Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

Published by lavanh9979, 2021-08-23 05:01:01

Description: วิชา การจัดการองค์การบริการสารสนเทศ

Search

Read the Text Version

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 7 งานอาคารสถานที่และครุภัณฑ์ เวลาเรยี น 5 คาบ เน้อื หา 1. ทตี่ ้งั และอาคารสถานที่ขององคก์ ารบริการสารสนเทศ 2. การออกแบบอาคารองค์การบริการสารสนเทศ 3. การรวบรวมข้อมูลเบ้ืองต้นในการออกแบบตกแต่ง 4. การวเิ คราะห์ข้อมลู และสรปุ แนวทางในการออกแบบตกแต่ง 5. การตกแต่งภายนอก 6. การตกแต่งภายใน 7. แนวคิดในการออกแบบองค์การบรกิ ารสารสนเทศสมยั ใหม่ 8. หลกั การออกแบบองค์การบริการสารสนเทศตามความต้องการของผูใ้ ช้บริการ 9. องค์การบรกิ ารสารสนเทศสีเขยี ว 10. การจัดหาครภุ ัณฑข์ ององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ 11. ชนิดของครุภณั ฑ์และวัสดุอุปกรณ์ 12. การจัดวางครภุ ัณฑ์ วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เมือ่ นักศึกษาเรียนจบบทนี้แล้วสามารถ 1. เมื่อฟังการบรรยายแลว้ สามารถอธบิ ายหลักการออกแบบองคก์ ารบริการสารสนเทศ ได้อยา่ งถกู ต้อง 2. บอกลักษณะท่ตี ้ังและอาคารสถานทข่ี ององค์การบรกิ ารสารสนเทศทีเ่ หมาะสมได้ ถูกต้อง 3. เมื่อฟังกรณีตัวอย่างกระบวนการในการรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสรุป แนวทางในการออกแบบตกแต่งได้ 4. สามารถยกตัวอย่างและขยายความแนวคิดและหลักการในการออกแบบตกแต่ง องคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศทง้ั ภายในและภายนอกได้

136 5. ตระหนักถึงความสาคญั ของการเปน็ องค์การบริการสารสนเทศสเี ขยี วได้ และระบุคุณ ค่าความสาคัญอยา่ งนอ้ ย 5 ข้อ 6. บอกแหล่งจดั หาครภุ ณั ฑ์ขององค์การบรกิ ารสารสนเทศได้อย่างหลากหลาย 7. มที กั ษะในการเลอื กและจดั หาวัสดุอุปกรณค์ รภุ ัณฑ์สาหรับองค์การบริการสารสนเทศ 8. เมือ่ สาธติ ให้ดแู ลว้ สามารถปฏบิ ัติการจดั วางครุภณั ฑ์ในองค์การบริการสารสนเทศได้ อย่างเหมาะสม สวยงาม วธิ ีสอนและกจิ กรรม 1. บรรยายและอภิปราย ประกอบเอกสารคาสอน และ Power point เน้อื หาบทท่ี 7 2. บรรยายหลกั การออกแบบ ทตี่ ้งั และอาคารสถานท่ี การเลอื กแหล่งจัดหาครุภัณฑ์ อปุ กรณส์ าหรับองคก์ ารบริการสารสนเทศ แล้วซกั ถามความรู้ความเข้าใจรายบคุ คล 3. ยกกรณีตวั อย่างและชีแ้ จงกระบวนการในการรวบรวมข้อมูล การวเิ คราะหข์ ้อมูลและ สรปุ แนวทางในการออกแบบตกแตง่ แล้วใหผ้ ู้ศึกษาชว่ ยกนั อภปิ ราย และสรุป 4. จดั กิจกรรมกลมุ่ อภิปรายกลุ่มยอ่ ยตามหัวขอ้ ทีม่ อบหมาย โดยใหแ้ ต่ละกลุ่ม ยกตัวอย่างและขยายความแนวคิดและหลักการในการออกแบบตกแต่งองคก์ ารบริการสารสนเทศทง้ั ภายในและภายนอก 5. สาธติ การจัดวางและการออกแบบตกแต่งเพ่ือสรา้ งความเข้าใจให้กับผ้เู รยี น แล้ว มอบหมายใหแ้ ตล่ ะคนออกแบบ หอ้ งสมุดโรงเรียนขนาด 2 ห้องสมดุ ในกระดาษ A4 เพื่อฝึกปฏบิ ตั กิ าร ออกแบบและตกแตง่ 6. มอบหมายให้ผศู้ ึกษาไปเลอื กครุภัณฑ์เพอื่ ฝกึ การประเมินและเลอื กใช้ในการตกแต่ง ห้องสมุด จากวารสารอินเทอร์เน็ต เพื่อนาเสนอผลการศึกษาค้นควา้ เพ่ือฝึกทกั ษะปฏิบัติการการ เลอื กและจัดหาวสั ดุ อุปกรณ์และครุภัณฑ์ 7. ทาใบงาน “การออกแบบห้องสมดุ ยคุ ใหม่” 8. ทดสอบประเมนิ ผลรายบทโดยใชแ้ บบทดสอบ สอ่ื การเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอนวิชา การจดั การองค์การบรกิ ารสารสนเทศ บทท่ี 7 2. แผ่นดิสเกต็ Power point บทที่ 7 3. แผ่นภาพ แผนภูมิ 4. ใบงาน และแบบฝึกทักษะ 5. แบบทดสอบ

137 การวัดผลและประเมนิ ผล 1. สังเกตความสนใจและการร่วมกจิ กรรม 2. ตรวจผลงานท่ีมอบหมาย การรายงานหน้าช้ันเรียน 3. ประเมินผลจากการถามตอบ การอภปิ ราย 4. ตรวจแบบทดสอบ แบบประเมินผลการเรียน

138

139 บทท่ี 7 งานอาคารสถานทแ่ี ละครุภัณฑ์ อาคารสถานที่ขององค์การบริการสารสนเทศ เป็นความประทับใจแรกท่ีผู้ใช้บริการสัมผัส ได้ อาคารสถานท่ีเป็นองค์ประกอบสาคัญที่ทาให้ผู้ใช้บริการเข้าห้องสมุด การจัดอาคารสถานที่ของ องค์การบริการสารสนเทศจงึ จาเป็นต้องมีการวางแผน ออกแบบ ตกแต่งท้ังภายในและภายนอกอย่าง มืออาชีพ รวมท้ังการจัดหาและจัดวางครุภัณฑ์ภายในอาคาร ที่ต้องพิจารณาให้สอดรับกับความ ต้องการในการใช้งานของผู้ปฏิบัตงิ านและผใู้ ช้บริการ คานึงถึงความเหมาะสมและประโยชน์ในการใช้ สอย มีความมั่นคงแข็งแรง สวยงาม จัดวางอย่างเป็นระเบียบ มีศิลปะ สะอาดและสะดวกในการใช้ งาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในยุคทหี่ ้องสมุดมีเทคโนโลยีในด้านตา่ งๆ ให้เลอื กสรรนามาใชป้ ระโยชน์เพือ่ ใช้ ในการออกแบบตกแต่งให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแต่ละองค์การ ย่ิงมีส่วนช่วยให้องค์การ บริการสารสนเทศแต่ละแห่งมีความน่าสนใจ สร้างความต่ืนตาตื่นใจให้กับผู้ใช้ จนในองค์การบริการ หลายแห่งกลายเป็นแลนด์มาร์ก (Land Mark) เป็นสัญลักษณ์ประจาพื้นที่ของเมืองหนึ่งๆ หรือ ประเทศหน่ึงๆ ไปโดยอตั โนมตั ิ อาคารสถานท่ีขององคก์ ารบริการสารสนเทศ องค์การบริการส ารสน เทศแต่ล ะแห่ งมีศักยภ าพ แล ะความพร้ อมใน การพัฒ น าอาคาร สถานที่สาหรับใช้เป็นห้องสมุดหรือไม่เท่ากัน แต่สิ่งสาคัญท่ีสุดไม่ใช่อยู่ท่ีงบประมาณที่นามาใช้สร้าง อาคารท่ีใหญ่โต กว้างขวางหรือสวยงาม หากแต่อยู่ที่การบริหารจัดการให้อาคารสถานที่ท่ีมีอยู่หรือ เป็นอยู่ กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีผู้ใช้บริการต้องการเข้ามาใช้ ความสามารถของผู้บริหารที่จะ สร้างสรรค์ให้องค์การท่ีตนเองบริหารอยู่ กลายเป็นอาคารสถานท่ีท่ีพึงประสงค์ดังกล่าว นอกจาก จะต้องใช้งบประมาณแลว้ ยังต้องอาศยั ความคิดสร้างสรรค์ การรู้ความเข้าใจในระบบและขัน้ ตอนการ ทางาน ความใส่ใจในรายละเอยี ดท่ีจะทาให้ท้ังผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจ สามารถใช้ ประโยชน์จากทุกสว่ นในอาคารไดอ้ ย่างคุ้มค่า สะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศ มีบรรยากาศ เป็นวิชาการ และเชิญชวนให้เข้ามาใช้บริการอยู่เสมอ การจัดการงานอาคารสถานที่ในเบ้ืองต้น มีข้อ ควรพจิ ารณา ดังตอ่ ไปน้ี 1. ท่ีตั้งและอาคารสถานทขี่ ององค์การบริการสารสนเทศ ท่ีตั้งขององค์การบริการสารสนเทศเป็นเร่ืองสาคัญที่ต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ การวางแผนเลือกพื้นที่สร้างหรือกาหนดให้เป็นห้องสมุด มีหลักเกณฑ์ที่ควรพิจารณาดังนี้ (ปิยะนุช สจุ ติ , 2551: 125-146; สมาคมหอ้ งสมุดแห่งประเทศไทย, 2559: 3; Chang, 2016: 1)

140 1.1 ควรมีอาคารเปน็ เอกเทศ องค์การบรกิ ารสารสนเทศใดท่ีมอี าคารเปน็ เอกเทศโดย ได้รับการออกแบบจากสถาปนิกในการใช้เป็นห้องสมุดโดยตรง ย่อมเป็นความโชคดีทั้งของ ผปู้ ฏิบัตงิ านและผู้ใช้บรกิ าร เพราะจะสามารถใชอ้ าคารทสี่ ร้างข้ึนเพื่อตอบสนองต่อการใชง้ านไดใ้ นทุก พ้ืนท่ี หากจาเป็นต้องใช้อาคารที่มอี ยู่มาปรบั เปลี่ยนเปน็ ห้องสมุด ก็จาเปน็ ต้องมีการออกแบบและวาง แผนการใช้งานให้เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์ในการใช้งาน บางองค์การไม่สามารถใช้พ้ืนท่ี ท้ังหมดเป็นห้องสมุดได้ อาจมีการใช้บางส่วนของอาคาร แต่ควรพิจารณาให้อยู่ในไม่เกินช้ัน 2 ของ อาคาร เพอ่ื ความสะดวกในการเข้าใช้บริการ 1.2 ต้ังอยู่ศูนย์กลางของชุมชน หมายถึง ตั้งอยู่ในจุดที่ผู้ใช้หรือบุคลากรส่วนใหญ่ เข้าถึงได้สะดวก อยู่ในส่วนกลางของพ้ืนท่ีที่ผู้ใช้จากสถานท่ีต่างๆ สามารถเดินทางมาได้ในระยะที่ ใกลเ้ คยี งกนั 1.3 ตง้ั อยู่ในบริเวณท่ีการคมนาคมสะดวก การเดนิ ทางมาใชบ้ ริการห้องสมดุ อาจใช้ การเดินเท้า ป่ันจักรยาน รถโดยสารประจาทาง รถยนต์ส่วนบุคคล รถไฟฟ้า หรือด้วยวิธีการต่างๆ หากอยู่ใกล้บริเวณที่มีที่จอดพาหนะยิ่งจะช่วยอานวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ใช้มาใช้ บริการมากยงิ่ ขึ้น 1.4 ต้ังอยู่ในพ้ืนที่ท่ีมีสาธารณูปโภคพร้อม ไฟฟ้า น้าประปา ระบบการส่ือสาร โทรคมนาคม ระบบโทรศพั ท์ ระบบอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ส่ิงเหล่านี้คือสิ่งจาเปน็ สาหรับการให้บริการ นอกจากนี้ยังรวมถึงความสะดวกสบายรอบด้านท่ีพึงมี เช่น ร้านอาหาร ร้านขายเคร่ืองดื่ม ร้านถ่าย เอกสาร เป็นต้น 1.5 ตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีหรือสถานที่ท่ีสามารถขยายได้ในอนาคต เนื่องจากองค์การบริการ สารสนเทศเป็นองค์การท่ีมีการเติบโต เป็นสถานท่ีสาหรับปฏิบัติงาน จัดเก็บรวบรวมทรัพยากร สารสนเทศ และให้บริการแก่ผู้ใช้ การขยายพ้ืนที่ใช้สอยเพ่ือรองรับผู้ใช้บริการในอนาคตเป็นเร่ืองท่ี ตอ้ งวางแผนอยา่ งน้อยใน 10-20 ปขี า้ งหน้า 1.6 การจัดวางผังของอาคาร ควรถกู ตอ้ งตามหลกั สถาปัตยกรรมและวศิ วกรรม ต้ังอยู่ ในทิศทางลมพัดผ่าน มีร่มเงาบังในบริเวณท่ีต้องการ และมีแสงสว่างส่องถึงในบริเวณท่ีต้องการแสง สวา่ ง การคานวณทิศทางลม ทิศทางของแสง ตลอดจนความกลมกลืนกบั อาคารต่างๆ ที่อย่รู อบดา้ น 1.7 รูปแบบของอาคาร สวยงาม ทันสมัย ออกแบบโดยใช้พ้ืนท่ีอย่างคุ้มค่า และมี พื้นท่ีวางท่ีเหมาะสม สวยงาม ควรเป็นบริเวณท่ีมีความร่มร่ืน การออกแบบตกแต่งรูปลักษณ์ของ อาคารจงึ ขน้ึ อยู่กบั การวางแผนอยา่ งมีเป้าหมาย 1.8 การออกแบบโดยคานึงถึงอารยสถาปัตย์ (Universal Design) เป็นการออกแบบ เพ่ือคนทั้งมวล โดยคานึงถึงความเสมอภาคในการใช้สอยของผู้ใช้บริการทุกๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น เด็ก ผสู้ ูงอายุ คนปกติ ผู้พิการ เป็นการทาให้ไม่มีอุปสรรค (Barrier-free) ในการใช้งาน เช่น มีทางลาดชัน เข้าห้องสมุดสาหรับผู้สูงอายุหรือรถเข็นสาหรับผู้พิการ มีทางเท้าสาหรับคนตาบอด (Braille Block ติดตัวเลขท่ีเปน็ อกั ษรเบรลลท์ ่ปี ุม่ กดของลิฟท์ มหี ้องน้าสาหรบั คนพกิ าร มหี อ้ งละหมาด เปน็ ต้น

141 2. การออกแบบอาคารองค์การบรกิ ารสารสนเทศ การออกแบบและตกแต่งอาคารองค์การบริการสารสนเทศหรือห้องสมุดโดยทั่วไป มี ขั้นตอนต่างๆ ดังนี้ (สมบัติ วงศอ์ ัศวนฤมล, 2551: 48-70) 2.1 การรวบรวมข้อมูลเบื้องตน้ 2.2 การวิเคราะห์ขอ้ มลู เบ้ืองต้น และสรุปแนวทางในการออกแบบ 2.3 กาหนดแนวคิดในการออกแบบ 2.4 การนาเสนอแบบรา่ งขั้นต้น 2.5 การนาเสนอแบบข้นั พัฒนา 2.6 การจัดทารายละเอยี ดแบบตกแต่ง 2.7 การจดั ทารายละเอียดประกอบแบบและราคากลาง 2.8 การจดั ทาเอกสารประกวดราคา 2.9 การประมลู และคัดเลือกผู้รับเหมาตกแต่ง 2.10 การตรวจงานและการประชมุ ระหว่างการทางานตกแตง่ 2.11 การตรวจรบั งานตกแต่ง 3. การรวบรวมข้อมูลเบื้องตน้ ในการออกแบบตกแตง่ การรวบรวมข้อมูลจากเจ้าของโครงการและบรรณารักษ์ รวมทั้งบุคลากรที่ปฏิบัติงาน ในองค์การ เป็นส่ิงจาเป็นในการนามาใช้เพ่ือการออกแบบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความ ต้องการในการใช้งาน ข้อมูลต่างๆ ที่นามาใช้ประกอบในการออกแบบ ได้แก่ แผนผังการบริหารและ การจัดองค์การ จานวนบุคลากรหรือผู้ปฏิบัติงานของแต่ละแผนกแต่ละฝ่าย จานวนเอกสารและ อุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ทรัพยากรสารสนเทศทุกประเภท ลักษณะของอาคาร ครุภัณฑ์ ระบบต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ระบบงานขั้นตอนการปฏิบัติงาน การบริการและวิธีให้บริการ พ้ืนที่ บรกิ ารพเิ ศษ รวมถงึ งบประมาณขององค์การท่ีจะใชใ้ นการออกแบบและตกแตง่ 4. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลและสรุปแนวทางในการออกแบบ การกาหนดพื้นท่ีใช้สอยให้สอดคล้องกับภารกจิ หนา้ ท่ีขององคก์ ารบริการสารสนเทศทั้ง งานบริหาร งานเทคนิค และงานบริการ ซ่ึงจาเป็นต้องใช้พ้ืนที่สาหรับการปฏิบัติงาน โดยปกติใน องค์การบริการสารสนเทศทุกแห่งจะประกอบด้วยพื้นท่ีต่างๆ ท้ังพื้นท่ีส่วนตัวในการทางานของ บุคลากร พ้ืนที่ส่วนกลางท่ีต้องใช้ร่วมกัน พื้นท่ีสาหรับผู้ใช้บริการ รวมทั้งพื้นที่ว่างท่ีเป็นทางเดิน บันได ห้องน้า เป็นต้น การกาหนดพ้ืนท่ีโดยประมาณคานวณจาก 1 ตารางเมตรต่อ 1 คน ได้ดังน้ี (สมบัติ วงศอ์ ัศวนฤมล, 2551: 48) 4.1 พื้นที่สาหรับทางานของบุคลากรและเจ้าที่ รวมทั้งพื้นที่บริการ เน้ือที่เฉล่ีย 1 ตารางเมตรต่อ 1 คน เช่น ผู้อานวยการ 18 ตารางเมตร หัวหน้าแผนก 15 ตารางเมตร บรรณารักษ์ นักวิชาการ 9 ตารางเมตร เจ้าหน้าท่ี 4.5 ตารางเมตร สานักงานเลขานุการ 4.5 ตารางเมตร ห้องพัก บุคลากร 4.5 ตารางเมตร เปน็ ตน้

142 4.2 พื้นที่สาหรับบริการ เป็นพื้นท่ีใช้สอยของผู้มาใช้บริการ เช่น พ้ืนที่ในการเก็บ ทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ 10,000 เลม่ ต่อ 60 ตารางเมตร พน้ื ที่นง่ั อ่านหนังสือ นักศึกษา ประมาณ 1.5-2.0 ตารางเมตรต่อ 1 คน อาจารย์แลบุคลากร ประมาณ 3 ตารางเมตรต่อ 1 คน บคุ คลภายนอก 1.5 ตารางเมตรต่อ 1 คน เป็นต้น 4.3 พ้ืนที่อื่นๆ ได้แก่ ห้องเก็บหนังสือเอกสาร สาหรับการซ่อมบารุงก่อนข้ึนชั้น ประมาณ ร้อยละ 20-25 ของพ้ืนที่ทั้งหมด ห้องคอมพิวเตอร์ 100 ตารางเมตร ห้องประชุม 120 ตารางเมตร เปน็ ตน้ ขอ้ ควรคานึงในการออกแบบ คือ การเตรียมพื้นท่ีสาหรับจานวนทรัพยากรสารสนเทศ ท่ีเพิ่มขึ้นทุกปี จานวนผู้ใช้บริการที่อาจเพ่ิมขึ้น และมีความต้องการในการใช้งานท่ีแตกต่างกันมาก ยิ่งขึ้น รูปแบบและแนวโน้มของห้องสมุดที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การนาเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้มาก ข้ึน ย่อมทาให้เกิดการใช้พื้นท่ีท่ีแตกต่างจากเดิม การนาความหลากหลายของเฟอร์นิเจอร์มาใช้ ประโยชน์ในการตกแต่ง การยกเลิกข้อบังคับบางอย่าง เช่น การห้ามรับประทานอาหารเครื่องด่ืมใน ห้องสมุด การยกเลกิ การฝากของ ตวั อย่างเหล่าน้ีย่อมสง่ ผลต่อการการออกแบบห้องสมดุ ให้สอดคลอ้ ง และเหมาะสมกบั สถานการณท์ ่ีเปลี่ยนแปลงไป การจัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยสาหรับองค์การบริการสารสนเทศแต่ละแห่งอาจแตกต่างกนั ไป ข้ึนอยู่กับความพร้อมของแต่ละสถานที่ หากต้องการให้มีมาตรฐานนาหลักเกณฑ์การกาหนดพ้ืนที่ที่ ระบุไว้ในมาตรฐานห้องสมุดแต่ละประเภท ดังที่สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยได้กาหนดไว้เป็น มาตรฐานขั้นต่า (สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย, 2559: 4) เพ่ือให้สามารถรองรับการใช้งานได้ อยา่ งเหมาะสม โดยกล่าวถึงมาตรฐานด้าน อาคารสถานท่แี ละครุภัณฑ์ไว้อยา่ งกวา้ งๆ ดังนี้ “อาคารสถานที่ห้องสมุดควรต้ังอยู่บริเวณศูนย์กลางชุมชน มีการออกแบบอย่าง เหมาะสมตามมาตรฐานทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม บุคลากรห้องสมดุ มีสว่ นร่วมในการออกแบบ โดยคานึงถึงความต้องการของผู้ให้บริการและผู้รับบริการทุกกลุ่มเป้าหมาย และการขยายพ้ืนท่ีใน อนาคต ควรมีพื้นท่ีปฏิบัติการและพื้นท่ีบริการด้านเทคโนโลยี ห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ ห้องน้าและอ่ืนๆ ตามความเหมาะสม ครุภัณฑ์ห้องสมุดควรได้มาตรฐาน เพียงพอสาหรับการปฏิบัติงาน และการ จัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศ มีระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น การระบายอากาศ แสงสว่าง เสียง ระบบป้องกันสาธารณะภัยอย่างเหมาะสมและได้มาตรฐาน เพ่ือป้องกันและบารุงรักษาทรัพยากร สารสนเทศมิใหเ้ กิดชารดุ เสยี หายก่อนเวลาอันสมควร” 5. การตกแต่งภายนอก ผู้ใช้บริการต่างให้ความสนใจองค์การบริการสารสนเทศจากสภาพภายนอกท่ีเห็น การตกแต่งให้สวยงาม เป็นระเบียบ ย่อมดึงดูดความสนใจและจูงใจให้ผู้สัญจรไปมาอยากเข้ามาใช้ บริการ การตกแต่งภายนอกให้ดูเด่นสะดุดตา มีลักษณะเชิญชวนให้น่าเข้าใช้ ผู้บริหารจึงต้องอาศัย บุคลากรที่มคี วามรู้เร่ืองภูมสิ ถาปัตยใ์ นการออกแบบตกแต่ง (Choy & Goh, 2016: 13-28) ดงั น้ี

143 5.1 การออกแบบหอสมดุ ยุคใหม่ต้องมแี นวคิดผสมผสานการเรยี นรู้ในเชิงรุกกับความ ทันสมัย ภายใต้สภาพท่ีผ่อนคลาย สบาย มีชีวิตชีวา สวยงาม สะดวกและสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีการ วางแผนการใช้พ้ืนท่ีท้ังภายนอกภายใน สาหรับการใช้งานท่ีหลากหลาย เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ท่ี ซับซ้อนมากย่งิ ข้นึ 5.2 ควรจัดตกแต่งให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมตามหลักภูมิสถาปัตย์ มีทางเดินท่ี เช่ือมจุดสาคัญและกว้างพอท่ีจะเดินด้วยความสะดวก ใช้วัสดุปูพ้ืนท่ีไม่ล่ืน และมีความต่อเน่ืองไม่เกิด การสะดุดหรือเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ควรมีสนามหรือที่ว่างเพื่อไม่ทาให้รู้สึกอึดอัดเกินไป ตกแต่ง ด้วยไม้ดอกไม้ประดับตามความเหมาะสม ควรเลือกที่ดูแลรักษาง่าย มีความคงทน และช่วยเสริมให้ อาคารมีความโดดเดน่ และสงา่ งาม 5.3 ควรมีบริเวณจอดรถสาหรับผู้มาใช้บริการ มีระบบความปลอดภัยสาหรับจอด รถจักรยาน หากไม่สามารถจัดไว้ใกล้กับอาคาร ก็ควรมีเส้นทางเดินมาโดยสะดวก หรือมีบริการรถ รบั สง่ รถโดยสารสาธารณะผ่าน 5.4 ควรมีป้ายชื่อห้องสมุด และป้ายบอกทิศทางหรือบอกตาแหน่งท่ีตั้งของอาคาร อยา่ งชดั เจน ปา้ ยมีขนาดเหมาะสม มองเห็นได้ชดั เจน รูปแบบสวยงาม อาจมกี ารตกแตง่ จดั สวนหยอ่ ม ประกอบประติมากรรม ภาพ สัญลักษณ์ เคร่ืองหมายของสถาบันหรือองค์การบริการสารสนเทศเอง ใชส้ แี ละวัสดุทสี่ รา้ งจดุ เดน่ และความน่าสนใจให้กับผพู้ บเห็น 5.5 องค์การบริการสารสนเทศใดท่ียังไม่มีระบบป้องกันความปลอดภัยเก่ียวกับ ทรัพย์สิน ควรจัดให้มีบรเิ วณฝากของ โดยจัดเป็นช้ันเก็บกุญแจให้บริการไว้บริเวณทางเข้าหน้าอาคาร ปจั จุบันห้องสมุดหลายแห่งได้ยกเลิกการฝากของ และอนุญาตให้ผู้ใช้ในกระเป๋า ถุง ย่ามเข้าไปภายใน ห้องสมุดได้ เน่ืองจากมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน โดยการติดกล้องวงจร ปิด การใช้ระบบประตอู ตั โนมัติ ระบบอารเ์ อฟไอดี เป็นตน้ 5.6 ในพ้ืนท่ีส่วนหน้าท่ีประกอบด้วยโถงทางเข้า บริเวณท่ีพักคอย ใกล้เคาน์เตอร์ ประชาสัมพันธ์และฝากของ อาจมีร้านกาแฟ หรือร้านขายของท่ีระลึก หรือบริเวณจัดนิทรรศการ ชั่วคราว หรือเป็นจุดนัดหมายที่มีจุดเด่น โดยการนาประติมากรรมหรือไม้ดอกไม้ประดับตกแต่งให้ น่าสนใจ ภาพท่ี 7.1 ตัวอยา่ งการตกแตง่ ภายนอกอาคาร

144 6. การตกแต่งภายใน การตกแต่งภายในอาคารองค์การบริการสารสนเทศ ต้องทราบองค์ประกอบและ ลักษณะของกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในอาคาร ความสัมพันธ์ของกิจกรรม กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ โดยใช้แนวคิด ในเร่ืองพื้นที่ว่าง ครุภัณฑ์และอุปกรณ์ประกอบ ระยะและขนาดพื้นที่ในการจัดวาง (ทิพวรรณ บณุ ย์เพ่ิม, 2545: 276-288) ส่ิงสาคญั ท่ีสุดคือการกาหนดวัตถปุ ระสงค์ในการใช้สอย เช่น ส่วนบริการ ส่วนบริหาร ส่วนสนับสนุน ส่วนสาธารณะ เป็นต้น แนวทางพื้นฐานในการออกแบบและจัดแบ่งพื้นที่ ใช้สอยภายในองค์การบริการสารสนเทศ (สมบัติ วงอัศวนฤมล, 2551: 50; ปิยะนุช สุจิต, 2551: 130-141) มดี งั นี้ 6.1 ออกแบบและจดั แบ่งพนื้ ท่ีใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด 6.2 จัดพื้นที่ใช้สอยโดยอาศัยความสัมพันธ์และความต่อเน่ืองในการปฏิบัติงาน และ เนน้ ความสะดวกสบายในการสญั จร 6.3 จัดพื้นที่ใช้สอยโดยวางแผนในการขยับขยาย หรือปรับเปล่ียนได้ตามความ เหมาะสม 6.4 มีส่ิงอานวยความสะดวกและเทคโนโลยีท่ีสอดคล้องกับการปฏิบัติงานและ เหมาะสมกบั พ้นื ที่ 6.5 นาหลักการ 5ส มาใช้เป็นแนวปฏิบัติเพื่อปรับปรุงแก้ไขงานและรักษา ส่ิงแวดล้อมในสถานท่ีทางานให้ดีข้ึน นอกจากจะนามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของ องคก์ รแล้ว ยังนามาใช้ในการออกแบบและตกแต่งอาคารสถานท่ีให้พร้อมใช้อยู่เสมอ หลัก 5ส มีดงั น้ี 6.5.1 สะสาง คือ การแยกระหว่างของท่ีจาเป็นต้องใช้กบั ของที่ไม่จาเป็นต้องใช้ โดยขจดั ของทไ่ี มจ่ าเปน็ ต้องใช้ทิง้ ไป และจัดของทเี่ หลอื อยูใ่ ห้เป็นระเบยี บ 6.5.2 สะดวก คือ วางของในที่ที่ควรอยู่ ด้วยการจัดวางของที่จาเป็นต้องใช้ให้ เปน็ ระเบียบสามารถหยิบใช้งานไดท้ นั ที 6.5.3 สะอาด คือ การทาความสะอาดด้วยการปัดกวาดเช็ดถูสถานที่ ส่ิงของ อุปกรณ์ เครื่องมอื เคร่ืองจักร ให้สะอาดอยูเ่ สมอและพรอ้ มใชง้ านอยูเ่ สมอ 6.5.4 สุขลักษณะ คือ การรักษาความสะอาด ด้วยการปฏิบัติตาม 3ส ได้แก่ สะสาง สะดวก และสะอาดให้ดตี ลอดไป ซง่ึ จะสง่ ผลการมีสุขอนามยั ท่ดี ี 6.5.5 สร้างนิสัย คือ การฝึกให้เป็นนิสัย ด้วยการรักษาและปฏิบัติ 4ส หรือส่ิงที่ กาหนดไว้แลว้ อยา่ งถูกตอ้ งจนทาเป็นเรือ่ งปกติในชีวติ ประจาวัน การปฏิบัติกิจกรรม 5ส อย่างสม่าเสมอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตร ประจาวันจะเสริมสร้างลักษณะนิสัยและความเป็นระเบียบ สร้างวินัยให้แก่ผู้ปฏิบัติ ท่ีทางานมีความ เป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย เปน็ ระบบ ย่อมส่งผลใหก้ ารทางานในองค์การมีประสทิ ธิภาพสูงย่ิงขนึ้

145 ภาพท่ี 7.2 ตวั อยา่ งการตกแต่งภายในอาคาร 7. แนวคิดในการออกแบบองค์การบรกิ ารสารสนเทศสมยั ใหม่ การออกแบบองค์การบริการสารสนเทศภายใต้แนวคิดท่ีเปล่ียนไปจากในอดีต เพ่ือ สร้างสสี ันและความมชี วี ิตชีวา โดยลดสภาพความเคร่งขรมึ เน้นวิชาการ เปล่ียนมาเป็นบรรยากาศแบบ สบายๆ ผ่อนคลาย ประกอบดว้ ยมุมมองท่ีโปรง่ สบาย ทนั สมัย สวยงาม มสี ีสันหลากหลาย ท้งั รปู แบบ ของครุภณั ฑ์ที่หลากแบบ หลายสี เน้นให้สอดคล้องกับคอลเลคชั่นหรอื แผนกหรือฝ่ายทีใ่ ห้บริการ โดย ไม่ได้สนใจองค์รวมอีกต่อไป แนวโน้มท่ีจะสร้างความประทับใจและดึงความสนใจให้ผู้ใช้บริการหัน กลับมาใช้ห้องสมุดเหล่าน้ี ล้วนเป็นกลยุทธ์ในการจัดการด้านอาคารสถานท่ีและครุภัณฑ์ ที่องค์การ บรกิ ารสารสนเทศทกุ แหง่ จะตอ้ งรู้จกั นามาประยุกตใ์ ช้ใหเ้ หมาะสมกบั องค์การของตน องค์การบริการสารสนเทศสมัยใหม่มีลักษณะผสมผสานบรรยากาศของ 3 สถานท่ีใน ชีวิตประจาวันของผู้คนในยุคใหม่ มารวมกันไว้ในท่ีเดียวคือ การใช้ชีวิตอยู่บ้าน ที่เป็นสถานที่เรียนรู้ และรวบรวมทุกสรรพสิ่งที่ต้องการ กบั เป็นศูนย์กลางค้าและสถานบนั เทิงที่ให้ทั้งความสขุ การพักผ่อน หย่อนใจ ก่อให้เกิดความสนใจและกระตุ้นการเรียนรู้มากยิ่งข้ึน (สมบัติ วงศ์อัศวนฤมล, 2551: 51) องค์การบริการสารสนเทศจึงต้องจัดแบ่งพื้นที่ให้ครอบคลุมตามความต้องการของผู้ใช้ ได้แก่ พื้นท่ี พักผ่อน พื้นท่ีสาหรับการอ่าน และพื้นที่เพ่ือการศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังต้องจัดหาครุภัณฑ์ และสงิ่ อานวยความสะดวกต่างๆ ใหพ้ รอ้ มเพอ่ื ตอบสนองตอ่ ความต้องการของผใู้ ช้ยุคใหม่เหลา่ นีด้ ว้ ย ภาพท่ี 7.3 ตัวอยา่ ง Digital Zone ในหอ้ งสมดุ ยุคใหม่

146 8. หลักการออกแบบองคก์ ารบริการสารสนเทศตามความตอ้ งการของผูใ้ ช้ หลัก 10 ประการท่ีจะชว่ ยสร้างสรรค์ให้องค์การบริการสารสนเทศ กลายเป็นห้องสมุด มีชีวิต (Living Library) ตามหลักการของห้องสมุดสมัยใหม่ (New Libraries) ในศตวรรษท่ี 21 (นาวา วงษ์พรม, 2559: 3; ทรงพันธุ์ เจิมประยงค์, 2557: 82-87; Seal, 2015: 1; Gisolfi, 2014) ได้แก่ 8.1 สถานท่ีสะดวกสบาย (Comfortable Places) เป็นสถานที่ซึ่งโปร่งโล่งสบาย รสู้ ึกเป็นกนั เอง อบอุ่น มีความพร้อม เฟอร์นเิ จอรส์ วยงาม อากาศเย็นสบาย แสงสวา่ งเพยี งพอ น่าเข้า ใช้ เป็นจดุ ที่เขา้ ถงึ ไดอ้ ยา่ งไร้กาแพง สามารถเขา้ ใช้ไดใ้ นทุกเวลา 8.2 ที่ประชุม ที่ศึกษา (Meeting rooms and Study rooms) เป็นสถานที่สามารถ ใช้พบปะของคนหลากหลายกลมุ่ เป็นศูนย์การสื่อสารทางวิชาการ ศึกษาเรียนรู้ร่วมกันได้หลากหลาย รปู แบบ ทั้งทางาน จัดประชมุ สมั มนา ฝกึ อบรม และใช้ส่วนบคุ คล 8.3 สนับสนุนนานา (Supported Services) เป็นศูนย์กลางข้อมูล มีส่วนสนับสนุน งานบริการต่างๆ เพื่อความสะดวกของผู้ใช้บริการ เชน่ เครอื่ งยืมคืนอัตโนมัติ ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ ทฝี่ ากของ เปน็ ตน้ 8.4 อาหารพร้อมเคร่ืองด่ืม (Foods & Drinks Services) มีส่วนบริการอาหารและ เคร่ืองดื่ม จัดเป็นสดั สว่ นทสี่ ามารถใช้บรกิ ารได้สะดวก 8.5 หลากพ้ืนที่ เด็กหรรษา (Multi-Functional Children’s areas) เป็นแหล่ง ประสบการณ์ตรง มีมุมบรกิ ารสาหรับเด็กในหลากหลายรูปแบบ ท้ังเพ่ือการศึกษา เรียนรู้ เพื่อพัฒนา ความคดิ สร้างสรรค์และร่างกาย 8.6 วัยรุ่นท้าทายสร้างฝัน (Teen Friendly areas) มีมุมสาหรับวัยรุ่น วัยฝันที่ ต้องการความเป็นส่วนตัว และร่วมกันทากิจกรรม ห้องชมภาพยนตร์ ฟังเพลง เล่นดนตรี วาดภาพ เปน็ ต้น 8.7 ยืม ซื้อ ขาย หลายแบ่งปัน (Retail-oriented Merchandising) นอกจาก ให้บริการอา่ น ยมื -คืน ควรมบี ริการขายหนังสือ อปุ กรณ์เครื่องเขียน ซีดี ดีวดี ี อุปกรณ์ประกอบมอื ถือ หฟู ัง สายชาร์ตแบตเตอรี่ เมมโมร่ีการ์ด เปน็ ต้น 8.8 เทคโนขั้นประทับใจ (Technology) ต้องมีความพร้อมในเร่ืองเทคโนโลยีที่ ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ทันใจ ครบถ้วน เช่น มีบริการ WiFi มีเครื่องยืมคืนอัตโนมัติ เครื่องถ่าย เอกสารดว้ ยตวั เอง มีพ้นื ทใี่ ช้สอยสาหรับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เนต็ การสบื คน้ ออนไลน์ เป็นต้น 8.9 ช่วยคุณด้วย ให้คุณได้ (Graphic Sign) มีวิธีช่วยให้ผู้อ่านค้นหาหนังสือได้เร็วข้ึน เช่น ใช้ระบบป้ายบอกหมวดหมู่เป็นระบบสีสัมพันธ์กับท่ีปรากฏในระบบโอแพคท่ีสืบค้น นาระบบ RFID มาใช้ มีระบบห้องสมุดอัตโนมัติท่ีแสดงแผนผังและท่ีตั้งรวมท้ังสถานภาพของหนังสือได้อย่าง ถูกต้องชัดเจน มีบริการยืมออนไลน์ โดยนาระบบกราฟิกมาใช้ในการส่อื และแสดงให้ผู้ใช้ได้รับรู้และ เขา้ ใจงา่ ย 8.10 ประหยัด ง่าย รักษ์โลกพร้อม (Sustainable Environment) การดูแลรักษา ส่ิงแวดล้อมด้วยการออกแบบท่ีประหยัดพลังงานและรักษาส่ิงแวดล้อม เช่น ระบบไฟฟ้าเปิดปิด

147 อัตโนมัติ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ระบบม่านกรองแสง การใช้วัสดุรีไซเคิลมาตกแต่งหรือนา กลบั มาใช้ในรปู แบบใหม่ เลอื กใชค้ รภุ ณั ฑท์ ่ีไมส่ รา้ งภาวะเรือนกระจก เปน็ ต้น 9. องคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศสีเขยี ว สเี ขียว เป็นคาที่ไดร้ ับความสนใจเปน็ อย่างมากในปจั จุบัน และปรากฏว่ามีการนามาใช้ ในทกุ วงการ ไม่เวน้ แม้แต่วงการห้องสมุด “หอ้ งสมุดสเี ขียว” หมายถงึ ห้องสมดุ ท้ังภาครัฐและเอกชน ที่จัดต้ังเพ่ือเป็นแหล่งการเรียนรู้ ให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ อาจมีช่ือเรียกว่า หอสมุด ห้องสมุด สานกั หอสมุด สถาบันวทิ ยบรกิ าร สานักวทิ ยบริการ ศูนย์บรรณสาร ศูนย์สารสนเทศ หรือช่ืออื่นใดท่ีมี ภารกิจในทานองเดียวกัน ท่ีมีการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีการ บริหารจัดการเพื่อการประหยัดพลังงานและรักษาส่ิงแวดล้อม (สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ, 2558: 1) องค์การบริการสารสนเทศใดท่ีมีเป้าหมายจะเป็นห้องสมุดสีเขียว ต้องกาหนดแนว ทางการดาเนินงานท่ีสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ คือ ห้องสมุดสีเขียวเป็นแหล่งเรียนรู้ มีการบริหาร จัดการที่เป็นมิตรกบั ส่ิงแวดล้อม และให้บริการความรูท้ ี่สอดคลอ้ งกับนโยบายการอนุรกั ษ์พลงั งานและ สง่ิ แวดล้อมของชาติ โดยมีเปา้ หมาย แนวทางในการบริหารจัดการและสร้างเครือข่ายห้องสมุดสเี ขียว ดงั น้ี (สมาคมหอ้ งสมุดแหง่ ประเทศไทยฯ, 2558: 2-6) 9.1 เปา้ หมายของการเป็นห้องสมุดสเี ขียว มดี งั นี้ 9.1.1 ห้องสมุดเป็นแหล่งบริการความรู้ดา้ นการอนุรักษ์พลงั งานและสิ่งแวดลอ้ ม นอกเหนอื จากการใหบ้ รกิ ารความรตู้ ามบรบิ ทของแต่ละหอ้ งสมดุ 9.1.2 หอ้ งสมุดมีทรพั ยากรสารสนเทศด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ที่ทันสมยั สอดคลอ้ งกับทิศทางการพฒั นาประเทศ และตรงตามความต้องการของชมุ ชนและสังคม 9.1.3 ห้องสมุดเปน็ แหล่งเรยี นร้ดู ้านการอนรุ ักษ์พลงั งานและสิง่ แวดลอ้ ม 9.1.4 บุคลากรห้องสมุดและผู้รับบริการมีความรู้ความเข้าใจและมีความตระหนัก รู้ในเร่อื งการอนรุ ักษพ์ ลังงาน และสง่ิ แวดล้อม 9.1.5 ห้องสมุดสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร ลดปริมาณขยะและของเสีย โดยใช้หลกั การและเครอื่ งมอื ทเี่ หมาะสม 9.2 การบริหารจัดการห้องสมุดสีเขียว 9.2.1 ผู้บริหารองค์กรควรมีนโยบายในการบริหารจัดการห้องสมุดสีเขียว มี คณะกรรมการ ประกอบด้วย ผู้บริหาร บุคลากร องค์กรทเี่ กยี่ วข้อง 9.2.2 มีแผนการดาเนินงานเพ่ือสนับสนุนการเป็นห้องสมุดสีเขียว และมีการ ปฏบิ ัตติ ามแผนอย่างตอ่ เน่ือง 9.2.3 เปิดโอกาสให้บุคลากร ผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีส่วนร่วมใน การแสดงความคิดเหน็ และร่วมกิจกรรมการอนรุ ักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม 9.2.4 ควรเข้าร่วมเครือข่ายความร่วมมือห้องสมุดสีเขียว เพ่ือการเรียนรู้ แลกเปล่ียนประสบการณ์และจัดการความรู้ร่วมกัน ในเรื่องการบริหารจัดการและการให้บริการแบบ อนรุ ักษพ์ ลังงานและส่ิงแวดลอ้ ม

148 9.2.5 องค์การต้องกาหนดมาตรการในการใช้ทรัพยากรและการใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ มีการรณรงค์ และสร้างความตระหนักรู้ในการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ลด ปริมาณของเสีย และหลีกเลี่ยงกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก อาคาร 9.2.6 ต้องมีการจัดการขยะ จัดการน้าเสีย และจัดการมลพิษทางอากาศ เพ่ือ ควบคุมปริมาณขยะและอันตรายท่ีจะส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของผู้ปฏิบัติงานหรือผู้รับบริการ ต่อสงิ่ แวดล้อมและชมุ ชน โดยเลอื กใช้วิธกี ารจดั การท่ีเหมาะสม 9.2.7 ต้องจัดการสภาพแวดล้อมภายในอาคารให้สะอาด เป็นระเบยี บเรียบร้อย มสี ภาพอากาศท่ีดีถ่ายเทสะดวก เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมทดี่ ีในการปฏิบัติงาน และสุขภาพอนามัยที่ ดขี องผ้ปู ฏบิ ตั งิ านหรือ ผู้รบั บรกิ าร 9.2.8 ควรมีการประเมินคุณภาพห้องสมุดสีเขียว โดยมีตัวช้ีวัดและระบบการ ติดตามประเมินผลด้านการอนรุ ักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม เช่น ตัวช้ีวัดและค่าเป้าหมายการใช้ไฟฟ้า กระดาษ เชื้อเพลิง น้า การใช้ทรัพยากร และปริมาณของเสีย โดยมีการบันทึกข้อมูล ติดตาม ตรวจสอบ และประเมนิ ผลอยา่ งต่อเน่อื ง 9.3 เครือข่ายความรว่ มมือห้องสมุดสเี ขยี ว เกิดจากความร่วมมือขององค์การบริการสารสนเทศที่สนใจด้านอนุรักษ์พลังงาน และส่ิงแวดล้อม โดยลงนามความร่วมมือเป็นครั้งแรก เม่ือวันท่ี 25 มิถุนายน 2557 โดยมี มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ กรมสง่ เสริมคณุ ภาพสิ่งแวดล้อม องค์การบรหิ ารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กระทรวงพลังงาน และสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ เป็นที่ปรึกษาเครือข่าย หอ้ งสมุดสเี ขยี วมวี ตั ถุประสงคด์ งั น้ี 9.3.1 เพื่อร่วมกันพัฒนาสารสนเทศและให้บริการความรู้ด้านการอนุรักษ์ พลงั งานและสงิ่ แวดลอ้ ม 9.3.2 ร่วมกนั จดั กิจกรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ 9.3.3 รว่ มแลกเปลี่ยนเรียนรกู้ ารบริหารจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อมระหวา่ ง หน่วยงานความร่วมมอื องค์การในปัจจุบันได้ให้ความสาคัญกับเร่ืองพลังงานและส่ิงแวดล้อม โดยนามา เป็นแนวทางในการดาเนินกลยุทธ์เพ่ือสร้างภาพลักษณ์และความได้เปรียบในการแข่งขัน เน่ืองจาก สภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลกท่ีส่งผลโดยตรงต่อทุกองค์การ นโยบายการประหยัดพลังงาน อนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมสวัสดิภาพท่ีดีให้กับบุคลากรในองค์การตลอดจน ผู้ใช้บริการ ปัจจุบันมีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม (Environmental Management System : EMS) เพ่ือนามาใช้ในการบริหารจัดการเก่ียวกับพลังงานและส่ิงแวดล้อมในองค์การอย่างมีระบบ (จริ ะพงศ์ เรืองกุน, 2559: 195) สามารถช่วยในการจดั การปัญหาและอุปสรรคในเร่ืองพลังงานและ ส่ิงแวดลอ้ มใหอ้ งคก์ ารได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพยิ่งขึ้น แนวโน้มขององค์การบริการสารสนเทศ ท่ีผู้บริหารต้องนามาใช้กาหนดทิศทางในด้านการ พัฒนาอาคารสถานท่ี รวมทั้งรูปแบบการจัดหาวัสดุครุภัณฑ์ เพ่ือให้บริการแก่ผู้ใช้บริการยุคใหม่ (Supaporn Chaithammapakorn, 2015: 1-3) องค์การบริการสารสนเทศจะกลายเป็นศูนย์กลาง

149 หรือฮบั (Hub) สาหรบั บริการพิเศษต่างๆ เช่น ศูนย์การติว (Tutoring Center) ศนู ย์การฝกึ การเขียน (Writing Center) แกลเลอร่ีแสดงผลงานศิลปะ (Art Galleries) ห้องศึกษาเป็นกลุ่ม (Group Study Room) ห้องศึกษาทางไกล (Distance Learning Room) ห้องบริการและอาหารว่าง (Café and Light Dining Venue) ห้องพักผ่อน (Lounges) เป็นต้น ผู้บริหารจึงต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดจาก “เก็บไว้เผื่อมีการใช้” (Just in Case) ไปเป็น “เก็บเฉพาะท่ีใช้” (Just in Time) ทั้งนี้เพราะ งบประมาณมีแนวโน้มลดลง ในขณะท่ีพื้นท่ีในการให้บริการต่างๆ ยังมีเท่าเดิม การใช้พื้นที่ใช้สอยเชิง สร้างสรรค์ (Creative Spaces) เช่น สถานีถ่ายทอดรายการวิทยุ ห้องฝึกปฏิบัติการละคร ละครเวที ห้องทดลองส่ือดิจิทัล เป็นต้น (Innovation, 2016) การใช้พื้นท่ีให้คุ้มค่าโดยเน้นการใช้เป็นกลุ่มตาม ความต้องการของผู้ใช้ การใช้พื้นที่นอกห้องสมุดสาหรับให้บริการหรือจัดกจิ กรรมเป็นทางเลือกหน่ึงท่ี เป็นที่นิยมในต่างประเทศมาก โดยขยายเน้ือบริการไปยังสวนหย่อม สนามเด็กเล่น โรงเรียน เป็นต้น (ยุพิน เตชะมณี, 2553: 64) หรือการท่ีห้องสมุดเช่ือมโยงกับแหล่งการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมในชุมชน มีการใช้พ้ืนที่ในชุมชนเพื่อแลกเปล่ียนเรียนรู้ร่วมกัน (รุ่งทิพย์ เจริญศักดิ์, 2558: 75; Zhixian Yi, 2016: 4) รวมทั้งการนาเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการปรับและเปลี่ยนให้มีการใช้ประโยชน์จาก อาคารสถานที่อยา่ งสงู สดุ และไม่ละเลยเรอื่ งการอนรุ ักษ์พลังงานและรักษาส่งิ แวดล้อม ภาพที่ 7.4 ตวั อย่าง Eco Library หอ้ งสมดุ สีเขียวมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

150 งานครุภัณฑ์ ครุภัณฑ์ขององค์การบริการสารสนเทศ เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ทาให้อาคารสถานที่มี ความสวยงาม น่าเข้าใช้ และสร้างความสะดวกสบายให้กับทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้บริการ ครุภัณฑ์ และอุปกรณ์เครื่องอานวยความสะดวกต่างๆ มมี ากหมายหลายประเภทและมีจานวนมากตามลักษณะ การใช้งานในองค์การ การจัดการงานครุภัณฑ์จึงเป็นเร่ืองท่ีต้องใช้ระยะในการวางแผน จัดหา และมี กระบวนการที่ต้องอาศัยระเบียบปฏิบัติตามท่ีได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องงานพัสดุ นอกจากทรัพยากร สารสนเทศประเภทต่างๆ ท่ีต้องดาเนินการจัดหามาเพ่ือให้บริการ การจัดหาครุภัณฑ์และอุปกรณ์ เคร่ืองอานวยความสะดวกต่างๆ ก็ส่งผลกระทบอย่างมากต่อปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และการเข้าใช้ บริการ ตัวอย่างเช่น ผู้ปฏิบตั ิงานต้องทนใช้คัทเตอรต์ ัดกระดาษแข็งทาปกหนังสือเพราะไมม่ ีเคร่ืองตัด กระดาษ ยอ่ มทาให้การทางานเข้าปกชา้ สง่ ผลเสียตอ่ การนาขนึ้ ชั้นให้บรกิ าร หากผ้ใู ช้บริการต้องทนน่ัง เก้าอ้ีท่ีนั่งไม่สบายทาให้ปวดหลัง ก็ไม่อยากจะนั่งอ่านหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น ส่ิงเหล่าน้ีคือ รายละเอียดท่ีผู้บริหารต้องให้ความสาคัญและใส่ใจในรายละเอยี ดในทุกขน้ั ตอนในการดาเนินการงาน ครภุ ณั ฑ์ 1. การจดั หาครุภณั ฑข์ ององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ ในการจัดหาครุภัณฑ์ รวมท้ังวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ผู้บริหารต้องมีแผนงาน โครงการใน การปรับปรุงและพัฒนาด้านอาคารสถานที่ เพ่ือจัดหาครุภัณฑ์หรือส่ิงอานวยความสะดวกต่างๆ มา เป็นส่วนประกอบในอาคาร ให้องค์การบริการสารสนเทศกลายเป็นพ้ืนท่ีท่ีใช้ประโยชน์ได้ มีความ สวยงาม น่าเข้าใช้ การจัดหาครุภัณฑ์ที่มีความประณีต คงทนถาวร มีคุณภาพต้องมาจากแหล่ง จาหน่ายหรอื แหล่งผลิตที่น่าเชื่อถอื และมีประสบการณ์ในการผลิตหรือจาหน่ายมาอย่างยาวนาน อาจ ศึกษาข้อมูลเหล่าน้ีได้จากหลายๆ วิธี เช่น สอบถามจากองค์การบริการสารสนเทศอ่ืนๆ ท่ีเคยใช้ บริการ ศึกษาจากข้อมูลเอกสาร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือจากการเยี่ยมชมตามร้านจาหน่าย โดยตรง ผบู้ ริหารควรอาศัยขอ้ มูลประกอบการพจิ ารณาในด้านต่างๆ ดังนี้ แหลง่ จาหน่ายครภุ ณั ฑ์และวัสดอุ ุปกรณ์ โดยทั่วไปมักมีร้านผลิตหรือจาหน่ายครุภัณฑ์หรือวัสดุอุปกรณ์ท่ีองค์การบริการ สารสนเทศต้องการอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่มักเป็นครุภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์ท่ีเหมาะจะใช้กับท่ีอยู่อาศัย ท่ัวไป การจัดหาแหล่งท่ีผลิตหรือจาหน่ายเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานห้องสมุดโดยเฉพาะท่ีเป็นท่ี รจู้ กั ในระดับประเทศ เชน่ 1.1 สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ต้ังอยู่ถนนวิภาวดีรังสิต เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร จาหน่ายและให้บริการ ครุภัณฑ์ห้องสมุดท้ังประเภทไม้และประเภทเหล็ก อุปกรณ์ ห้องสมุด อุปกรณ์ในการซ่อมหนังสือ รวมทั้งหนังสือและวารสารด้วย สามารถเข้าชมสินค้าได้ทาง เว็บไซต์ได้ท่ี http://tla.or.th/index.php/product-and-service สั่งซื้อได้ทางโทรศัพท์ 02-734- 9022-3 ทางโทรสาร 02-734-9021 หรือทางอเี มล์ [email protected] 1.2 บริษัทโลหะประทีปอุตสาหกรรม จากัด ตั้งอยู่ถนนศรีนครินทร์ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร เป็นผู้ผลิตและจาหน่ายวัสดุครุภัณฑ์ห้องสมุดมานานกว่า 50 ปี จาหน่ายให้กับ

151 ห้องสมุดในประเทศไทยทุกประเภทท้ังภาครัฐและภาคเอกชน มีสินค้าและบริการเก่ียวกับการ ดาเนินงานขององค์การบริการสารสนเทศเกือบทุกประเภท เช่น ครภุ ัณฑ์และอุปกรณ์ วัสดุครภุ ัณฑ์ สานกั งาน ช้ันหนงั สือ ประตูควบคุมทางเข้าออก รวมทั้งห้องสมดุ สาเร็จรปู ส่งั ซ้อื ได้ท้ังทางโทรศัพท์ 0- 2748-1999 สามารถเข้าชมและส่งั ซอ้ื สนิ ค้าได้ทเ่ี วบ็ ไซต์ www.lpi.co.th 1.3 สยามไลบราร่ี หรือเดิมชื่อ โรงพิมพ์เพียรเจริญ ต้ังอยู่ถนน มีประสบการณ์ในการ ให้บริการและจาหน่ายสินค้าเก่ียวกับห้องสมุดครอบคลุมทุกด้าน ได้แก่ จัดหาครุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ ห้องสมุด รับออกแบบแปลนห้องสมุด ให้คาปรึกษาในการจัดตั้งห้องสมุด รับทาบัตรรายการครบชุด รบั สอนการซ่อมหนังสือแบบต่างๆ รับปรึกษาแก้ไขปัญหาในการดาเนินงานห้องสมุด และร่วมพัฒนา ห้องสมุด ติดต่อโทรศัพท์ 02-311-0340, 02-311-5755, 02-3110341 โทรสาร 02-311-5755, 02- 3110341 สามารถเขา้ ชมและส่งั ซอ้ื สินคา้ ได้ทาง http://www.siamlibrary.com 1.4 ร้านศึกษาภัณฑ์พานิชย์ เป็นร้านจาหน่ายมีประสบการณ์ยาวนานในการผลิต สินค้าเกี่ยวกับการศึกษา และจาหน่ายครุภัณฑ์ห้องสมุด ต้ังอยู่ถนนราชดาเนินกลาง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และมีสาขา 9 สาขา และมีร้านค้าตัวแทนกระจายอยู่ท่ัวประเทศ ทาให้สะดวกใน การส่ังซื้อ ติดต่อได้ทางโทรศัพท์ 0-2538-3033, 0-2538-3021, 0-2514-4033 โทรสาร 0-2933- 0181 สามารถเข้าชมและสั่งซอื้ สินคา้ ไดท้ าง http://www.suksapanpanit.com 1.5 รา้ นผลิตและจาหนา่ ยครภุ ณั ฑ์ วัสดสุ านักงานทเี่ ปน็ ที่รูจ้ กั ทวั่ ไป เช่น ร้านอินเด็กซ์ ลฟิ วง่ิ มอลล์ (www.indexlivingmall.com) ร้านอเิ กีย (www.ikea.co/th/) เป็นตน้ อ ง ค์ ก า ร บ ริ ก า ร ส า ร ส น เท ศ ใด ท่ี ต้ อ งก า ร จ้ า ง ท า ค รุ ภั ณ ฑ์ ห รื อ เฟ อ ร์ นิ เจ อ ร์ ต่ า ง ๆ บรรณารักษ์หรือเจ้าหน้าทีผ่ ู้ใชง้ านควรแจง้ รายละเอียดแก่ผ้อู อกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งาน ตรงตามความต้องการและได้มาตรฐานสาหรับการจัดวางในส่วนต่างๆ ภายในอาคาร การจ้างผลิตมัก ได้ครุภัณฑ์ท่ีเข้ากันลงตัวพอดีกับบริเวณท่ีต้องการจัดวาง ความคงทนและสอดคล้องกับประโยชน์ใช้ สอยมากกว่า แต่อาจต้องใช้เวลาในการผลิต หรือบางกรณีหากส่ือสารกันไม่ชัดเจน ก็อาจทาให้เกิด ความผิดพลาดได้บ้าง ท้ังนี้ผู้บริหาร บรรณารักษ์หรือเจ้าหน้าท่ีที่รับผิดชอบต้องมีความละเอียด รอบคอบในข้ันตอนต่างๆ และมีการตรวจสอบความเข้าใจหรือตรวจชิ้นงานขณะมีการผลิตอย่าง ตอ่ เน่ือง 2. ชนดิ ของครุภณั ฑแ์ ละวัสดุอุปกรณ์ ครภุ ัณฑ์และวัสดอุ ุปกรณ์ท่ีสาคัญของห้องสมดุ มหี ลายชนดิ หลายรูปแบบ ดังน้ี 2.1 ชั้นหนังสือ ชั้นหนังสือมีหลายแบบหลายขนาด ใช้วัสดุที่แตกต่างกัน เช่น ช้ันไม้ ช้ันเหล็ก หรือชั้นท่ีทาด้วยวัสดุสังเคราะห์ การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการใช้งาน ขนาดท่ี ต้องการ วัสดุที่เหมาะหรือเขา้ กับรูปแบบการจัดตกแตง่ ในอาคาร จานวนท่ีต้องการใช้ ชั้นหนังสือมีท้ัง ชัน้ เตยี้ ช้ันสูง ชน้ั เล่ือนแบบประหยดั พืน้ ที่ ช้ันแบบปรับระดับได้ ช้นั แบบแบ่งช่วงส้ัน ชั้นแบบช่วงยาว ชนั้ แบบหน้าเดียว แบบสองหน้า ชนั้ แบบมีล้อสามารถเคล่ือนย้ายไปมาได้ง่าย เป็นต้น นอกจากน้ียังมี ให้เลือกท้ัง สี ขนาด น้าหนัก รูปแบบ การเลือกช้ันหนังสือควรคานึงถึงเรื่องการรับน้าหนักและความ คงทนถาวร ความแข็งแรงและความปลอดภัย เน่ืองจากช้ันหนังสือต้องรับน้าหนักจานวนมาก และ

152 ต้องมีการวางแผนในการจัดหาช้ันในแบบเดียวกันมาใช้ในอนาคต เพราะมีการขยายพื้นที่ในการ จดั เก็บหนงั สอื 2.2 ช้ันวารสาร ชั้นวารสารใหม่ส่วนมากมักเป็นแบบช้ันเอียงและมีช่องเก็บฉบับ ล่วงเวลาไว้ด้านล่าง มีทั้งแบบด้านเดียวและแบบสองด้าน มีช้ันวารสารแบบหมุนเป็นทรงกลมเก็บ วารสารในแนวตัง้ 2.3 ท่ีวางหนังสือพิมพ์ ท่ีเก็บหนังสือพิมพ์มีหลายรูปแบบ แบบแท่นยึดหนังสือพิมพ์ ติดใหย้ ืนอ่านกับที่ แบบไม้หนีบ หรอื แบบชั้นลาดเอียงเรยี งฉบับใหเ้ ห็นไดง้ ่าย ช้ันเกบ็ หนังสือพิมพฉ์ บับ ลว่ งเวลาเก็บแนวนอนเรียงฉบบั 2.4 ช้ันเก็บส่ือโสตทัศน์ สื่อโสตทัศนวัสดุ ร่วมท้ังส่ืออิเล็กทรอนิกส์มีหลายประเภท และแตกต่างกันในรูปแบบ ลักษณะ ขนาด จึงมีชั้นหรือตู้เก็บท่ีออกมาให้เลือกใช้ตามความต้องการ โดยจะมีพ้นื ท่ีเป็นชอ่ งเก็บ มีชว่ งชนั้ ที่เหมาะสมกับแต่และประเภท ส่วนใหญเ่ ป็นกระจกเพ่ือโชว์ให้เห็น สอ่ื ในตู้ และปอ้ งกันฝ่นุ หรอื ความช้ืน 2.5 โต๊ะ มีหลายรูปแบบ สาหรับนั่งอา่ น สาหรับซ่อมหนังสือ สาหรับการประชุมกลุ่ม ย่อย ห้องประชุม หรือท่ีอ่านเฉพาะบุคคล การจัดหาควรให้ความสาคัญกับคุณประโยชน์ของแต่ละ ประเภท ใหม้ ขี นาดและสัดส่วนเหมาะสมกบั ผ้ใู ช้ มีสว่ นสูงท่ีสัมพนั ธ์กับความสูงของเก้าอี้ 2.6 เก้าอี้ โดยท่ัวไป มักมีการออกแบบมาพร้อมกับโต๊ะเพ่ือให้เข้าชุดกัน แต่ปัจจุบัน สามารถเลือกเก้าอ้ีที่มีรูปแบบแตกต่างกัน นามาผสมผสาน (Mix and Match) ท้ังแบบมีพนักพิง ไม่มี พนักพิง แบบส่ีเหลยี่ ม แบบทรงกลม แบบมีขา แบบไม่มีขา ทรงสงู ทรงเตยี้ มีดไี ซน์หรือการออกแบบ ที่มีสสี นั สะดดุ ตา ดึงดูดความสนใจให้น่าใช้ การเลือกมาใช้ตอ้ งคานงึ ถงึ ความสบายในการใช้งาน และมี นา้ หนักเบา เพอ่ื สะดวกทาความสะอาดและจัดตกแต่ง 2.7 ตูช้ นดิ ตา่ งๆ เช่น ตู้เกบ็ เอกสาร 4 ล้นิ ชัก ตู้เหล็ก 2 บานเก็บวัสดุอุปกรณ์หอ้ งสมุด ต้จู ัดนิทรรศการ ตู้แสดงหนังสือใหม่ ตเู้ ก็บแผนที่ จุลสาร กฤตภาค ตูเ้ กบ็ โสตทัศนปู กรณ์ ตู้ฝากของ ตู้ บัตรรายการ ต้บู ตั รดรรนี เป็นต้น ควรเลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกบั การใช้งาน รับนา้ หนกั ไดด้ ีและทนทาน 2.8 เคาเตอร์บริการต่างๆ เช่น เคาน์เตอร์บริการยืม-คืน เคาน์เตอร์บริการอ้างอิง เคาน์เตอร์มุมถ่ายเอกสาร มีทั้งแบบสาเร็จรูป หรือแบบนามาประกอบกันในอาคาร ใช้วัสดุ หลากหลาย และมีขนาดแตกต่างกัน ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม เช่น เคาน์เตอร์บริการยืม-คืน ต้องมี ขนาดใหญ่หน้ากว้างประมาณ 3-5 เมตร ขึ้นไป เพ่ือให้ผู้ใช้เข้ามาติดต่อและใช้บริการได้พร้อมกัน หลายช่อง การเลือกเคานเ์ ตอร์ควรใหม้ คี วามโดดเด่น สวยงาม และสอดคล้องกบั การใช้งาน 2.9 ครุภัณฑ์อ่ืนๆ เช่น เครื่องตัดกระดาษ ประตูอัตโนมัติ เคร่ืองถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ พัดลม เคร่ืองปรับอากาศ โคมไฟ กระถางตน้ ไม้ แจกัน ภาพประดับผนัง ฯลฯ ครภุ ัณฑ์ที่ จัดหามาใช้ในห้องสมุด ควรมีการเลือกสรรให้มีความกลมกลืนและสอดคล้องกับการใช้งาน ทาความ สะอาดไดง้ า่ ย มีรปู ทรงทท่ี นั สมัย ไมเ่ บื่อง่าย และมอี ายุการใชง้ านยาวนาน 2.10 โสตทัศนูปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เคร่ืองเล่นซีดี เครื่องฉายภาพทึบ แสง เครื่องเล่นจานเสียง เป็นต้น ควรเลือกทม่ี ีคณุ ภาพดี มีรูปแบบที่ทันสมัย ดูแลรักษาง่ายและคงทน ถาวร

153 2.11 วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่ วัสดุสานักงาน วัสดุและอุปกรณ์ในการซ่อมและเข้าปก หนังสือใหม่ วัสดุอุปกรณ์ในการทาความสะอาด วัสดุตกแต่งต่างๆ วัสดุในการจัดนิทรรศการ เป็นต้น ควรเลือกใช้เท่าที่จาเป็น และไม่ควรจัดซื้อมาในปริมาณมากจนทาให้เกิดปัญหาในการจัดเก็บ และ คานงึ ถึงคณุ ภาพและประโยชน์ในการใชส้ อยเป็นสาคญั 3. การจัดวางครุภณั ฑ์ 3.1 หลักในการจัดวางครุภณั ฑ์ประเภทตู้ ชั้น ควรพิจารณาดังน้ี 3.1.1 ช้ันเตี้ยควรวางขนานกับผนังด้านท่ีมีหน้าต่าง ช้ันสูงควรวางดา้ นมีผนงั ทึบ หรือจัดวางไว้กึ่งกลางของพ้ืนที่ โดยจัดเรียงให้เป็นระเบียบ ห่างกันอย่างน้อย 3-4 ฟุต เพื่อให้ผู้ใช้เดิน เข้าไปค้นหาหนังสือได้สะดวก และให้รถเข็นหนังสือหรือรถเล่ือนของคนพิการสามารถเข้าไปใน ช่องว่างระหว่างชั้นได้ 3.1.2 ควรจัดวางช้ันให้ขนานกับผนังด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ควรจัดให้ขวางห้อง หากช้ันที่จัดวางบังทิศทางของแสงจากหน้าต่าง ควรจัดมีการเว้นระยะระหว่างช่วงชั้น จัดช้ันให้เป็น สัดส่วน ไมว่ างแน่นทบึ เกนิ ไป เพ่อื ใหแ้ สงส่องผา่ นได้ 3.1.3 ช้นั เก็บทรัพยากรสารสนเทศบางประเภทที่ให้บริการแบบชน้ั ปิด ควรเป็น ช้ันสูง และจัดช้ันให้ชิดกัน เว้นช่องว่างไม่เกิน 2 ฟุต เพ่ือเป็นการประหยัดเน้ือที่ หรืออาจเลือกใช้ชั้น แบบเลือ่ นทส่ี ามารถเลอ่ื นใหช้ ดิ กนั ได้ 3.1.4 หากเป็นชั้นที่สามารถปรับระดับของช่วงช้ันได้ ควรคานวณความสูงของ แต่ละช่วงชั้นด้วยหนังสือเล่มท่ีมีความสูงมากที่สุด เพ่ือให้สามารถจัดเก็บหนังสือในแนวตั้งได้ทุกเล่ม แต่หากเห็นว่ามีความแตกต่างกับภาพรวมทั้งหมด ก็อาจเล่ือนขึ้นลงให้ใกล้เคียงกันเพื่อความสวยงาม และเปน็ ระเบียบ 3.1.5 ควรคานวณพื้นที่ในการจัดเก็บหนังสือบนชั้นให้มีท่ีว่าง 1 ใน 4 เพ่ือให้ สามารถนาหนงั สือใหม่เพมิ่ เตมิ เข้าไปได้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งจดั เลือ่ นหมวดหม่หู นงั สอื บนช้นั บอ่ ยๆ 3.1.6 การจัดช้ันที่ดี ไม่ควรมีมุมลับตา โดยจัดวางชั้นไปในทิศทางท่ีเจ้าหน้าท่ี สามารถมองเห็นพฤตกิ รรมของผ้ใู ชบ้ ริการไดต้ ลอด ขณะทีอ่ ยใู่ นชอ่ งวา่ งระหว่างชน้ั 3.2 การจัดวางช้ันวารสาร ท่ีอ่านหนังสือพิมพ์ การเลือกใช้ตามความเหมาะสมของ พ้ืนทใี่ นการจัดวาง แบบสองหน้าควรวางในพื้นที่โล่ง สามารถเดินได้รอบ ส่วนแบบหนา้ เดียวจดั วางชิด ผนัง หรือหันด้านหลังช้ันประกบกันเปน็ แบบสองหน้าได้ แบบหมุนมักจดั วางในบริเวณท่ีสะดดุ ตา เดิน วนดูได้โดยรอบ ชั้นวารสารและท่ีอ่านหนังสือพิมพ์ควรอยู่ใกล้ทางเข้าออกหรือชั้นแรกของอาคาร เพอ่ื ใหม้ องเห็นได้งา่ ยเขา้ ใช้ไดส้ ะดวก 3.3 การจัดโต๊ะ-เก้าอี้ สาหรับโต๊ะนั่งอ่าน ควรจัดวางเป็นกลุ่มให้น่ังได้ 4-6 คน และ จัดเป็นรูปตัวยูหรือวงกลม สาหรับโต๊ะในห้องประชุมกลุ่มย่อย หรือห้องประชุม ควรจัดวางโดยมีการ เว้นระยะหา่ งทผ่ี ูใ้ ช้บรกิ ารเดนิ เข้าออกได้สะดวก ไมข่ วางทางเดินเขา้ ไปค้นหาหนงั สอื บนชั้น 3.4 การจัดวางเคาน์เตอร์บริการยืม-คืน ส่วนใหญ่มักจัดวางไว้ใกล้บริเวณทางเข้า- ออก หรือจุดศูนย์กลางที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย องค์การบริการสารสนเทศขนาดใหญ่มักมี

154 เคาน์เตอร์บริการยืม-คืน หลายจุด โดยแยกให้บริการตามชั้นต่างๆ ภายในอาคาร เพื่ออานวยความ สะดวกตอ่ ผู้ใชบ้ รกิ าร 3.5 การจัดเก็บโสตทัศนูปกรณ์ อุปกรณ์ท่ีใช้สาหรับส่ือโสตทัศน์ต่างๆ มักมีลักษณะ เฉพาะ มีรูปทรง รูปร่าง ขนาดท่ีแตกต่างกนั ส่วนใหญ่มักมีตู้ โต๊ะ หรือช้ันสาหรบั วาง หรืออาจใช้วิธตี ิด ผนัง แขวนจากฝ้าเพดานลงมา การจัดวางให้อยู่ในลักษณะท่ีม่ันคงถาวร เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย กับอุปกรณ์ภายใน เช่น การติดต้ังโทรทัศน์ขนาดใหญ่ในห้องชมภาพยนตร์เป็นกลุ่มควรจัดไว้ชิดผนัง อยใู่ นจดุ ศูนย์กลางท่ีผู้ชมสามารถมองเห็นได้อย่างทวั่ ถึง ติดต้งั คอมพิวเตอร์สาหรับยืนสืบค้นขอ้ มูลบน ชนั้ ลอยชิดผนังใกล้ทางเข้า-ออกเพ่ือให้ใช้สืบค้นข้อมลู ได้สะดวก การจัดวางโสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ ควร ใหค้ วามระมดั ระวงั ไม่ใหแ้ สงแดดส่องถึง หรอื ความชนื้ ซงึ่ จะมีผลทาให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องมือ ต่างๆ ไดง้ า่ ย 3.6 การจัดเก็บวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ หากมีพ้ืนท่ีมากพอควรมีห้องเก็บของ ที่รวมเก็บ วัสดุอุปกรณต์ า่ งๆ และมกี ารออกแบบท่ีจัดเก็บให้เหมาะสม กับชนิดหรือประเภทของอปุ กรณเ์ หล่านั้น เชน่ กล่องรวมเก็บม้วนผ้าแรกซีน กระดาษแรกซีน ควรเก็บในแนวตั้งเพือ่ ประหยัดเนื้อท่ีและหยบิ ใช้ได้ สะดวก กระดาษแข็งทาปกควรวางนอนราบเรียงซ้อนไว้บนพ้ืนหรือบนช้ัน เน่ืองจากมีน้าหนักมาก และป้องกันการบิดงอ เป็นต้น จัดวางสิ่งของต่างๆ โดยคานึงความสะดวกในการใช้งาน เป็นระเบียบ หยิบง่าย หายรู้ ดูงามตา การออกแบบและตกแต่งภายในเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ และมีความสาคัญต่อองค์การ บริการสารสนเทศอย่างมาก หากองค์การมีอาคารสถานที่สวยงาม มีครุภัณฑ์ วัสดุอปุ กรณ์ต่างๆ ครบ ครัน แต่ไม่สามารถจัดวางหรือตกแต่งให้ลงตัวสวยงาม นอกจากไม่เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นแล้ว อาจก่อให้เกิดปัญหาในการใช้งาน ทาให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความยากลาบาก เสียค่าใช้จ่ายไป โดยเปล่าประโยชนห์ รือไมค่ มุ้ ค่ากบั การลงทุน ผบู้ รหิ ารองค์การบรกิ ารสารสนเทศจึงต้องให้ความใสใ่ จ และอาจมีการปรับเปล่ยี นจดั วางในรูปแบบใหม่บ้าง เพ่อื เปลี่ยนมุมมองและสร้างจุดสนใจ ไม่ทาให้เกิด ความเบ่ือหน่ายหรือซ้าซาก ความเป็นระเบียบสวยงามของอาคารสถานที่ เป็นภาพลักษณ์อย่างหนึ่ง ขององค์การบริการสารสนเทศ ช่วยจูงใจและเชิญชวนให้ผู้ใช้บรกิ ารสนใจเข้าใช้บริการ และทาให้ผู้ใช้ อยากอยู่ในห้องสมุดนานๆ ปัจจัยหน่ึงกม็ าจากการออกแบบและตกแต่งนน่ั เอง

155 ภาพที่ 7.5 ตัวอยา่ งครุภัณฑแ์ ละการจัดวางครภุ ณั ฑใ์ นองค์การบริการสารสนเทศ สรปุ การบริหารจัดการอาคารสถานที่ ครุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ขององค์การบริการ สารสนเทศเป็นภาระงานท่ีต้องดาเนินการต่อเน่ือง นอกเหนือจากการจัดหาทรัพยากรสารสนเทศมา ให้บริการแล้ว องค์ประกอบที่สนับสนุนให้บุคลากรในองค์การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล มีความสุขในการทางาน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกสบาย มีความสุข และพึงพอใจ ทาให้การดาเนินงานขององค์การบริการสารสนเทศประสบสาเร็จตามวัตถุประสงค์ใน การเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าวิจัย แหล่งเรียนรู้แลกเปล่ียนประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ เป็นไปตาม จุดมุ่งหมายท่ีองค์การกาหนดไว้ ผู้บริหารจึงต้องวางแผน จัดหา ตกแต่ง รวมทั้งดูแลรักษา อาคาร สถานท่ี ครุภัณฑ์ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ให้อยู่ในสภาพท่ีพร้อมใช้งานอยู่เสมอ และคานึงถึงความสะอาด สวยงาม ความเป็นระเบียบ ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการองค์การ บริการสารสนเทศ ภาพท่ีผู้ใช้บริการและคนทั่วไปได้พบเห็น จะเป็นเหมือนกระจกเงาท่ีสะท้อน ศักยภาพของผู้บริหารและบุคลากรในองค์การ อย่างไรก็ตามความ สาเร็จขององค์การบริการ สารสนเทศไม่ได้อยู่แค่รูปลักษณ์ภายนอกท่ีมองเห็นจากอาคารสถานที่เท่านั้น แต่ความท้าทายอยู่ที่ ความสามารถในการจัดการทรัพยากรสารสนเทศให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้เฉพาะบุคคล และลดช่องว่างในการเข้าถึงสารสนเทศให้กับผู้ใช้บริการในสังคม (Trauth, 2003: 1335) องค์การ บริการสารสนเทศจึงต้องใหค้ วามสาคัญกับทง้ั สองสว่ นอย่างเทา่ เทียมกนั

156 คาถามท้ายบท 1. การทีอ่ งค์การบรกิ ารสารสนเทศมีอาคารเปน็ เอกเทศมผี ลอย่างไรต่อผูใ้ ชบ้ ริการ จงอธิบาย 2. ขนั้ ตอนแรกที่มีความสาคัญมากในการออกแบบห้องสมุดคือสิง่ ใด เพราะเหตุใด 3. จงอธบิ ายลักษณะทตี่ ้ังขององค์การบริการสารสนเทศทด่ี ีมาอย่างน้อย 5 ข้อ 4. สง่ิ สาคัญท่สี ุดในการออกแบบพน้ื ทีใ่ นห้องสมุดทุกแหง่ คอื อะไร เพราะเหตุใด 5. จงอธิบายวธิ ีการออกแบบตกแตง่ ภายในห้องสมดุ ที่จูงใจผใู้ ช้บริการมาอยา่ งน้อย 5 ข้อ 6. 5ส คืออะไร ประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง มปี ระโยชน์อย่างไรต่อองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 7. ในหลกั 10 ประการของออกแบบองคก์ ารบริการสารสนเทศ “อาหารพร้อม เคร่ืองด่ืมมี” หมายความวา่ อย่างไร ควรดาเนนิ การในเรื่องน้อี ย่างไร 8. ครภุ ณั ฑ์ของห้องสมดุ มีอะไรบ้าง จงยกตวั อยา่ งมาอย่างน้อย 10 ชนิด 9. จงอธิบายหลักในการจัดวางครภุ ัณฑ์ในองค์การบรกิ ารสารสนเทศทีเ่ หมาะสมมาพอสงั เขป 10. จงอธิบายหลกั ในการคดั เลือกช้นั เก็บหนงั สอื และบอกวิธีการจัดเก็บหนังสือในช้นั ท่ีเหมาะสม

157 เอกสารอ้างอิง กรมสง่ เสรมิ การปกครองท้องถนิ่ . (2559). หอ้ งสมุดแนวใหมแ่ ละห้องสมุดในอนาคต. [ออนไลน์], แหล่งท่มี า HTTP: http://www.dla.go.th/work/e_book/eb1/stand17/pdf. จิระพงศ์ เรอื งกนุ . (2559). HR สีเขียว : การบูรณาการระบบการจัดการสงิ่ แวดล้อมกับการจดั การ ทรพั ยากรมนษุ ย์เพอ่ื สร้างความได้เปรยี บในการแข่งขัน. ใน พยัต วุฒริ งค์ (บรรณาธิการ), การบริหารทรพั ยากรมนษุ ยใ์ นทศวรรษหน้า (หน้า 195-205). กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพ์แห่ง จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทรงพันธุ์ เจมิ ประยงค์. (2557). การใหบ้ ริการห้องสมดุ สมยั ใหม่ : แนวโน้มในปจั จุบันและความท้า ทายในอนาคต. ใน การพัฒนาห้องสมุด แนวโน้มในปจั จุบันและความท้าทายในอนาคต (หน้า 72-94). กรุงเทพฯ: สานกั หอสมดุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ ทิพวรรณ บุณยเ์ พม่ิ . (2545). การจดั อาคารสถานท่ี สภาพแวดล้อมสถาบันบรกิ ารสารสนเทศ. ใน ประมวลสาระชดุ วิชาการจัดการขัน้ สุงสาหรับสถาบนั บริการสารสนเทศ (หนา้ 267- 326). นนทบุรี: สาขาวชิ าศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. นาวา วงษพ์ รม. (2559). ห้องสมดุ มีชีวิต ใน เอกสารประกอบการอบรมพัฒนาศกั ยภาพผูใ้ ห้บริการ แหล่งการเรยี นรู้สาธารณะ เทศบาลนครอุดรธานี. อดุ รธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏ อดุ รธานี. ปิยนชุ สุจิต. (2551). การบรหิ ารจัดการสถาบันบรกิ ารสารสนเทศ. กรุงเทพฯ: คณะมนุษยศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนสนุ นั ทา. มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อดุ รธาน.ี (2558). ประกาศมหาวิทยาลัยราชภฏั อุดรธานี เรือ่ งมาตรฐาน 5ส มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี. อดุ รธานี: ผ้แู ต่ง. ยุพิน เตชะมณี. (2553, พฤษภาคม-สิงหาคม). ห้องสมดุ มชี วี ิต : ใคร อะไรมชี ีวติ . สารสนเทศ ศาสตร์. 28(2): 61-72. รงุ่ ทิพย์ เจริญศักดิ์. (2558). การพัฒนาห้องสมุดประชาชนตามรูปแบบแนวคิดห้องสมุดมีชวี ติ . อินฟอรเ์ มช่ัน. 22(1): 69-78. โลหะประทปี อตุ สาหกรรม จากดั , บรษิ ัท. (2559). กลุ่มสินค้าและบรกิ ารลกู ค้าหอ้ งสมุด. [ออนไลน์], แหลง่ ท่ีมา HTTP: http://www.lpi.co.th/product_group.php?cid=1. สมบตั ิ วงอศั วนฤมล. (2551). การออกแบบตกแตง่ ภายในหอ้ งสมุดสมัยใหม.่ ใน การพฒั นา หอ้ งสมุดยคุ ใหม่ (หน้า 47-60). กรุงเทพฯ: สานกั หอสมุด มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภส์ มเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราช กมุ ารี . (2559). ประกาศสมาคมห้องสมดุ แห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภส์ มเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรอ่ื งหอ้ งสมุดสเี ขยี ว พ.ศ. 2548. [ออนไลน์], แหล่งที่มา HTTP: http://conference.tgo.or.th/download/tgo_or _th/news/2015/apr/20150408-greenlib-criteria-final-format. pdf.

158 สมาคมห้องสมุดแหง่ ประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราช กุมารี. (2559). ประกาศสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชปู ถัมภ์สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่องมาตรฐานหอ้ งสมดุ พ.ศ. 2549. [ออนไลน์], แหลง่ ทีม่ า HTTP: http://tla.or.th/index.php/about-association /standard. ------------. (2559). สินค้าและบริการ. [ออนไลน์], แหลง่ ทมี่ า HTTP: http://tla.or.th/index .php/product-and-service. สยามไลบราร่ี. (2559). สนิ ค้าและบรกิ าร. [ออนไลน์], แหล่งที่มา HTTP: http://www.siam library.com/product.php?typeproduct=%&search=%. Chang, Allister. (2016). How We Can Find Focus with Flexibility in Our Libraries. Knightfoundation. 2016, 15 March. [Online], Available HTTP: https://knight foundation.org/articles/how-we-can-find-focus-flexibility-our-libraries. Choy, Fatt Cheong & Goh, Su Nee. (2016). A Framework for Planning Academic Library Spaces. Library Management. 37(12): 13-28, [Online], Available HTTP: https://doi.org/10.1108/LM-01-2016-0001. Gisolfi, Peter. (2014) UpClose : Designing 21st-Century Libraries | Library by Design, Spring 2014. Library Journal. 2014, June 16. [Online], Avialable HTTP: http://lj.libraryjournal. com/2014/06/buildings/lbd/upclose-designing-21st- century-libraries-library-by-design-spring-2014/. Innovation. (2016). 10 Ways Digital Disruption Can Yield the Library of the Future. [Online], Available HTTP: https://digitalsparkmarketing.com/library- management/. Seal, Robert A. (2015). Library Spaces in the 21st Century : Meeting the Challenges of User Needs for Information, Technology, and Expertise. Library Management. 36(8/9): 558-569, [Online], Available HTTP: https://doi. org/10.1108/LM-11-2014-0136. Supaporn Chaithammapakorn. (2015). 2010 Top Ten in Academic Libraries : A Reviews of the Current Literature. Applied ICT for Executive Librarians. Bangkok: Science and Technology Knowledge Services (STKS). Trauth, Eileen M. (2003). Information Resource Management. In Encyclopedia of Library and Information Science (volume 2, p.1325-1337). Miriam A. Drake. (edited). 2nd ed. USA: Mared Dekker. Zhixian Yi. (2016). Knowledge Management for Library Building Design. Library Management. 37(1/2): 2-12, [Online], Available HTTP: https://doi.org/10. 1108/LM-2015-0034.

แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 8 การจัดการเทคโนโลยแี ละนวตั กรรม เวลาเรยี น 6 คาบ เนือ้ หา 1. หลกั การจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบริการสารสนเทศ 2. ภาระหน้าทีข่ องานเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่ือการจดั การองคก์ ารบริการสารสนเทศ 4. แนวทางการจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศในองค์การบรกิ ารสารสนเทศ 5. การประยุกต์ใชเ้ ครื่องมือทางสงั คมกบั องค์การบริการสารสนเทศ 6. การพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบริการสารสนเทศ 7. ความหมายของนวตั กรรม 8. ประเภทของนวตั กรรม 9. การพฒั นาองค์การบริการสารสนเทศเป็นองคก์ ารแหง่ นวัตกรรม 10. กลยทุ ธก์ ารเลอื กใชน้ วัตกรรมเชงิ เทคโนโลยี 11. การจัดการนวัตกรรมองคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศโดยใช้วิธเี รม่ิ ต้นแบบลีน 12. การสร้างตราสนิ คา้ องค์การ 13. องค์การแหง่ การเรยี นรู้ วัตถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม เม่อื นักศึกษาเรียนจบบทนี้แลว้ สามารถ 1. อธิบายหลกั การจัดการเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบรกิ ารสารสนเทศได้อย่าง ถกู ต้อง 2. เมือ่ กาหนดโจทย์ให้ สามารถชแ้ี จงแนวทางการจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศในองค์การ บรกิ ารสารสนเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 3. ยกตัวอยา่ งการประยุกต์ใช้เคร่อื งมือทางสังคมที่สอดคล้องเหมาะสมกบั องคก์ ารบริการ สารสนเทศได้

160 4. เมอ่ื กาหนดปัญหาในองค์การบรกิ ารสารสนเทศให้ สามารถอภปิ รายแนวทางการ พฒั นาบคุ ลากรดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศเพื่อแกไ้ ขปญั หาได้ 5. เมื่อสาธิตการปฏิบัติงานเทคโนโลยีสารสนเทศให้ดูแล้ว สามารถปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะ บุคลากรงานเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างถูกตอ้ ง 6. ตระหนกั ถึงความสาคญั และศึกษาเรยี นรู้นวัตกรรมเพื่อนามาใชใ้ นการปฏิบัตงิ าน บริการสารสนเทศ โดยระบุความสาคัญของการศึกษาเรียนรู้นวตั กรรมอย่างน้อย 5 ข้อ 7. พิจารณาแนวทางการพัฒนาองค์การบริการสารสนเทศเป็นองค์การแห่งนวัตกรรม สามารถเลือกกลยุทธน์ วัตกรรมเชงิ เทคโนโลยีท่เี หมาะสมมาใช้กบั องค์การบริการสารสนเทศได้ 8. หลังจากการฟังบรรยายกรณศี ึกษา สามารถประยุกต์ใช้หลักการจดั การนวัตกรรมแบบ ลนี การสรา้ งตราสนิ ค้าองคก์ าร และองค์การแหง่ การเรยี นรู้ เพ่ือใชก้ ับองคก์ ารบริการสารสนเทศได้ 9. หลังจากการชมการสาธิตแล้ว มีทักษะในการนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการ ดาเนนิ งานในองค์การบริการสารสนเทศได้อยา่ งถกู ต้อง วิธสี อนและกิจกรรม 1. บรรยายและอภปิ ราย ประกอบเอกสารการสอน และ Power point เน้ือหาบทท่ี 8 2. บรรยายหลกั การการจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศขององค์การบริการสารสนเทศ แลว้ ซักถามเพื่อทบทวนความรคู้ วามเข้าใจ 3. แบง่ กลุ่ม เป็น 3 กลุ่ม ให้อา่ นโจทยแ์ นวทางการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ ใหห้ า แนวทางในการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศในการปฏบิ ัติงานบรหิ าร งานเทคนคิ และงานบรกิ าร แล้ว ออกมานาเสนอ และร่วมกันอภิปราย สรปุ 4. ศึกษาหนังสอื คู่มือ อนิ เทอร์เนต็ เพอื่ นาเสนอผลการศึกษาค้นคว้า 5. ยกตวั อยา่ งกรณีศึกษาองคก์ ารบริการสารสนเทศ แลว้ มอบหมายใหแ้ ตล่ ะกล่มุ ทาใบ งาน “ศกึ ษาดงู าน ห้องสมดุ วิทยาลัยและมหาวทิ ยาลยั ” ศึกษาคน้ ควา้ และนาเสนอในประเด็น เครอ่ื งมือทางสงั คม นวัตกรรม ตราสนิ คา้ องคก์ าร องค์การแห่งการเรียนรู้ และแนวทางการพัฒนา บคุ คลากรด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศของห้องสมุดแตล่ ะแห่ง นาเสนอหน้าช้นั เรยี นรายกลุ่มและจัดทา เป็นรายงานสง่ 6. สาธิตการใช้เทคโนโลยใี นหอ้ งสมุด แลว้ ใหผ้ ศู้ กึ ษาฝึกปฏบิ ัตงิ านเทคโนโลยีสารสนเทศ ในสานักวิทยบริการคนละ 1 ครัง้ เป็นอย่างน้อย 7. นาชมการสาธติ ชมการนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการดาเนินงานในองคก์ าร บรกิ ารสารสนเทศ และให้นกั ศึกษาลองฝกึ ปฏิบตั ิเพ่ือประเมนิ ทักษะรายกล่มุ 8. ทดสอบประเมนิ ผลรายบทโดยใชแ้ บบทดสอบ

161 สื่อการเรียนการสอน 1. เอกสารคาสอนวชิ า การจดั การองค์การบริการสารสนเทศ บทท่ี 8 2. แผ่นดสิ เก็ต Power point บทท่ี 8 3. ระบบหอ้ งสมุดอัตโนมัติ 4. แผ่นภาพ แผนภมู ิ ใบงาน 5. แบบประเมนิ ผล และแบบทดสอบ การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตความสนใจและการรว่ มกจิ กรรม 2. ตรวจผลงานทมี่ อบหมาย และการรายงานหนา้ ชัน้ เรยี น 3. ประเมินผลจากการถามตอบ การอภปิ ราย 4. ตรวจแบบทดสอบ แบบประเมนิ ผลการเรียน 5. ประเมินผลการฝกึ งาน

162

163 บทท่ี 8 การจัดการเทคโนโลยีและนวตั กรรม ปัจจบุ ันองคก์ ารสารสนเทศยคุ ใหมม่ ีการตน่ื ตัวและพฒั นาศักยภาพในด้านต่างๆ เพือ่ ให้กา้ ว ทนั กับการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็วของเทคโนโลยี สถานการณท์ างสังคม เศรษฐกิจ ฯลฯ การแขง่ ขัน กันในการปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ก้าวสู่การยอมรับและการเป็นผู้นา คือส่ิงท่ีผู้บริหารองค์การ บริการสารสนเทศยุคใหม่ต้องให้ความสนใจมากยิ่งข้ึน องค์ประกอบสาคัญที่อย่างหน่ึงทาให้องค์การ บริการสารสนเทศได้รับการยอมรับมากท่ีสุด คือ เทคโนโลยีท่ีนามาใช้ในการบริหารจัดการในองค์การ การติดตามนวัตกรรมใหม่ที่จะส่งผลให้การดาเนินงานเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ และผลจากการ ปฏิบัติงานท่ีได้มาตรฐานเทียบเท่าหรือดีกว่าองค์การอื่น การจัดการองค์การบริการสารสนเทศในยุค ใหม่ จึงไม่ได้มุ่งหวังท่ีจะสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายแต่เพียงกลุ่มเดียว เท่าน้ัน แต่ยังหมายรวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ ความประทับใจ ช่ือเสียงเกียรติยศ และความ ภาคภูมิใจให้กับองค์การ สร้างความประทับใจและการยอมรับ จากสาธารณชนท้ังในระดับชาติและ ระดับนานาชาติ การจดั การเทคโนโลยขี ององค์การบรกิ ารสารสนเทศ วิสัยทัศน์เชิงนโยบายของประเทศที่เป็นเศรษฐกิจแบบเดิมไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคล่ือนด้วย นวัตกรรม โดยนาเทคโนโลยีและการบริหารจัดการรูปแบบใหม่ ท่ีเรียกว่า Thailand 4.0 แนวทางใน การสานพลงั ประชารฐั ซึ่งหมายถึงการมีส่วนรว่ มของทุกภาคสว่ น ไมเ่ ว้นแม้องค์การบรกิ ารสารสนเทศ ท่ีจะตอ้ งมโี ครงสรา้ งด้านการสอ่ื สารและโทรคมนาคมที่มีคุณภาพ มรี ะบบเครอื ขา่ ยทส่ี ามารถเชอ่ื มโยง ทุกภาคส่วนได้อย่างสมดุล (เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, 2559: 1) จากการดาเนินงานในองค์การท่ีเป็น แบบ “ทามาก ได้น้อย” จึงตอ้ งปรับเปลี่ยนเป็น “ทาน้อย ได้มาก” การนาเทคโนโลยีทีเ่ หมาะสมมาใช้ ในการบริหารจัดการองค์การบริการสารสนเทศ จะช่วยให้การบริหารการปฏิบัติงานมีศักยภาพสูงข้ึน เปล่ียนรูปแบบจาการบริการแบบเดมิ ให้กลายเป็นบรกิ ารทีม่ ีมูลค่า และสร้างคุณลักษณะของบคุ ลากร ให้มีความรู้ ความเชีย่ วชาญ มีทกั ษะสูงขน้ึ ด้วย เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร เป็นเคร่ืองมือสาคัญขององค์การบริการสารสนเทศ ยุค 4.0 เครือข่ายคอมพิวเตอร์ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงทรัพยากรสารสนเทศ ท้ังสงิ่ ตีพิมพ์ สื่อ โสตทัศน์ และส่ืออิเล็กทรอนิกส์ จากผลการวิจัยสถานภาพห้องสมุดดิจิทัลในประเทศไทยกรณี ห้องสมดุ สถาบนั อุดมศึกษา (สจุ นิ บตุ รดสี ุวรรณ และ อี รามา เรดด,ี้ 2551: 17) พบวา่ การใหบ้ ริการ ส่ืออิเล็กทรอนิกส์มีผลกระทบในวงกว้างกับองค์การบริการสารสนเทศทุกแห่ง ส่งผลผู้ใช้สามารถ สืบค้นและใช้บริการแบบทางไกลผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ในรอบ 10 ปีที่

164 ผ่านมา การปฏิบัติงานต่างๆ ขององค์การบริการสารสนเทศยิ่งถูกยกระดับให้เป็นงานท่ีต้องอาศัย ผชู้ านาญการดา้ นเทคโนโลยี องคก์ ารบริการสารสนเทศบางแหง่ มีระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็ แยกจาก หนว่ ยงานหลัก มีแผนกฝา่ ยที่รับผดิ ชอบดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารโดยเฉพาะ แตกตา่ ง จากในอดีตท่ีผ่านอย่างสน้ิ เชิง 1. หลกั การจดั การเทคโนโลยสี ารสนเทศขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ การบริหารจัดการเทคโนโลยีขององค์การบริการสารสนเทศ มีแบบแผนเช่นเดียวกับ การหลกั บรหิ ารจดั การทัว่ ไป (ครรชติ มาลยั วงศ,์ 2545: 199) ได้แก่ 1.1 การวางแผน ได้แก่ การวางแผนเกี่ยวกับการดาเนินงานเทคโนโลยีสารสนเทศ และการบรกิ ารท่เี กยี่ วขอ้ ง โดยมแี ผนยทุ ธศาสตร์ แผนปฏบิ ัติการ โครงการและกิจกรรมตา่ งๆ 1.2 การจัดองค์การและกาลังคน ได้แก่ การจัดโครงสร้างหน่วยงานด้านเทคโนโลยี สารสนเทศ กาหนดสายงาน ระบุจานวนคน ตาแหน่งหน้าท่ี ความรบั ผิดชอบ รวมทั้งแต่งตั้งบุคลากร ใหส้ ามารถปฏิบตั ิหน้าท่ไี ดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ 1.3 การควบคุมการดาเนินงาน ได้แก่ การกาหนดระยะเวลาในการดาเนินงานให้ แล้วเสร็จ หรือปริมาณและคุณภาพของการปฏิบัติงาน โดยมีการส่ังการ และควบคุมการปฏิบัติงาน อย่างใกล้ชดิ 1.4 การประกันคุณภาพ ได้แก่ การตรวจสอบผลการดาเนินงานว่าเป็นไปตาม แผนงาน วัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่กาหนดไว้หรือไม่ เม่ือเกดิ ปัญหาและอุปสรรคต้องจัดการแก้ไข ใหส้ ามารถดาเนินงานให้เปน็ ไปตามกาหนด 1.5 การรายงานผลการดาเนินงาน ได้แก่ การรายงานผลการปฏิบัติงาน ผลการ ดาเนินงาน ท้ังการรายงานด้วยวาจา ด้วยรายงานในรูปแบบเอกสาร หรือสื่อชนิดต่างๆ เป็นการ นาเสนอผลงานใหผ้ ูบ้ งั คบั บญั ชา หรอื ผู้บรกิ ารไดร้ บั ทราบ 1.6 การจัดทางบประมาณ ได้แก่ การกาหนดรายละเอียดของงบประมาณที่ต้องการ ใช้ การใชง้ บประมาณ แลว้ นาเสนอต่อผู้บรหิ ารและผู้เกี่ยวข้อง 2. ภาระหนา้ ที่ของงานเทคโนโลยสี ารสนเทศ การที่องค์การบริการสารสนเทศต้องบริหารจัดการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบ การส่ือสาร ระบบเครือข่ายและฐานข้อมูลต่างๆ ด้วยตนเองมากข้ึน ผู้บริหารต้องมีการกากับดูแลใน ดา้ นตา่ งๆ ทสี่ าคญั ดงั นี้ (ครรชิต มาลยั วงศ,์ 2551: 67-70) 2.1 การดูแลให้ระบบใช้งานได้ทั่วถึงตลอดเวลา ผู้บริหารจะต้องกาหนดผรู้ ับผิดชอบ คอยแก้ไขซ่อมแซมอุปกรณ์และระบบให้ใช้งานได้ตลอดเวลา ต้องกาหนดข้ันตอนในการรับแจ้งปัญหา เร่ืองคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ขัดข้อง อาจจัดให้มีบริการแจ้งสายด่วน (Hot Line) คอยให้ คาแนะนาการแก้ไขทางโทรศัพท์ อีเมล์ หรือการส่งช่างไปตรวจซ่อมแก้ไขถึงโต๊ะทางานของบุคลากร หรือในจุดท่ีอุปกรณ์นั้นตั้งอยู่ กรณีท่ีช่างไม่สามารถแก้ไขได้ ต้องพิจารณาเรียกช่างจากบริษัทผู้ จาหน่ายมาซ่อมแซมหรือส่งไปซ่อมที่บริษัท หากห้องสมุดไม่มีช่างเทคนิคด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ควรทาความตกลงกับศนู ยค์ อมพิวเตอรเ์ พ่อื ให้สามารถสง่ ซ่อม และนากลบั มาใช้ไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว

165 2.2 การจัดการหน่วยเก็บข้อมูล หน่วยเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ เช่น จานแม่เหล็ก แผนซีดีรอม แผ่นซีดี เทปแม่เหล็ก ฯลฯ เป็นวัสดุท่ใี ชใ้ นการจัดเก็บสารสนเทศเพ่ือการบริการและการ ปฏิบัติงาน จาเป็นต้องหาวิธีการจัดการ เพื่อรักษาและคงสภาพเน้ือหา เร่ืองราวไว้ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ ไมใ่ ห้เกิดชารดุ สญู หาย หรือเสียหาย 2.3 การจัดการคอมพิวเตอร์และเครือข่าย ผู้บริหารต้องกาหนดนโยบายในการจัดหา กาหนดมาตรฐานดา้ นเทคนิคต่างๆ เพื่อใหเ้ ป็นระบบเปน็ แบบเดียวกันและใชง้ านรว่ มกันได้ การจัดทา สัญญาการซ้ือ เช่า หรือดูแลรักษา การติดตามและประเมินสมรรถนะในการใช้งาน การปรับปรุงให้ สามารถใช้งานได้ตามสมรรถนะท่ีต้องการ การจัดระบบคลังพัสดุอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารขององค์การบริการสารสนเทศ เพื่อการให้พร้อมและรองรับการใช้งานได้อย่างมี ประสิทธภิ าพ 2.4 การดูแลระบบเครือข่าย องค์การบริการสารสนเทศต้องมีระบบเครือข่าย คอมพิวเตอร์ทส่ี ามารถติดตอ่ สื่อสารทัง้ ภายในและภายนอกองค์การ การดูแลระบบเครอื ข่ายใหพ้ ร้อม ใช้งานอยู่ตลอดเวลา รวมท้ังจัดเก็บข้อมูลจราจรของเซิร์ฟเวอร์ เพ่ือให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทาผิดเก่ยี วกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (ราชกจิ จานเุ บกษา, 2550: 5) 2.5 การบริหารการปฏิบัติงานประจาวัน งานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแต่ละแห่ง ย่อมมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับจานวนระบบที่นามาใช้ นโยบายการใช้งาน เม่ือมีการนาระบบ ห้องสมุดอัตโนมัติมาใช้ในการปฏิบัติการ ผู้ใช้บริการต้องสามารถสืบค้นสารสนเทศได้ตลอดเวลา องค์การบริการสารสนเทศจึงต้องมีบุคลากรทาหน้าที่ดูแลระบบ ควบคุมแก้ไขปัญหาท่ีจะเกิดขึ้น ตลอดเวลา การบันทึกข้อมูลเข้า หรือนาข้อมูลออก การสารองข้อมูลและโปรแกรม การกู้ระบบ การ ติดต้ังระบบและโปรแกรมใหม่สาหรับผู้ใช้งาน ฯลฯ เป็นภาระหน้าท่ีที่ผู้บริหารต้องมีการมอบหมาย งานอย่างชัดเจน 2.6 การบริหารการพัฒนาระบบสารสนเทศและซอฟแวร์ องค์การบรกิ ารสารสนเทศ แห่งใดท่ีมีความพร้อม การพัฒนาระบบสารสนเทศและซอฟแวร์ใหม่ขึ้นใช้ในองค์การเอง มีผลดีต่อ การนามาใช้งานได้สอดคล้องกบั ความต้องการของผู้ปฏิบัติงาน ประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อ ทา ให้ผู้ดาเนินโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศและซอฟแวร์ได้พัฒนาศักยภาพ และมีผลงานอย่างเป็น รูปธรรม ทง้ั นี้บรรณารักษ์หรือผ้ปู ฏบิ ัติทท่ี เ่ี กี่ยวข้องต้องมีส่วนร่วมในการดาเนินโครงการเพ่อื ใหผ้ ลการ พฒั นาออกมาเปน็ ที่นา่ พอใจและนามาใช้ประโยชนไ์ ด้จรงิ 2.7 การจัดการบุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากงานเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นงานที่ต้องใช้ความเช่ียวชาญเฉพาะด้าน บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยี สารสนเทศในองค์การบริการสารสนเทศ จึงต้องได้รับโอกาสให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมกับ ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์คอมพิวเตอร์หรือสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ (Binh, 2015) จึงจะสามารถ รักษาบุคลากรท่มี คี วามรคู้ วามสามารถไวใ้ นองคก์ ารนานๆ 2.8 การรักษาความปลอดภัยและความม่ันคง ข้อมูลและสารสนเทศต่างๆ ของ องค์การบริการสารสนเทศมีความสาคัญมาก ผู้บริหารจะต้องวางแผนและดาเนินการเพื่อขจัดความ เส่ียงหรือเหตุปัจจัยท่ีจะทาเกิดความเสียหายแก่ข้อมูลและสารสนเทศท่ีมีอยู่ ท้ังจากผู้ไม่หวังดีหรือ

166 เหตุการณท์ ่ีเปน็ อบุ ตั ิภยั ตา่ งๆ ต้องจัดให้มรี ะบบการรกั ษาความมั่นคงของอปุ กรณ์ และความปลอดภัย ของระบบทเี่ หมาะสมและทนั สมยั 3. เทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ การจดั การองค์การบริการสารสนเทศ การดาเนินงานขององค์การบริการสารสนเทศในปัจจุบันมีความจาเป็นต้องใช้ เทคโนโลยีต่างๆ มาเป็นเคร่ืองมือในการปฏิบัติงานทุกข้ันตอน โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศที่ ประกอบด้วย เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม เทคโนโลยีซอฟแวร์ เป็นต้น การนาเทคโนโลยีมาใช้ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะของงานแต่ละประเภทน้ัน จาเป็นต้องมกี ารลงทุนท้ังใน ด้านงบประมาณ ทรัพยากร บุคลากร การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ให้คุ้มค่ากับการ ลงทุน จึงเป็นส่ิงที่องค์การจะต้องพิจารณา และเลือกลงทุนเฉพาะส่วนที่เห็นว่าสาคัญและก่อให้ ประโยชน์กับองค์การมากที่สดุ การพิจารณานาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาประยุกต์ใช้เพ่ือการจดั การใน ดา้ นตา่ งๆ ท่ีสาคญั มดี ังนี้ (ณฐั วฒุ ิ พงศส์ ิร,ิ 2559: 53-55; ปทั มาภรณ์ ธรรมทัต, 2556: 35-36) 3.1 การจัดการงานสานักงาน งานสานักงานขององค์การบริการสารสนเทศ ประกอบด้วยงานธุรการและงานสารบรรณเป็นงานหลัก แต่ในความเป็นจริง สานักงานคือศูนย์กลาง ในการจัดเก็บเอกสาร ข้อมูล สารสนเทศท้ังหมดในองค์การ ทั้งการผลิต การจัดเก็บเอกสารไว้เป็น หลักฐานเพ่ือการตรวจสอบและอ้างอิง การรวบรวมจัดหาขอ้ มูลข่าวสารเพื่อสอ่ื สารทั้งภายในภายนอก องค์การ การสืบค้นให้บริการ การทาลายและจาหน่ายออก ทาให้มีการนาระบบสานักงานอัตโนมัติ (Office Automation/E-Office) มาใช้ในการปฏิบัติงาน เทคโนโลยีท่ีใช้ในระบบประกอบด้วย เทคโนโลยีประมวลภาพลักษณ์ (Image Processing) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การจัดปฏิทินนัดหมาย (Calendar) การประชุมทางไกล (Tele-Conference) การทางานกลุ่ม (Workgroup) และกระแสงาน (Workflow) เป็นต้น 3.2 การจัดเก็บข้อมูลและจัดทาฐานข้อมูล องค์การบริการสารสนเทศเป็นแหล่ง จัดเก็บรวบรวมข้อมลู ขา่ วสาร สารสนเทศต่างๆ เพอ่ื การให้บริการแก่ผู้ใชจ้ านวนมาก ข้อมูลทมี่ จี านวน มหาศาลต้องนามาจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถค้นคืนได้อย่างสะดวกรวดเร็ว การนา ข้อมูลมาจัดเก็บไว้จนมีปริมาณที่ส่ือบันทึกข้อมูลไม่สามารถบรรจุได้มากพอ จึงต้องมีการจัดทาระบบ ฐานข้อมูลเพ่ือรองรับจานวนข้อมูลขนาดใหญ่ที่เกินกว่าจะเก็บในส่ือบันทึก เช่น แผ่นซีดีรอม (CD- Rom) ดีวิดี (Digital Versatile Disk) เป็นต้น พัฒนาการด้านฐานข้อมูลมีความก้าวหน้าจนทาการ จัดเก็บและสืบคน้ ข้อมลู ทาได้อยา่ งถูกตอ้ ง สะดวกและรวดเรว็ 3.3 การบริการสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกลายเป็นเครื่องมือ สาคัญสาหรับงานบริการมาก โดยเฉพาะการนาระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (Automation Library System) ห้องสมุดดิจิทัล (Digital Library) หรือห้องสมุดเสมือน (Versual Library) มาใช้ในทุก ขั้นตอนการบริการ การนามาใช้ในการสืบค้นผ่านระบบโอแพค ใช้ในขั้นตอนการยืม-คืนทรัพยากร สารสนเทศต่างๆ ใช้ในการจัดพิมพ์ ดาวน์โหลด หรือส่งสารสนเทศไปยังผู้ใช้บริการ เป็นต้น ตลอด การสบื ค้นผ่านระบบเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ตเพ่ือการศึกษาค้นควา้ จากแหลง่ เรียนรู้อนื่ ๆ ไดท้ ุกที่ทุกเวลา

167 3.4 การบริหารจัดการระบบงานทรัพยากรบุคคล ข้อมูลของบุคลากรในองค์การ บริการบริการสารสนเทศนับว่ามีความสาคัญต่อการบริหารงาน ต้องมีการจัดระบบและนามาใช้ วเิ คราะห์ในเชิงลึก เทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีนามาใช้วางแผนอัตรากาลงั การบริหารบุคลากร ศักยภาพ รายบุคคล วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรางวัลกับคุณภาพการทางาน เช่น E-profile, HR Big Data, การนา Mobile Application มาประยุกต์ใช้เพ่ือมาสร้าง Digital HR ให้บุคลากรใช้ใน รปู แบบต่างๆ เปน็ ตน้ 3.5 การจัดทาสถิติและรายงาน การคานวณสถิติ การจัดทารายงานผลการปฏิบัติงาน โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตา่ งๆ เปน็ ความสะดวกสบายในการปฏิบัตงิ าน ขององค์การบริการสารสนเทศในปัจจุบัน ระบบการประมวลผลสามารถนาเสนอรายงานในรูปแบบ แผนผัง แผนภูมิ แผนภาพ กราฟทุกรูปแบบ ในทุกงวดการทางานที่ต้องการ ท้ังรายปี รายไตรมาส รายเดือน รายสัปดาห์ รายวัน หรือตามความต้องการ นอกจากนี้ยังสามารถพยากรณ์แนวโน้มท่ีจะ เกิดขน้ึ ในอนาคตได้ด้วย 3.6 การส่ือสารและการประชาสัมพันธ์ ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการ สอ่ื สารมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก บริการรูปแบบใหมๆ่ ที่จะนามาใชป้ ระโยชนเ์ พอื่ การส่ือสารและ การประชาสัมพันธ์เกิดขน้ึ อยู่ตลอดเวลา องค์การบริการสารสนเทศควรพิจารณานามาใช้ให้เหมาะสม กบั กลมุ่ เปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ เชน่ Website, Youtube, Twitter, Instagram, Line, เป็นตน้ ภาพท่ี 8.1 ตัวอยา่ งเว็บไซต์ สานักวทิ ยบรกิ ารมหาวทิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี

168 4. แนวทางการจัดการเทคโนโลยสี ารสนเทศในองค์การบริการสารสนเทศ การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่งของผู้บริหารองค์การ แนว ทางการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ ครอบคลุมด้านต่างๆ ดังนี้ (ครรชิต มาลัยวงศ์, 2545: 217- 222) 4.1 วางแผนการจัดหา องค์การบริการสารสนเทศควรกาหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ กาหนดความต้องการไว้ว่า ต้องการอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศอะไร ใช้เมื่อใด ต้องพัฒนาระบบ สารสนเทศอะไรบ้าง ต้องการบุคลากรด้านเทคโนโลยีจานวนเท่าใด แล้วแปลงไปสู่การปฏิบัติ เป็น แผนปฏิบัตกิ าร แผนงบประมาณ และดาเนินการตามแผนหลงั จากได้รบั การอนมุ ัติจากผู้บรหิ ารแลว้ 4.2 การจัดหาเทคโนโลยีสารสนเทศ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความจาเป็นของแต่ ละองค์การ ซึง่ สอดคล้องกบั ที่กาหนดไว้ในแผนงาน อุปกรณ์และเทคโนโลยีพืน้ ฐานทจี่ าเปน็ มดี ังนี้ 4.2.1 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ควรมีคณะทางานประกอบด้วยผู้เช่ียวชาญท่ีมี ความรู้เร่ืองมีการกาหนดคุณลักษณะด้านเทคนิคของอุปกรณ์รวมท้ังซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ต้องการอย่าง ละเอียด ควรจัดหาซอฟตแ์ วรท์ ี่มลี ขิ สทิ ธ์ิถูกต้องมาใช้ 4.2.2 ข้อมลู และสารสนเทศ เปน็ ส่วนประกอบสาคัญของการบรกิ ารสารสนเทศ องค์การต้องพิจารณารวบรวมจัดหาข้อมูลและสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ เพ่ือให้บริการแก่ผู้ใช้ โดย พิจารณาวิธีการที่เหมาะสม ด้วยจัดซ้ือ จัดทาขึ้นเอง ขอบริจาค แลกเปลี่ยนหรือร่วมมือกันใช้ใน ลกั ษณะเครอื ขา่ ย เป็นต้น 4.2.3 ฐานข้อมูลและระบบสารสนเทศ การจัดหาฐานข้อมูลและระบบ สารสนเทศในองค์การบริการสารสนเทศมีหลายลักษณะ ได้แก่ การจัดหาระบบท่ีมีผู้พัฒนาไว้แล้ว การดัดแปลงจากระบบท่ีมีผู้พัฒนาไว้แล้ว ระบบท่ีมีผู้เผยแพร่ให้ใช้ฟรี การพัฒนาระบบข้ึนเอง หรือ การรว่ มกนั พัฒนาในลกั ษณะเครอื ขา่ ยความร่วมมือ 4.2.4 ระบบสอ่ื สารโทรคมนาคม เป็นเคร่อื งมือสาคัญทจี่ ะเช่อื มต่อคอมพิวเตอร์ และอปุ กรณป์ ระกอบต่างๆ เขา้ ดว้ ยกัน เปน็ ระบบเครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตทเ่ี ช่ือมโยงระบบทง้ั ภายใน และภายนอก โดยใช้ระบบปฏิบัตกิ ารสาหรับเครือข่ายท่ีเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ ซง่ึ มกั จดั หามา พรอ้ มกบั อุปกรณค์ อมพวิ เตอร์ตา่ งๆ โดยใช้บรกิ ารจากผใู้ ห้บริการอนิ เทอร์เน็ต (Internet Service Provider : ISP) โดยพจิ ารณาจากชือ่ เสียง ความนา่ เช่ือ และศกั ยภาพในการใหบ้ ริการเป็นสาคัญ 4.2.5 บุคลากรสารสนเทศ ผู้บริหารต้องกาหนดกาลังคน และจัดหาบุคลากรใน ตาแหน่งต่างๆ ที่มีความรู้ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อมาปฏิบัติงาน เช่น เจา้ หน้าที่สารสนเทศ เจ้าหน้าท่ีระบบคอมพวิ เตอร์ วศิ วกรโทรคมนาคม นักเขียนโปรแกรมระบบ ผู้บริหารฐานขอ้ มลู เจา้ หนา้ ทีว่ เิ คราะห์ระบบ นกั วชิ าการคอมพวิ เตอร์ นกั เอกสารสนเทศ เปน็ ตน้ 4.3 การใช้และบารุงรักษาเทคโนโลยีสารสนเทศ เม่ือจัดหาเทคโนโลยีสารสนเทศมา ใช้แล้ว ต้องดูแลให้การใช้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กาหนดวธิ ีปฏิบัติงานให้ละเอียด และช้ีแจงแนว ปฏิบัติให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ หมั่นดูแลบารุงรักษาอุปกรณ์และระบบต่างๆ อย่างต่อเน่ืองสม่าเสมอ เพ่ือให้พร้อมสาหรับการใช้งานและไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และอาจมีการทาสัญญากับบริษัท ภายนอกที่มีความเช่ียวชาญในการบารุงรักษาหรือแก้ไขปัญหา นอกจากการบารุงรักษาวัสดุอุปกรณ์

169 ต่างๆ แล้วยังรวมถึงการป้องกันรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ทรัพยากรสารสนเทศขององค์การ ด้วย เช่น ป้องกันการเจาะเขา้ ส่รู ะบบเครือข่ายหรอื ฐานข้อมลู ปอ้ งกันการโจรกรรมข้อมูล เป็นตน้ เนื่องจากอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศมีการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่ ตลอดเวลา บางกรณีจาเป็นจะต้องจัดหาอุปกรณ์ท่ีมีคุณภาพสูงกว่า หรือจาเป็นต้องเปล่ียนแปลง ซอฟตแ์ วร์ที่ทันสมัยและมปี ระสิทธภิ าพกว่า ท้งั นเี้ พ่ือให้การทางานและให้บริการมีประสิทธิภาพสูงข้ึน สอดคล้องกับปริมาณงานและเทคโนโลยีที่เปล่ียนแปลงไป การจัดหาเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ใหม่ๆ จาเป็นตอ้ งใช้งบประมาณคอ่ นขา้ งสงู จึงต้องมกี ารประมาณการและกาหนดความต้องการไว้ลว่ งหนา้ 5. การประยกุ ตใ์ ช้เคร่ืองมือทางสังคมกับองคก์ ารบริการสารสนเทศ แม้ว่าองค์การบริการสารสนเทศจะเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการ ดาเนินงาน หากเลอื กผู้ใช้บริการหรอื ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์หรือโต้ตอบระหว่างกันได้ ก็ ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติงานหรือการให้บริการได้ การนาเทคโนโลยีที่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ย่อม สร้างความเข้าใจระหว่างบุคลากร ผู้มีส่วนเก่ียวข้อง และผู้ใช้บริการ เครื่องมือทางสังคมหรือสอ่ื สังคม ออนไลน์ท่ีทุกคนสามารถสื่อสารและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เน้ือหาสารสนเทศ และแบ่งปัน ความรขู้ ้อมูลข่าวสารในชุมชนออนไลน์ ท่สี ามารถนามาประยุกต์ใชใ้ นองคก์ ารบริการสารสนเทศมีดงั นี้ (สธุ ญั ญา ดว้ งอินทร์, 2556: 83-85; Doung-in, 2012: Abtract) 5.1 บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network Services) เพ่ือสรา้ งเครอื ข่าย ออนไลน์ระหว่างบุคลากรและผู้ใช้บริการ มีการแบ่งปันความสนใจและกิจกรรมที่ทาร่วมกับผู้อ่ืน เช่น แบ่งปันบทความ ภาพ วีดิทัศน์ เร่ืองราวประสบการณ์ เชน่ Facebook, MySpace, Google Group เปน็ ต้น 5.2 บล็อก (Blog) การเผยแพร่เน้ือหาของตนเองในเว็บและแบ่งปัน แลกเปล่ียน ความรู้ ประสบการณ์กับผ้ใู ช้งานบลอ็ กอ่ืน ที่มีเนอ้ื หาเก่ียวข้องกัน อีกทั้งสามารถใช้บลอ็ กเพื่อรวบรวม ความคิดเหน็ และการอภิปรายร่วมกนั ระหวา่ งผู้เชี่ยวชาญในหวั ข้อทส่ี รา้ งข้ึน เพ่ือส่งเสรมิ การเรียนรใู้ น ชุมชน 5.3 วิกิ (WiKi) เป็นเคร่ืองมือที่อนุญาตให้บันทึกเน้ือหาท่ีตนเองมีความรู้ และเปิด โอกาสให้ผู้ใช้งานอ่ืนสามารถตรวจสอบคัดกรองเนื้อหาได้ตลอดเวลา สามารถนามาใช้ในการสร้าง คลังข้อมูลความรู้ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างผู้ใช้คนอื่นๆ ในการเพิ่มเติม แก้ไข วิจารณ์เน้ือหา สารสนเทศและเหตุการณ์ตา่ งๆ 5.4 พอดแคสต์ (Podcast) เป็นบริการเนื้อหาประเภทเสียงหรือวีดิทัศน์ ผู้ใช้สามารถ บอกรับเป็นสมาชิก ดาวน์โหลดเน้ือหาที่ทันสมัยโดยอัตโนมัติ สามารถขอบริการไฟล์สื่อดิจิทัลแบบ เรียลไทม์ (real time) จากผู้ให้บริการ สามารถใช้เป็นสื่อในการแลกเปล่ียนรู้และการศึกษาค้นคว้า ไดด้ ี 5.5 โซเชียลบุ๊คมาร์ก (Social Bookmarking) เป็นบริการบนเว็บท่ีแบ่งปันค่ันหน้า บนอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้งานสามารถจัดเก็บค่ันหน้า (bookmark) จัดหมวดหมู่ คน้ หาและแบ่งปันกับผู้ใช้ คนอื่นได้ อนุญาตให้ผู้ใช้สามารถติดป้ายกากับ (tags) โดยใช้คาหลักเพ่ือบรรยายเว็บเพจ ผู้ใช้สามารถ เชอื่ มโยงและจดกลุ่มคัน่ หน้าในหัวขอ้ ตา่ งๆ เพื่อให้สามารถสบื ค้นในเรอ่ื งที่ตอ้ งการไดง้ ่ายยิง่ ข้ึน

170 5.6 อาร์เอสเอส (Really Simple Syndication) เป็นวิธีกระจายข่าวสารและความรู้ ในชุมชน โดยจะแจ้งเตือนไปยังผู้รับบริการโดยอัตโนมัติเม่ือมีการเปล่ียนแปลงเนื้อหาต่างๆ บน อินเทอร์เน็ต เช่น บล็อก วิกิ หรือเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อให้ผู้รับบริการได้รับข่าวสารที่ทันสมัยที่สุดแบบ เรยี ลไทม์ 5.7 การติดป้ายกากับทางสังคม (Social Tagging) ผู้ใช้สามารถติดป้ายกากับ (Tagging) โดยใช้คาหลัก (terms) เพ่ือแทนความรู้ เน้ือหาสารสนเทศต่างๆ เพ่ือประโยชน์ในการ จดั ระบบและคน้ คืนสารสนเทศ เช่น Youtube, CiteULike, Filckr เปน็ ตน้ 5.8 การส่งข้อความโต้ตอบแบบทันที (Instant Messaging) เป็นเทคโนโลยีการ ส่ือสารท่ีอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถส่ือสารโดยข้อความไปยังผู้อื่นแบบเรียลไทม์ เช่น MSN Messenger, Line Yahoo Messenger, ICQ เป็นต้น เคร่ืองมือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทางานร่วมกันได้เหล่านี้ องค์การบริการ สารสนเทศสามารถนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย สามารถร่วมกัน สรา้ งองคค์ วามรู้ใหม่ผา่ นเทคโนโลยีด้วยการมีปฏสิ มั พันธห์ รอื สื่อสารกันแบบสองทางได้เป็นอยา่ งดี 6. การพฒั นาบคุ ลากรดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศขององคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศ เมอื่ องค์การบริการสารสนเทศนาเทคโนโลยีสารสนเทศใหม่เขา้ มาใชใ้ นการดาเนนิ การ ตา่ งๆ ในองค์การ ผลกระทบท่ีไม่อาจหลีกเล่ียงได้ คือ บุคลากรทป่ี ฏิบัติงานในห้องสมดุ โดยเฉพาะ บรรณารกั ษ์หรือเจ้าหน้าที่ให้บริการ จากผลการวจิ ัยความตอ้ งการพฒั นาบุคลากรดา้ นเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสารของบรรณารักษห์ ้องสมุดมหาวิทยาลยั พบวา่ เรื่องทบี่ รรณารักษ์ต้องการ พัฒนาความรู้มากที่สุดไดแ้ ก่ ความรู้เก่ียวกบั ระบบเครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ต การแกป้ ญั หาท่ีเกิดขึ้นกับ คอมพิวเตอร์ การสบื ค้นฐานข้อมลู อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ห้องสมุดอัตโนมัติและเทคโนโลยีหอ้ งสมดุ อุปกรณ์ ตอ่ พว่ งคอมพิวเตอร์และคอมพิวเตอรส์ ่วนบุคคลแบบตา่ งๆ สว่ นรูปแบบของการพัฒนาบคุ ลากรที่ ต้องการมากที่สุดคือ การฝกึ อบรม (Mathew, Baby & Pillai, 2011: 147; วรรณยา เฉลยปราชญ์ และ อรนชุ เศวตรัตนเสถียร, 2556: 46-49) ดังนัน้ จึงเปน็ ความจาเป็นอย่างยง่ิ ทีผ่ ้บู ริหารจะต้อง กาหนดนโยบายและวางแผนการพัฒนาบุคลากรดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างชดั เจน และส่งเสรมิ สนบั สนุนใหบ้ ุคลากรได้รับการพฒั นาความรู้ความสามารถอยา่ งต่อเนอ่ื ง ทงั้ นเี้ พราะเทคโนโลยี สารสนเทศไดร้ บั การพัฒนาปรบั ปรุงใหก้ ้าวหนา้ อยู่ตลอดเวลาและเกิดการเปลี่ยนแปลงในอาชีพ เช่น จากบรรณารกั ษเ์ ปน็ นักสารสนเทศ จากหอ้ งสมุดเปน็ ศนู ย์สารสนเทศ เป็นต้น (ทรงพล หนูบ้านเกาะ และ พิมพร์ าไพ เปรมสมิทซ,์ 2555: 52; ชตุ ิมา สัจจานันท์, 2545: 174-175) บุคลากรจงึ ควรไดร้ บั การพฒั นา โดยรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจดั ฝึกอบรมท้ังภายในและภายนอกหน่วยงาน การสง่ เขา้ รว่ มประชุมสมั มนา ประชุมเชิงปฏบิ ัตกิ าร การให้ทนุ ศึกษาต่อ เป็นตน้ อย่างไรก็ตามในปจั จุบนั บคุ ลากรมีโอกาสการพัฒนาตนเองได้มากข้นึ โดยอาศัยบทเรยี นออนไลน์ ระบบคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) สื่อสงั คมออนไลน์ เช่น Youtube เปน็ ตน้ เมอื่ บคุ ลากรผ้ปู ฏิบัติงานมคี วามรู้ความสามารถด้าน เทคโนโลยสี ารสนเทศ สิ่งสาคญั คือทกั ษะอ่ืนๆ ท่ีมคี วามสาคญั และมีความจาเปน็ ต้องมีควบคู่กนั ไปคอื ทกั ษะในการใชภ้ าษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษและภาษาคอมพิวเตอร์ ซ่ึงเปน็ ภาษาสากลในระบบ คอมพวิ เตอร์ ทักษะในการประเมนิ ค่าสารสนเทศ ทักษะการรู้สารสนเทศและเทคโนโลยสี ารสนเทศ

171 และทกั ษะการเจรจา (จินดารัตน์ เบอรพันธ์ุ, 2554: 5-6) เนือ่ งจากบคุ ลากรตอ้ งใช้ในการตัดสนิ ใจ คัดเลอื กและจดั หาทรพั ยากรสารสนเทศท่ีดแี ละเหมาะสมกับกลมุ่ เป้าหมายมากที่สุดมาใหบ้ ริการ ตอ้ ง พูดคยุ ส่ือสารกับเพื่อนร่วมงานและผใู้ ชบ้ ริการอยู่ตลอดเวลา นวัตกรรมสาหรบั องค์การบรกิ ารสารสนเทศ ส่งิ ทผ่ี ู้บริหารองคก์ ารบริการสารสนเทศตอ้ งเผชิญในโลกยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ ละองค์การต่างมกี ารแขง่ ขันและแย่งชงิ ตาแหน่งของผู้บุกเบิกอยูต่ ลอดเวลา องค์การบริการสารสนเทศ เองจึงต้องมีการคิดริเริ่มและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ โดยการนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ต่างๆ มาใช้ การเป็นผู้สร้างสรรค์และพัฒนาสิ่งใหม่ๆ จึงต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงหมายถึง ค ว า ม ส า ม า ร ถ ใน ก า ร พั ฒ น า น วั ต ก ร ร ม จ า ก ค ว า ม คิ ด แ ล ะ จิ น ต น า ก า ร เพื่ อ น า ม า ใช้ ป ร ะ โย ช น์ ใ น สถานการณ์ต่างๆ ทั้งต่อสินค้าและบริการหรือวิธีการทางาน (ฐาปนา ฉ่ินไพศาล, 2559: 13-19) เพ่อื ใหอ้ งคก์ ารประสบผลสาเรจ็ และสามารถแข่งขันกบั ค่แู ข่งได้ 1. ความหมายของนวตั กรรม นวัตกรรม (Innovation) มีรากศัพท์มาจากคาว่า Innovare ซ่ึงหมายถึง “การทาส่ิง ใหม่ขึ้นมา” สิ่งใหม่ๆ ย่อมมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อทุกคนทุกองค์การ ดังมีผู้ให้ความหมายของคาว่า นวตั กรรมไว้ดังน้ี (สานักงานพฒั นาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (สวทช, 2554: 153-154) นวัตกรรม คือ การเรียนรู้ การผลิต และการใช้ประโยชน์จากความคิดใหม่ เพื่อให้ เกิดผลดีทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการกาเนิดผลิตภัณฑ์ การบริการ กระบวนการผลิตใหม่ การ ปรบั ปรงุ เทคโนโลยี การแพร่กระจายเทคโนโลยี และการใช้เทคโนโลยใี ห้เป็นประโยชนแ์ ละเกิดผลพวง ทางเศรษฐกิจและสังคม นวัตกรรมคือ ความคิดใหม่ เทคนิควิธีการใหม่ หรือส่ิงใหม่ที่สามารถนามาใช้ให้เกิด ประโยชนไ์ ด้ทงั้ ในทางเศรษฐกิจและการสร้างคุณค่าตอ่ สงั คม นวัตกรรมเป็นกระบวนการท่ีเกดิ จากการนาความรู้ ทักษะและความคดิ ริเรมิ่ สร้างสรรค์ ผสมผสานกับความสามารถทางด้านการบริหารจัดการขององค์การ เพื่อสร้างให้เกิดการได้เปรียบใน การแข่งขันแก่องค์การบริการสารสนเทศ การพัฒนาองค์การให้เป็นองค์การแห่งนวัตกรรมต้องมีการ นาเสนอรูปแบบใหม่ๆ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างประโยชน์และตอบสนองความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการ ซ่งึ มีองค์ประกอบดงั น้ี (สุกัญญา มกฏุ อรฤด,ี 2558: 34) 2. ประเภทของนวัตกรรม นวัตกรรมมีองค์ประกอบสาคัญคือ ความใหม่ การใช้ความรู้และความคิดสร้างสรรค์ และมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคม (อัจฉรา จันทร์ฉาย, 2553: 54) สิ่งใหม่ๆ ที่เกิดข้ึนจาก นวัตกรรมแบ่งออกเป็น 4 ประเภท (4Ps of Innovation) ดังน้ี (ชนนิกานต์ เสริตานนท์, 2559: 66- 67; “นวตั กรรม”, 2559: 2-3)

172 2.1 นวัตกรรมด้านสินค้า (Product Innovation) ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงในสินค้า หรือบริการ 2.2 นวตั กรรมด้านกระบวนการ (Process Innovation) ไดแ้ ก่ การเปลยี่ นแปลง กระบวนการผลติ การทางาน หรือการสง่ มอบ 2.3 นวัตกรรมด้านการวางตาแหน่งตราสนิ คา้ (Position Innovation) ไดแ้ ก่ การ เปลยี่ นแปลงรูปแบบ การนาเสนอ หรือการวางตาแหน่งของสินค้าและบริการ 2.4 นวัตกรรมด้านกระบวนทัศน์ (Paradigm Innovation) ได้แก่ การเปล่ียนแปลง กรอบแนวคิด มโนทัศน์ ค่านยิ ม ความเข้าใจรับรู้ และการปฏบิ ตั ิ 3. การพฒั นาองค์การบรกิ ารสารสนเทศเทศเป็นองคก์ ารแหง่ นวัตกรรม องค์การแห่งนวัตกรรม (Innovation Organization) คือองค์การที่มีการปรับปรุงและ เปล่ียนแปลงทางด้านกระบวนการทางความคิดเพ่ือก่อให้เกิดสิ่งใหม่ท่ีแตกต่างและเป็นประโยชน์มาก ข้ึน (McKeown, 2008 อ้างถึงใน ศศิประภา ชัยประสิทธ์, 2010: 60-61) การสร้างองค์การบริการ สารสนเทศให้เปน็ องคก์ ารแห่งนวัตกรรม ผ้บู รหิ ารองคก์ ารควรดาเนินการดงั น้ี 3.1 ผู้บริหารต้องกาหนดทิศทาง วัตถุประสงค์ เป้าหมายและกลยุทธ์ทีช่ ัดเจน มุ่งมั่น ทมุ่ เท จัดโครงสร้างองค์การให้เอื้อและกระตุ้นให้บคุ ลากรคดิ นอกรอบ มีโครงสรา้ งทม่ี ีความยืดหยุ่นใน การทางาน คดิ และสร้างงานที่กอ่ ให้เกดิ นวัตกรรมได้ 3.2 ผู้บริหารต้องมุ่งเน้นและผลักดันให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมภายในองค์การ ด้วย การเล็งเห็นคุณค่าของนวัตกรรมเป็นสาคัญ กาหนดตาแหน่งหน้าที่ ท้ังผู้บังคับบัญชาและผู้ปฏิบัติงาน ให้ดาเนินงานภายใต้โครงการนวัตกรรม และให้ความสาคัญในการพฒั นาบุคลากรให้สามารถคิดค้นสิ่ง ใหมๆ่ อยเู่ สมอ 3.3 ให้ความสาคัญในการเรื่องบรรยากาศและสภาพแวดล้อมในการทางาน เพื่อให้ เอ้ือต่อกระบวนการทางานท่ีสร้างสรรค์ ด้วยการออกแบบสานักงานและวางแผนผังโดยให้ทุกคนได้มี ปฏิสัมพันธ์กันเพ่ือให้เกิดการสื่อสาร พูดคุยแลกเปล่ียนความคิดเห็น และต่อยอดแนวคิดใหม่ๆ ได้ ตลอดเวลา 3.4 ผู้บริหารต้องสร้างองค์การให้เป็น “องค์การแห่งการเรียนรู้” เพื่อการสร้างและ จุดประกายความคิดโดยเชื่อมโยงจากภายนอกมาสู่ภายใน ทาให้เกิดการแลกเปล่ียนเรียนรู้ และนา ความคิดเห็นมาปรับเปล่ยี น เพือ่ คน้ หานวัตกรรมใหม่ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นางานในองค์การ 3.5 เปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ให้แสดงศักยภาพในการแสดง ความคิดเห็น การนาเสนอแนวทางหรือทางออกใหม่ๆ ซึ่งจะทาให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ และมีพลัง ในการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรคเ์ พ่ือองคก์ าร การเกิดองค์การแห่งนวตั กรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพขนึ้ อยู่กบั ปัจจัยหลายอย่าง จากผลการวจิ ัยปัจจัยท่ีมีผลตอ่ การเป็นองคก์ ารแห่งนวัตกรรมสาหรบั องค์การในประเทศไทย พบว่า มี 4 ปัจจัย (นรวัฒน์ ชุติวงศ์ และ ณัฐสิทธ์ิ เกิดศรี, 2554: 51-52) ซึ่งสามารถนามาปรับใช้กับการ ส่งเสริมให้บุคลากรในองค์การบริการสารสนเทศมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อองค์การ ดงั นี้

173 3.5.1 บุคลากรเป็นพลังขับเคล่ือนองค์การ (People Driven) บุคลากรใน องค์การเป็นปัจจัยที่สาคัญที่สุดต่อการเป็นองค์การแห่งนวัตกรรม เพราะบุคลากรเป็นผู้คิดค้น สร้าง และใชน้ วัตกรรม การให้ความสาคญั กบั บุคลากรในองค์การ การยกย่องชมเชย การใหร้ างวลั ตอบแทน จัดสวัสดิการที่ดี การสนับสนุนให้พัฒนาตนเองด้วยการฝึกอบรม ศึกษาต่อ เป็นตน้ ย่อมเป็นการสร้าง แรงจูงใจและกระตุ้นให้บคุ ลากรมีการพัฒนาสรา้ งสรรค์นวัตกรรมใหมๆ่ อยตู่ ลอดเวลา 3.5.2 การส่ือสารภายในอย่างเปิดกว้าง (Open Communication) ผู้บริหาร องค์การบริการสารสนเทศควรใช้รูปแบบการส่ือสารในองค์การอย่างไม่เป็นทางการ เปิดโอกาสให้ บคุ ลากรได้แสดงความคดิ เหน็ และโต้ตอบได้อย่างมีเหตุผล บุคลากรต่างยอมรับข้อเสนอแนะหรอื ข้อติ ชมอย่างเต็มใจ ผู้บริหารใช้วิธีการสอนมากกว่าการส่ัง ซ่ึงจะทาให้ผู้ใต้บังคับบัญชากล้าแสดงความ คดิ เห็นและพฒั นาตวั เอง สง่ ผลใหก้ ารทางานในองค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 3.5.3 การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร (Management Support on Physical Aspects) ฝ่ายบรหิ ารมีหน้าที่ให้การสนับสนนุ ให้บุคลากรได้รับความสะดวกในการปฏิบตั ิงาน ท้งั ด้าน อปุ กรณ์ เทคโนโลยที ่ีทันสมัย งบประมาณที่เพียงพอ ข้อมูลสารสนเทศเพอื่ การปฏิบัตงิ าน ความพรอ้ ม จะทาให้บคุ ลากรมคี วามมุ่งม่ันในการปฏิบตั งิ าน และเกดิ พลังสรา้ งสรรคส์ ่งิ ใหมๆ่ เพือ่ องค์การ 3.5.4 สารสนเทศเพื่อใช้ในกระบวนการพัฒนานวัตกรรม (Accessibility Use of Information Supporting Innovation Process) ข้อมูลที่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ ใหม่และ ทันสมัย เป็นปัจจัยสาคัญท่ีช่วยให้บุคลากรในองค์การบริการสารสนเทศได้รับความรู้และ ประสบการณ์อยู่เสมอ การเพ่ิมช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เช่น อินเทอร์เน็ต ฐานข้อมูล ส่ือ สังคมออนไลน์รูปแบบต่างๆ เป็นต้น เป็นการสร้างความม่ันใจให้กับบุคลากร ในการท่ีนาไปใช้ในการ พัฒนานวตั กรรมใหม่ๆ รวมท้งั ปรบั เปลี่ยนกระบวนการทางานแบบเดมิ ให้มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ขนึ้ อยา่ งไรกต็ ามองคก์ ารบรกิ ารสารสนเทศหลายแห่งอาจประสบปัญหาในระยะเร่ิมต้นจะ พัฒนาองค์การให้กลายเป็นองค์การแห่งนวัตกรรม เน่ืองจากบุคลากรอาจไม่มีความพร้อมในการท่ีจะ สร้างสรรค์นวัตกรรม เพราะคิดค้นนวัตกรรมต้องใช้เวลาและมีความทุ่มเทจริงจัง ในระยะเริ่มต้น องค์การบรกิ ารสารสนเทศอาจเร่ิมด้วยการนาเอานวัตกรรมใหม่ ท่ีมีผู้คิดค้นรูปแบบหรือวิธีการไว้แล้ว มาทดลองใชห้ รอื นามาประยกุ ต์ใชก้ ับองค์การ ดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี (Bieraugel, 2015: 3510) 4. กลยทุ ธ์การเลือกใช้นวตั กรรมเชงิ เทคโนโลยี กลยุทธ์นวัตกรรม (Innovation Strategy) คือ ตาแหน่งการแข่งขันขององค์การด้วย การกาหนดคุณลักษณะสินค้าและบริการใหม่ซึ่งแตกต่างจากเดิม โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเป็น องค์ประกอบสาคัญในทุกกิจกรรม (Burgelman, Christensen & Wheelwright, 2009 อ้างถึงใน ไพโรจน์ ปิยะวงศว์ ัฒนา, 2557: 218) เน่ืองจากในปัจจุบันในทุกองคก์ ารได้มกี ารนาเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหน่ึงของทุก กิจกรรมภายในองค์การ ทาให้เกิดการสื่อสารแบบสองทาง ท้ังในส่วนของการสื่อสารภายในองค์การ และการส่ือสารภายนอกกับผู้ใช้บริการ จึงนาไปสู่การนานวัตกรรมกระบวนการและนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ท่ีเหมาะสมมาใช้กับองค์การ ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนลดลงและคุณภาพการดาเนินงานเพ่ิมขึ้น และนาไปสู่การสร้างสรรค์ความได้เปรียบในการแข่งขันในรูปแบบใหม่ให้กับองค์การ เช่น การพัฒนา

174 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย จากห้องสมุดอัตโนมัติกลายเป็นห้องสมุดดิจิทัล จึงต้องมีการนาเอานวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการดาเนินงานทุกขั้นตอนเพ่ือก้าวไปเป็นห้องสมุดดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ เปน็ ต้น การที่องค์การบริการสารสนเทศนาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เป็นกลยุทธ์ในทุกกระบวน การทางานต้ังแต่การผลิต การเงิน การบริหารทรัพยากรบุคคล การสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ การบริการ เป็นต้น เทคโนโลยีจะช่วยเติมเต็มคุณภาพท่ีแตกต่างและลดต้นทุนลง เพ่ือนาไปสู่การ สร้างสรรค์ความได้เปรียบในการแข่งขัน กลยุทธ์ใหม่น้ีจึงกลายเป็นนวัตกรรมขององค์การ ที่จะทาให้ ตาแหน่งในการแข่งขันขององค์การเปลี่ยนไปจากเดิม เทคโนโลยียังส่งผลและเป็นเช่ือมโยงต่อการ สร้างนวัตกรรม องคก์ ารบริหารสารสนเทศหลายแห่งจงึ หันมาการลงทนุ ในด้านเทคโนโลยีอยา่ งเตม็ ท่ี อย่างไรก็ตามเน่ืองจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงและผันแปรไปอย่างรวดเร็วมาก เทคโนโลยีท่ีองค์การบริการสารสนเทศหลายแห่งได้ลงทุนไปอย่างมากมาย กลับกลายเป็นเคร่ืองมือท่ี ตกรุ่น และด้อยประสิทธิภาพไปในทันทีที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมา เช่น คอมพิวเตอร์แบบพกพามี การออกแบบและเปลี่ยนรุ่นอย่างรวดเร็ว หากห้องสมุดซอ้ื มาเพื่อให้บรกิ ารแก่ผู้ใช้บริการ ก็ต้องเขา้ ใจ แนวคิดเกี่ยวกับการตลาด ควรเลือกนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมและต้องประเมิน คุณค่าและความคุ้มคา่ อย่างละเอยี ด การเลือกใช้นวัตกรรมเชิงเทคโนโลยีขององค์การบริการสารสนเทศ จาแนกเป็น 2 ลกั ษณะ (Burgelman, Christensen & Wheelwright, 2009: 3) ได้แก่ 4.1 นวัตกรรมท่ีสร้างความเปลี่ยนแปลงจากเดิมโดยสิ้นเชิง (Radical Innovation) คือการประดิษฐ์สิ่งใหม่ท่ีไม่เคยมีมาก่อนในโลก เช่น การเกิดข้ึนของระบบอินเทอร์เน็ต ซ่ึงจัดเป็น นวัตกรรมหน่ึงในโลกยุคข้อมูลข่าวสาร ระบบอินเทอร์เน็ตทาให้โลกของข้อมูลข่าวสารที่เคยอยู่ใน วงจากัดท้ังในสถานท่ีและเวลาเปลี่ยนไป เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างไร้ขีดจากัด ทั้ง ระยะทางและเวลา ทาให้เกิดการการเปล่ียนแปลงในเร่ืองค่านิยม ความเช่ือ และคณุ ค่าของการตลาด อย่างสิ้นเชงิ 4.2 นวัตกรรมแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Innovation) คือการค้นพบส่ิง ใหม่ หรือคิดค้นส่ิงใหม่ โดยการประยุกต์จากสิ่งเดิมที่มีอยู่แล้วและพัฒนาอย่างต่อเน่ืองแบบค่อยเป็น คอ่ ยไป เป็นการสะสมการเรยี นรู้ หรอื การบม่ เพาะใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงทลี ะเล็กทลี ะน้อย เทคโนโลยีส่งผลและเชื่อมโยงต่อสร้างนวัตกรรม การแข่งขันโดยนากลยุทธ์นวัตกรรม มาใช้ในการขับเคล่ือนองค์การ สามารถสร้างโอกาสในการนาเสนอสินค้าหรือบริการรูปแบบใหมใ่ หก้ ับ ผู้ใช้บริการได้ตลอดเวลา ดังน้ัน ผู้บริหารองค์การต้องให้ความสาคัญกับเทคโนโลยี เพื่อนามาใช้เป็น เครอื่ งมอื สรา้ งสรรคน์ วัตกรรมท่ีกอ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ องค์การให้มากทส่ี ดุ 5. การจัดการนวตั กรรมองคก์ ารบริการสารสนเทศโดยใชว้ ธิ เี รม่ิ ตน้ แบบลนี ลนี (Lean ) หมายถึง แนวคิดในการบริหารจดั การการผลติ ทม่ี ีประสทิ ธภิ าพสูงสุด โดย ปราศจากความสูญเปล่า (Waste) โดยองค์การจะดาเนินการโดยปราศจากความสูญเสียในทุก กระบวนการในการทางาน โดยมุ่งเน้นท่ีการไหลของงานเป็นหลัก (Flow) มีความสามารถในการ ปรับตัวในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้บริการได้ทันท่วงที มีประสิทธิภาพสูงเหนือคู่แข่ง

175 (Bieraugel, 2015: 351-361) การเปล่ียนจากความสูญเปล่าไปสู่คุณค่าในมุมมองของผู้ใช้บริการ ผลงานมีการปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงแบบไม่รูจ้ บ 5.1 ขน้ั ตอนการสร้างระบบลีน 5.1.1 เริ่มต้นจากบุคลากรทุกคนในองค์การ โดยเฉพาะฝ่ายปฏิบัติการและ หัวหน้างานแผนก ฝา่ ยต่างๆ สรา้ งเขา้ ใจ ทาให้ทุกคนท่ีเกี่ยวขอ้ งมีทัศนคติทถี่ ูกตอ้ ง 5.1.2 วเิ คราะห์สภาพปัจจุบนั ขององค์การในกระบวนการผลติ สินคา้ และบริการ วา่ มีจดุ แขง็ จดุ อ่อน ปญั หาและอปุ สรรคใดบา้ ง 5.1.3 วางแผนอย่างเป็นระบบเพื่อหาแนวทางในการปรับปรุง พัฒนา หรือแกไ้ ข ปญั หาต่างๆ เหล่านัน้ 5.1.4 กาหนดหมายเปา้ หมายในการปรบั ปรุง พัฒนา 5.1.5 ใชเ้ คร่ืองมือต่างๆ เขา้ มาช่วยปรบั ปรงุ พัฒนาอย่างตอ่ เนอ่ื ง 5.2 การผลิตสินค้าและบริการแบบลนี จากผลการดาเนินงานท่ีเป็นขั้นตอน ที่มีจุดมุ่งหมายท่ีจะแก้ปัญหาและอุปสรรค อย่างจริงจัง เป้าหมายทจี่ ะม่งุ ผลติ ให้ทนั เวลาและพอดี ต้องมกี ารกาหนดเงือ่ นไขในการดาเนินการดังน้ี (Portal.nurse.cmu.ac.th, 2559) 5.2.1 ใชเ้ วลาเพียงคร่งึ เดียวในการผลติ สินคา้ และบรกิ ารใหม่ 5.2.2 ใชช้ ่ัวโมงการทางานเพียงคร่ึงเดยี วในการออกแบบ 5.2.3 ใช้แรงงานเพียงครงึ่ เดยี วในการผลิต 5.2.4 ต้องลงทุนเพียงคร่ึงเดียวในเรื่อง วัสดุ อุปกรณ์ ส่ิงอานวยความสะดวก และพ้นื ที่ การสร้างน วัตกรรมให้ เป็ น น วัตกรรมองค์การเป็ น ความท้าทายขององค์การ ท่ี รัก ความก้าวหน้า เมื่อมีความพยายามอย่างต่อเน่ืองและรู้จักนาวิธีการท่ีหลากหลายมาใช้ร่วมกัน และ สร้างวฒั นธรรมย่อยเชิงบวกในหมูบ่ คุ ลากรภายในองค์การให้เกิดแรงจูงใจ (Leong, Julia, 2012) การ พยายามใช้ทุกส่ิงให้น้อยลง แต่ให้ได้ผลงานท่ีมากกว่า และสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ ให้มากที่สุด มุ่งเปลี่ยนจากความสูญเปล่าไปสู่คุณค่า เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างแนวคิด กจิ กรรม และวิธีการ ที่จะช่วยผลักดันให้วัฒนธรรมขององค์การเป็นไปในทิศทางท่เี หมาะสม ผ่านการ พัฒนาจิตสานึกท่ีดี และแนวคิดท่ีถูกต้องในการทางานให้แก่บุคลากร ผลดีย่อมตกอยู่กับองค์การ บริการสารสนเทศท่ีจะประหยัดท้ังทรัพยากร ได้คุณภาพงานท่ีสูงข้ึน และได้รับการตอบรับท่ีดีจาก ผ้ใู ชบ้ ริการ 6. การสร้างตราสินค้าองคก์ าร ตราสินค้าองค์การ หรือแบรนด์องค์การ (Corporate Brand) คือ ความเปน็ องคก์ าร ท่ี ผู้ใช้บริการและผู้เก่ียวข้องสามารถรับรู้ได้ ถึงพันธกิจและการดาเนินงานท้ังภายในและภายนอก องค์การ หากองค์การบริการสารสนเทศแต่ละแห่ง มีแบรนด์องค์การที่ชัดเจน ภาพลักษณ์ที่ดีของ องค์การบริการสารสนเทศแหง่ น้ันๆ

176 6.1 ความหมายของตราสินคา้ ตราสินค้าหรือแบรนด์ (Brand) คือ ผลรวมของทุกส่ิงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ สินค้าและบริการ ทั้งจับต้องได้หรือจับต้องไม่ได้ รวมถึงสิ่งแวดล้อมทั้งหมดท่ีเก่ียวข้องกับสินค้าหรือ บรกิ าร (Achenbuam, 1993 อา้ งถงึ ใน กุณฑลี รื่นรมย,์ 2558: 18) 6.2 ความสาคญั และตราสินคา้ การสร้างตราสินค้าหรือแบรนด์เป็นหน่ึงในกลยุทธ์ทางการตลาดยุคใหม่ และอาจ ถือเป็นนวัตกรรมที่องค์การบริการสารสนเทศสามารถนามาใช้ในการดาเนินงาน โดยปรับจากการ พัฒนาแบรนด์ (Product Brand) ขององค์การทางธุรกิจที่เน้นชื่อ ถ้อยคา เคร่ืองหมาย สัญลักษณ์ หรือการออกแบบมาใช้ในการพฒั นาแบรนด์องค์การ (Corporate Brand) ทีเ่ นน้ การสร้างความรแู้ ละ ความเข้าใจเกี่ยวกับองค์การให้แก่ผู้ใช้บริการและผู้เก่ียวข้อง คุณค่าของตราสินค้า คือการท่ี ผู้ใช้บริการรับรู้ถึงคุณภาพทุกประการของสินค้าและบริการขององค์การ แล้วเกิดความประทับใจใน สินคา้ และบรกิ ารนน้ั (วบิ ูลย์ จุง, 2551:72-73) การสร้างความประทับใจ แตกตา่ งจากการสรา้ งความ พึงพอใจ เพราะจะทาใหผ้ ู้ใชบ้ รกิ ารรบั รถู้ งึ มูลคา่ เพ่มิ ที่องค์การส่งมอบให้ ซง่ึ จะมผี ลทาให้ 6.2.1 ผใู้ ชบ้ ริการหนั มาใช้บริการซ้าอกี 6.2.2 สนิ ค้าและบริการมีตาแหน่งทางการตลาดหรือจุดขายที่มน่ั คง 6.2.3 สินคา้ และบริการอยใู่ นระดบั สงู 6.2.4 ทาให้สามารถขยายฐานในการผลิตสินคา้ และบริการไดม้ ากยิ่งขึ้น 6.3 องค์ประกอบของตราสินค้าองค์การ แบรนด์องค์การเป็นตัวกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหาร บุคลากร และ ผู้ใช้บริการ การพัฒนาและดูแลรักษาแบรนด์องค์การอย่างต่อเน่ือง จึงเป็นกุญแจสาคัญที่ทาให้ องค์การน้ันเกิดความมั่นคง (Stability) และความย่ังยืน (Sustainability) ในระยะยาว ซึ่งเป็น เป้าหมายสาคญั ทีท่ กุ องค์การตอ้ งการ (กณุ ฑลี รนื่ รมย,์ 2558: คานา) แบรนด์องค์การ ประกอบด้วยส่วนสาคัญต่างๆ ได้แก่ ประวัติความเป็นมาของ ห้องสมุด ผู้นาและวิสัยทัศน์ของผู้นา คณะกรรมการบริหาร พันธกิจ นโยบาย เป้าหมยและ วัตถุประสงค์ ความเชี่ยวชาญหรือทักษะความชานาญของบุคลากร สินค้าหรือบริการ ราคา สถาน ท่ีตั้ง การส่งเสริมการตลาด ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย ความรับผิดชอบต่อผู้ใช้บริการและสังคม นวตั กรรม การมีแบรนด์องค์การที่แข็งแกร่งเป็นที่รู้จักของผู้ใช้บริการและสาธารณชน ย่อม ทาให้เกิดความได้เปรียบในการเข่งขันทั้งในระยะสั้นและระยะยาว มีความสาคัญต่อการสร้างคุณค่า ให้กับองค์การอีกด้วย ส่งผลให้บุคลากรในองค์การมีความภาคภูมิใจท่ีจะได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การ และร่วมแรงรว่ มใจกนั ทางานเพ่อื ให้บรรลุเปา้ หมายอย่างเตม็ กาลังความสามารถ ตัวอยา่ งที่ชดั เจนของ แบรนด์องค์การท่ีสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการเป็นองค์การบริการสารสนเทศที่อนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคมได้แก่ ECO Library แห่งหอสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซ่ึงเป็นห้องสมุดท่ีเน้นการออกแบบและใช้ประโยชน์จากส่ิงที่เหลือใช้นากลับมาใช้ใหม่ในรูปแบบท่ี แตกต่างไปจากเดิม เป็นต้น แสดงให้เห็นการการเปลี่ยนแปลงแนวคิดและการปฏิบัตินาไปสู่การรับรู้ ใหม่ เปล่ียนแปลงรูปแบบ การนาเสนอ หรือการวางตาแหน่งของสินค้าและบริการของห้องสมุดจาก

177 เดิมไปสู่ห้องสมดุ รกั ษ์โลก ซ่ึงหมายถึง การนานวัตกรรมดา้ นกระบวนทัศน์ และนวัตกรรมด้านการวาง ตาแหน่งตราสินค้า มาประยกุ ต์ใชใ้ นองค์การบรกิ ารสารสนเทศนน่ั เอง 6.4 หลักพืน้ ฐานในการจดั การตราสินค้าองค์การ เพ่ือให้ทราบถึงตาแหน่งหรือจุดยืนขององค์การ นักการตลาดจงึ พยายามสร้างส่ิง ใดส่ิงหน่ึงของสินค้าและบริการ เช่น คุณลักษณะหรือคุณประโยชน์เช่ือมโยงให้ผู้ใช้บริการรู้ว่าเป็น ผลิตภัณฑ์ประเภทใด การสร้างเช่ือมโยงน้ีจะทาให้ผู้ใช้เกิดภาพลักษณ์ ทาให้ผู้ใช้บริการเข้าใจใน ผลิตภัณฑ์ดีย่ิงข้ึน ทาให้องค์การมีความโดดเด่น ส่งผลให้ผู้ใช้เกิดทัศนคติหรือความรู้สึกที่ดี เข้ามาใช้ บริการ และเป็นจุดเร่ิมต้นของการขยายตลาดไปสู่ผู้ใช้บริการกลุ่มใหม่ๆ หลักการจัดการตราสินค้า องค์การมวี ิธกี ารดังน้ี (วิบูลย์ จงุ , 2551: 74-75; กณุ ฑลี ร่ืนรมย,์ 2558:58-60) 6.4.1 คณุ ลักษณะของสินคา้ และบริการ ท่มี คี วามพิเศษหรือมจี ดุ เดน่ กวา่ ทอี่ ่นื 6.4.2 ผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ เช่น ความรวดเร็ว ความสะดวกสบาย ท่ี ผูใ้ ช้บริการจะได้รับ 6.4.3 ราคาของผลิตภัณฑ์เม่ือเทียบกับคู่แข่ง ได้แก่ การประหยัดค่าใช้จ่าย คุม้ ค่ากบั เงนิ ทเ่ี สยี ไป 6.4.4 การนาไปใช้หรือการใช้ ได้แก่ วิธีการใช้เข้าใจง่าย เข้าถึงง่าย สะดวก รวดเรว็ 6.4.5 ลกู ค้าหรอื ผู้ใช้ ได้แก่ กลมุ่ เป้าหมายทตี่ ้องการใหม้ าใชบ้ ริการนั้น เช่น เด็ก และเยาวชน ผสู้ ูงอายุ คนพกิ ารทางสายตา ทางการได้ยนิ เป็นต้น 6.4.6 บุคลิกภาพ ได้แก่ การนาเอาลักษณะเฉพาะของผู้ใช้มาเป็นปัจจัยกาหนด ตาแหน่งผลติ ภัณฑ์ เช่น คนรุ่นใหม่ กลุ่มคนรักสขุ ภาพ กลมุ่ ผู้รกั หนังสือเกา่ เป็นต้น 6.4.7 คู่แข่งขัน ได้แก่ การนาคุณสมบัติของคู่แข่งมาเป็นข้อเปรียบเทียบกับ สินค้าและบริการขององค์การ เพือ่ สร้างหรือหาจุดเนน้ ท่ีดีกว่า 6.4.8 สภาพทางภูมิศาสตร์ ได้แก่ การนาเอาแหล่งผลิตสินค้าและบริการมา กาหนดตาแหน่งผลิตภัณฑ์ เพ่ือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ใช้บริการ เช่น จังหวัดอุดรธานีเป็นแหล่งมรดก โลกท่ีมีอายุเก่าแก่หลายพันปี การนารูปเคร่ืองป้ันดินเผาลายเขียนสี มาใช้ประโยชน์ย่อมสร้างคุณค่า ความนา่ เช่อื ให้มากกว่าทีอ่ ืน่ ในฐานะท่เี ปน็ แหลง่ ข้อมูลปฐมภมู ิ การสร้างตราสินค้าหรอื แบรนด์สามารถนามาประยุกตใ์ ช้กับองค์การบรกิ ารสารสนเทศ ได้มากย่ิงข้ึน จะเห็นได้จากการที่ห้องสมุดในหน่วยงานราชการต่างๆ มีการสร้างตราสัญลักษณ์ของ ห้องสมุดแทนการใช้ตราของหน่วยงานราชการเหมือนใน เป็นจุดเร่ิมต้นของการสร้างแบรนด์ของ ตัวเองเพื่อสร้างการจดจา แต่สิ่งสาคัญคือ คุณค่าของสินค้าและบริการ คือตราสินค้าที่จะสร้างความ พึงพอใจและความประทับใจให้กับผู้ใช้บริการได้มากที่สุด การนาเอานวัตกรรมตราสินค้ามาใช้กับ องค์การบริการสารสนเทศ จึงต้องทาควบคู่กับความมุ่งมั่นต้ังใจจริงในการพัฒนาประสิทธิภาพในการ ดาเนนิ งาน เพ่ือสรา้ งคุณภาพและคณุ ค่าให้กับองค์การ

178 ภาพท่ี 8.2 ตัวอย่างตราสนิ คา้ หรือแบรนด์ขององค์การบริการสารสนเทศ 7. องค์การแห่งการเรียนรู้ 7.1 ความหมายขององค์การแห่งการเรียนรู้ องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) คือ องค์การที่มีกระบวนการ ในการจัดการความรู้ (Knowledge Management : KM) ได้แก่ การรวบรวม (Collection) การ จัดระบบ (Organization) การจัดเก็บ (Storage) การเข้าถึงความรู้ (Knowledge Access) การสร้าง ความรู้ (Knowledge Creation) การแบ่งปันความรู้ (Knowledge Sharing) โดยอาศัยเทคโนโลยี สารสนเทศเป็นเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดกา (อรรจน์ บัณฑิตย์ และ ดิชิตชัย เมตตา รกิ านนท,์ 2551: 1) องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์การท่ีมีลักษณะการจัดกิจกรรมอย่างกว้างขวาง ในการสร้างและการใช้ความรู้ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน รวมทั้งการได้รับและ แลกเปลี่ยนสารสนเทศเก่ียวกับความต้องการของผู้ใช้บริการ การเปลี่ยนแปลงด้านการตลาด หรือผล การดาเนินงานของหน่วยงานอื่นที่มีเป้าหมายแบบเดียวกัน ซ่ึงจะนาไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพ่ือสร้างสนิ ค้าและบริการใหมท่ ม่ี ีความสามารถเหนือคู่แข่งขัน (พยตั วุฒิรงค,์ 2559: 7) 7.2 ประเภทของความรู้และแหล่งความรู้ในองค์กร ความรู้สามารถแบ่งตามความสามารถในการถ่ายทอดออกเป็น 2 ประเภท ดังน้ี (Toyama, 2015; วจิ ารณ์ พานิช, 2548: 19) 7.2.1 ความรู้โดยนัย/ความรู้เฉพาะตัว (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่อยู่ใน สมองคน ได้มาจากประสบการณ์ สัญชาติญาณ หรือพรสวรรค์ ส่วนหน่ึงยากต่อบรรยายเป็นถ้อยคา หรือสูตรสาเร็จ ขึ้นอยู่กับความเชื่อและทักษะเชิงวิชาการของบุคคลที่จะกลั่นกรอง ความรู้ชนิดน้ี

179 สามารถพัฒนาและแบ่งปันกันได้ และเป็นความรู้ที่จะทาให้เกิดการได้เปรียบในการแข่งขัน บาง แหล่งขอ้ มลู เรยี กความรู้ชนิดนวี้ า่ ภูมปิ ญั ญา 7.2.2 ความรู้ที่ปรากฏชัดเจน (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ท่ีเป็นเหตุ เป็นผล สามารถบรรยาย หรือถอดความออกมาได้ในรูปของทฤษฎี การแก้ไขปัญหา คู่มือ และ ฐานขอ้ มลู เป็นลักษณะของความรทู้ ีท่ ุกคนสามารถเข้าถึงหรอื หาซื้อได้ 7.2.3 ความรู้ท่ีแฝงอยู่ในองค์การ (Implicit knowledge) เป็นความรู้อีก ลักษณะหนึ่งซึ่งนักวิชาการบางท่านได้เพ่ิมเติมข้ึนมา จัดเป็นความรู้ภายในองค์การต่างๆ ท่ีอาจจะไม่ เห็นชัดเจน เช่น อยู่ในวิธีการทางาน กระบวนการปฏิบัติงาน กฎระเบียบข้อบังคับขององค์การ คู่มือ ทางาน วฒั นธรรมองคก์ าร ผลติ ภัณฑ์ เป็นต้น 7.3 ความสาคญั ขององค์การแหง่ การเรียนรู้ สื บ เน่ื อ งจ าก พ ร ะ ร าช ก ฤ ษ ฎี ก าว่ าด้ ว ย ห ลั ก เก ณ ฑ์ แ ล ะวิ ธี ก าร บ ริ ก าร กิ จ ก าร บ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 มาตรา 11 กาหนดไว้ว่า ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้อย่างสม่าเสมอ โดยต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารและสามารถ ประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนามาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมท้ังต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และ ปรับเปลี่ยนทัศนคติของข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรท่ีมีประสิทธิภาพ และมีการเรียนรู้ร่วมกัน (ราชกิจจานุเบกษา, 2546: 1) องค์การบริการสารสนเทศในยุคใหม่ทั้งหน่วยงานของรัฐบาลและ เอกชน ต่างมีนโยบายในการบริการจัดการองค์ความรู้ โดยมีการกาหนดหน่วยงานในสังกัดให้ รบั ผิดชอบการพัฒนาระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้ในองคก์ าร โดยใหค้ วามสาคัญกับการสือ่ สาร และกระจายความรู้ที่มีอยู่ ซึ่งรวมถึงการสร้างบรรยากาศท่ีดีในการเรียนรู้ หรือแลกเปล่ียนเรียนรู้ที่ บุคลากรแต่ละคนมีหรือค้นพบ โดยปกติในการปฏิบัติงานต่างๆ ภายในองค์การบริการสารสนเทศจะ เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะการใชท้ ี่มีอยู่เป็นประจา การมุ่งเน้นการเรยี นรู้เข้าเป็นส่วนหน่ึงของ ความคิด การกระทาในกิจกรรมต่างๆ ขององค์การ โดยแนวคิดท่ีว่าบุคลากรทุกคนย่อมสามารถ พัฒนาความรู้ เรียนรู้จากประสบการณ์ระหว่างกัน และนาไปสู่การเปล่ียนแปลงความรู้ในองค์การ สง่ ผลใหเ้ กิดความเข้าใจของปฏิสมั พันธ์ระหว่างระบบการทางานกบั สภาพแวดล้อมท่ีดยี ง่ิ ขน้ึ 7.4 ลกั ษณะขององค์การแหง่ การเรียนรู้ องค์การที่มีการส่งเสริมให้บุคลากรมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เร่ิมจากบุคลากรต้องมีความรู้ ความสามารถ มีการพัฒนาทักษะอย่างแท้จริง โดยมีความมุ่งม่ันในการ พัฒนาตัวเองเองผ่านกระบวนการเรยี นรู้ โดยการนาการจัดการความรู้ (Knowledge Management) มาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสกัดความรู้ท่ีมีอยู่ในองค์การ และใช้การแลกเปล่ียนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) ในการถ่ายทอดความรู้ระหว่างกัน เป็นการยกระดับความรู้ความสามารถของตนเองและ องค์การให้สูงข้ึน (จันทร์จิรา เหลาราช และ สมาน ลอยฟ้า, 2558: 2-3) ส่งผลต่อประสิทธิภาพใน การทางาน ปรับปรงุ คุณภาพการบรกิ ารและการตอบสนองความตอ้ งการของผู้ใช้ ลักษณะสาคัญขององค์การแห่งการเรียนรู้มี ดังน้ี (http://hm.npru.ac.th/pdf /news/Learning%20Organization(LO).pdf: 2559: 1-3)

180 7.4.1 มีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ใช้วงจรของเดมม่ิง (PDCA) ในการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเรียนรู้และนามาปรับปรุง พัฒนา 7.4.2 มีการทดลองปฏิบตั ใิ นสิง่ ใหมๆ่ ท่มี ีประโยชนต์ อ่ องคก์ าร 7.4.3 มีการเรยี นรู้จากบทเรยี นในอดีต มีการบันทกึ ข้อมลู เพ่ือใช้เป็นกรณีศึกษา ให้บุคลากรได้เรียนรู้ความสาเร็จและความผิดพลาดท่ีเกิดข้ึนในอดีตมาใช้พัฒนางานในอนาคต โดย อาศยั การแลกเปล่ียนเรียนรรู้ ว่ มกัน 7.4.4 มีการเรียนรูจ้ ากผ้อู ื่น ดว้ ยวิธีการตา่ งๆ เชน่ การสัมภาษณ์ การสังเกต 7.5 ประโยชน์ขององคก์ ารแหง่ การเรียนรู้ ในฐานะที่องค์การบริการสารสนเทศเป็นหน่วยงานท่ีสนับสนุนการเรียนรู้ จาเป็นต้องทาหน้าท่ีเป็นผู้นาในการจัดการความรู้ โดยบุคลากรในองค์การต้องเพ่ิมบทบาทจาก ผู้ทางานบริการสารสนเทศ ไปเป็นผู้สร้างสารสารเทศ เป็นผู้จัดการสารสนเทศ และเป็นผู้อานวย ความสะดวกในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันของบุคลากรในทั้งและนอกองค์การ รวมท้ัง ผู้ใช้บริการ การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้จะมีประโยชน์ดังน้ี (www.hindard.go.th/fileupload /2426Lo.docx, 2559: 34-37) 7.5.1 สมาชิกในองค์การมีความตระหนักรู้ถึงความสาคัญของการเรียนรู้ ขณะเดียวกันภายในองค์การจะเกิดวัฒนธรรมองค์การ เกีย่ วกบั การเรียนรู้ และเกิดเป็นวัฒนธรรมร่วม ขององคก์ รหรือ \"องคก์ รนวัตกรรม\" ท่ีแข็งแกร่งได้ 7.5.2 เป็นการเพิ่มอานาจแก่สมาชิก (empowerment) เป็นการกระจาย อานาจความรับผิดชอบและการตัดสินใจแก้ปัญหาไปสู่บุคลากรระดับล่างอย่างทั่วถึง ทาให้ได้ฝึกฝน การเรยี นรแู้ ละค้นคว้าหาวิธกี ารแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง มอี ิสระในการตดั สนิ ใจ 7.5.3 เกิดการตรวจสอบสภาพแวดล้อม เนื่องจากองค์การแห่งการเรียนรู้ ลกั ษณะท่เี คลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ทาให้เหน็ ภาพสะทอ้ นความเปน็ องค์กรท่ีจะนาไปสู่การสรรคส์ ร้าง นวตั กรรมไดอ้ ย่างชดั เจน 7.5.4 มีการสร้างสรรค์องค์ความรู้ (knowledge creation) และสร้าง ความสามารถในการถ่ายโอนความรู้ให้กับบุคลากรอื่นในองค์กรเพื่อให้เกิดการผลอย่างต่อเนื่อง โดย ผ่านช่องทางการสื่อสารและเทคโนโลยีตา่ งๆ 7.5.5 องค์กรมีการบริหารคุณภาพท่ัวทั้งองค์การ ที่เน้นการปรับปรุงประสิทธิ ภาพอย่างต่อเน่ือง เปน็ ผลดีในการพฒั นาคุณภาพการให้บรกิ าร 7.5.6 องค์กรมีบรรยากาศภายในท่ีมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับบุคลากร เป็น องค์การท่ีเอาใจใส่ต่อความเป็นมนุษย์ มีความเสมอภาคเท่าเทียม เคารพในศักดิ์ศรีซ่ึงกันและกัน ทาให้เกดิ ความสามคั คแี ละร่วมมอื กันทางาน 7.5.7 เกิดการทางานร่วมกันเป็นทีมและเครือข่าย ช่วยส่งเสริมให้เกิดความคิด สร้างสรรค์ สมาชิกในองค์การร่วมมือกัน แบ่งปันความรู้ ทางานและแก้ปัญหา ซึ่งจะช่วยสร้าง ประสบการณ์และความเช่ียวชาญเพื่อนามาใช้ในการสร้างคุณคา่ ให้กบั สนิ ค้าและบริการ

181 7.5.8 บุคลากรมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน การเรียนรู้ทาให้ทุกคนมีความเข้าใจทิศทาง และเปา้ หมายขององคก์ าร ทาใหม้ จี ุดหมายปลายทางร่วมกนั ดังน้ันองค์การบริการสารสนเทศจึงต้องให้ความสาคัญกับการจัดการความรู้ ในองค์การ โดยเฉพาะความรู้ท่ีอยู่ในตัวคน ซ่ึงถือเป็นทรัพยากรความรู้ท่ีสาคัญมากขององค์การ โดยใช้ กระบวนการในการจัดการความรู้แทรกในทุกขั้นตอนของกระบวนการทางาน ให้กลายเป็นส่วนหนึ่ง ของการทางานในชีวิตประจาวัน โดยอาศัยเคร่ืองมือตา่ งๆ ไดแ้ ก การใช้เวทีแลกเปลย่ี นเรียนรู้ การยึด แนวปฏิบัติที่ดี ชุมชนนักปฏิบัติ ระบบพ่ีเล้ียง หรือการสับเปลี่ยนงาน เป็นต้น เพื่อให้สามารถนา ความรทู้ ม่ี อี ยู่ในองคก์ ารมาใชต้ อบสนองยุทธศาสตรแ์ ละเปา้ หมายขององค์การ ภาพที่ 8.3 ตัวอย่างเอกสารเผยแพร่การจดั การความรู้ขององค์การบรกิ ารสารสนเทศ สรุป การดาเนินงานขององค์การบริการสารสนเทศในปัจจุบันจัดว่ามีการแข่งขันการมากข้ึน เนื่องจากการเปล่ียนแปลงช่องทางในการเข้าใช้บริการท่ีเปิดกว้างถึงกันแบบไร้พรมแดน กลายเป็น สังคมท่ีไร้ขอบเขต ทั้งด้านสถานที่และเวลา นวัตกรรม และ การเป็นองค์การแห่งนวัตกรรม องค์การ แห่งการเรียนรู้ ด้วยการนาทักษะ ความรู้ ความคิดสร้างสรรค์มาประยุกต์ใช้ ถือเป็นเคร่ืองมือสาคัญ ของการบริหารจัดการกับการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ โดยมีเป้าหมายเพ่ือให้เกิดการ สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับสินค้าและบริการ รวมทั้งการเพ่ิมประสิทธิภาพในการ ดาเนินงาน ทั้งยังจะช่วยให้องค์การสามารถลดต้นทุนในการผลิต เพื่อยกระดับศักยภาพ และสร้าง ความได้เปรียบทางการแข่งขนั เป็นท่ียอมรับและสรา้ งชื่อเสียงให้กับองคก์ าร ปัจจุบนั มีนวัตกรรมและ เทคโนโลยีใหม่ท่ีน่าสนใจเกิดข้ึนตลอดเวลา หากองค์การบริการสารสนเทศนามาประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ของแต่ละแห่ง ย่อมส่งเสริมให้การดาเนินงานขององค์การมี ประสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ข้นึ

182 คาถามทา้ ยบท 1. เทคโนโลยีมีบทบาทและความสาคญั อย่างไรต่อองค์การบรกิ ารสารสนเทศจงอธบิ าย 2. จงระบเุ ทคโนโลยที ่ีเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการองค์การบริการสารสนเทศพรอ้ มยกตัวอยา่ ง แตล่ ะประเภท 3. ทา่ นคดิ ว่าเครือข่ายสงั คมออนไลน์ (Social Network) มปี ระโยชน์ตอ่ องค์การบริการสารสนเทศ หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง 4. จงอธบิ ายข้ันตอนในการจดั หาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การบรกิ ารสารสนเทศ มาพอสังเขป 5. ท่านมคี วามคดิ เหน็ อย่างไรเก่ียวกับ การนาเครื่องยมื คืนอัตโนมัตมิ าใชใ้ นการบริการยมื -คนื ทรัพยากรสารสนเทศ พร้อมบอกข้อดี ข้อเสีย 6. จงบอกวิธีการพฒั นาบคุ ลากรด้านเทคโนโลยขี องห้องสมุดมาอยา่ งน้อย 5 ข้อ 7. นวัตกรรมคอื อะไร มีประโยชนอ์ ยา่ งไรกับองค์การบริการสารสนเทศ 8. ผบู้ รหิ ารต้องดาเนินการอย่างไรเพือ่ ให้องคก์ ารบริการสารสนเทศได้ชื่อว่าเปน็ องค์การ แห่งนวตั กรรม 9. ระบบลีน คือตวั อย่างนวัตกรรมด้านกระบวนการ ทมี่ ีเง่ือนไขในการดาเนนิ การอย่างไร 10. องค์การแหง่ การเรยี นรู้ หมายความวา่ อย่างไร จงอธบิ าย

183 เอกสารอ้างองิ การผลิตแบบลนี . (2559). [ออนไลน์], แหล่งท่ีมา HTTP: http://Portal.nurse.cmu.ac.th. กุณฑลี ร่ืนรมย.์ (2558). Corporate Success Valuation. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ไซเบอร์พร้ินต์. ครรชติ มาลยั วงศ.์ (2545). การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ. ใน ประมวลสาระชุดวิชาการจัดการ ขัน้ สงู สาหรบั สถาบันบรกิ ารสารสนเทศ หนว่ ยที่ 8-15 (หน้า 193-207). นนทบรุ ี: สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ------------. (2551). การบริหารงานไอซีทใี นห้องสมดุ . ใน การพัฒนาศักยภาพห้องสมุดยุคใหม่ (หนา้ 61-70). กรุงเทพฯ: สานักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. จันทรจ์ ิรา เหลาราช และ สมาน ลอยฟา้ . (2558). การแลกเปลีย่ นเรยี นรูข้ องบคุ ลากรห้องสมุด สถาบนั อุดมศึกษาของรัฐ. อินฟอรเ์ มชน่ั . 22(1): 1-10. จินดารัตน์ เบอรพนั ธุ.์ (2554). ข้อสังเกตเกย่ี วกบั วิชาชีพบรรณาธิการและวชิ าชีพบรรณารักษ.์ บรรณารักษศาสตร์. 31(2): 1-8. ชนนิกานต์ เสริตานนท์. (2559). ซเี อสอาร์กบั นวตั กรรมการสือ่ สาร. การประชาสมั พันธ์และการ โฆษณา. 9(1): 59-73. ชตุ ิมา สจั จานันท.์ (2545). การพัฒนาบุคลากร. ใน ประมวลสาระชุดวิชาการจัดการข้ันสงู สาหรบั สถาบันบริการสารสนเทศ หนว่ ยท่ี 1-7 (หนา้ 165-199). นนทบุรี: สาขาวชิ าศลิ ปศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ฐาปนา ฉิ่นไพศาล. (2559). องคก์ รและการจดั การ. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนงั สือจฬุ าลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . ณฐั วฒุ ิ พงศ์สริ .ิ (2559). การบรหิ ารทรพั ยากรมนุษย์ในยุคดจิ ทิ ลั . บรหิ ารคน. 36(1): 51-57. ทรงพล หนูบา้ นเกาะ และ พิมพ์ราไพ เปรมสมิทซ์. (2555). การพัฒนาทรัพยากรมนษุ ยข์ อง ห้องสมุดมหาวิทยาลยั . บรรณารักษศาสตร์. 32(1): 41-53. นรวัฒน์ ชตุ ิวงศ์ และ ณฐั สิทธิ์ เกดิ ศรี. (2554). การวิเคราะหป์ จั จยั ที่มีอิทธิพลต่อการเป็นองค์กร แหง่ นวัตกรรมในประเทศไทย. บรหิ ารธุรกิจ. 34(130): 47-58. นวตั กรรม. (2559). [ออนไลน์], แหลง่ ทม่ี า HTTP: https://www.mwa.co.th/academy/ images/ stories/inno2015/green1.pdf. ปัทมาภรณ์ ธรรมทตั . (2556). การบรู ณาการเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในระบบ ปฏิบัตงิ านและการบริการห้องสมุด. วารสารวิชาการหอสมุดแห่งชาติ. 1(1): 34-44) ปิติมา จนั ทมณโี ชต.ิ (2551). จะเตรยี มตัวอยา่ งไรเมื่อต้องเปน็ บรรณารักษ์ยุคเสมือนจรงิ . รสู มิแล. 29(3): 9-12. พยัต วุฒริ งค.์ (2559). การพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรคน์ วัตกรรม ประเด็นท้าทายการ พฒั นาองค์กรในทศวรรษหน้า. ใน การบรหิ ารทรัพยากรมนุษยใ์ นทศวรรษหนา้ (หนา้ 3- 27). กรงุ เทพฯ: สานักพมิ พ์แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั .

184 ไพโรจน์ ปิยะวงศ์วัฒนา. (2557). การจัดการเชงิ กลยุทธ์เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม. พมิ พค์ รัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ราชกจิ จานุเบกษา. (2546). พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวธิ กี ารบริหารกจิ การ บา้ นเมอื งทด่ี ี พ.ศ. 2546. เลม่ ท่ี 120 ตอนที่ 100ก, 9 ตลุ าคม 2546. หน้า 1-16. ------------. (2550). ประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเรอื่ ง หลักเกณฑ์การ เกบ็ รักษาขอ้ มูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ของผใู้ ห้บริการ พ.ศ. 2550. เล่ม 124 ตอน พเิ ศษ 102ง, 23 สิงหาคม 2550. หน้า 1-12. ลักษณะสาคัญขององคก์ ารแห่งการเรียนรู้. (2559). [ออนไลน์], แหลง่ ท่มี า HTTP: http://hm. npru.ac.th/pdf/news/Learning%20Organization(LO).pdf. วรรณยา เฉลยปราชญ์ และ อรนุช เศวตรัตนเสถียร. (2556). ความตอ้ งการกิจกรรมพัฒนา บุคลากรดา้ นเทคโนโลยแี ละการสือ่ สารของบรรณารกั ษห์ อ้ งสมุดมหาวทิ ยาลยั . บรรณารักษศาสตร์. 33(1): 37-65. วิจารณ์ พานชิ . (2548). ยุทธศาสตร์การจัดการความรู้. ใน ยทุ ธศาสตร์การจัดการความรใู้ น ห้องสมุด, การประชมุ สามัญประจาปี 2548 และประชมุ วิชาการ สมาคมห้องสมุดแห่ง ประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี วันท่ี 21-24 พฤศจกิ ายน 2548 ณ โรงแรมทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพฯ. หนา้ 16-28. วบิ ลู ย์ จงุ . (2551). การบริหารตราสนิ ค้า. ใน การพัฒนาศกั ยภาพห้องสมดุ ยคุ ใหม่ (หนา้ 71-78). กรงุ เทพฯ: สานักหอสมดุ กลาง มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์. ศศิประภา ชัยประสิทธ.์ิ (2010). องค์กรแห่งนวัตกรรม ทางเลือกของผ้ปู ระกอบการใหม่. Executive Journal. 7/10/2010. [ออนไลน์]: แหลง่ ท่มี า HTTP: http://www.bu. ac.th/knowledgecenter/executive _journal /30_2/pdf/aw8.pdf. 60-63. เศรษฐพงค์ มะลิสวุ รรณ. (2559). Thailand 4.0 เพอ่ื ดันไทยสผู่ ู้นาดา้ นดจิ ทิ ลั ใน ASEAN. [ออนไลน์], แหล่งทมี่ า HTTP: https://www.it24hrs.com/2016/thailand-4-0-digital- service-asean/. สกุ ญั ญา มกุฏอรฤดี. (2554, มกราคม-มถิ นุ ายน). หอ้ งสมุดมหาวิทยาลยั กับนวตั กรรมและความคดิ สร้างสรรค์. โดมทศั น์. 32(1): 32-40. สุจิน บุตรดีสุวรรณ และ อี รามา เรดด้.ี (2551, มกราคม-มถิ นุ ายน). สถานภาพห้องสมุดดจิ ิทลั ใน ประเทศไทย : กรณีห้องสดุ สถาบันอุดมศกึ ษา. วารสารวจิ ัยสมาคมห้องสมดุ แห่งประเทศ ไทยฯ. 1(1): 17-34). สุธัญญา ด้วงอินทร์. (2556). การประยกุ ต์ใช้เครื่องมือทางสงั คมกับห้องสมุดดิจิทลั . สารสนเทศ ศาสตร์. 31(3): 78-95. องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้. (2559). [ออนไลน์], แหลง่ ท่มี า HTTP: http://www.hindard.go.th/ fileupload/2426Lo.docx. อรรจน์ บณั ฑิตย์ และ ดชิ ติ ชยั เมตตาริกานนท์. (2551). ผจู้ ัดการความรู้ : ทางเลอื กใหมส่ าหรับ บรรณารกั ษ์ นักสารสนเทศในยุคสังคมแห่งการจดั การความร้.ู บรรณารักษศาสตร์และ สารนิเทศศาสตร์ มข. 26(1-3): 1-9.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook