หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -1 บทท่ี 11.1 ความหมายของคาว่าสถติ ิ คำว่ำ สถติ ิ (Statistics) เป็นคำท่ีแปลงมำจำกศพั ทบ์ ญั ญตั ิ Statistik ในภำษำเยอรมนั เป็นคำท่ีมรี ำกศพั ท์เดียวกบั State มีควำมหมำยถึง ขอ้ มูลหรือข่ำวสำรท่ีเป็นประโยชน์ต่อรัฐหรือประเทศในดำ้ นต่ำง ๆ เช่น กำรทำสำมะโนครัว เพือ่ จะทรำบขอ้ มลู จำนวนพลเมืองในประเทศท้งั หมด หรอื การสรุปผลการดาเนนิ กจิ การขององคก์ รในรปู ของงบดลุ ประจาปี เป็นตน้ ในสมยั ต่อมำคำวำ่ สถติ ิ (Statistics) หมำยถึง ตวั เลขหรือข้อมลู ที่ไดจ้ ำกกำรเก็บรวบรวมส่ิงที่เรำตอ้ งกำรศึกษำ เช่น จำนวนผปู้ ระสบอุบตั ิเหตุบนทอ้ งถนนช่วงเทศกำลต่ำงๆ อตั รำกำรเกิดของทำรกแรกเกิดในโรงพยำบำลแห่งหน่ึง ปริมำณน้ำฝนในแต่ละปี อตั รำกำรตำยดว้ ยโรคเอดส์ในรอบปี ยอดขำยรำยปี ของบริษทั แห่งหน่ึง สถติ ผิ ใู้ ชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื ในแต่ละคา่ ย สถติ กิ ารสง่ ออกไมโครชฟิ ในรอบไตรมาศ เป็นตน้สถิติในควำมหมำยท่ีกล่ำวมำน้ีเรียกอกี อยำ่ งหน่ึงว่ำ ขอ้ มลู ทำงสถติ ิ (Statistical Data) เมื่อกล่ำวถึงคำวำ่ สถติ ิ คนทว่ั ๆไป มกั จะนึกถงึ ตวั เลขและตำรำงของตวั เลขหรือกรำฟแสดงลกั ษณะขอ้ มลู ท่ีถูกรวบรวมข้นึ มำ โดยท่ีท้งั ตวั เลขและขอ้ ควำมต่ำงๆน้นั จะแสดงใหเ้ ห็นขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั ลกั ษณะของสิ่งที่เรำตอ้ งกำรศกึ ษำ ต่อมำควำมหมำยของสถิติ สรุปไดส้ องควำมหมำย ซ่ึงแต่ละควำมหมำยสถิติมขี อบข่ำยที่กวำ้ งขวำงพอสรุปได้ ดงั น้ี 1.1.1 ความหมายแรก หมำยถึง ตวั เลขท่ีไดร้ วบรวมไวเ้ พอื่ ควำมมุ่งหมำยที่แน่นอนและเกี่ยวขอ้ งกบั เร่ืองใดเรื่องหน่ึง มำสรุปเกี่ยวกบั ลกั ษณะของส่ิงท่ีสนใจ ในฐำนะท่ีเป็นชุดของตวั เลข แสดงขอ้ มูลสถติ ิเก่ียวกบั หน่วยงำนท้งั ภำครัฐบำลและเอกชน ต้งั แต่ระดบั บคุ คล ครัวเรือนหรือหน่วยงำน ไปจนถึงระดบั ประเทศ ขอบข่ำยของสถติ ิในควำมหมำยน้ีแสดงได้ ดงั รูปภาพท่ี 1.1 แสดงขอบข่ำยของสถิติในฐำนะท่ีเป็นชุดตวั เลข รูปภาพท่ี 1.1 แสดงขอบข่ำยของสถติ ิในฐำนะท่ีเป็นชุดตวั เลขสาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -21.1.2 ความหมายท่สี อง หมำยถงึ ศำสตร์ชนิดหน่ึงทถี่ ือเป็นท้งั วทิ ยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ท่ีว่ำดว้ ยระเบียบวธิ ีกำรทำงสถิติ ประกอบดว้ ยข้นั ตอนดงั น้ี วิธีกำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู กำรนำเสนอขอ้ มูล กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู กำรตีควำมหมำยและแปลควำมหมำยขอ้ มลู ที่ไดจ้ ำกกำรวิเครำะห์ และสำมำรถนำผลสรุปน้นั มำช่วยในกำรตดั สินใจไดใ้ นกำรปฎิบตั ิงำน ดงั รูปภาพท่ี 1.2 ข้นั ตอนของระเบียบวิธีกำรทำงสถิติ รูปภาพท่ี 1.2 ข้นั ตอนของระเบียบวธิ ีกำรทำงสถิติจำกควำมหมำยของสถติ ิ จะพบวำ่ ในปัจจุบนั กำรตดั สินใจในดำ้ นต่ำงๆของหน่วยงำน จำเป็นตอ้ งใชข้ อ้ มูลสถิติช่วยในกำรตดั สินใจ เพอื่ ช่วยใหก้ ำรตดั สินใจถกู ตอ้ งมำยง่ิ ข้ึนและจำกควำมหมำยของคำว่ำสถิติท้งั สองนยั น้นั ทำใหส้ ำมำรถแบ่งขอบข่ำยหรือประเภทของสถติ ิได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ1.2 ประเภทหรือขอบข่ายของสถิติ กำรศกึ ษำสถิติในปัจจุบนั ไดแ้ บ่งประเภทหรือขอบข่ายของสถติ ิออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดงั แสดงขอบข่ำยของสถติ ิในฐำนะท่ีเป็นศำสตร์แขนงหน่ึงน้นั สำมำรถแสดงไดด้ งั รูปภาพท่ี 1.3 รูปภาพท่ี 1.3 แสดงขอบข่ายของสถิตใิ นฐานะทเ่ี ป็ นศาสตร์แขนงหน่ึงสาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -31.2.1 สถติ เิ ชงิ พรรณา (Discriptive )Statistics เป็นศำสตร์ท่ีว่ำดว้ ยวิธีกำรจดั กำรกบั ขอ้ มลู ที่เก็บรวบรวมมำได้ ซ่ึงโดยทว่ั ไปแลว้ อยใู่ นรูปของตวั เลขหรือตวั อกั ษร และอำจมำจำกทุกสิ่งในเรื่องขอบข่ำยที่สนใจศึกษำ โดยมีจุดประสงคเ์ พื่อใหท้ รำบและเขำ้ ใจถงึ รำยละเอียดของลกั ษณะของสิ่งท่ีเรำสนใจ ลกั ษณะท่ีมคี วำมสำคญั ดงั กล่ำวแสดงควำมมำกนอ้ ย ควำมแตกต่ำง และรูปแบบกำรแจกแจงของขอ้ มลู โดยวิธีกำรทำงสถิติที่ใชใ้ นส่วนน้ี ไดแ้ ก่กำรวดั แนวโนม้ เขำ้ สู่ส่วนกลำง กำรวดั กำรกระจำย กำรประมวลผลขอ้ มูล และนำเสนอในรูปภำพหรือตำรำง ซ่ึงวธิ ีกำรดงั กล่ำวจะบอกลกั ษณะรำยละเอียดต่ำงๆใหผ้ ศู้ ึกษำเขำ้ ใจ แลว้ นำเสนอรำยละเอยี ดของลกั ษณะที่ทรำบน้ีต่อไป อนั จะก่อใหเ้ กิดควำมรู้ควำมเขำ้ ใจอยำ่ งถกู ตอ้ งตอ่ ส่ิงท่ีสนใจน้นั โดยรำยละเอียดของลกั ษณะดงั กลำ่ วน้ีเป็นสมบตั ิหรือลกั ษณะของสิ่งต่ำงๆที่ถกู เก็บรวบรวมขอ้ มูลมำเพยี งกลุ่มน้ันๆเท่าน้ัน ไม่สำมำรถนำรำยละเอยี ดของลกั ษณะท่ีไดน้ ้ีไปอำ้ งองิ ถึงสิ่งต่ำงๆในกล่มุ อ่ืนได้ หรืออำจเป็นกำรวิเครำะหค์ ่ำเฉพำะดำ้ น เช่น กำรวเิ ครำะห์กำรเงิน กำรวิเครำะหอ์ ตั รำกำลงั กำรสร้ำงเลขดชั นีรำคำหรือดชั นีค่ำครองชีพ เป็นตน้ ดงั รูปภำพที่ 1.4 แสดงโครงสร้างการคานวณทางสถติ เิ ชิงพรรณา รูปภาพท่ี 1.4 แสดงโครงสร้ำงกำรคำนวณทำงสถิติเชิงพรรณนำ 1.2.2 สถิตอิ ้างองิ (Inference Statistics) คือ ศำสตร์ของสถิติท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กำรศกึ ษำลกั ษณะของส่ิงท่ีสนใจ แต่ดว้ ยส่ิงท่ีสนใจน้นั มจี ำนวนมำก จึงไมส่ ะดวกหรือไม่สำมำรถที่จะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจำกส่ิงท่ีสนใจดงั กลำ่ วน้นั มำศึกษำไดท้ ้งั หมด ไดเ้ น่ืองจำกเวลำไม่มำกพอ งบประมำณไมม่ ำกพอ จึงทำไดเ้ พยี งเก็บรวบรวมขอ้ มลูจำกสิ่งที่สนใจมำเพยี งบางส่วนเท่ำน้นั แลว้ ศึกษำรำยละเอียดของลกั ษณะของสิ่งท่ีสนใจ ในกล่มุ ย่อย ดงั กล่ำวเพอื่ นำลกั ษณะท่ีไดไ้ ปอ้างองิ สรุปไปยงั ลกั ษณะของสิ่งท่ีสนใจท้ังหมดในขอบข่ำยที่ศึกษำ ลกั ษณะท่ีสำคญั ดงั กลำ่ วสาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -4แสดงควำมมำกนอ้ ย จำนวนของส่ิงท่ีมลี กั ษณะสนใจ กำรกระจำยของสิ่งท่ีมลี กั ษณะสนใจ รูปแบบของกำรแจกแจงกลมุ่ ท่ีสนใจ ควำมแตกต่ำงของลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงระหว่ำงกลุ่มท่ีสนใจ ควำมสมั พนั ธข์ องลกั ษณะใดๆของกล่มุ ที่สนใจ ฯลฯ แต่เน่ืองจำกขอ้ มูลจำกกลุ่มยอ่ ย มีไดห้ ลำยชุดแตกต่ำงกนั ออกไปตำมกลุม่ ยอ่ ยแต่ละกลุ่มท่ีเลอื กมำ ซ่ึงในทำงปฏิบตั ิแลว้ จะนำมำศึกษำเพียงกลุ่มเดยี ว ในกำรอนุมำนลกั ษณะต่ำงๆจำกกลมุ่ ยอ่ ยไปยงั ส่ิงที่สนใจท้งั หมด จึงเป็นเรื่องของโอกาสและความน่าจะเป็ นทจี่ ะเกดิ ขึน้ ดงั น้นั ในส่วนน้ีจึงจำเป็นตอ้ งนำทฤษฎีควำมน่ำจะเป็นมำใชเ้ พ่ือสนบั สนุนและสร้ำงวธิ ีกำรอำ้ งองิ ใหม้ ีควำมถูกตอ้ งน่ำเชื่อถือ โดยวธิ ีกำรทำงสถติ ิท่ีสำคญัในสถติ ิอนุมำน ไดแ้ ก่ กำรแจกแจงควำมน่ำจะเป็นของค่ำสถติ ิ กำรประมำณค่ำพำรำมเิ ตอร์ กำรทดสอบสมมติฐำนเกี่ยวกบั ลกั ษณะต่ำงๆของส่ิงท่ีสนใจศกึ ษำ กำรวิเครำะหก์ ำรถดถอย กำรวเิ ครำะห์ควำมแปรปรวนเป็นตน้ และภำพแสดงโครงสร้ำงกำรคำนวณทำงสถิตอิ ้างองิ หรือสถิตเิ ชิงอนุมานหรืออนุมานสถติ ิ ในรูภำพท่ี 1.5 สถิติ า้ ง งิ แบบมี ารามิเต ร์ การแ กแ งแบบที ประชากรกลมุ เ ียว Parametric Inference t-test One Sample Testสถิติ า้ ง งิ การแ กแ งแบบปกตมิ าตร านInference Z-test ประชากร กลุม สิ ระกนั การวิเคราะหค์ วามแปรปรวน IndependenceSamples Test ANOVA ประชากร กลุม สิ ระStatistics สถติ ิ ้าง งิ แบบ มมี ารามิเต ร์ การแ กแ งแบบ คสแควร์ ต กนั Non Parametric Inference Chi-Square Paired Sample Test สมั ประสิทธสิ หสมั นั ธ์ Correlation Coefficient รูปภำพท่ี 1.5 ภำพแสดงโครงสร้ำงกำรคำนวณทำงสถิติอ้างองิ1.3 ประชากรและตวั อย่าง 1.3.1 ประชากร (Population) หมำยถึง สมำชิกท้งั หมดของส่ิงที่ผวู้ ิจยั ตอ้ งกำรศกึ ษำ เกี่ยวกบั เร่ืองใดเรื่องหน่ึงที่สนใจ ดว้ ยเหตุน้ี ประชำกรไมใ่ ช่ หมำยถึงคนเพยี งอยำ่ งเดียว ในทำงสถติ ิ คำวำ่ ประชำกรอำจจะเป็นคนสตั ว์ เวลำ สถำนที่ ส่ิงของ หรือพฤติกรรมใดๆก็ได้ ข้ึนอยกู่ บั วำ่ เรำสนใจศกึ ษำอะไร เช่น การสารวจความคดิ เหน็ของประชำชนเกี่ยวกบั โครงกำรบริหำรจดั กำรน้ำของรัฐบำล ในกรณีเช่นน้ีประชำชนทกุ คน จดั วำ่ เป็นประชำกรปัจจยั เชิงสาเหตุของประสิทธิผลในกำรประกนั คุณภำพในสถำนศกึ ษำข้นั พ้นื ฐำน ในกรณีเช่นน้ีสถำนศกึ ษำข้นัพ้นื ฐำน จดั วำ่ เป็นประชำกร การพฒั นาโมเดลเชิงสาเหตุของค่ำนิยมและพฤติกรรมตำมปรัชญำของเศรษฐกิจสาขาวิชาสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -5พอเพียงของนกั เรียนมธั ยมศกึ ษำ ในกรณีเช่นน้ีนกั เรียนมธั ยมศึกษำทุกคน จดั ว่ำเป็นประชำกร สนใจทจ่ี ะหาค่าเฉลยี่ ของจำนวนโทรทศั นต์ ่อบำ้ นในประเทศไทย ในกรณีเช่นน้ีโทรทศั นท์ ุกๆเคร่ืองที่มอี ยใู่ นแต่ละบำ้ นในประเทศไทย จดั วำ่ เป็นประชำกร สนใจเวลาท่ีคนไข้ตอ้ งรอก่อนไดร้ ับกำรตรวจหรือรักษำจำกแพทยข์ องโรงพยำบำลแห่งหน่ึง ประชำกรก็คือ เซทของเวลำที่คนไขท้ ุกคนที่เขำ้ มำรอรับกำรรักษำที่โรงพยำบำลน้ี หน่วยท้งั หมดที่ตอ้ งกำรศกึ ษำในขอบเขตท่กี ำหนด จำแนกเป็น 2 ประเภท คือ ก. ประชำกรจำกดั (Finite Population) ไดแ้ ก่ ประชำกรท่ีสำมำรถนบั จำนวนได้ เช่น จำนวนนกั ศกึ ษำในมหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยรี ำชมงคลธญั บุรี กำรสำรวจควำมคดิ ของประชำชนต่อภำวะค่ำครองชีพปัจจุบนัขอ้ มลู ท่ีสมบูรณ์ก็คือ ขอ้ มูลจำกประชำชนทกุ คนในประเทศ ซ่ึงเป็นเรื่องยำกที่จะเกบ็ ขอ้ มลู น้ีมำท้งั หมด จำนวนอำจำรยใ์ นคณะวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี กำรเกบ็ รวบรวมปริมำณสำรพษิ ตกคำ้ งในผกั ที่จำหน่ำยในทอ้ งตลำดแมส้ ำมำรถเกบ็ ผกั มำวเิ ครำะหไ์ ดเ้ รื่อยๆ ไม่มสี ้ินสุดแต่กเ็ ป็นกำรส้ินเปลอื งท้งั ค่ำใชจ้ ่ำยเวลำและแรงงำน กำรเกบ็ขอ้ มลู เก่ียวกบั อำยกุ ำรใชง้ ำนของหลอดประหยดั ไฟ กจ็ ะตอ้ งใชห้ ลอดไฟน้นั ๆ จนหมดสภำพ ทำใหห้ ลอดไฟน้นั ตอ้ งถกู ทำลำยใหห้ มดสภำพจึงจะสำมำรถเก็บขอ้ มูลมำได้ เป็นตน้ ประชำกรอำจประกอบดว้ ยค่ำสงั เกตที่มีจำนวนนอ้ ย หรือค่ำสงั เกตท่ีมจี ำนวนมำกเป็นลำ้ น ๆกไ็ ด้ แต่จะตอ้ งเป็นค่ำสงั เกตที่แน่นอน จึงจะเป็นประชำกรท่ีมจี ำนวนจำกดั ข. ประชำกรอนนั ต์ (Infinite Population) ไดแ้ ก่ ประชำกรท่ีมีมำกมำยจนไมส่ ำมำรถนบั จำนวนได้หรือมจี ำนวนไมจ่ ำกดั เช่น น้ำหนกั ของไก่เมือ่ แรกเกิด จำนวนแบคทีเรียในบ่อน้ำ จำนวนปลำในแม่น้ำท่ำจีนจำนวนประชำกรของโลก เป็นตน้ 1.3.2 ตวั อย่าง (Sample) หมำยถงึ ส่วนใดส่วนหนง่ึ ของประชำกร ซ่ึงมกั จะไดม้ ำจำกกำรสุ่มขอ้ มลู จำกตวั อยำ่ ง ตอ้ งครอบคลมุ ลกั ษณะของประชำกรทต่ี อ้ งกำรศึกษำ กำรเลอื กตวั แทนที่ดขี องประชำกรจะตอ้ งเป็นไปโดยไมเ่ จำะจง ไมม่ อี คติ ไม่เอนเอียง กลำ่ วคือ จะตอ้ งกระทำโดยสุ่ม (Random ) ตวั อยำ่ ง (Sample) ท่ีไดม้ ำจำกกำรสุ่ม เรียกว่ำ ตวั อยำ่ งสุ่ม (Random Samples) เช่น ทดลองออกรำยกำรโฆษณำสินคำ้ ประเภทหน่ึงทำงทีวีแลว้ สอบถำมควำมคิดเห็นจำกผไู้ ดช้ มจำนวน 20 คน ผชู้ ม 20 คนเป็นตวั อยำ่ งท่ีเกบ็ รวบรวมมำเป็นตวั แทนของประชำกร สุ่มหลอดประหยดั ไฟมำทดลองใชเ้ พือ่ ศกึ ษำอำยกุ ำรใชง้ ำนจำนวน 50 หลอด โดยหลอดไฟจำนวน 50หลอด จึงเป็นตวั แทนของหลอดประหยดั ไฟ และในปัจจุบนั มกั ไดย้ นิ คำวำ่ “โพล ” หรือกำรสำรวจควำมคิดเห็นของประชำกรดำ้ นต่ำง ๆ ถำ้ ประชำกรไทยมที ้งั หมด 70 กว่ำลำ้ นคน ถำ้ ตอ้ งสำรวจควำมคดิ เห็นของท้งั 70กว่ำลำ้ นคน โดยกำรสอบถำมหรือส่งแบบสอบถำมไปคงเป็นไปไม่ได้ แต่จะใชว้ ิธีกำรสุ่ม ซ่ึงหลำยต่อหลำยคร้ังเรำจะเห็นวำ่ โพลแต่ละโพลสำรวจควำมคิดเห็นเพียงจำนวนร้อยและพนั ซ่ึงสำมำรถสอบถำมไดเ้ ร็ว สรุปผลได้ทนั กบั ควำมตอ้ งกำร แต่ผลท่ีไดจ้ ะมีควำมน่ำเช่ือถือไดเ้ พยี งไร ใชแ้ ทนประชำกรท้งั กลุ่มไดห้ รือไม่ ในวิชำกำรทำงสถิติ คำวำ่ ประชำกร (Population ) เป็นคำที่เรำนำมำใชบ้ ่อย เรำมีกำรสุ่มขอ้ มูลเพอ่ื เป็นตวั อยำ่ ง (Sample )ดงั น้นั เรำจึงตอ้ งทำควำมเขำ้ ใจกบั คำวำ่ ประชำกร และตวั อยำ่ งใหช้ ดั เจน เพรำะในชีวติ ประจำวนั ของเรำจะพบเห็นและนำมำใชป้ ระโยชนไ์ ดม้ ำก ดงั ภำพแสดงควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำงประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง ดงั รูปภาพท่ี 1.6และสรุปขอ้ ดีขอ้ เสียในกำรเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู จำกประชำกรและตวั อยำ่ งสาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -6 ป ะช (Population) ลุ่ม ั ย่ ใช ่ มเ ์ (Sample) ใช ่ ุ่ม ั ย่ (Sampling) เป็ ั ป ะช ุปห ื ป ะช ้ั ลุ่มไ ม ัม ั ธ์ ะห ่ ป ะช (Population) ละ ลุ่ม ั ย่ (Sample)รูปภาพที่ 1.6 แสดงควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งประชำกรและกล่มุ ตวั อยำ่ ง สรุปขอ้ ดีขอ้ เสียในกำรเก็บรวมรวมขอ้ มูลจำกประชำกร (Census) ขอ้ ดี ขอ้ เสีย1. ไดข้ อ้ มูลครบถว้ นจำกทุกหน่วยประชำกร 1. เสียเวลำและคำ่ ใชจ้ ่ำยมำก 2. ไดผ้ ลกำรสำรวจชำ้ ไม่ทนั ตอ่ ควำมตอ้ งกำร 3. ปริมำณงำนมำก กำรควบคมุ ทำไดย้ ำก อำจมผี ลต่อคุณภำพหรือ ควำมถูกตอ้ งขอ้ มลู ลดลง สรุปขอ้ ดีขอ้ เสียในกำรเกบ็ รวมรวมขอ้ มลู จำกตวั อยำ่ ง (Sample) ขอ้ ดี ขอ้ เสีย1. ประหยดั เวลำและค่ำใช่จ่ำย 1. เกิดควำมคลำดเคลอ่ื นในกำรสุ่มตวั อยำ่ ง2. ไดผ้ ลกำรสำรวจเร็ว 2. ถำ้ ขนำดตวั อยำ่ งนอ้ ยเกินไปหรือวำงแผนกำรสุ่ม3. ขอ้ มลู ทไี่ ดจ้ ะมีคณุ ภำพดี เน่ืองจำกปริมำณงำนนอ้ ย ตวั อยำ่ งไม่ดี จะทำใหข้ อ้ มลู ตวั อยำ่ งไม่เป็นตวั แทนที่กวำ่ จึงสำมำรถควบคุมงำนและตรวจสอบควำม ดขี องประชำกรถูกตอ้ งไดท้ วั่ ถึง1.4 ค่าพารามเิ ตอร์และค่าสถิติ 1.4.1 ค่าพารามเิ ตอร์ (Parameters) หมำยถึง ตวั เลขที่คานวณมาจากข้อมลู ประชากร เพือ่ อธิบำยคุณลกั ษณะของประชำกร เช่น สนใจน้ำหนกั ของเดก็ แรกเกิด ประชำกรคือ น้ำหนกั ของเดก็ แรกเกิดทุกคน ตวั อยำ่ งคือน้ำหนกั ของเด็กแรกเกิดท่ีตกเป็นตวั อยำ่ ง ในท่ีน้ีใหต้ วั แปรคือ X แทนน้ำหนกั ของเด็กแรกเกิด ซ่ึงมีค่ำต่ำง ๆ กนัจึงอำจใชน้ ้ำหนกั เฉลี่ย ( ) เพือ่ บอกถึงค่ำกลำงของประชำกร ค่ำแปรปรวนของประชำกร( 2 ) ซ่ึงแสดงถึงกำรกระจำยของน้ำหนกั ของเดก็ แรกเกิด และค่ำสดั ส่วนประชำกร (p) ซ่ึงแสดงถึงร้อยละเพศหญิงและเพศชำยค่ำแสดงควำมสมั พนั ธข์ องขอ้ มูลประชำกร ( ) ซ่ึงแสดงถงึ ควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งน้ำหนกั กบั เพศ เป็นตน้สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -71.4.2 ค่าสถติ ิ (Statistics) หมำยถึง ตวั เลขทคี่ านวณมาจากข้อมลู ตวั อย่าง เพอื่ อธิบำยคุณลกั ษณะของตวั อยำ่ ง ในกำรเก็บขอ้ มูลไม่วำ่ จะเก็บขอ้ มูลจำกประชำกรหรือตวั อยำ่ ง ขอ้ มูลที่ไดเ้ ป็นเซทของค่ำตวั แปรที่เรำสนใจ ซ่ึงมอี ยหู่ ลำยค่ำ ดงั น้นั กำรพจิ ำรณำถงึ ลกั ษณะของประชำกรหรือตวั อยำ่ ง จะตอ้ งนำค่ำต่ำง ๆ ของตวั แปรมำสรุปถึงลกั ษณะของประชำกร เช่น ในกรณีที่ใชต้ วั อยำ่ งเรำอำจจะใชน้ ้ำหนกั เฉลี่ยตวั อยำ่ ง ( x ) และค่ำแปรปรวนตวั อยำ่ ง ( S 2 ) ค่ำสดั ส่วนตวั อยำ่ ง ( pˆ ) ค่ำแสดงควำมสมั พนั ธข์ องขอ้ มูลตวั อยำ่ ง (r) ในที่น้ี ,p , และ 2 คือ ค่ำพำรำมิเตอร์ ส่วน x , pˆ , r และ S 2 คือ ค่ำสถติ ิ สรุปควำมแตกต่ำงระหว่ำงประชำกรกบั ตวั อยำ่ ง และค่ำพำรำมเิ ตอร์กบั ค่ำสถติ ิ ดงั ตารางท่ี 1.1ตำรำงที่ 1.1 ความแตกต่างระหว่างประชำกรกบั ตวั อยำ่ ง และค่ำพำรำมเิ ตอร์กบั ค่ำสถติ ิขนาด (Size) ค่าพารามเิ ตอร์(Parameters) ค่าสถิต(ิ Statistics)ค่าเฉลย่ี (Mean) N nค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) mu ˆ , X , Mค่าความแปรปรวน (Variance) ˆ , S.D., S 2 SigmaSquare sˆ 2 , S.D.2 , 2 ค่าสัดส่วน (Proportion) ,p pˆ ค่าสหสัมพนั ธ์ (Correlation) rho rค่าพารามเิ ตอร์ เช่น ค่ำเฉล่ยี ประชำกร x N ค่ำแปรปรวนประชำกร 2 x 2 N N หรือ 2 i1 2 i N 2ค่ำส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำนประชำกร x 2 N N 2 i i1 2 หรือ N ค่ำสดั ส่วนประชำกร p x Nสาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -8ค่าสถิติ เช่น ค่ำเฉล่ยี ตวั อยำ่ ง X x n ค่ำแปรปรวนตวั อยำ่ ง S 2 x x2 n 1 n2 xi2 n x s 2 i 1 n 1 หรือ n xi2 n x1 2 i 1 n i 1 n(n 1) ค่ำส่วนเบ่ียงเบนมำตรฐำนตวั อยำ่ ง S x x 2 n 1 ค่ำสดั ส่วนตวั อยำ่ ง p x nตวั อยำ่ งขอ้ มูลขำ้ งล่ำง เพ่ือควำมเขำ้ ใจความแตกต่างระหว่างประชำกรกบั ตวั อยำ่ ง และค่ำพำรำมเิ ตอร์กบั ค่ำสถติ ิ15.7 14.1 15.1 14.8 17 14.8 17.3 14.9 17.6 14.414.5 14.5 15.8 15.4 14.2 15.2 14.2 15.4 16.2 15.114.5 16.8 15.8 15.7 14.8 17.2 16.5 15.8 14 15.415.3 15.3 17.7 14.8 14.9 15.7 15.6 14.6 15.9 15.414.8 16.6 16.7 16.4 13.8 16.1 14.6 15 15.5 15.7 ผลกำรวเิ ครำะหค์ ่ำต่ำงๆจำกขอ้ มูลท้งั หมด Mean 15.462 Standard Error 0.136153875 Median 15.4 Mode 14.8 Standard Deviation 0.96275328 Sample Variance 0.926893878 Kurtosis -0.273278684 Skewness 0.554335056 Range 3.9 Minimum 13.8 Maximum 17.7 Sum 773.1 Count 50 Largest(1) 17.7 Smallest(1) 13.8 Confidence Level(95.0%) 0.273611455สาขาวิชาสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -9 14.5 15.3 15.4 14.8 15.5 ผลกำรวิเครำะหค์ ่ำต่ำงๆจำกขอ้ มูลบำงส่วน Mean 15.1 Standard Error 0.192354 Median 15.3 Mode #N/A Standard Deviation 0.430116 Sample Variance 0.185 Range 1 Minimum 14.5 Maximum 15.5 Sum 75.5 Count 51.5 ประเภทของข้อมูล ขอ้ มูล (Data) หมำยถึง ขอ้ เทจ็ จริงเกี่ยวกบั เรื่องต่ำงๆท่ีเรำสนใจ ขอ้ มูลท่ีนำมำวิเครำะหจ์ ะประกอบดว้ ยขอ้ มูลหลำยประเภท หลำยชนิด กำรพจิ ำรณำแบ่งประเภทขอ้ มลู น้นั เป็นประเภทใด จะพจิ ำรณำตำมลกั ษณะของค่าข้อมูลต่ำงๆ หรือแหลง่ ท่ีมำของขอ้ มูลหรือ บ่ ม เ ลหลั ั ข ข มลู ไดด้ งั น้ี 1.5.1 แบ่งตามลกั ษณะของค่าข้อมลู ได้เป็ น 2 ชนดิ คือ 1.5.1.1 ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data) คือขอ้ มลู ท่ีสำมำรถบ่งบอกลกั ษณะของมนั เองถึงควำมแตกต่ำงมำกนอ้ ยได้ เป็นท้งั จำนวนเต็มหรือทศนิยม ที่ต่อเนื่องหรือไมต่ ่อเนื่อง ขอ้ มลู ประเภทน้ีถกู กำหนดค่ำมำจำกตวั แปรต่ำงๆ เช่น จำนวนสมำชิกในครอบครัว ควำมสูง อำยุ น้ำหนกั รำยได้ รำยจ่ำย คะแนนสอบ ฯลฯ ซ่ึงตวั แปรต่ำงๆดงั กลำ่ ว จะกำหนดค่ำใหก้ บั หน่วยตวั อยำ่ งและสำมำรถวดั ออกมำในรูปของตวั เลขท่ีบ่งบอกถงึ ควำมมำกนอ้ ยได้ ซึ่งได้มาจากเกบ็ รวบรวมมาโดยวธิ ีการวดั การชั่ง การตวง เป็นตน้ ขอ้ มูลประเภทน้ียงั สำมำรถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทคือ ก. ข้อมลู ไม่ต่อเน่ือง (Discrete Data) คือขอ้ มลู ท่ีไม่มคี ่ำเกิดข้ึนระหว่ำงค่ำขอ้ มูลสองค่ำที่อยู่ติดกนั ได้ เช่น จำนวนสมำชิกในครอบครวั เมอื่ วดั ค่ำออกมำแลว้ ขอ้ มลู ที่มีค่ำเป็นไปไดค้ ือ 1 , 2 , 3 , 4 , . . ซ่ึงจะพบวำ่ จำนวนสมำชิกในครอบครัวระหวำ่ ง 3 กบั 4 คน ไม่มคี ่ำเกิดข้ึนได้ ขอ้ มลู ประเภทน้ีใชว้ ธิ ีเกบ็ รวบรวมโดยกำรนบัสาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -10 ข. ข้อมลู ต่อเน่ือง (Continuous Data) คือขอ้ มลู ที่มีค่ำเกิดข้ึนไดร้ ะหว่ำงค่ำของขอ้ มูลสองค่ำใดๆ ไดเ้ สมอ เช่น ควำมสูงของคน เมอ่ื วดั ค่ำออกมำแลว้ ระหว่ำงควำมสูงสองค่ำใดๆ จะมคี ่ำควำมสูงท่ีเป็นไปได้เสมอ เช่น ควำมสูง165 cm และ166 cm คือ ควำมสูง 165.5cm หรือ 165.3cm หำกมีเคร่ืองมอื วดั ที่ละเอียดมำกข้ึนก็จะสำมำรถวดั ค่ำควำมสูงระหวำ่ งควำมสูง 165.5 กบั 165.6 ไดเ้ ช่นกนั คือ 165.55 เป็นตน้ ขอ้ มลู ประเภทน้ีเก็บรวบรวมมำโดยวิธีกำรวดั ดว้ ยเครื่องมอื วดั ต่ำงๆ เช่น ไมบ้ รรทดั เครื่องชงั่ น้ำหนกั เทอร์โมมิเตอร์ เป็นตน้ ตวั ยางข้ มลู เชิงปริมาณ ร้ มแส งใหเ้ ห็นถึงการนาเสน ข้ มูลใหถ้ ุกต้ งและเหมาะสม ว้ ย งั ข้ มูลผลการสารวน้าหนกั ข งทารกแรกเกิ 25 คน นาเสน ตาราง และกราฟขา้ งลาง1.5.1.2 ข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ ( Qualitative Data ) คือ ขอ้ มลู ที่สำมำรถบ่งบอกลกั ษณะของมนั เองได้เพียงควำมเป็นกลมุ่ เป็นพวก เป็นช้นั เป็นระดบั เป็นประเภทเท่ำน้นั ไม่มคี วามหมายในเชิงปริมาณมากน้อยขอ้ มูลประเภทน้ีไดม้ ำจำกกำรกำหนดค่ำของตวั แปรต่ำงๆ โดยใช้เกณฑ์ในรูปข้อความแบ่งกลุ่ม เช่น เพศ ศำสนำอำชีพ กำรศกึ ษำ ระดบั เกรด สำขำวิชำเอก ม เห็ ุ ข เป็นตน้ การวิเคราะหข์ ้ มูลเชิงคุณภา ะทา โ้ ยการนบั านวน หรื นบั ความถขี่ งแตละระ บั หรื แตละกลุมข งข้ มลู เชิงคุณภา แตละตวัเชน ถา้ ความคิ เห็น าแนกหรื แบงเป็น 4 ระ บั คื เห็น ว้ ย ยางยง่ิ เห็น ว้ ย มเห็น ว้ ย และ มเห็น ว้ ยยางยงิ่ เชน เมื่ สุมตวั ยางมาส บถามความคิ เห็นมา านวน 3000 คน ะนบั านวนผทู้ ่ี มเห็น ว้ ย ยางยง่ิแลว้ นาความถข่ี งแตละระ บั มาคานวณหาสั สวนหรื เป ร์เซน็ ต์ เชน สั สวนข งผทู้ ี่เห็น ว้ ย ยางยงิ่เป็นตน้ หรื คุณภา ข งสินคา้ า แบงเป็น 3 ระ บั หรื 3 เกร คื คุณภา ต่า ปานกลาง ี ผวู้ ิเคราะห์ะ ิ ารณา ากสั สวนข งสินคา้ แตละเกร โ ยท่ีสั สวนคื านวนสินคา้ แตละเกร หาร ว้ ย านวนสินคา้สาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -11ท้งั หม โ ยอำจทำใหเ้ ขำ้ ใจผดิ วำ่ ขอ้ มูลเชิงคุณภำพอยใู่ นรูปขอ้ ควำมเท่ำน้นั ควำมจริงแลว้ ตวั เลขบำงอยำ่ งอำจจดัอยใู่ นขอ้ มูลเชิงคุณภำพ ไดแ้ ก่ ตวั เลขท่ีกำหนดค่ำจำกตวั แปรต่ำงๆ เช่น สำยรถเมลใ์ นกรุงเทพมหำนคร ซ่ึงไดแ้ ก่8, 538, 35, 62, 107 รหสั ไปรษณีย์ ซ่ึงไดแ้ ก่ 12150, 34000, 40000 เลขทะเบียนรถ ซ่ึงไดแ้ ก่ ญง 5323, 4กด6955เบอร์โทรศพั ท์ ซ่ึงไดแ้ ก่ 02-5494147, 02-1525082, 081-7337576 ซ่ึงตวั เลขพวกน้ีไมไ่ ดม้ ีควำมหมำยในเชิงปริมำณแต่อยำ่ งใด ตวั ยางข้ มูลเชิงคุณภา ร้ มแส งใหเ้ ห็นถงึ การนาเสน ข้ มลู ใหเ้ หมาะสมและถกู ต้ งกบั ประเภทข้ มลู ว้ ย งั ตวั ยางข้ มูลผลการสารว หมูเลื นกั ศกึ ษา 100 คน นาเสน ในตาราง และกราฟขา้ งลาง จำนวนนักศกึ ษำในกล่มุ เลอื ดต่ำงๆ ร้อยละหมู่เลอื ดของนักศึกษำ 43 44 A 50 B 44% AB 0 76 O 6% 43% O A B AB 7% 1.5.2 แบ่งตามแหล่งท่มี าของข้อมลู ถำ้ แบ่งขอ้ มลู ตำมแหลง่ ที่มำ สำมำรถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนิด คือ 1.5.2.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็ นขอ้ มูลท่ีผใู้ ช้ หรือหน่วยงำนที่ใชเ้ ป็ นผทู้ ำกำรเก็บรวบรวมเอง เป็ นขอ้ มูลท่ีได้จำกแหล่งขอ้ มูลโดยตรง ซ่ึงเป็ นแหล่งที่เกิดของขอ้ มูล โดยไม่มีกำรเปลี่ยนรูปเปลี่ยนควำมหมำย ข้อมูลปฐมภูมิท่ีได้มำน้ีถือว่ำ เป็ นข้อมูลท่ีเช่ือถือได้มำกท่ีสุด เช่น ข้อมูลท่ีได้จำกแบบสอบถำม แบบสัมภำษณ์ แบบสงั เกต แบบทดสอบ เป็ นตน้ กำรใชข้ อ้ มูลประเภทน้ีมีขอ้ ดีคือ ไดข้ อ้ มูลท่ีแทจ้ ริงจำกแหล่งต้นตอซ่ึงมีควำมน่ำเช่ือถือและสอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของผใู้ ช้ แต่มีขอ้ เสียคือ ผูใ้ ช้ตอ้ งเสียเวลำในกำรเก็บรวบรวมและส้ินเปลืองค่ำใชจ้ ่ำย 1.5.2.2 ข้อมลู ทุตยิ ภูมิ (Secondary Data) เป็นขอ้ มลู ที่ผใู้ ช้ หรือหน่วยงำนที่ใช้ ไม่ไดท้ ำกำรเก็บรวบรวมเอง แต่มผี อู้ ่ืนหรือหน่วยงำนอื่นๆ ทำกำรเก็บขอ้ มูลไวแ้ ลว้ ผใู้ ชเ้ ป็ นเพียงผนู้ ำมำใชเ้ ท่ำน้นั จึงเป็ นกำรประหยดั เวลำและค่ำใชจ้ ่ำย เป็นขอ้ มูลที่ไดจ้ ำกแหล่งท่ีมีผเู้ ก็บขอ้ มลู มำแลว้ เช่น ขอ้ มูลในอดีต ผวู้ ิจยั จำเป็ นตอ้ งนำขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ำกกำรจดบนั ทึกไวแ้ ลว้ มำทำกำรวจิ ยั บำงคร้ังขอ้ มูลทุติยภูมิจะไม่ตรงกบั ควำมตอ้ งกำรหรือไม่มี สาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -12รำยละเอียดเพียงพอ นอกจำกน้ันผูใ้ ชม้ กั จะไม่ทรำบถึงข้อผิดพลำดของข้อมูล ซ่ึงอำจทำให้ผูท้ ่ีนำมำใช้สรุ ปผลกำรวจิ ยั ผดิ พลำดไปดว้ ย ผทู้ ี่นำขอ้ มูลทุติยภูมิมำใช้ ควรจะตอ้ งระมดั ระวงั เป็ นอย่ำงยิง่ ขอ้ ดีของกำรใชข้ อ้ มูลประเภทน้ีคือ ประหยดั เวลำ ค่ำใชจ้ ่ำยและแรงงำนในกำรรวบรวม แต่มีขอ้ เสียคือ ขอ้ มูลอำจไม่สอดคลอ้ งกบัวตั ถุประสงคข์ องผใู้ ชโ้ ดยตรงนกั และขอ้ มลู อำจมีควำมผดิ พลำดหรือคลำดไปบำ้ งซ่ึงผใู้ ชเ้ องตอ้ งตรวจสอบใหด้ ี1.5.3 บ่ ม เ ลหลั ั ข ข มูลกำรวดั (Measurement) หมำยถึง กำรกำหนดค่ำของตวั เลขให้กับส่ิงท่ีตอ้ งกำรศึกษำภำยใต้กฎเกณฑท์ ่ีแน่นอน กำรวดั จึงจำเป็นตอ้ งทรำบคุณลกั ษณะของขอ้ มูลทำงกำรวดั เพอ่ื ใชใ้ นกำรพจิ ำรณำวำ่ จะเลือกใช้สถติ ิแบบใดจึงจะเหมำะสมกบั ลกั ษณะของขอ้ มูล ดงั น้นั จึงควรทรำบก่อนว่ำขอ้ มูลท่ีถูกวดั น้นั อยใู่ นมำตรำกำรวดัระดบั ใด เพอื่ ไม่ใหผ้ ลกำรวดั คลำดเคล่อื นไปจำกควำมจริง ขอ้ มูลที่เกบ็ รวบรวมมำไดน้ ้นั อำจจะมีลกั ษณะต่ำงๆ กนัซ่ึงสำมำรถจดั ระดบั ของขอ้ มลู ได้ 4 ระดบั ตำมวธิ ีกำรวดั ค่ำต่อไปน้ี1. มำตรำกำรวดั นำมบญั ญตั ิ (Nominal Scale)2. มำตรำกำรวดั เรียงอนั ดบั หรือมำตรำกำรวดั จดั อนั ดบั (Ordinal Scale)3. มำตรำกำรวดั อนั ตรภำคหรือมำตรำกำรวดั ระดบั ช่วง (Interval Scale)4. มำตรำกำรวดั อตั รำส่วน (Ratio Scale)1.5.3.1 มาตราการวดั นามบญั ญัต(ิ Nominal Scale) เป็นสเกลวดั ค่ำท่ีง่ำยที่สุดหรือสะดวกต่อกำรใชง้ ำนมำกที่สุด เป็นสเกลท่ีใชจ้ ำแนกควำมแตกต่ำงของสิ่งท่ีตอ้ งกำรวดั ออกเป็ นกลุ่ม โดยถือว่ำแต่ละกลุ่มมีควำมเสมอภำคหรือเท่ำเทียมกนั เช่น เพศ แบ่งออกเป็นกลุ่มเพศชำย และกลุ่มเพศหญิง โดยใหเ้ ลข 1 แทนเพศชำย และเลข 2 แทนเพศหญิง ระดบั การศึกษาแบ่งออกเป็นกล่มุ ที่มีกำรศึกษำต่ำกวำ่ ปริญญำตรี ใหแ้ ทนดว้ ยเลข 1 กลุ่มท่ีมีกำรศึกษำระดบั ปริญญำตรีใหแ้ ทนดว้ ยเลข 2 และกลุ่มท่ีมีกำรศึกษำสูงกว่ำระดบั ปริญญำตรีให้แทนดว้ ยเลข 3เป็นตน้ ตวั เลข 1 , 2 , 3 ที่ใชแ้ ทนกลุ่มต่ำงๆ น้นั ถือเป็ นตวั เลขในสเกลนำมกำหนดไม่สามารถนามาบวก ลบ คูณหาร หรือหาสัดส่วนได้ ตวั อยำ่ งอนื่ ๆ เช่น สำยรถเมล์ เลขประจำตวั นกั ศึกษำ หมำยเลขโทรศพั ท์ หมำยเลขที่นงั่ในโรงภำพยนตร์ อำชีพ ภูมลิ ำเนำ ศำสนำ วชิ ำเอกท่ีศึกษำ กลุ่มเลือด เป็ นตน้ ตวั แปรในกลุ่มน้ี ถำ้ จำแนกได้ 2ลักษณะ เช่น เพศ จำแนกเป็ นชำยและหญิง หรื อผลกำรสอบจำแนกได้เป็ น ผ่ำนและไม่ผ่ำน จะเรี ยกว่ำDichotomous Variable แต่ถำ้ จำแนกไดห้ ลำยลกั ษณะจะเรียกว่ำ Polychromous Variable สเกลนามกาหนดเป็ นแต่เพียงการแบ่งข้อมูลออกเป็ นกลุ่มๆ เพ่ือสะดวกในการวิเคราะห์เท่าน้ัน โดยถือว่าหน่วยที่อยู่ต่างกลุ่มกนั จะแตกต่างกัน แต่ไม่ได้เปรียบเทียบว่ากลุ่มใดดีกว่ากลุ่มใด ขอ้ มูลสเกลนำมกำหนด จะสำมำรถหำควำมถี่และเปอร์เซ็นตไ์ ด้ นอกจำกน้นั ยงั สำมำรถนำควำมถี่มำคำนวณค่ำสถติ ิไดด้ งั น้ี ค่ำฐำนนิยม กำรทดสอบไคสแควร์ กำรทดสอบทวินำม (Binomial Test) แต่ไม่สำมำรถหำค่าเฉลย่ี และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานได้ 1.5.3.2. มาตราการวดั เรียงอนั ดบั หรือมาตราการวดั จดั อนั ดบั (Ordinal Scale) เป็นสเกลท่ีใช้สำหรับจดั อนั ดบั ที่หรือตำแหน่งของสิ่งที่ตอ้ งกำรวดั เป็นสเกลท่ีใชแ้ บ่งกลมุ่ ขอ้ มูลที่เพ่มิ รำยละเอียดไดม้ ำกกวำ่สเกลนำมกำหนด คือขอ้ มลู ท่ีอยใู่ นแต่ละกลมุ่ จะแสดงควำมแตกต่ำง โดยพจิ ำรณำจำกลำดบั ดว้ ย นนั่ คือ สำมำรถบอกไดว้ ำ่ กลมุ่ ใดดีกวำ่ กล่มุ อืน่ ๆ หรือกลุม่ ใดบำ้ งที่มำกกวำ่ หรือนอ้ ยกว่ำกลุ่มอืน่ ๆ แต่ไม่สำมำรถบอกปริมำณควำมสาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -13มำกกวำ่ หรือนอ้ ยกวำ่ เป็นเท่ำใด เช่น คำถำมท่ีวำ่ “ท่านอยากทาอะไรในวนั หยดุ ” โดยใชเ้ รียงลำดบั ตำมท่ีตอ้ งกำรทำมำกที่สุดไปหำนอ้ ย ถำ้ นำยสมชำยเลอื กกำรดูทีวีอยบู่ ำ้ นเป็นอนั ดบั 1 ดูภำพยนตร์เป็นอนั ดบั 2 และพกั ผอ่ นต่ำงจงั หวดั เป็นอนั ดบั ที่ 3 ระยะห่ำงระหวำ่ งลำดบั ที่ 1 กบั ลำดบั ท่ี 2 ไมจ่ ำเป็นตอ้ งเท่ำกบั ระยะห่ำงจำกลำดบั ที่ 2 กบั3 เพยี งแต่ทรำบวำ่ นำย สมชำยชอบดูทีวีอยบู่ ำ้ นมำกกว่ำกำรดูภำพยนตร์ แต่ไมท่ รำบวำ่ มำกกว่ำเท่ำใด นำย กไดร้ ับรำงวลั ท่ีหน่ึง นำย ข ไดร้ ับรำงวลั ท่ีสอง และ นำงสำว ค ไดร้ ับรำงวลั ท่ีสำม ขอ้ มลู ทำงกำรตลำดส่วนใหญ่จะเป็นขอ้ มูลสเกลอนั ดบั เนื่องจำกมกั จะใหล้ กู คำ้ หรือผบู้ ริโภคเปรียบเทียบสินคำ้ หลำยๆยหี่ อ้ โดยพจิ ำรณำจำกคุณภำพ รำคำ เป็นตน้ ขอ้ มูลท่ีเป็นสเกลอนั ดบั สำมำรถนำมำวเิ ครำะหโ์ ดยใชเ้ ทคนิคกำรวิเครำะหไ์ ด้ ดงั น้ี หำควำมถี่ เปอร์เซ็นต์ ควอไทล์ ค่ำมธั ยฐำน กำรทดสอบไคสแควร์ เป็นตน้ 1.5.3.3. มาตราการวดั อนั ตรภาคหรือมาตราการวดั ระดบั ช่วง (Interval Scale) เป็นข้ มลู ที่มีรายละเ ยี มากกวาข้ มูลสเกล นั บั นน่ั คื แบงข้ มลู กเป็นกลมุ เบบสเกล นั บั แตสามารถบ กปริมาณความแตกตางระหวางกลมุ ้ ว้ ย งั น้นั สเกล นั ตรภาค ะใชห้ นวยวั เป็นคาคงท่ี ึงทาใหส้ ามารถบ กปริมาณความแตกตางระหวางกลุม ้ เป็นสเกลท่ีสามารถกาหน คาตวั เลขโ ยมีชวงหางระหวางตวั เลขเทาๆกนั แต มมี 0(ศนู ย)์ แท้ มแี ต 0 (ศูนย)์ สมมติ (Arbitrary Zero) เช่น นำย ก สอบได้ 0 คะแนน ไม่ไดห้ มำยควำมวำ่ ไมม่ คี วำมรู้เลย เพยี งแต่นำย ก ไมส่ ำมำรถทำขอ้ สอบไดเ้ ท่ำน้นั หรือนำย ก มีควำมรู้ไม่ตรงกบั ขอ้ สอบท่ีวดั หรือนำย ข สอบได้ 20 คะแนน ก็ไมไ่ ดห้ มำยควำมว่ำเก่งกว่ำนำย ค เป็น 2 เท่ำท่ีสอบไดเ้ พยี ง 10 คะแนน ข้ มลู ที่กาหน คา ากตวัแปร ณุ หภูมิ ุณหภูมิ 0oC ม ห้ มายความวา มมี ณุ หภูมิ แตหมายถึง ุณหภูมิ ณ ุ เยื กแข็ง ตวั แปร ื่นที่กาหน คาข้ มลู ในระ บั น้ี แ้ ก ระ บั สติปัญญา ( IQ ) คะแนนส บ วนั ที่ เวลา ข้ มูลในระ บั น้ีสามารถบ กชวงหาง ้ งั น้นั จึ ม ไปบ ลบ ั ไ แตเนื่ ง าก 0 มคี วามหมาย มแท้ ริง จึ ไม่ ม เ ะห์ข มลู ป ะเ ี้ ย ู ห ื ห เ ราะ ะทาใหก้ ารแปลความหมายผิ ป เชน ุณหภูมิ15 c และ 30 c เราสามารถบ ก ว้ า 30 c มากกวา 15 c ยู 15 c แตเรา มสามารถนา 15 c ปหาร 30 cแลว้ บ กวา ุณหภูมิ 30 c สูงกวา 15 c เป็นส งเทา เ ราะหากเราเปลย่ี นหนวยการวั ณุ หภูมเิ ป็นฟาเรน ฮโ ยใชส้ ูตร ( F0 = 59C0 + 32 ) ย ม ว้ า 15 c = 590 F , 30 c = 86 0F และ ณุ หภูมิ 860 F มใช 2 เทาข ง 59 0 Fเป็นตน้ ข้ มูลชนิ สเกล นั ตรภาคสามารถใชเ้ ทคนิควเิ คราะหท์ างสถติ ิบางเทคนิค ้ เชน ความถี่ เป ร์เซ็นต์ านนิยม การท ส บ คสแควร์ คาเฉล่ียเลขคณิต คาเบ่ียงเบนมาตร าน เป็นตน้ 1.5.3.4. มาตราการวดั อตั ราส่วน (Ratio Scale) เป็ นระดบั ขอ้ มูลท่ีถือว่ำมีควำมสมบูรณ์ที่สุดและเป็นกำรวดั ระดบั สูงสุดมีจุดเร่ิมตน้ เป็ นธรรมชำติ คือ มีศูนยแ์ ทท้ ี่มีหมำยควำมถึงกำรไม่มีค่ำ เช่น น้ำหนักส่วนสูง อำยุ เป็นตน้ เช่น หนกั 0 กิโลกรัม แสดงวำ่ ไมม่ ีน้ำหนกั เลย ดงั น้นั ขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ำกกำรวดั ในระดบั น้ีขอ้ มลู ระดบั น้ี สำมำรถนำไปคำนวณทำงคณิตศำสตร์ได้ จึงนำมำบวก ลบ คูณ หรือหำรกนั ได้ โดยที่สำมำรถใช้สถิติไดเ้ กือบทุกชนิด ข้อมูลบำงชนิดไม่สำมำรถวดั ไดถ้ ึงระดบั น้ี เช่น ขอ้ มูลทำงด้ำนพฤติกรรม ทศั นคติดงั แสดงภำพกำรเปรียบเทียบระดบั กำรวดั ตวั แปร ท้งั 4 ระดบั มำตรำ ดังตารางที่ 1.2สาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -14ตารางที่ 1.2 ภำพแสดงกำรเปรียบเทียบระดบั กำรวดั ตวั แปร ท้งั 4 มำตรำ ภาพแสดงการเปรียบเทียบระดบั การวดั ตวั แปร ท้งั 4 มาตรา1. มาตรานามบญั ญตั (ิ Nominal Scale) 2. มาตราเรียงลาดบั (Ordinal Scale)1. จดั เป็นกลมุ่ ได้ เช่น ตวั แปรเพศ สถำนภำพ 1. จดั เป็นกลุ่มได้สมรส ศำสนำ ระดบั เกรด ภูมิลำเนำ 2. บอกระดบั ควำมมำกนอ้ ยหรือเรียงลำดบั ได้ เช่นสำขำวชิ ำเอก กล่มุ เลือด เป็นตน้ ตวั แปรวฒุ กิ ำรศกึ ษำ ระดบั ยศ ระดบั ควำม คิดเห็น3. มาตราอนั ตรภาคช้ัน (Interval Scale) 4. มาตราอนั ตราส่วน(Ratio Scale)1. จดั เป็นกลุม่ ได้ 1. จดั เป็นกลมุ่ ได้2. บอกระดบั ควำมมำกนอ้ ยหรือเรียงลำดบั ได้ 2. บอกระดบั ควำมมำกนอ้ ยหรือเรียงลำดบั ได้3. มีค่ำเป็นตวั เลขและมชี ่วงห่ำงเท่ำกนั เช่น 3. มีค่ำเป็นตวั เลขและมชี ่วงห่ำงเท่ำกนัตวั แปรอุณหภูมิ (มศี ูนยเ์ ทียม) เจตคติหรือ 4. มีค่ำเร่ิมตน้ จำก 0 (มศี ูนยแ์ ท)้ เช่น ตวั แปรควำมคิดเหน็ น้ำหนกั ส่วนสูง อำยุ รำยได้ รำยจ่ำย เป็นตน้ดงั น้นั สำมำรถเลอื กสถติ ิที่ใชใ้ นกำรวิครำะห์ขอ้ มลู ใหเ้ หมำะสมกบั มำตรกำรวดั ระดบั ต่ำง ๆ สรุปไดด้ งั น้ี ตารางที่ 1.3 สถติ ิวิครำะห์ขอ้ มลู กบั มำตรกำรวดั ระดบัลกั ษณะข้อมูล วธิ ีวเิ คราะห์1. สเกลนำมกำหนด (Nominal Scales) ควำมถี่ สดั ส่วน ร้อยละ เปอร์เซ็นต์ ฐำนนิยม ตำรำง Crosstab กำรทดสอบไคสแควร์(Chi-SquareTest) Binomial Test2. สเกลอนั ดบั (Ordinary Scales) ค่ำมธั ยฐำน ฐำนนิยม เปอร์เซน็ ต์ เปอร์เซน็ ตไ์ ทล์ Chi-Square Test สหสมั พนั ธข์ องลำดบั ที่ (Rank-order Correlation) Sign Test3. สเกลอนั ตรภำค (Interval Scales) ค่ำเฉลี่ยเลขคณิต (Arithmetic mean) ค่ำเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) Correlation Analysis Regression Analysis Analysis of Variance Compare Meansสาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -154. สเกลอตั รำส่วน (Ratio Scales) ค่ำเฉลย่ี เลขคณิต , ค่ำเฉลีย่ เรขำคณิต , ค่ำเฉลยี่ ฮำร์โมนิค ค่ำส่วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน (Standard Deviation) ค่ำสมั ประสิทธ์ิกำรแปรผนั (Coefficient of variation : CV) กำรวิเครำะห์สหสมั พนั ธ์ (Correlation Analysis) กำรวเิ ครำะห์กำรถดถอย (Regression Analysis) กำรวิเครำะหค์ วำมแปรปรวน (Analysis of Variance) กำรทดสอบสมมติฐำนเกี่ยวกบั ค่ำเฉลี่ย Discriminate Analysis Factor Analysis Cluster Analysis เป็นตน้และแสดงระดบั กำรวดั ตวั แปรจำกขอ้ มูลหยำบไปยงั ขอ้ มลู ละเอียดมำกท่ีสุด ดังรูปภาพที่ 1.7รูปภาพที่ 1.7 แสดงระดับการวดั ตวั แปรจากข้อมลู หยาบไปยงั ข้อมูลละเอยี ดมากทส่ี ุดหมายเหตุ : ขอ้ มูลในระดบั ต่ำงๆ ท่ีกล่ำวมำแลว้ น้ันอำจจะจดั แบ่งไดเ้ ป็ น 2 ลกั ษณะใหญ่ๆ คือ ขอ้ มูลเชิงคุณภำพ (Qualitative) เป็ นขอ้ มูลท่ีไม่สำมำรถนำไปคำนวณทำงคณิตศำสตร์ได้ ซ่ึงก็คือ สเกลนำมกำหนด(Nominal Scale) และสเกลอนั ดบั (Ordinal Scale) นนั่ เอง ส่วนขอ้ มูลเชิงปริมำณคือ สเกลอตั รภำค (IntervalScale) และสเกลอตั รำส่วน(Ratio Scale) จำกกำรวดั ขอ้ มูลมี 4 ระดบั ดงั กล่ำว เรำจึงอำจกล่ำวไดว้ ่ำหำกแบ่งขอ้ มูลตำมระดบั กำรวดั สำมำรถแบ่งขอ้ มูลออกไดเ้ ป็ น 4 ประเภทคือ ขอ้ มูลนำมบญั ญตั ิ( Nominal data ) ขอ้ มูลเรียงลำดบั ( Ordinal data ) ขอ้ มูลอนั ตรภำค ( Internal data ) และขอ้ มูลอตั รำส่วน ( Ratio data ) ซ่ึงกำรทำควำมเขำ้ ใจขอ้ มลู ตำมประเภทต่ำงๆ ดงั กล่ำว จะมีผลต่อกำรพจิ ำรณำเลือกใชว้ ิธีกำรทำงสถิติวิเครำะหใ์ นข้นั ต่อไปสาขาวิชาสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -161.6 ประโยชน์ของสถิตกิ บั หน่วยงานด้านต่างๆในปัจจุบนั องคก์ รมกี ำรจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในกำรดำเนินงำนขององคก์ รบำงแห่ง มกี ำรจดั เกบ็ ขอ้ มูลสำหรับใหบ้ ริกำรแก่องคก์ รอืน่ นอกจำกน้ีบำงองคก์ รยงั มกี ำรทำวิจยั เพอ่ื ศึกษำหำควำมรู้ใหมๆ่ ปัญหำของผทู้ ี่ทำงำนในองคก์ รต่ำงๆ กค็ ือ ทำอยำ่ งไรจึงจะประมวลผลขอ้ มูลท่ีมอี ยโู่ ดยใชว้ ิธีกำรเชิงวทิ ยำศำสตร์หรือ วิธีกำรท่ีมแี บบแผนใหไ้ ดส้ ำรสนเทศท่ีสำมำรถนำไปใชใ้ นรูปแบบท่ีเหมำะสม และมีคุณค่ำต่อกำรนำไปใชส้ นบั สนุน ในกำรดำเนินงำนกำรบริหำร และกำรตดั สินใจ ตลอดจนกำรนำเสนอในเชิงวชิ ำกำรที่ใหค้ วำมรู้แก่บุคคลทว่ั ไป ผทู้ ำกำรวิเครำะหข์ อ้ มลู ในองคก์ รต่ำงตระหนกั ดีวำ่ วิชำกำรทำงสถติ ินบั เป็นศำสตร์ท่ีมปี ระโยชนต์ ่อกำรประมวลผลขอ้ มลู ดงั กล่ำว มำใชใ้ นกำรจดั กำรและกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มลู ใหแ้ ก่บุคลำกรในองคก์ รต่ำงๆ ท่ีตอ้ งกำรเพ่มิ พนู ควำมรู้ควำมเขำ้ ใจ เพ่ือใหส้ ำมำรถนำไปใชก้ บั กำรปฏิบตั ิงำนไดอ้ ยำ่ งมปี ระสิทธิผล สถิติมีบทบำทสำคญั ในระดบั บุคคลองคก์ ร ตลอดจนระดบั ประเทศ นอกจำกเรำจะใชใ้ นกำรวำงแผนพฒั นำงำนต่ำงๆแลว้ สถติ ิเป็นเคร่ืองมอื ในกำรตดั สินใจท่ีจะกระทำกำรใดๆอกี ดว้ ย โดยสำมำรถประยกุ ตใ์ ชก้ บั งำนดำ้ นต่ำงๆ ดงั น้ี1.6.1 งำนดำ้ นกำรเกษตรกรรม สถิติกับอาชีพการเกษตร ในระดบั ผูป้ ระกอบกำรเองที่จะประสบควำมสำเร็จในกำรประกอบอำชีพไดน้ ้ัน นอกจำกจะมีควำมรู้ทำงกำรเกษตรแลว้ ตอ้ งรู้จกั วิธีกำรปรับปรุงวิธีกำรดำเนินงำน โดยอำศยั วิธีกำรสังเกต กำรทดลอง แลว้ วิเครำะห์ขอ้ มูลดว้ ยวิธีกำรทำงสถิติ ซ่ึงอำจใชท้ ำงสถิติเบ้ืองตน้ เท่ำน้นั เพื่อจะทำใหท้ รำบถงึ วธิ ีกำรปรับปรุงวธิ ีกำรดำเนินงำนต่อไป ในส่วนของรัฐบำลจะมีงำนต่ำงๆ ท่ีรับผดิ ชอบโดยตรงเกี่ยวกบั กำรเกษตร เช่น ศูนยว์ ิจยั พนั ธุต์ ่ำงๆ ศูนยว์ ิจยั ประมง ศูนยว์ ิจยั กำรปศุสัตว์ ซ่ึงหน่วยงำนต่ำงๆ เหล่ำน้ีมีหน้ำที่ในกำรคน้ ควำ้ วิจยั ทดลอง เพื่อหำรูปแบบวิธีกำรดำเนินงำนที่ดีท่ีเหมำะสมคดั เลือกสำยพนั ธุท์ ี่ดี เพื่อนำมำเผยแพร่ใหก้ บั ผปู้ ระกอบกำรไดท้ รำบ ซ่ึงวิธีกำรดงั กล่ำวลว้ นตอ้ งอำศยั วิธีกำรทำงสถติ ิท้งั น้นั ดงั ตวั อยำ่ งกำรนำเอำสถิติไปใชท้ ำงกำรเกษตร ตำรำงเปรียบเทียบรำยจ่ำยและรำยไดใ้ นกำรปลกูฟักทองและขำ้ วโพด ดงั ตำรำงและกรำฟที่ 1.4่ี 1.4 ตำรำงและกรำฟเปรียบเทียบรำยจ่ำยและรำยไดใ้ นกำรปลกู ฟักทองและขำ้ วโพดป๋ ยุ ยำ เมลด็ พนั ธุ์ ค่ำแรง วสั ดุอปุ กรณ์ รำยจ่ำยรวม รำยได้ฟักทอง 250 300 100 400 500 1550 3000ขำ้ วโพด 100 220 80 300 200 900 1500 5000 ข้าวโพด 4000 ฟักทอง 3000 2000 1000 0สาขาวิชาสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -17จำกตารางและกราฟท่ี 1.4 แสดงใหเ้ ห็นวำ่ กำรทำไร่ฟกั ทองตอ้ งใชจ้ ่ำยสูง และตอ้ งทำงำนหนกั คอยดูแล รดน้ำตลอดเวลำ กำรทำไร่ขำ้ วโพดเสียค่ำใชจ้ ่ำยนอ้ ย และงำนเบำกว่ำมำก เพรำะไมต่ อ้ งรดน้ำ แต่รำยไดข้ องฟักทองให้มำกกว่ำขำ้ วโพดหลำยเท่ำ ถำ้ อยำกรวยเร็วก็ตอ้ งขยนั และวำงแผนกำรลงทุนใหถ้ กู ตอ้ ง1.6.2. งำนดำ้ นธุรกิจ สถิติกับอาชีพธุรกิจ ปัจจุบนั มีกำรนำควำมรู้เร่ืองสถิติมำใชใ้ นวงกำรธุรกิจอย่ำงแพร่หลำย ไดแ้ ก่ วธิ ีกำรวจิ ยั ดำเนินงำน เพื่อใหท้ รำบถึงกำรจดั สรรทรัพยำกรท่ีมีอยอู่ ย่ำงจำกดั ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ทรำบกำรจดั เสน้ ทำงขนส่งสินคำ้ ใหเ้ กิดประสิทธิภำพมำกท่ีสุดและรวมถึงสำมำรถวิเครำะห์ถึงปริมำณสินคำ้ คงคลงั ท่ีเหมำะสมในแต่ละช่วงเวลำ กำรนำทฤษฎีกำรตดั สินใจมำใช้ ในกำรวิเครำะห์ทำงเลือกที่ดีท่ีสุดในกำรดำเนินงำน นอกจำกน้นั วิธีกำรทำงสถิติยงั ถกู นำมำใชใ้ นกำรวิจยั ตลำด ทรำบควำมเคลือ่ นไหวและแนวโนน้ ของตลำด และทรำบถึงปัจจยั ท่ีมีผลต่อกำรตดั สินใจซ้ือของผบู้ ริโภค เป็ นตน้ เช่น ตวั อย่ำงกำรนำสถิติไปใช้ในทำงธุรกิจ รำยไดจ้ ำกกำรขำยสิคำ้ เป็นรำยเดือนแยกตำมประเภทสินคำ้ ดงั ตำรำงและกรำฟท่ี 1.5 ตารางที่ 1.5 รำยไดจ้ ำกกำรขำยสิคำ้ เป็นรำยเดือนแยกตำมประเภทสินคำ้ เดือน อาหาร ของขวญั เครื่องเรยี น เสื้อผ้า เบด็ เตลด็มกราคม 1000 800 550 850 300กมุ ภาพนั ธ์ 900 700 450 680 280มีนาคม 700 450 645 656 285เมษายน 600 550 900 870 265พฤษภาคม 620 580 1100 990 286มถิ ุนายน 780 590 870 880 258กรกฎาคม 680 570 780 680 190สิงหาคม 665 540 620 640 260กนั ยายน 550 450 650 640 240ตลุ าคม 620 630 630 650 250พฤศจกิ ายน 860 813 400 540 190ธันวาคม 1100 980 450 680 280 1500 อาหาร 1000 ของขวญั เครื่องเรียน 500 เสอื ้ ผ้า 0 เบ็ดเตล็ด มกราคม กุมภาพัน ์ธ ีมนาคม เมษายน พฤษภาคม ิมถุนายน กรกฎาคม ิสงหาคม กันยายน ตุลาคม พฤศ ิจกายน ัธนวาคมสาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -18จำกตารางและกราฟที่ 1.5 จะเห็นวำ่ เดือนธนั วำคมและมกรำคม เป็นเดือนทข่ี ำยอำหำรและของขวญั ไดม้ ำกที่สุดเพรำะเป็นเทศกำลวนั ข้ึนปี ใหม่ เดือนเมษำยน และพฤษภำคมเป็นเดือนที่จำหน่ำยเคร่ืองเขียน และเส้ือผำ้ นกั เรียนมำกที่สุด เมอ่ื ทรำบขอ้ มลู ทำใหเ้ รำสำมำรถวำงแผนเตรียมกำรในเร่ืองต่ำงๆ เช่น แรงงำน สินคำ้ กกั ตุน เป็นตน้ 1.6.3. งำนดำ้ นการแพทย์และสาธารณสุข ขอ้ มูลอตั รำกำรตำยจำแนกตำมสำเหตุ จะช่วยในกำรวำงแผนควบคุมโรค หรือวำงแผนลดอุบตั ิเหตุ หรือ ขอ้ มลู อตั รำกำรเกิดจะช่วยในกำรวำงแผนครอบครัววำ่ จะเป็นไปในทิศทำงใด เป็นตน้จำกตารางและกราฟที่ 1.6 จะเห็นวำ่ ขอ้ มลู อตั รำกำรเพ่ิม กำรเกดิ และกำรตำย ช่วยในกำรวำงแผนครอบครวั อตั รำเด็กทำรกแรกน้ำหนกั ต่ำกวำ่ 2500 กรัม จะช่วยในกำรวำงแผนกำรบริโภคกำรดูแลตนเองของมำรดำระหว่ำงต้งั ครรภ์ เพื่อแกป้ ัญหำทำรกน้ำหนกั นอ้ ย 1.6.4. งำนดำ้ นการศึกษา ขอ้ มลู คะแนนสอบเขำ้ มหำวิทยำลยั จะช่วยในกำรตดั สินใจเลอื กเขำ้ ศกึ ษำในมหำวทิ ยำลยั ในสำขำท่ีสนใจ กำรวดั ผลประเมนิ ผลกำรเรียนกำรสอน พฒั นำหลกั สูตร วิธีกำรสอน และงำนวิจยักำรศกึ ษำ เป็นตน้ เช่น กำรวจิ ยั ช้นั เรียนในกำรหำรูปแบบกำรสอนสำหรับ Gen Z กำรใชเ้ กมเพือ่ ส่งเสริมกำรเรียนรู้ สำมำรถทำไดใ้ นหลำยรูปแบบ นอกจำกกำรใหผ้ เู้ รียน เรียนผำ่ นกำรเล่นเกม กำรใหผ้ เู้ รียนเป็นผอู้ อกแบบเกมเอง กส็ ำมำรถเหน่ียวนำใหเ้ กิดกำรเรียนรู้ได้ เช่นกนั (Vattel and Riconscente, online accessed July 2014) ซ่ึงสาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -19วธิ ีกำรเรียนรู้ดงั กล่ำวคือ กำรเรียนรู้ผำ่ นโครงงำน Project-based learning (PBL) นนั่ เอง PBL จดั กำรเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียนสำมำรถบูรณำกำรควำมรู้และทกั ษะในมิติต่ำงๆ นนั่ คือ Learning by doing ท้งั ยงั มีสมำธิในกำรเกำะติดเรื่องใดเรื่องหน่ึงใหย้ ำวข้ึน ในกำรหำคำตอบของปัญหำหรือสถำนกำรณ์ที่สนใจ กำรส่งเสริมใหม้ ีกำรทำงำนเป็นทีม ส่ือสำรอภิปรำยแบบสร้ำงสรรค์ แต่สำหรับ Gen Z เท่ำน้ียงั อำจจะไม่พอ กำรปรับ paradigm หรือกรอบวธิ ีคิด โดยใชก้ ำรเรียนกำรสอนแบบ “flipped classrooms” ซ่ึงผเู้ รียนมีหนำ้ ท่ีในกำรขวนขวำยเสำะหำควำมรู้ต่ำงๆท่ีบำ้ นหรือเวลำอ่นื นอกเวลำเรียน อำจเป็นควำมรู้ที่ผสู้ อนสร้ำงหรือกำหนดออกแบบใหผ้ ำ่ นส่ือหรือเทคโนโลยตี ่ำงๆหรือเป็นองค์ควำมรู้ท่ีผเู้ รียนบริหำรจดั กำรเอง (self-directed learning) ซ่ึงควำมรู้เหล่ำน้ีจะถกู นำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นช้นั เรียนสำหรับเด็ก Gen Z ตอ้ งกำรรูปแบบกำรจดั กำรเรียนกำรสอนที่มคี วำมยดึ หยนุ่ (flexibility) นนั่ คือ วธิ ีใดๆก็ไดท้ ่ีใชไ้ ดด้ ีและทำใหผ้ เู้ รียนพอใจและปรำรถนำท่ีจะมีส่วนร่วมในกำรเรียนรู้และชว่ ยพฒั นำเขำ้ ใจของนกั เรียน นน่ั คือวิธีที่ใช่สำหรับพวกเขำ และการจดั รูปแบบการเรียนรู้ต้งั แต่สถานท่ี เนื้อหา กระบวนการ และวธิ ีการประเมนิ ผล(assessments) จะต้องมกี าร ปรับเปลย่ี นให้เหมาะสมและสอดคล้องกนั 1.6.5. งำนดำ้ นการวางแผนเพ่ือพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ เช่น ขอ้ มลู มลู ค่ำกำรส่งสินคำ้ เขำ้ และออกจะช่วยบอกกำรขำดดุลกำรคำ้ เช่น สถิติกำรส่งออก (Export) -- ยำงแผน่ รมควนั ช้นั 1 : ปริมำณและมูลค่ำกำรส่งออกรำยเดือน 2559 มีแนวโนม้ ลดลงท้งั ปริมำณและมูลค่ำ ดงั น้นั ใชก้ ำรวำงแผนกำรปลกู ยำงได้ท่ีมำ : สำนกั งำนเศรษฐกิจกำรเกษตร โดยควำมร่วมมอื ของ กรมศุลกำกรสาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -201.6.6. งำนดำ้ นวิศวกรรมศำสตร์ สถิตกิ บั อาชีพอตุ สาหกรรม สถติ ิมบี ทบำทสำคญั ในกำรวำงแผนกำรผลิตกระบวนกำรผลิตกำรควบคุมคุณภำพและกำรขนส่งผลติ ภณั ฑท์ ำงอตุ สำหกรรม เช่น แผนภูมิควบคุมค่ำพิสยั รูปภำพที่ 1.8 แผนภูมิควบคุมค่ำพิสยัจำกรูปภำพที่ 1.8 พบว่ำ ค่ำพสิ ยั จำกกลมุ่ ตวั อยำ่ งจะกระจำยอยรู่ อบๆ เสน้ แกนกลำง CL ซ่ึงถงึ แมว้ ่ำค่ำพิสยัแต่ละจุดจะมขี นำดแตกต่ำงกนั แต่กย็ งั ไมม่ ีค่ำพิสยั จำกกลมุ่ ตวั อยำ่ งใดตกอยนู่ อกขดี จำกดั ควบคุม จำกผลลพั ธข์ องแผนภูมิควบคุมค่ำพิสยั (R–Chart) ขำ้ งตน้ จึงสรุปไดว้ ำ่ กระบวนกำรบรรจขุ ำ้ วสำรดงั กลำ่ วอยใู่ นกำรควบคุม หรือเป็นไปตำมมำตรฐำนกำรผลติ ท่ีกิจกำรกำหนดไว้ 1.6.7. งำนด้านสังคม ขอ้ มูลกำรเกิดอำชญำกรรม ทำใหป้ ระชำชนระมดั ระวงั ภยั มำกข้ึน ดชั นีช้ีวดัภำพลกั ษณ์คอร์รัปชนั ประจำปี 2558 (Corruption Perceptions Index 2015) ผลคะแนนภำพลกั ษณค์ อร์รัปชนั โลกประจำปี 2558 ประเทศไทยไดท้ ่ี 76 จำก 168 ประเทศ ทำใหเ้ รำตระหนกั ถึงปัญหำและช่วยกนั ต่อตำ้ นกำรคอร์รัปชนั ภำยในประเทศสาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -211.6.8. งำนด้านวทิ ยาศาสตร์ กำรทำกำรวิจยั ดำ้ นต่ำงๆ เช่น จรวดสำมำรถนำกลบั มำใชง้ ำนไดใ้ หม่ซ่ึงเป็นผลงำนกำรทดลองของ SpaceX จะมำเปล่ยี นอนำคตของกำรเดินทำงสู่อวกำศ SpaceX ประสบควำมสำเร็จในกำรส่งจรวดข้ึนไป 50 ไมลแ์ ละกลบั ลงมำยงั ฐำนปล่อยในมหำสมทุ รโครงกำรวิจยั เร่ืองปัญญำประดษิ ฐก์ ำลงั จะนำไปสู่กำ้ วแรก สถำบนั ปัญญำประดิษฐอ์ ลั เลน็ ของ พอล อลั เลน็ ซ่ึงต้งั อยทู่ ่ีซีแอตเติลจะเปิ ดตวั หน่ึงในสำมของโปรแกรมปัญญำประดิษฐน์ ำร่อง “Semantic Scholar” โดยออกแบบมำเพ่ือช่วยนกั วจิ ยั ในกำรทำงำนวจิ ยั ใหม่ๆซ่ึงไดร้ ับกำรเผยแพร่ในโลกวชิ ำกำรอยำ่ งต่อเน่ือง นอกจำกน้ีรำยงำนฉบบัแรกของกำรศกึ ษำเพอ่ื วิจยั AI ในรอบ 100 ปี จะไดร้ ับกำรเผยแพร่ในช่วงปลำยปี 2015 น้ีสาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -22 โดยแสดงประโยชน์ของสถิตใิ นงานด้านต่างๆ ดังรูปภาพท่ี 1.9 รูปภาพที่ 1.9 ประโยชน์ของสถติ ใิ นงานด้านต่างๆ เน่ืองจำกบทบำทของสถิติท่ีมีต่อกิจกรรมในชีวิตประจำวนั ของคนเรำเพม่ิ ข้ึนเร่ือยๆตลอดมำ ดงั น้นั H.G.Wells นกั ปรำชญผ์ มู้ ีชื่อเสียงในสมยั ศตวรรษที่19 ถึงกบั เคยกลำ่ วไวว้ ่ำ ในวนั หน่ึงขำ้ งหนำ้ กำรคิดเชิงสถิติ(Statistics Thinking) จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกำรเป็นพลเมอื งท่ีมปี ระสิทธิภำพเท่ำเทียมกบั ควำมสำมำรถในกำรอ่ำนและเขียนไดเ้ ลยท่ีเดียว ดงั กลำ่ วไดว้ ำ่ สถิติมคี วำมสำคญั และมปี ระโยชน์หลำยประกำร ดงั ต่อไปน้ี สถติ ิช่วยใหท้ รำบถงึ ขอ้ มูลท่ีเกิดข้ึนในอดีต และทรำบถงึ สภำพปัญหำต่ำงๆในปัจจุบนั สถติ ิช่วยพยำกรณ์สิ่งท่ีจะเกิดข้ึนในอนำคตไดถ้ ูกตอ้ งแมน่ ยำพอสมควร สถติ ิช่วยในกำรตดั สินใจวำงแผนกำรดำเนินงำนต่ำงๆใหเ้ ป็นไปอยำ่ งถูกตอ้ งเหมำะสมหรือมี ขอ้ ผดิ พลำดนอ้ ยลง สถิติเป็นเคร่ืองมอื ในกำรประเมินผลกำรดำเนินงำนโครงกำรต่ำงๆว่ำบรรลเุ ป้ำหมำยท่ีกำหนดไวห้ รือไม่ สถติ ิเป็นส่วนหน่ึงของระเบียบวิธีวจิ ยั ในส่วนที่เกี่ยวกบั กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู และกำร แปลควำมหมำย เพอ่ื จะสรุปผลกำรวจิ ยั ไดอ้ ยำ่ งถกู ตอ้ งและมคี วำมหมำย ดงั น้นั นกั วิจยั จำเป็นตอ้ งมคี วำมรู้ ทำงสถิติสาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -231.7 โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถติ ิ โปรแกรมสำเร็จรูปทำงสถิติท่ีแพร่หลำย มกั เป็นโปรแกรมที่พฒั นำจำกคนต่ำงประเทศ ไดแ้ ก่ ประเทศสหรัฐอเมริกำ หรือประเทศทำงแถบยโุ รปเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มของโปรแกรมที่แพร่หลำยและ นิยมใชอ้ ยใู่ นขณะน้ีไดแ้ ก่ 1.7.1 กล่มุ โปรแกรมสำเร็จรูปที่เรียกส้นั ๆ ว่ำ เอสพีเอสเอส (SPSS) ไดแ้ ก่ SPSS SPSSx SPSS/PC+ และSPSS FOR WINDOW โดยที่ SPSS ยอ่ มำจำกคำว่ำ Statistical Package For Social Science โปรแกรม กลุม่ น้ีสร้ำงข้ึนในประเทศสหรัฐอเมริกำ โดยเริ่มพฒั นำใหใ้ ชง้ ำนบนเครื่องไมโครคอมพวิ เตอร์ ขนำดใหญ่ ต่อมำกส็ ำมำรถใช้งำนบนเคร่ืองไมโครคอมพวิ เตอร์ และล่ำสุดไดร้ ับกำรพฒั นำใหใ้ ชร้ ่วมกบั โปรแกรมจดั ระบบงำนที่ใชร้ ูปภำพและเมนูเป็นหลกั ท่ีเรียกวำ่ วนิ โดว(์ Windows) 1.7.2 โปรแกรมสำเร็จรูปมนิ ิแทป็ (MINITTAB) เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปท่ีพฒั นำโดยบริษทั Minitab Inc.ใหส้ ำมำรถใชไ้ ดก้ บั คอมพิวเตอร์ กำรพฒั นำโปรแกรมน้ีเร่ิมข้ึน โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พยี งเพ่อื ประกอบกำร สอนวชิ ำสถติ ิ โดยใชป้ ระมวลผลค่ำสถติ ิต่ำงๆ และไดร้ ับกำรปรับปรุงใหม้ ปี ระสิทธิภำพ เพิ่มข้ึนจนใชง้ ำนไดก้ วำ้ งขวำงท้งัทำงธุรกิจ กำรเกษตร กำรวิจยั และกำรเรียนกำรสอน ควำมสำมำรถของโปรแกรมน้ีอำจคลำ้ ยกบั โปรแกรมในกลุ่มของ SPSS กลำ่ วคือ มี Editor เพอื่ นำขอ้ มลู เขำ้ หำค่ำสถิติเชิงพรรณนำต่ำงๆ และแกไ้ ขขอ้ มูลที่เหมอื นกระดำษทดอเิ ลก็ ทรอนิกส์ แสดงกรำฟที่แสดงกำรแจกแจงของขอ้ มูล กำรแปลง ขอ้ มูล กำรจำลองแบบวเิ ครำะห์สถิติต่ำงๆ เช่นกำรทดสอบสมมติฐำนดว้ ย T-Test กำรวเิ ครำะหค์ วำมแปรปรวน กำรวเิ ครำะหส์ มกำรถดถอย กำรวเิ ครำะห์อนุกรมเวลำ สถติ ิไร้พำรำมิเตอร์ กำรวเิ ครำะหต์ วั แปรพหุคูณ กำรวเิ ครำะหป์ ัจจยั เป็นตน้ 1.7.3 กลุม่ โปรแกรมโปรแกรมสำเร็จรูปแซด SAS บน PC เป็นโปรแกรมท่ีพฒั นำโดยบริษทั SAS InstituteINC. โดยท่ี SAS ยอ่ มำจำก Statistical Analytical Science ควำมสำมำรถในกำรประมวลผลขอ้ มลู คลำ้ ย กบัโปรแกรมท้งั 2 กลมุ่ โปรแกรมทก่ี ล่ำวมำแลว้ ขำ้ งตน้ และมีควำมสำมำรถในกำรท่ีผใู้ ชจ้ ะใชห้ ลกั ในกำรเขียนโปรแกรมเพือ่ เรียกขอ้ มลู ที่บนั ทึกไวใ้ นลกั ษณะ Index file มำใชง้ ำนไดด้ ว้ ย 1.7.4 โปรแกรมภำษำ R คือภำษำคอมพิวเตอร์ท่ีใชส้ ำหรับงำนคำนวณทำงสถติ ิถกู พฒั นำโดย Ross Ihakaและ Robert Gentleman ในปี ค.ศ.1997 สำมำรถใชง้ ำนไดบ้ นระบบปฏิบตั ิกำร Unix , Macintosh และ Windows 1.7.5 โปรแกรมสำเร็จรูปอน่ื ๆ ไดแ้ ก่ Excel for Windows เอบีสแตด (AB-STAT) ซิสสแตด (SYSTAT)เอก็ ซพอลร่ิงสเตด (EXPLORING STAT) คิวเอสบี (QSB) ทีเอสพี (TSP) ฯลฯ โปรแกรมเหล่ำน้ีมีท้งั โปรแกรมท่ีทำงำนเฉพำะดำ้ น เช่น TSP เป็นโปรแกรมเพื่อกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูลอนุกรมเวลำ QSB เป็นโปรแกรมทำงกำรวิจยัดำเนินงำน เป็นตน้ ส่วน SYSTAT เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปทำงสถิติที่มีควำมสำมำรถค่อนขำ้ งครบครนั ในกำรคำนวณหำค่ำต่ำงๆ ทำงสถิติพ้ืนฐำนและสถติ ิช้นั สูง ซ่ึงเคยไดร้ ับควำมนิยมแพร่หลำยในสถำบนั กำรศกึ ษำต่ำง ๆมำแลว้ ระยะหน่ึงแต่ปัจจุบนั กลบั ไมแ่ พร่หลำย เทียบเท่ำโปรแกรมใน 3 กล่มุ ขำ้ งตน้ เป็นตน้ สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -241.8 ระเบยี บวธิ ีการทางสถติ ิ (Statistical Methods)คือ กำรศกึ ษำเก่ียวกบั ระเบียบวิธี ที่ใชก้ บั กำรวำงแผนกำรสำรวจ และกำรวำงแผนกำรทดลอง ตลอดจนกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลโดยวธิ ีกำรต่ำงๆ กำรวิเครำะหข์ อ้ มูล กำรตีควำมหมำยขอ้ มูล และกำรนำผลสรุปไปใชใ้ นกำรตดั สินใจปฏิบตั ิงำน กำรจะนำหลกั เกณฑท์ ำงสถติ ิไปใชใ้ นกำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู เพอื่ สรุปใหฝ้ ่ ำยบริหำรใชใ้ นกำรตดั สินใจ ซึ่งมขี ้ันตอนการใช้สถติ กิ บั งานต่าง ๆ ดังข้นั ตอนระเบยี บวธิ ีทางสถิติ ดงั รูปภาพท่ี 1.10 ต่อไปนี้ระเบียบวิธีทางสถิติ (Statistical Method)• การเก็บรวบรวมขอ้ มูล (Collection of data)• การวิเคราะหข์ อ้ มูล (Analysis of data)• การนาเสนอขอ้ มูล (Presentation of data)• การสรุปและแปลความหมายขอ้ มูล (Conclusion and Interpretation of data) รูปภาพที่ 1.10 ข้ันตอนระเบยี บวธิ ีทางสถิติ1.9 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู (Collection of Data) กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลหมำยถึง กระบวนกำรต่ำงๆท่ีจะไดม้ ำซ่ึงขอ้ มูลที่ตอบสนองวตั ถุประสงคก์ ำรวิจยัอำจทำไดห้ ลำยวิธีเช่น กำรส่งแบบสอบถำม กำรสมั ภำษณ์ กำรสงั เกต และกำรทดลอง ขอ้ มูลที่เก็บตอ้ งดีพอ หำกขอ้ มูลไม่ดีพอ จะทำให้ขำดควำมเช่ือถือ (Reliability) และขำดควำมถูกตอ้ ง (Validity) เป็ นกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูลเพื่อนำมำวเิ ครำะห์ ขอ้ มูลอำจประกอบดว้ ยขอ้ มลู ปฐมภูมิ และทุติยภูมิ และเป็นขอ้ มูลท้งั เชิงคุณภำพและเชิงปริมำณในกรณีที่ใชจ้ ะเป็นผรู้ อบรวมขอ้ มูล ซ่ึงมวี ธิ ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แบ่งเป็น 3 วิธีดงั น้ี 1.9.1 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู จากระเบียนและทะเบยี น บำงคร้ังอำจตอ้ งเก็บขอ้ มูลจำกประชำกรท่ีมขี นำดใหญ่ โดยกำรทำสำมะโน (Census) กำรทำสำมะโน มกั ใชก้ บั ประชำกรท่ีมขี นำดใหญ่ไมม่ ำกนกั ถำ้ เป็นประชำกรขนำดใหญ่ ที่ตอ้ งกำรศึกษำท้งั ประชำกร ควรเป็นประชำกรที่มรี ำยละเอียดพร้อมที่เขำ้ ไปเกบ็ ขอ้ มูลได้ง่ำยและมีควำมจำเป็นจะตอ้ งศกึ ษำท้งั ประชำกรน้นั สำมะโน (Census) เป็นวธิ ีกำรเกบ็ ขอ้ มลู โดยกำรแจงนบั ทุกหน่วยของประชำกร ซ่ึงอำจเป็นกำรแจงนบั โดยกำร นบั วดั หรือ ชงั่ กำรสมั ภำษณ์ที่มกี ำรเผชิญหนำ้ กนั ตลอดจนกำรอำศยั ส่ือกลำงต่ำงๆ โดยการทาสามะโนประชากรของภำครัฐบำลที่กระทำทุกๆ 10 ปี หรือตวั อยำ่ ง เช่น ธนำคำรพำณิชยท์ ี่สนใจยอดบญั ชีคงเหลือของลูกคำ้ ท่ีฝำกเงินประเภทออมทรัพยท์ ่ีมีอยจู่ ำนวน 1,000,000 รำยในเดือนหน่ึง 1.9.2 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยวธิ กี ารสารวจ โดยกำรสำรวจดว้ ยตวั อยำ่ ง (Sample Survey) เป็นวธิ ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล โดยกำรแจงนบั บำงหน่วยของประชำกร โดยแต่ละหน่วยของประชำกรที่ถกู แจงนบั จะเป็นไปโดยสุ่ม กำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู วิธีน้ีเป็นวธิ ีที่ประหยดั เวลำและงบประมำณ กำรสำรวจสนำมเป็นวธิ ีกำรสาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -25เก็บขอ้ มลู จำกประชำกรเป้ำหมำยท่ีกระจำยอยใู่ นพ้นื ท่ีต่ำงๆ อำจใชว้ ิธี ดงั น้ี สงั เกตกำรณ์(Observation) กำรสมั ภำษณ์ (Interview) กำรใชแ้ บบสอบถำม (Questionnaire)1.9.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยการทดลองและการสังเกต ควำมแตกต่ำงของกำรศกึ ษำจำกกำรทดลองและจำกกำรสงั เกต กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยศึกษำจำกกำรทดลองเป็นกำรขอ้ มลู ที่ผวู้ ิจยั ทำกำรควบคุมตวัแปรทดลองใหผ้ นั แปรตำมท่ีตอ้ งกำร จะตอ้ งมกี ำรควบคุมปัจจยั บำงอยำ่ ง เพื่อใหส้ ำมำรถศึกษำอิทธิพลของปัจจยัน้นั ต่อขอ้ มลู ที่รวบรวม และใชว้ ิธีกำรสุ่มเพอื่ ช่วยเฉลย่ี อทิ ธิพลของปัจจยั อ่ืน ท่ีไม่สำมำรถควบคุมได้เน่ืองจำกปัจจยั เหล่ำน้นั อำจมีผลต่อขอ้ มูล ส่วนกำรเกบ็ ขอ้ มูลโดยศกึ ษำจำกกำรสงั เกตน้นั ไมม่ กี ำรควบคุมปัจจยั ท่ีมีผลต่อขอ้ มลู รูปภาพท่ี 1.11 แสดงโครงสร้ำงกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลดว้ ยวธิ ีต่ำงๆ รูปภาพที่ 1.11 แสดงโครงสร้ำงกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยวิธีต่ำงๆเคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ด้วยวธิ ีต่างๆ ทีน่ ยิ มใช้มดี งั นี้วธิ กี ารได้ข้อมูลที่มาจากเอกสาร (Document) ไดจ้ ำกกำรศกึ ษำคน้ ควำ้ จำกหอ้ งสมดุ ต่ำงๆ จำกสถำนที่รำชกำรจำกองคก์ รเอกชน จำกบุคคลต่ำงๆ จำกแหลง่ เอกสำรอืน่ ๆข้อดขี องข้อมูลที่มาจากเอกสาร ข้อเสียของข้อมูลทม่ี าจากเอกสาร• สะดวกรวดเร็ว • ขอ้ มลู ไม่ครบถว้ นสมบูรณ์พอ• ไม่ตอ้ งทำกำรเกบ็ ใหม่ ทำใหป้ ระหยดั เวลำและค่ำใชจ้ ่ำย • ขอ้ มูลอำจผดิ พลำดไมถ่ กู ตอ้ ง• สำมำรถศึกษำยอ้ นหลงั ไดไ้ กลเท่ำที่เอกสำรน้นั จะทำได้ • ขอ้ มลู ไมท่ นั สมยัทำใหท้ รำบแนวโนม้ กำรเปล่ียนแปลงสาขาวิชาสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -26 วธิ กี ารเกบ็ ข้อมลู แบบวธิ สี ังเกตการณ์ (Observation) กำรสงั เกต เป็ นเครื่องมือท่ีใชใ้ นกำรเก็บขอ้ มูลที่ตอ้ งใชป้ ระสำทสมั ผสั ของผวู้ ิจยั พร้อมๆกนั หลำยๆอยำ่ ง โดยเฉำะอยำ่ งยิง่ ประสำทสัมผสั ทำงตำและหู กำรสงั เกตจะใชไ้ ดด้ ีสำหรับกำรศึกษำคุณลกั ษณะและพฤติกรรมของบุคคล รวมถึงปรำกฎกำรณ์และพิธีกำรต่ำงๆ แบ่งเป็ น 2ประเภท 1. การสังเกตทางตรง (Direct Observation) เป็ นกำรเก็บขอ้ มูลท่ีผวู้ ิจยั หรือผสุ้ งั เกตตอ้ งเฝ้ำดูเหตุกำรณ์หรือปรำกฎกำรณ์ที่เกิดข้ึนดว้ ยตนเอง จะตอ้ งอำศยั ประสำทสัมผสั ทำงตำเป็ นส่วนใหญ่ รองลงมำเป็ นทำงหู แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ คือ กำรสงั เกตกำรณ์แบบเขำ้ ไปมสี ่วนร่วม (Participant observation) เป็ นกำรสังเกตที่ผสู้ งั เกตเขำ้ ไปมี ส่วนรวมในเหตุกำรณ์หรือกิจกรรมท่ีเกิดข้ึนดดยผูถ้ ูกสังเกตอำจรู้ตวั หรือไม่ก็ได้ แต่ตอ้ งกำร กำรศึกษำพฤติกรรมตำมปกติและเป็นควำมจริงกไ็ มค่ วรใหผ้ ถู้ กู สงั เกตรู้ตวั กำรสงั เกตกำรณ์แบบไม่ไดม้ ีส่วนร่วม (Non-participant observation) เป็ นกำรสังเกตที่ผสู้ ังเกตอยู่ ภำยนอก และกระทำตนเป็นผดู้ ูเพยี งอยำ่ งเดียว ผถู้ กู สงั เกตจะไม่รู้ว่ำตนถูกสงั เกตโดยผอู้ ่ืน มีขอ้ เสีย คือไมส่ ำมำรถติดตำมดูพฤติกรรมไดท้ ุกอยำ่ ง 2. การสังเกตทางอ้อม (Indirect Observation) เป็ นกำรเก็บข้อมูลที่มีผูว้ ิจยั หรือผุส้ ังเกตไม่ไดเ้ ห็นเหตุกำรณ์ หรือพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนโดยตรง แต่อำศยั กำรถ่ำยทอดด้วยเคร่ืองมืออยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึงท่ีเก็บบนั ทึกเหตุกำรณ์น้นั ไว้ เช่น กำรศึกษำขอ้ มลู จำกภำพยนตร์ บนั ทึกเหตุกำรณ์ต่ำงๆ ภำพถำ่ ยทอดเหตุกำรณ์ท่ีเกิดข้ึนข้อดี ข้อเสีย•ไดข้ อ้ มูลท่ีลึกซ้ึงกว่ำวธิ ีกำรอื่น •ใชไ้ ดเ้ ฉพำะบำงเรื่องที่ศึกษำ•เป็นขอ้ มูลท่ีไดจ้ ำกสถำณกำรณ์จริง •ส้ินเปลือง ใชเ้ วลำนำน•เป็นขอ้ มลู ท่ีมองถึงกำรเปลยี่ นแปลงของ •หำบุคลำกรที่จะทำหนำ้ ที่สงั เกตกำรณ์ยำกข้นั ตอนต่ำงๆ •สรุปผลกำรศกึ ษำยำกวิธีการสัมภาษณ์ เป็ นวิธีกำรเก็บรวบรวมขอ้ มูลท่ีตอ้ งอำศยั คำถำมจำกผสู้ ัมภำษณ์และคำตอบจำกผตู้ อบสำมำรถถำม บุคคลทุกระดบั ทุกเพศ ทุกวยั ยดื หยนุ่ ได้ ไดข้ อ้ มลู ครบถว้ น ใชก้ ำรสงั เกตกำรณ์ร่วมดว้ ยได้ เป็นวิธีที่ดีที่สุดเก่ียวกบั พฤติกรรม ควำมรู้สึกนึกคิดและทศั นคติ แต่อำจมกี ำรบิดเบือนได้ อำจไดข้ อ้ มูลไม่เพียงพอหำกผู้ถูกสมั ภำษณ์มเี วลำมำกพอประเภทของการสัมภาษณ์ เม่ือพิจำรณำลกั ษณะกำรสมั ภำษณ์ จะแบ่งกำรสมั ภำษไดเ้ ป็น 2 ประเภท คือ1. กำรสัมภำณ์ท่ีมีโครงสร้ำงแน่นอน หรือกำรสัมภำษณ์แบบเป็ นมำตรฐำน (Structured or Standardized Interview) เป็นกำรสมั ภำษณ์ท่ีมกี ำรกำหนดตวั คำถำมและคำตอบไวเ้ รียบร้อบแลว้ โดยคำตอบเป็นแบบใหเ้ ลอื ก ตออบอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง ใน 2 คำตอบแบบ Check List หรือเป็นแบบใหผ้ ตู้ อบจดั อนั ดบั ควำมสำคญั ของคำตอบ แบบ Rating Scale กำรสมั ภำษณ์แบบน้ีมกั ใชใ้ นกำรสำรวจ เช่น กำรสมั มะโนประชำกร เป็นตน้สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -272. กำรสัมภำณ์ที่ไม่มีโครงสร้ำงแน่นอน หรื อกำรสัมภำษณ์แบบไม่เป็ นมำตรฐำน (Unstructured or Un-Standardized Interview) เป็นกำรสมั ภำษณ์ท่ีไม่มีกำรกำหนดตวั คำถำมและคำตอบท่ีแน่นอนตำยตวั คำถำมจะมีกำรเปล่ยี นแปลงและหยอื หยนุ่ ได้ ผสู้ มั ภำษณ์มอี สิ ระในกำรดดั แปลงคำถำมใหเ้ หมำะสม แต่ตอ้ งเป็ นไปตำมท่ีไดต้ ้งั วตั ถปุ ระสงคไ์ ว้ ผตู้ อบมีอิสระในกำรตอบวธิ กี ารเกบ็ ข้อมูลแบบวธิ ีสัมภาษณ์ แบ่งออกไดเ้ ป็น 2 ลกั ษณะ• กำรสมั ภำษณ์ทำงโทรศพั ท์ Telephone Interview• กำรสมั ภำษณก์ บั ตวั บคุ คล Face to Face Interviewข้อดีและข้อเสียของการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ข้อดีวธิ สี ัมภาษณ์ ข้อเสียวธิ ีสัมภาษณ์• สำมำรถรู้ถงึ เหตุกำรณ์ต่ำงๆทนั เวลำที่ • ไม่สำมำรถใชว้ ิธีกำรสงั เกตกำรณ์ได้เกิดข้ึน ณ ท่ีอ่ืน • จำกดั เฉพำะผมู้ โี ทรศพั ทเ์ ท่ำน้นั• รวดเร็วประหยดั เวลำค่ำใชจ้ ่ำย • ใชเ้ วลำในกำรสมั ภำษณ์จำกดั• อำจไดข้ อ้ มูลตรงควำมจริงมำกที่สุด • สิ้นเปลืองค่ำใชจ้ ่ำยข้อดีและข้อเสียของการสัมภาษณ์กบั ตวั บุคคลข้อดีของการสัมภาษณ์กบั ตวั บุคคล ข้อเสียของการสัมภาษณ์กบั ตวั บุคคล• ระบุผสู้ มั ภำษณ์ไดแ้ น่นอน • ขอ้ มลู อำจถกู บิดเบือนไดง้ ่ำย• ถำมคำถำมไดม้ ำก • ค่ำใชจ้ ่ำยสูง• ทำไดแ้ น่นอนตำมกำหนดเวลำ • แข่งกบั เวลำ • บุคคลบำงคนใหส้ มั ภำษณ์ไดย้ ำก วธิ ีการใช้แบบสอบถาม แบบสอบถำมเป็ นชุดของคำถำมท่ีเก่ียวกบั เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง สร้ำงข้ึนมำเพ่ือใช้รวบรวมขอ้ มูลจำกกลมุ่ ตยั ำ่ งจำนวนมำก ไดแ้ ก่ ขอ้ มูลเก่ียวกบั ขอ้ เท็จจริง ควำมคิดเห็น เจตคติ ควำมรู้สึก ควำมเชื่อและควำมสนใจต่ำงๆ ลกั ษณะของแบบสอบถำมที่ตวั แปรที่วดั ไดด้ ว้ ยวิธีน้ีจะเป็ นตวั แปรเกี่ยวกบั ควำมคิด จิตใจเช่น ควำมสนใจ ควำมคิดเห็น บุคลกิ ภำพ ทศั นคติ ฯลฯ หรือตวั แปรเกี่ยวกบั ขอ้ เท็จจริงต่ำงๆ ของผู๔้ กสอบถำมอำทิ เพศ อำยุ กำรศกึ ษำ ภูมิลำเนำ รำยได้ ฯลฯจดุ ประสงค์ของการใช้แบบสอบถามแยกเป็ น•กำรสอบถำมควำมจริง Factual survey•กำรสอบถำมควำมคิดเห็น Opinion survey•กำรสอบถำมเหตุผล Interpretative surveyชนิดแบบสอบถำม มีไดห้ ลำยชนิด ดงั น้ี1. Schedule2. Questionnaire3. Check list4. Rating Scaleสาขาวิชาสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -28ข้อดแี ละข้อเสียของการใช้แบบสอบถาม ข้อเสีย • ประชำกรที่ศึกษำจำกดั อยเู่ ฉพำะผทู้ ี่สำมำรถอำ่ นและ ข้อดี • ตน้ ทุนต่ำ เป็นวิธีกำรท่ีประหยดั ท่ีสุด เขียนไดเ้ ท่ำน้นั • สำมำรถไปถึงกลมุ่ ตวั อยำ่ งที่กระจำยตำมพ้ืนท่ี • ผตู้ อบไมส่ นใจตอบ กำรไดร้ ับคืนต่ำ • ผตู้ อบไม่สำมำรถซกั ถำมปัญหำต่ำงๆได้ ตอ้ งตีควำมเอง ต่ำงๆอยำ่ งพร้อมๆกนั • ขอ้ มูลอำจไม่ทนั สมยั กำรเปล่ียนแปลงของเวลำ • ควำมสะดวกสบำยของผตู้ อบ • กลำ้ เปิ ดเผยขอ้ มลู ทศั นคติเปล่ยี นเร็ว1.10 การวเิ คราะห์ข้อมลู และการประมวลผล หลงั จำกไดเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู มำแลว้ ตอ้ งวเิ ครำะหข์ อ้ มลู แลว้ นำผลไปเพ่อื สรุป กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู อำจทำได้2 ข้นั ตอนดงั น้ี 1.10.1 การวเิ คราะห์ข้อมลู ข้นั ต้น กำรวิเครำะหข์ อ้ มูลขำ้ งตน้ หรือที่เรียกว่ำสถิติเชิงพรรณนำ (DescriptiveStatistics) เป็นกำรสรุปถงึ ลกั ษณะของขอ้ มลู ท่ีมีอยดู่ งั น้นั ผวู้ ิเครำะหอ์ ำจเป็นผทู้ ่ีไมม่ คี วำมรู้ทำงสถติ ิมำก่อนกไ็ ด้กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู ขำ้ งตน้ อำจพจิ ำรณำในรูปของกำรแจกแจงควำมถี่ กำรหำค่ำสดั ส่วนหรือร้อยละ กำรวดัแนวโนม้ เขำ้ สู่ส่วนกลำง เช่น ค่ำเฉลี่ย ค่ำมธั ยฐำน และค่ำฐำนนิยม กำรวดั กำรกระจำยของขอ้ มลู เช่น ค่ำพสิ ยั ค่ำแปรปรวน ค่ำเบ่ียงเบนมำตรฐำน ฯลฯ 1.10.2 การวเิ คราะห์ข้อมลู ข้นั สูง กำรวิเครำะหข์ อ้ มูลข้นั สูงหรือเรียกว่ำ สถิติเชิงอนุมำน (InferenceStatistics) เป็นกำรสรุปถงึ ลกั ษณะของประชำกรโดยใชข้ อ้ มลู ตวั อยำ่ ง กำรวิเครำะห์ในข้นั น้ีไดแ้ ก่ กำรประมำณค่ำกำรทดสอบสมมติฐำนทำงสถิติ กำรวิเครำะหค์ วำมแปรปรวน กำรวเิ ครำะหค์ วำมถดถอยและสหสมั พนั ธ์ เป็นตน้1.11 การนาเสนอข้อมูลสถติ ิ (Statistical Presentation) หลงั จำกที่ไดว้ เิ ครำะหข์ อ้ มูลแลว้ จะตอ้ งนำเสนอผลของกำรวิเครำะห์ โดยกำรนำเสนออำจทำไดใ้ นรูปแบบต่ำง ๆ เช่น ขอ้ ควำม ตำรำง แผนภูมิและกรำฟ ส่วนใหญ่มกั จะนำเสนอในรูปขอ้ ควำมควบคู่กบั ตำรำง หรือแผนภูมิหรือกรำฟ เพือ่ ใหส้ ะดวกต่อควำมเขำ้ ใจและสำมำรถเปรียบเทียบได้ กำรนำเสนอขอ้ มลู สถติ ิแบ่งออกเป็น2 แบบใหญ่ ๆ คือ แสดงดงั รูปภาพท่ี 1.12 กำรนำเสนอขอ้ มูลสถติ ิ 1.11.1 การนาเสนอข้อมลู สถติ โิ ดยไม่มแี บบแผน (Informal Presentation) ก. กำรนำเสนอขอ้ มูลสถติ ิเป็นบทควำม เป็นกำรนำเสนอขอ้ มูลโดยใชต้ วั เลขประกอบขอ้ ควำมเช่น กำรวิจยั และพฒั นำของประเทศไทย ต้งั แต่ปี 2543-2556 ประเทศไทยมีกำรลงทุนดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำเพิม่ ข้ึนเฉลย่ี ร้อยละ 16 ต่อปี จำก 12,406 ลำ้ นบำท ในปี 2543 เป็น 57,038 ลำ้ นบำทในปี 2556 โดยสดั ส่วนกำรลงทุนดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำต่อผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภำยในประเทศ เพ่ิมข้ึนเป็นร้อยละ 0.47 ต่อ GDP ในปี 2556จะเห็นไดว้ ำ่ ที่ผำ่ นมำกำรลงทุนดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำโดยภำคเอกชนเพยี งไม่ถงึ ร้อยละ 50 แต่แนวโนม้ ต้งั แต่ปี 2554เป็นตน้ มำ จะเห็นไดว้ ำ่ ในภำคเอกชนมีแนวโนม้ เพ่มิ กำรลงทุน R&D ใกลเ้ คียงกบั ภำครัฐ (รวมภำคอ่ืนๆ)สาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -29ที่มำ: 1. สำนกั งำนคณะกรรมกำรวจิ ยั แห่งชำติ 2. สำนกั พฒั นำวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยแี ห่งชำติ 3. สำนกั งำนคณะกรรมกำรนโยบำยวิทยำศำสตร์เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมแห่งชำติ ข. กำรนำเสนอขอ้ มูลสถิติเป็นบทควำมก่ึงตำรำง เป็นกำรนำเสนอขอ้ มูลโดยใชต้ วั เลขประกอบขอ้ ควำมก่ึงตำรำง เช่น “ ากการรายงานข งสานกั งานสถิติแหงชาติ เก่ียวกบั การลงทุนข งชาวตางชาติ ต้งั แตเ ื นมกราคม .ศ. 2539 ถงึ เ ื นธนั วาคม .ศ. 2539 ปรากฏวาเป็นการลงทุน ากประเทศสหรั เมริกา 6,900 ลา้ นบาท ากประเทศเกาหลใี ต้ 350 ลา้ นบาท ากประเทศญ่ีปนุ 530 ลา้ นบาทและ ากประเทศสิงคโปร์ 160 ลา้ นบาท” ตารางแส งการลงทุนข งชาวตางชาติ ระหวางเ ื นมกราคม - ธนั วาคม 2539( หนวย : ลา้ นบาท) ประเทศ การลงทุน สหรั เมริกา 6,900 ญี่ปุน 530 เกาหลี 350 สิงคโปร์ 160 ที่มา : สานกั งานสถติ ิแหงชาติ 1. 11.2 การนาเสนอข้อมลู สถติ โิ ดยมแี บบแผน (Formal Presentation) 1.11.2.1 การเสนอข้อมลู สถติ ดิ ้วยตาราง (Tabular Presentation) เป็นกำรนำเสนอขอ้ มูลโดยเรียงตำมลกั ษณะต่ำงๆ ท่ีสนใจทำใหส้ ำมำรถเปรียบเทียบขอ้ มลู ไดง้ ่ำยข้ึน ตำรำงทวั่ ๆไปจะมีส่วนประกอบดว้ ยหมำยเลขตำรำง ช่ือตำรำง หวั เรื่อง หมำยเหตุ ตวั เรื่อง สำหรับตำรำงท่ีนำเสนอขอ้ มลู จะแบ่งออกเป็น 5 ชนิดต่อไปน้ี ก. ตารางแบบทางเดียว(One–way Table) เป็นตำรำงที่จำแนกขอ้ มลู ดำ้ นใดดำ้ นหน่ึง หรือปัจจยั ใดปัจจยั หน่ึงเพียงปัจจยั เดียว เช่น กำรผลติ เมลด็ ขำ้ วโพดของกรมส่งเสริมกำรเกษตร ดงั แสดงในตำรำงท่ี 1.7 ตารางท่ี 1.7 กำรผลิตเมลด็ ขำ้ วโพดของกรมส่งเสริมกำรเกษตร ข. ตารางแบบสองทาง (Two –way Table) เป็นตำรำงที่จำแนกขอ้ มูลตำมลกั ษณะของขอ้ มลู 2 ดำ้ น หรือ 2 ปัจจยั เช่น ปริมำณกำรนำเขำ้ อำหำรสตั วข์ องประเทศไทย พ.ศ. 2550-2555 ดงั แสดงในตารางท่ี 1.8 สาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -30ตารางที่ 1.8 ปริมำณกำรนำเขำ้ อำหำรสตั วข์ องประเทศไทย พ.ศ. 2550-2555 ของประเทศต่ำงๆ ค. ตารางแบบหลายทาง (Multi–way Table) เป็นตำรำงท่ีจำแนกขอ้ มลู ตำมลกั ษณะของขอ้ มลู ต่ำงๆหลำยดำ้ น หรือหลำยปัจจยั เช่น สดั ส่วนบคุ ลำกรดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำต่อผลงำนตีพมิ พด์ ำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ปี 2557 ดงั แสดงในตำรำงท่ี 1.9 ตารางที่ 1.9 สดั ส่วนบุคลำกรดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำต่อผลงำนตีพมิ พด์ ำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ปี 2557 ที่มำ: 1. ฐำนขอ้ มูล ISI (Institute for Scientific Information) 2. IMD, World Competitiveness Yearbook 2014 ง. ตารางแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution Table) เป็นตำรำงท่ีจำแนกขอ้ มูลตำมลกั ษณะต่ำงๆของขอ้ มูล ในรูปควำมถ่ที ี่ตกอยใู่ นแต่ละระดบั ตวั แปรในตำรำง เช่น กำรจำแนกท่ีอยอู่ ำศยั ในทอ้ งที่แห่งหน่ึงตำมจำนวนสมำชิกในครอบครัว ซ่ึงมจี ำนวนต้งั แต่ 1 คน 2 คน 3 คน จนถงึ 6 คน และต้งั แต่ 7 คน ข้ึนไป ดงั ตารางที่ 1.10 (ก)-(ง)สาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -31 ตารางที่ 1.10 (ก) จำนวนครอบครวั จำแนกตำมจำนวนสมำชกิ ในครอบครัว จำนวนสมำชิกในครอบครัว (คน) จำนวนครอบครัว 1 25 2 180 3 254 4 467 5 182 6 95 ต้งั แต่ 7 ข้ึนไป 41 รวม 1,244ตารางที่ 1.10 (ข) จำนวนนกั ท่องเท่ียวที่เดินทำงเขำ้ มำในประเทศไทย ใน พ.ศ. 2539 จำแนกตำม กลุม่ ประเทศ กลุม่ ประเทศ จำนวนคน อเมริกำ 386,592 ยโุ รป 1,350,301 แอฟริกำ 37,952 ตะวนั ออกกลำง 67,125 เอเชียและแปซิฟิ ก 3,312,473 รวมท้งั ส้ิน 5,136,443 ท่ีมำ : กำรท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยตารางที่ 1.10 (ค)ตำรำงแสดงจำนวนคนไขท้ ี่เขำ้ มำรักษำทีโ่ รงพยำบำลแห่งหน่ึงจำแนกตำมเพศ เพศ จำนวนคนไข้ (คน) ชำย 259 หญิง 376 รวม 635สาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -32 ตารางที่ 1.10 (ง) ตำรำงแสดงจำนวนนกั ศกึ ษำจำแนกตำมควำมสูง ควำมสูงของนิสิต (ซม.) จำนวน 134 - 144 5 145 - 154 18 155 - 164 42 165 - 174 27 175 - 184 8 รวม 100 จ. ตารางแจกแจงความถ่ีสัมพทั ธ์ (Relative Frequency Distribution Table) เป็นตำรำงท่ีจำแนกขอ้ มูลตำมลกั ษณะต่ำงๆของขอ้ มูล ในรูปร้อยละของควำมถีท่ ี่ตกอยใู่ นแต่ละระดบั ตวั แปรในตำรำง เช่น ร้อยละกำลงั แรงงำนดำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี จำแนกตำมกล่มุ อำยุ ปี 2557 ดงั ตำรำงท่ี 1.11 (ก) ตารางที่ 1.11 (ก) ร้อยละกำลงั แรงงำนดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี จำแนกตำมกลมุ่ อำยุ ปี 2557 กล่มุ อำย(ุ ปี) ร้อยละกำลงั แรงงำน 15-19 0.5 20-29 31.0 30-39 38.0 40-49 19.1 50-59 9.6 ต้งั แต่ 60 ข้ึนไป 1.8 รวม 100สาขาวิชาสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -33ตำรำงท่ี 1.11 (ข) ตารางแส งความถี่สมั ทั ธ์ (ร้ ยละ)ข งคนใข้ าแนกตามเ ศ เ ศ านวนคน ข้ (คน) ความถสี่ มั ทั ธ์ (สั สวน) ชาย 259 259/635 =0.41(41%) หญิง 376 376/635 = 0.59(59%) รวม 635 1.0(100%) 1.11.2.2 การเสนอข้อมูลสถติ ดิ ้วยกราฟและรูป (Graphic Presentation) เทคนิคกำรนำเสนอขอ้ มูลสถติ ิดว้ ยกรำฟและรูปกำรนำเสนอขอ้ มูลดว้ ยกรำฟแบ่งเป็น 12ประเภท คือ แผนภูมแิ ท่ง (Bar Chart) ใชใ้ นกำรเปรียบเทียบลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึงเพียงลกั ษณะเดียวสำหรับขอ้ มลู เชิงคุณภำพ โดยอำจจะเปรียบเทียบโดยกำรจดั เรียงตำมแนวต้งั หรือแนวนอนกไ็ ด้ มี 3 ชนิด คือ แผนภูมแิ ท่งเชิงเดียว (Simple Bar Chart) เมือ่ ตอ้ งกำรเสนอขอ้ มูลสถิติโดยขอ้ มลู ท่ีจะนำเสนอน้นั มีเพียงชุดเดียวนำเสนอ ตวั อยำ่ งรูปภำพท่ี 1.13 จำนวนกำรยนื่ คำขอรับสิทธิบตั รในประเทศไทยระหว่ำงปี 2546-2556 (หน่วย: รำยกำร) เป็นกำรเสนอขอ้ มลู ใชแ้ ผนภูมแิ ท่งเชิงเดียวแบบแนวต้งั และรูปภำพที่ 1.1410 ประเทศที่มีกำรลงทุนดำ้ นกำรวิจยั และพฒั นำ (R&D) สูงสุด เป็นกำรนำเสนอขอ้ มูลดว้ ยแผนภูมิแท่งเชิงเดียวแบบแกนนอน ที่มำ: กรมทรัพยส์ ินทำงปัญญำรูปภำพที่ 1.13 จำนวนกำรยนื่ คำขอรับสิทธิบตั รในประเทศไทยระหว่ำงปี 2546-2556 (หน่วย: รำยกำร) R&D ในประเทศเอเชียแปซิฟิ กสาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 แสดงดังรูปภาพที่ 1.12 การ ไม่เป็ นแบบแผน ว บทความ ตาราง แผนภ บทความกงึ่ ตาราง ทางเดยี ว สองทาง หลายทาง แจกแจงความถี่ เชิงเดยี ว เชิงซ้อน เชิงประกอบ สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์แล
หนา้ ที่ 1 -34รนาเสนอข้อมูลสถิตแิ บ่งออกเป็ น 2 แบบใหญ่ ๆวธิ เี สนอข้อมูล เป็ นแบบแผนภูมิ-แผนภาพ กราฟ แผนภูมิก้านและใบ (STEM AND LEAF) แผนทส่ี ถิติ เชิงเดยี ว BOXPLOTแผนภูมิวงกลม เชิงซ้อน SCATTER DIAGRAMแผนภูมิรูปภาพ เชิงประกอบ แผนภูมแิ ท่ง สมดลุ ย์ บวก-ลบ ซ้อนกนั ปิ รามดิละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -35รูปภำพที่ 1.14 10 ประเทศที่มกี ำรลงทุนดำ้ นกำรวิจยั และพฒั นำ (R&D) สูงสุด เป็นกำรนำเสนอขอ้ มลู ดว้ ย แผนภูมิแท่งเชิงเดียวแบบแกนนอน รูปภำพที่ 1.14 10 ประเทศท่ีมีกำรลงทุนดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำ (R&D) สูงสุด แผนภูมแิ ท่งเชิงซ้อน (Multiple Bar Chart) เมือ่ ตอ้ งกำรนำเสนอขอ้ มูลสถิติในเชิงเปรียบเทียบ เมื่อตอ้ งกำรนำเสนอในเชิงเปรียบเทียบขอ้ มลู ต้งั แต่ 2 ชุดข้ึนไป ขอ้ มูลสถิติที่จะนำเสนอดว้ ยแผนภูมแิ ท่งตอ้ งเป็นขอ้ มลู ประเภทเดียวกนั หน่วยของตวั เลขเป็นหน่วยเดียวกนั และควรใชเ้ ปรียบเทียบขอ้ มลูเพียง 2 ชุดเท่ำน้นั ซ่ึงอำจเป็นแผนภูมิในแนวต้งั หรือแนวนอน ก็ไดส้ ิ่งที่สำคญั ตอ้ งมกี ญุ แจ (Key) อธิบำยวำ่แท่งใดหมำยถึงขอ้ มูลชุดใดไวท้ ่ีกรอบล่ำงของกรำฟ ดูตวั อยำ่ งจำกรูปที่ 1.15 ร้อยละของนกั ศกึ ษำปีกำรศึกษำ2557ที่มำ: 1. สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอุดมศกึ ษำ 2. สำนกั งำนเลขำธิกำรสภำกำรศึกษำ 3. สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศึกษำ รูปภาพที่ 1.15 ร้อยละของนกั ศึกษำปี กำรศึกษำ 2557สาขาวชิ าสถิติประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -36จากรูปภาพท่ี 1.15 จำนวนนกั ศกึ ษำเขำ้ ใหม่ในสำขำวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยขี องประเทศไทยยงั คงมีสดั ส่วนนอ้ ยเมื่อเทียบกบั สำขำสงั คมศำสตร์และมนุษยศำสตร์ แต่จำนวนนกั ศกึ ษำเขำ้ ใหมร่ ะดบั ต่ำกว่ำปริญญำตรี เช่น ระดบั ประกำศนียบตั รวชิ ำชีพ(ปวช.) และ ระดบั ประกำศนียบตั รวชิ ำชีพช้นั สูง (ปวส.) กลบั มีสดั ส่วนนกั ศกึ ษำสำยวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยมี ำกกวำ่ สำยสงั คมศำสตร์ รูปภาพที่ 1.16 กำรใชอ้ นิ เทอร์เน็ตของประชำกรและครัวเรือน ปี 2550-2557จำกรูปภำพที่ 1.16 กำรเขำ้ ถึงอนิ เทอร์เน็ต ผ ล ก ำ ร สำ ร ว จ ใ น ปี 2 5 5 7 ประเทศไทยมปี ระชำกรอำยุ 6 ปีข้ึนไปที่ใชอ้ ินเทอร์เน็ตจำนวน 21.7 ลำ้ นคน(ร้อยละ 34.9) โดยมสี ดั ส่วนเพ่มิ ข้ึนอยำ่ งต่อเน่ือง และตลอดระยะเวลำ 8 ปี ที่ผำ่ นมำจำนวนครัวเรือนใชอ้ นิ เทอร์เน็ตเพมิ่ สูงข้ึนจำกร้อยละ 7.6 ในปี 2550 เป็นร้อยละ34.7 ในปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผใู้ ชอ้ ินเทอร์เน็ตของประเทศในกลุ่มอำเซียนบวก 6 พบว่ำ ปี 2556 ประเทศไทยอยใู่ นอนั ดบั ที่ 11 (ร้อยละ 28.94) ซ่ึงต่ำกว่ำค่ำเฉลย่ี ของประเทศกำลงั พฒั นำ (ร้อยละ29.90) เลก็ นอ้ ย และยงั ต่ำกว่ำค่ำเฉลยี่ ของทวั่ โลก (ร้อยละ 37.90) แผนภูมแิ ท่งเชิงประกอบ (Component Bar Chart) เม่ือตอ้ งกำรนำเสนอขอ้ มลู สถิติในเชิงส่วนประกอบ กำรนำเสนอขอ้ มลู ในเชิงส่วนประกอบดว้ ยแผนภูมแิ ท่งเชิงประกอบเหมำะจะนำไปใช้เสนอขอ้ มูลเชิงเปรียบเทียบ วิธีทำคือ เมื่อคิดองคป์ ระกอบต่ำงๆเป็นร้อยละของท้งั หมด แลว้ จะใหค้ วำมสูงของแผนภูมแิ ท่งแทนองคป์ ระกอบท้งั หมด ควำมสูงขององคป์ ระกอบแต่ละส่วน เป็นไปตำมสดั ส่วนขององคป์ ระกอบน้นั ๆจะเรียงลำดบั องคป์ ระกอบที่มคี วำมสำคญั มำกใหอ้ ยขู่ ำ้ งลำ่ ง เช่น ค่ำใชจ้ ่ำย R&D ในประเทศเอเชียแปซิฟิ ก ต่อผลิตภณั ฑม์ วลรวมภำยในประเทศและสดั ส่วนระหวำ่ งภำคเอกชนและภำคอ่ืนๆสาขาวิชาสถิติประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -37 ท่ีมำ : IMD, World Competitiveness Yearbook 2014 รูปภาพที่ 1.17 ค่ำใชจ้ ่ำย R&D ในประเทศเอเชียแปซิฟิ ก ต่อผลิตภณั ฑม์ วลรวมภำยในประเทศและสดั ส่วน ระหวำ่ งภำคเอกชนและภำคอนื่ ๆ แผนภูมวิ งกลม (PieChart) เมื่อตอ้ งกำรนำเสนอขอ้ มลู สถติ ิในเชิงส่วนประกอบ กำรนำเสนอขอ้ มูลในเชิงส่วนประกอบ ดว้ ยแผนภูมิวงกลม เช่น แผนภูมิวงกลมสำรวจผมู้ งี ำนทำและสำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ปี 2557 จำแนกตำมสำขำวชิ ำ ดังรูปภาพที่ 1.18 ทม่ี ำ: สำนกั งำนสถิตแิ ห่งชำติรูปภาพท่ี 1.18 ผมู้ งี ำนทำและสำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ปี 2557 จำแนกตำมสำขำวชิ ำสาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -38สรุป จำนวนผเู้ ขำ้ ศกึ ษำใหมส่ ำยวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยขี องประเทศไทย ในปี กำรศึกษำ 2557 มีจำนวน329,158 คน คิดเป็นร้อยละ 40.1 ของจำนวนผเู้ ขำ้ ศกึ ษำใหม่ท้งั หมด สำหรับจำนวนผสู้ ำเร็จกำรศกึ ษำในสำยวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยขี องประเทศไทย ในปี กำรศกึ ษำ 2555 มีจำนวน 237,714 คน คิดเป็นร้อยละ 45.7ของจำนวนผสู้ ำเร็จกำรศกึ ษำท้งั หมดในปี 2557 กำลงั แรงงำนดำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยรี วมท้งั หมดมีจำนวน3.78 ลำ้ นคน โดยจำแนกเป็น 2 ประเภท คือ ผมู้ ีงำนทำท้งั หมด 3.73 ลำ้ นคน (แบ่งเป็น ผสู้ ำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยแี ต่ไมไ่ ดท้ ำงำนดำ้ นน้ี 1.39 ลำ้ นคน และ ผทู้ ี่ทำงำนดำ้ นวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี 2.34 ลำ้ นคน) และ กลุ่มผวู้ ำ่ งงำนที่สำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี 52,425 คนจำกแนวโนม้ กำลงั แรงงำนดำ้ นวิทยำศำสตร์ส่วนมำกอยใู่ นกลมุ่ ประชำกรวยั ทำงำน(อำย3ุ 0-39 ปี ) ในขณะท่ีประเทศมีควำมตอ้ งกำรแรงงำนทกั ษะดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยเี พมิ่ สูงข้ึน ประเทศไทยจึงจำเป็นตอ้ งวำงแผนเพิ่มจำนวนบคุ ลำกรดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี โดยพฒั นำกำรวำงแนวทำงอำชีพใหช้ ดั เจนมำกข้ึนและตวั อยำ่ งเปรียบเทยี บสถิติกำรยน่ื จดทะเบียนสิทธิบตั รกำรประดิษฐแ์ ละสิทธิบตั รกำรออกแบบ ของคนไทยและต่ำงชำติ ในประเทศไทย (หน่วย: รำยกำร) ดงั กรำฟวงกลม รูปภาพท่ี 1.19 ท่ีมำ: กรมทรัพยส์ ินทำงปัญญำ รูปภาพท่ี 1.19 สถติ ิกำรยนื่ จดทะเบียนสิทธิบตั รในประเทศไทย แผนภูมเิ ชิงเส้น (Line Chart) แบ่งเป็น 3 ชนิด แผนภูมเิ ส้นเดยี่ ว (Simple Line Chart) ถำ้ ตอ้ งกำรเปรียบเทียบขอ้ มลู สถติ ิโดยพจิ ำรณำลกั ษณะของขอ้ มลู เพยี งลกั ษณะเดียว ควรจะนำเสนอดว้ ยแผนภูมเิ สน้ เดี่ยว ซ่ึงสำมำรถนำเสนอขอ้ มลู ท่ีมีหน่วยเหมือนกนั หรือมหี น่วยต่ำงกนั ได้ เช่น ค่ำใชจ้ ่ำยดำ้ นกำรวิจยั และพฒั นำของประเทศไทย ปี 2543-2556ดูรูปภำพท่ี 1.20สาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -39รูปภาพท่ี 1.20 ค่ำใชจ้ ่ำยดำ้ นกำรวิจยั และพฒั นำของประเทศไทย ปี 2543-2556มีแนวโนม้ เพ่มิ ข้ึน แสดงว่ำรฐบำลใหค้ วำมสำคญั งบประมำณดำ้ นกำรวจิ ยั และพฒั นำ และ ที่มำ : Gobal Trade Atlas(2013) รูปภำพท่ี 1.21 ปริมำณกำรส่งออกเมลด็ พนั ธุข์ ำ้ วโพดเล้ยี งสตั วข์ องไทย ปี พ.ศ. 2541-2555จะเห็นว่ำปี 2544-2549 ปริมำณกำรส่งออกเมลด็ พนั ธุข์ ำ้ วโพดเล้ยี งสตั วค์ งที่ จะเพ่มิ ข้ึน ปี 2550-2552 และเร่ิมมี แนวโนม้ ลดลงเรื่อยๆในปี ถดั มำสาขาวิชาสถิติประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -40 แผนภูมเิ ส้นหลายเส้น(Multiple Line Chart) ถำ้ ตอ้ งกำรเปรียบเทียบขอ้ มลู สถติ ิหลำยประเภทพร้อมๆกนั ควรจะนำเสนอดว้ ยแผนภูมเิ สน้ ซ่ึงสำมำรถนำเสนอขอ้ มูลที่มีหน่วยเหมอื นกนั หรือมหี น่วยต่ำงกนัได้ ดูรูปภำพท่ี 1.22 มลู ค่ำกำรส่งออกของภำคอตุ สำหกรรมของประเทศไทยจำแนกตำมระดบั เทคโนโลยี ปี2548-2557 ท่มี ำ: OECD ประมวลผลโดย สวทน.รูปภำพท่ี 1.22 มลู ค่ำกำรส่งออกของภำคอตุ สำหกรรมของประเทศไทยจำแนกตำมระดบั เทคโนโลยี ปี 2548-2557ท่ีมำ: ดดั แปลงจำกธีรพงษ์ เปรมพนิ ิจ(2545); เอมอร องั สรัตน์ (2555) และสำนกั เศรษฐกิจกำรเกษตร(2555) รูปภำพที่ 1.23 ปริมำณผลผลิตกำรส่งออกและกำรใชใ้ นประเทศ พ.ศ. 2530-2554สาขาวชิ าสถติ ิประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -41 ฮสิ โตแกรม (Histogram) จะมลี กั ษณะเหมือนแผนภูมแิ ท่งทุกประกำร ต่ำงกนั เฉพำะตรงที่ฮิสโตแกรมน้นั แต่ละแท่งจะติดกนั สำหรับกำรนำเสนอขอ้ มูลเชิงปริมำณ โดยแกนนอนแทนค่ำขอ้ มลู ใชค้ ่ำขอบเขตล่ำงและบนเป็นเสกลแกนต้งั ใชค้ วำมถี่หรือร้อยละควำมถสี่ มั พนั ธเ์ ป็นเสกลดูรูปภำพที่ 1.24จำนวน (คน) 121086420 เงนิ เดือน 5,000 6,000 7,000 8,000 10,000 รูปภาพที่ 1.24 ฮิสโตแกรมแสดงเงินเดือนของพนกั งำนในบริษทั แห่งหน่ึง กำรนำเสนอขอ้ มลู สถิติดว้ ยแผนภูมภิ ำพ (Pictograph) กำรนำเสนอขอ้ มลู สถติ ิดว้ ยวธิ ีน้ีจึงเป็นกำรเสนอสถิติที่เขำ้ ใจง่ำยท่ีสุด ดงั ตวั อยำ่ งยอดขำยขนมคุกก้ีของร้ำนแห่งหน่ึงระหว่ำงปี 2003-2005 ดูรูปภำพที่ 1.25รูปภาพท่ี 1.25 ยอดขำยขนมคุกก้ีของร้ำนแห่งหน่ึงระหว่ำงปี 2003-2005สาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -42 • ระดบั ตำ่ กวำ่ ปริญญำตรี คนทำงำนดำ้ น วท. แต่สำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นอนื่ ลดลง • ระดบั ปริญญำตรีข้นึ ไป คนทำงำนดำ้ น วท. แต่สำเร็จกำรศกึ ษำดำ้ นอน่ื เพ่มิ ข้ึน ที่มำ: กำรสำรวจภำวะกำรทำงำนของประชำกร สำนกั งำนสถิตแิ ห่งชำติ รูปภาพท่ี 1.26 ผทู้ ำงำนดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี จำแนกตำมระดบั กำรศกึ ษำ ปี 2556-2557 กำรเสนอขอ้ มูลสถติ ิดว้ ยแผนท่ีสถติ ิเป็นกำรนำเสนอขอ้ มลู ที่เกี่ยวขอ้ งกบั สภำพภูมศิ ำสตร์หรือสถำนที่ เช่น สถติ ิเก่ียวกบั ควำมหนำแน่นของประชำกรตำมภูมภิ ำคต่ำงๆ สถติ ิจำนวนผปู้ ่ วยเป็นไขท้ รพษิที่ระบำดในประเทศบงั คลำเทศ กำรแบ่งล่มุ น้ำยอ่ ยในพ้ืนที่ล่มุ น้ำท่ำจีน และสดั ส่วนค่ำใชจ้ ่ำยR&Dต่อผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภำยในประเทศ เป็นตน้ ดงั รูปภำพที่ 1.27สาขาวิชาสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -43ที่มำ : UNESCO Institute for Statistics Fact Sheet – A Global Investment in research and development (2012) ที่มำ: สำนกั งำนสถติ ิแห่งชำติจำกรูปภำพที่ 1.27 ควำมเหลอ่ื มล้ำในโลกดิจิทลั โดยภำพรวมกำรเขำ้ ถึงและใชง้ ำนเทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสื่อสำรของคนไทยมแี นวโนม้ เพ่ิมข้ึนทุกปี แต่ยงั มคี วำมเหลอื่ มล้ำของโอกำสในกำรเขำ้ ถึงกำรใชง้ ำนในแต่ละพ้ืนท่ี ซ่ึงส่วนใหญ่กระจกุ ตวั อยใู่ นเขตเมืองใหญ่อยำ่ งกรุงเทพฯ ท้งั กำรใชง้ ำนโทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ีคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต(1) โทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่เขำ้ ถงึ ทุกพ้นื ที่ ขอ้ มูลผใู้ ชโ้ ทรศพั ทเ์ คลือ่ นท่ีจำแนกตำมรำยภำค ปี 2557 กรุงเทพฯ มีผใู้ ช้โทรศพั ทเ์ คล่ือนที่สูงสุด รองลงมำคือภำคกลำง ภำคเหนือ ภำคใต้ และภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือแมว้ ำ่ กำรใช้โทรศพั ทเ์ คล่อื นที่ในกรุงเทพฯ และภำคกลำงจะมสี ดั ส่วนสูงกว่ำภำคอืน่ แต่หำกเปรียบเทียบกบั ขอ้ มูลในอดีตถือว่ำควำมแตกต่ำงระหว่ำงภำคไดล้ ดลงไปมำก(2) กำรใชค้ อมพิวเตอร์กระจุกตวั ขอ้ มลู ผใู้ ชค้ อมพวิ เตอร์ของประเทศไทยจำแนกตำมภูมภิ ำค พบว่ำกรุงเทพฯมผี ใู้ ชค้ อมพิวเตอร์มำกท่ีสุดรองลงมำคือภำคกลำง ภำคใต้ ภำคเหนือ และภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือโดยสดั ส่วนผใู้ ชค้ อมพิวเตอร์ยงั กระจุกตวั อยใู่ นกรุงเทพฯ และคำดวำ่ แนวโนม้ ในอนำคตจะยงั คงเป็นเช่นน้ีสาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -44(3) อนิ เทอร์เน็ตประเทศไทย เมอ่ื พจิ ำรณำจำนวนผใู้ ชอ้ นิ เทอร์เน็ตในแต่ละภูมภิ ำค ในปี 2557กรุงเทพฯ ยงั เป็นพ้ืนที่ท่ีมีผใู้ ชอ้ นิ เทอร์เน็ตมำกที่สุด รองลงมำคือภำคกลำง ภำคใตภ้ ำคเหนือ และภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือโดยภำพรวมผใู้ ชอ้ นิ เทอร์เน็ตส่วนใหญ่ยงั คงกระจุกตวั อยใู่ นพ้นื ที่ที่มคี วำมเจริญทำงเศรษฐกิจ แผนภูมแิ ทง บวก - ลบ (plus - minus bar chart) คื แผนภูมิแทงท่ีใชแ้ ส งการเปรียบเทียบข้ มลู ที่มีคาเป็น ป ท้ ้งั คาบวกและคาลบ แผนภูมชิ นิ น้ีสวนใหญใชแ้ ส งงบ ุล การคา้ หรืกา ร ขา ทุน ข งบริษทั หา้ งร้านตาง ๆ งั ตวั ยาง ดุลกำรคำ้ อุตสำหกรรมเทคโนโลยขี ้นั สูง จำแนกตำมประเภทอุตสำหกรรม ปี 2552-2557 รูปภำพท่ี 1.28 ท่ีมำ: OECD ประมวลผลโดย สวทน. รูปภำพที่1.28 ดุลกำรคำ้ อุตสำหกรรมเทคโนโลยขี ้นั สูง จำแนกตำมประเภทอุตสำหกรรม ปี 2552-2557 เม่ือพจิ ารณาเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยขี ้นั สูง พบว่า• อตุ สำหกรรมท่ีเกินดุลกำรคำ้ อยำ่ งต่อเน่ือง คือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เฉลี่ย 300,000ลำ้ นบำทต่อปี• อตุ สำหกรรมท่ีขำดดุลกำรคำ้ มำอยำ่ งต่อเน่ือง คือ ยำ อิเลก็ ทรอนิกส์และเครื่องมือวิทยำศำสตร์ และอำกำศยำนมีกำรขำดดุลเพ่มิ ข้ึนทุกปี ที่มำ: OECD ประมวลผลโดย สวทน.สาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -45รูปภำพท่ี1.29 ดุลกำรคำ้ อุตสำหกรรมเทคโนโลยขี ้นั กลำงก่ึงสูง ปี 2548-2557เมอ่ื เปรียบเทียบมลู ค่ำกำรนำเขำ้ -ส่งออก ดุลกำรคำ้ ของอตุ สำหกรรมเทคโนโลยขี ้นั กลำงก่ึงสูง ในระยะหลงั ต้งั แต่ปี 2555มีแนวโนม้ เพิ่มสูงข้ึน Boxplot (Box – and – Whisker - Plot) ท้งั ฮิสโตแกรม (Histogram) และแผนภูมกิ ำ้ นและใบ (Stem and Leaf) ไดใ้ หร้ ำยละเอยี ดเก่ียวกบักำรแจกแจงของขอ้ มลู ว่ำ มีจุดยอดจุดเดียว หรือมีจดุ ยอดหลำยจุด และใหค้ วำมหนำแน่น (ควำมถ)ี่ ของขอ้ มลูในแต่ละช่วง Boxplot เป็นเทคนิคท่ีใชร้ ำยละเอียดเกีย่ วกบั กำรแจกแจงของขอ้ มูล โดยแทนที่จะใหค้ ่ำของขอ้ มลู เหมือนแผนภูมกิ ำ้ นและใบ (Stem and Leaf) แต่ Boxplot จะใหร้ ำยละเอียดของค่ำสถติ ิเพ่ือตรวจสอบสำหรับกำรแจกแจง นน่ั คือ จะพลอ็ ตค่ำมธั ยฐำน ควอไทลท์ ี่ 1 หรือเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ี่ 25 และควอไทลท์ ่ี 3หรือเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ่ี 75 และใหค้ ่ำขอ้ มลู ท่ีมคี ่ำผดิ ปกติ นน่ั คือ ค่ำที่สูงมำกหรือต่ำมำก (Outier) จำกค่ำกลำง รูปภาพท่ี 1.30 แสดงลกั ษณะของ Boxplot* ค่ำของขอ้ มลู ที่มำกกว่ำ 3 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box โดยวดั จำกเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ่ี 75 (Extremes Outier) ค่ำของขอ้ มูลที่มำกกวำ่ 1.5 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box โดยวดั จำกเปอร์เซน็ ตไ์ ทลท์ ี่ 75 (Mild Outlier) ค่ำสูงสุดของขอ้ มลู ที่ยงั ไม่ผดิ ปกติ เปอร์เซ๊นต์ไทล์ท่ี 75 = ค่าสูงสุดของ box มัธยฐ = ่ึ ล ข box = เป ์เซ็ ์ไ ล์ ี่ 50 เปอร์เซ๊นต์ไทล์ท่ี 25 = ค่าต่าสุดของ box <------ ค่ำต่ำสุดของขอ้ มลู ที่ยงั ไม่ผดิ ปกติ รูปภาพที่ 1.30 แสดงลกั ษณะของ Box plot ค่ำของขอ้ มูลที่นอ้ ยกวำ่ 1.5 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box โดยวดั จำกเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ี่ 25 (Mild Outlier)* ค่ำของขอ้ มูลที่นอ้ ยกวำ่ 3 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box โดยวดั จำกเปอร์เซน็ ตไ์ ทลท์ ่ี 25 (Extremes Outlier) ค่ำต่ำสุด = เปอร์เซน็ ตไ์ ทลท์ ี่ 25 ของขอ้ มลู หรือควอไทลท์ ี่ 1 (Q1) ค่ำสูงสุด = เปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ่ี 75 ของขอ้ มลู หรือควอไทลท์ ี่ 3 (Q3) ค่ำกลำง = ค่ำมธั ยฐำนหรือเปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ่ี 50 หรือควอไทลท์ ่ี 2 (Q2)ควำมกวำ้ งของ box = Q3- Q1 = IQR (Interquartile Range) หรือกลำ่ ววำ่ 50% ของขอ้ มลู อยใู่ น box หรือมคี ่ำในช่วงของค่ำต่ำสุดและสูงสุด นอกจากน้ัน boxplot ยงั แสดงค่าผดิ ปกติ 2 ลกั ษณะคือสาขาวิชาสถิติประยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถิติ 09121015 หนา้ ที่ 1 -461. ขอ้ มูลท่ีมคี ่ำมำกกว่ำ 3 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box นบั จำกค่ำสูงสุดหรือค่ำต่ำสุด และจะเรียกค่ำเหลำ่ น้ีวำ่ extremes แสดงดว้ ยเครื่องหมำย ดอกจนั (*)2. ขอ้ มลู ที่มคี ่ำระหวำ่ ง 1.5 ถึง 3 เท่ำของควำมกวำ้ งของ box นบั จำกค่ำสูงสุดหรือค่ำต่ำสุด และจะเรียกค่ำเหล่ำน้ีว่ำ Mild Outlier แสดงดว้ ยเคร่ืองหมำย จุด ( ) ความหมายของ Boxplot1. การวดั ค่ากลางของข้อมลู จะพจิ ำรณำจำกค่ำมธั ยฐำน ดงั น้ี ถำ้ ค่ำมธั ยฐำนอยตู่ รงกลำงของ box แสดงวำ่ กำรแจกแจงของขอ้ มูลมคี วำมสมมำตร ดงั แสดงในรูปที่ 1.31 (ก) ถำ้ ค่ำมธั ยฐำนอยทู่ ำงดำ้ นลำ่ งของ box แสดงวำ่ ขอ้ มลู เบบ้ วก หรือเบข้ วำ ดงั แสดงในรูปที่ 1.31 (ข) ถำ้ ค่ำมธั ยฐำนอยทู่ ำงดำ้ นบนของ box แสดงวำ่ ขอ้ มลู เบล้ บ หรือเบซ้ ำ้ ย ดงั แสดงในรูปที่ 1.31 (ค) รูปภาพที่ 1.31 แสดงลกั ษณะของค่ากลาง (ก) สมมำตร (ข) เบบ้ วก/เบข้ วำ (ค) เบล้ บ/เบซ้ ำ้ ย 2. การวดั การกระจายของข้อมลู จะพจิ ำรณำจำก ก. ควำมกวำ้ งของ box - ถำ้ ควำมกวำ้ งของ box มำก แสดงวำ่ ขอ้ มูลมกี ำรกระจำยมาก - ถำ้ ควำมกวำ้ งของ box นอ้ ย แสดงวำ่ ขอ้ มูลมกี ำรกระจำยน้อย ข. ค่ำ outlier และ extremes - ถำ้ มี outlier และ extremes มำกแสดงว่ำหำงของกำรแจกแจงยำวหรือขอ้ มูลมีกำรกระจำยมำก - ถำ้ มี outlier และ extremes นอ้ ยแสดงวำ่ หำงของกำรกระจำยส้นั หรือขอ้ มูลมีกำรกระจำยนอ้ ยตวั อย่างที่ 1.1 จงสร้ำง boxplot จำกขอ้ มูลต่อไปน้ี 33 21 43 25 29 41 43 49 44 52สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -47วธิ ีทา จำกขอ้ มูลที่มี 10 ค่ำ จดั เรียงค่ำขอ้ มลู จำกค่ำนอ้ ยไปหำค่ำมำก และคำนวณค่ำต่ำง ๆ ไดด้ งั น้ีข้ันตอนที่ 1ข้ันจดั เรียงค่ำขอ้ มลู จำกค่ำนอ้ ยไปหำค่ำมำก 21 25 29 33 41 43 43 44 49 52 ค่าตา่ สุดเท่ากบั 21 ค่าสูงสุดเท่ากบั 52ข้ันตอนที่ 2ข้ันหำตำแหน่ง P25 P50 และ P75 P25 = ((25 / 100) x 10) + 0.5 = 3 P50 = ((50 / 100) x 10) + 0.5 = 5.5 P75 = ((75 / 100) x 10) + 0.5 = 8 Max = 52 = 4450.00 = 4240.00 = 2930.00 Min = 2120.00 รูปภำพที่ 1.32 จำกแผนภำพจะพบว่ำกำรแจกแจงของข้อมลู เบ้ซ้าย ไม่มีขอ้ มูลผดิ ปกติตวั อย่างที่ 1.2 จำกขอ้ มลู จำนวน 50 ต่อไปน้ี24 29 31 32 33 34 34 35 36 3737 37 37 37 37 37 37 38 38 3838 38 39 39 39 39 39 40 40 4040 40 40 41 41 41 41 42 42 4242 43 43 44 45 47 48 49 51 59จงสร้ำง Box plot ของขอ้ มูลที่มี 50 ค่ำ ดงั น้ีวธิ ีทา จำกขอ้ มลู เรียงลำดบั ที่มี 50 ค่ำ คำนวณค่ำต่ำง ๆ ไดด้ งั น้ี Q1 = ค่ำต่ำสุดของ box = เปอร์เซน็ ตไ์ ทลท์ ี่ 25 = 37 คะแนน Q3 = ค่ำสูงสุดของ box = เปอร์เซ็นตไ์ ทลท์ ี่ 75 = 42 คะแนนค่ำมธั ยฐำน = Q2 = 39 คะแนนค่ำควำมกวำ้ งของ box = IQR = Q3 - Q1 = 42 – 37 = 5 คะแนน Q1 - 1.5 (IQR) = 37 – 1.5(5) = 29.5 Q3 + 1.5 (IQR) = 37 + 1.5(5) = 49.5 Q1 - 3 (IQR) = 37 – 3(5) = 22.0สาขาวชิ าสถิตปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ที่ 1 -48 Q3 + 3 (IQR) = 37 + 3(5) = 57.0 60.00 50 49 50.00 40.00 30.00 2 20.00 1 รูปภำพท่ี 1.33 จากแผนภาพจะพบว่าการแจกแจงของข้อมลู เบ้ขวาเลก็ น้อย และมขี ้อมูลมคี ่าสูง ผดิ ปกติ แผนภูมกิ ้านและใบ (Stem – and – leaf) เป็นวิธีกำรตรวจสอบขอ้ มลู ท่ีใหร้ ำยละเอยี ดมำกกว่ำฮสิ โตแกรม(Histogram) เนื่องจำกจะใหค้ ่ำของขอ้ มูลจริงทุกค่ำ ทำใหส้ ำมำรถเห็นลกั ษณะท่ีแทจ้ ริงของขอ้ มูลได้ วธิ ีกำรสร้ำงแผนภูมกิ ำ้ นและใบ (Stem andleaf) คือ 1. เรียงลำดบั ขอ้ มูลจำกนอ้ ยไปมำก เช่น ถำ้ ขอ้ มูลเป็นเลข 2 หลกั ใหเ้ รียงลำดบั ของเลขหลกั สิบ 2. นำเลขหลกั สิบท่ีเรียงลำดบั แลว้ มำใส่ในแถวต้งั 3. ในแต่ละแถวนอน บนั ทึกขอ้ มลู เรียงตำมลำดบั ของเลขหลกั หน่วยตวั อย่างท่ี 1.3 จำกขอ้ มูลจำนวน 50 ต่อไปน้ี 24 29 31 32 33 34 34 35 36 37 37 37 37 37 37 37 37 38 38 38 38 38 39 39 39 39 39 40 40 40 40 40 40 41 41 41 41 42 42 42 42 43 43 44 45 47 48 49 51 59ใหต้ รวจสอบขอ้ มูลว่ำมีกำรแจกแจงแบบปกติหรือไม่ โดยใชแ้ ผนภูมิกำ้ นและใบ (Stem – and – leaf)Stem-and-Leaf PlotFrequency Stem & Leaf 2.00 Extremes (=<29) 1.00 3 . 1 2.00 3 . 23 3.00 3 . 445สาขาวชิ าสถติ ปิ ระยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี
หลกั สถติ ิ 09121015 หนา้ ท่ี 1 -499.00 3 . 67777777710.00 3 . 888889999910.00 4 . 00000011116.00 4 . 2222332.00 4 . 451.00 4 . 72.00 4 . 892.00 Extremes (>=51)Stem width: 10.00Each leaf: 1 case(s)รูปภำพท่ี 1.34 จากแผนภาพลาต้นและใบจะพบว่าการแจกแจงของข้อมูลจะใกล้เคยี งกบั การแจกแจงแบบปกติ แต่จะเบ้ขวาเลก็ น้อยตวั อย่างที่ 1.4 จงสร้ำงแผนภำพกิ่งและใบไมข้ องขอ้ มูลต่อไปน้ี โดยทำกำรเรียงขอ้ มูลจำกนอ้ ยไปหำมำกดงั น้ี 41 45 46 50 50 51 53 53 53 53 55 55 56 57 57 58 58 59 60 61 61 62 6364 64 65 65 66 66 71 จำกขอ้ มูลขำ้ งตน้ นำมำเขียนแผนภำพกิ่งและใบไม้ ดงั น้ีStem-and-Leaf PlotFrequency Stem & Leaf 1.00 4 . 1 2.00 4 . 567.00 5 . 00133338.00 5 . 556778897.00 6 . 01123444.00 6 . 55661.00 7 . 1Stem width: 10.00Each leaf: 1 case(s)รูปภำพที่ 1.35 จากแผนภาพลาต้นและใบจะพบว่าการแจกแจงของข้อมูลแจกแจงแบบปกติตวั อย่างที่ 1.5 จากข้อมลู นา้ หนกั ทารกแรกเกดิ จานวน 25 คน จำกขอ้ มูลขำ้ งตน้ นำมำเขียนแผนภำพก่ิงและใบไม้ ดงั น้ีสาขาวิชาสถติ ิประยกุ ต์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103