจงึ ทําชกู้ บั เมยี ใคร ๆ เป็นอาจิณ ถูกจับข้ึนศาลถึง ๓ คร้ังแล้วไม่เข็ดหลาบ ท่านคฤหบดีผู้เป็นลุงจึงพาไปเฝูาพระพุทธเจ้า ขอให้พระองค์ทรงสั่งสอน พระองค์จงึ ตรสั “คาํ พระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย:- คําว่าภริยาของคนอ่ืนหมายถึงหญิงท่ียังอยู่กิน กับสามีของตน ฉันสามีภริยา มไิ ดห้ ย่าร้างหรือแยกทางกนั จนเป็นอันทแ่ี นช่ ดั วา่ ขาดจากกันแล้วโทษข้อท่ี ๑ ท่ีว่าได้ส่ิงไม่ใช่บุญ คือ ได้ส่ิงทไ่ี มเ่ ปน็ ศิริมงคล
37 (๘๘) อภตู วาที นิรย อุเปติ. คนมักพดู ค้าไมจ่ รงิ ยอ่ มเข้าถึงนรก (ธ บ. ๗) โอกาสทค่ี วรใช้:- ปลกุ ปลอบใจตนเองเม่ือใสร่ า้ ยดว้ ยเรือ่ งท่ไี มจ่ รงิ นทิ าน:- คร้ังเมอ่ื พระพุทธเจา้ ทรง ประกาศพระศาสนาในประเทศโกศล ประชาชนได้หันเข้า นับถือพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก ทําให้พวกเดียรถีย์พากันเส่ือมลาภ และเป็นเดือดเป็นแค้นย่ิงนัก เขาจึงพากันคิด อ่านใช้แผนการสกปรก ทําลายเกียรติของพระพุทธเจ้าโดยวิธีจ้างนางสุนทรีไปเดิน ลับๆลอ่ ๆอยู่แถววัดเชตวัน ใครถามเธอก็บอกวา่ ไปนอนหลับกบั พระพทุ ธเจ้า พอปล่อยขา่ วพอสมควรแล้ว พวกคนอุบาทวน์ นั้ ก็จ้างนักเลงลอบฆ่านางสุนทรี แล้วเอาศพไป หมกไว้ในกองขยะ ใกล้ ๆ ท่ีประทับของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้วก็ทําเป็นไปแจ้งความทางบ้านเมืองว่า นางสุนทรีหายไปอยา่ งลึกลับ ครัน้ แลว้ กว็ างสายนาํ กาํ ลังตํารวจไปคน้ ที่กองขยะ และได้พบศพจริง ๆ ข่าวน้ีทําให้ ประชาชนตําหนิติเตียน พระพุทธเจ้าและพระสาวกกันทั่วไป ในข้อท่ีว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทํามิดีมิร้ายกับนาง สุนทรีแล้วฆ่าปิดปากขณะที่ประชาชน วิพากย์วิจารณ์ กัน อยา่ ง สบั สน นน่ั เองพระพทุ ธเจ้าไดต้ รสั “คําพระ” บทนี้ ภายหลงั ความจริงแดงขึ้น พวกเดยี รถีย์ถูกจับประหารชีวิตสั้น ความหมาย :- ผ้มู กั พดู คาํ เท็จหมายถึงชอบโกหกพกลมเปน็ อาจณิ (๘๙) ปญุ ญฺ สขุ ชีวติ สงขฺ ยมหฺ ิ บุญนา้ สุขมาให้เม่ือสน้ิ ชวี ิต (ธ.บ. ๗) โอกาสท่ีควรใช้:- บรรยายอานสิ งสข์ องการทําบุญ นทิ าน:- เม่อื พระพุทธเจา้ ยังทรงพระชนม์อยู่ มรี ะยะหน่งึ ที่พวกขา้ ราชการพากันทุจริตฉ้อโกง กันทั่วไป ต้ังแต่พระราชาลงมาจนกระท่ังเสนาอํามาตย์ผู้น้อย การกดขี่ข่มเหงราษฎรได้เป็นไปอย่าง กว้างขวางปราศจากความเมตตากรุณา ประชาชนพลเมืองเดือดร้อนกันทั่วทุกหัวระแหง วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสํานักปุาหิมพานต์ ได้ทรงดําริถึงเรื่องน้ี และทรงสงสารประชาชนอย่างย่ิง พระองคท์ รงต้งั ป๎ญหาข้นึ ในพระทยั วา่ ถ้าพระองคจ์ ะครอบครองประเทศเหล่านั้น แล้วเป็นพระราชา เสียเองจะได้หรือไม่ และจะสามารถปกครองประชาชนใหร้ ม่ เยน็ ได้ไหม ก็ทรงเห็นทางว่าพระองค์อาจ ทําได้ ความจริงขอ้ ดาํ ริน้ีเกิดจากความสังเวชพระทยั ที่ได้เห็นความเหลวแหลก ของผู้ปกครอง บ้านเมืองเท่าน้ัน แต่มารซึ่งจ้องหาโอกาสอยู่แล้วคิดว่าพระองค์ทรง “อยากสึก” จึงเข้าไปเฝูา และ กราบทูลเกลีย้ กล่อมให้พระองค์ทรงสละเพศ ไปครองราชยด์ ว้ ยคํายกยอปอป้น๎ นานาประการ คร้งั นั้น พระพทุ ธเจา้ ทรงตําหนคิ วามคิดของมาร และตรัส “คําพระ” บทน้ี เพ่ือแสดงแก่มาร ว่า ความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้อยู่ที่การมีอํานาจเหนือคนอ่ืน ไม่ได้อยู่ที่มีเงินมีทองมาก ๆ แต่อยู่ท่ี เหตุอ่ืนตามทยี่ กมาตรสั (ซ่ึงมีอยดู่ ว้ ยกัน ๑๒ ประการ) ความหมาย:- บรรดาทรัพย์สมบัติท้ังปวงเม่ือสิ้นชีวิต คนเราต้องทอดทิ้งไว้ในโลกน้ี แม้แต่ ร่างกายของตนเอง บุญกุศลเท่าน้ันที่จะตามไปให้ผลในชาติหน้า ความรู้สึกว่าตนมีบุญได้สร้างไว้จะ เกิดขึน้ คร้ังหนงึ่ ขณะจิตจะออกจากร่าง และทาํ ให้ผู้นัน้ ตายอยา่ งเปน็ สขุ
38 (๙๐) สทุ ธฺ ิ อสทุ ธิ ปจฺจตฺต นาญโฺ ญ อญญฺ วิโสธเย. ความบรสิ ทุ ธิ์ไมบ่ ริสทุ ธ์จิ ้าเพาะตัว คนอ่ืนจา้ ท้าให้คนอนื่ บรสิ ุทธ์ิไมไ่ ด้ (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- แสดงทรรศนะของพุทธศาสนาทวี่ า่ การล้างบาป ไถ่บาป ได้ผลหรอื ไม่ นทิ าน:- อุบาสกชอ่ื จุลกาล กลบั จากฟ๎งเทศนท์ ่ีวัดในตอนเช้าตรู่ พอเดินทางถึงทางเปลี่ยวก็มี โจรพวกหนง่ึ กําลังว่งิ หนเี จ้าทรพั ย์ สวนทางมาพอเหน็ ทา่ จวนตวั เข้า จึงโยนห่อของกลางทิ้งลงตรงใกล้ ๆ อบุ าสก พวกเจา้ ทรพั ย์ไล่กวดมาตดิ ๆ เหน็ ห่อของอยู่ใกลจ้ ลุ กาล ก็เหมาเอาว่าจลุ กาลเป็นโจร จึงพา กันควบคุมตวั และตบตเี อา ขณะน้นั พวกผหู้ ญิงตักน้ํามาเหน็ เข้า จาํ จุลกาลได้ว่าเขาเป็นคนอยู่ในศีลใน ธรรม จึงยนื ยันกบั พวกเจ้าทรัพย์ ทําใหจ้ ลุ กาลรอดตัวมาได้ และนําความเข้าไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระองค์จึงตรสั “คาํ พระ” บทน้ี ความหมาย:- ความบรสิ ทุ ธ์หิ รือไม่บรสิ ทุ ธ์ิเป็นเร่ืองเฉพาะตัว ใครเป็นใครรู้ เพราะฉะนั้น ใน บางคราวผู้บริสุทธ์ิอาจถูกกล่าวหา และไม่อาจทําให้อีกฝุายหนึ่งเชื่อในความบริสุทธ์ิของตนก็ได้ อีก ประการหน่ึง ใครอยากบรสิ ทุ ธ์กิ ็ต้องทาํ ตัวให้บรสิ ุทธิเ์ องจะใหค้ นอื่นทาํ แทนหาไดไ้ ม่ (๙๑) สสุ ขุ วต ชีวาน เวรเิ นสุ อเวริโน. เมอ่ื คนทงั้ หลายจองเวรกนั เรา (หมายถึงพระพุทธเจา้ ) ไมจ่ องเวรใคร สบายดีแท้ (ธ.บ. ๖) โอกาสทค่ี วรใช้:- แสดงโทษของการผูกอาฆาตจองเวรกัน นิทาน:- เรอื่ งเดิม พระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระโอรส ๔ องค์ มีพระธิดา ๕ องค์ ท้ังเก้าลี้ภัย การเมืองไปอยู่ในปาุ โอรส ๔ กับธดิ า ๔ ไดส้ มสู่กนั (พน่ี อ้ งแตง่ งานกันเอง) แล้วสรา้ งเมอื งกบิลพสั ดุ์ข้ึน ต้งั ชือ่ วงศ์ว่า “ศากยวงศ์” ส่วนพระธิดาคนโตไม่มีคู่ ไปสมรสกับคนต่างวงศ์ ไปสร้างเมืองอยู่ท่ีปุากะ เบา เรียกวา่ โกลยี วงศ์ เหตกุ ารณผ์ ่านมาจนถึงสมัยพระพุทธเจ้า พระบิดาพระองค์ก็เป็นฝุายศากยวงศ์ พระมารดา เป็นฝุายโกลียวงศ์ ระหว่างพรมแดนแหง่ แคว้ นทงั้ สอง (สกั กะ-เทวทหะ) มีแม่นาํ้ โรทิณคี น่ั ทั้งสอง ฝุาย ได้รว่ มกนั ทาํ ทํานบก้ันนํ้าแห่งเดียวกัน มาภายหลังนํ้าน้อยไม่พอทํานา แต่ละฝุายก็จะยึดทํานบใช้นํ้า แต่ฝาุ ยเดยี ว เลยเถิดการทะเลาะวิวาทเรื้อรัง โดยมีแมน่ ้าํ โรทิณีเป็นไม้เบื่อไมเ้ มา คราวหนึ่งท้ังสองฝุาย กาํ ลงั เคลือ่ นทพั จะปะทะกัน พระพทุ ธเจ้าได้เสด็จมาห้าม “คําพระ” ข้างบนนี้เป็นพระดํารัสตรัสห้าม ทพั ตอนหนึง่ ความหมาย:- พระพทุ ธรูปปางตรัสพระบาลีนี้เรียกว่า “พระห้ามญาติ” ยืนยกพระหัตถ์ขวา แบฝุาพระหัตถไ์ ปขา้ งหนา้ (๙๒) กณฺห ธมฺม วิปฺปหาย สุกฺก ภาเวถ ปณฺฑิโต. บัณฑิตควรละธรรมดา้ เสยี (และ) ทา้ ธรรมขาวใหเ้ จริญ (ธ.บ. ๔) โอกาสทีค่ วรใช้:- ในการหักห้ามใจจากทางทีผ่ ดิ
39 นิทาน:- พระพุทธเจ้าประทบั อยทู่ วี่ ัดเชตะวันเมอื งสาวัตถี มพี ระสงฆ์จํานวนหน่ึงเดินทางมาร เฝาู พระองค์ ได้ทรงพจิ ารณาถึงอุปนสิ ยั ของท่านเหลา่ นนั้ วา่ สมควรจะประทานพระโอวาทเร่ืองใด แล้ว จงึ ตรัสพระบาลีขา้ งบนนี้ ความหมาย:- สีดํา ประชาชนถือว่าเป็นเคร่ืองหมายแห่งความทุกข์ ความโศก และความ เสียใจ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่จะนําความทุกข์โศกมาสู่มนุษย์ คนทั้งหลายจึงใช้สํานวนพูดเปรียบเทียบ กบั สดี ํา หรือความมืด ในทางตรงกันข้าม สีขาวถือเป็นเครื่องหมายแห่งความบริสุทธ์ิ ความปลอดภัย และความสุขสบาย ในคําพระบทนพ้ี ระพุทธเจ้าทรงใชส้ าํ นวนพูดของชาวโลก ตรัสเรียกอกุศลธรรมว่า ธรรมดํา และตรสั เรยี กอกศุ ลธรรมวา่ ธรรมขาว โดยท่ัวไป ธรรมดําหมายถึงกิเลสทุกอย่างเช่นความโกรธ ความริษยา ความโลภ ฯลฯ ส่วน ธรรมขาวก็หมายถึงความดที ุกอยา่ ง เชน่ ทาน ศีล ภาวนา เมตตา กรุณา ฯลฯ (๙๓) ทีฆา ชาครโต รตตฺ ิ ทีม สนตฺ สฺส โยชน ทโี ฆพาลานสชาโร สทฺธมมฺ อวชิ านต. ราตรีของคนตน่ื อยู่ ยาว, โยชนข์ องคนเมื่อยล้าไกล, สงสารของคนโง่ผูไ้ มร่ ้สู ทั ธรรมกย็ าว (ธ.บ. ๓) โอกาสทีค่ วรใช้:- เตือนใจคนพาลให้เร่งเรยี นรสู้ ทั ธรรม นทิ าน:- ครัง้ หนงึ่ พระราชาปส๎ เสนทิผทู้ รงอาํ นาจเกรยี งไกร ใหญ่ย่งิ ในประเทศแถบเหนือของ ชมพทู วีปเสด็จเรยี บเมือง ได้ทอดพระเนตเห็นใบหนา้ ของหญิงสาวคนหนึ่งชั่วแวบเดียว ก็ตกสู่หลุมรัก ในนางน้ันอย่างรุนแรง แม้จะทรงสอบสวนแจ้งพระทัยแล้วว่านางมีสามีแล้ว ก็มิอาจสลัดศรกามเทพ จากหทัยได้ จึงรับสั่งให้ชายผู้สามีมาเฝูาแล้วทูลเกล้าโลมขอเอาดื้อ ๆ โดยจะทรงชุบเล้ียงเขาให้ได้ ตําแหน่งยศศักดิ์ถึงใจ แต่ชายนั้นก็ทูลปฏิเสธ ก็ความบ้ากามกําเริบสู่จุดนั้นแล้วใครเล่าจะห้ามได้ พระองค์รับส่ังให้ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้น ไปเอาดอกบัวกับดินแดน ณ ตําบลหน่ึงไกลหลายสิบโยชน์มา ถวายใหไ้ ดภ้ ายในวันเดียว มิฉะนัน้ จะทรงลงอาญาถึงชวี ติ กรรมของสตั ว์-ผูอ้ ยากมีเมียสวย ! เขาเดินทางอย่างไม่คิดชีวิต ไปได้ดอกบัวกับก้อนดินดังใจ หมาย แต่มันสายเกินไปเสียแล้ว เขากลับถึงประตูเมืองปิดพอดี ได้แต่ขว้างดอกบัวกับก้อนดินเข้าใน เมือง แล้วตัวเขาเองซัดเซเข้าไปพึ่งพระ ณ วิหารนอกเมืองน้ัน พระพุทธองค์ได้โปรดเมตตาแสดง ธรรมะขา้ งบนน้แี กเ่ ขา ความหมาย:- ระยะเวลาย่อมเท่ากันท้ังนั้นแต่ช่วงระยะที่คนโง่ จะต้องท่องไปในความทุกข์ ทรมานยอ่ มยาวมาก การศึกษาและปฏบิ ตั ิตามคาํ สอนของสัปบุรุษเท่านน้ั ท่จี ะยน่ ระยะแหง่ สงสารทุกข์ ได้ (๙๔) นตถฺ ิ โลเก รโห นาม ปาปกมมฺ อกุพพฺ โต. ที่ลับสา้ หรับใหค้ นทา้ ความชัว่ ไมม่ ใี นโลก (สีลวมิ ังสชฺ าดก) โอกาสทีค่ วรใช้:- ตักเตอื นคนท่ลี กั ลอบทําความผดิ เพราะมัวคิดวา่ ไมม่ ีใครร้ใู ครเห็น
40 นทิ าน:- ที่วดั เชตะวนั เมืองสาวัตถี มีพระภิกษบุ างรูปเกิดความกระสัน และคิดทําผิดวินัยโดย นึกว่าดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว คงจะไม่มีใครรู้เห็นเพื่อที่จะให้พระ ซึ่งคิดผิดน้ันสํานึกตัวโดยวิธีทางอ้อม พระพุทธเจ้าจึงทรงเลา่ นทิ านให้ฟ๎งว่า มีอาจารย์ทศิ าปาโมกข์คนหนึ่ง อยากจะเลือกลูกศิษย์ในสํานักของตนเองสักคนหนึ่ง ซ่ึงเป็น คนมีศีลธรรมดี ให้แต่งงานกับลูกสาวของตน จึงเรียกลูกศิษย์มาประชุม และแจ้งความประสงค์ให้ ทราบในการแขง่ ขนั กนั วา่ ใครจะมศี ีลธรรมดีกวา่ กันน้ันอาจารยบ์ อกว่า ใหล้ กู ศิษย์เหล่าน้ันแยกย้ายกัน ไปขโมย เครื่องแต่งตัวมาให้เจ้าสาว โดยถือหลักว่าการทําโจรกรรมนั้นจะต้องกระทําในส่ิงลับจริง ๆ ไม่ให้มคี นเห็นเลย ลูกศิษย์หนุ่มแทบทุกคนได้แยกย้ายกันไปใช้เล่ห์เพทุบายอย่างแยบยล ต่างก็คิดว่าตนได้ทํา โจรกรรมในทีล่ ับ ไม่มีมนษุ ย์ใดรู้เห็น และได้นําของมาส่งอาจารย์ เว้นแต่ลูกศิษย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระ โพธสิ ตั ว์ไม่ไดไ้ ปทําโจรกรรม คร้ันอาจารยถ์ ามวา่ เหตใุ ดจงึ ไมท่ ํา พระโพธิสัตว์ก็บอกว่า ไม่มีที่ลับท่ีไม่มี คนเห็น (เพราะแม้ไม่มีคนอ่ืนเห็นเลย แต่ตัวผู้ทําก็เห็น) คําพระข้างต้นนั้นเป็นคํากล่าวของพระ โพธสิ ัตว์ แสดงเหตผุ ลทท่ี า่ นสละสทิ ธ์ิ ในการแข่งขันชิงตาํ แหน่งลูกเขยอาจารย์ แต่แล้วกลับเป็นผู้ชนะ เพราะทา่ นเปน็ ผ้มู ศี ีลธรรมดเี ยีย่ ม ความหมาย:- ความในสภุ าษติ ชัดเจนแล้วเพราะมคี วามหมายตรงตวั (๙๕) จรนตฺ ิ พาลา ทุมฺเมธา อนิตเฺ ถเนว อตตฺ นากโรนฺตา ปาปก กมฺม ย โหติ กฎาปฺผล. คนพาลผู้โงเ่ ขลา ทา้ ตวั เหมอื นดังวา่ เปน็ ข้าศกึ เทีย่ วท้าบาปกรรมอันมีผลเผด็ รอ้ น (ธ.บ. ๓) โอกาสท่คี วรใช้:- เตือนใจคนที่หมกมนุ่ อยใู่ นการทําบาปกรรม นทิ าน:- ที่วดั เวฬุวัน เมอื งราชคฤห์ คนโรคเรื้อนคนหนึ่งช่ือสุปพุทธ ถูกแม่โคขวิดตายขณะท่ี กลบั จากฟ๎งเทศน์ของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์จึงทูลถามว่า เหตุผลเป็นอย่างไร คนทําความดีแท้ ๆ ไม่ น่าจะเคราะห์ร้ายอยา่ งนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นผลกรรมเก่าของเขา และทรงเล่าว่า ตั้งแต่ชาติก่อนโน้นมีชายส่ี คนเป็นเพือ่ นกัน พาอเอาหญงิ โสเภณีนางหนึ่งไปรว่ มสนกุ ในสวนสาธารณะ คร้นั เสรจ็ ธรุ ะของตนแล้วก็ เกิดความโลภในทรัพย์ จึงช่วยกันฆ่าหญิงนั้นเสียเอาเคร่ืองแต่งตัวและเงินทองไปแบ่งกัน แต่ก่อนจะ ตาย หญิงโสเภณีผูกเวรไว้ว่า ขอตามฆ่าชายสี่คนนั้นทุกกาลทุกชาติ แม่โคท่ีขวิดเขาตามนั้นก็คือหญิง โสเภณีคนน้ันเอง และชายท้ังสี่ในครั้งน้ันก็ได้แก่นายปุกกุสาติ นายพาหิยะ (ภายหลังบวชเป็นพระ) นายตัมพทาฐิกะ (เป็นเพชฌฆาตหลวง) กับนายสุปพุทธนี้ (และท้ังสี่คนก็ถูกแม่ โคตัวเดียวกันน้ีเอง ขวดิ ตาย) ความหมาย:- ทีว่ ่า “ทาํ ตัวเหมอื นข้าศึก” น้นั หมายความวา่ เขาเที่ยวสร้างกรรทําบาปมาเผา ตวั เขาเอง เหมือนกบั ว่าตัวเองเปน็ ศัตรูอยา่ งน้ันเอง (๙๖) โย หณเฺ ฑน อทณฺเฑสุ อปฺปหุฎเฐสุ ทสุ ฺสติ ทสนนฺ มญฺญตร ฐาน บปิ ปฺ เมว นคิ จฉฺ ติ. ใครประทุษร้ายคนที่ไมเ่ ป็นภยั ตอ่ คนอ่นื ด้วยทณั ฑจ์ ักตอ้ งได้รบั โทษ ๑๐ สถาน อย่างใดอย่าง หนงึ่ โดยเร็ว (ธ.บ. ๕) โอกาสท่คี วรใช้:- พยากรณช์ ะตากรรมของคนท่ีชอบขม่ เหงคนอื่น นทิ าน:- เมอื่ พระมหาโมคคลั ลานพ์ ํานักอยู่ท่ีตาํ บลกาฬศิล มีพวกนกั เลงเขา้ ล้อมกฎุ แี ละตรูเข้า ไปจะสังหารทา่ นถงึ ๒ คร้งั แต่ท่านหลบหนีได้ทันครั้นคร้ังท่ี ๓ ท่านคิดว่า ชาติก่อนท่านก็ได้ทํากรรม
41 หนักโดยทีไ่ ด้ลวงพอ่ แมผ่ ู้ตาบอดไปฆ่า เพราะหลงเช่ือภรรยาเจ้าเล่ห์ของตน กรรมเก่าจะตามทันแล้ว ท่านจงึ ไม่หลบหนี เลยถูกพวกนกั เลงทุบจนสน้ิ ชีพตอ่ มาเจ้าหนา้ ทจ่ี บั ผู้ร้ายได้ พวกผรู้ า้ ยให้การว่า พวก ตนรับจ้างพวกเดียรถีย์ให้ฆ่า พระมหาโมคคัลลาน์ เพื่อตัดกําลังของฝุายพุทธศาสนา ท่ีสุดพวกผู้ร้าย และเดียรถียถ์ กู ตัดสินประหารชีวิตทุกคน พระพุทธเจา้ ตรัสแก่พระสงฆ์ว่า ทั้งพระมหาโมคคัลลาน์ ท้ังฝุายผู้ร้าย ได้รับผลกรรมสมควร แลว้ และตรัส “คําพระ” ข้างบนน้ี ความหมาย:- ใครก็ตามที่รังแกคนที่ต้ังอยู่ในศีลธรรม จะต้องได้รับภัยพิบัติ ๑๐ สถาน ตอ่ ไปนโ้ี ดยเร็ว คือ ๑. ทุกขเวทนาอย่างแรง ๒. ทรัพย์วิบัติ ๓. ถูกทําร้ายร่างกาย ๔. ปุวยหนัก ๕. ใจ ฟุูงซ่าน (เป็นบ้า) ๖. ความขัดข้องทางราชการ ๗. ถูกใส่ความอย่างฉกรรจ์ ๘. ญาติพ่ีน้องกระจัด กระจาย ๙. โภคทรัพยเ์ สียหายลม่ จม ๑๐. ไฟไหมบ้ ้าน และยังจะไดร้ บั โทษอกี อย่างหน่งึ เป็นพิเศษ คือ ตายแล้วตกนรก (๙๗) อนฺธภูโต อย โลโก ตนเุ กตถฺ วิปสสฺ ติ, สกุโณชาลนุตฺโต ว อปฺโป สคคฺ าย คจฺฉติ สตั ว์โลกน้ตี าบอด น้อยคนท่มี องเห็น น้อยคนทจี่ ะไปสวรรค์ได้ เหมือนนกหลดุ จากบ่วง (ธ.บ.๖) โอกาสทีค่ วรใช้ :- ศกึ ษาพืน้ เพทางจติ ใจของชาวโลก นิทาน :- ครั้งหนง่ึ พระพทุ ธเจ้าเสดจ็ ไปเมืองอาฬวี เพือ่ จะไปโปรดลูกสาวช่างหูก ซ่ึงพระองค์ทรง แนะวธิ ที าํ สมาธิไว้ให้แล้วเม่ือ ๓ ปกี ่อน และเธอก็ต้ังใจทําตาม ณ บัดนช้ี ะตาถึงฆาต จะต้องตาย ในที่ประชมุ ฟ๎งธรรมวันนน้ั ทุกส่ิงทุกอย่างพรอ้ มแล้ว แต่พระพุทธเจ้าทรงนิ่งอยู่ ไม่ตรัสอะไรเลย จนใคร ๆ งุนงงสงสยั ไปตาม ๆ กัน สักพักใหญ่ ๆ ลูกสาวช่างหูกจึงมาถึง และตรงเข้าไปถวายนมัสการ ณ ทใ่ี กลโ้ ดยท่ีพระพุทธเจา้ ทรงเรยี กเธอวา่ “ลกู สาว” และเธอก็ร้องเรียกพระองค์ว่า “คุณพ่อ” มานาน แล้ว คร้ังน้ันพระพุทธเจ้าตรัสถามเธอว่า “ลูกจะไปไหน ?” เธอทูลว่า “ไม่ทราบ” ตรัสถามว่า “ไม่ ทราบรึ ?” เธอกลบั ทลู ว่า “ทราบ” ครั้นตรัสถามว่า “ทราบรึ ?” เธอกลับตอบว่า “ไม่ทราบ” พวกคน ท้ังหลายเข้าใจว่าเธอพูดเล่นล้ิน กับพระพุทธเจ้าองค์ จึงพากันซุบซิบนินทา แต่แล้วพระองค์ได้ตรัสว่า คําถามคําตอบของพระพุทธองค์ กับลูกสาวช่างหูกนั้นล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งนั้น ในโอกาสนั้นเอง พระองค์จึงตรสั “คาํ พระ” ข้างบนนี้ ความหมาย :- ที่ว่า “ตาบอด” น้นั คือ ขาดป๎ญญา และเพราะขาดป๎ญญาน้ีเองคนจึงไปสวรรค์ ได้น้อย (๙๘) ปญุ ญานิ นาม กตตฺ พฺพรปู าน.ิ บุญทงั้ หลายเปน็ เรอ่ื งทค่ี วรทาํ (ธ.บ.๗) โอกาสท่ีควรใช้ :- แนะนาํ คนใหท้ าํ บญุ แม้ขณะท่ีคนตกยาก
42 นิทาน :- พระศาสดาตรัสเล่าว่า วันหนึ่งท่านเศรษฐีพาราณสี (ชื่อเหมือนเมือง) ได้ทราบจาก ปุโรหติ ของพระราชาวา่ ตามฤกษด์ าวบอกว่าอกี สามปขี า้ งหน้า บ้านเมืองจะเกิดขา้ วยากหมากแพงอย่าง รา้ ยแรง ท่านเศรษฐจี ึงทมุ่ เทเงนิ ซ้ือข้าวตนุ ไว้ถึง ๑๒๕๐ ยุง้ แลว้ ยงั เกบ็ ไวใ้ นตุ่มในไหอีกต่างหาก เหตกุ ารณ์ไดเ้ ป็นไปตามคาํ พยากรณน์ นั้ จรงิ ๆ คอื สามปี ต่อมาได้เกดิ ข้าวยาก หมากแพง ข้ึนใน แวน่ แคว้นพาราณสี และชมพูทวปี ทว่ั ไป ผคู้ นอดอยากล้มตาย และที่อพยพเข้าไปอยู่ในปุาหิมพานต์หากิน รากไม้ใบไม้ก็มาก ท่านเศรษฐีต่อสู้อยู่ได้นาน เพราะได้กักตุนข้าวไว้มาก แต่แล้วข้าวก็ค่อย ๆ หมดไป ต้องให้คนในบ้านแยกย้ายกนั ไปตามยถากรรม เหลือไวเ้ พยี งหา้ คน คอื ท่านเอง ภรรยา ลูกชาย ลูกสะใภ้ และคนใช้อีกคนหน่ึง รวมเป็นห้า อยู่มาวันหนึ่งขณะที่ฉาตภัย (ความอดอยาก) กําลังคุกคาม ความหิว กําลงั แผดเผาคนทัง้ หา้ และมขี า้ วสุกอยเู่ ปน็ หม้อสุดทา้ ยซึง่ เมื่อเฉลย่ี กนั แลว้ คน ทั้งห้า ก็จะได้ เพียง คน ละ ๑ ทพั พี และเป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนท่ีจะตายจากกันไป จวบเหมาะกับโอกาส เกิดมีพระป๎จเจก พุทธเจ้ามาบิณฑบาต คนท้ังหา้ จงึ บริจาคอาหารมอื้ สุดทา้ ยของตนทาํ บญุ ไปหมด เพราะไหน ๆ ก็จะตาย อยู่แลว้ เสร็จแลว้ ภรรยาท่านเศรษฐีเดินเข้าในครวั หวงั จะหาเศษอาหารสักชนิ้ หน่ึง มาให้สามีผู้กําลังทุรน ทุรายด้วยความหิว บุญอะไรอย่างน้ัน นางเกิดพบว่าข้าวปลา อาหารในครัวเกิดเต็มไปหมด ด้วย อานุภาพ บุญ “คาํ พระ” บทน้ีเปน็ คําพูดของนางประกาศผลบุญ ความหมาย :- บุญ ได้แกค่ วามดีอนั จะฟอกจติ ใจของตนให้บริสุทธ์ิ วธิ ที าํ บญุ โดยยอ่ มี ๓ คือ ๑. ทาน การบรจิ าคทรพั ย์ของตนให้แก่ผคู้ วรให้ ๒. ศีล การยกเวน้ จากขอ้ หา้ มของศาสนา และ ๓. ภาวนา การอบรมจติ ใจของตน (๙๙) ปรวชฺชานปุ สสฺ ิสฺส นจิ ฺจ อชุ ฺญานสญญิโน อาสวาตสฺส วฑฺฒนตฺ ิ อาราโส อาสวกขฺ ยา อาสวะยอ่ มพอกพูนแก่คนทีเ่ อา แตเ่ พ่งโทษคนอ่ืนคอยจับผิดคนอ่ืนเป็นนิจ เขาไกลจากความสิ้น อาสวะ (ธ.บ.๗) โอกาสทคี่ วรใช้ :- เตือนใจคนท่ีมนี ิสัยทําตวั เป็นหัวเรอื ใหญ่ เจา้ กเ้ี จ้าการ จับผิดคนโนน้ คนน้ี นิทาน :- มีพระภิกษุรูปหนึง่ เอาแต่คอยจับผิดคนนั้นคนนี้ น่ังแปะลงท่ีไหนก็ยกแต่ความผิดของ พระรูปอ่ืนหรือของคนอื่นข้ึนโพทนา พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงรับสั่งให้นําตัวเข้ามาเฝูา แล้วประทาน โอวาท ทรงแนะผลได้ผลเสีย ในการประพฤติตัวเช่นนั้น พระองค์ทรงตรัสมีใจความว่า การช่วยกันว่ า กล่าวสั่งสอนช้ีผิดชี้ถูกให้ผู้อ่ืนนั้นเป็นของดีใคร ๆ ไม่ควรติคนอย่างน้ัน แต่คนท่ีเอาแต่มองคนอื่นในแง่ ร้ายแลว้ โพทนาความบกพร่องของคนอืน่ อยา่ งนีใ้ ช้ไมไ่ ด้ ในที่สุดได้ตรัส “คาํ พระ” บทนี้ ความหมาย :- อาสวะ หมายถึงกิเลสที่หมักดองอยู่ในสันดาน มีอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑.กาม ความใคร่ ความกําหนัด อยากสนุกสนาน ๒. ภพ ความกระหายอยากเป็นโน่นเป็นน่ี อยากโก้อยากเก๋ และ ๓. อวิชชา ความไมร่ ู้จริง โง่ มดื ไมเ่ ห็นตัวเอง ถ้ากําจดั อาสนะท้ังสามนไี้ ม่ไดห้ มดแล้วบรรลุนิพพานไม่ได้
43 (๑๐๐) วิสสฺ าสปรมา ญาตี ญาตอิ ยา่ งยง่ิ คอื คนคุ้นเคยกัน (ธ.บ. ๖) โอกาสทีค่ วรใช้ :- กลา่ วตอ้ นรับแขกผคู้ นุ้ เคยเพม่ิ พูนไมตรี นทิ าน :- พระราชาปส๎ เสนทิ แหง่ ประเทศโกศล ทรงเล่ือมใสในพระศาสนา และมีพระประสงค์ท่ี จะเป็นญาติกับพระพุทธเจ้า แต่ทรงจนพระทัยเพราะพระองค์ กับพระพุทธเจ้าไม่มีความสัมพันธ์กัน ในทางสายโลหติ เลย ต่อมามีผู้ถวายความเห็นว่า คนเรายังมีทางท่ีจะเป็นญาติกันได้อยู่อีกทางหนึ่ง นอกจา กทาง สายโลหิต คือทางการสมรส สมควรที่พระองค์จะทรงขอเจ้าหญิงจากศากยวงศ์สักองค์หนึ่ง มาอภิเษก เปน็ พระอัครชายา พระราชาปส๎ เสนทิก็ทรงทําตาม และได้นางวาสภา ธิดาของเจ้ามหานาม มาอภิเษก สมพระประสงค์ พระองค์ทรงดพี ระทยั เป็นอันมาก จึงได้เสด็จไปกราบทลู ความนแ้ี ก่พระพุทธเจา้ โอกาสนน้ั พระพทุ ธเจา้ ได้ตรสั “คาํ พระ” ขา้ งบนนี้ เป็นทาํ นองทรงรบั รองว่า บดั น้ีพระราชาทรง เปน็ ญาตขิ องพระองค์ และทรงเปน็ พระญาตชิ นดิ ใกลช้ ดิ สนทิ สนมด้วย ความหมาย :- ญาติเกิดข้ึนได้ ๒ ทาง คือ ญาติทางสายโลหิต ร่วมสายเลือดอันเดียวกัน เช่น พี่ น้องลูกหลาน ฯลฯ กับญาติทางธรรมคือผู้คุ้นเคยกัน เช่น ได้แก่เพื่อน สามี ภรรยา เขย สะใภ้ ผู้ใหญ่ ลกู นอ้ ง และญาติของผูค้ นุ้ เคยเช่น พ่อแม่ พน่ี ้องของสามหี รือภรรยา (๑๐๑) อนุปุพเฺ พน เนธะวี โถก โถก ขเณขเณ, กมฺมาโร รชตสฺเสว นิทธฺ เม มลมตฺตโน. คนมปี ญ๎ ญาทํากศุ ลทีละนอ้ ยทกุ โอกาสท่จี ะพึงทาํ ได้ ก็จะกําจัดมลทนิ ของตนเสยี ได้ ดังช่างทองไล่ สนมิ ทองฉันนนั้ (ธ.บ. ๗) โอกาสทคี่ วรใช้ :- แนะนาํ วิธสี งั่ สมบุญและพรรณนาผลบญุ ซงึ่ คนทําทีละเล็กละนอ้ ย นทิ าน :- อบุ าสกคนหนง่ึ เหน็ พระสงฆ์ไปยืนครองจีวรอยู่ที่ลานดิน กอ่ นที่ท่านจะเข้าไปบิณฑบาต ชายจีวรของท่านเกลือกดว้ ยยอดหญา้ เลอะเทอะ วนั หลังจึงเอาจอบไปถากหญา้ ออกเสยี แตแ่ ล้วเห็นจีวร พระเกลอื กโคลน ก็เอาทรายมาโรย วันหลังเห็นพระกรําแดดก็มาปลูกปรําไว้ ในที่สุดเห็นพระกรําฝนก็ เลยสร้างศาลาขน้ึ แล้วก็ทาํ การฉลองศาลาน้นั ในวนั ฉลอง ศาลา ซึง่ พระ ศาสดา ก็เสด็จ มาในงานน้ันด้วย พระองค์ได้ทรงแสดงอานิสงส์ด้วย “คําพระ” ขา้ งบนนี้ ความหมาย :- หมายความว่าการทําบุญนั้น แม้จะทําทีละน้อย ๆ แต่ขอให้ทําตามจังหวะที่ควร ทําอันมาถึงเข้า ก็ได้ผลในทางทําให้ใจบริสุทธ์ิได้ อาจดีกว่าคนท่ีทํา ๆ หยุด ๆ ตามอําเภอใจ แม้จะทํา มากกว่า คําว่า “มลทิน” หมายถึง มลทินทางใจซ่ึงได้แก่กิเลสเคร่ืองเศร้าหมองทั้งหลาย เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเหน็ ผดิ ความริษยา ความดุรา้ ย ฯลฯ การทาํ บญุ นน้ั ไม่ว่าจะนอ้ ยหรือมาก ผลท่ผี ู้ทาํ จะพึงได้โดยตรงก็คอื กําจดั ความชั่วร้ายออกจากใจ ทีละน้อย ๆ บบบบบบบบ
44 (๑๐๒) นตถฺ ิ โมทสม ชาล. ข่ายเสมอดว้ ยโมหะยอ่ มไม่มี (ธ.บ.๗) โอกาสทีค่ วรใช้ :- เตอื นใจคนที่ลุ่มหลง มวั เมาในอบายมขุ นิทาน :- ครัง้ หน่ึงมีคนหา้ คนพากันไปฟ๎งเทศน์ ณ วดั เชตวันวิหาร ไปนั่งอยู่ตอนหลังของสัปบุรุษ ขณะทพี่ ระพุทธเจ้ากาํ ลังทรงแสดงธรรมอยู่นั้น คนทงั้ ห้าอยู่ในอาการต่าง ๆ กัน คนหนึ่งนั่งหลับคนหน่ึง เอาน้วิ มอื เขยี นแผน่ ดิน คนหนึ่งเขย่าตน้ ไมเ้ ลน่ คนหนึง่ แหงนดทู ้องฟาู อีกคนหน่ึงตั้งใจฟ๎งเอาจริงเอาจัง พระอานนทเ์ ห็นดังน้นั แลว้ จงึ ทลู ตามพระพุทธเจ้าว่า ข้อความท่ีพระองค์ทรงแสดงน้ันแสนจะลึกซึ้งกิน ใจ พระดาํ รัสแตล่ ะคําเหมอื นจะแทรกเฉือนเข้าไปถึงใจของคนทกุ คน พระสุรเสียงกด็ งั เหมือนฟูาร้อง แต่ ทาํ ไมคนเหลา่ นั้นจงึ ไมส่ นใจกลับไปทาํ อยา่ งอ่ืนเสยี พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่านัน่ เปน็ อุปนสิ ัยสนั ดานของแตล่ ะคน สืบเนือ่ งมาหลายภพหลายชาติแล้ว พระองค์ตรสั ว่า คนท่ีนั่งหลับเคยเป็นงู คนที่เอามอื ขดี เขยี นแผ่นดินเคยเกดิ เป็นไสเ้ ดือน คนทีเ่ ขยา่ ต้นไม้เคยเกิดเป็นลิง คนที่แหงนดูท้องฟูาเคย เกิดเป็นหมอดูฤกษ์ ส่วนคนเอาจริงเอาจัง เคยเกิดเป็นนักศึกษา ท่ีว่านี้คือเกิดเป็นอย่างน้ันติด ๆ กัน หลายชาติ ในทส่ี ดุ ได้ตรสั “คําพระ” บทนีแ้ กพ่ ระอานนท์ ความหมาย :- โมหะ คือ ความลุ่มหลงมัวเมา เช่นหลงการพนัน หลงผู้หญิง หลงเหล้า หลง เฮโรอีน ของไม่ดหี ลงคดิ วา่ ดี คนอย่างน้ีเหมือนถูกคลุมด้วยข่าย นกติดข่ายเหมือนปลาติดแหมันยังรู้ว่า มนั ตกอยู่ในอนั ตราย แตค่ นติดขา่ ยชนิดน้ไี มร่ ตู้ วั เลย (๑๐๓) ปรทกุ ฺปขธู าเนน โย อตฺตโน สขุ มิจฉฺ ติ เวรส สคคฺ สสฏโฐ เวราโส น ปริมจุ ฺจติ ผู้แสวงหาความสขุ เพอื่ ตวั เอง ดว้ ยการก่อทุกข์ให้คนอ่ืน เป็นผู้พัวพันด้วยเวร จะหลุดพ้นจากเวร ไปไม่ได้ (ธ.บ.๗) โอกาสที่ควรใช้ :- เตือนใจคนท่ีชอบหาความสุขสนุกเพลิดเพลิน โดยวิธีก่อความลําบาก เดอื ดรอ้ นให้คนอนื่ เช่น การยงิ นกตกปลาเป็นตน้ นทิ าน :- หญิงสาวคนหน่ึง ทบ่ี ้านป๎ณทุระใกล้เมืองสาวัตถี ติดใจในรสชาติของไข่ไก่ จึงไปเอาไข่ ไกจ่ ากรงั ไกม่ าตม้ กนิ เปน็ ประจํา แม่ไก่ก็ร้สู กึ เสียอกเสียใจ นกึ ผูกเวรไวว้ า่ ตายจากชาตินแี้ ล้วกข็ อให้ตนได้ กนิ ลูกของนางเปน็ การแก้แคน้ สาวน้อยส้ินชพี ไปเกิดเปน็ แม่ไก่ ฝาุ ยแม่ไก่ตายแล้วก็เกดิ เป็นแมว ในเรือนเดียวกัน ไม่ว่าแม่ไก่จะ ตกไขอ่ อกมาเท่าไร นางแมวกก็ นิ หมด แม่ไกก่ ็ผกู เวรไวอ้ กี
45 จากชาตนิ นั้ แมไ่ กไ่ ปเกดิ เปน็ เสอื นางแมวไปเกดิ เปน็ แมเ่ นื้อ แมเ่ น้ือออกลูกมาเท่าไร ๆ นางเสือก็ ตะครบุ กินหมด นางเน้อื ก็ผกู เวรอกี จากน้ัน นางเนื้อไปเกดิ เป็นยกั ษณิ ี ฝาุ ยนางเสอื ไปเกดิ เป็นกลุ สตรี ๆ ออกลูกมาเท่าไร นางยักษิณี ก็จบั กนิ เสีย พระพทุ ธเจ้าทรงปรารภเหตนุ ี้ จึงตรัส “คาํ พระ” ขา้ งบน ความหมาย :- คําว่า “เวร” หมายถงึ การผกู ใจจองลา้ งของผลาญกนั ไมส่ ิ้นสุด คนที่ทําทุกข์ให้คน อ่ืนเพราะเหน็ แก่ความสุขสว่ นตัวน้นั บาปมากกวา่ คนทีท่ ําเพราะความจําเปน็ บังคับ (๑๐๔) นิพฺพานคมน มคฺค ขิปปฺ เมว วโิ สธเย. คนควรแผว้ ถางทางไปนิพพานเรว็ ๆ (ธ.บ.๗) โอกาสทค่ี วรใช้ :- เตือนใจผปู้ ระมาทมวั เมาในโลกียสขุ ไมค่ ดิ ถึงความตายท่ีจะมาถงึ ตวั นิทาน :- ปฎาจารา – สาวนอ้ ยผบู้ า้ รกั เธอเป็นธิดาของตระกูลมั่งค่ัง ถูกพ่อแม่กักตัวไว้ในบ้าน มิ ใหต้ ดิ ตอ่ กบั ชายใด ในท่ีสุดได้เกิดความรักอันดูดดื่มกับคนใช้ในบ้าน และได้หนีไปประกอบอาชีพเล็ก ๆ น้อย ๆ อยูใ่ นชนบท จนมีลูกดว้ ยกนั ๒ คน ด้วยความคิดถึงพ่อแม่บังเกิดเกล้า และหวังจะได้รับอภัย เขาจึงพากันเดินทางกลับเข้าสู่สาวัตถี แต่มันเปน็ คราวเคราะห์ สามขี องนางถูกงูกดั ตายเสยี ในกลางปุา ตอ่ มาลกู คนเลก็ ได้ถูกเหย่ยี วยักษ์โฉบลง มาขยุ้มเอาไป ลูกคนใหญ่ก็ถูกกระแสน้ําพัดจมหายไป ขณะข้ามนํ้าอจิรวดี ปฏาจาราเหลือตัวคนเดียว หวงั จะรบี ไปกราบเทา้ พอ่ แม่ แต่พอจะเข้าถงึ ตัวเมืองก็ ข่าวว่า ท้ังพ่อและแม่ของเธอได้ถูกเรือนพังทับ ตายเมื่อคืนนี้เอง เธอจงึ วงิ่ ไปอยา่ งไมม่ ีจดุ หมาย ในลักษณะของคนบ้า ผา้ ผอ่ นก็ไม่มี แต่เคราะห์ยังดีทาง ที่เธอวิง่ ไปนั้น เป็นทางเขา้ สวู่ ัดเชตวนั ทาํ ใหเ้ ธอไดพ้ บพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมปลอบโยนเธอจนได้สตดิ ีแล้ว ได้ตรัส “คําพระ” ขา้ งบนน้ี ความหมาย :- ทางไปนพิ พาน คือ มรรค ๘: ความเหน็ ถกู ความคิดถกู ใชว้ าจาถูก ทําการงานถูก ประกอบอาชพี ถกู ทาํ ความเพยี รถูก ตงั้ สติถกู ทําสมาธถิ กู (๑๐๕) ปาปกรี อุภยตฺถ โสจติ. ผูท้ าํ บาปเป็นอาจณิ ยอ่ มจะเสยี ใจทง้ั ชั่วนช้ี ่วั หนา้ (ธ.บ.๑) โอกาสทคี่ วรใช้ :- สาํ หรบั อบรมคนที่สร้างกรรมทําบาปอย่างไม่ลดละ ให้รู้สึกตัวและงดเว้นการ ทาํ บาปเสีย นทิ าน :- ท่ชี านเมืองราชคฤห์มนี กั ฆ่าหมูอาชีพอยู่คนหนึ่ง ชื่อจุนทะ เขาหากินทางฆ่าหมูมานาน ถึง ๕๕ ปแี ล้ว จนมคี วามชาํ นาญในการพลิกแพลงวิธีฆ่าหาผลกําไรเป็นอันมาก วิธีทําก็คือซ้ือลูกหมู
46 มาเลย้ี ง ขนุ ให้อ้วนพอสมควรแล้วกห็ มายตาไวว้ ่าจะฆา่ ตัวไหนกอ่ นและหลงั คร้นั แลว้ ก็เริม่ ทบุ ตัวหมูท่ีจะ ฆ่าดว้ ยฆ้อนเหล็กสเี่ หลยี่ ม เนื้อและมนั ของหมเู คราะห์ร้ายนน้ั กจ็ ะพองขนึ้ ๆ พอเห็นไดท้ ี่แลว้ ก็จับมันเอา เหล็กงัดปากให้อ้าขึ้น เอาน้ําร้อนกรอกใส่ปากเข้าไป น้ําร้อนที่กําลังเดือดพล่านน้ันก็จะขับของโสโครก ออกมาจากท้องของมัน ทําอยู่อย่างน้ันจนกระท่ังสังเกตได้ว่า นํ้าที่ทะลักออกมาสะอาดพอสมควร จึง เอานํา้ ร้อนทีก่ ําลังเดือดอีกเหมือนกันเทลาดลงไปบนตัวหมูให้ทั่ว เพ่ือให้ผิวหนังมันขาวสะอาด แล้วจึง เอาไฟจุดคบหญา้ ลน รอบ ๆ ตัวหมูอีกที ตลอดเวลานี้เจา้ หมูเคราะห์รา้ ยจะดน้ิ เร่า ๆ และร้องโอดครวญ ด้วยความทรมาน ในที่สุดเขาจะเอามีดเชอื ดคอมันใหต้ ายไป จุนทะหากินอยู่อย่างนตี้ ลอดมา เขาไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นบาปกรรม เขาไม่เคยไปวัดฟ๎งเทศน์ไม่ เคยสนใจที่จะรับอบรมในทางใด นอกจากการฆ่าหมูแบบทรมานของเขา และฟ๎งเสียงร้องของมันด้วย ความเพลิดเพลนิ ทง้ั เป็นความสุขใจในผลกาํ ไรท่ไี ดร้ ับจากการจําหน่าย แตแ่ ลว้ พออายยุ า่ งปที ี่ ๕๖ เขาเกดิ ลม้ ปวุ ยลงมีอาการเร่าร้อนทรมานกายแสนสาหัส ทั้งกลางวัน กลางคืน เขาส่งเสยี งรอ้ งและคลานไปคลานมาเหมือนหมูท่ีเขาฆ่า เป็นอย่างน้ีอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนจึงสิ้นใจ เป็นที่น่าสมเพชเวทนาย่งิ นัก พระศาสดาทรงปรารภเร่ืองนี้ จึงตรัสแก่พุทธบริษัท เป็นสุภาษิตดังยกไว้ข้างต้นนั้น และทรง ยืนยันว่า เขาตายแล้วก็ยังจะตอ้ งรับการทรมานอกี ความหมาย :- คําว่า “บาปการี” นั้นหมายถึงคนท่ีทําบาปเป็นอาจิณ มิใช่คนที่ทําบาปเพียง บางครงั้ บางคราว การทําบาปเป็นอาจิณนั้น แม้จะเป็นเร่ืองเล็กน้อยก็บาปมากให้ผลรุนแรง คําว่าชั่วนี้ ช่ัวหนา้ หมายถงึ ชาตินี้และชาตหิ น้า คอื กรรมประเภทน้ีจะต้องให้ผลท้ังสองชาตเิ สมอไป (๑๐๖) มาเส มาเส กุสคฺเคน พาโล ภญุ ฺเชถ โภชน น โส สงขฺ าตธมฺมาน กล อคฆฺ ติ โสฬสึ. คนพาล ถงึ จะกนิ อาหารดว้ ยปลายหญ้าคาทกุ ๆ เดือน ผลท่ที าํ น้นั กไ็ มถ่ งึ เสี้ยวท่ี ๑๖ แห่งท่านผู้มี ธรรมอันนับไดแ้ ลว้ (ธ.บ.๓) โอกาสท่คี วรใช้ :- เพ่ือจะเปรียบเทยี บว่านกั บวชทป่ี ฏิบตั วิ ิตถารน้นั ๆ ไม่ไดด้ ีวเิ ศษอะไรเลย นิทาน :- มันเปน็ เร่อื งนา่ เกลียดมาก เด็กน้อยลูกผู้มีอันจะกินคนหนึ่งในเมืองราชคฤห์ ไม่ยอมนุ่ง ผ้าหรอื เอาผ้าผ่อนห่อหุ้มตัว เป็นคนเปลือยชอบนอนกับพ้ืนดิน และท่ีร้ายที่สุดคือชอบกินอุจจาระของ ตวั เอง แกโตขน้ึ ทุกวัน พ่อแมก่ แ็ สนจะอบั อายไม่รจู้ ะเอาหน้าไปไว้ไหน เลยเอาเด็กน้อยผนู้ ่าเกลียดน้ันไป มอบให้พวกนักบวชชีเปลือย ทแี รก ๆ ก็ไมม่ ีอะไร เพราะอาจารย์ก็เปลือยลูกศิษย์ก็เปลือย เจ๊ากันไป แต่พวกชีเปลือยก็แปลก ใจทเี่ ขาไมก่ ินอาหาร จึงพากันดกั ดู ในทสี่ ุดก็พบวา่ พอลับตาพวกชีเปลือยอื่น ๆ ชีเปลือยน้อยก็ย่องลงไป ในหลมุ ส้วม ควักเอาอุจจาระขึน้ มากนิ อย่างเอรด็ อร่อยพวกชีเปลือยท้ังหลายจึงไลเ่ ขาออกไปจากสาํ นกั เขาหนีไปอาศัยอยู่ใต้เนินหินดาด ซ่ึงเป็นส้วมสาธารณะของชาวเมือง กินอุจจาระอย่างอ่ิมหน้า เมื่อลับตาคน แลว้ กอ็ อกไปยืนขาเดียวอ้าปากอยกู่ ลางแจ้ง เมื่อมีคนมา ใครถามก็บอกว่าตัวกินลมแล้วก็ ตบะแรงเกนิ ไป ขืนเหยียบแผ่นดนิ ๒ ขา ฟูาและดนิ กจ็ ะแตกถล่มทะลาย ตัวสงสารผู้คนจะเดือดร้อนจึง สอู้ ตุ ส่าห์ยกขาไปข้างหนึง่ พวกมนษุ ย์ผู้งมงายกพ็ ากันไปกราบไหว้ และบนบานขอให้ท่านยกขาไว้ให้ได้ นานเทา่ นาน
47 จนกระท่งั วนั หน่งึ พระพทุ ธเจ้าเสด็จไปทน่ี ้นั เพื่อทรมานเขา พระองค์ได้ทรงขอพักค้างคืนกับเขา ด้วย เขากบ็ ่ายเบีย่ งแล้ว ๆ เล่า ๆ แต่ในที่สุดก็ยอมให้พระองค์พัก ณ ท่ีแห่งนั้นห่างจากส้วมสาธารณะ พอสมควร พระพุทธองคไ์ ดท้ รงใช้โอกาสนั้นตกั เตอื นเขาให้ไดส้ ติ ทีแรกเขาก็ไม่ยอมฟ๎ง แต่โดนพระองค์ ทรงเรียกเขาว่า “ชัมพุกะ ๆ” (แปลว่าคนกินขี้) เขาจึงตกใจท่ีเพิ่งทราบว่ามีคนล่วงรู้ความลับของตน และยอมฟ๎งธรรม จนกลับทิฐิเป็นคนดีได้สําเร็จ พระบาลีข้างบนน้ี พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่เขา และ แก่ประชาชนจํานวนมากมาย ท่ไี ปหลงบูชาเขา ความหมาย :- เร่ืองหญ้าคาทีต่ รัสถึงนน้ั คอื ตอนที่ ชมั พกุ ะ แสดงตนเป็น “ผู้วิเศษ” น้ัน ผู้คนพา กันยกอาหารการกินมาให้ ขอร้องให้เขากินเขาก็ฉลองศรัทธาโดยเอาปลายหญ้าคาจุ่มลงไปในชาม อาหารแลว้ เอาแตะท่ลี น้ิ แสดงให้คนหลงเชอื่ วา่ ตนอยไู่ ดด้ ว้ ยกนิ ลม (ที่แทก้ นิ อุจจาระ) คาํ วา่ ผ้มู ีธรรมอันนับได้แล้ว หมายถึง พระอริยบคุ คลซึ่งได้รู้ธรรมด้วยตนเองด้วย ถ้าแบ่งความดี ของพระอริยบุคคลออกเป็น ๑๖ ส่วน ความดีของพวกนักบวชวิตถารก็ไม่ถึงเสี้ยวของส่วน ๑ ใน ๑๖ ส่วนนัน้ (๑๐๗) เตส สมฺปนฺนสลี าน อปปฺ มาทวิหาริน สมฺมทญฺญา วมิ ุตตฺ าน มาโร มคฺค น วนิ ทฺ ติ มารยอ่ มจะหาชอ่ งทาง (ทําลาย) ทา่ นผู้มีศีล มคี วามไม่ประมาท หลุดพน้ แลว้ เพราะรู้อย่างถูกต้อง ไม่ได้ (ธ.บ.๓) โอกาสทค่ี วรใช้ :- แนะทางปูองกันพวกมารหรือศัตรมู ใิ หไ้ ดช้ อ่ งท่ีจะทําลายเรา นทิ าน :- ท่ีวัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ วนั หน่ึงพระภกิ ษชุ ่ือ โคธิกะ เอามีดโกนเชือดคอตัวเองถึงแก่ ความตาย สาเหตเุ นือ่ งมาจากทา่ นเกิดความผิดหวงั ในการทําสมาธิ คือเมื่อเริม่ นัง่ สมาธจิ นจติ สงบได้ฌาน ข้นั ตน้ แลว้ จิตก็ถอนจากสมาธทิ กุ คร้งั ไมม่ โี อกาสทจ่ี ะอยใู่ นสมาธไิ ด้นาน ๆ จนถึงบรรจอุ รหัต พระโคธกิ ะคดิ วา่ จติ ใจของปถุ ุชนย่อมกลับกลอกได้ ตอ่ ไปภายหน้าตวั ท่านเองอาจหันไปพอใจใน การทาํ บาปกรรมอกี ก็ได้ อยา่ กระน้ันเลยเราตายเสียในขณะที่จิตอยู่ในสมาธิจะดีกว่า อย่างน้อยก็จะได้ ไปเกิดในสวรรค์ ด้วยการคิดอย่างน้ี ท่านจึงเข้าสมาธิ พอจิตสงบท่านก็เอามีดโกนเชือดคอตัวเองแล้ว นอนทุรนทรุ ายอยู่พกั หนึง่ ก็ขาดใจ ที่นัน้ มีมาร (เทวดาจาํ พวกหนง่ึ ) เข้ามาทลู ถามพระพุทธเจา้ วา่ วญิ ญาณของพระโคธิกะจะไปสู่คติ ไหน พระพทุ ธองคจ์ ึงตรัสพระคาถานี้ ความหมาย :- คําว่า มาร ในชวี ติ ของสามัญชน หมายถึงผู้เป็นอริ หรือผู้คิดร้าย ซ่ึงคอยหาช่องที่ จะทําลายเรา พระองค์ทรงสอนวิธีปดิ ช่องทางที่มารจะทําลายไว้ ๓ อย่าง คือ ๑. ต้องรักษาศีล ๒. อย่า เลนิ เล่อเผลอตวั และ ๓. ใช้ความรทู้ ี่ถูกตอ้ งในการทาํ งานใด ๆ สําหรบั อรยิ ชนท่านหมายถึงว่าบุคคลเช่น พระโคธิกะนพิ พานแลว้ มารไมม่ ที างจะตามหาวญิ ญาณของทา่ นได้
48 (๑๐๘) มธุวา มญญฺ ตี พาโล ยาว ปาปํ น ปจฺจต.ิ คนโง่ยอ่ มจะเห็นบาปเปน็ นา้ํ ผึ้ง ตราบเท่าท่บี าปนั้นยังไม่ใหผ้ ล (ธ.บ.๓) โอกาสท่ีควรใช้ :- เตือนใจคนทาํ บาปกรรม ดว้ ยความมัวเมาเหน็ ผิดเปน็ ชอบ นทิ าน :- อุบลวรรณา เป็นหญิงสาวเจา้ เสนห่ ์ท่มี ีคนคลงั่ ไคล้หลงใหลกันท้ังเมือง เพราะความสวย ของเธอทําให้เศรษฐีผู้บิดาอยู่ในฐานะลําบากโดยที่ได้มีผู้มีอิทธิพลหลายต่อหลายคนมาสู่ขอ ครั้นจะให้ คนนี้กจ็ ะขดั ใจคนนัน้ ภัยกจ็ ะมีมา จึงในท่สี ุด อบุ ลวรรณาตดั สนิ ใจชว่ ยพ่อ ด้วยการออกบวชเป็นภิกษุณี และพํานักอยูใ่ นปุาเช่นเดยี วกับภกิ ษณุ ีทัง้ หลาย และทําความเพียรจนได้บรรลุอรหัตผลแล้ว วันหนง่ึ ขณะที่พระภกิ ษุณอี บุ ลวรรณากลบั จากบณิ ฑบาต พอหย่อนกายลงน่งั บนเตียงยงั ไมท่ นั จะหายรอ้ น โดยไม่คาดฝ๎น พ่อหนุ่มนันทะลูกผู้มีอันจะกินชาวเมืองเดียวกัน ซึ่งปองรักในท่านมาตั้งแต่ กอ่ นบวช กโ็ ผลอ่ อกมาจากใต้เตียง แล้วเร่ิมแสดงบทบาทของผู้คลัง่ กามโดยทันที มิใยดีว่านางภิกษุณีจะ หา้ มแลว้ หา้ มเล่า เสร็จกจิ ทปี่ รารถนาแล้ว นันทะกผ็ ละออกจากทพ่ี ักของนางภิกษุณีไป แต่ไปไดไ้ ม่กก่ี ้าว ปฐพกี ล็ ่ันครนื แยกออกเปน็ สองภาค สูบเอาร่างของนันทะผู้บ้ากามสู่อเวจี พระ ศาสดาทรงทราบเหตกุ ารณ์นี้ จึงตรสั บาลีขา้ งบนน้ันแก่พระสงฆ์ ความหมาย :- พระบาลนี ส้ี อ่ งความวา่ บาปนั้นเป็นสิ่งท่ีผู้ทําจะได้รับความเพลิดเพลิน ในขณะที่ ทาํ กม็ ีแต่พอถงึ เวลาท่ีบาปน้ันให้ผล เขาผทู้ ํากจ็ ะตอ้ งได้รบั ความทกุ ขอ์ ย่างแน่นอน (๑๐๙) ยถาบี ปปุ ผราสิมหฺ า กยริ า มาลาคุเณ พห,ู เอว ชาเตน มจฺเจน กตตฺ พฺพ กสุ ล พหุ . คนเราควรสรา้ งกุศลไว้ใหม้ าก เหมือนนายมาลาการหยิบดอกไม้จากกองมาร้อยเข้าเป็นพวง ฉัน น้ัน (ธ.บ.๓) โอกาสที่ควรใช้ :- เพื่อปลูกความอตุ สาหะ วริ ยิ ะในการสร้างบุญบารมี นทิ าน :- มหาอุบาสิกาวิสาขา สาวงามแห่งเมืองสาเกต ไปสมรสกับหนุ่มปุณวัฒน์ลูกชายเศรษฐี แห่งเมอื งสาวัตถี ซึ่งนับถือลทั ธนิ อกพทุ ธศาสนา วสิ าขา ตอ้ งเผชิญกับความคล่ังศาสนาของพ่อผัวแทบต้ังตัวไม่ติด ถูกบังคับให้ไหว้ชีเปลือย และ ถูกขบั ไล่ออกจากบา้ น แตแ่ ลว้ เธอได้แก้ป๎ญหาอันยุ่งยากไดช้ ัยชนะทุกครั้งทุกคราว จนกระทั่งชนะพ่อผัว โดยเด็ดขาดในท่ีสดุ และพอ่ ผัวกลับใหร้ างวลั อย่างมหาศาล เธอจงึ นาํ ทรัพย์สินส่วนตัวรวมท้ังรางวัลที่ได้ นน้ั สร้างสง่ิ สาธารณกศุ ล และทาํ บุญในศาสนา พระศาสดาได้ตรัสแก่พระสงฆ์ท้ังหลายว่า นางวิสาขาเคยส่ังสมบุญกุศลเร่ือยมาตั้งแต่ชาติก่อน จนกลายมาเป็นคนม่ังค่ังด้วยรูปสมบัติ และทรัพย์สินและยังนําผลประโยชน์จากกองทรัพย์สินน้ันมา ทําบุญอยอู่ กี แลว้ จึงตรัสพระพุทธวจนะขา้ งบนน้ี
49 ความหมาย :- ทา่ นเปรยี บเทยี บว่า บรรดาทรพั ยส์ ินเงินทอง ตลอดจนสังขารร่างกายของคนเรา น้ีเหมือนกับดอกไม้นานาชนิด ท่ีกองรวมกันอยู่ในกระจาดใหญ่ ทรัพย์สินส่วนใดท่ีเราใช้สร้างกุศลแล้ว เปรยี บเหมือนดอกไม้ ทีเ่ ราหยบิ ออกจากกองมารอ้ ยเปน็ พวงมาลยั ถอื ไปถอื มาได้สะดวก (๑๑๐) น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนตฺ ธี กุทาจน ไม่ว่ายคุ ใดสมยั ใด เวรไมเ่ คยระงบั ได้ดว้ ยเวรเลย (ธ.บ.๑) โอกาสท่ีควรใช้ :- ยืนยันว่าการบูชาเทวดาอารักษ์ ไม่ผิดจารีตของพุทธศาสนิกชน และยืนยัน เรอ่ื งการจองเวรไมด่ ี นิทาน :- วนั หนง่ึ ขณะท่ีพระศาสดากาํ ลังทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัท ณ พระวหิ ารเชตะวนั กรุง สาวัตถี ได้มีหญิงแม่ลูกอ่อนคนหนงึ่ วงิ่ พลางตะโกนขอความชว่ ยเหลือเข้ามาทางประตูวดั พระองคร์ บั ส่ังให้หญิง นั้นเข้ามานัง่ ตรงหน้าทปี่ ระทบั ท่ามกลางวิหาร เธอกราบทูลวา่ ขณะท่ตี นอุ้มลูกเดนิ ทางจะเข้าสู่เมอื ง มียักษีตน หน่งึ ไล่ตามมา จะแย่งเอาลูกนอ้ ยของนางไปกิน นางจงึ ขอความค้มุ ครอง พระศาสดาตรสั สง่ั ใหพ้ านางยักษ์เข้าเฝูาพร้อมกัน แล้วตรัสเล่ากรรมเก่าให้เขาทั้งสองฟ๎งว่า ชาติ กอ่ นโน้นนางคนนี้อยกู่ ินกบั ผัวหนมุ่ คนหนึง่ แตแ่ ล้วตัวเป็นหมันไม่มีลูก กลัวผัวจะมีเมียใหม่และจะไปเลือกเอา ผูห้ ญิง ทีต่ นไม่รจู้ ักมาเป็นเมยี นอ้ ยตัวก็จะปกครองไมไ่ ด้ เพราะฉะนัน้ จึงคดิ อา่ นหาเมียนอ้ ยให้ผัวเสยี เอง แต่แล้วด้วยฤทธ์ิรักแรงหึงและความเห็นแก่ตัวพอเมียน้อยต้ังท้องทีไร เธอก็ทําเป็นกุลีกุจอ ช่วยเหลอื แล้วกแ็ อบให้ยาฆา่ เด็กในทอ้ งเสยี ทําอย่างน้ีอยู่ถึงสองครั้ง พอครั้งที่สามนางเมียน้อยตายทั้ง แมท่ ัง้ ลกู ผวั รู้เขา้ ก็เลยทบุ นางเมยี หลวงตาย แต่ก่อนส้ินใจสองหญิงได้ผูกเวรกันไว้ว่า จะขอเป็นคู่ล้างคู่ ผลาญกนั ทกุ ภพทุกชาติ ตั้งแต่นน้ั มา ทัง้ สองผลกั กันล้างผลาญกันทกุ ชาติ เช่นอีกฝุายเกิดเป็นแม่เน้ือ อีกฝุายก็เป็นแม่เสือ มาแอบกินลกู แม่เนอื้ สามคร้งั สามคราวดังนีเ้ ป็นตน้ จนกระท่ังชาติสุดทา้ ยฝาุ ยหนง่ึ เกิดเป็นคน อีกฝุายก็ เป็นยกั ษ์ และแอบไปกินลกู เขาสองครัง้ แลว้ และกาํ ลังจะกินอีกเปน็ ครั้งท่ีสาม พระศาสดาได้ทรงสอนเขาท้ังสอง และชุมนุมชนที่ฟ๎งเทศน์ดังพระบาลีข้างต้นนั้น ในท่ีสุดทรง แนะนําให้หญิงนั้นปลูกศาลเทพารักษ์ไว้ในบริเวณบ้าน แล้วชวนนางยักษ์ไปอยู่ด้วย เป็นมิตรกัน นาง ยกั ษก์ ไ็ ด้ช่วยดูแลบา้ นชอ่ ง และทาํ คณุ ประโยชนใ์ หน้ างอยา่ งมาก ความหมาย :- การจองเวร (คือการผูกใจท่ีจะติดตามล้างผลาญคู่อริไปทุกภพทุกชาติ) จะไม่ ส้ินสุดลงได้ด้วยการจองเวร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110