Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง.pptx

พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง.pptx

Published by jidayadum, 2019-12-11 00:38:46

Description: พัฒนาการของยุโรปสมัยกลาง.pptx

Search

Read the Text Version

คริสต์ศาสนา ในยุคกลางศาสนาคริสต์โดยเฉพาะนกิ ายโรมันคาทอลกิ เปน็ สถาบันทมี่ ีอิทธพิ ลมากท่สี ุด ผ้ทู ีน่ าคริสตศ์ าสนาเข้าสู่กรงุ โรม คือ เซนตป์ เี ตอร์ ซ่งึ กลายเปน็ สนั ตะปาปา หรอื บิชอปองคแ์ รกของ ครสิ ตจกั ร สง่ ผลใหบ้ ิชอปแหง่ โรมกลายเป็นบุคคลทม่ี บี ทบาทสาคญั โดยทาใหก้ รุงโรมกลายเป็นศูนยก์ ลางของศาสนาคริสต์ และทาให้มหาวิหารในกรงุ โรมไดช้ อื่ วา่ “มหาวหิ ารเซนตป์ ีเตอร”์ ซ่งึ เปน็ มหาวิหารท่ใี หญ่ท่สี ดุ ในกรุงโรม



ในสมยั พระจกั รพรรดิคอนสแตนตนิ และในสมัยพระจักรพรรดิ ธีโอโดซิอุสได้ทรงยอมรบั ครสิ ต์ศาสนาเปน็ ศาสนาประจาชาติ ต่อมาคริสต์ศาสนาก็แพรข่ ยายออกนอกจักรวรรดิโรมันไปสู่ดินแดน อ่ืนๆ เมอื่ อาณาจกั รล่มสลายไปแล้ว ก็ได้เกดิ ความขัดแย้งทางศาสนา ในเรื่องการบชู ารปู เคารพระหวา่ งจักรวรรดโิ รมัน ตต. และ ตอ. ในปี ค.ศ. 1054 ทาใหค้ ริสตศ์ าสนา แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด เปน็ 2 นกิ าย ได้แก่

1. นิกายกรกี ออร์ธอดอกซ์ นับถอื กนั ใน อาณาจกั รโรมัน ตอ. มีประมขุ สูงสุด คอื แพทริอารค์ มศี ูนยก์ ลางอยทู่ ่ี เมอื งคอนสแตนติ โนเปิล ใชภ้ าษา กรกี และเจรญิ แพร่หลายในยโุ รป ตอ. และ รัสเซีย

2. นิกายโรมันคาทอลิก นับถือกนั ใน อาณาจกั รโรมนั ตต. มปี ระมขุ สงู สุด คอื สนั ตะปาปา (Pope) มศี ูนย์กลาง ท่ีกรุงโรม ใช้ภาษาละตนิ และเจริญ แพร่หลายในยโุ รป ตต. และ อติ าลี

อทิ ธิพลของครสิ ตศ์ าสนา คริสต์ศาสนาในยุคกลางจะมีอทิ ธิพลครอบงาวิถชี วี ิต ของประชาชนทุกด้าน โดยเป็นศนู ย์กลางทีส่ าคัญท้งั ด้าน การเมือง การปกครอง เศรษฐกจิ สังคม การศกึ ษา ฯลฯ ยุคกลางจงึ ได้ชือ่ ว่า “ยคุ แห่งศรัทธา” มนุษย์มุ่งการ ไถ่บาป โดยมพี ระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ศาสนจักรในยุคกลางไดเ้ ขา้ มามบี ทบาททง้ั ในทาง เศรษฐกิจ และ การเมอื ง ดงั นี้

1. ทางเศรษฐกจิ วดั มง่ั ค่งั เพราะเก็บภาษซี ่งึ เรยี กว่า “ไทท”์ (Tithe) จากประชาชนโดยตรง ซึ่งเสยี ให้แก่วดั เปน็ จานวน 10 % ของรายได้ทั้งหมด ในขณะท่วี ดั ไมต่ อ้ งเสียภาษีใหแ้ กก่ ษตั ริย์ แต่ ตอ้ งส่งภาษสี ่วนหนงึ่ ให้แกส่ นั ตะปาปาท่ีกรุงโรม นอกจากน้วี ดั ยงั ไดร้ ับทีด่ นิ จากกษัตริย์ ขนุ นาง และคนมั่งคั่ง รวมทัง้ มรี ายได้หลายทาง เชน่ รายได้จากเงินบารงุ ศาสนา รายได้จากการ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เงินบรจิ าค อ่นื ๆ เป็นต้น

2. ทางการเมือง มีดังน้ี 1) สนั ตะปาปาพยายามท่จี ะจากัดการสรู้ บระหว่างขุนนางให้ นอ้ ยลง โดยประกาศ “การสงบศกึ ของพระเจ้า” 2) วัดเข้าไปพวั พันกบั การตอ่ ส้แู ข่งขนั ระหวา่ งขนุ นาง 3) ศาสนจกั รไดอ้ า้ งอานาจอนั ศักด์ิสทิ ธิเ์ หนอื ขุนนางและกษัตริย์ ในฐานะท่เี ปน็ ผ้มู อี านาจ สวมมงกฎุ ใหแ้ ก่กษัตริย์ เพอ่ื รับรองการครองราชย์ และถอดถอนกษตั ริย์ได้ดว้ ย

4) วัดจัดให้มรี ะบบศาลพิจารณาคดีท้งั ทางศาสนาและทางโลก ใหแ้ กส่ มาชกิ ของคณะสงฆ์ เรียกว่า “ศาลศาสนา” นอกจากน้ยี งั มี หนา้ ทต่ี ัดสินความผิดพวกนอกศาสนา และผปู้ ระพฤตนิ อกรีต 5) พระสว่ นใหญ่สามารถอ่านออกเขียนได้ จึงทาหน้าที่ใหค้ าปรกึ ษาแก่กษัตริยแ์ ละขนุ นาง ทาใหพ้ ระสนั ตะปาปามีอานาจเหนอื กษัตรยิ ์

โครงสร้างของศาสนจักร ตาแหน่งของพระในโครงสร้างของศาสนจกั รสามารถเรยี งลาดบั จาก ระดับต่าสดุ ไปหาสงู ทีส่ ดุ ไดแ้ ก่ พระ บิชอป อาร์ชบชิ อป คาร์ดินัล ซ่งึ แต่งตง้ั โดยสันตะปาปา ทาหน้าทเ่ี ปน็ ทป่ี รึกษาของสันตะปาปา ส่วนสันตะปาปา เป็นหวั หน้าสงู สุดของศาสนจกั ร เม่อื สันตะปาปา สนิ้ พระชนมล์ ง พระท่อี ยใู่ นกลมุ่ Cadinal จะเปน็ ผ้ทู ี่มสี ิทธิได้รบั เลอื กใหเ้ ป็นสนั ตะปาปา องคใ์ หม่ โดยผา่ นทีป่ ระชุมของคณะคาร์ดินลั หรอื พระราชาคณะ



สานกั สงฆ์ในยุคกลาง นิกายโรมนั คาทอลิกมสี านกั สงฆ์ตา่ งๆ ดงั น้ี 1. สานักเบเนดิไตน์ เปน็ คณะสงฆท์ ี่ตัดขาดทางโลก มผี นู้ าคือ เซนตเ์ บเน ดิกต์ เปน็ พวกพระที่เรียกวา่ “Monk” อาศัยอยู่รวมกันในสานักสงฆ์ที่ เรียกวา่ “Monasteries” และถอื เป็นตน้ กาเนดิ ของลัทธิ “Monasticism” ท่ีต้องสละทรพั ย์สมบตั ทิ ง้ั ปวง รักษาพรหมจรรย์ ส่งเสริมการศึกษา และเผยแผ่ศาสนา

2. สานกั เทมปลาร์ และ ฮอสปิแตรเ์ ลอร์ เปน็ สานกั สงฆท์ ีต่ ัง้ ขน้ึ ใน ระหวา่ งสงครามครูเสด โดยสานักเทมปลารเ์ ป็นทัง้ พระและนักรบใน สงคราม ภายหลงั มหี นา้ ท่เี ป็นกองกาลงั รักษาและถวายอารักขา สนั ตะปาปา สาหรบั สานักฮอสปิแตร์เลอรเ์ ป็นพระทีช่ ว่ ย รกั ษาพยาบาลทหารและประชาชนฝา่ ยตนทไ่ี ดร้ บั บาดเจ็บ

3. สานักฟรานซสิ กนั เปน็ พระทป่ี ฏบิ ัตติ ามแนวทางของ St. Francis of Assisi ซงึ่ จะออกธดุ งค์และเผยแผศ่ าสนาในหมู่คนจน 4. สานักโดมนิ กิ นั เป็นพระทปี่ ฏัติตามแนวทางของ St.Dominic ซงึ่ จะ แพร่หลายในกลุ่มชนช้ันสูงและผมู้ ีการศกึ ษา

ความขัดแย้งในเร่อื งการแต่งตัง้ ตาแหนง่ ทางศาสนา ในศตวรรษที่ 11 เกิดความขัดแยง้ ขนึ้ ระหว่างสนั ตะปาปาเกรเกอรที ี่ 7 กับจกั รพรรดิเฮนรที ี่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมัน โดยมีสาเหตุมาจากการแยง่ กันแต่งตง้ั พระในตาแหนง่ สงู ๆ ซึ่งสันตะปาปาเปน็ ฝ่ายได้รับชยั ชนะ แต่ใน ที่สุดสนั ตะปาปาและจักรพรรดิกส็ ามารถทาความตกลงกันไดด้ ว้ ยขอ้ ตกลง แหง่ เมอื งเวริ ์ม ในปี ค.ศ. 1122 ซ่ึงทง้ั สองฝา่ ยมสี ิทธเิ หน็ ชอบหรอื ไมช่ อบใน ตาแหน่งพระราชาคณะท่อี ีกฝ่ายเลอื กมาได้ ซง่ึ นบั ว่าเป็นชัยชนะของ สนั ตะปะปาที่จะไดม้ ีสิทธิร่วมในการเลือกต้ังและแต่งตงั้ พระราชาคณะ เพราะในอดีตจกั รพรรดิจะเป็นผมู้ ีสทิ ธิในการแต่งต้ังพระราชาคณะโดยไม่ ต้องผ่านความเหน็ ชอบจากสันตะปาปา

ราชอาณาจกั รสาคัญในยคุ กลาง 1. จกั รวรรดิโรมันอนั ศกั ดส์ิ ทิ ธส์ิ มัยออตโตมนั ท่ี 1 ในปี ค.ศ. 962 พระเจา้ ออตโตมนั ท่ี 1 แหง่ แซกโซนี ได้รบั การสวมมงกุฎจากพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 ใหด้ ารงตาแหนง่ เปน็ จกั รพรรดแิ ห่งจักรวรรดโิ รมนั อันศักด์ิสิทธ์ิ เช่นเดียวกบั ทจ่ี กั รพรรดชิ ารเ์ ลอ มาญเคยไดร้ ับ แต่จกั รวรรดิโรมนั ในสมัยของพระเจ้าออตโตมนั ท่ี 1 จะ ประกอบดว้ ยดินแดนเยอรมนีและอติ าลี ซ่ึงทาให้พระองคม์ ีอานาจย่งิ ใหญ่ ในยโุ รปในฐานะพระจกั รพรรดิผูป้ กครองเยอรมนี และยังได้ดารงตาแหน่ง กษัตรยิ แ์ หง่ อติ าลีอีกดว้ ย

พระเจา้ ออตโตมนั ที่ 1 ส้นิ พระชนม์ในปี ค.ศ. 973 ทายาทของพระองค์ได้ ปกครองสืบตอ่ มาอกี 5 พระองค์ จนกระท่ังในศตวรรษท่ี 11 อานาจกษตั ริย์ เริม่ ถูกต่อตา้ น เม่อื พวกขุนนางเยอรมนีและอิตาลีถกู เก็บภาษอี ยา่ งรนุ แรง จงึ ไมต่ อ้ งการอย่ภู ายใต้อานาจกษัตริย์ อีกทั้งต่อมาได้เกิดกรณีพพิ าทเรื่องการแต่งต้ัง พระช้ันสูงระหวา่ งสันตะปาปาเกรเกอรที ่ี 7 กับ จกั รพรรดเิ ฮนรที ่ี 4 ซ่งึ สันตะปาปาได้รับชัยชนะ สง่ ผลให้อานาจกษตั ริย์เริ่มสั่นคลอน

2. จักรวรรดโิ รมนั ตะวนั ออกหรอื จักรวรรดไิ บแซนไทน์ คาว่า “ไบแซนไทน์” มาจากช่อื เมือง “ไบแซนติอมุ ” ซึ่งจักรพรรดคิ อนสแตนติน ทรงตั้งเปน็ เมอื งหลวงของจกั รวรรดโิ รมนั ในปี ค.ศ. 330 แตม่ กั ถูก ขนานนามว่า “Nova Roma” หรือ “คอนสแตนตโิ นเปลิ ” โดยประชากรส่วนใหญ่มีเชอ้ื สายกรีก พดู ภาษากรกี แต่เรยี กตวั เองวา่ “โรมนั ” ไมถ่ อื ว่าตนเปน็ เฮเลนส์ และนบั ถอื คริสตน์ ิกายกรกี ออร์ธอดอกซ์

เม่อื จักรวรรดโิ รมนั ตต. ลม่ สลาย กรุงโรมถกู ทาลายในปี ค.ศ. 476 ศนู ย์กลางความเจรญิ ถกู ย้ายไปอยทู่ ่ีกรงุ คอนสแตนตโิ นเปลิ จนถึง ค.ศ. 1453 โดยมีจกั รพรรดผิ ทู้ รง อานาจมากท่ีสุด คือ จักรพรรดจิ สั ติเนยี น มีผลงานทสี่ าคญั ดงั น้ี 1. ขยายอาณาเขตออกไปถงึ ภาคเหนอื ของแอฟริกา ภาคใต้ของสเปน และอติ าลี 2. สร้างประมวลกฎหมายจสั ตเิ นียน ในปี ค.ศ. 529 ซง่ึ ไดก้ ลายเปน็ แบบอยา่ งของตัวบทกฎหมายในสมัยกลาง และสบื ทอดถงึ ปัจจุบัน 3. สร้างโบสถเ์ ซนตโ์ ซเฟีย ทก่ี รุงคอนสแตนติโนเปลิ



ลกั ษณะสาคญั ของจักรวรรดโิ รมันตะวนั ออก 1. การเมอื งการปกครอง ประมุขของจักรวรรดไิ บแซนไทน์จะปกครอง ประเทศดว้ ยความเขม้ แขง็ ตามแบบสมบรู ณาญาสิทธริ าชยท์ ี่ถือว่า จกั รพรรดเิ ป็นตวั แทนของพระเจา้ คอื จักรพรรดทิ รงมีอานาจเหนือการ ปกครองทง้ั อาณาจักร และศาสนจกั ร ตามระบบท่เี รียกวา่ “จกั รพรรดิสันตะปาปา นยิ ม (Caesaropapism)” ซ่งึ มาจากคาว่า “Caesar กับ Pope”

2. ศาสนา ในปี ค.ศ. 725 จักรพรรดิลโี อท่ี 3 ทรง สงั่ ใหท้ าลายรปู ภาพและรปู ปน้ั ในวดั ท้ังหมด เพราะเกรงว่า จะไปเหมือนลทั ธเิ ดมิ คือ ลัทธิบชู าเทวรูป ทาใหฝ้ า่ ย สันตะปาปาที่โรมหนั ไปขอความช่วยเหลือจากพวกแฟรงก์ ทาใหเ้ กิดความแตกแยกครัง้ ใหญ่ จนท้งั สองฝ่ายตอ้ ง ประกาศแยกจากกนั เปน็ นิกายอิสระ ในปี ค.ศ. 1054 ศาสนาทางจักรวรรดไิ บแซนไทนไ์ ด้เปลยี่ นเปน็ ศาสนา คริสต์นิกายกรกี ออรธ์ อดอกซ์ ในขณะทีโ่ รมัน ตต. คือ นกิ ายโรมันคาทอลกิ

3. กฎหมาย ในปี ค.ศ. 529 จกั พรรดิจัสตเิ นยี นได้ จดั ทาประมวลกฎหมายจสั ติเนียนที่เรียกว่า “Corpus Juris Civils” ขน้ึ โดยประมวลกฎหมายจสั ตเิ นียนถอื ว่า เป็นประมวลกฎหมายแพง่ มที ้งั หมด 4 ภาค ประกอบดว้ ย โคด, โนเวล, ไดเจ็สต์ และ อนิ สติตวิ ท์ ต่อมากฎหมาย ฉบบั นไ้ี ดก้ ลายเป็นแม่แบบของกฎหมายต่างๆ เกอื บทกุ ประเทศในยโุ รป (ยกเวน้ อังกฤษ) และเปน็ การสง่ เสริมให้ เกดิ การพฒั นาทางดา้ นระบบนิติศาสตรใ์ นโลก ตต. ท้ังใน สมัยกลาง สมัยใหม่ และสบื ทอดมาถงึ ปัจจุบนั

4. สถาปตั ยกรรม โบสถท์ สี่ วยงามมากในยคุ นคี้ ือ โบสถ์เซนต์โซเฟีย สรา้ งในสมัยจักรพรรดจิ สั ตเิ นียน นบั เป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก ซ่งึ เปน็ การ ผสมผสานของศิลปะภาค ตอ. คือ หลังคารูปโดม และ นิยมประดบั ด้วยแกว้ บวกกบั ศลิ ปะภาค ตต. คือ ศิลปะ โรมันแบบอาคารเหลย่ี ม พร้อมกับตกแต่งด้วยหินออ่ น และโมเสก นอกจากนีท้ รวดทรงภายนอกงดงามแบบศลิ ปะ ของกรีก ตอ่ มาโบสถ์น้ีได้กลายเปน็ แบบอยา่ งของโบสถ์ อ่ืนๆ ในอิตาลี ฝรงั่ เศส และรสั เซีย

5. อทิ ธิพลต่อยโุ รปตะวนั ออก ประเทศที่ไดร้ ับ อิทธิพลจากไบแซนไทน์มากทส่ี ดุ คือ รสั เซีย ไดร้ ับอทิ ธิพล ทัง้ ในด้านสถาปตั ยกรรม ปฏิทนิ ตวั อกั ษร และศาสนา คริสตน์ กิ ายกรกี ออรธ์ อดอกซ์ โดยเฉพาะเมื่อกรงุ คอนสแต ตโิ นเปิลล่มสลาย นิกายกรกี ออร์ธอดอกซ์ไดย้ า้ ยศูนยก์ ลาง ไปอยทู่ ี่รัสเซียเรียกวา่ “นิกายรสั เซยี นออร์ธอดอกซ์ (Russian Orthodox)”

5. อิทธิพลต่อยุโรปตะวันตก มีดงั นี้ 1) เป็นดนิ แดนทขี่ วางก้ันไม่ให้พวกมุสลิม รกุ รานยุโรป ตต. ได้งา่ ย ทาใหย้ ุโรปสามารถฟนื้ ตวั และ ปรบั ตวั ได้ใหม่ 2) ความขดั แย้งระหว่างจักรพรรดกิ ับ นกั ปราชญ์ในเร่อื งการทาลายรูปเคารพ ทาให้พวก นกั ปราชญพ์ ากันหนีไปยังภาค ตต. และนาเอา อารยธรรมคลาสสิกไปเผยแพร่ ซงึ่ ได้กลายเป็น จดุ กาเนิดการฟ้ืนฟูศลิ ปวทิ ยาการในเวลาตอ่ มา

3) อิทธพิ ลทางการค้ากบั ยุโรป ตต. เพราะกรงุ คอนสแตนตโิ น เปิลเปน็ เมืองทา่ ริมฝั่งทะเลดาที่สามารถติดต่อคา้ ขายกับ ท.เอเดรยี ติก และ ท.เมดิเตอร์เรเนยี นไดส้ ะดวก ทาให้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าทางทะเลทร่ี ับ สินค้าจากภาค ตอ. ไปขายใหย้ โุ รป ตต. สง่ ผลให้การค้ามีความเจรญิ ก้าวหนา้ มากขนึ้ 4) ประมวลกฎหมายจสั ตเิ นียนเป็นแบบอย่าง ของตัวบทกฎหมายในสมยั กลางและสืบทอดถงึ ปจั จุบนั

3. จักรวรรดมิ อสเลม็ ชาวอาหรับเผ่าต่างๆ ไดย้ อมรบั นับถือศาสนา อิสลามตงั้ แตต่ ้นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 7 และในครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 8 จักรวรรดิมสุ ลมิ มีอาณาเขตแผไ่ พศาลตัง้ แต่อนิ เดยี ไปถงึ สเปน มีกาหลิบเป็นประมขุ ทัง้ ฝ่ายอาณาจกั รและศาสนจักร มี เมืองหลวงอยู่ท่ดี ามสั กัสในซีเรยี ตอ่ มายา้ ยไปอยทู่ ี่แบกแดดใน อิรัก รวมตัวอย่ไู ด้เกือบ 200 ปี จึงเกดิ ความแตกแยกเป็น อาณาจกั รนอ้ ยใหญ่ที่ปกครองตนเองโดยอสิ ระ ตอ่ มาประมาณ คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15 ถกู พวกครสิ เตียนยุโรปแย่งชงิ ดินแดน มอสเลม็ ในสเปน เมอื งสดุ ท้ายทีเ่ สยี ไปคือ เมอื งกรานาดา

ในครสิ ต์ศตวรรษท่ี 11 พวกเซลจุก เตริ ก์ ไดเ้ ขา้ ยึดกรงุ แบกแดดและขยายอานาจออกไปตามลาดับ จนทาใหด้ นิ แดน ตอ.กลางเปน็ ดนิ แดนของมสุ ลิมเกือบ ท้งั หมด ตอ่ มาเซลจุก เติรก์ เรมิ่ หมดอานาจ พวกออต โตมัน เติร์ก ได้เป็นใหญ่แทน แล้วขยายอิทธพิ ลเขา้ ไป ในคาบสมุทรบอลขา่ น

กระท่งั ในปี ค.ศ. 1453 พวกเตริ ์กได้เข้ายดึ ครองกรงุ คอนสแตนติโนเปิลได้สาเรจ็ ทาใหโ้ รมัน ตอ. ล่มสลายไป จากนนั้ ได้รุกรานไปยงั เอเชยี ตอ. จนกลายเปน็ กลุ่มทมี่ ีอทิ ธิพล และเป็นใหญ่ใน ท. เมดเิ ตอรเ์ รเนยี น ควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเล ระหวา่ งโลก ตอ. กับ ตต. ได้ทง้ั หมด สง่ ผลให้ชาว ยโุ รปต้องแสวงหาดินแดนใหม่ เพ่อื ขยายเส้นทาง การคา้ สู่ ตอ. อีกครั้ง

อารยธรรมมอสเลม็ ยุคกลาง ชาวอาหรบั ไดเ้ ผยแพร่อารยธรรมส่โู ลก ตต. โดยใชภ้ าษา การค้า และ ศาสนาเปน็ สื่อในการเผยแพร่ มีดังน้ี 1) คณติ ศาสตร์ มกี ารใช้ตัวเลขอา รบกิ โดยรบั แบบจากอนิ เดยี มาปรบั ปรงุ รวมทงั้ การใชเ้ ลขศูนย์ และ ระบบ ทศนิยม นอกจากนีย้ งั พัฒนาวิชาพีชคณติ เรขาคณิต และตรโี กณมติ ิ

2) ดาราศาสตร์ มกี ารพัฒนา เคร่ืองมือท่ีใช้สังเกตและคานวณตาแหนง่ ของดวงดาว การคานวณระยะทางตามปี สุรยิ คติ การเกดิ อุปราคา เปน็ ตน้ 3) การแพทย์ มกี ารคดิ ค้นยาท่ชี ่วย ระงบั ความเจ็บปวด และริเริม่ การผ่าตดั ตา

4) การเดินเรอื มกี ารประดิษฐเ์ ขม็ ทศิ ซึง่ ไดร้ ับแบบอย่างมาจากจนี และ นยิ มการเดินเรอื เพราะเชอ่ื ว่าโลกกลม 5) วรรณกรรม ทีม่ ชี ื่อเสยี งมากคอื พนั หนงึ่ ทิวาหรืออาหรับราตรี และรุโบ ยาต ของโอมาร์ คายมั

6) ภาษาศาสตร์ ภาษาอาหรับได้ เผยแพร่ไปทัว่ โลก แม้แต่ภาษาองั กฤษก็ รบั คาในภาษาอาหรับมาใช้หลายคา 7) สถาปัตยกรรม ลักษณะเด่นมักเปน็ รูปหลงั คาทรงกลม มหี อคอย รวมท้ังมี ลวดลายต่างๆ เปน็ ลกู ไม้ถกั หรือแบบ เรขาคณติ อาคารท่ีงดงามท่สี ุดของมสุ ลิม ได้แก่ อาคารอลั ฮมั ปราในสเปน

ยคุ กลางตอนกลาง/ยคุ กลางอนั ร่งุ เรอื ง เปน็ ยุคที่พัฒนาไปถึง ค.เจริญสงู สดุ ในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 เป็นระยะของการตอ่ สูก้ ันระหว่างศาสนจกั รและอาณาจกั ร พฒั นาการอานาจกษตั ริย์ในองั กฤษ ฝร่งั เศส สงครามครเู สด การ ฟื้นฟูศลิ ปวิทยาการ การกาเนิดมหาวิทยาลยั ซึ่งเรียกได้ว่าเปน็ สมัย “Republica Christiana” คอื การท่ียุโรป ตต. ได้รวมตัว กันในลกั ษณะของ “เครอื จักรภพคริสเตยี น”

การต่อสู้อันยาวนานระหวา่ งอาณาจักรกบั ศาสนจกั ร สงครามกลางเมืองระหว่างราชวงศ์โฮเฮนสเตา เฟนิ แห่งสวาเบีย กบั โลแธรท์ ่ี 2 ซึง่ มีผู้หนุนหลงั คอื ราชวงศ์เวลฟแ์ ห่งบาวาเรยี สน้ิ สดุ ลงดว้ ยการเลอื ก กษตั รยิ เ์ ฟรเดอริก บารบ์ ารอสซา ซ่งึ เป็นกษัตริย์ที่ ขยายอานาจการปกครองไปถึงเบอร์กนั ดี โบฮีเมยี ฮงั การี และโปแลนด์ ทาให้อาณาจักรเขม้ แขง็ ข้ึน

ผลงานของพระเจ้าเฟรเดอรกิ ที่ 1 คอื การรวมอติ าลีเขา้ มาอยูใ่ นราชอาณาจกั รโรมนั อันศกั ด์ิสทิ ธิ์ และทรงเนน้ ว่าฝ่าย อาณาจกั รต้องมอี านาจเหนอื กว่าและเป็นฝ่ายปกครองศาสน จกั ร ทาให้สนั ตะปาปา อเล็กซานเดอรท์ ี่ 3 ไมพ่ อใจ จงึ ร่วม เปน็ พันธมติ รกบั พอ่ ค้า และชาวเมืองอติ าลี ด้วยการตั้ง “สมาคมบอมบารด์ ” และ

เป็นสัมพันธมติ รกับพวกนอร์มันเพอ่ื ทาสงคราม กับจกั รพรรดิ ผลปรากฏว่าพระเจ้าเฟรเดอริกทรงเปน็ ฝา่ ยแพ้ และต้องทาสนธิสัญญาสันติภาพคองสตังซ์ ในปี ค.ศ. 1183 มผี ลตามมาคือ 1. แคว้นลอมบารด์ เี ป็นอิสระปกครองตนเอง 2. ทาใหก้ ารรวมดนิ แดนอติ าลีเขา้ กับเยอรมนีส้ินสุดลง 3. อาณาจักรโรมนั อันศักดิ์สทิ ธ์ิ (ดนิ แดนเยอรมนี) ไดแ้ ตกแยกออกเปน็ แคว้นเล็กแควน้ นอ้ ย

การสร้างอานาจของสันตะปาปาอนิ โนเซนตท์ ่ี 3 เปน็ สันตะปาปามีอานาจมากทีส่ ดุ ในยุคกลาง มีผลงาน คอื 1. ทาให้ศาสนจกั รในอาณาจกั รโรมนั อันศักดิส์ ิทธม์ิ อี านาจเหนืออาณาจกั ร และยยุ งให้เกดิ ค.แตกแยกในดินแดนเยอรมนี จนทาใหก้ ษตั ริย์ไม่ เข้มแขง็ พอที่จะเข้ารกุ รานอิตาลี 2. ทรงประกาศปดิ โบสถใ์ น ป.ฝรัง่ เศส เพราะทรง ไมเ่ หน็ ดว้ ยท่ี K. ฟลิ ิป ออกัสตัส ไดท้ รงหยา่ ขาด จากพระมเหสี

3. ทรงประกาศปดิ โบสถ์ใน ป.อังกฤษ เพราะทรง ไม่พอใจท่เี จ้าจอห์นแต่งตั้งอาร์ชบชิ อปแห่งแคน เทอเบอรี่ โดยไม่ได้รบั ความยนิ ยอมจากพระองค์

การสถาปนาราชอาณาจักรในยุโรปตะวันตก 1. ฝรงั่ เศส : จกั รวรรดิคาเปเตยี น เมื่อพระเจา้ หลุยส์ที่ 5 แห่ง ราชวงศ์คาโรแลงสิน้ พระชนม์ในปี ค.ศ. 987 พวกขุนนางฝรง่ั เศสจงึ พากัน เลอื ก ฮวิ กาเป ข้นึ เป็น K. ราชวงศ์คาเปเตียน แต่มดี นิ แดนทป่ี กครอง อย่างแทจ้ รงิ คือ เกาะฝรัง่ เศส ซึง่ เป็นดนิ แดนเลก็ ๆ ในภาคกลางของ ฝรั่งเศส จึงเป็น K. ที่ไมม่ ีอานาจ ซึ่งนบั เป็นจุดเรม่ิ ต้นของการปกครอง ในระบอบศกั ดนิ าสวามิภักดใ์ิ นยุโรป และยังเปน็ ผุ้วางรากฐานธรรมเนยี ม การสบื ราชสมบัตจิ ากพ่อสลู่ กู

ต่อมาสมัยของพระเจา้ ฟิลปิ ออกัสตัส ได้ทรงยดึ ครองแควน้ อองซู และ แคว้นนอรม์ งั ดขี องฝรัง่ เศส ท่ี อยู่ภายใต้การปกครองขององั กฤษ กลบั คืนมาเปน็ ของ ฝรัง่ เศส จากนั้นได้สรา้ งพระราชวังลูฟร์ และ กอ่ ตง้ั มหาวิทยาลัยปารีสในปี ค.ศ. 1200 มีการสนับสนนุ การ สรา้ งเมืองใหม่ และ มีการรว่ มมือกนั ระหวา่ ง K. กบั ชาวเมอื งเพ่อื กาจดั อทิ ธิพลของขนุ นางฟวิ ดัล

สมยั อานาจของ K. พัฒนาสงู สดุ คอื สมัยฟลิ ปิ รปู งาม/ฟิลิปที่ 4 ซ่ึงทรงเปิดการประชมุ สภาแห่งชาติเป็น ครงั้ แรก เป็นการประชุมของ 3 ฐานันดร คอื พระ ขุน นาง และสามัญชน ใน ค.ศ. 1302 เพือ่ หาทางแกไ้ ข ปัญหาขดั แย้งกับสนั ตะปาปาโบนิฟาซท่ี 8 เร่อื ง การ เกบ็ ภาษเี พ่ิม เพอื่ นาเงินไปใชใ้ นการทาสงครามกบั องั กฤษ และทรงเห็นว่าควรให้มกี ารเกบ็ ภาษจี ากพระ ดว้ ย

2. สเปน ได้ถกู พวกมอสเลม็ หรอื มวั ร์ จากแอฟรกิ าเหนอื นบั ถืออิสลามเขา้ ยึดครองในปี ค.ศ. 711 ต่อมาในครสิ ตศ์ ตวรรษ ท่ี 8 พวกครสิ เตยี นไดท้ าการตอ่ ส้ดู ้วยสงครามครูเสด เรยี กว่า “ยุค Reconquest/Reconquista ซึ่งเปน็ ยคุ แห่งการยึดอานาจ คืนของพวกครสิ เตียน

และนับตง้ั แต่ปี ค.ศ. 1212 เปน็ ต้นมา พวกคริสเตยี นไดร้ กุ พวกมอสเลม็ ไปอยู่ทก่ี รานาดา (เปน็ อาณาจักรของพวกมวั รท์ ี่ เหลอื อยทู่ างตอนใตข้ องสเปน จากนั้นได้เกดิ เปน็ อาณาจกั รคริส เตียนขึ้น 4 อาณาจักร คอื * คาสติล * อรากอน * โปรตเุ กส * นาวาร์

การรวมสเปนท่ีเขม้ แข็งท่ีสุดเกิดข้ึนเม่อื K. คาทอลิก คือ พระเจ้าเฟอรด์ ินานที่ 2 แห่งอรา กอน และพระราชินอี ิซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติล ไดท้ รงอภเิ ษกสมรส และรว่ มกันทาสงคราม ครเู สดจนสามารถขับไล่พวกมัวรอ์ อกจากสเปน และยดึ อาณาจักรกรานาดาคนื ได้สาเรจ็ ทาให้ การปกครองโดยมสุ ลมิ สนิ้ สดุ ลง และสามารถ สถาปนารัฐชาตไิ ด้สาเรจ็

3. โปรตุเกส เคยเป็นส่วนหนึ่งของสเปนมาต้ังแต่ยุคโบราณ จากนน้ั ถกู ยดึ ครองโดยพวกมวั รไ์ ปพรอ้ มๆ กบั สเปน และถกู ยึด คนื โดย K. เฟอรด์ นิ านดแ์ หง่ คาสตลิ ตอ่ พระเจา้ อลั ฟองโซท่ี 6 ทรงมอบดินแดนโปรตเุ กสเป็นสนิ สมรสให้แกเ่ จ้าหญงิ เทเรซา พระธดิ า ในการสมรสกบั เจ้าชาเฮนรีแหง่ เบอร์กนั ดี ต่อมาเจ้าชายอัลฟองโซ เฮนริก พระราชโอรสไดส้ ถาปนา อาณาจักรโปรตเุ กสข้ึน ในปี ค.ศ. 1139

4. อังกฤษ หลงั จากที่โรมนั หมดอานาจจากการยดึ ครอง อังกฤษแลว้ พวกแองโกล-แซกซัน ซ่ึงเป็นพวกอนารยชน เยอรมันไดเ้ ขา้ ปกครองอังกฤษ ตอ่ มาอังกฤษถกู รุกราน จากพวกเดนส์ ซงึ่ เปน็ สาขาหนึ่งของพวกไวก้งิ กระท่ัง ในช่วงปี ค.ศ. 1017 – 1035 พระเจา้ อลั เฟรด มหาราชกส็ ามารถต้านทานการรกุ รานจาก พวกเดนสไ์ ด้สาเร็จ

ในปี ค.ศ. 1066 วิลเลียมดุก๊ แหง่ นอร์มังดี ขุนนางฝร่ังเศส ซึง่ มีฐานะเปน็ วัสซลั ของ K. ฝร่งั เศส ไดย้ กทัพเขา้ รกุ รานและรบชนะ K.ฮาโรลด์ กอดวนิ สัน แห่งอังกฤษไดส้ าเร็จทาใหม้ ผี ลตามมา คอื 1) ทรงสถาปนาตนข้ึนเปน็ K.วลิ เลียมที่ 1 มฉี ายาวา่ “วิลเลยี มผ้พู ชิ ิต” ปกครองอังกฤษ 2) ทาให้ K.องั กฤษมดี นิ แดนครอบครองในฝร่ังเศสดว้ ย ซึ่งทา ให้ K.อังกฤษมี 2 สถานภาพ คือ มฐี านะเป็นลอรด์ สูงสุดในอังกฤษ และมฐี านะเปน็ วัสซลั ของ K.ฝรง่ั เศส จากสภาพดังกลา่ วไดก้ ลายเป็น ชนวนของสงครามรอ้ ยปรี ะหว่างอังกฤษกบั ฝร่ังเศสในเวลาต่อมา

3) ทาให้ภาษาฝรงั่ เศสกลายเปน็ ภาษาของชนช้นั สงู ในราช สานกั องั กฤษและมคี าในภาษาฝรง่ั เศสบางคาท่ีเขา้ ไปปะปนกบั ภาษาอังกฤษดว้ ย 4) จัดทาทะเบยี นราษฎร์อยา่ งละเอียดในปี ค.ศ. 1089 ซง่ึ เรยี กวา่ “Doomsday Books” เพื่อการเก็บภาษที ี่ถูกตอ้ งและ เพอ่ื การเกณฑแ์ รงงาน 5) ขุนนางแองโกล-แซกซันถกู กาจดั 6) มีการนาระบบแมเนอร์เข้าไปใช้ในอังกฤษ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook