Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อารยธรรมอินเดีย

อารยธรรมอินเดีย

Published by jidayadum, 2019-08-11 08:12:08

Description: อารยธรรมอินเดีย

Search

Read the Text Version

ชาวอารยนั เป็ นอนารยชนทส่ี ืบเชื้อสายมาจากพวกอนิ โด-ยูโรเปี ยน ซึ่งได้อพยพเข้ามาต้งั ถนิ่ ฐานในอนิ เดยี จากน้ันชาวอารยนั ได้แต่งงานกบั ชนพืน้ เมืองเดิมของ อนิ เดยี จนเกดิ เป็ นชนกลุ่มใหม่เรียกว่า “อนิ โด-อารยนั ” ซ่ึงมีการสันนิษฐานว่า ถน่ิ เดมิ ของอารยนั จะอยู่ทางภาค กลางของทวปี เอเชียบริเวณรอบๆ ทะเลสาบแคสเปี ยน ต่อมาได้อพยพไปทตี่ ่างๆ แบ่งออกเป็ น 3 กล่มุ ได้แก่ 1. พวกยูโรเปี ยน-อารยนั ได้อพยพเข้าไปอยู่ใน ยุโรปบริเวณ ป.เยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี และโปแลนด์

2. พวกอริ าเนียน-อารยนั ได้อพยพเข้าไปอยู่ใน ป.อฟั กานิสถาน อหิ ร่าน อริ ัก และบริเวณอ่าวเปอร์เซีย 3. พวกอนิ โด-อารยนั ได้อพยพเข้ามายดึ ครอง เอเชียใต้ (อนิ เดยี ) แถบล่มุ ม.คงคาและ ม.พรหมบุตร ลกั ษณะการปกครอง เศรษฐกจิ และสังคม สามารถ แยกอธิบายได้ดงั นี้ 1. ด้านการปกครอง ในสมัยพระเวท พวกอารยนั อยู่รวมกนั เป็ นเผ่า แต่ละเผ่าจะเป็ นอสิ ระไม่ขนึ้ ต่อกนั และประกอบด้วยหน่วยทเี่ ลก็ ทส่ี ุดไปถงึ ใหญ่ทส่ี ุด ดงั นี้

(1) กลุ /ครอบครัว เป็ นหน่วยทเ่ี ลก็ ทส่ี ุดของ สังคม มีพ่อบ้านเป็ นหัวหน้า (2) คาม/หมู่บ้าน เกดิ จากการรวมกนั ของ หลายๆ ครอบครัว มคี ามณเี ป็ นหัวหน้า (3) วศิ /ตาบล เกดิ จากการวมกนั ของหลายๆ หมู่บ้าน มวี ศิ บดเี ป็ นหัวหน้า (4) ชนะ/เผ่า เกดิ จากการวมกนั ของหลายๆ วศิ มีพระราชา/กษัตริย์เป็ น หัวหน้า

กษัตริย์จะเป็ นผู้นาในการปกครอง และ นาทพั ในยามศกึ โดยมีผู้ช่วยในการบริหาร คือ ปุโรหติ ซ่งึ เป็ นพราหมณ์ท่ที าหน้าท่ปี ระกอบพระราชพิธี เป็ น โหร และเป็ นท่ปี รึกษาของกษัตริย์ นอกจากนีย้ งั มตี าแหน่งเสนานี ซ่งึ รับผิดชอบด้านการทหาร ส่วนตาแหน่ง อ่ืนๆ ท่สี าคัญรองลงมา คือ ผู้สอดแนม ม้าใช้ ขุนคลัง และสารถี

(เป็นกลมุ่ ผู้เฒ่าในชุมชน) (เป็นกลมุ่ ราษฎรในชมุ ชน) เปน็ ท่ปี ระชุมของบคุ คลสาคญั ในเผา่ เปน็ ทีป่ ระชมุ ใหญ่ของราษฎร **การขนึ้ ดารงตาแหน่งราชากต็ ้องผ่านการเห็นชอบจากท่ปี ระชมุ นกี้ ่อน**

เมื่อชนเผ่าอารยนั ได้มกี ารขยายตัวออกไปทาง ตอ. ทางเหนือ และบริเวณล่มุ ม.คงคาทอี่ ุดมสมบูรณ์ ได้มี การรวมตวั กนั สร้างเป็ นเมือง มีขนึ้ กบั ใคร ดาเนินการ ปกครองแบบราชาธิปไตย ตาแหน่งราชาจงึ เปลย่ี นเป็ น กษตั ริย์ทไ่ี ด้รับพระเกยี รตยิ ศ และพระราชอานาจอนั ศักด์สิ ิทธ์ิ ซึ่งเป็ นดั่งสมมตเิ ทพ ส่วน สภา + สมติ ิ ของการปกครองแบบชนเผ่า ค่อยๆ หมดความสาคญั ไป

2. ด้านเศรษฐกจิ อาชีพด้งั เดิมของชาวอารยนั คือ การปศุสัตว์ เม่ือมาถงึ ปลายสมยั พระเวทได้ เปลยี่ นเป็ นการเพาะปลูก อาชีพรองลงมา คือ การเลยี้ ง สัตว์ ซึ่งนิยมเลยี้ ง ม้า ส่วนสัตว์ทสี่ าคญั ทสี่ ุดคือ ววั ตวั เมีย ซ่ึงถือว่าเป็ นหน่วยวดั ความมัน่ คง่ั ทางเศรษฐกจิ อกี ท้งั ววั ตวั เมยี ยงั ให้แรงงาน นม-เนย และ ลูกอกี ด้วย

3. ด้านสังคม ระยะแรกชนช้ันในสังคมมี 3 ชนช้ัน คือ นักรบ นักบวช และสามญั ชน โดยยงั ไม่มเี ร่ืองวรรณะ ต่อมา ได้เกดิ ความรู้สึกเกย่ี วกบั วรรณะขนึ้ ท้งั นีเ้ พราะพวกอารยนั ถือตวั ว่าสูงกว่าพวกทราวฑิ และเกรงว่าพวกตนจะถูกกลืน เผ่าพนั ธ์ุจงึ ออกกฎห้ามแต่งงาน นอกจากนีส้ ังคมอารยนั ยงั ให้การ ยกย่องเพศชาย แต่ไม่รังเกยี จลูกสาว ส่วนประเพณสี ุตตี ซ่ึงประเพณหี ญงิ ม่ายต้องเผาตวั ตายท้งั เป็ นพร้อม ศพสามียงั ไม่เกดิ ขนึ้

สมัยมหากาพย์ (ประมาณ 1,250 - 850 B.C.) มหากาพย์รามายณะ และ มหากาพย์ภารตะ เป็ นหลักฐานสาคัญท่ที าให้รู้เร่ืองราวของพวก อารยนั สมยั หลังพระเวท/เม่อื เข้าไปตงั้ ถ่นิ ฐาน แถบลุ่ม ม.คงคา ซ่งึ ทกุ ชัน้ วรรณะสามารถ อ่านได้ จงึ เป็ นท่แี พร่หลายและมอี ทิ ธิพล ต่อชาวอินเดยี มาก ดงั นี้

1. มหากาพย์รามายณะ (รามเกยี รต์)ิ แต่งโดยฤาษวี าล มกิ ิ ถือเป็ นกาพย์เร่ืองแรกในวรรณคดอี นิ เดยี แต่งขนึ้ เมื่อ ประมาณ 400 – 200 B.C. (ตรงกบั สมัยราชวงศ์เมารยะ) ซึ่งบุคคลในเรื่องแบ่งออกเป็ น 2 พวก คือ (1) พวกอารยนั ได้แก่ พระราม พระลกั ษณ์ พระนาง สีดา และหนุมาน โยพระรามถือว่าเป็ นแบบฉบับของโอรส ทด่ี ี มี ค.กตญั ญู และเป็ นพระสวามใี นอดุ มคติ ในขณะท่ี พระนางสีดาถือเป็ นภรรยาในอดุ มคติ เน่ืองจากซ่ือสัตย์ จงรักภกั ดตี ่อสามี ร่วมทุกข์ร่วมสุข

(2) พวกทราวฑิ ได้แก่ ทศกณั ฐ์กบั พวก ซ่ึงเป็ น ตวั แทนของชนพืน้ เมืองผู้ตา่ ต้อย โหดร้ายทารุณ ป่ า เถ่ือน และไม่ใช่อารยชน 2. มหากาพย์ภารตะ แต่งโดยฤาษวี ยาสะ ถือเป็ น คาประพนั ธ์ประเภทร้อยกรองทย่ี าวทส่ี ุดในโลก โดย เป็ นเรื่องราวของสงครามระหว่างพน่ี ้อง 2 ตระกลู คือ เการพ (ตวั แทนฝ่ ายอธรรม) กบั ปาณฑพ (ตัวแทนฝ่ าย ธรรมะ) ซึ่งเป็ นสงครามคร้ังยงิ่ ใหญ่จนได้ช่ือว่า “มหาภารตยุทธ์”

ผลของสงคราม คือ ฝ่ ายปาณฑพมชี ัยชนะ นอกจากนีย้ งั เป็ นมหากาพย์ทไ่ี ด้รับการยกย่อง ว่าเป็ นพระเวทหมวดท่ี 5 และมีความสาคญั ใน ด้านศาสนา ซ่ึงตอนทสี่ าคญั ทสี่ ุดจะปรากฏอยู่ ใน “คมั ภีร์ภควทั คตี า”

ลกั ษณะการปกครอง เศรษฐกจิ และสังคม สามารถ แยกอธิบายได้ดงั นี้ 1. ด้านการปกครอง มีการปกครองเป็ นแคว้น/นคร รัฐ ประมุขของแคว้น คือ กษตั ริย์ ซ่ึงต้องประกอบพธิ ี ราชาภเิ ษก เพื่อทาให้กษัตริย์เป็ นเทพเจ้าทยี่ ่ิงใหญ่ใน ร่างมนุษย์ และต้องทาสัตย์สาบานว่า จะปกครองตามหลกั ธรรมไม่เผดจ็ การ ถ้าไม่รักษาสัตย์ ประชาชนมสี ิทธ์ิ ถอดถอนได้

2. ด้านเศรษฐกจิ มอี าชีพหลกั คือ ทาการเกษตร แต่อาชีพพาณชิ ยกรรมและอุตสาหกรรมกเ็ จริญเตบิ โต ขนึ้ มาก นอกจากนีย้ งั มีการทาเหมืองแร่ต่างๆ รู้จักนา ทองคา เงนิ ทองแดง มาเป็ นเงนิ ตราในการแลกเปลยี่ น และช่างฝี มือแต่ละสาขามีการรวมตัวเป็ นสมาคมพ่อค้า

3. ด้านสังคม ช่วงเวลาระหว่างสมัยพระเวทกบั สมยั มหากาพย์เรียกว่า “สมัยพราหมณะ” / “สมัย พราหมณ์รุ่งเรือง” คือ พราหมณ์จะมอี ทิ ธิพลสูงสุด เป็ นสื่อกลางระหว่างมนุษย์กบั พระเจ้า และเป็ นผู้ ประกอบยญั กรรมเพ่ือบวงสรวงเซ่นไหว้เทพเจ้า

อารยธรรมของอนิ โด-อารยนั * ระบบวรรณะ พราหมณ์ได้ดงึ ระบบวรรณะเข้ามาเป็ น หลกั ทางศาสนา โดยอ้างคมั ภีร์พระเวทว่า พระพรหม ทรงสร้างมนุษย์เพื่อสันติ จากอวยั วะของพระองค์ 4 ส่วน ส่งผลให้แต่ละวรรณะมฐี านะทางสังคมไม่เท่ากนั และ เปลย่ี นฐานะไม่ได้ นอกจากนีย้ งั กาหนดหน้าทขี่ องคนแต่ละ วรรณะจากสูงมาตา่ ดงั นี้

1) วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์/ปาก) ทา หน้าทป่ี ระกอบพธิ ีทางศาสนา ให้การอบรมสั่งสอน และ จดั เป็ นชนช้ันสูงสุดของสังคม ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์ สีประจาวรรณะ คือ สีขาว 2) วรรณะกษัตริย์ (สร้างจาก พระพาหา/แขน) ทาหน้าท่ีปกป้อง คุ้มครอง ป้องกนั ประเทศ ได้แก่ นัก ปกครอง ทหาร/นักรบ และตารวจ สี ประจาวรรณะ คือ สีแดง

3) วรรณะแพศย์/ไวศยะ (สร้างจากพระโสณี/ สะโพก) เป็ นผู้ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรม พาณิชย-กรรม และอตุ สาหกรรม ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้า นายธนาคาร ฯลฯ สีประจาวรรณะ คือ สีเหลือง

4) วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาท/เท้า) จัดเป็ น ชนช้ันตา่ สุดของสังคม โดยศูทรไม่มสี ิทธ์ิเข้าเรียน หนังสือ และศึกษาพระเวท แต่งงานกนั เฉพาะภายใน วรรณะของตนเท่าน้ัน และรับใช้วรรณะท้งั 3 วรรณะ โดยไม่รังเกยี จ ได้แก่ พวกกรรมกร และข้า/ทาส สีประจาวรรณะ คือ สีดา นอกจากวรรณะท้งั 4 แล้วยงั มี วรรณะย่อยๆ ทเี่ กดิ จากการแต่งงาน ข้ามวรรณะ ซึ่งปรากฏในคมั ภรี ์ มนูธรรมศาสตร์ 4 ลกั ษณะ ดงั นี้

1) การแต่งงานที่ดี หมายถงึ สามอี ยู่ในวรรณะสูง กว่าภรรยา เช่น พราหมณ์ (สามี) – กษัตริย์ (ภรรยา), กษตั ริย์ (สาม)ี – แพศย์ (ภรรยา) เป็ นต้น 2) การแต่งงานแบบเสมอตวั หมายถงึ สามีภรรยา อยู่ในวรรณะเดยี วกนั เช่น แพศย์ (สาม)ี – แพศย์ (ภรรยา) เป็ นต้น 3) การแต่งงานท่ีเลว หมายถงึ ภรรยาอยู่ในวรรณะสูงกว่าสามี เช่น แพศย์ (สาม)ี – กษัตริย์ (ภรรยา) เป็ น

4) การแต่งงานทเี่ ลวทสี่ ุด หมายถึง การท่ีสามี วรรณะศูทร แต่งงานกบั ภรรยาวรรณะพราหมณ์ บุตรท่ี เกดิ มาจะเรียกว่า “จณั ฑาล” ซึ่งเป็ นชนช้ันต่าสุดของ สังคม เป็ นที่รังเกยี จของคนในสังคม แตะต้องไม่ได้ และ มกั ทางานช้ันตา่ เช่น ขนแบกศพ ฯลฯ

นอกจากนีค้ นทอ่ี ยู่ในวรรณะท้งั 4 เรียกว่า “สวรรณะ” หมายถงึ พวกทมี่ ีวรรณะสังกดั ส่วนพวกไม่มีวรรณะสังกดั เรียกว่า “อวรรณะ” ถือเป็ นวรรณะที่ 5 ในสังคมฮินดู คนพวกนีจ้ ะได้รับการดูถูกเหยยี ดหยาม เสมือนว่าเป็ น พวกตา่ ช้า เป็ นตวั เสนียด เป็ นอปั มงคลแก่ผู้พบเห็น ซึ่งมชี ื่อเรียกต่างๆ กนั ไป เช่น จัณฑาล หริชน หินชาติ ปาริหะ ปัญจมะ มาหาร์ อธิศูทร เป็ นต้น

* ด้านศาสนา สามารถแบ่งออกเป็ น 3 ศาสนา ดงั นี้ 1) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 2) ศาสนาเชน 3) ศาสนาพุทธ สภาพอนิ เดยี ในสมยั พุทธกาล ประกอบด้วย 16 แคว้น/16 รัฐ แต่ทสี่ าคญั มี 4 แคว้น ได้แก่

1. มคธ ปัจจุบนั คือ จงั หวดั คยาและปัฏนาในรัฐ พหิ าร เมื่อคร้ังพทุ ธกาล มคธประกอบด้วย 80,000 หมู่บ้าน มหี ัวหน้าปกครองแต่ละหมู่บ้าน เรียกว่า “คามโภชกะ” ส่วนเจ้าหน้าทส่ี ่วนกลางเรียกว่า “มหามาตย์” 2. โกศล เป็ นแคว้นท่ี เจริญรุ่งเรืองและมอี านาจมาก โดยเฉพาะสมัยพระเจ้าปเสนทิ โกศล นอกจากนีย้ งั เป็ นแคว้นที่ สาคญั ต่อพระพทุ ธศาสนาด้วย

3. กาสี เป็ นแคว้นทม่ี งั่ คง่ั สมบูรณ์ มเี มืองหลวง คือ “พาราณสี” เป็ นศูนย์กลางของศิลปวทิ ยาการแขนง ต่างๆ และเป็ นสถานทท่ี พ่ี ระพทุ ธเจ้าแสดงปฐมเทศนา นอกจากนีย้ งั พบพระพทุ ธรูปปางปฐมเทศนา และหัวเสา ศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช และมที ่านา้ ศักด์สิ ิทธ์ิของแม่นา้ คงคาทน่ี ิยมใช้ล้างบาป ของคนอนิ เดยี จนทาให้เมืองพาราณสี ได้รับการขนานนามว่าเป็ น “เมืองศักด์สิ ิทธ์ิของอนิ เดยี

4. ตักศิลา เป็ นเมือง หลวงของแคว้นคนั ธาระ ปัจจุบนั ได้แก่ จงั หวดั เปศวะ ระ และราวลั ปิ นดี ใน ป.ปากสี ถาน ตกั ศิลาเป็ นเมือง ทม่ี ชี ่ือเสียงในฐานะที่เป็ น “มหาวทิ ยาลยั ” ทคี่ นช้ันสูงใน สมัยโบราณชอบไปศึกษา



อารยธรรมอนิ เดยี : สมัยจกั รวรรดิ นับแต่ ศตวรรษที่ 6 เป็ นสมัยทม่ี คี วามสาคญั ต่อ การวางพืน้ ฐานของแบบแผนทางสังคม ศิลปะ และ วฒั นธรรมอนิ เดยี ทยี่ งั คงสืบเน่ือง ต่อมาถงึ ปัจจุบัน การปกครองสมยั จกั รวรรดิ ของอนิ เดยี แบ่งออกเป็ น 5 สมัย ดังนี้

1. จกั รวรรดมิ คธ ต้งั อยู่บริเวณภาค ตอ. ลุ่มแม่นา้ คงคา เป็ นแคว้นทมี่ ี อานุภาพมากสุดใน ศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ.

มีกษัตริย์ทม่ี ีช่ือเสียงของมคธ 2 พระองค์ คือ  พระเจ้าพมิ พสิ าร  พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ขยายอานาจของมคธ ไปอย่างกว้างขวาง จนมคธ เป็ นจักรวรรดขิ นาดใหญ่ เป็ นคร้ังแรกในอนิ เดีย

ในด้านการปกครอง กษตั ริย์มอี านาจสูงสุด มขี นุ นางข้าราชการเป็ น ผู้ช่วย 3 ฝ่ าย คือ ฝ่ายตุลาการ รวมเรียกว่า ฝา่ ยทหาร ฝ่ายบรหิ าร “มหามาตระ”

อาชีพหลกั ของชาวอนิ เดยี คือ การเกษตร และ การค้า สิ่งทแ่ี สดงถงึ อารยธรรมอนั รุ่งเรืองของแคว้นมคธ คือ พระพทุ ธศาสนา ได้รับการอุปถมั ภ์จากพระเจ้าพมิ พสิ าร และพระเจ้าอชาตศัตรู จักรวรรดมิ คธกลายเป็ น ศูนย์กลางของพระพทุ ธศาสนา

ส่งผลให้พระพทุ ธศาสนาได้รับการเผยแผ่ไปอย่าง กว้างขวาง ส่วนศาสนาพราหมณ์กเ็ ร่ิมเสื่อมลง เนื่องจาก มุ่งเน้นไปในเรื่องอทิ ธิปาฏหิ าริย์ขององค์ เทพเป็ นหลกั แทนทจี่ ะมุ่งศึกษา เพื่อการหลุดพ้นจาก ทุกข์ตามคาสอนหลกั ในคมั ภรี ์

2. จักรวรรดเิ มารยะหรือโมริยะ (322 – 184 B.C.) - ในปี 327 B.C. พระเจ้าอเลก็ ซานเดอร์มหาราช แห่งมาซิโดเนีย ภาคเหนือของกรีซ ได้นาทัพเข้ายดึ ครอง ภาค ตต./น.ของอนิ เดยี ได้สาเร็จ - ต่อมาพระจันทรคุปต์ ทรงเป็ นผู้นา ในการขับไล่ทหารกรีกออกจากอนิ เดีย จากน้ันเข้ายดึ แคว้นมคธของ ราชวงศ์นันทะได้สาเร็จ

- จงึ ต้งั “ราชวงศ์เมารยะ/โมริยะ” ขนึ้ และปก ครอบแบบจักรวรรดิ โดยมีจกั รพรรดทิ ่ีสาคญั ได้แก่ พระเจ้าจนั ทรคุปต์ พระเจ้าอโศกมหาราช และรัชทายาท ของพระเจ้าอโศก - โดยหลกั ฐานสาคญั ท่ที าให้ทราบเรื่องราวของ พระเจ้าจนั ทรคุปต์ คือ หนังสือมหาวงศ์ และ บนั ทกึ ของเมกสั เธเนส ซึ่งเป็ น ราชทูตกรีกประจาราชสานักของ พระองค์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง

กองทพั อนั เกรียงไกรทสี่ ามารถแผ่ขยายอาณาเขตจาก อ่าวเบงกอลจดเทือกเขาฮินดูกซู โดยมพี ราหมณ์ เกาฏิลยะเป็ นผู้วางแผนการปกครองและขยายอานาจ - เกาฏิลยะ (จารนักย์/วษิ ณุคุปต์) เป็ นอคั รมหา เสนาบดขี องพระเจ้าจนั ทรคุปต์ และเป็ นผู้แต่งคมั ภรี ์ อรรถศาสตร์ได้กล่าวถึงเรื่องต่างๆ ท่วี ่า ด้วยการปกครองทีม่ ปี ระสิทธิภาพ รวมท้งั แสดงความมุ่งหมาย ในอนั ทจี่ ะให้อนิ เดียรวมเป็ น

หนึ่งเดยี วกนั และอยู่ภายใต้การปกครองของบุคคลเดียว เป็ นสาคญั ดังน้ันในด้านการปกครอง ได้นาหลกั การมาจาก คมั ภีร์ “อรรถศาสตร์” มีการจดั ระเบียบ โดยรวม อานาจไว้ทกี่ ษตั ริย์และเมืองหลวง จักรพรรดมิ อี านาจสูงสุดในด้านการบริหาร การตรากฎหมาย การศาล และการทหาร

มีสภาเสนาบดแี ละสภาแห่งรัฐเป็ นผู้ช่วยเหลือ สภาเสนาบดี ประกอบด้วย  สมาชิกทเี่ ป็ นข้าราชการระดบั สูง สภาแห่งรัฐ  เป็ นสภาทปี่ รึกษา ท้งั สองสภา จักรพรรดเิ ป็ นผู้แต่งต้งั

จกั รวรรดมิ กี ารควบคุมเมืองต่าง ๆ โดยใช้วธิ ี จดั ต้งั หน่วยงานกระจายท่วั ไป เพื่อรายงาน สถานการณ์ต่าง ๆ มายงั เมืองหลวง ความเจริญของจกั รวรรดเิ มารยะ เห็นได้จาก  การสร้างถนนขนาดใหญ่เช่ือมหัวเมืองสาคญั  การสารวจสามะโนประชากร

 มกี องทพั ขนาดใหญ่คอยรักษาความมน่ั คง  มรี ะบบชลประธาน  มีหน่วยงานสืบราชการลบั  การใช้ใบผ่านทางสาหรับคนต่างชาติ  การสร้างมหาวทิ ยาลยั ขนึ้ หลายแห่ง

พระเจ้าอโศกมหาราช (273 – 233 B.C.) เป็ นกษตั ริย์ทยี่ งิ่ ใหญ่ ทสี่ ุดใน ปวศ.ของชมพทู วปี และเป็ นองค์เอกอคั ร ศาสนูปถมั ภกทส่ี าคญั ทส่ี ุด ใน ปวศ.ของพทุ ธศาสนา

ในระยะแรกของการขนึ้ ครองราชย์ เป็ นกษัตริย์ท่ี ดุร้าย โหดเหีย้ ม และนิยมทาสงคราม จนได้รับสมญา นามว่า “จัณฑาโศก” แปลว่า “อโศกผู้ดุร้าย” ต่อมาทรงเลกิ ทาสงครามเพ่ือขยายอานาจ แล้วหัน มานับถือพทุ ธศาสนา และประกาศใช้ พทุ ธศาสนาเป็ นศาสนาประจา ราชสานัก จนส่งให้ได้รับสมญานาม ใหม่ว่า “ธรรมาโศก” แปลว่า “อโศกผู้ทรงธรรม”

พระราชกรณียกจิ ของพระเจ้าอโศก สรุปได้ดงั นี้ - ทรงใช้อานาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครอง ลูก และทรงเป็ นธรรมราชา - ทรงเป็ นนักปฏบิ ตั ธิ รรม เช่น เน้นการให้ทาน ให้เลกิ ฆ่าสัตว์บูชายญั อย่างเดด็ ขาด ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาหรือ มีขนั ตธิ รรมในศาสนา เป็ นต้น

- ทรงเปลย่ี นนโยบายการขยายอานาจโดยการ รุกราน มาเป็ นนโยบายสันตภิ าพ - มกี ารส่งสมณทูตไปเผยแผ่ศาสนารวม 9 สาย ทวั่ อนิ เดยี ทุกภาค และออกนอก ป.อนิ เดยี เป็ นคร้ังแรก - ทรงเป็ นเอกอคั รศาสนูปถมั ภก ของพทุ ธศาสนา จนทาให้พทุ ธศาสนา เจริญรุ่งเรืองทสี่ ุดในสมัยนี้ เช่น

* ทรงอุปถมั ภ์การสังคายนาพทุ ธศาสนาคร้ังท่ี 3 * โปรดให้สร้างสถูปเจดยี ์ และวหิ ารต่าง ๆ เช่น สถูปสาญจี

* โปรดให้จารึกพระธรรมคาสอนลงบนเสาหินที่ เรียกว่า “Asoka’s Pillars” โดยหัวเสาจะมรี ูปสิงห์ 4 ตวั ยืนหันหลงั ชนกนั ข้างบนหลงั สิงห์มพี ระธรรมจักร ซ่ึงปัจจุบันอนิ เดยี ใช้หัวเสารูปสิงห์เป็ น ตราแผ่นดนิ ส่วนพระธรรมจักร จะปรากฏอยู่บนกลางผืนธงชาตอิ นิ เดยี

* โปรดให้สร้างพระธรรมจักรขนึ้ เป็ นคร้ังแรก เพื่อสัญลกั ษณ์แทนพระธรรมคาสอน เช่น ปางปฐม เทศนาจะทาเป็ นภาพพระธรรมจกั ร และมกี วางหมอบ เป็ นต้น

- มปี ระตมิ ากรรมทเ่ี ป็ นสัญลกั ษณ์แทนรูปเคารพ ของพระพทุ ธเจ้า เช่น ปางประสูตเิ ป็ นรูปดอกบัว ปาง ตรัสรู้เป็ นรูปต้นโพธ์ิ และปางเทศนาเป็ นรูปกงล้อแห่ง ธรรม

นอกจากนีย้ งั ทรงปลดบางข้อห้ามท่เี คร่งครัดของ พราหมณ์ เช่น  การแบ่งช้ันวรรณะ  อนุญาตให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ ห้ามไม่ให้ฆ่านกยูงซึ่งเป็ นสัญลกั ษณ์ แห่งราชวงฯศ์เมารยะ ปัจจุบันนกยูงได้ กลายเป็ นนกประจาชาติของอนิ เดยี

- ภายหลงั ท่ีพระเจ้าอโศกสวรรคต จักรวรรดิ เมารยะเส่ือมลงอย่างรวดเร็ว เพราะกษตั ริย์ท่ี ครองราชย์ต่อมาไม่ทรงพระปรีชาสามารถ รัฐต่างๆ แยกตวั เป็ นอสิ ระ และมรี าชวงศ์ต่างๆ ผลดั เปลี่ยนกนั ขนึ้ มามีอานาจ ส่วนอนิ เดยี ภาค ตต./น.ตกอยู่ภายใต้ การปกครองของราชวงศ์อนิ โด-แบกเทรีย และ ราชวงศ์กษุ าณ ซึ่งมีมรดกด้าน อารยธรรมท่ีเกดิ ขนึ้ ในช่วงนี้ ได้แก่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook