หนา้ ท่ีตอ้ งทาในทกุ ข์ คือ การกาหนดรูใ้ นทกุ ข์ หรอื ปัญหาตา่ ง ๆ ท่เี กิดขนึ้ หมวดธรรมท่ีวา่ ทกุ ข์ ไดแ้ ก่ ขนั ธ์ 5 ในสว่ นท่ีเป็นจิตและเจตสกิ จติ หรอื วญิ ญาณธาตุ แปลวา่ สภาวะท่ีรู้ เม่ือมรี า่ งกายจงึ รูค้ ดิ รูพ้ จิ ารณา รูจ้ กั ไตรต่ รอง ใครค่ ราญได้ หมายถงึ สภาพท่ีรูค้ ิด รูพ้ ิจารณา ไตรต่ รอง โดยตอ้ งมี รา่ งกายท่ีมอี าการ 32 ครบ เป็นเคร่อื งมอื หรอื ภาวะท่ีรูแ้ จง้ อารมณ์ เจตสกิ หมายถึง สภาวะท่ีประกอบกบั จติ คณุ สมบตั ิและอาการของจิต มีจติ ฝ่ายกศุ ล จิตฝ่ายอกศุ ล และจติ ท่ีเป็นกลางๆ คือไมด่ ไี มช่ ่วั ชีวติ ประกอบดว้ ย รา่ งกาย และจติ (รูปและนาม) 1. รูป หมายถงึ รา่ งกาย คือ สว่ นประกอบของชีวติ เป็นสสาร (ธาตดุ ิน นา้ ลม ไฟ) 2. เวทนา หมายถงึ อาการท่ีเป็นความสขุ ความทกุ ข์ และไมเ่ ป็นสขุ ไมเ่ ป็น ทกุ ข์ ท่ีเกิดขนึ้ กบั รา่ งกายและใจ เรยี กวา่ กายเป็นทกุ ข์ ใจเป็นทกุ ข์ 3. สญั ญา หมายถงึ ความจาไดห้ มายรูใ้ นสง่ิ ต่าง ๆ ของใจ 4. สงั ขาร หมายถึง การคดิ ปรุงแต่งทงั้ ทางดี ทางช่วั ไมด่ ไี มช่ ่วั ของใจ 5. วญิ ญาณ หมายถึง ความรูแ้ จง้ ทางอารมณใ์ นส่งิ ต่าง ๆ ของใจ มี 6 ทาง คือ ตา (จกั ข)ุ หู (โสต) จมกู (ฆานะ) ลนิ้ (ชวิ หา) กาย (กายะ) ใจ (มโน) ประกอบดว้ ย - ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่ีตามองเห็นส่งิ ตา่ ง ๆ เรยี ก จกั ขวุ ิญญาณ - ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่หี ไู ดย้ นิ เสียงสง่ิ ตา่ ง ๆ เรยี ก โสตวญิ ญาณ - ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่จี มกู สดู ดมกลนิ่ สิ่งตา่ ง ๆ เรยี ก ฆาน วญิ ญาณ
- ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่ลี ิน้ ไดล้ มิ้ รสส่งิ ตา่ ง ๆ เรยี ก ชิวหาวิญญาณ - ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่กี ายไดส้ มั ผสั สิง่ ตา่ ง ๆ เรยี ก กายวิญญาณ - ความรูแ้ จง้ ทางอารมณเ์ ม่ือใจไดส้ มั ผสั อารมณต์ ่าง ๆ ท่เี กิดขนึ้ ในใจ เรยี ก มโนวญิ ญาณ กระบวนการของการเกิดความทกุ ขข์ องมนษุ ยเ์ ราโดยสงั เขป จะเกิดขนึ้ เม่ือใด ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่ตี ามองเหน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ไี มด่ ี ไมช่ อบ ไมป่ รารถนา แลว้ เกิดความไมพ่ อใจ โดยแสดงอาการทา่ ทางตา่ ง ๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้ เห็น น่นั คือ ความทกุ ข์ ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่หี ไู ดย้ นิ เสียงส่ิงตา่ ง ๆ ท่ไี มด่ ี ไมช่ อบ ไมป่ รารถนา แลว้ เกิดความไมพ่ อใจ โดยแสดงอาการทา่ ทางตา่ ง ๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้ เหน็ น่นั คอื ความทกุ ข์ ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่จี มกู สดู ดมกลน่ิ สง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ีไมด่ ี ไมช่ อบ ไม่ ปรารถนา แลว้ เกิดความไมพ่ อใจ โดยแสดงอาการทา่ ทางต่าง ๆ ออกมาทางกาย ทาง วาจา ใหเ้ หน็ น่นั คือ ความทกุ ข์ ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่ลี นิ้ ไดล้ มิ้ รสส่ิงตา่ ง ๆ ท่ไี มด่ ี ไมช่ อบ ไมป่ รารถนา แลว้ เกิดความไมพ่ อใจ โดยแสดงอาการทา่ ทางต่าง ๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้ เหน็ น่นั คอื ความทกุ ข์ ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่กี ายไดส้ มั ผสั สิ่งตา่ ง ๆ ท่ไี มด่ ี ไมช่ อบ ไมป่ รารถนา แลว้ เกิดความไมพ่ อใจ โดยแสดงอาการทา่ ทางตา่ ง ๆ ออกมาทางกาย ทางวาจา ให้ เห็น น่นั คือ ความทกุ ข์
ความรูแ้ จง้ ทางอารมณท์ ่ใี จไดส้ มั ผสั อารมณต์ า่ ง ๆ ท่ีเกิดขนึ้ ในใจ ท่ีไมด่ ี ไม่ ชอบ ไมป่ รารถนา เพราะจาไดห้ มายรู้ (สญั ญา) แลว้ คิดปรุงแต่งไมด่ ี (สงั ขาร) แลว้ เกิด ความไมพ่ อใจ อิจฉารษิ ยา โกรธ พยาบาทปองรา้ ง ฯลฯ น่นั คอื ความทกุ ขใ์ จ ถา้ ควบคมุ ความรูส้ กึ ในใจท่ีไมด่ ีเหลา่ นีไ้ ด้ ก็จะ แสดงออกทางกาย ทางวาจาใหเ้ ห็น การดาเนนิ ชีวติ ของมนษุ ยใ์ นปัจจบุ นั ทาอยา่ งไรทกุ ขใ์ จจะไมเ่ กิด เม่ือตาไดส้ มั ผสั กบั รูป หไู ดย้ ินเสยี ง จมกู ไดส้ ดู ดมกลิ่น ลมิ้ ไดล้ มิ้ รส กายได้ สมั ผสั และใจไดน้ กึ คิดตอ้ งระวงั ใจ ไมใ่ หค้ ิดปรุงแตง่ จาไดห้ มายรูใ้ นเร่ืองทางท่ีไมด่ ี ไมช่ อบ ไมป่ รารถนา หรอื ความปรารถนาอยากไดส้ งิ่ ท่เี กินขอบเขตวสิ ยั ของตนท่ีจะ ทาได้ แลว้ ความทกุ ขก์ ็จะไมเ่ กิดขนึ้ ครอบง่าจิต สมุทยั (ธรรมทคี่ วรละ) สมุทยั คอื ความจรงิ วา่ ดว้ ยเหตแุ ห่งทกุ ข์ ความทกุ ขห์ รอื ปัญหาท่เี กิดขนึ้ กบั คนนนั้ ย่อมเกิดจากสาเหตบุ างอย่าง มใิ ชเ่ กิดขนึ้ ลอย ๆ ดงั พทุ ธดารสั วา่ “เม่อื ส่งิ นีม้ ี ส่ิงนนั้ จงึ มี เพราะสิ่งนีเ้ กิด สงิ่ นนั้ จงึ เกิด ตวั อยา่ งเช่นนี้ นกั เรยี นท่ีสอบตกอาจเป็นเพราะเกียจ ครา้ นในการอา่ นหนงั สอื เศรษฐีท่ีหาเงนิ ไดย้ งั ไมม่ ากพอตามท่ตี นตอ้ งการ อาจเป็น เพราะมคี วามโลภจนเกินไปเป็นตน้ ซง่ึ สาเหตขุ องความทกุ ขน์ นั้ คอื ความอยากท่ีเกิน พอดี ซง่ึ เรยี กวา่ ตณั หา มี 3 อยา่ งคือ กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา หมวดธรรมท่ีวา่ ดว้ ย สมทุ ยั ไดแ้ ก่ ปฏิจจสมปุ บาท, นิวรณ์ 5 และอปุ าทาน 4 1.ปฏจิ จสมปุ บาท สภาพท่ีอาศยั ปัจจยั เกิดขนึ้ หรอื อิงอาศยั กนั และกนั เกิดขนึ้ กลา่ วโดยหลกั การ คอื เม่ือสงิ่ เหลา่ นีม้ ี สิ่งเหลา่ นนั้ จงึ มีเพราะสง่ิ เหลา่ นีเ้ กิด สิ่ง
เหลา่ นนั้ จงึ เกิดเม่อื สงิ่ เหลา่ นีไ้ มม่ ี สิ่งเหลา่ นนั้ จงึ ไมม่ ี เพราะส่ิงเหลา่ นีด้ บั ส่งิ เหลา่ นนั้ จงึ ดบั สรุป ความทกุ ขห์ รอื ปัญหาท่เี กิดขนึ้ กบั มนษุ ยต์ ามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท เกิด จากการกระทาเหตหุ รอื ปัจจยั ท่ีไมเ่ หมาะสม เช่น ความไมด่ ี ความประมาท ความ เกียจครา้ น เป็นตน้ ผลก็เป็นความทกุ ข์ เช่น ความเดอื ดรอ้ น ความไมเ่ จรญิ กา้ วหนา้ ความวบิ ตั ิ เป็นตน้ 2. นวิ รณ์ 5 ไดแ้ ก่ 1. กามฉนั ทะ 2. พยาบาท 3. ถีนมิทธะ 4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ 5. วจิ กิ ิจฉา นิวรณ์ 5 แปลวา่ กิเลสเป็นเคร่อื งกนั้ เป็นเคร่อื งขดั ขวาง เป็นเครอ่ื งหา้ มมใิ ห้ บรรลธุ รรมเกิดขนึ้ มิใหฌ้ าน อภญิ ญา สมาบตั ิ มรรค ผล เกิดขนึ้ ได้ เป็นเคร่อื งกีด ขวาง ปิดกนั้ การกระทาความดี คอื 1.กามฉนั ทะ คือ ความพอใจรกั ใครใ่ นกามคณุ 5 มี รูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ นวิ รณน์ ี้ เม่ือเกิดขนึ้ ครอบงาใจแลว้ ยอ่ มทาใหเ้ กิดความหมกมนุ่ ครุน่ คิด หาแตก่ ามคณุ ท่ีตนปรารถนา ทาใหจ้ ิตใจไมเ่ ป็นสมาธิในการทาความดี ในการปฏบิ ตั ิ ธรรม ขดั ขวางมิใหบ้ รรลกุ ศุ ลธรรมได้ 2.พยาบาท คือ ความปองรา้ ย ความคิดอาฆาตมาดรา้ ย ความไมพ่ อใจ ในอารมณท์ ่ไี มน่ ่าปรารถนา นวิ รณข์ อ้ นี้ เม่ือเกิดขนึ้ ครอบงาใจแลว้ ยอ่ มทาใหเ้ กิด ความขนุ่ เคือง ความหมน่ หมองใจ ทาใหจ้ ิตใจไมม่ ปี ีตปิ ราโมทยใ์ นการทาความดี ใน การปฏิบตั ิ ขดั ขวางมิใหก้ ศุ ลธรรมเกิดขนึ้ ได้ 3.ถีนมิทธิะ คอื ความหอหทู่ อ้ แทใ้ จและความงว่ งเหงาหาวนอน นวิ รณ์ ขอ้ นีเ้ ม่อื เกิดขนึ้ ครอบงาใจแลว้ ยอ่ มทาใหจ้ ิตใจหอหทู่ อ้ แท้ ทอ้ ถอย งว่ งเหงาหาวนอน
ทาใหจ้ ิตปราศจากกศุ ลจติ คอื ทาใหจ้ ิตไมม่ ีแกใ่ จท่ีจะทาความดี ไมค่ ิดปฏบิ ตั ธิ รรม ขดั ขวางมใิ หก้ ศุ ลธรรมเกิดขนึ้ ได้ 4.อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ คือ ความฟงุ้ ซา่ นและราคาญใจ ไดแ้ ก่ ความคิด ฟงุ้ ซา่ น แลบไหลไปในอารมณต์ า่ ง ๆ คดิ เล่อื นลอยไปในอารมณต์ า่ ง ๆ และเกิดความ ราคาญใจ รอ้ นใจ กลมุ้ ใจในความผิดพลงั้ พลาดตา่ ง ๆ เชน่ มวั คดิ ไปวา่ ตนเองไดท้ า ความช่วั ความผดิ พลาดไวม้ าก ไมไ่ ดท้ าความดไี วเ้ ลย แลว้ เกิดความรอ้ นใจ ราคาญ ใจในภายหลงั นวิ รณข์ อ้ นีเ้ ม่อื เกิดขนึ้ ครอบงาใจแลว้ ยอ่ มทาใหจ้ ิตไมม่ ีความสขุ ไม่ สบายใจในการทาความดี ในการปฏบิ ตั ิธรรม ขดั ขวางมใิ หก้ ศุ ลธรรมเกิดขนึ้ ได้ 5. วจิ กิ ิจฉา คือ ความสงสยั ความลงั เลใจ อนั ไดแ้ กค่ วามสงสยั ในพระ พทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ในอดีต ปัจจบุ นั และอนาคต เป็นตน้ นิวรณข์ อ้ นีเ้ ม่ือเกิดขนึ้ ครอบงาใจแลว้ จะทาใหข้ าดวิจารณ์ ไมส่ ามารถพนิ จิ พจิ ารณาตดั สนิ ใจทาความดี ตดั สินใจปฏบิ ตั ิธรรมได้ ยอ่ มขดั ขวางมิใหก้ ศุ ลธรรมเกิดขนึ้ ได้ สรุป นิวรณ์ 5 เม่ือเกิดขนึ้ อยใู่ นใจของผใู้ ดแลว้ ยอ่ มขดั ขวาง หรอื ขวาง กนั้ ในการทาความดีหรอื การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีการงานทงั้ ทางโลกและทางธรรม มิใหเ้ กิด ความเจรญิ กา้ วหนา้ หรอื ประสบความสาเรจ็ 3. อปุ าทาน4 กามปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ในกาม (กามคณุ 5 = รูป เสียง กล่นิ รส สมั ผสั ) ทิฏฐุปาทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ดว้ ยทฏิ ฐิ (ความเหน็ ) สีลพั พตุ ปาทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ดว้ ยศีลวตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั )ิ อตั ตวาทปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือ ม่นั วาทะวา่ ตน (การแบง่ เราแบง่ เขา) อปุ าทาน เป็นช่ือของกิเลสกลมุ่ หน่งึ ท่แี สดง ออกมาในลกั ษณะท่ียดึ ม่นั ถือม่นั ดว้ ยอานาจของกิเลสนนั้ ๆ โดยความหมายท่วั ไป อปุ าทาน คอื ความยดึ ม่นั ถือม่นั แบง่ ออกเป็น 4 ประเภทคือ
1.กามปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ในกาม คือการท่ีจิตเขา้ ไปยดึ ถือในวตั ถุ กามทงั้ 5 คือ รูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐัพพะ อนั ตนกาหนดวา่ นา่ ใคร่ นา่ ปรารถนา น่า พอใจ ความยดึ ถือของจิตนนั้ มคี วามรูส้ กึ วา่ \"น่นั เป็นของเรา\" เช่นเห็นรูปสวยงามเขา้ ก็ อยากไดม้ าเป็นของตนดว้ ย อานาจตณั หา เม่ือไดม้ าไวใ้ นครอบครองแลว้ จะยดึ ม่นั ถือ ม่นั วา่ รูปน่นั ของเรา ในขณะเดยี วกนั ก็พรอ้ มท่จี ะยดึ ถือรูปเป็นตน้ อยา่ งอ่นื ในทานอง เดียวกนั ความทกุ ขใ์ นชีวิตจะเกิดขนึ้ เพราะการแสวงหา การครอบครอง การ เปลี่ยนแปลง หรอื พลดั พรากไปของวตั ถกุ ามเหลา่ นนั้ 2.ทิฏฐุปาทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ดว้ ยอานาจทฏิ ฐิ คอื ความเห็นผิด เชน่ ยดึ ถือในลทั ธิธรรมเนียม ความเช่ือถือต่าง ๆ ขาดการใชป้ ัญญา พิจารณาหาเหตผุ ล เชน่ ถือวา่ การกระทาดี ช่วั ไมม่ ี ความสขุ ความทกุ ขใ์ นชีวติ ของคนไมไ่ ดเ้ กิดมาจากเหตุ อะไรทงั้ สนิ้ ไมม่ ีบญุ บาป บิดา มารดา พระอรยิ บคุ คลเป็นตน้ ความยดึ ถือบางอยา่ ง นอกจากจะละไดอ้ ยากแลว้ ยงั นาไปสกู่ ารถกเถียง การแตกแยกกนั จนตอ้ งประสบ ทกุ ขใ์ นอบายเพราะทิฏฐุปาทานบางอย่าง 3. สีลพั พตปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั ในศลี วตั ร และขอ้ ปฏิบตั ิตา่ ง ๆ ท่ี ตนประพฤตมิ าจนชินดว้ ยความเขา้ ใจวา่ ขลงั ศกั ดสิ์ ิทธิ์ ถกู ตอ้ งเป็นตน้ โดยท่วั ไปเช่น การยดึ ติดในธรรมเนียมบางอยา่ ง พธิ ีกรรมบางประเภท ถือฤกษผ์ านาที ทิศดที ิศไมด่ ี วนั ดวี นั รา้ ย จนถงึ การถือวตั รปฏิบตั ิท่ีงมงายตา่ ง ๆ เชน่ การทาตนเลยี นแบบสนุ ขั บา้ ง โคบา้ ง โดยเขา้ ใจวา่ จากการทาเชน่ นนั้ ทาใหต้ นไดป้ ระสบบญุ เป็นท่โี ปรดปรานของ พระเจา้ จนถงึ ละสนิ้ ทกุ ข์ เพราะการกระทาเช่นนนั้ เป็นตน้ 4. อตั ตวาทปุ าทาน ความยดึ ม่นั ถือม่นั วาทะวา่ ตน โดยความหมายท่วั ไป หมายถงึ ยดึ ถือในทานองแบง่ เป็นเรา เป็นเขา เป็นพวกเราพวกเขา จนถึงการยดึ ถือวา่ มตี วั ตนท่ีเท่ียงแทอ้ ยู่ ตนน่นั เองเป็นผมู้ ี ผรู้ บั ผไู้ ปในภพต่าง ๆ เสวยผลบญุ บาปตา่ ง ๆ
ท่ตี นทาไว้ โดยขาดการมองตามความเป็นจรงิ วา่ สรรพส่ิงทงั้ หลายนนั้ ลว้ นแตเ่ กิดขนึ้ เพราะการประชมุ พรอ้ มแหง่ ปัจจยั ทงั้ หลายเท่านนั้ อปุ าทานทงั้ 4 ประการนี้ ท่ที รงแสดงไวใ้ นปฏิจสมปุ บาทนนั้ อปุ าทาน อยใู่ นฐานะเป็นปัจจบุ นั เหตุ รว่ มกบั ตณั หา และดว้ ยอานาจแห่งอปุ าทานนีเ้ อง ท่ที า ใหไ้ ดป้ ระสบความทกุ ขต์ า่ ง ๆ นิโรธ (ธรรมทคี่ วรบรรลุ) นิโรธ คอื ความจรงิ วา่ ดว้ ยความดบั ทกุ ข์ กลา่ วคือ ความทกุ ขน์ นั้ เม่ือเกิดไดก้ ็ดบั ได้ เม่ือความทกุ ขเ์ กิดจากสาเหตุ ถา้ เราดบั สาเหตนุ นั้ เสยี ความทกุ ขน์ นั้ ก็ยอ่ มดบั ไปดว้ ย ดงั พทุ ธดารสั วา่ “เม่ือสงิ่ นีไ้ มม่ ี สิง่ นนั้ ก็ไมม่ ี เพราะส่งิ นีด้ บั สง่ิ นนั้ ก็ดบั ” ความทกุ ขห์ รอื ปัญหาของคนเรานนั้ เม่ือเกิดแลว้ ก็จะไมค่ งอยอู่ ย่างนนั้ เป็นนจิ นิรนั ดร์ แตอ่ ยใู่ นวสิ ยั ท่ี เราสามารถจะแกไ้ ขไดไ้ มช่ า้ กเ็ รว็ ไมม่ ากก็นอ้ ย และอยทู่ ่วี า่ มคี วามตงั้ ใจจรงิ ท่ีจะแกไ้ ข หรอื ไม่ หมวดธรรมท่ีวา่ ดว้ ยนิโรธ ไดแ้ ก่ นพิ พาน คาว่า “นิพพาน” แปลว่า ดบั เย็น นิพพานในพระพทุ ธศาสนา มนี ยั ท่ตี อ้ ง พิจารณาอยา่ งละเอียดอยู่ 3 อย่างคือ 1.การสนิ้ กิเลส หรอื การดบั กิเลส เรยี กวา่ นิพพาน 2 ผลท่เี กิดขนึ้ เป็นความสงบปราศจากความทกุ ขโ์ ดยสนิ้ เชิง หรอื กลา่ วอีก อย่างหน่งึ ก็คือภาวะท่ปี ราศจากความทกุ ข์ อนั เกิดจากการสนิ้ กิเลสน่นั เอง เป็นตวั นพิ พาน 3. ธรรมธาตอุ ยา่ งหน่งึ ซง่ึ เป็นท่ดี บั ของกิเลสและเป็นสภาพท่ีมอี ยนู่ ิรนั ดร เม่ือใครปฏบิ ตั ิหรอื ลถุ งึ กิเลสของบคุ คลนนั้ ก็ดบั ไป ธรรมธาตอุ นั นีถ้ กู วา่ จดั วา่ เป็น
นพิ พาน หรอื บางทีกเ็ รยี กวา่ “นิพพานธาต”ุ ความแตกต่างระหวา่ งความหมายทงั้ 3 นยั นีไ้ ดโ้ ดยง่าย โดยพิจารณาไปในแง่ของเวลาคือนพิ พานอยา่ งท่ี 1 คานีเ้ ป็นอาการ นาม หมายถงึ อาการท่ีกิเลสดบั ลงหรอื สนิ้ ลง จงึ มรี ะยะเวลาช่วั ขณะจิตเดยี วหรอื แวบ เดยี ว สว่ นตวั นพิ พานอย่างท่ี 2 เป็นภาวะนาม หมายถึงความท่ที กุ ขไ์ มม่ ี มีผลเป็น ความไมท่ กุ ขอ์ นั นีจ้ ะมรี ะยะยาวไปจนตลอดชีวิตของบคุ คลผลู้ ถุ งึ นพิ พานนัน้ สว่ น นิพพานอยา่ งท่ี 3 นนั้ คอื วา่ เป็นสภาพอย่างนิรนั ดร ไมม่ ีเกิดไมม่ ีดบั เรยี กวา่ เป็นส่ิงท่ี กลา่ วไมไ่ ดว้ า่ มอี ายเุ ท่าไร ทา่ นใชค้ าวา่ อชาตงั = ไมเ่ ป็นอยู่, อมตงั = ไมต่ าย เป็น ลกั ษณะนิพพาน เพราะฉะนนั้ จงึ อยนู่ อกเหนือความมอี ายุ นพิ พานธาตโุ ดยนยั กลา่ ว แลว้ น่ีเอง หมายถึงนพิ พานท่ีกลา่ วถงึ ใน โลกตุ ตรธรรม 9. ทาใหเ้ หน็ ไดช้ ดั วา่ นิพพาน อย่างท่ี 1 เน่ืองดว้ ยมรรค, นิพพานอยา่ งท่ี 2 เน่ืองดว้ ยผล, สว่ นนิพพานอย่างท่ี 3 ไดแ้ ก่ นิพพานธาตุ อนั เป็นของนิรนั ดรดงั กลา่ วแลว้ , นิพพาน อยา่ งท่ี 1 เน่ืองดว้ ยมรรค เพราะมชี ่วั ขณะท่มี รรคตดั กิเลส ซง่ึ ถือกนั วา่ ช่วั ขณะจติ หรอื แวบเดียว, นิพพานอยา่ งท่ี 2 เน่ืองดว้ ยผล เพราะผลแหง่ ความสนิ้ กิเลสนนั้ ปรากฏแกบ่ คุ คลนนั้ จนตลอดชีวติ ของ บคุ คลนนั้ , สว่ นนิพพานอยา่ งท่ี 3 เป็นนพิ พานแท้ ไมต่ อ้ งเก่ียวกบั มรรค หรอื ผล ก็เป็น สิ่งท่ปี รากฏตวั อยไู่ ดเ้ องแกบ่ คุ คลผมู้ ีปัญญา ในท่ที งั้ ปวงและในกาลทกุ เม่อื . ในบาลอี ิตวิ ตุ ตกะ แบง่ นิพพานธาตเุ ป็น 2 อยา่ ง คือ นิพพานสาหรบั พระ อรหนั ตผ์ ยู้ งั มีชีวติ อยู่ และนพิ พานสาหรบั พระอรหนั ตท์ ่ีดบั ขนั ธแ์ ลว้ เม่ือกลา่ วโดยนยั นี้ นพิ พานสาหรบั พระอรหนั ตผ์ มู้ ชี ีวติ อยกู่ ็คือนิพพานอย่างท่ี 2 ขา้ งตน้ และนิพพาน สาหรบั พระอรหนั ตผ์ ดู้ บั ขนั ธแ์ ลว้ กค็ อื นพิ พานอยา่ งท่ี 3 ในบาลอี งั คตุ ตรนกิ าย กลา่ วถงึ นิพพานโดยยกบคุ คลเป็นท่ีตงั้ สรุปไดเ้ ป็น 2 พวกอย่างเดียวกนั คือ นิพพานท่ีมีเชือ้ เหลอื เรยี กวา่ สอปุ าทิเสสนพิ พาน และ นิพพานหมดเชือ้ โดยสิน้ เชิง เรยี กวา่ อนปุ าทเิ สสนิพพาน
มรรค (ธรรมทค่ี วรเจริญ) มรรค คือ ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ งึ ความดบั ทกุ ข์ หรอื หมดปัญหาตา่ ง ๆ โดยสนิ้ เชิง มี องคป์ ระกอบ 8 ประการ ไดแ้ ก่ 1) เหน็ ชอบ (สมั มาทิฏฐิ) คอื เห็นสง่ิ ต่าง ๆ ตามท่เี ป็นจรงิ 2) ดารชิ อบ (สมั มาสงั กปั ปะ) คอื ไมล่ มุ่ หลงมวั เมากบั ความสขุ ทางกาย ไม่ พยาบาทและไมค่ ดิ ทารา้ ยผอู้ ่ืน 3) เจรจาชอบ (สมั มาวาจา) คือ การไมพ่ ดู เทจ็ ไมพ่ ดู สอ่ เสยี ด ไมพ่ ดู คาหยาบ และไมพ่ ดู เพอ้ เจอ้ 4) กระทาชอบ (สมั มากมั มนั ตะ) คอื ไมท่ าลายชีวิต ไมล่ กั ขโมย ไมป่ ระพฤติผิด ทางกาม 5) เลยี้ งชีวิตชอบ (สมั มาอาชีวะ) คอื การทามาหากินดว้ ยอาชีพท่ีสจุ รติ ไมค่ ด โกง ไมห่ ลอกลวง ไมท่ ากิจการในสิง่ ท่เี ป็นผลรา้ ยตอ่ คนท่วั ไป 6) พยายามชอบ (สมั มาวายามะ) คือความพยายามท่จี ะปอ้ งกนั มิใหค้ วามช่วั เกิดขนึ้ ความพยายามท่ีจะกาจดั ความช่วั ท่ีเกิดขนึ้ แลว้ ใหห้ มดไป ความพยายามท่ีจะ สรา้ งความดีท่ียงั ไมเ่ กิดใหเ้ กิดขนึ้ และความพยายามท่ีจะรกั ษาความดีท่ีเกิดขนึ้ แลว้ ให้ คงอยตู่ ลอดไป 7) ระลกึ ชอบ (สมั มาสติ) ความหลงไมล่ มื รูต้ วั อยเู่ สมอวา่ กาลงั เหน็ ส่ิงต่าง ๆ ตามท่เี ป็นจรงิ 8) ตงั้ จิตม่นั ชอบ (สมั มาสมาธิ) คือ การท่ีสามารถตงั้ จิตใหจ้ ดจ่ออยกู่ บั ส่ิงใดสงิ่ หนง่ึ ไดน้ าน
หมวดธรรมทวี่ ่าดว้ ยมรรค ไดแ้ ก่ อธิปไตย 3, วิปัสสนาญาณ 9 1. อาธปิ ไตย 3 (ความเป็ นใหญ่) แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท 1.อตั ตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ หมายถึง กระทาการดว้ ยปรารภตนเป็น ประมาณ 2.โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ หมายถงึ การกระทาดว้ ยปรารภนยิ มของโลก เป็นประมาณ 3.ธมั มาธิปไตย ถือธรรมะเป็นใหญ่ หมายถงึ การกระทาการดว้ ยปรารภความ ถกู ตอ้ ง เป็นจรงิ สมควรตามธรรม เป็นประมาณ 2. วิปัสสนาญาณ 9: วิปัสสนา แปลวา่ การทาใหแ้ จง้ ญาณ แปลวา่ ความรู้ หมายถงึ ความรูท้ ่ที าใหด้ บั ทกุ ข์ ดบั กิเลสไดส้ นิ้ เชิง มี 9 อยา่ ง 1) อทุ ยพั พยานปุ ัสสนาญาณ หมายถงึ ความรูต้ ามเหน็ ความเกิดและความดบั แห่งนาม 2) ภงั คานปุ ัสสนาญาณ หมายถึง ความรูต้ ามเหน็ จาเพาะความดบั เดน่ ขนึ้ มา 3) ภยตปู ัฏฐานญาณ หมายถึง ความรูอ้ นั มองเห็นสงั ขารปรากฏเป็นของนา่ กลวั 4) อาทีนวานปุ ัสสนาญาณ หมายถึง ความรูค้ านงึ เหน็ โทษ 5) นพิ พิทานปุ ัสสนาญาณ หมายถงึ ความรูค้ านงึ เหน็ ดว้ ยความหนา่ ย 6) มจุ จิตกุ มั ยตาญาณ หมายถึง ความรูห้ ย่งั รูอ้ นั ใหใ้ ครจ่ ะพน้ ไปเสีย 7) ปฏสิ งั ขานปุ ัสสนาญาณ หมายถงึ ความรูอ้ นั พจิ ารณาทบทวนเพ่ือจะหาทาง 8) สงั ขารุเปกขาญาณ หมายถงึ ความรูอ้ นั เป็นโดยความเป็นกลางตอ่ สงั ขาร
9) สจั จานดุ ลมกิ ญาณ หมายถึง ความรูท้ ่เี ป็นไปโดยควรแก่การหย่งั รูอ้ รยิ สจั จ์ หลักปฏิบัติทางพระพทุ ธศาสนา การบริหารจติ การบรหิ ารจติ มาจากคาวา่ จิตสกิ ขา หรอื จิตภาวนา ทงั้ สองคานีเ้ ขยี นตา่ งกนั แตม่ ี ความหมายเหนือกนั คอื เป็นเร่อื งของการบรหิ ารจิตหรอื ฝึกหดั พฒั นาจิต เหตทุ ่ตี อ้ งมี การบรหิ ารจิตก็เพราะตามปกตจิ ิตของคนเรามีสภาพท่ีผอ่ งใส แตเ่ ม่ืีอใดก็ตามท่ีเราไม่ มกี ารบรหิ ารจติ จติ ท่ีผ่องใสก็จะกลายเป็นจิตท่ีขนุ่ มวั ดว้ ยกิเลส จติ ท่ขี ุ่นมวั ยอ่ มเป็น จิตดอ้ ยคณุ ภาพ ไมอ่ าจนาไปใชง้ านใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สดุ ได้ ตรงกนั ขา้ มจติ ท่ีไดร้ บั การฝึกหดั พฒั นาแลว้ ยอ่ มจะเป็นจิตท่มี ีทงั้ คณุ ภาพ สขุ ภาพ และสมรรถภาพ พรอ้ มท่ี จะใชส้ าหรบั เป็นสนามปฏิบตั กิ ารทางปัญหาไดอ้ ยา่ งดีเย่ียม (พระมหาวฒุ ชิ ยั วชิร เมธี:แมค็ .2551) การบรหิ ารจติ จงึ มีความจาเป็นตอ่ มนษุ ยท์ กุ คน เช่น ต่ืนเชา้ มาถา้ เรา ขาดการบรหิ ารจิต จิตคิดไปในทางอกศุ ลเราจะเกิดความทกุ ขท์ างใจจิตจะเศรา้ หมอง หดหู่ ดงั นนั้ การบรหิ ารจติ จงึ มคี วามสาคญั เป็นอยา่ งย่งิ การบรหิ ารจติ คือ การรกั ษาคมุ้ ครองจิต การฝึกฝนอบรมจติ หรอื การทาจิตใหส้ งบ สะอาด ปราศจากความวนุ่ วายเดอื ดรอ้ น ใหม้ คี วามเขม้ แข็ง มสี ขุ ภาพจติ ดี และให้ นามาใชป้ ฏบิ ตั ิงานไดด้ ี การบรหิ ารจิตจงึ เป็นการฝึกจิตใหแ้ นว่ แน่อยใู่ นสิ่งหน่งึ สง่ิ ใด โดยเฉพาะ ดงั นนั้ จิตท่ีฝึกดีแลว้ คอื จติ ท่มี คี วามแนว่ แนไ่ มห่ ว่นั ไหวตอ่ ความช่วั รา้ ยทงั้ ปวง ถา้ มสี ง่ิ ใดมากระทบจะใชป้ ัญญาในการพิจารณาเร่อื งราวดว้ ยเหตผุ ลควรไมค่ วร ไดด้ ีขนึ้ และแกป้ ัญหาอย่างมเี หตผุ ล การบรหิ ารจิตกค็ ือการพฒั นาจิตน่นั เอง หรอื เรยี กวา่ จิตตภาวนา (คาศพั ทท์ างพระพทุ ธศาสนา) ซง่ึ หมายถงึ การอบรมใจ สมาธิ แปลตามศพั ทว์ า่ ความตงั้ ม่นั เป็นวธิ ีการบรหิ ารจติ หรอื การทาจติ ใหส้ งบ เป็น เครอ่ื งมอื หรอื วธิ ีการท่จี ะนาไปสกู่ ารเกิดปัญญาและยงั เป็นขอ้ พงึ ปฏิบตั ิโดยท่วั ๆ ไป
ดว้ ย เพราะการกระทาทกุ อย่างในชีวติ ประจาวนั รวมทงั้ การปฏบิ ตั ธิ รรมจาเป็นตอ้ งมี สมาธิ ซง่ึ พระพทุ ธองคท์ รงแสดงจดุ มงุ่ หมายของสมาธิไวห้ ลายประการดว้ ยกนั ไดแ้ ก่ เพ่ือทาใหจ้ ิตใจมคี วามสงบจากอารมณแ์ ละกิเลสหรอื นิวรณท์ งั้ หลาย เพ่ือใหไ้ ดญ้ าณ ทศั นะหรอื การเหน็ ดว้ ยปัญญา เพ่ือใหม้ สี ตสิ มั ปชญั ญะ จะทาใหไ้ ม่ประมาทหรอื ทา อะไรผิดพลาด เพ่อื สนิ้ อาสวะหรอื สนิ้ กิเลส สมาธิจงึ เป็นรากฐานของวิปัสสนาหรอื การ พจิ ารณากฎธรรมดาแหง่ สงั ขารตามความเป็นจรงิ ดว้ ยปัญญา การสนิ้ กิเลสถือวา่ เป็น จดุ มงุ่ หมายสงู สดุ ของการบาเพญ็ สมาธิ สมาธิมี 3 ระดบั ดว้ ยกนั คอื 1. ขณิกสมาธิ เป็นสมาธิขนั้ ตน้ และขนั้ แรกของการฝึกวปิ ัสสนา 2. อปุ จารสมาธิ หรอื สมาธิจวนแนว่ แน่ เป็นระดบั ท่รี ะงบั อปุ สรรคของการฝึกสมาธิ 3. อปั ปนาสมาธิ หรอื สมาธิแนว่ แน่ เป็นสมาธิระดบั สงู บรรลฌุ าณ จติ สงบ นิวรณ์ คือ สิง่ ท่ขี ดั ชวางจิตมิใหบ้ รรลจุ ดุ มงุ่ หมาย ประกอบดว้ ย 1. กามฉนั ทะ หรอื ความพอใจรกั ใครใ่ นกามคณุ 5 ไดแ้ ก่ รู้ เสียง กลน่ิ รส สมั ผสั 2. พยาบาท หรอื ความโกรธ ความเคียดแคน้ ความผกู ใจเจ็บ คดิ ทารา้ ยผอู้ ่ืน 3. ถีนมทิ ธะ หรอื ความทอ้ แท้ เซ่อี งซมึ ครา้ นท่ีจะทา หดหู่ 4. อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ หรอื ความคดิ ฟงุ้ ซา่ น ความเดอื ดรอ้ นใจ ความราคาญใจ ความระแวง จิตวอกแวก 5. วจิ ิกิจฉา หรอื ความลงั เลไม่แน่ใจ สงสยั เคลอื บแคลง
นวิ รณท์ งั้ 5 เป็นอปุ สรรคของการทาสมาธิ ผทู้ าสมาธิจะตอ้ งดงึ จิตกลบั มาใหแ้ นว่ แน่ กบั สิ่งท่ีกาหนดใหส้ าเรจ็ การฝึกสมาธิใหไ้ ดผ้ ลดจี งึ ตอ้ งตดั นิวรณอ์ อกไปใหไ้ ดเ้ สียก่อน โดยใชห้ ลกั พทุ ธธรรม คอื อิทธิบาท 4 ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1. ฉนั ทะ ความพอใจท่ีจะฝึก 2. วริ ยิ ะ ความเพียรพยายามท่ีจะฝึก 3. จิตตะ ความเอาใจใสใ่ นการฝึก 4. วิมงั สา การพจิ ารณาใตรต่ รองหาเหตผุ ลในส่ิงท่ีทาอยู่ หรอื สรุปรวมไดว้ า่ มีใจ รกั พากเพียรทา เอาจิตฝักใฝ่ ใชป้ ัญญาสอบสวน การสวดมนต์ เป็นการทาใหจ้ ิตมีสมาธิอยกู่ บั บทสวดมนต์ และพระเบอื้ งหนา้ (หากสวดมนตต์ อ่ หนา้ พระพทุ ธตา่ ง ๆ) นอกจากนีย้ งั ไดอ้ นิสงคจ์ ากพทุ ธคณุ ของพระคาถาตา่ ง ๆ ท่เี ราอา่ น หรอื เปลง่ วาจาออกไป และพระคาถาตา่ ง ๆ ลว้ น เป็นถอ้ ยคามงคล ทาใหเ้ กิดสิรมิ งคล แต่ตวั ผเู้ ปลง่ วาจา และผทู้ ่ไี ดย้ ิน คนโบราณ เช่ือกนั วา่ หมเู่ ทวดาชอบฟังธรรมะ และ เสียงสวดมนต์ และจะอวยพรอนั เป็นมงคลแก่ผเู้ ปลง่ วาจานนั้ ๆ การสวดมนตน์ นั้ กอ่ นสวดควรทาจิตใจใหส้ งบ ไมว่ า่ จะสวดมนตด์ ว้ ยเหตผุ ลใดกต็ าม จิตใจตอ้ งน่ิง และเปลง่ เสียง อยา่ งปกติ ไมต่ อ้ งเรง่ ประชนั้ หรอื พดู รวั จนตนเองยงั ฟัง ไมร่ ูเ้ รอ่ื ง อยา่ งนีเ้ รยี กวา่ สวดแบบขอไปที ถา้ จะเรว็ ก็ขอใหเ้ รว็ พอประมาณใหต้ นเอง สามารถแยกคาไดใ้ นใจก็ยงั ดี แต่ก็ไมจ่ าเปน้ ตอ้ งสวดชา้ จนยานคางเอาแต่พอเหมาะ เป็นดีท่สี ดุ
ในกรณีสวดมนตใ์ นหอ้ งพระท่ีบา้ น เพ่ือใหม้ ีความสมบรู ณ์ ควรอาบนา้ ชาระรา่ งกาย ใหส้ ะอาด แตง่ กายใหส้ ภุ าพ พอประมาณ แต่อยา่ ใหถ้ งึ ขนั้ ชดุ นอนเซก็ ซ่ๆี เลยนะครบั แตผ่ ทู้ ่สี วดมนตน์ อกบา้ น กแ็ ลว้ แตค่ วามสะดวกเป็นหลกั ครบั เนน้ ทกุ อยา่ งอยทู่ ่ใี จ การสวดมนตน์ นั้ ใครนิยมพระคาถาบทไหน ก็ถือวา่ ดีทงั้ นนั้ แตส่ าหรบั ผทู้ ่ตี อ้ งการ แนวทางการสวดมนต์ ตามแบบพธิ ีกรรมไทยโบราณ ก็มีดงั นีค้ รบั • เรม่ิ ดว้ ยการกราบสกั การะบชู า จะกราบ ๓ ครงั้ ๕ ครงั้ หรอื ๙ ครงั้ อนั นีแ้ ลว้ แต่ ศรทั ธาเลยครบั โดยปกตมิ กั กราบ พรอ้ มบทมนสั การคณุ พระรตั นตรยั คอื อะ ระหงั สมั มา... • บทตอ่ มาคือการอาราธนาศลี เพ่อื ชาระจติ ใจใหพ้ น้ จากกิเลส (ถงึ จะช่วั ขณะก็ ยงั ดี)และกลา่ วศีลหา้ • กอ่ นสวดมนตบ์ ทตอ่ ไปคนโบราณนิยมใหก้ ลา่ วขอขมากรรม แกพ่ ระรตั นตรยั บิดามารดา ครูอาจารย์ ส่งิ ศกั ดิส์ ิทธิ์ทกุ รูปทกุ ปาง เจา้ บญุ นายคณุ เจา้ กรรม นายเวร ในทกุ ภพทกุ ชาติ ใหเ้ ป็นท่ีเรยี บรอ้ ยก่อน • เรม่ิ ดว้ ยการสวดถวายพรพระ ท่ีเราเรยี กวา่ อิตปิ ิโส... นนั้ แหละครบั แลว้ จะตอ่ ดว้ ย พาหงุ ฯ มหาการุณิโกฯ กแ็ ลว้ แตเ่ วลาจะอานวย • บทสวดมนตต์ อ่ มากรณีท่ตี งั้ ใจจะสวดมนตบ์ ทยาวอย่างนอ้ ยหนึง่ บท ก็คอื บท ชมุ นมุ เทวดา อญั เชิญเทวดามารว่ มกนั สรรเสรญิ คณุ พระรตั นตรยั และอานวย อวยพรแกเ่ รา • บทสวดมนตค์ วรเรยี งตามความสาคญั คือ บทเก่ียวกบั พระพทุ ธเจา้ มากกอ่ น บทเก่ียวกบั พระธรรม บทเก่ียวกบั พระสงฆ์ บทสรรเสรญิ คณุ บดิ ามารดา ครู อาจารย์ เทพเทวา เรยี งกนั มาตามลาดบั
• บทตอ่ มาคอื บทขอพรตา่ ง ๆ สดุ แทจ้ ะปรารถนาเลยครบั • ควรปิดทา้ ยดว้ ยอทุ ศิ บญุ ท่ีสาเรจ็ จากการสวดมนตน์ ีแ้ ก่ ตนเอง มารดาบิดา ญาติ ครูอาจารย์ เทพเทวา สิง่ ศกั ดิส์ ทิ ธิ์ทกุ รูปทกุ ปาง เจา้ บญุ นายคณุ เจา้ กรรมนายเวร และแผเ่ มตตาแกส่ ตั วโ์ ลกทงั้ หลาย • หากมกี ารกลา่ วอญั เชิญเทวาดามารว่ มชมุ นมุ ควรสวดมนตก์ ลา่ วอญั เชิญ เทวดากลบั (ทกุ ขปั ปัตตา...) • และจบดว้ ยการกราบ เหมอื นกบั ตอนท่ีเรม่ิ บทท่ี 10 หน้าทชี่ าวพุทธและศาสนิกชนตวั อยา่ ง คุณสมบตั ทิ ดี่ ขี องชาวพุทธ คุณสมบตั ิของชาวพุทธทถี่ อื กันเป็ นหลักสาคญั ท่วั ไปมี 5 ประการ คอื 1. มีศรทั ธาม่นั ในคณุ พระรตั นตรยั เช่ืออยา่ งมีเหตผุ ลอย่างมงาย 2. มีศีล คอื มีความประพฤตดิ งี าม สจุ รติ ตงั้ อยใู่ นศลี 5 เป็นอยา่ งนอ้ ย 3. ไมต่ ่นื ข่าวมงคล หวงั ผลจากกรรม (การกระทา) ไม่หวงั ผลจากมงคล 4. ไมแ่ สวงหาหลกั คาสอนท่ีนอกพระพทุ ธศาสนา 5. เอาใจใส่ สง่ เสรมิ สนบั สนนุ กิจกรรมพระพทุ ธศานา การสร้างศรัทธาใหเ้ กดิ มใี นตน คาวา่ ศรทั ธา หมายถึง ความเช่ือในสิ่งใดสงิ่ หน่งึ แตต่ ามหลกั ของพระพทุ ธศาสนา นนั้ ศรทั ธา หมายถงึ ความเช่ือท่ีประกอบดว้ ยเหตผุ ลไมใ่ ช่เป็นความเช่ือท่ีงมงาย
หลกั ศรทั ธาหรอื ความเช่ือท่ีประกอบไปดว้ ยเหตผุ ลนนั้ ในทางพทุ ธศาสนามี 4 อยา่ ง คอื 1. กมั มสทั ธา คือความเช่ือในเร่อื งกรรม กฎแหง่ กรรม เช่ือวา่ กรรมมีอยจู่ รงิ คือ เช่ือวา่ เม่ือทาอะไรโดยมเี จตนา คอื จงใจ ย่อมเป็นกรรม เป็นความดหี รอื ความเช่ือ ท่เี กิดขนึ้ ในตน และเป็นเหตปุ ัจจยั ก่อใหเ้ กิดผลดแี ละผลรา้ ยสืบเน่ืองตอ่ ไป ไมม่ ี การกระทาใดท่วี า่ งเปลา่ คือ ไมเ่ กิดผล และเช่ือวา่ ผลท่ีตอ้ งการนนั้ จะสาเรจ็ ไดด้ ว้ ย การกระทาเทา่ นนั้ 2. วปิ ากสทั ธา คือ เช่ือเร่อื งวิบาก เช่ือผลของกรรม เช่ือวา่ ผลของกรรมมีจรงิ คอื เช่ือวา่ กรรมท่ที าแลว้ ตอ้ งมผี ลและผลจะตอ้ งมาจากสาเหตุ ผลดเี กิดจากกรรม ดี ผลช่วั เกิดจากกรรมช่วั 3. กมั มสั สกตาสทั ธา คอื เช่ือวา่ แตล่ ะ่ คนก็มีกรรมเป็นของตนตามลกั ษณะท่ี ไดก้ ระทาลงไป ทกุ คนเป็นเจา้ ของและจะตอ้ งรบั ผิดชอบผลกรรมอนั เกิดขึน้ ไดจ้ าก การกระทาของตน 4. ตถาคตโพธิสทั ธา คือ ความเช่ือม่นั ในพระพทุ ธเจา้ วา่ เป็นผตู้ รสั รูส้ จั ธรรม จรงิ และทรงเป็นผชู้ ีท้ างพน้ ทกุ ขใ์ หก้ บั มนษุ ยท์ กุ คน ชาวพทุ ธท่ีดีจะตอ้ งมีหลกั ศรทั ธาท่ปี ระกอบดว้ ยเหตผุ ล โดยใชป้ ัญญากากบั ควบคู่ กนั อยเู่ สมอ การเรียนรู้ระเบยี บปฏบิ ัติในการไปวดั หนา้ ท่ีสาคญั ของชาวพทุ ธท่ีดีอย่างหน่งึ คอื การเรยี นรูว้ ิธีปฏบิ ตั ใิ นการไปวดั เพ่ือจะ ไดป้ ฏบิ ตั ติ นอยา่ งถกู ตอ้ ง ดงั นี้
1. การแตง่ กายไปวดั ควรใชเ้ สอื้ ผา้ สีออ่ นๆ เนือ้ ผา้ ไมค่ วรโปรง่ บาง เสือ้ ผา้ ไม่ ควรหลวมหรอื รดั รูปมากเกินไปเพ่ือความสะดวกในการกราบไหวพ้ ระและน่งั สมาธิ สาหรบั ผหู้ ญิงควรแต่งกายใหส้ ภุ าพเรยี บรอ้ ยและไมต่ กแต่งดว้ ยเคร่อื งประดบั และ เคร่อื งสาอางมากจนเกิดไป เหตทุ ่คี วรปฏบิ ตั เิ ช่นนีเ้ พราะวดั เป็นสถานท่ีปฏิบตั ิ ธรรม คนไปวดั เพ่ือทาบญุ ทาจติ ใจใหส้ งบ จงึ ควรตดั เร่อื งปรบั ปรุงแต่งกิเลสเหลา่ นี้ ออกไปเสยี ก่อน 2. การาเด็กหรอื บคุ คลอ่ืน ๆ ไปวดั เป็นการปลกู ฝังนิสยั ท่ีดแี ก่เดก็ เพราะทาให้ เด็กใกลช้ ิดพระศาสนาตงั้ แตอ่ ยใู่ นวยั อนั สมควร แตม่ ีขอ้ ควรระวงั คอื อยา่ นาเด็ก ออ่ นไปวดั โดยไมจ่ าเป็น เพราะอาจก่อใหเ้ กิดความราคาญ หรอื กรณีเดก็ ซกุ ซนอาจ สง่ เสียงดงั รบกวนสมาธิของผทู้ ่ตี อ้ งการความสงบในกรณีท่มี ีโอกาสนาบคุ คลอ่ืน ๆ ไปวดั เชน่ พนกั งานขบั รถหรอื คนรบั ใชก้ ็ควรใหเ้ ขาทาบญุ ดว้ ย การขบั รถเขา้ ไป บรเิ วณวดั ควรงดเวน้ การใชแ้ ตร การเรง่ เคร่อื งยนตเ์ สียงดงั โดยเฉพาะในขณะท่ี พระกาลงั สวด และควรจอดรถในสถานท่ีวดั ไดก้ าหนดไว้ 3. การเตรยี มอาหารไปวดั อาหารท่เี หมาะสาหรบั นาไปถวายพระภกิ ษุนนั้ ควร เป็นอาหารท่ีรบั ประทานกนั ท่วั ไป คือ ปรุงจากพืช ผกั หรอื เนือ้ สตั วท์ ่ขี ายอยตู่ าม ทอ้ งตลาด แตค่ วรระมดั ระวงั อาหารท่ีปรุงดว้ ยเนือ้ สตั วต์ อ้ งหา้ มสาหรบั ภิกษุ อนั ไดแ้ ก่ -เนือ้ มนษุ ย์ -เนือ้ ชา้ ง -เนือ้ มา้ -เนือ้ สนุ ขั -เนือ้ งู -เนือ้ ราชสหี ์ -เนือ้ เสอื โครง่ -เนือ้ เสือเหลือง -เนือ้ เสือดาว -เนือ้ อย่านาอาหารท่ีปรุงจากเนือ้ ดิบๆไปถวายพระภิกษุสงฆ์ เช่น ปลาดบิ กงุ้ ดิบ เป็น ตน้ นอกจากนนั้ ไทค่ วรนาอาหารท่ีปรุงดว้ ยสรุ าท่มี สี ีหรอื กลิน่ หรอื รสปรากฏชดั ไป
ถวายพระภิกษุสงฆ์ และอยา่ ฆา่ สตั วโ์ ดยเจาะจงวา่ จะนาเนือ้ นนั้ ไปทาอาหารถวาย แด่พระภิกษุสงฆ์ 4. การเตรยี มตวั ก่อนไปวดั ควรปฏบิ ตั ดิ งั นี้ -ทาภารกิจของตนใหเ้ รยี บรอ้ ยเพ่อื ท่ีจะไดไ้ มต่ อ้ งเป็นกงั วล -ทาจติ ใจใหแ้ จ่มใสโดยการระลกึ ถึงบญุ กศุ ล และคณุ งามความดที ่ีเคย ไดท้ ามาแลว้ -ราลกึ ถงึ คณุ พระรตั นตรยั เพ่ือทาใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ -เตรยี มอปุ กรณใ์ นการทาบญุ ใหค้ รบ 5. การปฏบิ ตั ิตนท่วั ไปภายในวดั วดั เป็นท่ีรวมของคนหลายประเภทซง่ึ แตกตา่ งกนั ทงั้ อายุ ฐานะและความเป็นอยู่ การศกึ ษา อาชีพ ตลอดจนนิสยั ใจคอ โอกาสท่ีจะกระทบกระท่งั กนั ย่อมเกิดขนึ้ ไดง้ ่ายจงึ จาเป็นตอ้ งระมดั ระวงั สารวมตน โดยปฏบิ ตั ิดงั นี้ -สารวมกาย วาจา ใจ ใหส้ งบเรยี บรอ้ ย งดอาการคะนองดว้ ยประการทงั้ ปวง ทงั้ นีเ้ พ่ือให้ กาย วาจา ใจ ของเราพรอ้ มท่ีจะบาเพญ็ บญุ กศุ ล -งดสบู บหุ ร่โี ดยเดด็ ขาด -ควรน่งั ใหเ้ ป็นระเบยี บในสถานท่ีท่กี าหนดไว้ -ในการประกอบศาสนพธิ ี เชน่ สวดมนต์ สมาทานศีล ถวายสงั ฆทาน เป็นตน้ ควรเปลง่ เสยี งอยา่ งชดั เจนโดยพรอ้ มเพรยี งกนั -เม่อื มีสงิ่ ใดทาใหข้ ่นุ ขอ้ งหมองใจ เช่น อากาศรอ้ น กระหายนา้ ไดย้ นิ หรอื เหน็ กิรยิ าอาการท่ีไมเ่ หมาะสมของคนอ่นื หรอื การไมไ่ ดร้ บั ความสะดวกในเร่อื งตา่ งๆ
ขอใหอ้ ดทนและแผค่ วามเมตตาใหค้ วามเห็นอกเหน็ ใจทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ ง อย่าใหเ้ กิด โทสะขนึ้ ได้ -การสนทนากบั พระ ในการสนทนากบั พระนนั้ หากเป็นผชู้ ายไมค่ อ่ ยมีระเบียบ ปฏิบตั ทิ ่เี ครง่ ครดั นกั เพียงแตใ่ หต้ ระหนกั วา่ เป็นการสนทนากบั พระ ซง่ึ เป็นปชู นีย บคุ คลของสงั คม มีเพศ คือ สถานะทางสงั คมเหนือกวา่ ตน เม่ือเขา้ ไปถงึ ท่ีอยขู่ อง ทา่ น ควรจะกราบพทุ ธปฏมิ าท่ีประดษิ ฐานอยใู่ นท่ีนนั้ ก่อนแลว้ จงึ กราบพระสงฆซ์ ง่ึ นิยมกราบแบบเบญจางคประดษิ ฐ์ สาหรบั คนท่ีตอ้ งการแสดงความเคารพอยา่ งสงู ทกุ ครงั้ ท่ีใชค้ าพดู กบั ทา่ นจะประนมมือไหวใ้ ชส้ รรพนามท่ีแทนตนเอง เช่น “กระผม””ดิฉนั ” โดยมองท่ีสถานะของพระเป็นตวั กาหนด หากทา่ นเป็นพระ ธรรมดา สรรพนามท่ีนิยมเรยี กท่านมกั นิยมคาวา่ “ทา่ น” “พระคณุ เจา้ ” หากเป็นพระท่ีมีสมณศกั ดสิ์ งู ก็อาจจะใชค้ าวา่ “ใตเ้ ทา้ ” ”พระเดชพระคณุ ” ” พระคณุ ” ”เจา้ พระคณุ ” สาหรบั สมเดจ็ พระสงั ฆราชใชค้ าวา่ “ฝ่าบาท” ในกรณีท่ี เป็นสตรนี นั้ ควรทีผชู้ ายไปดว้ ยจะเป็นการดี เพราะพระทา่ นอาจจะมปี ัญหาทาง พระวนิ ยั ตอ้ งอาบตั ิไดง้ า่ ยเม่อื อย่กู บั สตรสี องตอ่ สอง วธิ ีปฏบิ ตั ใิ นการประกอบพธิ ีกรรมทวี่ ัดในโอกาสตา่ ง ๆ 1. การฟังธรรมท่วี ดั ในวนั ธรรมสวนะ การรกั ษาศีลและฟังธรรมในวนั ธรรม สวนะนนั้ เป็นประเพณีท่พี ทุ ธศาสนกิ ชนทงั้ หลายไดถ้ ือปฏิบตั กิ นั มาเป็นเวลาชา้ นานแลว้ โดยเม่อื ถงึ วนั ธรรมสวนะ พทุ ธศาสนิกชนจะนาภตั ตาหารไปถวาย พระภกิ ษุสามเณรท่วี ดั พระสงฆฆ์ ืจะใหศ้ ีลและเจรญิ พระพทุ ธมนต์ หลงั จากนนั้ จะ เป็นการถวายภตั ตาหารแดพ่ ระสงฆเ์ สรจ็ แลว้ ถวายทานอย่างอ่ืนตามศรทั ธา พระสงฆอ์ นโุ มทนา ผมู้ าทบญุ กรวดนา้ เป็นอนั เสรจ็ พธิ ี ชาวบา้ นท่มี าทาบญุ ก็ อาจจะรบั ประทานอาหารรว่ มกนั ในตอนบา่ ยจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา
2. พธิ ีเวยี นเทยี นในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา วนั สาคญั ๆ ทาง พระพทุ ธศาสนาท่ีมีการเวียนเทียนมี 3 วนั คือ วนั มาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อาสาฬหบชู า พิธีเวยี นเทียนในวนั ดงั กลา่ วนีอ้ าจจะกระทาในตอนบา่ ยหรอื ค่ากไ็ ด้ โดยเม่ือถงึ เวลาท่กี าหนด ผทู้ ่รี บั ผดิ ชอบในการดาเนนิ การกจ็ ะตรี ะฆงั ใหส้ ญั ญาณ ใหท้ กุ คนมาชมุ นมุ พรอ้ มกนั ท่ีบรเิ วณหนา้ พระอโุ บสถหรอื สถานท่ีท่จี ะทาพิธีเวยี น เทียน โดยการยืนเป็นแถวมีพระภิกษุอยดู่ า้ นหนา้ ถดั มาเป็นสามเณร และบคุ คล ท่วั ไปตามลาดบั ทกุ คนถือดอกไมธ้ ปู เทียนในมือ หนั หนา้ เขา้ หาสถานท่ีท่จี ะบชู า พระรตั นตรยั ทกุ คนวา่ ตาม เสรจ็ แลว้ ก็เรม่ิ พิธีเวียนเทยี นโดยมีพระสงฆเ์ ดนิ นาหนา้ โดยเดินเวียนไปทางขวามือของสถานท่ีนนั้ (ตามเข็มนาฬิกา เรยี กวา่ การเดนิ แบบ ทกั ขิณาวฏั ) รอบแรกเพ่ือราลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ รอบท่สี องระลกึ ถงึ พระธรรมคณุ รอบท่สี ามระลกึ ถงึ พระสงั ฆคณุ เม่ือเดินเวียนเทยี นครบสามรอบแลว้ กน็ าดอกไม้ ธูปเทยี นไปปักไวใ้ นท่ีบชู าท่ีกาหนดไว้ ตอ่ จากนนั้ ทกุ คนก็จะเขา้ ไปประชมุ พรอ้ มกนั เพ่ือทาวตั รสวดมนต์ เสรจ็ แลว้ อาจจะมกี ารเทศนาเก่ียวกบั วนั สาคญั เป็นอนั เสรจ็ พิธี วธิ ีปฏบิ ัตติ นทเี่ หมาะสมตอ่ พระสงฆ์ การนิมนตพ์ ระสงฆ์ เม่อื จะมกี ารทาบญุ ท่ีบา้ นหรอื สถานท่ีทางาน ท่โี รงเรยี นหรอื สถานท่ีอ่ืนใดก็ตาม ส่งิ ท่ตี อ้ งคานงึ ถึงประการแรกก็คือ การนมิ นตพ์ ระ การนมิ นตพ์ ระนนั้ ตอ้ งนิมนต์ ลว่ งหนา้ เพราะทา่ นอาจจะมกี ิจนิมนตอ์ ่ืน ๆ อีก วธิ ีการนมิ นต์ พระสงฆน์ นั้ อาจจะ เขียนเป็นฎกี านิมนตพ์ ระ หรอื ถา้ รูจ้ กั กบั พระสงฆจ์ ะนมิ นตโ์ ดยไมต่ อ้ งเชิญฎีกาก็ได้ การ นมิ นตพ์ ระมาสวดในงานมงคล เชน่ งานมงคลสมรส จะใชค้ านิมนตว์ า่ “ขอ อาราธนาเจรญิ พระพทุ ธมนต”์ แต่ ถา้ เป็นงานอวมงคล เชน่ งานศพ จะนมิ นตว์ า่
“ขออาราธนาสวดพระพทุ ธมนต”์ สว่ นการนมิ นตม์ าฉนั ภตั ตาหารนนั้ ตอ้ งไมร่ ะบุ ช่ืออาหาร เช่น ขา้ วสกุ ขนม สด ขนมแหง้ ปลา เนือ้ ฯลฯ เพราะถา้ ระบแุ ลว้ จะขดั กบั วินยั สงฆ์ การนิมนตพ์ ระมาฉนั ภตั ตาหารจงึ นิยมใชว้ า่ “นมิ นตพ์ ระคณุ เจา้ มา รบั บิณฑบาตเชา้ หรอื นิมนตพ์ ระคณุ เจา้ ฉนั ภตั ตาหารเชา้ หรอื ภตั ตาหารเพล” เป็น ตน้ การเตรยี มสถานท่ีและจดั อาสนะสาหรบั พระสงฆ์ อาสนส์ งฆน์ นั้ ตอ้ งจดั ใหส้ งู กวา่ คฤหสั ถ์ โดยจดั ใหห้ า่ งกนั พอสมควร ใชพ้ รมหรอื ผา้ ปนู ่งั เฉพาะรูป ในกรณีท่ไี มส่ ามารถจดั เฉพาะรูปได้ กใ็ ชผ้ า้ ขาวปบู นพรมรองน่งั อีก ชนั้ หน่งึ ก็ได้ เป็นการแสดงถงึ ความเคารพอย่างสงู สถานท่นี ่งั เจรญิ พระพทุ ธมนตใ์ ห้ อยทู่ างดา้ นซา้ ยของพระพทุ ธรูป ถา้ สถานท่ไี มอ่ านวยใหจ้ ดั พระพทุ ธรูปหนั พระ พกั ตรม์ าทางพระสงฆ์ การจัดภาชนะเครื่องใช้สาหรับพระสงฆ์ ถา้ มขี องถวายมาก็จดั ถวายรูปละท่ี โดยตงั้ ทางขวามือของพระ ถา้ มขี องนอ้ ยกจ็ ดั 2 รูป ตอ่ 1 ท่กี ็ได้ สว่ นถว้ ยนา้ รอ้ น แกว้ นา้ เย็น ตอ้ งใชร้ ูปละท่ี โดยตงั้ ในระหวา่ ง ของท่ีจาเป็นตอ้ งใช้ คือ กระโถน ภาชนะใสน่ า้ เยน็ หรอื ของท่ีสามารถใชร้ ว่ มกบั อยา่ งอ่ืนได้ การตอ้ นรับพระสงฆ์ เม่อื พระสงฆม์ าถึงบา้ น เจา้ ภาพหรอื เจา้ ของบา้ นก็ตอ้ งจดั การตอ้ นรบั ใหเ้ หมาะสม โดยการจดั อาสนะใหเ้ รยี บรอ้ ย เม่ือพระสงฆน์ ่งั ประจาท่ีแลว้ กจ็ ะตอ้ งถวายนา้ ด่ืม อาจจะเป็นนา้ ชาหรอื นา้ เย็นก็ได้ และกค็ วรน่งั สนทนากบั พระสงฆพ์ อสมควร การประเคนของพระสงฆ์
การถวายภตั ตาหารแด่พระสงฆน์ นั้ ควรจดั แยกเป็นท่ี ๆ หรอื ถา้ ไมส่ ะดวกก็อาจจะ จดั รวมกนั ก็ได้ แต่ตอ้ งมีชอ้ นกลางสาหรบั ตกั อาหาร ภาชนะใสน่ า้ ก็จดั เป็นท่ี ๆ ไมใ่ หป้ ะปนกนั การแสดงความเคารพพระสงฆ์ หากสถานท่ีไมอ่ านวยใหใ้ ชว้ ิธีการไหว้ แตห่ ากมสี ถานท่ีใหใ้ ชก้ ราบแบบเบญจาง คประดิษฐ์ ศาสนิกชนตัวอยา่ ง ศาสนิกชนตวั อยา่ งในท่ีนีป้ ระกอบดว้ ยพระภิกษุ อบุ าสก อบุ าสกิ า และชาวพทุ ธ ตวั อยา่ ง แตล่ ะทา่ นท่นี ามาใหศ้ กึ ษานีล้ ว้ นทาคณุ ประโยชนต์ อ่ พระพทุ ธศาสนาและประเทศชาตอิ ย่างใหญ่หลวง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต) พรหมคณุ าภรณ์ ปัจจบุ นั เป็นเจา้ อาวาสวดั ญาณเวศกวนั ตาบลบางกระทกึ อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม เป็นคนไทยคนแรกท่ีไดร้ บั รางวลั ระดบั โลกจาก องคก์ ารการศกึ ษาวิทยาศาสตรแ์ ละวฒั นธรรมแหง่ สหประชาชาติ หรอื ยเู นสโก เม่อื วนั ท่ี 20 ธนั วาคม พ.ศ. 2537 ซง่ึ ยเู นสโกไดจ้ ดั ถวายรางวลั ดงั กลา่ วขนึ้ ท่ี สานกั งานใหญ่ กรุงปารสี ประเทศฝร่งั เศส ผสู้ มควรไดร้ บั รางวลั นีจ้ ะตอ้ งเป็นผทู้ ่ีมี ผลงานเป็นท่ยี อมรบั ในระดบั นานาชาตใิ นการโนม้ นา้ วมโนธรรมของคนเขา้ สู่ สนั ตภิ าพในภมู ิภาคหรอื ระหวา่ งประเทศ โดยผา่ นมติชมหาชน และผมู้ สี ทิ ธิเสนอ ช่ือหรอื ผสู้ มคั รหรอื สถาบนั ท่มี สี ทิ ธิไดร้ บั รางวลั นีไ้ ดแ้ ก่ ประเทศสมาชิกของยเู นสโก องคก์ รระหวา่ งรฐั บาล องคก์ รไมส่ งั กดั รฐั บาลท่ใี หค้ าปรกึ ษาแก่ยเู นสโก หรอื บคุ คล ท่ผี อู้ านวยการใหญ่ของยเู นสโกเหน็ วา่ เป็นผทู้ รงคณุ วฒุ ใิ นสาขาสนั ติภาพ โดย
ผอู้ านวยการใหญ่ของยเู นสโกจะตดั สนิ ตามขอ้ เสนอของคณะกรรมการ ซง่ึ ประกอบดว้ ยบคุ คลสาคญั 9คน ท่ีเป็นท่ยี อมรบั จากภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ท่วั โลก จงึ นบั วา่ เป็นพระสงฆท์ ่ีมีความสามารถย่งิ จนสมเด็จพระสงั ฆราชยกยอ่ งวา่ เป็น “เพชรนา้ งามของพระสงฆไ์ ทย” ชวี ประวตั แิ ละภมู หิ ลัง พระพรหมคณุ าภรณเ์ กิดวนั พฤหสั บดที ่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2481 เป็นบตุ รนาย สาราญ และนางชนุ กี อารยางคก์ รู มพี ่ีนอ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดียวกนั 8 คน 5 คน แรกเป็นชาย 3 คนหลงั เป็นหญิง ทา่ นเป็นบตุ รชายคนท่ี 5 ของครอบครวั ไดเ้ ขา้ สู่ เพศบรรพชิตเม่อื อายุ 12 ปี 4 เดือน โดยบรรพชา ณ วดั บา้ นกรา่ ง อาเภอศรี ประจนั ต์ จงั หวดั สพุ รรณบรุ ี เม่ือวนั ท่ี 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2494 ต่อมาไดย้ า้ ยเขา้ สงั กดั วดั พระพเิ รนทร์ กรุงเทพมหานคร และสอบไดเ้ ปรยี ญธรรม 9 ประโยค จงึ ไดร้ บั พระราชทานพระบรมราชานเุ คราะหเ์ ป็นนาคหลวง อปุ สมบทเม่ือวนั ท่ี 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ท่ีวดั พระศรรี ตั นศาสดารสมณศกั ดิ์ พ.ศ. 2512 เป็นพระศรวี ิสทุ ธิโมลี พ.ศ. 2516 เป็นพระราชวรมนุ ี พ.ศ. 2530 เป็นพระเทพเวที พ.ศ. 2536 เป็นพระธรรมปิฎก พ.ศ. 2547 เป็นพระพรหมคณุ าภรณ์ ผลงานสาคัญ ทา่ นมีผลงานนิพนธม์ ากกวา่ 100 เรอ่ื ง ลว้ นแตเ่ ป็นงานท่ีสรา้ งพนื้ ฐานความรูค้ วามเขา้ ใจดา้ นวชิ าการพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ สามารถใชเ้ ป็นตารา อา้ งองิ ทางวชิ าการทงั้ ในและตา่ งประเทศ เช่น พทุ ธรรม พจนานกุ รมพทุ ธศาสน์ มองอเมรกิ าแกป้ ัญหาไทย การศกึ ษาท่ีสากลบนพืน้ ฐานแหง่ ภมู ปิ ัญญาไทย A
Buddhist Solutions For The Twenty-First Century (พทุ ธวธิ ีแกป้ ัญหาแหง่ ศตวรรษท่ี 21) ความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนาในฐานะศาสนาประจาชาติ พระไตรปิฎกสงิ่ ท่ีชาวพทุ ธจาเป็นตอ้ งรู้ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยูห่ วั ภมู ิพลอดุลยเดช พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภมู พิ ลอดลุ ยเดชฯ หรอื เรยี กสนั้ ๆ วา่ “รชั กาลท่ี 9” เป็นพระโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดลุ ยเดชวกิ รม พระบรมราชชนก กบั สมเดจ็ พระศรนี ครนิ ทราบรมราชชนนี พระองคท์ รงมคี วามกตญั ญตู อ่ พระบรมราช ชนกและพระบรมราชชนนีเป็นอยา่ งย่งิ เม่ือครงั้ พระบรมราชชนนีทรงพระประชวร และเขา้ รบั การถวายการรกั ษา ณ โรงพยาบาลศิรริ าช พระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั ไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนนิ ไปเย่ียมเยียนอย่างสม่าเสมอ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยทู่ รงบรมราชาภิเษก ในวนั ท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการวา่ “เราจะครองแผ่นดนิ โดยธรรมเพอ่ื ประโยชนส์ ุขแหง่ มหาชนชาวสยาม” วนั ท่ี 22 ตลุ าคม พ.ศ. 2499 ทรงปฏิบตั ิตามประเพณีไทยนิยมท่ีวา่ พทุ ธศาสนกิ ชน ท่เี ป็นชายควรจะอปุ สมบท ทรงพระจาพรรษาอยจู่ นถงึ วนั ท่ี 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 จงึ ทรงลาสกิ ขา พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั มีพระอจั ฉรยิ ภาพหลายดา้ น ไดพ้ ระราชทานปรชั ญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ใหเ้ ป็นแนวทางในการดาเนนิ ชีวติ และวถิ ีปฏบิ ตั ิแก่ ประชาชนมานานนบั 10 ปี พระราชทานแนวทางการพฒั นาบนหลกั แนวคิด พง่ึ ตนเอง เพ่ือใหเ้ กิดความพอมี พอกิน พอใช้ ของคนสว่ นใหญ่โดยใชห้ ลกั การ คานงึ ถงึ ความพอประมาณ การมีเหตผุ ล การสรา้ งภมู ิคมุ้ กนั ในตวั ท่ีดี อีกทงั้ ยงั ทรง
เสียสละความสขุ สว่ นพระองคเ์ สดจ็ ฯ ไปถ่ินทรุ กนั ดารเพ่ือไปเย่ียมราษฎร และ พระราชทานความช่วยเหลือแกป่ ระชาชนอยา่ งท่วั ถงึ พระบาทสมเด็จพระ เจา้ อยหู่ วั ทรงไดร้ บั พระราชทานสมญั ญานามวา่ “สมเด็จพระภทั รมหาราช” มี ความหมายวา่ “พระมหากษัตรยิ ผ์ ปู้ ระเสรฐิ ย่งิ ” คุณธรรมทเ่ี ป็ นแบบอย่า 1. พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีความกตญั ญกู ตเวทีต่อพระบรมราชนนี ใน ขณะท่ีพระบรมราชชนนีทรงพระชนมช์ ีพอยนู่ นั้ ไดเ้ สดจ็ ฯ ไปทรงเย่ียมพระบรมราช ชนนีอย่างสม่าเสมอไดม้ ิขาด 2. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั ทรงมคี วามเสยี สละความสขุ สว่ นพระองคเ์ พ่ือ ประชาชน นบั ไดว้ า่ ทรงพอ่ ของแผน่ ดนิ อยา่ งแทจ้ รงิ ดร.อัมเบดการ์ ดร.อมั เบดการ์ มชี ่ือเต็ม คือ บาบาสาเหบพมิ เรารามจิอมั เบดการ์ (Babasaheb Bhimrao Ramji Ambedkar) ทา่ นเกิดวนั ท่ี 14 เมษายน 2434 ใน วรรณะจณั ฑาล(วรรณะจณั ฑาลเป็นวรรณะท่ีต่าท่ีสดุ ในอนิ เดีย คนท่ีเกิดในวรรณะ จณั ฑาลไมเ่ ป็นท่ียอมรบั ในสงั คมและเป็นท่ีรงั เกียจ) บิดาช่ือ รามจิ สกั ปาล มารดา ช่ือ พิมมาใบ สกั ปาล แมว้ า่ เกิดมาในครอบครวั ท่ียากจน แตบ่ ิดาก็พยายามสง่ เสียจนสามารถเรยี นจน จบมธั ยมไดส้ าเรจ็ แต่ในระหวา่ งการเรยี นนนั้ ทา่ นตอ้ งเผชญิ กบั การดถู กู เหยียด หยามของทงั้ ครู อาจารยแ์ ละนกั เรยี นซง่ึ เป็นคนวรรณะสงู กวา่ เช่น เม่ือเขา้ ไปใน หอ้ งเรยี น ทงั้ ครูและเพ่ือนรว่ มชนั้ ตา่ งกแ็ สดงความรงั เกียจไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตแมแ้ ต่
การเขา้ ไปน่งั บนเกา้ อีใ้ นหอ้ งเรยี น ตอ้ งเลือกน่งั ท่ีมมุ หอ้ ง แลว้ ปกู ระสอบน่งั เรยี น แมแ้ ตเ่ วลาจะสง่ งานอาจารย์ อาจารยก์ ็มที ีทา่ รงั เกียจไมอ่ ยากจะรบั สมดุ นอกจากนีเ้ วลาจะไปด่ืมนา้ ท่ีทางโรงเรยี นจดั ไวใ้ ห้ ก็ถกู หา้ มอยา่ งเดด็ ขาดไมใ่ หไ้ ป จบั ตอ้ งแท็งกน์ า้ หรอื แกว้ นา้ ท่ีวางอยู่ ตอ้ งขอรอ้ งเพ่อื นท่ีพอมีความเมตตาอยบู่ า้ ง ตกั นา้ ใหโ้ ดยแหงนหนา้ และอา้ ปากใหเ้ พ่ือนเทนา้ ลงในปาก แตโ่ ชคดีท่คี รูคนหน่งึ ซง่ึ เป็นวรรณะพราหมณใ์ หค้ วามเมตตา ยอมใหใ้ ชน้ ามสกลุ ของตน คอื “อมั เบด การ”์ ทา่ นจงึ ไดเ้ ปล่ียนไปใชน้ ามสกลุ ครูตงั้ แตน่ นั้ เม่ือเรยี นจบมธั ยมศกึ ษา อมั เบดการไ์ ดร้ บั เงินทนุ จากมหาราชาแหง่ เมืองบาโรดา จนจบปรญิ ญาตรแี ละยงั ไดร้ บั คดั เลอื กใหไ้ ปเรยี นตอ่ ท่ีมหาวทิ ยาลยั โคลมั เบีย ประเทศสหรฐั อเมรกิ า จนจบระดบั ปรญิ ญาโทและปรญิ ญาเอกหลายใบ เชน่ ปรญิ ญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ ปรญิ ญาเอกทางรฐั ศาสตร์ เนติบณั ฑติ องั กฤษ ปรญิ ญาเอกกิตตมิ ศกั ดิท์ างดา้ นกฎหมาย เป็นตน้ เม่อื ดร. อมั เบดการเ์ รยี นจนจบไดเ้ ดนิ ทางกลบั มาประเทศอินเดียเพ่ือตอ่ สกู้ บั ความอยตุ ิธรรมเก่ียวกบั เร่อื งวรรณะในสงั คมจนกระท่งั ไดเ้ ป็นรฐั มนตรวี า่ การ กระทรวงยตุ ิธรรม นอกจากนี้ ดร. อมั เบดการย์ งั เป็นผนู้ าเรยี กรอ้ งเอกราชของ ประเทศอินเดียคนื จากประเทศองั กฤษ รวมทงั้ ยงั เป็นผรู้ า่ งกฎหมายรฐั ธรรมนญู ปกครองประเทศท่ีใชม้ าจนถงึ ทกุ วนั นี้ ทา่ นไดร้ บั การขนานนามวา่ “รฐั บรุ ุษจาก สลมั ” ดร. อมั เบดการไ์ ดต้ งั้ มหาวทิ ยาลยั ขนึ้ ถึง 2 แหง่ เพ่ือใหเ้ ป็นมหาลยั ท่ีคนทกุ วรรณะไดม้ ีโอกาสเขา้ มารบั การศกึ ษาไดอ้ ย่างเสมอภาคกนั มหาวิทยาลยั แหง่ หนง่ึ ช่ือ “สทิ ธตั ถะ” อกี แห่งช่ือมหาวทิ ยาลยั “มลิ ินทะ”
ดร.อมั เบดการไ์ ดท้ าสงิ่ ท่มี คี ณุ ปู การมากตอ่ พระพทุ ธศาสนาในประเทศอนิ เดยี คือการเป็นผนู้ าชาวจณั ฑาลนบั แสนคน ปฏญิ าณตนเป็นพทุ ธมามกะในวนั ท่ี 15 ตลุ าคม พ.ศ. 2499 แตห่ ลงั จากเขา้ พิธีปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะได้ 3 เดือน ทา่ นกถ็ ึงแกก่ รรม ในวนั ท่ี 6 ธนั วาคม พ.ศ. 2499 รวมอายไุ ด้ 65 ปี คุณธรรมทเ่ี ป็ นแบบอยา่ ง 1.ความเป็นนกั สู้ ดร.อมั เบดการเ์ ป็นแบบอยา่ งผทู้ ่ไี มย่ ่อทอ้ ต่อชะตาชีวติ ท่ีชาว พทุ ธควรยดึ ถือทา่ นไดแ้ สดงใหเ้ ห็นถงึ ความเช่ือตามหลกั พระพทุ ธศาสนาท่ถี กู ตอ้ ง วา่ พรหมไมไ่ ดล้ ขิ ติ แต่กรรมคอื การกระทาของตนตา่ งหากเป็นผลู้ ิขิต 2. ความมีศรทั ธาอยา่ งม่นั คงตอ่ พระพทุ ธศาสนา ทา่ นถือเป็นชาวพทุ ธตวั อยา่ งท่ี กลา้ หาญกลา้ ปฏิญาณตน และปฏเิ สธชาตวิ รรณะเดิม แลว้ รบั พระรตั นตรยั มาเป็น ท่พี ง่ึ ท่ีนบั ถือโดยไมห่ ว่นั เกรงใด ๆจนไดช้ ่ือวา่ เป็นชาวพทุ ธผกู้ ลา้ ลบลา้ งวรรณะแลว้ รบั ธรรมะในพทุ ธศาสนาเป็นสงิ่ สงู สดุ ดงั คากลา่ วของทา่ นท่ีวา่ “ขา้ พเจา้ เกิดมาเป็น ฮินดเู พราะขา้ พเจา้ ควบคมุ ไมไ่ ด้ แต่จะไมข่ อตายในฐานะเป็นฮินดู แตข่ อตายใน ฐานะชาวพทุ ธ” บทที่ 11 มารยาทชาวพทุ ธ มารยาทชาวพทุ ธ มารยาท หมายถึงกิรยิ าวาจาท่ถี ือวา่ เรยี บรอ้ ย มารยาทชาวพทุ ธจงึ หมายถึง กิรยิ าวาจาท่ีชาวพทุ ธประพฤตปิ ฏบิ ตั ทิ ่ีถือวา่ เรยี บรอ้ ย เน่ืองจากคนไทยสว่ นใหญ่ นบั ถือพระพทุ ธศาสนาในการกลา่ วถึงมารยาทชาวพทุ ธจงึ เก่ียวโยงกบั มารยาท ไทยโดยท่วั ๆ ไปดว้ ย สว่ นมารยาทต่างชาติเป็นวฒั นธรรมของคนตา่ งชาตยิ อ่ มมี
การแสดงออกในดน้ ตา่ ง ๆ แตกตา่ งจากมารยาทไทย เช่น การแสดงความเคารพ การทกั ทาย การแสดงคามยนิ ดีโดยการจบั มอื เป็นตน้ 1. มีกิรยิ า วาจาสภุ าพ เรยี บรอ้ ย ออ่ นโยน 2. แต่งกายดว้ ยเสอื้ ผา้ ท่ีเหมาะสมแกว่ ยั สภุ าพและเหมาะสมกบั โอกาสและ สถานท่ี 3. มีอริ ยิ าบถอยใู่ นทา่ ธรรมดาไมฝ่ ืน แตส่ ภุ าพและไมแ่ ข็งกระดา้ ง 4. การแสดงมารยาท ไมช่ า้ จนอืดอาด และไมเ่ รว็ จนลกุ ลลี้ กุ ลน การแสดงออกทางทา่ ทางกิรยิ าทา่ ทางและทางวาจาจะเกิดความตงั้ ใจเป็น หลกั การตงั้ ใจดไี วก้ อ่ นยอ่ มจะสง่ ผลถึงการประพฤติใหถ้ กู ตอ้ งและเหมาะสมไป ดว้ ย ซง่ึ หลกั สาคญั อยา่ งหน่งึ ของพระพธุ ศาสนาก็คอื เร่อื งของการฝึกใจใหต้ งั้ ม่นั เพ่ือใหส้ ง่ ผลถงึ การปฏบิ ตั ิในท่ีสดุ มารยาทชาวไทยแลมารยาทชาวพทุ ธเป็นสงิ่ ท่คี กู่ นั สว่ นท่ีจะกลา่ วถงึ ในหนว่ ยนี้ ไดแ้ ก่ การน่งั การยืน การเดิน การไหว้ และการกราบ ตามลาดบั การน่ัง 1. ในท่ีประชมุ หรอื ตอ่ หนา้ สภุ าพชน หรอื ในงานพธิ ีใด ๆ น่งั หลงั พงิ พนกั เกา้ อี้ ในอริ ยิ าบถท่ีสบาย 2. เทา้ ชิด เข่าชิด สาหรบั ชายแยกเข่าและปลายเทา้ เลก็ นอ้ ยได้ 3. มือวางบนหนา้ ขาถา้ เป็นเกา้ อเี้ ทา้ แขนจะเอาแขนพาดเทา้ แขนก็ได้ 4. ไมค่ วรน่งั ไขวห่ า้ ง ควรน่งั เต็มเกา้ อี้ อย่าโยกเกา้ อี้ การน่ังเก้าอีต้ อ่ หน้าผู้ใหญ่
1. น่งั เตม็ กน้ แตห่ ลงั ไมพ่ งิ พนกั ตวั ตรง 2. มือประสานกนั บนตกั การน่ังลงศอกมักใช้ตอ่ เมอื่ น่ังอยู่ตอ่ หน้าผู้ใหญ่ทอ่ี าวุโสมาก 1. น่งั เกา้ อีต้ ามมารยาทการน่งั เกา้ อี้ 2. หลงั ไม่พงิ พนกั วางแขนทงั้ สองลงบนหนา้ ขา 3. นอ้ มตวั ลง เงยหนา้ ขนึ้ เลก็ นอ้ ย 4. มือวางประสานกนั ไมต่ อ้ งจบั กนั จนแน่น การน่ังกบั พนื้ ตามลาพงั 1. น่งั พบั เพยี บในลกั ษณะสภุ าพ 2. ยืดตวั ไมต่ อ้ งเก็บปลาเทา้ แต่อยา่ เหยียดเทา้ ยาว 3. มือวางบนตกั ก็ได้ 4. ผหู้ ญิงจะน่งั เทา้ แขนก็ได้ แตอ่ ย่าเทา้ มือไปขา้ งหลงั จนทอ้ งแขนแอ่นหยดั ขา้ งหนา้ ใหป้ ลายเทา้ ไปอยขู่ า้ งหนา้ 5. ผชู้ ายไมค่ วรน่งั เทา้ แขน น่งั ปลอ่ ยแขนก็ได้ การน่ังกับพนื้ ต่อหน้าผู้ใหญ่โดยท่วั ไปปฏบิ ัตไิ ดด้ ังนี้ 1. น่งั พบั เพยี บเชน่ เดยี วกบั น่งั ตามลาพงั นอ้ มตวั เลก็ นอ้ ย 2. เก็บปลายทา้ โดยปลายเทา้ เบนเขา้ หาสะโพก 3. มอื ประสานกนั โดยหงายมือซา้ ยและคว่ามือขวาตาม การน่ังลงศอกเม่อื น่ังกับพนื้
ใชเ้ ม่ือน่งั ใกลผ้ ใู้ หญ่ท่อี าวโุ สมาก โดย 1. น่งั พบั เพยี บ 2. วางแขนทงั้ สองขา้ งไวบ้ นหนา้ ขา นอ้ มตวั เบ่ียงลงใหง้ าม 3. เงยหนา้ เลก็ นอ้ ย มือประสานกนั 4. การน่งั ลงศอกไวบ้ นหนา้ ขานี้ อาจใชใ้ นการเฝา้ ฯ ก็ได้ โดยใหข้ อ้ ศอกขา้ งหน่งึ ลงพืน้ เบ่ียงตวั หมอบต่าลงเชิงเฝา้ ฯ กลายๆ ก็ได้ ใชก้ บั พระบรมวงศานวุ งศ์ ก็ได้ แตก่ บั ผใู้ หญ่ผอู้ าวโุ สท่ีมใิ ช่เจา้ นายไมใ่ ชศ้ อกลงพืน้ เพียงแตว่ างศอกทงั้ สองกบั หนา้ ขา การน่ังคุกเข่า ใชใ้ นกรณีเตรยี มถวายบงั คม หรอื เตรยี กราบแบบเบญจางคประดิษฐห์ รอื รบั คาส่งั จากผใู้ หญ่ โดย 1. น่งั ตวั ตรง 2. วางกน้ บนสน้ เทา้ 3. ปลายเทา้ ตรง 4. มือทงั้ สองประสานกนั หรอื วางคว่าบนหนา้ ขาก็ได้ การยนื การยืนตามลาพงั การยืนตามลาพงั จะยืนอยา่ งไรก็ได้ แตค่ วรใหเ้ ป็นไปในลกั ษณะสภุ าพ สบาย คือ
1. สน้ เทา้ ชดิ ปลายเทา้ แยกเล็กนอ้ ย 2. ปลอ่ ยแขนทงั้ สองขา้ งวา้ งลาตวั ตามสบาย 3. ไมค่ วรหนั หนา้ ไปมาบอ่ ย ๆ ตาควรมองตรง การยนื เฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ถา้ ไมจ่ าเป็น ไมค่ วรยืนตรงหนา้ ผใู้ หญ่ทีเดียว แตค่ วรเยือ้ งไปทางใดทาง หน่งึ วิธียืนทาไดด้ งั นี้ 1. การยืนขาชดิ สน้ เทา้ ชิ ปลายเทาหา่ งกนั เลก็ นอ้ ยมือทงั้ สองขา้ งแนบลาตวั หรอื ประสานกนั ไวเ้ บอื้ งหนา้ ไดเ้ ข็มขดั ลงไป 2. ยืนตรงไหลค่ อ้ มเลก็ นอ้ ยมือประสานกนั เงยหนา้ เลก็ นอ้ ยลกั ษณะการ ประสานมือทาไดส้ องวิธีคอื คว่ามือซอ้ นกนั จะเป็นมอื ไหนทบั มอื ไหนก็ได้ หรอื สอด นวิ้ เขา้ ระหวา่ งรอ่ งนิว้ ของแต่ละมือกไ็ ด้ การเดนิ การเดินตามลาพงั 1. เดินอยา่ งสภุ าพ หลงั ตรง 2. ช่วงกา้ วไมส่ นั้ หรอื ยาวจนเกินไป ปลายเทา้ ชีต้ รงไปขา้ งหนา้ 3. แกวง่ แขนเล็กนอ้ ยพองาม การเดนิ กบั ผู้ใหญ่ 1. เดินเยือ้ งไปทางดา้ นซา้ ยขา้ งหลงั ผใู้ หญ่เล็กนอ้ ย 2. ควรเดินในลกั ษณะสงบเสง่ียมนอบนอ้ ม
การเดนิ สวนกบั ผู้ใหญ่ 1. ควรคอ้ มตวั เม่ือผา่ นใกล้ จะมากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั ผใู้ หญ่ ถา้ อาวโุ สหรอื เป็นท่ี เคารพมากกค็ อ้ มตวั มาก 2. ในกรณีเป็นทางแคบ ๆ ควรหยดุ ยืนดว้ ยอาการสารวม ใหผ้ ใู้ หญ่ผา่ นไปก่อน การเดนิ ผ่านผู้ใหญ่ 1. ในกรณีท่ผี ใู้ หญ่ยืน ใหเ้ ดินคอ้ มตวั ผา่ น ถา้ ผใู้ หญ่ทกั ทายใหห้ ยดุ ยืนนอ้ มกายลง พดู ดว้ ยและเม่ือจบการสนทนาใหไ้ หวห้ นง่ึ ครงั้ แลว้ คอ้ มตวั ผา่ นไป 2. ในกรณีท่ผี ใู้ หญ่น่งั บนเกา้ อี้ หรอื น่งั กบั พืน้ เดินเข่าผา่ น การไหว้ การไหวเ้ ป็นมารยาทชาวพทุ ธอยา่ งหน่งึ ใชไ้ ดท้ งั้ หญิงและชาย อิรยิ าบถของการไหว้ คอื มอื ทงั้ สองขา้ งประนม นวิ้ ชิดกนั ปลายนิว้ จดกนั ไมแ่ ยกปลายออกจากกนั การไหวพ้ ระสงฆ(์ ขณะยนื ) 1. ยกมือท่ปี ระนมขนึ้ จดหนา้ ผาก 2. ใหป้ ลายหวั มอื จดระหวา่ งควิ้ คอ้ มศรี ษะลง 3. ผชู้ ายยืนสน้ เทา้ ชิด ปลายเทา้ แยกเลก็ นอ้ ย ผหู้ ญิงกา้ วเทา้ ขวาไปขา้ งหนา้ เพ่อื ยนั พืน้ กนลม้ ยอ่ ตวั คอ้ มศรี ษะลงไหว้ ไหวต้ รง ๆ ไมเ่ อียงซา้ ยหรอื ขวา การไหว้บดิ ามารดา หรอื ครูอาจารย์ 1. ยกมอื ท่ปี ระนมจดสว่ นกลางของหนา้ 2. ใหป้ ลายนวิ้ หวั แมม่ ือจดปลายจมกู คอ้ มศีรษะใหป้ ลายนิว้ ชีจ้ ดระหวา่ งคิว้
3. ผชู้ ายยืนสน้ เทา้ ชิดปลายเทา้ แยกเล็กนอ้ ยคอ้ มแตส่ ว่ นไหลแ่ ละศรี ษะ ผหู้ ญิงกา้ ว เทา้ ขวาไปขา้ งหนา้ ยอ่ ตวั ลงไหว้ คอ้ มศรี ษะรบั ปลายนิว้ การไหว้ผู้ทเ่ี คารพท่วั ๆ ไปและการรับไหว้ ยกมือท่ปี ระนมจดสว่ นลา่ งของหนา้ ใหป้ ลายหวั แมม่ ือจดปลายคาง ใหน้ วิ้ ชี้ จดจมกู สว่ นบน กม้ ศีรษะรบั ปลายมอื ใหง้ าม การรับไหว้ ยกมอื ทงั้ สองมาประนมไวท้ ่อี กแลว้ คอ้ มศีรษะใหผ้ ไู้ หวเ้ ลก็ นอ้ ย การกราบ การกราบบุคคลท่วั ไป ซง่ึ ผกู้ ราบมีความเคารพอยา่ งสงู ปฏิบตั ิดงั นี้ 1. น่งั พบั เพียบเก็บปลายเทา้ 2. เบ่ยี งตวั หมอบลง ใหเ้ ขา่ ขา้ งหน่งึ อยรู่ ะหวา่ งแขนทงั้ สองขา้ ง 3. วางแขนทงั้ สองขา้ งราบลงกบั พืน้ ตลอดครง่ึ แขนคอื จากศอกถึงมอื 4. ประนมมือวางตงั้ ลงกบั พืน้ แลว้ กม้ ศีรษะลงใหห้ นา้ ผากแตะสนั มือ 5. ทาครงั้ เดยี วไมแ่ บมอื แลว้ ทรงตวั น่งั การกราบพระภกิ ษุ พระพุทธรูป หรอื พระรัตนตรัย การกราบพระไมว่ า่ จะเป็นพระพทุ ธรูปหรอื พระภกิ ษุมแี บบเดยี ว คือ การกราบแบบ เบญจางคประดษิ ฐเ์ วน้ แตก่ รณีท่ีสถานท่ีไมอ่ านวย เชน่ ท่พี ืน้ ท่กี ลางลาน หรอื ใน ยานพาหนะ ใหใ้ ชก้ ารไหวแ้ ทน เป็นตน้
การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ ประกอบดว้ ย เข่าทงั้ สอง มอื ทงั้ สอง และศรี ษะ หนง่ึ รวมเป็นหา้ โดยมีลาดบั ขนั้ ตอนการปฏิบตั ิดงั นี้ 1. ทา่ เตรยี ม 1.1 ชาย น่งั พรหม เข่ายนั พืน้ หา่ งกนั พอสมควร ปลายเทา้ ตงั้ ชิดกนั น่งั ทบั สน้ เทา้ 1.2 หญิง น่งั ท่าเทพธิดา เขา่ ยนั พืน้ ในลกั ษณะชดิ กนั ปลายเทา้ ราบไปกบั พืน้ หงายฝ่า เทา้ น่งั ทบั สน้ เทา้ จงั หวะท่ี 1 ประนมมือหวา่ งอก จงั หวะท่ี 2 ยกมือประนมขนึ้ พรอ้ มกบั กม้ ศรี ษะลงเลก็ นอ้ ย นวิ้ หวั แมม่ อื จดกลางหนา้ ผาก (ปลายนิว้ ชีจ้ ะสงู กวา่ ศีรษะ) จงั หวะท่ี 3 1. กม้ กราบโดยทดศอกใหแ้ ขนทงั้ สองขา้ งลงพืน้ พรอ้ มกนั 2. คว่ามอื ทงั้ สองแบนราบกบั พนื้ ใหน้ วิ้ ทงั้ 5 ชิดกนั มอื ทงั้ สองวางห่างหนั เลก็ นอ้ ยพอ ไหห้ นา้ ผากจดพืน้ ในระหวา่ งมอื ทงั้ สองขางได้ 3. สาหรบั ผชู้ ายตอ้ งใหศ้ อกตอ่ เข่า สาหรบั ผหู้ ญิงศอกทงั้ สองแนบเข่า 4. ลกุ น่งั ในทา่ คกุ เข่า ทาตามจงั หวะทงั้ 3 ครงั้ แลว้ ทรงตวั ขนึ้ ยกมอื ประนมจด หนา้ ผากอีกครงั้ หน่งึ เรยี กวา่ จบ แลว้ ลดตวั น่งั ในทา่ ปกติ บทท่ี 12 ศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู
หลักธรรมของศาสนาพราหมณ-์ ฮนิ ดู ศาสนาพราหมณเ์ ป็นศาสนาดงั้ เดมิ ของชนเผ่าอรยิ กะหรอื อารยนั ในสมยั พทุ ธกาล เป็นศาสนาพราหมณแ์ ตใ่ นปัจจบุ นั เป็นศาสนาฮินดู ในศาสนาพราหมณค์ าวา่ ธรรม แปลไดห้ ลายอยา่ ง คือแปลวา่ หนา้ ท่ีก็ได้ แปลวา่ สิง่ ท่คี วรทากไ็ ด้ นอกจากนีย้ งั แปลได้ วา่ ความเจรญิ ความรูข้ องจรงิ การรูค้ วามถกู ตอ้ ง และรูต้ รรกศาสตรห์ ลกั ธรรมสาคญั ในศาสนามีดงั นี้ พระธรรมศาสตร์ มีอยู่ ๑๐ ประการ ๑.ธฤติ คือ ความพอใจ คลา้ ยกบั คาวา่ สนั โดษ มคี วามพยายามอยดู่ ว้ ยความม่นั คง เสมอ ความรูส้ กึ ยินดี และพอใจในสง่ิ ท่ตี นมีอยโู่ ดยปราศจากความโลภ ๒.กษมา ความอดกนั้ หรอื ความอดทน มีความพากเพยี ร พยายาม อดทน โดยถือเอา เมตตากรุณาเป็นท่ตี งั้ ๓.ทมะ คอื การระงบั จิตใจ รูจ้ กั ขม่ ใจของตนดว้ ยความสานกึ ในเมตตา และมีสตอิ ยู่ เสมอไมป่ ลอ่ ยใหห้ ว่นั ไหวไปตามอารมณไ์ ดง้ า่ ยๆ ๔.อสั เตยะ คือ ไมล่ กั ไมข่ โมย ๕.เศาจะ คือความบรสิ ทุ ธิ์ทงั้ กายและใจ ๖.อนิ ทรยิ นิครหะ คือการปราบปรามอินทรที งั้ ๑๐ ไดแ้ ก่ ประสาทความรูส้ กึ ทาง ความรู้ ไดแ้ ก่ ตา หู จมกู ลนิ้ และผวิ หนงั กบั ประสาทความรูส้ กึ ทางการกระทา ไดแ้ ก่ มอื เทา้ ทวารหนกั ทวารเบา และลาคอ ๗. ธี เหมือนกบั ธิติ ธีร หรอื พทุ ธิ ไดแ้ ก่ปัญญา สติ ความคดิ ความม่นั คง
๘.วิทยา คือ ความรูท้ างปรชั ญาศาสตร์ คือรูล้ กึ ซงึ้ และมีความรูเ้ ก่ียวขอ้ งกบั ชีวะ กบั มายาและกบั พรหม ๙. สตยะ คือ ความจรงิ ความเหน็ อนั สจุ รติ ความซ่อื สตั ยต์ อ่ กนั จนเป็นท่ไี ว้ วางใจกนั เช่ือใจกนั ได้ ๑๐.อโกรธะ คอื ความไมโ่ กรธ มีความอดทน สงบเสง่ยี ม รูจ้ กั ทาจติ ใจใหส้ งบ อารยธรมอินเดยี ในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ สว่ นใหญ่จะไดร้ บั อิทธิพลอารยธรรมอนิ เดียโดยได้ ผสมผสานอารยธรรมด่งั เดมิ ท่มี อี ยแู่ ลว้ สามารถศกึ ษาถึงความสมั พนั ธก์ นั ของสอง อารยธรรมไดด้ งั นี้ ๑. การแลกเปล่ยี นมีมาต่งั แต่ชว่ งวฒั นธรรมหนิ ใหมห่ รอื ชว่ งสงั คมเกษตร หลกั ฐานท่ีพบคือ พบขวานหินขดั รูปส่เี หล่ียมผืนผา้ และขวานหินแบบมีบา่ อายใุ นชว่ ง ๔,๐๐๐ - ๒,๐๐๐ ปี แพรก่ ระจายไปดินแดนหนง่ึ ในอินดยี กบั ชนเผา่ ในอนิ โดนีเซีย และพวกจาม ๒. คาภีรม์ หาวงศท์ ่เี ขียนขนึ้ ในพ.ศ.ว.ท่ี ๑๑ – ๑๒ กลา่ วถึงการสงั เคยนา พระไตรปิฎกครงั้ ท่ี ๓ ในช่วงพ.ศ.ว.ท่ี ๓ พระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ง่ สมณทตู มา เผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนาในดนิ แดน “สวุ รรณภมู ”ิ ๓. ชาดก มิลนิ ทปัญหา มหานิเทศ และมหากาพยร์ ามยณะ มกั จะกลา่ วถงึ พอ่ คา้ ท่ชี อบเลน่ เรอื มาคา้ ขายในแถบตะวนั ออกท่ีเรยี กวา่ “สวุ รรณภมู ”ิ หรอื “สวุ รรณ ประทีป” การเผยแพร่อารยธรรมอนิ เดยี ในเอเชยี ตะวนั อออกเฉียงใตด้ งั นี้
๑. มกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายทองคาจากเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ ซง่ึ แตเ่ ดมิ อินเดยี ซือ้ จากอาณาจกั รโรมนั ๒. การต่อเรอื ของชาวอนิ เดียพฒั นาขนึ้ มีการเพ่มิ จานวนเรอื ในการเดนิ ทางมา ซอื้ ขายมากขนึ้ นอกจากพอ่ คา้ แลว้ ยงั มนี กั บวชของลทั ธิตา่ ง ๆ ช่างฝีมอื รวมถึงเหลา่ บรรดานกั ปราชญไ์ ดร้ ว่ มเดินทางเขา้ มาดว้ ย ซง่ึ นาอารยธรรมอินเดียเขา้ มาเผยแพร่ ตามเมอื งท่าตา่ ง ๆ ท่ีตนตงั้ เป็นอาณานคิ ม ๓. ชาวอินเดยี รูจ้ กั วถิ ีของลมมรสมุ ท่ีพดั พาเรอื มาสเู่ อเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และ พดั กลบั สอู่ ินเดยี ดจี งึ เพ่มิ จานวนเท่ยี วในการเดนิ ทาง ๔. สมมตุ ิฐานพราหมณห์ รอื พระ ในชว่ งท่ีศาสนาพทุ ธไดร้ บั ความนิยมในอินเดีย ทาใหพ้ ราหมณเ์ สยี ผลประโยชน์ อกี ทงั้ พราหมณท์ ่เี คยมีบทบาทในราชสานกั ก็ถกู ลด บทบาทลง ทาใหพ้ ราหมณบ์ างกลมุ่ ตอ้ งออกเดนิ ทางหาท่ีพกั พิงแหง่ ใหม่ เหตุผลทร่ี ับเอาวัฒนธรรมอนิ เดยี เข้ามา ๑. ชมุ ชนในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตไ้ ดข้ ยายตวั ใหญ่ขนึ้ ตอ้ งการความควบคมุ ให้ ไดอ้ ย่างท่วั ถึง ๒. ตอ้ งการวิทยาการชนั้ สงู จากอินเดยี และคาแนะนาจากผรู้ ู้ เพ่ือแผข่ ยายอานาจ พวกพราหมณจ์ งึ ไดเ้ ขา้ มามบี ทบาทเชน่ ยกระดบั ใหผ้ นู้ าใหเ้ ป็นสมมตุ เิ ทพ การ ปกครองระบบศกั ดนิ า จตสุ ดมภ์ การปกครองหวั เมืองตามแบบอินเดยี มาใช้ ในดา้ น กฎหมายก็ใชก้ ฎหมายพระธรรมศาสตร์ การสรา้ งเมอื งใชอ้ ดุ มคตแิ บบเป็นศนู ยก์ ลาง ของจกั รวาล
๓. ตานานการก่อต่งั ราชวงศข์ องอินเดีย ช่วยสนบั สนนุ อานาจของผนู้ า ใหเ้ ป็น ผนู้ าโดยถกู ตอ้ ง และชอบธรรม เพ่ือรกั ษาดนิ แดนไวใ้ หเ้ ผ่าของตน และลกู หลานของ ตน รัฐโบราณแรกรับอารยธรรมอินเดยี คอื อาณาจกั รฟูนัน (คริสศตวรรษที่ ๑ – ๖) อาณาจกั รฟนู นั ตงั้ อยบู่ รเิ วณปากแมน่ า้ โขง ปกครองในระบบกษัตรยิ แ์ ละรบั ระบบศกั ดินามาจากอินเดีย ชนชนั้ ปกครองนบั ถือศาสนาพราหมณไ์ วษณพนิกาย สว่ นชาวพืน้ เมอื งมีทงั้ นบั ถือศาสนาพราหมณไ์ วษณพนิกาย และศาสนาพทุ ธนิกาย หินยานท่ีใชค้ มั ภีรส์ นั สกฤต ฟนู นั เป็นอาณาจกั รแรกในเอเชียตะวนั ออกท่ีใชภ้ าษา สนั สกฤตเป็นภาษาราชการ รฐั โบราณท่ีรบั อารยธรรมอินเดยี ต่อมาคอื จามปา เจนละ ทวารวดี ศรวี ิชยั ขอม เป็นตน วฒั นธรรมสาคญั ทอี่ นิ เดยี นามาเผยแพร่ในประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียง ใต้ - ระบบการปกครอง ระบบกษัตรยิ ์ หลกั เทวราชาเพ่อื เสรมิ อานาจใหก้ บั กษัตรยิ ์ ลกั ษณะการปกครองแบบนีเ้ ด่นชดั ท่ีสดุ ในเขมรและในประเทศไทย - การจดั ต่งั รฐั แบบอินเดยี คติการสรา้ งเมืองในคติศนู ยก์ ลางของจกั รวาล - กฎหมายจากอินเดียพระมนธู รรมศาสตรเ์ พ่ือมาเป็นแมบ่ ทของกฎหมายเดมิ ท่ีมี อยู่ - การใชต้ ราประทบั ท่ีเป็นสอื่ กลางตดิ ตอ่ ส่อื สารระหวา่ งสถาบนั กษัตรยิ ์ ศาสนา เอกชนหรอื หมคู่ ณะเพ่ือผลทางการเมือง
- งานวรรณกรรม เชน่ รามเกียรติ์ ภควตั คตี า ซง่ึ มีอิทธิพลตอ่ ความรูส้ กึ ความคดิ ของคนในภมู ภิ าคนี้ - ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธ หลกั ความเช่ือตา่ ง ๆ การนบั ถือเทพเจา้ ตา่ ง ๆ การ นบั ถือยอดเขา - รูปแบบการสรา้ งพระพทุ ธรูป และเทวรูป งานสถาปัตยกรรม ปราสาท เทวส ถาน - ภาษาสนั สกฤตท่ใี ชใ้ นราชการ ภาษาบาลีในพระไตรปิฎกท่ใี ชใ้ น พระพทุ ธศาสนาในนิกายเถรวาท - เคร่อื งมือ เคร่อื งใช้ ตลอดจนกีฬาบางประเภท ซง่ึ ชาวพืน้ เมืองไดน้ ามาดดั แปลง ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ตนเอง นอกจากอารยธรรมอนิ เดียแลว้ SEA ยงั ไดร้ บั วฒั นธรรมจีนดว้ ย เน่ืองจากท่ีตอ้ งติดตอ่ คา้ ขายกบั จีน จงึ ทาใหป้ ระเทศตา่ ง ๆ ตอ้ งยอมรบั เง่ือนไขของจีน ตอ้ งการสง่ เครอ่ื ง ราชบรรณาการไปจีนตามท่จี ีนกาหนด อีกทงั้ ยงั ใหจ้ ีนยอมรบั ความเป็นเอกราชของรฐั ตา่ ง ๆ ทาใหจ้ ีนมอี ิทธิพลทางดา้ นการเมืองและเศรษฐกิจตอ่ ประเทศ SEA อยา่ งไรก็ตามจีนไดเ้ ขา้ มามีอิทธิพลในเวยี ดนาม ในฐานะท่เี วยี ดนามเป็นประเทศ ราช จงึ ทาใหเ้ วียดนามไดร้ บั วฒั นธรรมมากกวา่ ชาตอิ ่ืน ๆ ใน SEA วัฒนธรรมจนี ทเ่ี วียดนามรับเข้ามาเช่น - การปกครองแบบโอรสสวรรค์ - การสอบเขา้ ราชการ โดยการสอบไลย่ ดึ ตามตาราคราสสิกของขงจื๊อ - ยดึ ถือระบบครอบครวั และหลกั ปฏิบตั กิ ารอยใู่ นสงั คมตามคตินิยมของขงจื๊อ
- ศาสนาพทุ ธนิกายมหายานแบบจีน - งานวรรณคดี และอกั ษรศาสตร์ อารยธรรมทงั้ สองไดถ้ กู หลอมลวมกนั อยา่ งกลมกลืนจนทาใหป้ ระชาชนชาว เอเชียตะวนั ออกเฉียงใตส้ รา้ งชาติ สรา้ งบา้ นเมือง สรา้ งคนใหจ้ นเจรญิ รุง่ เรอื ง มี อิทธิพลตอ่ รูปแบบการดารงชีวติ และความคดิ ของผคู้ นในภมู ภิ าคนีอ้ ยา่ งฝังรากลกึ อยู่ ในสายเลอื ด และยงั ไดส้ อดแทรกอยใู่ นประเพณีของแตล่ ะประเทศไดอ้ ย่างเหมาะสม ลงตวั พอดี สืบตอ่ เรอ่ื ยมาหลายรอ้ ยหลายพนั ปีและอยคู่ กู่ บั ชาวเอเชียตะวนั ออกเฉียง ใตส้ บื ตอ่ ไปอีกยาวนาน วฒั นธรรมอนิ เดยี ทเี่ ข้ามาในประเทศไทย การตดิ ตอ่ คา้ ขายระหวา่ งชาวอินเดียและชาวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เป็นสือ่ สาคญั ท่ี กอ่ ใหเ้ กิดการเผยแพรว่ ฒั นธรรมอนิ เดยี มายงั รฐั โบราณแถบนี้ การแลกเปลย่ี นมีมาต่งั แต่ก่อนยคุ ประวตั ศิ าสตร์ ในช่วงวฒั นธรรมหินใหมห่ รอื ช่วงสงั คมเกษตร หลกั ฐานทาง โบราณคดีคือ พบขวานหนิ ขดั รูปส่ีเหล่ยี มผืนผา้ และขวานหินแบบมบี า่ อายใุ นช่วง 4,000 – 2,000 ปี แพรก่ ระจายไปดินแดนท่ีชนเผา่ ท่ีพดู กลมุ่ ภาษาออสโตรเอเชียติค ไดแ้ กภ่ าษาญวน มอญ เขมร ภาษามณุ ฑะ(ภาษาหน่งึ ในอินดีย) กบั ชนเผา่ กลมุ่ ภาษาออสโตนีเชียน ไดแ้ กภ่ าษาอินโดนีเชีย และพวกจาม เหตกุ ารณท์ ่เี ป็นแรงกระตนุ้ สาคญั ท่ีทาใหเ้ กิดการเพ่มิ ปรมิ าณการคา้ ขายระหวา่ งชาว อินเดยี และชาวเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตโ้ ดยเฉพาะประเทศไทยคอื แตเ่ ดมิ อินเดียได้ ซอื้ สินคา้ ฟ่ มุ เฟือยโดยเฉพาะทองคาในบรเิ วณเมดิเตอรเ์ รเนียนและเอเชียกลาง แตร่ าว พ.ศ.ว. ท่ี 4 – 5 ไดเ้ กิดวิกฤตการณท์ างการเมอื งขนึ้ ในแถบนี้ ทาใหก้ ารคมนาคมใน แถบนีถ้ กู ตดั ขาด อินเดียไมอ่ าจซอื้ ทองคาในไซบเี รยี ไดอ้ ีกต่อไป จงึ หนั ไปซอื้ ทองคาใน
โรมนั จนทาใหเ้ ศรษฐกิจโรมนั กระทบกระเทอื นไมอ่ าจขายทองใหอ้ นิ เดียไดอ้ ีก ดว้ ย เหตนุ ีอ้ นิ เดียจงึ เดินทางมาเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตเ้ พ่ือหาแหลง่ ท่ีซอื้ ทองคาใหม่ และ เรยี กดนิ แดนแถบนีว้ า่ “สวุ รรณภมู ิ” ชาวอินเดียท่เี ป็นพ่อคา้ นกั บวชเหลา่ นีไ้ ดเ้ ดนิ ทางเขา้ มาทงั้ ทางบกและทางนา้ ดงั ท่ีพบ ในหลกั ฐานในจารกึ อ.วงั ไผ่ จ.เพชรบรู ณ์ ของกษัตรยิ แ์ หง่ เจนละ และการพบลกู ปัด หินประเภทหนิ คาเนเลียน หนิ โอนิกซ์ หนิ อาเกต ลกู ปัดแกว้ สตี า่ ง ๆ ซง่ึ มแี หลง่ ผลิตใน อินเดีย แพรก่ ระจายอยตู่ ามแหลง่ โบราณคดีในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะท่ี คน้ พบในประเทศไทย แหลง่ โบราณคดีคลองทอ่ ม จ.กระบ่ี และ เกาะคอเขา จ.พงั งา รัฐโบราณแรกรับวัฒนธรรมอนิ เดยี ในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ คอื ฟูนัน เจนละ ทวารวดแี ละศรีวิชัย หลักฐานทางวรรณกรรม เช่น 1. คาภีรม์ หาวงศใ์ นลงั กาท่เี ขียนขนึ้ ในพ.ศ.ว.ท่ี 11 – 12 กลา่ วถึงการสงั เคยนา พระไตรปิฎกครงั้ ท่ี 3 ในช่วงพ.ศ.ว.ท่ี 3 พระเจา้ อโศกมหาราชไดส้ ง่ สมณทตู มาเผยแพรพระพทุ ธศาสนาในดนิ แดน “สวุ รรณภมู ิ” 2. ชาดก มลิ นิ ทปัญหา มหานิเทศ นิยายของศาสนาเซน และมหากาพยร์ ามยณะ มกั จะกลา่ วถึงพอ่ คา้ ท่ชี อบเลน่ เรอื มาคา้ ขายในแถบตะวนั ออกท่ีเรยี กวา่ “สวุ รรณภมู ”ิ หรอื “สวุ รรณประทีป” เมืองทา่ สาคญั ท่ีเป็นศนู ยก์ ลางการติดตอ่ คา้ ขายท่ีอยใู่ นประเทศไทยเช่น ไชยา เวียงสระ คลองทอ่ ม วฒั นธรรมสาคญั ทอี่ นิ เดยี นามาเผยแพร่ในประเทศทางเอเชยี ตะวันออกเฉียง ใต้และประเทศไทยได้แก่ 1. การใชต้ ราประทบั ท่ีเป็นสือ่ กลางตดิ ตอ่ ส่อื สารระหวา่ งสถาบนั กษัตรยิ ์ ศาสนา เอกชนหรอื หมคู่ ณะเพ่ือผลทางการเมือง
2. ระบบการปกครอง ระบบกษัตรยิ ์ การจดั ต่งั รฐั แบบอินเดยี คตกิ ารสรา้ งเมอื ง 3. งานวรรณกรรม เชน่ รามเกียรติ์ ภควตั คตี า ซง่ึ มีอิทธิพลตอ่ ความรูส้ กึ ความคิด ของคนในภมู ิภาคนี้ 4. ศาสนาพราหมณ์ และพทุ ธ หลกั ความเช่ือตา่ ง ๆ การนบั ถือเทพเจา้ ตา่ ง ๆ การ สรา้ งพระพทุ ธรูป และการสรา้ งเทวรูป 5. ภาษาสนั สกฤตท่ีใชใ้ นราชกาล ภาษาบาลีในพระไตรปิฎกท่ีใชใ้ น พระพทุ ธศาสนาในนกิ ายเถรวาท 6. เคร่อื งมือ เครอ่ื งใช้ ตลอดจนกีฬาบางประเภท ซง่ึ ชาวพืน้ เมืองไดน้ ามา ดดั แปลงใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ตนเอง บุคคลสาคัญ พระมหาราชครูพธิ ีศรวี ิสทุ ธิคณุ (ชวนิ รงั สิพราหมณกลุ ) เป็นผดู้ ารงตาแหน่งประธาน พระครูพราหมณค์ นปัจจบุ นั ซง่ึ สาเรจ็ การศกึ ษาเศรษฐศาสตรบณั ฑิตจาก มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง และบวชเป็นพราหมณต์ งั้ แต่ พ.ศ. 2521 ปัจจบุ นั นอกจากดารงตาแหน่งหวั หนา้ พราหมณ์ สงั กดั กองพระราชพธิ ี สานกั พระราชวงั แลว้ เขายงั เป็นประธานคณะพราหมณท์ าหนา้ ท่ีดแู ลองคก์ ารศาสนา พราหมณ-์ ฮินดู อนั ไดแ้ ก่เทวสถานโบสถพ์ ราหมณ์ สมาคมฮินดสู มาช และ สมาคม ฮินดธู รรมสภา ดว้ ย ประวัติ ชวิน รงั สพิ ราหมณกลุ เกิดเม่ือวนั ท่ี 11 มกราคม พ.ศ. 2496 เป็นบตุ รของพระราชครู วามเทพมนุ ี (สมจิตต์ รงั สพิ ราหมณกลุ ) กบั สริ มิ า รงั สพิ ราหมณกลุ (สกลุ เดิม กฤษณะ สวุ รรณ) เม่ือแรกเกิดมีสขุ ภาพไมแ่ ขง็ แรงเพราะคลอดกอ่ นกาหนด แพทยแ์ นะนาให้
ด่มื นา้ มาก ๆ ป่แู ละยา่ จงึ ตงั้ ช่ือแกเ้ คลด็ วา่ \"อฐู \" ชวนิ มีนอ้ งรว่ มทอ้ ง 3 คน คือ ทรงศร, ศรลี และสริ จิ ิตต์ ชวินไดศ้ กึ ษาเลา่ เรยี นชนั้ อนบุ าลท่โี รงเรยี นอนบุ าลสมถวิล ชนั้ ประถมท่โี รงเรยี นหงส์ สรุ นนั ท์ ชนั้ มธั ยมตน้ ท่โี รงเรยี นวดั บวรนิเวศ ชนั้ มธั ยมปลายท่ีโรงเรยี นเทพศิรนิ ทร์ และ จบการศกึ ษาระดบั ปรญิ ญาตรจี ากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ดา้ นศาสนา บวชเป็นพราหมณเ์ ม่ือ พ.ศ. 2521 และไดร้ บั การศกึ ษาจากบดิ าและ พราหมณอ์ าวโุ สทา่ นอ่นื ๆ อาทิ พราหมณอ์ นนั ทบรุ ตี และสวามีฮารฮี าจิ โดยไดร้ บั การโปรดเกลา้ ฯ เล่ือนฐานนั ดรศกั ดิจ์ ากพระครูวามเทพมนุ ีเป็นพระราชครูวามเทพมนุ ี เม่ือปี พ.ศ. 2542 เน่ืองในพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธนั วาคม 2542 ดา้ นชีวติ สมรส พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช ทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ พระราชทานนา้ พระสงั ขส์ มรสใหพ้ ระราชครูวามเทพมนุ ี (ชวนิ รงั สิพ ราหมณกลุ ) กบั วไลพร รงั สพิ ราหมณกลุ (สกลุ เดิม บนุ นาค) บตุ รของฐาปนา บนุ นาค และรติ า้ (สกลุ เดิม เดอเยซซู )์ เม่ือวนั ท่ี 23 พฤษภาคม พ.ศ 2546 ทงั้ คยู่ งั ไมม่ ีบตุ รสืบ สกลุ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2554 พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช ทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานสญั ญาบตั รตงั้ พระราชครูวามเทพมนุ ี เป็น พระ มหาราชครูพธิ ีศรวี ิสทุ ธิคณุ วบิ ลุ ยเ์ วทยบ์ รมหงส์ พรหมพงศ์ พฤฒาจารยิ ์ ตาแหนง่ ประธานพระครูพราหมณ์ ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธนั วาคม 2554 บทที่ 13 ศาสนาครสิ ต์
ประวัตศิ าสนาคริสต์ พระเยซูครสิ ต์ (Jesus Christ) บงั เกิดขนึ้ มาในตาบลเล็ก ๆ แหง่ หนง่ึ ช่ือ เบธเลเฮม (Bethlehem) ในแควน้ ยดู าห์ ตรงกบั ปีพทุ ธศกั ราช 543 วนั ท่ีบงั เกิดขนึ้ ไมม่ กี ารบนั ทกึ แนน่ อน แตศ่ าสนจกั รไดก้ าหนดเอาวนั ท่ี 25 ธนั วาคม เป็นวนั เรม่ิ ครสิ ตศกั ราชท่ี 1 มารดามีนามวา่ มารอี า (Maria) ชาวครสิ ต์ เช่ือกนั วา่ นางมารอี า ตงั้ ครรภไ์ มเ่ หมอื น สตรอี ่ืน เพราะเป็นการตงั้ ครรภโ์ ดยอานภุ าพของพระผเู้ ป็นเจา้ ฉะนนั้ พระเยซูจงึ เป็น บตุ รของพระเจา้ สว่ นโยเซฟ (Joseph) เป็นบดิ าเลยี้ งท่ีมสี ายเลือดสืบมาแตก่ ษัตรยิ ด์ า วิด พระเยซใู นวยั เดก็ มจี ติ ใจท่ีใฝ่ในธรรม มีความชอบใจท่ีจะพดู ถึงเร่อื งธรรมกบั นกั ศาสนา ครนั้ มอี ายไุ ด้ 30 ปี จงึ รบั บพั ติศมา หรอื การรบั ศลี ลา้ งบาปจากยอหน์ ซง่ึ เป็น นกั บญุ ในสมยั นนั้ การรบั ศีลลา้ งบาปนีก้ ระทาท่ีแมน่ า้ จอรแ์ ดน ตอ่ มาพิธีนีไ้ ด้ กลายเป็นพธิ ีศกั ดิส์ ทิ ธิ์ของชาวครสิ ตท์ กุ คน ท่จี ะตอ้ งกระทาเพ่อื ประกาศตนเป็น ครสิ ตศ์ าสนกิ ชน หลงั จากนนั้ พระเยซูไดอ้ อกเทศนาท่วั ประเทศเพ่ือประกาศ \"ขา่ วด\"ี อนั เป็นหนทาง แหง่ ความรอดพน้ จากบาปไปสชู่ ีวติ นริ นั ดร์ ในขณะนนั้ ไดม้ ีผสู้ นใจคาสอนของพระเยซู แต่สว่ นมากเป็นชนชนั้ ชาวบา้ นท่ียากจนและชาวประมง พระเยซไู ดค้ ดั เลอื กสาวกจาก บคุ คลเหลา่ นีไ้ ดท้ งั้ หมด 12 คน สาวกทงั้ 12 คนนี้ ไดต้ ดิ ตามรบั ใชพ้ ระเยซอู ย่างใกลช้ ิดเพ่ือเผยแพรศ่ าสนา แต่ กระนนั้ ก็ยงั มีสาวกท่ีมีจิตใจดือ้ ดงึ คือ ยดู าส อิสคารอิ อท (Judas Iscariot) ยอมทรยศ เพ่ือเหน็ แก่เงนิ สนิ บน เน่ืองมาจาก
คาสอนของพระเยซมู ีสว่ นทาใหผ้ นู้ าศาสนายดู าย ขนุ นาง และคนร่ารวยบงั เกิดความ ไมพ่ อใจ เพราะถกู ตาหนิจงึ โกรธแคน้ คิดหาทางทารา้ ย ดว้ ยการจบั ตวั ไปขนึ้ ศาลของ เจา้ เมอื งชาวโรมนั โดยยดู ายรบั อาสาชีต้ วั พระเยซู เม่อื วนั ท่ผี นู้ าศาสนายดู ายมาจบั ตวั พระเยซไู ป สาวกทงั้ 11 คน ไดร้ บี หลบหนีทงิ้ ใหพ้ ระเยซถู กู จบั ไปลงโทษ โดยการตรงึ กบั ไมก้ างเขน พระเยซถู กู ทรมานอย่างโหดรา้ ยทารุณจนถงึ แก่ชีวิตในขณะท่ีมอี ายไุ ด้ 33 ปี เทา่ นนั้ จงึ ใชเ้ วลาประกาศศาสนาเพยี ง 3 ปี ชาวครสิ ตเ์ ช่ือกนั วา่ หลงั จากท่ีพระเยซูไดส้ นิ้ ไป 3 วนั แลว้ ไดฟ้ ื้นคนื ชีพอีกครงั้ โดย ปรากฏแกส่ าวกทงั้ 11 คน พวกเขาไดท้ ดสอบพระเยซหู ลายครงั้ จนม่นั ใจวา่ การฟื้นคนื ชีพของพระเยซูนนั้ ไมใ่ ชเ่ รอ่ื งหลอกลวง ประกอบกบั การเทศนาส่งั สอนยา้ ใหส้ าวก ทงั้ หลายมคี วามเขา้ ใจในพระคมั ภีร์ พวกเขาทงั้ 11 คน ไดก้ ลบั ไปกรุงเยรูซาเลม็ จงึ รว่ มกนั อธิษฐานอยา่ งขะมกั เขมน้ นบั แตน่ นั้ มาอคั รสาวกทงั้ 11 คน และมทั ธีอสั ซง่ึ ไดร้ บั เลือกเขา้ มาในภายหลงั รวมเป็น 12 คน ไดช้ ว่ ยกนั เผยแพรศ่ าสนาอยา่ งม่นั คง ทาใหม้ ีผเู้ ขา้ มาเป็นสาวกของพระเจา้ มากมาย แตใ่ นขณะเดียวกนั การเผยแพรศ่ าสนา มีความลาบากเป็นอยา่ งมาก เพราะ ถกู ตอ่ ตา้ นอยเู่ สมอจากพวกท่ีนบั ถือศาสนายู ดาย ความเจรญิ ของศาสนาครสิ ตไ์ ดม้ ีมายาวนาน จนกระท่งั ถงึ ยคุ ลา่ อาณานคิ มของ พวกจกั รวรรดนิ์ ิยมชาวยโุ รปและอเมรกิ นั ซง่ึ อยใู่ นชว่ งเวลาประมาณครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 15-16 ศาสนาครสิ ต์ ไดถ้ กู นาไปเผยแพรใ่ นประเทศตา่ ง ๆ ท่นี กั ลา่ อาณานิคมเหลา่ นี้ ไปถงึ ทาใหค้ รสิ ตศ์ าสนิกชนมีปรมิ าณ เพ่มิ มากขนึ้ ทงั้ ในทวีปยโุ รป แอฟรกิ า อเมรกิ า เอเชีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในประเทศไทย ไดม้ ีนกั สอนศาสนาชาว โปรตเุ กสและสเปนเขา้ มาเผยแพร่ โดยเดินทางมาพรอ้ มกบั พวกทหารและพอ่ คา้ ของ ประเทศเหลา่ นนั้ ทาใหม้ ีคนไทยนบั ถือศาสนาครสิ ตก์ ระจดั กระจายไปท่วั ประเทศ
ประวัตศิ าสดา พระเยซทู รงถือกาเนดิ ในหมชู่ าวยิว ท่ีตาบลเบธ็ เลเฮม แควน้ ยดู าตรงกบั พ.ศ.543 (ค.ศ. 1 ) บิดาช่ือ โยเซฟ มารดาช่ือ มาเรยี ทรงเติบโตในเมอื งนาซาเรธ็ ประกอบอาชีพ ช่างไมอ้ ยปู่ ระมาณ 10 ปี เม่ือพระชนมายไุ ด้ 30 พรรษา พระวิ ณ ญาณของพระเจา้ ได้ เขา้ มาสถิต ท่ีอยใู่ นองคพ์ ระเยซู ทรงบาเพ็ญพรต ภาวนาศลี ตรติ รองธรรมเป็น เวลานาน 40 วนั จากนนั้ ไดเ้ สด็จออกมาประกาศขา่ วประเสรฐิ ของพระเจา้ แก่ ประชาชน รกั ษาโรคภยั ไข้ เจบ็ ใหป้ ระชาชน พระชนมายไุ ด้ 33 พรรษา ถกู ทหารโรมนั จบั ถกู โบยถกู ตรงึ กางเขน ณ ภเู ขาโคลกอต ทาง เหนือของเมือง เยรูซาเลม็ ตรงกบั วนั ศกุ ร์ และสิน้ พระชนมใ์ นเวลาบา่ ย หลงั จากนนั้ 3 วนั พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ขนึ้ สสู่ วรรค์ ศาสนาครสิ ตเ์ หมือนกบั ศาสนาใหญ่อ่ืน ๆ คือ มีศาสนาหรอื ผกู้ อ่ ตงั้ (Founder) ผเู้ ป็น ศาสดา ของศาสนาครสิ ตก์ ็คือ พระจีซสั ไครสต์ (Jesus Christ) หรอื ท่ีเรยี กกนั วา่ พระ เยซูครสิ ต์ กอ่ นท่ีพระเยซอู บุ ตั ิ ประวตั ศิ าสตรข์ องชนชาติยวิ ท่ีเป็นมายงั กระจดั กระจาย ไม่ สามารถ รวมกนั เป็นปึกแผน่ ได้ จวบจนถึงสมยั ตกอยภู่ ายใตก้ ารปกครองของโรมนั มี หวั หนา้ ซง่ึ เป็น นกั พรตของศาสนายิว ประจาอยทู่ ่กี รุงเยรูซาเล็ม เม่ือ พ.ศ. 543 หรอื ปี ท่ี 1 แหง่ ครสิ ตศ์ กั ราช (บางตารากลา่ ววา่ ก่อน ครสิ ตศ์ กั ราช 4 ปี ) พระเยซูไครสตไ์ ด้ สมภพขนึ้ ในโลกท่ีตาบล เบธเลเอ็ม (ฺฺ Bethlehem) แควน้ ยดู า ในประเทศปาเลสไตน์ วนั ท่ี ทรงสมภพไมม่ ีบนั ทกึ ไว้ แน่นอน พระศาสนาจกั รไดก้ าหนดเอาวนั ท่ี 25 ธนั วาคม และวนั ดงั กลา่ วนีช้ าวครสิ ตถ์ ือเป็น วนั ครสิ ตม์ าส บรเิ วณท่ีทรงสมภพเป็นคอกเลีย้ ง สตั ว์ โดยเป็นบตุ รของโยเซฟ และนางมาเรยี ตระกลู ชา่ งไม้ นางมาเรยี นนั้ เป็นผสู้ ืบ สกลุ มาจาก พระเจา้ เดวลิ โดยเป็นธิดาของโยคิมและนาง แอนนา ตามประวตั ศิ าสตร์ กลา่ ววา่ เม่อื โยคมิ กบั แอนนาสมรสอยกู่ ิน กนั มาเป็นเวลานาน แตก่ ็ หามีบตุ รไม่ โยคมิ
จงึ ไดบ้ วงสรวงงออ้ นวอน พระผเู้ ป็นเจา้ ขอใหป้ ระทานบตุ ร ท่ีดใี หส้ กั คน หนง่ึ เม่ือได้ บวสรวงเชน่ นีบ้ อ่ ย ๆ เขา้ ในท่ีสดุ โยคิมก็ไดบ้ ตุ รสี มความมงุ่ หมาย ไดต้ งั้ ช่ือวา่ มาเรยี นางแอนนาไดน้ ามาเรยี ไปถวาย ไวท้ ่วี ดั ตงั้ แต่ยงั เยาว์ เพ่ือใหไ้ ดเ้ รยี นวิชาศาสนาและ การเยบ็ ปักถกั รอ้ ย ตอ่ มาไมน่ าน บิดามารดาของมาเรยี ไดถ้ งึ แก่กรรม เม่อื มาเรยี โตขนึ้ เป็นสาวแลว้ พวกพระท่วี ดั เหน็ วา่ นางสมควรจะมีสามไี ด้ แตน่ างไมส่ มคั รใจจะมีสามี แตก่ ็สดุ วิสยั ท่ีจะหลีกเลีย่ งได้ เพราะกฎหมายบา้ นเมอื งมีอยวู่ า่ หญิงสาวจะไมม่ ผี ปู้ กครองไมไ่ ด้ พวกพระเห็นวา่ โยเชพซง่ึ เป็นคนจน มีอาชีพในทางเป็นช่างไม้ เป็นผสู้ มควร จงึ แนะนาใหโ้ ยเชฟไปสู่ ขอ นางมาเรยี จงึ รบั หม่นั เม่ือสขู่ อรบั หมนั้ ไดแ้ ลว้ ยงั ไมไ่ ดแ้ ตง่ งานอยกู่ ินดว้ ยกนั แต่ ปรากฏวา่ นางมาเรยี มคี รรภแ์ ลว้ (อาจจะเป็นดว้ ยเดชพระวญิ ญาณบรสิ ทุ ธิ์ก็ได)้ สว่ น โยเซพคหู่ ม่นั ของนางก็เป็นคนดีมีความสตั ยซ์ ่อื ไมต่ อ้ งการท่ีจะใหข้ ่าวนีแ้ พรห่ ลาย จงึ คดิ ท่ีจะใหน้ างมาเรยี หลบหนีไปเสียอยา่ งลบั ๆ แตเ่ ม่อื โยเซฟยงั ตรติ รองดว้ ยเรอ่ื งนี้ ใน ค่าคืนวนั นนั้ ก็ไดม้ ที ตู ของพระเจา้ มาสาแดงในฝันวา่ “โยเซฟ อย่าวติ กในการท่ีจะรบั เอานางมาเรยี มาเป็นภรรยาเจา้ เลยเพราะผทู้ ่จี ะ ปฏสิ นธิในครรภข์ องนางเป็นโดยเดช. พระวญิ ญาณบรสิ ทุ ธิ์ นางจะประสตู ิเป็นชาย แลว้ เจา้ จงเรยี กนามทา่ นวา่ .เยซู เพราะวา่ ทา่ นเป็นผทู้ ่จี ะโปรดชว่ ย ……….พลไพร่ ของทา่ นใหร้ อดจากความผดิ ของเขา” ครนั้ โยเซฟต่นื ขนึ้ ก็ไดท้ าตามของทตู ของพระเจา้ โดยไดร้ บั นางมาเรยี มา แต่มิไดร้ ว่ ม อยหู่ ลบั นอนกบั นาง จนนางประสตู บิ ตุ รชายแลว้ และไดเ้ รยี กนามของบตุ รวา่ “เยซ”ู เม่อื พระเยซไู ดส้ มภพ ณ ตาบลเบธเลเอม็ แควน้ ยดู า ครงั้ นนั้ เฮโรดเป็นกษัตรยิ ผ์ คู้ รอง กรุงเยรูซาเล็มไดพ้ วกนกั ปราชญจ์ ากทิศตะวนั ออก คือ เปอรเ์ ซีย เดินทางมายงั กรุง เยรูซาเล็ม แลว้ ถามวา่ ……….“ท่านผทู้ ่บี งั เกิดมาเป็นกษัตรยิ ช์ าติยดู าท่ีอยทู่ ่ีไหน?
………. เพราะวา่ เม่ือเราผอู้ ยใู่ นทิศตะวนั ออกไดเ้ หน็ ดาวของท่านปรากฎขึน้ เราจงึ หวงั จะถวายนมสั การทา่ น” ……… .. ………. ครนั้ กษัตรยิ เ์ ฮโรดไดส้ ดบั เชน่ นนั้ ก็ทรงหวาดหว่นั สะดงุ้ กลวั ไมส่ บาย พระทยั ทงั้ ชาวกรุงเยรูซาเล็ม ก็พลอยหว่นั กลวั ดว้ ยจงึ มีรบั ส่งั ใหป้ ระชมุ บรรดาปโุ รหิต ใหญ่กบั พวกอาลกั ษณแ์ หง่ พลเมือง แลว้ ตรสั ถามวา่ ………. ………. “ผเู้ ป็นพระ ครสิ ตน์ นั้ จะบงั เกิดแหง่ ใด?” ……….พวกเขาทลู วา่ “ท่ตี าบลเบธเลเฮม แควน้ ยดู า” ……….กษัตรยิ เ์ ฮโรดไดเ้ ชิญพวกนกั ปราชญเ์ ขา้ เฝา้ เป็นการลบั แลว้ ไดต้ รสั ถามถึงท่ี ดาวนนั้ ปรากฎแลว้ จงึ ได้ ใหพ้ วกนกั ปราชญเ์ ดนิ ทางไปยงั ตาบลเบธเลเฮม พรอ้ มทงั้ มี รบั ส่งั ……….“จงไปหากมุ ารนนั้ เถิด เม่ือพบแลว้ จงกลบั มาแจง้ แกเ่ รา เพ่อื เราจะไดไ้ ป ถวายนมสั การทา่ นดว้ ย” ……….เม่ือพวกนกั ปราชญไ์ ดฟ้ ังคาของกษัตรยิ แ์ ลว้ ก็ไดล้ ชา ไป และดาวซง่ึ เขาไดเ้ ห็นในทางทิศตะวนั ออก นนั้ ก็ไดน้ าเขาไป จนมาหยดุ อยเู่ หนือ สถานท่ีท่กี มุ ารประทบั อยนู่ นั้ พวกนกั ปราชญก์ ็เกิดปีตยิ ินดี ครนั้ เขา้ ไป ในอาศยั ก็ได้ พบกมุ ารกบั นางมาเรยี มารดา จงึ พากนั ถวายนมสั การกมุ ารนนั้ แลว้ เปิดหีบหยิบเอา ของวยิเศษ คอื ทองคา กายวน มดยอบ ออกมาถวายเป็นเคร่อื งบรรณาการ แลว้ พวก นกั ปราชญ?เหลา่ นนั้ ก็ไดย้ นิ คาหา้ ม ในฝันมิใหก้ ลบั ไปเฝา้ กษัตรยิ เ์ ฮโรด จงึ ไดก้ ลบั ไป ยงั เมืองของตนทางอ่ืน ………. ครนั้ พวกนกั ปราชญก์ ลบั ไปแลว้ ทตู ของพระเจา้ ไดม้ าปรากฎแกโ่ ยเซฟในฝัน วา่ ……….“จงลกุ ขนึ้ พากมุ ารกบั มารดาหนีไปยงั ประเทศอายมุ ขุ โต และคอยอยทู่ ่นี ่นั จนกวา่ เราจะบอกเจา้ เพราะวา่ เฮโรดจะแสวงหากมุ ารเพ่อื ประหารชีวติ เสยี ” ………. ในเวลากลางคืนโยเซฟจงึ ไดล้ กุ ขนึ้ พากมุ ารกบั มารดาเดนิ ทางไปยงั ประเทศ อายมุ ขุ โต (อยี ิปต)์ และไดอ้ ยทู่ ่นี ่นั เป็นช่วั คราวกอ่ น ครนั้ กษัตรยิ เ์ ฮโรดท่ีกรุงเยรูซาเลม
ทรงทราบวา่ พวกนกั ปราชญด์ หู ม่ินก็ทรงกรวิ้ โกรธย่ิงนกั จงึ ทรงส่งั ใหจ้ บั เดก็ ชายต่งั แต่ อายสุ องขวบลงมาในตาบลเบธเลเฮ็ม และตาบลใกลเ้ คยี งอ่ืน ๆ แลว้ นาไปประหาร ชีวิต ยงั ผลทาใหเ้ ด็กชายถกู จบั ไปประหารชีวิตตายเสียเป็นจานวนมาก ตอ่ มาครนั้ กษัตรยิ เ์ ฮโรดพระองคน์ ีส้ นิ้ พระชนม์ ทตู ของพระเจา้ จงึ ไดไ้ ปปรากฎในฝันแกโ่ ยเซฟท่ี ประเทศอายมขุ โตวา่ ………. “จงลกุ ขนึ้ พากมุ ารกบั มารดากลบั ไปยงั แผน่ ดนิ อสิ ราเอล เพราะผทู้ ่แี สวงชีวติ ของกมุ ารนนั้ ตายแลว้ ” ……….โยเชฟจงึ ไดพ้ ากมุ ารกบั มารดากลบั ไป.ยงั แผ่นดินอสิ ราเอล โดยไดไ้ ปอาศยั ท่ี เมอื งนาซาเรธ (Nazareth) แควน้ กาลิเล พรเยซูไดร้ บั การชบุ เลีย้ งดทู า่ มกลางความ สงบและสะอาด ในคมั ภีรล์ กู ากลา่ วไวว้ า่ มีชีวิตอยอู่ ย่างธรรมดาสามญั ส่ิงแวดลอ้ ม ตา่ ง ๆ ในชีวติ มีแต่เรอ่ื งของศาสนา เรอ่ื งของธรรดาและนกั พรต เม่ือพระชนมายไุ ด้ 12 พรรษา ไดไ้ ปฟังธรรมในหมอู่ าจารย์ ณ วหิ ารแห่งหนึง่ ในกรุงเยรู เป็นเด็กฉลาด ชา่ ง สงั เกต ช่างคิด สามารถตอบปัญหาไดอ้ ย่างคลอ่ งแคลว่ โดยไดไ้ ตถ่ ามโยเชฟผบู้ ิดา และมาเรยี ผเู้ ป็นมารดาก็ไดร้ บั ความแปลกใจว่า ลกู ของตนเป็นพดู จามีเหตผุ ลย่งิ กวา่ เด็กสามญั ท่วั ไป เม่ือมใี ครถามปัญหาอะไรกบั พระเยซู พระเยซมู กั จะตอบวา่ ประเด๋ียวก่อน ฉนั จะถามบดิ าของฉนั ดกู อ่ น คาวา่ “บดิ า” ในท่นี ีพ้ ระเยซหู มายถึงพระ เจา้ ซง่ึ เป็นลกั ษณะแสดงวา่ พระเยซู มีภมู ิธรรมนอ้ ยนาไปสคู่ วามเป็นศาสดา นอกจากนีพ้ ระเยซูยงั เจรญิ รอยตามอาชีพของบดิ าคอื มีอาชีพช่างไมไ้ ดเ้ ป็นชา่ งไม้ ช่วยบดิ า แมจ้ ะยากจนแตก่ ็หาโอกาส ศกึ ษาใฝ่หาความรู้ เช่น ไดศ้ กึ ษาวิชา ประวตั ศิ าสตร์ กฎหมายเฮบรู บทกวี และไดท้ รงศกึ ษา คน้ ควา้ พระคมั ภรี ข์ อง ศาสนายวิ อยา่ งละเอียดเป็นพิเศษ ทรงรอบรูภ้ าษาตา่ งชาตหิ ลายภาษา เชน่ ภาษา
อียปิ ต์ อาหรบั และ โดยเฉพาะภาษากรกี ยงั ทรงมคี วามสามารถพเิ ศษในการรกั ษา โรคภยั ไขเ้ จ็บดว้ ยพลงั ทางจิตอยา่ งสงู :..รบั ศลี จ่มุ และออกประกาศศาสนา..: ……….เม่อื พระเยซมู พี ระชนมายุ 30 พรรษา ไดพ้ บกบั โยฮนั หรอื จอหน์ ผใู้ หศ้ ีลจ่มุ (John the Baptist) การรบั ศกึ ษาศลี จ่มุ หรอื แบบติสมาเป็นการใชน้ า้ เป็นเครอ่ื งหมายภายนอกเทลงศีรษะ 3 ครงั้ หมายถึง การ ชาระลา้ งบาปมลทินโทษตา่ ง ๆ อนั เป็นเคร่อื งหมายแสดงวา่ ผเู้ ขา้ พิธีเป็นผเู้ ขา้ ถึงพระ เจา้ ทานองเดยี วกบั การรบั ไตรสรณคนมใ์ นพทุ ธศาสนา พระเยซูไดข้ อรบั แบบติสมา หรอื ศีลจมุ่ ตามลทั ธิของโยฮนั ณ บรเิ วณแม่นา้ จอรแ์ ดน การขอรบั แบบติสมานีค้ รงั้ แรกโยฮนั ทลู หา้ มพระเยซวู า่ ……….“ขา้ พเจา้ ตอ้ งการขอรบั ปบบตสิ มาจากพระองค์ มากกวา่ ควรหรอื ท่ีพระองคจ์ ะเสด็จมาหาขา้ พเจา้ ?” แต่พระเยซตู รสั ตอบโตโ้ ยฮนั วา่ “บดั นีจ้ งยอมเถิด เพราะวา่ ควรเราจะกระทาใหค้ วามชอบสาเรจ็ ทงั้ สิน้ ” :. ไดอ้ คั รสาวก..: ……….หลงั จากท่ีพระเยซไู ดอ้ อกมาจากหลงอยใู่ นป่า ไมน่ านก็ได้ ทราบวา่ กษัตรยิ เ์ ฮโรดไดม้ ีรบั ส่งั ใหจ้ บั ตวั โยฮนั หรอื จอหน์ ใหศ้ ีลจมุ่ แกพ่ ระองคไ์ ป ประหารชีวติ เน่ืองจากสอนศาสนาวปิ รติ ไปจากคมั ภีรเ์ ดมิ จงึ หลบออกจากเมอื งนา ซาเรธตรงไปยงั แควน้ กาลเิ ลทอ่ งเท่ียวเทศนาอยตู่ ามหมบู่ า้ นรมิ ทะเล ในขณะทรง ดาเนนิ อยตู่ ามชายทะเลนนั้ คมั ภีรม์ ทั ธายไดแ้ สดงวา่ ทรงเห็นพ่ีนอ้ งชาวประมง 2 คน หนง่ึ ช่ือซมี อน (Simon) หรอื อีกช่ือวา่ เปโตรหรอื ปีเตอร์ กบั นอ้ งชายช่ือองั ดรูว์ (Andrew) ทรงถามคนทงั้ 2 วา่ “กาลงั ทาอะไร?” คนทงั้ 2 ตอบวา่ “กาลงั ตอี วนจบั ปลา” พระเยซูตรสั วา่ “จงตามเรามา เราจะชว่ ย ใหท้ า่ นตีอวนจบั คน” คนทงั้ 2 ตอบวา่ เล่อื มใสก็ตามไป พระเยซทู รงพบพ่ีนอ้ งชาวประมงอีก 2 คน คือ เจมส์ (James) หรอื ยาคอบ กบั จอหน์ หรอื โยฮนั (John) กาลงั หาปลาอยู่ พระเยซูทรงเรยี กใหต้ ามไป สอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187