ราชวงศแ์ พลนตาเจอเนต เป็นราชวงศ์องั กฤษท่ี สืบเชือ้ สายมาจากราชวงศอ์ องชขู องฝรงั่ เศส มี K. ท่ี สาคญั คอื พระเจา้ รชิ ารด์ ใจสิงห์ ซึ่งเป็น K. นักรบ และเป็นผนู้ าในสงครามครูเสดครง้ั ท่ี 3 เมือ่ พระองค์ สน้ิ พระชนม์ในสนามรบทาใหพ้ ระอนชุ า คือ พระเจา้ จอหน์ ขน้ึ ครองราชย์แทน
เหตกุ ารณ์สาคัญทีเ่ กดิ ขึ้นในสมยั พระเจา้ จอหน์ มีดงั น้ี 1) ทรงแพ้สงครามทท่ี ากับฝร่ังเศส ทาให้อังกฤษสญู เสยี ดินแดน ในฝรัง่ เศสเกือบทง้ั หมด รวมทัง้ แคว้นนอร์มงั ดี ทาใหพ้ ระเจา้ จอหน์ ไดร้ ับฉายาว่า “K. ผู้ไรแ้ ผน่ ดิน” 2) ทรงขัดแยง้ กับสนั ตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 เรื่อง การแต่งต้ัง อารช์ บชิ อปแห่งแคนเทอเบอร่ี ทาใหส้ นั ตะปาปาปิดโบสถ์ ใน อังกฤษเม่ือปี ค.ศ. 1208 และประกาศบัพพาชนียกรรมพระ เจ้าจอห์นในปี ค.ศ. 1209 พรอ้ มทง้ั ถอดออกจากตาแหนง่ K. ทาให้องั กฤษมฐี านะเปน็ ดินแดนของสันตะปาปา และต้อง ถวายเครอื่ งบรรณาการทกุ ปี
3) ในปี ค.ศ. 1215 K.จอห์น ถูกพวกขนุ นางองั กฤษบงั คับให้ ลงนามใน “รฐั ธรรมนูญแมกนา คารต์ า” ซง่ึ ถือเปน็ รฐั ธรรมนญู ฉบับแรกขององั กฤษ คือ กาหนดให้ทกุ ชนช้ัน ต้องอยู่ภายใตก้ ฎหมาย และยงั ลดอานาจ K. ใหศ้ าล ยตุ ธิ รรมทาหน้าท่ตี ดั สนิ คดีความเสรชี น การจดั เก็บภาษี ตอ้ งยตุ ิธรรม จงึ นบั เปน็ จุดเรมิ่ ตน้ ของการปกครองใน ระบอบรฐั สภา หรือ K.อยภู่ ายใต้รัฐธรรมนญู
ชัยชนะของศาสนจกั ร ในสมยั ฟวิ ดัล ศาสนจักรได้เสือ่ มอานาจอย่างมาก แตเ่ ม่ือเข้าสู่ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 พระสนั ตะปาปาเกรเกอรีที่ 7 ผ้เู ช่อื วา่ “พระเจ้าเป็นผ้สู ร้าง มนุษย์ และ พระคอื ตวั แทนของพระเจา้ ในการช้นี ามนุษย์” สามารถทาใหโ้ รม กลายเป็นศนู ยก์ ลางศาสนาอีกครง้ั โดยพระสนั ตะปาปาเป็นผู้นาของทุกสถาบนั ดว้ ยดาเนนิ การดงั น้ี 1) ปลดปลอ่ ยวัดจากการควบคมุ ของฝา่ ยอาณาจักร 2) ให้สนั ตะปาปามีอานาจสูงสดุ ในศาสนจักร 3) ปรบั ปรุงระบบภาษเี พ่อื ใหส้ นั ตะปาปามฐี านะทาง การเงินที่มั่งค่งั
สงครามครูเสด สงครามครูเสดถอื วา่ เปน็ สงครามมหายุทธท์ ม่ี ีรัฐและ ฝา่ ยตา่ งๆ เข้าร่วมสงครามมากมาย ซึ่งกนิ เวลาร่วม 200 ปี (รวม 8 ครั้ง) โดยเป็นสงครามระหว่างศาสนาคริสตก์ ับอสิ ลาม เพ่ือแย่งกันครอบครองกรงุ เยรซู าเล็ม
สาเหตุ สนั ตะปาปาเออรบ์ นั ท่ี 2 ทรงเรยี กประชมุ บรรดาพระ และขุนนางที่เมอื งแครมอนตใ์ นฝรงั่ เศส เพื่อชักชวนพวกค รสิ เตียนในยุโรป ตต. ทาสงครามครูเสด เพือ่ ชิงเมอื ง เยรูซาเล็มคนื จากพวกเซลจุก เตริ ก์ โดยสญั ญาว่า ผู้ทไ่ี ปรบ จะพน้ บาป ได้ข้ึนสวรรค์ หมดหนส้ี ิน และถ้าเปน็ ทาสก็จะ ได้รับอสิ ระ
สงครามครเู สดเกิดขนึ้ 8 ครัง้ ใช้เวลาประมาณ 200 ปี ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 11 – 13 ซง่ึ ครง้ั ที่ 4 ถอื ว่า แปลกกวา่ ครงั้ อ่ืน เพราะเปน็ สงครามระหว่างพวกครสิ เตียนกนั เอง เนื่องจากกองทพั ครูเสดภายใตก้ ารนาของ สาธารณรฐั เวนสิ (โรมนั ตต.) และ การสนับสนนุ ของ สนั ตะปาปาอินโนเซนตท์ ่ี 3 แทนทีจ่ ะยกทพั ไปยึดกรุง เยรซู าเล็ม กลับไปยดึ ครองกรุงคอนสแตนติโนเปลิ (โรมัน ตอ.)
เมือ่ สงครามสน้ิ สดุ ลง พวกคริสเตียนไม่สามารถยึด กรงุ เยรูซาเล็มคนื จากพวกมอสเลม็ ได้ ถือว่าว่าเป็นความ ลม้ เหลว แต่กไ็ ด้ช่อื วา่ เปน็ “ความลม้ เหลวที่ประสบ ความสาเรจ็ มากที่สุดใน ปวศ.” เพราะชาวยโุ รปไดร้ บั บทเรียนตา่ งๆ จากพวกอาหรบั และอิสลามอืน่ ๆ เปน็ อนั มาก
ผลของสงครามครเู สด 1. ขนุ นางเสยี ชวี ติ จานวนมาก ทาให้ระบอบศักดินา สวามิภกั ดเ์ิ ส่ือมลง 2. K. มอี านาจมากข้ึน เพราะขนุ นางเสอ่ื มอานาจและ ยากจนลง 3. มกี ารเปิดเส้นทางการค้าระหว่างดนิ แดนซกี โลก ตอ. และ ตต. คือ มกี ารนาเอาความเจริญและสนิ ค้าจาก ภาค ตอ.ไปเผยแพรใ่ นยโุ รป ตต.
4. นักรบครเู สดไดน้ าเอาศิลปวิทยาการของอารย ธรรมคลาสสกิ /อารยธรรมกรกี -โรมนั จากภาค ตอ. กลบั เขา้ มายงั ยุโรป ตต. จนนาไปสยู่ คุ ฟนื้ ฟศู ลิ ปวิทยาการ/เรอ เนสซองสใ์ นยโุ รปเรม่ิ ต้นยคุ ใหม่ 5. เกดิ เมืองใหม่ๆ ขน้ึ เพราะการคา้ ขยายตัว 6. มีการนาเงินและทองเขา้ มาในยุโรปมากขึน้ 7. ทาใหอ้ านาจของฝา่ ยศาสนจักรเพิ่มขน้ึ 8. เมอื งศนู ยก์ ลางการค้าเรมิ่ มมี ากขึ้น และมคี วามม่งั ค่ังขนึ้ อย่างรวดเรว็ เชน่ อิตาลี
ยุคกลางตอนปลาย/ความเส่ือมของยคุ กลาง เหตกุ ารณ์ทนี่ าไปสสู่ มยั เสอื่ มของยุคกลาง คอื 1. การขยายตัวทางเศรษฐกจิ : การฟืน้ ฟกู ารค้าและอุตสหกรรมยุค กลาง ผลของสงครามครเู สดทาใหก้ ารค้าเจรญิ ก้าวหน้าข้นึ จึงเกิดชนชนั้ กลาง ชาวเมอื งเรยี กวา่ “พวก Burghers” เป็นพวกท่ีมีชวี ิตอยู่ในเมือง และมไิ ด้ถกู จดั อย่ใู นสังคมฟวิ ดลั แตเ่ ป็นคนรนุ่ ใหมมท่ เ่ี รียกตวั เองว่า “เสรชี น” ดาเนนิ ชีวิตอิสระ ทาการค้าและอุตสาหกรรม ใช้เงนิ แลกเปลยี่ น รวมตวั กนั เปน็ กล่มุ กอ้ น ปกครองตนเอง ส่วนพวกพระเห็นวา่ ชนชัน้ กลาง เป็นพวกค้ากาไรเกนิ ควร เปน็ อันตรายตอ่ สปิรติ แหง่ ความเปน็ มนษุ ย์
การเรมิ่ ความสาคัญทางการคา้ ของเวนิส ในยุคนเ้ี ส้นทางการคา้ ทางทะเลได้รับความนิยมมาก ข้ึน จงึ ทาใหเ้ กิดศนู ยก์ ลางทางการคา้ ขนึ้ รอบๆ นา่ นนา้ โดยเฉพาะการค้าใน ท.เมดเิ ตอรเ์ รเนยี น ท้งั นี้เมอื งท่ีมี ความสาคญั ทางการคา้ ในอติ าลี ไดแ้ ก่ เวนสิ เจนวั และ ปซิ ่า สว่ นศนู ยก์ ลางทางการค้าระหวา่ ง ท.บอลตกิ และ ท.เหนือ คอื แคว้นฟลานเดอร์ ซึง่ เปน็ เมืองท่รี ับสินค้าของ องั กฤษเข้าสู่ประเทศบนภาคพ้ืนทวีป
เมอื งเวนสิ
เมอื งเจนวั
เมอื งปซิ า
ความเจรญิ ของเมอื งในยโุ รป เมืองในสมยั กลางมีสภาพแออดั ไมถ่ ูกสุขลกั ษณะ มี โรคภยั ไขเ้ จบ็ ชุกชมุ บา้ นสรา้ งด้วยไม้ ลักษณะท่วั ไปของเมอื ง จะมคี ูล้อมรอบเป็นกาแพงเมอื ง มีสะพานข้าม มีวัดเป็นศูนย์ รวมจิตใจในการปอ้ งกันการรกุ รานจากศตั รู ชาวเมอื งได้ ร่วมกนั จัดตง้ั สมาคมลอมบารด์ ข้นึ ทางภาคเหนอื ของอติ าลี สว่ นทางภาคเหนอื ของเยอรมนกี ็มีการจดั ต้งั สมาคมฮนั ซีเอตกิ เพ่ือควบคุมการคา้ ทาง ท.เหนือ และ ท.บอลติก
ผลของการกาเนดิ เมืองตอ่ อารยธรรม 1. เงนิ เปน็ สื่อกลางในการซ้ือขายแลกเปล่ียน 2. เกิดชนช้ันใหม่ท่มี ั่งคง่ั มากคอื ชนช้นั กลาง/กระฎมุ พี 3. ชาวนามีสภาพชวี ติ ท่ดี ขี น้ึ 4. ขนุ นางมอี านาจลดลง ในขณะที่ K. มอี านาจมากข้นึ เพราะพวกพ่อคา้ สนบั สนนุ K. สร้างกาลงั ทหารให้เข้มแข็งเพื่อ ปราบขุนนาง 5. ค.เจรญิ ทางวฒั นธรรม ทาใหป้ ระชาชนมโี อกาสชมุ นุมกัน เพอ่ื แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กัน
บทบาทของสมาคมพ่อคา้ และสมาคมชา่ ง การค้าระบบกิลตใ์ นยคุ กลาง โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิ จัสตเิ นียน บรรดาพอ่ ค้าและชา่ งฝมี ือไมอ่ าจทาการค้าได้เองโดย ลาพัง เพราะรฐั บาลมีนโยบายควบคุมและผูกขาดเศรษฐกจิ โดยผ่านสมาคมเฉพาะอาชีพ ซ่ึงทาหน้าท่คี วบคมุ อตั ราค่าจา้ ง ผลกาไร ชวั่ โมงทางาน ราคาสินค้า และมาตรฐานสินค้า ทง้ั นี้ พอ่ ค้าและชา่ งฝีมือจะต้องเป็นสมาชกิ สมาคมพอ่ คา้ และสมาคม ชา่ งฝมี อื เพ่อื ใหส้ ามารถทาการคา้ และปกปอ้ งผลประโยชน์ ส่วนตนได้
2. การล่มสลายของจักรวรรดิโรมนั อันศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ค.ขดั แยง้ ระหวา่ งจักรพรรดแิ ห่งอาณาจกั รโรมนั อัน ศักด์ิสทิ ธ์ิกับสนั ตะปาปาทเี่ กดิ ข้นึ ในยุคกลาง ทาใหเ้ กิดการ แยกดนิ แดนอิตาลอี อกจากดนิ แดนเยอรมนี ทาให้เยอรมนี เกิด ค.แตกแยก และทาใหอ้ านาจ K. ลดลง โดยคนที่ ขน้ึ มามอี านาจแทน คือ พระและขนุ นาง ถอื เปน็ การ ปกครองในระบบศกั ดินาสวามภิ ักดิ์ อย่างแท้จริง
ตอ่ มาเมอื่ พระเจา้ ชาร์ลที่ 4 แห่งลกั เซมเบริ ์กไดร้ ับ เลอื กเป็นจกั รพรรดโิ รมนั อันศักดิส์ ิทธิ์ กไ็ ดม้ ีการออก รัฐธรรมนูญ “ประกาศทอง” โดยกาหนดใหเ้ จ้าผ้คู รอง แควน้ ในอาณาจกั รโรมนั อนั ศักดสิ์ ทิ ธิ์ 7 องค/์ จดั เป็นคณะผู้ เลือกต้ัง 7 คน เป็นผ้มู ีสทิ ธิ์เลอื กจกั รพรรดิองคใ์ หม่โดยไม่ ต้องมีการรบั รองจากศาสนจกั ร ถอื เป็นการตดิ สิทธใิ นการ เลอื กจกั รพรรดขิ องสันตะปาปา และนับแตป่ ี ค.ศ. 1438 เป็นตน้ มา กษัตรยิ ์ราชวงศ์แฮปสเบริ ก์ แหง่ ออสเตรียมักจะ ไดร้ บั การเลอื กต้ังเป็นจกั รพรรดิ จนกระท่ังอาณาจักรโรมัน อนั ศกั ดิส์ ทิ ธ์ถิ ูกยกเลกิ ในปี ค.ศ. 1806
3. การลม่ สลายของระบอบ K.ฟิวดลั ในฝรงั่ เศส องั กฤษ และสเปน ภายหลังปี ค.ศ. 1300 ดนิ แดนฝร่ังเศส องั กฤษ และสเปน มี ปญั หากบั อาณาจักรโรมันอนั ศกั ด์ิสิทธ์ิ K.ถกู ลดอานาจโดยพระและขุน นาง แต่หลังจากปี ค.ศ. 1500 K.กลบั มอี านาจมากขึน้ จนสามารถ สรา้ งรัฐชาติได้สาเร็จ
สงครามรอ้ ยปี (ค.ศ. 1337 – 1453) เปน็ สงครามฟิวดัลระหว่างอังกฤษและฝร่งั เศส มีสาเหตุ สาคญั มาจากปญั หาการสบื ราชบลั ลังก์ ท่เี กิดจากการอภเิ ษก สมรสร่วมราชวงศ์ คือ พระเจา้ เอด็ เวริ ์ดที่ 3 แหง่ องั กษฤ ทรง เรยี กร้องสทิ ธิในการข้นึ ครองราชยบ์ ลั ลงั กฝ์ รงั่ เศส ต่อ ฟลิ ปิ ท่ี 6 ในฐานะทที่ รงเป็นทายาทของฟลิ ปิ ที่ 4 แหง่ ฝร่งั เศส แต่ พวกขุนนางฝรั่งเศสไม่ยอม ดังน้ันพระองคจ์ ึงประกาศสงคราม กบั ฝร่ังเศสในปี ค.ศ. 1337 นอกจากนีย้ งั มีสาเหตอุ ่นื ได้แก่
1) ความแตกต่างในองั กฤษและฝรัง่ เศส 2) ฝรัง่ เศสใหค้ วามช่วยเหลือสกอตแลนด์รบกบั องั กฤษ 3) ฝรงั่ เศสขัดขวางการค้าของอังกฤษในแคว้นฟลาน เดอร์ (เบลเยี่ยมในปจั จบุ นั ) 4) การคกุ คามกีแยนแควน้ สดุ ท้ายของอังกฤษที่ เหลืออยูใ่ นฝร่งั เศส
ในชว่ งสงครามร้อยปี ไดเ้ กดิ วีรสตรีชาวฝรั่งเศส ชือ่ โจน ออฟ อารค์ ข้ึน โดยเป็นสตรีที่อาสา K. นากองทัพขับ ไล่อังกฤษออกไปจากฝรั่งเศส และได้รบั ชยั ชนะหลายครั้ง แตใ่ นทีส่ ดุ กถ็ กู อังกฤษจบั ไปเผาทั้งเปน็ ในฐานะเป็นพวก นอกรตี (แม่มด) ท่เี มอื งรูองั จากเหตุการณน์ ไ้ี ด้ปลุก จติ สานกึ ให้ชาวฝรงั่ เศสเกดิ ความรู้สึกชาตินิยม จนสามารถ ขับไลอ่ งั กฤษออกจากฝรงั่ เศสได้สาเร็จในปี ค.ศ. 1453 ทา ให้อังกฤษสญู เสยี ดนิ แดนในฝร่งั เศสไปทั้งหมด คงเหลือแต่ เมอื งคาเลสเ์ ท่าน้ัน
ผลของสงครามรอ้ ยปี 1. เป็นการสิน้ สดุ ของระบอบฟวิ ดัลทง้ั ในอังกฤษและ ฝรงั่ เศส เพราะพวกขุนนางตายไปจานวนมาก และส่งผลให้ K. มีอานาจมากขึ้น 2. ทาใหเ้ กิดความรูส้ ึกชาตินิยมทั้ง 2 ชาติ จน K.ของทัง้ อังกฤษและฝรง่ั เศสสามารถรวมเป็นรัฐชาติ ได้สาเร็จ 3. องั กฤษเลกิ ใชภ้ าษาฝรัง่ เศสเป็นภาษาราชการ
สงครามดอกกุหลาบ เปน็ สงครามกลางเมอื งทเี่ กิดขน้ึ ในองั กฤษ ปี ค.ศ. 1455 มสี าเหตมุ าจากการท่ีขนุ นาง 2 ตระกลู แย่งกันขึ้น ปกครององั กฤษ คือ ตระกูลแลงคาสเตอร์ (ดอกกุหลาบ สแี ดง) กับ ตระกลู ยอร์ก (ดอกกหุ ลาบสีขาว) ซง่ึ สงครามจบลงในปี ค.ศ. 1485 โดยเฮนรี ทวิ ดอร์ ผ้นู าตระกูลแลงคาสเตอรเ์ ปน็ ผชู้ นะ มีผลตามมา คือ
1) ขุนนางเสียชวี ติ ไปจานวนมาก ทาให้ K.องคใ์ หม่สามารถพัฒนาระบอบ สมบรู ณาญาสิทธริ าชยใ์ ห้แข็งแกรง่ ขึ้น 2) เฮนรี ทิวดอร์ ไดส้ ถาปนาราชวงศ์ ทวิ ดอร์ขึ้นปกครองอังกฤษ
4. จักรวรรดิมอสเลม็ และความเส่อื มของครสิ ตจกั ร * จักรวรรดิมอสเลม็ หลังจากท่ีกรงุ คอนสแตนตโิ นเปิลถูกพวกออตโตมนั เติรก์ ทาลายในปี ค.ศ. 1453 พวกโกลนาโดยเจงกสิ ข่านเขา้ รุกรานอาณาจักร มอสเลม็ และขยายอาณาเขตไปถงึ ซีเรยี อาณาจกั รมองโกลรงุ่ เรอื งอยู่ ระยะหนงึ่ ก็ถูกพวกออตโตมัน เตริ ก์ เขา้ ยึดครองซีเรยี ปาเลสไตน์ และอยี ิปต์ แล้วสร้างอาณาจักรอสิ ลาม มีอาณาเขตตงั้ แต่ ม.ดานบู ถึง ม.ไนล์
* ความเส่อื มของคริสตจักร ในชว่ งครสิ ต์ศตวรรษที่ 14 – 15 ได้เกดิ การ ต่อสูร้ ะหวา่ งสันตะปาปากบั จักรพรรดิแห่งจกั รวรรดิ โรมนั อนั ศักดิ์สทิ ธ์ิ มีสาเหตตุ อ่ เน่ืองมาจากจักรพรรดิ ตอ้ งการมีอานาจแต่งตัง้ หัวหน้าพระในทกุ ประเทศ และ ต้องการเก็บภาษีจากวดั เพอื่ ใช้ในสงคราม นอกจากนย้ี งั มเี หตุการณ์สาคัญ 2 กรณีในชว่ ง ยุคกลางตอนปลาย ได้แก่ เหตกุ ารณก์ ารคุมขังแห่งบา บิโลเนีย และการแตกแยกครั้งยิ่งใหญ่ ซ่งึ ชใ้ี ห้เหน็ ถึงการ เสื่อมอานาจของศาสนจกั ร
* การคุมขงั แห่งบาบโิ ลเนยี สนั ตะปาปาคลเี มนตท์ ่ี 5 ซง่ึ เป็นชาวฝร่งั เศสไดย้ า้ ยมา ประทบั ทเี่ มอื งอาวิญยอง ในฝรัง่ เศสแทนทีจ่ ะเปน็ กรงุ โรม ในอิตาลี ทาให้สนั ตะปาปาองค์ต่อๆ มากป็ ระทบั ทเ่ี มืองนี้ สืบตอ่ มาเป็นเวลา 70 ปี จนเรยี กสมยั น้ีว่า “สมยั การคุมขัง แหง่ บาบิโลเนีย” โดยเปรยี บเทยี บสนั ตะปาปาเป็นเหมอื นกบั พวกยวิ ที่ถกู กวาดต้อนไปอยทู่ ี่บาบิโลนในยคุ โบราณ ซ่ึงเหตกุ ารณ์นี้ แสดงใหเ้ หน็ ว่าอาณาจักรสามารถบงั คับบัญชาศาสนจักรได้ ทาให้ สนั ตะปาปาตกอยใู่ ตอ้ านาจของ K. ฝรัง่ เศสที่มสี ทิ ธิแต่งตัง้ และถอด ถอนสนั ตะปาปาได้ รวมทงั้ ทาให้สันตะปาปามไิ ดม้ ฐี านะเป็นประมขุ สากลอีกต่อไป
* การแตกแยกครั้งใหญ่ เปน็ เหตุการณ์ที่ทาให้ศาสนจักรทก่ี รุงโรมเสื่อมอานาจลง โดย เปน็ การแตกแยกกันเองภายในวงการศาสนาทดี่ าเนนิ มาถึง 40 ปี มสี าเหตุมาจากการแยง่ ชิงตาแหนง่ พระสนั ตะปาปาระวหา่ งชาว อิตาลกี ับชาวฝรง่ั เศส จนสง่ เผลให้เกดิ สนั ตะปาปาพรอ้ มกัน 2 องค์ คือ สนั ตะปาปาเออรบ์ นั ที่ 6 ทีก่ รุงโรม ในอิตาลี และ สนั ตะปาปา คลเี มนตท์ ่ี 7 เมืองอาวญิ ยอง ในฝรัง่ เศส อย่างไรกต็ ามเหตุการณ์น้สี นิ้ สุดลงหลงั การประชุมทค่ี องสตงั ซท์ ่ี ไดก้ าหนดให้มีสันตะปาปาเพียงองค์เดยี วประทับทกี่ รงุ โรม
* ปฏิกิริยานอกรีต มีนกั ปฏิรูปศาสนาท่สี าคญั 2 คน ดังน้ี 1. จอห์น ฮุส เป็นนักปฏริ ปู ชาวโบฮีเมยี ที่ตอ้ งการปฏริ ูป ศาสนา และแยกโบฮีเมยี ออกจากอาณาจักรโรมันอัน ศักดส์ิ ทิ ธิ์ ทาใหถ้ ูกลงโทษด้วยการเผาทั้งเปน็ มผี ลทาให้ เกิดจลาจลขนึ้ ในโบฮีเมยี และทาให้เกิดนิกายฮสุ ไซท์ ขน้ึ
2. จอหน์ วิคลิฟ เป็นนกั ปฏริ ูปชาวอังกฤษทเี่ สนอความคดิ วา่ พระไมค่ วรเปน็ เจ้าของทรพั ยส์ นิ ให้ยึดถอื พระ คัมภีร์ (มีการแปลพระคมั ภรี ์เป็นภาษาอังกฤษ) และบทบาทของ K. ในการปฏิรปู ศาสนา
สรุปพัฒนาการของอารยธรรมยุคกลาง 1) สังคม การแบง่ ชนชัน้ ในยคุ กลาง จะแบง่ ตามบทบาท หนา้ ทใี่ นสังคม มี 3 ชนชน้ั ไดแ้ ก่ 1. พระ/นักบวช เป็นชนชน้ั สูงสดุ มหี น้าที่ในการ สวดมนต์และประกอบพธิ กี รรมทางศาสนาแก่ประชาชน ทาใหพ้ ระกลายเปน็ อภิสิทธิ์ชนทีป่ ระชาชนตอ้ งเสยี ภาษี ใหแ้ ละปฏิบตั ติ ามคาสัง่
2. ขุนนาง อภิสิทธิ์ชนท่ีทาหน้าทวี่ างกฎหมาย และ ระเบยี บคมุ้ ครองผ้ทู ี่อ่อนแอกวา่ และไมต่ ้องถูกเรียก เกบ็ ภาษี 3. สามญั ชน เปน็ พวกไรอ้ ภิสทิ ธทิ์ ตี่ อ้ งรบั ภาระภาษี และมหี น้าทใี่ ชแ้ รงงานทว่ั ไป ไดแ้ ก่ ชาวนา ชาวไร่ และ ช่างฝมี ือ
2) ผลสาคัญของการฟืน้ ฟูการคา้ มดี งั น้ี 1. มีเมอื ง เกิดข้ึนบรเิ วณปราสาทของลอร์ด และมี ชาวเมอื ง ทตี่ อ่ มานยิ มเรยี กว่า ชนช้นั สงู ของเมือง/ชนชั้น กลาง ซ่งึ เปน็ ชนช้นั ระหว่างขนุ นางและสามัญชน โดย สว่ นใหญเ่ ป็นชาวเมอื งเสรีผปู้ ระกอบวชิ าชีพ
2. สมาคมการคา้ แบบกลิ ด์ เปน็ ผูด้ าเนินกจิ กรรม ทางเศรษฐกจิ ของเมือง โดยมีพวกสมาคมพอ่ คา้ สมาคม ช่างฝมี อื เป็นผผู้ ูกขาดการคา้ ของเมือง กาหนด มาตรฐานคณุ ภาพสนิ ค้า และตัง้ ราคาทยี่ ุติธรรม สาหรบั พ่อค้า และผู้บรโิ ภค
3. การค้าในบริเวณทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนยี น มีพอ่ ค้า คนสาคัญ คอื ชาวเวนสิ และเจนวั ซง่ึ จะนาสนิ ค้าจาก ตอ.มายังอติ าลี ทางใต้ของฝรั่งเศส ตอ่ ไปจนถึงชายฝัง่ ของแคว้นฟลานเดอร์ จากนนั้ จึงขยายตัวเขา้ ไปใน อังกฤษ และยุโรปทางภาคเหนอื โดยทางเรือ
4. สันนบิ าตฮนั ซีเอตกิ เป็นสันนิบาต พ่อคา้ ของบรรดาเมืองต่างๆ รวม 70 เมือง ของเยอรมนี เพอ่ื ทาหนา้ ท่ีควบคุมการคา้ ทางทะเลเหนอื และ ท.บอลตกิ โดยมผี ู้นา คอื ลุยเบค แฮมเบริ ์ก และเบรเมน
3) การศึกษาและวิทยาศาสตร์ พัฒนาการทางปัญญาในยคุ กลางจะเนน้ การเรยี นรู้ เพ่ือความเข้าใจคาสอนของคริสต์ศาสนา การต้งั คาถามจงึ เปน็ ไปเพอื่ หาคาตอบเชงิ เทววิทยา และ ปรัชญา รวมท้ัง อธิบายถึงหลกั การและคาสอนท่เี กยี่ วเนื่องกบั ศาสนา ท้งั หมด
ในตอนกลางของยุคกลาง เมื่อยุโรปมีการพัฒนาจนก่อเกิดเปน็ ประเทศชาตขิ ้นึ ทง้ั ฝา่ ยอาณาจักรและศาสนจกั ร ไดส้ ่งเสริมการศกึ ษา สนบั สนนุ ใหจ้ ัดตงั้ สถาบนั การศกึ ษาถงึ ระดบั จนถึงมหาวิทยาลัย เพราะ ตอ้ งการนกั บรหิ ารทีท่ รงคณุ วฒุ ิและมกี ารศกึ ษาสงู เขา้ มาทางานในระบบ ราชการ โดยส่วนใหญ่ผู้ท่ีจัดต้ังสถาบนั การศกึ ษา ไดแ้ ก่ วัด สมาคม ชมรม และสมาคมอาชพี
ระหวา่ งคริสต์ศตวรรษที่ 11 – 12 มมี หาวิทยาลัยเกดิ ข้นึ หลาย แหง่ เชน่ มหาวทิ ยาลยั ปารสี (ฝร่งั เศส) และมหาวทิ ยาลัยโบโลญญา (อิตาลี) เป็นต้น
เมอ่ื สิน้ สุดสมัยกลางในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 15 มีมหาวทิ ยาลยั เกิดข้นึ ในยโุ รปไม่ตา่ กว่า 80 แหง่ และเปน็ มหาวทิ ยาลยั ทมี่ ชี ื่อเสยี ง จนถึงปจั จุบนั เชน่ มหาวิทยาลยั ออกซฟอรด์ และมหาวทิ ยาลัย เคมบรดิ จข์ องสหราชอาณาจกั ร เปน็ ต้น
4) ปรชั ญา แบบแผนการศกึ ษาในยุคกลางทไ่ี ดร้ บั ความนยิ มมากมี 2 ปรัชญา ไดแ้ ก่ 1. สกอลสั ตกิ เปน็ ปรชั ญาท่ไี มส่ ่งเสรมิ การคดิ ค้น หรอื การทดลอง ใหม่ๆ แตจ่ ะเน้นการเลยี นแบบหรือว่าตามครไู ปทกุ ๆ อยา่ ง รวมทง้ั เริม่ มี การอา่ นหนังสอื ของพวกนอกศาสนา เช่น อรสิ โตเตลิ ซ่ึงชว่ ยสร้าง ความคดิ ท่ีเฉยี บคม โดยใชห้ ลักเหตุผลเชงิ ตรรกศาสตร์
2. สเคปตซิ ิสม์ เป็นปรชั ญาท่สี อนไม่ใหเ้ ชือ่ ในสงิ่ ที่พสิ ูจไมไ่ ด้ แตจ่ ะเนน้ การศกึ ษาดว้ ยวธิ กี ารซักถาม ซ่ึงทาให้มนุษย์มโี อกาส คดิ และแสดงออกอยา่ งเสรี
5) สถาปัตยกรรม ที่เดน่ มี 2 รปู แบบ คือ 1. ศิลปะแบบโรมาเนสก์ เป็นสถาปัตยกรรมยคุ กลางทส่ี รา้ ง ขึ้นในสมัยท่มี นษุ ย์ตกอยูภ่ ายใตอ้ ิทธพิ ลของพระ โดยมลี ักษณะเดน่ คอื มเี พดานและหลังคาหินโคง้ เหมอื นประทนุ เกวียน และ โดม ซง่ึ เป็นหวั ใจ ของการก่อสร้าง โดยได้รบั การถา่ ยทอดมาจากไบแซนไทน์และโรมัน นอกจากนล้ี ักษณะของวหิ ารและโบสถม์ ักมีขนาดใหญ่ หนาทึบ และคงทน มี ลักษณะโคง้ กลม เสาและกาแพงหนาหนกั มหี นา้ ต่างเลก็ ๆ ทาให้ภายในวิหาร ค่อนขา้ งมืด ทาให้ดูเหมอื นอยู่ภายในปอ้ งปราการมากกวา่
งานสถาปตั ยกรรมแบบ โรมาเนสก์ สว่ นใหญ่นิยมสร้าง วิหารในคริสต์ศาสนาขนาดใหญ่ เพ่ือรองรับผคู้ นจานวนมาก หลงั คาของวหิ ารเป็นซมุ้ โคง้ เชน่ วิหารหอเอนเมอื งปซิ า ประเทศ อติ าลี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162