Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ปีงบประมาณ 2561

แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ปีงบประมาณ 2561

Published by sopav999, 2020-02-03 01:47:04

Description: แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ปีงบประมาณ 2561

Search

Read the Text Version

แนวทางการพฒั นากลมุ่ อาชพี สูก่ ารเป็นผปู้ ระกอบการ OTOP กรณีศกึ ษา กลุ่มแปรรปู ปลาบา้ นคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบา้ นสรา้ ง จังหวดั ปราจีนบรุ ี นางสาวดวงใจ ชยั สงคราม 583081049-1 ภาคนิพนธน์ ้ีเปน็ ส่วนหนึ่งของการเรยี นการสอนรายวิชา 415 495 (สหกจิ ศกึ ษาทางสงั คมวิทยาและมานุษยวิทยา) กลุ่มวิชาสงั คมวิทยาและมานษุ ยวทิ ยา สาขาวิชาสังคมศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น ภาคการศึกษาปลาย ปีการศึกษา 2561

ภาคนิพนธ์สหกิจศึกษาทางสังคมวทิ ยาและมานษุ ยวทิ ยา ประจาปีการศึกษา 2561 ชอ่ื ภาคนิพนธ์ : แนวทางการพฒั นากลุ่มอาชีพสูก่ ารเปน็ ผู้ประกอบการ OTOP กรณศี ึกษา กลุม่ แปรรปู ปลาบา้ นคลองสอง ตาบลบา้ นสร้าง ชื่อผจู้ ดั ทาภาคนพิ นธ์ อาเภอบา้ นสรา้ ง จงั หวดั ปราจนี บุรี ชือ่ สถานประกอบการ : นางสาวดวงใจ ชยั สงคราม ทอี่ ยู่ : กรมการพฒั นาชุมชน กระทรวงมหาดไทย : ศูนยร์ าชการเฉลิมพระเกยี รตฯิ อาคารรฐั ประศาสนภักดี (อาคาร B) ช้นั 5 ชอ่ื พเ่ี ล้ียง ถนนแจ้งวฒั นะ แขวงทุ่งสองหอ้ ง เขตหลักส่ี กรงุ เทพมหานคร 10210 ตาแหนง่ โทรศัพท์: 0 - 2141 -6047 โทรสาร : 0 - 2143 -8905-7 อีเมล : [email protected] : นางสาวโสภาพร วิศิษฏ์พงศ์ : นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ ............................................. อาจารยท์ ่ีปรึกษา (รศ.ดร.พรอัมรนิ ทร์ พรหมเกิด) วัน 31 เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2562 ........................................................ ........................................................ (ผศ.ดร.กรี ตพิ ร จตู ะวิรยิ ะ) (อ.ดร.จกั รพันธ์ ขดั ชมุ่ แสง) ประธานกรรมการสหกจิ ศึกษา ประธานกรรมการบริหารหลกั สตู รศลิ ปศาสตรบณั ฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ลิขสิทธ์ขิ องคณะมนุษยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น

ก กติ ตกิ รรมประกาศ จากการท่ีได้ปฏิบัติสหกิจศึกษา ณ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ต้ังแต่วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2562 ถงึ วนั ท่ี 26 เมษายน พ.ศ. 2562 ส่งผลใหข้ ้าพเจ้าไดร้ ับความรู้และประสบการณ์ ต่าง ๆ ท่ีมีคา่ เปน็ อย่างย่ิง และสามารถจัดทาภาคนพิ นธ์ฉบับน้ี ให้สาเร็จลงได้ด้วยดี จากความร่วมมือ สนับสนุนจากหลายฝ่าย ดงั นี้ ขอขอบพระคุณ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย นายวิสุทธิ์ วงศ์สว่าง นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ ท่ีให้โอกาสข้าพเจ้าในการฝึกปฏิบัติสหกิจศกึ ษา เพ่ือเพม่ิ พนู ทักษะ ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนการรับมือกับสถานการณ์จริงในระหว่างการทางาน ขอขอบพระคุณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เปิดโอกาสและอนุญาตให้ข้าพเจ้า ไดเ้ ข้ารว่ มการฝึกปฏบิ ตั สิ หกิจศึกษาในคร้ังนี้ ขอขอบพระคุณ นางสาวโสภาพร วิศิษฏ์พงศ์ นักทรัพยากรบุคคลชานาญการ (พี่เล้ียงสหกิจศึกษา) และ รศ.ดร. พรอมั รินทร์ พรหมเกิด (อาจารยท์ ีป่ รึกษาสหกิจศกึ ษา) ทีใ่ หค้ วามรู้ คาแนะนา ตรวจสอบข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้ด้วยความเอาใจใส่ และให้กาลังใจ ท้ังในเรื่องการทางาน เร่ืองวิจัย การปฏิบัติตนในระหว่างการปฏิบัติงาน และการใช้ชีวิต ตลอดจนให้โอกาสในการเรียนรู้ การทางานจริง เพอื่ เพ่มิ พูนประสบการณ์การทางาน และการนาความรู้มาใชป้ ระโยชน์ ขอขอบพระคุณผู้อานวยการสถาบันการพัฒนาชุมชน และเจ้าหน้าที่กลุ่มงานวิจัยและพัฒนา กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ทุกท่าน ที่ให้ความเมตตา มอบโอกาสในการเรียนรู้ และอบรมส่ังสอนใหค้ วามรู้แก่ขา้ พเจ้า ทง้ั ยงั เป็นแบบอยา่ งท่ีดใี นการทางานให้กับขา้ พเจ้าอีกดว้ ย ขอขอบพระคุณคณะอาจารย์สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่กรุณาประสาทวิชา ความรู้ และทักษะวิชาชีพในการทางาน ทาให้ข้าพเจ้าสามารถนาความรู้เห ล่าน้ันมาปรับใช้ ในการทางานได้เปน็ อยา่ งดี สุดท้ายน้ีขอขอบพระคุณคุณพ่อ คุณแม่ และคนในครอบครัว ท่ีให้กาลังใจ ให้ทุนสนับสนุน การฝึกปฏิบัติสหกิจศึกษา และการจัดทาภาคนิพนธ์ในครั้งน้ี และขอขอบคุณเพ่ือน ๆ และบุคคลท่าน อ่ืน ๆ ที่ไม่ได้กล่าวนามทุกท่าน ท่ีได้ให้คาแนะนาช่วยเหลือในการจัดทาภาคนิพนธ์ จนสามารถ ทาภาคนิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังน้ัน ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอขอบพระคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกท่านไว้ ณ โอกาสน้ี นางสาวดวงใจ ชัยสงคราม 31 พฤษภาคม 2562

ข ดวงใจ ชัยสงคราม. 2562. แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP กรณีศึกษา กลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ภาคนิพนธ์ หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา และมานุษยวทิ ยา คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแก่น. อาจารย์ทป่ี รกึ ษา : นางสาวโสภาพร วศิ ษิ ฏ์พงศ์1 รศ.ดร.พรอมั รินทร์ พรหมเกดิ 2 บทคดั ยอ่ การวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP กรณีศกึ ษา กลุ่ม แปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิง คุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง และวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มี ประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาคร้ังน้ีคือ คณะกรรมการ บริหารกลุ่มแปรรูปปลา สมาชิกกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง และเจ้าหน้าท่ีพัฒนาชุมชนอาเภอ บ้านสรา้ ง จานวน 7 คน เกบ็ ขอ้ มลู โดยใช้การสัมภาษณ์เชงิ ลึก โดยมแี นวคาถามเป็นเคร่ืองมือในการวิจัย จากผลการศึกษา พบวา่ สภาพการดาเนินงานของกล่มุ แปรรูปปลาบ้านคลองสอง ดา้ นการบริหาร จัดการกลุ่ม พบว่า สมาชิกกลุ่มขาดความรู้ความเข้าใจในหน้าท่ีของตน ไม่มีการแผนงานผลิตและการ จาหน่าย และมีการเข้าถึงแหล่งทุนน้อย ด้านการผลิตและผลผลิตของกลมุ่ พบว่า การผลติ จะทาตามการ ส่ังซ้ือจากลกู ค้า มีออกบูทแสดงสินค้าโอทอป (OTOP) และมีตลาด กลุ่มมกี ารพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ ให้มีความหลากหลาย แต่ผลิตภัณฑ์มีอายุการเก็บรักษาได้ไม่นาน และด้านการตลาด พบว่า ตลาดรองรับ ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีไม่หลากหลาย แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองสู่การเป็น ผู้ประกอบการ OTOP พบว่า 1) แนวทางการพัฒนาด้านการบริหารจัดการ โดยการเสริมสร้างความรู้ ด้านการบริหารจัดการ และการวางแผนปฏิบัติงาน 2) แนวทางการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ โดยการให้ ความรู้ด้านการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นสินค้าท่ีมีคุณภาพ ส่งเสริมการบรรจุภัณฑ์ท่ีถูก สุขลักษณะ มีจุดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน และ 3) แนวทางการพัฒนาด้านการตลาด โดยการ ส่งเสริมความรู้เรื่องการเพ่ิมช่องทางการจาหน่าย และโอกาสทางตลาด โดยส่งเสริมการเข้าร่วมงาน แสดงและจาหน่ายสินค้าในระดับท้องถิ่น อีกทั้งกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองสามารถนาหลักปัจจัย ส่วนประสมการตลาด (4 Ps) มาใชใ้ นการดาเนนิ งานของกลมุ่ ได้ คาสาคัญ: กลมุ่ อาชพี , แนวทางการพฒั นา, ผปู้ ระกอบการ OTOP 1 นักทรพั ยากรบคุ คลชานาญการ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย 2 อาจารย์ประจาสาขาวิชาสังคมวทิ ยาและมานุษยวทิ ยา คณะมนษุ ยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่

สารบัญ ค กติ ติกรรมประกาศ หน้า บทคัดย่อ ก สารบัญ ข สารบัญภาพ ค บทท่ี 1 บทนา จ 1 1.1 ท่ีมาและความสาคัญ 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย 4 1.3 ขอบเขตการวจิ ยั 4 1.4 ประโยชนท์ ค่ี าดว่าจะไดร้ ับ 4 1.5 นิยามศัพทท์ ีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั 5 บทที่ 2 แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 6 2.1 แนวคดิ เก่ียวกบั สัมมาชพี ชุมขน 6 2.2 การเปน็ ผู้ประกอบการ OTOP และการพฒั นาผลิตภัณฑ์ OTOP 16 2.3 แนวคิดการบริหารจดั การ 22 2.4 แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมการตลาด 25 2.5 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง 28 2.6 กรอบแนวคิดการวิจยั 32 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 33 3.1 หน่วยที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ 33 3.2 พ้ืนท่ีในการวิจัย 33 3.3 กลุ่มเปา้ หมายและผู้ใหข้ อ้ มูล 34 3.4 เทคนคิ วิธีการ และเครอ่ื งมือที่ใช้ในเก็บรวบข้อมลู 35 3.5 ข้ันตอนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 39 3.6 การวิเคราะห์ขอ้ มลู 40 3.7 การนาเสนอผลการวิจยั 42

สารบัญ (ต่อ) ง บทที่ 4 ผลการศกึ ษา หนา้ 4.1 บริบทของกลุม่ แปรรปู ปลาบ้านคลองสอง 43 4.2 สภาพการดาเนนิ งานของกลมุ่ แปรรปู ปลาบา้ นคลองสอง 43 4.3 การไดร้ ับการสนับสนนุ จากหนว่ ยงานภาครฐั และภาคเอกชน 46 4.4 แนวทางการพัฒนากลมุ่ แปรรปู ปลาบา้ นคลองสองสกู่ ารเป็น 62 ผูป้ ระกอบการ OTOP ให้มปี ระสทิ ธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขน้ึ 63 4.5 อภปิ รายผลการศึกษา 65 บทท่ี 5 สรุปและขอ้ เสนอแนะ 62 5.1 บทสรปุ 69 5.2 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย 75 76 เอกสารอา้ งอิง 81 ภาคผนวก ภาคผนวก ก ข้อมูลกรมการพัฒนาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย ภาคผนวก ข เคร่ืองมือการวิจัย ภาคผนวก ค แบบบันทึกการปฏิบัติสหกิจศกึ ษา ภาคผนวก ง ภาพกิจกรรมขณะปฏิบัตสิ หกจิ ศึกษา ภาคผนวก จ หนังสือรับรองการปฏิบัตสิ หกจิ ศกึ ษา ภาคผนวก ช ผลการตรวจสอบการคัดลอกผลงานวิชาการ

สารบญั ภาพ จ ภาพท่ี 2.1 กรอบแนวคดิ ในการวิจยั หน้า ภาพท่ี 4.2 สมาชิกรว่ มกันผลิตแปรรูปปลา 32 ภาพท่ี 4.3 ภาพปลาดุกที่ถูกแรเ่ อาไส้ออกแล้วและล้างดว้ ยน้าสะอาด 55 ภาพที่ 4.4 สมาชิกร่วมกนั หมักปลาดุก 56 ภาพท่ี 4.5 สมาชกิ กลุ่มขณะตากปลาในตู้ตากพลงั งานแสงอาทิตยข์ นาดกลาง 57 ภาพที่ 4.6 ตู้ตากพลงั งานแสงอาทิตย์ขนาด 300 X 400 เมตร 58 ภาพที่ 4.7 ผลิตภัณฑข์ องกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง 58 60

บทท่ี 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ ปัจจุบันกระแสเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเร่ิมเข้าสู่ประเทศไทยมากข้ึน ซึ่งเปิดโอกาสให้ การดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ของบุคคลทั่วไปสามารถเลือกหรือตัดสนิ ใจได้อย่างมีเสรีภาพ ในการประกอบกิจการทางธุรกิจ รวมทั้งการเลือกอุปโภคบริโภคสินค้า และบริการต่าง ๆ มากข้ึน (ภาควัต ศรีสุรพล, 2560) ซ่ึงระบบเศรษฐกิจเหล่านี้ทาให้เกิดช่องว่างด้านการดาเนินชีวิต ของประชากรไทยท่ีแตกต่างกันออกไป จากความสามารถและโอกาสของบุคคลทาให้ระดับรายได้ แตกตา่ งกัน รวมถึงการแข่งขันทางเศรษฐกิจของธุรกิจในท้องถ่ินท่ีมศี ักยภาพในการแข่งขันไม่เพยี งพอ เมอื่ เทียบกับธรุ กิจขนาดใหญ่ ดังน้ัน การส่งเสรมิ การแข่งขันเศรษฐกิจฐานรากจึงมีความสาคญั อย่างยิ่ง เพ่ือสนับสนุนและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนโดยเฉพาะการส่งเสรมิ การรวมกลุ่มของประชาชน ในการประกอบธรุ กจิ เปน็ วิสาหกิจชมุ ชนหรือกลุ่มอาชีพ ซึ่งในชุมชนมีทรัพยากรอยแู่ ล้วให้มีการพัฒนา ความสามารถและศักยภาพเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันและให้คนในชุมชนสามารถพ่ึงพาตัวเอ งได้ (สุชานาถ พฒั นวงศ์งาม, 2554) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 กาหนดให้ 1 ใน 10 ยุทธศาสตร์ให้ ความสาคัญเกี่ยวกับการสรา้ งความเป็นธรรม และลดความเหล่ือมล้าทางด้านรายได้และความยากจน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง ตลอดจนสร้างชุมชนเข้มแข็งให้เป็นพลัง ร่วมทางสังคม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและพร้อมรับผลประโยชน์จากการพัฒนา โดยส่งเสริมการ ประกอบอาชีพของผปู้ ระกอบการระดับชุมชน การสนับสนุนการจัดต้งั ศูนย์ฝกึ อาชีพชุมชน ส่งเสริมให้ ชมุ ชนจัดสวัสดิการและบริการในชุมชน โดยมุ่งบรรลุเป้าหมายสาคัญในการยกระดับรายได้ประชากร กลุ่มร้อยละ 40 ท่ีมีรายได้ต่าสุดให้มีรายได้เพ่ิมข้ึนอย่างน้อยร้อยละ 15 (สานักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2560) ทั้งนี้เพื่อให้การดาเนินการเห็นผลเป็นรูปธรรม และมีความย่ังยืน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย (2560) ได้กาหนดให้การพัฒนาอาชีพ ครัวเรือน เป็น 1 ใน 3 ปัจจัยขับเคล่ือนวาระกรมการพัฒนาชุมชน โดยส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชน มีรายได้เพิ่มข้ึน มีความม่ันคงและย่ังยืนด้วยการสร้างอาชีพให้ครัวเรือน ผ่าน กระบวนการ สร้าง “สัมมาชีพชุมชน” ในหมู่บ้านเป้าหมาย คือร้อยละ 20 ของหมู่บ้านในประเทศไทย โดยให้ชาวบ้านสอนชาวบ้านในส่ิงท่ีเขาอยากทา ฝึกปฏิบัติจริงให้สามารถนาไปเป็นอาชีพได้ ท่วั ประเทศ ซง่ึ เริ่มจากคน้ หาปราชญ์ชมุ ชน เพ่ือนาพฒั นาทักษะการถ่ายทอดองคค์ วามรู้ให้กับปราชญ์ ชุมชนด้านอาชีพ และกลับมาสร้างทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน เพ่ือท่ีจะสอนอาชีพให้ครัวเรือน

2 กลุ่มเป้าหมาย จากนั้นสนับสนุนให้เกิดการจัดต้ังและพัฒนากลุ่มอาชีพ รวมทั้งสนับสนุนให้เข้าถึง แหล่งเงนิ ทนุ การตลาด และเช่อื มโยงไปส่กู ารเป็นผปู้ ระกอบการ OTOP กลุ่มอาชีพตามแนวทางสัมมาชีพชุมชน ในปี 2560 ท่ีผ่านมามีการจัดต้ังขึ้นไม่น้อยกว่า 2,360 กลุ่ม โดยแยกประเภทของกลุ่มอาชีพออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ เกษตร ร้อยละ 16.31 แปรรูป ร้อยละ 83.56 และอ่ืน ๆ ร้อยละ 0.13 อย่างไรก็ตามหากกลุ่มอาชีพมีการบริหารจัดการท่ีดี และดาเนินการอย่างต่อเน่ือง รวมถึงสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีความพร้อมต่อการลงทะเบียน และการคัดสรรหนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ได้ จึงเป็นโอกาสในการพัฒนาของกลุ่มอาชีพ ที่จะก้าวต่อไปอีกระดับหน่ึง (กรมการพัฒนาชุมชน, 2560) ซึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ เปน็ ผลิตภัณฑ์ที่สรา้ งจากแนวความคิดทีจ่ ะสรา้ งความเจริญแก่ชุมชนให้สามารถยกระดบั ความเป็นอยู่ ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น โดยการผลิตหรือจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนให้กลายเป็นสินค้า ท่ีมีคุณภาพ มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองท่ีสอดคล้องกับวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น สามารถ จาหน่ายในตลาดท้ังในประเทศและต่างประเทศ (นพวรรณ วิเศษสินธ์ุ, 2561) จากข้อมูลปี 2561 มผี ู้ผลิต ผ้ปู ระกอบการ OTOP ท่ีขึ้นทะเบียนกับกรมการพัฒนาชมุ ชน กระทรวงมหาดไทย รวมท้งั สิ้น 23,650 ราย และมีสินค้า OTOP ท่ีขึ้นทะเบียนไวก้ ว่า 85,173 รายการ ซ่ึงการส่งเสริมผู้ประกอบการ OTOP และการพัฒนาสินค้า OTOP จึงไม่เพียงแต่จะเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน และสร้างการจ้างงาน ในชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการรักษามรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาให้คงอยสู่ ืบตอ่ ไปด้วย (สมบูรณ์ ขนั ธิโชติ และชัชสรญั รอดย้มิ , 2558) จังหวัดปราจีนบุรีดาเนินโครงการสัมมาชีพชุมชน โดยสานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด ปราจีนบุรี (2561) ได้ให้ข้อมูลว่า งบประมาณปี 2561 มีหมู่บ้านสัมมาชีพเป้าหมาย 145 หมู่บ้าน 3,770 ครัวเรือน ซึ่งกระจายอยู่ในทุกอาเภอในจังหวัดปราจีนบุรีได้เข้าร่วมอบรมพัฒนาอาชีพ และได้จัดตั้งและพัฒนาเป็นกลุ่มอาชีพ จานวน 32 กลุ่ม จาแนกเป็นกลุ่มอาชีพประเภทเกษตร ได้แก่ เกษตรผสมผสาน 3 กลุ่ม และเกษตรปลูกพืช 1 กลุ่ม กลุ่มอาชีพประเภทแปรรูป ไดแ้ ก่ อาหาร 20 กลุ่ม ของใช้ประดับตกแต่ง 6 กลุ่ม และสมุนไพรไม่ใชอ่ าหาร 1 กลมุ่ และกลมุ่ อาชพี ประเภทอนื่ ๆ 1 กลุ่ม อย่างไรก็ตาม การดาเนินงานของกลมุ่ อาชพี ท่มี ีประสิทธิภาพมีความเข้มแขง็ กจ็ ะมีแรงผลักดัน ให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง พร้อมท่ีจะพัฒนาและอนุรักษ์อาชีพ ภูมิปัญญาชาวบ้าน รวมถึงทรัพยากร ท้องถ่ิน ซ่ึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ตลอดจนความสงบสุขในชุมชนได้ กลุ่มอาชีพ บางแห่งท่ีไม่ประสบความสาเร็จ เน่ืองจากปัญหาและอุปสรรคมากมายที่เกิดจากการดาเนินงาน เช่น ปัญหาการพัฒนาการผลิตและจาหน่าย ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการขาดความรู้ ในการดาเนินงาน เป็นต้น แต่กม็ ีอกี หลายกลมุ่ ที่ประสบผลสาเร็จ สามารถขยายผลต่อการเพ่ิมสมาชิก

3 เงินทนุ การผลิต รายได้ของสมาชิก และมีการเจรญิ เติบโตและพัฒนาอยา่ งต่อเนื่อง (ลักษมี เสือแป้น, 2555) กลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบา้ นสร้าง จังหวดั ปราจนี บุรี เปน็ หน่ึง ในกลุ่มอาชพี ท่ีมีการพัฒนาและจัดตัง้ ขน้ึ ตามโครงการสัมมาชพี ชุมชน ปีงบประมาณ 2561 มีท่ตี ้ังอยู่ท่ี บ้านคลองสอง หมู่ท่ี 8 ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ซ่ึงประชาชนในพื้นท่ี ดังกล่าวมีการประกอบอาชีพทาการประมงเล้ียงเป็นจานวนมาก จึงได้เข้าอบรมต่อยอดอาชีพเกษตร การเลี้ยงปลาโดยมีนายทองแย้ม ต่อแต้ม เป็นปราชญ์ชุมชนท่ีผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากรผู้นา สัมมาชีพชุมชน และได้จัดต้ังทีมวิทยากรสัมมาชีพ เพื่อมาถ่ายทอดทักษะการเลี้ยงปลาให้แก่กลุ่ม ครัวเรอื นสัมมาชีพ จากนนั้ มกี ารรวมกลุ่มอาชีพเกษตรเลี้ยงปลาขึ้น ต่อมามกี ารพฒั นาตอ่ ยอดจากกลุ่ม อาชีพเล้ียงปลาเป็นกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ซ่ึงสมาชิกกลุ่มเห็นถึงความสาคัญในการแปรรูป ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพ่ิมมูลค่าผลิตภัณฑ์โดยการนาปลาดุกสดมาแปรรูปเปน็ ปลาแดดเดียว และเกดิ รายได้ เพ่ิมขึ้นจากการขายปลาสดมาเป็นขายผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยนาความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินมาใช้ให้เกิด รายได้ จนได้รับรางวัลการประกวดกลุ่มสัมมาชีพตัวอย่างปี 2561 จากนั้นได้มีการจดทะเบียน ผลติ ภัณฑ์ OTOP ตามคาแนะนาของเจา้ หน้าท่ีพัฒนาชุมชนอาเภอบา้ นสรา้ ง ปัจจุบนั กลมุ่ แปรรูปปลา บ้านคลองสองได้ถูกจัดกลุ่ม Quadrant อยู่ในกลุ่ม D เป็นกลุ่มที่ปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานการผลิต สินค้ามีคุณภาพ ราคาต่า และผลิตได้ปริมาณน้อย ทั้งน้ีจะต้องมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ซ่ึงผลการ พัฒนาท่ีผ่านมายังคงมีปัญหา คือ ผลิตภัณฑ์ OTOP ขาดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย ส่งผลให้ สนิ ค้าขาดความนา่ สนใจ ผลิตโดยไม่คานึงถึงความตอ้ งการของตลาด สนิ ค้าจานวนมากขาดเอกลักษณ์ อีกทั้งผู้ประกอบการหน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP) มีข้อจากัดด้านทักษะและองค์ความรู้ ด้านการบริหารจัดการ ด้านการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ขาดการนาเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม มาใช้ และขาดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงนิ ทนุ (กรมการพฒั นาชุมชน, 2558) จากความเป็นมาและความสาคัญของปัญหาข้างต้น ผู้วิจัยได้สนใจถึงการต่อยอดพัฒนากลุ่ม อาชีพเพ่ือการยกระดับความสามารถของกลุ่มอาชีพให้ก้าวหน้า และเพ่ิมขีดความสามารถ ในการแข่งขัน ดังน้ันผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบา้ นสร้าง อาเภอบา้ นสร้าง จังหวดั ปราจีนบุรี และวเิ คราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรปู ปลา บ้านคลองสองสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงข้ึน เพ่ือทราบถึงสภาพการดาเนินการของกลุ่ มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี และทราบถึงแนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง สู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ที่มีการดาเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงข้ึน

4 ตลอดจนกรมการพัฒนาชุมชนหรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องสามารถนาข้อมูลไปใช้เป็นแนวทางกาหนด นโยบายดา้ นการพฒั นากลมุ่ อาชพี สู่การเปน็ ผปู้ ระกอบการ OTOP ต่อไป 1.2 วัตถปุ ระสงคก์ ำรวิจัย 1) เพ่ือศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบา้ นสร้าง จังหวัดปราจีนบรุ ี 2) เพื่อวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผลมากย่ิงขึน้ 1.3 ขอบเขตกำรวจิ ยั 1) ขอบเขตด้ำนเน้ือหำ การวิจัยครั้งนี้ เป็นการศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูป ปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี และวิเคราะห์แนวทาง การพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ลมากยิง่ ขนึ้ 2) ขอบเขตด้ำนพ้ืนท่ี การวิจัยครั้งน้ีกาหนดพ้ืนที่วิจัย คือ บ้านคลองสอง หมู่ที่ 8 ตาบลบา้ นสร้าง อาเภอบา้ นสร้าง จังหวดั ปราจีนบรุ ี 3) ขอบเขตด้ำนกลุ่มเป้ำหมำย การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษา คณะกรรมการบริหารกลุ่ม สมาชกิ กลุ่มแปรรูปปลาบา้ นคลองสอง และเจ้าหน้าทพ่ี ัฒนาชมุ ชนอาเภอบา้ นสรา้ ง 1.4 ประโยชนท์ ี่คำดว่ำจะไดร้ ับ 1) ทราบถึงสภาพการดาเนินงานของกลุ่ม และทราบถึงแนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลา บา้ นคลองสองสกู่ ารเป็นผู้ประกอบการ OTOP ที่มกี ารดาเนินงานอย่างมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผล มากยิ่งขน้ึ 2) เพ่ือนาผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ เป็นแนวทางในการพัฒนากลุ่มอาชีพ ตลอดจน สามารถนาข้อมูลไปใช้เป็นแนวทางกาหนดนโยบายด้านการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP เพื่อเป็นพ้ืนฐานในการปรับปรุงโครงสร้างการดาเนินงานของกลุ่มอาชีพให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยงิ่ ขนึ้

5 1.5 นยิ ำมศพั ทท์ ีใ่ ช้ในกำรวิจยั สัมมำชีพชุมชน หมายถึง โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชมุ ชน เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับรายได้ ของประชาชนให้ดีข้ึน มีความมั่นคงและย่ังยืน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยการสร้างอาชีพ ให้ครัวเรือนในชุมชน โดยให้ชาวบ้านสอนชาวบ้านในสิ่งท่ีเขาอยากทา ฝึกปฏิบัติจริงให้สามารถนาไป เป็นอาชีพได้ ซึ่งเริ่มจากค้นหาปราชญ์ชุมชน เพ่ือนาพัฒนาทักษะการถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้กับปราชญ์ชุมชนด้านอาชีพ และกลับมาสร้างทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน เพื่อที่จะสอนอาชีพให้ ครวั เรือนกลุ่มเปา้ หมาย จากนัน้ สนับสนนุ ใหเ้ กิดการจดั ตัง้ และพัฒนากลุ่มอาชีพ ครัวเรือนสัมมำชีพชุมชน หมายถึง ครัวเรือนที่ผ่านการอบรมอาชีพ จากโครงการส่งเสริม การสรา้ งสัมมาชีพชุมชนในระดบั หมบู่ า้ น กลุ่มอำชีพ หมายถึง ครัวเรือนสัมมาชีพชุมชนท่ีประกอบอาชีพประเภทเดียวกัน รวมตัวกัน และจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพ มีจุดประสงค์เพื่อรวมกันผลิตสินค้าและขายสินค้า โดยผ่านการจดทะเบียน กบั สานกั งานพัฒนาชุมชนอาเภอ สภำพกำรดำเนินงำนของกลุ่มอำชีพ หมายถึง กระบวนการปฏิบัตกิ ิจกรรมของกลุ่มแปรรูป ปลาบา้ นคลองสองท่เี กดิ ขนึ้ ประกอบดว้ ย การบริหารจดั การ การผลติ และผลิตภณั ฑ์ และการตลาด แนวทำงกำรพัฒนำ หมายถึง กระบวนการการเปลี่ยนแปลงสภาพการดาเนินงานกลุ่ม แปรรปู ปลาบา้ นคลองสองให้ดีขึ้นกวา่ เดมิ โดยการปฏิบตั ติ ามแผนเปน็ ลาดบั ขั้นตอนอยา่ งต่อเนอื่ ง กำรพฒั นำกลุ่มอำชีพสู่กำรเป็นผู้ประกอบกำร OTOP หมายถึง การส่งเสริมให้กลุม่ แปรรูป ปลาบ้านคลองสองมีการดาเนินงานของกลุ่มให้เกิดผลประสบความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ร่วมกัน ของกลุ่ม และทาให้กลุ่มมีความเข้มแข็งสามารถดาเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงพัฒนา ผลิตภณั ฑใ์ ห้มีคณุ ภาพเป็นท่ียอมรบั กำรดำเนินงำนอย่ำงมีประสทิ ธิภำพและประสิทธิผล หมายถึง การปฏิบตั ิกิจกรรมของกลุ่ม แปรรูปปลาบ้านคลองสองท่ีเกิดขึ้น ท่ีสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่ม และเกิดความคุ้มค่า เมือ่ เทยี บกบั ต้นทนุ ทีใ่ ช้ไป

บทท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎี และเอกสารงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง การศึกษาเร่ือง “แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP กรณีศึกษา กลมุ่ แปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบา้ นสรา้ ง อาเภอบ้านสร้าง จังหวดั ปราจีนบรุ ี” ผู้วจิ ัยได้ทบทวน แนวคิดทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เพ่ือนามาใช้ในการกาหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย ครั้งนี้ ดังนี้ 1. แนวคิดเกย่ี วกบั สัมมาชพี ชมุ ขน 2. การเป็นผูป้ ระกอบการ OTOP และการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ OTOP 3. แนวคิดการบรหิ ารจัดการ 4. แนวคิดเกี่ยวกับส่วนประสมการตลาด 5. เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี กีย่ วข้อง 6. กรอบแนวคดิ การวิจยั 2.1 แนวคดิ เกยี่ วกับสมั มาชพี ชุมชน 2.1.1 ความหมายของสมั มาชพี พระครูสังฆรักษทรงพรรณ ชยทตโต (2560) ได้กล่าวถึงสัมมาชีพชุมชน ไว้ว่าเป็นแนวคดิ ใหม่ ในการพัฒนาประเทศในมิติด้านเศรษฐกิจโดยการสร้างอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง ผู้อ่ืน และสิ่งแวดล้อมให้มีรายจา่ ยน้อยกว่ารายได้ ทั้งน้ีต้องสอดคล้องกับวิถีของชมุ ชนเพ่ือความมุ่งหมายใน การสร้างระบบเศรษฐกิจชุมชนท่ีย่ังยืน ซึ่งแนวคิด “สัมมาชีพ” ได้มีการนิยามความหมายไว้ว่า หมายถงึ อาชีพท่ีไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผอู้ ่ืน ไม่เบยี ดเบียนสงิ่ แวดล้อม และมีรายจา่ ยน้อย กว่ารายได้ (ประเวศ วะสี, 2552) นอกจากน้ี กรมการพัฒนาชุมชน (2560) ได้ให้ความหมาย ของคาว่าสัมมาชีพไว้ว่า หมายถึง อาชีพท่ีไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียน สิ่งแวดล้อม และมีรายได้มากกว่ารายจ่าย เป็นความพยายามท่ีจะปรับจากการทามาหากิน เป็นทามาค้าขาย โดยไม่ได้เอากาไรสูงสุดเป็นตัวต้ังหรือเป็นเป้าหมายสุดท้าย และต้องคานึงถึงความ เป็นธรรมทางสังคม กล่าวคือ ความสุขของตนและคนทางาน รวมถึงประโยชน์ของผู้บริโภค และผู้รบั บริการเปน็ หลัก จากการทบทวนความหมายสัมมาชีพ หมายถึง การประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ผอู้ ื่น และสง่ิ แวดล้อม เปน็ อาชพี ท่ีไม่มงุ่ ผลกาไรสูงสุด สร้างรายไดม้ ากกว่ารายจา่ ย

7 2.1.2 กระบวนการสร้างสัมมาชพี ชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน (2560) ได้นาหลักสัมมาชีพชุมชนมาใช้เป็นฐานในการพัฒนา และสร้างอาชีพให้ครัวเรือน เพ่ือยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมให้ประชาชนในชุมชนมีรายได้ เพ่ิมข้ึน มีความม่ันคงและยั่งยืน สังคมอยรู่ ่วมกันอย่างมีความสขุ ด้วยการสรา้ งอาชพี ผา่ นกระบวนการ “สร้างสัมมาชีพชุมชน” ขับเคลื่อนการดาเนินงานอย่างเป็นกระบวนการ ภายใต้แนวคิด “ชาวบ้านสอนชาวบ้าน” สอนอาชีพที่เขาต้องการอยากทาประกอบการน้อมนาหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทาง เร่ิมต้นด้วยการพัฒนาทักษะการถ่ายทอดองค์ความรู ให้กับปราชญ์ชุมชนด้านอาชีพ จากนั้นกลับไปสร้างทีมและจัดการฝึกอบรมอาชีพให้กับครัวเรือน ท่ีต้องการฝึกอาชีพในหมูบ้านเป้าหมาย ตลอดจนติดตามและสนับสนนุ อย่างต่อเนื่อง เพ่ือให้ครัวเรือน ที่เข้ารับการฝึกอาชีพมีความรู และปฏิบัติอาชีพได้จริง จนพัฒนาเป็นอาชีพท่ีสร้างรายได้ ใหก้ บั ครวั เรอื นไดอ้ ยา่ งม่ันคง กรมการพัฒนาชุมชนได้กาหนดกิจกรรม โครงการภายใต้กระบวนการสร้างสัมมาชีพชุมชน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพ่ือให้บรรลุตามเป้าหมายที่กาหนด โดยมีกิจกรรมโครงการ ทมี่ ีความเกีย่ วเนือ่ งสมั พันธ์กนั แบง่ เปน็ 3 โครงการหลัก ดังนี้ 1. พัฒนาผู้นาสัมมาชีพ ในโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างผู้นาสัมมาชีพให้สามารถ ถ่ายทอดความรู้ด้านอาชีพ โดยตระหนักถึงความสาคัญบนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ตลอดจนมีความรู้และทักษะในการวิเคราะห์อาชีพเพื่อเชื่อมโยงการตลาดของชุมชนได้ โดยมีวิธีการดาเนินงาน ดาเนินการในรูปแบบการจัดฝึกอบรมในหลักสูตร “วิทยากรผู้นาสัมมาชีพ” ประกอบด้วย 3 หมวดวิชา ได้แก่ 1. ปรัชญา หลักการ และแนวคิดสู่สัมมาชีพชุมชน 2. องค์ความรู้ สู่การสรา้ งอาชพี และ 3. ทกั ษะการถา่ ยทอดองค์ความรสู้ ัมมาชีพ 2. เตรียมความพรอมทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน สร้างทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน ในระดับหมูบ้านให้มีความพรอมและสามารถจัดการฝึกอบรมอาชีพให้กับประชาชนในหมู บ้าน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ปราชญ์ชุมชนท่ีอยู่ในหมู่บ้านเป้าหมาย และประชาชนท่ีเป็นผู้แทนครัวเรือนที่อยู่ในหมูบ้านเป้าหมาย ท่ีมีความต้องการและสนใจฝึกอบรม อาชีพ จานวน 3,628 หมูบ้าน ๆ ละ 26 คน/ครัวเรือน โดยมีสานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ ดาเนินโครงการเตรยี มความพรอมทีมวิทยากรสัมมาชพี ชมุ ชน ตามขน้ั ตอนดงั นี้

8 1) ทาความเข้าใจแนวทางการดาเนินโครงการจากเอกสารแนวทางการสร้างสัมมาชีพชุมชน ป 2561 2) จัดทาแผนการดาเนินโครงการเตรียมความพรอมทีมวิทยากรสมั มาชีพชุมชน เพ่ือให้บรรลุ วตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายทกี่ าหนด 3) ประสานกลุ่มเป้าหมายและผู้เก่ียวข้อง เพื่อเตรียมความพรอม ได้แก่ ปราชญ์ชุมชน ท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมาย หมูบ้านละ 5 คน ผู้แทนครัวเรือนในหมูบ้านเป้าหมาย หมูบ้านละ 26 คน ต่อครัวเรือน และทีมสนับสนุนการขับเคลื่อนสัมมาชีพชุมชนในพื้นที่และหน่วยงานภาคีการพัฒนา ทจ่ี าเปน็ และเกี่ยวข้อง 4) ดาเนินโครงการเตรียมความพรอมทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน ในรูปแบบการประชุมเชิง ปฏิบัติการโดยให้มีทีมสนับสนุนการขับเคลื่อนสัมมาชีพชุมชนในพื้นที่ และหน่วยงานภาคีการพัฒนา ท่ีเกี่ยวขอ้ งเขา้ รว่ มกจิ กรรมด้วย 3. สร้างสัมมาชีพชุมชนในระดับหมู บ้าน ส่งเสริมอาชีพตามแนวทางสัมมาชีพชุมชน แกประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยมีสานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ ดาเนินโครงการส่งเสริมการสร้าง สัมมาชีพชุมชนในระดบั หมูบ้าน ในรูปแบบการฝึกอบรม โดยทีมวทิ ยากรสัมมาชีพชมุ ชนระดับหมูบา้ น จานวน 5 คน ทาหน้าท่ีเป็นแกนนาหลักในการจัดกระบวนการเรียนรู ทีมงานสานักงานพัฒนาชุมชน อาเภอ ทีมสนับสนุนการขับเคล่ือนสัมมาชีพชุมชนในพ้ืนท่ี และหน่วยงานภาคีการพัฒนาที่เก่ียวข้อง เข้ารว่ มกจิ กรรม และสนับสนนุ ในส่วนทเี่ ก่ยี วข้อง การอบรมภายใต้โครงการส่งเสรมิ การสรา้ งสมั มาชีพ ชมุ ชนในระดบั หมูบ้าน แบงออกเปน็ 3 ขน้ั ตอน ขั้นตอนท่ี 1 การให้ความรูภาควิชาการหรือทฤษฎี เทคนิควิธีการ และความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพทคี่ รัวเรอื นต้องการฝึกอบรม ข้ันตอนที่ 2 การศึกษาดูงาน เพ่ือเพ่ิมพูนความรูและเพ่ือให้เกิดแรงบันดาลใจใน การกลับไปพัฒนาอาชีพตนเองตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ณ หมู่บ้านเศรษฐกิจ พอเพียงหรือบ้านปราชญ์ชุมชนท่ีประกอบอาชีพจนประสบความสาเร็จ หรือศูนย์เรียนรู้ และขบั เคลอ่ื นปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่เข้มแข็งในพ้ืนท่ี ข้ันตอนที่ 3 ฝึกปฏิบัติการประกอบอาชีพที่ฝึกอบรม และเมื่อดาเนินการตามกรอบ การเรยี นรูเสร็จเรียบรอ้ ยแลว

9 1) ทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชนระดับหมูบา้ นและทมี สนบั สนุนการขับเคล่ือนสัมมาชีพในพ้ืนที่ มหี น้าท่ี ติดตาม สนับสนนุ และส่งเสริมให้ครัวเรือนเปา้ หมาย 26 ครัวเรือนสามารถนาความรูท่ีได้รับ จากการฝึกอบรมไปประกอบอาชีพ เกิดเป็นอาชีพ และมีรายได้หรือลดรายจ่ายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านความรู ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพนั้นเพิ่มเติมเพ่ือพัฒนาศักยภาพด้ านการผลิ ต และการบริหารจัดการ หรือจะเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหา หรือการส่งเสริมด้านการตลาด และการจัดหาแหลง่ ทุนสนบั สนุน 2) สานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ สนบั สนนุ ส่งเสริมให้ครัวเรือนเปา้ หมายทีผ่ ่านการฝึกอบรม ท่ีประกอบอาชีพเดียวกันหรือประเภทเดียวกันและประกอบอาชีพอย่ างต่อเน่ืองให้ มีการรวมกลุ่ ม และสนับสนนุ การจัดตงั้ และพัฒนาเป็นกลมุ่ อาชีพตามหลกั 5 ก เพ่ือเตรียมความพรอมเขา้ สู่ระบบการ ลงทะเบยี น OTOP 3) ทีมสนับสนุนการขับเคลื่อนสัมมาชีพในพ้ืนท่ีและสานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอสนับสนุน ให้ชุมชนจัดระบบบริหารการจัดการเงินทุนประกอบอาชีพ ส่งเสริมช่องทางการตลาดเพื่อให้กลุ่ม สามารถประกอบอาชพี และสรา้ งรายได้อย่างต่อเนอ่ื ง จากการทบทวนกระบวนการสร้างสัมมาชีพชุมชน สามารถสรุปได้ว่า กระบวนการสร้าง สัมมาชีพชุมชนของกรมการพัฒนาชุมชน มีลาดับขั้นตอนดังต่อไปนี้คือ 1) การพัฒนาผู้นาสัมมาชีพ (ปราชญ์ชุมชน) ให้เป็นวิทยากรสัมมาชีพชุมชน 2) การประชุมเชิงปฏิบัติการวิทยากรสัมมาชีพระดับ จังหวัด 3) การเตรียมความพรอมทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชนระดับหมูบ้าน 4) การส่งเสริมการสร้าง สัมมาชีพชุมชนในระดับหมู บ้าน และ 5) การสนับสนุนการจัดต้ังและพัฒนากลุ่มอาชีพ โดยกระบวนการทั้ง 5 นี้อาศัยความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก สานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด สานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ ปราชญ์ชุมชน ครัวเรือนเป้าหมาย และผูแ้ ทนครวั เรือน 2.1.3 การจดั ตงั้ กลมุ่ อาชีพ 1) ความหมายของกลุม่ อาชพี สมุทร ฤกษาภิรมย์ (2552) ได้ให้ความหมายกลุ่มอาชีพ ไว้ว่า หมายถึง กลุ่มท่ีชาวบ้าน ในชุมชนร่วมกนั ดาเนินการผลิต แปรรูป การค้าและบรกิ าร โดยยึดความเชือ่ ในเรอ่ื งของการช่วยเหลือ เก้ือกูลกันของชุมชนในรูปแบบต่าง ๆ ท้ังทางวัตถุ ประสบการณ์ ภูมิปัญญา เท่าท่ศี ักยภาพของชุมชน จะเอือ้ อานวย สอดคล้องกับธัญชนก ชัยสุข, เดวิด ภริ ะบรรณ, แจ่มจิตร ภริ ะบรรณ และสุลีมาศ คามุง

10 (2559) ได้กล่าวว่า กลุ่มอาชีพ คือ การรวมกันประกอบอาชีพ ท่ีมีวัตถุประสงค์เดียวกัน และดาเนิน กจิ กรรมรว่ มกนั ชว่ ยเหลือซ่งึ กันและกันการประกอบอาชพี และช่วยเหลอื ส่วนรวม จาการทบทวนความหมายของกลุ่มอาชีพ ผู้วิจัยสรุปได้ว่า กลุ่มอาชีพ หมายถึง คนหรือ ครัวเรือนท่ีรวมตัวกันเพื่อประกอบอาชีพ มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพ มีจุดประสงค์ร่วมกันเพ่ือรวมกัน ผลติ และขายสนิ คา้ เพอ่ื ใหเ้ กิดรายได้ และสามารถพ่งึ พาตนเองได้ กรมการพัฒนาชุมชน (2560) ได้มีหลักการพัฒนากลุ่มสัมมาชีพชุมชน และแนวทางการ สร้างสัมมาชีพชุมชนเข้าสู่ระบบตลาด การประกอบการวสิ าหกิจชุมชน โดยมีขนั้ ตอนหรือวิวัฒนาการ จากการรเิ ร่ิมการผลติ วิสาหกจิ ครวั เรือน (สัมมาชพี ชุมชน) เข้าสกู่ ารรเิ ริ่มการรวมกลุม่ เพอื่ ประกอบการ ในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมกับการเรียนรู้วิธีการคิดและระบบงาน การตลาดของวิสาหกิจชุมชน ซ่ึงระหว่างน้ีจุดตัดหรือเส้นแบ่งของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การประกอบการ (Entrepreneurship) เป็นการให้ความสาคัญต่อกลไกท่ีเปลี่ยนจากลักษณะงานที่เป็นกิจกรรมไปสู่งานท่ีเป็นกิจการ ซ่ึงสามารถอธบิ ายรายละเอียดได้ดงั นี้ 2) การจัดต้งั กลุ่มอาชพี ตามแนวทางการสร้างสัมมาชีพชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน (2560) ได้ให้ความหมายกลุ่มอาชีพตามแนวทางการสร้างสัมมาชีพ ชุมชน ไว้ว่า หมายถึง กลุ่มอาชีพที่จัดตั้งขึ้นใหม่จากการรวมตัวของผู้แทนครัวเรือนในหมู่บ้าน เป้าหมาย ตั้งแต่ 5 ครัวเรือนขึ้นไป ซ่ึงผ่านการส่งเสริมการสร้างสัมมาชีพชุมชนในระดับหมู่บ้าน เรียกว่า ครัวเรือนสัมมาชีพชุมชนท่ีมีการประกอบอาชีพเดียวกันหรือประเภทอาชีพเดียวกัน โดยวัตถปุ ระสงคข์ องการจดั ตัง้ กลมุ่ อาชีพ ดงั นี้ 1. เพ่ือส่งเสริมให้ครัวเรือนสัมมาชีพชุมชนมีการรวมกลุ่ม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ และกอ่ ให้เกดิ รายได้อยา่ งตอ่ เนื่อง 2. เพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ความสามารถในด้านการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการ อย่างมีประสิทธิภาพ เพอื่ กา้ วไปสู่การเป็นผปู้ ระกอบการชมุ ชน 3. เพื่อเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านสัมมาชีพตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง ในส่วนของคุณสมบัติของกลุ่มอาชีพท่ีขอจดทะเบียนจัดต้ังกลุ่มอาชีพ จะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1. เปน็ ประชาชนที่มภี มู ลิ าเนาในหมบู่ า้ น ตาบล อาเภอ ทตี่ ัง้ กลุ่ม และมสี ัญชาติไทย 2. มีจานวนสมาชิกต้ังแต่ 5 คน ขึ้นไป ท่ีประกอบอาชีพ เดียวกันหรือประเภทอาชีพเดียวกัน และมคี วามสมคั รใจในการเข้าร่วมเปน็ สมาชิกกล่มุ

11 3. มกี ารบริหารงานโดยคณะกรรมการทม่ี าจากการเลือกตั้งของสมาชิก 4. มขี ้อบังคบั กตกิ า หรอื ระเบยี บของกลุ่มท่ีชดั เจนและ สมาชกิ รับทราบ 5. มีการดาเนินกิจกรรมที่ส่งเสริมการประกอบอาชีพของ สมาชิกโดยรวมมิใช่เพื่อประโยชน์ ต่อบุคคลใดเปน็ การเฉพาะ 6. มวี ตั ถุประสงค์ของการจดั ตัง้ กลุ่มทช่ี ดั เจน 7. มสี ถานท่ตี ้ังกลุม่ ทีเ่ หมาะสม ขนั้ ตอน และวิธกี ารจัดตง้ั กล่มุ อาชพี มขี น้ั ตอนและวิธกี าร ดงั นี้ 1. ประชาสัมพันธ์เชิญชวนครัวเรือนสัมมาชีพชุมชน ที่ประกอบอาชีพเดียวกัน หรือประเภท อาชพี เดียวกันเข้ารว่ มเป็นสมาชกิ กลมุ่ อาชีพ 2. ประชุมหรือจัดเวทีสร้างความรู้ความเข้าใจ โดยอธิบาย วัตถุประสงค์ หลกั การ และวิธีการ ดาเนินงานของกลุ่มอาชีพ ความสาคัญของกลุ่มที่มีต่อสมาชกิ กลุ่มและชุมชนรวมถึงกิจกรรมที่สมาชิก จะรว่ มกันทาตามความตอ้ งการและเหมาะสมกบั ศกั ยภาพสภาพท้องถิน่ 3. ดาเนินการจดั ต้งั กลุ่มอาชีพ โดยสมาชกิ รว่ มกนั กาหนดองค์ประกอบพืน้ ฐานของกลุ่ม ดังน้ี 1) ตั้งช่ือกลุ่มตามความเห็นชอบของสมาชิก โดยขึ้นต้นด้วยคาว่า “กลุ่มอาชีพ….” และอาจให้มคี าขวัญประจากลุ่ม 2) กาหนดวัตถปุ ระสงค์ของกลุ่มทชี่ ดั เจนในการดาเนินงานของกลุม่ 3) กาหนดที่ตั้งกลมุ่ เพื่อเป็นสถานท่ี จุดศูนยร์ วมสาหรบั ดาเนินกจิ กรรมของกลุ่ม 4) เลือกคณะกรรมการประกอบด้วยตาแหน่งหลัก คือ ประธาน รองประธาน เลขานุการ เหรัญญิก และประชาสัมพันธ์ โดยสมาชิกในกลุ่มเลือกกันเอง เพ่ือเป็นตัวแทน กลุ่มในการบริหารงาน การติดต่อประสาน การดาเนินงานต่าง ๆ กับหน่วยงาน และผเู้ ก่ียวข้อง 5) จัดทากติกาของกลุ่มเพ่ือใช้เป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างสมาชิกกลุ่มและ กรรมการ 6) จดั ทาแผนปฏิบัติการของกลุม่ เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ กจิ กรรมร่วมกัน 4. รวบรวมข้อมูลกลุ่ม คณะกรรมการกลุ่มอาชีพดาเนินการจัดทาและรวบรวมข้อมูลการ จดั ต้งั กลุ่มอาชีพ ประกอบด้วย บันทึก การประชมุ ฯ ข้อบังคับกลุ่ม รายชอื่ คณะกรรมการกลมุ่ รายช่ือ สมาชิก กลมุ่ แผนงานหรอื กจิ กรรมกลมุ่ และอื่น ๆ ที่เก่ยี วขอ้ ง 5. ย่ืนจดทะเบียนกลุ่มอาชีพ คณะกรรมการกลุ่มอาชีพ นาข้อมูลกลุ่มยื่นเสนอขอจัดต้ังกลุ่ม อาชีพ กับสานักงานพัฒนาชุมชน อาเภอโดยสานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอตรวจสอบความครบถ้วน

12 ถูกต้องของข้อมูลและเอกสารประกอบ แล้วออกหนังสือแสดงการจดทะเบียนจัดตั้งกลุ่มอาชีพพร้อม รายงานการจัดตง้ั กลมุ่ อาชีพไปยงั จงั หวัดเพ่ือรายงานกรมการพัฒนาชุมชน 6. กลมุ่ อาชีพดาเนินกจิ กรรมตามแผนปฏิบตั กิ ารท่ีได้ร่วมกนั จดั ทาขนึ้ 7. สานักงานพัฒนาชุมชนอาเภอ ทีมสนับสนุนฯ ทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน ติดตาม สนบั สนุนอยา่ งต่อเนือ่ ง 8. ประสานหน่วยงานภาคีการพัฒนา เพ่ือสนับสนุนการพัฒนากลุ่มอาชีพในด้านต่าง ๆ เชน่ การเขา้ ถึงปัจจยั การผลติ องค์ความรกู้ ารตลาด การประชาสัมพันธ์ การบริหารจดั การ กรมการพัฒนาชุมชน (2560) กล่าวว่า การดาเนินกิจกรรมของกลุ่มอาชีพหรือกลุ่มอื่น ๆ ให้ประสบความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ร่วมกันของสมาชิก รวมถึงทาให้กลุ่มมีความเข้มแข็งสามารถ ดาเนินการไดอ้ ย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยใชห้ ลกั 5 ก ซ่งึ ไดแ้ ก่ ก ท่ี 1 : กลุ่ม/สมาชิก กลุ่มเป็นการรวมตัวกันของคนที่มีความสมัครใจพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการดาเนินงาน ของกลุม่ สมาชกิ กลมุ่ โดยทว่ั ไป มี 3 ประเภท คอื สมาชกิ สามญั สมาชกิ กิตติมศกั ดิ์ และสมาชกิ สมทบ ก ท่ี 2 : กรรมการ กลุ่มคนท่ีได้รับมอบหมายและเป็นตัวแทนจากสมาชิกให้บริหารกลุ่ม จานวน ตามความ เหมาะสมได้แก่ ประธาน รองประธาน เลขานกุ าร เหรญั ญิก กรรมการฝ่ายต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เชน่ ฝ่ายการผลติ ฝ่ายการคลาด ฝา่ ยผลติ ภณั ฑ์ ก ท่ี 3 : กฎ กตกิ า ระเบยี บข้อบงั คบั กล่มุ ควรทาเป็นลายลักษณ์อักษร เพ่ือใช้เป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ระหว่างสมาชิก และคณะกรรมการ ทีเ่ ป็นลายหลกั อักษร และสมาชิกรับทราบ ก ที่ 4 : กองทนุ กองทุนของกลุ่มอาชีพอาจเป็นเงินหรือเคร่ืองมือ ท่ีทาให้กิจกรรมของกลุ่มดาเนินการได้ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ของกลุ่ม ท่ีมาของทุน เช่น ระดมทุนจากสมาชิกหรือการลงหุ้น ขอรบั การสนบั สนนุ เงินกู้ เงนิ ยมื เงินบรจิ าค เปน็ ต้น ก ที่ 5 : กจิ กรรม เป็นสิ่งที่ร่วมกันปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนและชุมชน โดยมีการกาหนดแผน กจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ ประชุม การผลิต การจาหนา่ ย การเสริมสรา้ งความรู้ เปน็ ตน้

13 3) การพฒั นากล่มุ อาชีพตามแนวทางสมั มาชพี ชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน (2560) กล่าวว่า กลุ่มอาชีพท่ีสามารถดาเนินงานให้บรรลุตาม วัตถุประสงค์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีการดาเนินกิจกรรมกลุ่มอาชีพได้อย่างย่ังยืนน้ัน ซ่ึงการนา กลุ่มอาชีพเข้าสู่ระบบ OTOP กลุ่มอาชีพจะต้องมีการบริหารจัดการท่ีดี และดาเนินการอย่างต่อเน่ือง รวมถึงสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ ให้มีความพร้อมต่อการลงทะเบียนและคัดสรรหน่ึงตาบล หน่ึง ผลิตภัณฑ์ได้ จึงถือเป็นโอกาสในการพัฒนาของกลุ่มอาชีพที่จะก้าวต่อไปอีกระดับหนึ่ง กลุ่มอาชีพ จาเป็นต้องมกี ารพฒั นาดา้ นต่าง ๆ อย่างต่อเน่อื ง ดงั น้ี 1. ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการดาเนินงานกลุ่ม การมีกิจกรรมกลุ่ม อย่างต่อเนื่อง การแบ่งปันผลประโยชน์ของกลุ่มท่ีเหมาะสม เป็นธรรม และสมาชิกมีความพึงพอใจ การมีกิจกรรมท่สี ่งเสรมิ และพฒั นากระบวนการเรียนรู้ การมีกฎระเบียบ กติกาที่เป็นท่ียอมรับของทุก คน มีการกากับ ติดตาม และตรวจสอบการดาเนินงาน มีกิจกรรมสร้างแรงจูงใจ เช่น การให้รางวัล การยกย่อง ชมเชย 2. ด้านการผลิต ได้แก่ ปริมาณผลผลิต ผลงานได้ตามเป้าหมาย คุณภาพผลผลิต ความหลากหลายของผลผลติ การพฒั นาต่อยอดของผลผลติ 3. ด้านการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ได้แก่ การคัดวัตถุดิบที่มีคุณภาพ คานึงถึงความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือ วัฒนธรรม เป็นฐานในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น การหมักโคลนผ้า การออกแบบบรรจุภัณฑ์ และรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด มีการนาเทคโนโลยีองค์ความรู้ใหม่ มาใชใ้ นการดาเนนิ งาน และการขอเครอื่ งหมายรบั รองคุณภาพ เชน่ มผช. อย. ฮาลาล เปน็ ต้น 4. การส่งเสริมช่องทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์เป็นการเปิดโอกาสในการสร้างการ รับรู้ และการจาหน่ายผลิตภัณฑ์ของกลุ่มอาชีพ ได้แก่ ที่ทาการกลุ่ม ตลาดในชุมชน ร้านโอทอป ร้านค้าในโรงแรม ที่พัก แหล่งท่องเท่ียว ร้านจาหน่ายของฝาก จดุ พักรถนักท่องเท่ียว งานแสดงสินค้า ของหน่วยงานราชการ เช่น ท่ีว่าการอาเภอ ศาลากลางจังหวัด ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรม ฯลฯ งานแสดงสนิ คา้ ของภาคเอกชน การประชาสมั พันธ์ทางส่อื สิ่งพมิ พ์ ส่อื ออนไลน์ เปน็ ต้น 5. การจัดสรรผลกาไร ได้แก่ การจัดสรรสวัสดิการ เช่น การจัดฌาปนกิจ ค่ารักษาพยาบาล ทุนการศึกษา จัดทาประกันชีวิต ค่าอาหารและ เครื่องดื่ม ซื้อและซ่อมวัสดุ อุปกรณ์ พัฒนา สาธารณประโยชน์ เช่น พัฒนาแหล่งท่องเท่ียว ส่งเสริมและพัฒนาคณะกรรมการและสมาชิก

14 เช่น ศึกษา ดูงาน ให้กู้ยืมเงิน ค่าตอบแทนคณะกรรมการ ค่าตอบแทนคนจาหน่ายสินค้า สมาชิกยืม เงินเปน็ ทนุ หมนุ เวยี น การจัดสรรเปน็ ทนุ ของกลุม่ การปันผลแก่สมาชิก เปน็ ตน้ อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาชีพถือได้ว่าเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ที่มีบทบาทในการพัฒนาชุมชน และความสัมพันธ์ของกลุ่มคน ความช่วยซ่ึงกันและกัน เช่น การรวมกลุ่มกันในการส่งเสริมอาชีพ ซ่ึง นอกจากจะทาใหค้ รัวเรือนมีรายได้แล้ว การรวมกลมุ่ ยงั ใหเ้ กิดการเปลย่ี นแปลง การเรียนร้รู ว่ มกันของ คนในชุมชนอีกด้วย (ลักษมี เสือแป้น, 2555) ซึ่งการรวมตัวกันทาอาชีพ การจัดตั้งกลุ่ม ถือว่าเป็น หวั ใจของเศรษฐกจิ ชมุ ชน การทางานโดยวธิ ีการน้ีต้องสอดคล้องกบั วัฒนธรรมไทยท่คี นยังเก้ือหนุนจุน เจือซ่ึงกันและกัน จึงจะทาให้เกิดเศรษฐกิจท่ีย่ังยืนและก่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนที่เข้มแข็งต่อไป (สมทุ ร ฤกษาภริ มย์, 2552) ทวี วัชระเกียรติศักด์ิ (2559) กล่าวถึงแนวทางและการดาเนินการส่งเสริมการสร้างความ เข้มแข็งทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนโดยการพัฒนากลุ่มอาชีพจะต้องสร้างจากท้ังภายใน และภายนอก ชุมชน ตามปัจจัยแห่งความสาเร็จ คือ ความรู้ การยอมรับ ศักด์ิศรีท่ีเท่าเทียมของภาคีสมาชิก และ การมีชุมชนเป้าหมายเป็นศูนย์กลางของการสร้างความเข้มแข็ง สอดคล้องกับ กังสดาล กนกหงส์ (2557) กล่าวว่า เงื่อนไขและปัจจัยท่ีทาให้กลุ่มประสบความสาเร็จได้ คือ ความรู้ความสามารถ ของคณะกรรมการ การมีส่วนร่วมจากสมาชิก การสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับสมาชิก การส่ือสาร กันภายในกลุ่ม การสนับสนุน เช่ือมโยงจากภายในและภายนอก นงค์ลักษณ์ ต้ังปรัชญากูล (2557) กล่าวว่า กลุ่มอาชีพต้องการให้มีการระดมทุนของกลุ่มและมีการสนับสนุนเงินทุนจากภายนอก ท่เี ก่ียวข้อง เพื่อการกู้ยืมในการพัฒนากลุ่มอาชีพ เช่น ขอรับการสนับสนุนจากสานกั งานพัฒนาชุมชน เกษตรอาเภอ ตลอดจนองค์การบริหารส่วนตาบล หรือเพ่ิมหุ้นเพื่อระดมทุนจากสมาชิกในกลุ่ม อีกทั้งกลุ่มควรมีแนวทางในการบริหารจัดการความขัดแย้งท่ีชัดเจน ผู้บริหารกลุ่มควรเปิดโอกาสให้ สมาชิกเสนอแนะแนวทางเพ่ือการพัฒนากลุ่มอาชีพของตน มีการนาวัตถุดิบที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้าง มูลค่าเพ่มิ ให้ผลิตภัณฑ์ และกลมุ่ อาชีพควรแสวงหาตลาดใหม่เพ่ิมเติมอยู่เสมอ อีกทั้งนโยบายรัฐบาล เอ้ืออานวยให้กลุ่มอาชีพมีโอกาสในการเจริญเติบโต เช่น งบประมาณสนับสนุน อุปกรณ์ เครื่องมือ การฝีกอบรม และสนับสนุนวิทยากรมาถ่ายทอดความรู้ผ่านกระบวนการทากิจกรรมในการพัฒนา กลุ่มอาชพี สง่ ผลให้กลมุ่ มีศักยภาพมากขึ้น (ชไมพร สืบสุโท, 2554) นอกจากนี้ การพัฒนากลุ่มอาชีพให้มีศักยภาพและเกิดความย่ังยืนได้จะต้องมีแนวทางในการ พัฒนา เพ่ือให้การดาเนินงานของกลุ่มอาชีพประสบความสาเร็จ นฤมล พ่ึงกิจ (2559) ได้ศึกษา แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชพี เส่อื กกสกู่ ารเปน็ วิสาหกจิ ชุมชนมี 4 แนวทาง ดังน้ี

15 1) แนวทางด้านการบริหารจัดการ มีการวางแผนด้านโครงสร้างและกฎระเบียบ การบริหาร การเงินการบัญชี บริหารสวัสดิการสมาชิกกลุ่ม การวางแผนการดาเนินการการตลาด บริหารจัดการ ความร้แู ละข้อมูล รวมถึงการบริหารสมาชิกกลุ่มให้สอดคล้องกับรูปแบบที่ต้องการพัฒนาสู่การปฏิบัติ ไปถึงเปา้ หมายนน้ั ๆ 2) แนวทางด้านความตระหนัก เป็นการสร้างความเข้าใจให้กับสมาชิกทุกคนต้องคานึงถึง วัตถุประสงค์ ในการรวมกลุ่มให้เกิดผลลัพธ์ตามภารกิจของกลุ่มอาชีพ คุณภาพสินค้าหรือบริการที่มี ประสทิ ธิภาพของการดาเนนิ งาน 3) แนวทางด้านการเรียนรู้ เป็นการเพิ่มความรู้ความสามารถ และทักษะของสมาชิกเพ่ือการ พัฒนากลุ่มอาชีพและสามารถถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ผู้อ่ืนได้ รวมถึงการวัดความพึงพอใจของสมาชิก ในการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ 4) แนวทางด้านการมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมของผู้นาและสมาชิกกลุ่มอาชีพท่ีร่วมใจกัน สร้างสรรค์ ผลงานของตนเองมากกว่าการแข่งขัน รวมถึงความร่วมมือจากหน่วงงานที่เก่ียวข้อง เช่น เกษตรอาเภอ เกษตรจงั หวดั จากการทบทวนแนวคิดเก่ียวกับสัมมาชีพชุมชน ทาให้ผู้วิจัยสรุปได้ว่า การสร้างสัมมาชีพ ชุมชน คือ โครงการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับรายได้ของประชาชนให้ดีขึ้น มีความม่ันคงและยั่งยืน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขโดยการสร้างอาชีพให้ครัวเรือนในชุมชน โดยให้ชาวบ้านสอนชาวบ้านในส่ิงท่ีเขาอยากทา ฝึกปฏิบัติจริงให้สามารถนาไปเป็นอาชีพได้ ทวั่ ประเทศ ซ่งึ เริ่มจากค้นหาปราชญ์ชุมชน เพ่อื นาพฒั นาทักษะการถา่ ยทอดองคค์ วามรู้ให้กับปราชญ์ ชุมชนด้านอาชีพ และกลับมาสร้างทีมวิทยากรสัมมาชีพชุมชน เพื่อที่จะสอนอาชีพให้ครั วเรือน กลุ่มเป้าหมาย จากนั้นสนับสนุนให้เกิดการจัดต้ังและพัฒนากลุ่มอาชีพ ซ่ึงการพัฒนากลุ่มอาชีพ คือ การเสริมสร้างกลุ่มอาชีพให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยการส่งเสริมให้กลุ่มอาชีพมีการพัฒนา ในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ด้านการบริหารจัดการ ด้านการผลิต ด้านการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ด้านการตลาด และดา้ นการจัดสรรผลกาไร ทาให้ผู้วิจัยได้นามาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็น ผู้ประกอบการ OTOP ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงข้ึน รวมทั้งนาไปใช้เป็นแนวทางใน การศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุม่ อาชีพ ในด้านบริหารจัดการกลมุ่ ไดแ้ ก่ วตั ถปุ ระสงค์ของกลุ่ม การมีส่วนร่วมของสมาชิก และเงินทุนของกลุ่ม และด้านการผลิตและผลิตภัณฑ์ ได้แก่ กิจกรรมของ กล่มุ อาชพี

16 2.2 การเป็นผู้ประกอบการ OTOP และการพฒั นาผลิตภณั ฑ์ OTOP โครงการหนึ่งตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (One Tambon One Product : OTOP) เป็นโครงการ ท่ีมุ่งเน้นในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับฐานราก โดยให้แต่ละชุมชนได้ใช้ภูมิปัญญาท้องถ่ิน ในการพัฒนาสินค้าด้วยการผลิตหรือจัดทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นให้เป็นสินค้าท่ีมีคุณภาพ มีจุดเด่น เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนท่ีสอดคล้องกับวัฒนธรรม ซ่ึงในแต่ละท้องถ่ินสามารถจาหน่ายสินค้าชุมชน สู่ตลาดท้ังในและต่างประเทศด้วยระบบร้านค้าเครือข่าย และอินเตอร์เน็ต โดยรัฐจะเข้าช่วยเหลือ ด้านความรู้สมัยใหม่และการบริหารจัดการท่ีสร้างความเจริญแก่ชุมชน นอกจากน้ีประชาชนมีโอกาส ได้นาภูมิปัญญาท้องถ่ินมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ในชุมชนของตนเอง ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ท้องถิ่นของตนเอง ทาให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนามากข้ึน (อัสลีนา่ สมาคม, 2554) จากแนวคดิ หนง่ึ ตาบล หนึง่ ผลติ ภัณฑ์ (OTOP) ทเี่ น้นกระบวนการสรา้ งรายได้จากผลติ ภัณฑ์ ในแต่ละหมู่บา้ น ชุมชน หรือตาบล เพ่ือสนับสนุนและสง่ เสริมให้แต่ละชุมชนไดน้ าทรพั ยากรภูมิปัญญา ในท้องถ่ินมาพัฒนาเป็น ผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพท่ีมีจุดเด่นและมูลค่าเพิ่มเป็นท่ีต้องการ ของตลาด สอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท้องถ่ิน โดยยึดหลักการพ่ึงตนเองของชุมชน และรัฐพร้อมท่ีจะช่วยเหลือในด้านความรู้สมัยใหม่ และการบริหารจัดการ เชื่อมโยงสินค้าชุมชน สู่ตลาดท้ังในประเทศ และต่างประเทศ (กรมการพัฒนาชุมชน, 2560) ซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจ เข้าร่วมลงทะเบียนสินค้าหน่ึงตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ สามารถลงทะเบียนได้ที่สานักงานพัฒนาชุมชน อาเภอ/เขตท่ีสถานประกอบการต้ังอยู่ โดยศึกษาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข ตามที่กรมการพัฒนาชุมชน กาหนด ซึง่ มรี ายละเอียดดงั นี้ 2.2.1 ลกั ษณะและคุณสมบตั ิของผผู้ ลิต ผ้ปู ระกอบการ ท่ีมีสทิ ธิลงทะเบียน กรมพัฒนาธรุ กจิ การค้า (2560) ผผู้ ลิต ผู้ประกอบการ OTOP จาแนกเป็น 3 ลกั ษณะ ดงั นี้ 1. กลุ่มผู้ผลิตชุมชน หมายถึง กลุ่มคนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มในชุมชน ผลิตสินค้าท่ีแสดงความ เป็นไทยหรือภูมิปัญญาไทย และสมาชิกในกลุ่มร่วมกันผลิต ร่วมกันบริหารจัดการ และร่วมรับ ผลประโยชน์ เชน่ กลุ่มผผู้ ลติ ชมุ ชนที่จดทะเบยี นอยา่ งเป็นทางการ เช่น กลมุ่ วิสาหกจิ ชุมชน 2. ผู้ผลิตชุมชนที่เป็นเจ้าของรายเดียว หมายถึง บุคคลใดบุคคลหน่ึงในชุมชนที่ผลิตสินค้า ที่แสดงความเป็นไทย หรือภูมิปัญญาไทย และมีความเชื่อมโยงกับชุมชนในข้อใดข้อหน่ึง ได้แก่ การท่ีชุมชนมีส่วนร่วมในการผลิต หรือมีการจ้างแรงงานในชุมชน หรือมีการใช้วัตถุดิบในชุมชน หรือมสี ่วนร่วมในการบริหารจัดการ หรอื มีส่วนรว่ มรับผลประโยชน์

17 3. ผผู้ ลิตทเ่ี ป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หมายถงึ ผผู้ ลติ ผปู้ ระกอบการ ท่ี จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ได้แก่ บริษัทจากัด ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผลิตสินค้าท่ีแสดงความเป็นไทย หรือภูมิปัญญาไทยและมีความเช่ือมโยงกับชุมชนในข้อใดข้อหน่ึง ไดแ้ ก่ การท่ีชุมชนมีส่วนร่วมในการ ผลติ จา้ งแรงงานในชมุ ชน ใช้วัตถดุ ิบในชุมชน หรอื มีส่วนรว่ มในการบริหารจัดการหรือมีส่วนรว่ มไดร้ ับ ผลประโยชน์ โดยมีสินทรพั ย์ลงทนุ ไมเ่ กิน 10 ลา้ นบาท 2.2.2 ประเภทผลิตภัณฑ์ หนึ่งตาบล หน่ึงผลิตภณั ฑ์ (OTOP) ประเภทผลิตภัณฑ์หนึ่งตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ผลิตภัณฑ์ท่ีจะนามาดาเนินการ ลงทะเบียน ตอ้ งผา่ นกระบวนการผลติ โดยใช้ภมู ปิ ัญญา จานวน 5 ประเภท ดงั น้ี 1. ประเภทอาหาร หมายถึง ผลผลิตทางการเกษตรและอาหารแปรรูป ซงึ่ ได้รับมาตรฐาน อย. GAP GMP HACCP Qmark มผช. มอก. มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ฮาลาล และมีบรรจุภัณฑ์ เพ่ือการ จาหนา่ ยทวั่ ไป แบง่ เปน็ 3 กลุ่ม ดังนี้ 1) ผลิตผลทางการเกษตรที่ใช้บริโภคสด เช่น พืชผัก ผลไม้ พันธ์ุไม้ ไม่ถือว่าเป็น ผลิตภณั ฑท์ ี่ลงทะเบยี นได้ 2) ผลิตผลทางการเกษตรท่ีเป็นวัตถุดิบและผ่านกระบวนการแปรรูปเบื้องต้น เช่น น้าผ้ึงข้าวสาร ข้าวกล้อง ข้าวฮาง เป็นต้น เนื้อสัตว์แปรรูป อาหารประมงแปรรูป กรณีสัตว์ท่ีมีชีวิต เช่น ไก่ชน ปลากัด ไม่ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ลงทะเบียนได้ เพราะไม่ผ่าน กระบวนการแปรรปู เบอื้ งต้น 3) อาหารแปรรูปกึ่งสาเร็จรูป/สาเร็จรูป เช่น ขนมเค้ก กระยาสารท กล้วยฉาบ ทุเรียนทอด นา้ พรกิ เผาและน้าพรกิ ตา่ ง ๆ ไข่เค็ม กนุ เชียง เปน็ ต้น 2. ประเภทเคร่ืองดื่ม หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องด่ืมที่มีแอลกอฮอล์ ได้แก่ สุราแช่ สุรากลั่น สาโท เป็นต้น และเคร่ืองดื่มท่ีไม่มีแอลกอฮอล์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องด่ืมประเภทพร้อม ดม่ื ผลิตภัณฑป์ ระเภทชงละลาย และผลิตภณั ฑ์ประเภทชง เช่น น้าผลไม้ น้าสมุนไพร เครอื่ งด่มื รังนก กาแฟควั่ เปน็ ตน้ 3. ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย หมายถึง ผ้าทอและผ้าถักจากเส้นใยธรรมชาติหรือเส้นใย สังเคราะห์ รวมท้ังเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเคร่ืองแต่งกายที่ใช้ประดับตกแต่งประกอบการแต่งกาย ทงั้ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการใช้สอยและเพ่อื ความสวยงาม 1) ผ้า หมายถึง ผลิตภัณฑ์ผ้าผืนท่ีทาจากเส้นใย เส้นด้าย นามาทอถักเป็นผืนมี ลวดลาย รวมถึงผลิตภัณฑ์เสื้อผ้าและเคร่ืองนุ่งห่มซ่ึงเป็นเส้นใยธรรมชาติและเส้นใย สงั เคราะห์ ส่ิงทอ และผลิตภัณฑ์ทท่ี าจากผ้าเป็นหลักและมีวัสดุอ่ืน ๆ เป็นองค์ประกอบผสม

18 เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าโสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าคลุมไหล่ ผ้าบาติก เส้ือผ้าสาเร็จรูปบุรุษและสตรี เป็นต้น 2) เคร่ืองแต่งกาย หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประดับตกแต่งประกอบการแต่งกายท่ีทา จากวัสดุทุกประเภทเพื่อประโยชน์ในการใช้สอย เช่น รองเท้า เข็มขัด กระเป๋าถือ เป็นต้น และเพอ่ื ความสวยงาม เชน่ สรอ้ ย แหวน เข็มกลัด กาไล เปน็ ต้น 4. ประเภทของใช้ ของตกแตง่ ของทร่ี ะลกึ หมายถงึ ผลิตภัณฑ์ที่มีไว้ใช้หรอื ตกแตง่ ประดบั ใน บ้าน สถานท่ีต่าง ๆ ที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือการใช้สอย หรือประดับตกแต่ง หรือให้เป็นของขวัญ โดย ประเภทของใช้ของตกแตง่ ของท่ีระลกึ แบง่ ออกเป็น 7 กลมุ่ ดงั น้ี 1) ไม้ หมายถึง ของใช้ ของตกแต่งของที่ระลกึ ทีม่ วี ัสดุทีท่ าจากไม้เปน็ หลัก 2) จักสาน ถักสาน หมายถึง ของใช้ ของตกแต่ง ของท่ีระลึก ที่มีวัสดุที่เป็นเส้นใย ธรรมชาติ หรือวัสดุสังเคราะห์ใด ๆ เชน่ พลาสติกนามาจักสาน หรอื ถักสานถกั ทอเป็นรูปรา่ ง 3) ดอกไมป้ ระดิษฐ์ วัสดุจากเส้นใยธรรมชาติ หมายถึง ดอกไม้ ต้นไม้ กล้วยไม้ ผลไม้ ท่ีไม่ใช่ส่ิงมีชีวิตตามธรรมชาติ แต่ทาจากวัสดุต่าง ๆ เพื่อเลียนแบบธรรมชาติหรือผลิตภัณฑ์ ประเภทของใช้ ของตกแต่ง ของท่ีระลึก ท่ีมีวัสดุที่ทาจากกระดาษสาเป็นหลัก เช่น ถุง กระดาษ กล่องกระดาษสา ตน้ ไม้ประดษิ ฐ์ ผลไม้ประดษิ ฐ์ เป็นตน้ 4) โลหะ หมายถึง ผลิตภัณฑ์ประเภทของใช้ ของตกแต่ง ของท่ีระลึกท่ีทาจากโลหะ ต่าง ๆ 5) เซรามิค เครื่องปั้นดินเผา หมายถึง ผลิตภัณฑ์ท่ีมีการนาวัสดุประเภทดิน สินแร่ ไปขนึ้ รูปและนาไปเผาดว้ ยความรอ้ นสงู เพ่ือเปน็ ภาชนะ ของใช้ ของตกแตง่ ของทรี่ ะลกึ 6) เคหะสิง่ ทอ หมายถงึ ของใช้ ของตกแตง่ ของที่ระลึก ท่ีมวี ัสดุทาจากผ้า มกี ารตัด เย็บ เช่น ชดุ เครือ่ งนอน พรมเช็ดเท้า ผ้าปูโต๊ะ ถงุ มือถกั สาหรบั ทาการเกษตร เป็นตน้ 7) อื่น ๆ ของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก หรือผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ ท่ีใช้วัสดุอ่ืนใด นอกเหนือ จากเซรามิค เครื่องป้ันดินเผา และเคหะส่ิงทอ เช่น ทาจากพลาสติก เรซิน แก้ว เทียน รปู วาด เปเปอร์มา เช่น กระจก ซีเมนต์ ต้นไมม้ งคล ตุ๊กตาจากดินไทย ผลไม้เผาดูดกล่ิน พระพุทธรูป เปน็ ตน้ 5. ประเภทสมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร หมายถึง ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรหรือมีสมุนไพรเป็น ส่วนประกอบอาจใชป้ ระโยชน์ และอาจส่งผลตอ่ สุขภาพ ไดแ้ ก่ ยาจากสมุนไพร เครื่องสาอางสมุนไพร วตั ถุอันตรายทใ่ี ช้ในบา้ นเรือน เช่น น้ายาล้างจานสมุนไพร สมุนไพรไล่ยุงหรือกาจัดแมลง และรวมถึง ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ใช้ทางการเกษตร เช่น น้าหมักชีวภาพ น้าส้มควันไม้ เป็นต้น โดยประเภท

19 สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ยาจากสมุนไพร เคร่ืองสาอางสมุนไพร และวัตถุ อนั ตรายที่ใช้ในบ้านเรอื น 2.2.3 การพัฒนาผลิตภณั ฑ์ OTOP จากผลการวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับการเปิดเสรกี ารค้าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน The Office of SMEs Promotion (OWMEP) (2012 อ้างถึงใน โพยมพร รักษาชล, 2561) พบว่า กระแสภายนอก ด้านนโยบายเศรษฐกิจ สินค้าหน่งึ ตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซึ่งเป็นสนิ คา้ เชงิ วฒั นธรรม ก็ไม่อาจ หลีกเล่ียงผลกระทบการเปิดเสรีทางการค้าได้ เน่ืองจากสถานการณ์แข่งขันทางธุรกิจที่รุนแรงใน ปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ ล้วนหันมาให้ความสาคัญกับการเพ่ิมศักยภาพของชุมชน และใช้จุดแข็งของ ชุมชนทางด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิตและภูมิปัญญา เพ่ือเชื่อมโยงสู่ภาคการผลิตและบริการในการสร้าง สัญลกั ษณ์และขยายโอกาสทางการตลาดมากยิ่งขึ้น ผ้ปู ระกอบการต่าง ๆ อาจจะได้รบั ผลกระทบจาก คู่แข่งและสภาพการแข่งขันในตลาดเพ่ิมสูงข้ึน อันเนื่องมาจากสินค้าที่มีคุณภาพต่า ราคาต้นทุนต่า หรือสินค้าท่ีสามารถใช้ทดแทนกันได้ เข้ามาวางจาหน่ายในประเทศได้มากขนึ้ จึงทาให้ผูป้ ระกอบการ ต้องปรับตัวรับการแข่งขันท่ีเข้มข้นข้ึน และเกิดต้นทุนในการปรับตัว ปัจจุบันผู้บริโภคในประเทศต่าง ๆ กาลังอยู่ในกระแสบริโภคนิยม สินค้าที่เป็นธรรมชาติ สินค้าท่ีอิงกับวัฒนธรรม สินค้าที่ส่งเสริม สุขภาพ การมีส่วนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือสินค้าท่ีช่วยสนับสนุนชุมชน รวมไปถึงสามารถใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ แรงงานและวัตถุดิบการผลิตท่ีมีความหลากหลายให้เกิดประโยชน์ต่อการดาเนิน ธุรกิจได้ โดยเฉพาะสินค้าที่มีศักยภาพในการส่งออกรวมถึงสินค้าท่ีตรงกับความต้องการของตลาด ประเทศเพ่ือนบ้าน ดังนน้ั จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจของผู้ผลิตสินค้าหน่ึงตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ต้องเร่งพัฒนาสินค้า ท้ังด้านคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล เพื่อสร้างความเช่ือถือต่อผู้บริโภค โดยผสมผสานวัฒนธรรม ภูมิปัญญากับเทคโนโลยี นวัตกรรม และพัฒนารูปแบบการนาเสนอความ โดดเด่น เรื่องราวของสนิ ค้าให้เกิดการรับรู้ต่อผูบ้ ริโภคเพ่ือให้เกิดการสร้างคุณค่าในตัวสินค้า สามารถ เพิ่มมูลค่าและลดอุปสรรคการแข่งขันทางด้านราคา ให้ความสาคัญและตระหนักถึงการสร้างยี่ห้อ สนิ ค้าใหเ้ ป็นทย่ี อมรับ สอดคลอ้ งกบั ฐิตพิ ร วรฤทธ์ิ และคณะ (2561) ได้ศึกษาแนวทางการพฒั นาผลติ ภัณฑ์ OTOP พบว่า 1) ด้านผลิตภัณฑ์ ต้องพัฒนารปู แบบใหม้ ีความสวยงาม และทันสมัย สอื่ ถึงความเปน็ มาของแต่ ละท้องถิ่น ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้มีความสวยงาม ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อ่ืน ๆ นอกเหนือจาก เคร่ืองนุ่งห่ม และใช้นวัตกรรมในการผลิตเพ่ือให้ลดความร้อนในการสวมใส่ 2) ด้านราคา ต้องไม่สูง เกินไป 3) ดา้ นสถานท่ี ต้องขยายตลาดไปสู่แหล่งจาหน่ายท่ีหลากหลาย และสง่ เสริมให้มีการจาหน่าย ทางออนไลน์ และ 4) ด้านการส่งเสริมการขายโดยสามารถนายอดซ้ือผลิตภัณฑ์ OTOP ไปลดหย่อน

20 ภาษีเงินได้ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลของผลิตภัณฑ์ตามส่ือต่าง ๆ และหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนให้ พนกั งานสวมใสผ่ ลติ ภณั ฑ์ผา้ ไหม อย่างไรก็ตาม ผลการพัฒนาที่ผ่านมายังคงมีปัญหา คือ สินค้า OTOP ขาดการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัย ส่งผลให้สินค้าขาดความน่าสนใจ ผลิตโดยไม่คานึงถึงความต้องการของตลาด สินค้าจานวนมากขาดเอกลักษณ์อีกทั้งผู้ประกอบการหนึ่งตาบล หน่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP) มีข้อจากัด ด้านทักษะและความรู้ด้านการบริหารจัดการ ด้านการผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน ขาดการนา เทคโนโลยีการผลิตทเี่ หมาะสมมาใช้ ขาดความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อีกทั้งยังมีข้อจากัด ในการรับรู้และปรับตัวเพ่ือรองรับการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท่ีส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจ ข้อจากัดด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ให้ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดไม่ สามารถขยายตลาดให้โตข้ึน เนื่องจากขาดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็ง คุณภาพไมค่ งที่ โดยเฉพาะกรณีที่มี คาส่ังซื้อจานวนมาก เป็นต้น ดังนั้น การพัฒนาสินค้า OTOP และผู้ประกอบการหนึ่งตาบล หน่ึง ผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้ความสามารถในการปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงรวมถึงมีความสามารถ ประคับประคองธุรกิจให้อยู่รอดและดาเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องท่างกลางการแข่งข้ันสูงน้ัน จึงเป็น ภารกิจสาคัญท่ีครอบคลุมงานหลากหลายด้าน และความเก่ียวข้องกับหน่วยงานจานวนมาก ทั้งนี้ การส่งเสริมและพัฒนาคานึงถึงประเภทผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและศักยภาพ ความสามารถการแข่งข้ันท่ีแตกต่างกันเป็นสาคัญ โดยมีการกาหนดแนวทางกลยุทธ์การพัฒนาท่ีมี ความชัดเจนเฉพาะกลมุ่ (Segmentation) (กรมการพัฒนาชมุ ชน, 2558) กรมการพัฒนาชุมชน (2558) ได้กาหนดกลยุทธ์การส่งเสริมและแนวทางการพัฒนาเฉพาะ กลุ่ม (Segmentation) โดยกาหนดแนวทางการพัฒนาที่มีความชัดเจนเฉพาะกลุ่ม (Segmentation) เรียกว่า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ตามการจัดกลุ่ม Quadrant (A, B, C, D) จาแนกได้ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่ม Quadrant A หรือ กลุ่ม A ดาวเด่นสู่สากล: สินค้ามีคุณภาพราคาสูงและผลิตได้ ปรมิ าณมาก 2. กลุ่ม Quadrant B หรอื กลุ่ม B อนุรักษ์สร้างคุณค่าในกลุ่มลูกค้าเฉพาะ: สินค้ามีคุณภาพ ราคาสงู และผลิตในปรมิ าณนอ้ ย เพือ่ ตอบสนองลูกค้าเฉพาะราย 3. กลุ่ม Quadrant C หรือ กลุ่ม C พัฒนาเข้าสู่ตลาดการแข่งขัน: สินค้ามีคุณภาพ ราคาต่า และผลิตไดป้ ริมาณมาก 4. กลุ่ม Quadrant D หรือ กลุ่ม D ปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานการผลิต: สินค้ามีคุณภาพ ราคาต่า และผลติ ไดป้ ริมาณน้อย

21 โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ตามการจัดกลุ่ม Quadrant (A B C D) จะมีการพัฒนาใน ด้านหลัก ๆ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการจาหน่ายและโอกาสทางการตลาด (MARKET) การเสริมสร้าง องค์ความรู้ (PEOPLE) การเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย (Community Clustrer) การ ยกระดับผลิตภัณฑ์สู่สากล (PRODUCT) และ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (PROCESS) ซึ่งแต่ละกลุ่ม Quadrant (A B C D) จะมีวิธีการท่ีแตกต่างกันไป ในส่วนของกลุ่ม Quadrant D หรือ กลุ่ม D ที่ถือว่าเป็นกลุ่มต้องมีการพัฒนาอย่างมากเพื่อไปสู่ระดับท่ีสูงขึ้น โดยจะต้อง “มุ่งเน้น การรบั ชว่ งการผลติ โดยคานงึ ถึงทักษะฝมี ือเดิม และเพมิ่ ทางเลือกการมีอาชพี เสรมิ ” 1. เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย (Community Clustrer) มุ่งเน้นการรับช่วงการ ผลิต เพ่ือเป็นส่วนหนง่ึ ของห่วงโซ่อุปทาน โดยส่งเสริมการเข้าร่วมเปน็ กลุ่มเครือขา่ ยและการเชอ่ื มโยง เครือข่าย ในรูปแบบเครือขา่ ย ต่าง ๆ อาทิ เครอื ขา่ ยชุมชนเพ่ือการผลติ สนิ คา้ 1 ชนดิ เครือขา่ ยชุมชน เพือ่ การผลติ สินคา้ หลายชนดิ เครอื ขา่ ยชุมชนเพือ่ การผลติ แบบหว่ งโซ่อปุ ทาน เป็นตน้ ทัง้ นี้ เพื่อการมี รายได้จาการรับจา้ งผลติ หรือการผลิตเพือ่ แลกเปลีย่ น สินค้าในชุมชน 2. เสริมสร้างองคค์ วามรู้ (PEOPLE) โดยเสริมสร้างทกั ษะฝีมือแรงงานและเพิ่มทางเลือกด้วย การส่งเสริมอาชีพเสริม ส่งเสริมให้มีระบบพ่ีเลี้ยง เพื่อวินิจฉัย วิเคราะห์ศักยภาพการดาเนินธุรกิจ และให้คาปรกึ ษาแนะนา ให้การพัฒนาและเสริมสรา้ งความรู้การดาเนินธรุ กจิ ตามศักยภาพ 3. ยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ (PRODUCT) โดยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ ให้เขา้ สกู่ ระบวนการรบั รองมาตรฐาน และรกั ษาคณุ ภาพให้ไดต้ ามมาตรฐาน 4. การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (PROCESS) พัฒนากระบวนการผลิตอย่าง เป็นระบบและเพ่ิมประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ลดความสูญเสียจากการผลิต โดยคานึงถึงชุมชน และส่ิงแวดลอ้ ม 5. การเพิ่มช่องทางการจาหน่าย และโอกาสทางตลาด (MARKET) โดยส่งเสริมให้มีการจับคู่ ระหว่างผู้รับจ้างผลิตและผู้จาหน่ายสินค้า และส่งเสริมการเข้าร่วมงานแสดงและจาหน่ายสินค้า ในระดับทอ้ งถ่ิน อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมสินค้า OTOP ที่เกิดจากภูมิปัญญาท้องถ่ินให้มีการพัฒนาการผลิต การตลาด การบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและย่ังยืน มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดท้ังภายใน

22 และตา่ งประเทศ คือ การสร้างโอกาสให้ผผู้ ลติ ผ้ปู ระกอบการ OTOP ได้แลกเปลี่ยนเรียนรจู้ ัดแสดงผล งานท่ีเกิดจากภูมิปัญญาท้องถ่ิน และการได้รับคาแนะนาจากภาครัฐ ภาคเอกชนด้วย (กรมการพฒั นา ชมุ ชน, 2558) จากการทบทวนการเป็นผปู้ ระกอบการ OTOP และการพฒั นาผลิตภัณฑ์ OTOP ทาใหผ้ ู้วจิ ัย สรุปได้ว่า ผู้ประกอบการ OTOP จาแนกออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. กลุ่มผู้ผลิตชุมชน 2. ผู้ผลิต ชุมชนที่เป็นเจ้าของรายเดียว และ 3. ผู้ผลิตท่ีเป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยประเภท ผลิตภัณฑ์หนึ่งตาบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ผลิตภัณฑ์ที่จะนามาดาเนินการลงทะเบียน ต้องผ่าน กระบวนการผลติ โดยใชภ้ ูมิปัญญา จานวน 5 ประเภท ดังน้ี 1. ประเภทอาหาร 2. ประเภทเครื่องดื่ม 3. ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย 4. ประเภทของใช้ ของตกแต่ง ของที่ระลึก และ 5. ประเภท สมุนไพรที่ไม่ใช่อาหาร ซ่ึงการส่งเสริมและพัฒนาจะต้องคานึงถึงประเภทผลิตภัณฑ์ท่ีมีความ หลากหลายและศักยภาพความสามารถการแข่งขั้นที่แตกต่างกันเป็นสาคัญ โดยการกาหนดแนวทาง กลยุทธ์การพัฒนาท่ีมีความชัดเจนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งเน้นการพัฒนาด้านที่สาคัญ ได้แก่ การเพ่ิมช่อง ทางการจาหน่ายและโอกาสทางการตลาด (MARKET) การเสริมสร้างองค์ความรู้ (PEOPLE) การ เสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย (Community Clustrer) การยกระดับผลิตภัณฑ์สู่สากล (PRODUCT) และ การเพิ่มประสทิ ธภิ าพกระบวนการผลิต (PROCESS) ทาให้ผ้วู ิจัยได้นาไปใช้เปน็ แนวทางในวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลอง สองสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ใหม้ ีประสิทธิภาพและประสทิ ธิผลมากยิ่งขึน้ ในดา้ นต่าง ๆ ได้แก่ ดา้ นการบรหิ ารจดั การ ด้านการผลิต และด้านการตลาด 2.3 แนวคดิ การบริหารจดั การ 2.3.1 ความหมายของการบริหารจดั การ ปาณวัฒน์ อุทัยเลิศ (2551) ได้กล่าวถึงการบริหารไว้ว่า หมายถึง การดาเนินงานหรือการ ปฏิบัติงานใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีเก่ียวข้องกับคน สิ่งของ และหน่วยงาน โดยครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ เช่น การบริหารคน (man) การบริหารเงิน (money) การบริหารวัสดุ อุปกรณ์ (material) การบริหารงานทั่วไป (management) การบริหารการให้บริการประชาชน (market) การบริหารคุณธรรม (morality) การบริหารข้อมูลข่าวสาร (message) การบริหารเวลา (minute) และการบริหารการวัดผล (measurement) เป็นปัจจัยที่มีส่วนสาคัญต่อการบริหาร ท่ีเรียกว่า 9M นอกจากนี้แล้วยังอาจนาปัจจัยอื่นมาใช้เป็นแนวทางในการให้ความหมายได้อีกเป็นต้น ว่า 4M ซึ่งประกอบด้วยการบริหารคน (man) การบริหารเงิน (money) การบริหารวัสดุอุปกรณ์

23 (material) และการบริหารงานทั่วไป (management) และ 5 ป ซ่ึงประกอบด้วย ประสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ล ประหยดั ประสานงาน และประชาสัมพันธ์ นอกจากนี้ วิรชั วิรัชนิภาวรรณ (2555) กล่าวว่า การบริหารจัดการ หมายถึง การดาเนินงาน หรือการปฏิบัติงานใด ๆ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคน ส่ิงของ และหน่วยงาน โดยครอบคลุมเรื่อง ตา่ ง ๆ เช่น การบรหิ ารนโยบาย การบรหิ ารอานาจหนา้ ที่ การบรหิ ารคุณธรรม การบรหิ ารทเ่ี กี่ยวข้อง กับสังคม การวางแผน การจัดองคก์ าร การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การอานวยการ การประสานงาน การรายงาน และ การงประมาณ ที่เรียกว่า กระบวนการบริหาร หรือ ปัจจัยที่มีส่วนสาคัญต่อการ บริหาร สอดคลอ้ งกบั นติ ย์รดี ใจอาษา (2555) ได้ใหค้ วามหมายของการบริหารจัดการไวว้ ่า หมายถึง การบริหารงานจัดการใด ๆ ท่ีองค์กรได้ใช้ทรัพยากรซึ่งได้แก่ คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ และการจัดการ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่องค์กรได้ต้ังเป้าหมายไว้ หรือศิลปะและกระบวนการการกระทากิจกรรม อย่างหน่ึงหรือหลาย ๆ อย่างเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์หรือเป้าหมายท่ีวางไว้โดยใช้คน เงิน วัสดุ ส่ิงของและการจัดการ การกระทาน้ัน ๆ จะ เป็นไปในทางสร้างสรรค์ มีการดาเนินการเพื่อให้คงอยู่มี การวางแผน การจัดองค์การ การจูงใจ การควบคุมและการกระทาที่ทาให้เกิดการเป็นอันหนึ่งอัน เดยี วกันอยา่ งมรี ะบบแบบแผน ท้ังนี้ นันทการ สายพันธ์ (2555) กล่าวว่า การบริหารจัดการ หมายถึง ชุดของหน้าที่ต่าง ๆ ท่ีกาหนดทิศทางในการใช้ทรัพยากรทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งก็คือ ความสามารถของบุคคล หรือกลุ่มคนทท่ี าหนา้ ที่ในการวางแผน การจัดการองค์การ การจัดบุคคลเข้า ทางาน การสั่งการ และการควบคุมการทางาน เพ่ือให้กิจกรรมขององค์กรดาเนินไปตามวัตถุประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยปัจจัยในการบริหาร เพ่ือให้บรรลุถึงเป้าหมายขององค์กร และการปฏิบัติการสาเร็จตามแผนที่กาหนดไว้ ทรัพยากรหรือปัจจัยท่ีนักบริหารต้องให้ความสนใจ เพื่อให้การดาเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์กรประสบความสาเร็จ ซ่ึงประกอบด้วยปัจจัยต่าง ๆ อนั ได้แก่ คน (Man) คือทรัพยากรบุคคลท่ีเป็นหวั ใจขององค์การ ซ่ึงมีผลต่อความสาเร็จในการจัดการ เงิน (Money) คือ ปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การดาเนินต่อไปได้ วัสดุ (Materials) คือ วัตถุดิบซึ่งเป็นปัจจัยที่สาคัญอย่างหน่ึง จาเป็นต้องมีคุณภาพและมีต้นทุนท่ีต่า เพราะมีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต และสุดท้าย เคร่ืองจักร (Machine) คือ เครื่องจักรอุปกรณ์ ทมี่ ศี ักยภาพทด่ี จี ะก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดต้องการผลติ เช่นกัน (ถนดั เดชทรัพย์, 2550) จากการทบทวนแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการข้างต้น ทาให้ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การบริหารจัดการ หมายถึง การดาเนินงานและการวางแผนงานขององค์กร โดยใช้คน เงิน วัสดุ

24 ส่ิงของ และการจัดการ ทาให้เกิดการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างมีระบบแบบแผนเพื่อให้บรรลุ วัตถปุ ระสงคห์ รือเปา้ หมายที่วางไว้ 2.3.2 กระบวนการจัดการ กระบวนการจัดการตามทฤษฎีของ Hanry Fayor (1964 อ้างถงึ ใน สภุ ัสรา บุญเรือง, 2559) กลา่ วว่า กระบวนการจดั การประกอบด้วยหนา้ ท่ที างการจัดการ 5 ประการ ไดแ้ ก่ 1. การวางแผน (Planning) การกาหนดแผนงานหรือวิธีการปฏิบัติงานไว้เป็นการล่วงหน้า เพื่อผลสาเร็จตามท่ีต้องการ จะมีข้ันตอน 2 ส่วน คือ การกาหนดเป้าหมายและการวางแผน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลตามเป้าหมาย 2. การจัดการองค์การ (Organizing) การพัฒนาระบบทางาน เพื่อให้งานต่าง ๆ สามารถ ดาเนินไปโดยมีการประสานงานกัน การจัดโครงสร้างองค์การคือการจัดโครงสร้างท่ีประกอบด้วย การกาหนดตาแหนง่ งาน การจัดกล่มุ งานเป็นหน่วย เป็นแผนก การมอบอานาจหน้าท่ีที่จาเปน็ สาหรับ การปฏิบัติงาน โครงสร้างหน้าที่จะต้องสามารถช้ีให้ชัดได้ว่าต้องทาอะไร และต้องรายงานใคร ซ่ึงจะช่วยใหเ้ กิดความเป็นระเบียบ ปฏบิ ตั ิงานเป็นกล่มุ ไดด้ ี การจดั การโครงสรา้ งองค์กร มีขนั้ ตอนการ จัด 2 ขั้นตอน คือ การจัดกลุ่มงานที่จาเป็นเพื่อการทางานตามเป้าหมาย และการมอบหมายอานาจ หนา้ ทที่ จี่ าเป็นเพ่อื การปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ 3. การจัดคนเข้าทางาน (Staffing) ภารกิจของผู้บรหิ ารในการดาเนินกิจกรรมทางการจดั การ ท่ีเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้องค์กรธุรกิจมีกาลังคน ท่ีมีประสิทธิภาพพร้อมในการทางานในทุกตาแหน่งงาน กิจกรรมเพ่ือให้ได้คนท่ีดีมีความพร้อมก็คือ ต้องทาการคัดเลือก ปฐมนิเทศ การอบรม และการพัฒนาบุคคล ตลอดจนประเมินผลและจัดระบบ ตอบแทน 4. การส่ังการ (Directing) กจิ กรรมทางการจดั การ โดยผู้นาหรือผบู้ ริหารในบังคับบัญชาให้ การทางานต่าง ๆ ภายในโครงสรา้ งองค์การดาเนินไปโดยราบรนื่ มีการประสานร่วมกนั ทางานของ ตนเองเปน็ อยา่ งดี โดยอาศัยวิธีการเสริมความสัมพนั ธร์ ะหว่างบุคคลทีด่ ี 5. การควบคุม (Controlling) คือ กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีสร้างข้ึนเพ่ือให้เกิดความแน่ใจว่าการ ทางานต่าง ๆ จะสาเร็จตามแผนท่ีกาหนดไว้ การควบคุมจะต้องมีการพิจารณาตกลงให้ชัดว่าจะวัดผล งานอะไร จะวัดโดยวธิ กี ารอย่างไร จะใชเ้ กณฑ์อะไรเป็นตวั วดั

25 จากการทบทวนแนวคิดเก่ียวกับการบริหารจัดการข้างต้น ทาให้ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การบรหิ ารจัดการ หมายถึง การดาเนนิ งานและการวางแผนงานขององคก์ ร เพ่ือให้บรรลุวตั ถุประสงค์ หรือเป้าหมายที่วางไว้ ซ่ึงเก่ียวข้องกับปัจจัยที่สาคัญ ได้แก่ 1. คน (Man) เป็นปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อ ความสาเร็จในการจัดการ 2. เครื่องจักร (Machine) เคร่ืองจักร อุปกรณ์ ต้องใช้ปฏิบัติงานให้เกิด ประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่า 3. เงินทุน (Money) เป็นปัจจัยสาคัญท่ีให้การสนับสนุนในการจัดหา ทรัพยากรเพื่อเอือ้ อานวยให้กิจกรรมขององค์การดาเนินไปได้ และ 4. วัสดุสิ่งของ (Material) ถอื เป็น ปัจจัยทีม่ ีปริมาณและมูลคา่ สูงไมต่ ่างไปจากปจั จยั ตัวอื่น อย่างไรก็ตามปจั จยั เหล่าน้ี หากมีการวางแผน และการจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบท่ีดีย่อมส่งผลให้องค์การบรรลุผลสาเร็จได้ ซึ่งมีกระบวนการ บริหารจัดการ ได้แก่ 1. การวางแผน (Planning) การกาหนดแผนงานหรือวิธีการปฏิบัติงานไว้เป็น การล่วงหนา้ 2. การจัดการองค์การ (Organizing) การพัฒนาระบบทางาน เพือ่ ใหง้ านต่าง ๆ สามารถ ดาเนินไปโดยมีการประสานงานกัน 3. การจัดคนเข้าทางาน (Staffing) ให้ได้คนที่มีประสิทธิภาพ พร้อมในการทางาน 4. การส่ังการ (Directing) เพื่อให้งานดาเนินไปโดยราบร่ืน และ 5. การควบคุม (Controlling) กิจกรรมตา่ ง ๆ ทีส่ ร้างขึ้นจะต้องสาเรจ็ ตามแผนทีก่ าหนดไว้ จากการทบทวนแนวคิดการบริหารจัดการ ผู้วิจัยได้นาแนวคิดดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางใน การศกึ ษาการบรหิ ารจัดการของกลุ่มอาชพี 2.4 แนวคิดเกยี่ วกับส่วนประสมการตลาด แนวคิดเก่ียวกับส่วนประสมการตลาด ปัจจัยส่วนประสมการตลาด (Marketing mix หรือ 4 Ps) หมายถึง ตัวแปรทางการตลาดท่ีควบคุมได้ ซ่ึงบริษัทใช้ร่วมกัน เพ่ือตอบสนองความพึงพอใจแก่ กล่มุ เปา้ หมาย ประกอบด้วย (ศริ วิ รรณ เสรรี ตั น, 2552 อา้ งถงึ ใน จรรยา ศฤงคารวัฒนา, 2554) 1. ผลิตภัณฑ์ (Product) หมายถึง สิ่งท่ีเสนอขายโดยธุรกิจเพ่ือตอบสนองความจาเป็นและ ความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจแก่กลุ่มเป้าหมาย เช่น บรรจุภัณฑ์ สี ราคาคุณภาพ ตราสินคา บริการและชื่อเสียงของผู้ขายผลิตภัณฑ์ อาจเป็นสินค้า บริการ สถานที่ บุคคล หรือ ความคิด ผลิตภัณฑ์ที่เสนอขายอาจจะมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ ผลิตภัณฑ์จึงประกอบด้วย สินค้า บริการความคิด สถานที่ องคก์ รหรือบคุ คลผลิตภัณฑ์ ต้องมอี รรถประโยชน์ (Utility) มคี ุณคา่ (Value) ในสายตาลูกค้าจึงจะมีผลทาให้ผลิตภัณฑ์สามารถขาย ได้ซึ่งการกาหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ต้องคานงึ ถึงปจั จัยต่อไปนี้ 1.1 ความแตกตา่ งของผลิตภณั ฑ์ (Product differentiation) 1.2 องคป์ ระกอบ (คุณสมบัต)ิ ของผลติ ภณั ฑ์ (Product component)

26 เช่น ประโยชนพ์ ืน้ ฐาน รปู ลกั ษณ์ คณุ ภาพ การบรรจภุ ัณฑ์ ตราสินคา้ ฯลฯ 1.3 การกาหนดตาแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product positioning) เป็นการออกแบบ ผลติ ภณั ฑ์ของบรษิ ัทเพ่ือแสดงตาแหน่งทีแ่ ตกตา่ งและมีคณุ คา่ ในจิตใจของลกู ค้าเปา้ หมาย 1.4 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product development) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีลักษณะ ใหม่และปรับปรุงให้ดีขึ้น ซ่ึงต้องคานึงถึงความสามารถในการตอบสนองความต้องการของ ลูกคา้ ไดด้ ยี ่ิงข้นึ 1.5 กลยุทธ์เก่ียวกับส่วนประสมผลิตภัณฑ์ (Product mix) และสายผลิตภัณฑ์ (Product line) 2. ราคา (Price) หมายถึง จานวนเงินหรือสิ่งอื่น ๆ ท่ีมีความจาเป็นต้องจ่ายเพ่ือให้ได้ ผลิตภัณฑ์ หรือ หมายถึง คุณค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ราคาเป็นต้นทุนของลูกค้า ผู้บริโภคจะ เปรียบเทียบระหว่างคุณค่าของผลิตภัณฑ์กับราคาของผลิตภัณฑ์น้ัน ถ้าคุณค่าสูงกว่าราคาผู้บริโภค กจ็ ะตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ผ้กู าหนดกลยทุ ธด์ ้านราคาต้องคานงึ ถงึ 2.1 ราคาสินคาในรายการ (List Price) การกาหนดราคาสินค้าในรายการมหี ลายวิธี บริษัท อาจเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือใช้หลายวิธีรวมกันโดยมุ่งท่ีต้นทุน มุ่งที่อุปสงค์ หรือมุ่งที่ การแข่งขนั เป็นต้น 2.2 ส่วนลด (Discount) หมายถึง ส่วนลดท่ีย่อมให้โดยตรงจากราคาขาย เมื่อมีการ ซ้ือใน ระหว่างระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ เช่น การให้ส่วนลดปริมาณ ส่วนลดการค้า ส่วนลดเงิน สด เป็นต้น 2.3 ส่วนยอมให้ (Allowances) หมายถึง ส่วนลดที่ผู้ขายลดให้กับผู้ซ้ือ เพ่ือให้ผู้ซ้ือ ทาการส่งเสริมการตลาดให้กับผู้ขาย เช่น ส่วนยอมให้จากการนาสินค้าเก่ามาแลก ส่วนยอม ให้สาหรับการเป็นนายหน้า เป็นต้น 2.4 ระยะเวลาการชาระเงนิ (Payment Period) หมายถึง ช่วงเวลาท่ผี ู้บริโภคชาระ ค่าสินคา้ ตามเงื่อนไขของแต่ละบริษทั 2.5 ระยะเวลาการให้สินเชื่อ (Credit Term) หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้ขายยอมให้ สนิ เช่ือค่าสนิ คา้ ตามเง่อื นไขท่ีตกลง 3. การจัดจาหน่าย (Place) หมายถึง โครงสร้างของช่องทางซึ่งประกอบด้วยสถาบันและ กิจกรรม ใช้เพื่อเคล่ือนย้ายผลิตภัณฑ์และบริการจากองค์การไปยังตลาด สถาบันที่นาผลิตภัณฑ์ออก สู่ตลาดเป้าหมายคือสถาบันตลาด ส่วนกิจกรรมที่ช่วยในการกระจายสินค้า ประกอบด้วยการขนส่ง การคลงั สินคา้ และการเก็บรักษาสนิ ค้าคงคลังการจดั จาหน่ายจึงประกอบด้วย 2 ส่วนคอื

27 3.1 ช่องทางการจัดจาหน่าย หมายถึง กลุ่มของบุคคลหรือธุรกิจท่ีมีความเกี่ยวข้อง กับการ เคลื่อนย้ายกรรมสิทธิ์ในผลิตภัณฑ์หรือเป็นการเคล่ือนย้ายผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิตไปยัง ผู้บริโภค หรือ ผู้ใช้ทางธุรกิจ หรือหมายถึง เส้นทางที่ผลิตภัณฑ์และ (หรือ) กรรมสิทธ์ิท่ี ผลิตภัณฑ์ถูกเปลี่ยนมือ ไปยังตลาด ในระบบชองทางการจัดจาหน่าย ประกอบด้วย ผู้ผลิต คนกลาง ผู้บริโภค หรือผู้ใช้ทาง อุตสาหกรรม ซ่ึงอาจจะใช้ช่องทางตรงจากผู้ผลิตไปยัง ผู้บริโภค หรือผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม และใช้ช่องทางอ้อม จากผู้ผลิต ผ่านคนกลางไปยัง ผู้บริโภค หรือผู้ใช้ทางอุตสาหกรรม 3.2 การกระจายตัวสินค้าหรือการสนับสนุนการกระจายตัวสินค้าสู่ตลาด หมายถึง งานที่เกี่ยวข้องกับการวางแผน การปฏิบัติตามแผน และการควบคุมการเคล่ือนย้ายวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิต และสินคาสาเร็จรูป จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้ายในการบริโภคเพื่อ ตอบสนองความต้องการของลูกค้า การกระจายตัวสินค้าท่ีสาคัญ มีดังน้ี การขนส่ง การเก็บ รกั ษาการคลงั สนิ ค้า และการบริหารสนิ ค้าคงเหลือ 4. การส่งเสริมการตลาด (Promotion) หมายถงึ เครื่องมอื การส่ือสารเพือ่ สร้างความพึงพอใจ ต่อตราสินค้าหรือบริการ หรือความคิด หรือต่อบุคคลโดยใช้เพ่ือจูงใจให้เกิดความต้องการเพื่อเตือน ความทรงจาในผลิตภัณฑ์ โดยคาดว่าจะมีอิทธิพลต่อความรู้สึกความเชื่อและพฤติกรรมการซื้อโดย เครอ่ื งมอื การส่งเสรมิ การตลาดทส่ี าคัญ มีดงั นี้ 4.1 การโฆษณา (Advertising) การโฆษณา เป็นการติดตอ่ ส่อื สารโดยใช้สือ่ (Media) ส่วนใหญ่จะเป็นการติดต่อสื่อสารกับกลุ่มผู้รับข่าวสารจานวนมาก (Mass selling) เพื่อเป็น การส่งขา่ วสารและเสนอขายสินค้าหรอื บริการ ซง่ึ อาจจะอย่ใู นรปู แบบการแจ้งขา่ วสารการจูง ใจให้เกิดความต้องการ หรือการเตือนความทรงจา ท้ังในรูปแบบที่ผ่านส่ือมวลชน และส่ง โดยตรงไปยังผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซ่ึงสามารถระบุผู้อุปถัมภ์รายการ คือ ผู้ผลิตหรือผู้จัด จาหน่ายสนิ ค้าทโ่ี ฆษณาได้โดยผู้อปุ ถมั ภ์รายการต้องเสยี ค่าใช้จา่ ยสาหรบั ส่อื โฆษณา 4.2 การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) การส่งเสริมการขายเป็นกิจกรรม การตลาดซง่ึ จัดหาสง่ิ จูงใจที่มีค่าพิเศษสาหรับผู้บริโภค ผู้จดั จาหน่าย และหน่วยงานขาย เพื่อ กระตุ้นให้ขายสินค้าได้ หรือเป็นกิจกรรมการตลาดซึ่งเพิ่มคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ ภายในเวลาทีจ่ ากัด และจงู ใจให้ผู้บรโิ ภคเกิดการซอ้ื 4.3 การประชาสัมพันธ์และการให้ข่าว (Publicity and Public Relations - PR) การประชาสัมพันธ์เป็นความพยายามในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างทัศนคติท่ีดีต่อองค์การ หรือผลิตภัณฑ์โดยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อชุมชนต่าง ๆ เผยแพร่ข่าวสารที่ดีสร้างภาพพจน์

28 ของการเป็นบริษัทที่ดีโดยการสร้างเหตุการณ์และเร่ืองราวท่ีดี การให้ข่าวเป็นการสร้างข่าว เก่ียวกับบุคคล ผลิตภัณฑ์ หรือบริการผ่านสื่อกระจายเสียง หรือ ส่ือสิ่งพิมพ์หรือเป็นการ ประชาสัมพันธ์วิธีหนึ่ง ซึ่งเก่ียวข้องกับการติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับองค์การ ผลิตภัณฑ์หรือ นโยบายบริษัท โดยผ่านส่ือ ซ่งึ อาจไม่ต้องเสียเงินหรอื เสียเงนิ กไ็ ด้ 4.4 การตลาดทางตรง (Direct Marketing) การตลาดทางตรง เป็นเคร่ืองมืออย่าง หนึ่งของการส่งเสรมิ การตลาด หรือเป็นการติดตอส่ือสารทางการตลาดกบั ผู้บริโภคเป้าหมาย เพ่ือให้เกิดการตอบสนองโดยตรงในทันทีโดยไม่รวมการขายโดยพนักงานขายท่ีทาการขาย ตรงให้แก่ลกู คา้ 4.5 การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal selling) การขายโดยใช้พนักงานขาย เป็นการนาเสนอข้อมูลเก่ียวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มเล็ก ๆ ของบุคคลกับลูกค้า หรือเป็นการติดต่อส่ือสารโดยใช้พนักงานเพ่ือจูงใจ ให้บคุ คลเกดิ การตดั สนิ ใจซ้ือโดยเป็นการตดิ ต่อโดยตรงแบบเผชิญหน้ากนั จากการทบทวนแนวคิดเก่ียวกับส่วนประสมการตลาด ทาให้ผู้วิจัยได้นามาใช้เป็นแนวทาง ในการวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากย่ิงข้ึน รวมทั้งนาไปใช้เป็นแนวทางในการศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่ม อาชีพ ในดา้ นผลผลิตและผลงานของกลุ่มอาชพี และด้านการตลาดของกลุ่มอาชีพ 2.5 เอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง กรรณิการ์ ทามา (2557) ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพ: กรณีศึกษากลุ่มแปรรูป ผลิตภัณฑ์จักสานจากต้นกกบ้านหว้า ตาบลบ้านหว้า อาเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น วัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาสภาพการดาเนินงาน ปัญหาอุปสรรค และ ปัจจัยท่ีมีผลต่อความสาเร็จ และเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาของกลุ่มให้ประสบผลสาเร็จและย่ังยืน ผลการศึกษาพบว่า 1) สภาพท่ัวไปของกล่มุ แปรรูป ผลิตภัณฑ์จกั สานจากตน้ กกบ้านหว้า กลมุ่ มีโครงสรา้ งการบรหิ ารกลุ่ม ที่ชัดเจน มีการแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่สมาชิกจากการระดมหุ้น มีสวัสดิการต่าง ๆ มีการรายงาน งบทางการเงิน 2) ปัญหาและอุปสรรค จานวนสมาชิกลดลงเร่ือย ๆ สมาชิกกลุ่มท่ีผลิตสินค้ามีน้อย ส่วนใหญ่เข้าเพอื่ ระดมหุ้นทาให้ขาดแรงงานฝีมือ วัตถุดิบเร่ิมหายากต้องซ้ือจากนอกพื้นที่ทาให้ต้นทุน สูงขึน้ ต้องใช้เงนิ ทุนหมุนเวียนเพิ่มขึน้ และยงั ขาดการวางแผนดา้ นการผลติ สินค้า และ 3) ปัจจยั ทม่ี ีผล ต่อความสาเร็จ เกิดจากการมีผู้นากลุ่ม คณะกรรมการบริหารงานกลุ่มท่ีมีความรู้มีวิสัยทัศน์ มีการประสานงานท่ีดีสมาชิกกลุ่มมีส่วนร่วมในการดาเนินงานอย่างต่อเน่ือง ผู้นาชุมชน

29 และหน่วยงานท่ีให้การสนับสนุนมีประสานความร่วมมือ สรุปแนวทางในการพัฒนาของกลุ่มแปรรูป ผลิตภัณฑ์ จักสานจากต้นกกบ้านหว้า ท่ีจะทาให้กลุ่มประสบผลสาเร็จและยั่งยืน คือ พัฒนาการมีส่วนร่วมของสมาชิกภายในในกลุ่ม ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมวางแผน หน่วยงานภาครัฐ ใหก้ ารหนนุ เสริมด้านงบประมาณ องคค์ วามรอู้ ย่างตอ่ เน่อื ง และผ้นู ากลุ่ม หรือผแู้ ทนผนู้ ากลุ่มมพี ัฒนา การบรหิ ารจัดการดว้ ยความเสยี สละ โปร่งใสมคี ณุ ธรรม สุวรรณี โพธ์ืเศษ (2558) ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพทอผ้าไหมของบ้านหัวฝาย ตาบลปอแดง อาเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น มีวัตถุประสงคเ์ พ่ือศึกษาสภาพการรวมกล่มุ อาชีพทอผ้า ไหม และเพ่ือหาแนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพทอผ้าไหมของบ้านหัวฝาย ตาบลปอแดง ผลการวิจัย พบว่า 1. ภาพรวมของการดาเนินงานของกลมุ่ อาชีพทอผ้าไหม ของบา้ นหวั ฝาย พบว่ามกี ารทอผ้าไหม เป็นครั้งคราว เน่ืองจากฤดูทานากลุ่มอาชีพทอผ้าไหมต้องไปทานาและทาไร่ และเม่ือพิจารณา การดาเนินงานเป็นรายด้านที่ปฏิบัติมากกว่าด้านอื่น คือ การเพ่ิมผลผลิต รองลงมาคือ การพัฒนา ประสิทธิภาพบริหาร 2. ผลการดาเนินงานเป็นรายด้าน ด้านการเพิ่มผลผลิตท่ีมีการปฏิบัติมาก คือ มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการผลิต ด้านการพัฒนาการตลาด มีการผลิตสินค้าเมื่อมีการส่ังซื้อ ของลูกค้า ด้านการพัฒนาคุณภาพของสินค้า มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพของสินค้า อย่างต่อเน่ือง และด้านการพัฒนาประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการ กลุ่มอาชีพมีการแลกเปลี่ยน เรียนรู้กับกลุ่มอาชีพอ่ืนอย่างสม่าเสมอในตาบลเดียวกันและตาบลข้างเคียง 3. สภาพการพัฒนากลุ่ม อาชีพทอผ้าไหม ของบ้านหัวฝาย แนวทางการพัฒนากลุ่มให้กลุ่มมีความย่ังยืน ควรพิจารณาถึงปัจจัย ผู้นากลุ่มอาชีพ งบประมาณ บุคลากร การบริหารงานแบบมีส่วนร่วม การถ่ายทอดความรู้ของกลุ่ม อาชีพ และปจั จยั ดา้ นความเข้าใจของชุมชนให้มคี วามเข้มแข็งและพัฒนาอย่างย่งั ยืนต่อไป ชุตินธร บารุงภักดี (2559) ได้ศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพงานหัตถกรรมมุกประดับ กรณศี ึกษาบา้ นหนองลาด หมูท่ ี่ 4 ตาบลถ่อนนาลบั อาเภอบา้ นดงุ จงั หวดั อุดรธานี มีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อ ศึกษาสภาพปัญหาการดาเนินงาน วิเคราะหห์ าสาเหตุของปัญหาในการดาเนินงาน และ การหาข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา ได้แก่ สมาชิกกลุ่ม อาชีพมุกประดับชุมชนบ้านหนองลาด และตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนตาบลถ่อนนาลับ ผลการศกึ ษาพบว่า 1) ปัญหาในการการดาเนินงานของกลุ่มอาชีพงานหัตถกรรมมุกประดบั ชุมชนบา้ น หนองลาด ขาดการมีหลักการบริหารจัดการท่ีดี การบริหารไม่มีการยึดหลักของกฎระเบียบ มีการบริหารงานไม่โปร่งใส สมาชิกกลุ่มส่วนมากไม่ให้ความในการเข้าร่วมประชุมประจาเดือน ของกลุ่ม สมาชิกกลุ่มขาดการมีส่วนร่วมในการระดมทุน และเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มมีน้อย ผลิตภัณฑ์ไม่มีรูปแบบที่แปลกใหม่ ขาดการออกแบบของผลิตภัณฑ์ ไม่สามารถทาการผลิตให้ทัน

30 ต่อความต้องการของลูกค้าได้ทันหากมีการส่ังซ้ือผลิตภัณฑ์เป็นจานวนมากๆ ตลาดในการรองรับ ผลิตภัณฑ์มีน้อย 2) มีสาเหตุของปัญหามาจากสมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจในการรวมเป็นกลุ่ม ทาให้ไม่สนใจหรือไม่ตั้งใจในการรับฟังในการรับรู้หรือทาความเข้าใจเกี่ยว กับกลุ่ม ขาดการประสานงาน ขาดการระดมทุนภายในกลุ่ม ไม่มีการเขียนแผนการใช้เงิน ไม่มีการสารอง วัตถุดิบไว้ใช้ในเวลาท่ีมีการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เข้ามาทีละมาก ๆ ไม่มีการวางแผนการตลาดก่อนการ ดาเนินการ ไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ตามส่อื ต่าง ๆ ทาใหบ้ คุ คลทวั่ ไปไม่ทราบแหลง่ จัด จาหน่าย ขาดการสร้างเครือข่ายการค้ากับกลุ่มอาชีพอ่ืน ๆ ท่ีมีความเกี่ยวข้องกัน 3) แนวทางในการ พัฒนากลุ่มอาชีพควรท่ีจะมีการยึดหลักตามกฎระเบียบของกลุ่มอย่างเคร่งครัด ควรจัดให้มีการ ฝึกอบรมให้ความรู้ในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุหีบห่อท่ีเป็นมาตรฐาน หรือการจัดทา บัญชีเบ้ืองต้น เพ่ือเป็นการเพิ่มพูนความรู้แก่สมาชิกในกลุ่มเพื่อนามาใช้ประโยชน์ในการปรับปรุง คุณภาพผลิตภัณฑ์ ควรมีการหาตลาดมารองรับในการจาหน่ายผลิตภัณฑ์มากขึ้น และจัดหาแหล่ง เงินทุนโดยการขอสนบั สนุนจากหนว่ ยงานภาครฐั หรือหนว่ ยงานอ่ืน ๆ ท่เี กี่ยวขอ้ ง ภาควัต ศรีสุรพล (2560) ได้ศึกษาแนวทางการส่งเสริมกลุ่มอาชีพขององค์การบริหาร ส่วนตาบลนาชมุ แสง อาเภอภูเวยี ง จังหวัดขอนแกน่ มวี ตั ถุประสงคศ์ ึกษาสภาพการส่งเสริมกลุ่มอาชีพ ทอผ้าฝ้ายในตาบลนาชุมแสง และปญั หาการพัฒนาของกล่มุ อาชีพในตาบลนาชุมแสง รวมถึงแนวทาง การส่งเสริมกลุ่มอาชีพ ขององค์การบริหารส่วนตาบลนาชุมแสง อาเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ผลการศึกษาพบว่า สภาพการส่งเสริมกลุ่มอาชีพทอผ้าฝ้ายในตาบลนาชุมแสง ประกอบด้วย การจัดทาทะเบียนสมาชิก การทอผลิตภัณฑ์ตามความถนัด การฝึกอบรม พัฒนาศักยภาพ การพฒั นา มาตรฐานผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การจัดทาบัญชี การประชาสัมพันธ์และการจัดจาหน่าย ส่วนปญั หาการพัฒนาของกลุ่มอาชีพในตาบลนาชุมแสง ได้แก่ ขาดการพัฒนาผลติ ภัณฑห์ รอื การสรา้ ง สินค้าใหม่ ๆ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ขาดการฝึกอบรมทักษะท่ีจาเป็นในการผลิต รวมทั้ง ขาดการประชาสัมพันธ์และการจัดการท่ีดี เน่ืองจากการดาเนินงานจากัดอยู่เฉพาะในกลุ่มและใน จังหวัดเท่าน้ัน สาหรับแนวทางการส่งเสริมกลุ่มอาชีพขององค์การบริหารส่วนตาบลนาชุมแสง ประกอบด้วย การจัดทาทะเบียนของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันระหว่างกลุ่ม อาชีพและสมาชิกภายในกลุ่มอาชีพ การศึกษาดูงาน สนับสนุนการจัดทาระบบบัญชีอย่างง่าย สนับสนุนการจัดกิจกรรม การแสดงหรือจาหน่ายสินค้าโอทอปในงานประจาปีและงานอื่น ๆ ตามความเหมาะสม

31 โพยมพร รักษาชล (2561) ได้ศึกษาการพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชน ในจังหวดั นครศรธี รรมราช เพอ่ื รองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น มีวัตถุประสงค์ คอื ศกึ ษาแนวทาง การพฒั นาความเป็นผู้ประกอบการของวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการศึกษา พบว่า ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด การพัฒนาขีดความสามารถ ในด้านการ จัดหาตลาดต่างประเทศ การออกแบบผลติ ภัณฑ์ และการพัฒนาทักษะในด้านการบริหาร เงินทุน รวมท้ังการพัฒนาบุคลากรให้ มีความรู้ความสามารถ เพิ่มทักษะให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ด้านผู้ให้การสนับสนุนวิสาหกิจชุมชน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ เป็นผู้ให้ข้อมูลพ้ืนฐานในการพิจารณา ให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการให้ตรงตามความต้องการท่ีแท้จริง และทันกับเวลาในการดาเนินการ ของผู้ประกอบการ รวมท้ังเป็นข้อมูลในด้านการกาหนดวิธีการแก้ไขปัญหาและการกาหนด แนวทางการปอ้ งกนั มิใหก้ ารดาเนินธรุ กจิ หยุดชะงกั ได้ เพื่อความยั่งยนื ทางธุรกิจต่อไปในอนาคต จากการทบทวนแนวคิดและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง ทาให้ผู้วิจัยได้แนวทางในการศึกษา ท้ังนี้ผู้วิจัยนามาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์สภาพการดาเนินงานของกลุ่มอาชีพ อีกทั้งทราบถึง แนวทางการพฒั นากลุ่มอาชพี ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากย่ิงข้นึ และใช้เปน็ แนวทางในการ กาหนดกรอบแนวคดิ ในการวจิ ัยได้ดังน้ี

2.6 กรอบแนว บรบิ ทกลุ่มแปรรูปปลาบา้ นคลองสอง - ประวตั ิความเปน็ มาของกลุ่ม แนว ภาพท่ี 2.1 กรอบ

วคดิ การวิจัย การสนับสนุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน สภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรปู ปลาบา้ นคลองสอง 1. ดา้ นการบริหารจดั การกลุ่ม 2. ดา้ นการผลติ และผลผลิตของกลมุ่ 3. ดา้ นการตลาด วทางการพฒั นากลุ่มแปรรูปปลาบา้ นคลองสองสู่การเป็นผ้ปู ระกอบการ OTOP บแนวคดิ การวจิ ัย

บทท่ี 3 ระเบียบวธิ วี ิจัย ในการวิจัยเร่ือง “แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP กรณีศึกษา กลุ่มอาชีพแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี” ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) เพื่อศึกษาสภาพการดาเนินงานของกลุ่ม แปรรูปปลาบ้านคลองสอง และเพื่อวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการ OTOP ให้มปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธผิ ลมากยิ่งข้นึ โดยมรี ะเบยี บวิธวี ิจยั ดังน้ี 1. หน่วยท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ 2. พนื้ ที่ในการวิจยั 3. ประชากรและกล่มุ เปา้ หมาย 4. เทคนคิ วธิ กี าร และเครอื่ งมอื ท่ีใช้ในเกบ็ รวบขอ้ มลู 5. ข้นั ตอนการเกบ็ รวบรวมข้อมลู 6. การวเิ คราะห์ข้อมลู 7. การนาเสนอผลการวิจยั 3.1 หน่วยในการวิเคราะห์ หน่วยในการวิเคราะห์ในคร้ังน้ี คือ หน่วยระดับกลุ่ม (Group Unit) ได้แก่ กลุ่มแปรรูปปลา บ้านคลองสอง ตาบลบ้านสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี โดยวิเคราะห์สภาการดาเนินงาน ของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง และวิเคราะห์แนวทางการพัฒนากลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง สกู่ ารเปน็ ผู้ประกอบการ OTOP ให้มปี ระสิทธิภาพและประสิทธผิ ลมากขึน้ 3.2 พื้นท่ใี นการวิจยั การวิจัยครั้งนี้ได้เลือกพื้นท่ีศึกษาแบบเจาะจง (Purposive Selection) โดยพื้นที่ดาเนินการ วิจัย คอื หมบู่ ้านคลองสอง หมู่ที่ 8 ตาบลบา้ นสร้าง อาเภอบ้านสร้าง จงั หวดั ปราจนี บุรี ท้งั นี้เนอ่ื งจาก พ้ืนท่ีหมู่บ้านดังกล่าวเป็นท่ีต้ังของกลุ่มอาชีพแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ซึ่งเป็นกลุ่มอาชีพท่ีมีสมาชิก เป็นครัวเรือนท่ีได้เขา้ ร่วมโครงการสัมมาชีพชุมชนในปี 2561 ท่ีประกอบอาชีพเดียวกันได้รวมกลุ่มกัน เพื่อจัดต้ังกลุ่มอาชีพขึ้น และได้รับรางวัลการประกวดกลุ่มสัมมาชีพตัวอย่างปี 2561 อีกท้ังกลุ่ม มีการดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง และได้มีการจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ OTOP ซึ่งกลุ่มแปรรูปปลา บ้านคลองสองถูกจัดกลุ่ม Quadrant อยู่ในกลุ่ม D เป็นกลุ่มท่ีปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานการผลิต

34 สินค้ามีคุณภาพและราคาต่า และผลิตได้ปริมาณน้อย ซ่ึงต้องมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพ่ือให้ผู้ประกอบการ OTOP มีการดาเนินงานของกลุ่มอาชีพให้เกิดผลประสบความสาเร็จ ตามวัตถุประสงค์ร่วมกันของกลุ่ม และทาให้กลุ่มมีความเข้มแข็งสามารถดาเนินการได้ อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ รวมถึงพฒั นาผลติ ภณั ฑใ์ ห้มคี ุณภาพเป็นที่ยอมรบั 3.3 กลุ่มเปา้ หมายและผ้ใู หข้ ้อมลู การคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยคร้ังนี้ ผู้วิจัยใช้การเลือกผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling) คือ คณะกรรมการบริหารกลุ่ม สมาชิกกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง และเจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนอาเภอบ้านสร้าง เน่ืองด้วยคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูลท่ีจะมาเป็นผู้ให้ข้อมูล หลัก (Key Informant) และผู้ให้ข้อมูลเสริม ในเรื่องสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลา บ้านคลองสองมีลักษณะท่ีเฉพาะ ดังน้ันการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง จะทาให้ได้ข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูล ท่ีมีประสบการณโ์ ดยตรงในเรื่องดังกลา่ ว อีกท้งั การที่ผู้ให้ข้อมูลตอ้ งเป็นผู้ทม่ี ีความรู้และประสบการณ์ เกี่ยวกับสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสองที่แตกต่างกัน รวมทั้งทาให้ได้ข้อมูล ท่ีมีความน่าเชื่อถือ เพ่ือตรวจสอบกันเองระหว่างชุดข้อมูลที่ได้มา ที่แสดงถึงความสอดคล้อง หรอื ความแตกตา่ งในแตล่ ะประเดน็ โดยกล่มุ เป้าหมายและผู้ให้ข้อมูลคร้ังนี้แบ่งเปน็ 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informant) หลักเกณฑ์ท่ีใช้ในการเลือกผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยได้กาหนด คณุ สมบัตขิ องผใู้ หข้ อ้ มลู สาหรบั การวิจยั ไว้ ดังน้ี 1) เป็นผู้ท่ีมีความรู้หรือประสบการณ์เก่ียวกับการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลา บ้านคลองสองอย่างลึกซึ้ง โดยมีส่วนร่วนในการก่อต้ังกลุ่ม การวางแผนปฏิบัติงานของกลุ่ม เขา้ รว่ มกิจกรรมของกลุ่มอาชพี อยา่ งต่อเน่ือง 2) ต้องเป็นคนท่ีสามารถให้เวลาสาหรับการสัมภาษณ์ได้อย่างเพียงพอ เน่ืองจาก การสัมภาษณ์ในแต่ละคร้ังมักจะใช้เวลานาน และอาจจะต้องทาการสัมภาษณ์คน ๆ เดียว มากกวา่ 1 คร้ัง 3) ผู้วิจัยเลือกบุคคลที่มีความรู้หรือประสบการณ์ รวมท้ังเป็นผู้ท่ีมีบทบาท ในการดาเนินงานของกลุ่มอาชีพดังกล่าว ท้ังนี้เพ่ือให้ตรงตามประเด็นการวิจัย คาถามการวิจัย และกรอบแนวคิดในการวิจัยในครั้งนี้ และได้ผู้ท่ีมีความรู้ ประสบการณ์ ที่เชย่ี วชาญในประเด็นการศึกษาคร้ังน้ี 4) ผู้วิจัยได้เลือกบุคคลท่ีมีตาแหน่งหน้าท่ีในการบริหารจัดการกลุ่มท่ีแตกต่างกัน เพ่ือให้เห็นประเด็นการดาเนินงานในดา้ นต่าง ๆ อย่างลึกซ้ึง

35 2. ผู้ให้ข้อมูลเสริม หลักเกณฑ์ท่ีใช้ในการเลือกผู้ให้ข้อมูล ผู้วิจัยได้กาหนดคุณสมบัติของผู้ให้ ข้อมูลสาหรบั การวจิ ัยไว้ดังน้ี 1) เป็นผู้ท่ีมีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลา บ้านคลองสอง และมีส่วนร่วมในการดาเนินงานด้านต่าง ๆ ของกลมุ่ คือ ผทู้ ี่เป็นสมาชิกกลุ่ม แปรรปู ปลาบา้ นคลองสอง และเจ้าหนา้ ทพ่ี ัฒนาชมุ ชนอาเภอบา้ นสร้าง 2) ต้องเป็นผู้ที่สามารถให้เวลาสาหรับการสัมภาษณ์ได้อย่างเพียงพอ เพราะในการ สมั ภาษณ์ในแตล่ ะครัง้ มักจะใชเ้ วลานาน 3.4 เทคนคิ วธิ กี าร และเคร่อื งมือที่ใช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล เทคนิคที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคร้ังนี้ คือ การสังเกตการณ์อย่างไม่มีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์เชงิ ลกึ โดยใชเ้ ทคนคิ การสมั ภาษณแ์ บบก่ึงโครงสร้าง ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี 4.1 การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ผู้วิจัยใช้การสังเกตการณ์ร่วมกับการสัมภาษณ์ โดยการสังเกตท่าทาง บุคลิกและลักษณะ การตอบคาถามหรือการให้ข้อมูลของผู้ให้ข้อมูล เพื่อนาไป เช่อื มโยงกับขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการสมั ภาษณ์ 4.2 การสัมภาษณ์โดยใช้เทคนิค การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง โดยมีแนวคาถาม ในการสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยแนวคาถามในการสัมภาษณ์จะใช้ สัมภาษณ์คณะกรรมการบรหิ ารกลมุ่ แปรรูปปลาบา้ นคลองสอง รายละเอียดดงั น้ี 1) ขอ้ มลู ส่วนตัว 2) การดาเนนิ งานของกลมุ่ อาชีพ 3) ความคิดเห็นเก่ียวกับปัญหา ความต้องการ และข้อเสนอแนะเก่ียวกับการพัฒนา กล่มุ แนวคาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์คณะกรรมการบริหารกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ซึง่ ประกอบไปด้วยข้อคาถาม 3 ประเดน็ หลัก ดังนี้ 1. คาถามเก่ียวกับข้อมูลส่วนตัว ประกอบด้วย อายุ ตาแหน่งหน้าที่ในกลุ่มแปรรูปปลา บา้ นคลองสอง และปที ่ตี ารงตาแหนง่ 2. คาถามเก่ยี วกบั การดาเนินงานของกลมุ่ อาชีพ 1) การก่อตงั้ กลุ่ม ประวัตคิ วามเป็นมา - มีความเปน็ มาอย่างไร - มหี น่วยงานใดบ้างสนับสนุนการจดั ตงั้ กลมุ่ อาชพี

36 2) ดา้ นบรหิ ารจดั การกลมุ่ ดา้ นวัตถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายของกลุ่ม - วตั ถุประสงคก์ ารกอ่ ต้ังกลุ่มเปน็ อย่างไร - การกาหนดเป้าหมายของกล่มุ อาชพี เปน็ อย่างไร ดา้ นโครงสร้างของกลุม่ อาชพี - การจัดโครงสร้างกลุม่ เปน็ อย่างไร การแบ่งหน้าท่คี วามรับผิดชอบเป็นอยา่ งไร - กฎระเบยี บ ข้อบังคบั ของกลุม่ เปน็ อยา่ งไร - การวางแผนการผลติ การจาหน่ายเปน็ อย่างไร - การแบ่งปนั ผลประโยชน์ใหแ้ กส่ มาชกิ เปน็ อย่างไร ดา้ นการมสี ่วนร่วมของสมาชิก - ความรว่ มมอื ของสมาชกิ กลุ่มเป็นอย่างไร - สมาชิกกลุ่มมกี ารรว่ มบริหารจดั การหรอื ไม่ อย่างไร - การประสานงานกันในกลุ่มเปน็ อย่างไร - ความขดั แย้งภายในกลุ่มหรือไม่ วธิ แี กไ้ ขเป็นอย่างไร ดา้ นเงนิ ทุนในกลุม่ - แหลง่ เงนิ ทุนสนับสนนุ - การระดมทุนจากสมาชิกกลุ่ม - การทาบญั ชี การตรวจสอบบญั ชี - ปญั หาและอปุ สรรค 3) ดา้ นผลผลิต ผลงานของกลมุ่ - ผลติ ภัณฑ์ของกล่มุ มีอะไรบ้าง - ชว่ งวันและเวลาในการผลิต - ผลผลติ ตอ่ เดือน กกี่ โิ ลกรมั ตอ่ เดือน - สถานทผี่ ลิต - การจัดหาวัตถุดิบ แหล่งวตั ถุดบิ ทีใ่ ช้ในการแปรรูป - ข้นั ตอนการผลิต - เทคโนโลยีทีใ่ ชใ้ นการผลิต - ผลติ ภณั ฑ์ บรรจุภัณฑ์ และการเพิ่มมลู คา่ ผลติ ภัณฑ์เป็นอย่างไร - ปัญหาและอุปสรรค

37 4) ด้านการตลาด - แหลง่ ขายสนิ ค้าหลัก - การกาหนดราคา - กลุม่ ลูกคา้ - วิธกี ารขายและการหาตลาด - วิธีการและชอ่ งทางการประชาสมั พันธ์สนิ ค้า - ปญั หาและอุปสรรค 3. การได้รบั การสนบั สนุนจากภาครัฐและเอกชน - หน่วยงานทเ่ี ข้ามาสนับสนุนกลุ่ม มีหนว่ ยงานใดบ้าง - หนว่ ยงานภายนอกเข้าสนบั สนนุ เรื่องอะไรบา้ ง 4. คาถามเกี่ยวกับความตอ้ งการในการพฒั นากลุ่ม - มคี วามตอ้ งการในการพัฒนาดา้ นการบริหารจัดการหรอื ไม่ อยา่ งไร - มคี วามต้องการในการพัฒนาดา้ นการผลผลิต ผลิตภัณฑ์หรือไม่ อย่างไร - มคี วามต้องการในการพฒั นาด้านการตลาดหรอื ไม่ อย่างไร แนวคาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชนอาเภอบ้านสร้าง ซ่ึงประกอบไปด้วย ข้อคาถาม 3 ประเด็นหลกั ดงั นี้ 1. คาถามเก่ียวกับการการก่อตั้งกลุ่มอาชีพแปรรูปปลาบ้านคลองสอง หมู่ท่ี 8 ตาบลบ้าน สรา้ ง อาเภอบา้ นสรา้ ง จงั หวัดปราจีนบรุ ี 1) หน่วยงานพัฒนาชุมชนไดส้ นับสนนุ การจัดตั้งกลมุ่ แปรรปู ปลาบ้านคลองสองในเร่ืองใดบา้ ง สนบั สนุนอยา่ งไร 2. คาถามเกี่ยวกบั แนวทางการพฒั นากลุ่มอาชีพสกู่ ารเป็นผู้ประกอบการ OTOP 1) ทา่ นคดิ วา่ การพัฒนาจากกลุม่ อาชพี สกู่ ารเปน็ ผู้ประกอบการ OTOP จะทาได้อยา่ งไร มแี นวทางใดบ้าง

38 แนวคาถามท่ีใช้ในการสัมภาษณ์สมาชิกกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ซ่ึงประกอบไปด้วย ขอ้ คาถาม 4 ประเด็นหลกั ดังนี้ 1. คาถามเก่ยี วกับขอ้ มูลสว่ นตัว ประกอบด้วย อายุ ปีท่ตี ารงตาแหนง่ 2. คาถามเกย่ี วกบั การดาเนนิ งานของกลุ่มอาชพี 1) ด้านบริหารจดั การกลุ่ม ดา้ นวัตถุประสงค์และเปา้ หมายของกลุม่ - วตั ถปุ ระสงคก์ ารกอ่ ตงั้ กลมุ่ เปน็ อยา่ งไร - การกาหนดเปา้ หมายของกลมุ่ อาชพี เปน็ อยา่ งไร ด้านโครงสรา้ งของกลุ่มอาชีพ - การจัดโครงสรา้ งกล่มุ การแบง่ หน้าที่ความรับผดิ ชอบเป็นอย่างไร - กฎระเบียบ ขอ้ บังคบั เปน็ อย่างไร - การวางแผนการผลติ การจาหน่ายเป็นอยา่ งไร - การแบ่งปนั ผลประโยชน์ให้แก่สมาชกิ เปน็ อยา่ งไร ด้านการมสี ่วนรว่ มของสมาชกิ - วิธกี ารเขา้ ร่วมเปน็ สมาชิกเป็นอย่างไร - ความรว่ มมอื ของสมาชกิ กลุ่มเปน็ อยา่ งไร - การรว่ มบรหิ ารจดั การเปน็ อยา่ งไร - การประสานงานกนั ในกลุม่ เปน็ อยา่ งไร - ความขดั แยง้ ภายในกลุ่ม วิธแี ก้ไขเปน็ อย่างไร ด้านเงนิ ทุนในกลมุ่ - การทาบัญชี การตรวจสอบบัญชีเป็นอย่างไร - การระดมทนุ จากสมาชกิ กลุ่มเปน็ อยา่ งไร - ปญั หาและอปุ สรรค 2) ดา้ นผลผลติ ผลงานของกล่มุ - ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมีอะไรบ้าง - ชว่ งวนั และเวลาในการผลติ เปน็ อย่างไร - ผลผลิตตอ่ เดอื น - สถานที่ผลิต - การจดั หาวตั ถดุ บิ แหล่งวัตถุดบิ ทีใ่ ชใ้ นการแปรรูป

39 - ข้ันตอนการผลติ - เทคโนโลยที ีใ่ ชใ้ นการผลติ - ผลิตภัณฑ์ บรรจภุ ณั ฑ์ และการเพ่ิมมูลคา่ ผลิตภัณฑเ์ ปน็ อย่างไร 3) ด้านการตลาด - แหล่งขายสินค้าหลกั - การกาหนดราคา - กล่มุ ลูกคา้ - ปญั หาและอปุ สรรค 3. ความคดิ เหน็ เกี่ยวกบั ความต้องการในการพัฒนากลมุ่ - มีความต้องการในการพัฒนาด้านการบริหารจดั การหรือไม่ อยา่ งไร - มคี วามต้องการในการพัฒนาด้านการผลผลิต ผลิตภัณฑห์ รอื ไม่ อยา่ งไร - มคี วามตอ้ งการในการพฒั นาดา้ นการตลาดหรอื ไม่ อย่างไร 3.5 ขน้ั ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มลู 3.5.1 การศึกษาค้นควา้ จากเอกสาร (Documentary Survey) ในการวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยได้เริ่มต้นการศึกษาจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นการศึกษาค้นคว้าข้อมูลจากเอกสารงานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง เชน่ รายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ เอกสารจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ข้อมูลกลุ่มอาชีพท่ีมาจากโครงการสัมมาชีพ ชุมชน เอกสารของสานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดท่ีเกี่ยวกับการข้ึนทะเบียนจัดตั้งกลุ่มอาชีพ เพื่อเป็นข้อมูลเบ้ืองต้นให้ทราบถึงองค์ความรู้เก่ียวกับกลุ่มอาชีพท่ีเกิดจากการพัฒนาตามโครงการ สัมมาชีพชุมชน เพ่ือนามาเป็นแนวทางในการศึกษารวมท้ังพฒั นากรอบแนวคดิ ในการศกึ ษาต่อไป 3.5.2 การเกบ็ ข้อมลู สนาม จากการที่ผู้วิจัยได้กาหนดขอบเขตของคุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูลแล้ว จึงได้ทาการคัดเลือก ผใู้ หข้ ้อมูลเบื้องต้น โดยอาศัยบุคคลท่มี ีความร้หู รอื ประสบการณเ์ กี่ยวกับสภาพการดาเนนิ งานของกลุ่ม แปรรูปปลาบ้านคลองสองอย่างลึกซ้ึง โดยมีระยะเวลาของการอยู่ในวงการที่ยาวนาน จนสามารถ รู้เร่ืองราวได้ลึกพอ ผู้วิจัยจะมีการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ให้ข้อมูล โดยเร่ิมแรกผู้วิจัยได้มีการแนะนา ตัวกับผู้ให้ข้อมูล ช้ีแจงวัตถุประสงค์ของการวิจัย และสอบถามถึงความสะดวกของการให้ข้อมูล ผู้วิจยั คานงึ ถงึ จรรยาบรรณในการทาวจิ ัยที่จะตอ้ งใหค้ วามสาคัญกบั สทิ ธิผูใ้ ห้ข้อมูลในความเป็นส่วนตัว ของผู้ให้ข้อมูล รวมไปถึงการเก็บรักษาข้อมูลของผู้ให้ข้อมูลเป็นความลับ โดยผู้วิจัยได้ทาการชี้แจง วัตถุประสงค์ในการทาวิจัยในคร้ังนี้ให้กับผู้ให้ ข้อมูลทุกคนได้ทราบถึงขอบเขตการศึกษา

40 เพื่อสร้างความม่ันใจและความสบายใจให้แก่ผู้ให้ข้อมูลว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูก ใช้เพื่อการทาการวิจัย เท่านั้น และเก็บไว้เป็นความลับ เพ่ือไม่ให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้ให้ข้อมูล โดยในการนาเสนอข้อมูล ผู้ วิ จั ย จ ะ ใ ช้ น า ม ส ม ม ติ ใ น ก า ร ก ล่ า ว ถึ ง ผู้ ใ ห้ ข้ อ มู ล แ ต่ ล ะ ค น เ พื่ อ ไ ม่ ใ ห้ เ กิ ด ค ว า ม เ สื่ อ ม เ สี ย หรือเกดิ การพาดพงิ ไปยังผูใ้ ห้ขอ้ มูลภายหลังการวิจยั หากผ้ใู หข้ อ้ มูลสะดวกผู้วิจัยจงึ ขอสัมภาษณ์ตอ่ ไป ระหว่างการสัมภาษณผ์ ูว้ ิจัยมกี ารวิเคราะห์ข้อมูลไปดว้ ย และพยายามสร้างบรรยากาศให้การ พดู คุยเป็นกันเอง เน่ืองจากผู้วิจัยไม่รู้จักกับผู้ให้ข้อมูลเป็นการส่วนตัว อีกท้ังเม่ือสังเกต แววตา สีหน้า ทา่ ทางของผู้ให้ขอ้ มูล โดยระหวา่ งการสัมภาษณ์จะมกี ารสรา้ งความสมั พันธ์อันดอี ยู่เสมอ ซึ่งจะชว่ ยให้ ฝ่ายผู้ให้ข้อมูลรู้สึกสบาย ม่ันใจ วางใจ และกล้าที่จะเปิดเผยเรื่องราวตลอดจนความคิดของตน ท่ีมีเกี่ยวกับสภาพการดาเนินงานของกลุ่มแปรรูปปลาบ้านคลองสอง ทั้งนี้เม่ือผู้ให้ข้อมูลเกิดความ ไว้วางใจในผู้สัมภาษณ์มากเท่าใดก็จะทาให้ได้ข้อมูลท่ีเป็นจริงมากเท่านั้น และช่วยให้ผู้วิจัยกับผู้ให้ ข้อมูลสามารถแลกเปล่ียนคาถามคาตอบซ่ึงกันและกัน ทานองเดียวกันกับการเจรจาต่อรอง เพ่ือร่วมกันสร้างข้อมูลหรือความหมายข้ึนมา โดยมีการต้ังคาถามที่เข้าใจง่าย เหมาะสมกับผู้ให้ข้อมูล แต่ละคน และทาให้การสัมภาษณ์ดาเนินไปแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งจะทาให้ผู้ให้ข้อมูลเกิดความรู้สึก สนุก และกระตือรอื ร้นทีจ่ ะรว่ มมอื ดว้ ยการเปดิ เผยประสบการณ์ และความคิดเหน็ 3.6 การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยได้ใช้เวลาในการประมวลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล โดยเริ่มตั้งแต่การตั้งประเด็น การวิจัย คาถามการวิจัย และวัตถุประสงค์การวิจัย โดยได้มีการปรับเปล่ียนเพื่อให้ตอบประเด็น คาถามการวิจัยได้อย่างครอบคลุม และชัดเจน จากนั้นจึงได้ทาการทบทวนวรรณกรรม ซึ่งเร่ิมจาก การทบทวนเอกสารทุติยภูมิตามท่ีได้กล่าวมาข้างต้น เพ่ือเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ทราบถึงองค์ความรู้ เกี่ยวกับกลุ่มอาชีพที่เกิดจากการพัฒนาตามโครงการสัมมาชีพชุมชน เพื่อนามาเป็นแนวทาง ในการศึกษาและใช้เป็นแนวทางในการพัฒนากรอบแนวคิดในงานวิจัย รวมท้ังนาไปใช้ในการสร้าง แนวคาถามในการสัมภาษณ์ จากนั้นจึงสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัยและนาไปตรวจสอบ วิเคราะห์ เพิ่มเติม เม่ือผ่านการตรวจสอบและวิเคราะห์แล้วทางผู้วิจัยได้นามาปรับเปลี่ยนกรอบแนวคิด ในการวิจัยเพ่ิมเติม เพื่อให้สามารถตอบคาถามการได้อย่างครอบคลุมและตรงตามวัตถุประสงค์ การวิจัย จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ่งในการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัย ได้ลงพืน้ ที่จริงเพ่ือเกบ็ ขอ้ มลู กบั คณะกรรมการบริหารกลุ่ม และสมาชิกกลมุ่ แปรรูปปลาบา้ นคลองสอง โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างร่วมกับการสังเกตการณ์ขณะท่ีอยู่ในพ้ืนที่ ซึ่งในระหว่าง การสัมภาษณ์ก็ได้มีการวิเคราะห์ภายในสนาม อีกท้ังหลังจากการสัมภาษณ์ก็ได้มีการตรวจสอบ

41 ความครบถ้วนของข้อมูลตามประเด็นคาถาม เพ่ือสอบถามเพ่ิมเติมในกรณีท่ีข้อมูลเกิดความตกหล่น จากน้ันจึงเข้าสู่กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถสรุปการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นข้ันตอน (นันทน์ ภสั ธงฤทธิ์ และคณะ, 2560) ได้ดังน้ี ขัน้ ตอนท่ี 1 การตรวจสอบความถกู ตอ้ งของขอ้ มูลดบิ อา่ นข้อมูลดบิ ที่ไดจ้ ากสนาม ตรวจสอบ ข้อมูล เพ่ือดูการตกหล่นของข้อมูลและตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล จากนั้นทา Fine Note เพื่อดคู วามสอดคลอ้ งของข้อมูลจากกรณีศกึ ษาท้งั หมด ขั้นตอนที่ 2 การจัดกลุ่มข้อมูล โดยการให้รหัสข้อมูล (Coding) เป็นจัดหมวดหมู่ของข้อมูล โดยการให้รหัสข้อมูลด้วยการจัดกลุ่มข้อมูล เพื่อให้รู้ว่าข้อความแต่ละชุดเก่ียวข้องกันอย่างไร และเพ่ือความสะดวกในการค้นหาข้อมูลซ่ึงการเชื่อมโยงข้อมูลและตีความข้อมูลมีกรอบของการให้ รหัสข้อมูลจากคาถามการวิจัย วัตถุประสงค์การวิจัย การทบทวนวรรณกรรมและเอกสารงานวิจัย ท่ีเกี่ยวข้อง ผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูลหลัก ประสบการณ์ของผู้วิจัย และจากบันทึกสนาม โดยมีขั้นตอน การจัดหมวดหมู่ข้อมูลคือ การใส่รหัสแบบเปิด (Open Coding) โดยการอ่านข้อมูลที่ได้มาจากสนาม แล้วจับประเด็น และแปลงข้อมูลดิบให้เป็นแนวคิดเบ้ืองต้น และเช่ือมโยงข้อมูลหรือกลุ่มข้อมูล (Axial Coding) เชื่อมโยงแนวคิดเบื้องต้นท่ีจัดหมวดหมู่ในการใส่รหัสแบบเปิด ให้อยู่ในกลุ่มแนวคิด ใหญ่หรือเรียกกวา่ การจัดกลุ่มขอ้ มูล ข้ันตอนที่ 3 การเลือกรหัส (Selective Coding) เป็นการวิเคราะห์เชื่อมโยงข้อมูล ผ่านการวิเคราะห์เปรียบเทียบ และโยงความสัมพันธ์เพ่ือหาสาระของเน้ือหาท้ังหมดในแต่กรณีศึกษา โดยนาข้อมูลทไ่ี ด้จากการจดั กลมุ่ ข้อมูลมาลงในตารางเปรยี บเทียบ เพ่อื ใชเ้ ป็นแนวทางในการวิเคราะห์ ข้อมูล ข้ันตอนที่ 4 การหาแบบแผน (Pattern) โดยหาแบบแผนของข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ เปรียบเทียบเชื่อมโยง โดยการนาข้อมูลแต่ละชุดมาดูความเหมือนและความแตกต่าง จากน้ันทาการ สรุปเพือ่ ใหเ้ ห็นถงึ แบบแผนของปรากฏการณ์ ข้ันตอนท่ี 5 ขยายขอบข่ายความเชื่อมโยง เพื่อให้เห็นภาพรวมของปรากฏการณ์ที่ศึกษา โดยเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของแบบแผนต่าง ๆ เพ่ือให้เห็นถึงแนวโน้มของปรากฏการณ์ท่ีศึกษา และสอดคล้องกับคาถามการวิจัยและวัตถุประสงค์การวิจัย จากนั้นนาข้อมูลมาวิเคราะห์อภิปราย ตามหลังแนวคิดทฤษฎีท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรม และทาการวิเคราะห์ซ้า ( Iterative) ซ่ึงผู้วิจัยจะพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ได้จากสนาม และนาข้อมูลท่ีได้มาสรุปผลโดยอ้างอิงตามหลัง แนวคิดและทฤษฎี และมีการสนับสนุนข้อมูลให้เกิดความน่าเชื่อถือจากการอ้างองิ คาบอกเล่าของผู้ให้ ข้อมูล

42 ข้นั ตอนที่ 6 การตีความหมายและหาความหมายหรืออธิบายแบบแผนความสัมพันธ์ เร่มิ จาก การหาแบบแผน (Patterns Matching) โดยการทาตารางการวิเคราะห์การตีความในแนวนอน เพื่อดูปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนซ้า ๆ และจัดลาดับของเหตุการณ์ จากนั้นหาคาอธิบาย (Explanation Building) แบบแผนท่ีศึกษา โดยระดับแรกดูคาอธิบายที่ได้จากผู้ให้ข้อมูลทัศนะคนใน (Emic View) เป็นการใช้แนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ มาอธิบายปรากฏการณ์และการวิเคราะห์โดยแบ่งเวลาเป็นช่วง (Time Series Analysis) ข้ันตอนท่ี 7 หาข้อสรุปเป็นสาระหลักของผลการวิเคราะห์ตีความและหาความหมาย เพอ่ื นาเสนอผลการวิจัยต่อไป 3.7 การนาเสนอผลการวจิ ยั การนาเสนอผลการวิชัยเชิงคุณภาพใช้การพรรณนาแบบวิเคราะห์ (Description Analysis) เพ่ือให้เกิดความเข้าใจในรายละเอียด ผู้วิจัยใช้การเช่ือมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลภาคสนามร่วมกับ ข้อมูลจากเอกสารท่ีได้จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง และใช้ตารางข้อมูล ประกอบการอธิบาย ซ่งึ การนาเสนอผลการวิจัยไดเ้ ป็นไปตามกรอบแนวคิดในการวิจัย และทฤษฎีท่ไี ด้ ทาการทบทวนและนาข้อมูลมาสรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ท้ังยังมีการอ้างอิงคาสนับสนุน จากผู้ให้ขอ้ มูล