การสรา้ งประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม กบั R&D ทางการศกึ ษา แนวทางสกู่ ารปฏิบตั ิ ลาวัณย์ วิจารณ์
ก การสร้างประสบการณ์เพอ่ื การเรยี นรสู้ ่ิงแวดลอ้ ม กับ R&D ทางการศึกษา: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ตั ิ ชอื่ ผู้เขียน: ลาวัณย์ วจิ ารณ์ ภาควิชาวศิ วกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลยั วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั รงั สิต จานวนหน้า 119 หน้า ปีทพ่ี ิมพ์ กรกฎาคม 2561 จานวนเล่ม 100 เลม่ จดั พิมพโ์ ดย สถาบนั การอาชวี ศกึ ษาเกษตรภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เลขท่ี 235 หมู่ 4 ตาบลนิเวศน์ อาเภอธวัชบุรี จงั หวดั ร้อยเอ็ด 45170 email: [email protected] โทรศัพท์ 043-501869 , 09-4305-2211 Facebook : http://www.facebook.com/nevia.edu พิมพ์ที่ โรงพมิ พม์ หาวิทยาลยั รังสิต เมืองเอก ถนนพหลโยธนิ จังหวัดปทุมธานี 12000 โทร 02 997 2200-30
ข คานา ผูอ้ านวยการสถาบันการอาชวี ศกึ ษาเกษตรภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดการศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรเทคโนโลยบี ัณฑิต การทจี่ ะบรรลุถงึ วตั ถุประสงคข์ องการจัดการศึกษาจาเป็นต้องคานึงถึง การพัฒนาครูและคณาจารย์ในหลักสูตรปริญญาตรี ให้มีความสามารถในด้านการวิจัยและพัฒนา ทางการศกึ ษา เพือ่ สรา้ งวธิ กี ารสอนทีม่ ีประสิทธิภาพและเปน็ ผลงานทางวชิ าการอกี ด้วย จากการสังเกตการณ์การจัดอบรมเชิงปฎิบัติการในเรื่อง “ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้” ของสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ระหว่างวันท่ี 20-21 มิถุนายน 2561 ณ สถาบันการ อาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ โดยดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัย วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และท่ีปรึกษาสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงได้ขอความอนุเคราะห์ ดร.ลาวัณย์ วิจารณ์ ให้จดั อบรมเชิงปฎบิ ตั กิ ารแก่ครูและคณาจารย์ ในหลักสูตรปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษา เกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมท้ังขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือ “การจัดประสบการณ์เพ่ือ การเรียนรู้สิ่งแวดล้อม กับ R&D ทางการศึกษา: แนวทางสู่การปฏิบัติ” ซึ่งเรียบเรียงโดย ดร. ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ เพ่ือใช้เป็นคมู่ ือสาหรับการฝึกอบรมคร้ังนี้ด้วย สถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือขอขอบพระคุณ ดร.ลาวัณย์ วจิ ารณ์ เป็นอย่างสงู ที่อนญุ าตให้สถาบันฯเป็นผู้จดั พมิ พห์ นงั สอื เล่มนี้ พรณรงค์ วรศลิ ป์ กรกฎาคม 2561
ค คานา “การสรา้ งประสบการณเ์ พอ่ื การเรยี นรู้”เป็นสิ่งจาเปน็ ทจี่ ะชว่ ยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอด ความรู้ให้แก่ผู้เรียนได้ตรงตามวัตถุประสงค์การสอน และสามารถประเมินผล “การเรียนรู้”ของ ผู้เรียนไดท้ ันทรี ะหวา่ งทาการสอน หนงั สือเล่มนี้ “การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ กับR&D ทางการศึกษา: แนวทางสู่ การปฏิบัติ” เรียบเรียงขึ้นเพื่อใช้เป็นเอกสารในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การสร้าง ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ (L.E.) สู่การวิจัยทางการศึกษา” แก่ครูและคณาจารย์ในหลักสูตร ปริญญาตรีของสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 19-20 กรกฏาคม 2561 ณ สถาบนั การอาชวี ศึกษาเกษตรภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยส่วนที่ 1 “การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ส่ิงแวดล้อม”นั้น ผู้เขียนได้จาลองเน้ือหามาจากหนังสือ “การสร้างประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ สิง่ แวดล้อม: แนวทางสกู่ ารปฏบิ ัติ”ของผเู้ ขยี นมาเป็นเนอ้ื หาของสว่ นที่ 1 ในหนังสอื เลม่ นี้ สาหรับในส่วนท่ี 2 “R&D ทางการศึกษา”นั้น ผู้เขียนได้เรียบเรียงข้ึนใหม่ แต่ด้วยความ รีบเรง่ เพอื่ ใช้เป็นเอกสารประกอบการฝึกอบรม หากมขี ้อผิดพลาด ผู้เขียนต้องขออภัยเป็นอย่างสูง มา ณ ทน่ี ี้ดว้ ย ผู้เขียนขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.โสภณ ธนะมัย ผู้ทรงคุณวุฒิ ภาควิชา วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้ให้คาปรึกษา และ ผู้อานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เห็นคุณค่าและสนับสนุน รับผดิ ชอบในการจดั พมิ พ์หนังสอื เลม่ น้ี ลาวัณย์ วจิ ารณ์ ภาควชิ าวศิ วกรรมส่ิงแวดลอ้ ม วิทยาลยั วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั รังสิต กรกฏาคม 2561
สารบัญ ง ส่วนที่ 1 การสร้างประสบการณเ์ พอ่ื การเรยี นรสู้ งิ่ แวดลอ้ ม 1 2 ความเปน็ มาของประสบการณเ์ พ่อื การเรียนรู้ 8 เนื้อหาความรู้ 8 11 ความหมายและประเภทของเน้ือหาความรู้ 12 การเรยี บเรยี งเนอ้ื หาความรู้ 28 ตวั อยา่ งการเรยี บเรยี งเนื้อหาความรู้ 28 วัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ 28 วัตถุประสงคก์ ารศกึ ษา 31 วัตถุประสงค์การสอน 32 วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 35 คากริ ยิ าบง่ ชพี้ ฤตกิ รรม 41 ตัวอยา่ งวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 43 ความสัมพันธร์ ะหว่างเน้ือหาความรู้กับวัตถปุ ระสงค์การสอน 44 สถานการณก์ ารเรียนรู้ 44 กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ี่ผ้สู อนสร้างข้นึ 48 กิจกรรมที่ผเู้ รยี นกระทา 54 หลักคิดเพอื่ สร้างสถานการณก์ ารเรียนรู้ 56 สื่อช่วยสอน 59 การประเมินผล 66 การสร้างประสบการณ์เพ่อื การเรยี นร้สู ่ิงแวดล้อม 77 ตวั อยา่ งประสบการณ์เพื่อการเรยี นรสู้ ิ่งแวดล้อม 81 บทส่งทา้ ย: การสร้างประสบการณ์เพอื่ การเรยี นรู้ 82 ส่วนท่ี 2 R&D ทางการศึกษา 83 R&D คอื อะไร นวตั กรรม คือ อะไร
ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ คอื นวัตกรรม จ R&D ทางการศกึ ษา คอื อะไร หลักของ R&D 84 กระบวนการ R&D 84 กระบวนการ R&D ประสบการณ์เพอื่ การเรยี นรู้สงิ่ แวดลอ้ ม 86 ตัวอยา่ ง R&D การสร้างประสบการณ์เพอื่ การเรียนรูส้ ่งิ แวดล้อม 87 บรรณานกุ รม 90 97 113
1 ส่วนท่ี 1 การสรา้ งประสบการณ์เพ่ือการเรยี นรู้ส่ิงแวดลอ้ ม
2 ความเป็นมาของประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ ….ความล้มเหลวของการศึกษาระดบั อุดมศึกษาไทย คอื ผู้สอนเมอ่ื สอนเสร็จ แลว้ กอ็ อกข้อสอบ แล้วก็ออก grade วนเวียนเป็น วัฏจักรไมร่ ู้จบสิน้ ...ผู้สอน ขาดหลักคิดวา่ .. “การเรียนรูข้ องศษิ ย์ คอื หวั ใจของการสอน ไมใ่ ช่ grade” ข้อความข้างต้นเป็นคาวิพากษ์ของดร.โสภณ ธนะมัย ในการบรรยาย วิชาปรัชญา ส่ิงแวดล้อม สาหรับนิสิตปริญญาเอก สาขาวิทยาศาสตร์ส่ิงแวดล้อม วิทยาลัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.2549 ในข้อความวิพากษ์นี้ มีคาสาคัญ(keyword) คือ“การ เรียนรู้” คาสาคัญ“การเรียนรู้”คานี้ เป็นแรงบนั ดาลใจให้ผู้เขยี นค้นคว้าหาความรู้เพื่อหาคาตอบให้ได้ วา่ จะสอนอยา่ งไรจึงจะทาใหล้ กู ศิษย์เกดิ การเรียนรู้ ไม่ใช่ grade ท่ีให้ ในท่ีสุดผู้เขียนก็ได้คาตอบ ซ่งึ กค็ อื คาว่า“ประสบการณ์เพือ่ การเรียนรู้ (learning experience)” ผู้เขียนได้นาเสนอความคิดรวบยอดของ “ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้” เอาไว้ในหนังสือท่ี ผู้เขียนได้เรียบเรียงข้ึนในปี พ.ศ.2559 ชื่อ“ส่ิงแวดล้อมศึกษา: แนวทางสู่การปฏิบัติ” ส่วน หนงั สอื เล่มน้ี“การสร้างประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ส่ิงแวดล้อม: แนวทางสู่การปฏิบัติ”ผู้เขียน จะอธิบายคาว่า“ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้” โดยสรุปความจาก“ความคิดรวบยอดของ ประสบการณเ์ พอื่ การเรยี นรู้”ในหนังสือ“ส่งิ แวดล้อมศกึ ษา: แนวทางสู่การปฏิบตั ิ”ดังต่อไปน้ี คาว่า“ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้”(learning experience)ได้ปรากฏใน หนังสือชื่อ“Basic Principles of Curriculum and Instruction” ตีพิมพ์ เมื่อปี ค.ศ.1949 ของศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ผู้ซึ่งได้รับการยกย่อง ว่าเปน็ “บดิ าแหง่ การพฒั นาหลักสูตรสมัยใหม่ของประเทศสหรฐั อเมรกิ า” ภาพที่ 1 ศาสตราจารย์ Ralph W. Tyler ทีม่ า: https://books.google.co.th/books/about/Basic_Principles_of_Curriculum_and_ Instruction
3 คาว่า“ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้”น้ันเกิดจากการรวมกันของคาว่า“การเรียนรู้” (การ เปลี่ยนพฤติกรรม อันเนื่องมาจากการมีประสบการณ์) และ“ประสบการณ์” (การได้ประสบมา ด้วยตนเอง หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แล้วเกิดความรู้) เม่ือนาคาสองคามารวมกัน ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ จึงหมายถึง การแสดงออกอย่างกระตือรือร้นของผู้เรียนต่อ สถานการณ์ที่ผู้สอนสร้างขึ้น จนบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการ เปลี่ยนพฤตกิ รรม... ประสบการณเ์ พอ่ื การเรียนรนู้ ี้ถอื ไดว้ า่ เปน็ ฟันเฟืองสาคญั ทสี่ ุดของการจัดการเรียนการสอนที่ มุ่งเนน้ ไปทต่ี วั ผูเ้ รียนและผู้สอน ซ่ึงทง้ั สองสว่ นนี้จะต้องมีปฏสิ ัมพนั ธ์ (interaction)ต่อกนั โดยท่ี ผู้สอน......ทาหน้าท่จี ดั สรา้ งสถานการณก์ ารเรยี นรู้ (learning situation) ให้กับผู้เรยี น ผู้เรียน......ทาหนา้ ทต่ี อบสนอง (interaction: ปฏิสัมพันธ์) ต่อสถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้สอน ได้จัดสร้างขน้ึ อย่างกระตอื รือร้นจนผู้เรียนมคี วามร้แู ละ/หรอื มีทักษะ และ/หรือมีเจตคติ ในเน้ือหา ความรตู้ ามที่ผู้สอนตอ้ งการ ดังนั้น ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้จึงเป็นเร่ืองท่ีเกิดข้ึนโดยมุ่งไปท่ีผู้เรียน โดยผู้สอนทา หน้าทเ่ี พยี งแตช่ ่วยจัดสถานการณ์การเรยี นรู้ต่างๆข้ึน เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนได้แสดงออกซึ่งจะทาให้ผู้เรียน เกดิ การเรียนรู้ (learning) คอื เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรมตามวตั ถุประสงค์ท่ีผู้สอนกาหนดไว้ จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ไม่ใช่ส่ิงท่ีผู้สอนแสดงออก แต่จะต้อง เปน็ ส่งิ ทีท่ าให้ผู้เรียนแสดงออก แล้วทาให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองจึงจะจัดเป็น“ประสบการณ์ เพื่อการเรยี นรู้” ฉะน้ันการที่ผู้สอนบรรยาย จึงไม่ใช่ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ แม้ว่าจะมีผู้เรียนเป็นผู้นั่ง ฟังอยู่ก็ตาม เพราะผู้เรียนยังไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์แต่อย่างใดกับการกระทาของผู้สอนซึ่งกาลัง บรรยายอยู่ ผู้เรียนเพียงแต่ได้ข้อมูลความรู้จากผู้สอนเท่านั้น แต่มิได้เป็นหลักประกันว่าผู้เรียนจะ เรียนรูไ้ ดต้ ามวตั ถุประสงคท์ ีผ่ ู้สอนกาหนดไว้ ดงั ตวั อย่างเช่น ครูสอนวิธีการคานวณสูตรปุ๋ย ถ้าครูอธิบายข้ันตอนการคานวณต่างๆจนจบ แต่ไม่มีโจทย์ แบบฝึกหัดให้นักเรียนได้คานวณเองแล้ว นักเรียนจะยังไม่มีประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ในเร่ือง การคานวณป๋ยุ
4 ผสู้ อนต้องการสอนการว่ายน้าในชัน้ เรยี น โดยผ้สู อนอธิบายขั้นตอนพร้อมทั้งฉายวีดิทัศน์ให้ ดู แต่เมื่อนาผู้เรียนลงสระว่ายน้า ปรากฏว่าว่ายน้าไม่เป็น แสดงว่า ส่ิงท่ีผู้สอนจัดทาข้ึน คือ การ บรรยายน้ันไม่ได้ช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ในการว่ายน้าเพราะผู้เรียนยังว่าย น้าไม่ได้ แต่ถ้าผู้สอนพาผู้เรียนไปสระว่ายน้า อธิบายข้ันตอน แล้วให้ผู้ท่ีว่ายน้าเป็นลงสระว่ายน้า แสดงขนั้ ตอนเปน็ การสาธิตให้ดู แล้วให้ผเู้ รยี นไดล้ งว่ายน้าจรงิ ๆ จนสามารถว่ายเปน็ จึงจะถือได้ว่า เป็น “ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้การว่ายน้า” น่ันคือ สถานการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้สอนจัดขึ้น นับ แต่การเตรียมโดยการอธิบายวิธีว่าย ผู้เรียนลงมือว่ายน้า จนกระท่ังเกิดการเรียนรู้โดยเปลี่ยน พฤตกิ รรมจากว่ายน้าไมเ่ ปน็ จนวา่ ยน้าได้ ภาพท่ี 2 สถานการณก์ ารเรยี นรู้ “การวา่ ยน้า” ผู้สอนต้องการสอนให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายของ “น้าเสีย” โดยผู้สอนอธิบายลักษณะของ น้าเสีย โดยใช้แผ่นข้อความ “ความหมายของน้าเสีย”และฉายวีดิทัศน์ลักษณะของน้าเสีย หลังจากน้ันผู้สอนทาการทดสอบ โดยให้ผู้เรียนตอบคาถามปรนัยว่า น้าเสีย คือข้อใด? ผู้เรียน บางส่วนตอบได้ถกู ต้อง แต่ผู้สอนจะม่ันใจได้อย่างไรว่า ผู้เรียน “เข้าใจ” หรือผู้เรียน “จดจา”แต่ ถ้าผู้สอนพาผู้เรียนไปดูน้าเสียในคลองเปรมประชากร หลังจากนั้นให้ผู้เรียนเขียนอธิบายลักษณะ ของน้าเสียดว้ ยตนเอง ผู้เรยี นท่ีสามารถอธบิ ายลักษณะของน้าเสียไดถ้ กู ตอ้ ง แสดงวา่ ผู้เรียนเข้าใจ ความหมายของ “น้าเสีย” มิไดเ้ กดิ จากการจดจา จากตัวอย่าง การอธิบายประกอบการดูวีดิทัศน์แล้วตอบคาถาม แล้วไปดูน้าเสียจากสถานที่ จริง แล้วให้เขียนคาอธิบายความหมายของน้าเสีย ทั้งหมดน้ี คือ สถานการณ์การเรียนรู้ที่ผู้สอน สร้างข้ึน ถ้าผู้เรียนฟังคาอธิบาย ต้ังใจดูน้าเสียในพื้นที่จริง แสดงว่า ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับ สถานการณ์ทผ่ี สู้ อนสรา้ งข้นึ และถ้าผ้เู รียนสามารถอธิบายความหมายของน้าเสียได้ถูกต้อง แสดง วา่ ผูเ้ รียนเกิดการเรยี นรู้ คอื เขา้ ใจความหมายของน้าเสยี ดว้ ยตนเอง มิใชเ่ กดิ จากการจดจา
5 ภาพท่ี 3 สถานการณก์ ารเรยี นรู้ เรือ่ ง “นา้ เสีย” จากตวั อยา่ งดงั ได้กลา่ วมาแล้วข้างตน้ เมื่อนามาวิเคราะหแ์ ยกแยะองค์ประกอบ จะพบว่า ประสบการณ์เพ่อื การเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย 6 องค์ประกอบ คอื 1) ผสู้ อน 2) ผู้เรยี น 3) เนือ้ หา ความร้ทู ี่ผู้เรยี นจะต้องเรียนรู้(ว่ายน้า) 4)วัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ผสู้ อนกาหนดไว้ ซ่งึ กค็ อื วตั ถุประสงคก์ ารสอนและวัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม(ผู้เรียนวา่ ยนา้ เปน็ ) 5) สถานการณก์ าร เรียนรู้ทผี่ สู้ อนจดั สร้างข้นึ (ผู้สอนพาผู้เรยี นไปสระนา้ –อธบิ ายขั้นตอนการว่ายนา้ –สาธิตการวา่ ยน้า และใหผ้ ูเ้ รยี นลงสระวา่ ยนา้ ไดว้ า่ ยน้าจริง) 6) ผเู้ รยี นมพี ฤติกรรมตอบสนองต่อสถานการณก์ าร เรยี นรู้ (ฟงั การอธิบายขั้นตอนการว่ายนา้ –ดูวธิ ีการวา่ ยนา้ ที่ผสู้ อนสาธิต - ลงมือวา่ ยนา้ ด้วยตนเอง) ทั้ง 6 องค์ประกอบน้ัน เมื่อนามาสังเคราะห์เข้าด้วยกันแล้ว จัดเรียงลาดับความสัมพันธ์ตาม แนวทางของแผนการสอน (การกาหนดแนวทางการเรียนการสอนไว้ล่วงหน้า ก่อนการสอน) ใน รปู แบบของตาราง ซ่ึงตารางนี้เรยี กวา่ “ตารางประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้” ดงั แผนภาพท่ี 1 เนื้อหา วตั ถปุ ระสงค์ วัตถปุ ระสงค์ สถานการณ์การเรียนรู้ ส่ือ การ ความรู้ การสอน เชิงพฤติกรรม ช่วย ประเมิน กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมที่ สอน ท่ีผสู้ อนสรา้ งขน้ึ ผ้เู รียนกระทา ผล แผนภาพที่ 1 ตารางประสบการณเ์ พื่อการเรียนรู้ สมสุดา ผู้พัฒน์ และโสภณ ธนะมัย (2534)ได้ให้ข้อคิดเห็น เรื่อง แบบของประสบการณ์เพื่อ การเรียนรู้ว่า มี 3 แบบ คือ 1) ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ท่ีช่วยให้เกิดความรู้ 2) ประสบการณ์
6 เพื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เกิดทักษะความชานาญ และ3) ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ที่ช่วยให้เกิด ลกั ษณะนสิ ยั ท่ตี อ้ งการ ประสบการณเ์ พื่อการเรยี นรทู้ ีช่ ว่ ยใหเ้ กิดความรู้ ความรเู้ ปน็ วตั ถปุ ระสงคก์ ารศึกษาท่ีต้องการให้ผเู้ รียนเกิดความรู้ การที่ผ้เู รยี นจะเกิดความรู้ได้ ผเู้ รยี นจะต้องเรยี นรโู้ ดยการจดจาและทาความเข้าใจเน้อื หาความรู้ในแตล่ ะเรอ่ื ง จดุ ออ่ นทพี่ บมาก คือ ผู้เรียนเรียนรู้แบบท่องจาโดยปราศจากความเข้าใจ จึงลืมเร็วภายในระยะเวลาอันส้ัน การ จัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ต้องให้ผู้เรียนสามารถตีความข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด หลักการ ให้เป็นรูปธรรมที่ผู้เรียนเห็นได้อย่างชัดเจน ภาษาท่ีผู้สอนใช้จะต้องทาให้ผู้เรียนเข้าใจ ง่าย ตัวอย่าง สื่อการสอนจะต้องนาเข้ามาใช้เพ่ือให้ผู้เรียนนึกตามเร่ืองที่สอนออกมาเป็นภาพท่ี ปรากฏในจติ ใจอย่างชดั เจน เนื้อหาความรู้ท่ีนามาสอนจะต้องกลั่นกรองแล้วว่า มีความสาคัญต่อการนาไปใช้ และ/หรือ ต่อการเรียนเนื้อหาความรู้ที่สูงขึ้นต่อไปให้รู้ลุ่มลึกยิ่งข้ึน การเน้น ย้า ซ้า ทวน เน้ือหาที่สาคัญ บ่อยๆ จะช่วยให้ผู้เรียนจดจาเนื้อหาความรู้น้ันมากข้ึน นอกจากการจัดประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้ เพ่ือให้จดจาและเข้าใจแล้ว ผู้สอนควรจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ที่ฝึกให้ผู้เรียนได้นา ข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอด และหลักการไปใช้ ไปแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งนอกจาก จะทาให้ผู้เรียนจดจา เข้าใจได้ดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการพัฒนาการนาความรู้ไปใช้ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์และการประเมนิ ค่าอีกดว้ ย ประสบการณ์เพ่อื การเรยี นรู้ทช่ี ว่ ยใหเ้ กิดทกั ษะความชานาญ ผู้เรียนจะเกิดทักษะความชานาญได้ต่อเมื่อ ได้รู้และเห็นขั้นตอนการปฏิบัติท่ีถูกต้อง และฝึก ปฏิบัติทา ซ่ึงจะทั้งทาผิดและทาถูก ผู้สอนจาเป็นจะต้องดูแล และให้คาแนะนาอย่างใกล้ชิด เพ่ือใหผ้ เู้ รียนฝึกปฏบิ ัติเฉพาะการปฏิบัติทถ่ี กู ต้องเทา่ นนั้ จนเกดิ ความคล่องแคลว่ ชานาญ ประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ทีช่ ว่ ยใหเ้ กิดลักษณะนิสัยที่ตอ้ งการ การสร้างลักษณะนิสัยที่ถูกต้องให้กับผู้เรียน ให้มีความคิดเห็นท่ีถูกต้อง การท่ีผู้เรียนจะมี ลักษณะนิสัย และ/หรือ ความเห็นที่ถูกต้องได้ ผู้เรียนจะต้องได้เห็น ได้ใกล้ชิดกับผู้สอนที่มี ลักษณะนิสัยที่ถูกต้องก่อน มีศรัทธาต่อผู้สอนท่ีจะเป็นต้นแบบ แล้วผู้เรียนจึงจะเกิดความคล้อย
7 ตาม ยอมรับ ปฏิบัติตามผู้สอนที่เป็นต้นแบบ และเมื่อปฏิบัติตามบ่อยๆจะกลายเป็นลักษณะนิสัย ในท่ีสดุ องค์ประกอบของการจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้แต่ละองค์ประกอบจะมีหลักวิชาการที่ เก่ียวข้องกับองค์ประกอบน้ันๆ ดังน้ันจึงจาเป็นต้องเข้าใจองค์ความรู้นั้นๆเสียก่อน จึงจะสามารถ นามาพิจารณาการจัดประสบการณ์เพอ่ื การเรยี นรไู้ ด้อยา่ งถูกตอ้ งตอ่ ไป องค์ความรู้ (body of knowledge) ที่จาเป็นต้องทาความเข้าใจ ได้แก่ 1) เน้ือหาความรู้ 2) วัตถุประสงค์การสอน 3) วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 4) สถานการณ์การเรียนรู้ ประกอบด้วย กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างข้ึนกับกิจกรรมท่ีผู้เรียนกระทา 5) สื่อช่วยสอน และ 6) การประเมินผล
8 เน้อื หาความรู้ ความหมายและประเภทของเนื้อหาความรู้ คาว่า“เนื้อหาความรู้”(subject matter) หมายถึง ข้อเท็จจริงท่ีเป็นสาระความรู้ท่ีทันสมัย ถูกต้องตามหลักวิชาการของศาสตร์น้ันๆ ซึ่งจาแนกออกได้เป็น 2 ประเภท (สมสุดา และโสภณ, 2534) ได้แก่ เน้ือหาความรู้ภาคความรู้ (knowing element) และเนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ (doing element) ผู้เขยี นได้ปรบั ปรงุ เน้อื หาภาคความรู้ในส่วนขอ้ เทจ็ จรงิ ของสมสดุ า ผูพ้ ฒั น์ และโสภณ ธนะมัย เพือ่ ใหเ้ รยี นรู้ได้งา่ ยข้นึ คือ เปลยี่ นคาจาก 1) ข้อเท็จจริงจดจา เป็นข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง และ 2) ข้อเท็จจริงนาไปใช้ เปน็ ข้อเทจ็ จรงิ เกณฑ์/มาตรฐาน 1. เน้ือหาภาคความรู้ (knowing element) หมายถึง เน้ือหาท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ซึ่ง แบง่ ออกเปน็ เนื้อหาข้อเท็จจรงิ เนื้อหาความคิดรวบยอด และเน้อื หาหลักการ 1.1 ขอ้ เทจ็ จริง หมายถึง เน้ือหาประเภทซึ่งเม่ือกล่าวถึงแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายในเวลา อนั รวดเร็ว เนอ้ื หาขอ้ เท็จจรงิ น้แี บ่งออกเป็นข้อเทจ็ จรงิ เฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงเกณฑ์/มาตรฐาน และขอ้ เท็จจริงเจตคติ 1.1.1 ขอ้ เทจ็ จริงเฉพาะเจาะจง: เป็นข้อเท็จจริงในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงท่ีผู้สอนพิจารณา แลว้ ว่า ผเู้ รียนต้องจดจา ตวั อยา่ ง การตรวจวัดคุณภาพนา้ มี 3 วธิ ี ได้แก่ วิธกี ารทางชีวภาพ วิธกี าร ทางกายภาพ และวธิ ีการทางเคมี 1.1.2 ข้อเท็จจรงิ เกณฑ์/มาตรฐาน: เกีย่ วกับสิ่งที่เปน็ มาตรฐาน ทเี่ ปน็ เกณฑ์ สามารถนาไปวนิ ิจฉัย เลือก และตัดสินใจได้ ตัวอยา่ ง มาตรฐานคณุ ภาพนา้ ในแหล่งน้าผวิ ดนิ สาหรับผลติ นา้ ประปา ตอ้ งมปี รมิ าณออกซิเจนละลายน้า ไมน่ อ้ ยกว่า 4 มิลลิกร้ม /ลิตร
9 1.1.3 ข้อเท็จจริงเจตคติ: เปน็ ข้อเท็จจริงทช่ี กั นาให้เหน็ คณุ คา่ เช่น ประโยชน์ ความสาคญั ของเรอื่ งนน้ั ๆ ตัวอย่างเชน่ ประโยชนข์ องการตรวจสอบคณุ ภาพน้า 1. ทาให้ทราบการปนเปือ้ นของมลสารในแหลง่ น้า 2. ทาให้สามารถเฝา้ ระวังคณุ ภาพน้าในแหล่งน้า 3. ทาให้ทราบวธิ ีการป้องกนั แกไ้ ข และลดมลพิษทางน้า 1.2 ความคิดรวบยอด: เป็นเนื้อหาทีม่ ีลักษณะเฉพาะที่สาคญั (critical attributes) ของ ความคดิ รวบยอดนน้ั ซง่ึ เมื่อกล่าวถงึ แล้ว บุคคลทมี่ คี วามคดิ รวบยอดในเรื่องน้นั จะมีความเขา้ ใจ ตรงกัน ความคิดรวบยอด มีชื่อซ่ึงให้คานิยาม ให้ความหมายได้ และมีเอกลักษณ์ คือ มี ลักษณะเฉพาะที่สาคัญของความคิดรวบยอดนั้น เช่น นก เป็ด ไก่ จอบ เสียม ความสวย ความ งาม นา้ เสยี น้าประปา อาหารสัตว์ เชือ่ เหด็ ฟาง เห็ดฟาง ปลานลิ ปลาตีน บอ่ ปลา เป็นตน้ โสภณ ธนะมัย (2549) ไดก้ ล่าวเป็นภาษิตเอาไว้ว่า “ (ถ้า) ร.ู้ ....ความคิดรวบยอด(concept) ของความรู้ทั้งหมดท่ีมีในโลกนี้…. ...........ก็ไม่มอี ะไรท่จี ะไม่รอู้ ีกแล้ว……….” (คาบรรยายในวิชาปรชั ญาส่ิงแวดลอ้ ม สาหรบั นสิ ติ ปรญิ ญาเอก สาขาวิทยาศาสตรส์ ง่ิ แวดลอ้ ม วทิ ยาลยั สิ่งแวดล้อม มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ.2549) จากภาษิตโดย โสภณ ธนะมัย ทาให้เห็นได้ว่า เนื้อหาความรู้ประเภทความคิดรวบยอดมี ความสาคญั อย่างยงิ่ ดังนนั้ ผ้สู อนจะตอ้ งสกัดเนอื้ หาความรู้เร่ืองตา่ งๆให้ออกมาเป็น เนื้อหาความรู้ ความคิดรวบยอดให้ได้ แล้วจึงจัดประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ ในพุทธิพิสัยระดับ“เข้าใจ”เป็น อยา่ งตา่ สดุ ใหก้ ับผูเ้ รียนของตน
10 1.3 หลักการ: เป็นเน้ือหาเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับว่า เป็นความจริงและ ยดึ ถอื เป็นหลกั ปฏบิ ตั ิ ตัวอย่าง หลกั การกาหนดจดุ เก็บตัวอยา่ งน้า 1. จดุ อ้างองิ (reference site) ไดแ้ ก่ จดุ ตน้ น้าท่ีไม่ได้รับผลกระทบจากแหล่งมลพิษ 2. จุดตรวจสอบการเปล่ยี นแปลงของคณุ ภาพน้า (sampling site) เป็นจุดตรวจสอบ คณุ ภาพนา้ ทอี่ ย่ใู นชว่ งทไี่ ด้รับผลกระทบจากแหล่งมลพษิ ตา่ งๆ 3. จุดตรวจสอบทา้ ยนา้ (global river flux site) ได้แก่ จดุ ตรวจสอบบริเวณปลาย สุดของแหลง่ นา้ ก่อนจะถูกระบายลงสู่แหล่งรองรบั น้าอื่น 2. เนื้อหาภาคปฏบิ ัติ (doing) หมายถึง เนอ้ื หาความร้ทู ่ีทาใหผ้ เู้ รียนเกดิ ทักษะในการทา เปน็ เนือ้ หาที่ระบุถงึ วธิ ีดาเนินการ หรอื ระบุขั้นตอนการทางาน เช่น ขนั้ ตอนการตรวจวดั ออกซิเจนละลายน้า โดยใชช้ ดุ ทดสอบอย่างง่าย ตวั อย่าง ขัน้ ตอนการตรวจวัดออกซิเจนละลายนา้ โดยใชช้ ุดทดสอบอยา่ งงา่ ย ประกอบด้วย 1 จดั หาน้าเพอ่ื ใชใ้ นการสาธิตการตรวจวดั ออกซิเจนละลายนา้ 2 รนิ สารละลายแมงกานีสซลั เฟตลงไปในขวด จนหมดหลอด 3 รนิ สารละลายอลั คาไลด์ไอโอไดด์เอไซดล์ งไปในขวด จนหมดหลอด 4 ปดิ จุกแก้วแลว้ พลกิ ขวดไป-มา ประมาณ 20 คร้ัง จะเห็นตะกอน สนี ้าตาลเกิดขน้ึ ในขวด 5 ตงั้ ทิง้ ไวใ้ ห้ตะกอนตกกวา่ ครงึ่ ขวด แล้วเติมกรดซัลฟูรกิ ลงในขวดจนหมด หลอดแลว้ ปดิ จกุ แก้วพลกิ ขวดไป-มา 20 ครั้ง จนตะกอนละลายหมด จะ ได้สารละลายสเี หลือง 6 เทสารละลายใสข่ วดรูปชมพู่จนถึงขีดทข่ี ีดไว้ 7 ใช้กระบอกฉีดยาดูดสารละลายมาตรฐานโซเดียมไธโอซัลเฟต 10 มิลลิลิตร แล้วคอ่ ยๆหยดลงไปในขวดรูปชมพู่แกว่งไปมาจนสารละลายสีเหลอื งจางลง 8 ใสน่ ้าแปง้ ลงในขวดรปู ชมพ่จู นหมดหลอด สารละลายจะเปน็ สีนา้ เงิน หลังจาก นั้นคอ่ ยๆหยดสารละลายมาตรฐานโซเดยี มไธโอซัลเฟตต่อไปชา้ ๆ จนสนี ้าเงนิ จางหายจึงหยุดการหยด และอา่ นจานวนสารในกระบอกฉดี ยา เพ่อื คานวณหา คา่ ออกซเิ จนละลายนา้ ( DO )
11 การเรียบเรียงเน้ือหาความรู้ โดยทว่ั ไป เนือ้ หาความรู้ทน่ี ักวิชาการเขยี นข้นึ นนั้ มลี กั ษณะของการขยายความ มกี าร ยกตวั อยา่ ง มภี าพประกอบเพ่ือชว่ ยให้ผูอ้ ่านเขา้ ใจงา่ ย แต่สาหรบั การจดั ประสบการณ์เพ่ือการ เรียนรู้นั้น เนื้อหาความรู้เหล่านนั้ ตอ้ งนามาเรยี บเรยี งใหม่ ใหส้ อดคล้องกับประเภทเนือ้ หาความรู้ น้ันๆ ดงั น้ี 1. ข้อเท็จจรงิ เฉพาะเจาะจง เรียบเรียงเขียนเฉพาะ ขอ้ เท็จจริงท่ผี ูเ้ รยี นจะตอ้ ง “จา” 2. ข้อเท็จจรงิ เกณฑ/์ มาตรฐาน เรียบเรยี งเขยี นเฉพาะ ขอ้ เท็จจริงที่แสดงเกณฑ์/มาตรฐาน เมอื่ ผูเ้ รียน “จา”ได้ แล้ว จะสามารถนาไป “วนิ จิ ฉัย” “เลอื ก” และ “ตดั สินใจ” 3. ขอ้ เทจ็ จริงเจตคติ เรยี บเรยี งเขยี นเฉพาะ ข้อเท็จจรงิ ที่ชักนาให้ผ้เู รียนเหน็ คณุ คา่ ของเรือ่ งน้ันๆ 4. ความคดิ รวบยอด เรียบเรียงเขียนเฉพาะขอ้ เท็จจริงทีร่ ะบุลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญ (critical attributes ) ของความคดิ รวบยอดนน้ั ซึง่ อยใู่ นรูปของ “คาจากดั ความ” “ความหมาย” “นยิ าม ศัพท์” 5. หลักการ เรียบเรยี งเขยี นเฉพาะขอ้ เท็จจริงที่ยดึ ถอื เป็นหลักปฏิบตั ิ 6. ภาคปฏิบัติ เรียบเรยี งเขยี นเฉพาะข้อเท็จจรงิ ที่แสดงข้นั ตอนการปฏบิ ตั ิหรือการกระทา
12 ตัวอย่างการเรียบเรียงเน้ือหา การเรียบเรียงเนื้อหาความรู้ท่ีจะนาเสนอต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาความรู้ส่ิงแวดล้อมในบางเรื่อง จากหนังสือ“ส่ิงแวดล้อมศึกษา: แนวทางสู่การปฏิบัติ”(ลาวัณย์, 2559) โดยนาเนื้อหาความรู้ ดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า เป็นเนื้อหาความรู้ประเภทใด จากนั้นจึงทาการเรียบเรียงเน้ือหาความรู้ เพอ่ื เปน็ ตวั อยา่ งของการเรียบเรยี งเนอ้ื หาความรสู้ าหรบั การจัดประสบการณ์เพอ่ื การเรียนรู้ ได้แก่ 1. ประเภททรัพยากรธรรมชาติ 2. องค์ประกอบในระบบนเิ วศ 3. ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มจากการใชท้ รัพยากรธรรมขาติ 4. ความหมายของระบบนิเวศ 5. การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ
13 เนือ้ หาความรู้ : ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ สาหรับในหนังสอื เลม่ นี้จะกลา่ วถงึ เฉพาะทรพั ยากรธรรมชาติ 3 ประเภท ประกอบด้วย 1. ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีใช้แล้วไมห่ มดไป จาแนกออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ อากาศ และนา้ ท่ี อย่ใู นรูปของวัฏจกั ร (นา้ จะหมุนเวียนเปลย่ี นสภาพ เชน่ ฝนตกลงส่พู ้ืนดนิ บางสว่ นระเหยกลับไปสู่ บรรยากาศ บางสว่ นซมึ ลงไปเปน็ นา้ ใต้ดิน บางสว่ นไหลลงแมน่ า้ ลาคลอง ออกสู่ทะเล แล้วกลับ ระเหยกลายเป็นไอนา้ รวมตวั กนั เป็นกอ้ นเมฆ ตกลงมาเป็นฝนอกี ) ทรัพยากรธรรมชาตกิ ลมุ่ นเ้ี ป็นปจั จยั สาคัญตอ่ การดารงชีวติ ของสิ่งมีชวี ิตอย่างมาก เพราะ หากเกิดการขาดแคลนจะทาให้สง่ิ มชี ีวติ ไม่สามารถดารงชวี ติ อยไู่ ด้ 2 ทรัพยากรธรรมชาติทีท่ ดแทนไดห้ รอื รกั ษาไวไ้ ด้เมื่อใชไ้ ปแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ชนดิ คือ 1) นา้ ใช้ หมายถึง นา้ ทีอ่ ย่ใู นทีเ่ ฉพาะ เชน่ นา้ ในภาชนะ น้าในเข่ือน เมอื่ ใชไ้ ปปริมาณจะลดลง แต่จะมที ดแทนได้ เชน่ เม่ือเกิดมีฝนตกลงมา เปน็ ต้น 2) ส่ิงมีชีวติ เมอ่ื ใช้หมดไปแลว้ สามารถ ทดแทนขนึ้ มาใหม่ได้ ไดแ้ ก่ พชื (ป่าไม้ ทุ้งหญา้ ฯลฯ) และสัตว์ (สัตวเ์ ล้ยี ง สัตว์ป่า) ทรัพยากรธรรมชาตกิ ลุ่มนีเ้ ป็นปัจจัยสีใ่ นการดารงชวี ิตของมนุษย์ หากเกิดการขาดแคลน จะทาให้มนษุ ยไ์ ม่สามารถดารงชวี ติ อยู่ได้ในเวลาตอ่ มา 3 ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ใี ชแ้ ลว้ หมดไป ไม่สามารถทดแทนได้ ได้แก่ แร่ธาตุ และพลังงาน เชน่ แร่ หนิ ถา่ นหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ามนั ปิโตรเลียม ฯลฯ ทรัพยากรธรรมชาติกลุ่มน้เี ปน็ ปจั จัยอานวยความสะดวกสบายในการดาเนินชวี ิต เชน่ พลงั งาน แรธ่ าตุที่ใชใ้ นการกอ่ สร้าง หากเกดิ การขาดแคลนจะทาใหม้ นษุ ยด์ ารงชีวติ อยู่ได้อยา่ ง ลาบาก โดยเฉพาะการขาดแคลนพลังงานทาใหค้ วามสะดวกสบายหมดไป การเรียบเรียงเนอ้ื หา จากเนอื้ หาภาคความรู้ เร่ือง ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ผู้สอนได้พิจารณาเห็นว่า เป็น เน้ือหาความรู้ ประเภทข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ดังนั้นผู้สอนต้องกรองเน้ือหาความรู้และเอา เฉพาะข้อมูลท่ีผู้เรียนจะต้องจดจาเท่าน้ัน นามาเรียบเรียงเขียนข้ึนใหม่ให้ต่อเน่ืองสัมพันธ์กัน และใหไ้ ด้ใจความทอี่ ่านแล้วเขา้ ใจได้งา่ ย
14 ประเภทของทรัพยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติ สามารถจาแนกออกเปน็ 3 ประเภท ได้แก่ 1. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แลว้ ไมห่ มดไป ไดแ้ ก่ อากาศและนา้ ทอ่ี ยใู่ นรูปของวฏั จกั ร 2. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีทดแทนได้ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ น้าใช้และสิ่งมีชีวิต คือ พืช และสตั ว์ 3. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใชแ้ ล้วหมดไป ไม่สามารถทดแทนได้ ได้แก่ แร่ธาตุและพลังงาน เช่น ถา่ นหิน ก๊าซธรรมชาติ น้ามันปโิ ตรเลยี ม ฯลฯ
15 เนอ้ื หาความรู้ : องคป์ ระกอบในระบบนเิ วศ องคป์ ระกอบในระบบนเิ วศ ระบบนิเวศโดยทั่วไปแลว้ จะมีองคป์ ระกอบที่เปน็ สงิ่ มีชีวติ และสิ่งไมม่ ีชวี ิตดงั นี้ 1. องคป์ ระกอบทเี่ ป็นสงิ่ มชี ีวติ แบง่ ตามบทบาทหน้าที่เฉพาะอยา่ งของส่ิงมชี วี ิต ออกเป็น 3 กลุม่ 1.1 ผู้ผลติ (Producer) เปน็ ส่งิ มชี ีวิตทส่ี ามารถสรา้ งอาหารได้เอง โดยใช้พลังงานจาก แสงอาทิตย์ ไดแ้ ก่ พชื สีเขียวทงั้ หลาย แพลงค์ตอนพชื และจลุ ินทรีย์ท่ีมคี ลอโรฟลิ ล์ 1.2 ผบู้ ริโภค (Consumer) เป็นสง่ิ มีชวี ิตท่ีไม่สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ อง แต่ดารงชีวติ อยู่ ได้โดยกนิ ส่งิ มชี ีวิตชนดิ อื่นๆ เปน็ อาหาร ซงึ่ จาแนกออกเปน็ 4 กลุ่ม 1) Herbivore คอื พวกสัตวก์ นิ พชื เปน็ อาหาร 2) Carnivore คือ พวกสัตว์กินสตั ว์ด้วยกันเปน็ อาหาร 3) Omnivore คือ พวกสัตวท์ ่กี นิ ท้ังพชื และสัตวเ์ ปน็ อาหาร 4) Detritivore คือ พวก สัตวท์ ีก่ นิ ซากส่ิงมชี วี ิตเป็นอาหาร 1.3 ผ้ยู อ่ ยสลาย (Decomposer) เปน็ สง่ิ มีชีวติ ทท่ี าหนา้ ท่เี ป็นผยู้ อ่ ยสลายซากสิ่งมีชีวติ เชน่ จลุ นิ ทรยี ์ รา ยสี ต์ ไวรสั เป็นตน้ 2. องคป์ ระกอบทเ่ี ป็นส่งิ ไม่มีชีวติ แบ่งออกเป็น 4 กล่มุ 2.1 สารอินทรยี ์ เช่น โปรตนี ไขมนั คารโ์ บไฮเดรทในมนษุ ย์ ฮิวมสั ในดิน เปน็ ต้น 2.2 สารอนนิ ทรยี ์ ได้แก่ ธาตตุ ่างๆ (คารบ์ อน ไนโตรเจน ออกซิเจน เปน็ ตน้ ) และ สารประกอบ (เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ น้า ฯลฯ) สาหรบั องค์ประกอบทีเ่ ป็นสารอินทรยี ์และสารอนนิ ทรีย์ขา้ งตน้ จะขอยกตวั อย่างใน ระบบนิเวศนาขา้ ว พอเป็นสงั เขป ดงั น้ี สารอนิ ทรยี ์ในทนี่ ้ี คอื ฮวิ มสั ซง่ึ เกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์โดยจุลินทรีย์ในดนิ สารอนิ ทรยี ใ์ นดนิ จะชว่ ยให้ดินมโี ครงสรา้ งทเ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อการเจรญิ เตบิ โตของต้นขา้ ว
16 สารอนินทรียใ์ นทีน่ ้ี คือ ธาตุต่างๆประกอบดว้ ย นา้ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน กามะถนั ฟอสฟอรสั ซ่ึงธาตุเหล่านี้ เป็นองค์ประกอบสาคญั ทท่ี าใหต้ น้ ข้าวเจริญเตบิ โต และเกิดเปน็ ผลผลติ ของข้าว เช่น 1) คาร์บอน เปน็ ธาตุสารอาหารในรูปของก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากอากาศซ่ึงเปน็ ปัจจัยสาคญั ในการสังเคราะห์แสงเพอื่ สร้างเน้อื เยื่อของขา้ ว ซึ่งเป็นผลผลติ ของระบบนเิ วศนาขา้ ว 2) ไนโตรเจน เปน็ ธาตสุ ารอาหารในรูปของสารประกอบไนเตรท เกดิ การเปล่ียนแปลง ทางเคมีของกา๊ ซไนโตรเจนในอากาศผา่ นจุลนิ ทรียใ์ นดนิ ซ่งึ เป็นปจั จัยสาคัญในการเจรญิ เตบิ โต ของตน้ ขา้ ว 2.3 ปัจจยั ทางกายภาพ เชน่ สภาพภมู ิศาสตร์ อุณหภูมิ แสงสว่าง ความช้นื เป็นตน้ 2.4 ปัจจัยทางสังคม เช่น วฒั นธรรม ระเบยี บข้อบงั คบั กฎเกณฑ์ คา่ นิยม เปน็ ต้น ระบบนิเวศทัง้ หลายทัว่ โลก ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ตา่ งกม็ ีลักษณะเฉพาะตัวท่ี ต่างกนั ออกไปตามสภาพแวดล้อมของระบบนเิ วศนนั้ ๆ แต่จะมอี งค์ประกอบที่เหมอื นกนั อย่าง น้อย 4 ประการดงั น้ี 1. มสี ารอินทรยี ์และสารอนนิ ทรีย์ชนิดต่างๆ ทจ่ี าเปน็ ตอ่ การดารงอยู่ของสง่ิ มชี ีวติ ใน ระบบนเิ วศน้นั ๆ สารดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ นา้ ออกซิเจน คารบ์ อนไดออกไซด์ แรธ่ าตตุ ่างๆ เป็นต้น 2. มพี ชื เป็นผผู้ ลิต ซง่ึ มขี นาดตง้ั แตเ่ ล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไมเ่ ห็น จนถึงพืชยืนตน้ ขนาดใหญ่ พืชเหลา่ นี้ ทาหนา้ ท่ีนาเอาพลังงานจากแสงแดดมาใช้ในการสังเคราะหส์ ารอินทรยี ์ สาหรับการเจริญเติบโตของพืชเองและสาหรับเป็นอาหารของผู้บริโภค 3. มีสตั วข์ นาดตา่ งๆทาหน้าท่ีเป็นผูบ้ รโิ ภค โดยบรโิ ภคพชื หรอื พลงั งานจากพชื ซ่งึ ก็คือ การนาพลังงานจากดวงอาทติ ยท์ ่แี ฝงในเนื้อเย่ือพชื มาใช้อกี ทอดหน่ึงนั่นเอง 4. มจี ุลินทรยี ์ทาหน้าทีย่ ่อยสลายสงิ่ ขับถ่ายและสารอินทรยี ท์ ่ตี กคา้ ง ให้แปรสภาพเป็นสา รอนินทรยี ์กลบั คืนสู่พชื อกี ครง้ั หน่ึง
17 การเรียบเรยี งเน้ือหา จากเนื้อหาความรู้ เร่ือง องค์ประกอบในระบบนิเวศ ผู้สอนได้พิจารณาเห็นว่า เป็นเนื้อหา ความรู้ ประเภทข้อเท็จจริงเกณฑ์/มาตรฐาน ดงั น้ันผู้สอนต้องกรองเนื้อหาความรู้และเอาเฉพาะ ข้อมูลที่ผู้เรียนจะต้องจาได้และสามารถนาไปใช้วินิจฉัยองค์ประกอบในระบบนิเวศ ใน สถานการณ์ต่างๆได้ นามาเรียบเรียงเขียนข้ึนใหม่ให้ต่อเน่ือง สัมพันธ์กัน และให้ได้ใจความที่อ่าน แล้วเข้าใจไดง้ ่าย องค์ประกอบในระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศที่กระจายทว่ั โลกทงั้ ขนาดเลก็ และขนาดใหญ่ มีองค์ประกอบที่เหมอื นกนั 4 ประการ ไดแ้ ก่ 1. มีสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่จาเป็นต่อการดารงอยู่ของสิ่งมีชีวิตใน ระบบนิเวศนั้นๆ ( นา้ ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ แรธ่ าตตุ ่างๆ ) 2. มีพืชเป็นผู้ผลิต ซ่ึงมีขนาดต้ังแต่เล็กมากจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จนถึงพืชยืนต้น ขนาดใหญ่ พืชเหล่าน้ี ทาหน้าท่ีนาเอาพลังงานจากแสงแดดมาใช้ในการสังเคราะห์สารอินทรีย์ สาหรับการเจริญเติบโตของพืชเองและเปน็ อาหารของผู้บริโภค 3. มสี ัตว์ขนาดตา่ งๆทาหนา้ ท่ีเป็นผบู้ รโิ ภค 4. มจี ุลินทรยี ท์ าหนา้ ทย่ี ่อยสลายส่งิ ขับถา่ ยและสารอินทรยี ท์ ี่ตกค้าง ให้แปรสภาพเป็นสา รอนนิ ทรยี ก์ ลับคืนสู่พชื อีกครง้ั หน่งึ
18 เนอ้ื หาความรู้ : ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ผลจากการที่มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่เหมาะสมท่ีผ่านมา ก่อให้เกิดปัญหา ส่ิงแวดล้อมใน 2 ลักษณะ คือปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติและปัญหามลพิษ สิ่งแวดลอ้ ม ซึ่งเกิดขนึ้ กับทรัพยากรธรรมชาตทิ งั้ 3 ประเภท ดังน้ี 1. ปญั หาทเี่ กิดกับทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ีใชแ้ ล้วไม่หมดไป มีดงั นี้ 1.1 เกิดการปนเปื้อนของของเสียในทรัพยากรกลุ่มนี้ เช่น เกิดการปนเป้ือนของของเสีย ในแหล่งน้า ทาให้น้ามีคุณภาพไม่เหมาะสม เกิดเป็นมลพิษทางน้า การปนเปื้อนของของเสียใน อากาศ ทาให้อากาศมีคุณภาพไม่เหมาะสม เกิดเป็นมลพิษทางอากาศ ซ่ึงทั้งมลพิษทางน้าและ มลพิษทางอากาศล้วนส่งผลเสียต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ เนื่องจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ตอ่ การดารงชีวิต 1.2 เกิดการขาดแคลนทรัพยากรกลุ่มนี้ เน่ืองจากการใช้ทรัพยากรต่างๆ ทาให้ทรัพยากร กลุ่มน้ีไม่สามารถเกิดข้ึนได้ตามปกติ เช่น ผลจากการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ป่าไม้ ทาให้ป่าไม้ลด น้อยลง การลดลงของพื้นท่ีป่าไม้ทาให้การระเหยของน้าลดลง ส่งผลให้ปริมาณน้าฝนลดลงตาม การลดลงของปริมาณน้าฝน สง่ ผลให้ปริมาณน้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ ท้ังน้าที่ใช้ ในการอุปโภค บริโภค และการประกอบอาชพี ดงั แผนภาพท่ี 2 การลดลงของพน้ื ท่ีป่าไม้ การระเหยของน้าลดลง ฝนตกลดลง ปริมาณน้าลดลง ขาดแคลนนา้ เพอื่ การอปุ โภค บริโภคและการประกอบอาชีพ แผนภาพท่ี 2 การขาดแคลนของทรพั ยากรทใ่ี ชแ้ ลว้ ไม่หมดไป
19 2. ปญั หาที่เกดิ กบั ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แลว้ ทดแทนได้ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วทดแทนได้อย่างมากมายของมนุษย์ในปัจจุบัน ส่งผล ให้เกิดการลดลงของทรัพยากรธรรมชาติ จนก่อให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรกลุ่มน้ี อย่าง ต่อเนือ่ ง ตวั อยา่ งเช่น การนาทรัพยากรป่าไม้มาใช้ประโยชน์ท้ังการเข้าไปใช้ประโยชน์ในพ้ืนท่ีป่าไม้ (การ เปลี่ยนแปลงพ้ืนที่ป่าไม้เป็นเข่ือน พ้ืนที่การเกษตร พ้ืนที่เมือง เป็นต้น) และการนาไม้ออกมาจาก พื้นท่ีป่าเพื่อใช้ประโยชน์ โดยขาดการปลูกทดแทน ทาให้พื้นท่ีป่าไม้ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ เกิดผลกระทบด้านต่างๆ เช่น การลดลงของพ้ืนที่ป่าไม้ส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงต่างๆ เช่น แผ่นดินถล่ม น้าท่วม ภัยแล้ง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก เป็นต้น ซ่ึงผลกระทบ เหล่านี้ จะเป็นต้นเหตุสาคัญของการเกิดปัญหามลพิษส่ิงแวดล้อมต่างๆได้ ตัวอย่างเช่น การเกิด นา้ ทว่ มขงั จะเป็นต้นเหตุของการเกิดมลพิษทางน้า และมลพิษทางอากาศในพื้นที่ที่น้าท่วมขัง เป็น ตน้ ผลกระทบจากการลดลงของพ้ืนทป่ี ่าไม้ส่งผลให้ชนิดและปริมาณของสัตว์ป่าลดลง (ป่าไม้เป็น แหล่งอาหาร แหล่งหลบภัย แหล่งเลี้ยงดูตัวอ่อน และแหล่งผสมพันธ์ุของสัตว์ป่านานาชนิด) การ ลดลงของสัตว์ป่าก่อให้เกิดผลกระทบต่อเน่ืองต่างๆ เช่น ทาให้เกิดการสูญเสียความหลากหลาย ทางชีวภาพ ซ่ึงเป็นสาเหตุสาคัญท่ีทาให้สมดุลของระบบนิเวศเสียไป ซึ่งทั้งการลดลงของพ้ืนที่ป่า ไม้และการลดลงของสัตว์ล้วนทาให้มนุษย์ดาเนินชีวิตได้ยากลาบาก เน่ืองจากทรัพยากรดังกล่าว เป็นแหลง่ ปัจจยั ส่ใี นการดาเนินชวี ิตของมนษุ ย์ ดังแผนภาพที่ 3 การลดลงของพนื้ ทีป่ า่ ไม้ แผ่นดินถล่ม นา้ ท่วม ขาดแคลน ภยั ธรรมชาติ แหลง่ อาหาร ที่อย่อู าศยั แหล่งหลบภยั แฃะ สตั วป์ ่าลดลง ภยั แลง้ แหลง่ เล้ยี งดตู ัวอ่อน การเปลย่ี นแปลง สูญเสยี ความหลากหลายทางชีวภาพ บรรยากาศโลก ระบบนิเวศเสียสมดลุ (ป่าไม้ลดลง) มนษุ ย์ไม่สามารถนาทรพั ยากรกลมุ่ นใี้ ชป้ ระโยชนไ์ ด้ แผนภาพที่ 3 ผลกระทบของการลดลงของทรัพยากรท่ใี ช้แลว้ ทดแทนได้
20 นอกจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมากมายของมนุษย์ในปัจจุบันส่งผลให้เกิดการ ลดลงของทรัพยากรธรรมชาตทิ ่สี ร้างผลกระทบตอ่ เนื่องดงั กล่าวขา้ งต้นแล้ว ยังทาให้เกิดผลเสียต่อ ห่วงโซ่อาหาร ซึ่งทาให้มนุษย์ขาดแคลนอาหาร เป็นผลให้เกิดการสร้างหรือแปรรูป ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้มนุษย์มีอาหารเพิ่มขึ้น เช่น ทาการเพาะเล้ียงกุ้งเพื่อผลิตกุ้งที่เป็น อาหารของมนุษย์ ซึ่งเป็นการดาเนินการโดยมิได้คานึงถึงสมดุลของห่วงโซ่อาหาร กุ้งที่มนุษย์ ต้องการเป็นอาหารอาจจะเพ่ิมข้ึน แต่สิ่งมีชีวิตอ่ืนๆท่ีกินกุ้งเป็นอาหารมิได้เพ่ิมข้ึนตาม แสดงให้ เห็นว่าหว่ งโซ่อาหารในธรรมชาติยงั คงเปน็ ปัญหาอยู่ ดังน้ันจะเห็นได้ว่า การเพาะเล้ียงกุ้งเป็นทรัพยากรท่ีมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อทาให้มนุษย์มี อาหารในการดารงชีวิตเท่านั้น มิได้ทาการเพาะเลี้ยงกุ้งเพ่ือชดเชยให้ห่วงโซ่อาหารเป็นปกติแต่ อยา่ งใด สิ่งมีชีวิตท่ีกินกุ้งเป็นอาหาร หรือสัมพันธ์เช่ือมโยงกับกุ้งในห่วงโซ่อาหาร ยังคงขาดแคลน ต่อไป ทรพั ยากรทมี่ นษุ ย์สรา้ งขึ้นในลักษณะเชน่ น้ี เปน็ การกระทาทีท่ าให้เกดิ ความเสียหายต่อห่วง โซอ่ าหาร ในทางกลับกันหากการเพาะเลี้ยงกุ้ง หันมาให้ความสาคัญต่อห่วงโซ่อาหาร ซ่ึงเป็น ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศตามธรรมชาติ โดยทาการเพาะเลี้ยงลูกกุ้งแล้วคืนสู่ ธรรมชาติ เพื่อให้หว่ งโซ่อาหารในระบบนิเวศตามธรรมชาติฟ้ืนคืนเหมือนปกติ เราจะได้สมดุลของ ธรรมชาตกิ ลับคนื มา ปญั หาการขาดแคลนทรพั ยากรธรรมชาติที่เปน็ อาหารของมนุษยก์ ็จะหมดไป 3. ปัญหาทเี่ กิดกบั ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ี่ใชแ้ ลว้ หมดไป ผลจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมดไป โดยมิได้คานึงถึงการหมดไปของ ทรพั ยากรชนิดนี้ ซ่งึ เปน็ ทรัพยากรทีใ่ ชเ้ วลาในการหมนุ เวยี น หรือเกิดข้ึนใหม่ยาวนานกว่าช่วงชีวิต ของมนษุ ย์ จงึ สง่ ผลใหท้ รพั ยากรกลุม่ นล้ี ดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนอื่ ง ตวั อย่างเช่น การใช้ทรัพยากรแร่เชื้อเพลิงประเภท น้ามัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ อย่างมากมาย โดย ขาดการอนุรักษ์ ส่งผลให้เกิดปัญหา 2 ด้าน คือ การลดลงของทรัพยากรชนิดน้ี และการปนเป้ือน ของเสยี ท่ีเกิดจากการใช้ 3.1 การลดลงของทรพั ยากรแร่เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ามัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) ซ่ึงเป็น ทรัพยากรที่เกิดจากการทับถมของซากส่ิงมีชีวิตที่ต้องใช้เวลานับเป็นล้านปี ในขณะที่การใช้
21 ทรัพยากรกลุ่มนี้ เกิดข้ึนอย่างมากมายและต่อเนื่อง ความกังวลใจเก่ียวปัญหาการขาดแคลนที่ เกิดข้ึน ทาให้เกิดแนวคิดในการนาพลังงานทางเลือกต่างๆมาใช้ทดแทน เช่น การนาพลังงาน หมนุ เวยี น (พลงั งานน้า แสงอาทิตย์ ลม) พลังงานนวิ เคลยี ร์ เป็นต้น โดยเฉพาะพลังงานนิวเคลียร์ เป็นพลังงานทดแทนประเภทหนึ่ง ท่ีหลายๆประเทศท่ัวโลกให้ความสนใจและพัฒนาพลังงาน ประเภทน้ีอยา่ งจริงจัง ดงั แผนภาพที่ 4 3.2 การปนเป้ือนของของเสีย ที่เกิดจากการใช้แร่เชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ทาให้เกิดของ เสีย/มลพิษจากการใช้ เช่น ผลจากการใช้แร่เช้อื เพลิงฟอสซลิ ทาให้เกิดกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีเทน โดยก๊าซดังกล่าวเป็นก๊าชเรือนกระจก ซ่ึงเป็นปัจจัยสาคัญท่ีส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่เป็นสาเหตุของการเปล่ียนแปลงสิ่งแวดล้อมต่างๆของโลก ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างย่ิง การเกิดภัยธรรมชาติท่ีรุนแรงที่สร้างผลกระทบต่อการดาเนินชีวิต ของมนุษย์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ผลกระทบท่ีเกิดจากของเสีย/มลพิษจากการใช้แร่เช้ือเพลิง ยัง รวมไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมอืน่ ๆอีกมากมาย ดังแผนภาพที่ 4 การใช้ทรัพยากรแร่เชือ้ เพลิงอยา่ งมากมายและตอ่ เน่ือง ขาดแคลนทรัพยากรแร่เชือ้ เพลิง ของเสยี /มลพิษจากการใช้ พลงั งานทางเลอื ก ก๊าซเรือนกระจก (CO2 CH4 ) พลงั งานนิวเคลียร์ การเปลย่ี นแปลงสภาพภมู ิอากาศโลก ผลกระทบจากพลงั งานนิวเคลียร์ ภยั ธรรมชาติรุนแรง ตอ่ เน่ือง ยาวนาน มนษุ ย์ไมส่ ามารถนาทรัพยากร มนษุ ย์ได้รับผลกระทบจากการใช้ กลมุ่ นีใ้ ช้ประโยชน์ได้ได้ พลงั งานรูปแบบตา่ งๆ แผนภาพที่ 4 ผลกระทบจากการใชท้ รัพยากรแรเ่ ช้อื เพลงิ จะเห็นได้ว่าความรู้(knowledge)เกี่ยวกับผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่ไม่ เหมาะสมล้วนเป็นปัญหาท่ีส่งผลเสียต่อการดารงชีวิตของมนุษย์อย่างมากมาย และท่ีสาคัญก็คือ
22 ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจะมีความซับซ้อนและยากต่อการจัดการ การป้องกันและแก้ไข ดังนั้นการรับรู้ (awareness) ถึงปัญหาส่ิงแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จึงเป็นจุดเริ่มต้นสาคัญท่ีจะนาทางไปสู่ การคิดค้นหาแนวทางป้องกัน แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม (cognitive skill) และมีส่วนร่วมลงมือ ลง แรงปฏิบตั ิ (participation) เพ่ือป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดล้อมท่ีมนุษย์อยู่อาศัยอย่างถูกต้อง และเกดิ ขนึ้ ได้จริง การเรียบเรียงเน้อื หา จากเน้ือหาความรู้ เรื่องปัญหาส่ิงแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้สอนได้พิจารณา เห็นว่า เป็นเนื้อหาความรู้ ประเภทข้อเท็จจริง เจตคติ ดังน้ันผู้สอนต้องกรองเน้ือหาความรู้และ เ อ า เ ฉ พ า ะ ข้ อ มู ล ท่ี จ ะ ชั ก น า ใ ห้ ผู้ เ รี ย น เ ห็ น โ ท ษ จ า ก ปั ญ ห า สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ที่ เ กิ ด จ า ก ก า ร ใ ช้ ทรัพยากรธรรมชาตินามาเรียบเรียงเขียนขึ้นใหม่ให้ต่อเน่ือง สัมพันธ์กัน และให้ได้ใจความท่ีอ่าน แล้วเขา้ ใจได้งา่ ย ปญั หาสงิ่ แวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 1. ปญั หาท่ีเกิดจากทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ใี ช้แลว้ ไมห่ มดไป 1.1 เกิดการปนเปื้อนของของเสียในทรัพยากรกลุ่มนี้ ทาให้เกิดเป็นมลพิษทางน้า มลพิษ ทางอากาศและทัง้ 2 มลพษิ สง่ ผลเสยี ต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ 1.2 เกิดการขาดแคลนทรพั ยากรกลุม่ นที้ าให้สิง่ มชี วี ิตไมส่ ามารถดารงชวี ิตอย่ไู ด้ 2. ปัญหาท่ีเกิดกบั ทรัพยากรธรรมชาติทีใ่ ชแ้ ล้วทดแทนได้ การใช้ทรัพยากรประเภทน้ีอย่างมากมายของมนุษย์ ก่อให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากร กลุ่มน้ี เช่น การลดลงของพื้นที่ป่าไม้และสัตว์ป่า ทาให้มนุษย์ดาเนินชีวิตได้ยากลาบาก เนื่องจาก ทรัพยากรกลมุ่ นเี้ ปน็ แหล่งปจั จัยสีใ่ นการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ 3. ปัญหาทเี่ กิดกบั ทรพั ยากรธรรมชาติทีใ่ ช้แลว้ หมดไป 3.1 การขาดแคลนพลังงาน เนื่องจากการลดลงของของทรัพยากรแร่เช้ือเพลิงฟอสซิล (นา้ มัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ) 3.2 การใช้แร่เชื้อเพลงิ ประเภทต่างๆ ทาให้เกดิ มลพษิ
23 เนื้อหาความรู้ : ความหมายของระบบนิเวศ ความหมายของระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ เป็นวิธีการท่ีนักนิเวศวิทยาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (Interrelationship)ของ 1) ส่ิงแวดล้อมที่มีชีวิตด้วยกันเอง และ 2) กับส่ิงแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต ที่ อาศัยอย่ใู นขอบเขตพ้นื ทเ่ี ดยี วกัน คาว่า“ระบบนิเวศ”มาจากรากศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Ecosystem ซ่ึงประกอบด้วยคาว่า “ระบบ”และ“นิเวศ” คาว่า“นิเวศ” หมายถึง แหล่งที่อยู่อาศัย(Habitat) ซ่ึงโดยธรรมชาติแล้ว ประกอบด้วย ส่งิ มชี ีวติ (พืช สตั ว์ มนษุ ย)์ และสิ่งไม่มีชวี ิต คาว่า“ระบบ” หมายถึง สิ่งใดก็ตามท่ีประกอบด้วย ส่วนประกอบต่างๆ ที่อยู่ในอาณาบริเวณ เดียวกัน และส่วนประกอบเหลา่ น้ี มคี วามสัมพนั ธ์ซง่ึ กันและกัน เม่ือรวมสองคาคอื “ระบบ”กับ“นเิ วศ”เข้าดว้ ยกนั เปน็ “ระบบนิเวศ”จึงหมายความถึง ระบบที่ ประกอบด้วยส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยู่ร่วมกันในอาณาบริเวณเดียวกัน และมีความสัมพันธ์กันระหว่าง สงิ่ มีชวี ติ ดว้ ยกันเอง รวมท้งั สิ่งมีชวี ติ กบั ส่ิงไม่มีชวี ิต ดังน้ันเม่ือพูดถึงเรื่อง“ระบบนิเวศ”จึงหมายความว่า กาลังพูดถึง ระบบที่เกี่ยวกับระบบ ความสัมพันธ์ระหว่าง พืช สัตว์ และมนุษย์ กับสิ่งแวดล้อมของพืช สัตว์ มนุษย์เหล่านั้น ภายใน อาณาบรเิ วณท่ีอย่อู าศัยเดยี วกัน ใน 2 ลกั ษณะ คือ 1. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งพชื สตั ว์ มนษุ ย์ดว้ ยกนั เอง ซง่ึ ประกอบด้วย 1.1 ความสัมพนั ธ์ในเชิงการถา่ ยทอดพลังงานผ่านห่วงโซ่อาหาร (food chain ) 1.2 ความสมั พนั ธ์ในเชิงการอยู่ร่วมกันของสง่ิ มีชวี ิต 2. วฏั จักรของสาร (material cycle) ตัวอย่างระบบนิเวศท่ีเห็นได้ชัด คือ บ่อน้าหรือสระน้า เม่ือพิจารณาให้เป็นระบบนิเวศระบบ หน่ึง ซ่ึงตัวอย่างน้ี หนังสือเก่ียวกับนิเวศวิทยาภาษาไทยหลายๆเล่มได้อ้างอิงจากหนังสือ Fundamentals of Ecology ของ Odum, E.P. (1971)
24 จากแผนภาพระบบนิเวศบ่อน้า จะเห็นได้ว่า มีองค์ประกอบทั้งส่ิงมีชีวิตและสิ่งท่ีไม่มีชีวิตท่ี เป็นตัวอย่างเท่าน้ัน แต่ในความเป็นจริงแล้วในระบบนิเวศดังกล่าว จะมีองค์ประกอบทั้งสิ่งมีชีวิต และไม่มชี ีวิตอน่ื ๆอีกหลากหลาย เช่น 1. ส่ิงไม่มีชีวิต ได้แก่ อินทรีย์สารและอนินทรีย์สาร เช่น ซากสิ่งมีชีวิต กรดอะมิโน น้า ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ แคลเซียม ไนโตรเจน เกลือฟอสฟอรัส ฯลฯ ภาพที่ 4 ระบบนิเวศบอ่ นา้ 2. ส่ิงมีชีวิต ได้แก่ พืชขนาดใหญ่ บางชนิดลอยน้า บางชนิดมีรากผังในดิน เช่น ผักตบชวา บวั ผักกระเฉด ผกั บงุ้ ฯลฯ และพืชขนาดเล็กลอยน้าได้ กระจายอยู่ตามระดับน้าลึกเท่าท่ีแสงส่อง ผ่านถงึ เช่น สาหร่าย ฯลฯ สตั ว์ เช่น กงุ้ ปู ปลา ตัวอ่อนของแมลง ฯลฯ แบคทีเรีย รา ที่กระจาย อยกู่ ้นสระ ซ่งึ เป็นบรเิ วณทมี่ ซี ากพชื ซากสตั ว์สะสมอยู่ ทาหน้าทย่ี อ่ ยสลายซากพชื และสัตว์ การเรียบเรยี งเนอื้ หา จากเน้ือหาความรู้ เร่ือง ความหมายของระบบนิเวศ ผู้สอนได้พิจารณาเห็นว่า เป็นเน้ือหา ความรู้ประเภทความคิดรวบยอด ดังน้ันผู้สอนต้องกรองเนื้อหาความรู้ เรียบเรียงเขียนเฉพาะ ข้อเท็จจริงที่ระบุลักษณะเฉพาะท่ีสาคัญ (critical attributes) ของความคิดรวบยอดน้ัน คือ ระบบนิเวศ แล้วนามาเรียบเรียงเขียนขึ้นใหม่ให้ต่อเนื่อง สัมพันธ์กันและให้ได้ใจความที่อ่านแล้ว เขา้ ใจได้ง่าย
25 critical attributes ของระบบนิเวศ ประกอบด้วย 1) ระบบ 2) มีองค์ประกอบทั้ง สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตอยู่ร่วมกันในระบบ 3) มีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิง่ มชี ีวิต 4) มคี วามสมั พันธ์ซึง่ กนั และกันระหวา่ งสงิ่ มชี ีวิตกบั สง่ิ ไมม่ ีชีวติ นา critical attributes ของระบบนิเวศมาเรียบเรียงเขียนข้ึนใหม่เป็นความหมายของ ระบบนเิ วศ ระบบนิเวศ หมายถึง ระบบท่ีมีองค์ประกอบทั้งส่ิงมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตที่อยู่ร่วมกันใน อาณาบรเิ วณเดียวกัน และมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างส่ิงมีชีวิตด้วยกันเอง และสิ่งมีชีวิต กบั สง่ิ ไมม่ ชี วี ิต
26 เนือ้ หาความรู้: การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงานในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ จะถ่ายทอดไปในทิศทางเดียวกันตลอด คือ เร่ิมต้นจาก พลงั งานแสงจากดวงอาทติ ยผ์ า่ นพชื สีเขยี วไปยังส่วนอนื่ ๆในห่วงโซอ่ าหาร การถ่ายทอดพลงั งานเปน็ เร่ืองทสี่ ลบั ซบั ซ้อน แตพ่ อท่ีจะอธิบายใหเ้ ขา้ ใจได้ง่าย ดงั นี้ เริ่มแรก: เม่ือพันธุ์พืชชนิดต่างๆท่ีอยู่ในระบบนิเวศ ในตัวอย่าง คือ หญ้า ได้รับพลังงานแสง จากดวงอาทิตย์ จะทาการสังเคราะห์แสง สร้างเน้ือเย่ือซึ่งเป็นอาหารแก่ผู้บริโภคลาดับต่างๆ ใน ที่น้ี คือ กระต่าย ซึ่งเป็นผู้บริโภคท่ีกินพืชเป็นอาหาร และกระต่ายเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์ กินเน้ือ ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่กินสัตว์เป็นอาหารได้ การถ่ายทอดพลังงานผ่านจากชีวิตหนึ่งสู่อีกชีวิต หนึง่ โดยกระบวนการกินกนั เป็นทอดๆ น้เี รยี กว่า“ห่วงโซ่อาหาร” ดังแผนภาพท่ี 5 หญา้ อาหาร กระต่าย อาหาร มนษุ ย์ / สตั ว์กินเน้อื แผนภาพที่ 5 หว่ งโซอ่ าหารชนดิ ทีม่ ีการกนิ อาหารโดยตรง การเรยี บเรยี งเน้ือหา จากเน้ือหาความรู้ เรื่อง การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ ผู้สอนได้พิจารณาเห็นว่าเป็น เนื้อหาความรู้ ประเภทหลกั การ ดังน้ันผู้สอนต้องกรองเนื้อหาความรู้และเอาเฉพาะข้อเท็จจริงท่ี ยึดถือเปน็ หลกั ปฏบิ ัติมาเรยี บเรียงเขยี นขนึ้ เป็นขอ้ ๆใหไ้ ด้ใจความท่อี ่านแล้วเขา้ ใจไดง้ ่าย หลักการถ่ายทอดพลังงานในระบบนเิ วศ 1. การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนเิ วศ ถ่ายทอดไปในทศิ ทางเดียว 2. เร่มิ จากพลงั งานแสงอาทิตย์ผ่านพชื สีเขยี ว 3. พืชสเี ขยี วจะทาการสังเคราะหแ์ สงเพอ่ื สรา้ งเนอื้ เยื่อ 4. เน้ือเยอ่ื เปน็ อาหารแกผ่ ู้บรโิ ภคลาดบั ต่างๆ กนิ กนั เป็นทอดๆ
27 ถา้ นามาเรียบเรยี งเขียนเป็นความเรียง จะไดว้ า่ ....หลกั การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ เปน็ การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนิเวศ ไปในทศิ ทางเดยี วตลอด คือ เรม่ิ จากพลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านพชื สเี ขียว เม่ือพนั ธุพชื ชนดิ ตา่ งๆทอี่ ยู่ในระบบนเิ วศได้รบั พลงั งานแสง จะทาการสงั เคราะห์ แสง สร้างเนื้อเย่อื และเป็นอาหารแกผ่ ู้บรโิ ภคลาดับต่างๆกนิ กนั เปน็ ทอดๆ
28 วัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ ศาสตร์ทางการศึกษาได้กาหนดกรอบในการเรียนรู้เอาไว้ 3 ด้าน เรียกว่า วัตถุประสงค์ การศกึ ษา (educational objective) ซง่ึ ไดแ้ ก่ ดา้ นความรู้ (พุทธิพิสัย-cognitive domain) ด้าน ทักษะ (ทักษะพิสัย-psychomotor domain) และด้านเจตคติ (เจตพิสัย-affective domain) โดยที่วตั ถุประสงคก์ ารศกึ ษาแต่ละดา้ นน้นั มีการจัดเป็นระดับวัตถุประสงค์การศึกษาท้ัง 3 ด้านนั้น สามารถจาแนกออกเป็น วัตถุประสงค์การสอน (instructional objective) และวัตถุประสงค์ เชงิ พฤตกิ รรม (behavioral objective) วตั ถปุ ระสงค์การศกึ ษา 1. ด้านความรู้(พุทธิพิสัย) เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาความสามารถด้านสติปัญญา จาแนกออกเปน็ 6 ระดับ คือ ระดับความจา เข้าใจ นาไปใช้ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และประเมนิ ค่า 2. ด้านทักษะ(ทักษะพิสัย) เป็นการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติ จาแนกออกเป็น 7 ระดับ คือ ระดับรับรู้ การเตรียมพร้อม การปฎิบัติได้ภายใต้คาแนะนา ปฏิบัติ ไดจ้ นคลอ่ ง การปฏบิ ัตงิ านซับซอ้ นได้ ปรบั ปรงุ และตน้ แบบ 3 ด้านเจตคติ(เจตพิสัย) เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นการพัฒนาด้านจิตใจ ความรู้สึก จาแนก ออกเป็น 5 ระดับคือ ระดับการรับรู้ การตอบสนอง การเห็นคุณค่า การจัดระบบคุณค่า และการ สร้างลกั ษณะนสิ ยั วตั ถุประสงค์การสอน เป็นข้อความที่ระบุคุณลักษณะที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนตามระดับของวัตถุประสงค์ การศึกษาทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และเจตพิสัย รายละเอียดแต่ละด้านของ วตั ถปุ ระสงค์การสอน ดังน้ี
29 พทุ ธพิ สิ ัย เปน็ การเรียนรู้ทเี่ น้นเกย่ี วกบั ความรู้ (knowledge ) โดยการพฒั นา เกิดจากกระบวนการ คดิ (cognitive process) เรยี งลาดบั จากซับซอ้ นน้อยไปซบั ซ้อนมาก ดงั แผนภาพที่ 6 แผนภาพท่ี 6 ลาดับความซบั ซอ้ นของข้นั วัตถปุ ระสงคก์ ารสอน ดา้ นพุทธพิ สิ ัย 1. ข้ัน“จา”:มีความสามารถในการจาเรื่องราวต่างๆที่เรียนและระลึกเรื่องเหล่านั้นได้ ถูกต้อง 2. ขั้น“เขา้ ใจ”: มีความสามารถ 1) แปลความ (ถ่ายเทความหมายจากของเดิมเปน็ ของใหม่ทที่ าใหเ้ ขา้ ใจได้ง่ายขึ้น) 2) ตีความ (สรุปภาพรวมเป็นใจความส้ันๆให้เข้าใจไดง้ ่ายขึน้ 3) ขยายความ (เสริมแตง่ ขอ้ ความเดมิ ทาใหช้ ัดเจนเข้าใจได้ง่ายขน้ึ ) 3. ขัน้ “นาไปใช้”: มีความสามารถนาความรู้ท่ีได้เรยี นมาแล้วไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ต่าง จากสถานการณ์เดิมทเ่ี คยเรียนรูม้ าแล้ว 4. ขน้ั “วเิ คราะห์”: มีความสามารถในการแยกแยะว่า ส่ิงน้ันประกอบด้วยส่วนย่อยๆและ ส่วนยอ่ ยเหล่านน้ั เกย่ี วข้องกันอย่างไร 5. ข้ัน“สังเคราะห์”: มีความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยเข้าเป็นเรื่องราวหรือส่ิง ใหมอ่ กี รูปแบบหนึ่ง แปลกแตกตา่ งไปจากของเดมิ ก่อนนามารวมกนั 6. ขั้น“ประเมินค่า”: มีความสามารถในการพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับคุณค่าเร่ืองใดเรื่อง หน่ึงหรอื ตัดสินใจกระทาส่งิ ใดสิ่งหน่งึ โดยเปรยี บเทียบกับเกณฑห์ รอื มาตรฐานทกี่ าหนดเอาไวแ้ ลว้
30 ทักษะพิสยั เป็นการเรียนรู้ที่เน้นเกี่ยวกับการกระทา(doing) อย่างมีทักษะในการทาเรื่อง/สิ่งน้ันๆ เรยี งตามลาดบั จากความสามารถทซี่ บั ซ้อนนอ้ ยไปสู่ซบั ซ้อนมาก ดังแผนภาพที่ 7 แผนภาพที่ 7 ลาดบั ความซับซ้อนของขน้ั วัตถุประสงคก์ ารสอน ด้านทักษะพิสัย 1. ขนั้ “รับรู้”: มคี วามสามารถในการใช้ประสาทสัมผสั ทง้ั 5 ในการรบั รูไ้ ดอ้ ยา่ งถกู ต้อง 2. ข้ัน“เตรียมพร้อม”: มีความสามารถในการเตรียมความพร้อมท้ังด้านความรู้ กล้ามเนอื้ และอารมณ์ท่จี ะใช้ปฏิบัติงาน 3. ข้ัน“ปฏิบัติได้ภายใต้คาแนะนา”: มีความสามารถในการเลียนแบบตามพฤติกรรมของ ผฝู้ ึกและในการลองผดิ ลองถูก 4. ข้ัน“ปฏิบัติได้จนคล่อง”: มีความสามารถกระทาได้อย่างชานิชานาญ คล่องแคล่ว วอ่ งไว 5. ขั้น“ปฏิบัติงานท่ีซับซ้อนได้”: มีความสามารถนาทักษะจากงานท่ีง่าย ฝึกจนสามารถ ปฏิบตั ิงานท่ซี ับซอ้ นได้ 6. ข้ัน“ปรับปรุง”: มีความสามารถในการปฏิบัติงานจนปรับปรุงได้ผลงานใหม่ ท่ีมี คุณภาพ 7. ข้นั “ต้นแบบ”: มคี วามสามารถในการปฏบิ ตั งิ านจนเปน็ ต้นแบบใหผ้ ูอ้ ่นื ต้องปฏบิ ตั ติ าม
31 เจตพสิ ัย เป็นการเรียนรู้ท่ีเน้นเก่ียวกับความรู้สึก(feeling) ซึ่งมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้เรียน เรยี งลาดับจากซบั ซ้อนน้อยไปซบั ซอ้ นมาก ดงั แผนภาพที่ 8 แผนภาพที่ 8 ลาดับความซบั ซ้อนของขัน้ วัตถปุ ระสงค์การสอน ด้านเจตพิสยั 1. ขน้ั “รับรู้”: มีความตงั้ ใจทจี่ ะรบั ร้ขู ้อมูลตา่ งๆแล้วเกิดการรับรวู้ า่ อะไรเป็นอะไร 2. ขั้น“ตอบสนอง”: แสดงออกตอบโต้กบั ขอ้ มลู และสถานการณท์ ผ่ี ูส้ อนสรา้ งขึน้ 3. ขั้น“เห็นคุณค่า”: เห็นของดีของเรื่องนั้นมากกว่าข้อเสีย เห็นว่าส่ิงนั้นๆมีคุณค่าหรือมี ประโยชน์อย่างไร 4. ข้ัน“จัดระบบคุณค่า”: นาคุณค่าต่างๆมาประมวล แล้วพิจารณาจนยอมรับคุณค่าน้ัน ด้วยตัวของผูเ้ รยี นเอง 5. ขัน้ “สรา้ งลกั ษณะนสิ ัย”: ปฏบิ ตั ติ ามคณุ คา่ นัน้ จนออกมาเป็นลักษณะนิสัย วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม(behavioral objective)เปน็ ข้อความทขี่ ยายความ“วตั ถุประสงค์ การสอน”ให้ชัดเจน จนระบุออกมาเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน เพื่อให้สามารถวัดพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปได้อยา่ งชดั เจน เช่น
32 วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน ระบวุ ่า : ผ้เู รียนตรวจวดั ค่าออกซิเจนละลายนา้ ได้ โดยใช้ชุด ทดสอบอยา่ งงา่ ย ไดอ้ ย่างคล่องแคลว่ “ผู้สอนคดิ วา่ หากผู้เรียนตรวจวดั ได้อย่างคลอ่ งแคลว่ แล้ว จะต้องแสดงพฤตกิ รรมอยา่ งไร ออกมา ดงั น้นั ผู้สอนจึงกาหนดวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมว่า” : ผูเ้ รียนทกุ คน สามารถตรวจวดั ค่าออกซเิ จนละลายน้าโดยใช้ ชดุ ทดสอบอยา่ งงา่ ย ได้ถูกตอ้ งภายใน 10 นาที จากตัวอย่างจะเหน็ ได้ว่า“วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม”ประกอบด้วย 3 ส่วน 1) พฤติกรรมทผ่ี ู้สอนคาดหวังให้เกิดขึน้ ในตวั ผเู้ รียน (สามารถตรวจวดั ค่าออกซเิ จน ละลายน้า) 2) เง่ือนไขที่กอ่ ให้เกิดพฤติกรรมท่ีผู้สอนคาดหวงั ให้เกิดขนึ้ ในตัวผู้เรยี น (โดยใชช้ ุด ทดสอบอย่างงา่ ย) 3) มาตรฐานของพฤติกรรมทผ่ี ้สู อนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผูเ้ รียน (ได้ถูกต้องภายใน 10นาท)ี คากิริยาบ่งช้ีพฤติกรรม คาว่า“กิริยา”เป็นคาภาษาบาลี มีความหมายเท่ากับ“กริยา เป็นคาภาษาสันสกฤต ในทน่ี จ้ี ะ ใช้คาว่า “กริ ิยา” การระบุพฤติกรรมที่ผู้สอนคาดหวังให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนนั้น มีคากิริยาที่แสดงพฤติกรรมท่ี จะใช้ในการเขียนวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมในแต่ละวัตถุประสงค์การสอนแต่ละด้าน ผู้เขียนมี ความเห็นว่า“คากิริยา”ที่แสดงการกระทาบ่งช้ีถึงพฤติกรรม ควรเป็นคาท่ีง่ายต่อความเข้าใจของ คนท่ัวไป และขณะเดียวกันก็สามารถสื่อสะท้อนให้เห็นภาพของระดับวัตถุประสงค์การสอนได้ อย่างถกู ต้องตามความหมายของระดบั วัตถปุ ระสงคน์ นั้ ๆ อย่างไรก็ตาม“คากิริยาบ่งชี้พฤติกรรม”ต่อไปน้ีเป็นเพียงตัวอย่างเท่าน้ัน ดังตารางที่ 1-3 ซ่ึง ผ้อู า่ นสามารถคดิ คากิริยาท่ีสอดคล้องกับวัตถุประสงคข์ องตนขึน้ องได้
33 ตารางท่ี 1 คากิริยาบ่งช้พี ฤติกรรม ดา้ นพทุ ธพิ ิสัย พทุ ธิพิสัย คากริ ยิ าบง่ ช้ีพฤตกิ รรม ผ้เู รียน 1.ขั้น“จา”: มคี วามสามารถในการจาเรอื่ งราว ผู้เรียนบอก เขยี น เลา่ ตา่ งๆท่เี รยี นและระลึกเรอื่ งเหล่าน้ันไดถ้ กู ตอ้ ง ส่ิงทผ่ี ้สู อนไดส้ อนไปแล้วได้ 2.ขั้น“เข้าใจ”: มคี วามสามารถ อธบิ ายสิ่งท่ีผสู้ อนได้สอนไปแลว้ ดว้ ย 1) แปลความ (ถ่ายเทความหมายจากของเดมิ คาพดู ของตนเองได้ เปน็ ของใหม่ที่ทาให้เข้าใจได้งา่ ยขน้ึ ) 2) ตคี วาม (สรุปภาพรวมเป็นใจความส้ันๆให้ สรปุ ย่อ ส่งิ ทผ่ี ูส้ อนได้สอนไปแลว้ ได้ เขา้ ใจได้งา่ ยขึ้น 3) ขยายความ (เสรมิ แตง่ ขอ้ ความเดิม ทาให้ ขยายความ สงิ่ ทผี่ ูส้ อนไดส้ อนไปแลว้ ได้ ชัดเจนเข้าใจไดง้ ่ายขึ้น) เช่น ยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย เขยี นภาพประกอบ เป็นต้น 3.ขัน้ “นาไปใช”้ : มคี วามสามารถนาความรู้ที่ได้ อธิบาย ให้เหตผุ ล ยกตัวอย่าง สาธิตให้ เรียนมาแล้วไปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ตา่ งจาก ดู สิ่งทีผ่ สู้ อนไดส้ อนไปแลว้ ไปใช้ใน สถานการณ์เดมิ ท่ีเคยเรียนร้มู าแล้ว สถานการณ์ใหม่ท่แี ตกตา่ งจาก สถานการณเ์ ดมิ 4. ขนั้ “วิเคราะห”์ : มีความสามารถในการ จาแนก แยกแยะ ให้เหตุผล วา่ สว่ นยอ่ ย แยกแยะว่า สิง่ น้ันประกอบดว้ ยสว่ นย่อยๆและ สว่ นใดท่ีมีความสาคัญมาก มสี ่วน ส่วนย่อยเหลา่ นัน้ เก่ยี วข้องกันอยา่ งไร เกยี่ วพันกนั อยา่ งไร อาศยั หลกั การใด 5.ขั้น “สังเคราะห”์ : มคี วามสามารถในการ ผสมผสานรวมสว่ นย่อยเขา้ ดว้ ยกัน ผสมผสานสว่ นย่อยเข้าเปน็ เรอื่ งราวหรือสิง่ ใหม่ เป็นการสรา้ งสรรคส์ ิ่งใหมข่ ึ้นมา อีกรปู แบบหนง่ึ แปลกแตกต่างไปจากของเดมิ ก่อนนามารวมกัน 6.ขั้น“ประเมินคา่ ”: มคี วามสามารถในการ ตดั สนิ เปรียบเทียบของส่ิงนน้ั พจิ ารณาตดั สินเกีย่ วกับคณุ คา่ เร่ืองใดเรอื่ งหนง่ึ โดยใช้เกณฑห์ รอื มาตรฐานท่ี หรอื ตัดสนิ ใจกระทาสิ่งใดสงิ่ หนง่ึ โดยเปรยี บ ผสู้ อนได้สอนไปแลว้ เทยี บกับเกณฑ์หรอื มาตรฐานทก่ี าหนดเอาไว้แล้ว
34 ตารางที่ 2 คากริ ยิ าบง่ ชพ้ี ฤติกรรม ด้านทักษะพิสยั ทักษะพิสัย คากิรยิ าบ่งช้พี ฤตกิ รรม ผเู้ รียน ผู้เรยี น 1.ขั้น“รับรู้”: มคี วามสามารถในการใช้ประสาท บอก ผลที่ได้จากประสาทสมั ผัสท้งั 5 สัมผสั ท้ัง 5 ในการในการรับรสู้ ่งิ ท่ีจะกระทา เตรียมวัสดุอุปกรณ์อย่างถูกต้อง และ 2.ขั้น“เตรียมพรอ้ ม”: มีความสามารถในการ พร้อมใช้งาน เตรยี มความพร้อมทจ่ี ะปฎิบตั ิ เม่อื รับรสู้ ่งิ ที่ ปฏิบตั ติ ามทผ่ี ูส้ อนกาหนด จะตอ้ งกระทา 3.ขั้น“ปฏบิ ตั ิได้ภายใตค้ าแนะนา”: มี ปฏิบัตไิ ดด้ ้วยตนเองอย่างชานาญ ความสามารถในการเลียนแบบตามพฤติกรรม ปฏบิ ัติงานทย่ี งุ่ ยากได้ด้วยตนเอง ของผูฝ้ ึกและในการลองผิดลองถกู 4.ขั้น“ปฏิบตั ิได้จนคล่อง”: มีความสามารถ แกไ้ ขจนได้ผลงานใหม่ กระทาได้อย่างชานชิ านาญคล่องแคลว่ วอ่ งไว สร้างขน้ึ ดว้ ยตนเองจนเป็นแบบฉบับ 5. ขั้น“ปฏบิ ตั งิ านท่ีซับซ้อนได้”: มี ความสามารถนาทักษะจากงานท่งี า่ ย ฝึกจน สามารถปฏิบตั งิ านท่ีซับซ้อนได้ 6. ขั้น“ปรับปรุง”: มคี วามสามารถในการ ปฏิบตั ิงานจนปรับปรงุ ได้ผลงานใหมท่ ี่มีคุณภาพ 7.ขั้น“ต้นแบบ”: มคี วามสามารถในการ ปฏิบตั ิงานจนเป็นต้นแบบให้ผอู้ ่ืนต้องปฏบิ ัติตาม
35 ตารางท่ี 3 คากิรยิ าบง่ ชี้พฤตกิ รรม ด้านเจตพสิ ยั เจตพิสัย คากริ ยิ าบ่งชี้พฤตกิ รรม ผู้เรยี น ผเู้ รียน 1.ข้ัน“รบั รู้”: มคี วามตงั้ ใจท่ีจะรบั รู้ข้อมูล ซักถาม ฟังอย่างตั้งอกต้ังใจ และตอบคาถาม ต่างๆแลว้ เกดิ การรับรวู้ า่ อะไรเป็นอะไร ในเนื้อหาความรู้ที่ผู้สอนได้สอนไปแล้วอย่าง ถกู ต้อง 2. ข้ัน“ตอบสนอง”: แสดงออกตอบโต้กบั กระตือรือร้น ท่ีจะตอบข้อซักถามของผู้สอน/ ข้อมูลและสถานการณ์ท่ีผูส้ อนสร้างขึน้ ร่วมกิจกรรมทีผ่ ูส้ อนกาหนด 3.ขน้ั “เหน็ คณุ คา่ ”: เหน็ ของดีของเรือ่ งนน้ั อธบิ ายประโยชน์/ความสาคัญ/ความจาเป็น มากกวา่ ขอ้ เสยี เห็นว่าสิ่งน้นั ๆมีคณุ ค่าหรือมี ของเนอ้ื หาความรูเ้ รือ่ งนนั้ ๆ ประโยชนอ์ ยา่ งไร 4.ขนั้ “จัดระบบคุณค่า”: นาคณุ ค่าต่างๆมา อธิบายเหตุผลของการจัดลาดับของคุณค่า ประมวล แลว้ พจิ ารณาจนยอมรับคณุ ค่าน้ัน ต่างๆ ดว้ ยตวั ของผ้เู รยี นเอง 5.ขั้น “สรา้ งลักษณะนิสัย”: ปฏิบัตติ าม ปฏิบัติตาม/ประพฤติตามคุณค่าน้ันๆเป็น คณุ คา่ นน้ั จนออกมาเปน็ ลกั ษณะนสิ ัย ประจาสม่าเสมอ ตัวอย่างวัตถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม ตัวอย่างวตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรมตอ่ ไปน้ี ใช้เน้ือหาความรู้ 5 เร่อื ง จากหัวข้อ “ตวั อยา่ งการ เรียบเรยี งเนื้อหา” ไดแ้ ก่ ประเภททรัพยากรธรรมชาติ องค์ประกอบในระบบนิเวศ ปญั หา สิง่ แวดลอ้ มจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ความหมายของระบบนเิ วศ และการถ่ายทอดพลังงาน ในระบบนเิ วศ ดังตารางท่ี 4-8
36 ตารางท่ี 4 ประเภททรพั ยากรธรรมชาติ เนอ้ื หาความรู้ วัตถุประสงค์การสอน วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ทรัพยากรธรรมชาตจิ าแนกเปน็ 3 ผู้เรยี นสามารถจา ผู้เรียนทกุ คนสามารถบอก ประเภท ประเภทของ ประเภทและตัวอย่างของ 1. ใช้แลว้ ไมห่ มดไป ทรพั ยากรธรรมชาตไิ ด้ ทรพั ยากรธรรมชาติ (อากาศ น้าในรูปวัฏจักร) ตามทีผ่ สู้ อนไดส้ อนไป 2. ทดแทนได้ (น้าใช้ พืช สัตว์) พทุ ธิพสิ ัย-จา ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 3. ใชแ้ ลว้ หมดไป(ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหนิ น้ามนั ปิโตรเลยี ม) ขอ้ เท็จจริงเฉพาะเจาะจง
37 ตารางที่ 5 องค์ประกอบในระบบนเิ วศ เน้อื หาความรู้ วตั ถุประสงคก์ ารสอน วัตถุประสงค์เชิพฤติกรรม ผเู้ รียนสามารถอธบิ าย ระบบนิเวศทกี่ ระจายทว่ั โลก ทั้ง ผู้เรียนสามารถนา องค์ประกอบของส่งิ มชี วี ติ อย่างนอ้ ย 2 องค์ประกอบ ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มี ความรู้ “องค์ประกอบ ในระบบนเิ วศคลองรังสติ ฯ ช่วงไหลผ่านตาบลหลกั หก องคป์ ระกอบท่ีเหมอื นกัน 4 ประการ ของระบบนเิ วศ” ไป ไดอ้ ย่างถกู ต้อง ไดแ้ ก่ อธบิ ายองคป์ ระกอบ 1. มสี ารอินทรีย์และสารอนนิ ทรยี ์ ของ ชนดิ ตา่ งๆ ท่ีจาเป็นตอ่ การดารงอยู่ ส่งิ มีชีวิตในระบบนิเวศ ของสง่ิ มชี วี ิตในระบบนิเวศนั้นๆ (น้า อน่ื ได้ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ แร่ ธาตตุ า่ งๆ) พุทธิพิสัยนาไปใช้ 2. มีพชื เปน็ ผู้ผลติ ซ่ึงมขี นาดตง้ั แต่ เล็กมากจนมองด้วยตาเปลา่ ไม่เหน็ จนถงึ พชื ยนื ต้นขนาดใหญ่ พืชเหล่าน้ี ทาหน้าท่นี าเอาพลงั งานจากแสงแดด มาใชใ้ นการสงั เคราะห์สารอินทรยี ์ สาหรบั การเจริญเติบโตของพืชเอง และเปน็ อาหารของผู้บรโิ ภค 3. มสี ตั วข์ นาดตา่ งๆทาหน้าท่ีเปน็ ผู้บรโิ ภค 4. มีจลุ ินทรยี ท์ าหน้าที่ยอ่ ยสลายส่งิ ขับถา่ ยและสารอินทรียท์ ตี่ กคา้ ง ให้ แปรสภาพเปน็ สารอนนิ ทรียก์ ลบั คนื สู่พชื อกี ครัง้ หนงึ่ ขอ้ เท็จจรงิ เกณฑ/์ มาตรฐาน
38 ตารางที่ 6 ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ เนอ้ื หาความรู้ วัตถุประสงค์ วัตถปุ ระสงค์ การสอน เชิงพฤติกรรม ปญั หาสิ่งแวดล้อมจากการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ผเู้ รียนเหน็ ผลเสีย ร้อยละ 80 1. ปัญหาทีเ่ กดิ จากทรพั ยากรธรรมชาติทใ่ี ช้แล้ว ของปญั หาทเ่ี กดิ ของผูเ้ รยี น ไมห่ มดไป จากการใช้ สามารถสรุป 1.1 เกิดการปนเป้อื นของของเสียในทรัพยากรกลมุ่ นี้ ทรพั ยากร ความเห็น ทาให้เกิดเปน็ มลพิษทางน้า มลพษิ ทางอากาศและท้ัง 2 ธรรมชาติ เกี่ยวกบั มลพษิ ส่งผลเสียต่อการดารงชีวิตของมนุษย์ ความจาเป็น 1.2 เกิดการขาดแคลนทรพั ยากรกลุม่ น้ีทาใหส้ ่ิงมีชีวติ เจตคติ เหน็ คุณค่า ทต่ี อ้ งปอ้ งกัน ไมส่ ามารถดารงชีวิตอยู่ได้ ปัญหา 2.ปัญหาท่เี กิดกับทรัพยากรธรรมชาตทิ ี่ใช้แล้วทดแทนได้ สง่ิ แวดล้อมที่ การใชท้ รัพยากรประเภทนอ้ี ยา่ งมากมายของมนุษย์ เกิดขึน้ จาก กอ่ ใหเ้ กิดการขาดแคลนทรพั ยากรกล่มุ นี้ เชน่ การลดลง การใช้ ของพ้ืนทปี่ า่ ไมแ้ ละสัตว์ป่า ทาใหม้ นษุ ย์ดาเนนิ ชวี ติ ได้ ทรพั ยากร ยากลาบาก เนื่องจากทรัพยากรกลุ่มนเี้ ปน็ แหล่งปัจจัยสี่ ธรรมชาติ ในการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ 3. ปญั หาทเ่ี กิดกบั ทรพั ยากรธรรมชาติทใ่ี ช้แลว้ หมดไป 3.1 การขาดแคลนพลงั งาน เน่ืองจากการลดลงของ ทรพั ยากรแรเ่ ช้อื เพลิงฟอสซิล (นา้ มนั ถา่ นหิน ก๊าซ ธรรมชาต)ิ 3.2 การใช้แร่เชอ้ื เพลงิ ประเภทตา่ งๆ ทาให้เกิดมลพษิ จะเหน็ ได้วา่ การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ ทไ่ี มเ่ หมาะสม เป็นปญั หาท่ีสง่ ผลเสียตอ่ การดารงชวี ิตของมนษุ ย์ ข้อเทจ็ จรงิ -เจตคติ
39 ตารางท่ี 7 ความหมายของระบบนเิ วศ วตั ถุประสงค์การสอน วตั ถุประสงคเ์ ชงิ ผู้เรียนเข้าใจความหมาย พฤติกรรม เน้อื หาความรู้ ของระบบนิเวศ ผ้เู รียนเขียน ความหมายของระบบนิเวศ พุทธิพิสัย เข้าใจ ความหมายของ หมายถึง ระบบท่มี อี งค์ประกอบทงั้ ระบบนเิ วศ สิ่งมชี วี ิตและส่งิ ไมม่ ชี วี ิตทอี่ ยรู่ ่วมกันใน ได้ถูกตอ้ งด้วยภาษา อาณาบริเวณเดยี วกนั และมี ตนเอง ในเวลา ความสมั พันธ์ซง่ึ กนั และกันระหวา่ ง 10 นาที สิง่ มชี วี ิตด้วยกันเอง และสิง่ มีชวี ติ กับ ส่งิ ไมม่ ชี ีวติ ความคิดรวบยอด
40 ตารางท่ี 8 การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ เน้อื หาความรู้ วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอน วัตถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม หลกั การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ ผู้เรยี นสามารถจา ผเู้ รียนทกุ คน 1) ถา่ ยทอดไปในทศิ ทางเดยี ว หลกั การถ่ายทอด สามารถเขยี น หลกั การถา่ ยทอด 2) เร่ิมจากพลังงานแสงอาทิตย์ ผา่ นพืช พลังงานในระบบนิเวศ พลังงานในระบบ นิเวศ สเี ขียว ตามทผี่ ู้สอนได้ สอนไป 3) พชื สเี ขยี วจะทาการสงั เคราะห์แสง พุทธิพิสัย-จา ได้ถกู ตอ้ ง เพ่อื สร้างเนือ้ เยื่อ 4) เน้อื เยือ่ เปน็ อาหารแก่ผบู้ ริโภคระดบั ต่างๆ กินกันเปน็ ทอดๆ หลักการ หมายเหตุ เนอื้ หาความรหู้ ลักการ ควรไปถงึ วตั ถปุ ระสงค์การสอนระดับสงู สุด คือ พทุ ธพิ ิสัยประเมินคา่ แต่ในที่นีผ้ ้สู อนได้ พิจารณาแล้วเหน็ วา่ ควรใหผ้ ูเ้ รียนจำ หลกั การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ ไดเ้ ท่าน้นั
41 ความสัมพันธร์ ะหวา่ งเน้อื หาความรู้กับวตั ถุประสงคก์ ารสอน ความสัมพันธ์ระหว่างเน้ือหาความรู้กับวัตถุประสงค์การสอนเป็นการวิเคราะห์ว่า “ประเภท เนื้อหาความรู้”ได้แก่ เน้ือหาความรู้ภาคความรู้ (1) ข้อเท็จจริงเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงเกณฑ์/ มาตรฐาน และข้อเท็จจริงเจตคติ (2) ความคิดรวบยอด (3) หลักการ และเนื้อหาความรู้ ภาคปฏิบัติ ควรจะอยตู่ รงกับวตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนระดับใด การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ว่า ควรจะตรงกับระดับวัตถุประสงค์การสอน ระดับใดน้นั มีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง เป็นข้ันตอนที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอนว่า จากเน้ือหา ความรู้ภาคความรู้และเน้ือหาความรู้ภาคปฏิบัติท่ีจะทาการสอนน้ัน ผู้สอนต้องการคุณลักษณะ ดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั ทกั ษะพสิ ัย หรอื เจตพสิ ัยระดบั ใด ให้เกดิ ขึน้ ในตวั ผู้เรยี น สมมุติว่า ถ้าครู A กาหนดให้ลูกศิษย์เรียนรู้เน้ือหาภาคความรู้ หรือเน้ือหาภาคปฏิบัติตรงกับ วัตถุประสงค์การสอน ด้านพุทธิพิสัยระดับ“จา”เพียงระดับเดียว ลูกศิษย์ย่อมมีความสามารถ เพียงแค่“มีความจาในเนื้อหาความรู้ที่ได้เรียนกับครู A เท่าน้ัน” ไม่มีคุณลักษณะวัตถุประสงค์ การศกึ ษาด้านอน่ื ถ้าเน้ือหาความรู้เป็นเนื้อหาความรู้ภาคปฏิบัติ แต่ครู A สอนลูกศิษย์ให้ “จา” ย่อมเป็นที่ ชดั เจนวา่ ลกู ศษิ ย์ไมส่ ามารถลงมือปฏบิ ัติหรือทาได้อย่างแนน่ อน อันที่จริงแล้วครู A จะต้องสอนให้ลูกศิษย์สามารถทาการตรวจวัดค่าออกซิเจนละลายน้าโดย ใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายได้ แต่ครู A กลับสอนลูกศิษย์เพียงแค่ให้ลูกศิษย์สามารถบอกวิธีการ ตรวจวัดคา่ ออกซิเจนละลายน้าโดยชุดทดสอบอย่างง่ายได้ ย่อมเป็นท่ีแน่นอนว่า ลูกศิษย์ของครู A ย่อมไมส่ ามารถทาการตรวจวัดคา่ ออกซเิ จนละลายนา้ โดยใช้ชุดทดสอบอยา่ งงา่ ยไดแ้ น่นอน ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเนื้อหาความรู้ ควรจะตรงกับระดับวัตถุประสงค์การ สอนระดับใดน้ัน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้สอนเป็นสาคัญแต่ สมสุดา ผู้พัฒน์ และโสภณ ธนะมัย (2534) ได้เสนอแนวทางเพ่ือช่วยในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทเน้ือหาความรู้กับ วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนใหเ้ หมาะสม ดังนี้
42 ประเภทเน้ือหาความรู้ ระดบั วัตถุประสงค์การสอนขนั้ สูงสุด 1.ข้อเท็จจรงิ เฉพาะเจาะจง ควรเปน็ ขั้นจา (พุทธิพสิ ยั ) 2.ขอ้ เทจ็ จรงิ ทีเ่ ป็นมาตรฐาน/เปน็ เกณฑ์ ควรไปถงึ ขั้นประเมนิ คา่ (พทุ ธิพสิ ัย) 3.ข้อเทจ็ จรงิ เจตคติ ควรไปถึง ขั้นเหน็ คณุ ค่า (เจตพสิ ยั ) 4.ความคดิ รวบยอด ควรไปถึง ขั้นเข้าใจ - นาไปใช้ (พทุ ธพิ สิ ยั ) 5.หลักการ ควรไปถงึ ข้นั ประเมินคา่ (พุทธพิ สิ ัย) 6 ปฏบิ ตั ิ ควรไปถึง ขั้นปฏิบตั ไิ ดภ้ ายใต้ตาแนะนา(ทักษะพิสยั ) จะเหน็ ได้ว่าเนื้อหาความรทู้ ่เี ป็น 1) ข้อเทจ็ จริงเฉพาะเจาะจง ควรเป็นได้แค่ พุทธพิ ิสยั ขนั้ จา 2) ข้อเทจ็ จรงิ ทเี่ ปน็ มาตรฐาน/เปน็ เกณฑ์ ควรไปถึง พุทธิพิสยั ข้ันประเมินคา่ 3) ขอ้ เท็จจรงิ เจตคติ ควรไปถงึ เจตพิสัยขนั้ เหน็ คณุ คา่ 4) ความคดิ รวบยอด ควรไปถงึ พุทธพิ สิ ัยขัน้ เขา้ ใจหรอื นาไปใช้ 5) หลกั การ ควรไปถึง พทุ ธิพิสัยข้ันประเมินคา่ 6) ภาคปฏบิ ัติ ควรไปถึง ทกั ษะพสิ ัยขั้นปฏบิ ตั ไิ ด้ภายใต้คาแนะนา จากแนวทางดงั กล่าว ผู้เขียนไดน้ ามาเขียนในลักษณะเป็นคาคล้องจองเพือ่ ชว่ ยใหจ้ าได้ ง่ายขน้ึ ดังน้ี ประเภทเนื้อหาความรู้ ระดับวัตถุประสงค์การสอน เฉพาะ จึง ต้องจา เกณฑ์ ใช้ ประเมนิ ค่าได้ เจตคติ สรา้ ง คณุ ค่า ความหมาย ตอ้ ง เขา้ ใจ หลักการ ตอ้ ง ปฏิบัติตาม ปฏิบัติ จน ทาได้
43 สถานการณ์การเรียนรู้ สถานการณ์การเรยี นรู้ (learning situation) มาจากคา2 คา คือคาวา่ “สถานการณ์” และคา ว่า “การเรียนรู้” คาว่า“สถานการณ์”ตามพจนานกุ รม ฉบบั เฉลมิ พระเกยี รติ พ.ศ.2530 ให้ความหมายไวว้ ่า คือ“เหตกุ ารณท์ กี่ าลงั เป็นไป” สว่ นคาว่า“การเรียนรู้” ซง่ึ หมายถึง“การเปล่ยี นแปลงพฤติกรรม” ดงั นนั้ ถา้ พดู ถึงว่า ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ จึงหมายถงึ ผเู้ รียนคนนัน้ ได้เกิดการเปล่ยี นแปลง พฤติกรรมขึ้นในตัวของผเู้ รียนเอง” ดังน้ันสถานการณ์การเรียนรู้ จึงหมายถึง การที่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้นในเหตุการณ์ท่ีกาลัง เป็นไปดว้ ยตนเอง ตัวอยา่ งเชน่ ครูจะสอนให้นักเรียนในโรงเรียนบนดอยทางภาคเหนือของอาเภอ อมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ได้เรียนรู้ถึงความหมายของคาว่า“ทะเล” ซ่ึงครูอาจสร้างสถานการณ์ได้ หลายกรณี สมมตุ ิวา่ กรณีท่ี 1 ครอู ธิบายความหมายของคาว่า“ทะเล”โดยการบรรยาย กรณีท่ี 2 ครูใช้ภาพทะเลประกอบการบรรยายความหมายของคาว่า“ทะเล” กรณที ่ี 3 ครพู านักเรยี นไปทัศนศกึ ษาชายทะเลบางแสน และใหน้ ักเรยี นลงเล่นน้าทะเล จะเหน็ ได้ว่าสถานการณ์ในกรณีที่ 3 ครูพานักเรียนไปทัศนศึกษาชายทะเล และให้นักเรียนลง เลน่ นา้ ทะเล นกั เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองว่าทะเลนั้นกว้างใหญ่สุดสายตา และน้าทะเล ก็มีรสเค็มมาก ซึ่งแสดงว่านักเรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ (interaction: การกระทาระหว่างกัน)กับ สถานการณ์ที่ผู้สอนสร้างขึ้น คือ การได้ลงไปเล่นน้าทะเล ดังน้ันนักเรียนจึงมีปฏิสัมพันธ์กับ สถานการณ์จริง คือทะเลซ่ึงเป็นวัตถุประสงค์การสอนของครู ซึ่งต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เนือ้ หาความรู้ของความหมายของคาว่า“ทะเล” จากตัวอย่างสถานการณ์ในกรณีที่ 3 สามารถสรุปเป็นความหมายของสถานการณ์การเรียนรู้ ได้ว่า สถานการณ์การเรียนรู้ หมายถึง ปฏิสัมพันธ์(interaction) ของผู้เรียนท่ีมีต่อกิจกรรมการ เรยี นรทู้ ่ผี ้สู อนสรา้ งขึน้ เกย่ี วกับเน้อื หาความรู้นน้ั ๆ ด้วยตวั ของผู้เรยี นเอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128