Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore LE4 _R&D L.E. อาชีวศึกษาเกษตร

LE4 _R&D L.E. อาชีวศึกษาเกษตร

Published by lawanwijarn4, 2021-12-31 03:48:38

Description: LE4 _R&D L.E. อาชีวศึกษาเกษตร

Search

Read the Text Version

R&D : L.E.อาชีวศกึ ษาเกษตร แนวทางส่กู ารปฏิบัติ ลาวัณย์ วิจารณ์



ก R&D: L.E. อาชีวศึกษาเกษตร...แนวทางสู่การปฏิบตั ิ ชอื่ ผ้เู ขียน: ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ ภาควชิ าวิศวกรรมสิง่ แวดลอ้ ม วทิ ยาลัยวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสติ จานวนหน้า 86 หน้า ปีทพ่ี ิมพ์ ตลุ าคม 2561 จัดพมิ พ์โดย สถาบันการอาชวี ศึกษาเกษตรภาคใต้ 244/72 หมู่ท่ี 7 ตาบลชา้ งกลาง อาเภอช้างกลาง จังหวัดนครศรธี รรมราช 80250 Email:: [email protected] เว็บไซต์ : www.svia.ac.th โทรศัพท์ 0-7544-5789 โทรสาร 0-7544-5790 พิมพ์ที่ โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรังสติ เมอื งเอก ถนนพหลโยธนิ จังหวัดปทมุ ธานี 12000 โทร 02 997 2200-30

ข คานา ผอู้ านวยการสถาบนั การอาชีวศกึ ษาเกษตรภาคใต้ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีหลักสูตร เทคโนโลยีบัณฑิต การท่ีจะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษาจาเป็นต้องคานึงถึง การพัฒนา ครแู ละคณาจารย์ในหลักสูตรปริญญาตรี ให้มีความสามารถในด้านการวิจัยและ พัฒนาทางการศึกษา เพ่ือสร้างวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพและเป็นผลงานทางวิชาการอกี ดว้ ย การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น จาเป็นต้องมีคู่มือสาหรับครูอาจารยใ์ น การทาวิจัยและพัฒนาการจัดการเรียนการสอน สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ได้ พิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือ “R&D: L.E. อาชีวศึกษาเกษตร แนวทางสู่การปฏิบัติ” ซึ่ง เรียบเรียงโดย ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์เป็นประโยชน์ จึงได้ขอนุญาตจัดพิมพ์หนังสือเล่ม ดังกลา่ ว สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ขอขอบพระคุณ ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ เป็น อย่างสงู ทีอ่ นญุ าตให้สถาบันฯเป็นผจู้ ดั พิมพห์ นังสอื เลม่ นี้ วิศวะ คงแก้ว

ค คานา จากการท่ีผู้เขียนได้รับเชิญเป็นวิทยากรในการประชุมเชิงปฏิบัติการ “การจัด ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ และการวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา” แก่ครูอาจารย์ผู้สอนระดับ ปริญญาตรีของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมง สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษา เกษตรภาคใต้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ผ้เู ขยี นจงึ ไดเ้ รยี บเรยี งหนังสือ“R&D: L.E. อาชีวศึกษาเกษตร..แนวทางสู่การปฏิบัติ”เพ่ือเป็นคู่มือสาหรับการทา R&D ของอาชีวศึกษา เกษตร สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ได้พิจารณาแล้ว เห็นคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ จึง สนับสนุนรบั ผดิ ชอบในการจัดพิมพ์หนังสือเลม่ นี้ขน้ึ ผู้เขยี นขอกราบขอบพระคุณบรู พาจารย์ อาจารย์ทา่ นตา่ งๆ ทป่ี รากฏอยใู่ นบรรณานกุ รม ของหนงั สอื เลม่ น้ี ขอ้ เขียนของท่านทั้งหลาย ทาให้ผเู้ ขียนสามารถนาเน้อื หาความรมู้ าเรยี บเรียง ข้ึน จนสรา้ งสรรค์หนังสอื เลม่ นีไ้ ด้จนเป็นผลสาเร็จ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงอาจารย์ ดร.โสภณ ธนะมัย ท่ีได้กรณุ าเขยี นเกริ่นนาและให้สัมภาษณ์ ท้ายที่สุดน้ีผู้เขียนกราบขออภัยมา ณ ท่ีน้ีด้วย หากข้อเขียนในหนังสือเล่มน้ี มีความ ผิดพลาดบกพรอ่ งประการใดกต็ าม ลาวัณย์ วจิ ารณ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดลอ้ ม ภาควิชาวศิ วกรรมสิ่งแวดล้อม วทิ ยาลยั วศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รงั สิต

ง สารบญั เกร่นิ นา 1 สว่ นท่ี 1 อาชีวศึกษาเกษตร 4 ความหมายของอาชวี ศึกษา 5 ความหมายของเกษตร 6 ความหมายของอาชีวศึกษาเกษตรในบริบทของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร 6 ปัญหาและอุปสรรคสาคญั ของอาชีวศกึ ษาเกษตร 7 เพลง “อศ.กช. ราลึก” 20 สว่ นที่ 2 ประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ 23 ความหมายของประสบการณ์เพ่อื การเรียนรู้ 25 องคป์ ระกอบของประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้ 26 เนอ้ื หาความรู้ 26 การวิเคราะห์และเรยี บเรยี งเนอื้ หาความรู้ 27 วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน 28 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งเน้อื หาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอน 30 วัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤตกิ รรม 30 สถานการณ์การเรยี นรู้ 31 สือ่ ชว่ ยสอน 32 การประเมนิ ผล 33 ขนั้ ตอนการสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรยี นรู้ 35 ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้อาชีวศึกษาเกษตร 38 ตัวอยา่ งตารางประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรู้อาชีวศึกษาเกษตร 41 ส่วนท่ี 3 การวิจัยและพฒั นา 60 ความหมายของการวิจัยและพฒั นา 61 ความหมายของนวตั กรรม 62 ความหมายของการวิจัยและพฒั นาทางการศึกษา 63 หลกั การวิจัยและพฒั นา 64

จ กระบวนการวจิ ัยและพัฒนา 64 กระบวนการวจิ ัยและพฒั นาประสบการณเ์ พ่ือการเรยี นรู้อาชีวศึกษาเกษตร 65 ตวั อย่างการทดลองการวจิ ัยและพฒั นาประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ 70 วัฏจักรกระบวนการการวิจัยและพฒั นา 83 บรรณานุกรม 84

1 เกรนิ่ นำ โดย… โสภณ ธนะมยั การที่ผู้เขียน(ลาวัณย์ วิจารณ์) ตั้งชื่อหนังสือน้ีว่า “R&D: L.E. อาชีวศึกษาเกษตร: แนวทางส่กู ารปฏิบตั ิ” ก็เพ่อื ทีจ่ ะสอื่ ความหมายถึงผอู้ า่ นว่า….. การอาชีวศึกษาเกษตรจาเป็นต้องสร้างรูปแบบการจัดการเรียนการสอนอาชีพ เกษตรของตนเองขึ้นมาแล้วนาไปปฏิบัติ แล้วถ้านามาพิสูจน์ทดสอบได้ผลเป็นที่พอใจ ด้วย การทาวิจัยที่เรียกว่า R&D (research and development : วิจัยและพัฒนา) เราก็ถือว่า เปน็ ทฤษฏที ่สี ามารถใชเ้ ปน็ แนวทางในการปฏิบัตติ อ่ ไป ประเด็นหรือสาเหตุสาคัญที่สุดท่ีทาให้ต้องคิดสร้างแนวทางการจัดการเรียนการ สอนอาชีวศึกษาของชาวอาชีวศึกษาเกษตรเองข้ึนมา ก็เพราะว่าทั้งในอดีตจนปัจจุบัน รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนได้ถกู กาหนดและส่ังการให้ปฏิบัติตามน้ันมาจากส่วนกลาง เพื่อให้สถานศึกษาปฏิบัติ (top-down policy) รูปแบบการจัดการเรียนการสอนจาก สว่ นกลางดงั กล่าวถกู นำเข้ำ(imported)จากประเทศตะวันตกแบบเหมำโหล (wholesale) แต่มักจะทำไม่ครบถ้วนตามรูปแบบของเขา ทาให้ใช้ไม่ได้ผล แต่ก็ยังคงฝืนใช้กันอยู่ตาม คาสัง่ เบ้ืองบน ซึง่ เปน็ ปญั หาคาราคาซังอยทู่ กุ วนั น้ี และจะยงั คงเป็นอยู่ตอ่ ไป ชาวอาชีวศึกษาเกษตรจึงจาเป็นต้องสร้ำงทฤษฏีของตนข้ึนมาบนพ้ืนฐานของ ความเป็นอาชีวศึกษาเกษตรของเราเอง จึงจะไม่ต้องตกเป็นฝ่ายต้ังรับฝ่ายเดียวดังที่เป็นทุก วันน้ี สถำบนั กำรอำชีวศกึ ษำเกษตรของเราตกอยู่ในทา่ มกลาง สังคมอุดมศึกษำเกษตร และก็ต้องจัดการศึกษาบนความซับซ้อนของอาชีวศึกษากับอุดมศึกษา (ประกาศนียบัตร วิชาชพี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชนั้ สูง และปริญญาตรีเทคโนโลยีบัณฑิต) การที่อาชีวศึกษา เกษตรจะดารงอยู่ได้นั้น จาเป็นต้องสร้างอัตลักษณ์ของเราเองที่โดดเด่นและแตกต่าง ซ่ึง เรำมีดี..ที่ไม่มีใครเหมือน..และยำกที่จะลอกเลียนแบบ..อัตลักษณ์ของเรำได้ เพื่อใช้ใน การแข่งขัน เราจึงแข่งขันได้ และยังทาให้เราสามารถป้องกันตนเองจากวัฒนธรรม

2 อุดมศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆที่จะเข้ามาแทรกแซงและครอบงา เม่ือป้องกันได้ เชน่ นี้ ก็จะทาใหอ้ าชีวศึกษาเกษตรของเราพฒั นาไปในทิศทางท่ีต้องการหรือที่ควรจะเป็น อัตลักษณ์อำชีวศึกษำเกษตรของเราที่จะสร้างขึ้นโดยพวกเราเองนั้น ก็ต้องอาศัย รูปแบบการวจิ ยั R&D เพือ่ พิสูจน์รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีเรียกว่า L.E.(learning experience: ประสบการณ์เพ่ือการเรยี นรู้)นนั้ เหมาะสมกบั อาชวี ศกึ ษาเกษตร ดังนั้นการทา R&D: L.E. ในแต่ละคาบเรียน ก็จะมีการทาวิจัยด้านการเรียนการ สอนประกบ เพื่อยืนยันผลสัมฤทธิ์การเรียน ซ่ึงรูปแบบการเรียนการสอนแบบ L.E. นี้มี หลักการท่ีสาคัญ คือ จะต้องไม่มีผู้เรียนคนใดเลยท่ีไม่ผ่านการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การ สอน ซง่ึ ต่างจากการวัดผลประเมนิ ผลที่นาเข้าจากประเทศตะวันตก จะต้องมีการให้ grade ผู้เรียนแต่ละคนท่ีจะแบ่งเป็นคนเรียนเก่ง ไม่เก่ง หรือสอบตก ขณะที่อำชีวศึกษำเกษตร เน้นกำรปฏิบัติทำงทักษะวิชำชีพ ไม่ควรมี grade: A B C… จึงเห็นได้ว่า รูปแบบการ จัดการเรียนการสอนแบบ L.E. จะทำลำยกำรให้ grade ทาให้ grade ไม่มีความหมายอีก ต่อไป นอกจากน้ีผลของการทา R&D: L.E.ของครูผู้สอน คือ ครูทุกคนจะมีผลงานวิจัยด้าน การเรียนการสอนตลอดทุกคาบทุกครั้ง รวมทั้งการวิจัยด้านโครงการพัฒนาทักษะวิชาชีพ อกี ด้วย นอกจากน้กี ารเรียนการสอนรูปแบบ L.E.จะทาใหอ้ าชีวศึกษาเกษตรเน้นการศึกษา ท่ีเป็นรายบุคคลมากขึ้นและสามารถสร้างแบบแผนการเรียนให้ผู้เรียนแต่ละคน สามารถ เรียนได้ด้วยตนเอง L.E.ท่ีผู้สอนสร้างข้ึนสามารถให้ผู้เรียนได้รับรู้ และปฏิบัติตาม สถานการณ์การเรียนรู้ รวมถึงสามารถรู้ด้วยว่าจะประเมินผลอย่างไร ดังนั้น L.E. จะทาให้ อาชีวศึกษาเกษตรเป็นการจัดการเรียนการสอนแบบ two–way communication ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน อีกท้ังยังเป็นการสร้างแบบแผนของการเรียนรู้โดยแต่ละบุคคล สามารถท่ีจะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างมากที่สุด ซ่ึงเหมาะสมกับนักเรียน นักศึกษา กลุ่ม อศ.กช. รวมทัง้ ระดบั ปรญิ ญาตรีอกี ด้วย นจี่ ึงเป็น“อตั ลักษณ์” อกี ดำ้ นหน่ึงของอาชีวศึกษา เกษตร

3 ในท้ายที่สุดนี้ เม่ือสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร โดยชาวอาชีวศึกษาเกษตรท้ัง 4 สถาบัน ได้ร่วมมือกันเป็นเครือข่ำย L.E. (L.E. CORPS - กองกาลัง L.E.) สร้ำงอัตลักษณ์ อำชีวศึกษำเกษตร น้ีข้ึนมาด้วยตัวของพวกเราเองอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็ย่อมเป็นที่มั่นใจ ไดว้ ่า ความม่ันคง ย่งั ยืนย่อมเกิดกับอาชีวศึกษาเกษตรอย่างแน่นอน และอาจเป็นได้ไหมว่า แนวทางอาชีวศกึ ษาเกษตรน้ี คือแนวทางหนึ่งของกำรปฏิรูปกำรศึกษำของไทยที่เรียบง่ำย และทำได้เอง โดยครูผสู้ อนกับผเู้ รยี นไมต่ อ้ งวุน่ วำยกับเรื่องอื่นที่ไม่ใช่การเรียนการสอนอีก ต่อไป Making Changes Together

4 ส่วนท่ี 1 อาชีวศึกษาเกษตร โครงสรา้ งเนื้อหาอาชวี ศกึ ษาเกษตร ประกอบด้วย ความหมายของอาชวี ศึกษา ความหมายของเกษตร ความหมายของอาชวี ศกึ ษาเกษตรในบรบิ ทของสถาบนั การอาชวี ศกึ ษาเกษตร ปญั หาและอปุ สรรคสาคัญของอาชวี ศึกษาเกษตร เพลง “อศ.กช. ราลกึ ” เนอ้ื หาสว่ นท่ี 1 จะสื่อใหผ้ ู้อ่านมองเห็นภาพ “เกษตรราพนั ” และ “ทางรอดของอาชีวศกึ ษาเกษตร”

5 ความหมายของอาชวี ศึกษา คาว่า “อาชีวศึกษา”เป็นศัพท์ท่ีบัญญัติขึ้นใช้ทางวิชาการ โดยตามรูปศัพท์แล้ว ประกอบไปด้วยคา 2 คา นามารวมกัน คือ คาว่า “อาชีวะ” และ “ศึกษา” คาวา่ “อาชีวะ” ตามพจนานกุ รมให้ความหมายว่า กิจการงานที่ประกอบเพ่ือเลี้ยง ชีพ ส่วนคาว่า “ศึกษา” หมายถึง การเล่าเรียน ดังน้ันเมื่อนาคาท้ัง 2 คามารวมเข้าด้วยกัน เป็น “อาชวี ศึกษา” จึงมคี วามหมายว่า การเลา่ เรยี นท่มี ุ่งการประกอบการงานเป็นอาชพี คาว่า“อาชีวศึกษา”ในทางวิชาการแล้วมีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลายในหลาย บริบทด้วยกัน แต่ความหมายในบริบทของกรมอาชีวศึกษาแล้ว ควรฟังจากความคิดเห็น ของผู้ที่มีบทบาทหน้าที่รับผิดชอบการจัดการศึกษาของอาชีวศึกษาของประเทศโดยตรง อดีตอธิบดีกรมอาชวี ศึกษา(นายบุญเทียม เจริญยิ่ง) ได้กล่าวไว้ในหน้าคานาของหนังสือช่ือ “คู่มือการเขียนเอกสารประกอบการสอนและแผนการสอน”(2534) ของกรมอาชีวศึกษา ดงั นี้ การจดั การศกึ ษาของกรมอาชวี ศกึ ษา มีวัตถุประสงคใ์ หผ้ ้เู รียน ไดร้ บั การฝกึ ฝนอบรมใหม้ คี วามรู้ ทกั ษะ ประสบการณ์ เจตคติ วินยั และความรับผดิ ชอบ ทจ่ี ะสามารถประกอบอาชพี ไดอ้ ย่าง แทจ้ ริง ทีม่ า: https://m.facebook.com/events/539347332839214?aref=22&_ft_ อาชีวศึกษาของไทยโดยกรมอาชีวศึกษา(ปัจจุบันสานักงานคณะกรรมการการ อาชีวศึกษา) แบ่งกลุ่มวิชาชีพไว้ 5 กลุ่ม ได้แก่ เกษตรกรรม คหกรรม ช่างอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และบริหารธุรกิจ และศิลปหัตถกรรม โดยมีสถานศึกษา ได้แก่ วิทยาลัย เกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมง วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัย ศิลปะหัถกรรม วิทยาลัยสารพัดช่าง วิทยาลัยการอาชีพ และวิทยาลัยเฉพาะทางอื่นๆ นอกเหนอื จาก 5 กลมุ่ วิชาชพี

6 ดังน้ันสรุปได้ว่า “อาชีวศึกษา”เป็นการจัดการศึกษาประเภทหน่ึงที่มุ่งเน้นการ จัดการเรียนการสอนทางวิชาชีพ เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถประกอบอาชีพในวิชาชีพที่เรียนได้ อย่างแทจ้ ริง ความหมายของเกษตร ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. ทานอง สิงคาลวณิช (2519) ได้ให้คาจากัดความของ คา ว่า “เกษตร” ว่า เดิมคือคาว่า “กสิกรรม”ซ่ึงหมายถึง การทานา การเพาะปลูก ต่อมา ระบบการเกษตรได้พัฒนามากข้ึน กสิกรครอบครัวเดียวทาทั้ง นา ไร่ สวน และมีการเลี้ยงสัตว์ปนอยู่ด้วย ทาให้ต้องหาคา เรยี กใหม่ เพื่อใหม้ ีความหมายที่กินความได้หมด คานั้นคือ คา วา่ “เกษตร” ซง่ึ แปลว่า แดน ท่ดี ิน ทงุ่ นา ไร่ ทม่ี า:http://www.secreta.doae.go.th/old/html/page57.htm ท่ีจริงแล้ว คาว่า“เกษตร” หรือ“การเกษตร”(agriculture) เป็นสิ่งท่ีมีความหมาย กว้างมาก มิใช่เฉพาะการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ แต่หมายถึง กิจกรรมหรือกระบวนการท่ี เก่ียวข้องกับการผลิต(production)การแปรรูป(procession) และการจัดจาหน่าย (distribution) ผลิตผลทางการเกษตร (ปญั ญา, 2520) ความหมายของอาชีวศึกษาเกษตรในบรบิ ทของสถาบนั การอาชวี ศกึ ษาเกษตร คาว่า “อาชีวศึกษาเกษตร” น้ัน เป็นท่ีเข้าใจกันโดยท่ัวไปว่า เป็นภาระหน้าที่ของ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมงใน 4 ภูมิภาค แต่ในปัจจุบันเม่ือมีการรวม วิ ท ย า ลั ย เ ก ษ ต ร แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี จั ด ต้ั ง เ ป็ น ส ถ า บั น ก า ร อ า ชี ว ศึ ก ษ า เ ก ษ ต ร ขึ้ น ต า ม พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ.2551 มีฐานะเป็น“สถาบันอุดมศึกษา”จึงทาให้เป็น

7 สถาบันการศึกษาท่ีจัดอาชีวศึกษากับอุดมศึกษาซ้อนกันอยู่ ซ่ึงทาให้การจัดอาชีวศึกษา เกษตรมีการสอดประสานและรับช่วงต่อ (articulation) จากระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพช้ันสงู (ปวส.) จนถึงระดบั ปรญิ ญาตรี ดั้งนน้ั คาวา่ “อาชีวศกึ ษาเกษตร” ซ่ึงแต่เดิมหมายถึง กระบวนการศึกษาเพ่ือผลิต และพัฒนาคนในด้านการผลิต (production)การแปรรูป(procession) และการจัด จาหน่าย( distribution)ผลิตผลทางการเกษตรในระดับประกาศนียบัตรวิชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง ซึ่งถือว่าเป็นการจัดการศึกษาระดับต่ากว่าปริญญาตรี ต้อง ขยายความหมายโดยเพิ่มการจัดการศึกษาระดับปริญญาตรีเข้าไปด้วย เป็นว่า... “กระบวน การศึกษาเพ่ือผลิตและพัฒนาคนในด้านการเกษตร เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถประกอบ วิชาชีพเกษตรที่เรียนได้อย่างแท้จริง ทั้งระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ระดั บ ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ช้นั สูง จนถงึ ระดบั ปรญิ ญาตรี” ปญั หาและอปุ สรรคสา่ คัญของอาชวี ศกึ ษาเกษตร ผู้เขียนไดค้ ดั สรรข้อความทกี่ ล่าวถงึ ปัญหาของการจัดการศึกษาเกษตร ถึงแม้ว่าจะ ไม่ได้ระบุว่าเปน็ ปัญหาอาชีวศึกษาเกษตรตรงๆ แต่เมื่อพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว จะพบว่า มคี วามสอดคล้องกันอย่างยงิ่ ข้อความที่จะนาเสนอนผ้ี ู้เขียนได้เรียบเรียงจากหนังสือ 2 เล่ม ซง่ึ ผู้เขยี นม่ันใจวา่ ท่านเป็นผรู้ ู้จริงด้วยประสบการณ์ตรงจากสายงานอาชีพของท่าน 2 ท่าน ดงั นี้ ท่านแรกเป็นบูรพาจารย์ด้านวิทยาศาสตร์เกษตรของประเทศไทย ท่านคือ ศาสตราจารย์หลวงสมานวนกิจ (เจริญ สมานวนกิจ) ในอดีตท่านเป็นอธิบดีกรมป่าไม้ (2493-2494) ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2496) คณบดคี ณะเกษตร มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (2498-2499) ได้รับ ป ริ ญ ญ า ว น ศ า ส ต ร์ ดุ ษ ฎี บั ณ ฑิ ต ( กิ ต ติ ม ศั ก ดิ์ ) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2509) ท่านได้เผยแพร่ความรู้การทา การเกษตรในเรื่องต่างๆ ซึง่ ได้ผ่านการทดลองด้วยตัวท่านเองมาแล้ว อย่างได้ผลแก่ผู้สนใจโดยท่วั ไป ท่ีมา: http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p416.html

8 ท่านได้เรียบเรียงหนังสือ“ความเจริญเดินตามรอยไถ: CIVILIZATION FOLLOWS THE PLOW”เมอ่ื พ.ศ.2514 ขณะอายุ 75 ปี ไดก้ ลา่ วถงึ ปญั หาการเกษตรกรรมของไทยวา่ . …ชาวไทยเราสว่ นมากมีความเข้าใจผดิ อย่างมาก คิดว่า อาชีพการเกษตร ไมต่ อ้ งใชห้ ลักวชิ าทางวิทยาศาสตรแ์ ตป่ ระการใด.....ก็ทาการเกษตรเลี้ยงลูกหลาน มาได้ต้ังแต่สมัยโบราณมา.....แต่ความจริงน้ัน การเกษตรกรรม....จาเป็นอาศัย ความรอบร้ทู างวทิ ยาศาสตรป์ ระยกุ ตอ์ ย่างจะขาดเสยี มไิ ด้ รัฐบาลสมควรท่ีจะรีบจัดการวางแผนการศึกษาเสียใหม่ โดยจัดให้เป็น การสอนวิชาการเกษตรขึ้นในช้ันปฐมปีที่ 6-7 เพ่ือสอนให้บุตรกสิกรท่ีไม่สามารถ จะเรียนต่อวชิ าชีพช้นั สูงต่อไป... โรงเรียนปฐมกสิกรรมน้ี....ควรเป็นโรงเรียนกินนอน....เพราะถ้าใช้สอน แบบสอนเช้าไปเย็นกลับแล้ว ก็จะไม่บังเกิดผลดีอย่างที่ประเทศอื่นเขาเคยปฏิบัติ มาแล้ว เพราะครูและนกั เรียนไม่มจี ติ ใจรกั การสอน รักการเรยี นเหมือนอย่างเรียน แบบกินนอน....เราไม่จาเป็นต้องเสียเวลาไปค้นคิดและลงทุนสอนมากมาย ตั้ง โรงเรยี นก่อตกึ ใหญโ่ ตจนไมม่ ีงบประมาณพยี งพอ นักศึกษาวิชาการเกษตร เมื่อสาเร็จการศึกษาไปแล้ว ก็ไม่นิยมใช้วิชา กสิกรรมทาอาชพี กลับไปนยิ มใชว้ ิชาเปน็ ข้าราชการนงั่ ทาการประจาโต๊ะ เก้าอ้ีกัน ทัง้ นนั้ .... การศึกษาแบบนี้มีประโยชน์ต่อประเทศไทยน้อยเต็มที...ผู้ศึกษาวิชา กสิกรรมขาดความเช่ือของตนเอง....ขาดความศรัทธาอาชีพกสิกรรมท่ีตนเรียนมา ....หลักสูตรให้การศึกษาในสถานศึกษาวิชากสิกรรมน้ันๆ ยังหย่อนวิชาปฏิบัติใน ภาคปฏบิ ัตกิ ลางแจ้งอยา่ งมาก ทาใหข้ าดความอดทนต่อความลาบากตรากตรา... หลักสูตรการศึกษาจัดให้คะแนนภาคทฤษฎีไว้มากเกินกว่าคะแนนภาคปฏิบัติ นักศึกษาจึงไม่สนใจเรียนภาคปฏิบัติ ทาให้ผู้สาเร็จออกไปไม่อยากจะทาอาชีพ กสกิ รรม พึง่ ตนของตนเอง เพราะไปหวงั พึง่ หน้าที่ราชการกันหมด ท่านหลวงสมานวนกิจได้เรียบเรียงหนังสือ “ความเจริญเดินตามรอยไถ: CIVILIZATION FOLLOWS THE PLOW”เล่ม 2 ได้รับการจัดพิมพ์เม่ือ พ.ศ.

9 2516 และในตอนท่ี 4 ของหนังสือเล่มน้ี ท่านได้เขียนข้อความเกี่ยวกับรัฐบาล ส่งเสรมิ การกสกิ รรมอย่างไร ซงึ่ จะขอนาข้อความบางประการมาเล่าให้ฟงั ดังนี้ ....รัชกาลที่5 ได้โปรดให้สถาปนาโรงเรียนส่งเสริมช่างไหม.....พระองค์ ตระหนกั วา่ ประเทศสยามเป็นประทศกสิกรรม จงึ จาเป็นอยา่ งย่งิ ทีจ่ ะตอ้ งสง่ เสริม อาชีพกสิกรรมให้มั่นคง กว้างขวาง อย่างนานาประเทศ แต่โรงเรียนก็ต้องเลิกล้ม ไปเมอ่ื สนิ้ ราชกาลของพระองคท์ ่านลงไมก่ ่ีปี ในรัชกาลท่ี 6 กระทรวงธรรมการได้ สถาปนาโรงเรียนฝึกหัดครูปฐมกสิกรรมข้ึน เพ่ือจะได้ออกไปสอนบุตรชาวไร่ ชาวนาในโรงเรียนประชาบาลตามหัวเมือง เม่ือเรียนสาเร็จแล้วจะได้ทาอาชีพ กสิกรรรมแผนใหม่ดีข้ึน โรงเรียนฝึกหัดครูต้องเลิกล้มไปอีก เมื่อเปล่ียนแปลงการ ปกครองขน้ึ ...เพราะฉะน้ันการกสกิ รรมของประเทศไทยเราจึงไม่ก้าวหน้าเรื่อยมา ......ตอ่ มาไดส้ ถาปนาโรงเรียนกสิกรรมขน้ึ ที่ห้วยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ แล้วค่อยๆ เจริญก้าวหน้าขึ้น มีนักเรียนเพิ่มขึ้นและอาจารย์มีความรู้สูงเพ่ิมข้ึน พอที่จะเปิด เป็นวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สถาปนาขนึ้ ในปี พ.ศ.2486 ท่ีอาเภอบางเขน พระนคร นอกจากนี้ต่อมารัฐบาลได้ จัดตัง้ โรงเรยี นและวิทยาลยั เกษตรกรรมข้นึ ท่ีตา่ งจังหวัดอีกหลายแห่ง มีนักเรียนท่ี เรียนจบวิชากสกิ รรมออกไปหลายพนั คน.... .....แต่เมื่อพิจารณาดูฐานะการอาชีพของชาวไร่ ชาวนาของเราแล้ว ก็ยัง ไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ทั้งนี้เพราะเหตุหลายประการ เป็นต้นว่า 1) ผู้ท่ีเรียนสาเร็จ วิชากสกิ รรมออกไป ไม่ไดน้ าเอาวิชาความร้นู นั้ ไปประกอบอาชีพการกสกิ รรม 2 ) ผู้ท่ีศึกษาวิชากสิกรรม ขาดความเชื่อตนเอง ขาดความศรัทธาว่าอาชีพกสิกรรมท่ี ตนเรียนมาน้ัน หรือจะเป็นท่ีพึ่งได้อย่างสมบูรณ์หรือไม่ 3) หลักสูตรให้การศึกษา ในสถานศึกษาวิชากสิกรรมน้ันๆยังหย่อนวิชาภาคปฏิบัติในกลางแจ้งอยู่มาก ทา ให้ขาดความอดทนต่อความลาบากตรากตรา ทางานออกแรงกลางแจ้ง 4) หลกั สูตรการศึกษาจัดให้คะแนนภาคทฤษฎีไว้มากเกินกว่าภาคปฏิบัติ ทาราชการ กันหมด...

10 ท่านท่ี 2 รองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา หิรัญรศั มี อาจารย์และนกั วชิ าการทางการ ศกึ ษาเกษตร อดีตอาจารยภ์ าควิชาอาชีวศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตร ศาสตร์ ได้กล่าวถึงปัญหาของการจัดการศึกษาเกษตรเอาไว้ในบทท่ี 7 “ปัญหาของการจัด การศกึ ษาเกษตร” ในหนงั สอื ชอื่ “ พน้ื ฐานการศึกษาเกษตร” โดยปญั ญา หริ ัญรศั มี วิชิต ไวศยะนันท์ และโสภณ ธนะมัย เม่ือปี พ.ศ.2520 เอาไวด้ ังนี้ 1. การศกึ ษาเกษตรกรรมในประเทศไทย ส่วนมากขนึ้ อย่กู บั ตวั บุคคลในระดับ ผู้บริหาร คือ ผู้นาประเทศ ถ้ายุคใดสมัยใดผู้บริหารมองการณ์ไกล มองเห็น ความสาคัญของการศึกษาเกษตร...ในยุคน้ันสมัยนั้นการศึกษาเกษตรก็มักจะ เจริญก้าวหน้า...การเปล่ียนแปลงนโยบายหรือแนวปฏิบัติต่างๆระบบราชการมัก ยึดติดกับบุคคลเป็นสาคัญมิได้ยึดอุดมการณ์หรือแนวปฏิบัติท่ีถูกต้อง ตามสภาพ ความเป็นจริง 2. ไม่มพี ระราชบญั ญตั หิ รือกฎหมายคมุ้ ครองทว่ี ่าดว้ ยการจดั การศกึ ษาเกษตร แห่งชาติ เหมือนอย่างที่หลายประเทศให้มีอยู่ เช่น อเมริกา ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น เป็นต้น ซ่ึงในพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้ระบุเลยว่า ในปีใดรัฐบาลจะให้ งบประมาณในด้านการจัดการศึกษาเกษตรเท่าใด เมื่อใด และเกี่ยวข้องในเร่ือง ไหน เพ่อื ป้องกันการเปลีย่ นแปลงผู้บริหารอย่างปัญหาขอ้ 1 3. หลักสูตรทุกระดบั ขาดความต่อเนอื่ งของการพฒั นาแนวความคดิ รวบยอดทาง เกษตรและปญั หาในดา้ นการศึกษาต่อ...สภาพความเป็นจริงในขณะที่สังคมไทยยัง นิยมในปริญญาบัตร..จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ให้มีการศึกษาต่อ.... เม่ือมีการศึกษา ต่อ หลักสตู รก็ควรจัดใหต้ อ่ เนือ่ งในด้านแนวความคิดรวบยอดและด้านการพัฒนา ทางทักษะ 4. ปัญหาตอ่ เน่อื งจากขอ้ 3 คือ ผู้จัดการหลักสตู ร ขาดความรู้ ความเข้าใจใน การจัด บางครั้งเท่าท่ีทราบจัดกันเพียงไม่ก่ีคน และคนท่ีจัดยังไม่มีความรู้ความ เข้าใจเลยว่า หลักสูตร คืออะไร มีองค์ประกอบอะไร จัดไปทาไม จัดให้ใครและ ควรมีรปู แบบออกมาแบบไหน

11 5. ผู้บริหารของสถานศึกษาเกษตร ยังขาดความเข้าใจเรอื่ งของการศกึ ษาเกษตร ดีพอ อาศัยพื้นฐานความรู้และประสบการณ์เท่าที่มีอยู่ ซึ่งก็อาจจะไม่เป็นไร แต่ บางท่านยังไม่ยอมรับแนวความคิดจากครูเกษตร ทาให้ครูเกษตรท้อแท้ใจที่จะ ดาเนินงาน 6. ปัญหาเกิดจากความไมพ่ ร้อมของสถานศึกษาเกษตรที่จะเปดิ ได้ถงึ ระดับ ปริญญาตรี ทาให้ดาเนินการไปทั้งๆยังไม่พร้อม....เร่ืองคุณภาพของผู้ท่ีสาเร็จ การศึกษากส็ ามารถประเมนิ ไดว้ ่าคงจะมีคุณภาพไม่ดเี ทา่ ท่ีควร 7. การเรียนการสอนยงั คงเปน็ ไปในรูปทฤษฏีมากกวา่ ปฏบิ ตั ิ เราจะเห็นไดว้ า่ การ เรยี นการสอนการเกษตรนน้ั ไม่วา่ ระดบั ไหนๆ จะสอนกนั บนกระดานมากกวา่ 8. การวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนการสอน เปน็ เรือ่ งปัญหาตอ่ เนอื่ งจาก ข้อ 7 การวดั ผลประเมินผลควรมงุ่ ดา้ นความสามารถในการปฏิบัติให้มากกว่าด้าน ทฤษฎี ปัญหาการศึกษาเกษตรที่ยกมาเล่าให้ฟังน้ัน เริ่มจากอดีตโดยศาสตราจารย์หลวง สมานวนกิจ (2514 และ2516) ใน 5 ปีต่อมารองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา หิรัญรัศมี (2520) และท่ีเป็นปัจจุบันมากท่ีสุด ซ่ึงผู้เขียนคิดว่าสอดคล้องกับบริบทของปัญหาและ อปุ สรรคของอาชีวศกึ ษาเกษตรในวิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยี ถงึ แมว้ ่าจะกล่าวถึงเฉพาะ สถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลางเท่านั้น คือ วิทยานิพนธ์เรื่อง “ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร พั ฒ น า ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น วิ ช า เ ก ษ ต ร ข อ ง ค รู อ า จ า ร ย์ ใ น ส ถ า บั น ก า ร อาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา”โดยว่าที่ ร.ต. พงศธ์ ร สินธุรตั น์ (2558)ได้กลา่ วถึงมติ ติ ่างๆของปญั หาและอุปสรรคในการจัดการเรียนการ สอน โดยสรปุ ดังนี้ 1. ปญั หาและอปุ สรรคในการจัดการเรยี นการสอนด้านหลักสตู ร พบว่า หลักสูตรมีการเปล่ียนแปลงมากเกินไป การจัดการเรียนการสอนเน้นทฤษฎี มากเกินไป มีวิชาเรียนมากเกินไป ขณะที่วิชาเรียนที่เป็นวิชาหลักซ่ึงเป็น พื้นฐานด้านพืช สัตว์และประมง กลับมีชั่วโมงเรียนน้อยเกินไปทาให้การฝึก ปฏิบตั ิไมม่ ีประสทิ ธิภาพ และสถานทป่ี ฏบิ ตั งิ านฟาร์มนอ้ ยเกินไป

12 2. ปัญหาและอุปสรรคในการจดั การเรียนการสอนด้านเน้ือหาความรู้ พบวา่ เนื้อหาวิชาไม่ทันสมัยกับการประกอบอาชีพเกษตรในปัจจุบัน ไม่ส่งเสริมการ นาไปใช้ประโยชนจ์ ริงในพนื้ ท่แี ละการทางานดา้ นการเกษตร 3. ปญั หาและอปุ สรรคในการจดั การเรยี นการสอนดา้ นเทคนคิ และวิธกี าร สอน พบว่า ขาดเทคนิคในการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติจริงในฟาร์ม ผเู้ รยี นไม่สู้งาน ปฏบิ ตั งิ านไมจ่ รงิ จังและขาดความรับผดิ ชอบ 4. ปญั หาและอปุ สรรคในการจดั การเรยี นการสอนด้านการประเมินผลการ เรียนการสอน พบว่า ครูมีความรู้ทางวิชาการเกษตร แต่ไม่ค่อยมีความรู้ใน วชิ าชพี ครู 5. ปัญหาและอปุ สรรคในการจดั การเรียนการสอนด้านส่ืออุปกรณ์การเรยี น การสอน พบว่า ส่ือไม่เพียงพอ ไม่ทันสมัย ครูขาดความรู้ในการจัดทาส่ือการ เรียนการสอน 6. ปัญหาและอุปสรรคในการจดั การเรยี นการสอนดา้ นงานฟาร์มใน สถานศึกษา พบว่า ครู อาจารย์ส่วนใหญ่มีอายุมาก มีครูเกษตรรุ่นใหม่มา ทดแทนนอ้ ย ท้งั ยงั มีประสบการณไ์ มเ่ พยี งพอ ทาให้การควบคุมการปฏิบัติงาน ในงานฟาร์มมีประสิทธิภาพลดลง งานฟาร์มได้รับความสนใจจากผู้บริหาร น้อย วัสดุอุปกรณ์ อาคารต่างๆท่ีควรมีสาหรับฟาร์มเกษตรมีไม่พร้อม เคร่ืองจักรกลการเกษตรอยู่ในสภาพที่เก่าชารุดทรุดโทรม ไม่เหมาะสมกับการ ใชง้ านในฟาร์ม และสนิ้ เปลืองเชอ้ื เพลิง 7. ปัญหาและอุปสรรคในการจดั การเรยี นการสอนดา้ นการวจิ ยั พบว่า ผู้สอนมีเวลาในการทาวิจัยน้อย มีความรู้ความสามารถด้านงานวิจัยน้อย โดยเฉพาะงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ครูเกษตรขาดความสนใจในการทางาน วจิ ยั การทาวจิ ัยของนกั ศกึ ษา ปัญหาพิเศษ ยังไมส่ ามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ จริง นอกจากน้ีผู้เขียนและอาจารย์ศักดิ์ศรี จากสถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน ได้มีโอกาส เดินทางไปวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยประมงทุกแห่งสังกัดสถาบันการ อาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (วันที่ 18-24 กรกฎาคม 2559) และสถาบัน

13 การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ (วันท่ี 2-9 ตุลาคม 2559) รวมทั้งได้เป็นวิทยากรในการ ประชมุ เชงิ ปฏบิ ัติการ เร่อื งขอบเขตงานวิจัยของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้(วันท่ี 20-22 มิถุนายน 2561) ขอบเขตงานวิจัยของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ (วันท่ี 19-21 กรกฎาคม 2561) และขอบเขตงานวิจัยของสถาบันการ อาชีวศึกษาเกษตร ภาคเหนือ (วันที่ 30-31 สิงหาคม 2561) จากกิจกรรมดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนได้มีโอกาสได้รับฟังปัญหาการจัดการเรียนการสอนของครูอาจารย์ วิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยี และวิทยาลัยประมง ซึ่งมีหลากหลายมิติด้วยกัน แต่ถ้ามองในภาพรวมแล้ว สามารถพูดโดยสรปุ ไดว้ า่ ปัญหาตา่ งๆ เหลา่ นน้ั มลี กั ษณะเดยี วกันกับปัญหาจากมุมมองของ บูรพาจารย์วิทยาศาสตร์เกษตร (หลวงสมานวนกิจ)และนักวิชาการศึกษาศาสตร์เกษตร (รองศาสตราจารย์ ดร.ปัญญา หริ ญั รัศมี) รวมทง้ั จากวิทยานิพนธ์ของว่าท่ี ร.ต.พงศ์ธร สินธุ รตั น์ (2558) ดงั ท่ีไดก้ ล่าวแล้วข้างตน้ สาหรับในส่วนของอาชีวศึกษาเกษตรและโดยเฉพาะท่ีจัดการเรียนการสอนโดย วิทยาลัยเกษตรกรรม ซ่ึงต่อมาเปล่ียนชื่อเป็น “วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี” มีปัญหา อะไร? และอย่างไรนั้น” ผู้เขียน ได้พิจารณาคัดสรรบุคคลท่ีมีประสบการณ์กับวิทยาลัย เกษตรและเทคโนโลยผี ซู้ ่ึงสามารถจะมองย้อนเหตุการณ์ครอบคลุมจากปี พ.ศ.2514 จนถึง ปัจจุบนั (2561) และควรเป็นนักวิชาการทางการศึกษาเกษตร ซึ่งไม่ได้สังกัดวิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยี วทิ ยาลยั ประมง รวมทงั้ สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษาในปัจจบุ นั ผู้เขียนได้ปรึกษาทั้งผู้บริหารสถานศึกษา ครูอาจารย์ของวิทยาลัยเกษตรและ เทคโนโลยี และวทิ ยาลัยประมง รวมทั้งผู้บริหารของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรเป็นบาง ท่านเพ่ือให้ช่วยเสนอแนะช่ือบุคคลที่มีคุณสมบัติดังกล่าว คาตอบท่ีได้รับมีช่ือเดียว คือ ดร. โสภณ ธนะมัย ด้วยเหตุผลจากประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน การศึกษาเกษตร และการบริหารอาชีวศึกษาเกษตรของกรมอาชีวศึกษา จนมาเป็น สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดังนี้ 1) อดีตหัวหน้าภาควิชาอาชีวศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2) อดีตท่ีปรกึ ษากรมอาชวี ศึกษา สมัยอธิบดี บุญเทียม เจรญิ ย่งิ 3) ทป่ี รึกษากองอานวยกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (กรป.กลาง) ประสานงานเยาวชนเพ่ือความมั่นคง 4) ผู้มีส่วนริเริ่มการวางแผนการปฏิบัติงานโครงการ

14 อาชีวศึกษาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท( อศ.กช.)ในวิทยาลัยเกษตรกรรม ซ่ึง ปัจจุบัน คือ โครงการอาชีวศึกษาเพื่อการพัฒนาชนบท 5) อดีตนายกสมาคมครูอาชีว เกษตรแห่งประเทศไทย 6) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สมัยที่ 1 และสมัยที่ 2 ซ่ึงยืนยันความเห็นว่าควรรวมวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีและวิทยาลัย ประมง เป็น 4 สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรในแต่ละภูมิภาค 7) เป็นผู้เรียบเรียงหนังสือ “คู่มือการเขียนเอกสารประกอบการสอนและแผนการสอน” และ“การพัฒนาหลักสูตร การศึกษาเกษตร”(พ.ศ.2534)ร่วมกับ ดร.สมสุดา ผู้พัฒน์ ให้กับกองวิทยาลัยเกษตรกรรม กรมอาชวี ศกึ ษา เมื่อคดั สรรได้ ดร.โสภณ ธนะมยั แล้ว ผูเ้ ขียนไดน้ าปัญหาการศกึ ษาเกษตรที่ได้ กลา่ วมาแลว้ มาขอสัมภาษณ์ความคิดเห็นเมอ่ื วันท่ี 8 กนั ยายน 2561 ว่าปัญหาจากมุมมอง ของผู้รู้ทั้ง 2 ท่านและวิทยานิพนธ์ 1 ฉบับท่ีนาเสนอน้ีเป็นปัญหาอาชีวศึกษาเกษตรที่เกิด กับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีจริงหรือไม่ และมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา อะไรบา้ ง ข้อความต่อไปนี้ผู้เขียนได้ประมวลจากคาสัมภาษณ์ ดร.โสภณ ธนะมัย แล้วนามา ทาการเรยี บเรียงขน้ึ ใหม่เพือ่ ใหง้ า่ ยต่อการทาความเข้าใจของผู้อ่าน ดังต่อไปนี้ ปัญหาอาชีวศึกษาเกษตรที่ได้เล่าให้ฟังมาทั้งหมดน้ี จากประสบการณ์ ของผม...มันถูกต้อง เรารู้จักกันในชื่อว่า“เกษตรราพัน”เพราะปัญหาเหล่านั้น เป็นปัญหาท่ีเป็นอยู่อย่างซ้าซาก แก้กันไม่ตก และก็ยังคงอยู่อีกในปัจจุบันและ ต่อไปในอนาคตไม่รู้จบ...ในการประชุม/สัมมนาครู/ผู้บริหาร วษ.ท. ว.ประมง ครั้งใด ก็มกั จะมีผูย้ กปัญหาตา่ งๆเหลา่ น้นั ขนึ้ มากลา่ วราพัน ผู้ท่ีเงียบนั่งฟังๆ คือ พวกท่ีพูดจนเบื่อแล้ว และพวกท่ีมาใหม่ยังไม่เคยฟังเกษตรราพัน ส่วนพวกที่ ออกมาพูดก็เป็นพวกท่ียกมาเป็นข้ออ้าง แก้ตัวในการทางานที่ล้มเหลว ในอดีต พวกวทิ ยาลยั เกษตรกรรม พอได้ยินคาว่า “เกษตรราพัน”คาเดียวก็สามารถต่อ เรอื่ งได้ตดิ วา่ จะพูดอะไรต่อมา ก่อนปี 2534 ผมก็เข้าใจอาชีวศึกษาเกษตรราพันแล้ว จึงร่วมกับ ดร.สมสุดา ผู้พัฒน์ ในขณะนั้นเรียบเรียงเขียนหนังสือ “คู่มือการเขียนเอกสาร

15 ประกอบการสอนและแผนการสอน” ให้กับกองวิทยาลัยเกษตรกรรม กรม อาชวี ศึกษา ในปี พ.ศ.2534 โดยกอ่ นหน้านีไ้ ด้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการให้กับครู อาจารย์วิทยาลัยเกษตรกรรม ในการทาแผนการสอน ท้ังน้ีมีเจตนาที่จะให้ครู อาจารย์มเี ขม็ ทศิ หรือแบบแปลนในการจดั การเรียนการสอนของตน และเท่าที่ รู้ในขณะนี้ ครูอาจารย์ก็ยังมีการเขียนแผนการสอนกันอยู่ ผมเคยมีโอกาสได้ เห็นครั้งหนึ่งเมื่อปีท่ีแล้ว แต่พิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าเป็นแผนการสอนท่ีอ่อน มากๆ ดู เหมือนว่าจะลอกตามๆกันมา พอให้มีตามท่ีถูกกาหนดว่าต้องทา ฉะน้ันแน่ใจได้เลยว่า ไม่ได้ใช้แผนการสอนนั้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง คือ สอน ตามสะดวกกนั เรื่อยมาเหมือนแต่ปางก่อน ผมจาได้ว่า ผมและอาจารย์สมสุดา เน้นย้าว่าแก่นสาคัญที่สุดของ แผนการสอนให้เน้นที่ช่องสถานการณ์การเรียนรู้ในแผนการสอน คือ ผู้สอน ต้องสร้างกิจกรรมที่เก่ียวกับเนื้อหาความรู้ของสาระการเรียนรู้ในแต่ละเรื่องท่ี กาหนดไว้ในรายวิชา แล้วผู้เรียนต้องได้มีปฏิสัมพันธ์กับกิจกรรมท่ีผู้สอนคิดข้ึน นัน้ ผู้เรียนจึงจะเกิดการเรียนรู้ข้ึนมาได้ ผมคิดว่าตรงน้ีแหล่ะครับ คือ ปัญหาที่แผนการสอนจริงๆ จึงไม่ เกดิ ขึ้น เพราะยงุ่ ยากและเสยี เวลาทีจ่ ะคดิ สร้างสถานการณ์การเรียนรู้ จึงสอน กันต่อๆมาด้วยความมักง่าย ซ่ึงผลเสียอย่างมหาศาลท่ีตามมา คือ การไม่ได้รับ การยอมรับจากสังคมว่า ผู้เรียนวิทยาลัยเกษตรฯ เมื่อจบแล้วไม่สามารถปฏิบัติ ไดจ้ ริงตามหลกั สตู ร ปวช.และ ปวส.ท่รี ่าเรียนมา กลายเป็นคนหยิบโหย่ง ไม่เอา การเอางาน แถมติดมาด้วยจึงเป็นสาเหตุให้ผู้ปกครองไม่ส่งเสริมให้ลูกหลาน เรยี น โดยอ้างว่าเรยี นที่บ้านก็ทาได้เหมือนกัน ปัญหาเกษตรราพันในมิติต่างๆท่ีอ่านให้ผมฟังน้ัน ยังจะคงอยู่กับ วิทยาลัยเกษตรไปอกี นานๆๆๆ ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะหมดไปได้หรือไม่ แต่มีสิ่งเดียวเท่านั้นท่ีจะคงรักษาความเป็นอาชีวศึกษาเกษตรเอาไว้ได้ คือ ครู อาจารย์ที่มีอุดมการณ์ในการสอนลูกศิษย์ให้เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง จาก ไมช่ อบสาระความรู้น้ัน ก็เปลี่ยนเป็นชอบ จากไม่มีความรู้ในสาระความรู้นั้นๆ

16 กเ็ กิดมคี วามรู้ข้นึ จากทาไม่เป็นในสาระความรู้นน้ั ก็ทาเปน็ จนสังคมยอมรับใน ความรู้ความสามารถของนกั เรยี น ปวช. นักศึกษา ปวส. รวมถงึ ปริญญาตรีดว้ ย สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร กว่าจะได้มาก็ยากเย็นแสนเข็ญ แต่ครู อาจารย์ วษ.ท.ไมต่ ระหนักในคณุ คา่ เลย น่าเสียใจและน่าเสียดายยิ่งนัก สถาบันฯ ต้องส่งเสริมสร้างเครือข่ายครูอุดมการณ์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นใน 4 ภูมิภาค แลว้ หลอมรวมเป็นหนงึ่ เดยี วในนามของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ไม่มีคาว่า “ภาค” เป็นการรวมของอาชีวศึกษาเกษตรเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และปัญหาในการจัดการเรียนการสอน ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาและร่วมมือกัน ศึกษาวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ ร่วมมือ กันสร้างองค์ความรู้ทางเทคโนโลยีการเกษตร เพื่อศักด์ิศรีของชาวอาชีวศึกษา เกษตร ซึ่งบัดน้ีถูกนับว่าเป็นอุดมศึกษาแล้ว ดังน้ันจึงต้องตระหนักว่า การสร้าง วิชาการด้วยการวิจัยเป็นภาระท่ีต้องทา และต้องทาในแนวทางที่ว่า สอดคล้อง และตอบสนองความต้องการของชุมชนท้องถ่ินท่ี วษ.ท. ตั้งอยู่ด้วย ไม่ใช่ทาแล้ว ถกู นาขึ้นวางบนชน้ั หาคนอ่านไมไ่ ด้ การที่สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตร ภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดย วิสัยทัศน์ของท่านผู้อานวยการท้ังสองท่าน น้ี ได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ R&D: LE อาชีวศึกษาเกษตรขึ้นนี้ ก็จะเป็นหนทาง นาไปสู่การสร้าง “เครือข่ายครูอาจารย์อาชีวศึกษาเกษตร” ซึ่งเป็นทางรอดทาง เดียวเท่าน้ันท่ีเหลืออยู่สาหรับ วษ.ท. ซ่ึงสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรต้อง รับภาระน้ี ถงึ แม้ว่าจะเปน็ “mission impossible”ในสายตาของครูเกษตรผู้ซึ่ง ยังสลัดคราบ“ตัวกูของกู” ไม่ได้ ด้วยยึดติดมานาน ถึงแม้จะมีอาชีพเป็น“ผู้ให้” แกผ่ ทู้ ่เี ปน็ ทง้ั “ลูก”และ “ศษิ ย”์ แลว้ กต็ าม ดงั ภาษิตคาพังเพยที่ว่า “สนิมเกิดแต่ เนอื้ ในตน” “เครือข่ายครูอุดมการณ์ L.E.” น้ี คือ หนทางการปฏิรูปการศึกษาท่ี แท้จรงิ เปน็ การระเบิดจากภายในไมใ่ ชถ่ ูกยัดเยียดจากฝ่ายใด

17 ด้วยบารมีของพระพิรุณทรงนาค โปรดบันดาลให้แนวคิดนี้ เป็นที่ยอมรับของครูอาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ด้วยเทอญ ผมขอพรท่านในการประชุมคณะกรรมการการอาชีวศึกษาทุกครั้งให้มี ผ้สู นบั สนนุ พวกเราที่จะเปน็ สถาบนั การอาชีวศกึ ษาเกษตร สุดท้ายน้ีผมขอเพิม่ อีกเร่ืองหนงึ่ ทีม่ ีความสาคญั กบั วทิ ยาลัยเกษตรฯ คอื โครงการอาชีวศกึ ษาเพื่อการพฒั นาชนบท (อศ.กช.) วิทยาลัยเกษตรฯได้รับภาระงานท่ีย่ิงใหญ่จากรัฐบาลเพ่ือแก้ไขปัญหา ความยากจนของครอบครัวเกษตรกรในชนบท ภายใต้ชื่อโครงการว่า “อาชีวศึกษาเพ่ือแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท” ในปี พ.ศ.2527 ด้วย ยุทธศาสตร์“ใช้การศึกษาแก้ปัญหาความยากจน” คือ การศึกษาถูกใช้เป็น หนทาง (means) แต่ end คอื อาชีพเกษตรทไี่ ดร้ บั การพัฒนาหรือสร้างข้ึน เพื่อ สรา้ งหรือเพ่มิ รายไดใ้ ห้กบั ครอบครัวเกษตรกรให้ได้สูงกว่าเส้นความยากจน คือ รายได้ต่อปีท่ีรฐั บาลกาหนดในแต่ละภมู ิภาค ปีต่อๆมาหลังจาก อศ.กช. boom จากการเร่งรัดติดตามงานของท่าน อธบิ ดีบญุ เทยี ม จาไดว้ า่ จดั ประชมุ สัมมนาที่ วษ.ท.พทั ลงุ โดยให้ ผอ.วษ.ท. วป.ประมง นาเสนอวิธีการและผลของการดาเนินงาน อศ.กช.ของตน (ห้ามคน อนื่ พดู แทน) ในคร้ังน้จี งึ มีการหารือวา่ ผปู้ กครองของ อศ.กช.รวมถงึ นกั เรียน อศ.กช. ที่ประกอบอาชีพอยู่แล้ว เห็นว่า พวกเขาไม่ได้จนแต่ต้องการวิชาการ เกษตรเพ่ือปรับปรุงงานอาชีพของตนให้ดีข้ึน อีกท้ังคาว่า “ยากจน” รู้สึกว่าทา ใหพ้ วกเขารสู้ กึ “อาย”อีกดว้ ย ดังนั้นจงึ มกี ารเปลย่ี นช่ือเป็น อศ.กช. เพ่ือการพฒั นาชนบท แต่ยงั คงชือ่ ย่อไว้เหมือนเดิม คือ อศ.กช. แต่ผลเสียท่ีตามต่อมาจนถึงปัจจุบันน้ีมหาศาลยิ่ง เพราะคาว่า“พัฒนา”น้ัน ทาให้เป้าหมายการประเมิน“พร่ามัว” ทาอะไรๆก็อ้าง

18 ว่า น่ีแหละ คือ การพัฒนา จึงเกิดความสับสนข้ึนในทางปฏิบัติ ถึงขนาดพูดเล่น กันว่า เปิด อศ.กช. อาบ- อบ-นวด, อศ.กช.ตีกอล์ฟ กันเถอะ ฟังแล้วทุเรศนะ! ท่ี ร้ายกว่านี้ คือ คนพวกน้ีดันได้เป็นผู้บริหารระดับสูงในกรุงเทพฯอีกด้วย นับจาก เวลาน้ันเป็นต้นมา ความเสื่อม (decline)ของ อศ.กช.ก็ฉายแววเจิดจ้ามาจนทุก วนั นี้ การจัดการเรียนการสอน อศ.กช. น้ันให้บูรณา การรายวิชาต่างๆให้สอดคล้องกับอาชีพหรือโครงการ วิ ช า ชี พ ท่ี ต ร ง กั บ ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ข อ ง เ ก ษ ต ร ก ร ห รื อ เหมาะสมกับภูมิสังคมแต่ละแห่ง การบูรณาการรายวิชาน้ี เราเรียกกันว่า “จัด แบบกระเช้า” ขณะนี้วิทยาลัยเกษตรฯมหาสารคาม(ผอ.ดุสิต สะดวก) ยังคง รกั ษาหลักการน้ีเอาไวไ้ ด้ ถ้าสนใจจะลองคุยกับ รองฯอภมิ ขุ และอาจารย์พิมพ์ป วีณ์ ศุภวบิ ูลย์ ดูได้ ปรัชญาการจัดการเรียนการสอนแบบ อศ.กช. คือ“อาชีพนา-วุฒิการศึกษา เป็นผลพลอยได้” สาหรับเยาวชนลกู หลานเกษตรกรต้องยึดหลักให้ พวกเขา “ทาเป็น เห็นรายได้ ใฝ่อาชีพ” สถานที่จัดการเรียนการสอน คือ ในชุมชนท่ีอยู่ อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย อศ.กช. น่ันเอง ไม่ใช่ให้มาเรียนแบบในช้ันเรียนใน วิทยาลัยเกษตรฯ ตามแบบภาคปกติ จึงทาให้ครูเลยมองวุฒิการศึกษาเป็น จุดมุ่งหมายของ อศ.กช. จาต้องเปรียบเทียบกับภาคปกติว่า คุณภาพเท่ากันใน วชิ าทเ่ี รียนหรอื ไม่ สดุ ทา้ ยก็ anti อศ.กช.วา่ ออ่ นดอ้ ยวชิ าการ โดยไม่ตระหนัก เสียเลยว่า วิชาการท่ีว่าน้ัน“ถูกหรือผิด” “เป็นประโยชน์หรือไม่” “ทาแล้วได้ผล จริงหรือไม่” เพราะมวั แต่กอดตาราเกา่ ๆทเี่ รียนมาจากมหาวิทยาลัยเป็นสรณะ เท่าท่ีทราบขณะน้ี อศ.กช. เปิดทาการในเรือนจาด้วย จึงเห็นได้ว่า ครูบา อาจารย์และผู้บริหารวิทยาลัยเกษตรฯไม่เข้าใจ 1) จุดมุ่งหมายของรัฐบาลท่ีใช้ การศึกษา คือ อาชีวศึกษาเกษตรของวิทยาลัยเกษตรฯ เป็น means เพ่ือ

19 แก้ปัญหาความยากจนของเกษตรกรในชนบท(end) 2) การจัดการเรียนการสอน ให้เปน็ แบบกระเช้า 3) อาชีพนา-วุฒิการศึกษาตาม คือ “ทาเป็น เห็นรายได้ ใฝ่ อาชีพ” 4) ประสานครูมืออาชีพจากหน่วยงานในท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ี สอดคล้องกับเนอ้ื หาในรายวิชาทีจ่ ัดเป็น “กระเช้า”ให้เป็นผู้สอน เช่น นายอาเภอ ผู้กากับตารวจ เกษตรอาเภอ กศน. อสม. เจ้าอาวาสวัด Contact Farmers เจ้าของโรงสี พ่อค้า-แม่ค้าขายผลิตผลเกษตร และอ่ืนๆท่ีสอดคล้องกับเน้ือหา มา ชว่ ยสอนท้ังในฐานะท่ีวิทยาลัยแต่งตั้ง หรือจิตอาสา ส่วนครูจากวิทยาลัยเกษตรฯ ให้คัดสรรผู้ท่ีมีประสบการณ์และมีจิตอาสาเป็นผู้ประสานงาน ไม่ใช่เอาครู ผู้ช่วยท่ีจบ ป.ตรี ป.โท ที่จบใหม่เป็นผู้ปฏิบัติ อีกทั้งไม่ได้คัดสรรว่า เป็นผู้มี อุดมการณ์จิตอาสาอีกดว้ ย จึงทาให้ อศ.กช.ลม้ เหลว ส่วนการบริหารของวิทยาลัยเกษตรฯต่อ อศ.กช.น้ัน เท่าท่ีฟังมาก็เป็น แบบ“ชิล ชิล” ดูเหมือนจะเน้นไปท่ีตัวเลขจานวนหัวผู้เรียนเพ่ืองบประมาณ อะไรประมาณนน้ั ซ่งึ น่ากลัวนะ อีกทงั้ ยังไมส่ นบั สนนุ ครูอาจารย์ออกไปพื้นท่ี และ ที่สาคัญ คือ ไม่เห็นความสาคัญและความเสียสละของครู อาจารย์ที่อาสาออก พื้นที่ จึงพากนั ท้อ พากนั ยนื ..กอดอกดู.. นา่ เศร้านะ! สุดท้ายของเร่ือง อศ.กช. ผมอยากจะพูดถึงความฝันของพวกเรา เมื่อ ตอนเร่มิ ผลักดนั โครงการในระยะแรก ร้ไู หมพวกเรามองเห็นศกั ยภาพของนักเรียน อศ.กช.บางคน สามารถไปต่อจนถึงระดับปริญญาตรี เรียกว่าเป็น “ชาวนา บัณฑิต” อยู่ในท้องไร่ท้องนาได้ ดังนั้นจึงจาเป็นต้องผลักดันวิทยาลัยเกษตรฯให้ สามารถเปิดสอน ป.ตรี ให้ได้“พวกเราท่ีผมเอ่ยถึงน้ี เหลือผมอยู่คนเดียวแล้ว ครบั เร็วๆน้กี ็คงหมดจริงๆ...”.

20 เพลง อศ.กช.รา่ ลึก ผู้เขียนและอาจารย์ศักดิ์ศรี ได้มีโอกาสดูงานการจัดการเรียนการสอน อศ.กช. ของวทิ ยาลยั เกษตรฯเพชรบรุ ี และวิทยาลัยเกษตรฯมหาสารคาม มีความรู้สกึ ประหลาดใจ กับการจัดการเรียนการสอน ที่ผู้เรียนมีความหลากหลายท้ังชายและหญิง ท้ังเด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงวัย มาเรียนร่วมกันได้อย่างกลมกลืน ขณะการเรียนการสอนผู้เรียนต่างก็มี ปฏิสัมพันธ์ต่อกันเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนอย่างมีความสุข สนุกสนาน นอกจากน้ัน ยังมีการแบ่งปันและแลกเปล่ียนเรียนรู้ความรู้กัน ระหว่างผู้เรียนท่ีมีประสบการณ์กับ ครผู ้สู อน และเพอ่ื นๆร่วมชั้นเรียน ซงึ่ เปน็ รูปแบบการเรียนการสอนที่ผู้เขียนไม่เคยพบเห็น มากอ่ นเลย.... วันท่ี 15 กันยายน 2561 ผู้เขยี นและอาจารย์ศักด์ิศรี เดินทางไปพบ ผู้อานวยการ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี เพ่ือแสดงมุทิตาจิตเนื่องในวาระเกษียณอายุ ราชการ ในโอกาสนี้ ผอ.คัมภีร์ได้พูดถึงงาน อศ.กช. ด้วยความรักและผูกพันให้เราท้ังสอง คนฟงั และไดเ้ ล่าถึงว่า ไดม้ ีการแต่งเพลงช่ือ“อศ.กช.ร่าลึก”เอาไว้ด้วยซ่ึงผอ.คัมภีร์ ได้เปิด เพลงนีแ้ ละได้ขับรอ้ งไว้ให้ฟังดว้ ย..ไพเราะมากและเน้อื เพลงกไ็ ด้ใจความกินใจเปน็ อย่างย่ิง ผู้เขียนจึงขอความกรุณา ผอ.คัมภีร์ ที่จะนาเนื้อร้องลงพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ เพื่อ เป็นหน้าประวัตศิ าสตร์หน้าหนงึ่ ของ อศ.กช. นอกจากนี้ยงั ไดข้ ออนุญาตนา clip เพลง อศ. กช.ราลึก เปิดให้ผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการ R&D: L.E.อาชีวศึกษาเกษตร วันท่ี 11 ตุลาคม 2561 ณ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดร้อยเอ็ด ได้รบั ฟงั ดว้ ย ผอ.คัมภีรไ์ ด้เขียนข้อความอธบิ าย ความเป็นมาของเพลง อศ.กช. ราลึก.....ดังนี้ “อศ.กช.ราลึก” ประพันธ์โดย ดร.โสภณ ธนะมัยและครู วษ.ท. สุพรรณบุรี เม่ือปี พ.ศ. 2536 ร้องคร้ังแรกในงานประชุมคณะผู้บริหารกองวิทยาลัยเกษตรกรรม ณ อุทยาน แหง่ ชาติห้วยขาแข้ง ท่านอธบิ ดบี ญุ เทียม เจรญิ ยิง่ เล่นคยี ์บอร์ด

21 ขับร้องโดย นายคัมภีร์ สายะสนธิ และนางสาวพูลสุข เข็มพิลา อาจารย์ 1 ระดับ 3 วิทยาลัยเกษตรและ เทคโนโลยีสพุ รรณบรุ ี เนื่องในโอกาสที่ ผอ.คัมภีร์ สายะสนธิจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน พ.ศ.2561 จึงนามาบันทึกเสียงใหม่เพ่ือเป็นบันทึก ประวัติศาสตร์ของ อศ.กช. ขับร้องโดย นายคัมภีร์ สา ยะสนธิ และนางสาวพิมพร พรมมา ศิษย์เก่าเกษตร จอมพล “อศ.กช.ร่าลึก” ชวี ติ คนยอ่ มมคี วามหวัง อย่ามัวหยุดยัง้ สร้างพลังยิ่งใหญ่..... เยาวชนเกษตรของไทย เรารว่ มรวมใจ มุ่งไปศึกษาเพื่องาน... แมผ้ นื ดนิ จะแหง้ แลง้ แดดกล้า ลมแรง เราไมเ่ คย สะท้าน ท่างานไป ดว้ ยหัวใจเบิกบาน อาชีพหลายด้าน ล้วนงานสง่ เสรมิ ชาตไิ ทย.... ** ชาว...อศ.กช. เรารว่ มก่อดา้ นงานอาชพี เกษตรไทย...เรือ่ งศกึ ษา เราพัฒนากา้ วไกล เรารวยนา่้ ใจเป่ียมไปด้วยคณุ ธรรม*** ลาแล้วถน่ิ ที่ใหค้ วามรู้ จะมงุ่ เชิดชู อศ.กช.ใหส้ งู ล่้า... นานแรมปี เรานี้ยังคงจดจา่ วทิ ยาลัยเกษตรกรรม...จะจ่าไม่รู้วนั ลืม

22 ผเู้ ขียนขอกราบคารวะท่านอาจารย์บุญเทยี ม เจริญยงิ่ อาจารย์พลู สขุ เข็มพิลา อาจารยค์ ัมภีร์ สายะสนธิ และอาจารย์ ดร.โสภณ ธนะมยั ดว้ ยซาบซง้ึ ในความมุ่งมั่นของ ท่านท่ีมีตอ่ อศ.กช. ผู้เขยี นมคี วามเหน็ ว่า ถ้าครอู าจารยว์ ทิ ยาลัยเกษตรฯได้รบั รู้ปณิธาณของ อศ.กช.ท่ี แฝงอยู่ในบทเพลง “อศ.กช.”นี้ ผู้เขียนเชื่อม่ันว่า ท่านทั้งหลายคงจะไม่น่ิงดูดาย ให้หน้าท่ี อนั ยิ่งใหญข่ องวิทยาลัยเกษตรฯนี้ ตอ้ งมัวหมอง เป็นทเ่ี ยย้ หยนั ของผคู้ นอีกต่อไป คงถึงเวลา ที่พวกท่านต้อง...(ขอยืมคาของ อ.โส)...Making Changes Together เพื่อทา อศ.กช.ให้ เป็นศักดิ์เปน็ ศรขี องพวกเราชาวอาชวี ศึกษาเกษตร...กระมังคะ !

23 ส่วนที่ 2 ประสบการณ์เพือ่ การเรยี นรู้ โครงสรา้ งเนื้อหาประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย ความหมายของประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ องค์ประกอบของประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ ขัน้ ตอนการสรา้ งประสบการณเ์ พ่ือการเรยี นรู้ ประสบการณ์เพอื่ การเรียนรอู้ าชีวศึกษาเกษตร ตวั อยา่ งตารางประสบการณ์เพ่อื การเรยี นรูอ้ าชวี ศึกษาเกษตร เน้ือหาส่วนที่ 2 จะสื่อให้ผู้อ่านมองเห็นภาพ “หน้าตาของประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้” และ “ตัวอย่างตารางประสบการณเ์ พ่ือการเรียนรู้อาชวี ศึกษาเกษตร”

24 คาว่า“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้”(learning experience)ได้ ปรากฏในหนังสือชื่อ “Basic Principles of Curriculum and Instruction” ตีพิมพ์เม่ือปี ค.ศ.1949 ของศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ผู้ซ่ึงได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งการพัฒนา หลักสูตรสมัยใหมข่ องประเทศสหรัฐอเมริกา” ศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ท่มี า: https://books.google.co.th/books/about/Basic_Principles_of_Curriculum_and_ Instruction ผู้เขียนได้นาประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้(learning experience: L.E.) มา ประยุกต์ใช้ในงานด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งรายละเอียดปรากฏอยู่ในหนังสือ สิ่งแวดล้อมศึกษา แนวทางสู่การปฏิบัติ (2559) ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม: แนวทางสู่การ ปฏิบัติ (2561) และการสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อมกับ R&Dทาง การศึกษา : แนวทางสู่การปฏิบัติ (2561) ซ่ึงผู้อ่านท่ีสนใจสามารถติดต่อผู้เขียนหรือ สถาบนั การอาชีวศกึ ษาเกษตรภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ และสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตร ภาคใต้ได้ สาหรับในหนังสือเล่มน้ี R&D : LEอาชีวศึกษาเกษตร: แนวทางสู่การปฏิบัติ ผเู้ ขียนได้นาเสนอเนือ้ หาความรู้ L.E. โดยสรุปอย่างยอ่ ๆ ดังนี้

25 ความหมายของประสบการณ์เพื่อการเรยี นรู้ คาว่า“ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (learning experience: LE..)” น้ันเกิดจาก การรวมกันของคาว่า“การเรียนรู้” (การเปล่ียนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากการมี ประสบการณ์) และ“ประสบการณ์” (การได้ประสบมาด้วยตนเอง หรือเข้าไปเก่ียวข้องกับ เหตุการณ์แล้วเกิดความรู้) เม่ือนาคาสองคามารวมกัน ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ จึง หมายถึง การแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของผู้เรียนต่อสถานการณ์ที่ผู้สอนสร้างข้ึน จน บรรลุวัตถุประสงค์ที่กาหนดไว้ ซ่งึ ส่งผลให้ผเู้ รยี นเกิดการเปลีย่ นพฤตกิ รรม... ประสบการณเ์ พื่อการเรยี นรนู้ ถี้ ือได้ว่าเป็นฟันเฟอื งสาคัญที่สดุ ของการจัดการเรียน การสอนท่ีมุ่งเน้นไปที่ตัวผู้เรียนและผู้สอน ซึ่งท้ังสองส่วนน้ีจะต้องมีปฏิสัมพันธ์ (interaction)ต่อกนั โดยที่ ผู้สอน......ทาหน้าที่จัดสร้างสถานการณ์การเรียนรู้ (learning situation) ให้กับ ผเู้ รยี น ผู้เรียน......ทาหน้าท่ีตอบสนอง (interaction: ปฏิสัมพันธ์) ต่อสถานการณ์การ เรียนรู้ที่ผู้สอนได้จัดสร้างข้ึนอย่างกระตือรือร้นจนผู้เรียนมีความรู้และ/หรือมีทักษะ และ/ หรือมีเจตคติ ในเนื้อหาความรู้ตามท่ีผสู้ อนต้องการ ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (L.E.)จึงเป็น “ รูปแบบการจัดการเรียนการสอน” รูปแบบหนงึ่ ทม่ี งุ่ เนน้ ไปท่ีตวั ผู้เรียน โดยเนน้ ปฏิสัมพนั ธ์ของผูเ้ รียนกบั กิจกรรมการเรียนรู้ใน เนื้อหาความรู้ท่ีผู้สอนสร้างขึ้นจนผู้เรียนเกิดการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมตามวัตถุประสงค์ที่ ผู้สอนกาหนดไว้

26 องคป์ ระกอบประสบการณเ์ พื่อการเรยี นรู้(L.E.) L.E. ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ 1) เนื้อหาความรู้ 2) วตั ถุประสงคก์ ารสอน 3)วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม 4) สถานการณก์ ารเรียนรู้ ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ ในเนอื้ หาความรู้ทผี่ สู้ อนสร้างขน้ึ กบั กิจกรรมท่ีผูเ้ รยี นกระทา 5) สื่อช่วยสอน และ 6) การ ประเมนิ ผล ซ่ึงจัดเรยี งอยู่ในรูปของตาราง เน้อื หา วตั ถุประสงค์ วัตถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรียนรู้ สอื่ การ ความรู้ การสอน เชงิ พฤติกรรม ช่วย ประเมนิ กจิ กรรมการเรียนรู้ในเน้ือหาความรู้ กิจกรรมที่ สอน ผล ที่ผ้สู อนสร้างขึน้ ผู้เรยี นกระทา สาระสาคญั ของแตล่ ะองคป์ ระกอบในตาราง L.E. มีดงั น้ี เนอื้ หาความรู้ คาว่า“เนอ้ื หาความรู้”(subject matter) หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสาระความรู้ที่ ทนั สมยั ถกู ตอ้ งตามหลกั วชิ าการของศาสตรน์ ้นั ๆ ซ่งึ จาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท (สมสุดา และโสภณ, 2534) ได้แก่ เนื้อหาความรู้ภาคความรู้ (knowing element) และเนื้อหา ความร้ภู าคปฏิบตั ิ (doing element) 1.1 เนื้อหาภาคความรู้ (knowing element) หมายถึง เน้ือหาท่ีทาให้ผู้เรียนเกิด ความรู้ ซึ่งแบ่งออกเป็นเนื้อหาข้อเท็จจริง (ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงที่เป็น เกณฑ/์ มาตรฐาน ข้อเทจ็ จริงท่เี ปน็ เจตคติ) เนอื้ หาความคดิ รวบยอด และเนือ้ หาหลกั การ 1.2 เนื้อหาภาคปฏิบัติ (doing) หมายถึง เนื้อหาความรู้ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ในการทา เปน็ เนอื้ หาทรี่ ะบุถึง วธิ ดี าเนินการ หรือระบขุ ัน้ ตอนการทางาน

27 สาระสาคญั ของเนื้อหาความรูแ้ ต่ละประเภท ประเภทเน้อื หาความรู้ เนือ้ หาภาคความรู้(knowing element) เนอื้ หาความรู้ทีท่ าใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความรู้ ขอ้ เทจ็ จรงิ เป็นขอ้ เท็จจริงในเรื่องใดเร่ืองหน่งึ ทีผ่ ูส้ อน พจิ ารณาวา่ ผ้เู รยี นตอ้ งจดจา เฉพาะเจาะจง เกณฑ์/มาตรฐาน เกีย่ วกับสง่ิ ทเี่ ป็นมาตรฐาน ท่ีเปน็ เกณฑ์ สามารถนาไปวินิจฉยั เลอื ก และตดั สินใจได้ เจตคติ เปน็ ขอ้ เทจ็ จริงทช่ี ักนาใหเ้ หน็ คุณคา่ ความคิดรวบยอด เปน็ เน้อื หาทมี่ ีลกั ษณะเฉพาะทสี่ าคัญ (critical attributes) ของความคดิ รวบยอดนั้น ซึ่งเมอื่ กล่าวถึงแลว้ บคุ คลท่ีมี ความคดิ รวบยอดในเรื่องน้นั จะมีความเข้าใจตรงกนั หลักการ เปน็ เนื้อหาเกีย่ วกบั แนวทางปฏิบตั ทิ ่ีได้รบั การยอมรับวา่ เป็น ความจรงิ และยดึ ถือเป็นหลกั ปฏิบตั ิ เน้ือหาภาคปฏิบัติ (doing element) เน้ือหาความรู้ท่ที าใหผ้ ู้เรียนเกิดทักษะในการทา การวเิ คราะหแ์ ละเรียบเรยี งเนือ้ หาความรู้ โดยท่ัวไป เนือ้ หาความรทู้ ี่นักวิชาการเขียนขึ้นนั้น มีลักษณะของการขยายความ มี การยกตัวอย่าง มีภาพประกอบเพ่ือช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย แต่สาหรับการจัด L.E.นั้น เน้อื หาความรู้เหล่าน้ันตอ้ งนามาเรียบเรยี งใหม่ ให้สอดคล้องกับประเภทเน้ือหาความรู้นั้นๆ ดังน้ี

28 ประเภทเนอ้ื หาความรู้ เนอื้ หาภาคความรู้(knowing element) ขอ้ เทจ็ จริง เฉพาะเจาะจง เรยี บเรียงเขียนเฉพาะ ขอ้ เท็จจรงิ ทที่ ี่ผู้เรยี นจะตอ้ ง “จา” เกณฑ์/มาตรฐาน เรียบเรียงเขยี นเฉพาะ ข้อเท็จจริงท่ีแสดงเกณฑ/์ มาตรฐาน เมื่อผู้เรยี น“จา”ได้ แลว้ สามารถนาไป “วนิ ิจฉัย” “เลือก” และ “ตัดสนิ ใจ” เจตคติ เรียบเรียงเขียนเฉพาะ ข้อเท็จจริงท่ีชักนาให้ ผู้เรียนเห็นคณุ ค่าของเรอื่ งน้ันๆ ความคิดรวบยอด เรียบเรียงเฉพาะขอ้ เทจ็ จรงิ ที่ระบลุ กั ษณะเฉพาะท่ี สาคัญ (critical attributes)ของความคดิ รวบยอดนัน้ ซง่ึ อยู่ ในรปู ของ “คาจากดั ความ” “ความหมาย” “นิยาม” หลักการ เรียบเรยี งเขียนเฉพาะ ขอ้ เท็จจรงิ ที่ยดึ ถอื เปน็ หลักปฏิบตั ิ เน้อื หาภาคปฏิบัติ (doing element) ขอ้ เท็จจรงิ ที่แสดงขนั้ ตอนการปฏิบตั ิ หรือการกระทา วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน เป็นข้อความท่ีระบุคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนตามระดับของ วัตถปุ ระสงค์การศึกษาทงั้ 3 ด้าน คอื พทุ ธพิ สิ ยั ทักษะพิสัย และเจตพิสัย



29

30 ความสมั พันธร์ ะหว่างเนอื้ หาความรกู้ บั วัตถปุ ระสงค์การสอน ความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอน เป็นการวิเคราะห์ว่า “ประเภทเน้ือหาความรู้” ได้แก่ เน้ือหาความรู้ 1) ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริง เกณฑ์/ มาตรฐาน และข้อเท็จจริงเจตคติ 2) ความคิดรวบยอด 3) หลักการ และเนื้อหา ความรู้ภาคปฏิบัติ ควรอยู่ตรงกบั วัตถปุ ระสงคก์ ารสอนระดับใด ดังน้ี ประเภทเน้ือหาความรู้ ระดับวตั ถุประสงคก์ ารสอนข้ันสูงสุด 1.ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ควรเป็น ขน้ั จา (พทุ ธิพสิ ัย) 2.ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่เี ป็นมาตรฐาน/เป็นเกณฑ์ ควรไปถงึ ขน้ั ประเมินคา่ (พุทธิพิสยั ) 3.ข้อเทจ็ จริงเจตคติ ควรไปถงึ ขน้ั เหน็ คณุ ค่า (เจตพิสัย) 4.ความคดิ รวบยอด ควรไปถงึ ขน้ั เข้าใจ - นาไปใช้ (พทุ ธพิ ิสัย) 5.หลักการ ควรไปถงึ ขน้ั ประเมนิ คา่ (พทุ ธิพสิ ยั ) 6.ปฏิบัติ ควรไปถงึ ขั้นปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา(ทักษะพสิ ยั ) วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม คือ ข้อความท่ีขยายความ“วัตถุประสงค์การสอน”ให้ชัดเจน จนระบุออกมาเป็น พฤติกรรมของผู้เรียน เพ่ือให้สามารถวัดพฤติกรรมท่ีเปล่ียนแปลงไปได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น วัตถุประสงค์การสอน ระบุว่า: ผู้เรียนตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าได้ โดย ใชช้ ุดทดสอบอยา่ งงา่ ยได้อย่างคล่องแคล่ว ผู้สอนคิดว่า หากผู้เรียนตรวจวัดได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว จะต้องแสดงพฤติกรรม อย่างไรออกมา ดังนั้นผู้สอนจึงกาหนดวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมว่า: ผู้เรียนทุกคน สามารถตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่าย ได้ถูกต้องภายใน 10 นาที

31 จากตวั อย่างจะเห็นได้ว่า“วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม”ประกอบด้วย 3 สว่ น 1) พฤติกรรมท่ีผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน (สามารถตรวจวัดค่า ออกซเิ จนละลายนา้ ) 2) เง่ือนไขท่ีก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน (โดยใช้ ชุดทดสอบอย่างง่าย) 3) มาตรฐานของพฤติกรรมท่ีผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียน (ได้ถูกต้อง ภายใน 10 นาท)ี สถานการณ์การเรยี นรู้ คือ การที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ข้ึนในเหตุการณ์ที่กาลังเป็นไปด้วยตนเอง ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอนสร้างขึ้น (กิจกรรมที่ผู้สอนสร้างข้ึนในเน้ือหา ความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้) กับกิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา (กิจกรรมท่ีผู้เรียนมี ปฏิสัมพนั ธ์กับกิจกรรมท่ผี ูส้ อนสรา้ งขึ้น) ตัวอย่างเชน่ ผู้สอนตอ้ งการสอนการว่ายน้าในช้ันเรียน โดยผู้สอนอธิบายขั้นตอน พร้อมทั้งฉายวีดิทัศน์ให้ดู แต่เม่ือนาผู้เรียนลงสระว่ายน้า ปรากฏว่าว่ายน้าไม่เป็น แสดง ว่า สิ่งท่ีผู้สอนจัดทาข้ึน คือ การบรรยายน้ันไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ในการว่ายน้าเพราะผู้เรียนยังว่ายน้าไม่ได้ แต่ถ้าผู้สอนพาผู้เรียนไปสระว่ายน้า อธิบายขั้นตอนแล้วให้ผู้ท่ีว่าย น้ า เ ป็ น ล ง ส ร ะ ว่ า ย น้ า แ ส ด ง ข้ันตอนเป็นการสาธิตให้ดู แล้ว ให้ผู้เรียนได้ลงว่ายน้าจริงๆ จน สามารถว่ายเป็นจึงจะถือได้ว่าเป็น“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้การว่ายน้า” น่ันคือ สถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้สอนจัดขึ้น นับแต่การเตรียมโดยการอธิบายวิธีว่าย ผู้เรียนลงมือ ว่ายนา้ จนกระท่งั เกิดการเรียนรูโ้ ดยเปลยี่ นพฤตกิ รรมจากวา่ ยนา้ ไมเ่ ป็น จนว่ายน้าได้

32 สือ่ ช่วยสอน คือ ส่ิงท่ีจะช่วยสอนเน้ือหาความรู้ที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.บญุ ธรรม จิตต์อนันต์(2540) กล่าววา่ “.....ช่วงเวลาก่อนท่ีจะมีเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทในการส่ือสาร เคร่ืองช่วยสอนของครูหรือนักส่งเสริมการเกษตรท่ีใช้ในการสอน การเผยแพร่ความรู้ เรียกว่า “โสตทัศนูปกรณ์”หรือ“โสตทัศนอุปกรณ์”(audio-visual aids) คือ สิ่งที่มองเห็นได้ ส่ิงท่ีได้ยินเสียง เช่น ของจริง ของจาลอง รปู ภาพ สไลด์ powerpoint แผ่นใส แผ่นข้อความ บัตรข้อความ แผ่น ภาพ ภาพถา่ ย ภาพยนตร์ เอกสารสง่ิ พิมพ์ตา่ งๆ เป็นตน้ ”.... ที่มา: http://archives.psd.ku.ac.th/kuout/p306.html ตัวอย่างเช่น เนื้อหาความรู้ท่ีต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ภาคปฏิบัติ ส่ือช่วย สอนจะต้องช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึก ปฏิบัติได้ เช่น เนื้อหาความรู้การ ตรวจวัดคุณภาพน้า สื่อช่วยสอน จะต้องเป็นของจริง คือ อุปกรณ์ สาหรับการตรวจวัดคุณภาพน้า ให้ผู้เรียนได้สัมผัสและฝึกใช้งาน จรงิ และสามารถปฏิบัติได้

33 การประเมนิ ผล เป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ีผู้สอน ต้องการให้เกิดข้ึนในตวั ผ้เู รยี นในทนั ทที่ ่ีผู้เรยี นไดม้ ีปฏิสมั พนั ธก์ ับกจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ีผู้สอน สร้างข้ึน เช่น ตาราง L.E. เร่ือง ชนิดของแมลงศัตรูข้าวกับแมลงศัตรูธรรมชาติของแมลง ศัตรูข้าวในแปลงนาขา้ ว จากตาราง L.E. ซงึ่ กาหนดวตั ถุประสงค์เชิงพฤติกรรมเอาไวว้ า่ “เพ่ือใหน้ กั เรียน อศ.กช. สามารถเลอื กภาพแมลงร้ายและภาพแมลงดไี ด้ถูกต้อง ในเวลา 10 นาที” ดังนน้ั การประเมินผลจึงดจู ากพฤตกิ รรมของผเู้ รียนวา่ สามารถเรยี นร้ไู ด้ตามวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมหรือไม่

เนื้อหาความรู้ วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์เชงิ สถ การสอน พฤติกรรม กิจกรรมการเรยี น แมลงในแปลงนา ขา้ ว แบง่ ออกเปน็ เพือ่ ให้ นักเรยี น เพอ่ื ให้นกั เรยี น ทผ่ี ้สู อนสร้า 2 ชนดิ คือ แมลง อศ.กช. จา อศ.กช. สามารถ ให้นกั เรยี น อศ.กช. ศตั รขู า้ ว(แมลงร้าย) ชนิดแมลงร้าย เลือกภาพแมลง ทาในเวลา 10 นาท และแมลงศัตรู และแมลงดี ใน ร้าย และภาพ - เลือกภาพแมลงร ธรรมชาติของแมลง แปลงนาข้าวได้ แมลงดีได้ถกู ตอ้ ง ซองแมลงรา้ ย ศตั รูขา้ ว (แมลงด)ี ในเวลา 10 นาที - เลือกภาพแมลงด แมลงดี

34 ถานการณเ์ พ่ือการเรียนรู้ นรใู้ นเน้อื หา กจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี นกระทา ส่ือชว่ ยสอน การประเมินผล างขน้ึ 1.ภาพแมลง นักเรยี น อศ.กช. . แต่ละคน นกั เรียน อศ.กช. แต่ละ ทั้งหมด สามารถเลือก จานวน 21 ภาพแมลงรา้ ย ที คนทาในเวลา 10 นาที ภาพ และภาพแมลงดี 2.ซองใสภ่ าพ ได้ถกู ตอ้ ง ใน รา้ ยใส่ใน - เลือกภาพแมลงรา้ ยใส่ แมลงร้ายและ เวลา 10 นาที ซองใส่ภาพ ในซองแมลงรา้ ย แมลงดี 3. ปากกา ดีใส่ในซอง - เลือกภาพแมลงดใี ส่ใน ซองแมลงดี

35 ขน้ั ตอนการสรา้ งประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรู้ ขั้นตอนการสรา้ งประสบการณเ์ พอื่ การเรียนรู้ ประกอบด้วย 6 ข้ันตอน ดังน้ี ข้นั ตอนที่ 1: วเิ คราะหแ์ ละเรียบเรียงเนื้อหาความรู้ เปน็ การวิเคราะห์วา่ เนื้อหาความรสู้ ง่ิ แวดลอ้ มนนั้ เปน็ เน้อื หาประเภทใด เป็น knowing หรอื doing จากนัน้ จงึ เรียบเรียงเนอื้ หาให้สอดคล้องกับประเภทของเนอ้ื หา นั้นๆ ซ่ึงจะไดเ้ ปน็ “เนื้อหาความรู้” ใสล่ งในตารางชอ่ งที่ 1 (เน้อื หาความร)ู้ ขั้นตอนท่ี 2: กาหนดวัตถุประสงค์การสอน การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์การสอนน้ี จะตอ้ งวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์เน้อื หาความรู้ จากชอ่ งตารางที่ 1 ว่าควรจะตรงกับวตั ถปุ ระสงค์การสอนดา้ นพุทธิพิสยั หรอื ทักษะพสิ ัย หรือเจตพสิ ยั ในระดับใด แลว้ ใสล่ งในตารางชอ่ งท่ี 2 ( วตั ถุประสงคก์ ารสอน ) ข้ันตอนที่ 3: กาหนดวัตถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม การกาหนดวตั ถุประสงค์เชงิ พฤติกรรม เปน็ การขยายความวัตถุประสงคก์ ารสอน ให้เหน็ ภาพของพฤติกรรมทผ่ี ้เู รียนตอ้ งแสดงออกวา่ จะบรรลุวตั ถุประสงคก์ ารสอนทต่ี ้งั ไว้ หรอื ไม่ แล้วใสล่ งในตารางชอ่ งท่ี 3 (วตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม)

36 ขัน้ ตอนที่ 4: กาหนดสถานการณก์ ารเรยี นรู้ ผ้สู อนกาหนดกิจกรรมเพ่อื ใหเ้ นอ้ื หาความรู้แก่ผเู้ รยี น นั่นก็คือ เป็นกิจกรรมเพอ่ื สรา้ งข้อเท็จจริงที่รู้(F2) ใหแ้ ก่ผเู้ รยี นและกาหนดกิจกรรมเพอ่ื ให้ผู้เรยี นได้คิด นั่นก็คือ กิจกรรมเพอ่ื สรา้ งข้อเท็จจรงิ เหตุใหค้ ดิ (F1) ใสล่ งในตารางชอ่ ง “กจิ กรรมที่ผสู้ อนสรา้ งขน้ึ ” การกาหนดให้ผ้เู รยี นกระทากิจกรรมเพอ่ื ให้ได้รับ ข้อเทจ็ จริงที่รู้(F2) และได้รับ ขอ้ เทจ็ จริงเหตุใหค้ ิด(F1) นัน้ กเ็ พือ่ ให้ผ้เู รยี นไดม้ ปี ฏิสมั พันธก์ บั เน้อื หาความรู้ใสล่ งในตาราง ช่อง “กจิ กรรมท่ีผู้เรียนกระทา” การกาหนดสถานการณ์การเรยี นรูน้ ้ัน จะต้องสอดคล้องกับวตั ถปุ ระสงคเ์ ชิง พฤติกรรมดว้ ย ขัน้ ตอนท่ี 5: กาหนดสอ่ื ช่วยสอน ให้ระบุสอื่ ช่วยสอน ซ่ึงต้องสอดคล้องกับส่ือชว่ ยสอนที่กาหนดไวใ้ น “กิจกรรมการ เรยี นรู้ในเนอ้ื หาความรู้ท่ผี ู้สอนสรา้ งขึ้น”และ“กจิ กรรมท่ีผเู้ รียนกระทา” ใส่ลงในตารางช่อง ท่ี 5 (ส่อื ช่วยสอน)

37 ขนั้ ตอนที่ 6 : กาหนดการประเมินผล ระบุวิธีการประเมนิ ผลให้สอดคลอ้ งกบั วัตถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมท่กี าหนดไว้ ใส่ ลงในตารางชอ่ งที่ 6 (การประเมนิ ผล) จากขั้นตอนการสรา้ งตาราง L.E. ดงั กล่าวแลว้ จะเห็นได้ว่าแต่ละองคป์ ระกอบของ L.E. จะมีความสมั พนั ธ์เชอ่ื มโยงกันโดยตลอด

38 ประสบการณ์เพ่ือการเรยี นรู้อาชีวศกึ ษาเกษตร องคค์ วามรู้ “ประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้” ท่ีได้นาเสนอไว้ในส่วนที่ 2 ก่อนหน้าน้ี แลว้ น้นั จะพบวา่ มจี ดุ เดน่ ถงึ 5 ประเด็น ซ่ึงสมควรและเหมาะสมที่จะนามาประยุกต์ใช้กับ รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษาเกษตร ดังต่อไปนี้ 1. เนื้อหาความร้มู ีการวิเคราะห์และเรยี บเรยี ง ดงั กลา่ วแล้วว่า การสร้าง L.E.นนั้ จะตอ้ งมีการวิเคราะห์เน้ือหาความรู้ของสาระ การเรียนรู้เสียก่อนว่า เป็นเนื้อหาความรู้ประเภท ภาคความรู้(knowing) หรือเป็นประเภท ภาคปฏิบัติ (doing) จากนั้นยังตอ้ งนาเนื้อหาความรู้น้นั มาทาการเรียบเรียงอกี ดว้ ย ผลดี การที่มีการวิเคราะห์เน้ือหาความรู้ก่อน แล้วต้องทาการเรียบเรียงเนื้อหา ความรู้น้นั ๆ ก่อให้เกิดผลดตี ่อการจดั การเรียนการสอน คือ ทาให้ได้เนอ้ื หาความรู้ของสาระการเรยี นรู้ที่จาเป็นท่ีผู้เรียนต้องเรียนรู้ ซ่ึงทาให้ ลดเนื้อหาที่ไม่จาเป็นออกไปมากมาย อันจะทาให้มีเวลาสาหรับการปฏิบัติจริงเพิ่มข้ึน ซ่ึง เน้อื หาความรภู้ าคปฏบิ ตั นิ ี้ ดังไดก้ ล่าวไวใ้ นส่วนที่ 2 แล้ววา่ เน้ือหาความรภู้ าคปฏิบัติ อย่าง น้อยที่สุด ควรกาหนดวัตถุประสงค์การสอนทักษะพิสัยระดับปฏิบัติได้ตามคาแนะนา แต่ ถ้ามีเวลาพอผูเ้ รยี นก็สามารถฝึกปฏิบัติซ้าๆ จนมีทักษะระดับคล่องแคล่วได้ อันเป็นสุดยอด ของสมรรถนะด้านวิชาชีพ ซ่ึงจะนาไปสู่การประกอบอาชีพได้อย่างแท้จริง ตรงตาม วัตถปุ ระสงค์ของอาชวี ศึกษาที่ว่า…. การจดั การศึกษาของกรมอาชวี ศึกษา มีวัตถุประสงค์ใหผ้ ูเ้ รียนได้รบั การฝกึ ฝน อบรมใหม้ ี...ทักษะ...ประสบการณ.์ .ทจี่ ะสามารถประกอบอาชพี ได้อยา่ งแทจ้ รงิ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ผลดีของการวิเคราะห์เน้ือหาความรู้นั้น ทาให้ผู้สอนสามารถ กาหนดวัตถุประสงค์การสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสม เช่น เน้ือหาความรู้เป็นประเภทภาคความรู้ (knowing) ได้แก่ “ความคิดรวบยอด” ซึ่งอยา่ งตา่ ท่ีสุด ผ้สู อนต้องกาหนดวัตถุประสงค์การ สอน พุทธพิ สิ ัยระดับ “เข้าใจ” ไม่ใชส่ อนให้ “จา” เปน็ ตน้

39 2. มกี ารกาหนดวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม การสร้าง L.E. มีการกาหนดให้ผู้สอนต้องขยายความวัตถุประสงค์การสอนให้ ชัดเจน ให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้เรียนที่แสดงออกมา อันแสดงถึงการบรรลุวัตถุประสงค์ การสอนท่ีได้ต้ังไว้แล้ว การกาหนดแนวทางปฏิบัติดังกล่าวน้ี ทาให้ผู้สอนสามารถ ประเมินผลการเรียนรู้ได้ทันที ซึ่งช่วยให้ผู้สอนทราบว่า ผู้เรียนคนใดเกิดการเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์การสอนท่ีตั้งไว้ ผู้เรียนคนใดยังต้องปรับปรุง ซ่ึงผู้สอนจะต้องปรับ L.E.ใหม่ สาหรับผู้เรียนกลุ่มน้ี ดังน้ันจึงถือได้ว่า จะไม่มีผู้เรียนคนใดเลยที่จะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ การสอน จึงเป็นการนาผู้เรียนท้ังหมดที่ผู้สอนต้องรับผิดชอบให้ประสบผลสาเร็จในการ เรยี นรูไ้ ปพร้อมกนั ทุกคน 3.วธิ กี ารประเมินผล วิธีการประเมินผลตาม L.E. นี้ ทาได้ง่าย ไม่ยุ่งยาก ก็เพียงแต่สังเกตความคิด ของผู้เรียนจากการท่ีผู้สอนให้ผู้เรียน“พูด” (บอก อธิบาย) “เขียน” และ “กระทา” ว่า สอดคล้องกับ “วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม” ท่ีผู้สอนกาหนดไว้หรือไม่เท่าน้ัน ซ่ึงต่างจาก วิธีการประเมินผลท่ีใช้กันอยู่ ท่ีต้องใช้วิชาการทางสถิติเข้ามาช่วยในการสร้างเครื่องมือ การวดั ผลทางการเรยี น เช่น การสร้างแบบทดสอบ ซ่ึงต้องใช้ความรู้ทางวิชาการเฉพาะ จึง จะสามารถสร้างไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง ขอ้ บกพร่องอกี ประการหนง่ึ ของวธิ กี ารประเมนิ ผลการเรยี นทใี่ ช้กนั อยู่ คอื เป็นการ จดั ประเภทของผเู้ รยี น ได้แก่ ผูเ้ รียนกลมุ่ เกง่ ผู้เรียนกลุ่มอ่อน และผู้เรียนกลุ่มไม่ผ่านเกณฑ์ มาตรฐานท่ีกาหนด เหตุการณ์น้ีนับว่าสร้างความเสียหายต่อการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสาหรบั อาชีพครู เน่อื งจากเมอ่ื ครถู ูกกาหนดให้ประเมินผล เม่ือสอนได้คร่ึงเทอม และเม่ือส้ินเทอม ครูจึงไม่มีโอกาสท่ีจะปรับปรุงการสอนในระหว่างทางก่อนถึงส้ินเทอม และเมื่อผลการประเมินออกมาว่า ผู้เรียน “สอบตก” ครูจึงไม่มีเหตุผลท่ีจะอธิบายต่อ สงั คมว่า เพราะอะไรจึงเป็นเชน่ น้นั ในท้ายท่ีสุด ขอยกคากล่าวของนักวิชาการการศึกษาด้านการประเมินที่ได้กล่าว เอาไว้ในหนังสือช่ือ“การประเมนิ ในช้ันเรียน”ในหนา้ “คานา” ดังน้ี

40 ...การทน่ี ักเรียนจะเรียนรู้หรอื ไม่ ไม่ไดอ้ ยู่ทีก่ ารประเมิน อยทู่ กี่ ารสอนและกิจกรรม การเรียน การประเมินเพียงแต่เป็น การชี้บ่งว่า นักเรียนได้เรียนรู้ในส่ิงเหล่าน้ีแล้วหรือยัง ยงั ขาดตกบกพรอ่ งในส่ิงใดบา้ ง…(โกวิท และสมศักดิ,์ 2523) 4. ผเู้ รียนเป็นศูนย์กลางของการเรยี นรู้ หัวใจของ L.E. คือ การมปี ฏสิ มั พนั ธ์ (interaction) ระหว่างผู้เรียนกับกิจกรรมการ เรียนรู้ในเน้ือหาความรู้ท่ีผู้สอนสร้างข้ึน ทาให้เป็นการประกันว่า ผู้เรียนทุกคนต้องเกิดการ เรียนร้ดู ว้ ยตวั ของผูเ้ รียนเอง 5. ส่ือชว่ ยสอน เน่ืองจากกิจกรรมการเรียนรู้ในเนื้อหาความรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นนั้น ประกอบไปด้วย สื่อช่วยสอนที่ผู้สอนคัดสรรแล้วว่า จะก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับเนื้อหาความรู้ นนั้ ซ่ึงตา่ งจากเดิมที่ปฏบิ ัตสิ บื ต่อกันมา คือ เดมิ นัน้ ส่ือการสอน เป็นสื่อการสอนของครูที่ใช้ เพอื่ ชว่ ยตนเองใหส้ อนไดส้ ะดวกขึ้นเท่านั้น ไม่ได้ให้ความสาคัญว่า ส่ือที่ใช้นั้น ต้องชักนาให้ ผเู้ รยี นได้มปี ฏิสัมพนั ธก์ ับเนื้อหาความรู้ดว้ ย จากจุดแข็งหรือลักษณะเด่นของประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนคิดว่าควรนาเอามาประยุกต์ใช้กับอาชีวศึกษาเกษตร เพ่ือความแข็งแกร่งของการ จัดการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ให้ผเู้ รยี นสามารถประกอบอาชีพเกษตรทเ่ี รยี นมาได้อยา่ งแทจ้ รงิ L.E. อาชวี ศึกษาเกษตร จาแนกออกไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ลักษณะท่ี 1 เปน็ L.E.ที่สร้างขน้ึ สาหรับเนอื้ หาความรเู้ ฉพาะเรอ่ื ง ลกั ษณะที่ 2 เปน็ ชดุ ของ L.E.ท่สี ร้างข้นึ สาหรบั ทักษะวิชาชีพ ซ่ึงประกอบด้วย L.E. ย่อยๆ จัดเรียงลาดับต่อเน่ืองกันไป เม่ือเรียนรู้จนครบชุดของ L.E. ชุดนี้แล้ว จะส่งผลให้ ผูเ้ รียนเปน็ บุคคลท่ี “ทาเปน็ เห็นรายได้ ใฝ่อาชีพ” เช่น การเพาะเลยี้ งไรแดงเพ่ือการค้า จะ ประกอบด้วย 11 L.E.

41 ตวั อย่างประสบการณ์เพื่อการเรยี นรอู้ าชวี ศึกษาเกษตร ผู้เขียนได้นา L.E.ลักษณะที่ 1 และลักษณะที่ 2 ของครูอาจารย์วิทยาลัยเกษตร และเทคโนโลยี และวทิ ยาลัยประมง สถาบนั การอาชีวศกึ ษาเกษตรภาคใต้ ท่ีได้สร้างข้ึนเป็น ตัวอย่างให้ผู้อ่านได้พิจารณาศึกษา โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามลักษณะL.E.ดังกล่าวแล้ว ขา้ งต้น ดงั ตอ่ ไปน้ี ตัวอยา่ ง L.E. ลกั ษณะที่ 1: L.E. สร้างขน้ึ เฉพาะเน้อื หาเฉพาะเรื่อง ดังตวั อย่างตอ่ ไปน้ี L.E. เร่อื ง การฉีดฮอร์โมนปลาดุกรสั เซีย L.E. เรอ่ื ง วธิ ีการเพาะเลยี้ งไรแดง L.E. เรื่อง วธิ กี ารตรวจโรคสตั วน์ า้ ท่เี กิดจากปรสิตภายนอกโดยใชก้ ล้องจุลทรรศน์ L.E. เรือ่ ง วธิ กี ารนบั ปรมิ าณเซลลแ์ พลงกต์ อนพืชด้วยสไลดน์ ับเม็ดเลือด L.E. เรือ่ ง ขั้นตอนการผลิตอาหารสตั วน์ ้าสาเรจ็ รปู แบบจมนา้ L.E. เรื่อง ความแตกตา่ งของลาไสก้ ารกินของปลากินพชื ปลากินเนอ้ื และปลากนิ แพลงกต์ อนเปน็ อาหาร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook