หนว่ ยที่ 1 บทนำ ผ้ชู ่วยศำสตรำจำรย์ ดร.อภิญญำ วงศ์พิรยิ โยธำ รองศำสตรำจำรย์ ดร.ดรุณี รจุ กรกำนต์ ผลกำรเรียนรู้ นสิ ติ มคี วามรู้ความเข้าใจเกยี่ วกบั ความหมายของการวิจยั ความสาคญั ของงานวิจยั ในการ พยาบาล จดุ ประสงค์ของการวจิ ัย ชนิดของการวจิ ยั ขัน้ ตอน/กระบวนการวจิ ัย และจริยธรรมการวิจยั และ จรรยาบรรณของนกั วิจัย 1.1 ควำมหมำยของกำรวิจัย การวิจยั หมายถึง การค้นคว้าอย่างเปน็ ระบบและมีแบบแผนเพือ่ ตอบคาถามหรือแกป้ ัญหา ผลลพั ธ์สุดทา้ ยของการวจิ ยั คือการพัฒนา การกลัน่ กรอง และการขยายองคค์ วามรู้ให้มากขึ้น (Polit & Beck 2016) การวจิ ยั หมายถึง การการคว้าอย่างแข็งแกร่งทางวชิ าการอยา่ งเป็นระบบ หรอื การค้นหาความ จรงิ เพ่ือไดค้ วามรูท้ ่ถี ูกตอ้ ง เท่ียงตรง มีการกลน่ั กรององค์ความร้ทู ่ีมอี ยจู่ รงิ และการสร้างองค์ความรูใ้ หม่ (Grove & Burn, 2017; Gray, Grove, & Sutherland, 2017) การวจิ ัย หมายถึง การสรา้ งความรอู้ ย่างมีระบบและได้หลายวิธี ทีศ่ กึ ษาถงึ พฤติกรรม ประสบการณ์ และส่ิงแวดลอ้ มของมนุษย์ มีกระบวนการสร้างความรูท้ ่ีชดั เจนและเฉพาะทีท่ าใหเ้ กิดความ เขา้ ใจ ความมีเหตแุ ละผล การทดสอบเพอ่ื ยนื ยนั และการมปี ระโยชน์ (Lobiondo-Wood & Harber, 2018) 1.2 ควำมหมำยของกำรวิจัยทำงกำรพยำบำล การวิจยั ทางการพยาบาล หมายถึง การออกแบบการคน้ คว้าอยา่ งเป็นระบบเพ่ือสรา้ งหลักฐานเชิง ประจักษ์ท่มี คี ุณคา่ และเช่อื ถือไดเ้ กยี่ วกับประเดน็ ทีส่ าคญั ของวชิ าชีพพยาบาล รวมถงึ การปฏบิ ัตกิ าร การศึกษา การบริหาร และสารสนเทศทางการพยาบาล (Polit & Beck, 2016) การวจิ ัยทางการพยาบาล หมายถงึ การกระบวนการค้นหาองค์ความรู้อยา่ งเป็นระบบดว้ ยวิธกี าร ท่ีเขม้ แข็งทางวิชาการเพื่อไม่ใหเ้ กดิ ความลาเอยี ง ให้ได้คาตอบทถี่ ูกต้องและมีคุณคา่ และใช้แก้ไขปัญหา ทางการพยาบาล (Houser, 2017) การวจิ ัยทางการพยาบาล หมายถงึ การค้นหาองคค์ วามรู้โดยใชก้ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ท่ี ไดม้ าและกลั่นกรององคค์ วามรทู้ ถี่ ูกต้อง และสร้างองค์ความรทู้ ง้ั ทางตรงและทางอ้อมทม่ี ีผลตอ่ การ ปฏิบตั กิ ารพยาบาล การวจิ ัยทางการพยาบาลเป็นหวั ใจสาคญั ของการนาหลักฐานเชิงประจกั ษ์มาใชใ้ นการ พยาบาล (Grove & Burn, 2017)
2 การวิจัยทางการพยาบาล หมายถึง การค้นหาองค์ความรู้ท่ีสาคัญ อยา่ งเปน็ ระบบและมีความ แขง็ แกร่งทางวิชาการเพ่ือใหไ้ ด้ปรากฏการณ์ทางการพยาบาล (Lobiondo-Wood & Harber, 2018) 1.3 ควำมสำคัญของกำรวิจัยในกำรพยำบำล การวิจัยได้รบั การบูรณาการกับการพยาบาล ทาใหว้ ชิ าชีพการพยาบาลไดร้ ับการพัฒนา มีการ กลัน่ กรององค์ความร้ใู ชใ้ นการดแู ลผู้ปว่ ย การศึกษาพยาบาล และการบรหิ ารการพยาบาลอยา่ งมี ประสิทธิภาพ การวิจัยส่งเสริมให้มีการนาหลักฐานเชิงประจักษ์ไปใช้ในการพยาบาล สรา้ งความนา่ เชอ่ื ถือ ให้กบั วิชาชพี ชว่ ยเตรียมแนวทางสาหรบั การปฏิบตั ิการพยาบาล และชว่ ยให้เกดิ การใช้จา่ ยในการดูแล ผปู้ ่วยอยา่ งมีประสิทธิภาพ สรุปการวิจยั มีความสาคัญตอ่ วิชาชพี พยาบาลไดด้ ังนี้ (Sharma, 2014). 1. การวจิ ยั ทางการพยาบาลช่วยใหเ้ กดิ การพฒั นาองค์ความรู้ใหม่และการนาความรจู้ ากการ วิจยั ไปใชใ้ นการพฒั นาการดูแลผ้ปู ่วยอย่างต่อเนื่อง 2. พยาบาลสามารถนาความร้จู ากงานวจิ ยั มาตัดสินใจในการปฏบิ ตั ิ และการมีปฏสิ ัมพนั ธ์ กับผปู้ ่วย ครอบครัว และชมุ ชน 3. ในท่ามกลางการเปลย่ี นแปลงของโลกอยา่ งรวดเรว็ พยาบาลต้องการดูแลท่เี ฉพาะและ ตัดสนิ ใจในการใช้หลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวจิ ยั มาใช้ในคลนิ ิกได้อยา่ งเหมาะสม เพื่อลดค่าใชจ้ ่าย และ เกดิ ผลลพั ธ์ท่ีดดี า้ นสขุ ภาพของผู้ปว่ ย องค์กรสขุ ภาพ และเกิดผลดีต่อวชิ าชีพพยาบาล 4. จากความก้าวหน้าทางวทิ ยาศาสตร์การแพทยแ์ ละเทคโนโลยใี หม่ ๆ พยาบาลต้องทาวิจัย เพ่อื เรียนรู้เก่ียวกบั ประสทิ ธภิ าพของเทคโนโลยีท่จี ะทาให้เกิดผลลพั ธ์ทด่ี ีด้านสุขภาพของผู้ปว่ ย 5. การวจิ ยั ทางการพยาบาลมีความจาเปน็ สาหรบั พยาบาลเพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจในมิติ หลาย ๆ มติ ขิ องวิชาชพี พยาบาล 6. การวิจยั ช่วยใหพ้ ยาบาลศกึ ษาสถานการณ์ท่ีเฉพาะทางการพยาบาลท่ียงั มีการศึกษานอ้ ย ใช้อธิบายปรากฏการณท์ ตี่ ้องนาไปใชใ้ นการวางแผนการดูแลผู้ปว่ ย ใชใ้ นการทานายผลลัพธ์ และใช้เพื่อ การสง่ เสริมพฤติกรรมทตี่ ้องการของผปู้ ว่ ย 1.4 จดุ ประสงคข์ องกำรวิจัย การพฒั นาองค์ความร้หู รือทฤษฎีโดยผ่านการวิจยั มจี ุดประสงค์ของการทาวิจัย 4 ระดับ คือ (McKenney & Reeves, 2019) 1) เพื่อการบรรยาย (Descriptive purpose): เป็นการวจิ ัยเพื่อบรรยายปรากฏการณ์ท่เี กิดขึ้น จรงิ ตามธรรมชาติ 2) เพื่อการอธบิ าย (Explanatory purpose): เป็นการวจิ ัยเพือ่ อธิบายความสมั พนั ธ์ระหว่าง แนวคิดหรือตัวแปรในปรากฏการณท์ ี่มีอยู่จรงิ 3) เพ่ือการทานาย (Predictive purpose): เป็นการวจิ ยั เพ่ือทดสอบทฤษฎีถึงปจั จยั สาเหตเุ พ่อื ทานาย/พยากรณผ์ ลทีเ่ กิดตามมาภายใตส้ ถานการณห์ รือสิ่งแวดล้อมบางอย่าง
3 4) เพ่ือการกาหนดทฤษฎีหรือแนวทางในการปฏบิ ัติ (Prescriptive purpose): เป็นการวิจยั ทมี่ ี การทดลอง โดยผู้วจิ ัยไดก้ าหนดแนวทางต่าง ๆหรือแนวปฏบิ ตั ิตา่ ง ๆ เพือ่ นาไปทดลอง เมอ่ื ไดผ้ ลลพั ธท์ ่ีดี จะนาแนวทางน้นั มาใช้ในการปฏบิ ตั ิต่อไป เช่น แนวปฏบิ ัติการพยาบาลเพ่ือป้องกนั การติดเช้ือ 1.5 ชนิดของกำรวิจัย (Types of research) การวจิ ยั สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 แขนงใหญ่ คือ 1) การวจิ ัยเชิงคุณภาพ และ 2) การวิจัยเชิง ปริมาณ 1.5.1 กำรวิจัยเชิงคณุ ภำพ (Qualitative research) เป็นการวิจัยมุ่งเพ่ือเขา้ ใจปรากฏการณ์ ประสบการณ์ วัฒนธรรม และการสรา้ งองค์ ความรู้/ทฤษฎีจากปรากฏการณต์ า่ ง ๆ โดยรวบรวมข้อมูลจากผ้มู ีสว่ นร่วมในการวิจัย (Participant) ใน บริบทใดบรบิ ทหนึ่งท่ผี ้วู ิจยั สนใจ ผูว้ ิจัยเปรียบเสมือนเครือ่ งมอื ในการวจิ ยั เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการ สมั ภาษณ์เชิงลึก การสังเกต การบันทกึ ภาคสนาม การสนทนากล่มุ และนาขอ้ มลู มาวิเคราะหเ์ นื้อหา ตีความ เพ่ืออธิบายปรากฏการณ์ที่ผู้วิจยั สนใจศกึ ษาอยา่ งลึกซงึ้ มากกว่าการวิเคราะหเ์ ป็นตัวเลข (Merriam. & Grenier, 2019) 1.5.2 กำรวิจัยเชิงปรมิ ำณ (Quantitative research) เป็นการวิจัยท่วี เิ คราะหข์ ้อเปน็ ตัวเลข เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ หรอื แบบสงั เกต และให้คะแนนสิง่ ท่วี ัดเปน็ ตวั เลข แล้วนาคา่ ที่ไดม้ าคานวณ หาค่าทางสถิติ เชน่ จานวน ร้อยละ ค่าเฉลยี่ ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน หรือมีการทดสอบสมมุติฐาน เป็นตน้ ตัวอย่างรูปแบบวจิ ัยเชิงปรมิ าณเชน่ การวิจัยแบบบรรยาย การวจิ ัยหาความสมั พนั ธ์ การวิจยั เชงิ ทานาย และการวิจัยเชิงทดลอง/การวจิ ยั ก่ึงทดลอง เป็นตน้ (Grove & Burn, 2017) งานวจิ ัยแบบบรรยาย เป็นวจิ ัยที่ออกแบบเพื่อ สงั เกต อธิบาย ลักษณะของสถานการณ์หรอื ปรากฏการณ์ทเ่ี กิดตามธรรมชาติโดยไม่มกี ารจัดกระทากับกลุม่ ตวั อยา่ ง เชน่ การศกึ ษา “พฤติกรรมการ ดแู ลสุขภาพตนเองของผปู้ ่วยโรคเบาหวานท่ีควบคุมระดับน้าตาลในเลอื ดไมไ่ ด้” งานวจิ ยั แบบหาความสมั พันธ์ เปน็ การศึกษาเพือ่ ทดสอบหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างตัวแปรท่ี สนใจ 2 ตวั หรอื มากกว่า งานวิจยั แบบนี้ผ้วู จิ ัยไมไ่ ดจ้ ัดกระทากบั ตัวแปรหรือกลุ่มตัวอย่าง สว่ นใหญ่เป็น การทดสอบทฤษฎีทก่ี ล่าวถึงความสมั พันธ์ของมโนทัศน์ (Concept) เชน่ การศกึ ษา “ความสมั พันธ์ ระหวา่ งความรู้ พฤตกิ รรมการดูแลตนเองกบั ระดบั ความดันโลหติ ของผูป้ ว่ ยโรคความดันโลหิตสงู ชนิดไม่ ทราบสาเหตุ” งานวิจยั เชิงทานาย เปน็ การศึกษาเพื่อทดสอบว่าตัวแปรหน่ึงมีผลต่อตัวแปรหนึง่ หรือไม่ ซึ่ง อาจมตี ัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระหลาย ๆ ตวั ทจี่ ะใช้ทานายตัวแปรตาม ซึ่งมาจากทฤษฎีที่กลา่ วไว้หรอื ปรากฏการณต์ ่าง ๆ จากงานวิจยั ตัวอยา่ งเช่น การศกึ ษา “ปจั จยั ทานายพฤติกรรมการป้องกนั ภาวะ นา้ ตาลในเลือดสงู ของผูส้ งู อายุที่ เป็นโรคเบาหวานที่ไมส่ ามารถควบคมุ ระดบั นา้ ตาลในเลือด” ปัจจยั ทานายในเรอื่ งน้มี หี ลายตัว เช่น เพศ อายุ ระดบั การศกึ ษา รายได้ ความเชอื่ ดา้ นสุขภาพ เป็นต้น
4 งานวจิ ัยเชงิ ทดลอง เปน็ การศกึ ษาโดยมีการทดลอง การวจิ ัยเชิงทดลองต้องมีองคป์ ระกอบ ครบ 3 องค์ประกอบดังนี้ 1) มกี ารจดั กระทาตอ่ กลมุ่ ตวั อย่าง เช่น มโี ปรแกรมการสอน วธิ ีการฝกึ การผ่อน คลาย โปรแกรมส่งเสริมการรับรู้สมรรถนะแห่งตนเพื่อจดั การอาการ 2) มีกลุม่ เปรียบเทียบหรอื กลมุ่ ควบคุม ทใ่ี ชเ้ ปรียบเทยี บผลกับกลุ่มทดลอง และ 3) มกี ารสุ่มตวั อย่าง ส่วนการวิจยั ก่งึ ทดลองอาจขาดกลุ่ม เปรยี บเทียบหรือไมม่ ีการสุ่ม เชน่ การศึกษา “ผลของโปรแกรมการจัดการความเครียดต่อความเครียดของ ผู้สงู อายุ” 1.6 ขน้ั ตอน/กระบวนกำรวจิ ัย ขน้ั ตอนหรือกระบวนการวิจยั เปน็ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเปน็ แนวทางใหผ้ ู้วิจัยได้ ทางานวิจัยอย่างเป็นระบบ การวจิ ัยเชงิ ปรมิ าณและเชิงคณุ ภาพทม่ี ขี นั้ ตอนการทาวจิ ัยทีแ่ ตกต่างกัน ในท่ีนี้ จะกลา่ วถึงขนั้ ตอนการทาวจิ ัยเชิงปริมาณมีขัน้ ตอนหลัก ๆ สรุปได้ 13 ขนั้ ตอน ดงั นี้ (บุญใจ ศรสี ถติ นรา กรู , 2553, Grove, Gray, & Burn, 2015) 1. กำรกำหนดปญั หำวิจัยและวัตถุประสงค์กำรวิจัย (Research problem and purpose) ปญั หาการวิจัยเปน็ ประเดน็ ท่ผี ู้วิจัยใหค้ วามสนใจและยงั มีชอ่ งวา่ งของความรู้ทีต่ ้องการ ศกึ ษา การกล่าวถึงปัญหาวิจยั (Problem statement) ต้องระบุถึงประชากรเป้าหมายที่ต้องการศึกษาให้ ชัดเจน ในข้นั ตอนนีผ้ วู้ ิจัยตอ้ งระบวุ ตั ถปุ ระสงค์ของการวิจยั ท่ีสอดคล้องกบั ปญั หาการวจิ ยั และระบุ เปา้ หมายทีเ่ ฉพาะของการศกึ ษา (Grove, Gray, & Burn, 2015) ผู้วจิ ัยตอ้ งทาปรากฏการณป์ ญั หาการวจิ ัยให้ชัด ตั้งแต่สถิติของกลุ่มเป้าหมายระดับโลก ชาติ จงั หวัด และสถานบริการหรือสถานทเ่ี ก็บข้อมูล มีการระบุผลกระทบหากปญั หาน้นั ไมไ่ ดร้ ับการแก้ไข ดว้ ยการวจิ ยั ตลอดจนหางานวจิ ยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งเพ่ือหาช่องวา่ งขององค์ความรู้เพอ่ื นามาใช้ในการทาวิจัย ตัวอยำ่ ง: ผู้วิจัยจึงตอ้ งการศกึ ษาต้องการศกึ ษาการรับรอู้ ันตรายของโรคความดนั โลหติ สงู และการปฏิบัติตัวของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สงู และการปฏบิ ัติตัวของผูป้ ว่ ยโรคความดันโลหติ สงู ปญั หาการวิจยั พบวา่ มีผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสงู ท่ีควบคุมความดนั โลหิตไม่ไดเ้ พิ่มข้ึน และเป็นโรคหลอด เลอื ดสมองเพ่ิมมากขึ้น จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าผู้ป่วยไมป่ ฏิบตั ติ ัวตามคาแนะนา ของทีมสขุ ภาพ รับประทานยาไมส่ มา่ เสมอ รับประทานอาหารรสเค็ม เนื่องจากไมม่ ีอาการผิดปกติและเช่อื วา่ โรคความดัน โลหิตไมท่ าให้เกิดอันตราย วตั ถุประสงค์ของการวิจยั : เพอ่ื ศกึ ษาการรับร้อู นั ตรายของโรคความดันโลหติ สงู สขุ ภาพและการปฏิบตั ติ วั ของผู้ปว่ ยโรคความดันโลหติ สูง 2. กำรทบทวนวรรณกรรมทีเ่ ก่ียวข้อง (Review of relevant literature) การทบทวนวรรณกรรมทาให้ผวู้ จิ ยั ร้วู า่ มสี ่งิ ใดทร่ี แู้ ล้วและยังไม่รทู้ ี่เกี่ยวข้องกับปัญหา การวิจยั (Grove, Gray, & Burn, 2015) เป็นการค้นคว้าความรู้ทุกขน้ั ตอนของงานวิจัย เพอื่ ใหไ้ ด้องค์ ความร้มู าใช้ในการทาวิจัย โดยค้นหาเอกสารและข้อมลู ทที่ ันสมัย ตง้ั แตก่ ารหาปัญหา ตัวแปร สถิติ การ
5 กาหนดสมมตฐิ าน กรอบแนวคิด การออกแบบวิจยั ทฤษฎีตา่ ง ๆ งานวิจยั การคานวณกล่มุ ตัวอย่าง การ สุ่มตวั อยา่ ง เคร่ืองมือในการวจิ ยั การวเิ คราะหข์ ้อมูล การนาเสนอข้อมลู การอภิปรายผล เป็นตน้ (บุญใจ ศรีสถติ นรากูร, 2553) 3. กำรกำหนดกรอบทฤษฎี/กรอบแนวคิดในกำรทำวิจัย (Theoretical/study framework) ทฤษฎจี ะประกอบดว้ ยแนวคดิ (Concepts) หลายแนวคิด ทม่ี ีการอธบิ ายแตล่ ะ แนวคดิ และมีการอธิบายเช่ือมโยงระหว่างแนวคดิ ท่ีมีความสัมพนั ธ์กัน การนาทฤษฎมี าใช้ในการวิจัยจะ ช่วยในการทดสอบทฤษฎี (Grove, Gray, & Burn, 2015) การกาหนดกรอบทฤษฎี/กรอบแนวคดิ ในการ ทาวิจัยจะช่วยให้ได้แนวทางในการคน้ คว้า การตั้งคาถาม/สมมตฐิ านการวิจัย การเลือกเคร่อื งมือวัดตวั แปร การเลือกรปู แบบการวิจยั การวเิ คราะห์ข้อมูล (บญุ ใจ ศรีสถิตนรากรู , 2553) และได้คาตอบในการวจิ ยั ตัวอย่ำงกรอบทฤษฎี/กรอบแนวคดิ ในกำรทำวิจยั วจิ ัยเรื่อง “ความสมั พนั ธ์ระหว่างความรู้ พฤติกรรมการดแู ลตนเองกบั ระดบั ความดัน โลหติ ของผู้ป่วยโรคความดนั โลหิตสงู ชนิดไม่ทราบสาเหตุ ที่มารับบริการที่โรงพยาบาลจงั หวัดเชียงขวาง ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว” ของ เวยี งมร ปัทวงศษ์ า ดรณุ ี รุจกรกานต์ และ อภญิ ญา วงศพ์ ริ ยิ โยธา (2558) กรอบแนวคิดในการทาวจิ ัยครั้งนีใ้ ชแ้ นวคิดความพรอ่ งในการดูแลตนเองที่จาเปน็ ในทฤษฎีการพยาบาลตนเอง ของโอเรม็ โดยโอเรม็ กล่าวไว้ว่าเมอื่ ใดก็ตามทีบ่ คุ คลใช้ความสามารถในการดูแลตนเองไดเ้ พียงบางส่วนหรอื ความสามารถ ในการดแู ลตนเองไมเ่ พียงพอท่จี ะตอบสนองต่อความต้องการการดแู ลตนเองแสดงวา่ บคุ คลน้ันมคี วามพร่องในการดูแล ตนเอง ทาให้มผี ลตอ่ สขุ ภาพ ชีวิต และความสกุ 13 ในผปู้ ว่ ยความดนั โลหิตสงู หากมีความสามารถในการดแู ลตนเองไม่ เพียงพอทาใหก้ ารดูแลตนเองบกพร่อง… ดังน้ันเมอ่ื ผู้ปว่ ยมคี วามรูไ้ มเ่ พยี งพอจึงเปน็ ทาใหผ้ ้ปู ่วยมพี ฤตกิ รรมในการดแู ล ตนเองบกพร่องสง่ ผลใหร้ ะดบั ความดันโลหติ ควบคมุ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกตไิ มไ่ ด้ …สรุปเป็นแผนภมู ไิ ด้ดังน้ี รูปภำพที่ 1 ตัวอยำ่ งกรอบแนวคดิ ในกำรวิจยั
6 จากกรอบแนวคดิ ในรูปภาพที่ 1 ตวั แปรความร้เู กย่ี วกับโรคความดันโลหิตสงู มีขอบเขคในเรือ่ ง 1) สาเหตุ 2) ปัจจัยเสย่ี ง 3) ความรนุ แรงของโรคภาวะแทรกซ้อน และ 4) ความรู้ในการปฏบิ ัติตัวของผู้ปว่ ย ส่วนตัวแปรพฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง มีขอบเขต ในเรอ่ื ง1) ดา้ นการดแู ลตนเองที่จาเปน็ โดยทว่ั ไป 2) ด้าน การควบคุมอาหาร 3) ดา้ นการออกกาลงั กาย 4) ด้านการพักผอ่ น 5) ด้านการหลีกเลี่ยงปัจจัยส่งเสริม การเกดิ โรค และ 6) ด้านการใช้ยา ซึ่งใช้ทฤษฎีการดแู ลตนเองและจากการทบทวนวรรณกรรมเป็นกรอบ แนวคดิ ในการวิจยั 4. กำรกำหนดตัวแปร (Study variable) เป็นการระบตุ วั แปรทีผ่ ู้วิจัยสนใจศึกษา ผูว้ จิ ยั ต้องศึกษาความหมายหรือลักษณะของตวั แปรใหเ้ ข้าใจ พรอ้ มระบคุ วามหมายเชิงทฤษฎี โดยศึกษา ความหมายจากทฤษฎีและเลือกให้สอดคล้องกับกรอบแนวคิดทใ่ี ช้ในการศึกษา ใหค้ านิยามท้ังเชิงทฤษฎี และทางปฏบิ ัติการซงึ่ ควรระบถุ งึ เครื่องมือท่ีใชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตัวแปรท่ีต้องการวดั ตัวอย่าง: “ความสมั พันธ์ระหว่างความรู้ พฤตกิ รรมการดแู ลตนเองกบั ระดับความ ดันโลหติ ของผ้ปู ่วยโรคความดนั โลหติ สูงชนิดไมท่ ราบสาเหตุ ท่มี ารบั บริการทีโ่ รงพยาบาลจงั หวัดเชียง ขวาง ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว” ตัวแปรที่ศึกษาเรือ่ งน้ีมี 3 ตัว ไดแ้ ก่ 1) ความรู้ 2) พฤติกรรมการดูแลตนเอง และ 3) ระดบั ความดันโลหิต 5. กำรตง้ั คำถำมวจิ ัยและกำรตั้งสมมตฐิ ำน (Research question and hypothesis) เป็นการคาดคะเนเหตุการณ์ทีจ่ ะเกดิ โดยอา้ งองิ จากทฤษฎีหรืองานวจิ ัยทีผ่ ่านมา เขยี นได้ 2 แบบ คือ สมมตฐิ านเชิงสถติ ิ (เปน็ สญั ลกั ษณท์ างคณติ ศาสตร์) และทางการวจิ ัย (บรรยายการ คาดคะเนที่จะเกดิ ขนึ้ ) ใชใ้ นงานวจิ ยั เชิงหาความสัมพนั ธ์ การทานาย การทดลอง สมมติฐานมที ั้งแบบมี ทิศทางหรือไมม่ ที ิศทาง เชน่ มคี วามสัมพนั ธ์ หรือมีความสัมพนั ธท์ างบวกหรือทางลบ หากการทดสอบ เปรียบเทยี บคะแนนเฉลีย่ ระหว่างกล่มุ อาจใช้คาวา่ มีคะแนนเฉลยี่ แตกตา่ งหรือมากกว่าหรือน้อยกว่า เป็น ตน้ (Lobiondo-Wood & Harber, 2018) ตัวอยา่ งจากงานวิจยั ในขอ้ 4 การต้ังคาถามวจิ ัย: ความรแู้ ละพฤติกรรมการดแู ลตนเองมีความสมั พนั ธก์ ับระดับ ความดนั โลหิตหรือไม่ อยา่ งไร สมมตฐิ านการวจิ ัย: 1) ความรู้มคี วามสัมพันธ์กับระดับความดันโลหิต 2) พฤตกิ รรมการดูแลตนเองมีความสมั พันธ์กบั ระดับความดนั โลหติ 6. กำรออกแบบกำรวิจยั (Study design) เปน็ การเลือกแบบการวจิ ยั เพ่ือให้ได้คาตอบตามที่ผวู้ ิจัยต้ังคาถามการวิจยั ไว้ และเป็น แนวทางในการดาเนนิ การวจิ ัย เช่น การวจิ ัยเชงิ บรรยาย เชิงหาความสัมพนั ธ์ เชงิ ทานาย เชิงทดลองหรือ กึง่ ทดลองเป็นต้น (Polit & Beck, 2016)
7 7. กำรระบปุ ระชำกรและกล่มุ ตัวอยำ่ ง (Population and sample) เปน็ ขนั้ ตอนท่ีกาหนดลักษณะของประชากรที่สนใจศึกษาใหช้ ัดเจน และระบุ กลมุ่ ตวั อย่าง การคานวณขนาดกลมุ่ ตวั อย่าง และการคดั เลือกว่าจะเลือกใชว้ ิธใี ดทีจ่ ะเปน็ ตวั แทนของ ประชากร ใชว้ ิธีการสมุ่ ดว้ ยวธิ ีใด ตามหลักการวจิ ยั การวิจยั และตามแบบการวิจยั ท่ีเลือก (Polit &Beck, 2016) 8. กำรเตรยี มเครื่องมือในกำรวิจยั (Instrument preparation) เครอื่ งมือวิจยั คอื แบบสอบถามหรอื แบบประเมนิ ตา่ ง ๆ ทใี่ ชใ้ นการเก็บขอมูล ตวั แปรทีส่ นใจ ทมี่ ที ั้งแบบสมั ภาษณ์ แบบสอบถาม แบบสงั เกต หรือเป็นเคร่อื งมอื ทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ใี ช้วัด คา่ ต่าง ๆ การเตรยี มเครื่องมือในการวิจยั ตอ้ งมีการค้นคว้าเนื้อหาเพ่ือที่จะนามาสร้างเครื่องมือ หรือใช้ เครอื่ งมอื ท่ีมอี ยู่แล้ว และมีการตรวจสอบความตรงตามเน้อื หา ความเทย่ี ง เพ่ือให้ไดเ้ คร่ืองมือท่ีมคี ุณภาพ (Polit & Beck, 2016) 9. กำรเก็บรวบรวมข้อมูล (Data collection) กอ่ นเกบ็ ข้อมูลตอ้ งมีการขอการรบั รองจริยธรรมวจิ ยั จากคณะกรรมการจรยิ ธรรม วจิ ัยของสถาบันท่รี ับผิดชอบ เมอื่ ผ่านจริยธรรมวิจัย แล้วจะเปน็ ขัน้ ตอนการลงเกบ็ ข้อมลู ของผวู้ ิจัย ตอ้ งมี การวางแผน ประสานงานกับหน่วยงาน และวธิ ีการเขา้ หากลุ่มตวั อยา่ ง การลาดบั ขน้ั ตอนในการเก็บขอ้ มลู การเตรยี มแบบสอบถาม และเก็บข้อมลู จริง 10. กำรเตรียมขอ้ มลู สำหรับวเิ ครำะห์ (Preparing data for analysis) หลงั จากเก็บรวบรวมข้อมูลเรียบร้อยแลว้ ขั้นตอนต่อไปคือการเตรียมข้อมูลสาหรบั การวิเคราะห์ ผู้วิจัยควรตรวจสอบความครบถ้วนของข้อมูล การเตรยี มรหสั ขอ้ มูล การเตรียมโปรแกรม วเิ คราะหข์ ้อมลู และลงรหัสข้อมูล และตรวจสอบขอ้ ตกลงเบ้ืองต้นของสถิติท่ใี ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล (บุญใจ ศรีสถติ นรากูร, 2553) 11. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis) เลือกสถิตวิ เิ คราะหข์ ้อมูลท่ีเหมาะสมกับแบบการวิจัยเพ่ือให้ไดค้ าตอบตามท่ี วางแผนไว้ หากเป็นข้อมลู เชงิ คุณภาพใช้การวิเคราะห์ตามเนื้อหา (บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2553) 12. กำรแปลผลกำรวิจัยและกำรอภิปรำยผลกำรวิจัย (Interpreting the results) เม่ือไดข้ ้อมูลจากการวเิ คราะห์แลว้ ผู้วิจัยจะมีการตคี วามหมายผลทไ่ี ด้ ตาม วัตถุประสงค์ คาถามหรือสมมติฐานการวิจยั และสรุปผลการวิจยั ท่ีได้ การนาเสนอผลการวจิ ยั มีทง้ั การ เขียนบรรยาย การนาสนอโดยใช้ตาราง แผนภมู ิ กราฟ (บุญใจ ศรีสถิตนรากูร, 2553) และมีการ อภิปรายผลการวจิ ยั โดยนาทฤษฎี งานวิจัยท่ผี า่ นมา และข้อมลู ทไ่ี ด้จากกลุ่มตัวอย่างมาร่วมอภิปราย 13. กำรเขียนรำยงำนและเผยแพรผ่ ลงำนวจิ ัย (Reporting and presenting the research finding)
8 เป็นขน้ั ตอนสดุ ท้ายของการทาวิจยั ผู้วจิ ัยจัดทารปู เล่มรายงาน เผยแพร่ตามสถาบัน ตา่ ง ๆ หอ้ งสมดุ การเขยี นบทความตพี ิมพ์ในวารสารวชิ าการ การนาเสนอผลงานในที่ประชุมวชิ าการ เพ่อื ให้มกี ารนาผลการวิจยั ไปใชป้ ระโยชน์ (บุญใจ ศรีสถติ นรากูร, 2553) กระบวนกำรวิจัย 1.กำหนดปญั หำวิจัยวัตถุประสงค์กำรวจิ ัย 2. กำรทบทวนวรรณกรรม 3. กำรกำหนดกรอบทฤษฎี/กรอบแนวคิด 4. กำรกำหนดตัวแปร 5. กำรต้งั คำถำมวจิ ัยและกำรต้ังสมมตฐิ ำน 6. กำรออกแบบกำรวจิ ัย 7. กำรระบุประชำกรและตวั อยำ่ ง 8. กำรเตรียมเคร่ืองมอื วิจัย 9. กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 10. กำรเตรียมขอ้ มลู สำหรับวิเครำะห์ 11. กำรวเิ ครำะหข์ อ้ มลู /สถติ ิ 12. กำรแปลผลและอภิปรำย 13. กำรเขียนรำยงำนวจิ ัย/นำเสนอ/ตพี ิมพ์ รูปภำพท่ี 2 ขน้ั ตอนกำรทำวิจยั (ปรับจาก บญุ ใจ ศรีสถิตย์นรากรู , 2553; Grove, Gray, & Burn, 2015)
9 1.8 จรยิ ธรรมกำรวจิ ัยและจรรยำบรรณของนกั วิจยั 1.8.1 จริยธรรมกำรวจิ ยั ในการทาวจิ ัยนกั วจิ ัยต้องมีความรู้ในหลักจรยิ ธรรมการวิจัยในมนุษย์พืน้ ฐาน และต้องขอการ รับรองจากคณะกรรมการจรยิ ธรรมวจิ ยั ของสถาบันตน้ สังกัด โรงพยาบาล หรือหนว่ ยงานทีม่ ีคณะ กรรมการจรยิ ธรรมวจิ ัย ก่อนการขอเก็บข้อมลู การวจิ ยั การทาวิจัยในมนุษยค์ วรยดึ หลักจรยิ ธรรมการวจิ ัย ทเ่ี ปน็ หลักการสากล (Ethical principles) และใช้หลักจรยิ ธรรมพื้นฐาน (Basic ethical principles) ประกาศโดยคณะทางานทป่ี ระกอบดว้ ย แพทย์, นักวทิ ยาศาสตร์, นักกฎหมาย และนกั จรยิ ศาสตร์ ใน เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1967 ณ Belmont Conference Center สถาบนั Smithsonion กรงุ วอชิงตันด.ี ซ.ี สหรฐั อเมริกา (ธาดา สบื หลินวงศ์ พรรณแข มไหสวริยะ และสธุ ี พานชิ กลุ , 2551) คำนิยำมทคี่ วรรเู้ กย่ี วกบั จริยธรรมวิจัย สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (2559) ได้กาหนดคานิยามศัพทท์ ่เี กีย่ วข้องกบั จริยธรรม วิจัยไว้ดังน้ี จริยธรรมการวิจยั ในมนุษยห์ รือทีเ่ กีย่ วข้องกับมนษุ ย์ หมายถึง ประมวลหลักประพฤตปิ ฏิบตั ทิ ี่ดี ท่นี ักวิจยั ควรยึดถือในการวิจยั เก่ยี วกบั มนษุ ย์เพื่อปกป้องศกั ดศิ์ รี สิทธิ สวสั ดิภาพ ใหค้ วามอิสระและความ เปน็ ธรรม แกผ่ เู้ ข้ารว่ มวจิ ัย การวิจัยในมนุษย์หรอื ท่เี กี่ยวขอ้ งกบั มนุษย์ หมายถงึ กระบวนการศกึ ษาทเ่ี ป็นระบบ เพื่อให้ ไดม้ าซ่ึงความร้ทู างดา้ นสุขภาพหรอื วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ไี ดก้ ระทาต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคล หรือทไี่ ด้กระทาต่อเซลล์ ส่วนประกอบของเซลล์ วัสดสุ ่งิ สง่ ตรวจ เนือ้ เยอื่ น้าคดั หล่ัง สารพันธุกรรม เวช ระเบียน หรอื ข้อมูลด้านสุขภาพของบุคคล และให้หมายความรวมถงึ การศึกษาทางสังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์และมนุษยศาสตรท์ เี่ ก่ยี วกบั สขุ ภาพ แนวทางจริยธรรมการทาวิจัยท่ีเกยี่ วข้องกับมนุษย์ หมายถึง แนวทางหรือหลักเกณฑด์ ้าน จริยธรรมเก่ียวกับการศึกษาวิจยั และการทดลอง ในมนษุ ย์หรือท่ีเกย่ี วข้องกบั มนุษย์ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย หมายถึง คณะกรรมการทีแ่ ต่งตัง้ ขึน้ ในระดับสถาบนั องค์กร หน่วยงานระดับชาติ นานาชาติ เพอื่ ทาหนา้ ที่ พจิ ารณาทบทวนด้านจริยธรรมการวิจยั ของข้อเสนอโครง รา่ งการวิจยั ท่เี กยี่ วข้องกบั มนุษย์ โดยมีวตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อปกปอ้ ง/คุ้มครองสทิ ธิ ศกั ดิ์ศรี ความปลอดภยั และ ความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เข้ารว่ มการวจิ ยั คณะกรรมการจรยิ ธรรมการวิจยั ต้องมีองค์ประกอบ และวธิ ดี าเนนิ การมาตรฐานท่ีชดั เจนสอดคล้องกบั ระเบยี บข้อบังคับและแนวทางของประเทศตลอดจนแนวทางสากล ผู้เข้าร่วมการวจิ ัย หมายถึง บคุ คลที่ผู้วจิ ยั (1) ไดม้ าซึ่งข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลหรือตัวอย่าง ชีวภาพโดยวิธีกระทาต่อบุคคล (intervention) หรือปฏสิ ัมพนั ธ์กบั บคุ คล (interaction) หรอื วเิ คราะห์ ข้อมลู /ตวั อยา่ งชีวภาพ (2) ได้มาใช้ศกึ ษาวเิ คราะห์ สร้าง ซง่ึ ข้อมลู ข่าวสารสว่ นบคุ คลหรอื ตัวอย่างภาพซึ่ง บง่ ช้ีตวั บุคคลได้ บางแหง่ ใช้คาว่า “อาสาสมคั ร” “Human subject” “Trial subject” ผู้แทนโดยชอบธรรม หมายถึง ผู้มอี านาจนาจตามกฎหมายในการตัดสินใจแทนบุคคลในการเขา้ รว่ มการวิจัย ในกรณเี ด็ก หมายถงึ บิดามารดาผใู้ ห้กาเนิด หรือหากไมม่ ีก็ให้ เปน็ ผปู้ กครองตามกฎหมาย
10 ยินยอมแทน กรณีท่ีเปน็ ผู้ใหญ่ท่ีบกพรอ่ งความสามารถในการตดั สนิ ใจควรอิงผใู้ ห้ความยนิ ยอมแทนตาม พ.ร.บ.สขุ ภาพจิต พ.ศ. 2551 หลกั จริยธรรมกำรวิจยั ในมนุษย์พ้ืนฐำน หลกั จรยิ ธรรมพน้ื ฐานทท่ี าวิจัยในมนุษย์พืน้ ฐาน ประกอบด้วยหลกั 3 ประการ(ธาดา สืบหลนิ วงศ์ พรรณ แข มไหสวริยะ สธุ ี พานชิ กุล, 2551; สานกั งานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาต:ิ วช., 2559) ได้แก่ 1. หลักความเคารพในบคุ คล (Respect for persons) 2. หลักคณุ ประโยชน์ (Beneficence) 3. หลักความยุติธรรม (Justice) 1. หลกั ควำมเคำรพในบุคคล (Respect for person) หลักความเคารพในบุคคล คือการเคารพในศักดิศ์ รีความเป็นมนษุ ย์ (Respect for human dignity) ซง่ึ เปน็ หลักสาคัญของจรยิ ธรรมการทาวจิ ยั ในคน หลักนีเ้ ป็นพนื้ ฐานของแนวทางปฏิบัติ ได้แก่ 1.1 เคารพในการขอความยินยอมโดยให้ข้อมูลอยา่ งครบถ้วนและใหอ้ าสาสมคั รตัดสนิ ใจ อย่างอสิ ระ ปราศจากการขม่ ขู่ บังคบั หรือใหส้ นิ จ้างรางวลั 1.2 เคารพในความเปน็ ส่วนตัวและการเกบ็ รักษาความลับของผู้เข้ารว่ มการวิจัย การเคารพในความเปน็ สว่ นตวั ของอาสาสมัคร (Respect for privacy) ทาโดยจดั สถานทใี่ นการขอความ ยินยอมและการซักประวัติตรวจร่างกาย การไม่มีป้ายระบุชอื่ คลินกิ เชน่ “คลนิ กิ โรคเอดส์” “คลนิ ิกยาเสพติด” การรักษาความลบั (Respect for confidentiality) เปน็ วิธกี ารรกั ษาความลับของ ขอ้ มลู ส่วนตัวของอาสาสมัคร ไดแ้ ก่ แบบบนั ทึกข้อมูล (Case report form) ใบยินยอม (Consent form) การบันทกึ เสยี งหรือภาพ มาตรการรักษาความลบั เชน่ ใชร้ หสั เกบ็ ในต้มู กี ุญแจล็อค เก็บใน คอมพิวเตอร์ ท่ีมีรหัสผ่าน เป็นตน้ 1.3. เคารพในความเปน็ บคุ คลออ่ นด้อย เปราะบาง เชน่ ผ้ทู ่ีมคี วามบกพร่องทาง สตปิ ญั ญาหรอื ทางจติ ผู้ปว่ ยโรคเอดส์ ผู้ปว่ ยหมดสติ ผู้ป่วยพิการ นกั โทษ นกั เรียน ผู้อพยพ กลุม่ รักร่วม เพศ ผูต้ ดิ ยาเสพตดิ เป็นต้น 2. หลกั คุณประโยชน์ (Beneficence) แนวทางปฏบิ ตั ิการวิจยั ทเ่ี ป็นไปตามหลักคณุ ประโยชน ์ประกอบด้วยกฎเกณฑ์ 2 ข้อ เพ่ือแสดง วา่ การวจิ ัยเป็นไปตามหลักการ ไดแ้ ก่ 1) ไม่ก่ออนั ตราย และ 2) ทาให้ประโยชน์ทเี่ ป็นไปไดม้ มี ากที่สุด และลดอันตรายอันอาจเกิดข้ึนให้เหลือนอ้ ยทสี่ ดุ การประเมนิ ความเส่ียง/อันตราย ความเส่ียง หมายถึง โอกาสและขนาดหรือความรา้ ยแรง ของอันตรายท่จี ะเกดิ ขีน้ ความเส่ียงต่อ อันตรายมีดงั นี้ 1. อนั ตรายตอ่ รา่ งกาย (Physical harm) เช่น ปวดศรี ษะ ตับอักเสบ จากผลข้างเคยี ง ของยาทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
11 2. อันตรายต่อจติ ใจ (Psychological harm) เช่นความอับอาย ซมึ เศร้า คิดฆ่าตัวตาย จากการสมั ภาษณ์ในเรื่องการตดิ เชอ้ื เอชไอวี การเคยถกู ข่มขนื 3. อันตรายต่อสถานะทางสังคม และฐานะะทางการเงนิ (Social and economic harms) เชน่ ถกู สงั คมตตี รารังเกยี จ เสยี คา่ ใช้จ่ายจากการที่ข้อมลู การเจบ็ ปว่ ยร่ัวไหล 4. อนั ตรายทางกฎหมาย เช่น ถูกจบั กุม หากข้อมลู พฤติกรรมทีผ่ ดิ กฎหมายร่วั ไหล การประเมนิ คณุ ประโยชน์ ประโยชน์ หมายถงึ ส่ิงท่ีมีคุณค่าตอ่ สุขภาพความเปน็ อยู่ทด่ี ีและเป็นสงิ่ ท่ีพอจะคาดหวังได้ (Anticipated benefit) ได้แก่ 1. ประโยชน์โดยตรงต่อสขุ ภาพผ้เู ข้าร่วมการวจิ ัยได้รบั เช่น บรรเทาอาการป่วย 2. ประโยชนโ์ ดยอ้อม ไม่ก่อประโยชนโ์ ดยตรงต่อสุขภาพผู้เขา้ รว่ มการวจิ ัย แตผ่ ล การศกึ ษาจะก่อประโยชน์ตอ่ ประชาชน และผูว้ ิจัยควรเพิ่มประโยชนใ์ หม้ ากทส่ี ุด เช่น การให้ความรใู้ นการ ดูแลตนเองของกลุ่มควบคมุ ที่ไมไ่ ดร้ บั ความรู้จากการทดลอง 3. หลักควำมยตุ ธิ รรม (Justice) ความยตุ ธิ รรม หมายถงึ การกระจายภาระและประโยชน์อย่างเปน็ ธรรม ไมเ่ ลือกบุคคลโดย ลาเอียง การประเมินความยตุ ิธรรมอาศยั การคัดเลือกบุคคลเขา้ มาเป็นผู้รว่ มวิจยั ว่าเป็นธรรม และผลลัพธก์ ็ เป็นธรรม ไมเ่ ลอื กบางกลุ่มบุคคลเข้ารว่ มการวิจัย ด้วยเหตุผลเพยี งเพราะหางา่ ย จดั การง่าย หรอื มีความ เปราะบาง แทนท่จี ะเลอื กมาด้วยเหตุผลเพอื่ ตอบโจทยว์ จิ ยั ไม่ควรแสวงหาประโยชน์จากการทาวิจัยเพียง เพอื่ ความก้าวหนา้ ทางวชิ าการในกลุ่มคนออ่ นแอหรือเปราะบางที่ไมส่ ามารถปกป้องผลประโยชนข์ อง ตนเองได้ ควรเลือกกลมุ่ ตัวอย่างโดยไม่ลาเอยี ง 1.8.2 จรรยำบรรณของนกั วิจยั สานักงานคณะกรรมการการวิจัยแหง่ ชาติ ยงั ได้กาหนดจรรยาบรรณนกั วิจยั เพื่อให้นักวจิ ัย ถือเป็นแนวปฏิบตั ิ ไว้ดงั น้ี (สานกั งานคณะกรรมการวิจยั แหง่ ชาติ, 2541) 1. นักวิจัยต้องซื่อสตั ย์และมีคณุ ธรรมในทำงวชิ ำกำรและกำรจัดกำร นกั วจิ ยั ต้องมคี วามซื่อสัตย์ต่อตนเอง ไม่อา้ งหรือนาผลงานของผู้อ่นื มาเป็นของตนเอง ไม่ ลอกเลยี นงานของผู้อ่ืน ต้องใหเ้ กยี รตแิ ละอ้างถงึ บุคคลหรือแหลง่ ทีม่ าของข้อมูลท่นี ามาใชใ้ นการวิจยั ของ ตนเอง ต้องซ่ือสตั ยต์ อ่ การแสวงหาทุนวิจัย และมีความเปน็ ธรรมเกย่ี วกับผลประโยชนท์ ี่ได้จากการวิจัย 2. นกั วจิ ัยต้องตระหนกั ถึงพนั ธกรณที ม่ี ตี อ่ ข้อตกลงในกำรวิจัย ตอ่ หนว่ ยงำนท่สี นับสนุน กำรวิจัย และต่อหนว่ ยงำนที่สงั กดั นักวจิ ยั ตอ้ งปฏิบัตติ ามพนั ธกรณแี ละข้อตกลงการวจิ ัย ซง่ึ ทุกฝา่ ยท่ีเก่ียวข้องยอมรบั รว่ มกนั อุทศิ เวลาทางานวจิ ยั ให้ไดผ้ ลดีทีส่ ดุ และเป็นไปตามกาหนดเวลา มคี วามรับผิดชอบไม่ละทิ้งงานระหวา่ ง ดาเนนิ การ 3. นกั วจิ ยั ต้องมีพน้ื ฐำนควำมรู้ในสำขำวชิ ำท่ที ำวจิ ัย นกั วิจยั ตอ้ งมีพื้นฐานความรใู้ นสาขาวิชาท่ที าวจิ ยั อย่างเพยี งพอ และควรมีความรู้ ความ
12 ชานาญ ประสบการณ์ท่เี กี่ยวเน่อื งกับเร่ืองทท่ี าวจิ ัย เพื่อนาไปสู่งานวิจัยท่มี คี ุณภาพ และเพอ่ื ป้องกนั ปญั หาการวเิ คราะห์ การตคี วามหรือสรปุ ท่ผี ดิ พลาด อันอาจก่อใหเ้ กิดความเสยี หาย 4. นักวจิ ยั ตอ้ งมคี วำมรบั ผดิ ชอบตอ่ ส่งิ ทีศ่ ึกษำวจิ ยั ไม่วำ่ จะเป็นส่ิงมีชวี ติ หรอื ไม่มีชีวติ นักวจิ ยั ต้องดาเนินการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวงั และเทย่ี งตรงในการทาวิจยั ท่ี เกย่ี วขอ้ งกับคน สัตว์ พืช ศลิ ปวฒั นธรรม ทรพั ยากร ส่ิงแวดล้อม โดยมีจติ สานึกและความตระหนักท่ีจะ อนรุ ักษ์ศิลปวฒั นธรรม ทรัพยากรและสิง่ แวดล้อม 5. นกั วิจัยต้องเคำรพศกั ดศิ์ รี และสิทธิมนุษย์ที่เป็นตัวอยำ่ งในกำรวจิ ัย นักวิจยั ตอ้ งไม่คานงึ ถึงผลประโยชนท์ างวชิ าการ จนละเลยและขาดความเคารพในศักดศ์ิ รี ของเพือ่ นมนษุ ย์ ต้องถือเปน็ ภาระหนา้ ทท่ี ่ตี ้องอธิบายจดุ มุ่งหมายของการวจิ ยั ให้กับบุคคลท่ีเปน็ กลมุ่ ตัวอยา่ ง โดยไมล่ อกเลียนหรอื บีบบงั คับ และไมล่ ะเมิดสิทธิส่วนบคุ คล 6. นักวิจยั ต้องมีอสิ ระทำงควำมคิดโดยปรำศจำกอคติในทกุ ขัน้ ตอนของกำรทำวิจยั นักวจิ ยั ตอ้ งมอี ิสระทางความคิด ต้องตระหนกั ว่าอคติส่วนตน หรอื ความลาเอียงทาง วชิ าการ อาจสง่ ผลใหม้ ีการบิดเบอื นข้อมลู และข้อคน้ พบทางวชิ าการ อันจะเป็นผลให้เกดิ ผลเสียหายต่อ งานวิจยั 7. นกั วิจัยตอ้ งนำผลงำนวิจัยไปใชป้ ระโยชนใ์ นทำงทช่ี อบ นักวิจัยตอ้ งเผยแพรผ่ ลงานวิจัยเพ่ือประโยชนท์ างวชิ าการและสังคม ไม่ขยายผลข้อคน้ พบจนเกนิ ความเปน็ จริง และไม่ใชผ้ ลงานเพ่ือทาลายผู้อ่ืนโดยมิชอบ 8. นกั วจิ ัยตอ้ งเคำรพควำมคดิ เห็นทำงวิชำกำรของผูอ้ ืน่ นกั วจิ ัยตอ้ งมใี จกวา้ งพรอ้ มทีจ่ ะเปิดเผยข้อมูลและขั้นตอนการวิจัย ยอมรบั ฟังความ คดิ เห็นและเหตุผลทางวชิ าการของผู้อื่น และยินดีทจี่ ะปรบั ปรุงแกไ้ ขงานวิจยั ของตนให้ถูกต้อง 9. นักวิจัยตอ้ งมีควำมรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคมทกุ ระดับ นักวจิ ัยตอ้ งมีจติ สานึกที่จะอทุ ิศกาลังสตปิ ัญญาในการทาวิจัย เพ่ือความกา้ วหนา้ ทาง วิชาการ เพอื่ ความเจรญิ และประโยชน์สุขของสงั คม โดยต้องคานึงถงึ ผลกระทบซงึ่ อาจเกดิ ขึน้ ต่อสงั คม ด้วย
13 เอกสำรอ้ำงองิ บญุ ใจ ศรีสถติ นรากรู . (2547). ระเบียบวธิ กี ารวจิ ัยทางพยาบาลศาสตร์. พมิ พค์ รงั้ ที่ 3.กรุงเทพฯ: บริษัท ยแู อนด์โอ อินเติร์มเี ดีย จากัด. เวียงมร ปัทวงศ์ษา, ดรณุ ี รุจกรกานต์, และอภิญญา วงศ์พิริยโยธา. (2558). ความสมั พันธ์ระหวา่ งความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเองกับระดับความดันโลหิตของผปู้ ่วยโรคความดันโลหิตสูงชนดิ ไมท่ ราบ สาเหตุ ทมี่ ารับบรกิ ารท่ีโรงพยาบาลจังหวดั เชยี งขวาง ประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตย ประชาชนลาว. วารสารพยาบาลศาสตรแ์ ละสุขภาพ, 38(2); 43-53. สานกั งานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาติ. (2541). แนวทางปฏบิ ัตจิ รรยาบรรณนักวิจัย. กรุงเทพฯ: กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม. สานักงานคณะกรรมการวจิ ัยแหง่ ชาต.ิ (2559). แนวทางจรยิ ธรรมการทาวจิ ยั ทเี่ กยี่ วข้องกบั มนุษย์ ฉบบั ปรับปรงุ ครั้งท่ี 1. กรงุ เทพฯ: สานกั งานมาตรฐานการวิจัยในคน กองมาตรฐานการวิจยั . Grove, S. K. & Burn, J. R. (2017). Understanding Nursing Research E-Book: Building an Evidence-Based Practice (7th ed.). St Louis: Elsevier. Grove, S. K., Gray, J. R., & Burn, N. (2015). Understanding Nursing Research - E-Book. St. Louis: Elsevier. Gray, J.R., Grove, S.K. & Sutherland, S. (2017). Burns and Grove's the practice of nursing Research ( 8th ed.). St Louis: Saunders. Houser, J. (2017). Nursing Research: Reading, Using and Creating Evidence (4th ed.). Burlington: Jones & Bartllet Learning. Lobiondo-Wood, G. & Harber, J. (2018). Nursing research - e-Book: Methods and critical appraisal for evidence-based practice (4th ed.). St. Louis: Elsevier. McKenney, S. & Reeves, T. C. (2019). Conducting educational design research 2th ed.). New York: Routledge. Merriam, S. & Grenier, R, S. (2019). Qualitative research in practice: Examples for discussion and analysis (2nd ed.). San Francisco: Jossey-Bass. Polit, D.F., & Beck, C.T. (2014). Essentials of nursing research: Appraising evidence for nursing practice (8th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. Polit, D.F., & Beck, C.T. (2016). Nursing research: Generating and assessing evidence for nursing practice (9thed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. Sharma, S. K. (2014). Nursing research and statistics (2thed.). Haryana: Elsevier.
หน่วยที่ 2 การกาหนดปญั หาการวิจัย (Research problem) ผศ.ดร.จิดาภา ผูกพนั ธ์ ผศ.ดร.อภิญญา วงศ์พริ ยิ โยธา ผลการเรียนรู้: ผเู้ รยี นสามารถอธบิ าย 2.1 ความหมายของปัญหาการวจิ ยั วัตถุประสงค์การวจิ ัย คาถามวจิ ัย 2.2 แหล่งของปัญหาวจิ ัย 2.3 การประเมนิ ปญั หาในการวจิ ัย 2.4 การต้งั ชอ่ื เรื่องวจิ ยั 2.5 ตัวอย่างปญั หาวจิ ยั บทนา “ปัญหาการวิจยั คือ หัวใจของกระบวนการวิจัย” The Problem: The Heart of the Research Process (ณฐั วธุ แก้วสุทธา, 2556) ปญั หาการวิจัยถือเป็นส่วนท่ีสาคัญมากซง่ึ กลา่ วได้ว่าเป็นจดุ เร่มิ ตน้ ที่ สาคัญของการเร่ิมทาวิจยั (ณรงค์ โพธ์ิพฤกษานันท,์ 2556) คณุ คา่ ของงานวจิ ัยจะเรม่ิ ตง้ั แต่การเลอื กปัญหา การวจิ ยั ที่มีคุณคา่ เข้ามาทาวิจัย จากนน้ั กระบวนการวิจัยท่ีดีมคี วามถูกตอ้ งเชอื่ ถือได้จะชว่ ยให้การแสวงหา คาตอบสาหรบั ปัญหาวจิ ยั นัน้ ได้ผลการวจิ ัยทีม่ ีคุณค่าตามมา การกาหนดปญั หาวจิ ัยเกิดขนึ้ จากส่งิ ที่นกั วจิ ัยสงสัยหรือมคี วามไม่ชัดเจน เกดิ เปน็ คาถามการวิจยั ท่ี ตอ้ งการคาตอบ นามาซึ่งกระบวนการวจิ ยั เน่ืองจากการวจิ ัยเปน็ กระบวนการแสวงหาความรหู้ รือข้อเทจ็ จรงิ โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ตามระเบียบวธิ ีการวจิ ยั การกาหนดปญั หาวจิ ยั จะถูกเขยี นไว้ในส่วนความ เปน็ มาและความสาคญั ของปัญหาการวิจัย ถา้ ระบปุ ัญหาการวจิ ัยชดั เจน จะทาใหเ้ ห็นขั้นตอนต่าง ๆ ตลอด กระบวนการวจิ ัยมีความชัดเจน มกี ารตั้งวัตถุประสงค์การวจิ ยั การดาเนนิ การวจิ ัยตามระเบียบวิธกี ารวิจยั เกบ็ รวบรวมจากประชากรและกลุ่มตวั อย่างโดยใชเ้ ครื่องมือการวิจัย แล้วมาวิเคราะหข์ ้อมูล สรปุ ผลการ วเิ คราะห์ข้อมลู จะทาใหไ้ ด้คาตอบของปัญหาการวจิ ัยนน้ั คือสรุปผลการวิจยั และนาไปใช้ประโยชน์ต่อไป 2.1 ความหมายของปัญหาการวจิ ัย วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย คาถามวจิ ัย ความหมายของปัญหาการวิจัย ปัญหาการวจิ ัย (Research problem) หมายถงึ ประเด็นทีน่ ักวิจยั สงสัย และตัองการ หาคาตอบทีถ่ ูกต้องตามความเปน็ จริง โดยใชก้ ระบวนการวิจัยทเ่ี หมาะสมกับปรากฏการณ์ในการหาคาตอบ (อิทธิพทั ธ์ สุวทันพรกลู , 2561) ปญั หาการวิจยั หมายถงึ ส่งิ ท่กี ่อให้เกิดความสงสัยและใครร่ คู้ าตอบ (ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท์, 2556)
15 ปญั หาวจิ ัย คอื ปัญหาทมี่ ีความซับซ้อน ไม่มีความชัดเจน มีความรุนแรงของปัญหา จงึ ต้องการทา วจิ ัยเพือ่ การแก้ไขปญั หา อยา่ งไรกต็ ามเม่ือกล่าวถึงปัญหาวิจยั แล้วมักจะคิดตอ่ ไปถึงหัวข้อวจิ ยั (Polit & Beck, 2008) ปญั หาการวจิ ยั ” เปน็ ประเด็นสาคญั ที่นา่ สนใจหรือความข้องใจสงสยั ที่ต้องการแก้ไขปัญหานั้น ให้ มุมมองของความเฉพาะเจาะจงมีรายละเอยี ดมากกวา่ หวั ข้อวจิ ยั แตห่ วั ขอ้ วจิ ยั (Research topic) เป็น มมุ มองปัญหาโดยกวา้ งๆ มากกวา่ ปญั หาวจิ ยั (Research problem) (Sesay, 2012) ปัญหาวิจยั หมายถงึ ความสนใจศกึ ษาในสถานการณ์ ท่ีมีช่องว่างของความรู้ ทีต่ ้องการนามาใช้ใน การพยาบาล การวิจยั ต้องการสร้างความรูใ้ หมม่ าใช้ในการปฏบิ ตั มิ เี ปา้ หมายสูงสุดในการนาหลกั ฐานมาใช้ ในการพยาบาล (Burns & Grove 2014) ปัญหาวจิ ยั หมายถึง ประเด็นท่เี ฉพาะ มีความขัดแยง้ มคี วามยาก หรือมชี ่องวา่ งของความรทู้ ่ี ปญั หาการวจิ ัยเกิดได้ท้งั จากการปฏบิ ตั ทิ ีผ่ วู้ ิจยั ต้องการแกป้ ัญหาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง หรอื ปัญหาเกดิ จาก การใชท้ ฤษฎีทีม่ ุ่งเนน้ การขยายองค์ความรู้ (McCombes, 2020) การกาหนดปญั หาการวิจัย (Formulating research problem) หมายถึง การระบุประเดน็ ที่ นกั วิจัยสงสยั และประสงคท์ ีจ่ ะหาคาตอบหรอื ปัญหาวิจัย (ณรงค์ โพธพ์ิ ฤกษานนั ท์, 2556) ดงั นัน้ การ กาหนดปญั หาการวิจัย คือ การพจิ ารณาถึงปญั หาหรือหัวขอ้ ท่เี ราสนใจและต้องการจะศึกษาว่าหัวข้อน้ัน เกย่ี วขอ้ งกับเร่ืองอะไร ต้องการหาคาตอบเรอื่ งอะไร ความหมายของวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย วัตถปุ ระสงค์ของการวิจัย เป็นการแสดง เจตนาของนักวิจยั ในการหาคาตอบของประเด็น ปญั หาการวิจัย (วรรณี แกมเกตุ, 2555) วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัยทดี่ คี วรมีลกั ษณะดังต่อไปน้ี (วรรณี แกมเกตุ, 2555) 1) ตอ้ งมคี วามสอดคล้องกบั ช่ือเร่ือง และมีความสบื เนื่องจากความเป็นมาและ ความสาคญั ของปัญหา 2) มีความชัดเจนวา่ ต้องการศึกษาอะไร อย่างไร 3) ควรเขียนให้อย่ใู นรปู ของประโยคบอกเลา่ 4) ควรเป็นข้อความที่ส้ัน กะทัดรัด และใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย 5) ควรจัดเรียงวตั ถปุ ระสงค์ตามล าดบั ของการศกึ ษา หรอื เรยี งลาดบั ตาม ความสาคัญหรือจุดเนน้ ก็ได้ 6) ใชค้ าวา่ เพื่อ ขึ้นตน้ ประโยคด้วย แลว้ ตามดว้ ยคาาทแ่ี สดงพฤติกรรมในการ แสวงหาคาตอบและสาระหลกั ทต่ี ้องการศกึ ษา เช่น เพอ่ื ศึกษา เพ่ิอสารวจ เพื่อ บรรยาย เพอ่ื อธิบาย
16 ความหมายของคาถามวิจัย (Research questions) คาถามวจิ ัย (Research questions) หมายถงึ ขอ้ ความที่เปน็ ประโยคคาถาม ซงึ่ แสดงให้ เหน็ สง่ิ ท่ีผู้วจิ ยั ต้องการค้นหาคาตอบ คาถามการวจิ ัยและประเด็นการวิจยั (Research issues) มี ความคลา้ ยคลึงกนั (สุวมิ ล ว่องวาณิช, 2550) หลักการเขยี นคาถามการวจิ ัย หลักการเขียนคาถามการวจิ ยั มดี ังน้ี (พรอ้ มจติ ร ห่อนบุญเหมิ , 2562) 1) ตอ้ งมคี วามสอดคล้องและครอบคลุมปญั หาวิจยั 2) หากมหี ลายคาถาม ให้เขียนแยกเป็นข้อ ๆ เรียงตามลาดับของการหาคาตอบ 3) เขียนในรูปประโยคคาถาม 4) ใช้ภาษาและถอ้ ยคาท่ีกระชบั และเข้าใจง่าย ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์การวจิ ัยและคาถามการวิจยั วตั ถุประสงค์การวิจยั คาถามการวิจยั เพื่อศกึ ษาความรู้ของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สูง ความรขู้ องผปู้ ว่ ยโรคความดันโลหติ สูงเปน็ อย่างไร อยใู่ นระดบั ใด เพื่อศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างความรูก้ บั ความรู้มีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมการดูแลตนเอง พฤติกรรมการดูแลตนเองในผู้ป่วยโรคความดัน ในผู้ปว่ ยโรคความดันโลหิตสงู หรอื ไม่อย่างไร โลหิตสูง เพอื่ ศึกษาปัจจัยทานายพฤติกรรมการป้องกันโรค ปจั จยั ใดบ้างท่ีทานายพฤตกิ รรมการป้องกนั โรค หลอดเลือดสมองในผู้ปว่ ยความดนั โลหติ สงู หลอดเลอื ดสมองในผ้ปู ่วยความดันโลหติ สูง เพื่อศึกษาผลของการส่งเสรมิ ความเชือ่ ดา้ นสุขภาพ การสง่ เสรมิ ความเช่ือดา้ นสขุ ภาพมผี ลต่อ ตอ่ พฤติกรรมการป้องกนั โรคหลอดเลือดสมองใน พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองใน ผู้ป่วยความดนั โลหิตสูง ผู้ปว่ ยความดันโลหติ สูงหรือไม่ อย่างไร 2.2 แหลง่ ของปญั หาวจิ ยั ปญั หาวิจยั นกั วิจยั สามารถได้จากหลากหลายแหลง่ ซึง่ สามารถสรุปได้ดังน้ี 1. จากปรากฏการณ์ สภาพการณ์ทีน่ ่าสนใจ หรือสภาพปัญหา (อิทธพิ ันธ์ สวุ ทนั พรกูล, 2561) รวมถงึ การติดตามข่าวสารต่าง ๆ เชน่ บทความ ส่งิ ที่พมิ พ์ รายการทเ่ี ผยแพร่ข่าวสาร เปน็ ตน้ ดังน้ัน อาจกลา่ วได้วา่ ปัญหาวจิ ัยมีอย่รู อบ ๆ ตัวเรา ทาใหน้ กั วจิ ยั เหน็ ปัญหาวจิ ัยเพือ่ นาสู่การกาหนดปัญหาการ วิจัยและสะท้อนตัวแปรท่ศี ึกษาทต่ี อ้ งทาวิจยั (ณรงค์ โพธิ์พฤกษานนั ท,์ 2556) เช่น การดูแลตนเองของ ประชาชนเพือ่ ป้องกนั การติดเช้ือในสถานการณก์ ารระบาดของไวรสั โคโรนา-19 หรอื สภาพปัญหาที่ น่าสนใจอน่ื ๆ เป็นตน้ ตวั อยา่ งแหล่งของปัญหาการวจิ ยั : นกั วจิ ยั เห็นวา่ มสี ถานการณเ์ กี่ยวกับเด็กวัยรุ่นตงั้ ครรภ์ไมพ่ ึงประสงค์เพิม่ จานวนขึน้ มาก หรือนกั วิจัยเห็นว่าทารกแรกเกดิ มีภาวะตวั เหลืองเกิดขึน้ จานวนมากและภาวะตวั เหลืองน้ีเกดิ ข้นึ ในระยะ เวลานานขนึ้ หรือเกิดขน้ึ แลว้ ใชร้ ะยะเวลานานกว่าตวั เหลืองจะลดลงเขา้ สภู่ าวะปกติ เปน็ ตน้ ตวั อยา่ ง
17 การศึกษาวจิ ยั ของ พชั ราพร ควรรณสุ, ปทุมทพิ ย์ ม่านโคกสูง และพรพิมล ควรรณสุ (2562) ศึกษาการ ตง้ั ครรภไ์ ม่พงึ ประสงค์ของวยั รุ่นหญิงในจังหวัดนครพนม เปน็ ตน้ 2. จากประสบการณส์ ว่ นตัวของผูว้ จิ ยั นกั วิจัยท่ีชา่ งสงสยั ช่างสงั เกต อยากได้คาตอบ และ ประมวลผลปรากฏการณ์ สภาพการณท์ ่เี ห็นมาสร้างเป็นหัวข้อปญั หา เห็นผลกระทบของปญั หา ซ่งึ ณรงค์ โพธิ์พฤกษานนั ท์ (2556) กล่าววา่ ปัญหาวิจยั อาจเร่ิมจากนักวจิ ยั สงั เกตเหน็ ปรากฏการณ์ใดๆ แล้ว สงสัย อยากรู้คาตอบของปญั หาวจิ ยั นั้น ตวั อย่างแหล่งของปญั หาการวิจยั : นักวิจยั สงสยั และสังเกตเหน็ ว่า หนว่ ยงานของรัฐจะมสี ื่ออุปกรณ์สนบั สนนุ เพื่อการสง่ เสริม พัฒนาการให้แกเ่ ด็กและแจกใหค้ รอบครัวทเ่ี ลย้ี งดูเด็กไปใชใ้ นการส่งเสริมพฒั นาการเด็กอย่างตอ่ เน่ืองท่ี บา้ น แต่ผลการประเมินพฒั นาการเด็กไทยอย่างต่อเน่ืองโดยภาพรวมของประเทศ ยังพบว่าเดก็ ไทยยังมี พัฒนาการลา่ ช้ามีจานวนมากเกนิ กวา่ เกณฑ์ของประเทศที่ได้กาหนดไว้ เมื่อนักวจิ ยั พจิ ารณาประมวลความรู้ และประสบการณ์ของตนแล้วทาใหต้ ง้ั ข้อสงสยั วา่ ผู้ท่เี ลี้ยงดูเด็กอาจจะขาดความตระหนักถึงการสง่ เสริม พฒั นาการเด็ก ยงั คงรบั รวู้ า่ พัฒนาเกิดขนึ้ ไดเ้ องตามวยั ของเด็ก และขาดความรู้ในการสง่ เสริมพฒั นาการ เด็ก ซึง่ ข้อสงสัยนอี้ าจจะเป็นจุดเรม่ิ ตน้ ของการได้ปญั หาวิจัย และนกั วิจัยสามารถใช้ประเด็นปัญหาหรือข้อ สงสัยนี้มาเปน็ ปัญหาวิจัยเพ่ือต้องการหาคาตอบ และหากแนวทางแก้ไขต่อไป เป็นต้น 3. จากการอ่านเอกสารวิชาการ งานวิจัย การทบทวนวรรณกรรมต่างๆ นกั วิจัยมักจะได้ มมุ มองข้อเสนอแนะของนักวิชาการ นักวิจยั ผูร้ อบร้ใู นศาสตรส์ าขาต่าง ๆ ได้แก่ วิทยานิพนธ์ หรือรายงาน การวจิ ยั บทความวจิ ัยต่าง ๆ จากการศึกษาบทคดั ย่อของงานวจิ ัยที่หน่วยงานได้รวบรวมไว้ จะทาให้นักวจิ ัย เห็นว่าปัญหาวิจัยเรือ่ งใดมีคนศกึ ษาไวแ้ ลว้ และมีข้อเสนอแนะใดสาหรับการศกึ ษาวจิ ยั ครั้งต่อไป จะชว่ ยให้ นักวจิ ัยกาหนดปัญหาวิจัย ช่ือเรอื่ งวิจัยได้ง่ายขึ้น (ณรงค์ โพธิ์พฤกษานันท,์ 2556) ตัวอย่างแหลง่ ของปัญหาการวิจัย: การศกึ ษาวิจัยเรื่องปจั จัยสัมพันธก์ ับพฤติกรรมสุขภาพในผู้ป่วยโรคเบาหวานกลุม่ เสยี่ งของ การเกดิ โรคหวั และหลอดเลือด (ปาหนัน พิชยภญิ โญและคณะ, 2559) พบวา่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนดิ ท่ี 2 ท่ีเป็นกลุ่มเสี่ยงต่าและกล่มุ เสี่ยงสงู มีพฤติกรรมสุขภาพด้านการรบั ประทานอาหาร การปฏบิ ัติพฤติกรรม เสี่ยงและพฤติกรรมการเคล่อื นไหวออกแรง/ออกกาลงั ไม่แตกต่างกนั ในขณะทีผ่ ้ปู ่วยเป็นกล่มุ เส่ียงต่ามี พฤติกรรมการรบั ประทานยาและตรวจตามนดั ท่ีเหมาะสมกว่าผู้ป่วยกลุ่มเส่ียงสูง และปัจจัยการรับรู้ ความสามารถของตนเองในการป้องกนั โรคหวั ใจและหลอดเลอื ด การรบั รูอ้ ปุ สรรคการในการปฏบิ ตั ิตนใน การปอ้ งกันโรคหวั ใจและหลอดเลอื ดและแรงสนับสนนุ ทางสงั คมสามารถร่วมกันทานายการเกิดพฤติกรรม สุขภาพของกลุ่มตัวอย่างทง้ั หมดประมาณ ร้อยละ 19 ข้อเสนอแนะจากผลการวิจยั คือ การออกแบบ บริการควรมุ่งไปท่ีการเสรมิ สร้างการรับร้คู วามสามารถ ของตนเองในการปอ้ งกนั โรคหวั ใจและหลอดเลือด และลดการรบั รู้อุปสรรคในการปฏิบตั ติ นเพ่ือป้องกันโรคฯ เป็นอันดบั แรกเพื่อกระตุน้ ใหผ้ ู้ป่วยเกิดความ ตระหนักในโอกาสที่จะเกิดโรคหวั ใจและหลอดเลือดและสง่ ผลให้ ผู้ปว่ ยพรอ้ มท่ีจะจัดการภาวะของโรคดว้ ย ตนเอง และโปรแกรมปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรมควรคานงึ ถึงการมีส่วนร่วมของแรงสนับสนนุ ทางสังคมของ ผ้ปู ่วย เชน่ เพ่อื น บคุ คลในครอบครัว เปน็ ตน้ และการจดั โปรแกรมการส่งเสรมิ ให้อาสาสมคั รสาธารณสุขมี ความรู้และมีทกั ษะในการส่งเสรมิ พฤติกรรมเป็นส่งิ จาเปน็ ในการเพิ่มแรงสนบั สนุนทางสงั คมอีกทางหน่ึง
18 เช่นกนั ซ่ึงจากผลการวิจยั พบวา่ ผูป้ ว่ ยไดร้ บั ข้อมูลทางสุขภาพจากอาสาสมคั รสาธารณสุขน้อยกว่าจากแหล่ง อื่นๆ (ปาหนัน พชิ ยภญิ โญและคณะ, 2559) 4. จากการศึกษาทฤษฎีทีส่ นใจ เพ่ือตรวจสอบความสอดคลอ้ ง ความเปล่ยี นแปลง ความร้ใู น ศาสตร์ตา่ ง ๆ ถือเปน็ แหลง่ ของปญั หาวจิ ัย เน่ืองจาก ทุกศาสตร์มอี งคค์ วามรู้ (Body of knowledge) ที่ พัฒนาขึ้นมา (ณรงค์ โพธิพ์ ฤกษานันท์, 2556) เมอ่ื นักวิจัยนาศาสตร์ในสาขาของตนเองไปใช้แล้วเป็น อย่างไร หรือพบปัญหาอยา่ งไร วิชาชพี พยาบาลมีองค์ความรูข้ องตนเอง (พยาบาลศาสตร)์ เมื่อนักวิจยั นา องค์ความร้หู รอื ทฤษฎีทางการพยาบาลไปใชแ้ ลว้ อาจพจิ ารณาในแง่ของการนาองค์ความรไู้ ปประยุกตใ์ ช้แล้ว มีปัญหาใดบา้ ง มีจดุ อ่อนจดุ ด้อยอยา่ งไรในการนาไปประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ทีต่ า่ งกัน เป็นตน้ ตัวอยา่ งแหล่งของปญั หาการวิจยั : การศกึ ษาของ ปริญญา สริ ิอัตตะกลุ (2557) ศึกษาการวิเคราะห์องค์ประกอบเชงิ ยนื ยัน สขุ ภาพจิตของวนั รุ่นในภาคตะวนั ออก ผลการวจิ ัยพบวา่ องค์ประกอบของสุขภาพจิตของวัยรนุ่ ในภาค ตะวันออก ประกอบด้วย 4 องคป์ ระกอบ โดยเรียงน้าหนักองคป์ ระกอบจากมากไปน้อยได้ดงั นี้ คุณภาพ ของจิตใจ สมรรถนะของจิตใจ ปัจจัยสนบั สนุน และสภาพจิตใจ 5. จากหนว่ ยงานทป่ี ระกาศให้ทุนสนบั สนุนการวจิ ยั ในแต่ละปีหน่วยงานผู้ให้ทุนจะประกาศ ใหท้ ุนแก่นักวิจยั โดยมกี ารประกาศเชญิ ชวนนักวิจยั ใหส้ ง่ ข้อเสนอโครงการวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้องกบั แหล่งทนุ นั้น โดยแหล่งทุนน้นั ได้เปน็ ผ้เู ลง็ เหน็ ปญั หาวจิ ยั และกาหนดวัตถุประสงค์ของทนุ นอกจากนี้ปญั หาวิจัยนักวิจัย อาจได้จากความตอ้ งการของหนว่ ยงาน เปน็ งานวจิ ัยเพื่อตอบสนองต่อความตอ้ งการขององค์กร โดยที่ องค์กรอาจกาหนดทิศทางการวจิ ยั (Term of Reference: TOR) เพ่ือใชเ้ ป็นกรอบในการทาวจิ ัย จะเป็น เร่ืองทหี่ น่วยงานต้องการหาคาตอบ (ณรงค์ โพธิพ์ ฤกษานันท์, 2556) ตัวอย่างแหล่งของปัญหาการวิจัย: สถาบนั วจิ ัยระบบสาธารณสขุ (สวรส.) ประกาศรบั ข้อเสนอโครงการวิจัยและนวตั กรรม โรคติดเชเอไวรสั โคโรนา 2019 ซึง่ ได้กาหนดกรอบโครงการวิจยั ไว้ 3 ประเด็น ไดแ้ ก่ 1) การวจิ ยั เพอ่ื สร้าง ความเขม้ แขง็ ในการตอบสนองตอ่ การระบาด 2) การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาการจดั การหลังภาวะวิกฤต 3) การวิจัย เพือ่ พฒั นาวธิ กี ารรักษาและระบบวัคซนี ป้องกนั COVID-19 6. จากการปฏบิ ัติงานในสาขาท่ีเก่ยี วข้อง แล้วพบข้อสงสยั หรือปัญหาและไมส่ ามารถค้นหา คาตอบไดจ้ ากแหล่งข้อมลู ใด ๆ หรอื ไม่เชื่อม่ันในคาตอบที่มีอยหู่ รอื ต้องการตรวจสอบคาตอบทีม่ ีอยูใ่ ห้แน่ ชัดลงไปเพื่อให้เกิดความชดั เจน จนเกดิ ขอ้ สงสัยท่ีตอ้ งการคาตอบ ซง่ึ ปาริชาติ สถาปิตานนท์ (2546) ให้ มมุ มองว่าเม่ือเกดิ ปัญหาในการทางานหรือเกิดข้อสงสัยในการปฏิบัติงานและต้องการหาข้อเท็จจริงหรือแนว ทางแก้ไข ทาให้นกั วิจยั ไดป้ ญั หาการวิจัย แล้วทาวจิ ยั เพ่ือแก้ปญั หานน้ั ๆ การวิจัยทจ่ี ะตอบสนองต่อปัญหา หรือความไมช่ ัดเจน ข้อสงสัยในการปฏบิ ัตงิ านท่ีนยิ ม ไดแ้ ก่ งานวิจัย Routine to research ซง่ึ ไดป้ ัญหา หรือขอ้ สงสัยจาก งานประจาสูง่ านวจิ ัย ตวั อยา่ งแหลง่ ของปญั หาการวิจยั : การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกนั โรคไขเ้ ลอื ดออกของอาสาสมัคร สาธารณสุขประจาหมูบ่ า้ น (อสม.) โดยการสง่ เสริมการทางานแบบมสี ว่ นรว่ มตามสภาพจริง รพ.สต.ทา่ ผา
19 อ.บ้านโป่ง จ.ราชบรุ ี (ผ่องศรี พลู ทรพั ย์ รชั นี ครองระวะ ภิรมย์ ล้สี วุ รรณ, และบรรณฑวรรณ หริ ัญเคราะห,์ 2559) 7. จากนโยบาย ประเดน็ ทางสังคม ของประเทศ 2.3 การประเมินปญั หาการวิจยั การประเมินปญั หาการวิจัยควรดาเนินการตัง้ แตก่ ่อนทาวจิ ัย ซงึ่ ทาใหผ้ วู้ จิ ยั ได้พจิ ารณาตรวจสอบ และตดั สนิ ใจทาวิจยั ต่อไป ซึ่งหากไม่ได้ประเมินปญั หาการวิจยั อาจเกิดความผดิ พลาดขึน้ ภายหลงั จากได้ ดาเนินการวจิ ัยไปแล้วจะเกดิ ความเสียหายตามมา เกณฑก์ ารประเมินปญั หาการวิจัย มดี ังนี้ 1.ปญั หาการวจิ ยั ควรเป็นปัญหาทีผ่ ู้วจิ ัยมคี วามตอ้ งการศกึ ษา มคี วามสนใจ ตรงกบั ความต้องการ ของหนว่ ยงาน หรอื ผู้ให้ทุนสนับสนนุ การวจิ ัย ซง่ึ มลี ักษณะ ดังน้ี 1.1 มคี วามอยากรู้อยากทราบคาตอบโดยเกดิ จากความสนใจอยา่ งแทจ้ รงิ จะส่งผลให้ผวู้ จิ ยั ต้งั ใจ มีความกระตือรือร้นในการทาวจิ ัย 1.2 ความตอ้ งการของหน่วยงาน หรอื ผูใ้ ห้ทนุ สนับสนุนการวิจยั 1.3 เปน็ ปัญหาท่แี สดงความคิดรเิ รม่ิ ของผ้วู ิจัยเอง 2. ปญั หาวิจัยมีคณุ คา่ ซึ่งมลี กั ษณะ ดงั น้ี 2.1 ก่อให้เกิดความรู้ ขอ้ เท็จจรงิ ใหม่ๆ ไม่ซา้ ซ้อนกับผลงานผอู้ ่ืน เป็นประเด็นทที่ นั สมัยและ สอดคลอ้ งกับเหตุการณ์ทางสังคม 2.2. ก่อใหเกิดสตปิ ัญญาและพฒั นาความคดิ 2.3 ประโยชน์จากข้อคน้ พบจะสามารถนาไปใช้ได้กวา้ งขวาง นาไปแก้ไขปรับปรงุ งานที่ทาอยู่ ได้ บคุ คลหรือหนว่ ยงานลักษณะใดทีส่ ามารถนาเอาขอ้ ค้นพบไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ หรือ ใช้ไดอ้ ย่างไร ระยะเวลา สถานที่ สถานการณ์ที่นาไปใช้ รูแ้ ลว้ จะมปี ระโยชน์หรอื ไม่ 3. ความรู้ความสามารถของผวู้ จิ ัยในประเดน็ ต่อไปน้ี 3.1 มีความรู้ ความสามารถพอท่ีจะทางานวจิ ยั เร่อื งนั้น ปัญหาในการวจิ ยั ตรงความสนใจ ของนักวจิ ัยหรอื ไม่ นักวิจยั มีประสบการณ์ ความสามารถ ความชานาญ ตลอดจนภมู ิ หลังเพียงพอท่จี ะทาวจิ ยั ในปัญหาน้ันหรอื ไม่ (อิทธิพันธ์ สวุ ทันพรกลู (2561) 3.2 มีเวลา กาลงั งาน และกาลงั ทรพั ย์พอที่จะทาไดส้ าเรจ็ -มที ีมงาน อุปกรณ์ เครงื่ อมือ เพียงพอที่จะทาวิจยั ให้มคี่ ุณภาพหรือไม่ มเี วลาเพียงพอทจี่ ะทาวจิ ยั หรือไม่ 3.3 สามารถเกบ็ ขอ้ มูลได้อยา่ งเที่ยงตรงและมีประสิทธิภาพ 4. ควรคานงึ ถงึ สง่ิ ท่ีจะเอ้อื อานวยให้การวจิ ยั สาเรจ็ ไดแ้ ก่ 4.1 มแี หลง่ วชิ าการทจี่ ะคน้ คว้าได้สะดวกและเพียงพอนักวิจัยสามารรถเข้าถึงแหลง่ ข้อ มูลไดเ้ พยี งพอหรอื ไม่ 4.2 มีอปุ กรณเ์ คร่ืองมือ และเครือ่ งชว่ ยในการวเิ คราะหข์ ้อมลู 4.3 ได้รับความสนบั สนนุ และร่วมมอื จากผเู้ กีย่ วขอ้ งดว้ ยดี
20 2.4 การตั้งชอ่ื เรื่องวิจัย แนวทางการต้ังชื่อเรอ่ื ง มีดงั น้ี (บญุ ใจ ศรสี ถติ นรากรู , 2552; รตั นศ์ ิริ ทาโต, 2552) 1. กระชับ ไม่ควรเกิน 2 บรรทัด ประโยคบอกเลา่ 2. ระบุตวั แปรท่ีศึกษา เชน่ ความเครยี ด ความเจบ็ ปวด การดแู ลตนเอง 3. ระบปุ ระชากรที่ศกึ ษา เช่น ผสู้ งู อายุ ผู้ปว่ ยเบาหวาน อาจระบุสถานทีถ่ ้าไม่ขัดจรยิ ธรรม ถ้า ทาให้เส่ือมเสยี ต่อกลุ่มตัวอยา่ งหรอื สถาบันไมต่ ้องระบุ 4. สามารถคาดการณ์รปู แบบการวจิ ัยได้ เชน่ การวิจยั แบบบรรยาย แบบหาความสัมพันธ์ เชงิ ทานาย แบบทดลอง 2.4 การเขียนความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา แนวทางการเขียนความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา (รตั นศ์ ิริ ทาโต, 2552) 1. ขนาดของปัญหา ให้หาสถติ ทิ ่ที นั สมัย 5 ปี ย้อนหลัง และต้อง update เรื่อย ๆ จนกระท่ังเลม่ จบและตีพิมพ์ 2. ผลกระทบของปญั หา เมื่อเกิดปญั หาทาให้เกิดอะไรขึ้น ดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เศรษฐกจิ 3. การศกึ ษานาร่อง (Pilot study) ว่าพบปญั หาอะไร 4. มีการเขยี นชอ่ งว่างของความรู้ (Gap of knowledge) สรปุ งานวิจยั ที่ผา่ นมาเขาพบอะไรมาแลว้ บ้าง ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องอะไร หรือเรื่องที่เราสนใจศึกษายงั ศึกษาไมค่ รอบคลมุ หรือยังตอบคาถามไม่ได้ 5. ความสาคัญของงานวิจยั น้ี 2.5 ตัวอยา่ งปัญหาวจิ ัย
21
22 เอกสารอ้างอิง บญุ ใจ ศรีสถิตนรากูร. (2552). ระเบียบวธิ ีการวจิ ัยทางพยาบาลศาสตร์. พมิ พ์ครัง้ ที่ 3. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั ยแู อนด์โอ อินเตอรม์ ีเดีย จากดั . ปาหนนั พชิ ยภญิ โญ สนุ ยี ์ ละกาปน่ั ดสุ ติ สจุ ริ ารตั น์ และ วนั เพญ็ แกว้ ปาน. (2559). ปจั จยั สัมพันธก์ ับ พฤตกิ รรมสุขภาพในผูป้ ว่ ยโรคเบาหวานกลุ่มเส่ยี งของการเกดิ โรคหัวใจและหลอดเลอื ด. สืบคน้ เมอื่ 5 กรกฎาคม 2563. สบื คน้ จาก https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/4386?locale- attribute=th พร้อมจิตร ห่อนบุญเหมิ . (2562). เอกสารประกอบการสอนการกาหนดปัญหาการวิจัย. คณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย มหาสารคาม. พัชราพร ควรรณสุ, ปทมุ ทพิ ย์ ม่านโคกสงู และพรพิมล ควรรณสุ. (2562). การตั้งครรภ์ไม่พงึ ประสงค์ของ วยั รนุ่ หญงิ ในจงั หวัดนครพนม. วารสารการบริหารการปกครอง, 8(1): 497-518 ณรงค์ โพธ์พิ ฤกษานนั ท์. (2556). ระเบยี บวิธีวิจัย: หลักการและแนวคิด เทคนคิ การเขียนรายงานการวจิ ัย. พิมพค์ ร้ังท่ี8. กรุงเทพฯ: เอกซเ์ ปอร์เน็ท. ณัฐวธุ แก้วสทุ ธา. (2556). ปญั หาการวิจัย คือ หวั ใจของกระบวนการวจิ ัย” The Problem: The Heart of the Research Process. สืบคน้ เมอ่ื 5 กรกฎาคม 2563. สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/516994 รตั น์ศิริ ทาโต. (2552).การวิจยั ทางการพยาบาลศาสตร์: แนวคดิ ส่กู ารประยกุ ตใ์ ช้. (พมิ พ์ครงั้ ท2ี่ ). กรงุ เทพฯ: โรง พิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั วรรณี แกมเกต.ุ (2555).วิธีวทิ ยาการวจิ ัยทางพฤตกิ รรมศาสตร์. พมิ พ์ครั้งท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. วสุ สันตมิ ติ ร (2563). การกาหนดโจทย์การวจิ ยั แบบบรู ณาการท่ีสอดคล้องกับนโยบายการวจิ ัยตามกรอบ แนวคดิ และหลกั การของแผนพฒั นาเศรษฐกจิ กิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12. สบื คน้ เมื่อ 5 กรกฎาคม 2563. http://www.agri.rmutsb.ac.th/website/uploads/wasu1.pdf สุวิมล ว่องวานชิ . (2550). แนวทางการให้คาปรึกษาวทิ ยานิพนธ์. (พมิ พ์ครัง้ ที่ 2). กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. องอาจ นัยพัฒน์. (2551). วิธวี ิทยาการวจิ ยั เชิงปรมิ าณและเชงิ คณุ ภาพทางพฤตกิ รรมศาสตร์และสังคมศาสตร.์ (พิมพค์ รั้งท่ี 3). กรงุ เทพฯ : สามลดา อิทธิพนั ธ์ สวุ ทนั พรกลู (2561). การวจิ ัยทางการศึกษา: แนวคิดและการประยุกตใ์ ช.้ พิมพ์ครัง้ ท1่ี . กรุงเทพฯ: โรง พมิ พ์แห่งจฬุ ากรณม์ หาวิทยาลยั . Grove, S. K. & Burn, N. (2014). Understanding nursing research: Building an evidence-based practice. (6th ed). Maryland Heights: Elsevier Saunders. McCombes, S. (2020). Research problem. Retrieved from https://www.scribbr.com/ research- process/research-problem/ Polit, D. F. & Beck, C. T. (2008). Nursing research: Generating and Assessing Evidence for Nursing Practice. (8th ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. Sesay A. (2012). Educational research: a Beginner’s Guide. USA: Xlibris Corporation.
หน่วยท่ี 3 การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับการวจิ ัย ผศ.ดร.อภญิ ญา วงศ์พริ ยิ โยธา ผลการเรยี นรู้ 1. บอกความหมายของการทบทวนวรรณกรรมได้ 2. บอกจุดประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมได้ 3. บอกแหลง่ ข้อมลู ของวรรณกรรมทเี่ กีย่ วข้อง 4. บอกปญั หาในการคน้ หาเอกสารและข้อเสนอแนะในการค้นหาเอกสารได้ 5. บอกข้ันตอนของการทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง 6. บอกวิธกี ารสรปุ สาระหรือประเด็นสาคัญใส่บตั รหรอื ลงตารางได้ 7. บอกวิธีการเขยี นเรยี บเรียนวรรณกรรมที่คน้ ควา้ มาได้ บทนา การทบทวนวรรณกรรมเป็นขั้นตอนหนึ่งของงานวิจยั ท่ีจะใหม้ ีองค์ความรทู้ เ่ี กี่ยวข้องกบั เรอ่ื ง ที่จะทาวิจัย เพื่อใหผ้ วู้ ิจัยดาเนนิ การทาวิจัยได้ ตลอดจนเขียนรายงานการวิจยั ได้ ดังนนั้ ผเู้ รียนควรมี ความร้พู ืน้ ฐานในการทบทวนวรรณกรรมดังนี้ คาท่ีใช้ในการทบทวนวรรณกรรม (Review literature หรอื Literature review)การ ทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กีย่ วข้อง (Review of related literature) 3.1 ความหมายของการทบทวนวรรณกรรม การทบทวนวรรณกรรม หมายถงึ “การสบื ค้นขอ้ มลู แนวคดิ หรอื ทฤษฎี และเนื้อหาที่ เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีวจิ ยั หรือหัวขอ้ ที่ศึกษา โดยสบื ค้นจากส่อื และเอกสารวิชาการ ไดแ้ ก่ ตารา วารสารวชิ าการ รายงานการวจิ ยั วิทยานิพนธ์ และฐานข้อมลู ของเครือขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ต เปน็ ตน้ ” (บุญใจ ศรสี ถติ ย์นรากูร, 2553) การทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วขอ้ ง หมายถงึ “ การศึกษาเชงิ ทฤษฎี หรือผลงานวิจยั หรอื รายงานตา่ ง ๆ ที่เกย่ี วข้องกับแนวคดิ หรอื ทฤษฎใี นการทาวจิ ยั จากวารสาร หนังสอื ตารา รายงาน การวิจยั จดหมายเหตุหรือแหล่งความรู้อื่น ๆ นกั วจิ ยั จะทบทวนวรรณกรรมหลงั จากได้หัวข้อการ วจิ ัยอยา่ งกว้าง ๆท แล้ว การทบทวนวรรณกรรม ประกอบดว้ ย การอ่าน การฟงั การซักถาม เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจในสง่ิ ท่ีกาลงั ศกึ ษา รวมทั้งใชค้ วามสามารถในการวิเคราะห์และสงั เคราะห์ใหไ้ ดแ้ นวคิด ท่เี ปน็ ประโยชนใ์ นการทาวจิ ัย” (เพชรน้อย สิงห์ช่างชยั และทศั นีย์ นะแส, 2539) 3.2 วตั ถปุ ระสงคข์ องการทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง วัตถปุ ระสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมท่เี กย่ี วข้อง มดี งั น้ี (บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู , 2553) 1. เพ่ือสบื ค้นข้อมลู ทีเ่ ก่ียวข้องกับปัญหาท่ีผู้วจิ ัยสนใจศกึ ษา 2. เพอ่ื รวบรวมและวิเคราะห์ผลการวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ตัวแปรท่ีผวู้ จิ ยั สนใจศกึ ษา เพือ่ นามาใชป้ ระโยชนใ์ นการตั้งสมมติฐาน และเลือกตวั แปรที่เหมาะสม
24 3. เพอ่ื ศึกษาว่าแนวคดิ หรือทฤษฎใี ดท่เี หมาะสมสาหรับใชส้ นับสนนุ สมมตฐิ านการ วจิ ยั หรือใชอ้ ธบิ ายปญั หาการวจิ ยั ท่ีผูว้ จิ ัยสนใจศกึ ษา 4. เพื่อรวบรวมแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้องสาหรบั อภปิ รายผลการวิจยั หรือสนับสนนุ ผลการวิจยั 5. เพอ่ื ศึกษาวิธกี ารดาเนินการวจิ ัย จุดแข็งหรือจดุ ออ่ นในการวจิ ัย เพื่อใช้ ประโยชน์ในการออกแบบการวจิ ยั 6. เพ่ือนาข้อเสนอแนะจากงานวิจัยมาใช้ในการศึกษาต่อเน่ือง 3.3 แหลง่ ขอ้ มลู ของวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ปจั จุบันมีเทคโนโลยีท่ ่ีทนั สมัยเพื่ออานวยความสะดวกในการค้นคว้าทาให้ผู้วจิ ัยเข้าถงึ งานวจิ ัยต่างๆได้ง่ายขน้ึ แหล่งข้อมูลเพ่ือสบื ค้นแบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคือ 1. แหลง่ ข้อมูลปฐมภูมิ หมายถงึ ข้อมลู ตน้ ฉบบั (Original data) เป็นแหล่งข้อมลู ท่ี มีความถูกตอ้ งและเชื่อถือมากท่สี ุด เพราะเปน็ การส่อื ความหมายระหวา่ งผเู้ ขียนกับผอู้ ่านโดยตรง ผทู้ าวิจยั ควรหาขอ้ มลู ต้นฉบบั ใหไ้ ด้มากทส่ี ุด 2. แหลง่ ข้อมลู ทตุ ยิ ภูมิ วรรณกรรมท่ีมผี เู้ ขียนกล่าวถงึ หรือสรุปผลงานวิจัยของ ผู้อ่นื โดยทีผ่ เู้ ขียนไม่ได้คดิ เองหรอื ทาการวจิ ัยเรือ่ งนน้ั หรอื ไม่ไดอ้ า่ นจากตน้ ฉบับนั้น ตวั อย่างเชน่ ในตาราต่าง ๆ ผู้เขยี นจะอ้างถึงเน้อื หาท่คี นอนื่ ๆ กล่าวไว้ 1. แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ,มดี งั นี้ หนังสือ (Book, textbook) วารสาร (Journal) รายงาน วจิ ัย (Research report) วิทยานิพนธ์ (Thesis/dissertation) เวปไซต์ตา่ ง ๆ และ ฐานขอ้ มลู อเิ ลคโทรนิก เป็นต้น การอา้ งองิ จากแหลง่ ปฐมภมู ิ แบบที่ 1. ผเู้ ขยี นอยหู่ นา้ ประโยค ตัวอย่างสมมติ เชน่ สายใจ ใจดี(2556) ใหค้ วามหมายของการดูแลตนเองไว้วา่ การทบ่ี คุ คลปฏิบตั ิเพื่อ สนองตอบการดแู ลตนเองทจี่ าเป็นซง่ึ จะส่งเสริมใหบ้ ุคคลน้นั มีสุขภาพดี แบบที่ 2. ผเู้ ขยี นอยหู่ ลงั ขอ้ ความทต่ี อ้ งการอา้ งอิง ตวั อย่างสมมติ เชน่ การดูแลตนเองหมายถึง การทบ่ี คุ คลปฏิบัติเพือ่ สนองตอบการดแู ลตนเองท่จี าเปน็ ซง่ึ จะ สง่ เสริมให้บคุ คลนน้ั มสี ุขภาพดี (สายใจ ใจดี, 2556) เปน็ แหลง่ ข้อมลู ที่ไม่ใช่ตน้ ฉบับ แตผ่ วู้ ิจยั ไปคัดลอกข้อความมาจากท่มี คี นกลา่ วอา้ งมาอีกที การอา้ งองิ จากแหลง่ ทตุ ยิ ภมู ิ ตัวอยา่ งสมมติ เช่นหนงั สอื ของสขุ ใจ ดีมาก ปี พ.ศ. 2558 เขียนไวว้ า่ “การดูแลตนเองหมายถึง การทบ่ี คุ คลปฏบิ ตั ิเพอ่ื สนองตอบการดแู ลตนเองทจ่ี าเป็นซึง่ จะ สง่ เสริมให้บุคคลนน้ั มสี ุขภาพดี ” (สายใจ ใจดี, 2556: 50) .........................แหล่งปฐมภูมิ ผวู้ ิจัยหาตน้ ฉบบั ของสายใจ ไมไ่ ด้ จึงอา้ งต่อจากท่ี สุขใจ เขียนไว้
25 “การดูแลตนเองหมายถงึ การทบ่ี ุคลปฏบิ ตั เิ พ่ือสนองตอบการดูแลตนเองที่จาเป็นซง่ึ จะ ส่งเสรมิ ใหบ้ ุคคลน้ันมีสุขภาพดี” (สายใจ ใจดี, 2556 อ้างถึงใน สขุ ใจ ดีมาก, 2558)”............แหลง่ ทุตยิ ภูมิ 3.4 ปญั หาในการคน้ หาเอกสารและขอ้ เสนอแนะในการคน้ หาเอกสาร ปัญหาในการค้นหาเอกสารคือ ไม่รจู้ ักแบง่ เวลา ไม่รู้แหลง่ ข้อมูล ใช้นเตอรเ์ นตไม่เป็น ไม่รู้ วธิ ีสกัดขอ้ มลู ไม่รู้วธิ ีเขียน และเกบ็ เอกสารไม่เปน็ ระบบ (ธวชั ชยั วรพงศธร, 2543) ขอ้ เสนอแนะในการคน้ หาเอกสาร - สอบถามผู้รถู้ ึงแหล่งเอกสาร วิธีการเขยี น - จัดทาตารางเวลาในการคน้ หา - กาหนดหัวข้อในการค้นหา - เกบ็ เอกสารทีเ่ ป็นเรื่องเดยี วกันไวด้ ้วยกัน ใส่แฟม้ กล่อง - ในการอัดสาเนาเอกสารมาอย่าลืมเขียนชอื่ ผู้แตง่ ปีท่ีพมิ พ์ ชอื่ หนังสอื ชือ่ วารสาร จงั หวดั ท่ีพมิ พ์ ชอ่ื โรงพิมพม์ าด้วย (ให้เขียนไวห้ ัวกระดาษหรือทา้ ย กระดาษในหนา้ แรก) เพื่อเขียนอ้างอิงได้เม่อื เริ่มเขียนงาน 3.5 ขนั้ ตอนของการทบทวนวรรณกรรมและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง แบง่ เปน็ 4 ระยะ ดงั น้ี (ธวชั ชยั วรพงศธร, 2543) 1. ระยะการคน้ หาเอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง 2. ระยะอา่ นอย่างพนิ จิ พิเคราะห์ 3. การสรปุ สาระหรือประเด็นสาคญั ใส่บตั รหรือลงตาราง 4. ระยะเขียนเรยี บเรียง 1. ระยะการคน้ หาเอกสารและงานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง ระยะน้เี ปน็ ระยะกาหนดขอบเขตของการทบทวนวรรณกรรม ว่าเราตอ้ งการหาอะไร เช่น - ศกึ ษาตัวแปรท่ีเราสนใจ หาความหมาย การประเมนิ งานวิจัยท่เี ก่ยี วข้อง - ศึกษาปัญหาของกลุ่มตัวอยา่ งทเ่ี ราสนใจ คน้ หาสถติ ิต่าง ๆ จากแหลง่ ที่เชือ่ ถือได้ - ศึกษาเครือ่ งมือทใ่ี ช้วัดตัวแปรทีเ่ ราสนใจแล้วจงึ ดาเนินการหาทลี ะเนื้อหา หรือหา พร้อมกนั แล้วแต่ความถนดั ตวั อยา่ งการทบทวนวรรณกรรม “ปัญหาสขุ ภาพและคุณภาพชวี ิตของผู้ป่วยโรคหวั ใจลม้ เหลวเลือดคั่ง” ส่ิงที่ตอ้ งทบทวนคือ............................................................................ บทที่ 1 บทนา ..ความเป็นมาแล้วความสาคัญของปญั หา บทท่ี 2 วรรณกรรมทเี่ ก่ียวข้อง (เนน้ บทที่ 2) บทท่ี 3 วิธีการดาเนนิ การวิจัย บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลและอภปิ รายผล บทท่ี 5 สรุปผล (สว่ นใหญ่รายงานวิจัยจะประกอบดว้ ย 5 บท)
26 บทที่ 1 จะทบทวนเรอื่ ง ความเปน็ มาแล้วความสาคัญของปญั หา 1. สถิตผิ ปู้ ่วยโรคหวั ใจลม้ เหลวในระดับโลก ชาติ จงั หวัด รพ. 2. ปัญหาของผ้ปู ่วยท่ีมีผลกระทบดา้ นร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม เศรษฐกิจ คุณภาพชวี ติ ของผู้ป่วยหวั ใจลม้ เหลว 3. งานวิจัยท่แี สดงถึงปญั หาร่างกายและคุณภาพชีวิตของผ้ปู ่วยกลุ่มน้ี 4. ทาวจิ ยั เรอ่ื งนแ้ี ลว้ จะไดป้ ระโยชน์อะไร ทาใหเ้ กิดอะไรต่อไป บทท่ี 2 วรรณกรรมทเี่ กยี่ วขอ้ ง 1. แนวคดิ โรคหวั ใจลม้ เหลว ประกอบดว้ ยความหมาย สาเหตุ อาการ การรักษา 2. แนวคดิ คณุ ภาพชวี ติ ความหมาย องคป์ ระกอบของคุณภาพชีวติ การประเมนิ คณุ ภาพชีวิต 3. งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การศกึ ษาปัญหาสขุ ภาพและคณุ ภาพชวี ติ ของผปู้ ว่ ยกลมุ่ น้ี บทท3ี่ วธิ ีการดาเนนิ การวจิ ยั ค้นควา้ เรอ่ื ง การสุ่มตวั อยา่ ง การคานวณขนาดของตัวอย่าง การตรวจสอบคุณภาพของ เครือ่ งมอื (ความเทีย่ งตรงของเครือ่ งมอื ) สถิติท่ีใช้ในการวิจยั บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู และการอภปิ ราบผล คน้ คว้าเร่ือง การนาเสนอตาราง หางานวจิ ยั มาสนับสนนุ ผลการวจิ ยั และมาอภิปรายหาก การวจิ ยั ไม่เปน็ ไปตามทฤษฎีหรอื สมมติฐานท่ีตั้งไว้ การคน้ หาทาง website http://www.blaclwell-science. http://www.google.com http://www.moph.go.th http://www.americanheart.com http://www.thaihealthprofile.com ใหใ้ ส่คำสำคญั หรือตวั แปรท่ีเรำตอ้ งกำรกำรคน้ หำ เช่น Self-care, diabetes ; Nursing care of heart failure; Home care, heart failure 2. ระยะอา่ นอยา่ งพนิ จิ พเิ คราะห์ ใช้เวลามาก นาเอกสารท่ีได้มามาอา่ น และคดั เลือกอีกครงั้ เทคนิคกาอ่าน ในรอบแรกให้อา่ น สแกนหัวข้อก่อน รอบ 2 อ่านในหวั ขอ้ ที่สนใจอยา่ งคร่าว ๆ และรอบ 3 เลอื ก เร่ืองท่เี ราสนใจมาอ่านอยา่ งละเอยี ด และบนั ทึกสรุป (การบนั ทึกปจั จบุ นั คล่องตัวมากขึ้นดว้ ยการใช้ คอมพวิ เตอร์) การสรปุ สาระหรือประเดน็ สาคญั ใส่บตั รอา้ งองิ หรอื ลงตาราง 1. การทาบตั รอ้างอิง (reference card หรอื brief card) หากเปน็ ตาราหรือหนงั สือ ให้ ระบุ ชอื่ ผ้แู ต่ง ปที ่ีพมิ พ์ ชือ่ หนังสอื จังหวัดที่พมิ พ์ ช่อื โรงพิมพ์มาดว้ ย อย่างครบถว้ น ไว้บนบตั ร อ้างองิ ตวั อยา่ งสมมติ เชน่
27 บุญใจ ศรสี ถิ ติ ยน์ รากรู . (2550). ระเบยี บวธิ ีวิจยั ทางการพยาบาลศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร: ยูแอน ไอ อินเตอร์ มเี ดยี . ถา้ เปน็ วารสาร ระบุผูแ้ ต่ง (ลอกมาให้ครบทุกคน) ชื่อเรื่อง พศ. ปีท่ีพมิ พ์ เล่มที่ ฉบับท่ี เลขหนา้ มาด้วย ตวั อย่างเช่น อภิญญา วงศ์พริ ยิ โยธา. (2548). “ผลของโปรแกรมการสอนและให้ความรู้ต่อความรู้ พฤติกรรม การดูแลตนเอง และภาวะสุขภาพในผู้ท่มี ภี าวะหัวใจลม้ เหลวเลอื ดคง่ั ”,. วารสารวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลย่ี มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. 8(5), 45-54. การคดั ลอกขอ้ ความลงบตั รอา้ งองิ ควรคดั ลอกขอ้ ความมาลงบัตรอา้ งอิง ควรคัดลอกมาทุกคา โดยใสเ่ คร่อื งหมาย “…………” ทุกคา จะตัดทอนมิได้ แตต่ อนที่ไปเรยี บเรียงหากไม่ใช้เคร่อื งหมาย “……..” ให้เขยี นเปน็ คาพูด ของเราเองได้ แต่คงความหมายหรอื เนื้อหาเดิมไว้ และใสอ่ า้ งองิ ทุกครัง้ เพอ่ื ป้องกันปัญหาทาง จรรยาบรรณของการเขียนตาราหรอื เอกสาร จดุ จา - การเขียนเน้ือหาทม่ี ีผเู้ ขยี นไว้แล้ว หากไม่อา้ งอิง จะโดนข้อหาละเมิดลิขสิทธ์ทิ าง ปญั ญา - หากมกี ารสอบสวนจะมีความผดิ ถึงข้นั ไล่ออกจากการเปน็ นิสิตหรอื ขา้ ราชการได้ ตัวอย่างการบันทึกลงบตั รอ้างองิ (จากตาราหรือหนังสือ) อภญิ ญา วงศ์พิริยโยธา. (2558). การพยาบาลผู้ปว่ ยโรคหัวใจ. มหาสารคาม: คระพยาบาลศาสตร์ มหา่ วทื ยาลัย มหาสารคาม. ความหมายของหัวใจลม้ เหลวเลอื ดคง่ั : “การท่หี ัวใจไมส่ ามารถบบี เลือดและออกซเิ จนไปเลี้ยงร่างกายได้เพยี งพอ ทาให้ มีอาการเหนื่อยงา่ ย ออ่ นเพลยี และอาการท่เี กิดจากการมนี า้ คั่งในรา่ งกาย เช่น หอบ ไอ นอนราบไมไ่ ด้ และบวม” อาการ: อาการของหัวใจซีกขวาล้มเหลว เช่น บวมตามร่างกาย neck vein engorge………” อาการของหวั ใจซกี ซ้ายลม้ เหลว เชน่ หอบ ไอ นอนราบไมไ่ ด้ ..............” ตวั อย่างการบนั ทกึ ลงบตั รอ้างอิง (จากงานวจิ ยั ) ตัวออยภา่ ิญงกญาารบวันงทศกึ ์พลริ งยิ บโัตยธรอา.้าง(2อ5งิ 48(จ).าผกลงาขนอวงโิจปัยร)แกรมการสอนและใหค้ วามรู้ตอ่ ความรู้ พฤตกิ รรมการ ดแู ลตนเอง และภาวะสุขภาพในผทู้ ่ีมีภาวะหัวใจล้มเหลวเลอื ดคง่ั .. วารสารวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี่ มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. 8(5):45-54. วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั : เพื่อศกึ ษา ผลของโปรแกรมการสอนและให้ความรู้ต่อความรู้ พฤตกิ รรมการดแู ลตนเอง และภาวะสุขภาพ ในผทู้ ี่มภี าวะหัวใจลม้ เหลวเลอื ดค่ัง สมมตฐิ าน: 1. ผทู้ ่ไี ด้รับโปรแกรมโปรแกรมการสอนและให้ความรู้จะมีความรมู้ ากกวา่ ผ้ทู ่ีไม่ได้รับโปรแกรม ……..
28 แผ่นท่ี 2 หนา้ 2 เครอื่ งมอื ทใ่ี ชเ้ กบ็ ขอ้ มลู - แบบวดั ความรู้ - แบบวัดพฤตกิ รรมการดูแลตนเอง - แบบวัดอาการของผ้ปู ่วย การวเิ คราะหข์ อ้ มลู - เปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหวา่ งกลมุ่ ทดลองและกลมุ่ ควบคมุ โดยใชส่ ถิติ Man Whitney U Test ขอ้ เสนอแนะ:…………………………………… 2. ตารางสรปุ เนอ้ื หาสาคญั จากการทบทวนวรรณกรรม เมื่อไดข้ ้อมลู คล้ายกันจากหลายๆ แหล่ง และเขยี นลงบัตรอ้างองิ แล้วนาข้อมูลเหลา่ นั้นมา การลงตารางสรปุ เพ่ือให้เหน็ ภาพรวมเพื่อใช้ในการเขียนเรียบเรยี งลงในรายงานของผู้วจิ ัย ตวั อยา่ งการทาตารางสรปุ : 1. ถ้าเปน็ เนือ้ หาทฤษฎี ให้ออกแบบตารางตามเนือ้ หาทีไ่ ด้มา โดยแตล่ ะตารางจะเปน็ เน้ือหา เฉพาะ เชน่ ผูว้ ิจยั ไปอา่ นเรื่องหัวใจล้มเหลวมาจากหลาย ๆ เลม่ จงึ ทาตารางสรุปดงั น้ี ผแู้ ตง่ ความหมาย อาการ การรักษา การพยาบาล 1. อภญิ ญา, 2558 ........................... หายใจไมอ่ ม่ิ ยา.... จากดั นา้ บวม จากดั เคม็ 2. ผอ่ งพรรณ, 2552 .......................... ไอ นอนราบไมไ่ ด้ ยา.... นานหวั สงู 3. ชวนพศิ , 2545 .......................... หายใจลาบาก บวม ยา.... ใหอ้ อกซเิ จน 3. ถา้ เป็นงานวิจัย หากไดง้ านวจิ ัยท่มี ีลกั ษณะคล้าย ๆ กันมาหลาย ๆ เรื่อง ใหท้ าตารางสรปุ เรอื่ ง ผู้ ช่ือ วตั ถุ สมมตฐิ าน รปู แบบ ประชากร วธิ กี าร เครอื่ งมอื สถติ ิ ผล อภปิ ราย/ ที่ แตง่ / เรอื่ ง ประสงค์ หรอื คาถาม การวจิ ยั เลอื กกลมุ่ การ ขอ้ เสนอแนะ ปี ตวั อยา่ ง วจิ ยั อาจแยกสาระสาคัญเปน็ หลาย ๆ ตารางได้ เช่น รปู แบบ ประชากร ตารางที่ 1 การวจิ ยั เรอื่ ง ผแู้ ตง่ /ปี ชื่อเรอ่ื ง วตั ถปุ ระสงค์ สมมตฐิ านหรอื คาถาม ท่ี ตารางท่ี 2 วธิ กี าร เครอ่ื งมอื สถติ ิ ผลการ อภปิ ราย/ เลอื กกลมุ่ วจิ ยั ขอ้ เสนอแนะ เรื่อง ผแู้ ต่ง/ปี ตวั อยา่ ง ที่
29 4. ระยะเขยี นเรยี บเรยี ง ระยะนี้ผวู้ จิ ยั ต้องนาข้อมลู ท่ีไดม้ าจากระยะที่ 2 และ 3 มาเช่ือมโยงเขา้ ด้วยกนั โดยแบ่ง หวั ขอ้ ไวก้ ่อนว่าจะเขียนหัวข้ออะไรบา้ ง จากเนื้อหาที่ได้มา ดงั ตัวอยา่ งการเขยี นบทที่ 2 ของ งานวิจยั บทท่ี 2 วรรณกรรมท่ีเก่ยี วขอ้ ง การวจิ ัยคร้งั นี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง มีวตั ถุประสงค์เพื่อต้องการศึกษาผลของโปรแกรมการดแู ลที่ บ้านต่ออาการและคุณภาพชีวิตของผทู้ ี่มภี าวะหัวใจล้มเหลวเลือดคง่ั โดยผวู้ ิจัยได้ศึกษาวรรณกรรมที่ เก่ยี วข้องดงั นี้ 1. โรคหวั ใจลม้ เหลวเลอื ดค่งั 2. โปรแกรมการดูแลท่บี ้าน 3. การจดั การอาการและการประเมนิ อาการ 4. คุณภาพชวี ิตและการประเมนิ 5. งานวจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง ตวั อย่างการเขียนสรุปเนอ้ื หาจากการทบทวนวรรณกรรม การเขยี นเรยี บเรยี ง เขยี นแบบชอื่ ผเู้ ขยี นนา ตัวอย่างแปลจากงานวจิ ันของ Wongpiriyayothar et al. (2011) ในประเทศไทย, Wongpiriyayothar (2008) พบว่า ผู้สงู อายุทกุ รายท่ีมีหัวใจล้มเหลว มอี าการ หายใจลาบาก และร้อยละ 45 มีอาการบวมตามร่างกาย. ผูป้ ่วยทกุ รายมีอาการหายใจลาบาก เกอื บทกุ วนั และรับรูว้ ่าอาการหายใจลาบาก ใจส่ัน หวั ใจหยดุ เตน้ และหวั ใจลม้ เหลวทาให้ เสยี ชีวิตได้ Franzen, Blomqvist, and Saveman (2006) พบว่าผ้สู งุ อายุทม่ี ีหัวใจล้มเหลว มคี วามบกพร่องในการทาหน้าทด่ี า้ นร่างกาย ที่เกิดจาก อาการเหน่ือย ออ่ นล้า และหายใจ หอบ ซึง่ มผี ลกระทบต่อการทากจิ วัตรประจาวัน เขยี นแบบเนอื้ หานาแลว้ ตามดว้ ยผเู้ ขยี น แปลจากงานวจิ ยั ของ Wongpiriyayothar et al. (2011) โรคหัวใจล้มเหลว (Heart failure) เปน็ สาเหตสุ าคญั ทาใหเ้ สียชวี ติ ในประเทศไทย (กระทรวง สาธารณสุข, 2007) เปน็ โรคท่ีทาหเกดิ อาการหายใจลาบาก อ่อนลา้ ความทนต่อการทา ขกอ้ ิจเกตรอื รนมใลจดในลงกาแรลเขะยมี นี เ้ารคยี ั่งบในเรรยี ่างเกอากยสา(รAแhลmะงeาdน,ว2จิ 0ยั 0ท7เี่ ;กJี่ยeวsขs้อuงp,(ธeวtัชaชlัย., 2วร0พ09งศ; ธHรu,n2t5e4t3)al., 200-5; Lเuขcียkนsoเรnีย,บ2เ0รีย09งเ)อทกาสใาหร้ผแู้ปลว่ะยงาเขน้าวนิจอัยนทใเ่ี นกโย่ี รวงขพ้อยงาบใาหล้เลหือรอืกเขอ้ารเฉบั พกาะรขรัก้อษมูลาใแนลหะ้องางนฉกุวจิเฉยั นิ ที่ (Friedmเaกnีย่ ,ว1ข9้อ9ง7ก;ับMปญัcCหuาlทloี่จuะgศhกึ ,ษ2า0จ0ร2ิง) ๆ เท่านน้ั มาเขยี น
30 - การเขยี นเรยี บเรยี งต้องเน้นในลักษณะเชอ่ื มโยงและความต่อเน่ืองของเนอื้ หาในประเด็นท่ี เปน็ ปัญหาการวิจยั ซงึ่ เปน็ เป้าหมายสาคญั มากกว่าท่ีจะเขียนเรยี งลาดับก่อนหลังของ งานวจิ ยั - ต้องมีการเขยี นสรุปในตอนท้าย ไม่ใช่ปล่อยข้อความทง้ิ ไว้ และมีการเชอ่ื มโยงก่อนข้ึนเร่ือง ตอ่ ไป แนวทางการเขยี นเรยี บเรียงวรรณกรรม ผู้เขียนควรมแี นวทางการเขียนดงั นี้ 1. สว่ นเกริน่ นา ย่อหน้าแรกควรกล่าวนาว่าเนือ้ หาทเ่ี ราจะเขียนทั้งหมดเปน็ เร่ืองอะไร ประกอบด้วยหวั ขอ้ ย่อยอะไรบา้ ง เชน่ ในบทที่ 2 นีจ้ ะเปน็ การทบทวนวรรณกรรมเกีย่ วกบั ในหวั ขอ้ 1)โรคหัวใจลม้ เหลว ซงึ่ ประกอบด้วย ความหมาย อาการ การรกั ษา และการพยาบาล 2) แนวคิด เกี่ยวกับการดูแลตนเอง 3) การประเมนิ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และ 3) งานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ ง ดงั รายละเอียดต่อไปน้ี 2. สว่ นเนอื้ หา ใหเ้ รียงลาดับเน้ือหา 1. คมวผี า้ใู หม43หค้ ..วมสาามมยว่ ีกหขนามอสรางรโยเรชุปไควือ่ ห้ดมมังวัีกโนใยาจ้ี รงลสเม้ มรเื่อหุปเลเขมวา้ อื่ สจูห่ บัวแขตอ้ ล่ ใหะเมน่ ้ือหา ตัวอยอ่าภงญิ ญา ................................. xxxxxxxx............................... จากท่ีมผี ใู้ ห้ความหมายของหวั ใจลม้ เหลวไวห้ ลายคน สรุปได้วา่ โรคหัวใจลม้ เหลวหมายถงึ ....................................................................................................................................... ดังทีก่ ล่าวมาแล้วว่าโรคหัวใจ ล้มเหลวเปน็ ภาวะที่หัวใจไมส่ ามารถบีบตวั ได้ตามปกติ จึงทาใหเ้ กดิ อาการตา่ ง ๆ มากมาย ดงั ท่จี ะกลา่ วในหัวข้อต่อไป 2. อาการของโรคหวั ใจลม้ เหลว อาการของโรคหัวใจลม้ เหลวแบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื อาการทเี่ กิดจากหัวใจห้องซา้ ยลม้ เหลวและอาการของ ห้องล่างขวาลม้ เหลว ดังน…ี้ …… สรุป.................................................................................ตอ่ ไปจะกล่าวถงึ การรกั ษาผู้ที่มภี าวะหัวใจล้มเหลว 3. การรกั ษาผทู้ ม่ี ภี าวะหวั ใจลม้ เหลว…………………………………………………………………. สรปุ การทบทวนวรรณกรรมเป็นข้ันตอนสาคญั ของการวจิ ยั ซ่ึงผู้วจิ ัยต้องมกี ารทบทวนวรรณกรรม ในทขุ ั้นตอนของการวจิ ยั ตง้ั แต่การกาหนดปัญหา การหาแนวคดิ หรอื ทฤษฎที ี่นามาใช้ในการวิจยั การ กาหนดสมมตฐิ าน การกาหนดรูปแบบการวจิ ัย การเลือกใช้สถิติ การวิเคราะห์ขอ้ มลู จนถึงการ อภิปรายผลการวจิ ยั ขนั้ ตอนนีผ้ วู้ ิจยั ต้องมกี ารสงั เคราะห์ข้อมลู อย่างเป็นระบบลงในตารางหรอื บตั ร อ้างอิงและเขียนเรยี บเรยี งความรู้ที่ได้ลงในรายงานการวิจัย มกี ารอา้ งอิงแหลง่ ที่มาได้ถูกต้องและ ทนั สมยั
31 บรรณานกุ รม บุญใจ ศรสี ถิ ิตย์นรากรู . (2550). ระเบียบวิธีวจิ ยั ทางการพยาบาลศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร: ยแู อน ไอ อนิ เตอร์ มีเดยี . ประกาย จโิ รจน์กลุ . (2548). การวิจยั ทางการพยาบาล: แนวคิด หลกั การและวิธปี ฏบิ ตั .ิ กรงุ เทพมหานคร: สร้างสือ่ จากัด. เพชรน้อย สงิ หช์ า่ งชยั , ศิรพิ ร ขมั ภลขิ ิต, ทัศนยี ์ นะแส . (2539). วิจัยทางการพยาบาล: หลกั การ และกระบวนการ. สงขลา: เทมการพิมพ์ ธวัชชยั วรพงศธร. (2543). หลักการวิจัยทางสาธารณสุข. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . อภิญญา วงศ์พิรยิ โยธา, สพุ ัตรา บัวท,ี สมเสาวนชุ จมูศร,ี นงเยาว์ มเี ทยี น, วไิ ลพร พิทักษานุรัตน.์ (2548). ผลของการพยาบาลด้วยระบบสนบั สนนุ และให้ความรู้ต่อระดับความรู้พฤติกรรมการดแุ ลตนเอง และภาวะสุขภาพในผ้ทู ม่ี ภี าวะหวั ใจล้มเหลวเลอื ดคัง่ . วารสารวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม, 24(2), 41-48 . Wongpiriyayothar, A. &Williams, P. D. (2011). Health related quality of life among patients with cardiovascular disease: A comparison of age and diseases. Journal of Nursing Science and Health, 35(4), 118-128.
ลาดบั Authors Objective Design Setting In Year level Sample 1 ทีปภา พุดปา 1. งานวจิ ยั เชงิ กลุ่ม โปรแกรมการส่ง 2551 ผลของ เปรยี บเทยี บ ทดลองทม่ี ี ตัวอย่างเป็น ประกอบดว้ ย โปรแกรมการ ความสามารถ การสุ่มและ ผปู้ ่วย -การส่งเสริมสม ส่งเสริม ในการทา มกี ลมุ่ สูงอายุ 1) การมปี ระสบ สมรรถนะแห่งตน หน้าท่ีของ ควบคุม COPD ความสาเร็จดว้ ย และการ รา่ งกาย/ กลุ่มละ 16 2) การสังเกตผอู้ สนบั สนนุ ทาง ระหวา่ งกลมุ่ คน 3) การใชค้ าพดู สงั คมในการออก ทดลองและ 4) การปรบั สภา กาลงั กายตอ่ กลมุ่ ควบคุม อารมณ์ ความสามารถใน 2. เปรยี บ -การสง่ เสรมิ กา การทาหนา้ ที่ของ เทียบอาการ ผวู้ ิจัย 3 ด้าน ได รา่ งกายและ หายใจลาบาก 1) การสนบั สนุน อาการหายใจ ระหว่างกลมุ่ (informationa ลาบากใน ทดลองและ 2) การสนบั สนนุ ผู้สูงอายโุ รคปอด กลุ่มควบคมุ บริการ (instrum อุดกน้ั เรอ้ื รงั โปรแกรม 3) การสนบั สนุน 2 นวลจนั ทร์ พิมพ์ เพอ่ื ศกึ ษาผล งานวจิ ยั เชิง ผปู้ ว่ ยโรค -การใหค้ วามรเู้ ร รักษา 2550 ของโปรแกรม ทดลองท่ีมี ปอดอุดกัน้ และการดแู ลตน โปรแกรมการ การส่งเสรมิ การสมุ่ และ เรือ้ รงั ท่มี า -การฝึกการฟื้น ส่งเสรมิ ความสามารถ มีกลมุ่ รับบรกิ ารท่ี -การติดตามเยย่ี ความสามารถใน ในการดแู ล ควบคมุ คลนิ กิ โรค ดว้ ยโทรศัพท์ การดแู ลตนเอง ตนเองต่อ กลุ่มละ 15 ปอดอุดก้ัน ต่อพฤติกรรมการ พฤติกรรม คน เร้ือรงั
32 ntervention Measurement Findings สรปุ เพอื่ นาไปใช้ -ความสามารถใน งเสริมสมรรถนะแห่งตนฯ การทาหนา้ ทข่ี อง ระยะเวลาในการศกึ ษา 3 รปู แบบการออก รา่ งกาย มรรถนะแหง่ ตน ดงั น้ี -คะแนนอาการ เดอื น กาลังกายท่ี บการณท์ ีเ่ คยประสบ หายใจลาบาก ย -ความสามารถในการทาหน้าที่ เหมาะสมกับ อืน่ ประสบความสาเรจ็ -การประเมิน ดชกั จูงหรือช้แี นะดว้ ยวาจา สมรรถภาพปอด ของรา่ งกายจากการประเมิน ผู้สูงอายุ 3 าพทางดา้ นรา่ งกายและ -ค่าเฉลย่ี ของ คะแนนความรสู้ กึ ดว้ ยระยะทางท่ีสามารถเดนิ รูปแบบรว่ มกนั ารสนบั สนนุ ทางสงั คม จาก หอบเหนื่อย โดย ด้แก่ การใช้การเดนิ 6 บนทางราบ คือ นดา้ นข้อมลู ข่าวสาร นาที al support) ในเวลา 6 นาที (เมตร) ของ -การบรหิ ารการ นดา้ นวัตถแุ ละสงิ่ ของหรือ mental support) กล่มุ ทดลองสูงกวา่ กลุ่ม หายใจรว่ ม นดา้ นอารมณ์ รอื่ งโรคปอดอดุ กน้ั เรอ้ื รัง ควบคมุ อยา่ งมีนยั สาคัญทาง -การบริหาร นเอง นฟสู มรรถภาพปอด สถติ ิทีร่ ะดับ .001 กล้ามเนื้อร่างกาย ยมบ้านและการติดตาม - คะแนนอาการหายใจลาบาก สว่ นบน ของกล่มุ -การบริหาร ทดลอง น้อยกวา่ กลุม่ กลมุ่ กล้ามเนอ้ื ร่างกาย ควบคุม อย่างมีนัยสาคญั ทาง ส่วนลา่ งโดยการ สถติ ิทีร่ ะดับ .001 เดนิ ออกกาลังกาย -คา่ เฉลี่ยของสมรรถภาพปอด โปรแกรมส่งเสรมิ (PEFR) กอ่ นและหลังเทดลอง ความสามารถใน ไม่มีความแตกตา่ งกนั การดูแลตนเองนี้ -คา่ เฉลี่ยของคะแนนความรสู้ กึ สามารถใชไ้ ด้กับ หอบเหน่อื ยกอ่ นและหลงั ผู้ปว่ ยที่มีความ ทดลองมคี วามแตกต่างกัน รุนแรงของโรคใน อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่ี ระดบั 1-2 เท่านนั้
ดูแลตนเอง ภาวะ การดแู ล หายใจลาบาก ตนเอง ภาวะ และสมรรถภาพ หายใจลาบาก ปอด ในผู้ป่วย และ โรคปอดอุดกนั้ สมรรถภาพ เรอื้ รงั ปอดในผู้ปว่ ย COPD ตวั อยา่ งการสรปุ ผลการ ทปี ภา พดุ ปา (2551) ได้ศกึ ษาผลของโปรแกรมการสง่ เสริมสมรรถนะแห่งตนและการสนบั หายใจลาบากของผสู้ งู อายโุ รคปอดอดุ กน้ั เรือ้ รัง จานวน 32 ราย สุ่มเข้ากลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคมุ โดย สนับสนุนทางสงั คมในการออกกาลงั กาย เครอื่ งมือการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ได้แก่ แบบสมั ภาษณ์ข้อมลู ส่ว ลาบาก ใชร้ ะยะเวลาในการศึกษา 3 เดือน ผลการศกึ ษาพบวา่ กลมุ่ ทดลองมีความสามารถในการทาหนา้ อาการหายใจลาบากน้อยกว่ากลมุ่ ควบคมุ นวลจนั ทร์ พมิ พ์รักษา (2550) ได้ศกึ ษาผลของโปรแกรมก สมรรถภาพปอดในผูป้ ว่ ยโรปอดอดุ ก้นั เรอ้ื รงั จานวน 30 คน แบง่ เปน็ 2 กลุม่ โดยการสมุ่ ใชร้ ะยะเวลาใน ตนเอง การฝกึ การฟ้ืนฟสู มรรถภาพปอด การตดิ ตามเยยี่ มบา้ นและการติดตามด้วยโทรศพั ท์ ผลการศกึ ค่าเฉล่ียของคะแนนความรสู้ กึ หอบเหน่อื ยลดลง
2373 ระดับ 0.01 ซึง่ หากมกี าร -ค่าเฉล่ียของคะแนน พฒั นาหรอื เพิม่ พฤตกิ รรมการดูแลตนเองก่อน กิจกรรมอาจจะ และหลังการทดลองแตกตา่ ง สามารถใช้ได้ผล กนั อยา่ งงมนี ัยสาคัญทางสถิติ กับกล่มุ ผปู้ ่วยทม่ี ี ทีร่ ะดบั 0.01 ความรนุ แรงใน ระดบั 3-4 รวจิ ยั จากตารางเพอื่ ใช้ในบทที่ 2 บสนุนทางสังคมในการออกกาลังกายต่อความสามารถในการทาหน้าทข่ี องรา่ งกายและอาการ ยการสุ่ม กลมุ่ ละ 16 ราย กล่มุ ทดลองไดร้ บั โปรแกรมการสง่ เสรมิ สมรรถนะแหง่ ตนและการ วนบคุ คล แบบบนั ทกึ ระยะทางทสี่ ามารถเดนิ บนทางราบในเวลา 6 นาทแี ละแบบวัดอาการหายใจ าที่ของร่างกายของผสู้ งู อายุโรคปอดอดุ ก้ันเรอ้ื รงั กลมุ่ ทดลองสูงกว่ากลุม่ ควบคมุ แตม่ ีคะแนน การสง่ เสริมความสามารถในการดแู ลตนเองต่อพฤติกรรมการดูแลตนเอง ภาวะหายใจลาบากและ นการศกึ ษา 12 สัปดาห์ กลมุ่ ทดลองไดร้ ับการใหค้ วามรเู้ รือ่ งโรคปอดอดุ กัน้ เรือ้ รงั และการดแู ล กษาพบวา่ ค่าเฉลี่ยสมรรถภาพปอด คา่ เฉลีย่ ของคะแนนพฤติกรรมการดูแลตนเองเพ่มิ ขึ้น และ
หนว่ ยที่ 4 การพัฒนากรอบแนวคดิ ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์.ดร.อภญิ ญา วงศพ์ ริ ยิ โยธา ผลการเรียนรู้ 1. บอกความหมายของกรอบแนวคดิ ได้ 2. บอกแหลง่ ขอ้ มลู ท่สี าคัญในการสรา้ งกรอบแนวคิดได้ 3. บอกลกั ษณะของกรอบแนวคิดได้ 4. บอกวตั ถปุ ระสงค์ของการมีกรอบแนวคิดหรือทฤษฏีได้ 5. บอกทฤษฏที ีจ่ ะนามาสร้างเป็นกรอบสาหรับการวจิ ยั ได้ 6. ความสาคัญหรือประโยชน์ของการมีกรอบแนวคิดหรือทฤษฎีได้ 7. บอกการสร้างกรอบแนวคิดหรอื ทฤษฎี/กระบวนการคิดเพื่อสรา้ งกรอบแนวคิดได้ 8. การตรวจสอบคุณภาพของกรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั บทนา กรอบแนวคิด เปน็ สิ่งจาเป็นสาหรบั นักวจิ ยั ทจ่ี ะใช้กาหนดขอบเขตในการวจิ ยั โดยมกี ารนาทฤษฎีต่าง ๆ เป็นแนวทางในการกาหนดกรอบแนวคิด เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นสามารถพัฒนากรอบแนวคดิ ในการทาวิจัยได้ ผเู้ รยี นควร มีความรู้ในเรื่องต่อไปน้ี 4.1 ความหมายของกรอบแนวคดิ “A research framework is a researcher’s perceptive about how the concepts and variables of interest in a study fit together. “กรอบแนวคดิ คือมุมมองของนกั วิจัยเกย่ี วกบั มโนมติและตัวแปรที่สนใจในการศึกษา และนามา เชอื่ มโยงกนั ให้เหมาะกบั เรอื่ งที่ศึกษา” (Burn & Grove, 2005) “กรอบแนวคดิ เป็นส่งิ ทเี่ ป็นนามธรรม แสดงความเปน็ เหตเุ ปน็ ผลซึ่งมาจากสว่ นหน่งึ ของทฤษฎที ี่ ใหแ้ นวทางในการทาวจิ ยั ชว่ ยใหน้ กั วจิ ยั ค้นหาผลลพั ธท์ ่จี ะเกิดข้นึ ทเ่ี ช่ือมโยงทฤษฎที ่ีนามาใช้” (Grove & Burn, 2014) “กรอบแนวคดิ เป็นการประมวลความคิดรวบยอดของงานวิจัยว่างานวจิ ัยทก่ี าลงั ทาอยูน่ ้ีมีตัวแปร อะไรบา้ งทเ่ี กีย่ วข้อง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปรตา่ ง ๆ ที่ตอ้ งการศกึ ษาเปน็ อยา่ งไร มตี ัวแปรอะไรเป็นตวั แปร
35 อสิ ระและตวั แปรตาม กรอบแนวคิดจะได้มาจากทฤษฎีหรืองานวิจัยต่าง ๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง..........เป็นตัวชีน้ าให้ งานวิจัยเปน็ ไปในแนวทางที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์” (เพชรนอ้ ย สงิ หช์ ่างชยั และทัศนีย์ นะแส, 2539) “กรอบแนวคิด เปน็ การสรา้ งขอบเขตเชอื่ มโยงแนวคดิ ท่สี าคญั ของงานวิจยั แต่ละเร่ือง เป็นข้นั ตอนที่ ผวู้ จิ ัยจะต้องนาข้อมูลจากหลายแหลง่ มาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพ่ือให้ไดข้ ้อมูลท่ีสาคญั และเกย่ี วข้องกบั งานวิจัยจรงิ ๆ เป็นการสรปุ ภาพรวมให้ผอู้ ื่นมองเหน็ ว่า งานวิจัยน้ีมแี นวคิดทสี่ าคัญอะไรบา้ ง มีการเช่อื มโยง เกย่ี วข้องกันอย่างไร มีความสัมพันธ์กนั แบบธรรมดาจนถึงแบบซบั ซอ้ น ซง่ึ งานวิจยั บางเร่ืองทีเ่ ช่อื มโยงแนวคดิ น้ี วา่ รูปแบบหรือตัวแบบ (Model) ก็ได้” (ธวัชชยั วรพงศธร, 2543) 4.2 แหล่งขอ้ มลู ทีส่ าคัญในการสร้างกรอบแนวคดิ แหลง่ ขอ้ มลู ที่สาคัญในการสร้างกรอบแนวคดิ มาจากทฤษฎี ข้อความสรุปเชงิ ประจักษ์ท่ีมีการพสิ ูจน์ แล้ว สมมติฐานต่าง ๆ ทท่ี ดสอบแล้ว และงานวิจยั (ธวัชชยั วรพงศธร, 2543) 4.3 ลักษณะของกรอบแนวคดิ การเขียนกรอบแนวคิดมี 2 แบบคอื แบบบรรยาย และ แบบ Model or Diagram ตวั อย่างที่ 1 : กรอบแนวคดิ งานวจิ ยั แบบพรรณนา เรอ่ื ง “การจดั การอาการของผูป้ ่วยมะเรง็ เตา้ นมท่ไี ด้รับการรักษาด้วยเคมบี าบัดสตู รใหม่” ของอจั ฉราภรณ์ ม่วงมลุ ตรี อภิญญา วงศ์พริ ยิ โยธา นงเยาว์ มเี ทยี น (2560) กรอบแนวคดิ ทใี่ ชใ้ นการศกึ ษาคร้ังนี้ ผู้วจิ ยั ได้ใช้ทฤษฎีการจดั การอาการของดอดด์และคณะ (Dodd el al., 2001) มาเปน็ กรอบ แนวคดิ ในการวจิ ยั ในทฤษฎนี ้ีมีแนวคดิ หลัก 3 แนวคิดทม่ี ีความสัมพันธ์กัน ดงั น้ี 1) แนวคดิ ประสบการณก์ ารมีอาการ เป็นประสบการณ์การรบั รู้ของบคุ คลทสี่ ามารถเปลยี่ นแปลงได้ตลอดเวลา มคี วามเกีย่ วข้องกับ การรบั รู้อาการ การประเมินอาการ และการตอบสนองตอ่ อาการ ซ่งึ เกิดข้ึนภายหลังจากบุคคลมกี ารรับรู้ และประเมินอาการจะมีการตอบสนอง ต่ออาการที่เกดิ ข้ึนท้ังทางดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม และพฤตกิ รรม ซึ่งบุคคลอาจจะตอบสนองโดยแสดงอาการเพียงด้านใดดา้ นหนึ่งหรือหลายดา้ น กไ็ ด้ 2) แนวคิดการจดั การอาการ เปน็ เป้าหมายในการจัดการกบั อาการเพื่อบรรเทา หรอื ทาให้ผลลัพธ์ดา้ นลบของอาการเกดิ ข้ึนชา้ ที่สดุ ซงึ่ วิธกี ารจัดการอาจเป็นการจัดการโดยการรกั ษาจากแพทย์ พยาบาล ทีมสุขภาพ ผู้เชย่ี วชาญ หรอื การจดั การดว้ ยตนเองของบคุ คล สามารถ เปลยี่ นแปลงได้จนกว่าบุคคลจะเกดิ ความพึงพอใจขึ้นอยู่กับระยะเวลา ความต้องการ และการตอบสนองของแตล่ ะบคุ คล 3) แนวคดิ ผลลัพธจ์ ากอาการและการจดั การอาการ ในด้านสภาวะของอาการ ซ่ึงดอดด์และคณะ กลา่ วโดยสรุปไว้วา่ เม่ือบุคคลมี ประสบการณก์ ารมอี าการ จะรับรกู้ ารเปลี่ยนแปลงทีเ่ กดิ ขนึ้ ในร่างกาย มีการประเมินอาการจากความรนุ แรง ตาแหนง่ ท่เี กดิ และสาเหตุ ซ่ึงเมอื่ เกดิ อาการขน้ึ มวี ิธกี ารจดั การกับอาการอย่างไร และส่งผลให้เกิดผลลพั ธ์ หากบคุ คลมีวิธีการจัดการอาการอยา่ งเหมาะสมจะทาให้ผลลัพธ์ดา้ น สภาวะของอาการดขี ึน้ ในการศึกษาครัง้ น้ีผ้วู จิ ยั ศกึ ษาแนวคิดประสบการณก์ ารมอี าการ ซึ่งประเมนิ จากการรบั รู้อาการทเี่ กิดขนึ้ ในมิติดา้ นความถ่ี ด้านความ รุนแรง รวมถึงประเมินการตอบสนองตอ่ อาการท่ีสง่ ผลให้เกดิ การรบกวนตอ่ การดาเนินชีวติ ประจาวนั จากอาการเหลา่ น้ัน ว่าผู้ปว่ ยมวี ธิ กี ารจดั การ กบั อาการทีเ่ กดิ ขนึ้ อยา่ งไร และประเมินผลลพั ธ์ท่เี กิดขน้ึ จากอาการ และการจัดการอาการวา่ เปน็ อยา่ งไร จากสภาวะของอาการวา่ คงเดมิ แย่ลง หรอื ดีข้นึ
36 ตัวอย่างที่ 2 : กรอบแนวคดิ งานวิจยั หาความสัมพันธ์ เรื่อง .”ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความรู้ พฤติกรรมการดูแล ตนเองกับระดบั ความดันโลหิตของผู้ปว่ ยโรคความดนั โลหิตสงู ชนิดไมท่ ราบสาเหตุ ที่มารับบริการทโ่ี รงพยาบาล จงั หวัดเชียงขวาง ประเทศสาธารณรัฐ ประชาธิปไตย ประชาชนลาว” ของ เวียงมร ปทั วงศ์ษา ดรุณี รุจกรกานต์ อภญิ ญา วงศ์พิริยโยธา (2558) กรอบแนวคิดในการทาวิจัยคร้ังน้ใี ชแ้ นวคิดความพร่องในการดแู ลตนเองทจี่ าเปน็ ในทฤษฎกี ารพยาบาลตนเองของโอ เร็ม โดยโอเร็มกลา่ วไวว้ า่ เม่ือใดกต็ ามทีบ่ ุคคลใชค้ วามสามารถในการดูแลตนเองไดเ้ พยี งบางส่วนหรอื ความสามารถในการดแู ล ตนเองไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะตอบสนองตอ่ ความต้องการการดูแลตนเองแสดงว่าบุคคลนั้นมคี วามพรอ่ งในการดูแลตนเอง ทาให้มผี ลตอ่ สุขภาพ ชีวิต และความสกุ 13 ในผปู้ ่วยความดันโลหติ สงู หากมคี วามสามารถในการดแู ลตนเองไมเ่ พียงพอทาให้การดูแลตนเอง บกพร่อง ซ่งึ จากงานวจิ ัยพบว่าผปู้ ว่ ยกลมุ่ น้ียังขาดความร้แู ละมพี ฤตกิ รรมในการดูแลตนเองบกพร่อง ซ่ึงความรู้เป็นความสามารถ ในการดแู ลตนเองหน่งึ ท่ีจาเปน็ สาหรับผปู้ ่วยเพ่ือนาไปใช้ในการคดิ ตดั สนิ ใจ และลงมอื ปฏิบัตใิ นการดแู ลตนเอง ดังนน้ั เม่ือผู้ป่วยมี ความรูไ้ ม่เพียงพอจึงเป็นทาใหผ้ ปู้ ว่ ยมพี ฤติกรรมในการดูแลตนเองบกพร่องส่งผลใหร้ ะดับความดันโลหติ ควบคมุ ใหอ้ ยู่ในเกณฑ์ ปกติไมไ่ ด้ และจากงานวจิ ยั ทผี่ า่ นมาที่พบวา่ ความรู้มคี วามสมั พันธก์ ับระดบั ความดนั โลหติ ของผู้ปว่ ยโรคความดันโลหติ สูง9,10 และ พฤตกิ รรมการดูแลตนเองมคี วามสมั พนั ธก์ บั ระดบั ความดันโลหติ ของผู้ป่วยโรคความดันโลหติ สงู 9,11,12 สรุปเป็นแผนภมู ิได้ดงั น้ี ความรู้เร่ืองโรคความดันโลหติ สูง ได้แก่ ระดับความดันโลหติ 1) สาเหตุ 2) ปัจจยั เส่ยี ง 3) ความรุนแรงของโรค/ภาวะแทรกซ้อน และ 4) ความรู้ในการปฏิบตั ติ วั ของผ้ปู ่ วย พฤติกรรมการดูแลตนเอง ได้แก่ 1) ด้านการดแู ลตนเองทจ่ี าเป็นโดยทวั่ ไป 2) ด้านการควบคมุ อาหาร 3) ด้านการออกกาลงั กาย 4) ด้านการพกั ผ่อน 5) ด้านการหลกี เลย่ี งปัจจยั สง่ เสริมการเกิดโรค และ 6) ด้านการใช้ยา ตัวอย่างที่ 3 กรอบแนวตดิ งานวจิ ยั เชงิ กง่ึ ทดลอง เร่ือง ผลของการส่ือสารด้วยคอมพวิ เตอรม์ ือถอื ต่อความพงึ พอใจในการสือ่ สารของผู้ป่วยที่ใสท่ ่อช่วยหายใจของ วไลพร ปกั เคระกา, อภญิ ญา วงศ์พิริยโยธา, นริสา วงศ์ พนารักษ,์ ณัฐวุฒิ สุวรรณทา (2556) การศึกษาครั้งนีใ้ ช้แนวคิดการส่อื สาร17 แนวคิดความต้องการการดูแลตนเองท่จี าเป็น ตามทฤษฏกี ารดแู ลตนเองของโอเร็ม16 และแนวคิดความพึงพอใจ18 มาเป็นกรอบแนวคิดใน การทาวิจยั ภาพประกอบที่ 1
คอมพวิ เตอรม์ ือถือเพอื่ การสอ่ื สาร 37 ความพงึ พอใจใน บรรจุข้อความ/รปู ภาพ/เสยี ง ความ การสือ่ สารเพม่ิ ข้ึน ต้องการการดแู ลตนเองท่ีจาเป็น สาหรับ ผปู้ ่วยท่ีใสท่ ่อชว่ ยหายใจ ผปู้ ่วยใสท่ อ่ ชว่ ยหายใจ 8 ดา้ น - พูดไม่มีเสียง 1) การคงไว้ซ่งึ อากาศท่เี พียงพอ - การสื่อสารไม่มปี ระสิทธภิ าพ 2) การคงไว้ซึ่งนา้ ทเี่ พียงพอ - ไมพ่ งึ พอใจในการสื่อสาร 3) การคงไว้ซึง่ อาหารท่ีเพยี งพอ 4) การคงไว้ซึ่งการขบั ถา่ ยและการระบาย ให้เป็นไปตามปกติ 5) การรกั ษาความสมดลุ ระหวา่ งการมี กิจกรรมและการพักผอ่ น 6) การรกั ษาความสมดุลระหว่างการใช้ เวลาสว่ นตัวกบั การมปี ฏสิ ัมพนั ธก์ ับผอู้ ื่น 7) การปอ้ งกันอันตรายตา่ ง ๆ ตอ่ ชวี ติ หน้าทแ่ี ละสวสั ดภิ าพ 8) การสง่ เสรมิ การทาหน้าทแี่ ละพฒั นาการ ใหถ้ งึ ขีดสงู สุด 4.4 วตั ถุประสงค์ของการมีกรอบแนวคดิ หรือทฤษฏี งานวจิ ยั มกี รอบแนวคิดหรือทฤษฎเี พื่อให้มุมมองต่อประเด็นปญั หาการวจิ ยั ทาใหง้ านวิจยั มีความ ชดั เจนข้ึน สร้างเขตหรอื ขอบเขตของการศกึ ษางานวจิ ยั (จะศึกษาตามกรอบทเี่ ราวางไว้นอกจากนไ้ี ม่ได้ศึกษา) เป็นการทดสอบทฤษฎี (วิจิตร ศรีสพุ รรณ, 2545) 1. ให้มุมมองต่อประเดน็ ปัญหาการวจิ ัยทาใหง้ านวิจยั มีความชัดเจนข้นึ ตวั อยา่ ง - ต้องการศกึ ษา พฤตกิ รรมการดูแลตนเองของผู้ปว่ ยเบาหวาน - คาถามในการวจิ ัย: ผ้ปู ว่ ยเบาหวานมีพฤติกรรมการดแู ลตนเองเป็นอยา่ งไร - กรอบแนวคิดหรือทฤษฎี: ไปศึกษาดวู ่ามแี นวคดิ หรือทฤษฎที ่ีพูดถึงการดูแลตนเองว่าอย่างไร แลว้ นามาทากรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 2. สร้างเขตหรือขอบเขตของการศกึ ษางานวจิ ยั การดแู ลตนเองของผู้ปว่ ยเบาหวาน - ดา้ นอาหาร - การออกกาลงั กาย - การดแู ลเทา้ - การจัดการความเครียด
38 3. เป็นการทดสอบทฤษฎี ตวั อยา่ ง “โอเรมกลา่ วไว้วา่ เมื่อบคุ คลมีความสามารถในการดูแลตนเองได้จะทาใหบ้ ุคคลน้ันมี ความผาสกุ (Well-being)” โปรแกรมส่ งเสริม ความผาสุก - ร่างกาย ความสามารถใน - จติ ใจ - การรับประทานอาหาร - สังคม - การออกกาลังกาย - การดูแลเท้า - การจัดการความเครียด ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดผลของโปรแกรมกาส่งเสริมความสามารถในการดูแลตนเองตอ่ ความผาสุก 4.5 ความสาคญั หรอื ประโยชนข์ องการมกี รอบแนวคิดหรือทฤษฎี ความสาคญั หรือประโยชนข์ องการมีกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี มีดังน้ี (วิจติ ร ศรสี พุ รรณ, 2545) 1. ใหม้ นี ยิ ามหรือตัวแปรหลกั ทผี่ ู้สนใจศึกษา 2. ให้แนวทางการกาหนดสมมติฐานและทิศทางของสมมติฐาน 3. ให้แนวทางในการออกแบบการวิจัยแบบทดลอง (มีการให้การพยาบาลหรือจดั กระทากบั กลุ่ม ตัวอย่าง) 4. ให้แนวทางในการเลอื กเคร่ืองมือหรอื พัฒนาเครือ่ งมือในการเกบ็ ข้อมูล (แบบสอบถาม) 5. ใหแ้ นวทางการวิเคราะห์ข้อมูล การจดั แบง่ ข้อมูลเพอ่ื นาเสนอหรือการทดสอบสมมตฐิ าน 6. ใหข้ ้อมลู เพื่ออภิปรายผลการวิจยั 7. ช่วยใหผ้ วู้ ิจัยสามารถเช่อื มโยงผลการวิจยั กบั ความรู้ทางการพยาบาลที่มีอยู่ 4.6 ทฤษฏีท่จี ะนามาสรา้ งเป็นกรอบสาหรบั การวิจัย - ทฤษฎีเปน็ ชดุ ของข้อความที่มีความเปน็ นามธรรมท่ีมนุษย์สร้างขน้ึ มาเพือ่ มอง ปรากฏการณ์อย่างเป็นระบบและมีเป้าหมาย - ทฤษฎปี ระกอบด้วยมโนทศั น์ (Concept) และขอ้ ความแสดงความสมั พนั ธ์ระหวา่ ง มโนทศั น์ (Proposition) ที่เชือ่ มโยงอยา่ งเป็นเหตผุ ล เพ่ือพรรณนาปรากฏการณ์ เพ่ืออธบิ ายความสัมพนั ธ์ เพ่ือคาดคะเนผลลพั ธ์ท่ีจะเกิดขึ้น (วิจติ ร ศรสี พุ รรณ, 2545)
39 ทฤษฎที างการพยาบาลเพ่ืองานวิจัย ทฤษฎีทางการพยาบาลจะอธิบายความสัมพันธข์ องมโนมติหลกั คดิ คือ คน สง่ิ แวดล้อม สขุ ภาพ และการพยาบาล ตัวอย่างทฤษฎที างการพยาบาล (วิจติ ร ศรสี ุพรรณ, 2545) - King’s theory of goal attainment - Orem’s self-care model - Roy’s adaptation model - Neuman’s health care system model - 4.7 การสรา้ งกรอบแนวคิดหรือทฤษฎี การสรา้ งกรอบแนวคิดหรือทฤษฎีเป็นข้ันตอนท่สี าคัญมากในกระบวนการวิจัย งานวิจัยท่ียังไม่ มีการศึกษาไมต่ ้องมีกรอบแนวคดิ รองรบั งานวจิ ัยเชงิ ทดลองต้องใช้ทฤษฎีหรอื มีงานวิจัยอนื่ ๆ รองรับ แล้วนามา สรา้ งกรอบแนวคิด (Burn & Grove, 2005) กระบวนการคิดเพอ่ื สร้างกรอบแนวคดิ กระบวนการคิดเพ่อื สร้างกรอบแนวคิด (Burn & Grove, 2005) 1. เลอื กมโนทัศน์ (Concept) และให้คาจากดั ความมโนทศั น์ท่ตี ้องการศึกษา จาก วรรณกรรมทีเ่ กย่ี วขอ้ ง เชน่ จากพจนานุกรม จากทฤษฎี จากการวิเคราะหม์ โนทัศนแ์ ละตีพิมพ์ในวารสารตา่ ง ๆ 2.เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ระหว่างมโนทศั น์ต่าง ๆ โดยอาศัยทฤษฎหี รอื ผลงานวิจยั เขยี น พรรณนาหรือเปน็ diagram 3. จัดระดบั ชุดของความสัมพนั ธ์ที่เช่อื มโยงระหวา่ งมโนทศั น์ 4. สรา้ งแผนที่ความคดิ ท่ีประกอบด้วยมโนทศั นต์ ่าง ๆที่ทาใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจใน ปรากฏการณ์ โดยมีการเรียงลาดับการปรากฏของมโนทศั น์ - มเี สน้ แสดงความสัมพันธ์ - มเี คร่ืองหมาย + หากสัมพันธท์ างบวก, - หากสมั พันธท์ างลบ - มลี กู ศรแสดงทิศทาง 1. เลอื กมโนทศั น์ (Concept) ตัวอย่าง งานวิจัย: ผลของการฝึกการผ่อนคลายตอ่ ความวิตกกังวลและความ เจ็บปวดในผู้ป่วยหลังผ่าตัดหวั ใจแบบเปิด (อภิญญา วงศ์พิรยิ โยธา, 2535) แนวคิดทใี่ ช้ในการวจิ ยั - Relaxation, Pain, และ Anxiety
40 ให้คาจากัดความ (Definition): สรปุ มาจากทฤษฎหี รือการทบทวนวรรณกรรม “Relaxation หมายถงึ ปฏิกิริยาตอบสนองทีเ่ กิดจากการลดการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาทิ ติกทาให้กลา้ มเน้ือคลายตัวและมีความรสู้ ึกสขุ ใจ (Benson, 1967)” “Pain หมายถงึ การตอบสนองทางสรีรวิทยาและพฤติกรรมของบุคลเมือ่ ร่างกายได้รบั บาดเจบ็ หากบคุ คลใดบอกวา่ ปวดแสดงวา่ เขามคี วามเจบ็ ปวดจรงิ (Macaffary, 1967)” “Anxiety หมายถึงความรูส้ กึ ไม่สุขสบายใจของบคุ คลต่อสถานการณ์ทที่ าใหเ้ กดิ ความเครยี ด (Spielberger, 1976)” 2. เชอ่ื มโยงความสมั พนั ธ์ระหว่างมโนทศั น์ - ความเจ็บปวดทาให้เกดิ ความวติ กกังวล ทาให้กลา้ มเน้ือหดตัว ความเจ็บปวดเพ่ิมขึ้น - ความวติ กกังวลทาให้เกดิ ความเจ็บปวดเพ่มิ ข้ึนเนื่องจากทาใหก้ ล้ามเนอื้ หดตวั - การฝึกการผอ่ นคลายทาให้ความวิตกกงั วลลดลง รว่ มกับทาให้กลา้ มเนื้อคลายตัว มผี ลให้ ความเจบ็ ปวดลดลง 3. จดั ระดบั ชดุ ของความสัมพันธท์ ีเ่ ชอ่ื มโยงระหวา่ งมโนทัศน์ และ การสรา้ งแผนที่ความคดิ ที่ ประกอบด้วยมโนทัศนต์ ่าง ๆ ทท่ี าใหเ้ กิดความเข้าใจในปรากฏการณ์ โดยมกี ารเรยี งลาดับการปรากฏของมโน ทัศน์ ความเจบ็ ปวด ความวติ กกงั วล กลา้ มเน้ือหดตวั การฝึ กการผอ่ นคลาย ภาพที่ 2 กรอบแนวคดิ ผลของการฝึกการผ่อนคลายต่อการลดความวติ กกังวลและความเจ็บปวด (จาก อภญิ ญา วงศ์พริ ยิ โยธา, 2535)
41 ภาพที่ 3 กรอบแนวคดิ จากงานวจิ ัยผลของโปรแกรมการดแู ลทบี่ า้ นตอ่ อาการบรรเทาอาการและคุณภาพชีวิตใน ผทู้ มี่ ภี าวะหวั ใจลม้ เหลว (Wongpiriyayothar et al., 2008) ตัวอยา่ ง • การสนับสนนุ และใหค้ วามรู้ในทาให้ผ้ปู วยมคี วามรแู้ ละมคี วามสามาร ใน การดูแลตนเอง ทาให้สขุ ภาพของผ้ปู วยดีขน การสนบั สนนุ และให้ ความรู้ Self-care ความรู้ Health status ภาพท่ี 4 กรอบแนวคิดจากงานวิจัยผลของการพยาบาลดว้ ยระบบสนบั สนนุ และให้ความรตู้ ่อระดับความรู้ พฤติกรรมการดูแลตนเอง และภาวะภาวะสุขภาพในผู้ป่วยท่มี ภี าวะหวั ใจลม้ เหลวเลือดค่ัง (อภญิ ญา วงศ์พริ ยิ โยธา และคณะ, 2548) 4.8 การตรวจสอบคณุ ภาพของกรอบแนวคดิ ในการวิจัย Grove & Burn (2014) ได้ให้แนวทางในการตรวจสอบคุณภาพของกรอบแนวคิดในการ วจิ ัยไว้ดังน้ี 1. งานวิจัยนน้ั ได้แสดงกรอบแนวคิดในการวจิ ัยไว้หรอื ไม่?
42 2. งานวิจัยใช้ทฤษฎีอะไร ของใคร มาเปน็ กรอบแนวคดิ ? 3. ในกรอบแนวคดิ ทใี่ ช้ในการวิจัยใชแ้ นวคิด (Concept)/ตวั แปร ใดบา้ ง? 4. มีการให้คาจากดั ความเชิงทฤษฎขี องแนวคิด/ตัวแปรที่ใช้ไว้ในงานวจิ ยั หรือไม่? 5. นกั วจิ ยั ไดร้ ะบุความสัมพนั ธข์ องของแนวคดิ ท่ีใช้หรอื ขอ้ ความที่อธิบายแนวคิดท่ศี ึกษาจากกรอบ แนวคดิ ทีส่ ามารถตรวจสอบไดจ้ ากการวิจัยหรือไม่? 6. ผลการวิจัยทีไ่ ดส้ อดคลอ้ งกบั กรอบแนวคิดหรือไม่? สรุป ในการทาวิจัยนกั วจิ ัยจาเปน็ ต้องมีกรอบแนวคดิ ในการวิจยั โดยกรอบแนวคิดอาจมาจาก ทฤษฎใี ดทฤษฎีหน่ึง ซง่ึ ในทฤษฎนี ้นั จะประกอบไปด้วยแนวคิดหลาย ๆ แนวคดิ ท่ีสมั พันธ์กัน โดยข้อความที่ อธบิ ายความหมายของแต่ละแนวคดิ และข้อความทแี่ สดงถึงความสมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงกนั ระหว่างแนวคิด นกั วจิ ยั อาจศึกษาเพยี งบางส่วนหรือบางแนวคิดทส่ี นใจและสอดคล้องกับปัญหาการวจิ ยั และนาแนวคิดนนั้ มาสรา้ งเป็น กรอบแนวคิดในการวิจัยเพื่อประโยชนใ์ นการออกแบบงานวิจัย กรอบแนวคิดสามารถเขียนไดท้ ัง้ ในรูปแบบคา บรรยายและหรือแผนภูมิ นอกจากนี้นักวจิ ยั จาเป็นต้องใหค้ าจากัดความของแนวคดิ ที่สนใจทงั้ เชงิ ทฤษฎีและเชิง ปฎบิ ัติการ บรรณานุกรม ธวัชชยั วรพงศธร. (2543). หลักการวิจยั ทางสาธารณสขุ . กรงุ เทพมหานคร: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั . บญุ ใจ ศรีสถิ ิตยน์ รากูร. (2553). ระเบียบวิธีวิจยั ทางการพยาบาลศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ยูแอนไอ อนิ เตอร์ มเี ดีย. ประกาย จโิ รจน์กลุ . (2556). การวจิ ัยทางการพยาบาล: แนวคิด หลกั การและวิธปี ฏบิ ตั ิ. กรุงเทพมหานคร: สร้างสื่อจากดั . เพชรน้อย สงิ หช์ า่ งชัย, ศริ ิพร ขมั ภลิขิต, ทัศนีย์ นะแส . (2539). วจิ ัยทางการพยาบาล : หลักการและ กระบวนการ. สงขลา : เทมการพิมพ์ วจิ ติ ร ศรีสพุ รรณ. (2545). การวิจัยทางการพยาบาล: หลกั การและแนวปฏิบตั ิ. เชยี งใหม่: โครงการตารา คณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่ อภญิ ญา วงศพ์ ริ ยิ โยธา. (2535). ผลของการฝกึ การผ่อนคลายตอ่ การลดความวิตกกังวลและความเจ็บปวดใน ผปู้ ว่ ยหลังผา่ ตดั หัวใจแบบเปิด. ขอนแกน่ : วทิ ยานพิ นธ์พยาบาลศาสตร มหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, Burn, N. & Grove, S. K. (2005). The practice of nursing research: Conduct, critique, & utilization (4th ed). Philladelphia: W. B. Saunders.
43 Grove, S. K. & Burn, N. (2014). Understanding nursing research: Building an evidence-based practice. (6th ed). Maryland Heights: Elsevier Saunders. Wongpiriyayothar, A. Piamjariyakul, U., & Williams, P. D. (2011). Effects of patient teaching, educational materials, and oaching using telephone on dyspnea and physical functioning among persons with heart failure. Applied Nursing research. 24 (4), e59-e66. Wongpiriyayothar, A. &Williams, P. D. (2011). Health related quality of life among patients with cardiovascular disease: A comparison of age and diseases. Journal of Nursing Science and Health, 35(4), 118-128.
44 หนว่ ยที่ 5 ตวั แปรในการวจิ ัย รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ความนา ความประสงค์หลักของการวจิ ัยเชิงปริมาณ คือ การหาคาตอบเก่ยี วกับตวั แปรว่ามคี วามสัมพันธ์กนั หรือเปน็ สาเหตุให้เกิดผลต่าง ๆ หรอื ไม่ เมื่อผ้วู ิจยั ได้กาหนดกรอบแนวคิดในการวจิ ัยแลว้ ผู้วิจยั ต้องสามารถบอกไดว้ ่าใน กรอบแนวคิดการวิจยั นั้น ประกอบดว้ ยแนวคิด (Concepts) ใดบ้าง และแต่ละแนวคดิ มคี วามเช่ือมโยงกนั อย่างไร ใน แตล่ ะแนวคดิ น้นั มตี ัวแปรท่ีจะทาใหก้ ารศึกษาตวั ใดบ้าง แต่ละตวั แปรมนี ยิ ามอย่างไรตามแนวคดิ ทฤษฎที สี่ อดคลอ้ ง เหมาะสมกับปญั หาวิจยั ท่ผี ูว้ จิ ัยต้องการศกึ ษา ผวู้ ิจัยตอ้ งทาความเขา้ ใจกับประเภท และลักษณะของตัวแปรซ่ึงมี ความแตกตา่ งกัน ในบทนนีจ้ ะครอบคลมุ ประเด็นหรือสาระหลักทผ่ี ้วู จิ ยั จาเป็นต้องเข้าใจดังต่อไปนี้ความหมายของ ตัวแปร ประเภทของตวั แปร ระดบั การวัดตัวแปร และนิยามตัวแปรทศี่ ึกษา ความหมาย ตวั แปร (Variable) หมายถึงคณุ ลกั ษณะของสงิ่ ตา่ ง ๆ หรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ตัวแปรมีทั้งคณุ ลักษณะทีว่ ัดได้ เปน็ เชิงปรมิ าณ เชน่ น้าหนกั มคี า่ เป็นกโิ ลกรัม หรือเปน็ ปอนด์ ความดนั โลหติ ส่วนสงู เปน็ ตน้ ซึง่ กลุ่มท่ีศึกษาอาจมี ค่าของตัวแปรที่ศึกษาดงั กลา่ วแตกต่างกนั สว่ นตัวแปรที่ไม่สามารถวดั ไดเ้ ปน็ ตัวเลข เชน่ เพศ มลี กั ษณะเป็นเพศ หญงิ กับเพศชาย ซงึ่ ค่าตวั แปรเพศอย่ใู นรูปของคณุ ภาพ หมายความว่าวัดเป็นปริมาณหรอื ตัวเลขไม่ได้ แต่ตัวแปร เพศสามารถบอกไดว้ ่าเปน็ เพศชายหรือเพศหญิง ในการวิเคราะหผ์ ูว้ ิจยั สามารถกาหนดเป็นตวั เลขให้เหน็ ความ แตกตา่ งได้ เชน่ เพศหญงิ เปน็ 1 เพศชายเป็น 2 แต่ 1 หรือ 2 ไมเ่ ป็นค่าที่มีความหมายเหมือนความสูงหรือนา้ หนัก นอกจากนี้ในการวจิ ยั ผวู้ ิจยั ยังสนใจท่จี ะศึกษาตวั แปรทเี่ ปน็ นามธรรมซึง่ อาจสงั เกตหรือวดั ได้ยาก เช่น ความเครียด ความวิตกกงั วล เม่ือผวู้ จิ ัยกาหนดให้เป็นตวั แปรทจ่ี ะศกึ ษาในกรอบแนวคิดการวิจยั แลว้ ตัวแปรเหลา่ นั้นต้องสามารถ วดั ได้ ผวู้ ิจัยจึงจาเปน็ ต้องสร้าง หรอื หาเครื่องมือวัดตัวแปรท่ีเปน็ นามธรรมเหลา่ นี้ ท้งั นี้ ยังข้ึนอยู่กับว่าผู้วิจัยไดน้ า แนวคดิ ทฤษฎีของใครมาใหเ้ ป็นความหมายของตัวแปรนั้น ตวั อย่างเชน่ ผู้วจิ ยั อาจนยิ ามความวติ กกังวลดว้ ยลักษณะ หรอื อาการทส่ี ังเกตจากการแสดงออกได้ทางกาย เช่น การมีเหง่อื ออก การไมส่ บตา การพูดด้วยวาจาท่ีแสดงออกถงึ ความกงั วลรวมถึงการเคลื่อนไหวหรือท่าทาง ในกรณที ี่ใช้แนวคดิ ทฤษฎที ลี่ ักษณะตัวแปรความวติ กกังวลในลักษณะ นอกเหนือจากทางกาย แตเ่ ป็นการรู้สึกหรอื รบั รู้ภายในของกลุม่ ตวั อยา่ งทศ่ี ึกษา ผู้วิจัยตอ้ งใชแ้ บบสอบถามความ
45 วิตกกงั วลเปน็ เครื่องมือในการประเมนิ ความวติ กกังวล เคร่อื งมอื จะมีลักษณะอยา่ งไรนั้นขึ้นอยู่กบั แนวคิดทฤษฎีท่ี ผวู้ จิ ยั เลอื กใช้ ประเภทของตวั แปร ตัวแปรมีหลายประเภท และมีการจานแกแตกต่างกนั ออกไป นกั วจิ ยั บางทา่ นจาแนกตวั แปรเปน็ 3 ประเภทคือ 1) ตัวแปรอสิ ระและตวั แปรตาม 2) ตวั แปรที่จัดกระทาและตัวแปรเชงิ คณุ ลักษณะ 3) ตวั แปรต่อเน่ือง และตัวแปรไมต่ อ่ เน่ือง ในทีนี้ จะนาเสนอประเภทของตวั แปร ดังน้ี 1. จาแนกตามอทิ ธิพลของตวั แปร ซงึ่ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนดิ คือ 1.1 ตัวแปรอสิ ระ (Independent variable,nIV) ในบางคร้งั เรียกวา่ ตวั แปรต้น เพราะเปน็ ตัวแปร ต้นเหตทุ ี่เปน็ ผลทาใหต้ ัวแปรอน่ื เปลยี่ นแปลงตาม เปน็ ตัวแปรที่มอี ิทธพิ ลทาให้ตัวแปรอื่นแปรผนั ตามและเกดิ กอ่ น 1.2 ตวั แปรตาม (Dependent Variable, DV) เป็นตวั แปรท่อี ยูภ่ ายใตอ้ ิทธิพลหรือผลกระทบของตวั แปรอิสระ ผลท่เี กดิ ขนึ้ มาจากการกระทาของตัวแปรอิสระเป็นส่วนใหญ่ ดังไดอะแกรมต่อไปน้ี ตวั แปรต้น (ตวั แปรอสิ ระ) ตวั แปรตาม อายุ ความสามารถในการใช้ การศกึ ษา เทคโนโลยีสารสนเทศ ทัศนคติ รายได้ อาชพี ภาพ 1 แสดงความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปรอิสระกับตัวแปรตาม อายุ ภาวะเปราะบาง เพศ ของผสู้ ูงอายทุ ีอ่ ยใู่ น โรค NCD สถานทีพ่ กั คนชราภาครฐั ภาวะซมึ เศรา้ การสนบั สนนุ ทางสงั คม ภาพ 2 แสดงกรอบแนวคิด (Conceptual framework)
46 2. ตัวแปรเชงิ ปริมาณและตัวแปรเชิงคณุ ภาพ เปน็ การแบง่ ประเภทของตวั แปรตามลักษณะข้อมลู ของตัวแปร วา่ มีลกั ษณะเปน็ ตวั เลขหรือตัวแปร ท่ไี มส่ ามารถวัดเป็นตวั เลขได้โดยตรง 2.1 ตวั แปรเชงิ ปริมาณ เป็นตัวแปรทสี่ ามารถวดั หรือประเมินข้อมลู เป็นจานวนความถห่ี รือระดับซงึ่ อยใู่ น รูปแบบของตวั เลขทนี่ บั ได้ ได้แก่ 2.1.1 ตวั แปรอนั ดับ (Ranked valuable) เปน็ ตวั แปรทีแ่ สดงถึงลาดับที่ของคณุ ลกั ษณะของสง่ิ ตา่ ง ๆ สามารถจดั เรยี งลาดับมากน้อยซึ่งมีค่าเปน็ จานวนเต็ม เชน่ ลาดับที่ 1,2,3,4 2.1.2 ตวั แปรต่อเน่อื ง (Continues variable) เป็นตัวแปรท่มี ีคุณลักษณะเป็นจานวนท่ีมีค่าต่อเนอื่ งกนั เช่น คะแนนความวิตกกังวล คะแนนความซมึ เศรา้ ซึ่งต้องใช้เคร่ืองมือทเี่ หมาะสมวดั ตัวแปรเหล่านไ้ี ด้ 2.1.3 ตวั แปรเชงิ คณุ ภาพ มลี ักษณะของกล่มุ ตัวอย่างทศ่ี ึกษาไมส่ ามารถวดั หรือประเมนิ ข้อมูลออกมา เป็นจานวนหรือตัวเลขเชงิ ปรมิ าณได้ ขอ้ มลู ท่ีเกบ็ มาได้ จะเปน็ ข้อมูลเชิงลกั ษณะทบ่ี อกความแตกต่างตาม ลักษณะนน้ั ได้ ในการวิเคราะห์อาจจะกาหนดเปน็ ตัวเลข แตเ่ ปน็ ตัวเลขที่ไม่มีค่า เชน่ เพศ กาหนด เพศหญิง = 1 เพศชาย = 2 ไม่ได้หมายความวา่ 2 มากกวา่ 1 แตใ่ นการวเิ คราะห์ข้อมลู เราจาเป็นตอ้ งแทน ดว้ ยตัวเลข เพ่อื บอกความแตกตา่ งของเพศหญิงและเพศชาย ตวั อย่าง ตวั แปรเชิงปริมาณ ตวั แปรเชิงคุณภาพ • น้าหนกั (ตัวแปรตอ่ เนื่อง) • เพศ • อายุ (ตัวแปรต่อเน่อื ง) • สถานภาพสมรส • สว่ นสงู (ตวั แปรตอ่ เนอ่ื ง) • ศาสนา • ความดนั โลหิต • ประสบการณ์ทางเพศ • รายได้ (ตวั แปรต่อเนอื่ ง) 3. ตัวแปรตอ่ เนอ่ื งและตัวแปรไม่ตอ่ เน่ือง ตัวแปรน้ีกาหนดขนึ้ ตามลักษณะของข้อมลู ทจ่ี ดั แบง่ เป็น 2 ประเภทคือ 3.1 ตัวแปรตอ่ เนอ่ื ง (Continues variable) เป็นตัวแปรท่ีมคี ่าออกมาเป็นตวั เลขทมี่ ีคา่ ต่อเนื่องตามลาดับ ในช่วงพสิ ยั ที่แนน่ อน เช่น อายุ น้าหนกั ความสงู ความยาว โดยอาจมีค่าเป็นเซนติเมตร หรอื กโิ ลเมตร ปกตจิ ะมี คา่ ทศนิยมมาด้วย ตวั แปรต่อเน่ืองสามารถนามาวิเคราะห์ได้ดว้ ยสถิตพิ าราเมตริกซ์ (Parametric statistics) เชน่ Pearson’s Product Moment Correlation และ Independent t-test)
47 3.2 ตัวแปรไม่ตอ่ เน่ือง (Continuous variable) เปน็ ตวั แปรทมี่ ีคุณลักษณะหรือคุณสมบตั ทิ ่ีไมส่ ามารถ วดั หรือประเมินขอ้ มลู ออกมาเป็นตัวเลขได้ แตส่ ามารถจัดคุณลกั ษณะของตวั แปรออกเป็นหมวดหม่หู รือเปน็ ชนดิ ต่าง ๆ ได้ เชน่ ตัวแปรเพศ แบ่งออกเปน็ 2 กลุ่มคือ หญงิ และชาย ตวั แปรอนื่ อีก ได้แก่ สภาพสมรส โสด คู่ และ หม้าย/หย่า/แยก ทั้งนด้ี ังที่กล่าวขา้ งตน้ วา่ การจะวิเคราะห์ข้อมลู นกั วจิ ัยสามารถให้รหัสเปน็ ตวั เลข เชน่ โสด เท่ากบั 1 คู่ เท่ากบั 2 และ หมา้ ย/หยา่ /แยก เท่ากบั 3 หรือ วตั ถุประสงคข์ องการวเิ คราะห์จดั เปน็ หมวดหมู่ แต่ ไมส่ ามารถนารหสั 1 2 3 น้ัน มาคานวณทางคณิตศาสตร์โดยบวก ลบ คณู หาร กันได้เพราะไม่มีคา่ หรือมี ความหมายตามตวั เลขทีก่ าหนดให้ 4. ตัวแปรจาแนกตามภาวะแทรกซ้อนของตัวแปร นอกจากตวั แปร 3 ประเภทแลว้ ยังมีตัวแปรอื่น ๆ ทผ่ี วู้ จิ ัยอาจเรียกชือ่ แตกต่างกันออกไปตามคุณสมบตั ิ และหนา้ ท่ีในการวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปร 4.1 ตวั แปรสอดแทรก (Intervening variable) เป็นตวั แปรทส่ี อดแทรกอยตู่ รงกลางระหวา่ งตัวแปรอสิ ระและตวั แปรตาม เปน็ ตวั แปรท่ี อาจมองไมเ่ หน็ มกั เป็นเรือ่ งทางจิตวิทยา เชน่ ความมีอคติ หรือความวิตกกงั วล ซง่ึ มีผลต่อตวั แปรตาม ทาให้ตัวแปร ตามมคี า่ เปลี่ยนแปลง เช่น ให้นสิ ติ ทาแบบสอบถามเพือ่ วดั ตัวแปร “ประสิทธิภาพการสอน” กอ่ นนสิ ติ สอบหน่งึ วนั ซง่ึ นสิ ิตอาจมีความวิตกกงั วลอาจทาให้มีผลต่อคาตอบ จงึ ต้องมีการควบคุมให้ดี การสอบถามผทู้ ่ีมีทัศนคติไม่นยิ ม พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ในเรือ่ งท่เี กี่ยวกับประชาธิปไตย ตัวแปรแทรกสอด ตัวแปรตาม ตวั แปรต้น/อิสระ ภาพ 3 แสดงภาพตวั แปรสอดแทรก 4.2 ตัวแปรเกนิ หรือตัวแปรภายนอก (Extraneous Variable) เปน็ ตวั แปรทส่ี ่งผลตอ่ ความสัมพันธ์ระหวา่ งตวั แปรตน้ /อิสระ และตัวแปรตาม เป็นตวั แปร ที่ไม่ต้องการศึกษา แต่แทรกซ้อนเข้ามามผี ลต่อตวั แปรอสิ ระ ซ่งึ นกั วิจยั สามารถควบคมุ อิทธพิ ลของตวั แปรนี้ได้ ตวั อยา่ งตัวแปรเกนิ /ตัวแปรภายนอก เช่น ผวู้ จิ ัยตอ้ งศึกษาผลของโปรแกรมการกากับตนเองต่อการควบคุมนา้ หนัก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201