พระราชอานาจท่ีสง่ ผลกระทบตอ่ การเมืองการปกครองอยา่ งแทจ้ รงิ คือ พระ ราชอานาจในการยบั ยงั้ รา่ งพระราชบญั ญตั ิ ในกรณีท่ีพระมหากษัตรยิ ท์ รงไมเ่ หน็ ดว้ ย กบั รา่ งพระราชบญั ญตั ิท่ีผา่ นการเห็น ชอบของรฐั สภามาแลว้ และนายกรฐั มนตรนี า ขนึ้ ทลู เกลา้ ฯถวายเพ่ือพระมหากษัตรยิ ์ ทรงลงพระปรมาภไิ ธยประกาศใช้ แตพ่ ระองค์ อาจใชพ้ ระราชอานาจยบั ยงั้ ได้ เชน่ กรณีพระราชบญั ญตั ิขา้ ราชการครูและบคุ ลากร ทางการศกึ ษา ซง่ึ รฐั สภาจะตอ้ งนารา่ งพระราชบญั ญตั ิท่ถี กู ยบั ยงั้ นนั้ ไปพิจารณาใหม่ 2. อานาจอธิปไตย อานาจอธิปไตย หมายถึง อานาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศ ซง่ึ ถือว่าเป็น องคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของการปกครองของรฐั ท่ีมอี ิสระ เสรภี าพ และมคี วามเป็นเอก ราช มีอานาจในการบรหิ ารราชการ ทงั้ กิจการภายในและนอกประเทศไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี โดยท่วั ไปอานาจอธิปไตยแยกใชเ้ ป็น 3 ลกั ษณะ คอื อานาจนิติบญั ญตั ิ อานาจ บรหิ าร และ อานาจตลุ าการ รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2550 ระบวุ า่ อานาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตรยิ ผ์ ทู้ รงเป็นประมขุ ทรงใชอ้ านาจนนั้ ทาง รฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาล ตามบทบญั ญตั ิแหง่ รฐั ธรรมนูญนี้ ซง่ึ หมายความวา่ ในทางการเมืองประชาชนมีอานาจสงู สดุ แตก่ ารใชอ้ านาจทางกฎหมายตอ้ งใชผ้ า่ น สถาบนั รฐั สภา คณะรฐั มนตรี และศาลท่พี พิ ากษา อรรถคดีตามกฎหมายท่ีบญั ญตั ิไว้ แลว้ ในพระปรมาภไิ ธยของพระมหากษัตรยิ ์ และตามขอบเขตท่ีรฐั ธรรมนญู กาหนดไว้ เทา่ นนั้ ดงั นนั้ องคป์ ระกอบของผใู้ ชอ้ านาจก็คือ ตอ้ งมีสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ สถาบนั นติ บิ ญั ญตั ิ สถาบนั บรหิ าร และสถาบนั ตลุ าการ อยา่ งไรกด็ ี จะเหน็ ไดว้ า่ อานาจอธิปไตยตามกฎหมายไม่ไดอ้ ยทู่ ่รี ฐั สภาเทา่ นนั้ แตแ่ ยกกนั อยใู่ น 3 สถาบนั หลกั ดงั กลา่ ว ซง่ึ รฐั ธรรมนญู ไมไ่ ดร้ ะบวุ า่ อานาจใดใหญ่ท่สี ดุ หรอื สาคัญกวา่ กนั
การกาหนดใหแ้ ยกการใชอ้ านาจอธิปไตยออกเป็น 3 สว่ น และใหม้ อี งคก์ ร 3 ฝ่าย เป็นผรู้ บั ผดิ ชอบไปแตล่ ะสว่ นนี้ เป็นไปตามหลกั การประชาธิปไตยท่ีไมต่ อ้ งการ ใหม้ กี ารรวมอานาจ แตต่ อ้ งการใหม้ ีการถ่วงดลุ อานาจซง่ึ กนั และกนั เพราะถา้ ให้ องคก์ รใดเป็นผใู้ ชอ้ านาจมากกวา่ หนง่ึ สว่ นแลว้ อาจเป็นช่องวา่ งใหเ้ กิดการใชอ้ านาจ แบบเผดจ็ การได้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอานาจนิติบญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการ มีดงั นี้ 1. อานาจนิตบิ ญั ญตั ิ หรอื สถาบนั นิตบิ ญั ญตั ิ หมายถึง สถาบนั ท่ีทาหนา้ ท่ีออก กฎหมาย คือรฐั สภา ซง่ึ มรี ูปแบบเป็นสภาคู่ หรอื 2 สภา ประกอบดว้ ย 1.1 สภาผแู้ ทนราษฎร สมาชกิ มาจากการเลือกตงั้ แบบแบง่ เขต จานวน 400 คน และการเลอื กตงั้ แบบสดั สว่ น จานวน 80 คน รวม 480 คน มอี านาจหนา้ ท่ีในการ ออกกฎหมาย 1.2 วฒุ สิ ภา สมาชิกวฒุ ิสภามาจากการเลือกตงั้ โดยตรงของประชาชนและ การสรรหา มีจานวน 150 คน มหี นา้ ท่ีในการพิจารณากล่นั กรองพระราชบญั ญตั ิโดยถ่ี ถว้ นไมต่ อ้ งผกู พนั กบั ฝ่ายรฐั บาล นอกจากนีย้ งั มีอานาจหนา้ ท่ีในการแตง่ ตงั้ และถอด ถอนผดู้ ารงตาแหน่งสาคญั ของบา้ นเมือง เชน่ นายกรฐั มนตรี สมาชิกสภาผแู้ ทน ราษฎร สมาชิกวฒุ ิสภา ประธานศาลฎกี า ประธานศาลรฐั ธรรมนญู ประธานศาล ปกครอง อยั การสงู สดุ เป็นตน้ 2. อานาจบรหิ าร หรอื สถาบนั บรหิ าร หมายถงึ บคุ คล คณะบคุ คล กลมุ่ บคุ คล หรอื องคก์ รท่ีนานโยบายของรฐั ไปดาเนินการและนาไปปฏิบตั ิ สถาบนั บรหิ ารนนั้ นอกจากจะเป็นสถาบนั สรา้ งกฎหมายแลว้ ยงั เป็นสถาบนั สรา้ งนโยบายบรหิ าร
ประเทศดว้ ย สถาบนั บรหิ ารจะนานโยบาย และกฎหมายท่ีผา่ นความเป็นชอบของ รฐั สภาแลว้ ไปดาเนินหรอื ไปปฏบิ ตั ิ องคป์ ระกอบของสถาบนั บรหิ ารประกอบดว้ ย 2.1 ขา้ ราชการการเมือง คือขา้ ราชการซง่ึ ไดร้ บั การเลือกตงั้ จากประชาชน ใหม้ าทาหนา้ ท่ีเป็นนายกรฐั มนตรี คณะรฐั มนตรี เพ่ือบรหิ ารบา้ นเมือง 2.2 ขา้ ราชการประจา คือ บคุ ลากรซง่ึ เป็นกลไกหรอื เคร่อื งมอื ในการนา นโยบายและกฎหมายไปปฏิบตั ิ ซง่ึ ตอ้ ง ปฏิบตั ิงานอยา่ งตรงไปตรงมา มปี ระสิทธิภาพสงู มีความรอบรูใ้ นหลกั วชิ าการ มี ประสบการณ์ และมีระเบยี บประเพณีการประพฤติปฏิบตั ิ ท่เี ป็นแบบอยา่ ง มีสายการบงั คบั บญั ชาของขา้ ราชการประจาอยา่ งชดั เจน มีการแบง่ งานกนั ทาเฉพาะอยา่ งตามความชานาญ 3. อานาจตลุ าการ หรอื สถาบนั ตลุ าการ หมายถงึ ศาลและผพู้ ิพากษาท่ีปฏบิ ตั ิ หนา้ ท่ีในนามของรฐั หรอื ในพระปรมาภไิ ธยของพระมหากษัตรยิ ์ อานาจตลุ าการตาม บทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนญู มสี าระสาคญั 2 ประการดงั นี้ 3.1 อานาจตลุ าการในระบอบประชาธิปไตย รฐั ธรรมนญู ของไทยในอดีตได้ แยกอานาจระหวา่ งอานาจตลุ าการ และอานาจนิติบญั ญตั ิไวอ้ ยา่ งชดั เจน โดยจดั อานาจตลุ าการใหม้ ีความอิสระจากฝ่าย บรหิ ารและนติ บิ ญั ญตั ิ รฐั สภาจะกา้ วก่ายอานาจของศาลไมไ่ ด้ 3.2 ศาล รฐั ธรรมนญู ฉบบั ปัจจบุ นั ไดว้ างหลกั ท่วั ไปเก่ียวกบั หลกั การ พิจารณาพิพากษาอรรถคดวี า่ เป็นอานาจศาล ซง่ึ ศาลในทีนีห้ มายถงึ ศาลรฐั ธรรมนญู ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยตุ ิธรรม และศาลอ่ืนๆ
ฐานะและพระราชอานาจของพระมหากษัตรยิ ์ พระราชสถานะและพระราชอานาจทบ่ี ัญญัตไิ ว้ในรัฐธรรมนูญ รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทยทกุ ฉบบั ยืนยนั ความเป็นประมขุ สงู สดุ ของ พระมหากษัตรยิ ์ โดยบญั ญตั ิวา่ องคพ์ ระมหากษัตรยิ ท์ รงดารงอยใู่ นฐานะอนั เป็นท่ี เคารพสกั การะผใู้ ดจะละเมดิ มิได้ ผใู้ ดจะกลา่ วหาหรอื ฟ้องรอ้ งพระมหากษัตรยิ ใ์ นทาง ใด ๆ มไิ ด้ หมายความวา่ ผใู้ ดจะหม่ินพระบรมเดชานภุ าพพระมหากษัตรยิ ไ์ มไ่ ด้ ผู้ ละเมิดตอ่ พระมหากษัตรยิ ถ์ ือวา่ เป็นการกระทาความผดิ อยา่ งรา้ ยแรง รฐั ธรรมนญู บางฉบบั ถึงกบั ไมย่ อมใหม้ กี ารนริ โทษกรรมแก่ผกู้ ระทาการลม้ ลา้ งสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย รฐั ธรรมนญู มีบทบญั ญตั ใิ ห้ พระมหากษัตรยิ ไ์ ดร้ บั การเชิดชใู หอ้ ยเู่ หนือการเมือง และกาหนดใหม้ ผี รู้ บั สนองพระ บรมราชโองการในการดาเนินการทางการเมืองการปกครอง รฐั ธรรมนญู ไดก้ าหนด พระราชอานาจของ พระมหากษัตรยิ ์ ดงั นี้ 1. ทรงใช้อานาจอธปิ ไตย พระมหากษัตรยิ ใ์ ชอ้ านาจอธิปไตย เชน่ อานาจ นิติบญั ญตั ิ อานาจบรหิ าร และอานาจตลุ าการ ดงั นี้ ทรงใชอ้ านาจนิติบญั ญตั ิทางรฐั สภา หมายความวา่ พระมหากษัตรยิ ท์ างใช้ อานาจในการออกกฎหมาย คาแนะนา และยินยอมของรฐั สภา เม่ือรฐั สภารา่ ง กฎหมายขนึ้ แลว้ จะทลู เกลา้ ฯ ถวายเพ่อื ทรงลงพระปรมาภไิ ธยประกาศใชเ้ ป็น กฎหมายตามขนั้ ตอนของ รฐั ธรรมนญู
ทรงใชอ้ านาจบรหิ ารทางคณะรฐั มนตรี หมายความวา่ การบรหิ ารราชการ แผน่ ดนิ ซง่ึ นายกรฐั มนตรี พรอ้ มดว้ ยคณะรฐั มนตรดี าเนนิ การไปนนั้ ถือวา่ กระทาไปในพระปรมาภไิ ธย พระมหากษัตรยิ ์ ทงั้ นีเ้ พราะบรรดาพระราชบญั ญตั พิ ระราชกาหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชหตั ถเลขา และพระบรมราชโองการอนั เก่ียวกบั ราชการแผน่ ดนิ คณะรฐั มนตรี เป็นผปู้ ฏิบตั ิและรบั ผิดชอบทงั้ สิน้ โดยนายกรฐั มนตรจี ะตอ้ งกราบบงั คมทลู และลง นามรบั สนองพระบรมราชโองการ พระราชอานาจทางดา้ นบรหิ ารของ พระมหากษัตรยิ ด์ งั กลา่ วไดแ้ ก่ การตราพระราชกฤษฎีกาไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย การ ประกาศใชแ้ ละยกเลกิ ใชก้ ฎอยั การศกึ การประกาศสงคราม เม่อื ไดร้ บั ความเห็นชอบ ของรฐั สภา การทาสญั ญาสนั ติภาพ สญั ญาสงบศกึ หรอื สนธิสญั ญาอ่ืนกบั นานา ประเทศ หรอื กบั องคก์ ารระหวา่ งประเทศ และการพระราชทานอภยั โทษ ทรงใชอ้ านาจตลุ าการทางศาล หมายถึง ศาลเป็นผพู้ ิจารณาพพิ ากษาอรรถคดี ตา่ งๆ ใหเ้ ป็นไปตามรฐั ธรรมนญู และตามกฎหมายในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตรยิ ์ พระมหากษัตรยิ ท์ รงไวซ้ ง่ึ พระราชอานาจในการแตง่ ตงั้ และการพน้ จาก ตาแหนง่ ของผู้ พิพากษาและตลุ าการกอ่ นเขา้ รบั หนา้ ท่ี ผพู้ พิ ากษาและตลุ าการจะตอ้ งถวายสตั ย์ ปฏิญาณตอ่ พระมหากษัตรยิ ์ 2. ทรงดารงอยู่ในฐานะอันเป็ นทเ่ี คารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมไิ ด้ หมายความวา่ พระมหากษัตรยิ ไ์ ทยทรงอย่ภู ายใตก้ ฎหมายก็เพียงเฉพาะกฎหมาย รฐั ธรรมนญู เทา่ นนั้ แตท่ รงอย่เู หนือกฎหมายอ่ืน ๆ ผใู้ ดจะกลา่ วหาหรอื ฟอ้ งรอ้ งตาม กฎหมายใด ๆ มิได้ ทงั้ นีก้ ็เพราะตอ้ งการเทดิ ทนู องคพ์ ระประมขุ ของชาติ พระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงกระทาผิด (The King can do no wrong) หมายความวา่ พระมหากษัตรยิ ไ์ มต่ อ้ งรบั ผิดชอบในพระบรมราชโองการหรอื การกระทาในพระ
ปรมาภไิ ธยของพระองคใ์ นกรณีท่ีมคี วามเสยี หายบกพรอ่ งเกิดขนึ้ ผลู้ งนามรบั สนอง พระราชโองการจะตอ้ งรบั ผิดชอบ เพราะในทางปฏบิ ตั นิ นั้ พระมหากษัตรยิ ม์ ไิ ดท้ รง รเิ รม่ิ หรอื ดาเนินขอ้ ราชการต่าง ๆ ดว้ ยพระองคเ์ อง จะตอ้ งมีเจา้ หนา้ ท่ีหรอื งคก์ รหนง่ึ องคก์ รใดเป็นฝ่ายดาเนนิ การและกราบทลู ขนึ้ มา จะไปละเมดิ กลา่ วโทษ พระมหากษัตรยิ ม์ ิได้ 3. ทรงเป็ นพุทธมามกะและทรงเป็ นอคั รศาสนูปถมั ภก น่นั ก็คือทรงเป็นผู้ ทรงศรทั ธาเล่อื มใสในพระพทุ ธศาสนาขณะเดยี วกนั ก็ทรงเป็นอคั รศาสนปู ถมั ภก คือ ทรงทานบุ ารุงอปุ ถมั ภศ์ าสนาทงั้ ปวงในขอบขนั ฑสมี าดว้ ย โดยไมเ่ ลือกแบง่ แยกวา่ เป็น ศาสนาใด สถาบนั พระมหากษัตรยิ ก์ บั ศาสนาจงึ เป็นสญั ลกั ษณพ์ เิ ศษอยา่ งหนง่ึ ของ ชาติไทย รฐั ธรรมนญู บญั ญตั ิใหพ้ ระมหากษัตรยิ ไ์ ทยทรงเป็นพทุ ธมามกะและเป็น องคอ์ ปุ ถมั ภค์ า้ ชศู าสนาอ่นื ๆ อยา่ งเสมอหนา้ กนั 4. ทรงดารงตาแหน่งจอมทพั ไทย คาวา่ พระมหากษัตรยิ ์ หมายถงึ นกั รบผู้ ย่งิ ใหญ่ ดว้ ยเหตนุ ีพ้ ระมหากษัตรยิ ใ์ นอดตี จงึ ตอ้ งทรงนาทพั ออกศกึ ดว้ ยพระองคเ์ อง ปัจจบุ นั แมก้ ารรบจะไมเ่ กิดมขี นึ้ แลว้ ก็ตาม แต่พระมหากษัตรยิ ก์ ็ยงั ทรงเป็นม่งั ขวญั ของเหลา่ ทหารหาญ และเหนือสิง่ อ่ืนใดทรงดารงตาแหนง่ จอมทพั ไทย ตามท่ี รฐั ธรรมนญู ไดถ้ วายพระเกียรตยิ ศไวเ้ ป็นครงั้ แรกในรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร สยาม พทุ ธศกั ราช 2475 วา่ พระมหากษัตรยิ ์ ทรงดารงตาแหน่งจอมทพั สยาม และ นบั แตว่ าระนนั้ เป็นตน้ มา รฐั ธรรมนญู ท่ีตราขนึ้ ภายหลงั ก็ไดม้ บี ทบญั ญตั ิทานอง เดยี วกนั นีป้ รากฏอยทู่ กุ ฉบบั พระราชสถานะ จอมทพั ไทย ตามรฐั ธรรมนญู นีไ้ ด้ จาหลกั ลงในสานกึ ของทหารไทยทกุ คนเรม่ิ ตงั้ แตธ่ งไชยเฉลิมพลประจากองทหารนนั้ ก็เป็นมงคลสงู สดุ สาหรบั หน่วย ดว้ ยเหตวุ า่ เป็นของท่ีไดร้ บั พระราชทานและไดบ้ รรจุ เสน้ พระเจา้ (เสน้ ผม) ไวใ้ นพระกรณั ฑ(์ ตลบั ) บนยอดปลายสดุ ของธง ดงั นนั้ เม่ือ กอง
ทหารและธงไชยเฉลมิ พลไปปรากฏอยู่ ณ ท่ีใด กเ็ สมือนหน่งึ วา่ พระมหากษัตรยิ ไ์ ด้ เสดจ็ พระราชดาเนินรว่ มไปดว้ ยในกองทพั นนั้ ทหารไทยจงึ มีขวญั ม่นั คงเพราะต่าง ทราบดวี า่ ตนปฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีเส่ยี งภยั เพ่ือประโยชนส์ งู สดุ ของชาติเชน่ เดยี วกบั พระ ประมขุ ของตนน่นั เอง 5. ทรงไวซ้ ง่ึ พระราชอานาจทจี่ ะสถาปนาฐานันดรศักดแิ์ ละพระราชทาน เครื่องราชอสิ ริยาภรณ์ พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นพระประมขุ ของชาติ ทรงไวซ้ ง่ึ พระ ราชอานาจท่ีจะพระราชทานเกียรตยิ ศแกช่ นทกุ ชนั้ ไมว่ า่ จะเป็นฐานนั ดรศกั ดแิ์ หง่ พระ ราชวงศ์ สมณศกั ดิ์ (ฐานนั ดรศกั ดขิ์ องพระภิกษุสงฆ)์ และบรรดาศกั ดิ์ (ฐานนั ดรศกั ดิ์ ของขนุ นาง ขา้ ราชการ) และทรงไวซ้ ง่ึ พระราชอานาจท่ีจะพระราชทานและเรยี กคืน เคร่อื งราชอิสรยิ าภรณท์ กุ ตระกลู ทกุ ลาดบั ชนั้ ดว้ ย การท่ีจะทรงสถาปนาฐานนั ดรศกั ดิ์ หรอื พระราชทานเคร่อื งราชอิสรยิ าภรณน์ นั้ ในสมยั ราชาธิปไตยพระราชอานาจเหลา่ นี้ เป็นไปตามพระราชอธั ยาศยั สดุ แตจ่ ะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหมอ่ ม แตเ่ ม่ือ เปล่ียนแปลงการปกครองมาสรู่ ะบอบประชาธิปไตยตามบทบญั ญตั ิของรฐั ธรรมนญู แลว้ การสถาปนาและถอดถอนฐานนั ดรศกั ดิ์ การพระราชทานและเรยี กคืนเคร่อื งราชอิสรยิ าภรณ์ ตอ้ งมีนายกรฐั มนตรหี รอื รฐั มนตรี รบั สนองพระบรมราชโองการ อยา่ งไรก็ตาม ปัจจบุ นั ยงั คงมีธรรมเนียมท่ีจะทรงสถาปนาฐานนั ดรศกั ดแิ์ หง่ พระราชวงศแ์ ละพระราชทานสมณศกั ดอิ์ ยู่ แตส่ าหรบั บรรดาศกั ดิข์ นุ นางหรอื ขา้ ราชการนนั้ ปัจจบุ นั ไดย้ กเลิกไปแลว้ 6. ทรงเลือกและแต่งตัง้ องคมนตรี คณะองคมนตรี คือ คณะท่ีปรกึ ษาของ พระมหากษัตรยิ ์ มหี นา้ ท่ีถวายความเห็นตอ่ องคพ์ ระมหากษัตรยิ ใ์ นพระราชกรณียกิจ ทงั้ ปวงท่ีพระ มหากษัตรยิ ท์ รงปรกึ ษา องคมนตรปี ระกอบดว้ ยผมู้ ทรงคณุ วฒุ ิตา่ ง ๆ
โดยมีประธานองคมนตรคี นหน่งึ กบั องคมนตรอี ่ืนอีกไมเ่ กิน 18 คน การเลือก การ แตง่ ตงั้ และการใหอ้ งคมนตรพี น้ จากตาแหน่งใหเ้ ป็นไปตามพระราชอธั ยาศยั เพียงแต่ ประธานรฐั สภาลงนามรบั สนองพระบรมราชโองการแตง่ ตงั้ หรอื พน้ จากตาแหนง่ ของ องคม์ นตรอี ่ืนๆ ประธานองคมนตรเี ป็นผลู้ งนามรบั สนองพระบรมราชโองการทงั้ สนิ้ 7. ทรงแต่งตงั้ ผู้สาเร็จราชการแทนพระองค์ ผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ หมายถึง ผปู้ ฏิบตั ิหนา้ ท่ีแทน พระมหากษัตรยิ ์ เม่ือพระมหากษัตรยิ จ์ ะไมป่ ระทบั อยใู่ น ราชอาณาจกั รหรอื ทรงบรหิ ารพระราชภาระไมไ่ ด้ เชน่ ประชวร ทรงผนวช ยงั ไมท่ รง บรรลนุ ิตภิ าวะ หรอื เม่อื ราชบลั ลงั กว์ า่ งลง ปกตแิ ลว้ เม่ือพระมหากษัตรยิ ท์ รงแตง่ ตงั้ ผใู้ ดดว้ ยความเหน็ ชอบของรฐั สภา ผนู้ นั้ ก็เป็นผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ แตถ่ า้ มไิ ด้ ทรงแตง่ ตงั้ ไว้ ใหค้ ณะองคมนตรเี สนอช่ือผใู้ ดผหู้ นง่ึ ท่ีสมควรตอ่ รฐั สภาเพ่อื ขอความ เหน็ ชอบและในบางกรณีเช่น เม่อื ราชบลั ลงั กว์ า่ งลง หรอื ระหวา่ งท่ียงั ไมม่ ีผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองค์ ใหป้ ระธานองคมนตรเี ป็นผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองคไ์ ปพลาง กอ่ นได้ ในรชั กาลปัจจบุ นั มกี ารแตง่ ตงั้ ผสู้ าเรจ็ ราชการแทนพระองคห์ ลายคราว เช่น เม่ือเสดจ็ ไปทรงศกึ ษาในตา่ งประเทศชว่ งตน้ รชั กาล เม่ือทรงผนวช หรอื เม่อื เสด็จฯ ไป ทรงปฏิบตั พิ ระราชกรณียกิจในตา่ งประเทศ 8. ทรงแกไ้ ขกฎมณเฑียรบาลวา่ ด้วยการสืบราชสนั ตตวิ งศ์ กฎมณเฑียร บาลหมายถึง กฎหมายท่ีพระมหากษัตรยิ ท์ รงตราขนึ้ ใชบ้ งั คบั ในกิจการสว่ นพระองค์ เชน่ พระราชพิธีตา่ ง ๆ กิจการท่ีเก่ียวกบั สมาชิกแหง่ พระราชวงศ์ หรอื กิจการท่ีเก่ียวกบั ราชสานกั หรอื ภายในเขตพระราชฐาน โดยไมเ่ ก่ียวกบั ราษฎรอ่ืน ๆ การสืบราชสมบตั ิ หมายถงึ การขนึ้ เป็นพระมหากษัตรยิ ์ ซง่ึ นบั ตอ่ เน่ืองจาก พระมหากษัตรยิ พ์ ระองคก์ ่อนมิใหข้ าดตอนกนั อนั เป็นธรรมเนียมนานาประเทศ
การแกไ้ ขเพ่มิ เตมิ กฎมณเฑียรบาลวา่ ดว้ ยการสืบราชสนั ตติวงศ์ เป็นพระราช อานาจของพระมหากษัตรยิ ์ โดยเฉพาะ เม่อื มีพระราชดารปิ ระการใดใหค้ ณะ องคมนตรจี ดั ทารา่ งกฎมณเฑียรบาลแกไ้ ขเพ่มิ เติมขนึ้ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายเพ่อื มพี ระบรมราชวนิ ิจฉยั เม่อื ทรงเหน็ ชอบและทรงลงพระปรมาภิไธยแลว้ ใหป้ ระธาน องคมนตรแี จง้ ประธานรฐั สภาเพ่ือใหป้ ระธานรฐั สภาแจง้ ใหร้ ฐั สภาทราบ 9. ทรงทาหนังสอื สญั ญา ทรงไวซ้ ง่ึ พระราชอานาจในการทาหนงั สอื สญั ญา สนั ติภาพ สญั ญาสงบศกึ และสญั ญาอ่ืนๆ กบั นานาประเทศ หรอื องคก์ ารระหวา่ ง ประเทศ นอกจากนีห้ นงั สือสญั ญาไดม้ บี ทเปลีย่ นแปลงอาณาเขตไทยหรอื เขตอานาจ แห่งรฐั หรอื จะตอ้ งออกพระราชบญั ญตั ิเพ่ือใหเ้ ป็นไปตามสญั ญา ตอ้ งไดร้ บั ความ เหน็ ชอบจากรฐั สภา 10. ทรงแต่งตัง้ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้พพิ ากษา ข้าราชการใน พระองค์ และข้าราชการระดบั สูง 11. พระราชทานอภยั โทษ พระมหากษัตรยิ ท์ รงมีพระราชอานาจท่ีจะอภยั โทษแกผ่ ตู้ อ้ งโทษโดยมีผรู้ บั สนองพระบรมราชโองการ พระราชสถานะและพระราชอานาจทไ่ี ม่ไดบ้ ญั ญัตไิ วใ้ นรัฐธรรมนูญ พระราชอานาจตามประเพณีของพระมหากษัตรยิ ใ์ นระบอบประชาธิปไตยของ ไทย ซง่ึ ไมม่ ีบทบญั ญตั แิ หง่ รฐั ธรรมนญู พระมหากษัตรยิ อ์ าจทรงใชพ้ ระราชอานาจ ตอ่ ไปนี้ เพ่ือประโยชนข์ องประเทศชาตแิ ละประชาชน 1. พระราชอานาจทจ่ี ะทรงไดร้ ับรู้เร่ืองราวต่าง ๆ ในฐานท่ที รงดารง ตาแหนง่ ประมขุ ของประเทศ เป็นสทิ ธิของพระมหากษัตรยิ ์
ท่จี ะทรงไดร้ บั การถวายรายงานใหท้ รงทราบถึงสถานการณห์ รอื เร่อื งราวของบา้ นเมอื ง เสมอ การท่ีพระองคจ์ าเป็นตอ้ งทรงทราบถงึ เร่อื งราวสาคญั ก็เพ่ือท่ีจะทรงให้ คาแนะนา ตกั เตือน เพ่ือประกอบการพจิ ารณาของรฐั บาลหรอื ผทู้ ราบรบั ผิดชอบเรอ่ื ง นนั้ ๆ 2. พระราชอานาจทจ่ี ะพระราชทานคาปรึกษาหารือ ในกรณีท่ี คณะรฐั มนตรมี ปี ัญหาเก่ียวกบั การบรหิ ารราชการแผน่ ดิน อาจนาปัญหาขนึ้ ทลู เกลา้ ฯ เพ่ือขอพระราชทานพระบรมราชวนิ ิจฉยั ได้ 3. พระราชอานาจทจี่ ะพระราชทานคาแนะนาตกั เตอื น พระมหากษัตรยิ ์ ทรงไวซ้ ง่ึ สทิ ธิท่จี ะใหค้ าแนะนา ตกั เตอื นในบางเร่อื ง บางกรณีแกร่ ฐั สภา รฐั บาลและ ศาล หรอื องคก์ รอ่ืน ๆ ท่ที รงเห็นว่าถา้ กระทาไปแลว้ จะเกิดผลเสยี หายแกบ่ า้ นเมอื ง 4. พระราชอานาจทจ่ี ะพระราชทานการสนับสนุน พระมหากษัตรยิ ท์ รงไว้ ซง่ึ สิทธิท่จี ะพระราชทาน หรอื ใหก้ ารสนบั สนนุ การกระทา หรอื กิจการใดๆ ของรฐั หรอื เอกชนได้ เชน่ โครงการหมบู่ า้ นสหกรณ์ โครงการฝนหลวง โครงการอสี านเขียว โครงการสรา้ งเข่ือน การท่ีพระองคท์ รงมพี ระราชดารแิ ละใหก้ ารสนบั สนนุ โครงการตา่ ง ๆ ย่อมเป็นขวญั และกาลงั ใจสาหรบั ผทู้ ่ดี าเนนิ การนนั้ ๆ พระราชสถานะทางสังคม สงั คมไทยยกย่องเทิดทนู พระมหากษัตรยิ เ์ ป็นสถาบนั คบู่ า้ นคเู่ มือง เป็น สญั ลกั ษณข์ องชาติ ทรงไดร้ บั การเชิดชจู ากสงั คมไทย ดงั นี้ 1. ทรงเป็ นศูนยร์ วมจติ ใจของประชาชน พระมหากษัตรยิ ท์ รงทาใหเ้ กิด ความสานกึ ในความเป็นอนั หน่งึ อนั เดียวกนั ทาใหท้ กุ สถาบนั มีจดุ รวมจากแหลง่ เดียวกนั แมจ้ ะมีความแตกต่างกนั ในดา้ นเชือ้ ชาติ เผา่ พนั ธุ์ ศาสนา ก็มีความสมาน
สามคั คกี ลมเกลยี วกนั ในหมชู่ นเหลา่ นนั้ ทรงรกั ใครห่ ว่ งใยประชาชน ทรงมเี มตตาตอ่ ประชาชนทกุ หมเู่ หลา่ พระองคท์ รงเสด็จพระราชดาเนินไปทกุ แหง่ ไมว่ า่ จะเป็นถ่ิน ทรุ กนั ดารหรอื มอี นั ตรายเพียงใด เพ่ือทรงทราบถึงทกุ ขส์ ขุ ของประชาชน ประชาชนก็มี ความผกู กนั กบั พระมหากษัตรยิ อ์ ย่างลกึ ซงึ้ แนน่ แฟน้ ม่นั คง จนยากท่ีจะทาให้ ส่นั คลอนหรอื แตกแยกได้ 2. ทรงเป็ นสัญลักษณแ์ หง่ ความต่อเน่ืองของชาติ พระมหากษัตรยี ท์ รงเป็น ประมขุ ของชาติไทยสืบตอ่ กนั มาโดยไมข่ าดสายตงั้ แต่ อาณาจกั รไทยในอดตี จนถึง ปัจจบุ นั ไมว่ า่ รฐั บาลจะเปลย่ี นไปก่ียคุ สมยั ก็ตาม ทาใหร้ ะบบการเมอื งและชาติไทยมี ความสมานฉนั ทแ์ ละตอ่ เน่ืองตลอดเวลา 3. ทรงเป็ นพลังในการสร้างขวัญและกาลังใจของประชาชน พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นท่มี าของแหลง่ เกียรติยศทงั้ ปวง กอ่ ใหเ้ กิดความภาคภมู ิ ปิติ ยนิ ดี และเกิดกาลงั ใจในหมปู่ ระชาชนท่วั ไปท่จี ะรกั ษาคณุ งามความดแี ละพยายาม กระทาความดี เพ่ือใหพ้ ระมหากษัตรยิ ส์ บายพระทยั 4. ทรงมีส่วนสาคญั ในการรักษาผลประโยชนข์ องประชาชน พระมหากษัตรยิ ท์ รงขนึ้ ครองราชยด์ ว้ ยความเห็นชอบยอมรบั ของประชาชน และทรง ใชอ้ านาจอธิปไตยแทนประชาชนในการรกั ษาผลประโยชนข์ องประชาชนและ บา้ นเมอื งเป็นสาคญั ซง่ึ อาจตา่ งจาก ประมขุ ของประเทศอ่ืนท่ีขนึ้ ดารงตาแหนง่ โดยการเลือกตงั้ จงึ ตอ้ งยดึ นโยบายของกลมุ่ หรอื พรรคการเมอื งท่ตี นสงั กดั เป็นหลกั 5. ทรงแก้ไขวิกฤตการณ์ สถาบนั พระมหากษัตรยิ เ์ ป็นกลไกสาคญั ในการ ยบั ยงั้ และแกไ้ ขวิกฤตการณท์ ่รี า้ ยแรงภายในประเทศได้ ในบางครงั้ ประเทศไทยเกิด การขดั แยง้ กนั เองตามระบอบประชาธิปไตย พระมหากษัตรยิ ์ กส็ ามารถยตุ ิไดด้ ว้ ย
พระบารมีของพระองค์ เชน่ เหตกุ ารณเ์ รยี กรอ้ งประชาธิปไตยเมืองเดอื นตลุ าคม 2516 และเหตกุ ารณค์ วามขดั แยง้ ทางการเมืองเม่ือเดือนพฤษภาคม 2535 เป็นตน้ 6. ทรงส่งเสริมความม่ันคงของประเทศ พระมหากษัตรยิ เ์ ป็นท่ียอมรบั ของ ทกุ ฝ่าย ทงั้ ประชาชน รฐั บาล หน่วยราชการ กองทพั นิสิต นกั ศกึ ษา ปัญญาชน หรอื กลมุ่ ตา่ ง ๆ แมก้ ระท่งั ชนกลมุ่ นอ้ ยในประเทศ เชน่ ชาวไทยภเู ขา ชาวไทยมสุ ลมิ เป็น ตน้ ทาใหท้ กุ ฝ่ายมีความมงุ่ ม่นั และมีความพรกั พรอ้ มท่จี ะรกั ษาความม่นั คงและเอก ราชของชาตไิ ว้ 7. ทรงมีส่วนเสริมสร้างสัมพนั ธไมตรรี ะหวา่ งประเทศ พระมหากษัตรยิ ์ ไทยในอดีตไดท้ รงดาเนินวเิ ทโศบายไดอ้ ย่างดีจนสามารถรกั ษาเอกราชไวไ้ ด้ โดยเฉพาะสมยั การลา่ เมอื งขนึ้ ของชาตติ ะวนั ตก พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี 5 ไดเ้ สด็จประพาสยโุ รปถึง 2 ครงั้ เพ่ือเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ประเทศมหาอานาจในยโุ รป สาหรบั พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั รชั กาลปัจจบุ นั ก็ ทรงดาเนนิ การใหเ้ กิดความสมั พนั ธอ์ นั ดีระหวา่ งประเทศตา่ ง ๆ กบั ประเทศไทย โดย เสดจ็ พระราชดาเนินเย่ยี มเยือนประเทศตา่ ง ๆ ไมน่ อ้ ยกว่า 31 ประเทศ ทาให้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งไทยกบั ตา่ งประเทศดาเนินไปไดอ้ ย่างสะดวกและราบรน่ื 8. ทรงเป็ นผู้นาในการพัฒนาและปฏริ ูปด้านต่าง ๆ การพฒั นาและการ ปฏริ ูปท่ีสาคญั ๆ ของชาตสิ ว่ นใหญ่ พระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นผนู้ า ในสมยั รชั กาลท่ี 5 พระองคท์ รงปพู ืน้ ฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยจดั ตงั้ กระทรวงตา่ ง ๆ ทรงสง่ เสรมิ การศกึ ษาและเลกิ ทาส กระท่งั ถงึ รชั กาลปัจจบุ นั ไดท้ รงเกือ้ หนนุ วิทยาการ สาขาตา่ ง ๆ ทรงสนบั สนนุ การศกึ ษาและศลิ ปวฒั นธรรม ทรงรเิ รม่ิ กิจการอนั เป็นการ แกป้ ัญหาหลกั ทางเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศ โดยเฉพาะแนวทางเศรษฐกิจ พอเพียงและทฤษฎีใหมผ่ า่ นโครงการ
พระราชดาริ ซง่ึ มงุ่ เนน้ การแกป้ ัญหาใหแ้ ก่ประชากรสว่ นใหญ่ของประเทศ ไดแ้ ก่ ชาวนา ชาวไร่ และประชาชนผดู้ อ้ ยโอกาส เชน่ โครงการพฒั นาท่ดี ิน โครงการสหกรณ์ โครงการพฒั นาชาวเขา และการเกษตรทฤษฎีใหมเ่ ป็นตน้ 9. ทรงมสี ่วนเกอื้ หนุนระบอบประชาธิปไตย สถาบนั พระมหากษัตรยิ ม์ ีสว่ น สาคญั ในการสง่ เสรมิ ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยใหม้ ีความเขม้ แข็งและ ม่นั คง เพราะการท่ีประชาชนเกิดความจงรกั ภกั ดีและเช่ือม่นั ในสถาบนั พระมหากษัตรยิ ์ ทาใหป้ ระชาชน เกิดความศรทั ธาในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมขุ ดว้ ย เน่ืองจากเห็นวา่ เป็นระบอบการปกครองท่ีเชิดชสู ถาบนั พระมหากษัตรยิ อ์ นั เป็นท่ี เคารพสกั การะของประชนน่นั เอง บทที่ 5 สิทธิและหน้าทข่ี องพลเมอื งดตี ามระบอบ ประชาธิปไตย สิทธขิ องพลเมือง ความหมายของสิทธิ สทิ ธิ คือ หลกั เสรภี าพหรอื การใหส้ ิทธิ์ทางกฎหมาย สงั คมหรอื จรยิ ศาสตร์ น่นั คอื สิทธิ เป็นกฎเชิงบรรทดั ฐานพืน้ ฐานเก่ียวกบั สิ่งท่ีประชาชนมีหรอื เป็นของประชาชนตาม บางระบบกฎหมาย ขนบธรรมเนียมทางสงั คม หรอื ทฤษฎีจรยิ ศาสตร์ สิทธิมี ความสาคญั ย่งิ ในสาขาวชิ าดงั กลา่ ว เช่น กฎหมายและจรยิ ศาสตร์ โดยเฉพาะอยา่ ง ย่งิ ทฤษฎคี วามยตุ ิธรรมและกรณียกรรม สิทธิพลเมืองทสี่ าคัญ
1. สิทธแิ ละเสรภี าพในชวี ิตและร่างกาย การคมุ้ ครองศกั ดศิ์ รคี วามเป็นมนษุ ย์ เชน่ หา้ มทรมาน ทารุน กรรม หรอื ลงโทษดว้ ยวธิ ีโหดรา้ น หรอื ไรม้ นษุ ยธรรม 2. สทิ ธใิ นครอบครัวและความเป็ นอยู่ส่วนตวั รฐั ธรรมนญู หา้ มกลา่ วหรอื เผยแพร่ ขอ้ ความหรอื ภาพไปสสู่ าธารณชน ซง่ึ เป็นการละเมิดสิทธิในครอบครวั เกียรตยิ ศ ช่ือเสียง และความเป็นอยสู่ ว่ นตวั เช่น แอบถ่ายภาพผอู้ ่ืนขณะอยใู่ นบา้ นแลว้ นาไป พิมพจ์ าหน่ายโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต 3. สิทธิในการไม่ถูกเกณฑแ์ รงงาน รฐั ธรรมนญู หา้ เกณฑแ์ รงงานประชาชนไปขดุ คลอง หรอื ก่อสรา้ ง เวน้ แตม่ ีกฎหมายเฉพาะอานาจไว้ เชน่ ปอ้ งกนั ภยั พบิ ตั สิ าธารณะ ท่เี กิดขนึ้ อยา่ งฉกุ เฉิน หรอื ประเทศอยใู่ นภาวะสงคราม 4. สทิ ธติ ่อตา้ นการยดึ อานาจ การธารงรกั ษาไวซ้ ง่ึ ประชาธิปไตย อาจตอ้ งใชว้ ธิ ี ตอ่ ตา้ น การยดึ อานาจในการปกครองประเทศดว้ ยวธิ ีการท่ีไมเ่ ป็นไปตามวิถีทางของ รฐั ธรรมนญู เชน่ การใชก้ าลงั ปฏิวตั ิรฐั ประหาร รฐั ธรรมนญู กาหนดวา่ การตอ่ ตา้ นอ้ ง ทาโดยสนั ติวิธี 5. สิทธิในทรัพยส์ นิ มนุษยจ์ าเป็ นต้องหาทรัพยส์ นิ เงนิ ทอง และเกบ็ ไว้เพอื่ ความเป็ นอยู่ทดี่ ขี องตน หากทรพั ยท์ ่อี ตุ สา่ หห์ ามาไดด้ ว้ ยความเหน่ือยยาก ตอ้ งถกู ผอู้ ่ืนฉกฉวยเอกไป ยอ่ มไมเ่ ป็นธรรมต่อเขา รฐั ธรรมนญู จงึ ตอ้ งคมุ้ ครองสทิ ธิใน ทรพั ยส์ นิ และการตกทอดของทรพั ยส์ นิ ไปยงั ทายาท 6. สิทธิในการไดร้ ับการศกึ ษา ประชาชนมสี ิทธิไดร้ บั การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐานไมน่ อ้ ย กวา่ กวา่ 12 ปี รฐั บาลตอ้ งจดั ใหม้ โี รงเรยี นอย่างท่วั ถงึ และมคี ณุ ภาพโดยไมเ่ ก็บ คา่ ใชจ้ ่ายจากผเู้ รยี นนอกจากนีก้ ารจดั การศกึ ษาตอ้ งใหอ้ งคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน หรอื เอกชนมสี ว่ นรว่ มดว้ ย
7. สทิ ธิทจี่ ะได้รับบริการทางสาธารณสุข ประชาชนมีสทิ ธิไดร้ บั การรกั ษาพยาบาล ท่ไี ดม้ าตรฐาน การบรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั ตอ้ งท่วั ถึง มปี ระสทิ ธิภาพ นอกจากนีค้ น ยากจนมีสทิ ธิไดร้ บั บรกิ ารรกั ษาพยาบาลจากรฐั โดยไมเ่ สยี คา่ ใชจ้ า่ ย 8. สิทธิในการมีส่วนร่วมคุม้ ครองส่งิ แวดล้อม การดแู ลส่งิ แวดลอ้ ม ใหไ้ ดผ้ ล จาตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื ของประชาชน รฐั ธรรมนญู ใหโ้ อกาสประชาชนสามารถมามี สว่ นรว่ มกบั รฐั และชมุ ชนในการบารุงรกั ษา และไดป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ รวมทงั้ การคมุ้ ครอง สง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพ ส่ิงแวดลอ้ ม 9. สิทธใิ นฐานะเป็ นผู้บริโภค เพ่ือใหป้ ระชาชนไดบ้ รโิ ภค หรอื ใชส้ นิ คา้ ท่ีปลอดภยั มี คณุ ภาพ และไมถ่ กู เอารดั เอาเปรยี บจากพอ่ คา้ รฐั ธรรมนญู จงึ คมุ้ ครองประชาชนใน ฐานะผบู้ รโิ ภค รวมทงั้ ใหส้ รา้ งองคก์ รอิสระท่ีเป็นตวั แทนผบู้ รโิ ภค 10. สิทธิในการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร การท่ปี ระชาชนจะตดิ ตาม ตรวจสอบการ ทางานของเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั อยา่ งไดผ้ ลนนั้ ประชาชนตอ้ งมีขอ้ มลู ท่ีครบถว้ นขอ้ มลู ท่ีอยู่ ในความครอบครองของหน่วยงานของรฐั ตอ้ งเปิดเผยตอ่ สาธารณชน และประชาชน สามารถเขา้ ถึงขอมลู นนั้ ได้ 11. สิทธิเกย่ี วกับการกระทาทางการปกครอง ในการปฏิบตั ิงานของเจา้ หนา้ ท่ีของ รฐั การออกคาส่งั หรอื การกระทาของเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั อาจกระทบตอ่ บคุ คลใดบคุ คล หน่งึ ได้ รฐั ธรรมนญู จงึ กาหนดใหบ้ คุ คลนนั้ มสี ทิ ธิ มสี ว่ นรว่ มในกระบวนการพจิ ารณา ของเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั เม่ือมกี ารปฏิบตั ริ าชการทางปกครอง มผี ลหรอื อาจมผี ลกระทบ ตอ่ สทิ ธิและเสรภี าพของบคุ คลอ่ืน ๆ เสรภี าพของพลเมือง
1. เสรีภาพในเคหสถาน บา้ นเป็นสถานท่ีอยอู่ าศยั สามารถอยอู่ ยา่ งสงบสขุ ปราศจากสิ่งใด ๆ มารบกวน แมแ้ ตอ่ านาจของรฐั ผอู้ ่ืนจะเขา้ ไปภายในบา้ น โดยผู้ อาศยั ในบา้ นไมย่ ินยอมไมไ่ ด้ 2. เสรีภาพในการเดนิ ทาง และเลือกถิ่นทอี่ ยู่ ประชาชนมีสทิ ธิเดนิ ทางไปท่ใี ด หรอื ตงั้ ถ่ินฐานอยทู่ ่ใี ดในราชอาณาจกั รก็ได้ และจะเนรเทศผมู้ ีสญั ชาตไิ ทยออกนอก ราชอาณาจกั ร หรอื หา้ มผมู้ ีสญั ชาติไทยเขา้ มาในราชอาณาจกั รไมไ่ ด้ อยา่ งไรก็ดอี าจ ออกกฎหมายเฉพาะจากดั เสรภี าพนี้ 3. เสรีภาพในการส่ือสาร รฐั ธรรมนญู คมุ้ ครองการตดิ ตอ่ ส่อื สารถงึ กนั โดยท่ีคนอ่นื ไมอ่ าจลว่ งรูข้ อ้ ความได้ ดงั นนั้ จงึ หา้ มตรวจ กกั เปิดเผยสง่ิ สื่อสารท่ีมีผตู้ ิดตอ่ ถงึ กนั หรอื ทาวธิ ีการตา่ ง ๆ เพ่ือใหร้ ูข้ อ้ ความ เชน่ เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั จะอา่ นจดหมายท่ี ประชาชนสง่ ถงึ กนั หรอื ดกั ฟังโทรศพั ทไ์ มไ่ ด้ เวน้ แตม่ กี ฎหมายเฉพาะอนญุ าตใหท้ าได้ 4. เสรภี าพในการถือศาสนา พลเมืองไทยมเี สรภี าพท่ีจะนบั ถือศาสนาใดก็ได้ แม้ เป็นเพียงนิกาย หรอื ลทั ธินิยมในทางศาสนา 5. เสรีภาพในการแสดงความคดิ เหน็ ประชาชนมีสทิ ธิเสรภี าพในการแสดงความ คิดเห็นในเร่อื งตา่ ง ๆ ไมว่ า่ โดยการพดู หรอื การเผยแพรง่ านวจิ ยั ตามหลกั วชิ าการ เท่าท่ไี มข่ ดั ตอ่ หนา้ ท่ีพลเมอื งหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน 6. เสรีภาพในทางวชิ าการ รฐั ธรรมนญู สง่ เสรมิ การทางานวิชาการ โดยคมุ้ ครอง การศกึ ษาอบรม การเรยี นการสอน การวิจยั หรอื การเผยแพรง่ านวิจยั ตามหลกั วิชาการ เท่าท่ีไมข่ ดั ตอ่ หนา้ ท่ีพลเมอื งดีหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน 7. เสรภี าพในการชุมนุม การชมุ นมุ ท่ีกระทาไดต้ อ้ งเป็นการชมุ นมุ โดยสงบ และ ปราศจากอาวธุ
8. เสรภี าพในการรวมกนั เป็ นสมาคม ประชาชนสามารถรวมกลมุ่ กนั ไดใ้ นรูปแบบ ตา่ ง ๆ ไดต้ ามท่ตี อ้ งอการเช่น รวมตวั กนั เป็นสมาคม สหภาพ สหพนั ธ์ กลมุ่ เกษตรกร องคก์ รเอกชนหรอื หม่คู ณะอ่ืน ๆ 9. เสรีภาพในการจดั ตัง้ พรรคการเมือง การรวมกลมุ่ ของประชาชนท่ีมคี วาม คิดเห็นทางการเมอื งตรงกนั อาจออกมาในรูปของการจดั ตงั้ พรรคการเมอื ง เพ่ือสรา้ ง เจตนารมณท์ างการเมืองรว่ มกนั และดาเนนิ กิจการทางการเมืองใหเ้ ป็นไปตาม เจตนารมณน์ นั้ 10. เสรีภาพในการประกอบอาชพี บคุ คลสามารถประกอบกิจการ หรอื ประกอบ อาชีพใดกไ็ ดโ้ ดยมีกตกิ าคอื ใหแ้ ขง่ ขนั โดยเสรภี าพและเป็นธรรม เสรภี าพดงั กลา่ วอาจ ถกู จากดั หากมีกฎหมายเฉพาะใหท้ าได้ เช่น ไปประกอบอาชีพท่ีทาลายสิง่ แวดลอ้ ม หรอื ความมานคงหรอื เศรษฐกิจของประเทศเป็นตน้ แนวทางการคุ้มครองสิทธขิ องพลเมอื ง การคมุ้ ครองสิทธิของพลเมืองมีแนวทางดงั นี้ 1. ปลูกฝังใหเ้ กดิ ความรู้ และตระหนกั ในความสาคญั ของสทิ ธิท่ีตนเองมีและเคารพ สิทธิของผอู้ ่ืน 2. เคารพและใหเ้ กยี รติ ใหก้ ารยอมรบั ในความแตกตา่ งของบคุ คล โดยปราศจาก เง่ือนไขทางเพศ วยั ความรู้ ตาแหน่งการงาน 3. ช่วยกันสอดส่องและดแู ลป้องกันไม่ใหม้ ีการละเมิดสิทธิ หรอื หากพบเหน็ การ ละเมดิ สทิ ธิก็ใหแ้ จง้ หน่วยงานหรอื องคก์ รท่ีมีอานาจหนา้ ท่ี บทบาท หน้าทขี่ องเยาวชนในฐานะพลเมอื งของประเทศ
สมาชิกทกุ คนใน สงั คมยอ่ มตอ้ งมีบทบาทหนา้ ท่ีตามสถานภาพของตน ซง่ึ บทบาท และหนา้ ท่ีของสมาชิกแตล่ ะคนจะมคี วามแตกต่างกนั ไป แตใ่ นหลกั ใหญ่และ รายละเอยี ดจะเหมอื นกนั ถา้ สมาชิกทกุ คนในสงั คมไดป้ ฏิบตั ติ ามบทบาทหนา้ ท่ีของ ตนอยา่ งถกู ตอ้ งก็จะได้ ช่ือวา่ เป็น \"พลเมืองท่ีดีของสงั คมและประเทศชาต\"ิ และยงั สง่ ผลใหป้ ระเทศชาตพิ ฒั นาอยา่ งย่งั ยืน ดงั นนั้ สมาชิกในสงั คมทกุ คน โดยเฉพาะ เยาวชนท่ีถือวา่ เป็นอนาคตของชาติ จงึ จาเป็นอย่างย่งิ ท่ีจะตอ้ งเรยี นรูแ้ ละปฏบิ ตั ิตาม บทบาทหนา้ ท่ีของตน เพ่ือชว่ ยนาพาประเทศชาติใหพ้ ฒั นาสบื ไป เยาวชนกับการเป็ นสมาชิกทดี่ ขี องสังคมและประเทศชาติ เยาวชน หมายถงึ คนหน่มุ สาวท่มี ีพลงั อนั สาคญั ท่ีจะสามารถช่วยกนั เสรมิ สรา้ ง กิจกรรมท่ีเป็น ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาประเทศชาตใิ นอนาคต ดงั นนั้ เยาวชนท่ีดีควร ตระหนกั ในคณุ คา่ ของตนเอง และรว่ มแรงรว่ มใจ สามคั คี และเสียสละเพ่ือสว่ นรวม ลักษณะของเยาวชนทดี่ ี เยาวชนท่ีดีควรจะเป็นผทู้ ่มี คี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม กลา่ วคอื จะตอ้ งมธี รรมะในการดาเนิน ชีวติ ไดแ้ ก่ 1. การเสียสละตอ่ สว่ นรวม เป็นคณุ ธรรมท่ีช่วยในการพฒั นาประเทศชาติใหม้ ีความ เจรญิ กา้ วหนา้ เพราะถา้ สมาชิกในสงั คมเหน็ แกป่ ระโยชนส์ ว่ นรวม และยอมเสยี สละ ผลประโยชนส์ ว่ นตน จะทาใหส้ งั คมพฒั นาไปอยา่ งรวดเรว็ และม่นั คง 2. การมรี ะเบยี บวินยั และความรบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ี เป็นคณุ ธรรมท่ีช่วยใหค้ นในสงั คม อยรู่ ว่ มกนั ไดอ้ ยา่ งสงบสขุ เพราะถา้ สมาชกิ ในสงั คมยดึ ม่นั ในระเบียบวนิ ยั รูแ้ ละเขา้ ใจ สทิ ธิของตนเอง ไมล่ ะเมิดสิทธิผอู้ ่ืน และตงั้ ใจปฏิบตั หิ นา้ ท่ีของตนใหด้ ที ่ีสดุ สงั คมนนั้ ก็
จะมแี ตค่ วามสขุ เช่น ขา้ ราชการทาหนา้ ท่ีบรกิ ารประชาชนอย่างดีท่สี ดุ กย็ อ่ มทาให้ เป็นท่ปี ระทบั ใจรกั ใครข่ องประชาชนผมู้ ารบั บรกิ าร 3. ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ เป็นคณุ ธรรมท่มี คี วามสาคญั เพราะหากสมาชิกในสงั คมยดึ ม่นั ในความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ เชน่ ไมล่ กั ทรพั ย์ ไมเ่ บียดเบียนทรพั ยส์ ินของผอู้ ่ืนหรอื ของ ประเทศชาตมิ าเป็นของตน รวมทงั้ ผนู้ าประเทศมีความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ ก็จะทาใหส้ งั คม มแี ตค่ วามเจรญิ ประชาชนมแี ตค่ วามสขุ 4. ความสามคั คี ความรกั ใครก่ ลมเกลียวปรองดองและรว่ มมือกนั ทางานเพ่ือ ประโยชนส์ ว่ นรวมจะทาให้ สงั คมเป็นสงั คมท่ีเขม้ แข็ง แตห่ ากคนในสงั คมเกิดความ แตกแยกทงั้ ทางความคดิ และการปฏิบตั ติ นในการอยรู่ ว่ ม กนั จะทาใหส้ งั คมออ่ นแอ และลม่ สลายในท่ีสดุ 5. ความละอายและเกรงกลวั ในการทาช่วั ถา้ สมาชกิ ในสงั คมมหี ิรโิ อตปั ปะ มคี วาม เกรงกลวั และละอายในการทาช่วั สงั คมก็จะอยกู่ นั อยา่ งสงบสขุ เชน่ นกั ารเมือง จะตอ้ งมคี วามซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ไมโ่ กงกิน ไมเ่ หน็ แกป่ ระโยชนพ์ วกพอ้ ง โดยตอ้ งเหน็ แก่ ประโยชนข์ องประชาชนเป็นสาคญั ประเทศชาตกิ ็จะสามารถพฒั นาไปไดอ้ ยา่ งม่นั คง ความสาคัญของการเป็ นเยาวชนทดี่ ี การเป็นเยาวชนท่ีดีมีความสาคญั ต่อตนเองและประเทศชาติดงั นี้ 1. ความสาคญั ต่อตนเอง เยาวชนท่ดี ีตอ้ งเป็นผมู้ คี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมในการดาเนิน ชีวิต คิดดี ทาดีเพ่อื ตนเองและเพ่ือสว่ นรวม ปฏบิ ตั ิตนตามหนา้ ท่ีท่ไี ดร้ บั มอบหมาย จะทาใหม้ สี ขุ ภาพกาย สขุ ภาพจติ ท่ีดี สรา้ งสมั พนั ธภาพท่ีดรี ะหวา่ งกนั และกนั เป็นท่รี กั ของคนรอบขา้ ง
2. ความสาคญั ตอ่ สว่ นรวม เม่ือเยาวชนไดร้ บั การปลกุ ฝังใหเ้ ป็นเยาวชนท่ีดแี ลว้ กจ็ ะ เป็นพลเมอื งท่ีดใี นอนาคต และถา้ ประเทศชาติมีพลเมืองท่ีดี มีความรบั ผดิ ชอบปฏบิ ตั ิ ตามกฏระเบยี บกติกาของสงั คม และนาหลกั ประชาธิปไตยมาใชเ้ ป็นแนวทางในการ กาหนดบทบาทและหนา้ ท่ีของตน ก็ยอ่ มทาใหก้ ารอยรู่ ว่ มกนั รในสงั คมเป็นไปอยา่ ง สงบสขุ 3. ความสาคญั ตอ่ ประเทศชาติ เม่ือสงั คมมีเยาวชนท่ีดี และมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมทาง สงั คม ยอ่ มเป็นพืน้ ฐานทาใหเ้ กิดพลเมืองดใี นอนาคต และเม่ือสงั คมมพี ลเมืองท่ีดี ย่อมนามาซง่ึ การพฒั นาประเทศชาติใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ ตอ่ ไปอยา่ งรวดเรว็ การปฏบิ ัตติ นเป็ นเยาวชนทด่ี ตี ามสถานภาพและบทบาท 1. เยาวชนกบั การเป็นสมาชิกท่ีดขี องครอบครวั เยาวชนในสถานภาพของการเป็นบตุ ร ควรมีบทบาทหนา้ ท่ี ดงั นี้ 1.1 เคารพเช่ือฟังบิดามารดา 1.2 ชว่ ยเหลือบิดามารดาในทกุ โอกาสท่ีทาได้ 1.3 ใชจ้ า่ ยอย่างประหยดั ไมฟ่ ่มุ เฟือย สรุ ุย่ สรุ า่ ย 1.4 มคี วามรกั ใครป่ รองดองในหมพู่ ่ีนอ้ ง 1.5 ตงั้ ใจศกึ ษาเลา่ เรยี น 1.6 ประพฤตติ นใหส้ มกบั เป็นผดู้ ารงวงศต์ ระกลู 2. เยาวชนกบั การเป็นสมาชิกท่ีดีของโรงเรยี น เยาวชนในฐานะนกั เรยี นควรมีบทบาท หนา้ ท่ี ดงั นี้ 2.1 รบั ผดิ ชอบในหนา้ ท่ีของนกั เรยี น คือ ตงั้ ใจเลา่ เรยี น ประพฤติตนเป็นคนดี
2.2 เช่ือฟังคาส่งั สอนอบรมของครูอาจารย์ 2.3 กตญั ญรู ูค้ ณุ ของครูอาจารย์ 2.4 รกั ใครป่ องดองกนั ในหมเู่ พ่ือนนกั เรยี น 2.5 สง่ เสรมิ เพ่อื นในทางท่ีถกู ท่ีควร 3. เยาวชนกบั การเป็นสมาชิกท่ีดีของชมุ ชน ชมุ ชนคอื สงั คมขนาดเลก็ เช่นหมบู่ า้ นหรอื กลมุ่ คน โดยเยาวชนเป็นสว่ นหนง่ึ ของชมุ ชนท่ตี นอาศยั อยุ่ จงึ ตอ้ งมบี ทบาทหนา้ ท่ีตอ่ ชมุ ชนดงั นี้ 3.1 รกั ษาสขุ ลกั ษณะของชมุ ชน เช่น การทงิ้ ขยะใหเ้ ป็นท่ี ช่วยกาจดั ส่ิงปฏิกลู ตา่ ง ๆ เป็นตน้ 3.2 อนรุ กั ษส์ ่ิงแวดลอ้ มในชมุ ชน เช่น ไมข่ ีดเขียนทาลายโบราณวตั ถใุ นชมุ ชน ช่วน กนั ดแู ลสาธารณสมบตั ิ 3.3 มสี ว่ นรว่ มในการทากิจกรรมของชมุ ชชน 4. เยาวชนกบั การเป็นสมาชิกท่ีดีของประเทศชาติ 4.1 เขา้ รบั การศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน 12 ปี 4.2 ปฏบิ ตั ติ นตามกฎหมาย 4.3 ใชส้ ทิ ธิในการเลือกตงั้ 4.4 ใชท้ รพั ยากรอยา่ งคมุ้ คา่ 4.5 สืบทอดประเพณีวฒั นธรรมอนั ดงี ามของไทย 4.6 ชว่ ยเหลือกิจกรรมตา่ ง ๆท่ีทางราชการจดั ขนึ้
4.7 ประกอบอาชีพสจุ รติ ดว้ ยความขยนั หม่นั เพียร 4.8 ประหยดั และอดออม คุณลกั ษณะของพลเมืองดตี ามวิถีประชาธิปไตย คณุ ลกั ษณะของพลเมืองดีท่ีสาคญั และจาเป็นสาหรบั การอยรู่ ว่ มกนั อย่าง ราบร่นื และชว่ ยจรรโลงใหส้ งั คมประเทศชาติและโลกพฒั นากา้ วหนา้ มดี งั นี้ 1.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีเคารพกฎหมาย 2.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีเคารพสิทธิและเสรภี าพของตนเองและบคุ คลอ่ืน 3.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีมีความรบั ผิดชอบต่อหนา้ ท่ีท่มี ตี อ่ ครอบครวั ดรง เรยี น ชมุ ชน ประเทศชาติ และสงั คมโลก 4.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีมีเหตผุ ล ใจกวา้ ง และรบั ฟังความคิดเห็นของคนบคุ คลอ่ืนเสมอ 5.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีมีคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมในการดาเนินชีวิตประจาวนั 6.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีมีความกระตือรอื รน้ ท่จี ะเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในการปอ้ งกนั และแกไ้ ข ปัญหาของชมุ ชน ประเทศชาติ และสงั คมโลก หรอื องคก์ รท่ีตนสงั กดั อยู่ เชน่ รว่ มกนั แกไ้ ขปัญหาและพฒั นาสภาพแวดลอ้ มของโรงเรยี นและชมุ ชนใหด้ ี ขนึ้ เป็นตน้ 7.ตอ้ งเป็นบคุ คลท่ีมคี วามสนใจและกระตือรอื รน้ ท่ีจะเขา้ รว่ มกิจกรรมตา่ ง ๆ ทาง การเมืองการปกครอง เช่น การไปใชส้ ิทธิเลอื กตงั้ เป็นตน้ พลเมอื งท่ีดีมีคณุ ลกั ษณะดงั กลา่ วนี้ จะเป็นผทู้ ่ที าประโยชนใ์ หแ้ ก่ ครอบครวั โรงเรยี น ประเทศชาติ และสงั คมโลกเสมอ ประเทศใดก็ตามท่มี พี ลเมือง ดเี ป็นจานวนมาก ประเทศนนั้ ก็จะมแี ตค่ วามสงบสขุ และเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งตอ่ เน่ือง บทที่ 6 พลเมอื งดตี ามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ท่ีทรงปรบั ปรุงพระราชทานเป็นท่ีมาของนิยาม “3 หว่ ง 2 เง่ือนไข” ท่คี ณะอนกุ รรมการขบั เคล่ือนเศรษฐกิจพอเพียง สานกั งานคณะกรรมการ พฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ นามาใชใ้ นการรณรงคเ์ ผยแพรป่ รชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียงผา่ นชอ่ งทางส่อื ตา่ ง ๆ อยใู่ นปัจจบุ นั ซง่ึ ประกอบดว้ ยความ “พอประมาณ มเี หตผุ ล มีภมู ิคมุ้ กนั ” บนเง่ือนไข “ความรู”้ และ “คณุ ธรรม” ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมงุ่ เนน้ ใหบ้ คุ คลสามารถประกอบอาชีพไดอ้ ยา่ งย่งั ยืน และใช้ จา่ ยเงินใหไ้ ดม้ าอยา่ งพอเพียงและประหยดั ตามกาลงั ของเงินของบคุ คลนนั้ โดย ปราศจากการกหู้ นีย้ ืมสิน และถา้ มเี งนิ เหลือ ก็แบง่ เก็บออมไวบ้ างสว่ น ชว่ ยเหลอื ผอู้ ่ืน บางสว่ น และอาจจะใชจ้ า่ ยมาเพ่ือปัจจยั เสรมิ อีกบางสว่ น สาเหตทุ ่แี นวทางการ ดารงชีวติ อย่างพอเพียง ไดถ้ กู กลา่ วถึงอยา่ งกวา้ งขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการ ดารงชีวิตของสงั คมทนุ นยิ มในปัจจบุ นั ไดถ้ กู ปลกู ฝัง สรา้ ง หรอื กระตนุ้ ใหเ้ กิดการใช้ จา่ ยอยา่ งเกินตวั ในเรอ่ื งท่ีไมเ่ ก่ียวขอ้ งหรอื เกินกวา่ ปัจจยั ในการดารงชีวติ เช่น การ บรโิ ภคเกินตวั ความบนั เทงิ หลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแตง่ ตวั ตาม แฟช่นั การพนนั หรอื เส่ียงโชค เป็นตน้ จนทาใหไ้ มม่ ีเงินเพียงพอเพ่ือตอบสนองความ ตอ้ งการเหลา่ นนั้ สง่ ผลใหเ้ กิดการกหู้ นีย้ ืมสิน เกิดเป็นวฏั จกั รท่ีบคุ คลหน่งึ ไมส่ ามารถ หลดุ ออกมาได้ ถา้ ไมเ่ ปลี่ยนแนวทางในการดารงชีวิต ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง มหี ลักพจิ ารณาอยู่ 5 สว่ น 1.กรอบแนวคิด เป็นปรชั ญาท่ีชีแ้ นะแนวทางการดารงอยู่ และปฏิบตั ิตนในทางท่คี วร จะเป็น โดยมีพืน้ ฐานมาจากวถิ ีชีวติ ดงั้ เดมิ ของสงั คมไทย สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชไ้ ด้ ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชงิ ระบบท่ีมีการเปลย่ี นแปลงอยตู่ ลอดเวลา มงุ่ เนน้ การรอดพน้ จากภยั และวกิ ฤตเพ่ือความม่นั คง และความย่งั ยืนของการพฒั นา
2.คณุ ลกั ษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนามาประยกุ ตใ์ ชก้ บั การปฏิบตั ติ นไดใ้ นทกุ ระดบั โดยเนน้ การปฏบิ ตั ิบนทางสายกลาง และการพฒั นาอยา่ งเป็นขนั้ ตอน 3.คานิยาม ความพอเพียงจะตอ้ งประกอบดว้ ย 3 คณุ ลกั ษณะ พรอ้ ม ๆ กนั ดงั นี้ – 3.1 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ่ีไมน่ อ้ ยเกินไป และไมม่ ากเกินไปโดย ไมเ่ บยี ดเบยี นตนเองและผอู้ ่ืนเช่น การผลติ และการบรโิ ภคท่ีอยใู่ นระดบั พอประมาณ – 3.2 ความมเี หตผุ ล หมายถงึ การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพียงนนั้ จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมีเหตผุ ล โดยพจิ ารณาจากเหตปุ ัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง ตลอดจน คานงึ ถงึ ผลท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ จากการกระทานนั้ ๆ อยา่ งรอบคอบ 3.3 การมภี มู ิคมุ้ กนั ท่ีดใี นตวั หมายถึง การเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบและการ เปลี่ยนแปลงดา้ นตา่ ง ๆท่ีจะเกิดขนึ้ โดยคานงึ ถึง ความเป็นไปไดข้ องสถานการณต์ า่ ง ๆ ท่คี าดวา่ จะเกิดขนึ้ ในอนาคตทงั้ ใกลแ้ ละไกล 4.เง่ือนไข การตดั สินใจและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ใหอ้ ยใู่ นระดบั พอเพียงนนั้ ตอ้ ง อาศยั ทงั้ ความรู้ และคณุ ธรรมเป็นพืน้ ฐาน – 4.1 เง่ือนไขความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ ก่ียวกบั วชิ าการตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวขอ้ ง อย่างรอบดา้ นความรอบคอบ ท่ีจะนาความรูเ้ หลา่ นนั้ มาพิจารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพ่อื ประกอบการวางแผน และความระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏบิ ตั ิ – 4.2 เง่ือนไขคณุ ธรรม ท่ีจะตอ้ งเสรมิ สรา้ งประกอบดว้ ยมีความตระหนกั ในคณุ ธรรม มีความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ และมีความอดทน มีความเพยี รใชส้ ตปิ ัญญาในการดาเนินชีวิต 5.แนวทางปฏบิ ตั ิ/ผลท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั จากการนาปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยกุ ตใ์ ช้ คอื การพฒั นาท่สี มดลุ และย่งั ยนื พรอ้ มรบั ตอ่ การเปลี่ยนแปลง ในทกุ ดา้ น ทงั้ ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม สิง่ แวดลอ้ ม ความรูแ้ ละเทคโนโลยี
พลเมืองดตี ามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง 3 หว่ ง หว่ ง 1. ความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีท่ีไมน่ อ้ ยเกินไปและไมม่ ากเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและผอู้ ่ืน หว่ ง 2. ความมเี หตผุ ล หมายถึง การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพยี งนนั้ จะตอ้ งเป็นไปอยา่ งมเี หตผุ ล โดยพิจารณาจากเหตปุ ัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งตลอดจนคานงึ ถงึ ผลท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ หว่ ง 3. การมภี มู ิคมุ้ กนั ท่ดี ีในตวั หมายถึงการเตรยี มตวั ใหพ้ รอ้ มรบั ผลกระทบ และ การเปลย่ี นแปลงดา้ นตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดขนึ้ โดยคานงึ ถึงความเป็นไปไดข้ องสถานการณ์ ตา่ ง ๆ ท่ีคาดวา่ จะเกิดขนึ้ ในอนาคตทงั้ ใกลแ้ ละไกล ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 2 เงอ่ื นไข 1. เงอ่ื นไข ความรู้ ประกอบดว้ ย ความรอบรูเ้ ก่ียวกบั วิชาการตา่ ง ท่ีเก่ียวขอ้ งอยา่ ง รอบดา้ น ความรอบคอบท่ีจะนาความรูเ้ หลา่ นนั้ มาพิจารณาใหเ้ ช่ือมโยงกนั เพ่ือ ประกอบการวางแผนและความระมดั ระวงั ในขนั้ ปฏิบตั ิ 2. เงอื่ นไข คุณธรรม ท่จี ะตอ้ งเสรมิ สรา้ งประกอบดว้ ย มีความตระหนกั ในคณุ ธรรม มคี วามช่ือสตั ยส์ จุ รติ และมีความอดทน มคี วามพากเพียร ใชส้ ติปัญญาในการดาเนนิ ชีวติ การนาหลกั เศรษฐกิจพอเพียงมาใชน้ นั้ ขนั้ แรก ตอ้ งยดึ หลกั \"พง่ึ ตนเอง\" คือ พยายาม พง่ึ ตนเองใหไ้ ดก้ อ่ น ในแตล่ ะครอบครวั มีการบรหิ ารจดั การอยา่ งพอดี ประหยดั ไม่ ฟ่ มุ เฟือย สมาชิกในครอบครวั แตล่ ะคนตอ้ งรูจ้ กั ตนเอง เช่น ขอ้ มลู รายรบั -รายจ่าย
ในครอบครวั ของตนเอง สามารถรกั ษาระดบั การใชจ้ ่ายของตน ไมใ่ หเ้ ป็นหนี้ และ รูจ้ กั ดงึ ศกั ยภาพในตวั เองในเร่อื งของปัจจยั ส่ใี หไ้ ดใ้ นระดบั หนง่ึ การพฒั นาตนเองใหส้ ามารถ \"อยไู่ ดอ้ ยา่ งพอเพียง\" คือ ดาเนนิ ชีวิตโดยยดึ หลกั ทาง สายกลางใหอ้ ยไู่ ดอ้ ย่างสมดลุ คอื มีความสขุ ท่ีแท้ ไมใ่ หร้ ูส้ กึ ขาดแคลน จนตอ้ ง เบยี ดเบียนตนเอง หรอื ดาเนินชีวิตอยา่ งเกินพอดี จนตอ้ งเบียดเบยี นผอู้ ่ืน หรอื เบยี ดเบียนสงิ่ แวดลอ้ ม โดย - ยดึ หลกั พออยู่ พอกิน พอใช้ - ยดึ ความประหยดั ตดั ทอนคา่ ใชจ้ ่าย ลดความฟ่ มุ เฟือยในการดารงชีพ - ยดึ ถือการประกอบอาชีพดว้ ยความถกู ตอ้ งและสจุ รติ - ละเลิกการแกง่ แยง่ ผลประโยชนแ์ ละแข่งขนั ในการคา้ ขาย - มงุ่ เนน้ หาขา้ วหาปลา กอ่ นมงุ่ เนน้ หาเงินหาทอง - ทามาหากินก่อนทามาคา้ ขาย - ภมู ปิ ัญญาชาวบา้ นและท่ดี ินทากิน คอื ทนุ ทางสงั คม - ตงั้ สติท่ีม่นั คง รา่ งกายท่ีแข็งแรง ปัญญาท่ีเฉียบแหลม นาความรู้ ความเขา้ ใจอยา่ ง ลกึ ซงึ้ เพ่ือปรบั วถิ ีชีวิตสกู่ ารพฒั นาท่ยี ่งั ยืน แนวทางการใช้ชวี ติ อยา่ งพอเพยี ง 1.เพ่มิ รายได้ ลดรายจ่าย 2.ฉลาดซือ้ ฉลาดใช้ – ลสิ ตร์ ายการของท่ีจาเป็นตอ้ งซอื้ และเลอื กซือ้ สินคา้ ท่ีคมุ้ คา่ และมปี ระโยชน์ 3.จดบญั ชีรายรบั รายจา่ ยอย่างสม่าเสมอ
4.มีเปา้ หมายในการออม จากนนั้ จงึ กาหนดรายจ่ายในแตล่ ะวนั แลว้ จงึ ประหยดั รายจา่ ยดว้ ยการจ่ายนอ้ ยกว่าหรอื เทา่ กบั เปา้ หมายท่กี าหนดไว้ บทท่ี 7 ศาสนากับการดาเนินชวี ิต ความหมายของศาสนา คาวา่ “ศาสนา” แปลวา่ “คาส่งั สอน” พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ใหค้ วามหมายว่า ศาสนา คอื ลทั ธิความเช่ือถือของมนษุ ยอ์ นั มหี ลกั คือแสดง กาเนดิ และความสนิ้ สดุ ของโลกเป็นตน้ อนั เป็นไปในฝ่ายปรมตั ถป์ ระการหน่งึ แสดง หลกั ธรรมเก่ียวกบั บญุ บาปอนั เป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนง่ึ พรอ้ มทงั้ ลทั ธิพธิ ีท่ี กระทาตามความเห็นหรอื ตามคาส่งั สอนในความเช่ือถือนนั้ ๆ 1. คาส่งั คอื วนิ ยั ท่ีเป็นกฎ บทบญั ญตั ิสาหรบั บงั คบั ใหค้ นอยใู่ นระเบยี บอนั ดงี าม และใหเ้ วน้ ขอ้ ท่ีหา้ ม ทาตามขอ้ ท่ีอนญุ าตอนั เป็นทางนาความประพฤตใิ ห้ สม่าเสมอกนั ก็ดี 2. คาสอน คอื ธรรมท่ีเป็นหลกั ใหค้ นประพฤตไิ ดด้ ว้ ยความรูส้ กึ ตวั เองวา่ นีค้ วรละ นีค้ วรประพฤติ และเป็นทางนาความประพฤตทิ งั้ อธั ยาศยั ใหป้ ระณีตขนึ้ ก็ดี ทงั้ (สอง) นีเ้ รยี กวา่ “ศาสนา” จดุ กาเนิดของศาสนา ศาสนาเรม่ิ มีขนึ้ มาเม่อื ไร และอย่างไรไมม่ ีใครทราบแน่ชดั แตจ่ ากหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ เช่น โครงกระดกู เครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ ทาใหน้ กั มานษุ ยวทิ ยาใชเ้ ป็น หลกั ฐานนามาวเิ คราะห์ สนั นษิ ฐานวา่ ความเช่ือเร่อื งผี เร่อื งวญิ ญาณ ตลอดจนส่ิง เรน้ ลบั เหนือธรรมชาติ เป็นจดุ เรม่ิ ตน้ ของศาสนา เป็นพืน้ เพแหง่ ความเช่ือเดิมของ มนษุ ย์ ศาสนาตา่ ง ๆมกั กลา่ วถงึ เร่อื งเมืองนรก เมอื งสวรรค์ ผมู้ ีอานาจสงู สดุ มีเรอ่ื งรูป
เคารพบชู า มีเร่อื งเซน่ สงั เวย ตลอดจนการขอความคมุ้ ครองปอ้ งกนั อนั ตรายจากสงิ่ ท่ี มองไมเ่ ห็น เรยี กวา่ เป็นคติความเช่ือเร่อื งผีสางเทวดาก่อนต่อมาจงึ ไดเ้ กิดพธิ ีตา่ ง ๆ ตามมา นกั มานษุ ยวิทยาลงความเหน็ วา่ ในระยะแรกมนษุ ย์ ในระยะแรกมนษุ ยม์ ีชีวติ อยโู่ ดดเด่ยี วลาพงั เรร่ อ่ นแสวงหาอาหารในระยะตอ่ มาจงึ เรม่ิ พฒั นาสภาพความ เป็นอยมู่ าเป็นชีวติ มีครอบครวั และครอบครวั มารวมกนั เป็นโคตร เป็นตระกลู เกิดมี อาชีพเลยี้ งสตั วแ์ ละเพาะปลกุ ขนึ้ เป็นลาดบั ความสาคญั ในอาชีพเลีย้ งสตั วท์ ่ีตอ้ ง อาศยั ป่าหญา้ และบอ่ นา้ เหตนุ ีผ้ สี างเทวดาท่เี คยนบั ถือมาแตเ่ ดิมกเ็ ปลย่ี นแปลงไป ตามความสาคญั ซง่ึ เก่ียวขอ้ งกบั ชีวิตของคนผีสางเทวดาตนใดท่ีเก่ียวกบั ธรรมชาตทิ ่ี เด่น เช่นเทพประจาฝนฟา้ และบอ่ นา้ กก็ ลายเป็นเทพสาคญั ไปตามลกั ษณะของชน ชาติท่นี บั ถือ เทพอ่ืน ๆ ท่ไี มส่ าคญั กบั ความเป็นอยกู่ ็เส่ือมคลายจากความนบั ถือ และ สาบสญู ไปในท่สี ดุ ความสาคญั ของศาสนากับการดาเนินชีวิต ศาสนาทกุ ศาสนาในโลกต่างมงุ่ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ขุ ทงั้ แกส่ ว่ นตนและแก่สว่ นรวมโดย ปราศจากการเบียดเบียนทารา้ ยกนั และกนั ทาใหศ้ าสนิกชนในศาสนานนั้ ๆ มีความ ประพฤตดิ งี าม มีความกลา้ หาญ ท่จี ะทาความดี และโดยธรรมชาติของผนู้ บั ถือ ศาสนาจะเห็นวา่ ศาสนากบั วถิ ีชีวิตของแตล่ ะคนนนั้ เป็นเรอ่ื งเดียวกนั ไมอ่ าจแยกออก จากกนั ได้ 1.ศาสนาเป็นบอ่ เกิดแหง่ ธรรมจรยิ าและขนบธรรมเนียมประเพณีท่ดี ีทงั้ หลาย 2.ศาสนาเป็นนา้ สาหรบั ดบั ความรอ้ น ใหบ้ งั เกิดความเยน็ สงบ
3.ศาสนาเป็นบทบญั ญตั ิ อนั เป็นแบบใหช้ มุ ชนปฏิบตั มิ นษุ ยธรรมใหผ้ ิดจากภาวะขอ งอนารยชนและสตั วเ์ ดรจั ฉาน 4.ศาสนาเป็นบรรทดั นาความประพฤตขิ องมนษุ ยใ์ หเ้ ป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย 5.ศาสนาเป็นดวงประทปี สอ่ งโลกท่ีมืดดว้ ยอวชิ ชา ใหส้ วา่ งไสวดว้ ยวิชชา 6.ศาสนาเป็นเครอ่ื งส่งั สอนใหค้ นรกั ใคร่ เคารพนบั ถือและจงรกั ภกั ดตี อ่ กนั ฉนั พ่ีนอ้ ง ใหม้ คี วามคดิ เห็นลงรอยเดยี วกนั ดว้ ยสามคั คีและใหค้ วามรูส้ กึ วา่ ตอ้ งยอมรบั สละชีวิต ทงั้ เลอื ดเนือ้ เพ่ือธรรมจรยิ า 7.ศาสนาคอื ธรรมจรยิ า ซง่ึ เป็นเคร่อื งนาใหผ้ มู้ วี ชิ าความรู้ รูจ้ กั ใชว้ ชิ าความรูใ้ นทางท่ี ควรท่ชี อบและไมใ่ หเ้ อาวิชาไปใชใ้ นทางท่ีผิด คอยพทิ กั ษร์ กั ษาคมุ้ ครองผปู้ ฏบิ ตั ิไมใ่ ห้ ตกไปในทางไมด่ ี พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลท่ี ๖ พระราชดารสั ไวว้ า่ ศาสนายอ่ ม เป็นหลกั สาคญั สาหรบั จะชีใ้ หค้ นดาเนนิ ใหถ้ กู ทางวา่ อยา่ งไรจะเป็นทางควรประพฤติ ศาสนาย่อมเป็นเครอ่ื งสาอางทาใหค้ นมีความกลา้ หาญเพราะวา่ มีความเช่ือม่นั อยใู่ น ศาสนาแลว้ ก็ไมม่ ีความหลา้ ภยั อนั ตรายใด ๆ ศาสนาเป็นเคร่อื งประดบั อนั มีสิรยิ ่งิ กวา่ เครอ่ื งประดบั ใด ๆ ทกุ อยา่ ง เพราะวา่ ถา้ ศาสนามีประจาอยกู่ บั ชมุ ชนแลว้ นบั วา่ เป็น สริ แิ กช่ มุ ชนนนั้ ย่งิ กวา่ เคร่อื งประดบั ภายนอก สมเด็จพระ กรมพระนราธิปประพนั ธ์ รบั ส่งั วา่ \"ศาสนาเป็นตวั หลกั ธรรม เครอ่ื งมือ สาหรบั ชบุ คน ใหท้ รงศานติสขุ สมความเป็นมนษุ ย์ \" เม่อื ประมวลแลว้ ศาสนามี ความสาคญั ตามท่ีสมเดจ็ พระมหาวีรวงศ์ ลกั ษณะของศาสนา
ลทั ธิศาสนาท่มี ีมาตงั้ แต่โบราณกาล.มีลกั ษณะความเช่ือและการนบั ถือแตกตา่ งกนั ทา่ นพทุ ธทาสภิกขไุ ดส้ รุปไว๔้ ประการ ไดแ้ ก่ ๑ ลกั ษณะท่ีถือธรรมชาติ ๒ ลกั ษณะท่ีถือเทวดาหรอื พระเป็นเจา้ ๓ ลกั ษณะท่ีถือการประพฤตศิ ลี และวตั ร ๔ ลกั ษณะท่ีนยิ มการรูห้ ลกั ปรชั ญาเป็นหลกั การพน้ ทกุ ขเ์ ป็นเปา้ หมาย เน่ืองจากศาสนาแตล่ ะศาสนามีพฒั นาการมาจากธรรมชาตขิ องมนษุ ยใ์ นหลายดา้ น แต่เม่อื รวมความแลว้ กลา่ วไดว้ า่ ศาสนานนั้ เป็นระบบความเช่ือและการปฏิบตั ิ ซง่ึ มี องคป์ ระกอบสาคญั หลายประการตามความเช่ือ โดยศาสตราจารย์ ดร.จานงค์ อดิวฒั นสิทธิ์ ไดร้ วบรวมไวป้ ระมวลไดด้ งั ตอ่ ไปนี้ ๑.ศาสนาจะตอ้ งมีหลกั การอนั วา่ ดว้ ยความศกั ดิส์ ิทธิ์ มกี ารเคารพบชู าสิง่ ศกั ดิท์ งั้ ใน รูปแบบและไมม่ ีรูปแบบ คอื เป็นนามธรรมและรูปธรรม (มีความศกั ดสิ์ ิทธิ์) ๒.ศาสนาจะตอ้ งมีหลกั คาสอนทางศลี ธรรม รวมถงึ กฎเกณฑ์ ความประพฤติ โดยมี ความสงบสขุ สว่ นรวมเป็นเปา้ หมาย (มศี าสนธรรม) ๓.ศาสนาจะตอ้ งมตี วั บคุ คลผสู้ อน ผกู้ อ่ ตงั้ ผปู้ ระกาศหลกั ธรรม (ศาสดา .เจา้ ลทั ธิ) อนั เป็นท่ียอมรบั และมีความเป็นจรงิ ท่ีพสิ จู นไ์ ดโ้ ดยหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ (มี ศาสดา) ๔.ศาสนาจะตอ้ งมคี ณะบคุ คลหาหนา้ ท่ีรกั ษาและเผยแผค่ าสอนของศาสดา โดยเรยั กวา่ พระบา้ ง นกั บวชบา้ ง ซง่ึ มฐี านะพิเศษกวา่ คนท่วั ไป (เพ่ือใหเ้ ป็นการยอมรบั ) (มีศา สนบคุ คล)
๕.ศาสนาจะตอ้ งมีศรทั ธาและความจงรกั ภกั ดตี อ่ คาสอนและตอ่ ศาสดาและศาสนาท่ี ตนนบั ถือ และเม่ือตนนบั ถือศาสนาใดแลว้ จะไมป่ ระกาศยอมรบั ศาสนาอ่ืนอีก (มี ศรทั ธา) ๖.ศาสนาจะตอ้ งมีพธิ ีกรรม ซง่ึ เป็นแบบแผนท่ีกาหนดพฤตกิ รรม มีกฎเกณฑใ์ หป้ ฏบิ ตั ิ เพ่ือใหเ้ กิดความขลงั ความศกั ดสิ์ ทิ ธิ์.(มีศาสนพิธี) ๗.ศาสนาจะตอ้ งมีการจดั การระเบียบจนเกิดเป็นองคก์ รหรอื สถาบนั มีฐานะเป็น สถาบนั ทางสงั คมท่ีสาคญั มีบทบาท หนา้ ท่ี และความสาคญั จนเป็นท่รี บั รูข้ อง ประชาชนซง่ึ สืบทอดมาตงั้ แตอ่ ดีต (มีสถาบนั ) ๘.ศาสนาจะตอ้ งมศี าสนสถานเป็นท่ปี ระกอบพธิ ีกรรมทางศาสนา และเป็นท่ีพานกั สาหรบั พระนกั บวช เชน่ วดั โบสถ์ สเุ หรา่ มสั ยดิ . รวมถึงวตั ถรุ ูปเคารพ สญั ลกั ษณ์ ของศาสนาแตล่ ะศาสนา (มีศาสนสถาน) ทงั้ ๘ ประการนี้ สามารถสรุปเป็นหลกั เพ่ือใหจ้ าไดง้ า่ ยดงั นี้ ลักษณะของศาสนา 1.มีความศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ 2.มศี าสนธรรม 3.มีศาสนา 4.มีศาสนบคุ คล 5.มศี รทั ธา 6.มศี าสนพธิ ี 7.มีสถาลนั
8.มศี าสนสถาน ศาสนาสาคัญของโลก ๑. ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู ๒. ศาสนาเชน ๓. พระพทุ ธศาสนา ๔. ศาสนาสิข ๕. ศาสนายิว ๖. ศาสนาโซโรอสั เตอร์ ๗. ศาสนาครสิ ต์ ๘. ศาสนาเต๋า ๙. ศาสนาขงจือ๊ ๑o. ศาสนาอสิ ลาม ทกุ ศาสนามีเปา้ หมายเดยี วกนั คอื “การทาความดี ละเวน้ ความช่วั ” แตม่ ีหลกั ฐานใน การปฏิบตั ติ ามความเช่ือในแตล่ ะศาสนา บทที่ 8 พุทธประวัติ วันสาคญั องคป์ ระกอบทาง พระพุทธศาสนาและเร่ืองน่ารู้จากพระไตรปิ ฎก พระพทุ ธประวัตโิ ดยสงั เขป
พระพทุ ธเจา้ ทรงมพี ระนามเดิมวา่ “สทิ ธตั ถะ” ซง่ึ หมายถงึ ผทู้ สี่ าเรจ็ ความมงุ่ หมาย แลว้ หรอื ผูป้ รารถนาส่งิ ใด ย่อมไดส้ ่งิ นนั้ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงเป็นพระราชโอรสของ พระเจา้ สทุ โธทนะ กษัตรยิ ผ์ คู้ รองกรุงกบิลพสั ดุ์ แควน้ สกั กะ และ “พระนางสิรมิ หา มายา” พระราชธิดาของกษัตรยิ ร์ าชสกลุ โกลิยวงศแ์ ห่งกรุงเทวทหะ แควน้ โกลิยะ เม่ือเจา้ ชายสทิ ธตั ถะพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภเิ ษกสมรสกบั พระนางพมิ พา หรอื ยโสธรา พระธิดาของพระเจา้ กรุงเทวทหะซง่ึ เป็นพระญาตฝิ ่ายพระมารดา จนกระท่งั มี พระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพมิ พาไดใ้ หป้ ระสตู ิพระราชโอรส มีพระนามว่า “ราหลุ ” ซง่ึ หมายถึง “บว่ ง” เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงเบ่ือความจาเจในปราสาท 3 ฤดู จงึ ชวนสารถีทรงรถมา้ ประพาส อทุ ยาน ครงั้ นนั้ ไดท้ อดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจบ็ คนตาย และนกั บวช โดยเทวทตู (ทตู สวรรค)์ ท่ีแปลงกายมา พระองคจ์ งึ ทรงคิดไดว้ า่ น่ีเป็นธรรมดาของโลก ชีวิตของ ทกุ คนตอ้ งตกอย่ใู นสภาพเชน่ นนั้ ไมม่ ใี ครสามารถหลกี เล่ยี งเกิด แก่ เจ็บ ตายไดจ้ งึ ทรงเหน็ วา่ ความสขุ ทางโลกเป็นเพียงภาพมายาเทา่ นนั้ และวถิ ีทางท่ีจะพน้ จากความ ทกุ ข์ คือตอ้ งครองเรอื นเป็นสมณะ ดงั นนั้ พระองคจ์ งึ ใครจ่ ะเสดจ็ ออกบรรพชา ในขณะ ท่มี พี ระชนม์ 29 พรรษา โดยพระองคท์ รงมา้ กณั ฐกะ สแู่ มน่ า้ อโนมา กอ่ นจะประทบั น่งั บนกองทราย ทรงตดั พระเมาลีดว้ ยพระขรรค์ และเปล่ยี นชดุ ผา้ กาสาวพตั ร์ (ผา้ ยอ้ ม ดว้ ยรสฝาดแหง่ ตน้ ไม)้ และใหน้ ายฉนั ทะ นาเครอ่ื งทรงกลบั ไปยงั กรุงกบิลพสั ดุ์ พระองคม์ งุ่ ไปท่ีแมน่ า้ คยา แควน้ มคธ ไดพ้ ยายามเสาะแสวงทางพน้ ทกุ ข์ ดว้ ย การศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลองในสานกั อาฬารดาบส กาลามโครตร และอทุ กดาบส ราม บตุ ร แตเ่ ม่ือเรยี นจบทงั้ 2 สานกั แลว้ ทรงเห็นวา่ น่ียงั ไมใ่ ชท่ างพน้ ทกุ ขจ์ ากนนั้ พระองค์ ไดเ้ สดจ็ ไปท่ีแมน่ า้ เนรญั ชรา ในตาบลอรุ ุเวลาเสนานคิ ม และทรงบาเพ็ญทกุ รกิรยิ า ดว้ ยการขบฟันดว้ ยฟัน กลนั้ หายใจและอดอาหาร จนรา่ งกายซบู ผอม แตห่ ลงั จาก
ทดลองได้ 6 ปี ทรงเหน็ วา่ น่ียงั ไมใ่ ชท่ างพน้ ทกุ ข์ จงึ ทรงเลิกบาเพ็ญทกุ รกิรยิ า และหนั มาฉนั อาหารตามเดิม ดว้ ยพระราชดารติ ามท่ที า้ วสกั กเทวราชไดเ้ สด็จลงมาดดี พณิ ถวาย 3 วาระ คอื ดดี พิณสายท่ี 1 ขงึ ไวต้ งึ เกินไปเม่ือดีดก็จะขาด ดดี พิณวาระท่ี 2 ซง่ึ ขงึ ไวห้ ยอ่ น เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระท่ี 3 ดดี พณิ สายสดุ ทา้ ยท่ีขงึ ไว้ พอดี จงึ มีเสยี งกงั วานไพเราะ ดงั นนั้ จงึ ทรงพิจารณาเหน็ วา่ ทางสายกลางคือไมต่ งึ เกินไปและไมห่ ยอ่ นเกินไป น่นั คือทางท่ีจะนาสกู่ ารพน้ ทกุ ข์ หลงั จากพระองคเ์ ลิก บาเพญ็ ทกุ รกิรยิ า ทาใหพ้ ระปัญจวคั คยี ท์ งั้ 5 ไดแ้ ก่ โกณฑญั ญะ วปั ปะ ภทั ทิยา มหา นามะ อสั สชิ ท่ีมาคอยรบั ใชพ้ ระองคด์ ว้ ยความคาดหวงั วา่ เม่ือพระองคค์ น้ พบทางพน้ ทกุ ข์ จะไดส้ อนพวกตนใหบ้ รรลดุ ว้ ย เกิดเสือ่ มศรทั ธาท่พี ระองคล์ ม้ เลกิ ความตงั้ ใจ จงึ เดนิ ทางกลบั ไปท่ปี ่าอิสิปตนมฤคทายวนั ตาบลสารนาถ เมอื งพาราณสี พระองคต์ รสั รู้ ในตอนเชา้ วนั เพญ็ เดือน ๖ ปีระกา ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ในตอนนนั้ นางสชุ าดาไดน้ าขา้ วมธปุ ายาสเพ่อื ไปบวงสรวงเทวดา ครนั้ เหน็ พระมหาบรุ ุษประทบั ท่โี คนตน้ ไทรดว้ ยอาการสงบ นางคิดวา่ เป็นเทวดา จงึ ถวายทอดขา้ วมธปุ ายาสแลว้ เสด็จไปรมิ ฝ่ังแมน่ า้ เนรญั ชรา ตอนเยน็ วนั นนั้ เองพระองคไ์ ดก้ ลบั มายงั ตน้ โพธิ์ท่ี ประทบั พบคนหาบหญา้ ช่ือโสตถิยะ คนหาบหญา้ ไดถ้ วายหญา้ ใหพ้ ระองคป์ ลู าด ณ ใตต้ น้ โพธิ์ แลว้ ขนึ้ ประทบั หนั พระพกั ตรไ์ ปทางทิศตะวนั ออก และไดต้ งั้ จิตอธิษฐานวา่ แมเ้ ลอื ดในกายของเราจะเหือดแหง้ ไปเหลือแตห่ นงั เอน็ กระดกู ก็ตาม ถา้ ยงั ไมพ่ บ ธรรมวิเศษแลว้ จะไมย่ อมหยดุ ความเพียรเป็นอนั ขาด เม่ือทรงตงั้ จิตอธิษฐานแลว้ พระองคก์ ็ทรงสารวมจิตใหส้ งบแนว่ แน่พระองคเ์ รม่ิ บาเพ็ญเพียรทางจิต และในท่ีสดุ ทรงชนะความลงั เลพระทยั ทรงบรรลคุ วามสาเรจ็ เม่ือพระองคท์ รงรูเ้ หน็ อยา่ งนี้ จิตก็ พน้ จากกิเลสทงั้ ปวง พระองคก์ ็ตรสั รูเ้ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เม่ือพระชนมายุ 35 พรรษา ในวนั เพ็ญ เดือน ๖ ปีระกาธรรมสงู สง่ ท่ีพระพทุ ธเจา้ ตรสั รูน้ นั้ คือ อรยิ สจั ทกุ ข์ สมทุ ยั นโิ รธ และมรรค
ตอ่ มาพระพทุ ธเจา้ ไดเ้ ทศนพ์ ระธรรมเทศนาโปรดแกย่ สกลุ บตุ ร รวมทงั้ เพ่ือนของยสกลุ บตุ ร จนไดส้ าเรจ็ เป็นพระอรหนั ตท์ งั้ หมด รวม 60 รูป พระพทุ ธเจา้ ทรงมพี ระราช ประสงคจ์ ะใหม้ นษุ ยโ์ ลกพน้ ทกุ ข์ พน้ กิเลส จงึ ตรสั เรยี กสาวกทงั้ 60 รูป มาประชมุ กนั และตรสั ใหพ้ ระสาวก 60 รูป จารกิ แยกยา้ ยกนั เดนิ ทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลาพงั ในเสน้ ทางท่ีไมซ่ า้ กนั เพ่อื ใหส้ ามารถเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาไดใ้ นหลาย พืน้ ท่อี ย่างครอบคลมุ สว่ นพระองคเ์ องไดเ้ สด็จไปแสดงธรรม ณ ตาบลอรุ ุเวลา เสนา นคิ ม หลงั จากสาวกไดเ้ ดินทางไปเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในพืน้ ท่ตี า่ ง ๆ ทาใหม้ ีผู้ เล่อื มใสพระพทุ ธศาสนาเป็นจานวนมาก พระองคจ์ งึ ทรงอนญุ าตใหส้ าวกสามารถ ดาเนนิ การบวชได้ โดยใชว้ ธิ ีการ “ตสิ รณคมนปู สมั ปทา” คอื การปฏญิ าณตนเป็นผถู้ ึง พระรตั นตรยั พระพทุ ธศาสนาจงึ หย่งั รากฝังลกึ และแพรห่ ลายในดนิ แดนแหง่ นนั้ เป็น ตน้ มา พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไดเ้ สดจ็ โปรดสตั วแ์ ละแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรงสดบั วา่ อกี 3 เดือนขา้ งหนา้ จะปรนิ พิ พาน จงึ ไดท้ รงปลงอายสุ งั ขาร ขณะนนั้ พระองคไ์ ดป้ ระทบั จาพรรษา ณ เวฬคุ าม ใกลเ้ มืองเวลาสี แควน้ วชั ชี โดยก่อน เสด็จดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พาน 1 วนั พระองคไ์ ดเ้ สวยสกุ รมทั ทวะท่นี ายจนุ ทะทาถวาย แต่ เกิดอาพาธลง ทาใหพ้ ระอานนทโ์ กรธ แตพ่ ระองคต์ รสั วา่ “บณิ ฑบาตท่ีมีอานิสงสท์ ่สี ดุ มี 2 ประการ คือ เม่ือตถาคต (พทุ ธองค)์ เสวยบิณฑบาตแลว้ ตรสั รู้ และปรนิ พิ พาน” และมีพระดารสั วา่ “โย โว อานนท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจ จเยน สตถา” อนั แปลวา่ “ดกู อ่ นอานนท์ ธรรมและวินยั อนั ท่เี ราแสดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ แก่เธอทงั้ หลาย ธรรมวินยั นนั้ จกั เป็นศาสดาของเธอทงั้ หลาย เม่ือเราลว่ งลบั ไปแลว้ ” พระพทุ ธเจา้ ทรงประชวรหนกั แตท่ รงอดกลนั้ มงุ่ หนา้ ไปยงั เมืองกสุ ินารา ประทบั ณ ป่าสาละ เพ่ือเสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รนิ ิพพาน โดยกอ่ นท่ีจะเสดจ็ ดบั ขนั ธป์ รนิ ิพพานนนั้
พระองคไ์ ดอ้ ปุ สมบทแก่พระสภุ ทั ทะปรพิ าชก ซง่ึ ถือไดว้ า่ “พระสภุ ภทั ทะ” คือสาวก องคส์ ดุ ทา้ ยท่ีพระพทุ ธองคท์ รงบวชให้ ในทา่ มกลางคณะสงฆท์ งั้ ท่ีเป็นพระอรหนั ต์ และปถุ ชุ นจากแควน้ ตา่ ง ๆ รวมทงั้ เทวดา ท่มี ารวมตวั กนั ในวนั นี้ ในครานนั้ พระองค์ ทรงมีปัจฉิมโอวาทวา่ “ดกู อ่ นภิกษุทงั้ หลาย เราขอบอกเธอทงั้ หลาย สงั ขารทงั้ ปวงมี ความเสอื่ มสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงึ ทาประโยชนต์ นเอง และประโยชนข์ อง ผอู้ ่ืนใหส้ มบรู ณด์ ว้ ยความไมป่ ระมาทเถิด” (อปปมาเทน สมปาเทต) จากนนั้ ไดเ้ สด็จดบั ขนั ธป์ รนิ ิพพาน ใตต้ น้ สาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหลา่ มลั ลกษัต รยิ ์ เมอื งกสุ ินารา แควน้ มลั ละ ในวนั ขนึ้ 15 ค่า เดือน 6 รวมพระชนม์ 80 พรรษา และ วนั นีถ้ ือเป็นการเรม่ิ ตน้ ของพทุ ธศกั ราช พระพทุ ธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พาน ศึกษาพุทธประวัตจิ ากพระพุทธรูปปางตา่ ง ๆ พระพทุ ธรูปปางมารวิชัย พระพทุ ธรูปปางมารวชิ ยั พระพทุ ธรูปอยใู่ นพระอิรยิ าบถประทบั (น่งั ) ขดั สมาธิ พระ หตั ถซ์ า้ ยวางหงายบนพระเพลา (ตกั ) พระหตั ถข์ วาวางบนพระชานุ (เขา่ ) นิว้ พระหตั ถ์ ชีล้ งพืน้ ธรณี บางแหง่ ทารูปแมพ่ ระธรณีน่งั บีบมวยผมประกอบ นิยมสรา้ งเป็นพระ ประธานในพระอโุ บสถ ความเป็ นมาของปางมารวิชัย ขณะท่ีพระบรมโพธิสตั วป์ ระทบั ณ โพธิบลั ลงั ก์ พญามารสวตั ตปี ระทบั บนหลงั ชา้ งครี ี เมขล์ 150 โยชน์ ยกทพั มาหมายจะทาลายความเพียรของพระองค์ พญามารเนรมิต รา่ งสงู ใหญ่มีมือนบั พนั ถือศสั ตราวธุ พรอ้ มนาเหลา่ เสนามารมากมายมดื ฟา้ ม่วั ดิน เหลา่ เทวดาทงั้ หลายหนีไปหมด แตพ่ ระบรมโพธิสตั วม์ ิไดห้ วาดกลวั พวกมารซดั ศสั ตราวธุ เขา้ ใสพ่ ระบรมโพธิสตั ว์ แตศ่ สั ตราวธุ เหลา่ นนั้ กลายเป็นบปุ ผามาลยั ไปสิน้
พญามารยงั กลา่ วทกึ ทกั วา่ รตั นบลั ลงั กเ์ ป็นของตน พระบรมโพธิสตั วท์ รงกลา่ ววา่ รตั นบลั ลงั กน์ ีเ้ กิดมาดว้ ยบญุ ท่พี ระองคส์ ่งั สมมาแตป่ างกอ่ น โดยอาศยั แมพ่ ระธรณี เป็นพยาน แมพ่ ระธรณีไดป้ ลอ่ ยมวยผมบีบนา้ กรวดอทุ ิศผลบญุ จากการทาทานของ พระบรมโพธิสตั วใ์ หไ้ หลพดั พาเหลา่ มารไปจนสิน้ พระพุทธรูปปางลีลา เป็นพระพทุ ธรูปมลี กั ษณะกาลงั กา้ วพระบาท (กา้ วเดิน) พทุ ธลกั ษณะทรงยกพระบาท ขวาจะกา้ ว หอ้ ยพระหตั ถข์ วาทา่ ไกว พระหตั ถซ์ า้ ยยกเสมอพระอรุ ะปอ้ งไปเบือ้ งหนา้ เป็นกิรยิ าเดนิ ความเป็ นมาของปางลีลา เม่อื ครงั้ ท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จลงจากสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ พรอ้ มดว้ ยเหล่าเทวดาและ พรหมท่ีตามมาสง่ เสด็จนนั้ ขบวนตามเสด็จมาหยดุ ณ ประตสู งั กสั สนคร เมืองท่พี ระ สารบี ตุ รจาพรรษาอยู่ พระพทุ ธองคท์ รงมีพทุ ธลลี าและพระสิรงิ ดงามย่ิง ครอบงารศั มี ของเหลา่ เทวดาและพรหมทงั้ หลาย เป็นภาพท่งี ดงามเหนือคาบรรยาย เป็นท่ีช่ืนชม โสมนสั แก่พทุ ธบรษิ ัทท่ีเฝา้ รบั เสด็จ พระพุทธรูปปางประทานโอวาท พระพทุ ธรูปปางประธานโอวาทหรอื ปางแสดงโอวาทปาตโิ มกข์ พระพทุ ธรูปอยใู่ นพระ อริ ยิ าบถประทบั (น่งั ) ขดั สมาธิ พระหตั ถท์ งั้ สองยกขนึ้ จีบนิว้ พระหตั ถไ์ วเ้ สมอพระอรุ ะ (อก) เป็นกิรยิ าทรงประทานโอวาทปาติโมกข์ ความเป็ นมาของปางประทานโอวาท
ณ พระเวฬวนั มหาวหิ าร กรุงราชคฤห์ หลงั จากท่ีพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ตรสั รูแ้ ลว้ ประมาณ 9 เดอื น ไดเ้ กิดเหตกุ ารณท์ ่เี รยี กวา่ จาตรุ งคสนั นิบาต คือ การประชมุ ท่ีครบ องค์ 4 ไดแ้ ก่ 1. วนั นนั้ เป็นวนั ดวงจนั ทรเ์ สวยมาฆฤกษ์ (วนั เพ็ญเดือน 3 ) 2. พระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชมุ กนั โดยมไิ ดน้ ดั หมาย 3. พระสงฆท์ งั้ หมดลว้ นเป็นพระอรหนั ตผ์ ไู้ ดอ้ ภิญญา 6 4. พระสงฆท์ งั้ หมดเป็นเอหิภกิ ขุ คือ เป็นผทู้ ่พี ระพทุ ธองคป์ ระทานอปุ สมบทดว้ ย พระองคเ์ อง ในวนั นนั้ พระองคท์ รงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซง่ึ เป็นหลกั สาคญั แหง่ พระพทุ ธศาสนา เพ่ือเป็นแนวทางในการเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนา ใจความสาคญั แหง่ พระโอวาทนนั้ ไดแ้ ก่ ละเวน้ ความช่วั ทงั้ ปวง ทาความดใี หถ้ ึงพรอ้ ม ทาจิตใจใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ ผอ่ งใส วนั เพ็ญเดือน 3 ถือเป็นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาเรยี กวา่ “วนั มาฆบชู า” พระพทุ ธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชติ พระพทุ ธรูปปางอธิษฐานเพศบรรพชิต พระพทุ ธรูปอยใู่ นอิรยิ าบถประทบั (น่งั ) ขดั สมาธิ(Meditation) พระหตั ถซ์ า้ ยหงายบนพระเพลา (ตกั ) พระหตั ถข์ วายกขนึ้ ตงั้ ฝ่าพระหตั ถเ์ สมอเสมอพระอรุ ะ (อก) เบนฝ่าพระหตั ถไ์ ปทางซา้ ย อนั เป็นกิรยิ าสารวม จิตอธิษฐานเพศบรรพชติ ความเป็ นมาของปางอธิษฐานเพศบรรพชติ เม่อื เจา้ ชายสิทธตั ถะเสดจ็ ออกพน้ เขตกรุงกบลิ พสั ดจุ์ นมาถึงฝ่ังแมน่ า้ อโนมาจงึ เสด็จ ลงจากหลงั มา้ ประทบั เหนือหาดทรายรมิ ฝ่ังแมน่ า้ รบั ส่งั แก่นายฉนั นะวา่ พระองคจ์ กั บรรพชาถือเพศเป็นบรรพชิต ณ ท่ีนี้ ใหน้ าเคร่อื งประดบั และมา้ กณั ฐกะกลบั พระนคร
เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงตงั้ พระทยั วา่ เม่ือไดต้ รสั รูเ้ ป็นพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ แลว้ จะเสด็จ กลบั มาเทศนาโปรดพระประยรู ญาติ พระพุทธรูปปางรับหญ้าคา พระพทุ ธรูปปางรบั หญา้ คา พระพทุ ธรูปอยใู่ นพระอิรยิ าบถยนื พระหตั ถซ์ า้ ยหอ้ ยลง ขา้ งพระวรกาย พระหตั ถข์ วาย่นื ออกมาขา้ งหนา้ เป็นกิรยิ าทรงรบั หญา้ คา บางแบบ ทาเป็นพระอิรยิ าบถทรงถือหญา้ คาก็มี บางแบบมีรูปพราหมณก์ าลงั ย่ืนหญา้ คาถวาย ดว้ ย ความเป็ นมาของปางรับหญ้าคา พระบรมโพธิสตั วท์ อดพระเนตรเหน็ ถาดทองลอยทวนกระแสนา้ ดงั อธิษฐาน จงึ ทรง โสมนสั (ดีใจ) เสดจ็ สรู่ ม่ สาละ ครนั้ ถงึ เวลาบา่ ยไดเ้ สดจ็ กลบั ไปยงั อสั สตั ถโพธิพฤกษ์ มณฑล (รม่ โพธิ์) ระหวา่ งทางไดพ้ บกบั โสตถิยพราหมณถ์ ือหญา้ กสุ ะ (หญา้ คา) 8 กา เดนิ สวนทางมา โสตถิยพราหมณเ์ ล่อื มใสในพระสิรทิ ่งี ามสงา่ ของพระบรมโพธิสตั วจ์ งึ นอ้ มถวายหญา้ กสุ ะทงั้ 8 กา วันสาคญั ทางพระพุทธศาสนา วนั สาคญั ทางศาสนาพทุ ธ นิยมระบตุ ามปฏทิ ินจนั ทรคติ โดยปกตจิ ะเป็นวนั ท่เี คยมี เหตกุ ารณส์ าคญั เม่ือครงั้ พทุ ธกาล หรอื เม่อื ถึงกาหนดตอ้ งปฏบิ ตั ิประเพณีสาคญั ตาม ธรรมเนียมในศาสนาพทุ ธ วนั สาคญั ทางศาสนาพทุ ธท่ีชาวพทุ ธยดึ ถือมานาน มีดงั นี้ • วนั ในแตล่ ะเดอื น ไดแ้ ก่ • วนั พระ หรอื วนั ธรรมะสวนะ
• วนั โกน • วนั สาคญั ประจาปี ไดแ้ ก่ • วนั มาฆบชู า ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๓ แตถ่ า้ ปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองครงั้ วนั มาฆบชู ากจ็ ะเลอ่ื นไปเป็นวนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๔ • วนั วสิ าขบชู า ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๖ • วนั อฏั ฐมบี ชู า หรอื วนั ถวายพระเพลิงพระพทุ ธเจา้ ตรงกบั วนั แรม ๘ ค่า แห่งเดอื นวสิ าขะ (เดือน ๖) • วนั อาสาฬหบชู า ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดอื น ๘ • วนั เขา้ พรรษา ตรงกบั วนั แรม ๑ ค่า เดอื น ๘ จนถงึ วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ • วนั ออกพรรษา ตรงกบั วนั ขนึ้ ๑๕ ค่า เดือน ๑๑ องคป์ ระกอบของพระพทุ ธศาสนา ศาสนาพทุ ธเช่นเดียวกบั ทกุ ๆ ศาสนาในโลกท่มี คี วามเป็นมาและตอ้ งดารงคง อยสู่ บื ไปตราบเท่าท่ีองคป์ ระกอบของศาสนาสามารถขบั เคล่ือนไปอยา่ งเป็นระบบ และประสานสมั พนั ธก์ นั ไปเป็นอย่างดมี ีประสิทธิภาพและคณุ ภาพ โดยท่วั ไปแลว้ ศาสนาทกุ ศาสนาจะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบสาคญั อนั ไดแ้ ก่ ๑. คาสอนของศาสดา ซง่ึ จะปรากฏอยใู่ นคมั ภีรส์ าคญั ของศาสนานนั้ ๆ เชน่ ครสิ ตศ์ าสนา ไดแ้ ก่ คมั ภรี ไ์ บเบลิ้ ศาสนาอสิ ลาม ไดแ้ ก่ คมั ภรี อ์ ลั กรุ อาน และ ศาสนา พราหมณ์ - ฮินดู ไดแ้ ก่ คมั ภรี พ์ ระเวท เป็นตน้
๒. บคุ ลากรในศาสนา ประกอบดว้ ยบคุ คลตา่ ง ๆ ท่ีมหี นา้ ท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ศาสนานนั้ ๆ เช่นครสิ ตศ์ าสนา ไดแ้ ก่ นกั บวชในศาสนาครสิ ตท์ ่เี รยี กวา่ บาทหลวง มิชชนั นารี ผนู้ บั ถือและปฏิบตั ิตนในศาสนาครสิ ต์ ท่ีเรยี กวา่ ครสิ ตศ์ าสนิกชน เป็น ตน้ ศาสนาอิสลาม ผทู้ ่นี บั ศาสนาอสิ ลาม เรยี กวา่ มสุ ลิม ศาสนาอสิ ลาม ไมม่ ีพระหรอื นกั บวช อิหมา่ มก็เป็นเพียงผนู้ าในการนมสั การพระเจา้ ไมใ่ ช่พระท่ีทาหนา้ ท่ีเป็นกลาง ระหวา่ งพระเจา้ กบั มนษุ ย์ และ ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู ในสมยั กอ่ นนนั้ ศาสนา พราหมณไ์ มม่ ีนกั บวชหรอื ท่ีเรยี กวา่ พระ เม่ือสงั กราจารยเ์ ลยี นแบบพทุ ธ จงึ มีนกั บวช เป็น พราหมณผ์ ปู้ ระกอบพธิ ีกรรม มีครอบครวั มลี กู มเี มียได้ และผนู้ บั ถือศาสนาฮินดู เป็นตน้ ๓. พิธีกรรม ตวั อยา่ งพิธีกรรมในศาสนาตา่ ง ๆ เช่น ศาสนาครสิ ต์ ไดแ้ ก่ พิธีบพั ติศมาหรอื ศีลลา้ งบาป เป็นพิธีแรกท่ีครสิ ตชนตอ้ งรบั โดยบาทหลวงจะใชน้ า้ ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ เทลงบนศีรษะพรอ้ มเจิมนา้ มนั ครสิ มาท่หี นา้ ผาก พธิ ีกรรมสาคญั ชองศาสนาอสิ ลาม ไดแ้ ก่ การละหมาด ซง่ึ เป็นการปฏบิ ตั ิศาสนกิจอย่างหนง่ึ ในศาสนาอิสลาม เพ่ือเป็น การภกั ดตี อ่ อลั ลอฮฺ มสุ ลิมทกุ คนจะตอ้ งละหมาด วนั ละ ๕ เวลา ละหมาด หมายถึง การขอพร เป็นการสรา้ งเอกภาพอยา่ งหน่งึ ของมสุ ลมิ เม่อื ละหมาดมสุ ลิมท่วั โลก หนั หนา้ ไปทางกิบละฮฺ เพ่ือเคารพภกั ดตี อ่ อลั ลอฮฺ การละหมาด ฝึกฝนใหเ้ ป็นคนตรงตอ่ เวลา มีความอดทน และขดั เกลาจิตใจ ใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ผอ่ งแผว้ ไมป่ ระพฤติสิ่งหน่งึ สิ่งใด ในทางช่วั รา้ ย พธิ ีกรรมสาคญั ของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู ไดแ้ ก่ พธิ ีศราทธ์ เป็นการ บชู าสงั เวยบรรพบรุ ุษของตนท่ีลว่ งลบั ไปแลว้ ดว้ ยการถวายขา้ วบณิ ฑก์ อ่ นวนั เผาศพ ๑ วนั และ ทาในระยะเวลาท่ไี วท้ กุ ขอ์ ยู่ ผทู้ ่ที าพิธีบวงสรวงจะตอ้ งเป็นลกู ชายเทา่ นนั้ เพราะมคี วามเช่ือวา่ ลกู ชายจะช่วยใหผ้ ทู้ ลี ว่ งลบั พน้ จากนรก เป็นตน้
๔. สถานท่ีและวตั ถสุ าคญั ทางศาสนา ในศาสนาตา่ ง ๆ ยอ่ มตอ้ งมสี ถานท่ี สาหรบั กระทาพธิ ีกรรมตามหลกั คาสอนของศาสนานนั้ ๆ ซง่ึ เรยี กว่า ศาสนสถาน เช่น ศาสนาครสิ ต์ ไดแ้ ก่ โบสถ์ วดั รูปแบบครสิ ต์ ศาสนาอสิ ลาม ไดแ้ ก่ มสั ยิด และ ศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู ไดแ้ ก่ โบสถพ์ ราหมณ์ เทวสถาน เทวาลยั เป็นตน้ สาหรบั วตั ถุ สาคญั ทางศาสนานนั้ ๆ ซง่ึ เรยี กว่า ศาสนวตั ถุ เชน่ ศาสนาครสิ ต์ ไดแ้ ก่ คมั ภีรไ์ บเบลิ้ สญั ลกั ษณไ์ มก้ างเขน ศาสนาอิสลาม ไดแ้ ก่ คมั ภีรอ์ ลั กรุ อาน และ ศาสนา พราหมณ์ – ฮินดู ไดแ้ ก่ คมั ภีรพ์ ระเวท และ เทวรูปเทพเจา้ ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ พระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร เป็นตน้ องคป์ ระกอบเฉพาะของศาสนาพทุ ธ พระพทุ ธศาสนา เป็นศาสนาหนง่ึ ในโลก ดงั นนั้ ความคงอยขู่ องสถานะทางศาสนา จงึ ยอ่ มตอ้ งมอี งคป์ ระกอบเชน่ กนั อนั ไดแ้ ก่ ๑. พทุ ธธรรม เป็นหลกั ธรรมคาส่งั สอนขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซง่ึ ปรากฏอยใู่ นพระคมั ภีรห์ ลกั สาคญั ท่ีเรยี กวา่ พระไตรปิฎก ประกอบดว้ ย พระวินยั ปิฎก พระสตุ ตนั ตปิฎก หรอื พระสตู ร และ พระอภธิ รรมปิฎก ๒. พทุ ธบรษิ ัท เป็นบคุ ลากรในพระพทุ ธศาสนา เรยี กวา่ พทุ ธศาสนกิ ชน อนั ประกอบดว้ ย ภิกษุ ภกิ ษุณี อบุ าสก และ อบุ าสิกา รวมแลว้ เรยี กวา่ บรษิ ัท ๔ แต่ละ สว่ นทาหนา้ ท่ีในทางปฏิบตั ิตา่ งกนั โดยมเี ปา้ หมายหลกั อย่างเดยี วกนั คือทานบุ ารุง และสบื ทอดพระพทุ ธศาสนาเป็นสาคญั ๓. พทุ ธพธิ ีกรรม เป็นรูปแบบการปฏิบตั ิในระดบั ตา่ ง ๆ กนั เช่น การสวดมนต์ เพ่ือระลกึ ถึงคณุ พระศรรี ตั นตรยั การปฏบิ ตั ิเพ่ือทาจิตใจใหส้ งบ ละเวน้ จากการกระทา ความช่วั โดยตงั้ ใจกระทาความดี พธิ ีกรรมท่ีสาคญั เช่น พิธีอปุ สมบท พธิ ีทาบญุ เน่ือง
ในโอกาสตา่ ง ๆ โอกาสวนั สาคญั ทางพระพทุ ธ ศาสนา เช่น วนั มาฆบชู า วนั วิสาขบชู า วนั อาสาฬบชู า เป็นตน้ ๔. พทุ ธสถานและวตั ถสุ าคญั สถานท่ีสาคญั ทางศาสนาพทุ ธ ไดแ้ ก่ สงั เวชนีย สถาน เป็นสถานท่ีพระพระพทุ ธเจา้ ทรงประสตู ิ ตรสั รู้ และ ปรนิ ิพพาน วดั โบสถ์ วหิ าร สาหรบั ศาสนวตั ถทุ ่มี คี วามสาคญั ไดแ้ ก่ พระไตรปิฎก พระพทุ ธรูปซง่ึ เป็นสญั ลกั ษณ์ ของพระพทุ ธองค์ นอกจากนนั้ ก็มวี ตั ถมุ งคลตา่ ง ๆ ซง่ึ สรา้ งขนึ้ เพ่ือใหส้ าธชุ นไดย้ ดึ เหน่ียวและเตอื นสติเพ่ือการละเวน้ กระทาช่วั โดยใหก้ ระทาดี เป็นตน้ คมั ภรี ส์ าคัญทางพระพุทธศาสนา คมั ภีรข์ องพระพทุ ธศาสนา คือ คมั ภรี พ์ ระไตรปิฎก พระไตรปิฎก แปลวา่ \"ปิฎกสาม\" ปิฎก แปลตามศพั ทพ์ ืน้ ๆ วา่ กระจาดหรอื ตะกรา้ อนั เป็นภาชนะสาหรบั ใสร่ วมของ ตา่ ง ๆ เขา้ ไวน้ ามาใช่ในความหมายวา่ เป็นท่รี วบรวมคาสอนในพระพทุ ธศาสนาท่ี จดั เป็นหมวดหมแู่ ลว้ โดยในนีไ้ ตรปิฎกจงึ แปลวา่ คมั ภีรท์ ่บี รรจพุ ทุ ธพจน์ ๓ ชดุ หรอื ประมวลแห่งคมั ภีรท์ ่รี วบรวมพระธรรมวนิ ยั ๓ หมวด กลา่ วคือ พระวนิ ยั ปิฎก พระ สตุ ตนั ตปิฎกและพระอภธิ รรมปิฎก พระไตรปิ ฎก เป็นคมั ภีรห์ รอื ตาราทางพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ รวบรวมคาส่งั สอนของ พระพทุ ธเจา้ ไว้ เป็นหมวดหมู่ แบง่ ออกเป็น ๓ ปิฎก ดว้ ยกนั คอื ๑. พระวินยั ปิฎก วา่ ดว้ ยวนิ ยั หรอื ศลี ของ ภกิ ษุและภิกษุณี ๒. พระสตุ ตนั ตปิฎก วา่ ดว้ ยพระธรรมเทศนาโดยท่วั ไป มปี ระวตั แิ ละทอ้ งเรอ่ื ง ประกอบ ๓. พระอภิธรรมปิฎก วา่ ดว้ ยธรรมะลว้ น ไมม่ ปี ระวตั ิ และทอ้ งเรอ่ื งประกอบ
แผนผงั พระไตรปิ ฎก พระวนิ ยั ปิฎก มีอยู่ ๕ หมวดดว้ ยกนั คือ ๑. มหาวภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยขอ้ หา้ ม หรอื วนิ ยั ท่ีเป็นหลกั ใหญ่ ๆ ของพระภกิ ษุเป็นศีลของ ภิกษุท่มี าในปาติโมกข์ ๒. ภิกษุณีวภิ งั ค์ วา่ ดว้ ยขอ้ หา้ ม หรอื วินยั ของพระภิกษุณี ๓. มหาวคั ค์ วา่ ดว้ ยพทุ ธประวตั ติ อนแรก และพิธีกรรมทางพระวินยั แบง่ ออกเป็น ขนั ธกะ๑๐ หมวด ๔. จลุ ลวคั ค์ วา่ ดว้ ยพิธีกรรมทางพระวินยั ความเป็นมาของพระภิกษุณีและ ประวตั กิ ารทาสงั คายนา แบง่ ออกเป็นขนั ธกะ ๑๒ หมวด ๕. บรวิ าร วา่ ดว้ ยขอ้ เบด็ เตลด็ ทางพระวินยั เป็นการย่อหวั ขอ้ สรุปเนือ้ ความ วนิ ิจฉยั ปัญหาใน ๔ เร่อื งขา้ งตน้ พระสุตตนั ตปิ ฎก มีอยู่ ๕ หมวดดว้ ยกนั คือ ๑. ทฆี นิกาย วา่ ดว้ ยพระสตู ร หรอื พระธรรมเทศนาขนาดยาว มี ๓๔ สตู ร ๒. มชั ฌมิ นิกาย วา่ ดว้ ยพระสตู ร หรอื พระธรรมเทศนาขนาดกลาง ไมย่ าวและไม่ สนั้ เกินไป มี ๑๕๒ สตู ร ๓. สงั ยตุ ตนกิ าย วา่ ดว้ ยพระสตู ร หรอื พระธรรมเทศนา ท่ปี ระมวลธรรมะไวเ้ ป็น พวก ๆ เรยี กวา่ สงั ยตุ เชน่ กสั สปสงั ยตุ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งของพระมหากสั สป โกศลสงั ยตุ วา่
ดว้ ยเร่อื งในแควน้ โกศล มคั คสงั ยตุ วา่ ดว้ ยเรอ่ื งมรรคคอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ เป็นตน้ มี ๗,๗๖๒ สตู ร ๔. องั คตุ ตรนกิ าย วา่ พระพระสตู ร หรอื พระธรรมเทศนาเป็นขอ้ ๆ ตามลาดบั จานวน เช่น ธรรมะหมวด ๑ ธรรมะหมวด ๒ ธรรมะหมวด ๑๐ แตล่ ะขอ้ ก็มจี านวน ธรรมะ ๑, ๒, ๑๐ ตามหมวดนนั้ มี ๙,๕๕๗ สตู ร ๕. ขทุ ทกนิกาย วา่ ดว้ ยพระสตู ร หรอื พระธรรมเทศนาเบด็ เตลด็ รวมทงั้ ภาษิตของ พระสาวก ประวตั ิตา่ ง ๆ และชาดก รวบรวมหวั ขอ้ ธรรมท่ไี มจ่ ดั เขา้ ใน ๔ หมวดขา้ งตน้ แบง่ เป็นหวั ขอ้ ใหญ่มี ๑๕ เร่อื ง พระอภธิ รรมปิ ฎก แบง่ ออกเป็น ๗ เร่อื งดว้ ยกนั คอื ๑. ธมั มสงั คณี วา่ ดว้ ยธรรมะ รวมเป็นหมวดเป็นกลมุ่ ๒. วิภงั ค์ วา่ ดว้ ยธรรมะแยกเป็นขอ้ ๆ ๓. ธาตกุ ถา วา่ ดว้ ยธรรมะจดั ระเบยี บความสาคญั โดยถือธาตเุ ป็นหลกั ๔. ปคุ คลบญั ญตั ิ วา่ ดว้ ยบญั ญตั ิ ๖ ชนิด และแสดงรายละเอียดเฉพาะ บญั ญตั ิอนั เก่ียวกบั บคุ คล ๕. กถาวตั ถุ วา่ ดว้ ยคาถามคาตอบในหลกั ธรรม จานวนหนง่ึ ประมาณ ๒๑๙ หวั ขอ้ เพ่ือถือเป็นหลกั ในการตดั สินพระธรรม ๖. ยมก วา่ ดว้ ยธรรมะท่ีรวมเป็นคู่ ๆ ๗. ปัฏฐาน วา่ ดว้ ยปัจจยั คือส่ิงท่ีเกือ้ กลู สนบั สนนุ ๒๔ อยา่ ง ความเป็ นมาของพระไตรปิ ฎก
๑. พระพทุ ธเจา้ ทรงแนะนาใหร้ อ้ ยกรองพระธรรมวินยั สมยั เม่อื นิครนถ์ นาฎบตุ ร เจา้ ลทั ธิสาคญั คนหน่งึ สิน้ ชีพ พวกสาวกเกิดแตกกนั พระจนุ ทเถระเกรงจะเกิด เหตกุ ารณเ์ ชน่ นนั้ ในพระพทุ ธศาสนา จงึ พรอ้ มกบั พระอานนทไ์ ปเฝา้ พระพทุ ธเจา้ พระองคไ์ ดท้ รงตรสั บอกพระจนุ ทะ ใหร้ วบรวมธรรมภาษิตของพระองค์ และทา สงั คายนา คอื จดั ระเบียบทงั้ โดยอรรถและพยญั ชนะ เพ่ือใหพ้ รหมจรรยต์ งั้ ม่นั ตอ่ ไป ๒. พระสารบี ตุ รแนะนาใหร้ อ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั ในหว้ งเวลาเดียวกนั นนั้ ค่าวนั หนง่ึ เม่ือพระผมู้ ีพระภาคแสดงธรรมจบแลว้ ไดม้ อบหมายใหพ้ ระสารบี ตุ รแสดงธรรม ตอ่ พระสารบี ตุ รไดแ้ นะนาใหร้ วบรวม รอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั โดยจดั หมธู่ รรมะเป็น ขอ้ ๆ ตงั้ แต่ขอ้ ๑ ถึงขอ้ ๑๐ วา่ มธี รรมะใดบา้ งอยใู่ นหมวดนนั้ ๆ พระผมู้ พี ระภาคทรง รบั รองวา่ เป็นเร่อื งท่ีถกู ตอ้ ง เห็นวา่ บรรดาพระภกิ ษุทงั้ หลายยงั ใครจ่ ะฟังธรรมตอ่ ไปอกี พระองคจ์ งึ ไดม้ อบหมายใหพ้ ระสารบี ตุ ร แสดงธรรมแทน พระสารบี ตุ รได้ แนะนาให้ รวบรวมรอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั โดยจดั หมวดหมธู่ รรมะเป็นขอ้ ๆ ตงั้ แต่ขอ้ ๑ ถงึ ขอ้ ๑๐ วา่ มีธรรมะใดบา้ งอยหู่ มวด ๑ หมวด ๒ จนถึงหมวด ๑๐ ซง่ึ พระผมู้ ีพระภาคทรง รบั รองวา่ เป็นเรอ่ื งท่ีถกู ตอ้ ง ๓. พระมหากสั สป เป็นผรู้ เิ รม่ิ ใหม้ ีการสงั คายนา จดั ระเบยี บพระพทุ ธวจนะใหเ้ ป็น หมวดหมู่ ๔. พระอานนท์ เป็นผทู้ ่ที รงจาพระพทุ ธวรนะไวไ้ ดม้ าก เป็นพทุ ธอปุ ฐาก ไดข้ อพร หรอื ขอรบั เง่ือนไขจาก พระพทุ ธเจา้ ๘ ประการ ในเง่อื นไขประการท่ี ๗ และประการท่ี ๘ มสี ว่ นช่วยในการ สงั คายนาพระธรรมวนิ ยั มาก กลา่ วคอื ประการท่ี ๗ ถา้ ความ สงสยั ของขา้ พระองคเ์ กิดขนึ้ เม่ือใด ขอใหไ้ ดเ้ ขา้ เฝา้ ทลู ถามเม่ือนนั้ ประการท่ี ๘ ถา้ พระองคแ์ สดงขอ้ ความอนั ใด ในท่ลี บั หลงั ขา้ พระองค์ ครนั้ เสด็จมาแลว้ จกั ตรสั บอก ขอ้ ความอนั นนั้ แกข่ า้ พระองค์ ทงั้ นีโ้ ดยเฉพาะประการท่ี ๘ อนั เป็นขอ้ สดุ ทา้ ยมเี หตผุ ล
วา่ ถา้ มีใครถามทา่ นในท่ีลบั หลงั พระพทุ ธเจา้ วา่ คาถานี้ สตู รนี้ ชาดกนี้ พระผมู้ ีพระ ภาดแสดงท่ีไหน ถา้ พระอานนทต์ อบไมไ่ ด้ ก็จะมผี กู้ ลา่ วว่า พระอานนทต์ ามเสดจ็ พระ ศาสดาไปดจุ เงาตามตวั แมเ้ พียงเร่อื งเท่านีก้ ็ไมร่ ูด้ งั นนั้ เม่ือพระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พาน แลว้ พระอานนทจ์ งึ ไดร้ บั หนา้ ท่ีตอบคาถามเก่ียวกบั พระธรรม ในคราวสงั คายนาครงั้ แรก หลงั พทุ ธปรนิ ิพพาน ๓ เดือนในสมยั ท่ียงั ไมม่ ีการจดจารกึ เร่อื งราวไว้ เป็น ตวั อกั ษรอยา่ งกวา้ งขวางเชน่ ในปัจจบุ นั มนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งอาศยั ความจาเป็นเครอ่ื งสาคญั ในการบนั ทกึ เรอ่ื งราวนนั้ ๆ ไว้ แลว้ บอกเลา่ ตอ่ ๆ กนั มา การทรงจาและบอกตอ่ ๆ กนั มาดว้ ยปากนี้ เรยี กวา่ มขุ ปาฐะ ๕. พระอบุ าลี เป็นผทู้ ่สี นใจและจดจาพระธรรมพระวนิ ยั ไดเ้ ป็นพเิ ศษ มีความ เช่ียวชาญใน พระวินยั ในการทาสงั คายนาครงั้ แรก พระอบุ าลไี ดร้ บั มอบหมายใหเ้ ป็น ผตู้ อบคาถามเก่ียวกบั พระวินยั ปิฎก ๖. พระโสณกฎุ กิ ณั เป็นผทู้ ่ที รงจาไดด้ ีมาก เคยทอ่ งจาบางสว่ นของ พระ สตุ ตนั ตปิฎก เฉพาะพระพกั ตรข์ องพระพทุ ธเจา้ ไดร้ บั สรรเสรญิ วา่ ทรงจาไดด้ ีมาก รวมทงั้ ท่วงทานองในการกลา่ ว วา่ ไพเราะ สละสลวย แสดงใหเ้ ห็นถงึ การท่องจาพระ ธรรมวินยั ไดม้ ีมา ตงั้ แต่ครงั้ พระพทุ ธเจา้ นอกจากนีย้ งั มียงั มีตาราพุทธศาสนาทแี่ สดงคาสอนเป็ นลาดับ ไดแ้ ก่ ๑.อรรถกถา เป็นตาราอธิบายพระไตรปิฎกซง่ึ แตง่ โดยอาจารย์ ในกาลตอ่ มา ท่ี เรยี กวา่ พระอรรถกถาจารย์ เป็นเนือ้ ความสอนชนั้ ท่ี ๒ รองจากพระไตรปิฎก ๒.ฎกี า เป็นตาราอธิบายขยายความอรรถกถา ซง่ึ แตง่ โดยอาจารยท์ ่ีเรยี กวา่ พระ ฎีกาจารย์ ถือเป็นตาราชนั้ ท่ี ๓
๓.อนฎุ กี า เป็นตาราอธิบายขยายความดีกา หรอื เรอ่ื งเกรด็ ย่อยเบ็ดเตลด็ ซง่ึ เขียน โดยอาจารยท์ ่เี รยี กวา่ พระอนฎุ ีกาจารย์ เป็นตาราชนั้ ท่ี ๔ นอกจากนั้นยังมีเพมิ่ เข้าอกี 5 คัมภรี ์ คอื ๑. มธุ ไดแ้ ก่ คมั ภรี ป์ รบั ปรุงใหมใ่ หม้ รี สหวานปานนาผงึ้ ๒. กนิษฐคนั ถะ ไดแ้ ก่ คมั ภีรน์ วิ้ กอ้ ย ซง่ึ เป็นฎีกาอรรถกถานิว้ กอ้ ย ๓. คณั ฐิ ไดแ้ ก่ คมั ภีรช์ ีเ้ ง่ือนหรอื ปมสาคญั ๔. คนั ถนั ตระ ไดแ้ ก่ คมั ภีรน์ อกสายพระไตรปิฎก ๕. โยชนา ไดแ้ ก่ คมั ภีรแ์ สสสดงการสรา้ งประโยคและแปลความหมายของภาษา บาลี เร่ืองน่ารู้จากพระไตรปิ ฎก พระไตรปิฎกถือไดว้ า่ เป็นตาราหรอื คมั ภรี ส์ าคญั ทางพระพทุ ธศาสนาท่ีทกุ คนควรได้ เรยี นรูด้ ว้ ยไดร้ วบรวมคาสอนหลกั ขององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ไวเ้ ป็นหมวดหมู่ อยา่ งไรก็ดี ปัจจบุ นั ไดม้ ีการถอดความและจดั ทาพระไตรปิฎกออกมาในภาษาท่ีงา่ ย ตอ่ ความเขา้ ใจ รวมทงั้ มคี ดั เลอื กเนือ้ หาสาระบางสว่ นท่นี ่าสนใจมาเผยแพร่ เพ่ือใหผ้ ทู้ ่ี ไมเ่ คยทราบเก่ียวกบั พระไตรปิฎกวา่ กลา่ วถงึ เร่อื งอะไรไวบ้ า้ ง จงึ ขอนาสาระน่ารู้ บางสว่ นท่นี ามาจากพระไตรปิฎก มาเลา่ สกู่ นั ฟังเป็นเรอ่ื ง เร่อื งแรก ทาอยา่ งไรสามี-ภรยิ าจะพบกนั ทกุ ชาติ มีเร่อื งเลา่ วา่ สมยั หนง่ึ เม่ือ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ไปรบั บณิ ฑบาตท่ีบา้ นคฤหบดผี หู้ น่งึ คฤหบดแี ละคฤหปตานี สามี ภรยิ าไดถ้ วายบงั คมและทลู ถงึ ความจรงิ ใจและความซ่อื สตั ยท์ ่ที งั้ สองมตี อ่ กนั ให้ พระพทุ ธเจา้ ทรงทราบ วา่ ตงั้ แตอ่ ยกู่ ินกนั มาทงั้ คไู่ มเ่ คยคดิ นอกใจกนั เลยไมว่ า่ ดว้ ย
กายหรอื ใจและ ทลู ตอ่ วา่ หากทงั้ สองปรารถนาจะพบและเป็นสามี-ภรยิ ากนั อีกในทกุ ชาตจิ ะเป็นไป ไดห้ รอื ไม่ พระพทุ ธเจา้ ตรสั สอนวา่ ถา้ สามภี รยิ าปรารถนาจะพบกนั อีกในภายหนา้ ยอ่ ม เป็นไปได้ หากคนทงั้ สองนนั้ มศี รทั ธาเสมอกนั มีศีลเสมอกนั มีการบรจิ าคเสมอกนั และมปี ัญญาเสมอกนั เช่ือไหมวา่ คาวา่ \"คว่าบาตร\" ก็มปี รากฏในพระไตรปิฎกดว้ ย มีเร่อื งเลา่ วา่ เจา้ ลิจฉวีองคห์ นง่ึ มเี พ่ือนเป็นพระภกิ ษุสองรูปช่ือพระภมุ มชกะและ พระเมตตยิ ะ ถกู พระทงั้ สองใชใ้ หไ้ ปทาอบุ ายใสร่ า้ ยพระทพั พมลั ลบตุ ร ดว้ ยพระสอง รูปคิดวา่ พระภิกษุองคน์ ีก้ ล่นั แกลง้ ตน เจา้ ลจิ ฉวกี ็ไปฟ้องพระพทุ ธเจา้ ใสค่ วามหาวา่ พระองคน์ ีข้ ่มขืนมเหสขี องตวั เม่อื พระพทุ ธเจา้ สอบสวนหาความจรงิ ก็ทราบวา่ เจา้ ลจิ ฉวีโกหก พระพทุ ธองคจ์ งึ ทรงแนะใหส้ งฆท์ งั้ หมดดาเนินการคว่าบาตรเจา้ ลจิ ฉวที นั ที กลา่ วคอื หา้ มสงฆค์ บคา้ สมาคมบคุ คลผนู้ ีอ้ ีกตอ่ ไป เม่ือเจา้ ลิจฉวีไดท้ ราบวา่ ตนถกู คว่าบาตรก็เสียใจจนสลบไป ครนั้ ตอ่ มา ไดม้ าขอเฝา้ พระพทุ ธเจา้ และกราบทลู ขออภยั โทษสานกึ ผิด พระพทุ ธองคก์ ็ ทรงยกโทษให้ ดว้ ยการประชมุ สงฆแ์ ละหงายบาตร อนั ถือเป็นการคืนดกี บั พระสงฆ์ ทงั้ หมดนี้ เป็นเนือ้ หาสาระบางสว่ นท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก ซง่ึ หลายเรอ่ื งเรา อาจจะคาดไมถ่ งึ วา่ พระพทุ ธเจา้ กท็ รงสอนไวด้ ว้ ย เชน่ เหตทุ ่ที าใหส้ ตรสี วยงาม วิธีแก้ งว่ ง การปอ้ งกนั งกู ดั เสนห่ ห์ ญิงเสน่หช์ าย เป็นตน้ บทที่ 9 หลักธรรมและหลักปฏิบตั ทิ างพระพุทธศาสนา หลักธรรมคาสอนของศาสนาพุทธ ศาสนาทกุ ศาสนามหี ลกั ธรรมคาสอนเป็นเครอ่ื งยดึ เหน่ียวจติ ใจของศาสนกิ ชน โดยทกุ ศาสนามี เปา้ หมายเดยี วกนั คอื “มงุ่ ใหท้ กุ คนมธี รรมะ มคี ณุ ธรรม และสอนใหค้ นเป็น
คนดี” ดงั นนั้ ศาสนาแตล่ ะศาสนาจงึ มีหลกั ธรรมคาสอนของตนเอง เป็นแนวทางใน การประพฤติปฏบิ ตั ิ แต่หลกั ธรรมท่ีสาคญั ท่ีสดุ คอื อรยิ สจั ๔ อรยิ สัจ ๔ อรยิ สจั แปลวา่ “ความจรงิ อนั ประเสรฐิ หรอื ความจรงิ ของพระ อรยิ บคุ คล” หมายความวา่ ถา้ ผใู้ ดสามารถรู้ อรยิ สจั ๔ ดว้ ยปัญญา ผนู้ นั้ ก็จะเป็น พระอรยิ บคุ คลและท่ีทาใหเ้ ป็นผปู้ ระเสรฐิ นนั้ ก็เพราะในขณะท่ีรู้ อรยิ สจั ๔ กิเลส ทงั้ หลายก็ถกู ทาลายหายไปจากจิตของผนู้ นั้ ดว้ ย คอื จิตจะมีสภาพใสสะอาด บรสิ ทุ ธิ์ พน้ จากสภาพสามญั ชนกลายเป็นพระอรยิ บคุ คล หรอื เป็นบคุ คลท่ปี ระเสรฐิ อรยิ สจั ดงั กลา่ วนี้ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงเป็นผคู้ น้ พบหรอื ไดต้ รสั รูเ้ ป็นบคุ คลแรกในโลกจงึ ทาให้ พระองคก์ ลายเป็นพระพทุ ธเจา้ หรอื เป็นบคุ คลผปู้ ระเสรฐิ กวา่ เทวดาและมนษุ ย์ ทงั้ หลาย อรยิ สจั ๔ จดั เป็นหมวดธรรมท่ีสาคญั มากของพระพทุ ธศาสนา เพราะเป็นท่ี สรุปรวมของพระธรรมคาส่งั สอนทงั้ หมด หมายความวา่ พระธรรมคาส่งั สอนของพระ พทุ ธองคใ์ นพระไตรปิฎกทงั้ ๓ คอื พระวินยั ปิฎก พระสตุ ตนั ตปิฎก และพระอภิธรรม ปิฎกนนั้ ก็จะสรุปรวมลงในอรยิ สจั ๔ ทงั้ สนิ้ ทุกข์ (ธรรมทคี่ วรรู้เทา่ นั้น) ทุกข์ คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยทกุ ข์ คนทกุ คนตา่ งก็เคยพบกบั ความทกุ ข์ หรอื ประสบ ปัญหาบางอย่างมาแลว้ ทงั้ นนั้ เชน่ นกั เรยี นท่ีสอบตกก็เป็นทกุ ข์ เศรษฐีท่หี าเงนิ ไดย้ งั ไมม่ ากพอตามท่ตี นตอ้ งการก็เป็นทกุ ข์ คนจนก็เป็นทกุ ข์ เพราะไมม่ ีสงิ่ ท่ีตนตอ้ งการ ซง่ึ ความทกุ ขแ์ ละปัญหาท่เี กิดขนึ้ นนั้ อาจมไี ดท้ กุ ขณะ ความจรงิ ก็คอื วา่ ความทกุ ขห์ รอื ปัญหาท่ีเกิดขนึ้ นนั้ เราจะตอ้ งไมป่ ระมาท และพรอ้ มท่จี ะเผชิญกบั ปัญหาทกุ เรอ่ื ง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187