Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิต ปีการศึกษา 2562

เอกสารประกอบการเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิต ปีการศึกษา 2562

Published by Tawatchai Jitwarin, 2019-12-12 01:28:50

Description: เอกสารประกอบการเรียน วิชา วิทยาศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมเพื่อชีวิต ปีการศึกษา 2562 สำหรับนักศึกษาระดับอนุปริญญา วิทยาลัยชุมชนพังงา

Keywords: วิทยาศาสตร์,อนุปริญญา

Search

Read the Text Version

51 ภาพที่ 3.5 เครื่องอบแหง้ แบบฟลอู ดิ ไดซเ์ บด ทีม่ า : พมิ พ์เพญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนิธิยา รัตนาปนนท์ (2556) 3) เคร่อื งอบแห้งแบบพ่นกระจาย เครอ่ื งอบแห้งแบบพ่นกระจายหรือเครื่องอบแห้ง แบบพ่นฝอย มีช่ือภาษาอังกฤษที่ใช้กันแพร่หลายคือ spray dryer ดังภาพท่ี 4 ซึ่งเป็นเครื่องอบแห้งที่ผลิต อาหารผง ไม่ว่าจะเป็น เคร่อื งดม่ื ผง เครอ่ื งปรงุ ผง หรือ นมผง ในเคร่อื งอบแห้งจะมีหัวพ่นท่ีพ่นละอองอาหาร เหลวเขม้ ขน้ ออกมาเจอกบั ลมรอ้ น เม่ือนา้ ระเหยออกไป อาหารจะแห้งเป็นผง ข้อเสียของเครื่องอบแห้งแบบ พน่ กระจายคอื หัวพ่นจะอดุ ตนั ได้ง่าย และราคาตน้ ทนุ สูง ภาพท่ี 3.6 เครือ่ งอบแหง้ แบบพน่ กระจาย ทีม่ า : พิมพเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนิธิยา รตั นาปนนท์ (2556) 4) เครื่องอบแห้งแบบลูกกล้ิง เครื่องอบแห้งแบบลูกกลิ้งเหมาะที่นามาใช้ทาแห้ง อาหารท่ีเป็นลักษณะเหมือนแป้งเปียก โดยผิวโลหะด้านนอกของลูกกลิ้งท่ีร้อนจะอาหารในถังป้อนขึ้นมาเป็น ฟิล์มบาง พร้อมกับหมุนรอบตัวเอง เมื่อหมุนครบรอบอาหารจะแห้งพอดีและถูกขูดออกจากผิวโลหะร้อน ก่อนที่ลูกกล้ิงหมุนกลับไปสัมผัสอาหารในถังป้อนใหม่อีกคร้ัง อาหารแห้งท่ีถูกขูดออกจากผิวลูกกล้ิงจะมี

52 ลักษณะเป็นเกล็ด หรือ ผงหยาบ ตัวอย่างอาหาร เช่น มันฝรั่งผง อาหารผง เคร่ืองปรุงผง ตัวอย่างเคร่ือง อบแห้งแบบลกู กลิง้ แสดงดงั ภาพที่ 5 ภาพที่ 3.7 เครอื่ งอบแหง้ แบบลูกกลงิ้ ที่มา : พิมพเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนธิ ยิ า รัตนาปนนท์ (2556) 5) เครื่องอบแห้งแบบหมนุ ลักษณะการทางานของเครอื่ งอบแหง้ แบบหมุน คลา้ ยกบั เครือ่ งอบแห้งแบบลกู กลงิ้ อาศัยการถ่ายเทความรอ้ นจากผวิ โลหะร้อน แต่เปน็ ผิวดา้ นใน ดังภาพท่ี 6 ซงึ่ อาหาร ท่ีนามาทาแห้งใส่ไปในท่อทาแห้ง ท่อจะหมุนเพื่อให้อาหารได้รับความร้อนอย่างท่ัวถึง เคร่ืองอบแห้งแบบน้ี เหมาะสาหรับอาหารที่มลี ักษณะเป็นช้ินเล็กๆ เปน็ เม็ด เชน่ corn flake ลูกเกด อาหารสัตว์ เปน็ ต้น ภาพที่ 3.8 เคร่ืองอบแหง้ แบบหมุน ทมี่ า : พมิ พเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนิธยิ า รัตนาปนนท์ (2556)

53 6) เครื่องอบแห้งแบบใช้พลังงานแสงอาทิตย์ การให้ความร้อนอาศัยการเปลี่ยน พลงั งานแสงอาทิตย์ใปเป็นพลงั งานความรอ้ นถา่ ยเทให้กบั อาหารเพ่ือให้น้าระเหยออกจากผิวหน้าของอาหาร เคร่ืองอบแห้งแบบนี้จะมีแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีราคาแพง แต่เม่ือนามาใช้ระยะยาวจะประหยัด พลังงานมาก อาหารที่นามาอบแห้งควรมีลักษณะ รูปทรงชัดเจน ไม่ใช่ของเหลว ท่ีนิยมใช้ เช่น กล้วยตาก ปลาแหง้ กุ้งแห้ง ผกั หรือ ผลไม้แหง้ ตัวอยา่ งเครอื่ งอบแหง้ แบบใช้พลงั งานแสงอาทิตย์ดงั ภาพท่ี 7 ภาพที่ 3.9 เครือ่ งอบแหง้ แบบใชพ้ ลังงานแสงอาทิตย์ ที่มา : พมิ พเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนิธิยา รตั นาปนนท์ (2556) 7) การตากแดด การตากแดดเปน็ วิธีการทาแห้งทเี่ กา่ แก่ที่สดุ ไม่ต้องลงทนุ อาหารท่ี นามาตากแดดต้องมลี ักษณะเป็นของแข็ง หากของเหลวต้องมีความเข้มข้นสูงพอสมควร ข้อเสียของการตาก แดดคือไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ ใช้เวลานาน เสี่ยงต่อการปนเป้ือน อาหารที่นิยมตากแดดได้แก่ ปลา เนอื้ สัตว์ ผกั และผลไม้ อย่างไรกต็ ามคุณค่าทางอาหารของอาหารแห้งตากแดดมคี ่าสงู กวา่ การอบแหง้ โดยความ ร้อนวธิ อี ่ืนๆ ภาพท่ี 3.10 การตากแดด ที่มา : พิมพ์เพญ็ พรเฉลมิ พงศ์ และนิธิยา รัตนาปนนท์ (2556)

54 8) เคร่อื งอบแห้งแบบอุโมงค์ เครื่องอบแห้งแบบอุโมงค์มีขนาดใหญ่ ใหอ้ าหารอยู่บน สายพาน หรือรถเขน็ ซ่ึงจะเคล่ือนที่เขา้ และออกจากอโุ มงคอ์ บแห้งในช่วงเวลาท่ีตง้ั ไว้ ใช้ลมร้อนในการทา แหง้ โดยใชไ้ ฟฟา้ กา๊ ซ หรอื พลงั งานแสงอาทิตย์ในการเพิ่มอุณหภูมิแก่ลมร้อนท่ีใช้เป็นตัวกลางให้ความ รอ้ นแกน่ ้าในอาหาร เหมาะสาหรบั อบแห้งอาหารทม่ี ปี ริมาณมากๆ เชน่ ผลไมท้ ีอ่ อกมากตามฤดกู าล พลัม เชอรร่ี แพร์ สับปะรด แอปรคิ อต หรอื เน้ือสัตวต์ า่ งๆ ภาพที่ 3.11 เครอื่ งอบแหง้ แบบอโุ มงค์ ทม่ี า : พมิ พ์เพญ็ พรเฉลมิ พงศ์ และนธิ ิยา รัตนาปนนท์ (2556) 9) เครื่องอบแห้งแบบไมโครเวฟ เครอ่ื งอบแห้งชนดิ นใี้ ช้คลื่นไมโครเวฟในการทาให้น้าใน อาหารเกิดการส่ันสะเทือนและเกิดพลังงานความร้อน จนทาให้น้าร้อนและระเหยออกจากอาหาร การใช้ ไมโครเวฟจะทาใหเ้ วลาในการอบแหง้ ส้ัน และผลติ ภัณฑม์ คี ณุ ภาพสแี ละเน้ือสมั ผัสทีด่ ี แต่ราคาในการลงทุนสูง ภาพท่ี 3.12 เคร่ืองอบแห้งแบบไมโครเวฟ ทมี่ า : พมิ พเ์ พญ็ พรเฉลิมพงศ์ และนธิ ิยา รตั นาปนนท์ (2556)

55 2.2.3 การเกบ็ รกั ษา ในข้นั ตอนการเกบ็ รักษาอาหารแหง้ น้ันมอี งคป์ ระกอบทสี่ าคัญทส่ี ่งผลต่อ คุณภาพอาหารแหง้ ดังน้ี 1. บรรจุภัณฑ์สาหรับอาหารแห้ง (packaging for dried foods) วัสดุบรรจุภัณฑ์ (packaging material) ท่ีเหมาะสมสาหรบั อาหารแห้ง ได้แก่ โลหะ เช่น แผ่นเปลวอลูมิเนียม กระป๋องโลหะ พลาสตกิ เชน่ PET แก้ว นอกจากนี้บรรจุภณั ฑส์ าหรับอาหารแห้งตอ้ งมคี ณุ สมบัติ ดงั นี้ 1) สามารถป้องกันความชื้น (moisture barrier) บรรจุภัณฑ์สาหรับอาหารแห้ง จะต้องป้องกันการดดู ซมึ กลบั ความชน้ื จากบรรยากาศ อากาศรอบๆ คอื ควรมีค่าอตั ราการดูดซึมกลับความชื้น (water vapor transmission rate) ต่า ซง่ึ ค่าน้ขี ้ึนอยกู่ ับ ชนดิ และคณุ ภาพ ตลอดจนความหนาของวัสดุท่ีใช้ ผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารแห้งท่ีมีส่วนประกอบที่ดูดน้าได้ดี (hydroscopic) เช่น น้าตาล โดยเฉพาะน้าตาล ฟรักโทส (fructose) ความชื้นจะเป็นเหตสุ าคญั ท่ที าใหอ้ าหารแหง้ เนา่ เสีย (food spoilage) ได้ดงั น้ี - ทางกายภาพ เช่น การเกาะกนั เปน็ ก้อนสาหรับอาหารผง ทาให้ไม่สามารถไหลได้ อย่างเป็นอสิ ระ หรอื มกี ารเย้ิมของน้าตาล -ทางเคมี เช่น การเกิดกล่ินหืน (rancidity) เพราะน้าเป็นสาเหตุเริ่มต้นของการ เกิดปฏิกิริยา hydrolysis ทาให้ไตรกลีเซอไรด์ ในโมเลกุลของน้ามัน และไขมัน สลายตัวเป็นกรด ไขมนั อสิ ระ โดยเฉพาะกรดไขมันท่ีไมอ่ ิ่มตวั ซึ่งเปน็ สารตง้ั ต้นของการเกดิ ปฏกิ ิริยา lipid oxidation -ทางจุลินทรีย์ น้าท่ีดูดกลับไปในอาหารทาให้มีค่า water activity เพ่ิมข้ึน ซึ่งค่า จุลินทรีย์แต่ละประเภท จะมีค่า water activity ต่าท่ีสุดที่จุลินทรีย์เจริญได้ (minimum water activity) แตกต่างกนั แตโ่ ดยท่ัวไปแล้วหากลดค่า water activity ให้ต่ากว่า 0.6จะไม่มีจุลินทรีย์ใด เจรญิ ได้ 2) สามารถป้องกันอากาศ อากาศโดยเฉพาะออกซิเจน เป็นสาเหตุสาคัญของการ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าทางเคมี เชน่ lipid oxidation ซึง่ ทาใหอ้ าหารเกิดกลิน่ หนื และยงั เป็นผลให้อาหารสูญเสียคุณค่า ทางโภชนาการ โดยเฉพาะกรดไขมันท่ีจาเป็น (essential fatty acid) บรรจุภัณฑ์อาหารแห้งที่ดีจะต้อง สามารถปอ้ งกันกา๊ ซออกซเิ จนจากสภาวะอากาศรอบๆ ผ่านเข้าไปในภาชนะบรรจุ นอกจากนอ้ี าจใชส้ ารดูดซับ ออกซิเจน (oxygen absorber) เพือ่ ชว่ ยดูดซบั ออกซิเจนท่ีมีอยู่แล้วในบรรจุภัณฑ์ก่อนปิดผนึกและจะซึมผ่าน บรรจภุ ัณฑร์ ะหว่างการเกบ็ รักษา 3) มีความทนทานต่อการกดหรือการกระแทก บรรจภุ ณั ฑ์อาหารแห้งที่ดีจะต้องทน ต่อการกดและการกระแทกได้ดี ท้ังนี้เนื่องจากเน้ืออาหารแห้งมักแข็ง เปราะ แตกง่าย และมีส่วนแหลมคม สามารถทม่ิ แทงภาชนะบรรจไุ ด้ ทัง้ น้ี อายุการเกบ็ รักษาอาหารแหง้ มกั พิมพ์รหสั (coding) ลงบนบรรจภุ ณั ฑ์ โดยใช้คาว่า ควรบริโภค กอ่ นวันที่ (best before date) ในการแปรรูปขิงผงจะใช้หลักการทาแห้ง หรือใช้การระเหยน้าออกจากน้าขิงท่ีได้จากการสกัดจาก เหง้าขิงแก่ จนกลายเป็นขิงผง ทั้งน้ีผู้เขียนได้แสดงภาพตัวอย่างขิงผงของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเขาตา หนอน อาเภอทบั ปดุ จังหวัดพังงา ดงั ภาพที่ 3.13 และภาพตัวอยา่ งขิงผงผสมสุมนไพรท่ีผเู้ ขยี นไดพ้ ัฒนาข้ึนใน ภาพท่ี 3.14 ดงั น้ี

56 ภาพที่ 3.13 ขิงผงของกลมุ่ แม่บ้านเกษตรกรบ้านเขาตาหนอน อาเภอทบั ปุด จงั หวัดพงั งา ที่มา : ธวชั ชยั จิตวารินทร์ (2560) ภาพที่ 3.14 ขงิ ผงผสมใบเตย (บนซ้าย) ขิงผงผสมเกก๊ ฮวย (บนขวา) ขงิ ผงผสมแครอท (ลา่ งซ้าย) และขิงผงรสธรรมชาติ (ลา่ งขวา) ที่มา : ธวัชชยั จิตวารินทร์ (2560)

57 การประยุกตแ์ นวทางที่ 2 การพฒั นาผลติ ภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่าขิงซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีช่ือเสียงในท้องถ่ินโดยนามา แปรรูปเป็นไอศกรีมแท่งแบบโบราณรสขิง หรือท่ีเรียกว่า “ไอติมหลอด” (Thai ancient ice pop ginger flavor) ไอศกรีมดังกล่าวเป็นไอศกรีมท่ีมีข้ันตอนการทาท่ีไม่ยุ่งยาก อีกทั้งไอศกรีมยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับ ความนยิ มจากบุคคลหลายๆ กลมุ่ ทั้งชาวไทยและชาวตา่ งประเทศเน่ืองจากมีประเทศไทยเป็นเมืองที่มีสภาพ อากาศร้อน ดงั นนั้ หากมกี ารนาขิงมาแปรรปู เปน็ ไอศกรมี กอ็ าจจะเปน็ อีกช่องทางหนงึ่ ท่ีชว่ ยเพ่ิมมูลค่าให้แก่ขิง และสร้างรายได้ให้แกก่ ลุ่มเกษตรกรในพ้ืนท่ีได้ ดังน้ันผู้สอนจึงได้ศึกษา รวบรวมและประมวลความรู้ รวมถึง ท่ีมา และหลักการทเ่ี กี่ยวข้องกับการทาไอศกรมี แทง่ แบบโบราณ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ทมี่ าของไอศกรมี ในประเทศไทยนั้น ไอศกรีมเร่ิมเข้ามาในช่วงสมัยรัชกาลท่ี 5 เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตกท่ี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนามาเผยแพร่ในสยาม หลังเสร็จประพาสอินเดีย, ชวาและ สงิ คโปร์ นา้ แข็งในตอนแรก ๆ ก็ยงั ไมส่ ามารถผลิตในประเทศได้ จึงต้องนาเขา้ จากประเทศสิงคโปร์ เม่อื ไทยสั่ง เคร่ืองทาน้าแข็งเขา้ มาก็เริ่มมกี ารทาไอศกรมี กินกนั มากขน้ึ ถอื ว่าไอศกรีมเป็นของเสวยเฉพาะสาหรับเจา้ ขุนมูล นายเท่านั้น ซง่ึ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพบันทึกไว้วา่ “ไอศกรมี เป็นของท่วี เิ ศษในเวลานั้น เพราะเพิง่ ได้เครอ่ื งทานา้ แขง็ อยา่ งเลก็ ทเี่ ขาทากนั ตามบ้านเขา้ มา ทาบางวันนา้ กแ็ ข็งบางวนั กไ็ มแ่ ข็ง มไี อศกรมี บ้างบางวนั กไ็ มม่ ี จงึ เห็นเป็นของวิเศษ” โดยไอศกรีมในพระราชวังน้ันจะทาจากน้ามะพร้าวอ่อน ใส่เม็ดมะขามค่ัว จนต่อมาเมื่อมีโรงงานทา น้าแข็ง แต่ก็ยังถือเป็นของช้ันดี โดยมีไอศกรีมระดับชาวบ้านทาเองด้วย ในช่วงแรก ๆ น้ันไอศกรีมกะทิมี ลกั ษณะเปน็ น้าแขง็ ละเอียดใส ๆ รสหวานไม่มาก และมีกลิ่นหอมของดอกนมแมว ในสมัยน้ันวิถีการกินของ ผู้คนจะนิยมกินอาหารกันในเรือนแพ เหมือนท่ีสมัยน้ันจะขายก๋วยเตี๋ยว หรือกาแฟกันบนเรือ ลักษณะของ ไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยพร้อมโรยด้วยถ่ัวลิสงค่ัวก็มีมาต้ังแต่สมัยนั้น ซ่ึงต่อมาไอศกรีมกะทิก็มีการเปลี่ยนแปลง พัฒนาข้ึน จากกะทิใส ๆ ก็มีความเข้มข้น มีการใส่ลอดช่อง, เม็ดแมงลัก และขนุนฉีกเข้าไป โดยคนไทยได้ ดดั แปลงไอศกรีมของตา่ งชาติมาเปน็ ไอศกรมี กะทิ โดยใชก้ ะทิสดผสมกับน้าตาลนาไปปั่นให้แข็ง เนื้อไอศกรีม ค่อนข้างใสเป็นเกล็ดน้าแข็งละเอียด เวลารับประทานต้องขูดไอติมออกจากขอบหม้อโลหะเม่ือไอศกรีมเร่ิม แขง็ ตัว ตอนขายตักใสถ่ ้วยเป็นลูก ๆ เรยี กไอศกรีมตกั กินกบั ถ่ัว ขา้ วเหนยี ว หรือลกู ชิด บางคนกนิ กับขนมปงั ที่ ห่นั เป็นทอ่ น และมีรอยแยกเปน็ ร่องอยู่ตรงกลาง สว่ นไอศกรมี หลอด หรอื ไอศกรีมแทง่ ก็เกดิ ข้ึนในสมยั รชั กาลท่ี 7 โดยใช้น้าหวานใส่หลอดสังกะสีและ เขย่าให้แข็ง และมีก้านไม้เสียบ โดยจะใส่ถังขับไปขายตามถนน ส่ันกระดิ่งเป็นสัญญาณเพื่อเรียกลูกค้า นอกจากน้ียงั มจี ดุ ขายท่กี ารลุ้นไอศกรีมฟรีจากไมเ้ สยี บทห่ี ากมีสีแดงป้ายอยู่ก็จะได้กินฟรีอีกหน่ึงแท่งด้วย ซึ่ง ไอศกรีมแบบหลอดก็มีการพฒั นาจนมาเปน็ ไอศกรีมโบราณที่มีส่วนผสมของนมโดยมลี ักษณะเปน็ แทง่ สี่เหล่ียม อาจทานเปน็ แทง่ หรอื ตัดใสถ่ ้วยรับประทานก็ได้ ในสหรัฐอเมริกาและบ้านใกล้เรือนเคียง เช่น แคนาดา เรียกไอศกรีมแท่งว่า “popsicle” ตาม ไอศกรมี แทง่ ย่หี อ้ “พอ็ ปซีเคลิ ” (Popsicle) ซ่งึ เปน็ บ่อเกิดแหง่ ไอศกรีมแทง่ ทงั้ ปวง และในสหราชอาณาจกั รวา่ ice lolly, lolly ice หรอื ice lollipop ส่วนในประเทศไอรแ์ ลนด์ว่า “freeze pop” และในบางภูมิภาคของ ประเทศออสเตรเลียวา่ “ice block”

58 ในประเทศนิวซีแลนดเ์ รียกวา่ ไอศกรมี แทง่ วา่ “icy pole” ด้วยเหตผุ ลทานองเดยี วกบั สหรัฐอเมริกา คอื ได้รับอิทธพิ ลจากไอศกรีมแท่งยหี่ อ้ “ไอซโี พล” (Icy Pole) สาหรับไอศกรีมแทง่ แบบเสยี บในซองพลาสติกน้นั ภาษาอังกฤษเรยี ก “ice pop”, “freezer pop” หรอื “freezie” สาหรับในประเทศไทยไอศกรมี แท่งแบบโบราณนนั้ จะเรยี กว่า “ไอติมหลอด” มีบันทึกว่า ไอศกรีมแท่ง นั้นเกิดข้ึนเป็นคร้ังแรกใน ค.ศ. 1905 เม่ือแฟร็งก์ เอ็ปเพอร์สัน (Frank Epperson) เด็กชายวัยสิบเอ็ดปี ชาวนครซานฟราสซิสโกคนหน่ึง ลืมแก้วบรรจุน้าผสมผงโซดาเสียบแท่งไม้กวนอาหารท้ิงไว้ท่ีชานหลังบ้าน พอตกดึก อุณหภูมิลดลง คร้ันรุ่งเช้าเอ็ปเพอร์สันนึกขึ้นได้ และกลับไปหลังบ้านเพ่ือจะนาน้าโซดาน้ันมาดื่ม แต่พบว่า น้าในแก้วแข็งตัวเสียแล้ว เขาจึงนาแก้วดังกล่าวผ่านน้าร้อนเพียงช่วงเวลาเล็กน้อยเพ่ือให้น้าแข็ง เล่ือนหลดุ จากแกว้ ได้และเขาก็ได้โซดาแท่งไปรับประทาน 2. หลักการทาไอศกรีมแทง่ แบบโบราณ ผ้สู อนไดศ้ ึกษาหนงั สอื ของวไิ ล รังสาดทอง (2556 : 390-394) ซึ่งกล่าวถึงการแช่เยือกแข็ง ซึ่ง เป็นกรรมวธิ ีลดอุณหภูมิของอาหารใหต้ า่ ลงกวา่ จุดเยือกแข็ง โดยสว่ นของน้าจะเปลีย่ นสภาพไปเปน็ ผลึกน้าแข็ง โดยหลักการเดยี วกนั นี้สามารถนามาประยุกตใ์ ชใ้ นการแปรรูปอาหารต่างๆ เช่น ผัก ผลไม้แช่แข็ง เนื้อสัตว์แช่ แข็ง อาหารสาเรจ็ รูปแช่แขง็ ไอศกรีม เป็นต้น ทัง้ น้หี ลกั การดังกลา่ วยังใช้ในการทาไอศกรีมหลอดด้วย การทา ไอศกรีมหลอดจะใชก้ ารลด และกาจดั ความรอ้ นออกจากสารละลาย นา้ ผลไม้ น้าหวาน ท่ีใช้ทาไอศกรีมจนถึง จดุ เยอื กแข็งด้วยการเติมการเตมิ เกลอื หรือ โซเดยี มคลอไรด์ (NaCl) ท่อี ยูใ่ นสถานะของแขง็ ลงในนา้ แข็งทใี่ ช้แช่ ไอศกรีมโดยปกติเกลอื จะละลายได้ในนา้ เช่นเดียวกนั เกลอื จะพยายามละลายในน้าซงึ่ อยู่ในรปู ของน้าแขง็ และ การทเ่ี กลอื เกิดการละลายได้นั้นต้องมีการดูดความร้อนจากส่งิ แวดล้อมเพ่อื ให้เกลือ แตกตัวเปน็ Na+ และ Cl- ที่ละลายในนา้ (มีโมเลกลุ ของน้ามาล้อมรอบ) ซึ่งเกลือจะดูดความร้อนจากน้าแข็ง (เพ่ือเกิดการละลาย) เมื่อ น้าแข็งถูกดูดความร้อนออกไป ทาให้น้าแข็งท่ีผสมเกลือมีอุณหภูมิต่าลงส่งผลให้น้าหวาน น้าผลไม้ หรือ สารละลายกลายเป็นไอศกรีม ส่วนเขย่าถังโดยการหมุนไปมา ก็จะทาให้ความเย็นแพร่เข้าไปในหลอดทาให้ นา้ หวาน หรอื น้าผลไม้แขง็ เป็นไอศกรมี ไดเ้ รว็ ข้นึ ซง่ึ ถ้าหากทาให้ไอศกรมี ยง่ิ แข็งตัวได้เร็วเท่าไร เกล็ดน้าแข็งท่ี เกดิ ขึน้ ในไอศกรีมก็จะมขี นาดเล็ก ทาให้ไอศกรีมมีลักษณะของเน้อื สมั ผัสท่ีดี ในทางกลับกนั หากทาให้ไอศกรีม ย่ิงแข็งตัวได้ช้า เกล็ดน้าแข็งที่เกิดขึ้นในไอศกรีมก็จะมีขนาดใหญ่ทาให้ลักษณะเนื้อสัมผัสของไอศกรีมไม่ดี โดยลกั ษณะของไอศกรมี แทง่ แบบโบราณแสดงดังภาพท่ี 3.15 ส่วนไอศกรีมแท่งแบบโบราณรสขิงท่ีผู้เขียนได้ พฒั นาข้ึนแสดงดังภาพที่ 3.16 ดังน้ี

59 ภาพท่ี 3.15 ไอศกรีมแท่งแบบโบราณ ท่มี า : ผูจ้ ัดการออนไลน์ (2555) ภาพที่ 3.16 ไอศกรมี แทง่ แบบโบราณรสขงิ รสขิงผสมมะนาว รสขิงผสมดอกอญั ชัน รสขิงผสมใบเตย และ รสขิงผสมมะนาวและดอกอญั ชนั (จากซ้ายไปขวา) ที่มา : ธวัชชยั จติ วารนิ ทร์ (2560)

60 การประยุกต์แนวทางท่ี 3 การแปรรูปขิงซึ่งเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่มีชื่อเสียงในท้องถิ่น ยังสามารถแปรรูปเป็นลูกอมขิง (Ginger candy) ได้ เนอ่ื งจากขิงเป็นสมุนไพรท่ีมีกลิ่นหอมจากน้ามันหอมระเหย และมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้อาเจียนได้ ดังนั้นลูกอมขิงจึงมีคุณสมบัติช่วยลดกล่ินปาก และยังสามารถใช้บรรเทาอาการคลื่นเหียน อาเจียนซ่ึงสะดวกในการพกพาและเหมาะอย่างย่ิงสาหรับผู้ท่ีมีอาการเมารถ เมาเรือและต้องเดินทางเป็น ประจา การประยุกต์ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาและแปรรูปขิงให้เป็นลูกอมจึงเป็นอีกวิธีหน่ึงท่ี สะท้อนให้เห็นว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นข้ันตอน หรือกระบวนการท่ีใช้ในการสร้างความรู้ใหม่ได้ อีกทั้งสามารถนาวิธีการทางวิทยาศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชุมชน หรือท้องถ่ินได้อีกด้วย ทั้งน้ีผู้สอนได้ศึกษา รวบรวม และประมวลความรู้ รวมถึงหลักการที่เกี่ยวข้องกับการทาลูกอม โดยมี รายละเอยี ดดังนี้ 1. ความหมายของลูกอม ตามประกาศกระทรวงสาธารณสขุ ฉบบั ท่ี 228 พ.ศ. 2544 เรื่องหมากฝรั่งและลูกอม ได้ให้คาจากัด ความของลูกอมว่า หมายถึง ผลิตภัณฑ์สาหรับใช้เคียวหรืออม ที่มีน้าตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมี สว่ นประกอบอนื่ ๆ เพ่ือปรงุ แต่งกลนิ่ รสดว้ ยหรือไม่ก็ได้ มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) 265/2547 ลกู อม หรือลูกอม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ทาด้วยน้าตาล มลี กั ษณะน่มิ จนถึงคอ่ นข้างแขง็ ได้จากการนานา้ ตาลกลโู คสไซรปั และอาจมสี ่วนประกอบอน่ื เช่น นม หรอื เนื้อ ผลไม้มากวนจนเหนียวได้ท่ีแล้วทาให้เป็นรูปร่างตามต้องการ อาจปรุงแต่งกลิ่นรสหรือเนื้อสัมผัสด้วย ส่วนประกอบอน่ื ที่เหมาะสม เช่น เกลอื กะทิ ถ่วั ลิสง ดว้ ยก็ได้ การทาลูกอม เร่ิมมีมาเม่ือประมาณสองพันปีก่อนคริสตกาล โดยชาวอียิปต์เป็นเป็นกลุ่มชนแรกที่ เร่ิมทาผลิตภัณฑ์ลูกอมข้ึนมาจากการนา ผลไม้ นัต สมุนไพร และเครื่องเทศผสมกับน้าผ้ึงปั้นเป็นก้อน รับประทาน ต่อมาชนชาตกิ รีกได้นาแป้งมาประยุกต์ใช้เพอ่ื ชว่ ยทาใหผ้ ลิตภัณฑม์ คี วามคงรูปมากข้ึน 2. ชนิดของลูกอม ลูกอม แบ่งตามลักษณะเน้ือสัมผัสออกเป็น 3 แบบ ดังนี้ (พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และนิธิยา รัตนาปนนท์, 2556 และสวุ รรณา สภุ ิมารส, 2543 : 14) 2.1 ลกู อมชนิดแขง็ (Hard Candies) เป็นลกู อมท่ีมีเนือ้ แขง็ มีรปู ร่างแนน่ อน ผลิตได้จากการเค่ียว น้าตาลทมี่ คี วามเข้มข้นสูงกับกลโู คสไซรปั แล้วทาให้เยน็ ตัว มีความช้ืนน้อยกว่า 1% มีอัตราส่วนของน้าตาลกบั กลูโคสไซรัปประมาณ 70:30 หากเคี่ยวภายใตภ้ าวะสุญญากาศจะใชอ้ ตั ราสว่ น 60:40 แต่หากตอ้ งการใหล้ กู อม ละลายชา้ จะใช้ปรมิ าณกลโู คสไซรปั ที่สงู ขึน้ 2.2 ลูกอมแบบเคี้ยว (Chewy Confections) เป็นลูกอมทม่ี สี ว่ นผสมอนื่ นอกเหนอื จากนา้ ตาล และ กลูโคสไซรปั เช่น ไขมนั นม เนย และอ่ืนๆ ซ่งึ จะช่วยให้นุ่มลน่ื ขณะเคี้ยว โดยจะเคี่ยวรวมกันจนให้มีความช้ืน ประมาณ 12-15% ทาใหไ้ ด้ลกู อมทม่ี ีเนือ้ ไม่แข็งมาก มีเนื้อเหนียวหนึบ เนื้อสัมผัสเนียน ไม่หยาบ นอกจากน้ี ลูกอมบางย่หี อ้ ยังมีการผสมสารอมิ ลั ซไิ ฟเออร์เพื่อชว่ ยใหม้ ีเน้อื สมั ผสั ท่ี ดีขึน้ ลกู อมประเภทน้ี ได้แก่ คาราเมล เยลลี่ และกัม

61 2.3 ลูกอมแบบมีฟองอากาศ (Aerated Confections) เป็นลูกอมทไ่ี ดจ้ ากการเคี่ยวน้าตาลเข้มข้น กบั สว่ นผสมอ่ืนๆ โดยไม่ทาให้น้าตาลกบั ส่วนผสมอ่นื รวมเป็นเน้อื เดียวกนั โดยมฟี องอากาศแทรกตวั กระจายใน เนอ้ื ลกู อม บางสูตรอาจผสมสารลดแรงตงึ ผวิ เพ่ือให้ฟองอากาศคงรูปอย่ไู ด้ 3. คณุ สมบัติทดี่ ขี องลูกอม 1. ลูกอมทเี่ กบ็ ไวจ้ ะต้องไมอ่ ยู่ภายใตก้ ารหมกั และการเจริญเติบโตของรา และจลุ ินทรยี อ์ ่นื ๆ ทที่ าให้เกดิ การเนา่ เสยี 2. ลกู อมทเี่ กบ็ ไวจ้ ะตอ้ งไมม่ กี ารเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ และทางเคมี 3. ลกู อมควรมมี คี วามสวยงาม และน่ารบั ประทาน 4. ลูกอมจะต้องมปี ริมาณของแข็ง (solids content) ไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ 75 เพ่ือป้องกันการเน่าเสีย จากจุลินทรีย์ 4. ส่วนประกอบที่สาคัญของลูกอม พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ และนธิ ิยา รตั นาปนนท์ (2556) และสุวรรณา สภุ ิมารส (2543 : 14) กล่าวว่า ในการผลิตลูกอมจาเป็นต้องมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วลูกอมมีส่วนประกอบท่ี สาคญั ซึ่งผู้สอนสรุปไดด้ ังน้ี 4.1 สารให้ความหวาน ได้แก่ น้าตาลทราย (sucrose) น้าเช่ือมกลูโคส (glucose syrup) น้าเชื่อม ฟรักโทส (fructose syrup) น้าตาลอินเวิร์ต (invert sugar) หรือสารให้ความหวานแทนน้าตาล (sugar substitute) ไดแ้ ก่ น้าตาลแอลกอฮอล์ (sugar alcohol) เชน่ ซอร์บิ-ทอล (sorbitol) แมนนทิ อล (mannitol) โดยจะมผี ลตอ่ ความหวาน รวมทง้ั ความใสของลกู อมด้วย 4.2 สารแตง่ รสหรือกลิน่ ไดแ้ ก่ วตั ถุแต่งกลิ่นรส ทัง้ ทเ่ี ปน็ สารธรรมชาติ เช่น นา้ มันยูคาลิปตัส น้ามัน จากเปลอื กสม้ หรอื จากการใชส้ ารเคมผี สมใหเ้ กิดกลิ่นทต่ี อ้ งการ เชน่ ครมี โซดา กลนิ่ องนุ่ หรอื ส่วนประกอบท่ี แต่งกล่นิ รสได้ เชน่ ช็อกโกแลต (chocolate) กาแฟผง หรอื นมผง ในลกู อมรส กาแฟ หรอื ท๊อฟฟนี่ ม เปน็ ตน้ 4.3 สารแต่งสี ลูกอมโดยปกตจิ ะเกดิ สีน้าตาล อนั เนอื่ งจากความร้อน ทใ่ี ช้ในกระบวนการผลิตในช่วง เคี่ยวนา้ ตาล แต่บางคร้ังผผู้ ลิตจาเป็นต้องใสส่ ีตา่ งๆ เพอ่ื ดงึ ดูดความสนใจของผู้ซ้ือ เช่น แต่งสีแดง สาหรับลูก อมกลิน่ สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น 4.4 สว่ นประกอบอ่ืนๆ ได้แก่ กรดอินทรีย์ (organic acid) กรดทน่ี ยิ มใช้ในการผลิตลกู อม ได้แก่ กรด ซิตริก (citric acid) กรดทารท์ ารกิ (tartaric acid) และกรดมาลิก (malic acid) โดยใช้เพื่อควบคุมความหวาน แต่งรสและยดื อายุการเก็บรักษาผลติ ภัณฑ์ 5. หลักการ และวธิ กี ารทาลกู อม 5.1 หลกั การ การทาลกู อมโดยทัว่ ไปใชห้ ลกั การใหค้ วามร้อนแกน่ า้ ตาล และกลโู คสไซรปั ด้วยความร้อนตา่ จนหลอม ละลาย (Boiling) แล้วให้ความรอ้ นและผสมเป็นเน้ือเดียวกัน (Evaporation) เมอื่ สารละลายมีความขน้ เหนียว แล้วเตมิ สารใหก้ ลิ่นรส หรอื ใช้สมนุ ไพรตา่ งๆ ผสมให้เข้ากัน (Mixing) เพ่ือให้ได้กล่ิน และรสชาติตามต้องการ จากนั้นพักให้เย็น (Cooling) แล้วนามาข้นึ รปู (Molding) แลว้ ห่อหมุ้ ดว้ ยบรรจุภณั ฑ์ต่อไป

62 5.2 วิธีการทาลูกอม วิธกี ารทาลกู อมโดยท่วั ไปมีวิธีการดังน้ี 1. เคี่ยวกลูโคสไซรัปกับซโู ครส โดยใช้น้าเป็นตวั ทาละลาย 2. ละลายส่วนประกอบทงั้ หมดใหเ้ ป็นเนอ้ื เดยี วกนั 3. ทาใหน้ ้าตาลเข้มขน้ ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ โดยการเพ่ิมอุณหภมู ทิ ี่ 120-130 องศาเซลเซยี ส 4. ลดอณุ หภมู ขิ องสารละลายให้เยน็ ลงอย่างรวดเรว็ ทีอ่ ุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส 5. เทใสแ่ ม่พมิ พ์ และท้ิงใหเ้ ย็นทีอ่ ณุ หภูมิห้อง 6. บรรจุ และห่อทนั ที ลูกอมเน้ือแข็ง เปน็ ผลิตภัณฑท์ ีม่ ีจาหน่ายตามท้องตลาดมากทสี่ ุด มีลักษณะเน้อื แขง็ มาก อาจเป็นเม็ด ใสหรอื ขนุ่ กัดเค้ยี วได้ยาก เหมาะสาหรบั การอมให้ละลายช้าๆ มีท้งั รปู ทรงไข่ รปู สี่เหล่ียม รูปดอกไม้ รูปหัวใจ รูปทรงกลม เปน็ ต้น คณุ สมบัตใิ นการละลายตวั ช้าของลกู อมแบบเนือ้ แขง็ ถกู นามาประยุกต์ใชใ้ นทางการแพทย์สาหรับผลติ ลกู อมหรือยาชนดิ อมเพื่อใหต้ ัวยาละลายชา้ ลูกอมเนอ้ื แข็ง เป็นผลิตภัณฑ์ท่ีมีน้าตาลเป็นส่วนมาก โดยมีความ เข้มข้นของนา้ ตาลสูงเกนิ จดุ อิ่มตวั ดว้ ยการให้ความร้อนอย่างรวดเร็ว และลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วเพื่อให้ เกิดการเย็นตัวยวดยิ่ง ป้องกันไม่ให้เกิดเป็นผลึกน้าตาล ทาให้มองเห็นเป็นของแข็งเน้ือเดียวอย่างสม่าเสมอ โดยมีกลูโคสไซรปั ทีเ่ กิดความหนืดขณะเคย่ี วสามารถช่วยป้องกนั การตกผลกึ ไดอ้ กี ผู้เขียนได้นาหลักการข้างต้นนามาประยุกต์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ลูกอมขิง ซ่ึงลูกอมขิงท่ีผู้เขียนได้ พัฒนาขึน้ แสดงดังภาพท่ี 3.17 ดังนี้ ภาพท่ี 3.17 ลูกอมขิง ที่มา : ธวัชชยั จติ วารนิ ทร์ (2560)

63 บรรณานุกรม กรมพฒั นาการแพทย์แผนไทยและการแพทยท์ างเลือก. (2556). “สมุนไพรในงานสาธารณสุขมลู ฐาน” ค้นคืน วันท่ี 2 ม.ค. 2556. จาก http://www.dtam.moph.go.th/indigenous/index.htm. คณาจารยภ์ าควชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร คณะอตุ สาหกรรมเกษตร มหาวทิ ยาลยั - เกษตรศาสตร์. (2552). วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร. กรงุ เทพมหานคร : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ธวชั ชยั จิตวารนิ ทร์ (2560) “การพัฒนาชุดกจิ กรรมการเรียนการสอนทใ่ี ช้กระบวนการแปรรูปผลผลิตทาง การเกษตรในทอ้ งถิน่ หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 เรอื่ ง วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ กบั การแกป้ ัญหาวชิ า วิทยาศาสตร์เพอ่ื ชีวติ สาหรับนกั ศึกษาระดับอนปุ รญิ ญา วทิ ยาลัยชุมชนพังงา” วารสารปาริชาต. ปที ี่ 30 ฉบับท่ี 3 : 1-8. “ประกาศกระทรวงสาธารณสขุ ฉบับท่ี 228 พ.ศ. 2544 เรอื่ งหมากฝร่ังและลกู ” (2544, 26 กรกฎาคม) ราชกิจจานเุ บกษาฉบับประกาศทวั่ ไป เลม่ 118 ตอนพิเศษ 70 ง. พิมพ์เพญ็ พรเฉลมิ พงศ์ และนิธยิ า รัตนาปนนท.์ (2556). “โครงการสารานกุ รมอาหารเพอื่ เสรมิ สมรรถนะการ เรยี นรู้ : ลูกกวาด”. คน้ คืนวนั ที่ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2556. จาก http://www.foodnetworksolution .com/processing/process/0354/ลกู กวาด-hard-boiled-candy#packing พมิ พ์เพญ็ พรเฉลมิ พงศ์ และนิธิยา รัตนาปนนท.์ (2556). “โครงการสารานุกรมอาหารเพอื่ เสรมิ สมรรถนะการ เรียนรู้ : อาหารแห้ง”. ค้นคนื วันที่ 19 กุมภาพนั ธ์ 2556. จาก http://www. foodnetwork- solution.com/wiki/word/1327/dried-food-อาหารแหง้ . ผูจ้ ัดการออนไลน.์ (2555). “ยอ้ นตานานไอศกรมี สวู่ ัฒนธรรมการกนิ ทห่ี ลากหลาย” คน้ คนื วนั ท่ี 15 พฤษภาคม 2556. จาก https://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID =9550000047164. ราชบณั ฑิตยสถาน. (2556). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 : เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เนอื่ งในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา 7 รอบ 4 ธันวาคม 2554. กรุงเทพมหานคร : นานมบี ุ๊คสพ์ บั ลเิ คชั่นส.์ ร่งุ ระวี เต็มศริ ฤิ กษก์ ลุ . (2554). องค์ความรจู้ ากงานวจิ ัยสมนุ ไพรไทย 10 ชนิด กระชายดา กวาวเครอื ขาว ขม้ินชนั ขิง บวั บก พรกิ ไทย ไพล ฟ้าทะลายโจร มะขามปอ้ ม มะระข้ีนก. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัท 21 เซน็ จรู ี จากดั . วไิ ล รงั สาดทอง. (2556). เทคโนโลยกี ารแปรรปู อาหาร. กรงุ เทพมหานคร : บริษัท เท็กซ์ แอนด์ เจอร์นลั พบั ลเิ คชั่น จากัด. ศนู ยส์ ารสนเทศการวิจยั (ศสจ.). (2556). “ขงิ สมุนไพรไทย” ค้นคนื วนั ที่ 1 ม.ค. 2555. จาก http://ridcnrct.blogspot.com/2013/05/blog-post_9.html. สุวรรณา สุภิมารส. 2543. เทคโนโลยกี ารผลิตลูกกวาดและชอ็ คโกแลต. กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลยั . สานักงานเกษตรอาเภอทับปุด. (2555). “กลุ่มแมบ่ ้านเกษตรกรบ้านเขาตาหนอน”คน้ คืนวนั ที่ 2 ม.ค. 2555. จาก http://thapput.phangnga.doae.go.th/กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านเขาตาหนอน.pdf. สานักงานขอ้ มูลสมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล. (2555). “ขิง”คน้ คนื วันท่ี 12 พฤษภาคม 2555. จาก http://medplant.mahidol.ac.th/pubhealth/zinoff.html .

64 สานกั งานโครงการอนรุ กั ษ์พนั ธกุ รรมพืชอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดาริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมาร.ี (2556). “สรรพคณุ สมนุ ไพรกลมุ่ ยาแกอ้ าเจยี น”ค้นคนื วันที่ 12 ม.ค. 2556. จาก http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_11_1.htm สานกั งานมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อตุ สาหกรรม (2547). มาตรฐานผลติ ภณั ฑช์ มุ ชน ลกู อมและทอฟฟ.ี กระทรวงอุตสาหกรรม. Jay M. James, Martin J. Loessner and David Allen Golden. 2005. Modern food microbiology. Spinger science business media Inc.

65 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 สิง่ แวดลอ้ ม พลังงาน และมลพษิ (12 ชวั่ โมง) 4.1 ความหมาย ประเภท ความสาคญั ของสิ่งแวดลอ้ ม และวกิ ฤตสิ ่ิงแวดลอ้ ม ผสู้ อนไดร้ วบรวมความหมาย และประเภทของสง่ิ แวดลอ้ มจากเอกสาร ตาราต่างๆ โดยเสนอ ดังนี้ ส่ิงแวดล้อม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ท้ังท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมท้ังท่ีเป็น รปู ธรรม (สามารถจบั ต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม(ตัวอย่างเช่นวฒั นธรรมแบบแผน ประเพณี ความเชอื่ ) มอี ิทธิพลเก่ยี วโยงถึงกัน เปน็ ปจั จัยในการเกื้อหนุนซ่ึงกนั และกนั ผลกระทบจากปจั จัยหนง่ึ จะมีส่วนเสริมสร้าง หรือทาลายอีกส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ส่ิงแวดล้อมเป็นวงจร และวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปท้ังระบบ สิ่งแวดล้อมแบ่งออกเปน็ ลกั ษณะกว้าง ๆ ได้ 2 สว่ นคือ ส่ิงแวดลอ้ มที่เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เชน่ ปา่ ไม้ ภูเขา ดิน น้า อากาศ ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นเช่น ชุมชนเมือง สิ่งก่อสร้างโบราณสถาน ศิลปกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม หมายถึง ส่ิงท่ีอยู่รอบตัวมนุษย์ ทั้งท่ีมีชีวิตและไม่มีชีวิต ท้ังที่เป็นรูปธรรม (จับต้อง มองเหน็ ได)้ และนามธรรม (วฒั นธรรม แบบแผน ประเพณี ความเชือ่ ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยใน การเก้อื หนนุ กัน ผลกระทบจากปัจจัยหน่ึงจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทาลาย อีกส่วนหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งิ แวดล้อมเป็นวงจรและเป็นวัฏจักรท่ี เก่ียวข้องกันไปท้ังระบบ นอกจากน้ีพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษา คุณภาพสิง่ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ไดใ้ ห้ความหมายของ \"ส่ิงแวดล้อม\" ไว้ว่า สิ่งแวดล้อม หมายถึงส่ิง ต่างๆ ท่ีมีลกั ษณะทางกายภาพและชีวภาพท่อี ยู่รอบตวั มนุษย์ซึง่ เกดิ ข้ึนโดยธรรมชาตแิ ละส่ิงทีม่ นษุ ย์ได้ทาขนึ้ โดยสรุปแล้ว ส่ิงแวดลอ้ ม หมายถึงทุกส่งิ ทุกอยา่ งท่ีอยู่ลอ้ มรอบตัวมนษุ ย์ มีทงั้ สิง่ ที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มี ชวี ิต ทงั้ สิ่งทีเ่ ป็นรูปธรรมและส่งิ ทเ่ี ปน็ นามธรรม มีทั้งส่งิ ทเ่ี กดิ ข้นึ เองตามธรรมชาติและส่ิงท่ีมนุษย์สร้างข้ึนมี อทิ ธิพลเกี่ยวโยงถงึ กัน เปน็ ปัจจยั ในการเก้อื กูลซงึ่ กนั และกัน ผลกระทบจากปัจจัยหน่ึงมีส่วนเสริมสร้างหรือ ทาลายปัจจยั อื่นอยา่ งหลกี เลีย่ งมไิ ด้ เปน็ วงจรหรือวฏั จักรทเ่ี กยี่ วเนอ่ื งกันท้งั ระบบ ประเภทของส่ิงแวดล้อม จากความหมายของสง่ิ แวดล้อมทีก่ ลา่ วไว้ข้างต้น เราสามารถจาแนกประเภทของส่ิงแวดล้อมได้เป็น 2 ประเภท โดยพิจารณาจากแหล่งกาเนิดของส่ิงแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ 1 สิ่งแวดล้อมท่ีเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ (natural environment) สิ่งแวดล้อมประเภทน้ี ย่อม หมายถึงทุกสิง่ ทุกอย่างท่ีอยูร่ อบตวั มนุษย์และเป็นสิ่งทเ่ี กิดข้นึ เองตามธรรมชาติ ส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นน้ั ย่อมมลี กั ษณะท่ีแตกตา่ งกนั ออกไป ทีก่ ล่าวกันวา่ เปน็ ความหลากหลายในธรรมชาติ บางชนิดใช้เวลาในการ เกิดยาวนานมาก บางชนิดใช้ระยะเวลาส้ันๆ ในการเกิด ส่ิงแวดล้อมชนิดหนึ่งๆ ย่อมมีความสัมพันธ์กับ สิ่งแวดลอ้ มชนิดอืน่ ๆ ถ้ามกี ารทาลายสง่ิ แวดล้อมหนึ่งยอ่ มมผี ลถึงสง่ิ แวดล้อมอื่น สงิ่ แวดลอ้ มทเ่ี กิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ สามารถแบง่ ยอ่ ยออกเปน็ 2 ลักษณะ โดยพจิ ารณาจากการมชี วี ิต หรอื ไมม่ ีชีวิต

66 1.1 สง่ิ แวดลอ้ มท่ีมชี วี ิต (biotic environment) เปน็ ส่ิงแวดล้อมท่ีใช้ระยะเวลาส้ันๆ ในการเกิด เป็น สงิ่ แวดล้อมทส่ี ามารถเพิม่ จานวนขึน้ มาทดแทนใหมไ่ ด้ แต่เป็นสิ่งแวดลอ้ มที่สูญส้นิ ไปได้ หากมนุษย์เราทาให้ ธรรมชาตเิ สียสมดุล ไดแ้ กป่ ่าไม้ สัตว์ป่า ท่งุ หญ้า สัตว์น้า เป็นตน้ 1.2 สงิ่ แวดล้อมท่ไี ม่มีชีวิต (abiotic environment) เป็นส่งิ แวดลอ้ มทีธ่ รรมชาตสิ ร้างข้นึ มา บางชนิด ใช้ระยะเวลาในการเกิดยาวนานมาก นานจนมนุษย์ไม่สามารถรอใช้ประโยชน์ได้ และสามารถสูญสิ้นไปได้ หากมนษุ ย์ใช้อยา่ งไม่ระมดั ระวัง ได้แก่ แรธ่ าตุ แร่เช้อื เพลงิ บางชนิดเป็นสิ่งแวดล้อมท่ีปรากฏให้มนุษย์ได้เห็น ได้รู้สึก ได้สัมผัส อย่างมากมายเหลือเฟือ ไม่มีวันสูญสิ้นไปจากโลก ได้แก่ ดิน หิน น้า อากาศ ความร้อน แสงสวา่ ง เสยี ง เปน็ ต้น 2 ส่ิงแวดลอ้ มที่มนุษย์สร้างข้นึ (man-made environment) สง่ิ แวดล้อมประเภทนี้มนุษย์อาจสร้าง ขึน้ โดยตั้งใจหรอื ไมต่ งั้ ใจกไ็ ด้ มที ง้ั สิ่งที่มองเหน็ ได้ จับต้องได้ และสง่ิ ทไี่ มส่ ามารถมองเหน็ ได้หรือไม่สามารถจับ ต้องได้ เปน็ สงิ่ แวดล้อมที่มนุษย์สรา้ งขึน้ เพอื่ สนองความตอ้ งการของตนเองหรอื อาจสรา้ งขน้ึ ดว้ ยเหตจุ าเป็นบาง ประการ ส่งิ แวดล้อมที่มนษุ ยส์ รา้ งข้ึนมที ั้งส่งิ ทด่ี ีทจ่ี ะชว่ ยใหม้ นุษยส์ ามารถดารงชวี ิตอยู่ไดอ้ ย่างสุขสบาย ทาให้ มนุษย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน และส่ิงท่ีไม่ดีที่จะทาให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เลวลง ทาให้มนุษย์ได้รับค วาม เดอื ดร้อน ต้องสญู เสยี ชวี ติ หรือสว่ นใดส่วนหนงึ่ ของร่างกาย สขุ ภาพจิตเสอ่ื มโทรมลง สิ่งแวดล้อมท่มี นษุ ย์สรา้ ง ขนึ้ นัน้ สามารถแบง่ ยอ่ ยออกเปน็ 2 ลกั ษณะ โดยพิจารณาจากความเปน็ รปู ธรรมหรอื นามธรรมของสิ่งนัน้ ๆ 2.1 สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (physical environment) เป็นสิ่งแวดล้อมท่ีมองเห็นได้ จับต้องได้ เป็นสงิ่ ที่มนษุ ยส์ ร้างขึ้นเพือ่ อานวยความสะดวกในการมีชีวิตอยู่ บางสิ่งท่ีมนุษย์สร้างก็เป็นไปเพื่อสนองความ ตอ้ งการขน้ั พื้นฐานของการดารงชวี ิต ได้แก่ ปจั จยั สี่ อันหมายถึง อาหาร ท่อี ยูอ่ าศัย เครื่องนงุ่ หม่ และยารักษา โรค แตบ่ างส่ิงก็สรา้ งเพ่ือสนองความต้องการอันไร้ขอบเขตของตนเอง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสร้างท่ีเกินความ จาเปน็ อันจะนาความเสียหายมาสูส่ ่งิ แวดล้อมและชีวิตมนษุ ยเ์ องได้เมือ่ ถงึ ระดบั หน่งึ สงิ่ แวดลอ้ มทีม่ นุษย์สรา้ ง ข้ึนมีท้ังส่ิงท่ีดี มีคุณประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ เช่น บ้านเรือน เสื้อผ้า รถยนต์ ถนน เคร่ืองมือทางการแพทย์ โทรศัพท์ เปน็ ต้น และสง่ิ ที่ไม่ดี ทาใหค้ ณุ ภาพชีวติ เลวลง เช่น น้าเน่าเสีย สารพิษท่ีใช้ในการเกษตร สารพิษท่ี ปล่อยจากโรงงานอุตสาหกรรม เปน็ ต้น 2.2 สิ่งแวดล้อมทางสังคม (social environment) เป็นส่ิงแวดล้อมท่ีมีลักษณะเป็นนามธรรม มนุษยส์ ร้างข้ึนเพอ่ื ความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่นกฎหมาย ประเพณี ระเบียบ ข้อบงั คับ เป็นตน้ บางสง่ิ อาจสร้างขนึ้ เพ่ือเปน็ เครื่องยดึ เหน่ียวทางจิตใจ เช่น ศาสนา ความเชื่อ พิธีกรรม เป็น ตน้ บางส่ิงอาจสร้างขึ้นเพื่อส่งเสริมความเจริญให้เกิดข้ึนแก่หมู่มวลมนุษย์ เช่น การศึกษา การวิจัย เป็นต้น บางส่ิงสร้างขึ้นโดยพฤติกรรม การแสดงออกท้ังในลักษณะที่ต้ังใจและไม่ต้ังใจ เช่น การทะเลาะวิวาท การ ช่วยเหลือผูอ้ ่นื ที่ไดร้ บั ความเดอื ดรอ้ น การติดยาหรอื สารเสพติด เป็นต้น

67 สิ่งแวดล้อมย่อมมีสมบัติเฉพาะตัว การแสดงสมบัติของสิ่งแวดล้อม ต้องเป็นการแสดงออกของ บทบาท/หน้าท่ีของสิง่ แวดล้อมน้นั การเข้าใจสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งแวดล้อม เป็นส่ิงสาคัญในการที่จะทาให้ ส่ิงแวดล้อมย่ังยืน ดังนั้นการทาความเข้าใจเร่ืองสมบัติของส่ิงแวดล้อมจึงเป็นเร่ืองจาเป็น ดังรายละเอียด ต่อไปน้ี 1. ส่ิงแวดล้อมแต่ละชนิดจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สิ่งแวดล้อมจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้าน โครงสร้างหรอื องคป์ ระกอบ เชน่ รูปทรง ขนาด สี หรือกระบวนการทสี่ ร้างส่ิงแวดล้อมนั้น เอกลักษณ์ท่ีแสดง ออกมาน้ัน สามารถบ่งบอกได้ว่าส่ิงแวดล้อมนั้นเป็นอะไร เช่นป่าชายเลน ป่าสน ป่าดงดิบ ภูเขา บ้านเรือน โรงงานอตุ สาหกรรม ประเพณี ศาสนา พ้ืนทเี่ พาะปลกู เปน็ ต้น 2. สิ่งแวดล้อมนนั้ จะไมอ่ ย่โู ดดเดยี่ วในธรรมชาติ โดยธรรมชาตแิ ลว้ จะไมม่ สี ิ่งแวดล้อมใดอยู่อย่างโดด เด่ยี ว แต่จะมสี ิ่งแวดลอ้ มอ่ืนอยู่ด้วยเสมอ เชน่ สตั ว์น้ากับทะเล มนุษยก์ บั บา้ นเรอื น สัตว์ป่ากับป่าเบญจพรรณ สตั วน์ ้าวัยอ่อนกบั ปา่ ชายเลน ถนนกบั รถยนต์ เป็นตน้ 3. ส่งิ แวดลอ้ มทง้ั หลายมักมคี วามเก่ยี วเนื่องและมคี วามสมั พนั ธต์ ่อกนั เนอ่ื งจากสิ่งแวดล้อมไม่อยู่โดด เด่ียว จึงต้องมีความเกี่ยวเนื่องและมีความสัมพันธ์ต่อกัน เช่นป่าไม้ต้องการธาตุอาหารในดินเพื่ อการ เจรญิ เติบโต สตั ว์ปา่ ตอ้ งการป่าไมเ้ ปน็ ท่ีอยอู่ าศัยและแหล่งหากิน มนุษย์ต้องการน้าไว้เพื่อการใช้สอยและด่ืม กิน การเปล่ยี นแปลงสิ่งแวดล้อมหน่ึง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยหรือเป็นการเปล่ียนแปลง อย่างมาก ยอ่ มจะส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นการตัดไม้ทาลายป่าของมนุษย์ ย่อมส่งผลกระทบถึงความอดุ มสมบูรณ์ของแหล่งนา้ การท้งิ ขยะและสง่ิ ปฏิกูลลงแหลง่ นา้ ยอ่ มสง่ ผลกระทบถงึ คุณภาพของนา้ เป็นต้น 4. สิง่ แวดลอ้ มแต่ละชนิดจะมคี วามทนทานและความเปราะบางต่อการถูกกระทาในระดับที่แตกต่าง กัน ปัจจัยท่ีควบคุมความทนทานหรือความเปราะบางของส่ิงแวดล้อม ได้แก่ คุณลักษณะเฉพาะตัว แหล่งกาเนิด ขนาด รูปทรง สี อายุ ความสามารถในการป้องกันตนเอง ฯลฯ ปัจจัยควบคุมเหล่านี้ทาให้ ส่ิงแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงได้ยากง่ายแตกต่างกันออกไป สิ่งแวดล้อมท่ีมีความทนทานสูงย่อมมีการ

68 เปล่ียนแปลงหรอื ถูกทาลายได้ยาก สงิ่ แวดลอ้ มทมี่ คี วามเปราะบางย่อมมกี ารเปล่ยี นแปลงหรือถกู ทาลายไดง้ า่ ย เช่นสัตว์บางชนิดมีลักษณะที่สวยงาม มีความสามารถในการปอ้ งกันตัวเองน้อย และอาศยั อยใู่ นบรเิ วณที่งา่ ยแก่ การล่า ก็อาจสญู พนั ธ์ไุ ด้งา่ ย จึงเปน็ เร่ืองท่มี นษุ ยต์ ้องระมดั ระวังและพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบก่อนที่กระทาการ ใดๆ มฉิ ะนน้ั โลกของเราอาจจะต้องสูญเสยี หลายสง่ิ หลายอย่างไปอยา่ งนา่ เสียดาย 5. ส่ิงแวดล้อมแต่ละชนิดจะมีการเปล่ียนแปลงได้ ทั้งในด้านปริมาณและคุณลักษณะ สิ่งแวดล้อม โดยท่ัวไปจะมกี ารเปล่ยี นแปลงอยูต่ ลอดเวลา ท้ังในดา้ นปริมาณและคุณลกั ษณะ ซ่ึงการเปล่ียนแปลงน้ันอาจ เกดิ ขนึ้ อยา่ งชา้ ๆ หรืออย่างรวดเร็วกไ็ ด้ อาจเปน็ การเปล่ยี นแปลงไปตามธรรมชาตขิ องส่งิ แวดล้อมนั้น หรอื เปน็ การเปล่ยี นแปลงท่ีเกิดขึน้ เนอ่ื งจากส่งิ แวดลอ้ มอ่ืนๆ เชน่ มนุษย์ สัตว์ และพชื ย่อมเจรญิ เติบโต และขยายพันธุ์ ไปตามธรรมชาติ น้าและอากาศอาจมีสภาพเส่ือมโทรมลงจากการกระทาของมนุษย์ สัตว์ป่าเหลือน้อยลง เนือ่ งจากปา่ ไมถ้ ูกทาลาย บ้านเรือนพงั ทลายเพราะพายทุ ่พี ดั ผ่านอย่างรุนแรง ความสาคัญของสิง่ แวดลอ้ ม สง่ิ แวดลอ้ มเป็นปัจจัยพื้นฐานสาคัญของการดารงชีวิตของมนุษย์และส่ิงมีชีวิตท้ังหลายมีอิทธิพลต่อ พฤตกิ รรมการดาเนินชวี ิตของมนษุ ยท์ ี่อาศัยอยู่ในภูมภิ าคตา่ งๆ ความสาคัญของสง่ิ แวดล้อมโดยรวมมดี ังน้ี 1. ส่งิ แวดลอ้ มทางกายภาพ มคี วามสาคัญต่อส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ในส่ิงแวดล้อมนั้นเช่นน้าใช้เพื่อการ บรโิ ภคและเปน็ ทอี่ ย่อู าศัยของสตั ว์นา้ อากาศใชเ้ พื่อการหายใจของมนุษยแ์ ละสตั ว์ ดนิ เป็นแหล่งทอี่ ยู่อาศัยของ ส่ิงมชี วี ิตบนบกแสงแดดให้ความร้อนและช่วยในการสังเคราะหแ์ สงของพืช 2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ จะช่วยปรับให้ส่ิงมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เช่น มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ ช่วยให้ปลาอาศัยอยู่ในน้าที่ลึกมากๆได้ ช่วยให้ต้นกระบองเพชร ดารงชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้ 3. ส่ิงแวดลอ้ มจะเปล่ยี นแปลงไปตามการกระทาของสง่ิ มชี ีวิตท่อี ยู่ในสิ่งแวดลอ้ มน้ัน เชน่ เมอื่ สัตว์กิน พืชมจี านวนมากเกินไปพชื จะลดจานวนลง อาหารและท่ีอยูอ่ าศัยจะขาดแคลนเกิดการแก่งแย่งกันสูงข้ึนทาให้ สตั วบ์ างส่วนตายหรือลดจานวนลงระบบนเิ วศกจ็ ะกลบั เข้าส่ภู าวะสมดุลอกี ครง้ั หน่ึง 4. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ในส่ิงแวดล้อมในแง่ของการถ่ายทอดพลังงานระหว่าง ผ้ผู ลติ ผูบ้ ริโภค ผ้ยู อ่ ยสลาย ในแงข่ องการอย่รู ่วมกนั เกอ้ื กลู กันหรือเบียดเบียนกนั 5. เป็นปจั จัย 4 ในการดารงชีวติ ได้แก่ เปน็ แหล่งอาหาร เป็นที่กาเนดิ เคร่อื งนุ่งห่ม เป็นวัสดุอุปกรณ์ ในการสร้างท่อี ย่อู าศัย เปน็ แหล่งกาเนดิ ยารกั ษาโรค 6. เป็นปัจจัยในการกาหนดพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตเป็นปัจจัยในการกาหนดระบบของสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ อาชีพ วิถีชีวิตของมนุษย์ ซึ่งก็ส่งผลมาจากสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันการแสดงออกใน รูปแบบทต่ี ่างกันด้วย 7. สง่ิ แวดลอ้ ม จะกาหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ในส่ิงแวดล้อม ในแง่ของการ ถา่ ยทอดพลังงานระหวา่ งผผู้ ลติ ผู้บรโิ ภค ผยู้ อ่ ยสลาย ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกัน หรือเบียดเบียนกัน มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมได้มากมาย ในลักษณะท่ีแตกต่างไปจากส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ใช้ ประโยชนจ์ ากดินเพ่อื การเพาะปลกู ใชป้ ระโยชน์จากทุ่งหญา้ เพ่ือการเลีย้ งสตั ว์ ใช้ประโยชน์จากเหมืองแร่เพื่อ การอตุ สาหกรรม

69 8. ส่ิงแวดลอ้ มจะเปลย่ี นแปลงไปตามการกระทาของสงิ่ มชี วี ติ ที่อยูใ่ นสิ่งแวดลอ้ มนัน้ เช่น เม่ือสัตว์กนิ พชื มีจานวนมากเกินไปพชื จะลดจานวนลง อาหารและท่ีอยอู่ าศัยจะขาดแคลน เกดิ การแกง่ แยง่ กันสงู ขึน้ ทาให้ สัตว์บางส่วนตายหรือลดจานวนลงระบบนเิ วศกจ็ ะกลบั เข้าสภู่ าวะสมดลุ อีกครงั้ หน่ึง นอกจากนผ้ี ูส้ อนยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ความสาคัญของสง่ิ แวดล้อมประเภทตา่ งๆ ดงั นี้ ความสาคัญของน้า นา้ เปน็ แหลง่ กาเนดิ ชีวิตของสัตวแ์ ละพชื คนเรามีชวี ติ อยู่ โดยขาดน้าได้ไมเ่ กนิ 3 วันและน้ายังมคี วาม จาเป็นทัง้ ในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมซง่ึ มีความสาคัญอยา่ งยง่ิ ในการพฒั นาประเทศ ประโยชนข์ องนา้ ได้แก่ 1. นา้ เป็นสง่ิ จาเปน็ ทเี่ ราใช้สาหรบั การด่มื กนิ การประกอบอาหาร ชาระร่างกาย ฯลฯ 2. น้ามีความจาเป็นสาหรับการเพาะปลกู เลี้ยงสตั ว์แหลง่ น้าเป็นท่อี ยูอ่ าศยั ของปลาและสตั วน์ า้ อน่ื ๆซงึ่ คนเราใชเ้ ป็นอาหาร 3. ในการอตุ สาหกรรมตอ้ งใช้นา้ ในขบวนการผลติ ใชล้ ้างของเสยี ใชห้ ลอ่ เคร่ืองจักรและระบายความ ร้อน ฯ 4. การทานาเกลือโดยการระเหยนา้ เค็มจากทะเล 5. นา้ เป็นแหล่งพลงั งาน พลงั งานจากน้าใชท้ าระหดั ทาเข่อื นผลติ กระแสไฟฟา้ ได้ 6. แม่น้า ลาคลอง ทะเล มหาสมุทรเปน็ เส้นทางคมนาคมขนสง่ ทสี่ าคญั 7. ทัศนยี ภาพของรมิ ฝ่ังทะเลและนา้ ทใี่ สสะอาดเปน็ แหล่งทอ่ งเทย่ี วของมนษุ ย์ ความสาคญั ของดิน ดนิ มีประโยชนม์ ากมายมหาศาลตอ่ มนษุ ย์และส่ิงมีชีวติ อนื่ ๆ คอื 1. ประโยชนต์ ่อการเกษตรกรรม เพราะดินเป็นต้นกาเนิดของการเกษตรกรรมเป็นแหลง่ ผลติ อาหาร ของมนุษย์ ในดนิ จะมอี ินทรีวัตถุ และธาตอุ าหารรวมทงั้ น้าทจี่ าเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื อาหารท่ีคนเรา บรโิ ภคในทุกวนั น้มี าจากการเกษตรกรรมถงึ 90% 2. การเล้ียงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญา้ ท่ขี ึ้นอยู่ 3. เปน็ แหล่งทอ่ี ย่อู าศัย เปน็ ทตี่ งั้ ของเมือง บ้านเรือน ทาใหเ้ กิดวัฒนธรรมและอารยธรรมของชมุ ชน ตา่ ง ๆ มากมาย สัตว์บางชนิด เช่น งู แมลง นาก ฯลฯ 4. เปน็ แหล่งเก็บกักน้าเน้อื ดนิ จะมสี ่วนประกอบสาคญั ๆ คือสว่ นทเ่ี ปน็ ของแขง็ ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนทีเ่ ป็นของเหลว คอื นา้ ซงึ่ อยู่ในรูปของความชืน้ ในดนิ ซ่งึ ถา้ มอี ยู่มาก ๆ กจ็ ะกลายเปน็ นา้ ซมึ อยคู่ อื น้าใต้ดนิ นา้ เหล่านจ้ี ะค่อย ๆ ซมึ ลงท่ีต่า เช่น แมน่ า้ ลาคลองทาใหเ้ รามนี า้ ใชไ้ ด้ตลอดปี ความสาคญั ของพชื และปา่ ไม้ พืชมปี ระโยชน์มากมายต่อการดารงชีวิตของมนุษยท์ ั้งทางตรงและทางออ้ ม ได้แก่ ประโยชน์ทางตรง (Direct Benefits) ได้แก่ ปจั จัย 4 ประการ 1. จากการนาไมม้ าสรา้ งอาคารบ้านเรือนและผลติ ภณั ฑต์ ่างๆ เช่น เฟอร์นเิ จอร์ กระดาษ ฟืน ไม้ขีดไฟ เปน็ ตน้ 2. ใชเ้ ปน็ อาหารจากส่วนต่าง ๆ ของพืชและผล 3. ใช้เสน้ ใย ทไี่ ด้จากเปลอื กไม้และเถาวัลย์มาถกั ทอ เปน็ เครอื่ งน่งุ ห่ม เชือกและอน่ื ๆ

70 4. ใชท้ ายารกั ษาโรคต่าง ๆ ประโยชน์ทางออ้ ม (Indirect Benefits) 1. ปา่ ไมเ้ ปน็ เปน็ แหล่งกาเนดิ ตน้ นา้ ลาธาร 2. ปา่ ไมท้ าให้เกิดความชุ่มชนื้ และควบคมุ สภาวะอากาศ ทาให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล และ ไม่เกิด ความแหง้ แลง้ 3. ป่าไม้เปน็ แหลง่ พักผอ่ นและศกึ ษาความรู้ เพราะเป็นที่รวมของพนั ธ์ุพืชและพันธส์ุ ตั ว์ 4. ปา่ ไม้ชว่ ยบรรเทาความรนุ แรงของลมพายุและป้องกนั อทุ กภยั 5. ป่าไมช้ ว่ ยปอ้ งกันการกดั เซาะและพัดพาหน้าดนิ จากนา้ ฝนและลมพายุ ความสาคัญของสตั วป์ า่ สัตว์ป่าอานวยประโยชน์ส่วนใหญ่เปน็ ไปในทางอ้อมมากกว่าทางตรง ตัวอย่างคุณค่าของสัตว์ป่าเป็น ตน้ วา่ 1. ดา้ นเศรษฐกิจ ได้แก่ การค้าสัตวป์ า่ หรอื ซากของสัตว์ป่า การท่องเทยี่ ว ฯลฯ 2. เป็นอาหาร เช่น หมูป่า เก้ง กวาง ตะกวด แย้ เป็นต้น เคร่ืองยาสมุนไพรเช่น นอแรด กะโหลก เลียงผา เขากวางออ่ น เลือดและ กระเพาะคา่ ง ดขี องหมี ดงี ูเหา่ 3. เคร่อื งใชเ้ คร่ืองประดับ เชน่ หนงั ใชท้ ากระเป๋า รองเท้า เครื่องนุ่งห่ม งาช้าง กระดูก เขาสัตว์ใช้ทา ด้ามมีด ดา้ มเครอื่ งมือ หรือแกะสลักตา่ ง ๆ เป็นตน้ 4. การนนั ทนาการและด้านจติ ใจ การท่องเทีย่ วชมสตั วป์ ่าในสวนสตั ว์ อทุ ยานแหง่ ชาติ เขตรกั ษาพันธุ์ สตั ว์ป่า และแหลง่ สตั วป์ ่าอืน่ ๆ 5. ด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษา และการแพทย์ ด้านการค้นคว้าทดลองต่าง ๆ เช่น ทดลองกับหนู กระแต ลิง จากนนั้ จึงนาไปใชก้ ับคน 6. เป็นตัวควบคมุ สง่ิ มีชวี ติ อน่ื ๆ เช่น ค้างคาวกินแมลง นกฮูก และงสู งิ ห์กินหนตู า่ ง ๆ นกกนิ ตวั หนอน ที่ทาลายพืชเศรษฐกจิ เปน็ ตน้ 7. ความสัมพันธ์ ระหว่างทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เป็นต้นว่าป่าไม้ทาให้สัตว์ป่ามีท่ีอยู่อาศัย เปน็ อาหารและเป็นทห่ี ลบภยั ป่าไม้ทาให้ดนิ อดุ มสมบูรณ์ ป้องกนั การกดั เซาะของนา้ ลม ป่าไม้ช่วยทาให้มีน้า ไหลตลอดปี นา้ ใสสะอาดปราศจากตะกอน ป่าไม้ช่วยทาใหฝ้ นตก บรรเทากระแสลมพายุ ปา่ ไม้ทาให้อากาศไม่ รอ้ นไมห่ นาว ป่าไมเ้ ป็นแหลง่ สะสมแรธ่ าตแุ ละปา่ ไมท้ าให้มนษุ ยไ์ ดใ้ ช้สอยเป็นประโยชน์ ความสาคญั ของอากาศ 1. มกี ๊าซบางชนดิ ทจ่ี าเป็นต่อการมีชวี ติ ของมนษุ ย์ สตั วแ์ ละพชื 2. มีอทิ ธพิ ลตอ่ การเกิด ปรมิ าณ และคุณภาพของทรพั ยากรอืน่ เชน่ ป่าไม้ และแร่ธาตุ 3. ชว่ ยปรับอุณหภูมขิ องโลก ไอน้า และคารบ์ อนไดออกไซดซ์ ่งึ จะช่วยปอ้ งกนั การสญู เสียความรอ้ น จากพน้ื ดิน 4. ทาใหเ้ กดิ ลมและฝน 5. มีผลต่อการดารงชีวิต สภาพจิตใจ และร่างกายของมนุษย์ ถ้าสภาพอากาศไม่เหมาะสม เช่น แห้งแล้งหรือหนาวเยน็ เกินไปคนจะอยอู่ าศยั ดว้ ยความยากลาบาก 6. ชว่ ยป้องกนั อันตรายจากรงั สขี องดวงอาทิตย์ โดยกา๊ ซโอโซนในบรรยากาศจะกรองหรือดูดซับรังสี อัลตราไวโอเลต ซึ่งทาใหผ้ ิวไหม้เกรยี ม เปน็ โรคมะเร็งผิวหนัง และโรคต้อกระจก

71 7. ช่วยเผาไหม้ วตั ถุที่ตกมาจากฟา้ หรอื อุกกาบาต ให้กลายเป็นอนุภาคเล็กๆ จนไม่เป็นอันตรายต่อ มนษุ ยแ์ ละทรพั ย์สนิ 8. ทาใหท้ ้องฟา้ มสี สี วยงาม โดยอนภุ าคของสิง่ อ่นื ที่ปน อย่กู ับก๊าซในบรรยากาศจะทาให้แสงหกั เห เรา จึงมองเห็นท้องฟ้ามีแสงสีท่ีงดงามแทนท่ีจะเห็นเป็นสีดามืด นอกจากน้ี ก๊าซโอโซนซ่ึงมีสีน้าเงินยังช่วยให้ มองเห็นทอ้ งฟ้าเป็นสคี รามหรอื สีฟา้ สดใสอีกดว้ ย 4.2 พลงั งานและวิกฤตพิ ลงั งาน พลังงาน คือ ความสามารถท่ีจะทางานได้ ความสามารถดังกล่าวน้ีเป็นความสามารถของวัตถุใดมี พลังงานวัตถุนน้ั ก็สามารถทางานได้และคาว่างานในท่ีนี้เป็นผลของการกระทาของแรง ซึ่งทาให้วัตถุเคลือ่ นท่ีไป ในแนวของแรงสิง่ ใดก็ตามทสี่ ามารถทาใหว้ ัตถเุ ปลยี่ นตาแหน่งหรอื เคลอ่ื นที่ไปจากทเี่ ดิมได้สงิ่ นั้นยอ่ มมพี ลังงาน อยู่ภายใน พลังงาน คือ ความสามารถที่จะทางานได้โดยอาศัยแรงงานที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติโดยตรง และที่ มนษุ ยใ์ ช้ความรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีดดั แปลงใช้จากพลงั งานตามธรรมชาติ ตามคานิยามของนกั วิทยาศาสตร์ พลงั งาน (Energy) คือ ความสามารถในการทางาน (Ability to do work) โดยการทางานนีอ้ าจจะอยใู่ นรูปของการเคลอ่ื นทห่ี รือเปล่ยี นรปู ของวตั ถุกไ็ ด้ จากความหมายข้างตน้ สามารถสรุปได้วา่ พลงั งาน คือ ความสามารถของส่ิงใดสิ่งหน่ึงที่จะทางานได้ ซึ่งงานเป็นผลจากการกระทาของแรงเป็นเหตุให้ส่ิงน้ันเคล่ือนท่ีซ่ึงคุณสมบัติโดยทั่วไปของพลังงานมีอยู่ 2 ประการ คอื ทางานได้และเปลย่ี นรูปได้ ประเภทของพลงั งาน เนื่องจากความหลากหลายของพลงั งานท่มี ีอย่เู ปน็ สว่ นหนง่ึ ที่ ทาใหผ้ ศู้ กึ ษาอาจเกิดความเข้าใจสับสนจงึ ได้ มีนักวิชาการพยายามท่ีจะจาแนกอธบิ ายพลงั งานเพอ่ื ใหง้ า่ ยต่อการศกึ ษามากยิง่ ข้นึ พลังงานสามารถจาแนกได้ ดงั นี้ 1. จาแนกตามแหลง่ ที่ได้มา แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คอื 1. พลงั งานตน้ กาเนิด (Primary energy) หมายถึง แหล่งพลังงานท่ีเกิดข้นึ หรอื มอี ย่แู ล้วตามธรรมชาติ สามารถนามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้โดยตรง ไดแ้ ก่ น้า แสงแดด ลม เช้ือเพลิงตามธรรมชาติ เช่น น้ามันดิบ ถา่ นหิน กา๊ ซธรรมชาติ พลังงานความร้อนใต้พิภพ แร่นิวเคลียร์ ไมฟ้ นื แกลบ ชานอ้อย เปน็ ตน้ 2. พลงั งานแปรรูป (Secondary energy) หมายถึง สภาวะของพลังงานซ่ึงได้มาโดยการนาพลังงาน ตน้ กาเนิดดงั กลา่ วแล้วขา้ งต้นมาแปรรูป ปรับปรงุ ปรงุ แตง่ ให้อยใู่ นรปู ที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ใน ลักษณะต่าง ๆ กันได้ตามความต้องการ เช่น พลังงานไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ถ่านไม้ ก๊าซ ปโิ ตรเลียมเหลว เป็นตน้ 2. จาแนกตามแหล่งทีน่ ามาใช้ประโยชน์ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. พลังงานหมนุ เวยี น (Renewable energy resources) เป็นแหลง่ พลงั งานทีใ่ ช้แล้วหมุนเวียนมาให้ ใชเ้ ป็นประจา เช่น น้า แสงแดด ลม เปน็ ต้น 2. พลังงานที่ใช้หมดเปลือง (Non - renewable energy resources) ได้แก่ น้ามัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหนิ เป็นต้น 3. จาแนกตามลักษณะการผลติ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภทคอื

72 1. พลังงานตามแบบ (Conventional energy) เปน็ พลงั งานท่ีใชก้ ันอยู่ทั่วไป มีลักษณะการผลิตเป็น ระบบศูนย์กลางขนาดใหญ่ใช้เทคโนโลยีที่พัฒนามาจนเกือบอ่ิมตัวแล้ว เช่น พลังงานน้าขนาดใหญ่ น้ามันปิโตรเลยี ม กา๊ ซธรรมชาติและถ่านหิน เปน็ ตน้ 2. พลังงานนอกแบบ (Non - conventional energy) ได้แก่ พลังงานท่ียังมีลักษณะการผลิตท่ีใช้ เทคโนโลยีใหม่ที่กาลังอยู่ในระหว่างการทาวิจัยและพัฒนา ซึ่งมีหลายชนิดที่มีความเหมาะสมทาง เทคนิคแล้ว แต่ยังตอ้ งปรบั ปรุงความเหมาะสมทางเศรษฐกจิ เช่น พลงั นา้ ขนาดเล็ก ก๊าซชีวภาพ ก๊าซ จากชวี มวล หินนา้ มนั พลังงานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ พลงั งานแสงอาทติ ยแ์ ละพลังงานลม เปน็ ต้น 4. จาแนกตามลักษณะทางการค้า แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. พลังงานทางพาณิชย์ (Commercial energy) เป็นพลังงานที่มีการซื้อขายกันในวงกว้างและ ดาเนนิ การผลติ ในลกั ษณะอุตสาหกรรม เช่น น้ามันปิโตรเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน แร่นิวเคลียร์ ไฟฟ้า เป็นตน้ 2. พลังงานนอกพาณิชย์ (Non - commercial energy) เป็นพลังงานที่มีการซื้อขายกันในวงแคบ และดาเนินการผลติ ในลักษณะกจิ กรรมในครัวเรือนใชก้ ันมากในชนบท เช่น ฟนื แกลบ ชานออ้ ย และ มูลสัตว์ เปน็ ตน้ 5. จาแนกพลังงานตามลักษณะการทางาน 1. พลังงานศักย์ (Potential Energy) เป็นพลังงานท่ีเกิดข้ึนเม่ือวัตถุถูกวางอยู่ในตาแหน่งที่สามารถ เคลือ่ นที่ได้ไม่วา่ จากแรงโนม้ ถ่วงหรอื แรงดึงดูดจากแมเ่ หลก็ เชน่ กอ้ นหินที่วางอย่บู นขอบท่สี ูง 2. พลังงานจลน์ (Kinetic Energy) เปน็ พลังงานทเ่ี กิดข้ึนเม่ือวัตถุเคลื่อนท่ี เช่น รถที่กาลังวิ่ง ธนูท่ีพุ่ง ออกจากแหล่ง จกั รยานทก่ี าลังเคลื่อนที่ เปน็ ต้น 3. พลงั งานสะสม (Stored Energy) เป็นพลังงานท่ีเก็บสะสมในวัสดุหรือส่ิงของต่างๆ เช่น พลังงาน เคมีทเ่ี ก็บสะสมไว้ในอาหาร ในก้อนถา่ นหิน นา้ มนั หรือไม้ฟืน ซ่ึงพลังงานดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ในรูป ขององค์ประกอบทางเคมีหรือของวสั ดุหรือสิง่ ของนั้น ๆ และจะถูกปล่อยออกมาเมื่อวัสดุหรือสิ่งของ ดังกลา่ วมีการเปลี่ยนรปู เช่น การเผาไม้ฟืนจะให้พลังงานความรอ้ น 6. จาแนกพลงั งานตามการใช้งาน 1. พลังงานที่ใช้แล้วหมดไป หรือที่เรียกว่าพลังงานสิ้นเปลือง หรือพลังงานฟอสซิล ได้แก่ น้ามัน รวมทั้งหินนา้ มัน ทรายน้ามัน ถา่ นหนิ และก๊าซธรรมชาติ พลงั งานประเภทนี้ใชแ้ ล้วหมด เพราะหามา ทดแทนไมท่ นั การใช้ พลงั งานพวกนีป้ กตแิ ลว้ จะอยู่ใตด้ นิ ถา้ ไม่ขุดข้ึนมาใช้ ก็เกบ็ ไว้ใหล้ ูกหลานใช้ได้ใน อนาคต บางทจี ึงเรยี กว่าพลังงานสารอง 2. พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน หรือ พลังงานทดแทน ได้แก่ ไม้ ชีวมวล น้า แสงอาทิตย์ ลม และคล่นื ทีว่ า่ ใชไ้ ม่หมดกเ็ พราะสามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทาฟืน หรอื ปลอ่ ยน้าจากเข่ือนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเล กลายเป็นไอ และเป็นฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรือ แสงอาทิตย์ที่ได้รบั จากดวงอาทติ ย์อยา่ งไม่มวี ันหมดสิ้น เปน็ ต้น แหลง่ พลังงานทใ่ี ชแ้ ลว้ หมดไป 1.1.1 พลงั งานเชอ้ื เพลิงฟอสซิล เชือ้ เพลิงฟอสซิลคือ เชือ้ เพลิงท่ีเกิดจากซากพืชซากสัตว์ที่ตายทับถมกันนับล้านปีใต้ท้องทะเลหรือ พน้ื ดินลึ เชอ้ื เพลิงฟอสซลิ ไดแ้ ก่ ถา่ นหนิ น้ามนั ดบิ และก๊าซธรรมชาติ พลังงานเคมีจะถูกสะสมในโครงสร้าง

73 อะตอมของเชอ้ื เพลงิ เหลา่ น เมื่อเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี เชน่ การเผาไหมก้ จ็ ะทาให้เกดิ พลงั งานความร้อนออกมา เชอ้ื เพลงิ ฟอสซิสทใ่ี ช้อยูท่ ่วั ไปในสภาพอณหุ ภมู ิปกติแบ่งออกเปน็ 3 ชนดิ คอื 1. เชื้อเพลิงแข็ง หมายถึง เช้ือเพลิงที่มีสถานะท่ีเป็นของแข็งท่ีอุณหภูมิปกติ และ ธาตุท่ีเป็น องค์ประกอบของเชื้อเพลิงชนิดน้ีส่วนมากจะประกอบไปด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน กามะถัน และ เถา้ เม่ือทาปฏิกิริยาทางเคมีกับออกซิเจนในอากาศแลว้ จะให้พลังงานความ ร้อนออกมา โดยปกตเิ มื่อเกดิ เผาไหม้คารบ์ อนจะไดค้ ารบ์ อนไดออกไซด์ ส่วนไฮโดรเจนเมื่อเกดิ การเผา ไหม้จะได้นา้ เชื้อเพลิงแข็งท่ีได้จากธรรมชาติได้แก่ ถ่านหิน หนิ นา้ มัน ถา่ นไม้ และถา่ นโค้ก เป็นตน้ 2. เช้ือเพลิงเหลว หมายถงึ เชื้อเพลิงทมี่ สี ถานะทเี่ ป็นของเหลวท่ีอณุ หภมู ปิ กติ เช้อื เพลงิ ประเภทน้ี ไดแ้ ก่ น้ามนั ท่ีได้จากการกล่นั ปโิ ตรเลียม น้ามนั จากพชื นา้ มนั จากสตั ว์ เปน็ ต้น เช้อื เพลิงเหลวเป็นเช้ือเพลิง ทีใ่ ชม้ ากในประเทศไทยโดยจะนิยมใชก้ ับยานพาหนะและโรงงานอตุ สาหกรรมต่าง ๆ เพราะสะดวกตอ่ การใช้งาน และ ให้ค่าทางความร้อนสูง เช้ือเพลิงเหลวที่ใช้กันส่วนมากจะได้จากการกล่ันน้ามัน ปโิ ตรเลยี ม เช่น น้ามนั เบนซิน นา้ มันกา๊ ด น้ามันดีเซล น้ามันเตา เป็นต้น สาหรับเช้ือเพลิงเหลวท่ีได้ จากพชื ผลทางการเกษตร เชน่ การผลิตไบโอดีเซล การสกดั น้ามันจากเมล็ดสบดู่ า เปน็ ต้น 3. เช้อื เพลงิ ก๊าซ หมายถงึ เชื้อเพลงิ ทม่ี สี ถานะท่ีเปน็ ก๊าซท่อี ุณหภูมปิ กติ หรอื อาจหมายถงึ กา๊ ซทกุ ชนิดที่ สามารถนามาทาปฏิกิริยากับออกซิเจนเเล้วเกิดการเผาไหม้ทาให้ได้พลังงานความร้อนที่สามารถ นาไปใช้ประโยชน์ได้ เชือ้ เพลิงประเภทน้ีจะมสี ารไฮโดรคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก เเละ ก๊าซเเต่ ละชนดิ จะใหค้ วามรอ้ นจากการเผาไหมท้ ีไ่ มเ่ ทา่ กัน เชน่ ก๊าซชีวมวล ก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซเอ็น.จี.วี. กา๊ ซเเอล.พ.ี จี. เปน็ ต้น 1.1.2 พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ิภพ พลงั งานความรอ้ นใต้พิภพ หมายถึง พลงั งานความร้อนตามธรรมชาติท่ไี ดจ้ ากแหล่งความรอ้ นท่ีถูกกัก เกบ็ อย่ภู ายใต้ผิวโลก โดยปกตอิ ุณหภูมใิ ต้ผวิ โลกจะเพิ่มขึ้นตามความลึก และเมื่อย่ิงลกึ ลงไปถงึ ภายในใจกลางของโลก จะมีแหล่งพลังงานความร้อนมหาศาลอยู่ ความร้อนที่อยู่ใต้ผิว โลกน้ีมีแรงดันสูงมาก จึงพยายามท่ีจะดันตัวออกจากผิวโลกตามรอยแตกต่างๆ แหล่งพลังงานความร้อนใต้ พิภพ มกั พบในบรเิ วณที่เรียกวา่ จุดรอ้ น (hot spots) โดยบรเิ วณน้นั จะมีค่าการเปลยี่ นแปลงของอุณหภูมิตาม ความลึก มบี ริเวณทม่ี กี ารไหล หรอื แผ่กระจาย ของความร้อน จากภายใต้ผิวโลกขึ้นมาสู่ผิวดิน (geothermal gradient) มากกว่าปกตปิ ระมาณ1.5-5 เท่า ลักษณะท่วั ไปของแหลง่ พลงั งานความรอ้ นใตพ้ ภิ พ สามารถแบง่ เปน็ ลักษณะใหญๆ่ ได้ 4 ลักษณะคอื 1. แหล่งที่เป็นไอน้า เป็นแหลง่ พลังงานความรอ้ นใตพ้ ภิ พท่ีอย่ใู กล้กบั แหล่งหินหลอมเหลวในระดับตื้นๆ ทาใหน้ า้ ในบริเวณน้ันไดร้ ับพลงั งานความรอ้ นสูงจนกระท่ังเกดิ การเดือดเปน็ ไอน้าร้อน 2. แหล่งท่เี ป็นนา้ ร้อน ซึง่ สว่ นใหญจ่ ะเป็นน้าเค็ม (hot brine sources) เป็นแหล่งพลังงานความร้อนท่ี พบเห็นได้ทัว่ ไป มีลักษณะเป็นนา้ เคม็ ร้อนโดยมจี ะอณุ หภมู ติ า่ กวา่ 180 องศาเซลเซยี ส 3. แหล่งที่เป็นหินร้อนแห้ง แหล่งท่ีเป็นหินร้อนแห้ง (hot dry rock) เป็นแหล่งท่ีสะสมพลังงานความ ร้อนในรูปของหินเนื้อแน่นโดยไม่มีน้าร้อนหรือไอน้าเกิดข้ึนเลย แหล่งลักษณะน้ีจะมีค่าการ เปลย่ี นแปลงของอุณหภมู ิตามความลึกเกินกว่า 40 องศาเซลเซียส 4. แหล่งท่ีเป็นแมกมา (molten magma) แมกมาหรือลาวาเหลว เป็นแหล่งพลังงานความร้อนที่มี ค่าสงู สดุ ในบรรดาแหล่งพลังงานความรอ้ นท่ีกล่าวมา โดยมีอุณหภูมิสูงกว่า 650 องศาเซลเซียส ส่วน ใหญ่จะพบในแอง่ ใตภ้ เู ขาไฟ

74 พลังงานทดแทน พลงั งานทดแทน หมายถึง พลังงานทีน่ ามาใช้แทนนา้ มนั เชอื้ เพลงิ สามารถแบ่งตามแหลง่ ทไ่ี ดม้ ากเปน็ 2 ประเภท คือ พลงั งานทดแทนจากแหลง่ ทีใ่ ช้แลว้ หมดไป อาจเรยี กวา่ พลังงานสิ้นเปลอื ง ไดแ้ ก่ ถ่านหิน ก๊าซ ธรรมชาติ นิวเคลียร์ หินน้ามัน และทรายน้ามัน เป็นต้นและพลังงานทดแทนอีกประเภทหนึ่งเป็นแหล่ง พลังงานท่ใี ช้แล้วสามารถหมุนเวียนมาใช้ได้อกี เรยี กวา่ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ แสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล น้า และไฮโดรเจน เป็นตน้ 1.2.1 พลงั งานแสงอาทิตย์ พลังงานแสงอาทิตย์ คือ แสงสว่าง และความร้อน ที่ถูกสร้างขึ้นโดยดวงอาทิตย์ ทุกๆวันดวงอาทิตย์จะผลิต พลังงานได้เป็นจานวนมหาศาล รวมท้ังแหล่งผลิตพลังงานแสงอาทิตย์น้ัน ไม่มีวันหมดอีกด้วย นอกจากนี้ พลงั งานแสงอาทิตย์ยังถือเป็นพลงั งานสะอาด และเป็นพลังงานทางเลือกสาหรับมนุษย์ใช้แทนท่ีพลังงานจาก ฟอสซิล อกี ด้วย พลังงานแสงอาทิตย์ถูกสร้างขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร ดวงอาทติ ย์คอื ดาวขนาดยักษ์ที่เต็มไปด้วยก๊าซซึ่งประกอบด้วย ไฮโดรเจน และ ฮีเล่ียม ภายในแกน ของดวงอาทิตย์ ปฏิบัติการท่ีเรียกว่า การปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ได้สร้างพลังงานจานวนมหาศาลที่เกิ ดจาก ไฮโดรเจน ภายในแกน และผสมผสานกนั กลายเปน็ กา๊ ซฮเี ลยี ม ปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์ไดท้ าการปลดปล่อยพลังงาน จากแกนของดาวออกมาสู่พนื้ ผิว ระหว่างที่เดินทางมาสู่พ้ืนผิวดวงอาทิตย์ พลังงานดังกล่าวจะใช้เวลาในการ แปรสภาพเปน็ พลงั งานแสงสวา่ ง แสงสวา่ งน้ีคือสงิ่ ทพี่ วกเราเรียกว่าแสงอาทิตย์ แสงอาทิตย์ใชเ้ วลาเท่าไรในการเดนิ ทางจากดวงอาทิตยม์ ายงั โลก จากบันทึกของ องคก์ ารบรหิ ารการบนิ และอวกาศแหง่ ชาติ หรือ องค์การนาซา (NASA) แสงอาทิตย์ เดินทางมายงั โลกดว้ ยความเร็วแสง หรือ ประมาณ 186,000ไมล์ ต่อวินาที ทาให้แสงอาทิตย์ใช้เวลาเดินทาง มายังโลกเพียงแค่ 8 นาทเี ท่าน้ัน พลังงานแสงอาทติ ยส์ ามารถใช้ยงั ไง? วิธีการง่ายๆท่ีนิยมใช้กัน คือใช้ระบบท่ีอยู่ในรูปแบบ แผงเซลล์แสงอาทิตย์ และ แบตเตอร์ร่ีเก็บ พลงั งาน แผงเซลล์แสงอาทติ ย์จะเก็บแสงจากดวงอาทติ ย์ เพอ่ื แปรสภาพเปน็ พลังงาน และเกบ็ ไวใ้ นแบตเตอร์ร่ี ในขณะทีพ่ ลงั ดังกลา่ วถูกเกบ็ ไว้ในแบตเตอร์ร่ี พลังงานน้ีกจ็ ะถูกใชง้ านไดใ้ นรปู แบบของความรอ้ นและพลังงาน ไฟฟ้า เมื่อพลังงานถูกแปรสภาพเป็นพลังงานความร้อน พลังงานแสงอาทิตย์สามารถนาไปใช้งานได้ดังนี้ * ทาน้าร้อน สาหรบั ห้องอาบนา้ ที่บา้ น หรอื สาหรับสระวา่ ยน้า * ใชส้ าหรับห้องปรบั อณุ หภูมิ ภายในบา้ น เรือนต้นไม้ หรือ อาคารพาณชิ ย์ต่างๆ พลังงานแสงอาทิตย์ สามารถถูกแปรสภาพเปน็ พลงั งานไฟฟ้าดว้ ย 2 วธิ ี ดังนี้ 1. ใช้อุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ หรือที่เรียกกันว่า “โซล่าร์ เซลล์” เพ่ือแปรสภาพ แสงอาทิตย์ใหเ้ ป็นกระแสไฟฟา้ โดยตรง เซลลร์ ับแสงอาทิตยถ์ ูกนามารวมกนั เปน็ แผงแลว้ ถกู จัดใหเ้ ป็นระเบียบ ซง่ึ ชว่ ยให้รบั แสงอาทติ ยไ์ ด้เปน็ พ้ืนที่กว้าง เซลลแ์ สงอาทิตย์นั้นจะเก็บพลังงานได้ตามขนาดของมัน เช่น แผ่น เลก็ ๆเหมาะสาหรบั การสรา้ งพลังงานใหก้ ับเคร่ืองคิดเลข และ นาฬิกาข้อมือ แต่เราต้องใช้แผงท่ีใหญ่ขึ้นเพ่ือ ผลิตกระแสไฟฟา้ ให้แกบ่ ้าน และตอ้ งใช้ขนาดใหญ่และกินพ้นื ทเี่ ป็นไร่ ในการสรา้ งโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า 2. โรงไฟฟา้ พลงั งานแสงอาทติ ย์แบบเข้มข้น สามารถผลิตกระแสไฟฟา้ โดยใช้ความร้อนจากเครื่องมือ รวบรวมความรอ้ น แล้วแปรสภาพเป็นของเหลว ซ่ึงช่วยในการผลิตไอน้า เพ่ือเป็นพลังงานให้กับเคร่ืองผลิต กระแสไฟฟ้า ท่ีประเทศสหรัฐฯ มีโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์แบบเข้มข้น อยู่ 11 แห่ง โดยท่ีมีอยู่ในรัฐ แคลิฟอรเ์ นยี 9 แหง่ และ ในรัฐเนวาด้า กบั อรโิ ซนา่ อกี รฐั ละ 1 แห่ง

75 1.2.2 พลงั งานนา้ พลงั งานนา้ จะสามารถนามาใชป้ ระโยชน์ได้ต้องมีการกักเก็บน้าไว้ เพื่อเป็นการสะสมกาลัง โดยการ กอ่ สรา้ งเข่อื นหรือฝายปดิ ลาน้าทีม่ รี ะดับความสูงเป็นพลังงานศักย์ และผันน้าเข้าท่อไปยังเครื่องกังหันน้าขับ เครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้าพลังน้า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษ์พลงั งาน ไดด้ าเนินงานในการผลิตไฟฟ้าจากพลงั งานน้าที่มีอยู่ ภายในประเทศ เพ่ือลดการนาเขา้ น้ามนั ซ่ึงเป็นเช้ือเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า โดยได้ดาเนินการผลิตพลังงาน ทดแทนจากโครงการไฟฟ้าพลงั นา้ ดังน้ี 1. โครงการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้าคลองทุ่งเพล เป็นโครงการเน่ืองในพระราชดาริ ต้ังอยู่ในเขตก่ิง อ.คชิ ฌกฏู และ อ.มะขาม จ.จนั ทบุรี มีขนาดกาลังผลติ รวม9.8 เมกกะวตั ต์ เมือ่ แล้วเสร็จสามารถผลิต พลังงานไฟฟา้ ไดป้ ลี ะ 28.16 ลา้ นกโิ ลวตั ต์-ชั่วโมง 2. โครงการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้าลุ่มน้าน่านตอนบน ต้ังอยู่ท่ี อ.เวียงสา จ.น่าน มีกาลังผลิต รวม 10 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถผลติ กระแสไฟฟา้ ได้ประมาณปีละ 54.62 ลา้ นกิโลวัตต์-ชว่ั โมง 3. โครงการก่อสรา้ งเขอ่ื นไฟฟา้ พลังน้าแม่กะไน ต้งั อยูท่ บี่ า้ นหว้ ยปู อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน มีกาลัง ผลิตรวม 0.89 เมกกะวตั ต์ 1.2.3 พลงั งานลม พลังงานลม ซ่ึงเป็นแหล่งพลังงานท่ีเติบโตเร็วที่สุดในโลก เป็นเทคโนโลยีที่ลวงตาว่าเรียบง่าย เบอื้ งหลงั อาคารสงู เพรยี ว และใบพดั ที่หมุนอยา่ งสม่าเสมอ คือ วสั ดุนา้ หนักเบาท่ีทางานร่วมกันอย่างซับซ้อน การออกแบบดา้ นการเคลอ่ื นไหวของอากาศ และ อปุ กรณอ์ เิ ล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ พลังงาน ถกู สง่ ถ่ายจากปกี หมุน ผา่ นเกียร์ ซง่ึ บางครง้ั ปฏบิ ตั ิงานในความเร็วท่ีไม่แน่นอน จากน้ันส่งไปยังเคร่ืองกาเนิด ไฟฟา้ (กังหันลมบางตัวไมส่ ่งผา่ นเกยี ร์แตใ่ ช้การขบั เคลอื่ นโดยตรงแทน) ขอ้ ดขี องพลังงานลม 1) เปน็ มิตรตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม โดยลดระดบั การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน นี่เป็นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมท่ีสาคัญท่ีสุดของการผลิตพลังงานลม นอกจากนี้พลังงานลมยัง ปราศจากสารก่อมลพิษอ่นื ๆ ทเี่ กิดจากเชอ้ื เพลงิ ฟอสซิลและโรงไฟฟ้านิวเคลยี รอ์ กี ด้วย 2) มีความสมดุลดา้ นพลงั งานทีด่ ีเยีย่ ม - การปลอ่ ยก๊าซคารบ์ อนไดออกไซต์ที่เกิดจากการผลิต ติดตั้ง และให้บริการของกังหันลมท่ีมชี ่วงอายุโดยเฉลี่ย 20 ปีถูก \"ทดแทน\" หลังดาเนินการผลิต 3-6 เดือน ซ่ึงเทา่ กบั การผลิตพลงั งานมากกวา่ 19 ปโี ดยแทบไมม่ คี า่ ใชจ้ ่ายดา้ นสงิ่ แวดล้อมเลย 3) ดาเนินงานได้รวดเร็ว - ฟาร์มกังหันลมสามารถสร้างเสร็จสิ้นภายในไม่ก่ีสัปดาห์ โดยใช้รถเครน ติดตงั้ หอคอยของกังหนั ลม ส่วนเชื่อมต่อกับปีกหมุน (โครงยึด) และ ใบพัดเหนือฐานคอนกรีตเสริม กาลัง 4) เป็นแหล่งพลังงานท่ีน่าเชื่อถือและนากลับมาใช้ใหม่ได้ เน่ืองจากลมที่ใช้ขับเคลื่อนกังหันลมไม่มี ค่าใชจ้ ่ายตลอดกาล และไม่ถูกกระทบโดยราคาของเชือ้ เพลงิ ฟอสซลิ ท่ีข้นึ ๆ ลงๆ นอกจากนี้ยังไม่ต้อง อาศัยการทาเหมือง ขุดเจาะ หรือ ขนส่งไปยังสถานีจ่ายไฟฟ้า ในขณะท่ีราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงข้ึน คุณค่าของพลงั งานลมกส็ งู ข้นึ เช่นกัน ทาใหค้ า่ ใชจ้ า่ ยของการผลติ ไฟฟ้าโดยพลงั งานลมมีแตจ่ ะลดลง 1.2.4 พลงั งานชวี มวล พลงั งานชวี มวล (Bio-energy) หมายถงึ พลังงานที่ได้จากชีวมวลชนิดต่างๆ โดยกระบวนการแปรรูป ชีวมวลไปเปน็ พลงั งานรปู แบบตา่ งๆ ซง่ึ กระบวนการแปรรูปชวี มวลไปเป็นพลงั งานรปู แบบต่างๆ มีดงั นี้

76 1. การเผาไหมโ้ ดยตรง (combustion) เม่อื นาชีวมวลมาเผา จะไดค้ วามร้อนออกมาตามค่าความร้อน ของชนดิ ชีวมวล ความร้อนท่ีได้จากการเผาสามารถนาไปใชใ้ นการผลิตไอนา้ ท่มี ีอณุ หภูมิและความดัน สูง ไอน้าน้จี ะถูกนาไปขับกงั หันไอน้าเพอ่ื ผลติ ไฟฟ้าต่อไป ตัวอย่างชีวมวลประเภทน้ีคือ เศษวัสดุทาง การเกษตร และเศษไม้ 2. การผลติ กา๊ ซ (gasification) เป็นกระบวนการเปลี่ยนเชอ้ื เพลิงแข็งหรอื ชีวมวลให้เป็นแก๊สเชื้อเพลิง เรียกว่าแก๊สชีวภาพ (biogas) มีองค์ประกอบของแก๊สมีเทน ไฮโดรเจน และ คาร์บอนมอนอกไซด์ สามารถนาไปใชก้ ับกงั หนั แก๊ส(gas turbine) 3. การหมัก (fermentation) เปน็ การนาชวี มวลมาหมักด้วยแบคทีเรียในสภาวะไร้อากาศ ชีวมวลจะ ถูกย่อยสลายและแตกตัว เกิดแก๊สชีวภาพ( biogas) ที่มีองค์ประกอบของแก๊สมีเทนและ คาร์บอนไดออกไซด์ แกส๊ มเี ทนใชเ้ ปน็ เช้ือเพลิงในเคร่ืองยนตส์ าหรบั ผลิตไฟฟ้า 4. การผลติ เชือ้ เพลงิ เหลวจากพชื มกี ระบวนการทีใ่ ช้ผลติ ดังน้ี 1) กระบวนการทางชีวภาพ ทาการย่อยสลายแป้ง น้าตาล และเซลลูโลสจากพืชทางการเกษตร เชน่ อ้อย มนั สาปะหลัง ใหเ้ ปน็ เอทานอล เพื่อใช้เป็นเชอื้ เพลงิ เหลวในเคร่อื งยนตเ์ บนซนิ 2) กระบวนการทางฟสิ ิกส์และเคมี โดยสกดั นา้ มันออกจากพืชน้ามัน จากน้นั นาน้ามันทไี่ ด้ไปผ่าน กระบวนการ transesterification เพอื่ ผลิตเป็นไบโอดีเซล 3) กระบวนการใชค้ วามร้อนสงู เช่นกระบวนการไพโรไลซิส เมอ่ื วสั ดุทางการเกษตรได้ความร้อน สงู ในสภาพไร้ออกซเิ จน จะเกดิ การสลายตวั เกิดเป็นเชอ้ื เพลิงในรูปของเหลวและแก๊สผสมกนั 1.2.5 พลงั งานนิวเคลียร์ พลงั งานนวิ เคลยี ร์ เปน็ พลังงานรปู หนึ่งทีน่ กั วทิ ยาศาสตร์ชาวผรงั่ เศสชอ่ื องั รีเบกเคอเรล ไดค้ น้ พบโดย บงั เอิญ เม่ือ พ.ศ. 2439 แต่คนทว่ั ไปเร่ิมรูจ้ ักพลงั งานนวิ เคลยี รห์ ลังจากท่ีมีการทง้ิ ระเบิดปรมาณทู ่ีเมอื งฮโิ รชิมา และนางาซากิ ประเทศญีป่ ุ่น เมอ่ื พ.ศ. 2488 ในช่วงปลายสงครามโลก คร้งั ที่สอง มีผลทาให้สงครามโลกครัง้ ที่ สองยุติ แต่ผลของระเบิดปรมาณูในคร้ังนั้นได้ทาลายชีวิติมนุษย์ไปเป็นจานวนมาก รวมทั้งอาคารบ้านเรือน และส่ิงก่อสรา้ งอ่ืน ๆ นอกจากน้ี กัมมนั ตภาพรังสี ท่ีเกิดขึ้นจากการระเบิดยังก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงของ สงิ่ แวดลอ้ มและมผี ลต่อผู้รอดชวี ิตในระยะยาวอีกดว้ ย หลังจากที่มนษุ ยไ์ ด้รถู้ งึ อานาจทาลายของระเบิดปรมาณู แล้ว จึงได้ค้นคว้าวิจัย เพื่อนาพลังงานนิวเคลียร์ มาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ จน ในปัจจุบัน มีหลาย ประเทศ นาพลังงานนิวเคลียร์ไปใช้ ในการพฒั นาประเทศในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์ เกษตร และอุตสาหกรรม จนปัจจบุ นั นิวเคลียรไ์ ดเ้ ข้าไป มบี ทบาท ในชีวิตประจาวันมากขน้ึ ทุกที แตส่ ่วนใหญ่อาจจะยงั ไมร่ ู้ สนิ คา้ บางชนดิ เชน่ กระดาษ ปูนซิเมนต์ กระเบื้อง ยาสีฟัน อาจผลิตโดยใช้ เทคโนโลยีนิวเคลียร์ในการ ควบคมุ คุณภาพ สาลี ผา้ ก๊อซ พลาสเตอรป์ ดิ แผล เขม็ หลอดฉีดยา เหล่าน้ีเป็นเวชภัณฑ์ ที่ทาให้ปลอดเชื้อ โดย ใชร้ งั สี ซงึ่ เปน็ รปู แบบหน่งึ ของพลงั งานนวิ เคลียร์ การใช้พลังงานนิวเคลียร์ ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้พลังงานนิวเคลียร์ ในกิจการต่าง ๆ อย่าง กว้างขวาง ซึ่งพอสรุปได้เปน็ 3 ด้าน คอื 1. ด้านการแพทย์ มกี ารนา เอาสารกัมมันตรังสี และรังสีมาใช้ในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรค ทาให้ การวินิจฉัย และรักษาโรคของแพทย์ เป็นไปอย่างถกู ตอ้ ง และรวดเร็ว สามารถบรรเทาความเจ็บปวด และช่วยชีวิต ของผู้ป่วยได้มากข้ึน ประโยชน์ในการใช้ สารกัมมันตรังสีทางการแพทย์มีหลายด้าน เช่น ด้านการตรวจวินิจฉยั ด้านการบาบัดโรค จะเห็นว่าการนาสารกัมมันตรังสี มาใช้ประโยชน์ทาง การแพทย์ควบคู่ไปกับ การตรวจวินิจฉัย และการรักษาแบบอื่น จะก่อประโยชน์ ต่อคนไข้อย่างยิ่ง และนบั วันศาสตร์ ด้านน้จี ะกา้ วหน้าขน้ึ เรื่อง ๆ จนเป็นทีย่ อมรับกันทั่วไป

77 2. ด้านอตุ สาหกรรม มีการนาเอาพลังงานนวิ เคลยี ร์ ไปใช้กันอย่างกว้างขวางเช่นกัน ในที่นี้จะขอกล่าว พอสังเขป 2 ตัวอย่าง คือการปลอดเช้ือผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ และ การตรวจสอบโครงสร้าง ภายใน นอกจากน้ี ยังมีการใชเ้ ทคโนโลยีนิวเคลียร์ ในอตุ สาหกรรมต่าง ๆ อีกมาก 3. ดา้ นการเกษตร ประเทศไทยจัดวา่ เป็นประเทศเกษตรกรรม เพราะประชากร กวา่ รอ้ ยละ 60 ยังคงยึด การเกษตรเปน็ อาชีพหลัก ดังน้ัน การค้นคว้าวิจัยทางการเกษตร เพ่ือเพ่ิมปริมาณ และคุณภาพของ ผลผลิตทางการเกษตร จงึ มีความสาคัญอย่างยง่ิ ต่อเกษตรกร เพราะหมายถงึ รายได้ และความเป็นอยู่ ที่ดีข้ึน ของเกษตรกร ในปัจจุบัน ได้มีการใช้ เทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมเกษตร ในหลาย ๆ ด้าน เช่น การกาจัดศัตรูพืช การปรับปรุงพันธ์ุ เพ่ือเพิ่มผลผลิต การเก็บถนอม รักษา ผลผลติ ไม่ให้เสียหาย นอกจากน้ันก็ยังมี การศึกษาและพัฒนาพลังงานทดแทนเป็นการศึกษา ค้นคว้า ทดสอบ พัฒนา และสาธิต ตลอดจน สง่ เสรมิ และเผยแพร่พลังงานทดแทนซ่ึงเป็นพลังงานท่ีสะอาด ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นแหล่ง พลังงานที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น พลังงานลม แสงอาทิตย์ ชีวมวลและอื่นๆ เพ่ือให้มีการผลิต และการใช้ ประโยชน์อย่างแพร่หลาย มีประสิทธิภาพ และมีความเหมาะสมท้ังทางด้านเทคนิค เศรษฐกิจและสังคม สาหรับผู้ใช้ในเมือง และชนบท ซึ่งในการศึกษา ค้นคว้า และพัฒนาพลังงานทดแทนดังกล่าวยังรวมถึงการ พัฒนาเครอ่ื งมอื เครือ่ งใช้ และอปุ กรณเ์ พือ่ การใชง้ านมีประสิทธิภาพสงู สดุ ด้วย งานศกึ ษา และพัฒนาพลังงาน ทดแทน เป็นส่วนหน่ึงของแผนงานพัฒนาพลงั งานทดแทน ซึ่งมีโครงการที่เกี่ยวข้องโดยตรงภายใต้แผนงานน้ี คอื โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงาน และมคี วามเชื่อมโยงกับแผนงานพฒั นาชนบทในโครงการจดั ตง้ั ระบบผลิต ไฟฟ้า ประจุแบตเตอร่ีด้วยเซลล์แสงอาทิตย์สาหรับหมู่บ้านชนบทที่ไม่มีไฟฟ้า โดยงานศึกษา และพัฒนา พลงั งานทดแทนจะเป็นงานประจาทม่ี ลี ักษณะการดาเนนิ งานของกจิ กรรมต่างๆ ในเชิงกวา้ งเพื่อสนับสนุนการ พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ท้งั ในด้านวิชาการเชิงทฤษฎี และอปุ กรณ์เครอ่ื งมอื ทดลอง และการทดสอบ รวมถงึ การสง่ เสรมิ และเผยแพร่ ซ่ึงจะเป็นการสนบั สนนุ และรองรบั ความพร้อมในการจดั ตั้งโครงการใหมๆ่ ใน โครงการศึกษาวิจัยด้านพลังงานและโครงการอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เช่น การศึกษาค้นคว้าเบ้ืองต้น การติดตาม ความกา้ วหนา้ และร่วมมือประสานงานกบั หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องในการพัฒนาต้นแบบทดสอบ วิเคราะห์ และ ประเมนิ ความเหมาะสมเบอื้ งตน้ และเปน็ งานส่งเสริมการพฒั นาโครงการที่กาลังดาเนินการให้มีความสมบูรณ์ ยิ่งข้ึนตลอดจนสนับสนุนให้โครงการท่ีเสร็จสิ้นแล้วได้นาผลไปดาเนินการส่งเสริมและเผยแพร่และการใช้ ประโยชนอ์ ยา่ งเหมาะสมตอ่ ไป ความสาคญั ของพลงั งานต่อส่ิงมีชีวติ พลังงานมีความสาคญั ตอ่ สงิ่ มีชวี ิต ตลอดจนการเปลีย่ นแปลงต่าง ๆ ทีเ่ กิดขนึ้ บนโลกในดา้ นต่างๆ อย่าง มากมาย นามากล่าวโดยสรปุ ได้ดงั น้ี 1 .ในการดารงชีวิตของสงิ่ มชี วี ิต ซึ่งจาเป็นทีจ่ ะตอ้ งใช้พลังงานในการประกอบกจิ กรรมหรอื การปฏบิ ตั งิ าน ตา่ ง ๆ เช่น 1. การเคลอื่ นไหวซงึ่ อาจเปน็ ส่วนท่เี คล่ือนไหวอวยั วะ เชน่ การเตน้ ของหัวใจ การหายใจของปอด การ ไหลของไซโตพลาสซมึ ท่เี รียกว่า ไซโคลซิสหรอื การเคลื่อนไหวสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย เชน่ การ เคลอ่ื นไหวแขน ขา การเดนิ การหุบของใบ และการเคลื่อนที่ของยอดพืชเข้าหาแสง 2. กระบวนการทางสรรี ะ เชน่ การแบง่ เซลล์ การหดตวั ของเซลล์กล้ามเนือ้ การทางานของเซลล์ประสาท การสงั เคราะหแ์ สง การดดู แร่ธาตแุ ละสารอาหารด้วยกระบวนการซึ่งใช้พลงั งานของพืช

78 3. การตดิ ตอ่ สอื่ สารซึ่งจะตอ้ งใช้พลงั งาน เชน่ พลงั งานเสยี งเพอื่ การพดู คยุ พลงั งานแสงชว่ ยในการ มองเห็นสงิ่ ต่าง ๆ การตดิ ต่อสือ่ สารโดยการใช้การแสดงออกด้วยท่าทางต่างๆ คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ จะใช้ ประโยชนส์ าหรับการส่งวทิ ยแุ ละโทรทัศน์ และเมอื่ มกี ารใช้เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์มาช่วยเทคโนโลยี การสอื่ สารกจ็ ะเกดิ เป็นเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.พลังงานมคี วามสาคญั สาหรับการทางานของเครอ่ื งมอื เครอ่ื งจักรและอุปกรณ์ เช่น 1. พลงั งานไฟฟ้าสามารถขบั เคล่อื นอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ได้ 2. พลังงานจากสารเช้ือเพลงิ ประเภททเ่ี รยี กว่า ฟอสซลิ โดยเฉพาะนา้ มันเป็นเชอื้ เพลงิ สาหรบั ยานพาหนะ ประเภทต่าง ๆ 3. พลงั งานชว่ ยใหอ้ ปุ กรณ์สารวจสามารถทางานได้ 4. พลงั งานชว่ ยใหอ้ ปุ กรณ์ทางการแพทยส์ ามารถทางานได้ 3.พลงั งานทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางธรรมชาติ 1. การเกดิ ฟ้ารอ้ ง ฟ้าแลบ และฟา้ ผา่ ซ่ึงเกดิ จากการทก่ี ้อนเมฆถกู ลมพัดเคลอ่ื นที่เกิดการเสียดสกี ันกบั อากาศและเกิดไฟฟา้ สถติ ขึ้น ในทสี่ ดุ จะมีการกระโดดของอเิ ล็กตรอนจากกอ้ นเมฆทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ลบ ไปสกู่ อ้ นทมี่ ปี ระจบุ วกหรอื ลงสพู่ ้นื ดนิ ซง่ึ ในขณะท่กี ระแสอิเลก็ ตรอนเคลอ่ื นทผ่ี ่านอากาศและผ่านพน้ ไปแล้วอากาศจะเคลอ่ื นท่เี ข้ามากระทบกนั เปน็ ผลทาใหเ้ กิดเสยี ง 2. การถกู กัดเซาะและพงั ทลายของพน้ื ทซี่ ึง่ เป็นผลสืบเนอื่ งมาจากพลังน้าทอ่ี าจเป็นพลงั งานจากฝนหรอื กระแสน้า และพลงั งานลมจะทาใหเ้ กิดการถูกกัดเซาะและการพงั ทลายของพื้นที่ 3. ความเสยี หายทีเ่ กดิ ขึ้นเนื่องจากพลงั งานลมและกระแสน้าซงึ่ อาจกอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายขึ้นกบั อาคาร ส่ิงปลูกสร้าง พ้นื ทีเ่ กษตรกรรมและพนื้ ทปี่ า่ ไม้ได้ พลังงานเปน็ สงิ่ จาเป็นของมนษุ ยใ์ นโลกปจั จบุ นั และทวคี วามสาคญั ขึ้นเมอื่ โลกย่งิ พัฒนามากย่ิงขึน้ แหลง่ พลงั งานค่อย ๆ เปล่ียนไปเป็นแหล่งพลงั งานทตี่ อ้ งอาศยั เทคโนโลยีในการผลติ มากยง่ิ ขึน้ จากนา้ มันปิโตรเลยี ม เป็นพลังงานแสงอาทติ ย์ เป็นตน้ การอนุรักษพ์ ลงั งาน แนวทางในการอนรุ ักษ์พลังงานหรอื การใช้พลงั งานเชงิ อนุรักษท์ ่สี าคญั ได้แก่ 1. การใชพ้ ลังงานอย่างประหยดั และคมุ้ คา่ โดยการสรา้ งคา่ นยิ มและจิตใตส้ านกึ การใชพ้ ลงั งาน 2. การใช้พลงั งานอยา่ งรู้คุณคา่ จะต้องมีการวางแผนและควบคุมการใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพและเกิด ประโยชน์สูงสุดมกี ารลดการสญู เสยี พลงั งานทกุ ข้นั ตอน มกี ารตรวจสอบและดูแลการใชเ้ ครือ่ งใช้ไฟฟ้า ตลอดเวลา เพอ่ื ลดการรัว่ ไหลของพลังงาน เปน็ ต้น 3. การใชพ้ ลังงานทดแทนโดยเฉพาะพลังงานท่ีได้จากธรรมชาติ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลงั งานน้า และอื่น ๆ 4. การเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื และอปุ กรณท์ ม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพสูง เช่น เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ เบอร์ 5 หลอดผอมประหยัด ไฟ เปน็ ตน้ 5. การเพม่ิ ประสทิ ธิภาพเชื้อเพลงิ เชน่ การเปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งทาใหเ้ ชือ้ เพลงิ ให้พลงั งานไดม้ ากขน้ึ 6. การหมนุ เวียนกลับมาใชใ้ หม่ โดยการนาวัสดุที่ชารุดนามาซ่อมใช้ใหม่ การลดการทิ้งขยะท่ีไม่จาเป็น หรือการหมุนเวยี นกลบั มาผลติ ใหม่ (Recycle)

79 นโยบายพลังงาน 1. พัฒนาพลังงานให้ประเทศไทยสามารถพึ่งตนเองได้มากขนึ้ โดยจดั หาพลงั งานให้เพยี งพอ มีเสถยี รภาพ ดว้ ยการเร่งสารวจและพฒั นาแหลง่ พลงั งานประเภทตา่ ง ๆ ทงั้ ภายในประเทศและต่างประเทศ และ เร่งให้มกี ารเจรจากบั ประเทศเพอื่ นบ้านในระดบั รัฐบาลเพื่อร่วมพัฒนาแหลง่ พลังงาน วางแผนพัฒนา ไฟฟ้าใหม้ ีการกระจายชนดิ ของเช้ือเพลิงท่ใี ช้ เพอื่ ลดความเส่ยี งด้านการจัดหา ความผันผวนทางด้าน ราคา และลดตน้ ทุนการผลิต ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะ โครงการผลิตไฟฟา้ ขนาดเล็ก และโครงการผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก รวมท้ังศึกษาความเหมาะสมใน การพัฒนาพลงั งานทางเลือกอื่น ๆ มาใชป้ ระโยชนใ์ นการผลติ ไฟฟา้ 2. ดาเนินการให้นโยบายด้านพลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนการผลิตและการใช้ พลงั งานทดแทน โดยเฉพาะการพัฒนาเช้อื เพลงิ ชวี ภาพและชวี มวล เชน่ แกส๊ โซฮอล์ (อี 10 อี 20 และ อี 85) ไบโอดเี ซล ขยะ และมลู สตั ว์ เปน็ ต้น เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดภาวะมลพิษ และเพือ่ ประโยชน์ของเกษตรกร โดยสนบั สนนุ ใหม้ ีการผลิตและใช้พลังงานหมุนเวียนในระดับชุมชน หม่บู ้าน ภายใต้มาตรการสร้างแรงจงู ใจที่เหมาะสม รวมทัง้ สนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาตใิ นภาคขนส่ง ให้มากขึ้น โดยขยายระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติให้ครอบคลุมพ้ืนท่ีท่ัวประเทศ ตลอดจนส่งเสริมและ วิจัยพัฒนาพลงั งานทดแทนทุกรูปแบบอย่างจริงจงั และตอ่ เนอ่ื ง 3. กากับดูแลราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม มีเสถียรภาพ และเป็นธรรมต่อประชาชน โดย กาหนดโครงสรา้ งราคาเชื้อเพลงิ ทเี่ หมาะสม และเอ้อื ตอ่ การพัฒนาพชื พลงั งาน รวมท้งั สะท้อนตน้ ทนุ ท่ี แทจ้ ริงมากที่สดุ และบรหิ ารจัดการผา่ นกลไกตลาดและกองทุนน้ามัน เพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่าง ประหยดั และสง่ เสรมิ การแขง่ ขนั และการลงทุนในธุรกิจพลงั งาน รวมทั้งพฒั นาคุณภาพการให้บริการ และความปลอดภัย 4. ส่งเสรมิ การอนรุ กั ษแ์ ละประหยัดพลงั งาน ท้ังในภาคครัวเรือน อุตสาหกรรม บริการ และขนส่ง โดย รณรงคใ์ ห้เกิดวินัยและสร้างจิตสานึกในการประหยัดพลังงาน และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพ มีมาตรการจูงใจให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัด พลังงาน และมาตรการ สนับสนนุ ใหค้ รวั เรือนลดการใช้ไฟฟา้ ในชว่ งการใชไ้ ฟฟ้าสงู สดุ รวมท้งั การวิจยั พฒั นาและกาหนดมาตรฐานอปุ กรณ์ไฟฟา้ และมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงาน ตลอดจนสนับสนุน การพัฒนาระบบขนสง่ มวลชน และการขนสง่ ระบบราง เพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถชะลอการลงทุนด้านการจดั หาพลงั งานของประเทศ 5. ส่งเสริมการจดั หาและการใช้พลงั งานที่ให้ความสาคัญต่อส่ิงแวดล้อม ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม ของประชาชน โดยกาหนดมาตรฐานด้านต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดโครงการกลไกการพัฒนา พลงั งานท่ีสะอาด เพ่ือลดผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มและชมุ ชน และลดปริมาณก๊าซเรอื นกระจก จะเห็นได้ว่าภาครัฐให้ความสนใจกับการใช้พลังงานในประเทศเป็นอย่างย่ิง การท่ีประชาชนรวมถึง หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ช่วยกนั ใชพ้ ลงั งานอย่างประหยดั และคุ้มคา่ จะช่วยใหภ้ าครัฐสามารถประหยัด งบประมาณไดอ้ ย่างมหาศาล

80 4.3 มลพิษและวกิ ฤติมลพิษ ผู้สอนไดร้ วบรวม และนาเสนอความหมาย ของมลพษิ ดังน้ี “มลพษิ ” เป็นศพั ทท์ ่ีราชบัณฑิตยสถานบญั ญตั ขิ ้ึนในปี พ.ศ. 2525 ใชแ้ ทนคาศพั ทเ์ ดิม วา่ “มลภาวะ” ซึ่งตรงกับศัพท์.ภาษาอังกฤษว่า “Pollution” มาจากคาว่า “Pollute” หมายถึง ทาให้สกปรก ซ่ึงได้แก่ ขบวนการตา่ งๆ ทม่ี นษุ ยก์ ระทาท้งั โดยตั้งใจและไม่ได้ตัง้ ใจ ปลอ่ ยของเสียซ่ึงไม่ พึงปรารถนาเข้าไปหมกั หมมใน บรรยากาศ พน้ื ดนิ และในนา้ มผี ลให้สง่ิ แวดลอ้ มเส่ือมโทรมลง ทั้งนีม้ ีผใู้ ห้ความหมายคาวา่ “มลพษิ ” ไวห้ ลายทา่ นดังนี้ มลพิษของสง่ิ แวดล้อม หมายถึง ภาวะแวดล้อมที่มีความไม่สมดุลของทรัพยากรและมีสารพิษ ท่ีเป็น พิษจนมีผลต่อสขุ ภาพของมนุษย์ พืช และสตั ว์ มลพษิ ของสง่ิ แวดล้อม หมายถึง การเปล่ียนแปลงของส่ิงแวดล้อมทไ่ี ม่พงึ ประสงค์ อันเป็น ผลมาจาก การกระทาของมนษุ ยท็ ัง้ ทางตรงและทางออ้ ม ทาใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ ชีวภาพ และความ สมบรู ณ็ของสิ่งมชี วี ิต มผี ลกระทบโดยตรงต่อมนุษย์ หรือผา่ นมาทางนา้ ผลติ ผล จากพืชและสัตว์ มลพษิ หมายถึงสภาวะแวดล้อมท่ีมีการเปล่ียนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพ แวดล้อม ทางกายภาพ เคมี หรือชีวะในดิน หรืออากาศ อันจะยังผลให้เกิดอันตรายต่อส่ิงมีชีวิตหรือ ทรัพย์สิน อีกทั้ง สิ่งมีชีวติ ทมี่ นษุ ยพ์ ึงประสงค์ ไมว่ ่าการเปล่ียนแปลงนจี้ ะมีผลโดยตรงหรอื โดยออ้ ม มลพษิ หมายถึงภาวะของสภาพแวดลอ้ มท่ีมีองค์ประกอบไมเ่ หมาะต่อการนามาใช้ประโยชน์ แต่กลับ เปน็ พิษหรอื เปน็ อนั ตรายตอ่ สุขภาพ หรือกอ่ ความราคาญแก่มนษุ ย์ เช่น อากาศมีก๊าซต่างๆ ท่ี เป็นอันตรายต่อ สขุ ภาพ สภาพแวดลอ้ มทม่ี ีเสยี งดังรบกวนมาก ดินที่มีการสะสมของยาปราบศัตรูพืช และน้าที่มีคราบน้ามัน หรือโลหะหนัก เป็นตน้ ดังน้ันจึงสรุปได้ว่า “มลพิษสิ่งแวดล้อม” หรือ“มลพิษสิ่งแวดล้อม” หมายถึงภาวะส่ิงแวดล้อม ซึ่ง ปนเป้อื นด้วยมลสารหรอื พลงั งานที่มผี ลทาให้สขุ ภาพทางกาย ใจ และสงั คมเส่ือมลง ก่อให้เกิด ผลกระทบต่อ มนุษย์ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม คาว่า “มลสาร” หรือ “สารมลพิษ” มาจาก คาว่า “pollutant” หมายถึงสิ่งใดๆ ท่ีประกอบด้วย อินทรียวัตถุ หรืออนินทรียวัตถุท้ังที่เป็นของแข็ง ของเหลว และก็าซ ท่ีมนุษย์ได้ทา ใช้บริโภค และ ท้ิงจาก อาคารบ้านเรือน ชุมชน โรงงาน การขนสง่ ฯลฯ เข้าสสู่ ภาพแวดลอมแหลง่ ตา่ ง ๆ แลว้ กอ่ ให้เกดิ ปัญหามลพิษ เช่น มลพิษทางน้า มลพิษทางอากาศ มลพิษทางดนิ เป็นต้น สารมลพิษจะมี ลักษณะ ดังนี้ 1. มผี ลกระทบทางชีววิทยาอยา่ งมนี ัยสาคัญทค่ี วามเข้มขน้ ตา่ 2. มีการกระจายตัวอยา่ งสม่าาเสมอในอากาศ หรอื ละลายในนา้ ได้ มแี นวโนม้ ทีจ่ ะสะสมอยู่ ในเนื้อเยอื่ ของส่งิ มีชีวติ หรือสว่ นใหญล่ ะลายไดด้ ใี นไขมนั 3. มีคณุ สมบัตคิ งตัวในส่ิงแวดล้อม 4. สามารถแตกตัวหรือรวมกับสารอ่ืน ทาให้เกิดสารท่ีมีพิษ มีคุณสมบัติคงตัว และ สามารถเข้าสู่ รา่ งกาย หรอื อาจสะสมอยูใ่ นเน้ือเยอ่ื ของส่งิ มชี วี ติ ได้ 5. มผี ลกระทบต่อสิง่ มีชีวิตตา่ งๆ อย่างกวา้ งขวาง ทัง้ มนษุ ย์ และสมดุลของระบบนเิ วศโลก 6. เป็นผลจากการผลิตเป็นจานวนมากขององค์ประกอบท่ีสาคัญของสังคม ผลเสียท่ีเกิดขึ้น กับ สง่ิ แวดล้อมถกู ละเลยจากการประเมนิ ค่าในแงข่ องตน้ ทนุ และผลประโยชน์

81 จากคาจากัดความเบ้ืองต้น สารมลพษิ จาแนกได้เป็น 2 ชนิด คอื 1. พวกที่ย่อยสลายตัวไม่ได้ด้วยวิธีการทางชีววิทยา (nondegradable หรือ nonbiodegradable pollutants) ไดแ้ ก่ โลหะ หรอื สารวตั ถตุ า่ ง ๆ เช่น ปรอท ตะก่วั สารหนู แคดเมียม ดีดที ี เป็นตน้ 2. พวกที่ย่อยสลายได้ด้วยวิธีการทางชีววิทยา (degradable หรือ biodegradable pollutants) ไดแ้ ก่ ขยะมูลฝอย น้าทง้ิ จากโรงงาน บ้านเรือน ชุมชน ฯลฯ สารมลพิษแยกย่อยเฉพาะตามลักษณะของการ เกดิ ภาวะมลพิษไดห้ ลายแบบ เช่น สารมลพิษ ทางอากาศ สารมลพิษทางนา้ สารมลพิษทางดิน สารมลพิษทาง อาหาร สารมลพษิ ทางเสียง เปน็ ต้น สาเหตุและผลกระทบของมลพษิ สาเหตุและผลกระทบของมลพษิ ทางนา้ สาเหตุของมลพษิ ทางน้า 1. ธรรมชาติ แหลง่ นา้ ต่างๆ อาจเกดิ จากการเนา่ เสียได้เองเมื่ออย่ใู นภาวะที่ขาดออกซิเจน ส่วนใหญ่มี สาเหตุเกิดจากการเพิ่มจานวนอยา่ งรวดเร็วของแพลงค์ตอน แล้วตายลงพร้อม ๆ กันเมอ่ื จุลินทรีย์ทาการย่อย สลายซากแพลงค์ตอนทาให์ออกซเิ จนในนา้ ถูกนาไปใช้มาก จนเกิดการขาดแคลนได้ นอกจากนก้ี ารเน่าเสยี อาจ เกดิ ไดอ้ ีกประการหน่ึงคือ เมอ่ื นา้ อยู่ในสภาพนง่ิ ไมม่ กี ารหมนุ เวียนถ่ายเท 2. นา้ ท้ิง และสง่ิ ปฏกิ ลู จากแหล่งชุมชน ได้แก่ อาคาร บ้านเรือน สานักงาน อาคารพาณิชย์ โรงแรม เป็นตน้ ส่งิ ปะปนมากบั นา้ ทิ้งประกอบดว้ ยสารอนิ ทรีย์ซง่ึ จะถูกยอ่ ยสลายโดยผูย้ ่อยสลายสาร อินทรีย์ที่สาคัญ คอื แบคทีเรีย ซ่งึ มีทั้งแบคทีเรียแอโรบิก (aerobic bacteria) เป็นแบคท่ีเรียที่ต้องใช้ออกซิเจนอิสระในการ ยอ่ ยสลายสารอินทรยี ์ กับแบคทเี รียแอนาโรบิก (anaerobic bacteria) เป็นแบคทีเรียที่ยอยสลายสารอินทรีย์ ได้โดยไม่ต้องอาศัยออกซิเจนอิสระ อีกชนิดหน่ึงคือ แบคทีเรียแฟคัลเตตีฟ (facultativebacteria)เป็น แบคทีเรียพวกที่สามารถดารง ชีวิตอยู่ได้ทั้งอาศัยและไม.ต.องอาศัยออกซิเจนอิสระ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับปริมาณ ออกซิเจนในสภาวะ แวดล้อมนัน้ บทบาทในการย่อยสลายสารเหลา่ น้ีของแบคทีเรียแอโรบิกต้องใชออกซิเจน ในปริมาณมาก ทาให้ปริมาณออกซิเจนท่ลี ะลายน้า(ดโี อ DO = dissolved oxygen) ลดลงต่ามาก ตามปกติน้า ในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายปนอยู่ประมาณ 8 มิลลิกรัมต่อลิตร หรือ 8 ส่วนในล้านส่วน (ppm) โดยท่ัวไปคา่ DO ต่ากวา่ 3 มิลลิกรมั /ลิตรจัดเป็นน้าเสยี การหาปรมิ าณของออกซิเจนท่ีจุลินทรีย.ต.องการใช. ในการย.อยสลายอินทรียสารใน น้า (biochemical oxygen demand) เรียกย่อว่า BOD เป็นการบอก คณุ ภาพน้าได้ ถา้ ค่า BOD สงู แสดงวา่ ในน้าน้ันมีอินทรียสารอยู่มาก การย่อยสลายอินทรียสารของจุลินทรีย์ ต้องใช้ออกซเิ จน ทาให้ออกซิเจนในน้าเหลอื อยู่น้อย โดยทัว่ ไปถา้ ในแหล่งน้าใดมคี ่า BODสูงกวา่ 100มลิ ลกิ รมั / ลิตร จัดวา่ น้าน้นั เปน็ นา้ เสยี ถา้ ในแหล่งน้านนั้ มีค่า BODสูงหรือมีอินทรียสาร มาก ปริมาณออกซิเจนในน้าจะ ลดน้อยลงแบคทีเรียแอโรบิกจะลดน้อยลงด้วย อินทรียสาร จะถูกสลายด้วยแบคทีเรียแอนาโรบิกและ แบคทเี รียแฟคัลเตตฟี ต่อไป ซึ่งจะทาให้กา๊ ซตา่ ง ๆ เชน่ มีเทน ไฮโดรเจนซัลไฟด์ แอมโมเนีย ก๊าซเหล่าน้ีเองที่ ทาให้เกดิ กล่ินเหม็นและสีของน้า เปลีย่ นไปนอกจากสารอนิ ทรยี .แล.ว ตามแหล.งชมุ ชนยงั มีผงซกั ฟอกซึ่งเป.น ตัวลดความตงึ ผวิ ของน้า ซ่ึงหมนุ เวียนไปส.ู คนได.ทางโซ.อาหาร 3. การเกษตร เป็นสาเหตุหนึ่งทที่ าให้นา้ เสยี เช่น การเล้ียงสัตว์ เศษอาหารและน้าทิ้งจากการ ชาระ คอกสัตว์ ท้ิงลงสแู่ มน่ า้ ลาคลอง ซึง่ ก่อใหเ้ กดิ โรคระบาด การใช้ปยุ๋ ไนเตรตของเกษตรกร เมื่อปุ๋ยลงสู่แหล่งน้า จะทาให้น้ามีปริมาณเกลอื ไนเตรตสูงถ้าดื่มเข้าไปจะทาให้เป็นโรคพิษไนเตรต ไนเตรตจะเปล่ียนเป็นไนไตรต์ แล้วรวมตัวกับฮีโมโกลบินอาจทาใหเ้ กิดอันตรายถงึ แกช่ ีวติ ได้ นอกจากนเ้ี กษตรกรนยิ มใช้สารกาจดั ศัตรูพชื มาก

82 ข้นึ สารท่ีตกค้างตามตน้ พชื และตามผิวดิน จะถูกชะล้างไปกบั นา้ ฝนและไหลลงสแู่ หล่งนา้ สารที่สลายตัวช้าจะ สะสมในแหล่งน้า น้นั มากข้ึนจนเป็นอันตรายได้ 4. โรงงานอตุ สาหกรรม ของเสียจากโรงงานอตุ สาหกรรม เชน่ โรงงานปลาปน่ โรงงาน ผลิตภัณฑ์นม โรงโมแ่ ปง้ โรงงานทาอาหารกระป๋อง ส่วนใหญ่มีสารอินทรยี ์พวกโปรตีน คารโ์ บไฮเดรตปนอยู่มากสารอนิ ทรยี ์ท่ี ถกู ปล่อยออกมากับนา้ ทง้ิ นกี้ ็จะถกู ย่อยสลายทาใหเ้ กิดผล เช่นเดียวกบั น้าท้ิงท่ีถูกปล่อยจากชุมชน นอกจากน้ี อาจมสี ารพษิ ชนิดอน่ื ปะปนอยู่ดว้ ย ขน้ึ อยกู่ บั ประเภทของโรงงาน เช่นปรอทจากโรงงานผลิตโซเดียมไฮดรอก ไซดซ์ ึง่ เป็นสารพิษต่อสัตว์นา้ และผนู้ าสัตว์น้าไปบรโิ ภคนอกจากนี้น้าทิ้งจากโรงงานบางประเภท ทาให้สภาพ กรดเบส ของแหล่งน้าน้ันเปลี่ยนไป เช่นน้าท้ิงจากโรงงานกระดาษมีค่า pH สูงมาก น้าท้ิงจากโรงงาน บาง ประเภท เช่นจากโรงไฟฟา้ อาจทาใหอ้ ณุ หภมู ิของน้าเปลยี่ นแปลงไป สภาพเชน่ นไี้ ม่ เหมาะกบั การดารงชพี ของ สง่ิ มชี วี ิตในน้า 5. การคมนาคมทางน้า ในการเดินเรือตามแหล่งน้า ลาคลอง ทะเล มหาสมุทร มีการท้ิงของ เสียท่ี ประกอบด้วยสารอินทรยี ์ และน้ามันเชื้อเพลิงถ้ามีโอกาสรั่วไหลลงน้าได้และมีจานวนมาก ก็จะทาให้สัตว์น้า ขาดออกซเิ จน และเปน็ ผลเสยี ต่อระบบนิเวศ ผลกระทบของมลพษิ ทางนา้ 1. การประมง น้าเสียทาให้สัตว์น้าลดปริมาณลง น้าเสียท่ีเกิดจากสารพิษอาจทาให้ปลาตายทัน ที สว่ นนา้ เสยี ทเี่ กดิ จากการลดต่าของออกซเิ จนละลายในนา้ ถึงแมจ้ ะไมท่ าใหป้ ลาตายทันที แต่อาจทาลายพชื และ สัตวนา้ เลก็ ๆ ท่เี ป็นอาหารของปลาและตวั ออ่ น ทาใหป้ ลาขาดอาหาร ก่อให้เกิดผลเสยี หายต่อการประมงและ เศรษฐกิจ ปรมิ าณออกซเิ จนละลายในน้าถา้ หารลด จานวนลงมาก ๆ ในทันทีก็อาจทาให้ปลาตายไดน้ อกจากน้ี น้าเสียยงั ทาลายแหล่งเพาะวางไข่ ของปลาเน่อื งจากการตกตะกอนของสารแขวนลอยในน้าเสียปกคลุมพื้นที่ วางไขข่ องปลา ซ่ึงเป็นการหยดุ ย้ังการแพรพ่ นั ธ์ุ ทาใหป้ ลาสูญพนั ธ์ุได้ 2. การสาธารณสขุ นา้ เสียเปน็ แหลง่ แพร่เชอ้ื โรค ทาให้เกิดโรคระบาด เชน่ โรคอหิวาตกโรค ไทฟอยด์ บดิ เปน็ แหล่งเพาะเชื้อยงุ ซึ่งเป็นพาหะของโรคบางชนิด เชน่ มาเลเรยี ไข้เลอื ดออก และสารมลพิษที่ปะปนใน แหล่งน้า ถ้าเราบรโิ ภคทาให้เกิดโรคตา่ ง ๆ เชน่ โรค มินามาตะ เกิดจากการรับประทานปลาท่ีมีสารปรอทสูง โรคอไิ ต-อิไต เกิดจากการไดร้ บั สาร แคดเมยี ม 3. การผลิตน้าแพ่ือบริโภคและอุปโภค น้าเสียกระทบกระเทือนต่อการผลิตน้าด่ืม น้าใช้อย่าง ย่ิง แหล่งนา้ สาหรับผลติ ประปาไดจ้ ากแมน่ า้ ลาคลอง เมือ่ แหล่งน้าเนา่ เสียเปน็ ผลให้ คณุ ภาพนา้ ลดลง ค่าใช้จ่าย ในกระบวนการผลติ เพือ่ ใหน้ า้ มคี ุณภาพเข้าเกณฑ์มาตรฐานน้าดืม่ จะเพ่ิมขนึ้ 4. การเกษตร น้าเสียมีผลต่อการเพาะปลูก และสัตว์น้า น้าเสียท่ีก่อให้เกิดความเสียหายต่อ การเกษตร ส่วนใหญ่เป็นน้าเสียที่มีความเป็นกรดเป็นด่างสูง น้าท่ีมีปริมาณเกลืออนินทรีย์ หรือ สารพิษสูง ฯลฯ ซึง่ เกดิ จากโรงงานอุตสาหกรรมปล่อยน้าเสียและเกิดจากผลของการทา เกษตรกรรมน่ันเอง เช่น การ ชลประทาน สร้างเข่ือนกักเก็บน้าไว้ใช้เพ่ือการเกษตร ทั้งนี้เนื่องจากคุณสมบัติน้าในธรรมชาติประกอบด้วย เกลืออนินทรีย์เจือปนอยู่โดยเฉพาะ เกลือคลอไรด์ ขณะท่ีใช้น้าเพ่ือการเกษตร น้าจะระเหยเป็นไอโดย ธรรมชาติ ปริมาณเกลือ อนินทรีย์ซึ่งได้ระเหยจะตกค้างในดิน เมื่อมีการสะสมมากเข้า ปริมาณเกลือในดิน สูงขึ้น ทาให้ดินเค็มไมเ่ หมาะแก่การเพาะปลูก ปริมาณเกลืออนินทรีย์ท่ีตกค้างอาจถูกชะล้าง ภายหลังฝนตก หรือโดยระบายน้าจากการชลประทาน เกลอื อนินทรีย์จะถกู ถา่ ยทอดลงสู่ แม่น้าในท่ีสุด 5. ความสวยงามและการพักผอ่ นหย่อนใจ แมน่ ้า ลาธาร แหลง่ น้าอื่น ๆ ที่สะอาดเป็นความ สวยงาม ตามธรรมชาติ ใชเ้ ป็นทพ่ี ักผ่อนหย่อนใจ เชน่ ใช้เลน่ เรอื ตกปลา ว่ายนา้ เปน็ ตน้

83 สาเหตุและผลกระทบของมลพิษทางอากาศ สาเหตขุ องมลพิษทางอากาศ 1. ยานพาหนะท่ีใชเ้ ครื่องยนต์ รถยนตเ์ ป็นแหลง่ กอ่ ปญั หาอากาศเสยี มากทสี่ ดุ สารทอ่ี อกจาก รถยนต์ ท่ีสาคัญได้แก่ คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอน ออกไซด์ของไนโตรเจน และของกามะถัน สารพวก ไฮโดรคาร์บอนน้ัน ประมาณ 55 % ออกมาจากทอไอเสีย 25 % ออกมาจากห้องเพลา ข้อเหวี่ยง และอีก 20 % เกิดจากการระเหยในคาร์บูเรเตอร์ และถังเชื้อเพลิง ออกไซด์ของไนโตรเจนคือ ไนตริกออกไซด์ (NO) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) และไนตรัสออกไซด์ (N2O) เกอื บท้ังหมดออกมาจากท่อไอเสีย เป็นพิษต่อมนุษย์ โดยตรง นอกจากนีส้ ารตะกั่วในน้ามนั เบนซนิ ชนิดซุปเปอร์ยังเพมิ่ ปรมิ าณตะกวั่ ในอากาศอกี ด้วย 2. ควันไฟ และกา๊ ซพษิ จากโรงงานอตุ สาหกรรม - จากโรงงานผลติ สารเคมี ไดแ้ ก่ โรงกลนั่ นา้ มัน โรงผลติ ไฟฟา้ โรงงานทาเบยี ร์ โรงงาน สรุ า โรงงานนา้ ตาล โรงงานกระดาษ โรงงานถลุงแร่ โรงงานยอ้ มผา้ โรงงานทาแก้ว โรงงานผลติ หลอดไฟ โรงงานผลติ ปยุ๋ และ โรงงานผลติ กรด - พลังงานทเ่ี กิดจากสารเผาไหมเ้ ช้ือเพลิง เชน่ ถา่ นหนิ นา้ มนั ก๊าซธรรมชาติ ทาใหเ้ พ่ิมสาร ตา่ ง ๆ ในอากาศ อาทิ สารไฮโดรคารบ์ อนตา่ ง ๆ ออกไซด์ของไนโตรเจน และ กามะถันในบรรยากาศ 3. แหลง่ กาเนดิ ฝ่นุ ละอองต่าง ๆ ไดแ้ ก่ บรเิ วณทก่ี าลงั กอ่ สรา้ ง โรงงานทาปูนซเี มนต์ โรงงาน โม่หนิ โรงงานทอผ้า โรงงานผลติ โซดาไฟ เหมืองแร่ เตาเผาถ่าน โรงคา้ ถ่าน เมรเุ ผาศพ 4. แหลง่ หมักหมมของสงิ่ ปฏิกลู ไดแ้ ก่ เศษอาหาร และขยะมูลฝอย 5. ควันไฟจากการเผาปา่ เผาไรน่ า และจากบหุ รี่ 6. การทดลองอาวุธนวิ เคลยี ร์ กอ่ ใหเ้ กดิ ละอองกัมมนั ตรงั สี 7. การตรวจและรกั ษาทางรังสวี ทิ ยา การใชเ้ รดโิ อไอโซโทป ทข่ี าดมาตรการท่ีถกู ต้องในการ ปอ้ งกนั สภาวะอากาศเสยี 8. อากาศเสียที่เกิดจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ไฟป่า กัมมันตรังสีท่ีเกดิ ตามธรรมชาติ ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ความเป็นพิษเน่ืองจากสาเหตุข้อน้ีค่อนข้าง น้อยมาก เน่ืองจากต้นกาเนดิ อยู่ไกล จึงเข้าสสู่ ภาวะแวดลอ้ มของมนษุ ย์และสตั วไ์ ดน้ ้อย ผลกระทบของมลพษิ ทางอากาศ 1. ทาลายสขุ ภาพ อากาศเสียทาให้เกดิ โรค แพอ้ ากาศ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรค เก่ียวกับการ ไหลเวยี นของโลหติ ผลที่เกดิ ในระยะยาวอาจทาใหถ้ งึ ตายได้ 2. ทาลายสงิ่ ก่อสร้างและเครอ่ื งใช้โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่ทาด้วยโลหะทาให้เกิดการสึกกร่อน ทาให้ หนงั สอื และศิลปกรรมต่าง ๆ เสยี หาย 3. ทาให้ทัศนวิสัยเลวลง และมีผลทาให้อุณหภูมิอากาศลดต่าาลงกว่าปกติได้ ทัศนวิสัยเลวลง กอ่ ให้เกดิ อุบตั ิเหตทุ ั้งในอากาศ ท้องถนน และท้องนา้ สาเหตแุ ละผลกระทบของมลพษิ ทางดิน สาเหตุของมลพษิ ทางดนิ ปัญหาทเ่ี กิดขนึ้ บนดิน แยกไดเ้ ปน็ สองประเภทคือ 1. สภาพธรรมชาติ ไดแ้ ก่ สภาพที่เกดิ ตามธรรมชาติของบริเวณนน้ั ๆ เช่น บริเวณทม่ี เี กลอื ใน ดินมาก หรือบริเวณที่ดินมีความหนาแน่นน้อย เป็นต้นทาให้ดินบริเวณน้ันไม่เหมาะ แก่การเจริญเติบโตของพืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง เช่นพายุน้าท่วมก็ทาให้ ดินทรายถูกพัดพาไปได้ส่ิงปฏิกูลที่มีชีวิต ซึ่ง ได้แก่

84 ส่ิงมีชีวิตท่ีอยู่ในดินหรือถูกใส่ในดินทาให้ดินเสียได้โดยอาจเป็นตัวก่อโรคหรือก่อความกระทบกระเทือนต่อ ความเป็นอยู่ของสง่ิ มีชีวติ 2. การกระทาของมนุษย์ สว่ นมากมักเกิดเนอื่ งจากความรเู้ ทา่ ไมถ่ งึ การณ์ มงุ่ แตจ่ ะดดั แปลง ธรรมชาติ เพอื่ หวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนงึ่ โดยไมค่ านงึ ถึงผลเสียทเ่ี กิดขึ้นภายหลัง ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1) การใช้สารเคมีและสารกัมมันตรังสี สารเคมี ได้แก่ ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช สารเคมีเหล่าน้ี บางชนดิ ไม่สะสมในดินเพราะแบคทีเรียในดินทาลายได้แต่พวกคลอริเนทเตด ไฮโดรคาร์บอน (chlorinated hydrocarbon) และสารประกอบ คลอริเนทเตด ฟีนอกซี (chlorinated phenoxy) บางชนิดคงทนในดิน เพราะแทรกในตะกอนหรือดินเหนียวได้ดีทาให้แบคทีเรียทาลายได้ ยาก ยาปราบวัชพืชบางชนิด เช่น ยาฆ่า แมลงประเภทดีดีที และดีลดริน ทนทานต่อการถูก ทาลายในดินมาก จึงสะสมเพิ่มปริมาณในห่วงโซ่อาหาร ตามลาดับขัน้ ต่าง ๆ โดยถ่ายทอด ผา่ นกนั เป็นขนั้ ๆ ส่วนสารเคมีจากโรงงานหรอื สถานวจิ ยั ต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็น น้ายาเคมี หรือโลหะท่ีเป็นเศษท่เี หลือทิ้งหลังจากแยกเอาสิ่งที่ตอ้ งการออกแล้ว เช่น โรงงานถลุง โลหะต่าง ๆ หรือโรงงานแยกแร่ รวมทั้งสารกัมมันตรังสีต่าง ๆ เช่น พวกที่มากับฝุ่น กัมมันตรังสีจากการทดลองระเบิด ปรมาณู จากของเสยี ทท่ี ิง้ จากโรงงาน และสถานวิจัยท่ี ใช้กมั มนั ตรังสี สารเคมเี หลา่ นบี้ างชนิดเป็นอันตรายต่อ สิ่งมีชีวิตโดยตรงบางชนดิ เปลยี่ น สภาวะของดนิ ทาให้ดนิ เป็นกรดหรอื ด่าง พืชจึงไมเ่ จรญิ เตบิ โต 2) การใสป๋ ุย๋ เมื่อใสป่ ๋ยุ ลงในดนิ สิง่ ท่คี าดว่าจะเกดิ ขึน้ ก็คือ การสะสมของสารเคมีโดย เฉพาะอย่างยิ่ง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม การสะสมนี้อาจถึงขั้นเป็นพิษได้ ปุ๋ยบางชนิดที่นิยมใช้กันมาก เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต จะถูกแบคทีเรียในดินย่อยสลาย ในปฏิกิริยารีดักชันได้ก๊าซไฮโดรเจน ซัลไฟด์ ซ่ึงเป็น อันตรายตอ่ ระบบการหายใจ ของรากพืช ทาให้ดดู แรธ่ าตตุ ่าง ๆ ไดน้ อ้ ยลง 3) นา้ ชลประทาน ดินเป็นพิษจากนา้ ชลประทานได้เน่ืองจากน้าท่ีมีตะกอนเกลือ และสาร เคมีอ่ืน ๆ รวมทัง้ ยาฆ่าแมลงปะปนมาด้วย เพราะนา้ ไหลผา่ นบรเิ วณตา่ ง ๆ ยิ่งถ้าไหลผ่าน บริเวณที่ดินอยู่ในสภาพท่ีถูก กดั กรอ่ นได้งา่ ย บรเิ วณทมี่ ีเกลือมาก ๆ และมกี ารใช้ยาปราบ ศตั รูพชื กนั อย่างกว้างขวางแล้ว น้าก็จะยิ่งทาให้ ดนิ ท่ีได้รบั การทดน้านนั้ มีโอกาสได้รบั สารพิษมากข้นึ นอกจากนนี้ า้ ชลประทานทาให้ดนิ เปน็ พิษอกี ได้ โดยเมื่อ ทดน้าชลประทานเขา้ ไปในไร่นาหรือบริเวณใดก็ตาม นา้ จะไหลซมึ ลงสเู่ บอ้ื งล่างละลายเอาเกลือซ่งึ สะสมในดนิ ชน้ั ลา่ ง ๆ ข้ึนมาปะปนในดินช้นั บน เม่อื หยุดการทดน้า น้าทขี่ ังที่ผิวดินบนระเหยแหง่ ไป นา้ ท่เี ตม็ ไปดว้ ยเกลอื ก็ จะเคลือ่ นข้นึ สู่ดินบนแทน และเม่ือน้าแห่งไปก็จะเหลอื สว่ นท่เี ป็นเกลือ สะสมอยูท่ ่สี ่วนของผวิ ดิน 4) การใช้ยาปราบศัตรูพืชและสัตว์ ดินบริเวณที่มีการเพาะปลูกสะสมสารพิษจากยาปราบ ศัตรูพืช มากกว่าบริเวณอ่ืน ๆ ยาปราบศัตรูพืชบางชนิดเม่ือคลุกเคล้าลงในดินแล้วจะเกิด ปฏิกิริยาเคมีขึ้นและสูญ หายไปจากดนิ แตบ่ างชนิดคงทนต่อการสลายตวั และสะสมอยู่ ในดินเปน็ เวลานาน ๆ เช่นประเภทที่มีตะกั่วอา เซนกิ ทองแดง หรอื ปรอทผสมอยู่ สาร เหล่านมี้ คี ร่ึงชีวติ (half life = เวลาท่ีฤทธ์ิของยาปราบศัตรูพืชจะหมด ไปครง่ึ หน่งึ เมื่อผสม คลุกเคล้ากบั ดิน) สงู ถึง 10-30 ป. รองลงไปไดแ้ ก่พวกดลี ดรนิ บีเอชซี เปน็ ต้น 5) การทง้ิ ขยะมูลฝอยและของเสยี ต่าง ๆ ลงในดินขยะส่วนใหญ่จะสลายตัวให้สารประกอบ อินทรีย์ และอนินทรีย์มากมายหลายชนิดด้วยกันแต่ก็มีขยะบางชนิดที่สลายตัวยาก เช่น วัสดุที่ทาด้วยผ้าฝ้าย หนัง พลาสติก โลหะ ขยะประเภทนี้ถ้าทาลายโดยการ เผาจะเหลือเกลือ โดยเฉพาะเกลือไนเตรตสะสมอยู่เป็น จานวนมาก แล้วละลายไปตาม น้า สะสมอยู่ในบริเวณใกล้เคียงการทิ้งของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ เป็นแหล่งผลิตของเสียที่สาคัญย่ิง โดยเฉพาะของเสียจาก โรงงานท่ีมีโลหะหนัก ปะปน ทาให้ดินบริเวณน้ันมีโลหะหนักสะสมอยู่มาก โลหะหนักที่สาคัญได้แก่ ตะก่ัว ปรอท และแคดเมี่ยม สาหรับในประเทศไทยเทา่ น้นั ทมี่ ี รายงานพบว่าการเสอ่ื มคุณภาพของดินเนือ่ งจากตะก่ัว คือโรงงานถลุงตะก่ัว จาก ซากแบตเตอรเี่ กา่ ทตี่ าบลครใุ น อาเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ ได้นาเอากาก ตะกั่วหรือเศษ

85 ตะก่วั ที่ไม่ใชป้ ระโยชนม์ าถมทาถนน ทาให้ดินบริเวณน้ันเกิดสภาพ เป็นพิษ เป็นอันตรายต่อพืชและผู้บริโภค ของเสียจากสัตว์ การเสื่อมคุณภาพของดินเนื่องจากของเสียจากสัตว์นั้นพบมากในบริเวณที่ เล้ียงสัตว์เป็น จานวนมาก เพราะส่ิงขับถา่ ยของสตั วท์ ่นี ามากองทับถมไว้ทาให้จุลนิ ทรยี ์ ยอ่ ยสลายได้เป็นอนุมูลไนเตรต และ อนมุ ูลไนไตรต์ ถา้ อนุมูลดังกลา่ วนี้สะสมอยมู่ าก ในดินบริเวณนั้นจะเกดิ เปน็ พิษได้ 6) การเพาะปลกู ดนิ ทีใ่ ช้ในการเพาะปลกู เป็นเวลานาน ๆ โดยมไิ ด้คานึงถงึ การบารุงรักษา อย่างถกู วิธี จะทาใหแ้ รธ่ าตใุ นดนิ ถกู ใชห้ มดไป จนในทสี่ ุดไมอ่ าจปลูกพชื ไดอ้ ีก 7) การหกั รา้ งถางป่า เป็นผลทาใหเ้ กดิ ความเสยี หายกบั ดินไดท้ าให้ดินปราศจากพืชปกคลุม หรือไม่มี รากของพืชยดึ เหนยี่ ว เกิดการสูญเสียหนา้ ดินและเกดิ การพังทลายได้งา่ ย ในที่สุดบรเิ วณน้ันจะกลายเป็นท่แี ห้ง แล้ง เมื่อมีฝนตกก็จะเกิดพายุอย่างรุนแรงและมี น้าท่วมฉับพลันได้ ดังตัวอย่างความเสียหายในจังหวัด นครศรีธรรมราช เม่ือเดอื น ธันวาคม พ.ศ. 2531 ความเสยี หายในจงั หวดั ชมุ พรและประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดือน พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2532 ผลกระทบจากมลพิษทางดิน 1. อันตรายตอ่ มนุษย์ ดินทาให้เกิดพิษต่อมนุษย์โดยทางอ้อม เช่น พิษจากไนเตรต ไนไตรท์ หรือยา ปราบศัตรพู ชื โดยไดร้ บั เขา้ ไปในรูปของนา้ ด่มื ที่มสี ารพษิ ปะปน โดยการรับประทาน พืชผกั ท่ีปลกู ในดินท่มี ีการ สะสมตัวของสารท่มี ีพิษ 2. อันตรายตอ่ สัตว์ ดนิ ท่เี ป็นพษิ ทาให้เกิดอันตรายต่อสัตว์คล้ายคลึงกับของมนุษย์ แต่สัตว์มี โอกาส ไดรั บั พิษมากกวา่ เพราะกินนอน ขดุ ค้ยุ หาอาหารจากดินโดยตรง นอกจากนี้การ ใช้ยาฆ่าแมลงท่ีไม่ถูกหลัก วชิ าการยงั เปน็ การทาลายแมลงทีเ่ ป็นประโยชน์ เชน่ ตัวห้า ทาใหผ้ ลผลิตทางการเกษตรลดลงได้ สาเหตุและผลกระทบของมลพษิ ทางขยะ สาเหตุของมลพิษทางขยะ ขยะเป็นปัญหาสาคญั ของหลาย ๆ ท้องถิ่นเกือบทั่วโลก ขยะส่วนใหญ่มักจะถูกทิ้งลงในดิน ขยะบาง ชนิดสลายตัวให้สารประกอบอินทรีย์และสารประกอบอนินทรีย์แต่ขยะบางชนิดสลายตัวยากเช่น หนัง พลาสติก โลหะ ฯลฯ ขยะประเภทนถี้ า้ ทาลายโดยการเผาจะได้สารประกอบ ประเภทเกลือเช่น เกลือไนเตรต สะสมอยู่ในดนิ เป็นจานวนมากขยะทีไ่ ด้เกิดกระบวนการ ผลติ ทางอตุ สาหกรรม โดยเฉพาะขยะจากเทคโนโลยี อุตสาหกรรมกาลงั เพิม่ ขน้ึ อยา่ ง รวดเร็ว มีความเป็นพิษสงู และย่อยสลายยากเช่น ขยะจากโรงงานอุตสาหกรรม ทีม่ ี โลหะหนัก เช่น ตะกัว่ ปรอท แคดเมยี ม เม่อื ทิ้งลงดนิ ทาใหด้ ินบรเิ วณนน้ั มีโลหะหนกั สะสมอยู่มาก สาหรับ ในประเทศไทยเทา่ ที่มรี ายงานพบวา่ มกี ารเส่ือมคณุ ภาพ ของดินจากตะกั่วเนือ่ งจากโรงงานถลุงตะกั่วจากซาก แบตเตอร่เี กา่ ทจ่ี งั หวัดสมทุ รปราการ นาเอากากตะกว่ั ทไี่ มไ่ ดใ้ ช้ประโยชน์มาถมทาถนน ทาให้ดนิ บริเวณน้ันเกดิ สภาพเป็นพิษ เป็นอันตรายต่อพืชและ ผู้บริโภคนอกจากน้ีประเทศไทยยังประสบปัญหาขยะอุตสาหกรรมท่ี นาเข้ามาจากตางประเทศ ในรูปของสนิ ค้าเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า อะไหล่อุตสาหกรรม เช่น ยางรถยนต์เก่า แบตเตอร่ี เก่า ถงุ มอื ยางใช้แล้ว ถูกนาเขา้ มาทง้ิ ในประเทศไทยอกี เป็นจานวนมากมาย ผลกระทบจากมลพษิ ทางขยะ 1. อากาศเสีย เกิดจากการเผาขยะกลางแจ้งก่อให้เกิดควันและสารพิษทางอากาศ ทาให้คุณภาพ อากาศเสือ่ มโทรม 2. น้าเสยี เกิดจากการกองขยะบนพื้น เมือ่ ฝนตกลงมาบนกองขยะ จะเกดิ น้าเสียมีความ สกปรกมาก ไหลลงสู่แมน่ ้า

86 3. แหลง่ พาหะนาโรค เกิดจากการกองขยะบนพน้ื ทาใหเ้ กดิ แหล่งเพาะพนั ธขุ์ องหนูและ แมลงวัน เป็น ต้น ซึง่ เปน็ พาหะนาโรคติดตอ่ ทาให้มผี ลกระทบต่อสขุ ภาพ อนามยั ของ ประชาชน 4. เหตุราคาญและความไม่น่าดู เกิดจากการเก็บขนขยะไม่หมด รวมท้ังการกองขยะบนพื้น ส่งกลิ่น เหมน็ รบกวนประชาชนและเกิดภาพไม่สวยงาม ไม่เป็นสุนทรียภาพ นอกจากปัญหาส่ิงแวดล้อมข้างต้นแล้ว ขยะยงั เปน็ ตวั การเปน็ ตวั การสาคัญสาหรับปัญหาการ จัดการขยะของหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ ซ่ึงจะต้องเพิ่ม ปรมิ าณบุคลากร อปุ กรณ์การจัดการขยะรวมท้งั การใหค้ วามรู้ทางวิชาการและเทคโนโลยีแก่เจา้ หน้าที่เพิ่มขึ้น ตามการเพม่ิ ขึน้ ของปรมิ าณขยะ สาเหตแุ ละผลกระทบของมลพิษทางความร้อน สาเหตขุ องมลพิษทางความร้อน 1. ชนดิ ของก๊าซที่ปกคลุม กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละคาร์บอนมอนอกไซดร์ วมตัวกัน เป็นกลุ่มอย่าง หนาแน่นเปน็ ช้นั อยใู่ นบรรยากาศ กลมุ่ ก๊าซนีจ้ ะสกดั ความรอ้ นทีส่ ะท้อนจากวัตถุบน ผิวโลก ทาให้ผิวโลกร้อน ระอุ กลมุ่ กา๊ ซหรือชั้นของก๊าซสามารถสกัดก้ันความร้อนไว้ได้ เน่ืองจาก แสงท่ีส่องจากดวงอาทิตย์ เป็นรังสี คลน่ื สน้ั สามารถผ่านกลุม่ หรือชน้ั ของก๊าซลงมาได้ เมื่อรังสีคล่ืน ส้ันกระทบผิววัตถุบนผิวโลก รังสีคลื่นสั้นจะ เปลยี่ นเปน็ รังสคี ล่นื ยาวสะทอ้ นกลับข้ึนไป รังสคี ล่ืน ยาวที่สะทอ้ นกลบั ขน้ึ ไปนไ้ี ม่สามารถผา่ นกลุ่มหรอื ช้ันของ ก๊าซไปได้ จึงเกิดสะสมภายใต้ก๊าซท่ีปก คลุมอยู่ ปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกว่า อิทธิพลเรือนกระจก (Green house effect) เพราะเหมือนกับที่ ปรากฏในเรือนกระจกท่ีมีวัตถุโปร่งแสง เช่น พลาสติกปกคลุม นับวัน ปรากฏการณน์ ีม้ แี นวโนม้ รุนแรงขึน้ เน่อื งจากมกี ารปลอ่ ยกา๊ ซคาร์บอนไดอออกไซด์สู่บรรยากาศเพิ่มข้ึนปีละ 20-25 % 2. การใช้สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (Chlorofluoro carbon หรือ CFC ) ซ่ึงมนุษย์นามาใช้ ใน กระปอ๋ งสเปรย์ อุตสาหกรรมหลอ่ เย็น โฟม และอ่ืนๆ รวมทงั้ ใช้ในการทาความสะอาดช้ินสว่ น เล็กๆ ของเครอ่ื ง อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และคอมพวิ เตอร์ สารตัวนี้เป็นก๊าซเฉอื่ ย (Inert gas) มคี วามคงตัวสงู มาก สามารถลอ่ งลอยอยู่ ในบรรยากาศจนถึงชั้นโอโซนซ่ึงอยู่เหนือพื้นโลก ทาให้โมเลกุลของ โอโซนกลายเป็นออกซิเจนและ สารประกอบอื่นๆ ซ่ึงจะทาให้ช้ันของโอโซนบางลง เป็นเหตุให้ ปริมาณรังสีจากดวงอาทิตย์รวมท้ังรังสี อนิ ฟราเรดทเ่ี ปน็ รังสีความรอ้ นสามารถผา่ นช้นั โอโซนมายัง โลกได้มากขน้ึ ทาให้โลกรอ้ นขึ้น 3. ความรอ้ นจากดนิ และส่ิงก่อสรา้ ง ไดจ้ ากแสงดวงอาทิตย์ในตอนกลางวัน ความร้อนท่ี คายออกมา เป็นไปในอัตราต่า เมื่อไม่มีแสงอาทิตย์ ความร้อนในอากาศลดลง ความร้อนจากดิน และสิ่งก่อสร้างจึงคาย ออกมาในอตั ราทีส่ งู แตจ่ ะคายได้ดีแค่ไหนข้ึนกับสมั ประสิทธข์ิ องการนา ความรอ้ นของดนิ และส่ิงกอ่ สร้างนั้นๆ (ดินเปยี กคายความรอ้ นได้เรว็ กว่าดินแหง้ ) ไมค่ ายความรอ้ น ได้เร็วกว่าทรายและซีเมนต์) 4. ความร้อนจากเครื่องทาความเย็น ตู้เย็น เคร่ืองทาน้าแข็ง เครื่องปรับอากาศ และโรงงาน อุตสาหกรรม การทางานของตเู้ ยน็ เครือ่ งทาน้าแข็งและเครอื่ งปรบั อากาศ ต่างอาศัยหลักการทางาน เดียวกัน คือดูดความร้อนจากภายในแล้วคายความร้อนออกสู่ส่ิงแวดล้อมภายนอก ทาให้อุณหภูมิ ของบรรยากาศ ภายนอกสูงข้ึน ความร้อนจากโรงงานอุตสาหกรรมและสถานท่ีที่มีการเผาไหม้อื่นๆ เกิดเนื่องจากการใช้ พลังงานในการเผาไหม้ การจุดระเบดิ ของเคร่อื งทนุ่ แรงตา่ งๆ 5. ความร้อนจากความร้อนแฝง ในบริเวณเขตร้อนมักมีเมฆมากและก่อตัวเป็นเวลานานๆ ทาให้ บรรยากาศรอ้ นอบอา้ ว ความร้อนนี้เรียกว่า ความรอ้ นแฝง เกิดเน่ืองจากความร้อนที่คายออก มาขณะท่ีไอน้า กล่นั ตัวเป็นของเหลวก่อนที่จะรวมตัวเปน็ หยดน้าตกลงเป็นฝน

87 ผลกระทบของมลพิษทางความรอ้ น ผลกระทบของความรอ้ นมหี ลายประการ ไดแ้ ก่ 1. ผลกระทบตอ่ สุขภาพและการทางานของมนุษย์ 1) ทางดา้ นสรีระ ทาใหร้ ะบบขับถา่ ยนา้ จากรา่ งกายทางานหนักผดิ ปกติ ปวดศีรษะ เบ่ืออาหาร อ่อนเพลยี กระเพาะอาหารทาหนา้ ท่ไี มป่ กติ 2) ทางด้านจิตใจ ความรอ้ นทาให้อารมณห์ งดุ หงิด โกรธงา่ ย คลมุ้ คล่งั 3) การทางาน ทาใหป้ ระสทิ ธภิ าพในการทางานลดตา่ ลง 2. ผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกจิ และสงั คม ในปัจจบุ ันชว่ งฤดูร้อนของประเทศไทยและหลายๆ ประเทศในแถบศูนย์สตู ร จะมีอณุ หภูมิ สงู เกินกว่า 40 องศาเซลเซียส ทาให้ต้องหันมาอาศัยอุปกรณ์ระบายความร้อนท้ังในบ้านเรือนและท่ีทางาน เช่น พัดลม และเคร่ืองปรับอากาศ ทาให้ตอ้ งสญู เสยี ทรัพยากรซ่ึงเป็นแหล่งพลงั งานมากขนึ้ นอกจากนน้ั ในภมู ปิ ระเทศท่ีมี อณุ หภูมริ ้อนจดั หรอื หนาวเยน็ จดั อาจทาใหม้ นุษย์ สัตว์ และพืชตายได้ หรือมนุษย์มีการย้ายถิ่นฐานหลบหนี อากาศที่ผดิ ปกตินัน้ ทาใหเ้ กิดปญั หาสังคมและสญู เสีย ด้านเศรษฐกิจตามมา 3. ผลกระทบต่อสงิ่ แวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ 1) ระดับน้าทะเลสูงข้ึน เน่ืองจากความร้อนทาให้น้าทะเลขยายตัวและน้าแข็งแถบ ขั้วโลกละลาย นักวทิ ยาศาสตร์คาดวา่ หากน้าแข็งในทะเลขยายตวั และน้าแข็งแถบข้ัวโลกใต้ละลาย หมด ระดับน้าทะเลอาจ เพ่ิมสงู ข้นึ ถงึ 3 เมตร หรอื มากกว่าน้ี 2) การแปรปรวนของอากาศ และเอลนิโน (El Nino-oscillation) ซ่ึงเป็นระบบการ เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิในคาบสมทุ รแปซิฟก จากการเฝา้ สังเกตของนักวิทยาศาสตร์พบว่า พายุ ไซโคลนบริเวณหมู่เกาะฟูจิ เพิ่มความถี่จาก 3.1 คร้ังต่อ 10 ปี ในทศวรรษ 1940 เป็น 15 คร้ัง ใน ทศวรรษ 1980 แสดงว่าความ แปรปรวนของอณุ หภมู ิสงู ขึน้ เนื่องจากบรรยากาศของโลกร้อนข้ึน 3.3 ความแห้งแล้งของแหล่งน้า เนื่องจาก แหล่งน้าจืดต่างๆ จะได้รับผลกระทบจากน้า ทะเลหนุน และเกิดความเปลี่ยนแปลงของแหล่งน้าต่างๆ ไ ด้ เนอื่ งจากการระเหยน้าทเ่ี ร็วขึ้นและการ ตกกระจายของฝนไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ทาให้เกิดความแห้งแล้งใน บางบรเิ วณและเกดิ แหลง่ นา้ ใหม่ ในบางท้องท่ี สาเหตุและผลกระทบของมลพษิ ทางเสียง สาเหตขุ องมลพษิ ทางเสยี ง เสียงที่ดงั เกนิ ความจาเปน็ จนก่อใหเ้ กิดผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพอนามัยของคน มาจากแหลง่ ต่าง ๆ มากมาย ทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 1. การคมนาคม มกี ารใชร้ ถจักรยานยนต์ รถสามลอ้ เครอ่ื ง รถยนต์ รถบรรทกุ และเคร่ืองบิน เพม่ิ มาก ขน้ึ ทาใหร้ ะดับเสียงเพม่ิ มากขึ้นเชน่ กนั อาจจาแนกให้เหน็ ได้ดังน้ี รถจักรยานยนต์ รถสามลอ้ เครอ่ื ง (ต๊กุ ๆ) มรี ะดับเสียง 35 เดซเิ บล (decibel, dB) รถยนต์ มีระดับเสยี ง 60 - 25 เดซเิ บล รถบรรทกุ มรี ะดบั เสียง 95 - 120 เดซเิ บล รถไฟว่งิ หา่ ง 100 ฟตุ มีระดบั เสียง 60 เดซเิ บล เคร่ืองบนิ มีระดับเสียง 100 - 140 เดซิเบล สานักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้กาหนดค่าระดับเสียงในย่านท่ีอยู่อาศัยใน เวลา กลางวันและกลางคืนไว้ ไม่เกิน 60 เดซิเบลและ 55 เดซิเบล ตามลาดับ สาหรับระดับเสียงที่ประกาศโดย

88 พนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักร อันเกิดจากเคร่ืองยนต์ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของรถยนต์ จักรยานยนต์ใน สภาพปกตไิ ม่เกนิ 95 เดซิเบล เม่ือวดั ระดับเสยี งดว้ ยเคร่ืองวัดเสยี งในระยะห่าง 7.5 เมตร โดยรอบ 2. โรงงานอตุ สาหกรรม เป็นเสียงทีเ่ กิดจากการทางานของเครื่องจกั รขนาดต่าง ๆ ซ่ึงทาให้เกิดระดับ เสยี งแตกต่างกันไปตัง้ แต่ 60 เดซเิ บล จนถึง 120 เดซิเบล แล้วแต่ขนาดแรงมาของเคร่ืองจักร วัสดุท่ีใช้ทาฝ้า หรือเพดานโรงงาน รวมทัง้ สภาพแวดลอ้ มของโรงงานด้วย 3. จากครวั เรือน เปน็ เสยี งท่เี กดิ จากเครอ่ื งมอื เครื่องใช้ภายในบา้ น เชน่ เครอื่ งตัดหญ้า เคร่ือง ดูดฝุ่น เคร่อื งขดั พน้ื วทิ ยุ และโทรทัศน์ ทาให้เกิดระดบั เสยี งประมาณ 60 -70 เดซเิ บล 4. เสียงรบกวนทเี่ กิดจากสาเหตอุ ื่น ๆ ได้แก่ การโฆษณา ฟ้าร้อง ฟ้าผา่ และเสียง ทะเลาะ ววิ าท ผลกระทบของมลพิษทางเสยี ง ข้อกาหนดขององคก์ ารอนามยั โลก สาหรบั ระดับเสียงท่ีปลอดภัยคือ ไม่เกิน 85 เดซิเบล เม่ือ สัมผัส วนั ละ 8 ชัว่ โมง อันตรายที่เกิดจากมลพิษของเสียง ถ้าให้สัมผัสวันละหลาย ๆ ชั่วโมง เป็นเวลานาน ๆ ก็จะ ก่อให้เกิดอนั ตรายท่ีพอจะจาแนกได้ดังนี้คอื 1. ผลต่อจติ ใจ - ก่อใหเ้ กดิ อาการหงุดหงิด ราคาญใจ ประสาทเครยี ด - กอ่ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ - ก่อใหเ้ กดิ การคล้มุ คลัง่ เสียสมาธิ 2. ผลตอ่ รา่ งกาย - ทาให้หวั ใจเต้นแรง อตั ราการหายใจเปลยี่ นแปลง - ทาใหเ้ กดิ กรดในกระเพาะมากกวา่ ปกติ เปน็ โรคแผลในกระเพาะและโรคกระเพาะ อาหาร - ทาใหค้ วามดนั โลหิตสงู - ทาใหก้ ลา้ มเนื้อกระตกุ เกดิ อาการเหนื่อยหอบและแพ้ - ทาให้นอนไมห่ ลบั - ทาใหป้ ระสาทหูเสอื่ ม อาจทาใหห้ พู กิ าร หูตึง หหู นวก 3. ผลตอ่ การทางาน ทาใหป้ ระสทิ ธภิ าพของการทางานลดลง การติดตอ่ ประสานงาน ล่า ช้า บางคร้ัง เกดิ การผิดพลาดทาใหง้ านเสีย หรืออาจทาใหเ้ กดิ อบุ ตั ิเหตไุ ด้ 4. ผลต่อการสอ่ื สาร เสยี งดงั กว่าปกติอาจรบกวนต่อการสื่อสาร การรับสัญญาณ และการรับ คาสั่ง ต่าง ๆ อันอาจก่อให้เกิดอุบัตเิ หตไุ ด้ 5. เกิดความเสียหายต่อวตั ถุ เสยี งท่ีมรี ะดับสูง เช่น เสยี งจากเครื่องบนิ ชนิดเรว็ กวา่ เสยี ง ทา ใหเ้ กิดการ ส่นั สะเทอื น บางครั้งยังมีความดนั ทาใหอ้ ากาศมีความดันสูงข้ึนระหว่าง 1-10 ปอนด์ต่อตา รางฟุต ทาให้วัตถุ หรอื ส่งิ กอ่ สร้างบางชนดิ เชน่ กาแพง ฝาผนัง หลังคา และหนา้ ต่าง สัน่ ไหวได้ หน้า ตา่ งกระจกถูกทาลายได้ สาเหตุและผลกระทบของมลพิษทางรงั สี สาเหตขุ องมลพษิ ทางรังสี ปจั จบุ นั ไดม้ ีการนาสารกัมมนั ตภาพรังสมี าใช้ประโยชนท์ างการแพทย์ การอตุ สาหกรรม พลังงาน และ อาวธุ ซงึ่ บางครง้ั ก็อาจก่อใหเ้ กิดโทษได้ ดังตวั อยา่ ง การระเบิดของโรงไฟฟ้าท่ใี ช้ พลังงาน นิวเคลียร์ เม่ือวันท่ี 26 มนี าคม ค.ศ. 1986 ทเี่ มอื งเชอร์โนบลิ สหภาพโซเวยี ต ก่อใหเ้ กิดความ เสียหายแก่ทรัพย์สินและชีวิต บาง คนเสยี ชวี ติ ทันที บางคนไดร้ ับบาดเจบ็ จากการรับ สารกัมมันตรังสี มากบ้างน้อยบ้าง สารกัมมันตภาพรังสีที่ นามาใช้กันในขณะนี้ เช่น สตรอนเทียม –90 (90 Sr) และ ซีเซียม –137 (137 Ce)

89 สตรอนเทียม –90 เป็นสารท่ีมีคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์คล้ายแคลเซียม และมีวัฏจักรควบ คู่กันไปกับ แคลเซียม สตรอนเทยี ม –90 และซเี ซยี ม –137 ซง่ึ เปน็ ผลพลอยไดจ็ ากปฏกิ ริ ิยานิวเคลียรไ์ ด้ เพิ่มข้ึนจากเดิมท่ี มอี ยูต่ ามธรรมชาตติ งั้ แตป่ ี ค.ศ. 1963 เมอ่ื เริ่มมีการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ใน บรรยากาศ แม้ว่าปัจจุบันจะมี การหา้ มทดลองอาวุธนิวเคลยี รใ์ นบรรยากาศแลว้ ก็ตาม แต่บางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ก็ยังดึงดันทดลองเม่ือปี ค.ศ. 1968 ท่ีหมู่เกาะบิกินใี นมหาสมทุ ร แปซิฟิกตอนใตโ้ ดยผ่านเขา้ และสะสมในห่วงโซอ่ าหารเชน่ เดยี วกับการ สะสมของดีดที ี จากการศกึ ษา ในสหราชอาณาจักรพบว่า สตรอนเทียม –90 สะสมอยใู่ นหญา้ ถงึ 21 เท่าของท่ี สะสมอยู่ ในดนิ และสะสมในแกะถึง 700 เทา่ ของที่สะสมอยใู่ นหญา้ สตรอนเทยี ม –90 ถ้าไปตกในท่ีไกล เช่น เขตทนุ ดรา ก็สามารถดูดซึมโดยไลเคน ซึ่งสง่ ตอ่ ไปทางห่วงโซ่อาหารถึงกวางคาริบูและ เรนเดียร์ เม่ือ มนุษย์ กนิ เนือ้ หรือนมของสตั ว์เหลา่ นีก้ จ็ ะสะสมสตรอนเทยี ม –90 ไวใ้ นกระดูก ในสว่ นอื่นของ โลก สตรอนเทยี ม –90 กถ็ ูกดดู ซมึ โดยหญ้าแล้วสะสมอยใู่ นปศสุ ตั ว์ ดงั น้นั กส็ ามารถเข้าสมู่ นุษย์ไดใ้ น ทานองเดียวกนั สาเหตุและผลกระทบของมลพษิ ทางอาหาร 1. สารปรงุ แตง่ และถนอมอาหาร สารเคมเี รียกว่า วตั ถุเจือปนในอาหาร (Food additive) ซ่งี หมายถึงสารทโี่ ดยปกตแิ ลว้ ไม่ บริโภคเป็น อาหาร และไมใ่ ช้เปน็ ส่วนผสมของอาหารธรรมดา แต่เป็นสารท่ีเติมในอาหารเพื่อวัตถุ ประสงค์ทางด้านของ กรรมวธิ ีการผลติ ในอุตสาหกรรมอาหาร เชน่ เพ่ือวัตถุประสงคแ์ ตง่ รส เพ่ิม ความคงตัว กันบูด กันเสีย กันหืน เปน็ ต้น 2. สารเจือปนหรอื สารปนเป้ือนในอาหาร สารเจอื ปนหรือสารปนเป้ือนในอาหาร แบง่ เปน็ 2ประเภท ไดแ้ ก่ 1) สารที่เกิดจากกระบวนการผลติ การบรรจุและการปรงุ อาหาร ได้แก่ สารท่ใี สใ่ น กระบวนการผลิต อาหาร เช่น สารทาใหเ้ ป็นเน้อื เดยี วกัน (emulsifier) เช่น เลซิติน (lecithin) โปรไพลีนไกลคอล (propylene glycol) หรือสารท่ีทาให้เกิดการคงตัว หรือมีความหนืด เช่น กัมอราบิค (gum arabic) เจลาติน (gelatin) ว.ุ นสกดั จากสาหรา่ ย สารบางชนิดเกิดจากการละลายของภาชนะบรรจุอาหารและเป็นพิษต่อร่างกาย ภาชนะ บรรจุทมี่ สี ารพวี ีซี (PVC = polyvinyl chloride) เช่น ถุงพลาสติก ขวดบรรจุน้ามันพืช สารพวกนี้จะละลาย ออกมาอยใู่ นอาหาร ถ้าเกินเกณฑ์ท่ี ปลอดภยั คอื 0.05 ppm ก็จะเปน็ สารพิษ ก่อใหเ้ กดิ มะเรง็ ได้ นอกจากน้ียัง มสี ารไพโรลัยเซท (pyrolysates) ซึ่งคอื สารทีเ่ กิดจากการเผา ย่างอาหารโปรตนี เช่น เน้ือสัตว์ จนเกรียมไหม้ จะเกดิ สารไพโรลัยเซทขน้ึ ซ่งึ เปน็ สารก่อมะเร็ง 2) สารพิษจากเชอ้ื รา และแบคทีเรยี เป็นสารท่เี กดิ จากกระบวนการเมทาบอลิซึมของแบคทีเรีย และ เช้อื ราเอง เช่น - สารอะฟลาทอกซิน (aflatoxin) ซ่ึงเป็นสารที่ได้จากเชื้อราท่ีพบในอาหารแห้ง เช่น กุ้งแห้ง พริกแห้ง กระเทียม หอม ถ้าได้รับพิษมากๆ อาจเสียชีวิตทันที แต่ถ้าสะสมนานๆ ก่อให้ เกิดมะเร็ง - สารพษิ โบทูลิน เกดิ จากเชื้อแบคทเี รยี ทอี่ าศัยในที่ไร้ออกซิเจน มักพบในอาหาร กระป๋อง ซ่ึงถ้าได้รับเข้าไป จะทาให้เสียชีวิตด้วยอาการอัมพาตของอวัยวะท่ีเกี่ยวกับระบบหายใจ มีความเป็นพิษรุนแรงมาก ปริมาณ เขม้ ขน้ เพยี ง 0.01 ไมโครกรมั ทาใหค้ นตายทันที - สารพิษโคเลอราเจน จากเชอ้ื อหิวาตกโรค ทาให้เกดิ อาการท้องรว่ งอยา่ งรนุ แรง ผู้ ปว่ ยอาจตายเพราะสญู เสีย น้าและเกลือแร่ แต่ถ้ารักษาทันท่วงทีโดยการรักษาส มดุลของน้าและเกลือ แร่ก็จะหายได้ - สารที่เกิดจากการยา่ ง การปงิ้ การอบ และการเผาอาหาร อาหารหลายชนิดทถ่ี ูกปรุง หรือทาให้สุก โดยการ ใชค้ วามร้อนสูงโดยตรงบนอาหาร เช่น เนื้อย่าง สะเต๊ะ ไก่ย่าง ปลาเผา ลูก ช้ินป้ิง เป็นต้น จากการวิจัยของ

90 สถาบนั มะเรง็ แหง่ ชาตปิ ระเทศญ่ีปนุ่ พบว่า อาหารเหล่าน้ีมสี ารพษิ ที่ทาให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง นอกจาก สารเจอื ปนในอาหารดังตัวอยา่ งทก่ี ล่าวมาแล้ว ยังมสี ารเคมีอื่นๆ ท่ีไม่ได้ใช้ใน อาหารโดยตรง แต่ผู้ผลิตหรือผู้ จาหน่ายนามาใช้ในอาหาร โดยท่ีอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือโดย ความต้องการลดต้นทุนการผลิต ขาดการ รบั ผดิ ชอบต่อชวี ิตและสุขภาพของผบู้ ริโภค ตวั อยา่ ง การใช้สารเหลา่ น้ี ไดแ้ ก่ การใชส้ ียอ้ มผ้าแทนสีผสมอาหาร เน่ืองจากมีราคาถูกกว่า และใช้ใน ปริมาณน้อย ซึ่งสีเหล่านี้มักมีส่วนผสมของโลหะหนักจึงเป็นอันตรายต่อ สุขภาพของผบู้ รโิ ภคโดย ตรง และการสะสมของสีเหล่านี้อาจก่อโรคมะเร็งได้ สารเคมีอีกชนิดหน่ึงที่มีการใช้ มากในประเทศ ไทย คือ ฟอร์มาลิน (Formalin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่รู้จักกันดีในฐานะน้ายาอาบศพ ประโยชน์ อืน่ ๆ ใน อุตสาหกรรม คือ การทายางสังเคราะห์และทาพลาสติก มีพ่อค้าแม่ค้าของสด เช่น ปลา ผักสดได้ใช้ สารเหล่านี้ในปริมาณที่เจือจางเพ่ือรักษาความสด แต่สารน้ีจะมีพิษต่อร่างกาย โดยการทาลายเซลล์ และ เน้อื เยอื่ การสะสมระยะยาวอาจทาให้เป็นมะเรง็ ได้ สาเหตแุ ละผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ 1. การเพิ่มของประชากร (Population Growth) โดยเฉลี่ยประชากรท่ัวโลกมีแนวโน้มสูงมาก ขึ้น ถงึ แมว้ ่าการรณรงคเ์ ร่ืองการวางแผนครอบครัวจะได้ผลดี แตป่ รมิ าณการเพิม่ ของประชากรก็ยงั เป็นการเติบโต แบบเอกซ์โพเนนเชียล (Exponential Growth) ซง่ึ เปน็ การเพม่ิ ในอตั ราทวีคณู เมอื่ ผู้คน มากข้ึนความตอ้ งการ บริโภคทรัพยากรกเ็ พม่ิ มากขน้ึ ทุกดา้ น ไมว่ ่าจะเป็นเร่ืองอาหาร ท่ีอยู่อาศัย พลังงาน ฯลฯ จากการคาดคะเน การเพมิ่ จานวนประชากรโลกซึ่งเพิม่ ข้นึ อยา่ งรวดเร็ว ทาให้ความต้องการปัจจัยต่าง ๆ เพ่ือการดารงชีวิตเพิ่ม ตาม คาดว่า ปัญหาต่าง ๆ จะตามมาอย่างรวด เร็วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาท่ีอยู่อาศัย อาหาร เครือ่ งน่งุ ห่ม ยารักษาโรค สวัสดกิ ารอนื่ ๆ การประกอบอาชีพ ฯลฯ ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นเร่ืองที่น่าวิตกย่ิง สาหรับประเทศทปี่ ระชากรมี แนวโน้มเพ่มิ สูงมาก จึงมีความจาเป็นอยา่ งยิ่งที่จะตอ้ งหาทางลดความตึงเครียด ลงก่อนท่จี ะถงึ ซ่ึง ภาวะวิกฤติในอนาคต 2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี (Economic Growth & Technological Progress) การขยายตัวทางเศรษฐกิจทาให้มาตรฐานในการดารงชีวิตสูงตามไปด้วย มี การ บริโภคทรพั ยากรธรรมชาติเกินความจาเป็นขนั้ พ้ืนฐานของชีวติ จึงจาเป็นต้องใช้ พลังงานมาก ข้ึนตามไปด้วย ในขณะเดยี วกันความก้าวหน้าทางดา้ นเทคโนโลยี ก็ ช่วยเสรมิ ให้ การนาทรพั ยากรธรรมชาตมิ าใช้ทาได้ง่ายข้ึน และมากข้ึน นอกจากนี้การเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็ว มีผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหาร ที่ อยู่อาศัย การสาธารณสุข การศึกษา การว่างงาน ฯลฯ ปัญหาเหล่าน้ีพบมากในประเทศด้อยพัฒนา ประเทศเหล่าน้ี จาเป็นต้องเร่งพัฒนาด้วยการเร่งการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรกรรมและการ อุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ จึงถูกนามาใช้ในการเกษตรรวมท้ังปุ๋ยเคมี ยา ปราบศัตรูพืช ฯลฯ สารพิษจากโรงงาน อุตสาหกรรมถูกปล่อยออกมาในรูปควันเสีย ฝุ่นละออง ทาให้ เกิดภาวะอากาศเป็นพิษ เสียงจากโรงงาน อุตสาหกรรมเปน็ สาเหตุหนง่ึ ของมลพิษทางเสียง ของเสีย จากโรงงานอุตสาหกรรมและจากเกษตรกรรมถูก ปล่อยลงสู่แหล่งน้า ทาให้เกิดภาวะน้าเป็นพษิ นอก จากนี้ทรัพยากรธรรมชาติยังถูกนามาใช้อย่างรวดเร็วและ มากมาย เปน็ ผลให้ สภาพแวดล้อม เปลย่ี นแปลงไป เช่น การทาลายป่า ทาให้ฝนไมต่ กตามฤดกู าล การทาลาย หน้าดินทาให้เกิดปัญหาน้า ท่วม แร่ธาตุต่าง ๆ ถูกนามาใช้เป็นจานวนมหาศาล กระบวนการในการเปิดป่า ทาเหมือง และขัน้ ตอนของการทาเหมอื ง ล้วนแล้วแต่มสี วนในการทาลายสภาวะแวดล้อมตาม ธรรมชาติอย่าง น่าเสียดาย มนุษยเ์ ป็นตัวการสาคญั ในการเพ่มิ พนู ภาวะมลพิษใหแ้ ก่ระบบนเิ วศ ความเจรญิ ทาง เทคโนโลยียงิ่ มี มากขน้ึ เท่าไร ปญั หาการสร้างความสกปรกให้แก่สภาพแวดล้อมดูเหมือนจะย่ิงทวีมาก ข้ึนเท่าน้ัน นับตั้งแต่ ยุโรปปฏิวัตอิ ตุ สาหกรรมเม่ือคริตสศ์ ตวรรษท่ี 18 โรงงานอุตสาหกรรมกลายเป็น แหล่งถ่ายเทและปล.อยของ

91 เสียให้แกส่ ภาพแวดล้อมเรอื่ ยมาและมากขนึ้ เปน็ ลาดับ อาจกลา่ วไดว้ า่ สิ่งแวดล้อมเปน็ ปจั จยั จากดั ท่สี าคญั ของ มนษุ ย์ เพราะเป็นตัวการทาลายมนุษย์ เอง ในประเทศทพี่ ัฒนาแล้วสิ่งแวดลอ้ มท่ถี อื ว่าอยู่ในสภาพท่เี ป์นพษิ ต่อ ประชากร มักเกิดจากสารเคมี อากาศเสีย และน้าเป็นพิษ ส่วนปัญหาเดียวกันน้ีในประเทศด้อยพัฒนาเกิด เน่ืองจากการขาดแคลน อาหารและทรพั ยากรธรรมชาติ จากสาเหตขุ องปัญหาดังกลา่ วข้างตน้ ทาใหเ้ กิดผลกระทบต่อเน่ือง อันเกิดจากปัญหา ส่ิงแวดล้อมที่ สาคัญ 2 ประการ คอื 1. ทรัพยากรธรรมชาติร่อยหรอ เน่ืองจากมีการใช้ทรัพยากรกันอย่างไม่ประหยัด อาทิ ป่า ไม้ถูก ทาลาย ดนิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ การขาดแคลนน้า ฯลฯ 2. ภาวะมลพษิ (Pollution) เช่น มลพิษทางนา้ อากาศ ดิน เสียง และความร้อน ฯลฯ อันเป็นผลมา จากการเรง่ รัดการขยายตัวทางดา้ นอุตสาหกรรมนน่ั เอง ดงั นั้นจะเห็นได้ว่า สาเหตขุ องมลพษิ เปน็ ผลจากการกระทาของมนุษยเ์ ป็นส่วนใหญ่ เน่ือง จากมนุษย์ ซ่งึ เปน์ องคป์ ระกอบส่วนหน่งึ ของธรรมชาติมีการเพิ่มจานวนอย่างรวดเร็วและมนุษย์ มี บทบาทที่แตกต่างไป จากธรรมชาติอื่นในหลายกรณี กล่าวคือเมื่อประชากรมนุษย์เพ่ิมมากข้ึน ความ ต้องการบริโภค ทรัพยากรธรรมชาติเพอ่ื ใชเ้ ปน็ ปัจจยั ในการดารงชีวิตและสร้างสิง่ อานวย ความ สะดวกกย็ ง่ิ เพ่มิ มากขึ้น มนุษย์ มคี วามสามารถในการนาเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ทาการเกษตร การประมง สร้างเมือง สรา้ งเขือ่ นขนาดใหญ่ สรา้ งโรงงานอุตสาหกรรมเพ่อื ผลิตสงิ่ ต่าง ๆ เชน่ รถยนต์ เครื่องบิน เรือ และอ่ืน ๆ อีก มากมาย ทาใหเ้ กิดความไม่สมดุลในธรรมชาติ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หารนุ แรงทางดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มและรวมเรยี กปญั หา ท่เี กิดขน้ึ ว่า ปัญหามลพิษ ซึ่งมีหลาย ลักษณะหลายประเภท ล้วนแต่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์ได้ ดังนั้นหากมนุษย์ไมม่ จี ิต สานึกร่วมกนั ในการแก้ไขและรกั ษาสภาพแวดลอ้ มดังกล่าวแลว้ ยอ่ มเป็นเหตุใหม้ นุษย์ เราตอ้ ง ประสบปญั หาในอนาคตมากขน้ึ อย่างแน่นอน 4.4 ความสมั พนั ธร์ ะหว่างมนษุ ย์ และส่งิ แวดลอ้ ม สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนไทย เล่มท่ี 19 เรื่องที่ 1 ได้ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และ สิ่งแวดล้อม ไว้ดังน้ี มนุษย์นอกจากจะเป็นส่วนหน่งึ ของสิ่งแวดลอ้ มแล้ว การกระทาของมนุษย์ยังมีผลโดยตรง ต่อการเปลย่ี นแปลงส่งิ แวดลอ้ ม ในทานองเดียวกันส่ิงแวดล้อมทง้ั หลาย ก็จะมีผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของ ชีวิตมนษุ ย์ มนุษย์เป็นสิ่งแวดล้อมที่มหัศจรรย์ประเภทหนึ่ง มนุษย์มีขีดความสามารถเห นือสิ่งแวดล้อม อ่นื ๆ มนษุ ยส์ ามารถนาส่งิ แวดลอ้ มหนงึ่ มาดดั แปลงใหเ้ ปน็ ส่ิงแวดล้อมใหม่ พฤติกรรมของมนษุ ยม์ ีความสาคัญ ต่อส่ิงแวดลอ้ มทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม รวมทั้งส่งผลดีและผลเสยี ตอ่ สง่ิ แวดล้อม ในขณะเดยี วกนั สิ่งแวดล้อม ก็มีส่วนในการกาหนดพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ พฤติกรรมของมนุษยจ์ ะเป็นไปตามสิ่งแวดลอ้ ม กลา่ วได้ว่ามนุษย์ และสิ่งแวดลอ้ มมีความสัมพันธ์กนั อยา่ งใกล้ชิด เมื่อมกี ารเปลี่ยนแปลงส่งิ ใดสิง่ หน่ึงย่อมมีผลกระทบต่อส่ิงอื่นๆ ทั้งโดยทางตรงและทางออ้ ม การกระทาใดๆ ที่มีผลกระทบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ ม ย่อมมีผลตอบสนองตอ่ ความเป็นอยู่ ของมนุษยด์ ้วยเสมอ ด้วยเหตุดงั น้ี เราจงึ ควรศึกษาและทาความเข้าใจเก่ยี วกบั ความสมั พันธร์ ะหว่างมนุษย์กับ สง่ิ แวดล้อม เพอื่ จะไดร้ จู้ กั ใช้สิง่ แวดลอ้ มให้เป็นประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คม เพื่อใหเ้ ราสามารถปรับตวั ให้เข้า กบั สิ่งแวดล้อมได้เปน็ อย่างดี และเพอ่ื มใิ ห้เราทาลายสงิ่ แวดล้อมท่ดี ที ้ังโดยตัง้ ใจและไม่ตงั้ ใจ

92 1. อทิ ธพิ ลของสิ่งแวดลอ้ มทม่ี ีตอ่ มนษุ ย์ สงิ่ แวดลอ้ มลว้ นแลว้ แตม่ ีอทิ ธิพลต่อมนุษย์ท้ังสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หรือส่ิงแวดล้อมทมี่ นุษย์สรา้ งขึน้ ซ่งึ สามารถแยกอธบิ ายใหเ้ ห็นได้ชัดเจนดงั นี้ สง่ิ แวดลอ้ มทีเ่ กิดขน้ึ เองโดยธรรมชาติ เป็นปัจจัยเบื้องต้นในการกาหนดรูปแบบวิถีการดาเนินชีวิต ของมนุษย์ ไม่ว่าในด้านการต้ังถ่ินฐาน ด้านลักษณะของที่อยู่อาศัย ด้านการประกอบอาชีพ เป็นต้น แตส่ ่งิ แวดล้อมทางธรรมชาตจิ ะสามารถกาหนดความเป็นอยูข่ องมนษุ ยไ์ ด้มากนอ้ ยเพยี งไร ยอ่ มข้ึนอยู่ กับความเจริญกา้ วหน้าของมนษุ ยเ์ อง หากมนษุ ย์มีความเจริญก้าวหน้ามาก มนุษย์ย่อมตกอยู่ภายใต้อิทธิพล ของส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาตนิ ้อยลง และยงั สามารถดดั แปลงส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติให้เป็นประโยชน์กับ ตนเองได้มากด้วย ซึ่งเราสามารถที่จะนาวิถีชีวิตของกลุ่มชนท่ีด้อยพัฒนาในทวีปแอฟริกา เช่น เผ่าบุชเมน เผ่าปิก๊ มี มาเปรียบเทียบกับวิถชี ีวติ ของกลุ่มชนท่ีพัฒนาแล้วในทวีปยุโรปหรืออเมริกาเหนือได้ กลุ่มชนที่ด้อย ความเจริญในทวปี แอฟริกาจะมวี ิถีความเป็นอยทู่ เี่ รยี บงา่ ย พ่งึ พาอาศัยธรรมชาติค่อนขา้ งมาก การดัดแปลง ธรรมชาติยงั มีนอ้ ย ในขณะทีก่ ลมุ่ ชนท่ีพัฒนาแล้วในทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกาเหนือ จะมีวิถีความเป็นอยู่ที่ ซับซ้อน พยายามหาวิธีที่จะเอาชนะธรรมชาติ การดัดแปลงธรรมชาติมีมาก เราจึงเห็นได้ว่าการที่มนุษย์ พยายามปรับตัว เพื่อเอาชนะธรรมชาติ หรือหาวิธีนาธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จะทาให้เกิดความ แตกต่างในวิถีการดาเนินชีวิตของผู้คนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติท่ีแตกต่างกัน และแน่นอนว่า ส่ิงแวดลอ้ มทมี่ นษุ ยส์ ร้างข้ึน ก็เป็นอีกปจั จยั หนึง่ เช่นกนั ทมี่ ีความสาคญั ในการกาหนดรปู แบบวถิ ีการดาเนินชีวิต ของมนุษย์ การท่มี นษุ ย์มคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ ทางดา้ นวิชาการมากขนึ้ ทาให้มนษุ ยห์ าทางทจ่ี ะใช้ส่งิ แวดล้อมให้ เกดิ ประโยชน์ต่อตนเองอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ทาให้ชีวิตได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีข้ึน คณุ ภาพชีวติ ดขี ึน้ แต่ในขณะเดียวกันความเจรญิ ก้าวหนา้ ทางด้านวิชาการของมนุษย์ ก็ได้สร้างสิ่งที่เลวร้ายให้ เกิดขึ้นแก่ส่ิงแวดล้อม เช่น ก๊าซพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมท่ีปล่อยออกสู่อากาศ ทาให้อากาศเป็นพิษ มี สภาพไมเ่ หมาะสมแก่การหายใจของสิ่งมีชีวิตท้ังหลาย น้าเสียที่มีการปนเป้ือนของสารเคมีและสารพิษจาก โรงงานอุตสาหกรรมท่ีปล่อยลงสู่แหล่งน้า ทาให้น้าเน่าเสีย มีความเป็นพิษ สัตว์น้าไม่สามารถดารงชีวิตได้ มนุษย์เองก็ไมส่ ามารถนาน้ามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ความเชอ่ื ศาสนา กฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คับ ค่านิยม เหล่าน้ีล้วนเป็นส่ิง ทมี่ นษุ ยส์ รา้ งขึน้ และมคี วามสาคัญในการกาหนดรปู แบบวิถีการดาเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย์ มนษุ ยเ์ ราเมอื่ อยรู่ ว่ มกัน เป็นสงั คม ยอ่ มต้องมกี ารจัดระเบียบทางสงั คม เพ่ือกาหนดแนวทางในการดาเนินชีวิต กาหนดพฤติกรรมท่ีพึง ปฏิบัติในการอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน เพ่ือให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข มนุษย์ที่อยู่ในสังคมเดียวกันย่อมมี รปู แบบของการดาเนินชีวติ ทีม่ ีลักษณะเดียวกนั เชน่ พดู ภาษาเดยี วกัน ยึดถือกฎเกณฑ์เดียวกัน นับถือศาสนา เดยี วกนั ผู้ทีไ่ มป่ ฏบิ ตั ติ ามแนวทางทส่ี ังคมกาหนด อาจไม่ได้รับการยอมรับในสังคมน้ัน อาจเกิดความขัดแย้ง หรอื อาจถูกลงโทษได้ กล่าวโดยสรปุ คอื สงิ่ แวดลอ้ มทแ่ี ตกต่างกนั ไปในแตล่ ะพื้นท่ี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ หรือสงิ่ แวดล้อมท่มี นุษย์สรา้ งขน้ึ ยอ่ มมีผลใหร้ ูปแบบวิถีการดาเนนิ ชวี ติ ของมนุษย์แตกต่างกันออกไป ซ่ึงใน ท่นี ้ีจะนาบางตัวอย่างมาอธบิ าย เพอ่ื ให้เกดิ ความชัดเจนมากยง่ิ ข้ึน (1) ลักษณะการต้ังถิ่นฐานของประชากร ถ้าหากเรานาจานวนประชากรของโลกท้ังหมดเฉลี่ยให้ กระจายอยา่ งสม่าเสมอแล้ว ความหนาแนน่ ของประชากรโลกจะประมาณ 13 คนตอ่ ตารางกิโลเมตร (คานวณ จากประชากรโลก ปี พ.ศ.2551 ซง่ึ มจี านวน 6,682 ลา้ นคน) แตต่ ามสภาพความเป็นจริงแล้ว ประชากรโลก มกั จะอาศยั อยรู่ วมกันตามบริเวณที่มสี ภาพทางธรรมชาตเิ หมาะสมกับการดารงชีวิต มนุษย์มักเลือกอาศัยอยู่ ในบริเวณท่ีราบท่ีมีแหล่งน้าอุดมสมบูรณ์ มีลักษณะอากาศไม่รุนแรง อุณหภูมิปานกลาง ปริมาณน้าฝน

93 พอเหมาะ เราจงึ พบว่าบริเวณท่ีมีลักษณะทางธรรมชาติไม่เหมาะสม เช่น ทะเลทรายสะฮาราทางเหนือของ ทวปี แอฟรกิ า ทรี่ าบลุ่มแมน่ า้ ในไซบีเรียของประเทศรัสเซยี จะมปี ระชากรอาศัยอยู่นอ้ ยมาก นอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ จะเป็นเครื่องกาหนดลักษณะการต้ังถ่ินฐานของประชากรแล้ว สิง่ แวดล้อมทมี่ นษุ ย์สร้างขึ้นกย็ งั เปน็ ตัวกาหนดลกั ษณะการต้งั ถิ่นฐานเช่นเดียวกัน ดงั จะพบว่าในเขตเมืองซ่ึงมี สาธารณูปโภค ไมว่ า่ จะเปน็ ถนน นา้ ไฟ โทรศัพท์ ครบครัน มีสถานศึกษาหลายระดบั หลายประเภท มบี ริการ ทางการแพทย์การสาธารณสุข อีกทั้งความสะดวกสบายนานบั ประการ เหลา่ นยี้ อ่ มเป็นสิ่งดึงดูดให้ผู้คนอพยพ เข้ามาอยู่อาศัยในเขตเมืองกนั อย่างหนาแน่น และหลายพื้นทีอ่ าจมปี ระชากรหนาแน่นมากจนเกินกว่าท่ีเมือง น้ันๆ จะรบั ได้ ทาใหเ้ กดิ ปญั หาอนื่ ๆ ตามมาอีกมากมาย ส่วนในเขตชนบทซ่ึงมีลักษณะทุกอย่างตรงข้ามกับใน เขตเมือง จะพบว่ามีประชากรอาศัยอยู่อย่างเบาบาง ซ่ึงลักษณะการกระจายของประชากรท่ีไม่สม่าเสมอ เช่นนี้ เปน็ ปรากฏการณท์ ีพ่ บทว่ั ไปในประเทศตา่ งๆ ทวั่ โลก ลกั ษณะการตง้ั ถน่ิ ฐานของประชากรในประเทศไทย ก็เปน็ ไปตามอิทธิพลของสง่ิ แวดลอ้ มเช่นเดียวกัน จะพบวา่ ในขณะที่กรุงเทพมหานครซึ่งเปน็ เมืองหลวงของประเทศไทยมีประชากรหนาแน่นมาก คือประมาณ 3,652 คน ต่อตารางกิโลเมตร แต่ท่ีจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน อยู่ หา่ งไกลความเจรญิ มีความหนาแน่นของประชากรเพยี ง 20 คนตอ่ ตารางกโิ ลเมตร (สถิติประชากร เม่ือวันที่ 31 ธนั วาคม พ.ศ. 2550) (2) ลักษณะท่ีอยู่อาศัย ลักษณะบ้านหรือท่ีอยู่อาศัยของผู้คนในพื้นที่ต่างๆ จะแตกต่างกันไปตาม สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้าง ทศั นคติ ความเชอ่ื ความเจรญิ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอน่ื ๆ ในอดตี ประเทศไทยเคยมปี า่ ไม้อดุ มสมบูรณ์ การก่อสรา้ งบ้านเรือนในสมัยก่อนนิยมสร้างด้วยไม้ แต่ ในปจั จุบันป่าไมข้ องไทยมีจานวนน้อยลง หาได้ยาก และราคาแพง วสั ดุทใี่ ชใ้ นการกอ่ สรา้ งจงึ เปลยี่ นแปลงไป มี การนาอฐิ ปูนซีเมนต์ เหลก็ เสน้ ฯลฯ มาใชใ้ นการก่อสร้าง รปู ทรงของบ้านเรือนในอดตี เปน็ รปู ทรงทเ่ี หมาะกับ ลักษณะอากาศท่รี อ้ นและชื้นในประเทศไทย คือมหี ลงั คาแหลมเปน็ หนา้ จั่วสูง มีหน้าต่างมาก มีเฉลียง มีช่อง ระบายอากาศมาก นอกจากนั้นในพน้ื ที่ราบลุม่ แม่น้า ซึ่งมีนา้ ทว่ มเป็นประจาทุกปี จะสรา้ งบ้านที่มีลักษณะใต้ ถนุ สงู ในยุคปจั จบุ นั ไทยเรารับวฒั นธรรมการสร้างบ้านเรอื นแบบตะวนั ตกมาใช้โดยไม่ดัดแปลงให้เหมาะสม กับสภาพแวดล้อม ผลท่ีปรากฏให้เหน็ ก็คือบ้านเรือนไดร้ บั ความเสยี หายอย่างหนกั เมื่อน้าท่วม กรณีตัวอย่างที่ เหน็ ได้ชัดเจนคือเหตุการณ์นา้ ทว่ มใหญใ่ นภาคกลางเมื่อ ปี พ.ศ.2538 มบี า้ นสมยั ใหมท่ ี่ไมม่ ีใตถ้ นุ สูงได้รับความ เสียหายเป็นจานวนมาก ดังภาพ 4.1 เปรียบเทียบบ้านทรงไทยใต้ถุนสูงกับบ้านแบบตะวันตกช้ันเดียว ใน สภาวะนา้ ท่วม

94 ภาพท่ี 4.1 เปรียบเทียบบ้านทรงไทยใตถ้ ุนสงู กบั บ้านแบบตะวันตกช้นั เดียว ในสภาวะน้าทว่ ม ทมี่ า : http://human.tru.ac.th/elearning/Human%20Being/human-detail1_5.html ทางตอนเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ซ่ึงมีอากาศหนาวเย็นมาก อุณหภูมิโดยท่ัวไปค่อนข้างต่า มีฤดู หนาวที่ยาวนาน ชาวเอสกิโมซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณน้ีจะสร้างบ้านด้วยแท่งน้าแข็ง ท่ีเรียกว่าอิกลู (Igloo) ในช่วงฤดหู นาว วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างน้ันก็คือน้าแข็งซึ่งถูกตัดเป็นก้อนส่ีเหล่ียมให้มีขนาดที่เหมาะสมแล้ว นาไปวางซอ้ นกนั เปน็ ช้นั ๆเม่อื สร้างเสร็จแล้วจะมีลักษณะคลา้ ยโดม โดยเจาะทางเข้าไว้ที่ระดับต่าเพ่ือป้องกัน ลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาดา้ นใน ภายในจะมีหนังสัตว์ขึงไว้ท่ีผนังเพื่อใช้เป็นฉนวนสาหรับกักเก็บความ ร้อนท่ีเกิดจากการจดุ ตะเกียงหรือความร้อนจากร่างกายมนุษย์ แต่ในฤดูร้อนซึง่ หมิ ะและน้าแขง็ เริม่ ละลาย จะ อาศัยอยู่ในเต็นท์หนังสัตว์ ในปัจจุบันชาว เอสกิโมบางส่วนได้รับอิทธิพลจากชาวอเมริกัน จะอาศัยอยู่ใน บา้ นเรือนทม่ี ลี กั ษณะเช่นเดียวกบั ชาวอเมริกัน ภาพที่ 4.2 อกิ ลูทีอ่ ยชู่ าวเอสกิโม ทมี า : https://www.home.co.th/hometips/decoration/detail/55240

95 ฐานะทางเศรษฐกิจและทางสงั คมของผอู้ ยอู่ าศยั จะเป็นเครื่องกาหนดลักษณะที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง วสั ดุท่ีใช้ ความหรูหรา ขนาดของบ้านเรอื น ประโยชน์ของการใชส้ อย เปน็ ตน้ เราจึงพบความแตกตา่ งของที่อยู่ อาศยั อย่างมากมายในแตล่ ะพืน้ ท่ี (3) ลกั ษณะของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ มนษุ ย์จะเลือกประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจใด ย่อมขึ้นอยู่ กับสภาพแวดล้อม บางพ้ืนที่ให้โอกาสในการประกอบกิจกรรมได้น้อยอย่าง แต่บางพ้ืนท่ีให้โอกาสในการ ประกอบกิจกรรมได้มากอย่าง ความแตกต่างทางด้านสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นลักษณะภูมิ ประเทศ ภูมิอากาศ ทรัพยากรธรรมชาติ เหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อการประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจของ มนุษย์ ความแตกต่างของส่ิงแวดล้อมท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เช่นความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความรู้ ความสามารถเฉพาะบุคคล สภาพเศรษฐกิจและสังคม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเคร่ืองกาหนดลักษณะกิจกรรมทาง เศรษฐกิจของมนุษยเ์ ช่นกัน กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ถือได้ว่าเป็นของกลุ่มชนที่ล้าหลังมากท่ีสุด ได้แก่ การเก็บของป่า ล่าสัตว์ และจบั ปลา หรอื อาจเรยี กว่าการเกบ็ เกย่ี วผลประโยชนจ์ ากธรรมชาติ ลกั ษณะทวั่ ๆ ไปคอื การหาอาหารเมอ่ื หวิ ความเป็นอยู่แร้นแค้น เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการหาอาหาร ซ่ึงเป็นการหาจากธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณ นั้น มกั จะอยรู่ วมกนั เปน็ กลุ่มเลก็ ๆ มกั มีชวี ติ แบบเร่ร่อน ไมม่ ที ่อี ยอู่ าศยั ท่แี น่นอน ดังเช่น พวกปิก๊ มี (Pygmy) ทีอ่ าศัยอยใู่ นเขตลมุ่ แมน่ ้าคองโก ทวีปแอฟริกา พวกเขาจับปลา ลา่ สัตว์ ด้วยอาวธุ หรือเครอ่ื งมืออยา่ งง่ายๆ มี การเกบ็ พืชผลในปา่ มาบรโิ ภค การเพาะปลกู แบบยังชพี ซง่ึ เป็นการเพาะปลูกแบบง่ายๆ มีเครื่องทุ่นแรงน้อย อาศัยน้าฝนเป็นหลัก ขาดความรู้ในการพัฒนาอาชีพ ผลผลติ ท่ไี ด้มีไมม่ าก จะพบได้ทั่วไปในกลุ่มชนท่ีด้อยพัฒนาในทวีปเอเชีย ทวีป แอฟริกา และทวปี อเมรกิ าใต้ ในกล่มุ ประเทศทพี่ ัฒนาแลว้ จะมเี กษตรกรรมแบบสมยั ใหม่ทอ่ี าศยั ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้าชว่ ยใน การผลิต มีการใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มีการใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลง มีการศึกษาวิจัยเพื่อปรับปรุงพันธุ์พืชให้ ไดผ้ ลผลติ ตามท่ีต้องการ มีการใช้เคร่ืองจักรเครือ่ งทุ่นแรงเข้าช่วยในการเกษตร การปลูกพืชมักปลูกพืชเพียง ชนิดใดชนิดหนง่ึ ในพน้ื ท่ีกว้างขวาง ในปัจจุบันเกษตรกรรมแบบสมัยใหม่ได้สร้างปัญหาหลายประการ เช่น ทาให้ดินเส่ือมสภาพ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ มโี รคแมลงศัตรพู ชื รบกวน สมดลุ ในธรรมชาติเสียไป ต้นทุนในการผลิตเพ่ิมสูงข้ึน และ บางครั้งอาจสูงมากจนไม่คุ้มค่าท่ีจะลงทุน เกิดภาวะหน้ีสินตามมา ซ่ึงเป็นทางนาไปสู่ปัญหาทางสังคมต่อไป อีก ในบางพ้ืนที่จงึ ไดใ้ ห้ความสนใจในการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งน่าจะลดปัญหาอันเกิดจากเกษตรกรรม สมัยใหม่ได้ ในประเทศไทยเองเกษตรกรบางส่วนก็ได้หันเห มาสู่การเกษตรกรรมแบบผสมผสาน ทาให้มี ผลผลติ จาหน่ายได้ตลอดท้ังปี ช่วยรักษาสมดุลของธรรมชาติ รักษาเนื้อดินไม่ให้เส่ือมคุณภาพเร็ว โรคแมลง ศตั รูพชื ไม่รบกวนมาก ตน้ ทุนในการผลิตไม่สูงมากจนเกดิ ความไม่คุม้ ทนุ อุตสาหกรรมเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ีพบมากในประเทศพัฒนาแล้ว เช่นประเทศอังกฤษ สหรฐั อเมรกิ า ญ่ีปนุ่ เยอรมนี เป็นตน้ มที ั้งอตุ สาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา มีผลิตภณั ฑ์หลายลักษณะ สง่ ออกจาหนา่ ยไปยงั ประเทศตา่ งๆ ทัว่ โลก นารายได้เข้าสู่ประเทศปีหนึ่งๆ เป็นมูลค่ามหาศาล ประชากรใน ประเทศเหลา่ น้จี ะมีรายไดแ้ ละมาตรฐานการครองชีพสูง ประเทศกาลังพัฒนาหลายประเทศรวมทั้งประเทศ ไทยได้หันเหวิถีการดารงชีวิตแบบเกษตรกรรมมาสู่แบบอุตสาหกรรม เพ่ือลดการพึ่งพาสนิ ค้าอตุ สาหกรรมจาก ประเทศอุตสาหกรรมท้ังหลาย อีกท้ังยงั มงุ่ หวังทีจ่ ะผลติ สินค้าอุตสาหกรรมเพ่ือส่งออกจาหน่ายต่างประเทศ ด้วย การนาพาประเทศเข้าสู่วิถีทางแห่งอุตสาหกรรมน้ัน หากมองทางด้านเศรษฐกิจแต่เพียงประการ

96 เดยี ว การพัฒนาอตุ สาหกรรมจะเปน็ หนทางนาพาประเทศไปส่รู ายได้อนั มากมาย ในทางสงั คมผคู้ นจะมเี คร่ือง อานวยความสะดวกสบายมากข้นึ มาตรฐานการครองชีพจะสูงขึ้น แต่เมื่อมองกลับมาสู่สิ่งแวดล้อมจะพบว่า ทรัพยากรธรรมชาติถูกทาลายลงอยา่ งมากมายและรวดเรว็ สิ่งแวดล้อมถูกเปลี่ยนแปลง สมดุลในธรรมชาติเสยี ไป สง่ิ แวดลอ้ มบางส่วนเสอ่ื มโทรมลง ธรรมชาตไิ มส่ ามารถปรับสมดลุ ได้ทัน (4) ลกั ษณะอาหารทบ่ี ริโภค อาหารท่ีมนุษย์บริโภคในแต่ละพ้ืนท่ีของโลกมีลักษณะท่ีแตกต่างกันไป บ้าง คลา้ ยคลึงกนั บ้าง ทั้งน้ีเปน็ ไปตามสภาพแวดลอ้ มของแต่ละพน้ื ท่ี ในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึง่ มีลกั ษณะภมู ปิ ระเทศและภูมอิ ากาศเหมาะสมกบั การปลูกข้าวเจา้ ผูค้ นในแถบน้ีจะนิยมบริโภคข้าวเจ้าเป็น อาหารหลัก ประชากรในทวปี ยโุ รปและอเมรกิ าเหนอื นยิ มบริโภคขา้ วสาลเี ปน็ อาหารหลกั เนือ่ งจากอาศัยอย่ใู น พนื้ ทท่ี ี่มีความเหมาะสมกบั การปลูกข้าวสาลี ในเขตทะเลทรายซ่ึงมีแต่ความแห้งแล้ง ขาดแคลนน้า มีพืชเติบโตได้บ้างในบางบริเวณ เช่น ตาม โอเอซิส (Oasis) มีต้นอินทผลัม ผู้คนในแถบนี้จึงอาศัยผลอินทผลัมเป็นอาหารสาคัญ สัตว์ที่เล้ียงได้ก็มีอยู่ น้อยชนิด สัตว์ท่ีมีคุณค่ามากที่สุดสาหรับพวกเขา คือ อูฐ ซ่ึงอาศัยได้ท้ังแรงงานในการบรรทุกสิ่งของ และ อาศยั เนอ้ื นม เปน็ อาหาร แม้ว่าสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติจะเป็นตัวกาหนดชนิดของพืชหรือสัตว์ที่จะนามาเป็นอาหาร แต่ ส่ิงแวดลอ้ มทางวัฒนธรรมจะเป็นตัวกาหนดทางด้านอื่นๆ เช่นวิธีการปรุงอาหาร วิธีการบริโภคอาหาร เป็น ต้น จะเหน็ ไดว้ ่าในส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติเดียวกัน ผู้คนอาจมีลักษณะของอาหารที่บริโภคแตกต่างกันใน รายละเอียดปลกี ย่อย เชน่ ด้านรสชาติ รปู แบบ คุณภาพ เปน็ ต้น บางแห่งความเชื่อทางศาสนาจะเข้ามามบี ทบาทในการกาหนดชนิดของอาหารท่ีบริโภค เชน่ อนิ เดยี ซงึ่ เป็นประเทศที่มกี ารเลีย้ งโคเป็นจานวนมาก แต่ชาวอินเดียมิได้บริโภคเน้ือโคเป็นอาหาร เนื่องจากตามความ เช่ือของชาวฮินดู ถือว่าโคเป็นสัตว์ศักด์ิสิทธ์ิ จะทาร้ายหรือฆ่าเป็นอาหารไม่ได้ ชาวอินเดียอาศัยนมโคเป็น อาหาร สว่ นเน้อื สัตว์จะบรโิ ภคเนอื้ แพะ เน้ือแกะ สว่ นชาวอนิ เดียทน่ี ับถอื ศาสนาอสิ ลามจะไม่บริโภคเนอื้ สกุ ร ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมขนส่ง ทาให้ลักษณะของอาหารท่ีบริโภคเปล่ียนแปลงไป การแลกเปลี่ยนซ้อื ขายสนิ คา้ ระหวา่ งกนั ทาใหส้ ามารถบริโภคอาหารที่ตนเองไม่สามารถผลิตได้ ผู้คนในเขต อบอุ่นและเขตหนาวอาจซื้อพืชผลเมืองร้อนมาบริโภค เช่น กาแฟ กล้วยหอม สับปะรด ทุเรียน มังคุด เป็น ต้น ส่วนผู้คนในเขตร้อนก็อาจซ้ือพืชผลจากเขตอบอุ่นมาบริโภค เช่น ข้าวสาลี แอปเปิล แพร์ เป็นต้น ลกั ษณะอาหารที่บริโภคในประเทศไทยนั้น มีทงั้ อาหารทเี่ ป็นอาหารไทย และอาหารต่างประเทศ การ รับวัฒนธรรมจากต่างชาติ ทาให้วัฒนธรรมในการบริโภคของคนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหลาย ประการ ซ่ึงมีท้ังส่ิงท่ีดี เช่น การรู้จักเลือกบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ และส่ิงที่ไม่เหมาะสม เช่น ความนิยมในการบริโภคอาหารสาเร็จรูป ซึ่งบางคร้ังอาจมีคุณภาพต่า ไม่เหมาะแก่การบ ริโภค (5) ลกั ษณะเครอื่ งน่งุ ห่ม ลักษณะอากาศจะเป็นเครื่องกาหนดลักษณะเครื่องนุ่งห่มของมนุษย์ในแต่ ละพืน้ ที่ โดยทางตรง ลักษณะอากาศโดยเฉพาะอุณหภมู จิ ะเป็นเคร่ืองกาหนดลักษณะและความหนาบางของ เครอื่ งนงุ่ ห่ม โดยทางออ้ ม ลกั ษณะอากาศจะมผี ลตอ่ วตั ถดุ บิ ที่จะนามาใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม เช่นในเขต ร้อน มีพืชประเภทฝ้าย ป่าน ผู้คนในเขตร้อนจึงนิยมใช้เส้นใยจากพืชเหล่านี้มาผลิต และจะได้เน้ือผ้าซึ่ง เหมาะสมกบั ลกั ษณะอากาศ ในเขตท่ีมีอากาศหนาวเย็น นิยมเคร่ืองนุ่งห่มที่มีความหนา เพื่อให้ร่างกายรู้สึก อบอุ่น ขนสัตว์ถูกนามาเป็นวัตถุดิบในการผลิต เช่น ขนแกะ ขนเฟอร์ (fur) ในทะเลทรายที่ซ่ึงมีความ แตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนมาก เต็มไปด้วยฝุ่นดิน ฝุ่นทรายท่ีลมหรือลมพายุพัดมา ผู้คนจาเป็นต้องแต่งกายด้วยเสอื้ ผ้าทค่ี อ่ นขา้ งหนาและห่อหุ้มเกือบทุกสว่ นของร่างกาย เพ่ือป้องกันความร้อน

97 ในเวลากลางวัน ป้องกันมิให้ร่างกายสูญเสียความชื้นมากเกินไป ป้องกันความหนาวเย็นในเวลา กลางคืน รวมท้งั ปอ้ งกันฝุน่ ดนิ ฝนุ่ ทรายมใิ ห้ทาอันตรายตอ่ ผิวหนงั ความเจริญกา้ วหนา้ ของผคู้ นก็มสี ่วนในการกาหนดลักษณะของเครอ่ื งนุง่ หม่ จะพบว่ากลุม่ ชนทม่ี ีความ เจริญน้อย จะไม่ค่อยรู้จักการผลิตเครื่องนุ่งห่ม เช่น พวกบุชเมน ( Bushmen) ในทะเลทราย คาลาฮารี ร่างกายจะตอ้ งทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอณุ หภูมิในแตล่ ะช่วงเวลาหรอื แต่ละฤดูกาล ผู้คนที่อยู่ใน เขตท่ีเจริญแล้วจะมีการผลิตเครื่องนุ่งห่มมากมายหลายลักษณะ เพ่ือให้เหมาะสมกับลักษณะอากาศ และ เหมาะสมกับสิ่งอื่นๆ อีกหลายประการ เช่น สถานท่ี เวลา เพศ วัย ความนิยม ความเช่ือ เทศกาล เปน็ ต้น แมว้ า่ โดยท่ัวๆ ไปกลุม่ ชนแต่ละหมูล่ ะเหลา่ มกั จะมีการแต่งกายที่มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไมว่ ่าจะเป็นรูปแบบ ลวดลาย สี แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มท่ีจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากข้ึน เน่ืองจากการ คมนาคมขนส่งทส่ี ะดวกรวดเร็ว ทาให้มีการติดต่อแลกเปลยี่ นวัฒนธรรมซง่ึ กันและกัน ทาให้เครื่องนุ่งห่มของ แต่ละชนชาตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป ซ่ึงก็มีท้ังข้อดีและข้อเสีย การแต่งกายแบบชาวตะวันตกนั้นมีข้อดี คือ ใส่แลว้ มคี วามคลอ่ งตัวในการเคลอ่ื นไหว แตต่ ้องรูจ้ ักดัดแปลงให้เหมาะสม เช่น ความหนาบางของผา้ วสั ดุ ทใี่ ชใ้ นการตัดเยบ็ รูปแบบของเสือ้ ผา้ ฐานะทางเศรษฐกิจและสงั คม จะเปน็ เครอื่ งกาหนดลักษณะของเคร่ืองนงุ่ ห่มของผู้คนอีกประการหน่ึง เราจึงพบความหลากหลายของเครอ่ื งนงุ่ หม่ แม้วา่ จะอยใู่ นประเทศเดยี วกนั (6) ลกั ษณะสขุ ภาพอนามัย สขุ ภาพทางกายและใจของมนุษย์เป็นผลมาจากสง่ิ แวดลอ้ ม สิ่งแวดล้อมที่ ดยี อ่ มทาให้มนษุ ย์มีสขุ ภาพดที ้งั ทางร่างกายและจติ ใจ หากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ กายและใจ การอยใู่ นสิ่งแวดล้อมท่ดี ี ย่อมหมายถงึ การไดอ้ ยู่ในทท่ี ่ีมีอากาศบรสิ ทุ ธ์สิ าหรบั หายใจ มีน้าสะอาดไว้ ใช้สอย ด่ืมกิน มีอาหารที่สะอาด ถูกหลักโภชนาการไว้บริโภค มีแหล่งพักผ่อนหย่อนใจที่เหมาะสมและ เพยี งพอ ผ้คู นท่แี วดล้อมรอบตัวเรามีจติ ใจที่ดีงาม เหล่าน้ีเป็นต้น การอยู่ในสิ่งแวดล้อมท่ีไม่ดี หมายถึงการอยู่ในที่ท่ีมีอากาศไม่บริสุทธิ์ อากาศเป็นพิษ น้าเน่าเสีย มี เสยี งดงั รบกวน มีอาหารไม่เพียงพอแก่การบริโภค มีโจรผู้ร้ายชุกชม มีการต่อสู้แย่งชิงกัน มีโรคภัยไข้เจ็บ รบกวน ซ่ึงส่ิงเหล่านี้ไม่เปน็ ผลดตี อ่ สขุ ภาพของมนุษย์เลย การดารงรักษาไว้ซ่ึงสิ่งแวดล้อมที่ดี ย่อมเป็นผลดีต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์ ประเทศชาติจะ สามารถพัฒนาไปได้ดี หากประกอบดว้ ยผ้คู นทม่ี สี ขุ ภาพดแี ละมคี ุณภาพสูง อทิ ธพิ ลของส่งิ แวดล้อมท่ีมีต่อมนุษย์ นอกจากทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ สิ่งแวดล้อมยังเป็นตัวกาหนดวิถีการ ดาเนินชีวิตของมนุษย์ในอีกหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง การเมือง กิจกรรมนันทนาก าร การศกึ ษา ประเพณี ระดับของเทคโนโลยี เปน็ ตน้ 2. อทิ ธพิ ลของมนษุ ย์ทีม่ ีตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม การดาเนินชีวิตของมนุษยใ์ นสว่ นต่างๆ ของโลกจะเขา้ ไปเกี่ยวข้องกับส่ิงแวดล้อมอย่างใกล้ชิด มนุษย์ จะเป็นตัวกระทาให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงส่งิ แวดลอ้ ม มีการเปล่ยี นส่ิงแวดลอ้ มหน่งึ ให้เปน็ ส่งิ แวดล้อมหนง่ึ เชน่ การเปล่ียนแปลงส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติให้เป็นสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างข้ึน หรืออาจเปลี่ยนแปลง สง่ิ แวดล้อมที่มนษุ ย์สร้างข้นึ เดมิ ให้เปน็ ส่ิงแวดลอ้ มแบบใหม่ กล่าวได้ว่าอิทธิพลของมนุษย์ที่มีต่อส่ิงแวดล้อมท่ี สาคญั ก็คอื การเปล่ยี นแปลงสง่ิ แวดลอ้ มหน่ึงให้เปน็ อีกสิง่ แวดล้อมหนึ่งนน่ั เอง ซง่ึ เหตผุ ลของความพยายามท่ี จะเปลี่ยนแปลงนน้ั มมี ากมายหลายสาเหตุ มีทั้งกระทาเพื่อสนองความต้องการของตนเอง เพื่อให้เกิดความ

98 สะดวกสบายในการดารงชีวิต เพือ่ การอย่รู ว่ มกนั ในสังคมอย่างสันติสุข เพื่อการแข่งขัน เพื่อแย่งชิงความเป็น ใหญ่ เหล่าน้เี ป็นต้น การเปลี่ยนแปลงส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาตินั้น มนุษย์ได้กระทาต่อเน่ืองกันมานานนับต้ังแต่มนุษย์ อบุ ตั ิข้ึนบนพืน้ ผิวโลก การเปล่ียนแปลงนัน้ ได้เพิม่ ความรนุ แรงมากขึน้ ตามการเพิ่มข้ึนของจานวนประชากรและ ความเจริญก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี รวมท้งั ความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งแวดล้อมท่ีมนุษย์สร้าง ขึน้ เองก็มกี ารเปลีย่ นแปลงมาโดยตลอดอย่างไมม่ ีการหยุดยงั้ มนษุ ยเ์ ปล่ียนแปลงพ้ืนที่ทุ่งหญ้า ป่าไม้ ให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย พื้นท่ีเกษตรกรรม มีการเปลี่ยนแปลง พ้นื ทีเ่ กษตรกรรมเป็นพืน้ ทอี่ ตุ สาหกรรม มกี ารเปลี่ยนแปลงชุมชนชนบทให้เป็นชมุ ชนเมอื ง มกี ารเปลีย่ นแปลง เมืองเล็กให้เป็นเมืองใหญ่ มีการเปล่ียนระดับของเทคโนโลยีจากระดับหน่ึงไปสู่อีกระดับหนึ่ง มีการ เปล่ยี นแปลงการไหลของนา้ ในแม่นา้ มีการเปลยี่ นแปลงระบบนิเวศในทะเล มกี ารเปลี่ยนแปลงอีกมากมายที่ มนษุ ย์ได้กระทาให้เกิดบนพื้นโลกนี้ ซ่ึงล้วนแล้วแต่มีผลท้ังในทางบวกและทางลบต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ รวม ท้ังตัวมนุษย์เอง กล่าวโดยสรุปถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับส่ิงแวดล้อม จะเห็นได้ว่า มนุษย์น้ันเป็นส่วนหน่ึงของ สง่ิ แวดล้อม และมนุษยไ์ ม่อาจแยกตวั เป็นอสิ ระจากส่ิงแวดล้อมได้ ในเม่ือมนุษย์มีความผูกพันกับส่ิงแวดล้อม อยา่ งแนบแนน่ เช่นนี้ มนษุ ยจ์ งึ ไม่อาจปฏเิ สธภาระความรับผดิ ชอบต่อการพิทักษ์รักษาสภาพแวดล้อมท่ีดีให้คง อยูต่ ลอดไป เพอ่ื ความอยรู่ อดของตัวมนษุ ย์เอง 4.5 ปญั หาของส่งิ แวดลอ้ ม วกิ ฤตพิ ลังงาน และมลพิษในปัจจบุ นั สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชนไทย เล่มท่ี 17 เรือ่ งท่ี 6 ไดร้ ะบถุ งึ ปญั หาของสง่ิ แวดลอ้ ม ไวด้ งั นี้ ปัญหาส่งิ แวดลอ้ มในเขตเมือง 1. ภาวะมลพิษ 1) อากาศเสีย อากาศเสีย หมายถงึ สภาวะอากาศท่ีมีสารมลพิษเจือปนอยู่ในปริมาณมาก จนเป็นอันตรายต่อชีวิต ผคู้ น สตั ว์ พชื ตลอดจนทาความเสียหายใหเ้ กดิ ขึ้นกับสภาพบ้านเรอื น และทรัพย์สิน สารมลพิษเหล่านี้ ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ละอองตะก่ัว ไฮโดรคาร์บอน ฝ่นุ ละออง และเขม่าควนั เปน็ ต้น ปญั หาอากาศเสยี ในประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดในเขตชุมชน เมือง โดยมสี าเหตุมาจากยานพาหนะตา่ งๆ ท่ีใช้น้ามันเป็นเช้ือเพลิง เช่น รถยนต์ รถบรรทุก รถจักรยานยนต์ การเผาไหม้ของเชอ้ื เพลงิ จะทาให้สารพษิ หลายชนดิ ถูกปลอ่ ยออกมาทางทอ่ ไอเสยี โดยจะมปี ริมาณสารมลพิษ ออกมามากที่สุดในขณะท่ีเคร่ืองยนต์เดินในเกียร์ว่าง ซึ่งมักเกิดในช่วงการจราจรติดขัด นอกจากน้ี โรงงาน อตุ สาหกรรม กเ็ ป็นแหล่งสาคัญอีกแห่งหนึ่งที่ทาให้เกิดอากาศเสียสาหรับกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเมืองท่ีมี ปัญหาด้านการจราจรมาก รวมทั้งมโี รงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่โดยรอบ พบว่าในพ้ืนท่ีหลายแห่งมีค่าปริมาณ สารพษิ ในอากาศสงู มาก ซง่ึ อาจเป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพอนามัยของประชาชนท่ีอาศยั ในบรเิ วณนัน้ ๆ ได้ 2) น้าเสีย การตั้งถนิ่ ฐานของชมุ ชนเมืองในประเทศไทย จะมีการพัฒนาอยู่ในพื้นท่ีริมแม่น้าลาคลอง โดยอาศัย น้าในแหลง่ น้า ท้ังในการอุปโภค บริโภค การคมนาคม ตลอดจนใช้เป็นแหล่งรองรับน้าเสียด้วย ในอดีตที่ผ่าน มา ประชาชนมีจานวนไม่มากนัก ปริมาณความสกปรกที่เกิดจากน้าเสียจึงมีปริมาณน้อย แหล่งน้าต่างๆ จึง สามารถรองรับน้าเสียที่ปล่อยท้ิงลงไปได้ ไม่เกิดการเน่าเสีย แต่เม่ือประชากรมีจานวนมากข้ึน ทาให้มีการ

99 ปลอ่ ยนา้ ทิง้ ลงสแู่ ม่น้าลาคลองมากขึน้ จนถึงระดับเกินกวา่ ทีแ่ หลง่ น้ามนั จะรองรบั ตอ่ ไปได้ นา้ จึงไดเ้ กิดการเนา่ เสียไม่สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ดังเดิม เช่นที่กาลังเกิดขึ้นในแม่น้าลาคลองหลายสายในประเทศไทย การระบายนา้ ท้งิ จากบา้ นเรอื นท่พี กั อาศยั โรงงานอุตสาหกรรม และการเกษตรกรรม เช่น ฟารม์ เลย้ี งสตั ว์ ลงสู่ แม่น้า ลาคลอง โดยไม่มีการบาบัด หรือลดความสกปรกของน้าท้ิงเสียก่อน เป็นสาเหตุท่ีก่อให้เกิดปัญหา ดงั กล่าว ดังเช่นปญั หาน้าเสียในแม่นา้ เจ้าพระยา พบว่า ความสกปรกที่ระบายลงสู่แม่น้าเจ้าพระยานั้น ส่วน ใหญ่ประมาณรอ้ ยละ ๗๐ เปน็ นา้ เสียที่มา จากกิจกรรมในชุมชนเมอื งต่างๆ ของลุ่มแม่น้า เจ้าพระยา ที่เหลือ ประมาณรอ้ ยละ ๒๕ เป็น น้าเสยี ที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรม และร้อยละ ๕ มาจากพ้ืนที่เกษตรกรรมและ กจิ กรรมอืน่ ๆ 3) มูลฝอย มลู ฝอยเป็นส่งิ ของทีเ่ หลือท้งิ จากการอุปโภค บริโภค ของมนุษยเ์ รา ซ่งึ ในอดีตน้ัน การท้ิงขยะมูลฝอย โดยไม่มีการจดั การใดๆ ไม่ไดก้ ่อใหเ้ กิดปญั หาตอ่ สังคมเท่าใดนัก เนอ่ื งจากจานวนประชากรยังมีน้อย และการ ต้ังบ้านเรือนยังไม่หนาแน่น พ้ืนท่ีดินยังมีมากพอให้นามูลฝอยไปท้ิงและปล่อยให้ย่อยสลายไปได้ เองตาม ธรรมชาติ แต่เม่อื จานวนประชากรมีมากขึ้นและมีการต้ังบ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ปริมาณมูลฝอยก็จะเพิ่มมาก ข้ึนไปด้วย ในขณะที่ที่ดินที่จะรับมูลฝอยมีน้อยลง จึงจาเป็นต้องมีการจัดการกับมูลฝอยที่เกิดขึ้นให้เป็นท่ี เรียบรอ้ ย ในชมุ ชนท่ีมีการขยายตัวอยา่ งรวดเร็ว มกั จะมีปัญหาปริมาณมลู ฝอยทีเ่ พมิ่ ขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่า ขีดความสามารถของหนว่ ยงานท่ีรับผดิ ชอบ ในการเก็บและกาจัดจะดาเนินการได้ทัน ทาให้ชุมชนขาดความ สะอาด และความเป็นระเบยี บเรยี บร้อย และยังก่อให้เกิดปัญหา อ่ืนๆ ตามมาอีกหลายประการ เช่น ปัญหา น้าเสยี อากาศเสยี เป็นแหล่งเพาะพันธุแ์ ละ แพรก่ ระจายของเชื้อโรค เป็นต้น ชุมชนที่มี ปัญหามูลฝอยอย่าง เดน่ ชัดในขณะน้ี ได้แก่ ชมุ ชนเมืองท่มี ีประชากรหนาแน่น และเป็นเมือง ศูนย์กลางความเจริญหรือเป็นเมือง ท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพมหานคร เมอื งเชยี งใหม่ เมอื ง หาดใหญ่ เมอื งภเู ก็ต และเมืองพัทยา เป็นตน้ 2. ปญั หาทางสังคม 1) ชุมชนแออัด ชุมชนแออัดเป็นปัญหาที่เกิดข้ึนในชุมชนเมือง มีการสร้างบ้านพักอาศัยรวมกันอยู่อย่างแออัด ส่วน ใหญ่สร้างจากเศษวัสดุท่ีหาได้ง่าย และต้ังหลักแหล่งใกล้แหล่งงาน ท่ีมีการคมนาคมขนส่งสะดวก หรือใน บริเวณท่ีไมม่ ีใครแสดงตนเปน็ เจา้ ของที่ดินอย่างเด่นชัด เม่ือเพง่ิ พักหลงั แรกถูกสร้างขึน้ หลงั ตอ่ ๆ ไป ก็เกดิ ตาม ขึ้นมาในเวลาอนั รวดเรว็ ลกั ษณะทางกายภาพทเ่ี ห็นได้ชดั ของชมุ ชนแออดั คอื บ้านเรือนที่อยู่อาศัยปลูกติดกัน หนาแน่นแออัด ไม่ถูกสุขลักษณะ ทางเท้าหรือทางเดินจะมีลักษณะแคบส่วนใหญ่เป็นไม้ หากได้รั บการ ปรับปรุงแล้วก็จะเป็นคอนกรีต ขาดแคลนท่อระบายน้า สาหรับไฟฟ้าและประปาก็เป็นปัญหาเช่นเดียวกัน เนอ่ื งจากสว่ นใหญ่จะไม่มีทะเบยี นบา้ น ทาใหไ้ ม่มีการจา่ ยน้าให้อย่างเปน็ ทางการ นอกจากนัน้ ลกั ษณะทเี่ ดน่ ชดั อกี อย่างหน่ึงคอื ขยะมลู ฝอย เนือ่ งจากผคู้ นในชุมชนแออดั มักจะไม่มที ี่ทิ้งขยะเป็นสัดสว่ น ทาใหเ้ กิดปัญหาดา้ น ส่งิ แวดลอ้ มปญั หาสขุ ภาพอนามัย ปัญหาทางด้านสังคม เช่น ความมั่นคงในการทางาน ความไม่ปลอดภัยใน ทรัพย์สิน และเด็กขาดการศึกษา เป็นต้น 2) การขาดแคลนพนื้ ที่สเี ขียวและพ้นื ท่ีเพอ่ื การนันทนาการ สาหรับพื้นทใ่ี นเมืองนั้น จะมีประชาชนอยู่กันอย่างหนาแน่นแออัด ที่ดินส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์ เพื่อ การอย่อู าศัย และการประกอบอาชพี ฉะนนั้ พื้นที่สเี ขียว และพ้ืนที่เพื่อการนันทนาการ อันได้แก่ สวนหย่อม สนามเด็กเล่น สนามหญา้ สวนสาธารณะและสนามกีฬา จงึ มนี อ้ ย ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ยกตวั อย่าง กรงุ เทพมหานครในปจั จบุ นั มพี นื้ ท่สี เี ขียวประมาณ ๖,๒๑๓ ไร่ หรือ ประมาณ ๑.๑ ไร่ต่อประชากร

100 จานวน ๑,๐๐๐ คน ซ่ึงนับว่าเป็นสัดส่วนที่ต่ามากเม่ือเทียบกับมาตรฐานที่ต้ังไว้ว่าควรจะมีพ้ืนท่ี ๑๐ ไร่ต่อ ประชากร ๑,๐๐๐ คน นับเปน็ ปญั หาสิง่ แวดล้อมท่สี าคญั ปัญหาหน่งึ ในเขตเมอื ง 3) แผ่นดนิ ทรุด น้าท่วม การสูบนา้ บาดาลข้ึนมาใช้ เพอื่ การอุปโภคบริโภคในปริมาณมาก จะทาให้เกิดปัญหาการทรุดตัวของ พื้นดิน เน่ืองจากน้าบาดาลตามธรรมชาติ ไม่สามารถไหลทดแทนเข้าไปในช้ันดินท่ีถูกนาน้าบาดาลข้ึนมาใช้ได้ ทัน ซึ่งจะทาให้ระดับและแรงดันของน้าบาดาลในช้ันนั้นๆ ลดลง เม่ือแรงดันน้าบาดาลที่อยู่ใต้พ้ืนดินลดลง น้าหนักของดนิ สว่ นบนและสิ่งปลูกสร้างตา่ งๆ จะสามารถกดอดั ชั้นดินระดบั ล่างให้แน่นขนึ้ และมชี ่องว่างลดลง ทาใหช้ ั้นดนิ สว่ นบนทรุดตวั ตามลงไปดว้ ย เมืองขนาดใหญ่ หรอื พืน้ ทีอ่ ุตสาหกรรม ที่มกี ารสูบนา้ บาดาลขึน้ มาใช้ทดแทนน้าประปา มักจะพบว่า มีการทรุดตัวของพ้ืนดิน เนื่องจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้น ซ่ึงก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาคือ ปัญหาน้าท่วม เน่อื งจากบริเวณทต่ี ัง้ ของเมอื งจมตา่ ลงไปเมอื งเปรยี บเทยี บกับระดับน้าทะเล ตลอดจนทาให้เกิดปัญหาระดับ น้าบาดาลลดลงอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถสูบน้าข้ึนมาใช้ได้ หรือท่ีสูบมาได้ก็มีคุณภาพต่า จนไม่สามารถ นาไปใชใ้ นการอปุ โภคและบรโิ ภคได้ ในเขตวกิ ฤตกิ ารณ์น้าบาดาลและแผ่นดินทรุดของกรุงเทพมหานคร และ จังหวัดใกล้เคียงบางแห่ง เช่น เขตพระโขนง เขตบางกะปิ อาเภอพระประแดง และอาเภอเมือง จังหวัด สมทุ รปราการ อาจจะมีระดบั ของพ้ืนดนิ อยู่ตา่ กวา่ ระดบั นา้ ทะเลในอ่าวไทย ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มในเขตชนบท 1. ความเส่ือมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาติ ประชาชนที่ต้งั ถิน่ ฐานในเขตชนบท ส่วนใหญจ่ ะประกอบอาชพี ทางการเกษตร ซง่ึ หากถิ่นฐานน้ันอยู่ ใกล้กับพื้นทปี่ า่ ไม้แล้ว เม่อื จานวนประชากรเพ่มิ ข้ึน ความตอ้ งการพื้นที่ทามาหากินจึงมเี พิ่มมากข้ึน ก่อใหเ้ กิด การรกุ ล้าเขา้ ไปตง้ั ถิน่ ฐานในเขตป่าสงวน ป่าต้นน้าลาธาร หรือเขตหวงห้ามอนื่ ๆ เพอ่ื เอาทด่ี ินมาทากิน เกิด ปัญหาความเส่ือมโทรมของทรพั ยากรธรรมชาตติ ามมา 2. มลพิษทางดา้ นสารพษิ ทางการเกษตร ในขณะที่ถนิ่ ฐานในเขตเมืองประสบปญั หาภาวะมลพิษทางอากาศ นา้ และขยะมลู ฝอยเป็นส่วนใหญ่ ถน่ิ ฐานใน ชนบท จะประสบปญั หาภาวะมลพษิ ในลกั ษณะของสารพษิ ทางการเกษตร ได้แก่ สารเคมีทใ่ี ชเ้ พื่อการป้องกนั และกาจดั ศตั รพู ืชและสัตว์ สารเคมีดังกล่าว บางชนิดเปน็ สารท่มี ีพิษอนั ตราย ซึง่ เม่อื นามาใชอ้ ย่างไมถ่ ูกตอ้ ง ขาดการควบคมุ ขาดความร้ใู นการเก็บรกั ษา การขนส่ง และการกาจดั กากของเสียแลว้ จะก่อให้เกดิ อันตรายต่อ สขุ ภาพทั้งในโดยเฉียบพลันและเรอ้ื รงั ได้ 4.6 ปัญหาของสง่ิ แวดลอ้ ม วิกฤตพิ ลงั งาน และมลพษิ ในชุมชน มนุษยเ์ ปน็ สว่ นประกอบทส่ี าคัญของส่งิ แวดล้อมในชุมชนได้อาศัยและใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมใน การอยู่รอดของชีวิต มนุษย์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ดังนั้นการกระทาของ มนุษย์จึงมีผลกระทบกระเทือนตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตกับสิ่งแวดล้อมที่ เราเรียกกนั วา่ ระบบนเิ วศวิทยา ผลกระทบกระเทอื นนัน้ เป็นไปไดท้ ั้งในทางสร้างสรรค์ส่ิงแวดลอ้ มให้ดีขึ้น หรือ ในทางทาลายใหเ้ ลวลง ผลกระทบกระเทอื นน้ีเกดิ ขน้ึ ทั้งโดยทางตรงและทางออ้ ม มีมากบ้างนอ้ ยบ้าง