อารยธรรมอินเดีย

2. มีการนากฎหมายและระบบการศาลของ องั กฤษมาใช้ เช่น กฎหมายทดี่ นิ ได้ระบุว่า ผู้ท่เี ป็ น เจ้าของท่ีดินตามกฎหมายได้ คือ ชาวอนิ เดยี ท้งั หมด ซึ่งต่างจากเดมิ

3. ภายหลงั การปฏวิ ตั อิ ุตสาหกรรมองั กฤษ ต้องการวตั ถุดบิ จากอนิ เดยี ไปป้อนโรงงานใน ป.ของ ตน บงั คบั ให้อนิ เดียเป็ นตลาดรับซื้อสินค้าสาเร็จรูป ของตน และพยายามให้ชาวอนิ เดยี ปลูกพืชทตี่ น ต้องการ โดยเฉพาะฝิ่ นเพ่ือ ส่ งไปขายในจีน

4. มีการปรับปรุงด้านสาธารณูปโภค เช่น การ ตดั ถนน การสร้างทางรถไฟ การชลประทาน การ ไฟฟ้า โดยเฉพาะถนนหลวงและทางรถไฟทม่ี กี าร เชื่อมกนั เป็ นร่างแห ทาให้เกดิ การเดินทางไปมาหาสู่กนั

การต่อสู้เพื่อเอกราชของอนิ เดยี มี 2 องค์กรทส่ี าคญั คือ 1. คองเกรสแห่งชาตอิ นิ เดยี (Indian Nation Congress : I.N.C.) เป็ นองค์กรทต่ี ่อสู้เพ่ือเอกราช ก่อต้งั เม่ือ ค.ศ. 1885 มีวตั ถุประสงค์คือ “ต่อสู้เพ่ือชาว อนิ เดยี ทุกคนโดยไม่คานึงถงึ ศาสนา” มผี ู้นาคือ มหาตมะ คานธี และเยาวห์ลาล เนห์รู

มหาตมะ คานธี เยาวหลาล เนห์รู

2. สันนิบาตมุสลมิ (All Indian League) เป็ นองค์กร ทเ่ี รียกร้องเอกราชคู่กบั คองเกรส ก่อต้งั ขนึ้ เมื่อ ค.ศ. 1906 มีผู้นา คือ ซเยด อาห์เหมด ข่าน มีวตั ถุประสงค์เพ่ือ “ต่อสู้เพื่อชาวอนิ เดยี ทเี่ ป็ นมุสลมิ ” ต่อมาได้มีผู้นาท่ี สาคญั อกี คนหน่ึงชื่อ โมฮัมหมดั อาลี จนิ นาห์ ได้ เรียกร้องเอกราชควบคู่ไปกบั การขอต้งั ประเทศใหม่ ซ่ึง คนส่วนใหญ่เป็ นมุสลมิ ภายใต้ช่ือ ป.ปากสี ถาน ต้งั ขนึ้ เม่ือ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1947 จนทาให้เขาได้รับการยกย่อง เป็ น “บิดาแห่งชาตปิ ากสี ถาน”



มหาตมะ คานธี กบั สัตยาเคราะห์ มหาตมะ คานธี เป็ นคนวรรณะแพศย์ช้ันบาเนียโดย กาเนิด และได้กลายเป็ นบุคคลทมี่ บี ทบาทสาคญั ในการ เรียกร้องเอกราชให้แก่อนิ เดยี โดยใช้วธิ ี “การเจรจาต่อรอง” กบั องั กฤษ ตามหลกั ทเี่ รียกว่า “สัตยาเคราะห์” ซึ่งประกอบด้วยหลกั สาคญั 3 ประการ คือ

1. สัตยะ คือ ความสัตย์หรือความจริง ซ่ึงสาเหตุท่ี คานธีใช้หลกั ข้อนีใ้ นการต่อสู้ เพราะองั กฤษไม่รักษาสัตย์ เร่ืองทจ่ี ะให้เอกราชแก่อนิ เดยี หลงั สงครามโลกคร้ังท่ี 1 และ เช่ือว่าการต่อสู้บนพืน้ ฐานของความจริง ย่อมทาให้อนิ เดยี ได้รับชัยชนะ

2. อหิงสา คือ การไม่เบยี ดเบยี นให้เสียเลือดเนื้อ หรือไม่ใช้วธิ ีรุนแรง เช่น การควา่ บาตร การนัดหยุดงาน การอดอาหาร การเดนิ ขบวนประท้วง เป็ นต้น 3. การดือ้ แพ่ง คือ การไม่ปฏบิ ัตติ าม หรือไม่เชื่อฟัง โดยไม่ใช้อาวุธต่อสู้

หลงั จากอนิ เดยี ได้รับเอกราช อนิ เดยี ถูกแบ่งออกเป็ น 2 ประเทศ คือ - อนิ เดยี ซ่ึงคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) - ปากสี ถาน แบ่งออกเป็ น ปากสี ถาน ตอ. และ ปากสี ถาน ตต. ซึ่งคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอสิ ลาม แต่ เนื่องจาก ค.ขดั แย้งในเรื่อง ค.เชื่อทางศาสนา ทาให้ ปากสี ถาน ตอ. ขอแยกตัวออกจาก ปากสี ถาน ตต. ในปี ค.ศ. 1971 แล้วไปต้งั เป็ น ป.บังกลาเทศ

ประธานาธิบดคี นแรกของอนิ เดยี คือ ดร.ราเชนทร์ ประสาท รัฐบุรุษอาวโุ สของอนิ เดยี ส่วนนายกรัฐตรี คนแรกของอนิ เดยี คือ เยาวหลาล เนห์รู

มรดกต่างๆ ท่ีองั กฤษเหลือไว้ในอนิ เดยี 1. ด้านกฎหมาย องั กฤษได้นาเอาระบบกฎหมายท่ีมี การผสมผสานลกั ษณะวธิ ีปฏิบัตแิ บบยโุ รป และอนิ เดีย เข้าด้วยกนั มาใช้ ทาให้อนิ เดยี มคี วาม สงบเรียบร้อย และมรี ะบบการศาล ท่ที ันสมยั มากขนึ้

2. ด้านสาธารณูปโภค มกี ารสร้างทางรถยนต์ ทาง รถไฟ การไฟฟ้า ประปา และ ระบบชลประทาน 3. ด้านอุตสาหกรรม มกี ารพฒั นาอุตสาหกรรมสิ่ง ทอในอนิ เดยี และส่งเสริมให้มกี ารค้าขายทเี่ ป็ นสากล ซ่ึง ส่งผลให้อนิ เดยี กลายเป็ นแหล่งผลติ ฝ้ายสาหรับป้อน โรงงานอตุ สาหกรรมในโลก ตต. 4. ด้านการศึกษา องั กฤษได้จดั ระบบ การศึกษาในอนิ เดยี โดยให้มกี ารเรียนการ สอนแบบองั กฤษ จนทาให้อนิ เดยี มรี ูปแบบ การศึกษาคล้ายคลงึ องั กฤษมาก

5. ด้านการปกครอง หลงั จากทอ่ี งั กฤษให้เอกราชแก่ อนิ เดยี องั กฤษ ได้ตรากฎหมายเป็ นข้อบังคบั ว่า “ท้งั อนิ เดยี และปากสี ถานต้องปกครองประเทศด้วยระบอบ ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา” น่ันคือ มรี ัฐธรรมนูญ มรี ัฐสภา มรี ัฐบาลทมี่ าจากการเลือกต้งั และ เปลย่ี นแปลงรัฐบาลด้วยวธิ ีการทางรัฐสภา เท่าน้ัน

6. ด้านสังคม เป็ นนโยบายหลกั ขององั กฤษทปี่ ระสบ ค.ล้มเหลว มากทส่ี ุด เน่ืองจากกฎหมายหลายฉบบั ของ องั กฤษยกเลกิ ประเพณ/ี พธิ ีกรรมเหลวไหลต่างๆ เช่น ประเพณสี ุตตี ประเพณฆี ่าคนบูชายญั ฯลฯ ทาให้ ชาวอนิ เดยี ไม่พอใจ เพราะเป็ นการเปลยี่ นแปล ค.เช่ือ ทางศาสนาและวถิ ชี ีวติ ของพวกเขา