Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

Description: หนังสือวิชา Research Methodology (Pre-Final) (1)

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบคาํ สอน EGTI616 ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั EGTI616 Research Methodology โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อดศิ ร ลลี าสันตธิ รรม สาขาวชิ าเทคโนโลยกี ารจดั การระบบสารสนเทศ คณะวศิ วกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล 2554

คาํ นํา เอกสารประกอบคาํ สอนน้ี มีวตั ถุประสงค์ในการจัดทาํ ข้ึนเพื่อการศึกษาในรายวิชา EGTI616 ระเบียบวิธีการวิจยั สําหรับนกั ศึกษาระดบั ปริญญาโทปี ท่ี 1 ของสาขาวิชาเทคโนโลยีการจดั การระบบ สารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล โดยเน้ือหาในเอกสารประกอบคาํ สอนจะอธิบายถึง การใชว้ ิธีระเบียบวิจยั ในการแกป้ ัญหา คาํ ถามวิจยั การออกแบบการวิจยั เคร่ืองมือต่างๆ สาํ หรับแกป้ ัญหา วจิ ยั การเตรียมตวั เพ่ือทาํ วิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์ตามจรรยาบรรณการวิจยั และจรรยาบรรณการเผยแพร่ ผลงานวิชาการ ซ่ึงจะทาํ ให้นักศึกษาสามารถนาํ ความรู้พ้ืนฐานท่ีไดน้ ้ีไปประยุกตใ์ ชเ้ พื่อทาํ งานวิจยั หรือ ศึกษาต่อในอนาคตได้ ผเู้ ขียนหวงั เป็ นอยา่ งยิ่งว่าเอกสารประกอบคาํ สอนฉบบั น้ี คงจะเป็ นประโยชน์แก่นกั ศึกษาท่ีศึกษา ในรายวิชา EGTI616 ระเบียบวิธีการวิจยั รวมถึงผทู้ ่ีสนใจศึกษาในเร่ืองท่ีเก่ียวพนั กบั เน้ือหาสาระดงั กล่าวไม่ มากกน็ อ้ ย ผเู้ ขียนมีความขอบพระคุณเป็นอยา่ งสูง และยนิ ดีที่จะรับขอ้ แนะนาํ ตาํ หนิติชมต่างๆเพ่ือจะนาํ ไป เป็นขอ้ มูลในการปรับปรุงแกไ้ ขเอกสารประกอบคาํ สอนน้ีใหม้ ีความสมบูรณ์ยงิ่ ข้ึนในอนาคต สุดทา้ ยน้ีหาก มีขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผเู้ ขียนใคร่ขออภยั มา ณ ที่น้ี ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. อดิศร ลีลาสนั ติธรรม ธนั วาคม 2554 ก

ช่ือสถาบนั อดุ มศึกษา รายละเอยี ดของรายวชิ า วทิ ยาเขต/คณะ/ภาควชิ า มหาวทิ ยาลยั มหิดล คณะวิศวกรรมศาสตร์ หมวดที่ ๑ ข้อมูลทว่ั ไป ๑. รหัสและช่ือรายวชิ า วศทส ๖๑๖ ระเบียบวิธีการวิจยั EGTI 616 Research Methodology ๒. จํานวนหน่วยกติ ๒(๒-๐-๔) หน่วยกิต (บรรยาย-ปฏิบตั ิ-ศึกษาดว้ ยตนเอง) ๓. หลกั สูตรและประเภทของรายวชิ า วิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการจดั การระบบสารสนเทศ เป็ นรายวิชาในหมวด วชิ าบงั คบั ๔. อาจารย์ผู้รับผดิ ชอบรายวชิ าและอาจารย์ผู้สอน ๔.๑ อาจารยผ์ รู้ ับผดิ ชอบรายวชิ า ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร ลีลาสนั ติธรรม สถานท่ีติดต่อ : สาขาวิชาเทคโนโลยกี ารจดั การระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล e-mail: [email protected] โทร. ๐๒ ๘๘๙ ๒๑๓๘ ต่อ ๖๓๐๐ ๔.๒ อาจารยผ์ สู้ อน ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.อดิศร ลีลาสนั ติธรรม สถานที่ติดต่อ : สาขาวชิ าเทคโนโลยกี ารจดั การระบบสารสนเทศ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหิดล e-mail: [email protected] โทร. ๐๒ ๘๘๙ ๒๑๓๘ ต่อ ๖๓๐๐ ๕. ภาคการศึกษา/ช้ันปี ทเ่ี รียน ภาคการศึกษาท่ี ๒ ช้นั ปี ท่ี ๑ ๖. รายวชิ าทต่ี ้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) - ไม่มี - ๗. รายวชิ าทตี่ ้องเรียนพร้อมกนั (Co-requisites) -ไม่มี - ข

๘. สถานทเี่ รียน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหิดล (ศาลายา) ๙. วนั ทจ่ี ดั ทาํ หรือปรับปรุงรายละเอยี ดของรายวชิ าคร้ังล่าสุด ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ หมวดที่ ๒ จุดมุ่งหมายและวตั ถุประสงค์ ๑. จุดมุ่งหมายของรายวชิ า เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแลว้ นกั ศึกษาสามารถ ๑.๑ วิเคราะห์แนวคิดกระบวนการวิจยั กาํ หนดปัญหาการวิจยั ตวั แปรและสมมติฐานการเก็บ รวบรวมขอ้ มลู ได้ ๑.๒ เขียนโครงร่างงานวจิ ยั และจดั ทาํ กระบวนการวิจยั ท่ีสอดคลอ้ งตามจรรยาบรรณการวิจยั ได้ ๑.๓ เสนอแนวคิดในกระบวนการวิจยั ท่ีตนเองสนใจไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพและนาํ เสนอผลงาน อยา่ งมีจรรยาบรรณการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ ๒. วตั ถุประสงค์ในการพฒั นา/ปรับปรุงรายวชิ า เพ่ือให้นกั ศึกษามีความรู้ความเขา้ ใจเก่ียวกบั กระบวนการวิจยั และสามารถจดั ทาํ กระบวนการวิจยั ตามจรรยาบรรณการวจิ ยั และนาํ เสนอผลงานอยา่ งมีจรรยาบรรณการเผยแพร่ผลงานวิชาการ หมวดท่ี ๓ ลกั ษณะและการดําเนินการ ๑. คาํ อธิบายรายวชิ า การใช้วิธีระเบียบวิจัยในการแก้ปัญหา คาํ ถามวิจัย การออกแบบการวิจัย เคร่ืองมือต่างๆ สําหรับแก้ปัญหาวิจัย การเตรียมตวั เพื่อทาํ วิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์ตามจรรยาบรรณการวิจยั และ จรรยาบรรณการเผยแพร่ผลงานวชิ าการ Research methodologies in problem solving, research question, research design, tools for solving research problem, preparation for thesis or thematic paper setup in ethics of research and research public. ๒. จาํ นวนชั่วโมงทใี่ ช้ต่อภาคการศึกษา ๒ ชวั่ โมง จาํ นวนชว่ั โมงบรรยายต่อสปั ดาห์ ๐ ชวั่ โมง จาํ นวนชวั่ โมงฝึกปฏิบตั ิการต่อสปั ดาห์ ค

จาํ นวนชวั่ โมงฝึกปฏิบตั ิงานภาคสนามต่อสปั ดาห์ ๐ ชว่ั โมง จาํ นวนชวั่ โมงการศึกษาดว้ ยตนเอง ๔ ชว่ั โมง ๓. จาํ นวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ทอี่ าจารย์ให้คาํ ปรึกษาและแนะนําทางวชิ าการแก่นักศึกษาเป็ นรายบุคคล ๑) อาจารยป์ ระจาํ รายวิชา ประกาศเวลาใหค้ าํ ปรึกษาผา่ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ๒) อาจารยจ์ ดั เวลาใหค้ าํ ปรึกษาเป็นรายบุคคล หรือ รายกลุ่มตามความตอ้ งการ ๑ ชวั่ โมงต่อ สปั ดาห์ (เฉพาะรายที่ตอ้ งการ) ๓) นกั ศึกษาจองวนั เวลาล่วงหนา้ แลว้ มาพบตามเวลา หมวดที่ ๔ การพฒั นาผลการเรียนรู้ของนักศึกษา ๑. คุณธรรม จริยธรรม ๑.๑ คุณธรรม จริยธรรมที่ตอ้ งพฒั นา ๑.๑.๑ มีความรับผดิ ชอบต่อภาระหนา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมาย (ผลการเรียนรู้ ๑.๑) ๑.๑.๒ สามารถแกไ้ ขประเดน็ ปัญหาของสาขาวชิ าเทคโนโลยรี ะบบสารสนเทศดว้ ย กระบวนการวจิ ยั ที่ถูกตอ้ งตามจรรยาบรรณการวิจยั และจรรยาบรรณการเผยแพร่ผลงานวิชาการ (ผลการ เรียนรู้ ๑.๒) ๑.๑.๓ สามารถส่ือสารได้ โดยคาํ นึงถึงความรู้สึกของผอู้ ื่นที่จะไดร้ ับผลกระทบ (ผลการเรียนรู้ ๑.๔) ๑.๒ วิธีการสอนท่ีจะพฒั นาการเรียนรู้ ๑.๒.๑ บรรยาย ๑.๒.๒ กรณีศึกษา ๑.๒.๓ การอภิปราย ๑.๒.๔ การนาํ เสนอผลงาน ๑.๓ วิธีการประเมินผล ๑.๓.๑ ความรับผดิ ชอบต่อภาระหนา้ ท่ีที่ไดร้ ับมอบหมาย ประเมินจาก (๑) จาํ นวนคร้ังของการเขา้ ช้นั เรียนของนกั ศึกษา (๒) จาํ นวนคร้ังของการส่งงานท่ีไดร้ ับมอบหมายตามระยะเวลาที่กาํ หนด ๑.๓.๒ ความสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาของสาขาวิชาเทคโนโลยีระบบสารสนเทศด้วย กระบวนการวิจยั ที่ถูกตอ้ งตามจรรยาบรรณการวิจยั และจรรยาบรรณการเผยแพร่ผลงานวิชาการ ประเมิน จาก (๑) ผลงานของนกั ศึกษา ๑.๓.๓ การสื่อสารไดโ้ ดยคาํ นึงถึงความรู้สึกของผอู้ ่ืนท่ีจะไดร้ ับผลกระทบ ประเมินจาก ง

(๑) ความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระท่ีนาํ เสนอ ๒. ความรู้ ๒.๑ ความรู้ท่ีตอ้ งไดร้ ับ ๒.๑.๑ สามารถบูรณาการความรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการจัดการระบบ สารสนเทศเพอ่ื ใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามกระบวนการวจิ ยั (ผลการเรียนรู้ ๒.๒) ๒.๑.๒ สามารถพฒั นาและจัดทาํ กระบวนการวิจยั ในสาขาวิชาเทคโนโลยีการจดั การระบบ สารสนเทศไดด้ ว้ ยตนเอง (ผลการเรียนรู้ ๒.๓) ๒.๒ วธิ ีการสอนที่จะพฒั นาการเรียนรู้ ๒.๒.๑ บรรยาย ๒.๒.๒ กรณีศึกษา ๒.๒.๓ การอภิปรายกลุ่ม ๒.๒.๔ การสืบคน้ ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ๒.๒.๕ การนาํ เสนอผลงาน ๒.๓ วธิ ีการประเมินผล ๒.๓.๑ สามารถบูรณาการความรู้ และประยกุ ตค์ วามรู้ดา้ นเทคโนโลยกี ารจดั การระบบสารสนเทศ เพอื่ ใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามกระบวนการวิจยั ประเมินจาก (๑) การเขียนรายงานจากการสืบคน้ ขอ้ มลู (๒) การนาํ เสนอผลงานจาการสืบคน้ ขอ้ มลู ๒.๓.๒ สามารถพฒั นาและจดั ทาํ กระบวนการวิจยั ในสาขาวิชาเทคโนโลยีการจดั การระบบ สารสนเทศไดด้ ว้ ยตนเอง ประเมินจาก (๑) การนาํ เสนอผลงานจากการอภิปรายกรณีศึกษา ๓. ทกั ษะทางปัญญา ๓.๑ ทกั ษะทางปัญญาท่ีตอ้ งพฒั นา ๓.๑.๑ สามารถวิเคราะห์และแกไ้ ขประเด็นปัญหาที่เก่ียวขอ้ งเทคโนโลยสี ารสนเทศถูกตอ้ งตาม กระบวนการวจิ ยั อยา่ งมีจรรยาบรรณการวิจยั (ผลการเรียนรู้ ๓.๑) ๓.๑.๒ สามารถสังเคราะห์ความรู้ เพื่อจดั ทาํ กระบวนการวิจยั ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม (ผลการเรียนรู้ ๓.๒) ๓.๑.๓ สามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจและพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาการวิจัยด้าน เทคโนโลยสี ารสนเทศไดด้ ว้ ยแนวคิดใหม่ๆ (ผลการเรียนรู้ ๓.๓) ๓.๒ วิธีการสอน ๓.๒.๑ กรณีศึกษา ๓.๒.๒ การอภิปรายกลุ่ม จ

๓.๒.๓ การนาํ เสนอผลงาน ๓.๓ วิธีการประเมินผล ๓.๓.๑ สามารถวิเคราะห์และแกไ้ ขประเด็นปัญหาท่ีเกี่ยวขอ้ งเทคโนโลยสี ารสนเทศถูกตอ้ งตาม กระบวนการวจิ ยั อยา่ งมีจรรยาบรรณการวิจยั ประเมินจาก (๑) การเขียนรายงานผลการวิเคราะห์กรณีศึกษา (๒) การนาํ เสนอผลการวเิ คราะห์กรณีศึกษา ๓.๓.๒ สามารถสังเคราะห์ความรู้ เพื่อจดั ทาํ กระบวนการวิจยั ดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศไดอ้ ยา่ ง เหมาะสม ประเมินจาก (๑) ผลงานวจิ ยั (๒) การนาํ เสนอผลงานวจิ ยั ๓.๓.๓ สามารถใช้ดุลพินิจในการตัดสินใจและพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาการวิจัยด้าน เทคโนโลยสี ารสนเทศไดด้ ว้ ยแนวคิดใหม่ๆ ประเมินจาก (๑) ผลงานวจิ ยั (๒) การนาํ เสนอผลงานวจิ ยั ๔. ทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและความรับผดิ ชอบ ๔.๑ ทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลและความรับผดิ ชอบท่ีตอ้ งพฒั นา ๔.๑.๑ ความรับผดิ ชอบในการดาํ เนินงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย (ผลการเรียนรู้ ๔.๑) ๔.๒ วธิ ีการสอน ๔.๒.๑ กรณีศึกษา ๔.๒.๒ การอภิปราย ๔.๓ วิธีการประเมินผล ๔.๓.๑ ความรับผดิ ชอบในการดาํ เนินงานท่ีไดร้ ับมอบหมาย ประเมินจาก (๑) ผลงานวิจยั สาํ เร็จตามระยะเวลาที่กาํ หนด ๕. ทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ๕.๑ ทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตวั เลข การสื่อสาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศที่ตอ้ งพฒั นา ๕.๑.๑ สามารถคดั กรองขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือการศึกษาประเด็นปัญหาการวิจยั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม (ผลการเรียนรู้ ๕.๑) ๕.๑.๒ สามารถส่ือสารอยา่ งมีประสิทธิภาพดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ีเหมาะสมกบั กลุ่มบุคคล และชุมชน (ผลการเรียนรู้ ๕.๒) ๕.๒ วิธีการสอน ๕.๒.๑ การสืบคน้ ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยที ี่เหมาะสม ๕.๒.๒ การนาํ เสนอผลงาน ฉ

๕.๓ วิธีการประเมิน ๕.๓.๑ สามารถคดั กรองขอ้ มูลสารสนเทศเพ่ือการศึกษาประเดน็ ปัญหาการวิจยั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ประเมินจาก (๑) ความถกู ตอ้ งและความเหมาะสมของวิธีการในการคดั กรองขอ้ มูลสารสนเทศ (๒) คุณภาพของขอ้ มูลสารสนเทศที่ไดค้ ดั กรอง ๕.๓.๒ สามารถส่ือสารอยา่ งมีประสิทธิภาพดว้ ยเทคโนโลยสี ารสนเทศที่เหมาะสมกบั กลุ่มบุคคล และชุมชน ประเมินจาก (๑) ความเหมาะสมของเทคนิคในการนาํ เสนอผลงาน (๒) ความถูกตอ้ งและเหมาะสมของเน้ือหาสาระท่ีนาํ เสนอ (๓) ความเขา้ ใจของผรู้ ับขอ้ มลู หมวดท่ี ๕ แผนการสอนและการประเมินผล ๑. แผนการสอน สัปดาห์ จํานวนช่ัวโมง กจิ กรรมการเรียนการ ท่ี สอนและสื่อท่ใี ช้ ๑ หัวข้อ บรรยาย ปฏบิ ตั ิ ศึกษาด้วย อาจารย์ผ้สู อน แนะนาํ รายวิชา ๒ ตนเอง ๒๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสันติธรรม ความหมายและความสาํ คญั ของการ ๒ ๐ ๔ สารสนเทศ วจิ ยั หวั ขอ้ วจิ ยั จรรยาบรรณการวจิ ยั บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร แ ล ะ จ ร ร ย า บ ร ร ณ ก า ร เ ผ ย แ พ ร่ ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม ผลงาน กระบวนการของวจิ ยั สารสนเทศ ๓ การประมวลผลปัญหาของการวจิ ยั ๒ ๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสันติธรรม ๔ การทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ใน ๒ ๐ สารสนเทศ อดีต ๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ๕ การกาํ หนดวตั ถุประสงค์ ๒ ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสันติธรรม สารสนเทศ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสันติธรรม สารสนเทศ ช

สัปดาห์ จาํ นวนชั่วโมง กจิ กรรมการเรียนการ ที่ สอนและสื่อท่ใี ช้ ๖ หัวข้อ บรรยาย ปฏิบัติ ศึกษาด้วย อาจารย์ผ้สู อน ๗ ๘ ตนเอง ๙ ๑๐ การเตรี ยมการออกแบบงานวิจัย ๒ ๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ๑๑ และการเกบ็ ขอ้ มลู ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม ๑๒ สารสนเทศ ๑๓ การเตรียมการออกแบบงานวจิ ยั ๒๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ๑๔ และการเกบ็ ขอ้ มูล (ต่อ) ๑๕ ข้อมูลผ่านเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม การประมวลผลและวเิ คราะห์ขอ้ มลู ๒ ๐ ๔ สารสนเทศ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ขอ้ มูลผา่ นเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม สารสนเทศ การเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการ ๒๐ ๔ บรรยาย และการสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร เขียนสรุปรายงานวจิ ยั ๒๐ ๔ ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม สารสนเทศ ตวั อยา่ งกรณีศึกษาสาํ หรับการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู บรรยาย การสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม สารสนเทศ และ นกั ศึกษาฝึกปฏิบตั ิ ตัวอย่างกรณี ศึกษาสําหรับการ ๒ ๐ ๔ บรรยาย การสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร วเิ คราะห์ขอ้ มลู (ต่อ) ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยี ลีลาสันติธรรม สารสนเทศ และ นกั ศึกษาฝึกปฏิบตั ิ ตัวอย่างกรณี ศึกษาสําหรับการ ๒ ๐ ๔ บรรยาย การสืบคน้ ผศ.ดร.อดิศร วเิ คราะห์ขอ้ มูล (ต่อ) ขอ้ มลู ผา่ นเทคโนโลยี ลีลาสนั ติธรรม สารสนเทศ และ นกั ศึกษาฝึกปฏิบตั ิ การนาํ เสนอขอ้ เสนอโครงร่าง ๒๐ ๔ การนาํ เสนอผลงาน ผศ.ดร.อดิศร งานวจิ ยั และการวเิ คราะห์การ หรือการอภิปรายกลุ่ม ลีลาสันติธรรม นาํ เสนอ การนาํ เสนอขอ้ เสนอโครงร่าง ๒๐ ๔ การนาํ เสนอผลงาน ผศ.ดร.อดิศร งานวจิ ยั และการวเิ คราะห์การ หรือการอภิปรายกลุ่ม ลีลาสนั ติธรรม นาํ เสนอ (ตอ่ ) การนาํ เสนอขอ้ เสนอโครงร่าง ๒๐ ๔ การนาํ เสนอผลงาน ผศ.ดร.อดิศร งานวจิ ยั และการวเิ คราะห์การ หรือการอภิปรายกลุม่ ลีลาสนั ติธรรม นาํ เสนอ (ต่อ) ซ

สัปดาห์ หัวข้อ จาํ นวนชั่วโมง กจิ กรรมการเรียนการ อาจารย์ผู้สอน ที่ บรรยาย ปฏิบตั ิ ศึกษาด้วย สอนและสื่อทใ่ี ช้ ตนเอง ๑๖ สอบปลายภาค ๓๐ ๐ ๖๐ (Final Examination) รวมจํานวนชั่วโมงตลอดภาค การศึกษา ๒. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้ กิจกรรม ผลการเรียนรู้* วิธีการประเมิน สปั ดาห์ท่ี สดั ส่วนของการ ประเมิน ประเมินผล ที่ ๑๖ ๓๐% ๑ ๑.๒ และ ๒.๒ การสอบปลายภาค ๑๐% ตลอดภาค ๒ ๔.๑ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมวิชาและความสนใจ การศึกษา ๖๐% ในการเรียน ๘-๑๐ ๓ ๒.๑, ๓.๑, ๓.๒, งานที่ไดร้ ับมอบหมาย ๓.๓, ๕.๑ และ การนาํ เสนอผลงาน ๕.๒ * อา้ งอิงผลการเรียนรู้ตามเอกสารแนบ ภาคผนวก ค จาก มอค. ๒ หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน ๑. ตําราและเอกสารหลกั Dawson, Catherine, 2002, Practical Research Methods, New Delhi, UBS Publishers’Distributors Kothari, C.R.,1985, Research Methodology- Methods and Techniques, New Delhi, Wiley Eastern Limited. Kumar, Ranjit, 2005, Research Methodology-A Step-by-Step Guide for Beginners,(2nd.ed.),Singapore, Pearson Education. อจั ฉริยา ปราบอริพ่าย, 2552, เทคนิคการวิเคราะห์สถิติโดยใช้โปรแกรม SPSS : ทฤษฎีและภาคปฏิบัติ, สาํ นกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ๒. เอกสารและข้อมูลสําคญั -ไม่มี - ฌ

๓. เอกสารและข้อมูลแนะนํา -ไม่มี - หมวดท่ี ๗ การประเมินและปรับปรุงการดําเนินการของรายวชิ า ๑. กลยุทธ์การประเมนิ ประสิทธิผลของรายวชิ าโดยนักศึกษา การประเมินประสิทธิผลในรายวิชาน้ีที่จดั ทาํ โดยนกั ศึกษา ไดจ้ ดั กิจกรรมในการนาํ แนวคิด และความเห็น จากนกั ศึกษาไดด้ งั น้ี ๑) การสนทนากลุ่มระหวา่ งผสู้ อนและผเู้ รียน ๒) การสงั เกตการณ์จากพฤติกรรมของผเู้ รียน ๓) แบบประเมินผสู้ อน และแบบประเมินรายวชิ า ๒. กลยุทธ์การประเมนิ การสอน ในการเกบ็ ขอ้ มูลเพอ่ื ประเมินการสอน ไดม้ ีกลยทุ ธ์ ดงั น้ี ๑) การสงั เกตการณ์สอนของผสู้ อน ๒) ผลการสอบ ๓) การทวนสอบผลประเมินการเรียนรู้ ๓. การปรับปรุงการสอน หลงั จากผลการประเมินการสอนในขอ้ ๒ จึงมีการปรับปรุงการสอน โดยการจดั กิจกรรมในการระดม สมอง และหาขอ้ มลู เพ่มิ เติมในการปรับปรุงการสอน ดงั น้ี ๑) สมั มนาการจดั การเรียนการสอน ๒) การวิจยั ๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ิของนักศึกษาในรายวชิ า ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธ์ิ ในรายหัวขอ้ ตามที่คาดหวงั จากการ เรียนรู้ในวิชา ไดจ้ าก การสอบถามนกั ศึกษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนกั ศึกษา รวมถึงพิจารณาจากผล การทดสอบยอ่ ย และหลงั การออกผลการเรียนรายวชิ า มีการทวนสอบผลสมั ฤทธ์ิโดยรวมในวชิ าไดด้ งั น้ี ๑) การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษาโดยอาจารยท์ ่านอื่น หรือ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ท่ีไม่ใช่อาจารยป์ ระจาํ หลกั สูตร ญ

๒) มีการต้งั คณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ ของนักศึกษา โดย ตรวจสอบขอ้ สอบ รายงาน วธิ ีการใหค้ ะแนนสอบ และการใหค้ ะแนนพฤติกรรม ๕. การดาํ เนินการทบทวนและการวางแผนปรับปรุงประสิทธิผลของรายวชิ า จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธ์ิประสิทธิผลรายวิชา ไดม้ ีการวางแผนการปรับปรุงการ สอนและรายละเอียดวชิ า เพ่อื ใหเ้ กิดคุณภาพมากข้ึน ดงั น้ี ๑) ปรับปรุงรายวิชาทุก ๓ ปี หรือตามขอ้ เสนอแนะและผลการทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธ์ิตามขอ้ ๔ ๒) เปล่ียนหรือสลบั อาจารยผ์ สู้ อน เพอื่ ใหน้ กั ศึกษามีมุมมองในเรื่องการประยกุ ตค์ วามรู้น้ี กบั ปัญหาที่มา จากงานวิจยั ของอาจารย์ ฎ

สารบญั หนา้ คาํ นํา ก รายละเอยี ดของรายวชิ า ข สารบญั ฏ บทท่ี 1 ความหมายและความสําคญั ของการวจิ ยั ..........................................................................................1 วตั ถุประสงค์ 1 1.1 ความหมายและความสาํ คญั ของการวิจยั 1 1.2 คุณลกั ษณะของการวิจยั 3 1.3 การจาํ แนกชนิดของการวจิ ยั 4 1.4 จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการและการวิจยั 7 1.5 กระบวนการของวิจยั 8 แบบฝึกหดั บทที่ 1 9 บทที่ 2 การประมวลผลปัญหาของการวจิ ัย.................................................................................................10 วตั ถุประสงค์ 10 2.1 การศึกษาปัญหาสาํ หรับการวจิ ยั 10 2.2 การพิจารณาเลือกปัญหาสาํ หรับการวจิ ยั 11 2.3 ข้นั ตอนในการวางกาํ หนดปัญหาในการวิจยั 12 แบบฝึกหดั บทที่ 2 13 บทที่ 3 การทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ัยในอดตี .........................................................................................14 วตั ถุประสงค์ 14 3.1 ศึกษาการทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีต 14 3.2 วิธีการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต 15 แบบฝึกหดั บทที่ 3 20 บทที่ 4 การกาํ หนดวตั ถุประสงค์.................................................................................................................21 วตั ถุประสงค์ 21 4.1 การศึกษาความหมายและการกาํ หนดวตั ถุประสงค์ 21 4.2 วธิ ีการในการต้งั สมมุติฐาน 27 แบบฝึกหดั บทท่ี 4 29 ฏ

บทท่ี 5 การเตรียมการออกแบบงานวจิ ัยและการเกบ็ ข้อมูล.........................................................................30 วตั ถุประสงค์ 30 5.1 การเตรียมการออกแบบงานวิจยั 30 5.2 การจาํ แนกวิธีการในการเกบ็ ขอ้ มูล 31 5.3 เคร่ืองมือสาํ หรับในการเกบ็ ขอ้ มลู 41 5.4 จริยธรรมในการเกบ็ ขอ้ มูล 45 แบบฝึกหดั บทที่ 5 49 บทที่ 6 การประมวลผลและวเิ คราะห์ข้อมูล................................................................................................50 วตั ถุประสงค์ 50 6.1 การประมวลผลและการวเิ คราะห์ขอ้ มูล 50 6.2 วิธีการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเชิงคุณภาพและปริมาณ 55 แบบฝึกหดั บทที่ 6 58 บทท่ี 7 การเตรียมรายงานวจิ ยั หรือการเขียนสรุปรายงานวจิ ยั ...................................................................59 วตั ถุประสงค์ 59 7.1 เป้ าหมายการเตรียมรายงานวิจยั หรือการเขียนสรุปรายงานวจิ ยั 59 7.2 วธิ ีการและรูปแบบการเขียนรายงานวจิ ยั 59 แบบฝึกหดั บทที่ 7 65 บทท่ี 8 ตัวอย่างกรณศี ึกษาสําหรับการวเิ คราะห์ข้อมูล................................................................................66 วตั ถุประสงค์ 66 8.1 ความรู้เบ้ืองตน้ ทางสถิติสาํ หรับการวิเคราะห์ขอ้ มลู 66 8.2 วิธีการใชโ้ ปรแกรม SPSS ทางสถิติเบ้ืองตน้ 79 8.3 การวิเคราะห์คา่ สถิติเบ้ืองตน้ 99 8.3 ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ค่าสถิติเบ้ืองตน้ ดว้ ยโปรแกรม SPSS 101 แบบฝึกหดั บทท่ี 8 110 ภาคผนวก ก................................................................................................................................................111 ภาคผนวก ข ...............................................................................................................................................112 ภาคผนวก ค................................................................................................................................................118 ฐ

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 1 ความหมายและความสาํ คญั ของการวจิ ยั วตั ถุประสงค์ 1. เพอื่ ศึกษาความหมายและความสาํ คญั ของการวจิ ยั 2. เพ่อื ศึกษาคุณลกั ษณะของการวจิ ยั 3. เพอื่ ศึกษาการจาํ แนกชนิดของการวิจยั 4. เพอื่ ศึกษาจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวชิ าการและการวจิ ยั 1.1 ความหมายและความสําคญั ของการวจิ ยั การศึกษาวจิ ยั เพือ่ คน้ หาคาํ ตอบจากคาํ ถาม จาํ เป็นตอ้ งมีกระบวนการดงั น้ี 1. ดาํ เนินการภายในกรอบการทาํ งานของชุดของปรัชญา (วธิ ีการ) 2. ใชก้ ระบวนการ วิธีการและเทคนิคสาํ หรับการทดสอบเพื่อความถูกต้องและความ น่าเช่ือถอื 3. ออกแบบมาใหเ้ ป็ นกลางและมีวตั ถุประสงค์ ปรัชญา (Philosophies) หมายถึง วธิ ีการ เช่น คุณภาพ, เชิงปริมาณ และระเบียบทางวชิ าการที่ คุณไดร้ ับการศึกษามา ความถูกต้อง (Validity) หมายถึง กระบวนการที่มีความถูกตอ้ งซ่ึงจะถูกใชใ้ นการหาคาํ ตอบ จากคาํ ถาม และความน่าเชื่อถอื (Reliability) จะกล่าวถึงคุณภาพของกระบวนการการวดั ผล ซ่ึงมีขอ้ กาํ หนดเร่ืองความสามารถในการทาํ ซ้าํ และความถกู ตอ้ ง 1  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ความเป็ นกลาง (Unbiased) และวัตถุประสงค์ (Objective) หมายถึง การกระทาํ ในแต่ละ ข้ันตอนมีความเป็ นกลางและสามารถสรุ ปได้ในแต่ละข้ันตอนไปสู่ส่ิงที่ดีท่ีสุดของ ความสามารถของคุณ และปราศจากการนาํ เอาความคิดครอบงาํ ของคุณมาใช้ ดงั น้นั เกณฑท์ ้งั 3 ดงั กล่าวขา้ งตน้ จะช่วยใหก้ ระบวนการน้ีเรียกวา่ “การวจิ ยั ” อยา่ งไรกต็ าม ระดบั ของเกณฑเ์ หล่าน้ีถกู ต้งั ความหวงั ใหม้ ีการเปลี่ยนแปลงตามวตั ถุประสงค์ จากความมีระเบียบไปสู่ความมีระเบียบ ดงั น้นั ความหมายของ “การวจิ ยั ” จะแตกต่างจาก การศึกษาที่มีระเบียบแบบหน่ึงไปสู่อีกแบบหน่ึง ความแตกต่างระหว่าง กิจกรรมของการวิจยั และไม่ใช่การวิจยั คือ กระบวนการท่ีสามารถ ค้นหาความต้องการได้อย่างแน่นอนซึ่งเรียกว่าการวิจัย ซ่ึงเราสามารถระบุความตอ้ งการ เหล่าน้ีไดโ้ ดยการตรวจสอบขอ้ กาํ หนดบางอยา่ งของการวจิ ยั คาํ วา่ research ประกอบดว้ ย 2 คาํ คือ re และ search คาํ วา่ re เป็น prefix หมายถึง อีกคร้ัง ส่วนคาํ วา่ search เป็น verb หมายถึง เพื่อการตรวจสอบคน้ หาอยา่ งใกลช้ ิดและระมดั ระวงั , การทดสอบและลอง หรือการสอบสวน เม่ือรวมคาํ ท้งั 2 คาํ จะเป็ นคาํ นามซ่ึงอธิบายถึง ความระมัดระวัง, ความเป็นระบบ เช่น การศึกษาผู้ป่ วยและการสอบสวนในด้านองค์ ความรู้บางอย่าง, การดาํ เนินการเพื่อสร้ างข้อเทจ็ จริงหรือหลกั การ การวิจยั เป็ นโครงสร้ างของการสืบค้นหาข้อมูลท่ีใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้รับการ ยอมรับเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาและสร้ างองค์ความรู้ใหม่ที่สามารถประยกุ ต์ใช้กับงานท่ัวไป ได้ สาํ หรับวธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ประกอบดว้ ย การสังเกตอยา่ งเป็นระบบ การจาํ แนกและ การตีความหมายของขอ้ มูล ถึงแมว้ า่ เราจะมีส่วนร่วมในกระบวนการดงั กล่าวในการใชช้ ีวิตประจาํ วนั ของเรา ซ่ึงมนั เป็น ความแตกต่างระหว่างการใชช้ ีวิตวนั ต่อวนั ท่ีไม่มีกฎเกณฑแ์ บบสบาย ๆ และขอ้ สรุปท่ีได้ 2  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     โดยปกติมกั จะเป็ นคาํ ตอบทางวิธีการทางวิทยาศาสตร์ซ่ึงอยู่ในระดบั ของความเป็ นระบบ ระเบียบ สามารถตรวจสอบไดแ้ ละมีความถูกตอ้ ง 1.2 คุณลกั ษณะของการวจิ ยั การวิจยั เป็ นกระบวนการของการรวบรวมวิเคราะห์และตีความขอ้ มูลเพ่ือที่จะตอบคาํ ถาม แต่การที่จะมีคุณสมบตั ิเป็นงานวิจยั น้นั กระบวนการจะตอ้ งมีลกั ษณะบางอยา่ งซ่ึงมนั จะตอ้ ง มีความเป็ นไปไดเ้ ท่าน้นั ท่ีจะควบคุม (controlled), ระมดั ระวงั (rigorous), มีความเป็ น ระบบ  (systematic), ถูกตอ้ ง (valid) และตรวจสอบ (verifiable) ได้ เห็นเป็ นประจกั ษ์ (empirical) และมีความสาํ คญั  (critical) - Controlled ในชีวติ จริงมีหลายปัจจยั ซ่ึงมีผลกระทบต่อสิ่งท่ีเกิดข้ึนมาภายหลงั แนวคิดของการควบคุมตีความไดว้ ่า ในการสาํ รวจความเก่ียวเน่ืองกนั ของความสัมพนั ธ์กบั สองตวั แปร (ปัจจยั ) โดยคุณสามารถต้งั การศึกษาของคุณในทางที่ช่วยลดผลกระทบจาก ปัจจยั ตวั อื่นๆ ท่ีมีผลกระทบซ่ึงกนั และกนั ยกตวั อยา่ งเช่น ในดา้ นวทิ ยาศาสตร์ทางกายภาพ (การทาํ อาหาร, การทาํ เบเกอร่ี) เป็นการวจิ ยั ท่ีทาํ ในหอ้ งปฏิบตั ิการ อยา่ งไรกต็ ามในดา้ นสังคมศาสตร์ (การบริการและการท่องเที่ยว) ก็ ยากท่ีจะวจิ ยั ในประเดน็ ที่เก่ียวขอ้ งกบั มนุษยอ์ าศยั อยใู่ นสังคมที่ซ่ึงการควบคุมดงั กล่าวจะไม่ เป็ นไปได้ ดงั น้นั การบริการและการท่องเท่ียว คุณไม่สามารถควบคุมปัจจยั ภายนอกได้ แต่ คุณพยายามท่ีจะส่งผลกระทบต่อปริมาณปัจจยั ของพวกเขา - Rigorous คุณตอ้ งระมดั ระวงั เพ่ือมน่ั ใจไดว้ า่ กระบวนการสามารถติดตามหาคาํ ตอบจาก คาํ ถามไดแ้ ก่ ความสัมพันธ์ (relevant), ความเหมาะสม (appropriate) และพิสูจน์ว่าถกู ต้อง (justified) ระดบั ของการเปลี่ยนแปลงของความระมดั ระวงั กาํ หนดไดร้ ะหวา่ งทางกายภาพ และสงั คมศาสตร์ และภายในสงั คมศาสตร์เอง 3  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - Systematic ไดอ้ ธิบายถึงกระบวนการที่ถูกนาํ มาใชภ้ ายใตก้ ารวิเคราะห์อยา่ งเป็นเหตุเป็ น ผลเป็ นลาํ ดบั ข้นั ตอน ข้นั ตอนที่แตกต่างไม่สามารถทาํ ใหเ้ กิดแนวทางท่ีเป็ นไปตามบุญตาม กรรมได้ บางกระบวนการตอ้ งเป็นไปตามสิ่งอื่นๆดว้ ย - Valid and verifiable ไดอ้ ธิบายวา่ อะไรก็ตามท่ีคุณสรุปบนพ้ืนฐานในการหาคาํ ตอบของ คุณคือความถกู ตอ้ งและสามารถพสิ ูจน์ไดด้ ว้ ยคุณหรือคนอ่ืนได้ - Empirical หมายถึงการสรุปขอ้ สรุปใดก็ตามถูกวางอยบู่ นพ้ืนฐานของความชดั เจนอยา่ ง แน่นหนาดว้ ยการรวบรวมขอ้ มลู จากประสบการณ์ชีวติ จริงหรือการสงั เกตเห็นได้ - Critical การวิเคราะห์ความสาํ คญั ของกระบวนการท่ีถูกใชแ้ ละวิธีการที่ถูกนาํ มาใชม้ นั มี ความสาํ คญั ต่อการสืบสวนคน้ ควา้ งานวจิ ยั โดยขบวนการคน้ ควา้ น้นั ตอ้ งไม่เขา้ ใจผิดท่ีจะทาํ ให้เสียได้และอิสระต่อปัญหาอุปสรรค ขบวนการที่นํามาใช้และวิธีการที่ใช้ต้องมี ความสามารถท่ีทนต่อการวเิ คราะห์ความสาํ คญั (สาํ หรับกระบวนการที่เรียกว่าการวิจัย มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าจะมีคุณลักษณะตามท่ีกล่าวมา ข้างต้น) 1.3 การจาํ แนกชนิดของการวจิ ยั การวจิ ยั สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ชนิด 1. Application 2. Objectives 3. Inquiry Mode 4  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     Application: สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 แบบ a) Pure Research b) Applied Research - Pure Research เก่ียวขอ้ งกบั การพฒั นาและทดสอบ ทฤษฎีและขอ้ สมมติฐานใหม่ ซ่ึงทา้ ทายอยา่ งมากสาํ หรับนกั วิจยั แต่อาจจะหรืออาจจะไม่ใช่ Practical Research ณ เวลาน้นั หรือในอนาคต ความรู้ถกู ผลิตผ่านการวิจัยแบบ Pure Research ซ่ึงถกู ค้นหาเพ่ือท่ีจะเพ่ิม องค์ความรู้ของระเบียบวิธีการวิจัยที่มีอย่เู ดิม - Applied Research เป็ นการแกป้ ัญหาเฉพาะทางของคาํ ถามเชิงปฏิบตั ิ สาํ หรับกฎเกณฑ์ ของนโยบาย การบริหารและความเขา้ ใจของปรากฏการณ์ มนั สามารถเป็นการค้นพบสิ่ง ใหม่ (exploratory) แต่ปกติมนั เป็ นการอธิบายให้เห็นภาพชัดขึน้ (descriptive) โดยส่วน ใหญ่มนั จะเป็นจะการทาํ บนพ้ืนฐานของการวจิ ยั Applied Research สามารถถูกผลิต ออกมาจากสถาบันการศึกษาหรืออุตสาหกรรม บ่อยคร้ังท่ีสถาบันการศึกษา เช่น มหาวทิ ยาลยั จะมีหลกั สูตรเฉพาะทางเก่ียวกบั Applied Research ซ่ึงถกู สนบั สนุนเงินจาก ภาคอุตสาหกรรมที่สนใจหลกั สูตรน้ี Objectives: สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น a) Descriptive b) Correlational c) Explanatory d) Exploratory - Descriptive Research ความพยายามท่ีจะอธิบายสถานการณ์อยา่ งเป็ นระบบ, ปัญหา, ปรากฏการณ์, บริการ หรือแผนการ หรือการเตรียมขอ้ มูลเก่ียวกบั เง่ือนไขการใชช้ ีวิต ของชุมชน หรืออธิบายทศั นคติท่ีมีต่อประเดน็ ท่ีน่าสนใจ 5  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - Correlational Research ความพยายามที่จะคน้ พบหรือสร้างสิ่งท่ีมีอยขู่ องความสมั พนั ธ์/ ระหวา่ งความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสองหรือหลายแง่มุมของสถานการณ์ - Explanatory Research ความพยายามที่จะสร้างความความชดั เจน ทาํ ไมและอยา่ งไรที่มี ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสองหรือหลายแง่มุมของสถานการณ์หรือปรากฏการณ์ - Exploratory Research เป็นการทาํ เพ่ือคน้ หากบั สิ่งท่ีเรารู้ไม่มาก หรือการสืบสวนความ เป็นไปไดข้ องงานวจิ ยั ท่ีกาํ ลงั สนใจศึกษาอยู่ เช่น feasibility study หรือ pilot study (ในทางปฏิบตั ิการศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นการรวมเอาแค่ 3 ข้อที่กล่าวมา) Inquiry Mode: ขบวนการเพอื่ ท่ีจะหาคาํ ตอบจากคาํ ถามของการวิจยั มี 2 วธิ ีคือ 1) Structured Approach 2) Unstructured Approach - Structured Approach เป็นลกั ษณะเชิงคาํ ถามโดยปกติจะจดั ใหเ้ ป็น quantitative research ทุกสิ่งทุกอยา่ งก่อรูปเป็นขบวนการวจิ ยั ดงั น้ี วตั ถปุ ระสงค์ , ออกแบบ, กล่มุ ตัวอย่าง และ คาํ ถาม ซ่ึงคุณไดว้ างแผนเพอ่ื ที่จะถามจากผทู้ ่ีจะใหค้ าํ ตอบ คือการเริ่มตน้ กาํ หนดงานวจิ ยั มนั จะเหมาะสมมากที่จะกาํ หนดจาํ นวนของปัญหา, ประเด็นหรือปรากฏการณ์จากการ กาํ หนดปริมาณจาํ นวนของการเปลี่ยนแปลง ยกตวั อยา่ งเช่น จาํ นวนคนเท่าไรที่มีปัญหา ในกรณีพเิ ศษ จาํ นวนคนเท่าไรท่ียดึ ถือทศั นคติในกรณีพิเศษ - Unstructured Approach เป็นลกั ษณะเชิงคาํ ถามเช่นกนั โดยปกติจะจดั ใหเ้ ป็น qualitative research ในวธิ ีน้ีมีความยดื หยนุ่ ในทุกแง่ทุกมุมของขบวนการวจิ ยั มนั จะเหมาะสมมากท่ีจะตรวจสอบธรรมชาติของปัญหา, ประเด็นหรือปรากฏการณ์โดย ปราศจากการกาํ หนดปริมาณจาํ นวนของมนั วตั ถุประสงคห์ ลกั คือเพ่ือท่ีจะอธิบายการเปล่ียนแปลงในปรากฏการณ์, สถานการณ์หรือ ทศั นคติ ยกตวั อยา่ งเช่น การอธิบายสถานการณ์ท่ีถูกสังเกตการณ์, การระบุเหตุการณ์ใน ประวตั ิศาสตร์, การให้เหตุผลความแตกต่างทางความคิด ความแตกต่างของคนท่ี 6  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     เกี่ยวขอ้ งกบั ประเด็น, การอธิบายเงื่อนไขการทาํ งานของโรงงานอุตสาหกรรมในกรณี พิเศษ วิธีการทั้งสองมีฐานะต่อการวิจัย โดยวิธีการท้ังสองกม็ ีทั้งจุดแขง็ และจุดอ่อน มีงานวจิ ยั หลายชิ้นไดร้ วมวธิ ีการท้งั สองเขา้ ดว้ ยกนั คือ qualitative research และ quantitative research ยกตวั อยา่ งเช่น สมมุติวา่ คุณตอ้ งการหา ชนิดของครัวอาหาร/การอาํ นวยความสะดวกท่ี สามารถหาไดใ้ นเมืองและจาํ นวนความนิยมของประชากรเหล่าน้นั ชนิดของครัวอาหาร คือ แง่มุมของ qualitative ในการศึกษาเพ่ือคน้ หาออกมาเกี่ยวขอ้ ง กบั สิ่งเหล่าน้นั นาํ มาซ่ึงการอธิบายของ วฒั นธรรมและครัวอาหาร จํานวนความนิยมของประชากรเหล่านั้น คือ แง่มุมของ quantitative ในฐานะท่ีมัน เกี่ยวขอ้ งการประมาณจาํ นวนคนผซู้ ่ึงมาเยย่ี มการบริการของร้านอาหารเช่น ครัวอาหาร และการคาํ นวณเคร่ืองช้ีวดั ตวั อื่นๆ ท่ีมีผลกระทบต่อจาํ นวนความนิยมของประชากร 1.4 จริยธรรมและจรรยาบรรณทางวชิ าการและการวจิ ยั 1. ตอ้ งมีความซื่อสัตยท์ างวิชาการและการวิจยั ไม่นาํ ผลงานของผอู้ ื่นมาเป็ นผลงานของ ตนและไม่ลอกเลียนผลงานของผอู้ ื่น รวมท้งั ไม่นาํ ผลงานของตนเองในเร่ืองเดียวกนั ไป เผยแพร่ในวารสารวิชาการมากกว่าหน่ึงฉบบั ในลกั ษณะที่จะทาํ ให้เขา้ ใจผิดว่าเป็ น ผลงานใหม่ 2. ตอ้ งให้เกียรติและอา้ งถึงบุคคลหรือแหล่งที่มาของขอ้ มูลท่ีนํามาใช้ในผลงานทาง วชิ าการและการวจิ ยั ของตนเองและแสดงหลกั ฐานของการคน้ ควา้ 3. ตอ้ งไม่คาํ นึงถึงผลประโยชน์ทางวิชาการและการวิจยั จนละเลยหรือละเมิดสิทธิส่วน บุคคลของผอู้ ื่นและสิทธิมนุษยชน 7  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     4. ผลงานทางวชิ าการและการวจิ ยั ตอ้ งไดม้ าจากการศึกษาโดยใชห้ ลกั วชิ าการเป็นเกณฑ์ ไม่มีอคติมาเกี่ยวขอ้ ง และเสนอผลงานตามความเป็ นจริง ไม่จงใจเบ่ียงเบนผลการวิจยั โดยหวงั ผลประโยชน์ส่วนตวั หรือตอ้ งการสร้างความเสียหายแก่ผอู้ ื่น และเสนอผลงาน ตามความเป็นจริง ไม่ขยายขอ้ คน้ พบโดยปราศจากการตรวจสอบยนื ยนั ในทางวชิ าการ 5. ตอ้ งนาํ ผลงานไปใชป้ ระโยชน์ในทางท่ีชอบธรรมและชอบดว้ ยกฎหมาย 1.5 กระบวนการของการวจิ ยั กระบวนการของการวจิ ยั (research process) เหมือนกบั การเดินทางท่องเที่ยว สาํ หรับงานวจิ ยั ดา้ นการเดินทางท่องเที่ยว มีขอ้ ตกลงที่ความสาํ คญั อยู่ 2 ส่ิงท่ีจะทาํ คือ - คุณต้องการค้นหาเกี่ยวกับอะไร หรือ คาํ ถามวจิ ยั (ปัญหา) อะไรท่ีคุณตอ้ งการหาคาํ ตอบ - คณุ จะเดินทางไปอย่างไรเพื่อท่ีจะให้ได้คาํ ตอบ มีหลายข้นั ตอนในการปฏิบตั ิซ่ึงคุณตอ้ งเดินทางท่องเที่ยวผ่านงานวิจยั ของคุณเพ่ือท่ีจะ หาคาํ ตอบต่อคาํ ถามการวจิ ยั ของคุณ เส้นทางที่จะหาคาํ ตอบต่อคาํ ถามการวิจยั ของคุณประกอบกนั ข้นั เป็น ระเบียบวิธีการวิจัย (research methodology) สําหรับการทาํ งานในแต่ละข้นั ตอนของกระบวนการของการวิจยั คุณตอ้ งเลือกจาก หลายๆ วิธีการ (methods), กระบวนการ (procedures) และแบบจาํ ลอง (models) ของ ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ซ่ึงจะช่วยคุณใหไ้ ปสู่วตั ถุประสงคข์ องคุณท่ีดีที่สุด และนีจ้ ึงเป็นพืน้ ฐานความรู้ระเบียบวิธีการวิจัยของคุณในฐานะที่เป็นบทบาทสาํ คัญ ข้นั ตอนกระบวนการของการวจิ ยั มีดงั นี้ 1. การประมวลผลปัญหาของการวจิ ยั 2. การทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต 3. การกาํ หนดวตั ถุประสงค์ 8  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     4. การเตรียมการออกแบบงานวจิ ยั และการเกบ็ ขอ้ มลู รวมถึงออกแบบกลุ่มตวั อยา่ ง 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มลู 6. การเตรียมรายงานหรือการเขียนสรุปเพ่อื นาํ เสนอผลงาน รายละเอียดขน้ั ตอนกระบวนการของการวิจัยแต่ละหัวข้อจะอธิบายต้ังแต่บทท่ี 2 – 7 แบบฝึ กหัดบทที่ 1 1. คน้ หาและเลือกบทความวจิ ยั ฉบบั เตม็ (ไม่ต่าํ กวา่ 8 หนา้ ) จาํ นวน 1 บทความ 2. บทความวิจยั ที่เลือกจากขอ้ 1 จดั เป็ นการวิจยั ชนิดใด มีลกั ษณะเป็ นการวิจยั แบบใด พร้อมคาํ อธิบายเหตุผล 9  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 2 การประมวลผลปัญหาของการวจิ ยั วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษาการประมวลผลปัญหาของการวจิ ยั 2. เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการศึกษาปัญหาของการวจิ ยั 2.1 การศึกษาปัญหาสําหรับการวจิ ยั การศึกษาปัญหาของการวจิ ยั คือส่ิงแรกและเป็นข้นั ตอนที่สาํ คญั ท่ีสุดในกระบวนการวจิ ยั - เป้ าหมายหลกั คือ การตดั สินใจวา่ อะไร (what) คือสิ่งท่ีคุณตอ้ งการจะหาเก่ียวกบั มนั - แนวทางท่ีคุณกาํ หนดปัญหาเพ่ือที่จะหาคาํ ตอบในทุกข้นั ตอนที่เกิดข้ึน แหล่งของปัญหาสาํ หรับการวิจยั งานวิจยั เกี่ยวกบั สงั คมและวทิ ยาศาสตร์ใหค้ วามสนใจอยู่ 4 แบบคือ 1. ประชาชน (people) การเป็นกลุ่มเฉพาะบุคคล 2. ปัญหา (problem) การตรวจสอบสิ่งที่มีอยขู่ องประเดน็ หรือปัญหาที่เกี่ยวขอ้ งกบั การใช้ ชีวติ อยขู่ องพวกเขา เพอ่ื ท่ีจะคน้ หาทศั นคติของกลุ่มประชาชนท่ีสนใจประเดน็ ที่เกิดข้ึน 3. แผนการ (program) การประเมินประสิทธิภาพระหวา่ งกนั 4. ปรากฏการณ์ (phenomena) การต้งั อยบู่ นระบบหรือระเบียบท่ีมีอยู่ ในทางปฏิบตั ิส่วนใหญ่สําหรับการวิจยั จะศึกษาอยู่บนพ้ืนฐานของการรวมกนั ของแหล่ง ปัญหาอยา่ งนอ้ ยท่ีสุด 2 แบบจากท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ 10   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     การศึกษาทุกงานวจิ ยั มีอยู่ 2 แง่มุมมองคือ - กลุ่มการศึกษาในด้านประชากร ประชาชน (people) : เฉพาะบุคคล, องคก์ ร, กลุ่ม, ชุมชน (กล่มุ เหล่านีพ้ วกเขาเตรียมข้อมลู ให้คณุ หรือคณุ สามารถท่ีจะเกบ็ ข้อมลู เกี่ยวกับพวกเขา) - กลุ่มของหัวข้อปัญหา ปัญหา (problem) : ประเดน็ ปัญหา, สถานการณ์, เกี่ยวขอ้ งสมั พนั ธ์, ความจาํ เป็นความ ตอ้ งการ, รูปร่างโครงร่าง แผนการ (program) : เน้ือหา, โครงสร้าง, ผลท่ีไดม้ า, คุณสมบตั ิ, ความพึงพอใจ, ผบู้ ริโภค, ผเู้ ตรียมการใหบ้ ริการ เป็นตน้ ปรากฏการณ์ (phenomena) : สาเหตุ-ผลกระทบท่ีมีความสัมพนั ธ์กนั , การศึกษา ปรากฏการณ์ดว้ ยตวั มนั เอง (ข้อมลู ซ่ึงคณุ จาํ เป็นต้องการเกบ็ ข้อมลู เพื่อหาคาํ ตอบต่อคาํ ถามสาํ หรับการวิจัยของคณุ ) 2.2 การพจิ ารณาเลอื กปัญหาสําหรับการวจิ ยั เป็ นการช่วยให้แน่ใจได้ว่า การศึกษาของคุณจะยงั คงสามารถจดั การได้และยงั คงมี แรงจูงใจ 1. ความน่าสนใจ ความพยายามในการวิจยั ปกติคือ การใชร้ ะยะเวลา ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั งานที่ยากลาํ บาก และอาจจะเป็ นไปไดก้ บั ปัญหาท่ีไม่เคยพบมาก่อน ในการเลือก หวั ขอ้ ที่น่าสนใจมากท่ีสุดคือเพอื่ ท่ีจะสนบั สนุนแรงจูงใจกบั ส่ิงที่ตอ้ งการ 2. ความสําคัญ มนั มีความสาํ คญั มากในการเลือกหวั ขอ้ ซ่ึงคุณสามารถจดั การภายใน ระยะเวลาและความคิดท่ีคุณกาํ หนดวางไว้ มองลึกของหวั ขอ้ ไปถึงบางสิ่งที่จดั การ ได,้ เฉพาะเจาะจง และมีความชดั เจน 11   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     3. การวัดผลทางความคิด เพ่ือให้แน่ใจไดว้ า่ คุณมีความชดั เจนเก่ียวกบั เร่ือง การช้ีวดั และการวดั ผลทางความคิดในการศึกษาวจิ ยั ของคุณ 4. ระดับความรู้ความชํานาญ เพื่อให้แน่ใจไดว้ ่าคุณมีระดบั ความรู้ความชาํ นาญท่ี เพียงพอสาํ หรับงานหนกั ท่ีคุณนาํ เสนอ เน่ืองจากคุณจาํ เป็นตอ้ งทาํ งานหนกั อนั น้ีดว้ ย ตวั ของคุณเอง 5. มีความสัมพนั ธ์กนั เพ่ือใหม้ นั่ ใจไดว้ า่ การศึกษาของคุณไดเ้ พ่ิมโครงร่างความรู้ท่ีมีอยู่ มีการประสานเชื่อมต่อช่องวา่ งที่มีอยใู่ นขณะน้ี และมีการใชป้ ระโยชน์ในวางกาํ หนด กฎเกณฑน์ โยบาย ซ่ึงมนั จะช่วยใหค้ ุณยงั คงรักษาความน่าสนใจในการศึกษา 6. การหาได้ของข้อมูล ก่อนท่ีจะสรุปสุดทา้ ยในเรื่องของหวั ขอ้ นน่ั จะตอ้ งมน่ั ใจไดว้ า่ ขอ้ มลู สามารถหามาได้ 7. ประเด็นปัญหาเร่ืองจริยธรรม มีผลกระทบอย่างไรในประเด็นปัญหาจริยธรรม สาํ หรับการศึกษาเรื่องประชากร และการให้ผ่านพน้ ไดอ้ ยา่ งไรต่อปัญหาจริยธรรม ควรจะมีการตรวจสอบอยา่ งตลอดทว่ั ถึงในข้นั ตอนของการวางกาํ หนดปัญหา 2.3 ข้นั ตอนในการวางกาํ หนดปัญหาในการวจิ ยั ข้นั ตอนเหล่าน้ีจะต้งั สมมุติฐานก่อนสาํ หรับระดบั พ้นื ฐานความรู้เป็นเหตุเป็นผล ในสาขา วิจยั ท่ีกวา้ งขวางซ่ึงคุณสนใจนาํ มาศึกษา ถา้ ปราศจากพ้ืนฐานความรู้มนั กย็ ากท่ีจะเขา้ ใจ อยา่ งชดั เจนและเพียงพอในการแบ่งแยกสาขาวจิ ยั ได้ ข้นั ตอนที่ 1 พสิ ูจนใ์ หไ้ ดใ้ นเรื่องสาขาวจิ ยั ท่ีกวา้ งขวางซ่ึงคุณสนใจ ข้นั ตอนท่ี 2 จาํ แนกสาขาวจิ ยั ที่กวา้ งขวางใหแ้ ยกยอ่ ยออกมา ข้นั ตอนท่ี 3 เลือกในสิ่งท่ีคุณสนใจมากท่ีสุด ข้นั ตอนท่ี 4 ต้งั คาํ ถามสาํ หรับการวจิ ยั 12   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ข้นั ตอนท่ี 5 วางกาํ หนดวตั ถุประสงค์ ข้นั ตอนท่ี 6 การเขา้ ถึงไดต้ ามวตั ถุประสงค์ ข้นั ตอนท่ี 7 ตรวจสอบอีกคร้ังหน่ึงเพอื่ ความถูกตอ้ ง หมายเหตุ ถา้ คุณทาํ ให้ปัญหาการวิจยั แคบลง เหมือนกบั คุณจาํ เป็ นตอ้ งตดั สินใจโดย เฉพาะเจาะจงซ่ึงจะสร้างการศึกษาประชากรของคุณ เพ่ือที่จะเลือกหาคาํ ตอบจากคาํ ถาม ท่ีเหมาะสมได้ แบบฝึ กหัดบทท่ี 2 1. สรุปปัญหาเป็นขอ้ ๆ จากบทความวจิ ยั ท่ีเลือกมาอ่าน 2. อธิบายการต้งั สมมติฐานของปัญหาอยา่ งเป็ นเหตุเป็ นผลจากบทความวิจยั ที่เลือกมา อา่ น 13   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 3 การทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษาการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต 2. เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต 3.1 ศึกษาการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดตี - ความยากของงานมีความจาํ เป็ นเบ้ืองตน้ ต่อการศึกษาดว้ ยตวั ของคุณเองคือ การศึกษา โครงร่างความรู้พ้นื ฐาน (body of knowledge) ในสาขาวจิ ยั ที่คุณสนใจ - การทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต (literature review) คือ ส่วนในการรวบรวมของ กระบวนการวจิ ยั ท้งั หมดและทาํ ใหเ้ กิดการช่วยเหลือหรือการสนบั สนุน (contribution) ท่ี มีคุณค่า ต่อทุกข้นั ตอนในการทาํ งาน ซ่ึงมีหลกั การดงั น้ี 1) มีความชดั เจนและเป็นจุดรวมที่น่าสนใจต่อปัญหาการวจิ ยั ของคุณ (Bring clarity and focusing to your research problem) ขบวนการทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีตช่วยใหค้ ุณเขา้ ใจสาขาที่วิจยั ไดด้ ี และ ช่วยให้คุณมีแนวความคิดสาํ หรับปัญหาในการวิจยั ของคุณไดช้ ดั เจนข้ึนและถูกตอ้ ง แน่นอน มนั จะช่วยให้คุณเขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งปัญหาในการวิจยั ของคุณและ โครงร่างความรู้พ้นื ฐานในสาขาท่ีวจิ ยั 2) การปรับปรุงระเบียบวธิ ีวจิ ยั ของคุณ (Improving your methodology) การทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีตจะบอกคุณว่า ถา้ งานวิจยั ที่ผ่านมามีการใช้ กระบวนการและวิธีการท่ีคลา้ ยคลึงกบั งานท่ีคุณกาํ ลงั นาํ เสนอ ซ่ึงวิธีการดงั กล่าวมนั เหมาะสมสําหรับงานวิจัยเหล่าน้ันและปัญหาอะไรก็ตามท่ีต้องเจอกับงานวิจัย 14  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     เหล่าน้นั ดงั น้นั คุณจะตอ้ งอยู่ในฐานะท่ีจะเลือกวิธีการที่สามารถเตรียมคาํ ตอบที่มี เหตุมีผลต่อคาํ ถามการวจิ ยั ของคุณ 3) การขยายเพม่ิ พนู ความรู้ของคุณ (Broaden your knowledge) มนั แน่ใจไดว้ ่าถา้ คุณอ่านงานวิจยั ท่ีกวา้ งมากข้ึนของสาขาที่วิจยั ซ่ึงคุณต้งั ใจที่จะ นํามาศึกษาในงานวิจัยของคุณ ในฐานะท่ีคุณคาดหวงั ที่จะเป็ นผู้เช่ียวชาญใน การศึกษาของสาขาที่วิจยั มนั จะช่วยให้คุณบรรลุตามส่ิงท่ีคุณคาดหวงั ไว้ มนั จะช่วย ให้คุณเขา้ ใจในการสืบคน้ งานวิจยั ของคุณไดอ้ ย่างไรโดยปรับให้เขา้ กบั โครงร่าง ความรู้พ้นื ฐานท่ีมีอยเู่ ดิม 4) การอธิบายบริบทจากการสืบคน้ ของคุณ (Contextualising your findings) การหาคาํ ตอบจากคาํ ถามวิจยั ของคุณให้ได้อย่างไรซ่ึงเปรียบเทียบกับอะไรจาก งานวิจยั อื่นๆ ท่ีไดค้ น้ หามา อะไรท่ีช่วยสนบั สนุนให้คุณสามารถสร้างสรรคง์ านกบั โครงร่างความรู้พ้ืนฐานท่ีมีอยเู่ ดิม การสืบคน้ งานอยา่ งไรของคุณที่แตกต่างจากการ สืบคน้ งานอ่ืนๆ คุณสามารถได้คาํ ตอบจากคาํ ถามเหล่าน้ีได้ โดยคุณจาํ เป็ นตอ้ ง กลบั ไปท่ีการทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีต มนั สาํ คญั มากในการวางสถานะ สําหรับการสืบคน้ ของคุณต่อบริบทอะไรที่ทราบอยู่แลว้ ในสาขาวิจยั ของคุณที่มี คาํ ถามอยู่ 3.2 วธิ ีการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดตี กระบวนการการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต มีดงั น้ี ก) คน้ หางานวจิ ยั ในอดีตที่มีอยใู่ นสาขาวจิ ยั ท่ีคุณศึกษา ข) อา่ นงานวจิ ยั ในอดีตท่ีเลือกมา ค) พฒั นากรอบของทฤษฏี ง) การเขียนทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต 15  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ก) ค้นหางานวจิ ยั ในอดตี ทม่ี อี ยู่ในสาขาวจิ ยั ทค่ี ุณศึกษา เพื่อท่ีจะให้มีประสิทธิภาพในการคน้ หางานวิจยั ในอดีตในสาขาวิจยั ของคุณที่มีคาํ ถาม อยู่ มนั จะหลีกเล่ียงไม่ไดว้ ่าคุณตอ้ งรู้อย่างน้อยมีความคิดและปัญหาในสาขาท่ีคุณวิจยั ซ่ึงต้องการค้นหาเพื่อท่ีจะกาํ หนดตัวแปรในการศึกษาวิจัย โดยเอกสารอา้ งอิงหรือ บรรณานุกรมที่ใชใ้ นการคน้ หางานวจิ ยั มีดงั น้ี Books ประกอบดว้ ยศนู ยร์ วมของบรรณนุกรรมต่างๆ ขอ้ ดีของวสั ดุส่ิงพิมพห์ นงั สือโดยทวั่ ไปนน่ั คือคุณภาพดีและการสืบคน้ เป็ นการ รวมกนั ของงานวจิ ยั หลากหลายเพือ่ ท่ีจะก่อเป็นโครงร่างความรู้พ้นื ฐาน ขอ้ เสียของวสั ดุส่ิงพิมพห์ นงั สือคือความสมบูรณ์ท่ีไดไ้ ม่ทนั สมยั เน่ืองจากมนั จะตอ้ งใชร้ ะยะเวลาออยา่ งนอ้ ย 2-3 ปี ระหวา่ งการทาํ ใหง้ านเสร็จสมบูรณ์และตีพิมพใ์ น รูปแบบของหนงั สือ การคน้ หาหนงั สือในสาขาวิจยั ที่คุณสนใจ การเตรียมรายชื่อของหนงั สือ คน้ หา ตาํ แหน่งของหนงั สือเหล่าน้ีที่หอ้ งสมุด หรือยมื มนั จากแหล่งขอ้ มูลอ่ืน ตรวจสอบเน้ือหา ในหนงั สือ ถา้ เน้ือหาที่คน้ หาไม่เกี่ยวขอ้ งกบั งานวจิ ยั ของคุณ กน็ าํ มนั ออกจากรายช่ือของ หนงั สือท่ีคุณกาํ ลงั จะอ่าน Journals Journal จะเตรียมขอ้ มูลท่ีทนั สมยั ที่สุดใหค้ ุณ ถึงแมว้ า่ จะมีช่องวา่ ง 2 ถึง 3 ปี ระหวา่ งการทาํ งานวจิ ยั ใหส้ มบูรณ์และการตีพมิ พใ์ นวารสาร เช่นเดียวกบั หนงั สือ (book) คุณจาํ เป็ นท่ีจะตอ้ งเตรียมรายชื่อ journal สาํ หรับ พิสูจน์งานวจิ ยั ในอดีตที่เก่ียวขอ้ งกบั งานวจิ ยั ของคุณ สามารถกระทาํ ไดด้ งั น้ี - คน้ หาเอกสาร journal ที่เหมาะสมสาํ หรับคุณใชศ้ ึกษา - ใชอ้ ินเตอร์เน็ต (internet) 16  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - คน้ หาสารบญั ของบทคดั ยอ่ งานวิจยั (abstract) ในสาขางานวิจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง เพอื่ ท่ีจะพิสูจน์และอา่ นงานวจิ ยั น้นั วิธีไหนก็ตามที่คุณเลือก สิ่งแรกในการพิสูจน์ journal คุณตอ้ งดูรายละเอียดให้ มากสาํ หรับการทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดีต เลือกฉบบั ท่ีทนั สมยั ที่สุด วิเคราะห์ เน้ือหาของมนั ที่จะอ่าน ถา้ มีหวั ขอ้ วิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั งานวิจยั ของคุณ ถา้ คุณรู้สึกว่าเป็ น หวั ขอ้ วิจยั เฉพาะเจาะจงที่เก่ียวขอ้ งกบั งานวิจยั ของคุณ ให้อ่านบทคดั ยอ่ ของมนั ถา้ คุณ คิดวา่ คุณมีแนวโนม้ ท่ีจะใชม้ นั ได้ ให้ถ่ายเอกสารพร้อมเตรียมทาํ สรุปและจดบนั ทึกมนั สาํ หรับใชใ้ นการอา้ งอิงต่อไปในงานวจิ ยั ของคุณ Conferences Conferences เป็ นลกั ษณะการจดั งานประชุมทางวิชาการแยกตามลกั ษณะของ กลุ่มงานวิจยั เฉพาะทางหรือร่วมกันก็ได้ แล้วแต่นโยบายของกรรมการการประชุม วชิ าการน้นั จะกาํ หนดระเบียบและกฎเกณฑข์ ้ึนมา ยกตวั อยา่ งเช่น การจดั ประชุมวิชาการ เฉพาะทางดา้ น IT, จาํ นวนวนั ในการจดั งานอยรู่ ะหวา่ ง 2-5 วนั , การจดั งานจะจดั 1 ปี ต่อ คร้ัง, จะตอ้ งมีผนู้ าํ เสนอผลงานวิจยั ท่ีประชุมวิชาการดว้ ย หรือ การเป็ นเจา้ ภาพจะตอ้ งมี การหมุนเวยี นกนั เป็นเจา้ ภาพในระหวา่ งกลุ่มสมาชิกดว้ ยกนั เป็นตน้ ดงั น้นั Conferences จะมีงานวิจยั ที่ค่อนขา้ งทนั สมยั แต่งานวิจยั ท่ีนาํ เสนอน้นั อาจจะมีเน้ือหาท่ีไม่ละเอียด หรือเป็นเพียงแค่แนวความคิดใหม่เท่าน้นั ซ่ึงจะแตกต่างกบั journal ที่มีเน้ือหาค่อนขา้ งละเอียด มีความใหม่ และอธิบายไดค้ รอบคลุมท้งั หมด เน่ืองจาก journal มีการพิจารณางานวจิ ยั ที่ใชเ้ วลาค่อนขา้ งนานและมีการแกไ้ ขหลายรอบ จนกวา่ จะไดต้ ีพมิ พอ์ ยา่ งสมบูรณ์ ข) อ่านงานวจิ ยั ในอดตี ทเ่ี ลอื กมา หลงั จากไดพ้ ิสูจน์หนงั สือและหวั ขอ้ งานวิจยั ที่เป็นประโยชน์แลว้ ข้นั ตอนต่อไป คือการอ่านงานวิจยั เหล่าน้นั แลว้ วิเคราะห์และวิจารณ์ เพ่ือที่จะดึงหัวขอ้ และประเด็นที่ เก่ียวขอ้ งเขา้ ดว้ ยกนั 17  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ถา้ คุณไม่มีกรอบทฤษฎีของหวั ขอ้ วิจยั อยใู่ นใจเพ่ือท่ีจะเริ่มศึกษา คุณตอ้ งแยกชุด ของบทความในแต่ละหวั ขอ้ วจิ ยั หรือหนงั สือ ในขณะที่คุณอ่านงานวิจยั ไปน้ัน มนั จะดาํ เนินการไปในช่วงของขอ้ มูลท่ีจะมี เหตุผลภายใตห้ วั ขอ้ วิจยั ท่ีไดพ้ ฒั นาไปแลว้ คุณอาจจะจาํ เป็ นตอ้ งเพิ่มเติมหัวขอ้ วิจยั ใน ฐานะท่ีคุณจะตอ้ งดาํ เนินการต่อไป การอา่ นวเิ คราะห์และวจิ ารณ์กบั บทความที่อา้ งอิงมีแง่มุมมองดงั น้ี - ความรู้ที่เกี่ยวขอ้ งกบั กรอบทฤษฎีของคุณตอ้ งยนื ยนั ไดย้ งั ไม่มีขอ้ สงสยั ใดๆ - ทฤษฎีจะผลกั ดนั ไปขา้ งหนา้ ดว้ ยส่ิงต่างๆ เหล่าน้ี คาํ วิจารณ์และอคติที่เกิดข้ึน ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ที่นาํ มาใชแ้ ละคาํ วจิ ารณ์ของวธิ ีการวจิ ยั - ตรวจสอบว่าอะไรคือขอบเขตที่กาํ ลงั สืบคน้ หรือคน้ หาซ่ึงมนั ควรจะเป็ น หลกั การทวั่ ๆไปต่อสถานการณ์อ่ืนๆ ในการสืบคน้ หรือคน้ ควา้ ในสาขาวิจยั ที่มีนอ้ ยหรือไม่มีเลยเป็ นท่ีรู้กนั ว่าคือ ยงั มี ช่องวา่ งอยสู่ าํ หรับโครงร่างพ้ืนฐานความรู้ใหอ้ ยเู่ พื่อใหค้ ุณไดศ้ ึกษาต่อได้ ค) พฒั นากรอบของทฤษฏี มันมีความสําคัญต่อการกําหนดพารามิเตอร์ด้วยการอ่านงานวิจัยในอดีตที่ เกี่ยวขอ้ งและตรงประเดน็ กบั บางหวั ขอ้ วจิ ยั หลกั ต่องานวจิ ยั ของคุณ เม่ือคุณเริ่มอ่านงานวิจยั ในอดีต คุณตอ้ งตระหนกั ว่ามนั ตอ้ งเก่ียวขอ้ งกบั จาํ นวน ของแง่มุมมองของปัญหาท้งั ทางตรงและทางออ้ มท่ีเป็ นภาระต่อหัวขอ้ งานวิจยั ของคุณ การใชแ้ ง่มุมมองของปัญหาจะเป็นหลกั เกณฑใ์ นการพฒั นากรอบทฤษฏีของคุณ คุณจะไม่สามารถพฒั นากรอบทฤษฏี จนกว่าคุณสามารถผ่านการทบทวน วรรณกรรมในอดีต และคุณไม่สามารถจะอ่านและวิจารณ์งานวิจัยได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จนกวา่ คุณไดพ้ ฒั นากรอบทฤษฏี งานวิจยั ในอดีตที่ตรงประเด็นต่อการศึกษาของคุณอาจจะเกี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ มูล 2 ชนิด 18  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - ความกวา้ งขวาง (Universal) - เฉพาะเจาะจง (Specific) ในการเขียนขอ้ มูลดงั กล่าว คุณควรจะเริ่มตน้ ดว้ ยขอ้ มูลเชิงกวา้ งๆ ทว่ั ๆไปก่อน แลว้ จึงคอ่ ยเจาะรายละเอียดลงมาใหแ้ คบลงจนถึงขอ้ มลู แบบเฉพาะเจาะจง ง) การเขยี นทบทวนวรรณกรรมงานวจิ ยั ในอดตี งานส่ิงแรกของการทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีต ยกตวั อย่างเช่น การ เตรียมความพร้อมสาํ หรับพ้ืนฐานทฤษฎีที่คุณจะศึกษา ดงั น้ี - เรียงช่ือหวั ขอ้ งานวจิ ยั หลกั ๆ ออกมาในขณะที่คุณกาํ ลงั อา่ นงานวจิ ยั ในอดีตอยู่ - แปลงขอ้ มลู เหล่าน้ีไปเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ย (Subheadings) โดยหวั ขอ้ ยอ่ ยเหล่าน้ีควรจะ มีความถูกตอ้ ง มีการอธิบายคาํ ถามของหวั ขอ้ วิจยั และเป็นไปตามหลกั ขบวนการ ของเหตุผล - ภายใตข้ องแต่ละหัวขอ้ ย่อย บนั ทึกการสืบคน้ หลกั เป็ นไปตามคาํ ถามของหัวขอ้ งานวจิ ยั ทาํ เครื่องหมายที่เหตุผลสาํ หรับต่อสู้กบั ขอ้ โตแ้ ยง้ ถา้ ส่ิงเหล่าน้ีมีอยู่ และ พิสูจน์ช่องวา่ งปัญหาและประเดน็ งานส่ิงท่ีสองของการทบทวนวรรณกรรมงานวิจยั ในอดีต ยกตวั อยา่ งเช่น การ เตรียมขอ้ ความหรือเน้ือความที่กาํ ลงั สืบคน้ เพือ่ การศึกษาของคุณ - คุณตอ้ งมีความเป็นระบบอยา่ งมากในการเปรียบเทียบงานวิจยั ท่ีคุณสืบคน้ อยกู่ บั งานวจิ ยั อ่ืนๆ - การอา้ งคาํ พูดมาจากศึกษางานวิจยั เหล่าน้ีเพ่ือที่จะแสดงให้เห็นว่า มีขอ้ ขดั แยง้ อะไรในการสืบคน้ งานวิจยั ของคุณ เพื่อเป็ นการยนื ยนั ความถูกตอ้ งหรือเพ่ิมเติม งานวจิ ยั เขา้ ไป - กาํ หนดงานวจิ ยั ที่คุณสืบคน้ ใหอ้ ยใู่ นขอ้ ความหรือเน้ือความอะไรก็ตามที่งานวิจยั อื่นๆ ไดค้ น้ พบมาก่อนแลว้ 19  

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     - งานสิ่งที่สองน้ีจะถูกทาํ เมื่อมีการเขียนเกี่ยวกบั งานวิจยั ที่คุณสืบคน้ คือหลงั จาก การจาํ แนกแยกแยะขอ้ มลู ของคุณแลว้ แบบฝึ กหัดบทที่ 3 1. สรุปจาํ นวนเร่ืองของเอกสารอา้ งอิง (References) มีอย่างละเท่าไรของ Books, Journals และ Conferences จากบทความวจิ ยั ท่ีเลือกมาอ่าน 2. เขียนสรุปหวั ขอ้ หลกั และประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ยอ่ ยของงานวิจยั ท้งั หมดในแต่ละเร่ือง จากเอกสารอา้ งอิงของบทความวจิ ยั ท่ีเลือกมาอ่าน 3. ต่อจากแบบฝึกหดั ขอ้ ท่ี 2 เขียนสรุปดงั น้ี 1) ประเดน็ ปัญหา 2) การใชก้ รอบทฤษฏีอะไรและแนวทางอะไรในการแกป้ ระเดน็ ปัญหา 3) ขอ้ ดีที่ไดร้ ับจากการแกป้ ัญหา และ 4) ขอ้ จาํ กดั หรือขอ้ เสียที่ไดร้ ับจากการแกป้ ัญหา 4. ต่อจากแบบฝึ กหดั ขอ้ ท่ี 2 และ3 เขียนแผนภาพการเรียงลาํ ดบั งานวิจยั ท้งั หมด โดยใช้ หลกั การไล่เรียงจากงานวิจยั ที่เป็ นขอ้ มูลเชิงกวา้ งๆ ทวั่ ๆไปก่อน แลว้ จึงค่อยเจาะ รายละเอียดลงมาใหแ้ คบลงจนถึงงานวจิ ยั ที่มีขอ้ มูลแบบเฉพาะเจาะจง 20  

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   บทท่ี 4 การกาํ หนดวตั ถุประสงค์ วตั ถุประสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษาความหมายและการกาํ หนดวตั ถุประสงค์ 2. เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการในการต้งั สมมุติฐาน 4.1 การศึกษาความหมายและการกาํ หนดวตั ถุประสงค์ - วตั ถุประสงคค์ ือเป้ าหมายเริ่มตน้ เพ่ือที่จะบรรลุความสาํ เร็จในการศึกษางานวจิ ยั ของคุณ - วตั ถุประสงคเ์ หล่าน้ีบอกผทู้ ี่อ่านวา่ อะไรที่คุณตอ้ งการบรรลุความสาํ เร็จผา่ นการศึกษา - มีความสาํ คญั มากต่อความชดั เจนและเฉพาะเจาะจงของถอ้ ยคาํ เหล่าน้ี วตั ถุประสงคค์ วรจะแบ่งภายใต้ 2 หวั ขอ้ ดงั น้ี ก) วตั ถุประสงคห์ ลกั (Main objectives) ข) วตั ถุประสงคร์ อง (Sub-objectives)  วตั ถุประสงคห์ ลกั คือถอ้ ยคาํ ท้งั หมดท่ีแถลงออกมาในการผลกั ดนั การศึกษาของคุณ มนั เป็นถอ้ ยคาํ การรวมกนั และมีความสมั พนั ธ์กนั ซ่ึงคุณตอ้ งคน้ หาใหพ้ บหรือสร้างใหไ้ ด้  วตั ถุประสงคร์ องคือแง่มุมของเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงของหัวขอ้ ซ่ึงคุณตอ้ งการสืบคน้ ภายในกรอบงานหลกั ของการศึกษาของคุณ - ถอ้ ยคาํ เหล่าน้ีควรจะเรียงลาํ ดบั เป็นจาํ นวนตวั เลข - ถอ้ ยคาํ ควรจะมีความชดั เจน ความสมบูรณ์และเฉพาะเจาะจง เพื่อที่จะส่ือสารกบั การ อา่ นของคุณ และความต้งั ใจของคุณ - แต่ละวตั ถุประสงคค์ วรจะมีเพยี งหน่ึงแง่มุมของเกณฑใ์ นการศึกษา 21   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   - ใชถ้ อ้ ยคาํ แสดงการกระทาํ หรือกริยาเมื่อมีการเขียนวตั ถุประสงค์ วตั ถุประสงคค์ วรจะเร่ิมตน้ ดว้ ยคาํ ดงั น้ี เช่น ‘to determine’, ‘to find out’, ‘to ascertain’, ‘to measure’, ‘to explore’ เป็นตน้ การใช้ถอ้ ยคาํ ของวตั ถุประสงคเ์ ป็ นการกาํ หนดชนิดของงานวิจยั เช่น มีการพรรณนา (descriptive), มีการเกี่ยวพนั ธ์กัน (correlational) และมีการทดสอบเพ่ือประเมินผล (experimental) เป็ นตน้ และชนิดของการออกแบบงานวิจยั ท่ีคุณจาํ เป็ นตอ้ งนาํ มนั มาเพื่อทาํ ให้ บรรลุเป้ าหมาย Descriptive studies: - เพ่ือที่จะอธิบายหวั ขอ้ การส่งเสริมลกู คา้ เตรียมการสาํ หรับโรงแรมแห่งหน่ึงต่อลูกจา้ ง - เพ่ือท่ีจะคน้ หาความคิดเห็นของลูกจา้ งออกมาเก่ียวกบั การอาํ นวยความสะดวกของ การรักษาพยาบาลซ่ึงถูกเตรียมการจากโรงแรมระดบั 5 ดาว Correlational studies: - เพอ่ื ท่ีจะสืบคน้ ใหร้ ู้แน่ผลกระทบของการฝึกงานต่อสญั ญาจา้ งของลูกจา้ ง - เพื่อที่จะเปรียบเทียบประสิทธิภาพความแตกต่างของการทาํ งานต่อความจงรักภกั ดี หรือความซ่ือสตั ยจ์ ากลูกจา้ ง Hypothesis–testing studies: ศึกษาการต้งั ขอ้ สมมุติฐาน-ทดสอบ - เพ่ือท่ีจะสืบคน้ ให้รู้แน่ ถ้ามีการเพ่ิมข้ึนของจาํ นวนชั่วโมงในการทาํ งานจะเพ่ิม เหตุการณ์การใชย้ าหรือแอลกอฮอลใ์ นทางผดิ กฎหมาย - เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าการจดั เตรียมที่อยู่เพ่ืออาํ นวยความสะดวกต่อลูกจ้างใน โรงแรมจะลดผลกระทบต่อลูกจา้ งที่อยากเปล่ียนที่ทาํ งาน 22   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   คุณลกั ษณะของวตั ถุประสงค์ Clear + Complete + Specific + Identify main + Identify the variables to direction of be correlated relationship I……Descriptive Studies…………I I..Correlational Studies (experimental and non-experimental)….I I…………Hypothesis testing studies………………………….....I การพสิ ูจน์ตวั แปร (Identifying Variables) ในการศึกษาวจิ ยั มนั มีความสาํ คญั ต่อแนวความคิดหลกั การในรูปแบบของการวดั ผล โดย วิธีการจะทาํ อย่างไรเกี่ยวกบั แนวความคิด และความรู้เก่ียวกบั ตวั แปร การจดั การกบั บทบาท ความสําคญั เพื่อท่ีจะลดผลของตวั แปรเหล่าน้ี ดงั น้ันความรู้เหล่าน้ีมีความสําคญั ต่อปัญหาใน งานวจิ ยั ของคุณโดยใชก้ ารปรับละเอียด ยกตวั อยา่ งเช่น - Jet Airways คือ ตวั อยา่ งความสมบูรณ์ของการบริการท่ีมีคุณภาพ - อาหารในร้านภตั ตาคารน้ีดีมาก - คนชนช้นั กลางในประเทศอินเดียไดม้ ีความร่ํารวยมากข้ึน เม่ือประชาชนแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านี้ พวกเขาทาํ บนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ท่ี แน่นอนในจิตใจของพวกเขา การตัดสินของพวกเขาอย่บู นพืน้ ฐานของตัวชี้วัด (indicators) ซ่ึง จะนาํ สิ่งเหล่านีไ้ ปสู่ผลสรุปและแสดงออกตามความคิดเห็น การตัดสินเหล่าน้ีตอ้ งการเสียงบนพ้ืนฐานที่มีการประกาศออกมา การยอมรับอนั น้ีไดใ้ ช้ กลไกในการวดั ผลและมนั เป็นขบวนการวดั ผลซ่ึงเป็นความรู้เกี่ยวกบั ตัวแปรมีบทบาทท่ีสาํ คญั 23   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   การกาํ หนดตวั แปร (The definition of a variable) รูปภาพ การรับรู้ความรู้สึก หรือแนวความคิด สามารถถูกวดั ผล ในการนําเอาความ แตกต่างของจาํ นวนหรือคา่ ซ่ึงเรียกวา่ จาํ นวนคา่ หรือตวั แปร (variable) ความแตกต่างระหว่างแนวความคดิ และตวั แปร (The difference between a concept and a variable) แนวความคิดเป็ นภาพของจิตใจ หรือการรับรู้ความรู้สึก ดังน้ันความหมายเหล่าน้ี เปลี่ยนแปลงอยา่ งเด่นชดั จากแต่ละคนไปสู่แต่ละคน แนวความคิดน้ีไม่สามารถวดั ผลได้ ขณะที่ ตวั แปรสามารถถูกทาํ ใหม้ ีการวดั ผลไดด้ ว้ ย ความเขม้ ขน้ /เจือจาง หรือ ผกู้ ระทาํ /ผถู้ ูกกระทาํ จาก หน่วยของการวดั ดงั น้นั มนั มีความสําคญั สําหรับแนวความคิดที่จะถูกเปล่ียนแปลงไปเป็ นตวั แปร Concept Variable - ความประทบั ใจจากความนึกคิด - สามารถวดั ผลไดจ้ ากการเปล่ียนแปลงค่าที่ - ไม่มีรูปแบบตายตวั ที่แน่นอนต่อความเขา้ ใจ แน่นอนจากสเกลหน่ึงไปยงั อีกสเกลหน่ึง และ ระหวา่ งความแตกต่างของประชาชน ตวั แปรหน่ึงไปยงั อีกตวั แปรหน่ึง ยกตวั อยา่ ง - ไม่สามารถวดั ผลไดย้ กตวั อยา่ งเช่น เช่น • Excellent - gender (male/female) • High achiever -age (x years y months) • Rich -weight ( --kg) • Satisfaction - height ( -- cms) • Domestic violence - religion (Catholic, Hindu) -Income ( Rs ---per year) 24   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   แนวความคดิ ตวั ชี้วดั และตวั แปร (Concepts, indicators and variables) ถ้าคุณใช้แนวความคิดในการศึกษาของคุณๆจําเป็ นต้องพิจารณาการทํางานของ ขบวนการ กล่าวคือ ขบวนการจะถกู วดั ผลไดอ้ ยา่ งไร สําหรับในท่ีน้ี คุณจาํ เป็ นตอ้ งพิสูจน์ ตัวชี้วัด ชุดของเกณฑ์ซึ่งสะท้อนแนวความคิด ท่ี สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นตวั แปรหรือจาํ นวนได้ ทางเลือกของตวั ช้ีวดั สาํ หรับแนวความคิดอาจจะเปล่ียนแปลงไปกบั ผวู้ ิจยั แต่สิ่งเหล่าน้ีที่ ถูกเลือกตอ้ งมีการเช่ือมโยงเป็นเหตุเป็นผลกบั แนวความคิด Concepts___>Indicators_____>Variables Concepts Indicators Variables Working definition Rich 1. Income 1. Income 1.If>Rs100000 2. Assets 2. Total value of home, 2.If>Rs250000 car, investments Effectiveness 1. No. of guests 1. No. of guests served in diff. in before and Month/year after levels 2. Changes in ratings 2. No. of excellent per 100 - do - a) extent of feedback b) pattern of ชนิดของสเกลในการวดั ผล (Types of measurement scales) การวดั ผลเป็ นหัวใจต่อคาํ ถามใดๆ ก็ตาม ถา้ มีหน่วยในการวดั ผลละเอียดมากเท่าไร ความน่าเช่ือถือกม็ ากเท่าน้นั สามารถแบ่งชนิดของสเกลไดเ้ ป็น 4 แบบดงั น้ี - Nominal or classificatory scale 25   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   - Ordinal or ranking scale - Interval scale - Ratio scale The nominal or classificatory scale สเกลน้ีทาํ ใหส้ ามารถแบ่งแยกกลุ่มแบบเฉพาะบุคคล วตั ถุหรือตอบสนองต่อกลุ่มยอ่ ยบน พ้ืนฐานของคุณสมบตั ิธรรมดาสามญั หรือคุณลกั ษณะ ตวั แปรในการวดั ผลสเกลน้ีอาจจะมี หน่ึง สองหรือมากกวา่ น้ีของภายใตล้ าํ ดบั ช้นั ในกลุ่ม ข้ึนอย่กู บั จาํ นวนขอบเขตของการเปล่ียนแปลง ยกตวั อยา่ งเช่น ตวั แปร น้าํ หรือ ตน้ ไม้ มีลาํ ดบั ช้นั ในกลุ่มเพียงหน่ึงกลุ่ม ในขณะท่ี ตวั แปร เพศ สามารถแบ่งไดเ้ ป็นสองกลุ่มยอ่ ยคือ ผชู้ าย และ ผหู้ ญิง สาํ หรับตวั แปร โรงแรม สามารถแบ่งไดเ้ ป็นกี่กลุ่มยอ่ ย การเรียงลาํ ดบั ในกลุ่มย่อยน้ันที่ถูกแบ่งออกมาจะไม่มีความแตกต่างกนั เน่ืองจากไม่มี ความเกี่ยวขอ้ งกนั ในระหวา่ งกลุ่มยอ่ ยน้นั ดว้ ย The ordinal or ranking scale นอกจากการแบ่งกลุ่มแบบเฉพาะบุคคล วตั ถุ การตอบสนอง หรือคุณสมบตั ิ ในกลุ่มยอ่ ย บนพ้ืนฐานของคุณลกั ษณะแบบธรรมดา มนั ยงั สามารถที่จะต้งั อยใู่ นกลุ่มยอ่ ยในลาํ ดบั ท่ีแน่นอน ส่ิงเหล่านี้ถูกจัดการท้ังการสืบเนื่องหรื อสืบทอดมาเรี ยงเป็ นลาํ ดับตามขอบเขตการ แบ่งกล่มุ ย่อยมีผลกระทบต่อความสาํ คัญการเปลี่ยนแปลงขนาดของจาํ นวนตวั แปร ยกตวั อยา่ งเช่น รายรับ สามารถวดั ผลไดท้ ้งั จาํ นวนปริมาณ (หน่วยของเงิน) หรือคุณภาพ โดยใชก้ ารแบ่งกลุ่มยอ่ ยเป็ นระดบั “สูงกว่าค่ากลาง” “ค่ากลาง” และ “ต่าํ กว่าค่ากลาง” โดย ระยะห่าง ระหว่างการแบ่งกลุ่มย่อยนีไ้ ม่เท่ากัน เนื่องจากไม่มีหน่วยของจาํ นวนปริมาณในการ วดั ผล 26   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   สาํ หรับผลทางเศรษฐศาสตร์และการกาํ หนดท่าทีทางทศั นคติ ก็เป็ นตวั แปรหรือจาํ นวน อ่ืนๆ ซ่ึงสามารถวดั ผลตามสเกลแบบจาํ นวนนบั ท่ีแสดงแบบเรียงลาํ ดบั The interval scale สเกลแบบระยะระหว่างภายในมีคุณลกั ษณะท้งั หมดของสเกลแบบจาํ นวนนับท่ีแสดง ลาํ ดบั การใชห้ น่วยของการวดั ผลแบบจุดเริ่มตน้ และจุดสุดทา้ ย ยกตวั อยา่ งเช่น - Celsius scale: 0*C to 100*C - Fahrenheit scale: 32*F to 212*F - Attitudinal scales: 10-20, 21-30, 31-40 etc. The ratio scale สเกลแบบอตั ราส่วนมีท้งั หมดของคุณสมบตั ิสเกลแบบเฉพาะกลุ่มบุคคล เรียงลาํ ดบั และ การแบ่งช่วงภายใน โดยสามารถวดั ผลของตวั แปร รายได้ อายุ ความสูง และน้าํ หนกั ยกตวั อยา่ ง เช่น บุคคลหน่ึงมีอายุ 40 ปี มีอายเุ ป็ น 2 เท่าของอีกบุคคลหน่ึงผซู้ ่ึงมีอายุ 20 ปี โดยสเกลน้ี ลกั ษณะเป็นศูนยแ์ ท้ (true zero point) นนั่ คือการวดั ผลอายสุ ามารถวดั ไดต้ ้งั แต่อายศุ ูนยป์ ี 4.2 วธิ ีการในการต้งั สมมุตฐิ าน การต้งั สมมุตฐิ าน เนื่องจากนกั วจิ ยั ไม่รู้เกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่คุณมีลางสังหรณ์เพื่อท่ีจะก่อเป็น ฐานของการคาดเดาหรือสันนิฐานอยา่ งแน่นอน คุณทดสอบส่ิงเหล่าน้ีไดด้ ว้ ยการเก็บขอ้ มูลซ่ึง ทาํ ใหค้ ุณสามารถสรุป ถา้ คุณมีลางสงั หรณ์ที่ถูกตอ้ ง ขบวนการพิสูจน์สามารถให้คาํ ตอบได้หน่ึงในสามตามที่คุณอาจจะทดสอบคือ (1) ถกู ตอ้ ง (2) ถูกตอ้ งบางส่วน หรือ (3) ผดิ ท้งั หมด 27   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   ถา้ ปราศจากขบวนการพิสูจน์น้ี คุณไม่สามารถสรุปในสิ่งใดๆ ก็ตามท่ีเกี่ยวกบั การมีเหตุ มีผล (validity) ของสมมุติฐานของคุณ เนื่องจากเหตุนี้ การตั้งสมมุติฐานคือการมีลางสังหรณ์ สันนิฐาน สงสัย การอ้าง หรือมี ความคิด เก่ียวกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความสัมพันธ์หรือสถานการณ์ ความจริงหรือความ ถกู ต้องของสิ่งที่คณุ ไม่ทราบ นักวิจยั เรียกการต้งั สมมุติฐานหรือลางสังหรณ์ท้งั หมดน้ีเป็ นพ้ืนฐานในการต้งั คาํ ถาม ต่อไป โดยส่วนใหญ่การศึกษาการต้งั สมมุติฐานจะอย่บู นพ้ืนฐานของตวั คุณเองหรือใครคนใด คนหน่ึงท่ีไดส้ ังเกตเห็นส่ิงที่เกิดข้ึน โดยการต้งั สมมุติฐานจะนาํ มาซ่ึงความชดั เจน รายละเอียด เฉพาะเจาะจงพเิ ศษ และสนใจพงุ่ เป้ าไปที่ปัญหาของการวจิ ยั แต่มนั กไ็ ม่จาํ เป็นสาํ หรับการศึกษา คุณสามารถนาํ ความเป็นเหตุเป็นผลในการสืบสวนคน้ หาโดยปราศจากการต้งั สมมุติฐาน ต้งั แต่แรกเลยกไ็ ด้ การทาํ งานของสมมุตฐิ าน  การกาํ หนดการต้งั สมมุติฐานเพื่อเตรียมการศึกษาที่คุณสนใจ มนั จะบอกใหค้ ุณว่าอะไร เป็นแง่มุมมองที่เฉพาะเจาะจงพิเศษของปัญหาสาํ หรับการวจิ ยั ที่จะสืบสวนคน้ หา  การต้งั สมมุติฐานบอกคุณว่าอะไรเป็ นขอ้ มูลท่ีเก็บและอะไรที่ไม่ตอ้ งเก็บ ดงั น้ันตอ้ ง เตรียมการไปสู่ส่ิงท่ีสนใจท่ีจะศึกษา  ในขณะที่มีการเตรียมการไปสู่สิ่งที่สนใจแลว้ ดงั น้นั การสร้างหรือต้งั สมมุติฐานจะขยาย ไปสู่วตั ถุประสงคใ์ นการศึกษา  การต้งั สมมุติฐานอาจจะทาํ ให้คุณเพ่ิมการวางกาํ หนดทฤษฎีได้ และมนั จะทาํ ให้คุณสรุป อยา่ งโดยรายละเอียดเฉพาะเจาะจงคือ อะไรท่ีถูกตอ้ ง หรือ อะไรท่ีผดิ 28   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)   แบบฝึ กหัดบทท่ี 4 1. สรุปวตั ถุประสงคห์ ลกั และวตั ถุประสงค์รองเป็ นขอ้ ๆ จากบทความวิจยั ท่ีเลือกมา อา่ น 2. คุณลักษณะของวตั ถุประสงค์จากบทความวิจัยท่ีเลือกมาอ่านเป็ นการศึกษาใน รูปแบบใด (Descriptive studies, Correlational studies, Hypothesis–testing studies) 3. จงอธิบายตวั แปรท่ีใชใ้ นการวดั ผลและชนิดของสเกลในการวดั ผลวา่ เป็นอยา่ งไรจาก บทความวจิ ยั ท่ีเลือกมาอ่าน 4. อธิบายการต้งั สมมติฐานเพ่ือขยายไปสู่การกาํ หนดวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งเป็นเหตุเป็นผล จากบทความวจิ ยั ที่เลือกมาอ่าน 29   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     บทที่ 5 การเตรียมการออกแบบงานวจิ ยั และการเกบ็ ขอ้ มลู วตั ถุประสงค์ 1. เพอื่ ศึกษาการเตรียมการออกแบบงานวจิ ยั และการเกบ็ ขอ้ มลู 2. เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจวธิ ีการและข้นั ตอนการออกแบบงานวจิ ยั และการเกบ็ ขอ้ มลู 3. เพ่ือศึกษาเคร่ืองมือสาํ หรับการเกบ็ ขอ้ มูล 4. เพื่อศึกษาประเดน็ จริยธรรมในการเกบ็ ขอ้ มลู 5.1 การเตรียมการออกแบบงานวจิ ยั การออกแบบงานวิจยั คือ โครงสร้างทางแนวความคิดซ่ึงอยู่ภายในเพ่ืองานวิจยั ท่ีควรจะ นาํ มาปฏิบตั ิหรือดาํ เนินการ งานในการออกแบบการวิจยั เป็ นการเตรียมการสําหรับการเก็บขอ้ มูลท่ีสัมพนั ธ์กนั ดว้ ยการ ใชท้ รัพยากรหรือความสิ้นเปลืองใหน้ อ้ ยที่สุดของความพยายามทางดา้ น เวลา และเงินทอง โดย ในการเตรียมการออกแบบงานวิจยั น้นั เพื่อความเหมาะสมเฉพาะเจาะจงกบั ปัญหาในงานวิจยั ซ่ึง ตอ้ งมีการพจิ ารณาในเรื่องต่างๆ ดงั น้ี 1) วตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั ท่ีศึกษา 2) วธิ ีการในการเกบ็ ขอ้ มูลเพื่อท่ีจะนาํ มาใชป้ ระมวลผล 3) แหล่งของขอ้ มูล-- การออกแบบตวั อยา่ ง 4) เคร่ืองมือสาํ หรับในการเกบ็ ขอ้ มูล 5) การวเิ คราะห์ขอ้ มลู – เชิงคุณภาพ (qualitative) และ เชิงปริมาณ (quantitative) 30   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     วตั ถุประสงค์ของงานวจิ ยั ที่ศึกษา คือการพิสูจน์ใหไ้ ดเ้ พ่ือท่ีจะตอบคาํ ถามในการวิจยั ซ่ึง มีดงั น้ี ก) เร่ืองจาํ นวนตวั เลข (Number) และ ข) การเร่ิมตน้ ของขอ้ ความดว้ ยการใชค้ าํ กริยาที่บอกถึงการปฏิบตั ิหรือการกระทาํ ชนิดของข้อมูลทใี่ ช้ในการเกบ็ ข้อมูล มีอยดู่ ว้ ยกนั 2 ชนิด ก) ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ (Primary data) – ถูกเกบ็ สาํ หรับคร้ังแรก ข) ขอ้ มูลทุติยภูมิ (Secondary data) – ถูกเก็บและถูกวิเคราะห์มาแลว้ โดยบุคคลหน่ึง 5.2 การจาํ แนกวธิ ีการในการเกบ็ ข้อมูล มีดงั น้ี 5.2.1 วธิ ีการสังเกตการณ์ (Observation Method) ปกติเกี่ยวขอ้ งกบั พฤติการณ์ มนั เป็นการรวบรวมขอ้ มลู ต้งั ตน้ โดยการสงั เกตการณ์จากผสู้ ืบคน้ เองของ ประชาชน การ กระทาํ และสถานการณ์ท่ีสมั พนั ธ์กนั โดยปราศจากการสอบถามจากผใู้ หค้ าํ ตอบ ยกตวั อยา่ งเช่น • ทางโรงแรมไดส้ ่งผสู้ งั เกตการณ์ไปเป็นแขกในร้านกาแฟเพื่อที่จะตรวจสอบความสะอาด และการบริการต่อลูกคา้ • ฝ่ ายบริการดา้ นอาหารส่งนกั วิจยั เขา้ ไปที่ภตั ตาคารหรือร้านอาหาร เพ่ือที่จะเรียนรู้เร่ือง ราคาของรายการอาหาร ตรวจสอบดูเรื่องการแบ่งสัดส่วนให้มีความสอดคลอ้ งตรงกนั และสงั เกตเร่ืองหรือปัญหาซ้ือขายของสินคา้ • ร้านอาหารมีการประเมินความเป็นไปไดข้ องท่ีต้งั ใหม่ ดว้ ยการตรวจสอบท่ีต้งั รอบนอก ของร้านอาหารท่ีแข่งขนั กนั รูปแบบการจราจรเดินทาง และเง่ือนไขของความใกลเ้ คียง ของที่ต้งั 31   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ในการสังเกตน้นั จะมีผลของขอ้ มูลที่ปกติประชาชนไม่เตม็ ใจหรือไม่สามารถให้ข้อมูล ได้ ยกตวั อย่าง สังเกตเห็นแผ่นโลหะมากมายอยใู่ นส่วนที่ทานไม่ไดใ้ นรายการอาหาร เป็ นการ ช้ีใหเ้ ห็นวา่ อาหารไม่เป็นท่ีน่าพอใจ ชนิดของสงั เกตการณ์ - Structured สาํ หรับการวจิ ยั เชิง descriptive - Unstructured สาํ หรับการวจิ ยั เชิง exploratory - Participant Observation เป็นแบบมีส่วนรวม - Non-participant Observation เป็นแบบไม่มีส่วนรวม - Disguised Observation เป็นแบบนกั สืบสวน ขอ้ จาํ กดั ของการสงั เกตการณ์ - ความรู้สึก ความเชื่อและทัศนคติ ซ่ึงจูงใจพฤติกรรมการซ้ือขายและถ้ามี พฤติกรรมเป็นแบบนานๆทีกไ็ ม่สามารถที่จะสงั เกตเห็นได้ - เป็นวธิ ีการท่ีสิ้นเปลือง เนื่องจากข้อจาํ กัดเหล่านี้ ทาํ ให้บ่อยครั้งนักวิจัยมีการเสริมวิธีการสังเกตการณ์ด้วยการใช้ วิธีการวิจัยแบบสาํ รวจ (survey method) 5.2.2 วิธีการแบบสํารวจ (Survey Method) เป็ นวิธีที่เหมาะสมท่ีสุดสาํ หรับการ รวบรวมขอ้ มูลเชิงพรรณนา Structured Surveys: ใชช้ ุดเป็ นระเบียบของคาํ ถามในการถามกบั ผตู้ อบทุกท่านในทาง เดียวกนั Unstructured Surveys: อนุญาตใหผ้ สู้ ัมภาษณ์ไดไ้ ต่ถามผตู้ อบและนาํ ทางการสัมภาษณ์ ไปตามคาํ ตอบของพวกเขา 32   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     การวจิ ยั เชิงสาํ รวจอาจจะแบ่งเป็นทางตรง(Direct) หรือทางออ้ ม (Indirect) Direct Approach: นกั วจิ ยั ถามคาํ ถามทางตรงเก่ียวกบั พฤติกรรมและความคิด ยกตวั อยา่ ง เช่น “ทาํ ไมคุณไม่ทานท่ีร้านแมค็ โดแน็ล” Indirect Approach: นกั วิจยั อาจจะถามวา่ “ประชาชนคนไหนหรือประเภทไหนทานที่ ร้านแมค็ โดแน็ล” ผลจากการตอบ นักวิจยั อาจจะคน้ พบว่า ทาํ ไมผูบ้ ริโภคหลีกเล่ียงร้านแม็คโดแน็ล มนั อาจจะเป็นปัจจยั ที่ผบู้ ริโภคไม่ไดค้ ิดหรือรู้ตวั มาก่อน ขอ้ ดีของการสาํ รวจ • สามารถใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู หลายชนิดท่ีแตกต่างกนั ได้ • รวดเร็วและตน้ ทุนถกู เม่ือเปรียบเทียบกบั วธิ ีการสงั เกตการณ์และวธิ ีการทดลอง ขอ้ จาํ กดั การสาํ รวจ • ความไม่เต็มใจของผู้ให้คาํ ตอบจากคาํ ถามโดยถามจากผู้ท่ีไม่ทราบชื่อคน สมั ภาษณ์เกี่ยวกบั ส่ิงท่ีพวกเขาคิดวา่ เป็นเรื่องส่วนตวั • ประชาชนติดธุระอาจจะไม่ตอ้ งการใชเ้ วลานาน • อาจจะเป็นการลองช่วยใหไ้ ดค้ าํ ตอบเป็นท่ีน่าพอใจ • ไม่สามารถท่ีจะตอบคาํ ถามเน่ืองจากพวกเขาไม่สามารถที่จะจาํ หรือไม่เคยให้ ความคิดวา่ อะไรท่ีพวกเขาทาํ และทาํ ไม • อาจจะตอบคาํ ถามเพือ่ ท่ีจะดูแลว้ สวยหรือมีคาํ ช้ีแจง้ ที่ดี 5.2.3 วธิ ีการตติ ่อ (Contact Method) ขอ้ มูลอาจจะไดม้ าจากทาง แจกแบบสอบถาม หรือส่งทางจดหมายไปรษณีย์ โทรศพั ท์ หรือการสมั ภาษณ์ส่วนบุคคล 33   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     วธิ ีการแจกแบบสอบถามหรือส่งทางจดหมายไปรษณีย์ ข้อดี • สามารถใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มูลจาํ นวนมากที่ตน้ ทุนถูกต่อหน่ึงผตู้ อบคาํ ถาม • ผูต้ อบคาํ ถามอาจจะให้ความซื่อสัตยต์ ่อคาํ ตอบมากต่อคาํ ถามส่วนบุคคลจาก แบบสอบถามหรือส่งจดหมายไปรษณีย์ • ไม่มีการสมั ภาษณ์ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั อคติของคาํ ตอบจากผตู้ อบคาํ ถาม • อาํ นวยความสะดวกสาํ หรับผตู้ อบคาํ ถามซ่ึงสามารถใหค้ าํ ตอบเม่ือเขาพอมีเวลา • มีทิศทางที่ดีท่ีจะยน่ื แบบสอบถามใหแ้ ก่ประชาชนผชู้ อบเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ ข้อจาํ กัด • ไม่มีความยดื หยนุ่ • ใชเ้ วลานานในการตอบคาํ ถามมากกว่าการใชโ้ ทรศพั ทห์ รือการสัมภาษณ์ส่วน บุคคล • อตั ราในการใหค้ าํ ตอบค่อนขา้ งต่าํ บ่อยคร้ัง • นกั วจิ ยั ไม่สามารถควบคุมต่อผทู้ ี่จะตอบคาํ ถามได้ วธิ ีการสมั ภาษณ์ทางโทรศพั ท์ ข้อดี • เป็นวธิ ีที่รวดเร็ว • มีความยดื หยนุ่ ในการสมั ภาษณ์สามารถอธิบายคาํ ถามที่ไม่เขา้ ใจแก่ผตู้ อบคาํ ถาม • ข้ึนอยกู่ บั ผตู้ อบคาํ ถามซ่ึงพวกเขาสามารถไม่ตอบคาํ ถามบางคาํ ถามและมีการไต่ ถามถึงส่ิงอ่ืนมากข้ึน • อนุญาตใหม้ ีการควบคุมกลุ่มตวั อยา่ งมากข้ึน 34   

รหสั วชิ า EGTI616 ช่ือวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     • อตั ราในการใหค้ าํ ตอบมีทิศทางสูงกวา่ การใชแ้ จกแบบสอบถามหรือส่งจดหมาย ไปรษณีย์ ข้อเสี ยหรื อข้อด้ อย • ตน้ ทุนสูงต่อหน่ึงผทู้ ี่ตอบคาํ ถาม • ประชาชนบางคนอาจจะไม่ตอ้ งการสนทนาโตเ้ ถียงต่อคาํ ถามส่วนบุคคลกบั ผทู้ ่ี สมั ภาษณ์ • กริยาอาการคาํ พูดของผูส้ ัมภาษณ์อาจจะมีผลต่อการให้คาํ ตอบของผูท้ ่ีตอบ คาํ ถาม • ความแตกต่างของผูส้ ัมภาษณ์อาจจะแปลหรือเก็บขอ้ มูลจากผูท้ ่ีตอบคาํ ถามใน หลากหลายทิศทาง • ภายใตค้ วามกดดนั เร่ืองเวลาขอ้ มูลอาจจะถูกบนั ทึกโดยปราศจากการสัมภาษณ์ จริงๆ วธิ ีการสมั ภาษณ์ส่วนบุคคล • มนั ยดื หยนุ่ มากๆ และสามารถใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ขนาดมากๆได้ • ผูส้ ัมภาษณ์สามารถรักษาความใส่ใจต่อผูต้ อบคาํ ถามและหาความชัดเจนต่อ คาํ ถามท่ียากได้ • พวกเขาสามารถแนะนาํ การสัมภาษณ์ สาํ รวจประเด็นของปัญหา และสอบสวน ไต่ถามส่ิงท่ีตอ้ งการตามสถานการณ์ • การสัมภาษณ์ส่วนบุคคลสามารถใชช้ นิดของคาํ ถามใดๆ ก็ได้ และสามารถถูก นาํ มาใชไ้ ดอ้ ยา่ งรวดเร็วถกู ตอ้ งยตุ ิธรรม • การสัมภาษณ์สามารถแสดงผลผลิตจริง โฆษณา เป็ นแพก็ เกจ และการสังเกต พร้อมดว้ ยกบั การบนั ทึกปฏิกิริยาโตก้ ลบั และพฤติกรรมของพวกเขาได้ 35   

รหสั วชิ า EGTI616 ชื่อวชิ า ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั   (Research Methodology)     ในวิธีการนีส้ ามารถนาํ มาใช้อยู่ 2 รูปแบบในการสัมภาษณ์ คือ Individual- Intercept interviewing และ Group - Focus Group Interviewing วธิ ีการสมั ภาษณ์แบบ Intercept interviewing ข้อดี • นิยมใชใ้ นการวจิ ยั เชิงนกั ท่องเท่ียว • อนุญาตใหน้ กั วจิ ยั ไปเขา้ ถึงประชาชนท่ีรู้จกั ไดใ้ นเวลาอนั ส้นั • เป็นเพียงวธิ ีการในการเขา้ ถึงประชาชนที่ไม่รู้จกั ชื่อและที่อยขู่ องพวกเขา • เกี่ยวขอ้ งกับการพูดคุยกับประชาชนท่ีบา้ น ท่ีทาํ งาน บนถนน หรือซ้ือของที่ หา้ งสรรพสินคา้ • ผสู้ มั ภาษณ์ตอ้ งเป็นทีมงานร่วมมือกบั ผถู้ ูกสมั ภาษณ์ • เวลาที่ใชใ้ นการสมั ภาษณ์อาจจะเร่ิมจาก 2-3 นาที ถึงหลายชวั่ โมง (สาํ หรับการ ใชเ้ วลานานจะชดเชยโดยใชแ้ บบสาํ รวจแทนได)้ • เก่ียวขอ้ งกบั การใชแ้ บบ สุ่มตัวอย่างแบบพิจารณาวิเคราะห์หรือตัดสินใจ ซ่ึงพูด ไดว้ า่ ผสู้ ัมภาษณ์มีแนวทางไปสู่การแบ่งแยก (intercept) กลุ่มผถู้ ูกสมั ภาษณ์ เช่น 25% อายนุ อ้ ยกวา่ 20 ปี และ 75% อายมุ ากกวา่ 60 ปี ข้อเสี ยหรื อข้อด้ อย • ขอ้ ผิดพลาดและมีอคติจากผสู้ ัมภาษณ์ซ่ึงไม่สามารถตดั สินใจเรื่อง อายุ เช้ือชาติ เป็ นตน้ • ผสู้ มั ภาษณ์อาจจะไม่สบายใจในการพดู คุยในเรื่องเกี่ยวกบั มนุษยชาติหรือกลุ่มยคุ สมยั 36   


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook