Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

Published by panyaponphrandkaew2545, 2021-08-22 09:15:46

Description: ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ไทย

Search

Read the Text Version

หน่วยที่ 1 ระบบสารสนเทศทางภูมศิ าสตร์ ความหมายของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ความหมายของคําว่า \"ระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ ( Geographic Information System ) GIS\" ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการทาํ งานเกี่ยวกบั ขอ้ มูล ในเชิงพ้นื ที่ดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ ท่ีใชก้ าํ หนดขอ้ มูลและ สารสนเทศ ที่มีความสมั พนั ธก์ บั ตาํ แหน่งในเชิงพ้นื ที่ เช่น ที่อยู่ บา้ นเลขท่ี สัมพนั ธก์ บั ตาํ แหน่งในแผนที่ ตาํ แหน่ง เสน้ รุ้ง เส้น แวง ขอ้ มูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบขอ้ มูลสารสนเทศท่ีอยู่ ในรูปของตารางขอ้ มลู และฐานขอ้ มูลท่ีมีส่วนสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู เชิงพ้นื ที่ (Spatial Data) ซ่ึงรูปแบบและความสัมพนั ธข์ อง ขอ้ มลู เชิงพ้ืนที่ท้งั หลาย จะสามารถนาํ มาวิเคราะห์ดว้ ย GIS และทาํ ใหส้ ่ือความหมายในเร่ืองการเปลี่ยนแปลงที่สัมพนั ธ์กบั เวลาได้ เช่น การแพร่ขยายของโรคระบาด การเคล่ือนยา้ ย ถ่ิน ฐาน การบุกรุกทาํ ลาย การเปลี่ยนแปลงของการใชพ้ ้นื ที่ ฯลฯ ขอ้ มูลเหล่าน้ี เม่ือปรากฏบนแผนที่ทาํ ใหส้ ามารถแปลและสื่อ ความหมาย ใชง้ านไดง้ า่ ย GIS เป็นระบบขอ้ มลู ข่าวสารที่เก็บไวใ้ นคอมพวิ เตอร์ แตส่ ามารถแปลความหมายเชื่อมโยงกบั สภาพภูมิศาสตร์ อ่ืนๆ สภาพทอ้ งที่ สภาพการทาํ งานของระบบสัมพนั ธก์ บั สดั ส่วนระยะทางและพ้นื ที่จริงบนแผนท่ี ขอ้ แตกตา่ ง ระหวา่ ง GIS กบั MIS น้นั สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากลกั ษณะของขอ้ มูล คือ ขอ้ มูลท่ีจดั เกบ็ ใน GIS มีลกั ษณะเป็น ขอ้ มูลเชิงพ้ืนท่ี (Spatial Data) ท่ีแสดงในรูปของภาพ (graphic) แผนท่ี (map) ที่เชื่อมโยงกบั ขอ้ มูลเชิงบรรยาย (Attribute Data) หรือฐานขอ้ มูล (Database)การเชื่อมโยงขอ้ มูลท้งั สองประเภทเขา้ ดว้ ยกนั จะทาํ ใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถท่ี จะแสดงขอ้ มลู ท้งั สองประเภทไดพ้ ร้อมๆ กนั เช่นสามารถจะคน้ หาตาํ แหน่งของจุดตรวจวดั ควนั ดาํ - ควนั ขาวได้ โดยการระบชุ ่ือจุดตรวจ หรือในทางตรงกนั ขา้ ม สามารถท่ีจะสอบถามรายละเอียดของ จุดตรวจจากตาํ แหน่งที่ เลือกข้ึนมา ซ่ึงจะตา่ งจาก MIS ท่ีแสดง ภาพเพยี งอยา่ งเดียว โดยจะขาดการเช่ือมโยงกบั ฐานขอ้ มลู ที่เช่ือมโยงกบั รูปภาพน้นั เช่นใน CAD (Computer Aid Design) จะเป็นภาพเพยี งอยา่ งเดียว แต่แผนท่ีใน GIS จะมีความสมั พนั ธ์ กบั ตาํ แหน่งในเชิงพ้นื ท่ีทางภูมิศาสตร์ คือคา่ พกิ ดั ท่ีแน่นอน ขอ้ มูลใน GIS ท้งั ขอ้ มลู เชิงพ้ืนที่และขอ้ มูลเชิงบรรยาย สามารถอา้ งอิงถึงตาํ แหน่งท่ีมีอยจู่ ริงบนพ้นื โลกไดโ้ ดยอาศยั ระบบพกิ ดั ทางภูมิศาสตร์ (Geocode) ซ่ึงจะสามารถ

อา้ งอิงไดท้ ้งั ทางตรงและทางออ้ ม ขอ้ มลู ใน GIS ท่ีอา้ งอิงกบั พ้นื ผวิ โลกโดยตรง หมายถึง ขอ้ มูลท่ีมีคา่ พิกดั หรือมี ตาํ แหน่งจริงบนพ้นื โลกหรือในแผนที่ เช่น ตาํ แหน่งอาคาร ถนน ฯลฯ สาํ หรับขอ้ มูล GIS ท่ีจะอา้ งอิงกบั ขอ้ มูลบน พ้นื โลกไดโ้ ดยทางออ้ มไดแ้ ก่ ขอ้ มลู ของบา้ น(รวมถึงบา้ นเลขที่ ซอย เขต แขวง จงั หวดั และรหสั ไปรษณีย)์ โดย จากขอ้ มูลที่อยู่ เราสามารถทราบไดว้ า่ บา้ นหลงั น้ีมีตาํ แหน่งอยู่ ณ ที่ใดบนพ้นื โลก เน่ืองจากบา้ นทุกหลงั จะมีที่อยู่ ไม่ซ้าํ กนั องค์ประกอบของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ องค์ประกอบของ GIS ( Components of GIS ) องคป์ ระกอบหลกั ของระบบ GIS จดั แบง่ ออกเป็น 5 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (Hardware) โปรแกรม (Software) ข้นั ตอนการทาํ งาน (Methods) ขอ้ มลู (Data) และบคุ ลากร (People) โดยมีรายละเอียดของแต่ ละองคป์ ระกอบดงั ต่อไปน้ี 1. อปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ คือ เคร่ืองคอมพิวเตอร์รวมไปถึงอปุ กรณ์ตอ่ พว่ งตา่ ง ๆ เช่น Digitizer, Scanner, Plotter, Printer หรืออื่น ๆ เพ่อื ใชใ้ นการนาํ เขา้ ขอ้ มูล ประมวลผล แสดงผล และผลิตผลลพั ธ์ของการทาํ งาน 2. โปรแกรม คือชุดของคาํ ส่งั สาํ เร็จรูป เช่น โปรแกรม Arc/Info, MapInfo ฯลฯ ซ่ึงประกอบดว้ ยฟังกช์ นั่ การทาํ งานและ เคร่ืองมือที่จาํ เป็นตา่ ง ๆ สาํ หรับนาํ เขา้ และปรับแต่งขอ้ มลู , จดั การระบบฐานขอ้ มลู , เรียกคน้ , วเิ คราะห์ และ จาํ ลอง ภาพ 3. ข้อมูล คือขอ้ มูลต่าง ๆ ท่ีจะใชใ้ นระบบ GIS และถูกจดั เก็บในรูปแบบของฐานขอ้ มลู โดยไดร้ ับการดูแล จากระบบ จดั การฐานขอ้ มลู หรือ DBMS ขอ้ มลู จะเป็นองคป์ ระกอบท่ีสาํ คญั รองลงมาจากบุคลากร 4. บุคลากร

คือ ผปู้ ฏิบตั ิงานซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกบั ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เช่น ผนู้ าํ เขา้ ขอ้ มูล ช่างเทคนิค ผดู้ ูแลระบบ ฐานขอ้ มูล ผเู้ ชี่ยวชาญสาํ หรับวิเคราะหข์ อ้ มูล ผบู้ ริหารซ่ึงตอ้ งใชข้ อ้ มูลในการตดั สินใจ บุคลากรจะเป็ น องคป์ ระกอบที่สาํ คญั ที่สุดในระบบ GIS เนื่องจากถา้ ขาดบุคลากร ขอ้ มลู ท่ีมีอยมู่ ากมายมหาศาลน้นั ก็จะเป็นเพยี ง ขยะไม่มีคุณคา่ ใดเลยเพราะไม่ไดถ้ กู นาํ ไปใชง้ าน อาจจะกลา่ วไดว้ า่ ถา้ ขาดบุคลากรก็จะไมม่ ีระบบ GIS 5. วธิ ีการหรือข้นั ตอนการทํางาน คือวธิ ีการท่ีองคก์ รน้นั ๆ นาํ เอาระบบ GIS ไปใชง้ านโดยแต่ละ ระบบแต่ละองคก์ รยอ่ มีความแตกตา่ งกนั ออกไป ฉะน้นั ผปู้ ฏิบตั ิงานตอ้ งเลือกวิธีการในการจดั การกบั ปัญหาท่ีเหมาะสมที่สุดสาํ หรับของหน่วยงานน้นั ๆ เอง กระบวนการทาํ งานของระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ หน้าทขี่ อง GIS ( How GIS Works ) ภาระหนา้ ท่ีหลกั ๆ ของระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ควรจะมีอยดู่ ว้ ยกนั 5 อยา่ งดงั น้ี 1. การนาํ เข้าข้อมูล (Input) ก่อนท่ีขอ้ มลู ทางภมู ิศาสตร์จะถูกใชง้ านไดใ้ นระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ ขอ้ มลู จะตอ้ งไดร้ ับการแปลง ใหม้ า อยใู่ นรูปแบบของขอ้ มลู เชิงตวั เลข (digital format) เสียก่อน เช่น จากแผนท่ีกระดาษไปสู่ขอ้ มูลใน รูปแบบ ดิจิตอลหรือแฟ้มขอ้ มูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์อปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นการนาํ เขา้ เช่น Digitizer Scanner หรือ Keyboard เป็ นตน้ 2. การปรับแต่งข้อมูล (Manipulation)

ขอ้ มลู ที่ไดร้ ับเขา้ สู่ระบบบางอยา่ งจาํ เป็นตอ้ งไดร้ ับการปรับแตง่ ใหเ้ หมาะสมกบั งาน เช่น ขอ้ มูลบางอยา่ งมี ขนาด หรือสเกล (scale) ที่แตกตา่ งกนั หรือใชร้ ะบบพิกดั แผนท่ีที่แตกตา่ งกนั ขอ้ มูลเหลา่ น้ีจะตอ้ งไดร้ ับการปรับ ใหอ้ ยใู่ น ระดบั เดียวกนั เสียก่อน 3. การบริหารข้อมูล (Management) ระบบจดั การฐานขอ้ มลู หรือ DBMS จะถูกนาํ มาใชใ้ นการบริหารขอ้ มลู เพ่อื การทาํ งานท่ีมีประสิทธิภาพใน ระบบ GIS DBMS ที่ไดร้ ับการเช่ือถือและนิยมใชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางท่ีสุดคือ DBMS แบบ Relational หรือระบบ จดั การฐานขอ้ มูลแบบสมั พทั ธ์ (DBMS) ซ่ึงมีหลกั การทาํ งานพ้นื ฐานดงั น้ีคือ ขอ้ มูลจะถกู จดั เก็บ ในรูปของตาราง หลาย ๆ ตาราง 4. การเรียกค้นและวิเคราะห์ข้อมูล (Query and Analysis) เม่ือระบบ GIS มีความพร้อมในเร่ืองของขอ้ มลู แลว้ ข้นั ตอนตอ่ ไป คือ การนาํ ขอ้ มูลเหล่านี่มาใชใ้ หเ้ กิด ประโยชน์ เช่น  ใครคือเจา้ ของกรรมสิทธ์ิในที่ดินผืนที่ติดกบั โรงเรียน ?  เมืองสองเมืองน้ีมีระยะห่างกนั ก่ีกิโลเมตร ?  ดินชนิดใดบา้ งท่ีเหมาะสาํ หรับปลูกออ้ ย ? หรือ ตอ้ งมีการสอบถามอยา่ งงา่ ย ๆ เช่น ช้ีเมาส์ไปในบริเวณท่ีตอ้ งการแลว้ เลือก (point and click) เพอื่ สอบถามหรือเรียกคน้ ขอ้ มลู นอกจากน้ีระบบ GIS ยงั มีเครื่องมือในการวิเคราะห์ เช่น การวิเคราะห์เชิง ประมาณค่า (Proximity หรือ Buffer) การวเิ คราะห์เชิงซอ้ น (Overlay Analysis) เป็นตน้ หรือ ตอ้ งมีการ สอบถามอยา่ งงา่ ย ๆ เช่น ช้ีเมาส์ไปในบริเวณที่ตอ้ งการแลว้ เลือก (point and click) เพ่อื สอบถามหรือเรียกคน้

ขอ้ มูล นอกจากน้ีระบบ GIS ยงั มีเคร่ืองมือในการวิเคราะห์ เช่น การวเิ คราะหเ์ ชิงประมาณคา่ (Proximity หรือ Buffer) การวิเคราะหเ์ ชิงซอ้ น (Overlay Analysis) เป็นตน้ 5. การนาํ เสนอข้อมูล (Visualization) จากการดาํ เนินการเรียกคน้ และวิเคราะห์ขอ้ มูล ผลลพั ธ์ที่ไดจ้ ะอยใู่ นรูปของตวั เลขหรือตวั อกั ษร ซ่ึงยากตอ่ การตีความหมายหรือทาํ ความเขา้ ใจ การนาํ เสนอขอ้ มูลท่ีดี เช่น การแสดงชาร์ต (chart) แบบ 2 มิติ หรือ 3 มิติ รูปภาพจากสถานท่ีจริง ภาพเคล่ือนไหว แผนท่ี หรือแมก้ ระท้งั ระบบมลั ติมีเดียส่ือตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีจะทาํ ใหผ้ ใู้ ช้ เขา้ ใจความหมายและมองภาพของผลลพั ธ์ที่กาํ ลงั นาํ เสนอไดด้ ียง่ิ ข้ึน อีก ท้งั เป็นการดึงดูดความสนใจของผฟู้ ัง อีกดว้ ย ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์อย่างง่าย เทคนิคและวธิ ีการนาํ เข้าข้อมูล การนาํ เขา้ ขอ้ มูล (Input data) เป็นกระบวนการบนั ทึกขอ้ มลู เขา้ สู่คอมพวิ เตอร์ การสร้างฐานขอ้ มลู ท่ีละเอียด ถูกตอ้ ง เป็นสิ่งสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ในการปฏิบตั ิงานดว้ ยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ซ่ึงจาํ เป็นตอ้ งมีการประเมินคุณภาพ ขอ้ มูล ท่ีจะนาํ เขา้ สู่ระบบในเร่ืองแหล่งที่มาของขอ้ มลู วธิ ีการสาํ รวจขอ้ มูลมาตราส่วนของแผนที่ ความถูกตอ้ ง ความละเอียด พ้นื ที่ที่ขอ้ มูลครอบคลุมถึงและปี ท่ีจดั ทาํ ขอ้ มูล เพอ่ื ประเมินคุณภาพ และคกั เลือกขอ้ มลู ท่ีจะนาํ เขา้ สู่ ระบบฐานขอ้ มลู

การนาํ เขา้ ขอ้ มูลเชิงพ้ืนท่ี สาํ หรับข้นั ตอนการนาํ เขา้ ขอ้ มูลเชิงพ้นื ท่ีอายทาํ ไดห้ ลายวธิ ี แต่ที่นิยมทาํ กนั ในปัจจุบนั ไดแ้ ก่ การดิจิไทซ์ (Digitize) และการกวาดตรวจ (Scan) ซ่ึงท้งั 2 วธิ ีต่างกม็ ีขอ้ ดี และขอ้ ดอ้ ยต่างกนั ไปกล่าวคือการนาํ เขา้ ขอ้ มลู โดยวิธี กวาดตรวจจะมีความรวดเร็วและ ถกู ตอ้ งมากกวา่ วธิ ีการเขา้ ขอ้ มูลแผนท่ีโดยโต๊ะดิจิไทซ์และเหมาะสาํ หรับงานท่ีมี ปริมาณมาก แตก่ ารนาํ เขา้ ขอ้ มูลโดยการดิจิไทซจ์ ะส้ินเปลืองค่าใชจ้ ่ายนอ้ ยกวา่ และเหมาะสาํ หรับงานที่มีปริมาณ นอ้ ย การใชเ้ ครื่องอา่ นพกิ ดั (Digitizer) เป็นการแปลงขอ้ มูลเขา้ สู่ระบบโดยนาํ แผนที่มาตรึงบนโตะ๊ และกาํ หนด จุดอา้ งอิง (control point) อยา่ งนอ้ ยจาํ นวน 4 จุด แลว้ นาํ ตวั ช้ีตาํ แหน่ง (Cursor) ลากไปตามเสน้ ของรายละเอียดบน แผนที่ การใชเ้ คร่ืองกวาดภาพ (Scanner) เป็นเครื่องมือที่วดั ความเขม้ ของแสงที่สะทอ้ นจากลายเสน้ บนแผนท่ี ผลลพั ธ์ เป็นขอ้ มูลในรูปแบบแรสเตอร์ (raster format) ซ่ึงเก็บขอ้ มูลในรูปของตารางกริดส่ีเหลี่ยม (pixel) ค่าความคมชดั หรือความละเอียดมีหน่วยวดั เป็น DPI : dot per inch แลว้ ทาํ การแปลงขอ้ มูลแรสเตอร์ เป็นขอ้ มลู เวกเตอร์ ที่เรียกวา่ Raster to Vecter conversion ดว้ ยโปรแกรม GEOVEC for Microstation หรือ R2V การนาํ เขา้ ขอ้ มลู เชิงบรรยาย ขอ้ มลู เชิงบรรยายท่ีจาํ แนกและจดั หมวดหม่แู ลว้ นาํ เขา้ สู่ระบบฐานขอ้ มูลดว้ ยแป้นพมิ พ์ (Keyboard) สาํ หรับ โปรแกรม PC ARC/Info จะจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในรูปแบบของ dBASE ดว้ ยคาํ สัง่ Tables ส่วนโปรแกรมจดั การ ฐานขอ้ มูลแบบ Relational data base ทวั่ ๆ ไปบนเครื่อง PC เช่น Foxpro, Access หรือ Excel จาํ เป็นตอ้ งแปลง ขอ้ มลู ใหเ้ ขา้ อยใู่ นรูปของ DBF file ก่อนการนาํ เขา้ สู่ PC ARC/Info ประโยชน์ของระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์ ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เป็นเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ที่มีประโยชน์อยา่ งยงิ่ ต่อ การจดั เกบ็ ระบบขอ้ มูลซ่ึง มีอยมู่ ากมายในปัจจุบนั ไดม้ ีการพฒั นาท้งั ดา้ นฮาร์ดแวร์และซอฟตแ์ วร์ ทาํ ใหใ้ นปัจจุบนั ไดม้ ากกวา่ การนาํ GIS มา ใชง้ านกนั อยา่ งแพร่หลาย ท้งั หน่วยงานของภาครัฐและเอกชน การใชง้ านระบบสารสนเทศจะมีประโยชน์มากในการศึกษาวิชาภมู ิศาสตร์ ถา้ รู้จกั การใชง้ าน การใชง้ านระบบ สารสนเทศภมู ิศาสตร์จะตอ้ งมีเป้าหมายชดั เจน รู้จกั คดั เลือกขอ้ มลู มาวิเคราะห์ การใชง้ านจะตอ้ งวางแผนในการ กาํ หนดคุณภาพ มาตราฐานส่วนของขอ้ มูลและท่ีสาํ คญั คือ ความสามารถในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลนาํ ไปใชป้ ระโยชน์

ในการปรับปรุงขอ้ มูลให้ทนั สมยั ตลอดเวลา การบูรณาการขอ้ มลู หลายรูปแบบเขา้ ดว้ ยกนั และสามารถสร้าง แบบจาํ ลองทดสอบเปรียบเทียบขอ้ มลู ก่อนท่ีมีการลงมือปฏิบตั ิจริง การใชร้ ะบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ 1. ดา้ นการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การกาํ หนดพ้นื ท่ีป่ าไม้ แหลง่ น้าํ ท้งั บนผวิ ดินและใตด้ ิน ธรณีวทิ ยาหิน และแร่ ชายฝ่ังทะเลและภมู ิอากาศ 2. ดา้ นการจดั การทรัพยากรเกษตร เช่น การแบ่งช้นั คุณภาพพ้นื ท่ีเกษตร ดินเคม็ และดินปัญหาอ่ืน ความเหมาะสม ของพืชในแต่ละพ้นื ที่ การจดั ระบบน้าํ ชลประทาน การจดั การดา้ นธาตุอาหารพชื 3. ดา้ นการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม เช่น การแพร่กระจายของฝ่ นุ และกา๊ ซ การกาํ หนดจุดเกบ็ ตวั อยา่ งจาก โรงงาน การ ป้องกนั ความเสียหายของโบราณสถานหรือสถานท่ีท่องเท่ียว การป้องกนั ไฟไหมป้ ่ า เป็นตน้ 4. ดา้ นสังคม เช่น ความหนาแน่นของประชากร เพศ อายุ การศึกษา แรงงาน ตาํ แหน่งของโรงเรียนและการเดินทาง ของนกั เรียน เป็นตน้ 5. ดา้ นเศรษฐกิจ เช่น รายไดข้ องประชากรหม่บู า้ น ตาํ บล สินคา้ หลกั ตาํ แหน่งที่ต้งั ของโรงงานประเภทต่างๆ เป็น ตน้ หน่วยท่ี 2 ภมู ิศาสตร์ประเทศไทย การแบ่งเขตหรือภาคในทางภูมิศาสตร์ ทาํ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจและสามารถศึกษาขอ้ เทจ็ จริงของแต่ละภูมิภาคได้ ชดั เจนยง่ิ ข้ึน และรู้จกั สภาพแวดลอ้ มของแตล่ ะภาค รวมท้งั ปัญหาของแตล่ ะทอ้ งถ่ิน เพ่ือวางแผนและพฒั นาหรือ แกไ้ ขปัญหาในภาคต่างๆน้นั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยง่ิ ข้ึน ความเป็ นมาของการแบ่งภาคภูมิศาสตร์ของไทย ประเทศไทยมีพ้นื ท่ีประมาณ 513,115.06 ตารางกิโลเมตร มีขนาดใหญเ่ ป็นอนั ดบั 3ในเอเชียตะวนั ออก เฉียงใตร้ องจากประเทศอินโดนีเชียและพมา่ เดิมไดแ้ บง่ ภมู ิภาคของประเทศไทยออกเป็น4 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาค กลาง ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ แตป่ ัจจุบนั ไดแ้ บ่งออกเป็น 6ภาค ไดแ้ ก่ 1. ภาคเหนือ 2. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 3. ภาคตะวนั ตก 4. ภาคกลาง

5. ภาคตะวนั ออก 6. ภาคใต้ ลกั ษณะของประเทศไทย ประเทศไทยมีความยาววดั จากอาํ เภอแมส่ าย จงั หวดั เชียงรายถึงอาํ เภอเบตง จงั หวดั ยะลา มีความยาว ประมาณ 1,620 กิโลเมตร ส่วนท่ีกวา้ งที่สุดของประเทศวดั จากด่านเจดียส์ ามองค์ อาํ เภอสังขระ จงั หวดั กาญจนบุรี ถึงตาํ บลช่องเมก็ อาํ เภอพิบุลมงั สาหาร จงั หวดั อุบลราชธานี มีความยาวประมาณ 750กิโลเมตรส่วนที่แคบสุดวดั จากตาํ บลคลองวาฬ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ มีความยาวประมาณ10.6 กิโลเมตร อาณาเขตของประเทศไทย ทิศเหนือ ติดต่อกบั ประเทศพม่าและลาว มีทิวเขาแดนลาวและแม่น้าํ โขงเป็นพรมแดนธรรมชาติ ทิศตะวนั ออก ติดตอ่ กบั ประเทศลาวและกมั พูชา มีทิวเขาหลวงพระบาง พนมดงรัก และทิวเขาบรรทดั และแมน่ ้าํ โขงเป็ นพรมแดนธรรมชาติ ทิศตะวนั ตก ติดต่อกบั ประเทศพม่า มีทิวเขาถนนธงชยั ทิวเขาตะนาวศรี แมน่ ้าํ สาละวนิ แมน่ ้าํ เมย และแม่น้าํ ปาก จน่ั เป็นพรมแดนธรรมชาติ ทิศใต้ ติดต่อกบั อ่าวไทยและประเทศมาเลเซีย มีแม่น้าํ โกลก และทิวเขาสนั กาลาคีรีเป็นพรมแดนธรรมชาติ ลกั ษณะภูมิประเทศของประเทศไทย 1. เขตภเู ขาและหุบเขาภาคเหนือ ลกั ษณะภูมิประเทศส่วนใหญเ่ ป็นเทือกเขา แนวเทือกเขาทอดตวั ยาวในแนวเหนือ-ใต้ เทือกเขาที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ เทือกเขาแดนลาว เทือกเขาถนนธงชยั เทือกเขาผีปันน้าํ เทือกเขาหลวงพระบาง และมีท่ี ราบหุบเขาลกั ษณะแคบ ๆ อยรู่ ะหวา่ งแนวเทือกเขาเป็นบริเวณท่ีมีแมน่ ้าํ ไหลผา่ นมีดินตะกอนอดุ มสมบูรณ์เหมาะ แก่การเพาะปลูก 2. เขตที่ราบลมุ่ ภาคกลาง ลกั ษณะภูมิประเทศส่วนใหญเ่ ป็นท่ีราบล่มุ แม่น้าํ แบง่ เป็น 2 ส่วน คือที่ราบตอนบนต้งั แตจ่ งั หวดั นครสวรรค์ ข้ึนไป จะเป็นที่ราบลุ่มแม่น้าํ และที่ราบลกู ฟูก มีภเู ขประปราย -ที่ราบตอนล่างต้งั แต่นครสวรรคล์ งมาถึงอา่ วไทย เป็นที่ราบดินดอนสามเหล่ียม มีลกั ษณะดินเป็นตะกอนน้าํ พา 3. เขตเทือกเขาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ลกั ษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบสูง รูปร่างคลา้ ยกระทะหงาย มีขอบทางดา้ นตะวนั ตกและดา้ นใต้

ลาดลงทางดา้ นตะวนั ออก เทือกเขาที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ เทือกเขาเพชรบรู ณ์ เทือกเขาดงพญาเยน็ เทือกเขาสันกาํ แพง เทือกเขาภูพาน บริเวณตอนกลางของภาคเป็นแอ่ง เรียกวา่ แอง่ โคราช 4. เขตภเู ขาและท่ีราบภาคตะวนั ออก ลกั ษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบลูกฟูกสลบั กบั ภเู ขาและมีที่ราบชายฝ่ังทะเล มีแม่น้าํ สายส้นั ๆ 5. เขตเทือกเขาภาคตะวนั ตก ลกั ษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภเู ขาและหุบเขาท่ีทอดตวั ในแนวเหนือ-ใต้ มีพ้ืนที่ราบแคบ ๆ เทือกเขาท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ เทือกเขาตะนาวศรี เทือกเขาถนนธงชยั ที่ทอดตวั ยาวต่อเนื่องลงมา 6. เขตคาบสมทุ รภาคใต้ ลกั ษณะภูมิประเทศเป็นคาบสมุทรยนื่ ลงไปในทะเล ขนาบดว้ ยทะเลท้งั 2 ดา้ น มีภูเขาทอดตวั แนวเหนือ-ใต้ มีแมน่ ้าํ สายส้นั ๆและมีที่ราบชายฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ออกกวา้ งกวา่ ท่ีราบชายฝ่ังทะเลดา้ นตะวนั ตก จงั หวดั ทม่ี ีพรมแดนติดต่อกบั ประเทศเพ่ือนบ้าน 1. พรมแดนไทย-ลาว ติดตอ่ กบั ภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ไดแ้ ก่ จงั หวดั เชียงราย น่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก อาํ นาจเจริญ เลย หนองคาย นครพนม มุกดาหาร และอุบลราชธานี 2. พรมแดนไทย-กมั พูชา ติดต่อกบั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคตะวนั ออก ไดแ้ ก่จงั หวดั บรุ ีรัมย์ สุรินทร์ ศรี สะเกษ อบุ ลราชธานี สระแกว้ จนั ทบุรี ตราด 3. พรมแดนไทย-พม่า ติดต่อกบั ภาคเหนือ ภาคตะวนั ตก และภาคใต้ ไดแ้ ก่จงั หวดั เชียงใหม่ แมฮ่ ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบรุ ี เพชรบุรี ประจวบคีรีขนั ธ์ ชุมพร และระนอง 4. พรมแดนไทย-มาเลเซีย ติดต่อกบั ภาคใต้ ไดแ้ ก่จงั หวดั สตูล สงขลา ยะลา นราธิวาส ภูมปิ ระเทศของประเทศไทย ประเทศไทยมลี กั ษณะภูมิประเทศเด่น 3 ลกั ษณะ ดังนี้

รูปที่ 1-2-1 แผนที่แสดงบริเวณส่วนต่างๆของประเทศไทย 1.1 เขตทวิ เขาภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ เนื่องจากภาคเหนือ ภาคตะวนั ตก และภาคใตม้ ีแนวทิวเขา ยาวตอ่ เนื่องกนั ตลอด โดยทิวเขาเหล่าน้ีตอ่ เนื่องมาจากทิวเขาหิมาลยั ท่ีโคง้ ลงมาทางใต้ ผา่ นประเทศ จีน พม่า ไทย และมาเลเซีย ตามลาํ ดบั ไดแ้ ก่ ทิวเขาแดนลาว ทิวเขาถนนธงชยั ทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขา ภูเก็ต ทิวเขานครศรีธรรมราช และทิวเขาสันกาลาคีรี นอกจากน้ียงั มีทิวเขาบริเวณส่วนอื่นๆของประเทศ ไทย ไดแ้ ก่ ทิวเขาหลวงพระบาง ทิวเขาผีปันน้าํ ทิวเขาเพชรบรู ณ์ ทิวเขาภพู าน ทิวเขาสนั กาํ แพง ทิวเขาพนม ดงรัก และทิวเขาบรรทดั 1.2 เขตที่ราบสูงภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงเรียกกนั วา่ ที่ราบสูงโคราช มลี กั ษณะเป็นขอบสูง ชนั 2 ดา้ น คือ ขอบทางดา้ นตะวนั ตก เป็นแนวเทือกเขาเพชรบรู ณ์ ซ่ึงยกตวั สูงข้ึนไปจากท่ีราบภาค กลาง และขอบทางด่านทิศใต้ ซ่ึงติดกบั ที่ราบของราชอาณาจกั รกมั พชู า เป็นแนวเทือกเขาสันกาํ แพงและพนมดง รัก 1.3 เขตทร่ี าบภาคกลาง เป็นท่ีราบดินตะกอนที่กวา้ งขวางที่สุดในประเทศไทย มีแมน่ ้าํ เจา้ พระยาและสาขา และ แมน่ ้าํ อ่ืนๆไหลผา่ น ส่วนท่ีราบอ่ืนๆที่สาํ คญั เช่น ในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือมีที่ราบล่มุ แมน่ ้าํ มลู และแม่น้าํ ชี ในภาคเหนือมีท่ีราบลุ่มแมน่ ้าํ ระหวา่ งภเู ขา เป็นตน้ ส่วนทางภาคตะวนั ออกและภาคใต้ มีลกั ษณะเป็นที่ราบ ชายฝ่ังทะเล ลกั ษณะภูมอิ ากาศ

ประเทศไทยมีภูมิอากาศแตกตา่ งกนั เลก็ นอ้ ย จดั เป็นภมู ิอากาศแบบร้อนช้ืน (Tropical rainy climates) ซ่ึงแบง่ ออกเป็น 3 ชนิด รูปที่ 1-2-3-1 แสดงฤดูการต่างๆ 1. อากาศแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูหรืออากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน (Savanna climate) ไดแ้ ก่ บริเวณต้งั แต่ อาํ เภอหวั หิน จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ เป็นพ้นื ที่ที่มีฝนตกเฉพาะในฤดูฝน และแลง้ ในฤดูหนาวและฤดูร้อน ดงั น้นั ลกั ษณะพืชพรรณธรรมชาติส่วนใหญ่จึงเป็นทุ่งหญา้ และป่ าโปร่ง ประเภทป่ าผลดั ใบ เช่น ท่งุ หญา้ และป่ าแดงหรือ ป่ าเตง็ รัง ในภาตะวนั ออกเฉียงเหนือและบริเวณท่ีราบภาคกลาง ซ่ึงปัจจุบนั ถูกดดั แปลงเป็นท่ีนา แลเป็นที่ต้งั บา้ นเรือนเกือบหมดแลว้ รูปที่ 1-2-3-2 อากาศแบบฝนเมืองร้อนเฉพาะฤดูหรืออากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน 2. อากาศแบบฝนเมืองร้อนตลอดปี หรืออากาศแบบป่ าดบิ (Tropical rainy forest) ไดแ้ ก่ บริเวณชายฝั่ง ตะวนั ออกของคาบสมทุ รภาคใต้ ต้งั แต่จงั หวดั ชุมพรลงไป จะมีฝนตกหนกั ตลอดปี ประมาณ 2,000 – 2,500 มิลลิเมตรตอ่ ปี ลกั ษณะพชื พรรณจึงเป็นป่ าไมเ้ ขียวชอุม่ ท้งั ปี จึงเรียกว่าป่ าดิบ 3. อากาศแบบฝนเมืองร้อนเกือบตลอดปี หรืออากาศแบบมรสุมเมืองร้อน (Tropical monsoon- climates) ไดแ้ ก่ บริเวณทางตะวนั ตกของคาบสมทุ รภาคใต้ และทางตะวนั ออกเฉียงใตข้ องอา่ วไทย จะไดร้ ับฝน

มากจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใตท้ ่ีพดั ผา่ น และมีช่วงที่ฝนนอ้ ยอยู่ 1 เดือนหรือ 2 เดือน ฉะน้นั จึงไม่จดั เป็นฝนตก ตลอดปี ลกั ษณะพชื พรรณเป็นป่ าดิบเช่นเดียวกบั ฝั่งตะวนั ออก รูปท่ี 1-2-3-3 อากาศแบบฝนเมืองร้อนเกือบตลอดปี หรืออากาศแบบมรสุมเมืองร้อน ภูมิอากาศประเทศไทยได้รับอทิ ธิพลหรือมปี ัจจัยสําคญั จากระบบลมมรสุม กล่าวคือ ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ พดั จากแผน่ ดินบริเวณตอนกลางของทวปี เอเชียระหวา่ งปลายเดือนตลุ าคม ถึงเดือนกมุ ภาพนั ธ์ สภาพอากาศโดยทว่ั ไปจะมีอุณภมู ิต่าํ และแหง้ แลง้ ทอ้ งฟ้ามีเมฆนอ้ ย และพชื พรรณบาง ชนิดมีการทิง้ ใบ จดั เป็นฤดูหนาว รูปท่ี 1-2-3-4 แสดงการจาํ ลองการเขา้ ของลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนือ ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ พดั จากมหาสมทุ รเขา้ สู่แผน่ ดินระหวา่ งปลายเดือนพฤษภาคมถึงตน้ เดือนตุลาคม โดยนาํ อากาศร้อนและความช้ืนเขา้ มา จึงทาํ ใหม้ ีฝนตกกระจายทว่ั ไป ซ่ึงจะตกหนกั และตกชุกบริเวณชายฝ่ัง และดา้ นรับลมของเทือกเขาจดั เป็นฤดูฝน

รูปที่ 1-2-3-4 แสดงการจาํ ลองการเข้าของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงการเปลย่ี นผ่านฤดกู าลระหว่างปลายเดือนกมุ ภาพนั ธ์ถึงต้นเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงที่ประเทศไทยไดร้ ับ พลงั งานความร้อนจากดวงอาทิตยส์ ูงสุด เนื่องจากไดร้ ับแสงต้งั ฉากจากดวงอาทิตย์ สภาพอากาศโดยทว่ั ไปจึงร้อน อบอา้ วและแหง้ แลง้ จดั เป็ นฤดูร้อน ทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ประโยชน์ 1. ทรัพยากรดิน ดินเกิดจากการผพุ งั ของหินที่อยบู่ นผวิ โลก ดว้ ยการกระทาํ ของอากาศ น้าํ ตน้ ไม้ สตั ว์ ตลอดจนมนุษย์ ดินเมื่อ เกิดข้ึนแลว้ จะไม่อยกู่ บั ที่ โดยเฉพาะดินในบริเวณลาดเขาหรือท่ีสูง จะถกู พดั พาไปสู่ที่ต่าํ เช่น พาไปไวต้ ามหุบเขา หรือตามปากแม่น้าํ เป็นตน้ ดินในประเทศไทยส่วนมากเป็นดินที่ถูกพดั พามาจากที่สูง เช่น จากเทือกเขาผปี ันน้าํ เป็นตน้ ดินพวกน้ีเรียกวา่ ดินตะกอน ดงั น้นั ตามหุบเขาทางภาคเหนือ เช่นล่มุ แมน่ ้าํ ปิ ง จงั หวดั เชียงใหม่ ตามเชิงเขาแถบล่มุ น้าํ ยม จะมีดินตะกอนตก ตามปากลาํ ธาร ทาํ ใหเ้ กิดดินรูปสามเหล่ียมคลา้ ยพดั ถา้ เป็นที่ราบปากแมน่ ้าํ เช่นแม่น้าํ เจา้ พระยา จะเรียกวา่ ดิน ดอนสามเหล่ียม เป็นตน้ กล่มุ ดินในประเทศไทย ประเทศไทยแบง่ ชนิดดินออกเป็น 3 ชนิด 1) ดินในท่ีล่มุ หมายถึง พ้นื ท่ีซ่ึงมีระดบั ราบและมีการระบายน้าํ ไมด่ ี เช่น ท่ีราบดินตะกอน พบ มากในเขตท่ีราบภาคกลาง รวมท้งั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และท่ีราบชายฝ่ังภาคใตฝ้ ่ังตะวนั ออก เป็นดินที่มีความ อดุ มสมบูรณ์เหมาะสาํ หรับการปลกู ขา้ วและปลกู พืชโดยการยกร่อง

รูปที่ 1-2-4-1 การทาํ การเกษตรทางภาคพ้นื ดิน 2) ดินทอ่ี ยตู่ ามท่ีราบแบนและท่ีเนินเขา คือ ดิน ท่ีอยตู่ ามปากแม่น้าํ ลาํ ธารเก่าๆ บริเวณชานภเู ขา ตามขา้ งภูเขา และตามเชิงเขา พบมากในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และท่ีราบชายฝ่ังภาคใต้ เป็นดินที่มีธาตอุ าหาร ประเภทด่างนอ้ ย เหมาะสาํ หรับเพาะปลกู พืชไร่ เช่น มนั สาํ ปะหลงั ออ้ ย ขา้ วโพด เป็นตน้ 3) ดินในบริเวณภูเขา เป็นดินท่ีอยตู่ ามภเู ขาภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือถา้ พ้ืนที่ไมส้ ูง ชนั มาก ชาวไร่หรือชาวเขาเผา่ ตา่ งๆ จะถางเพอ่ื ทาํ ไร่ ปลูกขา้ ว ขา้ วโพดและผกั ต่างๆ นอกน้นั ปล่อยทิ้งไวเ้ ป็นพ้ืนท่ี ป่ าไม้ เพื่อรักษาตน้ น้าํ และผลผลิตไมท้ างเศรษฐกิจ 2. ทรัพยากรนา้ํ แหลง่ น้าํ แหล่งหรือท่ีมาของน้าํ มี 3 แหลง่ ดงั น้ี 1) หยาดน้าํ ฟ้า (Precipitation) ไดแ้ ก่ น้าํ คา้ ง หิมะ ลูกเห็บ หมอก ที่กลน่ั ตวั หรือละลาย กลายเป็นหยดน้าํ และน้าํ จากน้าํ ฝน ประเทศไทยอยใู่ นเขตมรสุม ไดร้ ับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ ซ่ึง พดั จากมหาสมุทรเขา้ สู่แผน่ ดินระหวา่ งปลายเดือนพฤษภาคมถึงตน้ เดือนตุลาคม (ฤดูฝน) ทาํ ใหม้ ีฝนตกกระจาย ทว่ั ไป ปริมาณฝนของประเทศไทยโดยรวมมีค่าประมาณ 1,600 มิลลิเมตรตอ่ ปี โดยบริเวณภาคเหนือ ภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวนั ออก มีปริมาณฝนนอ้ ยฝนช่วงฤดูหนาวและมีฝนมากในช่วง ฤดูฝน ขณะท่ีคาบสมุทรภาคใตฝ้ ่ังตะวนั ออกจะมีปริมาณฝนมากในช่วงฤดูหนาว ส่วนภาคใตฝ้ ่ังตะวนั ตกจะมีฝน มากในช่วงฤดูฝน 2) น้าํ บนผิวดิน หรือน้าํ ผวิ พ้นื หรือทา่ น้าํ (Surface water) คือ น้าํ ท่ีไหลหรือมีอยตู่ ามพ้นื ผวิ ดิน เช่น แมน่ ้าํ ลาํ คลองตามธรรมชาติ รวมถึงน้าํ ที่อาจจะขงั อยตู่ ามหว้ ย หนอง คลอง บึง ทะเล และล่มุ น้าํ หรือ ทะเลสาบท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึนในประเทศไทยมีแหลง่ น้าํ ผิวดินประเภทหว้ ยใหญๆ่ ท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ เช่น บึง- บอระเพด็ หนองหาน กวา๊ นพะเยา นอกจากน้นั ยงั มีแหลง่ น้าํ ที่มนุษยส์ ร้างข้ึน คือ อา่ งเกบ็ น้าํ เพ่อื เก็บน้าํ ไวใ้ ช้ ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ เช่น การเพาะปลูกและเล้ียงสตั ว์ รวมถึงเก็บไวใ้ ชใ้ นหนา้ แลง้ เป็นตน้

3) น้าํ ใตด้ ินหรือน้าํ บาดาล (Ground water) น้าํ ใตด้ ิน ไดแ้ ก่ น้าํ ฝน น้าํ ท่ีละลายจากหิมะและ กอ้ นน้าํ แขง็ หรือน้าํ บนดิน เช่น น้าํ ในลาํ ธาร แมน่ ้าํ อา่ งเกบ็ น้าํ ที่ซึมลงไปในดินและช่องวา่ งระหวา่ งหิน น้าํ ในดิน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท 1.นา้ํ ในดิน หมายถึง น้าํ ที่ซึมซบั อยใู่ นดินเนื่องจากดินอมุ้ น้าํ จนอิ่มตวั 2.นํา้ ในช้ันดนิ หรือนํา้ บาดาล หมายถึง น้าํ ใตด้ ินท่ีซึมลึกลงไปในพ้นื ดินไปรวมอยู่ ในช้นั ของหิน 3. ทรัพยากรแร่ แร่เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่ใชแ้ ลว้ หมดไป มีความสาํ คญั และมีบทบาทตอ่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ภาคอตุ สาหกรรมของมนุษยเ์ ช่น เหลก็ ทองแดง ทองคาํ ตะกว่ั สงั กะสี เป็นตน้ แร่ บางออกเป็ น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ 1) แร่โลหะ คือแร่ที่มีคุณสมบตั ิทางกายภาพ เช่น หลงั จากผา่ นกระบวนการแปรรูปแลว้ จะมี น้าํ หนกั มาก ขดั แลว้ เป็นเงา สามารถตีแผน่ หรือรีดออกเป็นเสน้ ได้ และหลอมละลายเมื่อถกู ความร้อนสูง เป็นตน้ แร่ โลหะท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ แร่ดีบุก เหล็ก แมงกานีส ทงั สเตนและวลุ แฟรม ตะกวั่ และสงั กะสี ทองคาํ เงิน และทองแดง 2) แร่อโลหะ คือ แร่ที่มีคุณสมบตั ิทางกายภาพตรงกนั ขา้ มกบั แร่โลหะ และสามารถนาํ ไปใชไ้ ด้ เลยโดยไม่ตอ้ งนาํ มาถลงุ หรือแยกแร่ก่อน จาํ แนกออกเป็น รูปที่ 1-2-4-2 แร่ธาตุตา่ งภายในประเทศ

แร่อโลหะทีใ่ ช้ในการก่อสร้าง ไดแ้ ก่ หิน กรวด ทราย ปนู ขาว ปนู ซีเมนต์ ยปิ ซมั และใยหิน เป็นกลมุ่ แร่ท่ี สามารถผลิตไดท้ ว่ั ไป แร่อโลหะเคมี ไดแ้ ก่ กาํ มะถนั เกลือ แคลไซต์ เป็นแร่ท่ีนาํ มาใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในอตุ สาหกรรมเคมีต่างๆ เช่น ยา ฆา่ แมลง บาปราบศตั รูพืช การผลิตยารักษาโรคตา่ งๆ เป็นตน้ แร่อโลหะทําป๋ ุย ไดแ้ ก่ ไนเตรต แร่อโลหะเคร่ืองป้ันดนิ เผา ไดแ้ ก่ แร่ดินเหนียว ประกอบดว้ ยเกาลิไนต์ อิลไลตแ์ ละมอนต์ –มอริลโลไนต์ เป็น แร่ท่ีนาํ มาใชผ้ ลิตเครื่องป้ันดินเผา เครื่องสุขภณั ฑ์ และส่วนประกอบในการก่อสร้าง แร่อโลหะใช้ขัดถู ไดแ้ ก่ หิน ทราย ทบั ทิม และเพชร เป็นแร่ที่นาํ มาใชต้ ดั ขดั ถแู ละตกแตง่ เครื่องมือเครื่องใช้ ต่างๆ แร่อโลหะทป่ี ้องกนั ความร้อน ไดแ้ ก่ ยปิ ซมั ใยหิน แมกนีเซียม และไมกา เป็นแร่ที่นาํ มาใชเ้ ป็นฉนวน เพอ่ื ป้องกนั ความร้อนในเครื่องใช้ ในอาคารบา้ นเรือน และเส้ือผา้ ที่ใชผ้ จญเพลิง แร่อโลหะทําสี ไดแ้ ก่ แร่ดินเหนียว ดินเหลือง ไดอะโทไมต์ และแบไรต์ เป็นแร่ท่ีนาํ มาใชเ้ ป็นวตั ถุดิบสาํ คญั ใน การผลิตสี 3) แร่เช้ือเพลิง เป็นแร่ที่นาํ มาใชผ้ ลิตพลงั งานท้งั ความร้อนและแสงสวา่ ง มีความสาํ คญั กบั ภาคอุตสาหกรรม มากที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ ถา่ นหิน น้าํ มนั ปิ โตรเลียม และแกส๊ ธรรมชาติ 4. ทรัพยากรป่ าไม้ ป่ าไมเ้ ป็นแหลง่ กาํ เนิดของตน้ น้าํ ลาํ ธาร โดยป่ าไมใ้ นแต่ละบริเวณจะแตกตา่ งกนั ข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณะ ภูมิอากาศภูมิประเทศ น้าํ และดิน

รูปที่ 1-2-4-3 แผนท่ีแสดงแหล่งแร่ธาตุภายในประเทศไทย ป่ าไมใ้ นประเทศไทย จาํ แนกเป็น 3 ประเภท คือ 1) ป่ าไมไ้ มผ่ ลดั ใบ (Evergreen Forest) เป็นป่ าไมท้ ี่ตน้ ไมม้ ีใบเขียวชอุม่ ตลอดท้งั ปี -ป่ าดิบหรือป่ าดิบช้ืน พบบริเวณท่ีมีความชุ่มช้ืนสูง มีปริมาณน้าํ ฝนสูงกวา่ 1,500 มิลลิเมตรต่อปี สูงกว่า ระดบั น้าํ ทะเล ต้งั แต่ 500 เมตรข้ึนไป เป็นป่ าไมท้ ่ีพบในทุกภูมิภาคของประเทศไทย แต่พบมากในภาคใตแ้ ละภาค ตะวนั ออก -ป่ าดิบเขา พบบริเวณที่มีปริมาณน้าํ ฝนประมาณ 1,500 – 2,000 มิลลิเมตรต่อปี สูงกวา่ ระดบั น้าํ ทะเล 1,000 เมตร ข้ึนไป เป็นป่ าไมท้ ี่พบมากทางภาคเหนือ ส่วนใหญ่ในภูมิภาคอ่ืนๆ เช่น ภาคกลาง ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เป็นตน้ -ป่ าสนเขาหรือป่ าสน พบบริเวณที่มีปริมาณน้าํ ฝนประมาณ 1,000 – 1,500 มลิ ลิเมตรตอ่ ปี สูงกวา่ ระดบั น้าํ ทะเล 600 – 1,200 เมตร เป็นป่ าไมท้ ่ีพบบริเวณเขาสูง เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เป็นตน้ -ป่ าโกงกาง พบบริเวณชายฝ่ังทะเล เช่น จงั หวดั สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมทุ รสงคราม เพชรบรุ ี ชลบรุ ี ระยอง จนั ทบุรี ตราด และพลเป็นแห่งๆ ทางชายฝั่งทะเลต้งั แต่จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ถึงนราธิวาส เป็นตน้

2) ป่ าไมผ้ ลดั ใบ (Deciduous Forest) เป็นป่ าไมท้ ี่ตน้ ไมม้ ีการทิ้งใบในช่วงหนา้ แลง้ และจะผลิใบ เม่ือถึงฤดูฝน -ป่ าแพะ ป่ าแดง ป่ าโคก หรือป่ าเตง็ รัง เป็นป่ าไมท้ ี่พบในทกุ ภูมิภาคของประเทศไทย ยกเวน้ ภาคใต้ โดยเฉพาะใน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ พบมากถึงร้อยละ 70 – 80 ของพ้นื ท่ีป่ าไม้ 3) ป่ าผลดั ใบผสมหรือป่ าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest)เป็นป่ าตน้ ไมม้ ีการผลดั ใบหรือทิ้ง ใบท้งั หมดไปพร้อมกนั ในคราวเดียวกนั ท้งั ผืนป่ า พบมากในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ และภาคตะวนั ตก 5. ทรัพยากรสัตว์ป่ า สัตวป์ ่ า หมายถึง สตั วท์ ี่มีกระดูกสนั หลงั ที่อาศยั ป่ าเป็นถ่ินกาํ เนิดและถ่ินอาศยั ไดแ้ ก่ สตั วค์ ร่ึงบก คร่ึงน้าํ สตั วเ์ ล้ือยคลาน นก และสัตวเ์ ล้ียงลูกดว้ ยนม พระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสัตวป์ ่ า พ.ศ. 2503 ไดใ้ หค้ าํ นิยามวา่ สตั วป์ ่ า หมายถึง สัตวท์ ุก ชนิดท่ีอาศยั อยใู่ นป่ า ยกเวน้ สัตวจ์ าํ พวกแมลงหรือสตั วท์ ี่ไมม่ ีกระดูกสันหลงั สัตวป์ ่ าในประเทศไทย จาํ แนกตามพระราชบญั ญตั ิสงวนและคุม้ ครองสตั วป์ ่ า พ.ศ. 2503 แบ่งออกเป็น 3 กล่มุ 1) สัตวป์ ่ าสงวน หมายถึง สัตวป์ ่ าหายาก มี 15 ชนิด ไดแ้ ก่ แรด กระซู่ กูปรีหรือโคไพร ควายป่ า ละองหรือละมง่ั เลียงผา กวางผา นกเจา้ ฟ้าสิรินธร นกแตว้ แร้วทอ้ งดาํ นกกระเรียง แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ เกง้ หมอ้ และพะยนู หรือหมูน้าํ เป็นสตั วท์ ่ีหา้ มล่าโดยเด็ดขาด รูปที่ 1-2-4-4 สตั วส์ งวนในไทย

2) สตั วป์ ่ าคุม้ ครอง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท สัตวป์ ่ าคุม้ ครองประเภทที่ 1 หมายถึง สตั วป์ ่ าที่ปกติคนจะไม่ใชเ้ น้ือเป็นอาหารหรือไมล่ า่ เพื่อการกีฬาเป็นสัตวป์ ่ าที่ทาํ ลายศตั รูพชื หรือขจดั ส่ิงปฏิกูล หรือสงวนไวเ้ พ่ือประดบั ความงามตามธรรมชาติ หรือไม่ใหจ้ าํ นวนลดลง มีท้งั สิ้น 166 ชนิด เช่น ชา้ ง ชะมด กระรอก ลิง เสือปลา หมาไม้ เป็นตน้ และนก ชนิดต่างๆอีก 130 ชนิด เช่น นกกวกั นกเงือก นกเขาไฟ เป็นตน้ สัตวป์ ่ าคุม้ ครองประเภทที่ 2 หมายถึง สัตวป์ ่ าที่คนนิยมใชเ้ น้ือมาปรุงอาหารหรือลา่ เพอ่ื การ กีฬา มีท้งั สิน 29 ชนิด เช่น กระทิง กวาง กระจง เสือโคร่ง หมีควาย เป็นตน้ และนกอื่นๆอีก 19 ชนิด เช่น นกกระสา นกแขวกนกอีโกง้ ไก่ป่ า เป็นตน้ 3) สตั วป์ ่ าท่ีไมส่ งวนและคุม้ ครอง หมายถึง สัตวป์ ่ าที่สามารถทาํ การลา่ ไดต้ ลอดเวลาแต่ตอ้ งไมล่ ่า ในเขตหวงหา้ ม เช่น อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า และเขตหา้ มลา่ สตั ว์ เป็นตน้ สตั วป์ ่ าท่ีไม่สงวนและ คุม้ ครอง เช่น หนู คา้ งคาว ตะกวด แย้ งูเห่า นกกระจาบหมูป่ า เป็นตน้ หน่วยที่ 3 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกจิ ภาคเหนือ ภูมิประเทศภาคเหนือ รูปท่ี 1-2-2-1 แผนท่ีภาคเหนือ ภมู ิประเทศภาคเหนือพิจารณาเป็นเขตภมู ิลกั ษณ์ ไดด้ งั น้ี 1. เขตเทือกเขาและหุบเขาตะวันตก ไดแ้ ก่ พ้นื ท่ีเทือกเขาและหุบเขาดา้ นตะวนั ตกของภมู ิภาค ครอบคลุม บริเวณจงั หวดั แม่ฮ่องสอนและบา่ งส่วนของจงั หวดั เชียงใหม่ ประกอบดว้ ยเทือกเขาถนนธงชยั ซ่ึงแทรกสลบั ดว้ ย หุบเขาและแอ่งท่ีราบระหวา่ งภูเขา ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ แอ่งแม่แจ่ม แอง่ ปาย แอ่งแม่ฮ่องสอน และแอ่งแมส่ ะเรียงเขต ภูมิลกั ษณ์น้ีมีโครงสร้างธรณีของหินแกรนิตเป็นหินฐาน ซ่ึงถูกปิ ดทบั ดา้ นบนดว้ ยหินตะกอน และหินแปรต่างๆ

เช่น หินทราย หินปูนเน้ือตา่ งๆ หินกรวดมน หินดินดาน หินเชิร์ต นอกจากน้ียงั มีหินแปรชนิดหินไนส์และหิน ชีสตป์ ิ ดประกบ แทรกสลบั อยเู่ ป็นตอนๆ ขณะท่ีตามหุบเขาและแอ่งที่ราบระหวา่ งภเู ขาสะสมดว้ ยตะกอนน้าํ พายคุ วอเทอร์นารีที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง เหมาะสาํ หรับการทาํ เกษตรกรรมในแอง่ ที่ราบ ดงั น้นั จึงพบแหล่งชุมชน ขนาดใหญใ่ นแอ่งที่ราบต่างๆ เช่น แอง่ แม่ฮ่องสอน แอง่ แมส่ ะเรียง เป็นตน้ ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตเทือกเขาและหุบเขาตะวนั ตก คือ 1) เป็นเขตเทือกเขาสลบั ซบั ซอ้ นและมีระดบั สูงที่สุดของประเทศ ประกอบดว้ ยเทือกเขาถนนธงชยั ตะวนั ออก เทือกเขาถนนธงชยั กลาง และเทือกเขาถนนธงชยั ตะวนั ตก 2) เป็นเขตท่ีมีพนุ ้าํ ร้อนปรากฏอยมู่ าก ที่สาํ คญั เช่น พนุ ้าํ ร้อนผาบอ่ ง พุน้าํ ร้อนโป่ งสัก จงั หวดั แม่ฮ่องสอนพนุ ้าํ ร้อนฝาง พนุ ้าํ ร้อนเทพพนม จงั หวดั เชียงใหม่ เป็นตน้ พนุ ้าํ ร้อนดงั กลา่ วใหป้ ระโยชน์ในการเป็นแหล่งพลงั งาน ผลิต กระแสไฟฟ้า และสามารถใชเ้ พ่อื ทอ่ งเท่ียวได้ รูปที่ 1-2-2-2 พนุ ้าํ ร้อน (อ.สันกาํ แพง จ.เชียงใหม)่ 2. เขตเทือกเขา – สลบั แอ่งตอนกลาง ไดแ้ ก่พ้นื ที่เทือกเขาและแอง่ ท่ีราบระหวา่ งภูเขาตอนกลาง ของภูมิภาคครอบคลมุ พ้นื ที่บางส่วนของจงั หวดั เชียงราย พะเยา เชียงใหม่ ลาํ พูน และลาํ ปาง เขตน้ี ประกอบดว้ ยเทือกเขาที่สาํ คญั คือ เทือกเขาแดนลาวทางตอนเหนือ และเทือกเขาผีปันน้าํ เขตน้ีมีโครงสร้างธนณีท่ี ซบั ซอ้ น มีหินแกรนิตเป็ นฐานแกน ปิ ดทบั ดว้ ยหินตะกอนและหินแปรชนิดตา่ งๆ เช่น หินทราย หินดินดาน หินปูน หินฟิ ลไลต์ หินชีสต์ เป็นตน้ บางส่วนมีการแทรกซอ้ นข้ึนมาของหินอคั นีภายนอก ชนิดหินบะซอลต์ หินไรโอไลต์ และหินแอนดีไซต์ เช่น ในเขตจงั หวดั ลาํ ปาง มีปรากฏซากภูเขาไฟหินบะซอลตอ์ ยหู่ ลายแห่ง เป็น ตน้ เขตน้ียงั มีหุบเขาแทรกสลบั อยรู่ ะหวา่ งสันเขาและมีแอง่ ท่ีราบระหวา่ งภเู ขาซ่ึงเป็นศูนยร์ วมของสายน้าํ และ ตะกอนวตั ถุตน้ กาํ เนิดท่ีผพุ งั จากหินและแร่ในภูเขา ซ่ึงถูกพาเคลื่อนยา้ ยมากบั สายน้าํ ทาํ ใหด้ ินในแอง่ ท่ีราบมีความ สมบูรณ์ จึงเป็นเขตเกษตรกรรมท่ีสมบูรณ์ โดยเฉพาะการปลูกผลไมแ้ ละพชื ผกั

3. เขตเทือกเขา – สลบั แอ่งตะวันออก ไดแ้ ก่ พ้นื ที่เทือกเขา ทิวเขา หุบเขา และแอ่งที่ราบ ระหวา่ งภเู ขาดา้ นตะวนั ออกครอบคลุมเน้ือท่ีท้งั หมดของจงั หวดั แพร่ น่าน อตุ รดิตถ์ และเน้ือที่บางส่วนของ จงั หวดั พะเยาและเชียงรายประกอบดว้ ยภูมิประเทศหลกั คือ เทือกเขาหลวงพระบางและแอ่งที่ราบระหวา่ งภเู ขา ลกั ษณะสําคัญของภูมิลกั ษณ์เขตเทือกเขาสลบั แอ่งตะวันออก คือ 1) เทือกเขาเขตน้ีมีลกั ษณะธรณีส่วนใหญเ่ ป็นหินตะกอน ไดแ้ ก่ เทือกเขาหลวงพระบาง ที่ เป็น พรมแดนธรรมชาติระหวา่ งไทย – ลาว 2) มภี ูมิประเทศทุรกนั ดารปรากฏอยตู่ ามขอบแอง่ ไมเ่ หมาะทาํ การเกษตร แต่อาจใชเ้ ป็นภูมิ ทศั น์เพอื่ การท่องเที่ยวได้ เช่น เสาดินนานอ้ ย จงั หวดั น่าน แพะเมืองผี จงั หวดั แพร่ เป็นตน้ 4. เขตท่รี าบสลบั ทวิ เขาล่มุ นา้ํ โขง ไดแ้ ก่ พ้นื ท่ีราบสลบั ทิวเขาทางตอนเหนือของภมู ิภาค มีแม่น้าํ สาย สาํ คญั คือแม่น้าํ อิงและแม่น้าํ กก โดยแม่น้าํ ท้งั สองรวมท้งั แควสาขาไหลจากที่สูงตอนกลางไปลงท่ีราบลมุ่ แมน่ ้าํ โขงทางตะวนั ออก เขตน้ีมีทะเลน้าํ จืดขนาดใหญ่ท่ีสุดของภมู ิภาคอยใู่ นเขตจงั หวดั พะเยา คือ กวา๊ นพะเยา รูปท่ี 1-2-2-3 เทือกเขาภูพาน (เขตติดตอ่ ระหวา่ ง จ.อุดรธานีและหนองบวั ลาํ ภ)ู ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตทร่ี าบสลบั ทิวเขาลุ่มนา้ํ โขง คือ 1) เป็นท่ีราบระหวา่ งภูเขาผนื ใหญท่ ่ีสุดในภาคเหนือ ครอบคลุมที่ราบของจงั หวดั พะเยาต่อเนื่องไปจนถึงที่ราบจงั หวดั เชียงราย เป็นปัจจยั ทาํ ใหเ้ ขตน้ีมีเกษตรกรรมในท่ีราบอยกู่ วา้ งขวาง โดยเฉพาะพ้นื ท่ีทาํ นาปลูกขา้ วจะมีมากที่สุดในภาคเหนือ 2) อยใู่ นเขตพ้ืนท่ีลุ่มน้าํ ท่ีไหลลงแมน่ ้าํ โขงทางตอนเหนือ พ้นื ท่ีล่มุ แม่น้าํ เกือบ ท้งั หมดของภาคเหนือจะวางตวั และมีทิศทางไหลของสายน้าํ ในแนวเหนือ – ใต้ ตามการวางตวั ของระบบเทือกเขา

และทิวเขา โดยมีเทือกเขาผปี ันน้าํ ทาํ หนา้ ที่ตามธรรมชาติในการปันน้าํ ใหไ้ หลลงใตส้ ู่ท่ีราบภาคกลาง ไดแ้ ก่ แม่ น้าํ ปิ ง แมน่ ้าํ วงั แม่น้าํ ยม และแม่น้าํ น่าน กบั แมน่ ้าํ ท่ีไหลข้ึนเหนือลงสู่แม่น้าํ โขง คือ แมน่ ้าํ กกและแม่น้าํ อิง หน่วยท่ี 4 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกจิ ภาคกลาง ภูมปิ ระเทศภาคกลาง รูปที่ 1-2-2-7 แผนทภ่ี าคกลาง ภูมปิ ระเทศภาคกลาง พจิ ารณาเป็ นเขตภูมิลกั ษณ์ได้ดงั นี้ 1. เขตภูเขาด้านตะวันออก ครอบคลุมเทือกเขาเพชรบูรณ์ตะวนั ตกท้งั หมดและพ้นื ที่บางส่วน ของเทือกเขาเพชรบูรณ์ตะวนั ออกและเทือกเขาดงพญาเยน็ (เดิม) อยใู่ นเขตจงั หวดั เพชรบรู ณ์ พษิ ณุโลก ลพบรุ ี และ สระบุรีเขตเทือกเขาดงั กล่าวมีความสาํ คญั ตรงที่เป็นที่สูงตอนกลางของประเทศ ลกั ษณะสําคัญของภูมิลกั ษณ์เขตภูเขาด้านตะวนั ออก คือ 1) เป็นพ้ืนท่ีสนบั สนุนปริมาณน้าํ ของแม่น้าํ น่านและแม่น้าํ ป่ าสัก โดยแมน่ ้าํ ท้งั 2 สาย ถือเป็นแหล่งน้าํ ตามธรรมชาติสาํ คญั ที่หล่อเล้ียงที่ราบภาคกลาง ถึงแมว้ า่ แม่น้าํ น่านจะมีตน้ น้าํ อยใู่ น เขต จงั หวดั น่านในภาคเหนือ และมีแมน่ ้าํ ป่ าสกั มีตน้ น้าํ อยใู่ นเขตจงั หวดั เลยในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือกต็ าม แตแ่ มน่ ้าํ ท้งั 2 กไ็ ดร้ ับปริมาณน้าํ ส่วนหน่ึงจากภเู ขาสูงเขตน้ี รูปที่ 1-2-2-8 ภมู ิประเทศท่ีราบในเขตที่ราบภาคกลางตอนบน (บริเวณท่ีราบล่มุ น้าํ น่าน จ.พจิ ิตร)

2) เป็นแหล่งสนบั สนุนตะกอนวตั ถตุ น้ กาํ เนิดดินในที่ราบ ภูเขาดา้ นตะวนั ออก ประกอบ ดว้ ยหินหลากหลายชนิด ซ่ึงเม่ือหินเหล่าน้ีผพุ งั จะเป็นวตั ถตุ น้ กาํ เนิดดิน และถกู สายน้าํ พามาสะสมในที่ราบช่วยใหด้ ินมีความอุดมสมบรู ณ์ เหมาะสมแก่การปลูกพืชเศรษฐกิจตา่ งๆ โดยเฉพาะขา้ ว 3) เป็นแหล่งท่ีมีสถานที่ทอ่ งเท่ียวทางธรรมชาติอยมู่ าก เช่น อทุ ยานแห่งชาติน้าํ ตกชาติ ตระการ อุทยานแห่งชาติภหู ินร่องกลา้ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เป็นตน้ 4) เป็นแนวปะทะเมฆฝนตามธรรมชาติ ทาํ ใหม้ ีฝนตกหนกั บริเวณดา้ นหนา้ ภเู ขาต้งั แต่ เขตลาดเชิงเขาจงั หวดั นครนายกไปจนตลอดจงั หวดั พิษณุโลก 5) เป็นแหลง่ อตุ สาหกรรมซีเมนตแ์ ละโรงงานเซรามิกท่ีสาํ คญั เนื่องจากเขตภเู ขา ตะวนั ออกมีหินปนู ที่เป็นวตั ถุดิบหลกั ในอุตสาหกรรมซีเมนตอ์ ยมู่ าก โดยเฉพาะในเขตอาํ เภอมวกเหลก็ และแก่ง คอย จงั หวดั สระบรุ ีและมีหินไรโอไลตท์ ี่สลายตวั แลว้ ใหแ้ ร่ดินขาว ซ่ึงเป็นวตั ถุดิบหลกั ในอุตสาหกรรมเซรามิกอยู่ มากโดยเฉพาะแถบ จงั หวดั สระบรุ ีและนครนายก รูปท่ี 1-2-2-9 ภูเขาที่มีหินปนู 6) เป็นแหลง่ ปลูกมะขามหวานท่ีมีชื่อเสียง โดยเฉพาะในเขตจงั หวดั เพชรบูรณ์ที่มีหิน อคั นีชนิดหินไรโอไลตแ์ อนดีไซต์ และบะซอลต์ ที่ผพุ งั แลว้ ใหธ้ าตอุ าหารหลกั ชนิดโพแทสเซียมแก่ดิน ซ่ึงเป็น ธาตอุ าหารที่ช่วยใหผ้ ลไมต้ า่ งๆมีรสหวานมากข้ึน 2. เขตภูเขาด้านตะวนั ตก เขตภูเขาดา้ นตะวนั ตก ครอบคลุมพ้นื ท่ีบางส่วนในเขตจงั หวดั กาํ แพงเพชร จงั หวดั นครสวรรค์ จงั หวดั อทุ ยั ธานี และจงั หวดั สุพรรณบุรี เป็นส่วนหน่ึงของเทือกเขาถนนธงชยั ตอนล่าง เขตน้ีเป็นพ้นื ท่ีตน้ น้าํ แควสาขาของแมน่ ้าํ ปิ งแมน่ ้าํ เจา้ พระยา และแม่น้าํ ท่าจีน ท่ีสาํ คญั เช่น คลองวงั มา้

หว้ ยขาแขง้ หว้ ยทบั เสลา แมน่ ้าํ สะแกกรัง เป็นตน้ เป็นที่พ้นื ป่ าไมผ้ นื ใหญข่ องประเทศท่ีตอ่ เนื่องกบั ภาคตะวนั ตก เช่น เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ อทุ ยานแห่งชาติคลองลาน อุทยานแห่งชาติพุเตย เป็นตน้ ลกั ษณะสําคัญของภูมลิ กั ษณ์เขตภูเขาด้านตะวนั ตก คือ 1) เป็นแหล่งหินก่อสร้างสาํ คญั ไดแ้ ก่ หินแกรนิตท่ีจงั หวดั นครสวรรคแ์ ละ อทุ ยั ธานี หินปนู ใชเ้ ป็นหินประดบั ที่จงั หวดั กาํ แพงเพชร และหินออ่ นที่จงั หวดั กาํ แพงเพชร 2) เป็นพ้ืนที่ผืนป่ ามรดกโลก ไดแ้ ก่ เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าหว้ ยขาแขง้ – ทุ่งใหญ่ นเรศวรเนื่องจากมีลกั ษณะพิเศษคือ “เป็นแหล่งท่ีอยอู่ าศยั ของชนิดพนั ธุ์พชื และสตั วห์ ายากและเป็นแหล่งรวบรวม ความหลากหลายทางชีวภาพท่ีสาํ คญั แห่งหน่ึงของโลก” (กรมศิลปากร.2543: 44) 3) เป็นแหล่งเพาะปลกู พืชไร่ท่ีสาํ คญั เช่น ออ้ ย มนั สาํ ปะหลงั ขา้ วโพด ทานตะวนั ขา้ วฟ่ าง สบั ปะรด เป็นตน้ 3. เขตทด่ี อนเขาโดดตอนกลาง ไดแ้ ก่ ท่ีดอนเขาโดดพยหุ ะคีรี – ตาคลี – นครสวรรค์ ที่วางตวั ตดั ผา่ นตามขวาที่ราบภาคกลาง ทาํ ใหแ้ บ่งท่ีราบภาคกลางออกเป็น ท่ีราบภาคกลางตอนบนกบั ท่ีราบภาคกลาง ตอนล่าง โดยมีลกั ษณะเป็ นภเู ขาเลก็ ๆ หรือกลุม่ ภูเขาเลก็ ๆ มีระดบั ความสูงไม่มาก เนื่องมาจากเป็นภูเขาของหินใน ยคุ เก่าประเภทหินแปรและหินอคั นีภายนอกที่แทรกซอนข้ึนมาบางคร้ังมีหินทราย และหินปนู ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ เขาวง เขาคอก ในเขตอาํ เภอหนองมว่ งจงั หวดั ลพบรุ ี เขาอิหลกั เขาชายธง เขาชอนเดื่อเขาสนามชยั เขาตะแบง เขาแม่เหลก็ เขากะลา เขาโยง และเขาลกู ชา้ ง ในเขตอาํ เภอเมือง จงั หวดั นครสวรรค์ รูปที่ 1-2-2-10 การเพาะปลกู ออ้ ย การใชท้ ่ีดินในเขตที่ดอนเขาโดดตอนกลาง ส่วนใหญเ่ ป็นพ้นื ท่ีทาํ ไร่ เช่น ไร่ออ้ ย มนั สาํ ปะหลงั ไร่ขา้ วฟ่ าง เป็นตน้

4. เขตทรี่ าบภาคกลางตอนบน ไดแ้ ก่ พ้นื ท่ีราบต้งั แตแ่ นวเขตท่ีดอนเขาโดดตอนกลางข้ึนไปท้งั หมด ในเขตจงั หวดั สุโขทยั พษิ ณุโลก กาํ แพงเพชร พจิ ิตร และนครสวรรค์ วางตวั ในแนวเหนือ – ใต้ ประกบขา้ งดว้ ย ภเู ขาสูงดา้ นตะวนั ออกและตะวนั ตก ท่ีราบภาคกลางตอนบนเกิดจากอิทธิพลของแม่น้าํ ปิ ง แมน่ ้าํ ยม และแม่น้าํ น่าน รวมท้งั แควสาขาของแม่น้าํ ท้งั 3 สายไดพ้ าตะกอนมาทบั ถม โดยดา้ นลา่ งเป็นตะกอนหินก่ึงแขง็ ตวั ยคุ เทอร์เชียรี ซ่ึง มีการสาํ รวจพบน้าํ มนั ดิบที่ลานกระบือจงั หวดั กาํ แพงเพชรส่วนดา้ นบนเป็นตะกอนน้าํ พา ยคุ ควอเทอร์นารี เขตน้ีมีการทาํ ไร่และทาํ สวนในเขตที่ราบเชิงดอน ขณะที่บริเวณที่ราบและที่ลุ่ม มีการทาํ นา ท้งั นาปรังและนาปี ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตทร่ี าบภาคกลางตอนบน คือ 1) เป็นที่ต้งั แหลง่ มรดกโลก เมืองประวตั ิศาสตร์สุโขทยั และเมืองบริวาร คือ อทุ ยานประวตั ิศาสตร์ศรีสัชนาลยั สุโขทยั และกาํ แพงเพชร สิ่งก่อสร้างส่วนใหญใ่ ชศ้ ิลาแดงเป็นวสั ดุหลกั โดยหาไดจ้ ากท่ีดอนซ่ึง อยตู่ ามบริเวณชาย ขอบท่ีราบภาคกลางตอนบน 2) มีเนินตะกอนรูปพดั ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ ครอบคลุมพ้นื ที่แถบตะวนั ออกของกาํ แพงเพชร แนวแคบๆดา้ น ตะวนั ตกของจงั หวดั พิษณุโลกและพจิ ิตร เกิดจากการสะสมของตะกอน ทาํ ใหด้ ูเป็นเนินในบริเวณท่ีทางน้าํ หรือ สายน้าํ ตา่ งๆมีการเปล่ียนระดบั จากหุบเขาชนั สู่ท่ีราบจึงทาํ ใหค้ วามเร็วและแรงของกระแสน้าํ ลดลง จนไม่สามารถ พาตะกอนบางส่วนไปได้ ในที่สุดจึงไดท้ ิ้งตะกอนเหล่าน้นั ไวก้ ระจายออกคลา้ ยซี่ของพดั เรียกวา่ เนินตะกอนรูป พดั (alluvial fan) 5. เขตทรี่ าบภาคกลางตอนล่าง เป็นท่ีราบต้งั แต่พ้นื ท่ีบริเวณตอนเหนือของอาํ เภอเมืองอุทยั ธานีลง มา จนถึงบริเวณชายฝ่ังกน้ อา่ วไทย 1) มีพ้นื ท่ีดินเปร้ียวจดั เป็ นบริเวณกวา้ งขวาง จึงไม่เหมาะสมต่อการปลกู พชื เศรษฐกิจ 2) เป็นบริเวณที่เคยเป็นทะเลเก่า ไดแ้ ก่ พ้นื ที่บางส่วนของเขตจงั หวดั สมทุ รสาคร สมุทรสงคราม สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทมุ ธานี นครนายก พระนครศรีอยธุ ยา และสุพรรณบรุ ี รวมท้งั จงั หวดั ปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราของภาคตะวนั ออก 3) เป็นท่ีต้งั ของแหล่งมรดกโลกทางวฒั นธรรม ไดแ้ ก่ อุทยานประวตั ิศาสตร์พระนครศรีอยธุ ยาและเมืองบริวาร วสั ดุหลกั ท่ีใชใ้ นการก่อสร้างจะเป็นอิฐที่ทาํ มาจากดินเหนียว หน่วยที่ 5 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกจิ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

ภูมิประเทศภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ รูปที่ 1-2-2-4 แผนท่ีภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 1. เขตแนวภูเขาขอบภูมิภาค เป็นเขตภเู ขาขอบที่ราบสูงโคราช ท้งั ดา้ นตะวนั ตกและดา้ นใต้ โดย ขอบดา้ นตะวนั ตก เป็นส่วนหน่ึงของเทือกเขาเพชรบรู ณ์และทิวเขาพงั เหย ส่วนขอบดา้ นใตเ้ ป็นส่วนหน่ึงของ เทือกเขาสนั กาํ แพงและเทือกเขาพนมดงรักแนวภูเขาเขตน้ีทาํ หนา้ ท่ีเป็นพรมแดนธรรมชาติ แยกท่ีราบสูงโคราช ออกจากที่ราบภาคกลางและท่ีราบต่าํ กมั พชู า ภูเขาส่วนใหญ่เป็นภเู ขารูปอีโต้ ลกั ษณะสําคญั ของภูมลิ กั ษณ์เขตแนวภูเขาขอบภูมภิ าค คือ 1) เป็นแหลง่ ตน้ น้าํ สายสาํ คญั เช่น แม่น้าํ ชี แม่น้าํ เหือง แม่น้าํ เลย น้าํ พอง น้าํ พรม ลาํ น้าํ ชีแมน่ ้าํ มลู หว้ ยลาํ ปลายมาศหว้ ยทบั ทนั ลาํ โดมใหญ่ รวมท้งั แม่น้าํ โขง เป็นตน้ 2) เป็นพ้นื ท่ีป่ าไมท้ ่ีสาํ คญั เนื่องจากการมีภูเขาระดบั สูงมากทาํ ใหก้ ารเดินทางเขา้ ถึงยากการเขา้ ไปตดั ไมข้ องชาวบา้ นจึงยากดว้ ย จึงทาํ ใหม้ ีป่ าไมเ้ หลืออยมู่ ากในบริเวณภเู ขา 3) เป็นแหลง่ วตั ถตุ น้ กาํ เนิดดินใหก้ บั ที่ดอนและท่ีราบ เม่ือหินและแร่ในภเู ขาผพุ งั ตามธรรมชาติ จะถูกสายน้าํ พาลงสู่ท่ีต่าํ ตามแรงโนม้ ถว่ งโลก ทาํ ใหธ้ าตอุ าหารมาสะสมอยใู่ นที่ดอน ที่ราบ และที่ล่มุ พฒั นาเป็น แหล่งเกษตรกรรมท่ีสาํ คญั 4) เป็นแหล่งอทุ ยานแห่งชาติและเขตรักษาพนั ธุส์ ตั วป์ ่ า เช่น อุทยานแห่งชาติภเู รือ อุทยาน แห่งชาติภูกระดึงเขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ าภหู ลวง เขตรักษาพนั ธุ์สตั วป์ ่ าภเู ขียว เป็นตน้

รูปท่ี 1-2-2-5 แนวภเู ขาโดดหินปูน (อ.หนองหิน จ.เลย) 2. เขตแนวภูเขาตอนกลางของภูมิภาค เขตแนวภเู ขาตอนกลางของภมู ิภาค ไดแ้ ก่ เขตเทอื กเขาภู พาน ท่ีวางตวั ในแนวตะวนั ออกเฉียงใต้ –ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ซ่ึงอยเู่ กือบตรงกลางของภูมิภาคค่อนข้ึนมาทางเหนือ ทาํ หนา้ ท่ีแบ่งแผน่ ดินอีสานออกเป็นแอ่งโคราชและแอง่ สกลนคร โดยแอง่ โคราชมีขนาดเน้ือที่มากกวา่ แอ่ง สกลนคร ประมาณ 3 เท่าแตม่ ีความสูงจากระดบั น้าํ ทะเลปานกลางนอ้ ยกวา่ นอกจากน้ียงั ทาํ หนา้ ท่ีเป็นแนวปะทะ เมฆฝนตามธรรมชาติจากพายดุ ีเปรสชนั ทาํ ใหพ้ ้นื ที่หนา้ ภเู ขาในจงั หวดั บริเวณแมน่ ้าํ โขงมีปริมาณฝนมาก 3. เขตท่ีสูงเขาโดดทส่ี ูงเขาโดด เป็นภมู ิประเทศท่ีประกอบดว้ ยลกั ษณะภมู ิประเทศที่สูงกบั ลกั ษณะภูมิ ประเทศภูเขาโดด ๆ จึงหมายถึง ลกั ษณะภูมิประเทศที่มีระดบั สูงมากกวา่ บริเวณใกลเ้ คียงและมีภเู ขาโดดแทรกสลบั อยดู่ ว้ ย 4. เขตโคกโนน โคกและโนน เป็นลกั ษณะภูมิประเทศท่ีเป็นท่ีดอนเหมือนกนั และเป็นลกั ษณะภมู ิ ประเทศท่ีปรากฏอยอู่ ยา่ งกวา้ งขวางในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นอกจากน้ีถา้ พิจารณาจากช่ือของหม่บู า้ น ตาํ บล หรืออาํ เภอแลว้ มกั ข้ึนตน้ ดว้ ยคาํ วา่ โคกหรือ โนน เช่น อาํ เภอโนนสูง อาํ เภอโคกศรีสุพรรณ อาํ เภอโนนไทย เป็น ตน้ เรียกวา่ ภมู ินาม (geographic name) ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตโคกโนน คือ 1) เป็นที่ต้งั ถ่ินฐานบา้ นเรือน ชาวภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่จะต้งั ถ่ินฐานอยบู่ น โคกหรือโนน ส่วนนอ้ ยจะอยใู่ นที่ราบท่ีลมุ่ เนื่องจากปัญหาน้าํ ทว่ มและหนีจากคราบเกลือ ท่ีถูกน้าํ ชะละลายออกมา ตามท่ีราบและที่ลุ่ม 2) เป็นพ้นื ที่เพาะปลกู พชื ไร่และไมย้ นื ตน้ เช่น มนั สาํ ปะหลงั ออ้ ย ขา้ วฟ่ าง ปอแกว้ เป็น ตน้ ซ่ึงเป็นพชื เศรษฐกิจหลกั นอกเหนือจากขา้ วเหนียวและขา้ วเจา้

รูปที่ 1-2-2-6 ผกั สลดั 5. เขตทร่ี าบ ทีร่ าบ เป็นลกั ษณะภมู ิประเทศที่มีความแตกต่างระดบั ภายในพ้นื ท่ีนอ้ ยมาก ที่ราบใน ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่มกั ถูกน้าํ ทว่ มขงั ในข่วงน้าํ หลาก และแหง้ ขอดในช่วงหนา้ แลง้ โดยเฉพาะในท่ี ราบแอ่งโคราช ท่ีราบในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่จะใชป้ ลกู ขา้ ว ท้งั ขา้ วเจา้ และขา้ วเหนียวและเป็นพ้นื ที่เล้ียงสตั ว์ ประเภทโคและกระบือ หน่วยท่ี 6 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกจิ ภาคตะวนั ออก ภูมิประเทศภาคตะวันออก รูปที่ 1-2-2-11 แผนที่ภาคตะวนั ออก ภมู ิประเทศภาคตะวนั ออก พิจารณาเป็นเขตภูมิลกั ษณ์ไดด้ งั น้ี 1. เขตภูเขาสูง เขตภเู ขาสูง เช่นเทือกเขาบรรทดั เทือกเขาสันกาํ แพง เขาสอยดาว เขาใหญ่ เป็นตน้

ลกั ษณะสําคัญของภูมิลกั ษณ์เขตภูเขาสูง คือ 1) เป็นแนวปะทะเมฆฝนตามธรรมชาติ พิจารณาได้ 2 บริเวณกวา้ งๆ คือ บริเวณ ดา้ นหนา้ ทิวเขาสอยดาว และดา้ นหนา้ เทือกเขาบรรทดั ในเขตจงั หวดั จนั ทบุรีและตราด โดยเฉพาะท่ีอาํ เภอคลอง ใหญ่ มีปริมาณฝนสูงมากเขตน้ีจึงมีพชื พรรณธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นป่ าดิบช้ืนและป่ าดิบเขา ส่วนอีกบริเวณอยใู่ น เขตรับลมเทือกเขาสันกาํ แพง ตอนเหนือของจงั หวดั ปราจีนบุรีและสระแกว้ โดยท้งั สองเขตไดร้ ับอิทธิพลจากลม มรสุมตะวนั ตกเฉียงใตแ้ ละลมใตเ้ หมือนกนั 2) เป็นพ้นื ท่ีป่ าไมท้ ี่สาํ คญั เนื่องจากพ้นื ที่ภเู ขาสูงจะไดร้ ับความช้ืนจากเมฆท่ีลอยมา ปะทะ ทาํ ใหต้ น้ ไมไ้ ดร้ ับความช้ืนจึงมีป่ าไมป้ ระเภทต่างๆ ข้ึนปกคลุมอยมู่ าก 3) เป็นแหล่งสนบั สนุนตะกอนทรายช่วยสร้างสรรคห์ าดทรายที่สวยงาม โดยเฉพาะ ชายหาดแถบจงั หวดั ชลบุรี และระยอง จะไดร้ ับตะกอนทรายที่ผพุ งั จากหินแกรนิต หินไนส์และหินควอร์ตไซตจ์ าก ภเู ขาสูงตอนกลางภมู ิภาค 4) เป็นพ้นื ท่ีตน้ น้าํ ของสายน้าํ ในภาคตะวนั ออก เช่นแมน่ ้าํ ปราจีนบรุ ี แม่น้าํ จนั ทบุรี แม่น้าํ เวฬุ แม่น้าํ ประแส เป็นตน้ 5) เป็นแหลง่ สนบั สนุนธาตุอาหารใหด้ ินในท่ีราบ เมื่อหินและแร่ธาตผุ พุ งั โดย กระบวนการตามธรรมชาติจะถกู น้าํ พดั พามาสะสมในที่ราบและท่ีลุม่ จึงทาํ ใหด้ ินมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่ การเพาะปลูกพชื เศรษฐกิจตา่ งๆ 6) เป็นพ้นื ที่อนุรักษร์ ูปแบบต่างๆ เช่น อทุ ยานแห่งชาติเขาใหญ่ อุทยานแห่งชาติทบั ลาน เขตรักษาพนั ธุ์สัตวป์ ่ า เขาเขียว เขตรักษาพนั ธุส์ ตั วป์ ่ าเขาสอยดาว เป็นตน้ 2. เขตทีส่ ูง ทดี่ อนและโคกโนน

รูปที่ 1-2-2-12 โคกโนนและที่ดอน ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตทสี่ ูง ท่ดี อนและโคกโนน คือ 1) เป็นพ้นื ที่ไร่ชนิดตา่ งๆ เนื่องจากเป็นภูมิประเทศที่ดอน ดินจึงมีความช้ืนนอ้ ย 2) เป็นพ้ืนที่เล้ียงโคและกระบือ โดนเฉพาะบริเวณจงั หวดั ฉะเชิงเทราและสระแกว้ 3. เขตทรี่ าบ ที่ราบจะเป็นพ้ืนที่รับน้าํ ที่ถกู ระบายมาจากภเู ขาสูง ท่ีตอนสูง รวมท้งั รับตะกอนวตั ถตุ น้ กาํ เนิดดินที่ถกู พดั พาเคลื่อนยา้ ยจากท่ีสูง ทาํ ใหด้ ินในเขตท่ีราบมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสาํ หรับใชเ้ ป็นแหล่ง เกษตรกรรม และต้งั ถิ่นฐานบา้ นเรือน เช่น ท่ีราบฉนวนไทย ที่ราบลมุ่ น้าํ – บางปะกง เป็นตน้ 4. เขตชายฝ่ัง ภาคตะวนั ออกมีพ้ืนท่ีติดต่อกบั ทะเลบริเวณอ่าวไทยอยทู่ างดา้ นตะวนั ตกและดา้ นใต้ ภมู ิภาค ภูมิประเทศชายฝ่ังของภาคตะวนั ออกมีท้งั ชายฝ่ังลาดชนั ราบเรียบและราบล่มุ รวมท้งั หาดทราย หาดโคลน หาดเลน และหาดหิน ลกั ษณะสําคัญของภูมิลกั ษณ์เขตชายฝ่ัง คือ 1) เป็นเขตทอ่ งเท่ียวทางทะเลท่ีสาํ คญั เช่น อา่ วบางแสน อ่าวพทั ยา แหลมแมพ่ มิ พ์ อา่ วคุง้ วิมาน อ่าวคุง้ กระเบน เป็นตน้ 2) เป็นเขตท่ีช่วยสนบั สนุนเศรษฐกิจภาคอตุ สาหกรรม ไดแ้ ก่ ชายฝ่ังบริเวณทา่ เรือ แหลมฉบงั อาํ เภอศรีราชา จงั หวดั ชลบุรี และชายฝ่ังบริเวณทา่ เรือมาบตาพดุ อาํ เภอเมือง จงั หวดั ระยอง 5. เขตเกาะ คือ สภาพภูมิประเทศชายฝ่ังทะเลท่ีมีเกาะหลายเกาะมารวมตวั กนั รูปที่ 1-2-2-13 เกาะชา้ ง(อ.เกาะชา้ ง จ.ตราด) ลกั ษณะสําคญั ของภูมลิ กั ษณ์เขตเกาะ คือ

1) เป็นแหลง่ ท่องเที่ยวท่ีสาํ คญั เช่น เกาะสีชงั เกาะลา้ น เกาะไผ่ เกาะคราม เกาะ เสมด็ เกาะมนั ใน เกาะมนั กลางเกาะมนั นอก เกาะชา้ ง เกาะกดู เกาะหมาก เกาะรัง เกาะขาม เป็นตน้ 2) เป็นแหลง่ แวะจอดพกั และหลบคลื่นลมของเรือ เกาะท่ีต้งั อยรู่ ะหวา่ ง แผน่ ดินใหญแ่ ละทะเลลึกมีส่วนช่วยกาํ บงั ลมท่ีพดั เขา้ สู่ฝั่ง บางคร้ังเรือขนาดเลก็ และขนาดกลาง เช่น เรือประมง เรือขนถา่ ยสินคา้ เป็นตน้ สามารถใชเ้ ป็นที่กาํ บงั ลมพายใุ นทะเลท่ีพดั ผา่ นได้ โดยเฉพาะบริเวณเกาะสีชงั หน่วยที่ 7 ลกั ษณะทางภูมศิ าสตร์และเศรษฐกจิ ภาคตะวนั ตก ภูมปิ ระเทศภาคตะวันตก รูปที่ 1-2-2-14 แผนที่ภาคตะวนั ตก ภูมิประเทศภาคตะวนั ตก พิจารณาเป็นเขตภมู ิลกั ษณ์ไดด้ งั น้ี 1. เขตเทือกเขาถนนธงชัยตอนล่าง ไดแ้ ก่ แนวเทือกเขาถนนธงชยั กลาง ท่ีต่อเนื่องจาก อาํ เภอ ออมก๋อยจงั หวดั เชียงใหม่ตอ่ เน่ืองเขา้ มาในเขตจงั หวดั ตากดา้ นอาํ เภอทา่ สองยาง แม่ระมาด และสามเงาเทือกเขา ถนนธงชยั ตอนล่างจะต่อเนื่องจากจงั หวดั ตากไปจนถึงจงั หวดั กาญจนบุรีตอนบนส้ินสุดท่ีแนวแมน่ ้าํ แควนอ้ ย ลกั ษณะสําคัญของภูมิลกั ษณ์เขตเทือกเขาถนนธงชัยตอนล่าง คือ

1) เป็นแหลง่ สนบั สนุนสายน้าํ ใหท้ ่ีราบภาคกลาง เช่นแมน่ ้าํ ปิ ง หว้ ยขนุ แม่ทอ้ แมน่ ้าํ วงั มา้ แมน่ ้าํ สะแกกรัง เป็นตน้ 2) เป็นแหลง่ หินตดั ประเภทหินแกรนิตที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ พ้นื ที่จงั หวดั ตากเขตอาํ เภอ เมืองตากและบา้ นตากเน่ืองจากบริเวณน้ี มีหินแกรนิตสีสนั และเน้ือต่างๆอยมู่ าก เอ้ือต่อการทาํ เหมืองหินเพอ่ื ใชเ้ ป็น วสั ดุในงานก่อสร้าง รูปที่ 1-2-2-15 แร่ธาตใุ นไทย 3) การวางตวั ของเทือกเขาทาํ ใหด้ า้ นหลงั เทือกเขาแหง้ แลง้ ไดแ้ ก่ พ้นื ท่ีบริเวณ อาํ เภอสามเงา บา้ นตากเมืองตากและอาํ เภอวงั เจา้ จงั หวดั ตาก รวมท้งั บริเวณเขตติดต่อกลั ป์ ภาคกลาง เป็นบริเวณท่ี มีปริมาณฝนเฉล่ียรายปี นอ้ ยมากท่ีสุดเขตหน่ึงของประเทศเน่ืองจากเป็นเขตเงาฝนของเทือกเขาสูงจากลมมรสุม ตะวนั ตกเฉียงใต้ 2. เขตเทือกเขาตะนาวศรี แนวเทือกเขาตะนาวศรีเป็นแนวที่พาดผา่ นตามแนวชายแดนขนานกบั แมน่ ้าํ แควนอ้ ยต้งั แต่ด่านเจดียส์ ามองค์ อาํ เภอสงั ขละบุรี ผา่ นเขตทองผาภูมิ ไทรโยค แลว้ ผา่ นลงทางใตท้ างดา้ น ตะวนั ตกของจงั หวดั ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขนั ธ์ แนวเทือกเขาตะนาวศรีเร่ิมตน้ จากตอนใตแ้ นวรอยเลื่อน เจดียส์ ามองค์ ลกั ษณะเด่นคือ เป็นเทือกเขาที่มีหินแกรนิตเป็นหินฐาน 3. เขตท่ดี อนเขาโดด ไดแ้ ก่ พ้นื ท่ีดา้ นตะวนั ออกของเขตเทือกเขา ท้งั เทือกเขาถนนธงชยั และ เทือกเขาตะนาวศรีซ่ึงเป็นพ้นื ท่ีท่ีมีความสูงนอ้ ยกวา่ ตะนาวศรีและเทือกเขาถนนธงชยั จึงเป็นที่สะสมตะกอนที่ เคล่ือนตวั มาจากภเู ขาโดยลาํ น้าํ พดั พามาทาํ ใหเ้ กิดเป็นภมู ิประเทศลาดเชิงเขาประเภทเนินตะกอนรูปพดั ส่วนใหญ่ เป็นพ้นื ที่ทาํ ไร่ เช่น ออ้ ย มนั สาํ ปะหลงั สับปะรด ขา้ วโพดเล้ียงสัตว์ รวมถึงสวนขนุน มะม่วง เป็นตน้

4. เขตทีร่ าบและที่ราบลุ่มพืน้ ท่รี าบและพืน้ ท่รี าบล่มุ เป็นท่ีสะสมตะกอนน้าํ พาของแมน่ ้าํ และแคว สาขาทาํ ใหเ้ ป็นพ้นื ท่ีท่ีมีความอุดมสมบูรณ์แห่งหน่ึงของประเทศไทย ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ เขตที่ราบลมุ่ แมน่ ้าํ แม่กลอง และเขตที่ราบล่มุ แม่น้าํ เพชรบรุ ี 5. เขตชายฝั่งเพชรบุรี-ประจวบคีรีขนั ธ์ เป็นท่ีราบที่ประกอบไปดว้ ยแนวสันทรายชายฝ่ังสลบั กบั ท่ีลมุ่ ระหวา่ งสนั ทรายที่ราบดงั กลา่ วอยใู่ นเขตชายฝ่ังอาํ เภอบา้ นแหลม ชะอาํ หวั หิน ปราณบรุ ี สามร้อยยอด กยุ บุรี เมืองประจวบคีรีขนั ธท์ บั สะแก บางสะพาน และบางสะพานนอ้ ย หน่วยท่ี 8 ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกจิ ภาคตะวนั ใต้ ภูมปิ ระเทศภาคใต้ รูปท่ี 1-2-2-16 แผนที่ภาคใต้ 1. เขตแนวเทือกเขาสูง ไดแ้ ก่ เทือกเขาภูเก็ต เทือกเขานครศรีธรรมราช และเทือกเขาสนั กาลา คีรี ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตแนวเทือกเขาสูง คือ 1) เทือกเขาสูงเป็นแนวปะทะเมฆฝน ท้งั 3 เทือกเขามีระดบั สูงมากจึงทาํ ใหเ้ ป็น แนวปะทะเมฆฝนตามธรรมชาติ เช่น ท่ีตาํ บลคึกคกั อาํ เภอตะกวั่ ป่ า จงั หวดั พงั งา เป็นเขตรับลมของเทือกเขา ภเู ก็ต จากลมมรสุมตะวนั ตดเฉียงใต้ ทาํ ใหม้ ีฝนตกชุกและตกหนกั

รูปที่ 1-2-2-1 เทือกเขานครศรีธรรมราช (อ.นาโยง จ.ตรัง) 2) เทือกเขาสูงเป็นแหลง่ แร่ดีบกุ และวลุ แฟรม ท้งั 3 เทือกเขาเป็นแหล่งสินแร่ โลหะท่ีสาํ คญั คือ ดีบกุ และวลุ แฟรม เน่ืองจากมีหินแกรนิตเป็นหินฐาน 3) เทือกเขาสูงเป็นพ้ืนที่ตน้ น้าํ ของภาคใต้ เนื่องจากการเป็นแนวปะทะของเมฆฝน ตามธรรมชาติ และปกคลมุ ดว้ ยป่ าไม้ จึงทาํ ใหเ้ ป็นแหลง่ กาํ เนิดและสนบั สนุนสายน้าํ ใหแ้ ก่ลาํ ธาร คลอง หว้ ย และแมน่ ้าํ สายต่างๆของภาคใต้ 4) เทือกเขาสูงเป็นพ้นื ที่ป่ าไม้ โดยเฉพาะป่ าดิบช้ืนท่ีเป็นพชื พรรณธรรมชาติส่วน ใหญ่ของภาคใต้ จะถูกปกคลุมอยตู่ ามสนั เขา ไหล่เขา เชิงเขา หรือหุบเขาของท้งั 3 เทือกเขา 2. เขตบริเวณพืน้ ทส่ี ูงตอนกลาง บริเวณพ้นื ที่สูงตอนกลาง คือบริเวณท่ีสูงที่เป็นภูเขาโดด ภูเขา เต้ีย ลาดเชิงเขา และท่ีดอนต่อเนื่องกนั เป็นพ้นื ท่ีสูงในตอนกลางของคาบสมุทรภาคใต้ หรืออยรู่ ะหวา่ งเทือกเขา ภูเกต็ กบั เทือกเขานครศรีธรรมราชเป็นพ้นื ที่ปลูกยางพารา เน่ืองจากการเป็นภูมิประเทศที่สูงและอยใู่ นเขตร้อนช้ืน จึงทาํ ใหป้ ลูกยางพาราไดด้ ี นอกจากน้ียงั มีพืชเศรษฐกิจประเภทปาลม์ น้าํ มนั และผลไมช้ นิดตา่ งๆ 3. เขตภาคใต้ชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออก คือ ชายฝ่ังทะเลดา้ นอา่ วไทย ครอบคลุมพ้นื ที่ชายฝ่ังทะเล ต้งั แตบ่ ริเวณอาํ เภอประทิวจงั หวดั ชุมพร ไปจนตลอดปาน้าํ โก – ลก อาํ เภอตากใบ จงั หวดั นราธิวาส ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตภาคใต้ชายฝ่ังทะเลตะวนั ออก คือ 1) เป็นชายฝ่ังทะเลที่มีท่ีราบชายฝ่ังกวา้ งกวา่ ชายฝ่ังทะเลตะวนั ตก เป็นที่ต้งั ของชุมชน เมืองขนาดใหญ่ ไดแ้ ก่ จงั หวดั ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พทั ลงุ สงขลา ปัตตานี 2) มีลกั ษณะภูมิประเภทยอ่ ยสนั ดอนจะงอยทรายปรากฏอยู่ ไดแ้ ก่ แหลมตะลมุ พุก จงั หวดั นครศรีธรรมราช และแหลมโพธ์ิ จงั หวดั ปัตตานี

รูปที่ 1-2-2-19 อ่าวประจวบ (อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขนั ธ)์ 3) มีทะเลสาบน้าํ เคม็ และน้าํ กร่อยขนาดใหญท่ ี่สุดของประเทศ ไดแ้ ก่ ทะเลสาบสงขลา ทะเลหลวง และทะเลนอ้ ย ครอบคลมุ พ้นื ท่ีบางส่วนของจงั หวดั สงขลาและพทั ลุง 4. เขตภาคใต้ชายฝั่งทะเลตะวนั ตก คือชายฝ่ังทะเลดา้ นอนั ดามนั ครอบคลมุ พ้นื ท่ีต้งั แต่จงั หวดั ระนองไปจนตลอดจงั หวดั สตลู ลกั ษณะสําคญั ของภูมิลกั ษณ์เขตภาคใต้ชายฝั่งทะเลตก คือ 1) เป็นชายฝั่งท่ีมีแหล่งทอ่ งเท่ียวทางทะเลอยมู่ ากและมีชื่อเสียง เช่น หาดป่ า ตอง หม่เู กาะสุรินทร์ หมเู่ กาะสิมิลนั เขาตะปู เขาพงิ กนั เกาะพีพี เป็นตน้ 2) เป็นชายฝ่ังที่มีที่ราบชายฝ่ังทะเลแคบ โดยเฉพาะชายฝ่ังแถบจงั หวดั ระนอง และพงั งา จะเป็นชายฝ่ังลาดชนั เน่ืองจากส่วนใหญ่ท่ีไหลเขาติดกบั ชายทะเล 3) เป็นชายฝ่ังท่ีมีป่ าชายเลนข้ึนอยมู่ าก โดยเฉพาะตามปากน้าํ ปากคลองสบกบั ทะเล จะนาํ เอาตะกอนโคลนเลนหรือทรายแป้งมาสะสม จึงมีป่ าชายเลนข้ึนอยมู่ าก หน่วยท่ี 9 ประวตั ศิ าสตร์และวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ แหล่งขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์ในการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนในสงั คมไทยแตล่ ะยคุ สมยั อาจจาํ แนกได้ เป็น 2 ประเภท 1.หลกั ฐานที่เป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ หลกั ฐานท่ีเป็นตวั หนงั สือโดยมนุษยไ์ ดท้ ิ้งร่องรอยขีดเขียนเป็น ตวั หนงั สือประเภทตา่ งๆ ในรูปของการจารึกในศิลาจารึกและการจารึกบนแผน่ โลหะ นอกจากน้ีหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรประเภทอ่ืน เช่น พงศาวดาร จดหมายเหตุ ตาํ นาน และกฎหมาย 2.หลกั ฐานท่ีเป็ นวัตถุ ไดแ้ ก่ วตั ถทุ ี่มนุษยแ์ ต่ละยคุ แต่ละสมยั ไดส้ ร้างข้ึน และตกทอดมาจนถึงปัจจุบนั เช่น โบราณสถาน ประกอบดว้ ย วดั เจดีย์ มณฑป และโบราณวตั ถุ ประกอบดว้ ย พระพุทธรูป ถว้ ยชามสงั คโลก การแบ่งลาํ ดบั ความสําคญั ของหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์เป็ น 2 ประเภท คือ

1.หลกั ฐานช้ันต้นหรือหลกั ฐานปฐมภูมเิ ป็นหลกั ฐานท่ีมาจากเหตุการณ์ที่เกินข้ึนจริงใยสมยั น้นั ๆ โดยมีการ บนั ทึกของผูท้ ี่เกี่ยวกบั เหตุการณ์โดยตรง หรือผูท้ ี่รู้เหตุการณ์น้นั ดว้ ยตนเอง ดงั น้นั หลกั ฐานช่วงตน้ จึงเป็นหลกั ฐาน ท่ีมีความสาํ คญั และน่าเชื่อถือมากท่ีสุด เพราะบนั ทึกของบคุ คลที่เกี่ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์หรือผอู้ ยใู่ นเหตุการณ์ บนั ทึกไว้ เช่น จดมายเหตุ คาํ สัมภาษณ์ เอกสารทางราชการ บนั ทึกความทรงจาํ กฎหมาย หนงั สือพิมพ์ ภาพยนตร์ สไลด์ วิดีทศั น์ แถบบนั ทึกเสียง โบราณสถาน 2.หลกั ฐานช้ันรองหรือหลกั ฐานทุตยิ ภูมเิ ป็นหลกั ฐานที่เขียนข้ึนโดยบคุ คลที่ไม่ไดม้ ีความเก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์ น้นั โดยตรง โดยมีการเรียบเรียงข้ึนภายหลงั จากเกิดเหตุการณ์น้นั ๆ ส่วนใหญ่อยใู่ นรูปของบทความทางวิชาการ และหนงั สือต่างๆ เช่น พงศาวดาร ตาํ นาน บนั ทึกคาํ บอกเลา่ ผลงานทางการศึกษาคน้ ควา้ ของนกั วชิ าการ สาํ หรับ หลกั ฐานช้นั รองน้นั มีขอ้ ดี คือมีความสะดวกและงา่ ยในการศึกษาทาํ ความเขา้ ใน เน่ืองจากเป็นขอ้ มูลไดผ้ า่ น การศึกษาคน้ ควา้ ตรวจสอบขอ้ มูล วเิ คราะห์เหตกุ ารณ์และอธิบายไวอ้ ยา่ งเป็ นระบบ ลกั ษณะสําคัญของหลกั ฐานประวตั ศิ าสตร์ในประเทศไทย หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย มีอยหู่ ลายลกั ษณะ อาจแบ่งลกั ษณะสาํ คญั ของหลกั ฐานออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ 1.หลกั ฐานท่ไี ม่ใช่ลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ 1.1 โบราณสถาน หมายถึง สิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษยข์ นาดต่างๆกนั อยตู่ ิดกบั พ้นื ดินไมอ่ าจนาํ เคล่ือนท่ีไปได้ เช่น กาํ แพงเมือง คูเมือง วงั วดั ตลอดจนส่ิงก่อสร้างที่อยใู่ นวดั และวงั เช่น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ และท่ีอยอู่ าศยั การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั โบราณสถาน จาํ เป็นตอ้ งเดินทางไปยงั สถานท่ีต้งั ของโบราณสถานน้นั ๆ 1.2 โบราณวัตถุ หมายถึง สิ่งของโบราณท่ีมีลกั ษณะต่างๆกนั สามารถนาํ ติดตวั เคลื่อนยา้ ยได้ ไม่วา่ ส่ิงของ น้นั ๆ จะเกิดข้ึนตามธรรมชาติ เป็นสิ่งท่ีมนุษยป์ ระดิษฐข์ ้ึน หรือเป็น ส่วนหน่ึงส่วนใดของโบราณสถาน และ สิ่งของที่มนุษยป์ ระดิษฐข์ ้ึนเหล่าน้ีเกิดข้ึนในสมยั ประวตั ิศาสตร์ เช่น พระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพตา่ งๆ เครื่องประดบั และเคร่ืองมือเครื่องใชต้ า่ งๆ การศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั โบราณวตั ถุ ไม่จาํ เป็นตอ้ งเดินทางไปยงั สถานที่ทางประวตั ิศาสตร์เสมอไป และสามารถไปศึกษาไดจ้ ากแหลง่ รวบรวมท้งั ของราชการ เช่น พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ 2. หลกั ฐานทีเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร ไดแ้ ก่ 2.1 จารึก ในแง่ของภาษาแลว้ มีคาํ อยู่ 2 คาํ ที่คลา้ ยคลึงและเก่ียวกบั ขอ้ งกนั คือ คาํ วา่ จาร และจารึก

คาํ วา่ จาร แปลวา่ เขียนอกั ษรดว้ ยเหลก็ แหลมลงบนใบลาน คาํ วา่ จารึก แปลวา่ เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่ ศิลาหรือโลหะ ในส่วนที่เกี่ยวขอ้ งกบั หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ คาํ วา่ จารึก หมายรวมถึง หลกั ฐานที่เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ซ่ึงใชว้ ธิ ีเขียนเป็นรอยลึก ถา้ เขียนเป็นรอยลึกลงบนแผน่ หิน เรียกวา่ ศิลาจารึก เช่น ศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ท่ี 1 จารึก พอ่ ขนุ รามคาํ แหง ถา้ เขียนลงบนวสั ดุอื่นๆ เช่น แผน่ อิฐ เรียกวา่ จารึกบนแผน่ อิฐ แผน่ ดีบุก เรียกวา่ จารึกบนแผน่ ดีบกุ และการจารึกบนใบลาน นอกจากน้ียงั มีการจารึกไวบ้ นปูชนียสถานและปูชนียวตั ถุตา่ งๆ โดยเรียกไปตาม ลกั ษณะของจารึกปูชนียวตั ถสุ ถานน้นั ๆ เช่น จารึกบนฐานพระพทุ ธรูปสมยั สุโขทยั สมยั ลพบรุ ี เรื่องราวท่ีจารึกไวบ้ นวสั ดุต่างๆ ที่พบในดินแดนประเทศไทย ส่วนมากจะเป็นเร่ืองราวของพระมหากษตั ริย์ และศาสนา จารึกเหลา่ น้ีมีท้งั ท่ีเป็นตวั อกั ษร ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษามอญ ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤต จารึกท่ี คน้ พบในประเทศไทยมีอยจู่ าํ นวนมาก เช่น จารึกสมยั ทวารวดี จารึกศรีวิชยั จารึกหริภุญชยั และจารึกสุโขทยั 2.2 เอกสารพื้นเมือง เอกสารพ้นื เมืองนบั ไดว้ า่ เป็นหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรท่ีสาํ คญั ของประเทศไทย มกั ปรากฏในรูปหนงั สือสมดุ ไทย และเรียกช่ือแตกต่างกนั ออกไป เช่น ตาํ นาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ ดงั มีรายละเอียด ดงั น้ี 1) ตาํ นาน เป็นเร่ืองท่ีเล่าถึงเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในอดีต เลา่ สืบตอ่ กนั มาแตโ่ บราณจนหาจุดกาํ เนิดไม่ได้ แตไ่ ม่ สามารถรู้ไดว้ า่ ใครเป็นคนเลา่ เร่ืองราวเป็นคนแรก ส่ิงท่ีพอจะรู้ไดก้ ็คือ มีการเล่าเรื่องสืบตอ่ กนั มาเป็นเวลานาน พอสมควร จนกระทง่ั มีผรู้ ู้หนงั สือไดจ้ ดจาํ และบนั ทึกลงเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ต่อมาจึงมีการคดั ลอกตาํ นาน เหลา่ น้นั เป็นทอดๆไปหลายคร้ัง หลายครา ทาํ ใหเ้ กิดมีขอ้ ความคลาดเคล่ือนไปเร่ือย ๆ ดงั น้นั เรื่องที่ปรากฏอยใู่ น ตาํ นานจึงอาจถูกเปล่ียนแปลงไปจากเร่ืองเดิม เน้ือเรื่องของตาํ นาน ส่วนมากเป็นเรื่องเก่ียวกบั เหตุการณ์สาํ คญั ของ บา้ นเมืองหรือชุมชนสมยั ด้งั เดิมเกี่ยวกบั ปชู นียสถานและปูชนียวตั ถุ หรือเก่ียวกบั พฤติกรรมของบุคคลสาํ คญั เช่น พระมหากษตั ริย์ วรี บุรุษ โดยสามารถจดั ประเภทของตาํ นานไทยได้ 3 ลกั ษณะ 1.1) ตํานานในรูปของนิทานพืน้ บ้าน เช่น เร่ืองพญากง พญาพาน ทา้ วแสนปม 1.2) ตาํ นานในรูปของการบนั ทึกประวตั ิของพระพทุ ธศาสนา จุดม่งุ หมายเพ่อื รักษาศรัทธา ความเช่ือ สัญลกั ษณ์ ของพทุ ธศาสนา เช่น ตาํ นานพระแกว้ มรกต 1.3) ตํานานในรูปของการบันทกึ เร่ืองราวเกย่ี วกบั เหตุการณ์บ้านเมือง ราชวงศ์ กษตั ริย์ และเหตกุ ารณ์ทีเ่ กย่ี วกบั มนุษย์และสัตว์ในอดีต เช่น ตาํ นานสิงหนวตั ิกมุ าร ตาํ นานจามเทวีวงศ์ ตาํ นานมลู ศาสนา ตาํ นานชินกาลมาลีปกรณ์

2) พงศาวดาร พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชดาํ รัสใหค้ วามหมายของพงศาวดารวา่ หมายถึง เร่ืองราวท่ีเก่ียวกบั พระเจา้ แผน่ ดิน ซ่ึงสืบสันติวงศล์ งมาถึงเวลาท่ีเขียนน้นั แต่ต่อมามีการกาํ หนด ความหมายของพงศาวดารใหก้ วา้ งออกไปอีกวา่ หมายถึง การบนั ทึกเหตกุ ารณ์ท่ีเก่ียวกบั อาณาจกั รและกษตั ริยท์ ี่ ปกครองอาณาจกั รพงศาวดารจึงมีมาต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานีจวบจนกระทง่ั สมยั รัตนโกสินทร์ตอนตน้ (รัชกาลที่ 4) สามารถจาํ แนกพงศาวดารได้ 2 ลกั ษณะคือ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยาและพระราชพงศาวดาร กรุงรัตนโกสินทร์ เช่น พงศาวดารกรุงเก่าฉบบั หลวงประเสริฐ พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ของสมเด็จกรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ และพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1-4 ของเจา้ พระยาทิพา กรวงศม์ หาโกษธิบดี (ขาํ บนุ นาค) อยา่ งไรกต็ ามแมว้ า่ หลกั ฐานประเภทพงศาวดารจะมีขอ้ บกพร่องอยมู่ าก แต่ก็ เป็นหลกั ฐานที่มีประโยชนใ์ นการศึกษาประวตั ิศาสตร์ 3) จดหมายเหตุ ในสมยั โบราณจดหมายเหตุ หมายถึง การจดบนั ทึกขา่ วคราวหรือเหตุการณ์เรื่องหน่ึงๆ ท่ีเกิดข้ึนใน วนั เดือน ปี น้นั ๆ แต่ในปัจจุบนั น้ีความหมายของคาํ วา่ จดหมายเหตุไดเ้ ปล่ียนแปลงไปจากเดิม หมายถึง เอกสาร ทางราชการท้งั หมด เม่ือถึงส้ินปี จะตอ้ งนาํ ชิ้นท่ีไม่ใชแ้ ลว้ ไปรวบรวมเก็บรักษาไวท้ ี่กองจดหมายเหตแุ ห่งชาติ มี คุณคา่ ดา้ นการคน้ ควา้ อา้ งอิงและเอกสารเหล่าน้ี เม่ือมีอายตุ ้งั แต่ 25-50 ปี ไปแลว้ จึงเรียกวา่ จดหมายเหตุหรือบรรณ สาร การบนั ทึกจดหมายเหตขุ องไทยในสมยั โบราณ ส่วนมากบนั ทึกโดยผทู้ ่ีรู้หนงั สือและรู้ฤกษย์ ามดี โดยมีการ บนั ทึกวนั เดือน ปี และฤกษย์ ามลงก่อนจึงจะจดเหตุการณ์ที่เห็นวา่ สาํ คญั ลงไว้ โดยมากจะจดในวนั เวลา ที่มี เหตกุ ารณ์เกิดข้ึน หรือในวนั เวลา ที่ใกลเ้ คียงกนั กบั ท่ีผจู้ ดบนั ทึกไดพ้ บเห็นเหตุการณ์น้นั ๆ ดว้ ยเหตุน้ี เอกสาร ประเภทน้ีจึงมกั มีความถกู ตอ้ งในเร่ืองวนั เดือน ปี มากกวา่ หนงั สืออื่นๆ เช่น จดหมายเหตขุ องหลวง เป็ นจดหมาย เหตทุ ี่ทางฝ่ายบา้ นเมืองไดบ้ นั ทึกไวเ้ ป็นเหตุการณ์ที่เก่ียวกบั พระมหากษตั ริยแ์ ละบา้ นเมือง จดหมายเหตุโหร เป็น เอกสารท่ีเกิดข้ึนเน่ืองจากโหรซ่ึงเป็นผทู้ ่ีรู้หนงั สือและฤกษย์ ามจดไวต้ ลอดท้งั ปี และมีท่ีวา่ งไวส้ าํ หรับใชจ้ ดหมาย เหตตุ า่ งๆ ลงในปฏิทินน้นั เหตกุ ารณ์ท่ีโหรจดไว้ โดยมากเป็นเหตกุ ารณ์เกี่ยวกบั ดวงดาว วิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวตั ิศาสตร์มีอยู่ 5 ข้นั ตอน คือ 1. การกาํ หนดหวั เร่ืองที่ตอ้ งการจะศึกษา การศึกษาเร่ืองราวในประวตั ิศาสตร์ ควรเร่ิมตน้ จากการกาํ หนดเป้าหมาย เพอื่ ใหท้ ราบจุดประสงค์ การศึกษาใหแ้ น่ชดั ซ่ึงเราจาํ เป็นจะตอ้ งต้งั คาํ ถามในส่ิงที่ตอ้ งการศึกษา และใชก้ ารอา่ นและสงั เกตในการตอบ

คาํ ถาม นอกจากน้ี ก็ควรตอ้ งมีความรู้พ้นื ฐานทางประวตั ิศาสตร์ใหม้ ากเพยี งพอ เพื่อที่จะสามารถตอบไดว้ า่ เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้ึนน้นั เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งไร 2. การรวบรวมหลกั ฐานทีเ่ กย่ี วข้อง การรวบรวมหลกั ฐานที่ตอ้ งการศึกษา มีท้งั ท่ีเป็นหลกั ฐานลายลกั ษณ์อกั ษร และหลกั ฐานท่ีไม่เป็นลาย ลกั ษณ์อกั ษร ซ่ึงอาจอแบ่งหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ออกไดเ้ ป็น ‘หลกั ฐานช้นั ตน้ หรือหลกั ฐานปฐมภมู ิ’ กบั ‘หลกั ฐานช้นั รองหรือหลกั ฐานทตุ ิยภมู ิ’ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) หลกั ฐานช้ันต้น (Primary Sources) เป็นหลกั ฐานที่เก่ียวขอ้ งกบั เหตุการณ์น้นั ๆโดยตรง เช่น หลกั ฐานทาง ราชการ ประกาศ สุนทรพจน์ บนั ทึกความทรงจาํ ของผทู้ ่ีอยใู่ นเหตุการณ์ ผเู้ ห็นเหตกุ ารณ์ วดิ ีทศั น์ ภาพยนตร์ หรือ ภาพถา่ ย เป็นตน้ 2) หลกั ฐานช้ันรอง (Secondary Sources) เป็นหลกั ฐานที่ทาํ ข้ึนจากหลกั ฐานช้นั ตน้ บุคคลที่สร้างข้ึนไมไ่ ด้ เกี่ยวขอ้ งกบั เหตุการณ์น้นั โดยตรง แต่ไดร้ ับรู้โดยผา่ นบุคคลหรือผลงานอ่ืน ดว้ ยเหตนุ ้ี หลกั ฐานช้นั ตน้ จึงมีความสาํ คญั มากกวา่ หลกั ฐานช้นั รอง อยา่ งไรก็ตาม หลกั ฐานช้นั รองจะเป็นตวั ช่วย ในการอธิบายเรื่องราวใหเ้ ขา้ ใจมากยง่ิ ข้ึน และเป็นตวั ช่วยที่จะนาํ ไปสู่หลกั ฐานขอ้ มลู อื่นๆ การคน้ ควา้ เรื่องราวใน ประวตั ิศาสตร์ควรมองให้รอบดา้ นและระมดั ระวงั เน่ืองจากหลกั ฐานทุกประเภทมีจุดเด่นและจุดดอ้ ยที่แตกต่างกนั 3. การประเมนิ คุณค่าของหลกั ฐานท่ีได้มา ก่อนจะนาํ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่คน้ ควา้ มาไดม้ าศึกษา จะตอ้ งมีการประเมินคุณค่าของหลกั ฐานน้นั เสียก่อน วา่ เป็นหลกั ฐานท่ีแทจ้ ริงหรือไมเ่ พียงใด โดยการประเมินคุณคา่ ของหลกั ฐานน้ี อาจเรียกอีกชื่อหน่ึงวา่ “การวิพากษว์ ิธีทางประวตั ิศาสตร์” ซ่ึงสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 2 วิธี ไดแ้ ก่ 1) การประเมินคณุ ค่าภายนอกหรือวพิ ากษ์วิธีภายนอก คือ การประเมินคุณค่าของหลกั ฐานจากลกั ษณะภายนอก และเนื่องจากบางคร้ังหลกั ฐานอาจมีการปลอมแปลงใหผ้ ิดไปจากความเป็นจริง หรือเพอื่ ผลประโยชน์ทางการเมือง หรือการคา้ ดงั น้นั การประเมินขอ้ เทจ็ จริงของเอกสารจึงเป็นสิ่งสาํ คญั โดยการประเมินวิธีภายนอก จะพิจารณา จากส่ิงท่ีปรากฏภายนอกเป็นหลกั เช่น การพิจารณาเน้ือกระดาษ ที่สามารถบ่งบอกไดว้ า่ มีที่มาจากชาติไหน เป็นตน้ 2) การประเมนิ คุณค่าภายในหรือวิพากษ์วิธีภายใน คือ การประเมินคุณค่าของหลกั ฐานโดยอาศยั ขอ้ มูลภายใน หลกั ฐานน้นั ๆ ไมว่ า่ จะเป็น ‘ช่ือบคุ คล’ ‘สถานที่’ หรือ ‘เหตุการณ์’ ยกตวั อยา่ งเช่น หากในหลกั ฐานเชื่อกนั วา่ เป็น

หลกั ฐานสมยั สุโขทยั แต่เน้ือหาภายในมีการกล่าวถึงสหรัฐอเมริกา ก็ควรต้งั ขอ้ สงสัยวา่ หลกั ฐานน้นั อาจไม่ใช่ หลกั ฐานสมยั สุโขทยั จริง เน่ืองจากประเทศสหรัฐอเมริกายงั ไมเ่ ขา้ มาในสมยั สุโขทยั 4. การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล หลงั จากแน่ใจแลว้ วา่ หลกั ฐานน้นั เป็นของแท้ และใหข้ อ้ มูลท่ีเป็นจริงตามประวตั ิศาสตร์ ผศู้ ึกษาก็ตอ้ ง พจิ ารณาเพม่ิ เติมวา่ ขอ้ มูลทางประวตั ิศาสตร์น้นั สมบรู ณ์มากนอ้ ยเพยี งใด หรือขอ้ มูลน้นั ๆมีจุดมุ่งหมายเบ้ืองตน้ อยา่ งไรบา้ ง หลงั จากน้นั จึงนาํ เอาขอ้ มูลท้งั หลายมาแบง่ หมวดหม่ตู ามความเหมาะสม เพอ่ื ใหง้ ่ายตอ่ การดาํ เนินงาน ข้นั ตอ่ ไป ข้นั ตอนต่อไป คือ การพยายามหาความสัมพนั ธ์ของประเดน็ ต่างๆ และตีความขอ้ มูลน้นั ๆวา่ มีขอ้ เทจ็ จริงอ่ืนใดท่ี ยงั คงถกู ซ่อนและไม่กล่าวถึงอีกบา้ ง รวมไปถึงการพิจารณาดว้ ยวา่ ขอ้ มลู ที่ไดม้ าน้นั กล่าวเกินจริงไปหรือไม่ ซ่ึงผู้ ศึกษาประวตั ิศาสตร์จาํ เป็ นตอ้ งมีความละเอียดรอบคอบ เป็นกลาง รอบรู้ หรือมีจินตนาการ เพื่อท่ีจะนาํ ขอ้ มูล ท้งั หมดมาวเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบ หรือจดั หมวดหมู่ไดอ้ ยา่ งเป็นระบ 5. การเรียบเรียงหรือการนําเสนอข้อมูล หลงั จากดาํ เนินข้นั ตอนมาตามที่กล่าวไวข้ า้ งตน้ แลว้ กจ็ ะมาจบลงที่การเรียบเรียงหรือการนาํ เสนอ ซ่ึงเป็น ข้นั ตอนสุดทา้ ยของวธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์ ข้นั ตอนน้ีมีความสาํ คญั เป็นอยา่ งมาก เน่ืองจากเป็นข้นั ตอนท่ีจะ ขมวดเอาขอ้ มลู ท้งั หมดเขา้ ดว้ ยกนั และนาํ เสนอใหต้ รงกบั ประเด็นหวั เรื่องที่สงสยั รวมไปถึงการสืบหาความคิด ใหมท่ ี่ไดจ้ ากการศึกษาคร้ังน้ี เพ่อื จาํ ลองเหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์ที่เคยเกิดข้ึนในอดีต ใหก้ ลบั มาใหมอ่ ีกคร้ัง สาํ หรับข้นั ตอนการนาํ เสนอ ผศู้ ึกษาจะตอ้ งอธิบายเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนอยา่ งเป็ นข้นั เป็นตอน มีเหตุมีผล และมีขอ้ มลู สนบั สนุนที่น่าเช่ือถือ รวมถึงการปิ ดทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอแนะ เพือ่ นาํ ทางใหผ้ ทู้ ส่ี นใจคนอ่ืนๆไดศ้ ึกษาตอ่ ไป หน่วยท่ี 10 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ของชาติไทย ยคุ ก่อน – ยคุ สมยั สุโขทยั ประวตั ยิ คุ ก่อนอาณาจักรสุโขทยั เดิมที สุโขทยั เป็นสถานีการคา้ ของแควน้ ละโว้ (ลวรัฐ) ของอาณาจกั รขอม บนเส้นทางการคา้ ผา่ นคาบสมุทร ระหวา่ งอา่ วเมาะตะมะ กบั เขตที่ราบล่มุ แม่น้าํ โขงตอนกลาง (ประเทศลาว) คาดวา่ เร่ิมต้งั เป็นสถานีการคา้ ในราว พทุ ธศกั ราช ๑๗๐๐ในรัชสมยั ของพระยาธรรมิกราช กษตั ริยล์ ะโว้ โดยมีพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถมเป็นผปู้ กครองและ

ดูแลกิจการภายในเมืองสุโขทยั และศรีสชั นาลยั ต่อมาเม่ือพ่อขนุ ศรีนาวนาํ ถมสวรรคต ขอมสบาดโขลญลาํ พง ซ่ึง เป็นคลา้ ยๆกบั ผตู้ รวจราชการจากลวรัฐ เขา้ ทาํ การยึดอาํ นาจการปกครองสุโขทยั จึงส่งผลให้ พอ่ ขนุ ผาเมือง (พระ ราชโอรสของพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถม) เจา้ เมืองราดและพ่อขนุ บางกลางหาว เจา้ เมืองบางยาง ตดั สินพระทยั จะยดึ ดินแดนคืน การชิงเอาอาํ นาจจากผคู้ รองเดิมคืออาณาจกั รขอมเมื่อปี ๑๗๘๑และสถาปนาเอกราชใหก้ รุงสุโขทยั ข้ึน เป็นราชธานีของชาวไทยโดยไม่ข้ึนตรงกบั รัฐใด พอ่ ขนุ ผาเมือง ก็กลบั ยกเมืองสุโขทยั ใหพ้ ่อขนุ บางกลางหาวครอง พร้อมท้งั พระแสงขรรคช์ ยั ศรี และพระนามกาํ มรเตงอญั ศรีอินทรบดินทราทิตย์ ซ่ึง ๗ ทรงพระราชทานใหพ้ ่อขนุ ผาเมืองก่อนหนา้ น้ี โดยคาดวา่ เหตผุ ลคือพ่อขนุ ผาเมือง มีพระนางสิขรเทวพี ระมเหสี (ราชธิดาของพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ) ซ่ึงพระองคเ์ กรงวา่ ชาวสุโขทยั จะไมย่ อมรับ แต่ก็กลวั วา่ ทางขอมจะไม่ไวใ้ จจึงมอบพระนามพระราชทาน และพระแสงขรรคช์ ยั ศรี ข้ึนบรมราชาภิเษก พอ่ ขนุ บางกลางหาว ใหเ้ ป็ นกษตั ริย์ เพือ่ เป็นการตบตาราชสาํ นกั ขอม อาณาจักรสุโขทยั หลงั จากมีการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั ข้ึนเป็นราชธานี และมพี ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษตั ริยแ์ ลว้ พระองค์ ทรงดูแลพระราชอาณาจกั ร และบาํ รุงราษฎรเป็นอยา่ งดีพระมหากษตั ริยพ์ ระองคท์ ่ีสาม พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราช ทรงพระปรีชาสามารถท้งั ในดา้ นนิรุกติศาสตร์ การปกครอง กฎหมาย วศิ วกรรม ศาสนา ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง ประเทศ เป็นตน้ ผลงานของพระองคท์ ่ีปรากฏใหเ้ ห็น อาทิ ศิลาจารึกท่ีคน้ พบในสมยั ของพระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว ที่อธิบายถึงความเป็นมา ลีลาชีวติ ของชาวสุโขทยั โบราณ น้าํ พระทยั ของพระมหากษตั ริย์ การ พพิ ากษาอรรถคดี ฯลฯ นอกจากน้ียงั มีผลงานทางวิศวกรรมชลประทาน คือ เข่ือนสรีดภงคท์ ่ีเป็นการกกั เก็บน้าํ ไว้ ใชใ้ นยามแลง้ มีการทาํ ท่อส่งน้าํ จากตวั เข่ือนมาใชใ้ นเมืองพระมหากษตั ริยท์ ่ีทรงทาํ นุบาํ รุงศาสนามากที่สุดคือ พระ เจา้ ลิไท ในรัชสมยั ของพระองคม์ ีการสร้างวดั มากที่สุด กษตั ริยพ์ ระองคส์ ุดทา้ ยในฐานะรัฐอิสระ คือ พระมหา ธรรมราชาท่ี ๔ (บรมปาล) ตอ่ จากน้นั อาณาจกั รไดถ้ ูกแบง่ ส่วนออกเป็นของอาณาจกั รอยธุ ยา และอาณาจกั ร ลา้ นนา จนในท่ีสุด อาณาจกั รท้งั หมด กถ็ ูกรวมศูนย์ เขา้ เป็นดินแดนสวนหน่ึงของอาณาจกั รอยธุ ยา ดา้ นการปกครอง ดา้ นการปกครองสามารถแยกกลา่ วเป็น ๒ แนว ดงั น้ี ในแนวราบ จดั การปกครองแบบพอ่ ปกครองลูก กลา่ วคือผปู้ กครองจะมีความใกลช้ ิดกบั ประชาชน ให้ ความเป็นกนั เองและความยตุ ิธรรมกบั ประชาชนเป็ นอยา่ งมาก เมื่อประชาชนเกิดความเดือดร้อนไมไ่ ดร้ ับความเป็น ธรรม สามารถร้องเรียนกบั พ่อขนุ โดยตรงได้ โดยไปสัน่ กระดิ่งท่ีแขวนไวท้ ่ีหนา้ ประตูท่ีประทบั ดงั ขอ้ ความในศิลา

จารึกปรากฏวา่ ในปากประตูมีกระด่ิงอนั หน่ึงไวห้ ้นั ไพร่ฟ้าหนา้ ใสนน่ั คือเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนสามารถมาสน่ั กระด่ิงเพื่อแจง้ ขอ้ ร้องเรียนได้ ในแนวดิ่ง ไดม้ ีการจดั ระบบการปกครองข้ึนเป็น ๔ ชนช้นั คือ พอ่ ขนุ เป็นชนช้นั ผปู้ กครอง อาจเรียกชื่อ อยา่ งอื่น เช่น เจา้ เมือง พระมหาธรรมราชา หากมีโอรสกจ็ ะเรียก \"ลูกเจา้ \" ลกุ ขนุ เป็นขา้ ราชบริพาร ขา้ ราชการที่มี ตาํ แหน่งหนา้ ท่ีช่วงปกครองเมืองหลวง หวั เมืองใหญ่นอ้ ย และภายในราชสาํ นกั เป็นกล่มุ คนที่ใกลช้ ิดและไดร้ ับ การไวว้ างใจจากเจา้ เมืองใหป้ ฏิบตั ิหนา้ ที่บาํ บดั ทุกขบ์ าํ รุงสุขแก่ไพร่ฟ้า ไพร่หรือสามญั ชน ไดแ้ ก่ราษฎรทวั่ ไปท่ีอยู่ ในราชอาณาจกั ร (ไพร่ฟ้า) ทาส ไดแ้ ก่ชนช้นั ที่ไม่มอี ิสระในการดาํ รงชีวิตอยา่ งสามญั ชนหรือไพร่ (อยา่ งไรก็ตาม ประเดน็ ทาสน้ียงั คงถกเถียงกนั อยวู่ า่ มีหรือไม่) ความสัมพนั ธ์กบั ตา่ งชาติจกั รวรรดิมองโกลกองทพั จกั รวรรดิมองโกลแผแ่ สนยานุภาพโดดเด่นที่สุดเป็ นช่วง เดียวกบั การต้งั กรุงสุโขทยั ในปี พ.ศ. ๑๘๐๐ (ค.ศ. ๑๒๕๗ ) ซ่ึงเป็นอาณาจกั รของตนอยา่ งแทจ้ ริงเป็นคร้ังแรก หลกั ฐานสาํ คญั ในพงศาวดารหงวนฉบบั เก่า เลม่ ที่ ๒ แปลเรื่องราวการติดตอ่ ระหวา่ งอาณาจกั รสุโขทยั กบั ราชวงศ์ มองโกล ไดส้ รุปไวว้ า่ กุบไลขา่ นทรงปรึกษาขนุ นางขา้ ราชการระดบั สูงเกี่ยวกบั การเตรียมทพั ไปปราบปรามแควน้ ตา่ งๆ ทางใต้ มีสุโขทยั ละโว้ สุมาตรา และอื่นๆ เป็นเมืองข้ึนปรากฏวา่ ขนุ นางชื่อเจี่ยหลนู่ ่าต๋าไม่เห็นดว้ ยและได้ กราบบงั คมทลู เสนอแนะใหท้ รงชกั ชวนใหผ้ นู้ าํ ดินแดนตา่ งๆ ออ่ นนอ้ มยอมสนบั สนุนก่อน หากไม่ยอมจึงยก กองทพั ไปโจมตี น่ีคือเหตุผลประการหน่ึงท่ีกุบไลข่านทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพนั ธไมตรี และขอใหส้ ่งเครื่อง ราชบรรณาการไปยงั ราชสาํ นกั มองโกล เพ่ือแสดงความจงรักภกั ดีต่ออาณาจกั รมองโกล ปราฏวา่ มีอาณาจกั รใน ดินแดนตา่ งๆ กวา่ ๒๐ อาณาจกั รยอมรับขอ้ เสนอ รวมท้งั อาณาจกั รสุโขทยั ดว้ ย (ช่วงระหวา่ งประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๒ – ๑๘๒๕ ) พงศาวดารหงวนฉบบั เก่า เล่มที่ ๑๒ เป็นหลกั ฐานสาํ คญั ที่กลา่ วถึงคณะทตู ชุดแรกจาก อาณาจกั รมองโกลในสมยั กุบไลขา่ น เดินทางมายงั อาณาจกั รสุโขทยั ในเดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. ๑๘๒๕ (ค.ศ. ๑๒๘๒) ทตู คณะน้ีนาํ โดยเหอจี จี่ นายทหารระดบั สูงเป็นหวั หนา้ คณะ แต่ขณะนงั่ เรือแล่นผา่ นฝั่งทะเลอาณาจกั รจามปา ไดถ้ กู จบั กุมและถกู ประหารชีวติ ผลจากคณะทตู น้ีถกู ประหาร ชีวิตก่อนจะเดินทางไปยงั อาณาจกั รสุโขทยั ทาํ ใหอ้ าณาจกั รสุโขทยั ไม่ทราบวา่ มองโกลพยายามส่งทตู มาติดต่อ พงศาวดารหงวนฉบบั เก่า เล่มที่ ๑๗ กลา่ วถึงคณะทูตมองโกลชุดท่ีสองเดินทางมายงั อาณาจกั รสุโขทยั ในปี พ.ศ. ๑๘๓๕ (ค.ศ. ๑๒๙๒) ภายหลงั จากขา้ หลวงใหญฝ่ ่ ายรักษาความสงบเรียบร้อยของมณฑลกวางตงุ้ ไดส้ ่งคนอญั เชิญ พระราชสาส์นอกั ษรทองคาํ ของกษตั ริยแ์ ห่งอาณาจกั รสุโขทยั ไปยงั นครหลวงขา่ น มาลิก (ตา้ ตู หรือปักกิ่งปัจจุบนั ) คณะทตู มองโกลชุดท่ีสองไดอ้ ญั เชิญพระบรมราชโองการของกุบไลขา่ นให้ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงเสร็จไปเฝ้า พระบรม

ราชโองการน้ีแสดงใหเ้ ห็นนโยบายของอาณาจกั รมองโกลเรียกร้องใหผ้ นู้ าํ ของอาณาจกั รต่างๆ ไปเฝ้ากุบไลขา่ น แต่มิไดบ้ งั คบั ใหเ้ ป็นไปตามน้ี ซ่ึงจะเห็นไดว้ า่ พ่อขนุ รามคาํ แหงก็มิไดป้ ฏิบตั ิตามแต่ประการใด พงศาวดารหงวน ฉบบั เก่า เลม่ ท่ี ๑๘ กุบไลขา่ นไดส้ ่งคณะทตู ชุดที่สามมาสุโขทยั โดยไดอ้ ญั เชิญพระบรมราชโองการใหพ้ อ่ ขนุ รามคาํ แหงเสด็จไปเฝ้า หากมีเหตขุ ดั ขอ้ งใหส้ ่งโอรสหรือพระอนุชาและอาํ มาตยผ์ ใู้ หญเ่ ป็นตวั ประกนั ซ่ึงปรากฏ วา่ พ่อขนุ รามคาํ แหงกม็ ิไดป้ ฏิบตั ิตาม แต่ส่งคณะทูตนาํ เคร่ืองราชบรรณาการไปแทน อาณาจกั รล้านนา ในปี พ.ศ. ๑๘๓๙ พญามงั ราย (พ.ศ. ๑๘๐๔ – ๑๘๕๔ ) ไดม้ ีคาํ สง่ั ใหส้ ร้างเมืองใหม่ข้ึนมาโดยใชช้ ื่อวา่ เจียงใหม่ (เชียงใหม)่ เพอื่ ท่ีจะเป็นเมืองหลวงแห่งใหมข่ องอาณาจกั รลา้ นนา คร้ังน้นั พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราชและพญางาํ เมือง ไดเ้ สดจ็ มาช่วยดว้ ย อาณาจักรอยุธยา หลงั จากมีการก่อต้งั กรุงศรีอยธุ ยา แรกน้นั สุโขทยั และอยธุ ยาไม่ไดเ้ ป็นไมตรีตอ่ กนั แต่ดว้ ยชยั ภมู ิที่เหมาะสมกวา่ ทาํ ใหอ้ ยธุ ยาเจริญเติบโตอยา่ งรวดเร็ว ประกอบกบั ปัญหาการเมืองภายในของสุโขทยั มิไดเ้ ป็นไปโดยสงบ มีการ แยง่ ชิงราชสมบตั ิกนั ระหวา่ ง พระยาบานเมือง พระยาราม ยงั ผลใหอ้ ยธุ ยาสบโอกาสเขา้ แทรกแซงกิจการภายใน ใน รัชกาลน้ีมีการรับไมตรีจากอยธุ ยาโดยการสมรสระหวา่ งราชวงศพ์ ระร่วง กบั ราชวงศส์ ุพรรณภมู ิ โดยมีพระราเม ศวร ซ่ึงตอ่ มาคือสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถเป็นราชบุตรจากสองราชวงศจ์ นสิ้นรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) พระยายทุ ธิษฐิระซ่ึงเดิมทีอยศู่ รีสชั นาลยั ไดเ้ ขา้ มาครองเมืองสุโขทยั และเม่ือแรกท่ีสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถ เสดจ็ ข้ึนผา่ นภิภพ เป็นพระมหากษตั ริยก์ รุงศรีอยธุ ยา ปรากฏวา่ ขณะน้นั พระยายทุ ธิษฐิระ เกิดความนอ้ ย เน้ือต่าํ ใจ ที่ไดเ้ พยี งตาํ แหน่งพระยาสองแคว เน่ืองดว้ ย สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงเคยดาํ ริไวส้ มยั ทรงพระ เยาวว์ า่ หากไดข้ ้ึนเป็นพระมหากษตั ริย์ จะชุบเล้ียงพระยายทุ ธิษฐิระใหไ้ ดเ้ ป็ นพระร่วงเจา้ สุโขทยั พ.ศ. ๒๐๑๑ พระ ยายทุ ธิษฐิระจึงเอาใจออกห่างจากสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ไปข้ึนกบั พระยาติโลกราช กษตั ริยล์ า้ นนาใน ขณะน้นั เหตุการณ์น้ีส่งผลใหเ้ กิดการเฉลิมพระนามกษตั ริยล์ า้ นนา จากพระยา เป็น พระเจา้ เพื่อใหเ้ สมอศกั ด์ิดว้ ย กรุงศรีอยธุ ยาพระนามพระยาติโลกราช จึงไดร้ ับการเฉลิมเป็นพระเจา้ ติโลกราช หลงั จากที่พระยายทุ ธิษฐิระ นาํ สุโขทยั ออกจากอยธุ ยาไปข้ึนกบั ลา้ นนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงทรงเสดจ็ จากกรุงศรีอยธุ ยา กลบั มาพาํ นกั ณ เมืองสรลวงสองแคว พร้อมท้งั สร้างกาํ แพงและคา่ ยคูประตู หอรบ แลว้ จึงสถาปนาข้ึนเป็นเมือง พระพิษณุโลก สองแคว เป็นราชธานีฝ่ ายเหนือของอาณาจกั รแทนสุโขทยั ในเวลาเจ็ดปี ใหห้ ลงั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึง ทรงตีเอาสุโขทยั คืนได้ แตเ่ หตกุ ารณ์ทางเมืองเหนือยงั ไม่เขา้ สู่ภาวะที่น่าไวว้ างใจ จึงทรงตดั สินพระทยั พาํ นกั ยงั

นครพระพษิ ณุโลกสองแควตอ่ จนสิ้นรัชกาล ส่วนทางอยธุ ยาน้นั ทรงไดส้ ถาปนาสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ พระราชโอรส เป็นพระมหาอปุ ราช ดูแลอยธุ ยาและหวั เมืองฝ่ ายใตด้ ว้ ยความที่เป็นคนละประเทศมาก่อน และมี สงครามอยดู่ ว้ ยกนั ชาวบา้ นระหวา่ งสุโขทยั และอยธุ ยา จึงมิไดป้ รองดองเป็นน้าํ หน่ึงใจเดียวกนั จึงตอ้ งแยก ปกครอง โดยพระมหากษตั ริยอ์ ยธุ ยา จะทรงสถาปนาพระราชโอรส หรือพระอนุชา หรือพระญาติ อนั มีเช้ือสาย สุโขทยั ปกครองพิษณุโลกในฐานะราชธานีฝ่ายเหนือ และควบคุมหวั เมืองเหนือท้งั หมด พ.ศ ๒๑๒๗ หลงั จากชนะศึกที่แมน่ ้าํ สะโตงแลว้ พระนเรศวรโปรดใหเ้ ทครัวเมืองเหนือท้งั ปวง (ตาก สุโขทยั ศรีสัชนาลยั พิษณุโลก กาํ แพงเพชร ชยั บรุ ี ศรีเทพ) ลงมาไวท้ ี่อยธุ ยา เพอ่ื เตรียมรับศึกใหญ่ พษิ ณุโลก และหวั เมืองเหนือท้งั หมดจึงกลายเป็นเมืองร้าง หลงั จากเทครัวไปเมืองใต้ จึงส้ินสุดการแบ่งแยกระหวา่ งชาวเมือง เหนือ กบั ชาวเมืองใต้ และถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐสุโขมยั โดยสมบรู ณ์ เพราะหลงั จากน้ี ๘ ปี พษิ ณุโลกไดถ้ ูกฟ้ื นฟู อีคร้ัง แต่ถือเป็นเมืองเอกในราชอาณาจกั ร มิใช่ราชธานีฝ่ ายเหนือ ในดา้ นวิชาการ มีนกั วชิ าการหลายทา่ นไดเ้ สนอเพิ่มวา่ เหตุการณ์อีกประการ อนั ทาํ ใหต้ อ้ งเทครัวเมืองเหนือท้งั ปวง โดยเฉพาะพษิ ณุโลกน้นั อยทู่ ี่เหตุการณ์แผน่ ดินไหวคร้ังใหญ่ บนรอยเล่ือนวงั เจา้ ในราวพุทธศกั ราช ๒๑๒๗ แผน่ ดินไหวคร้ังน้ีส่งผลใหต้ วั เมืองพิษณุโลกราพณาสูญ แมแ้ ตแ่ มน่ ้าํ แควนอ้ ย กเ็ ปลี่ยนเสน้ ทางไม่ผา่ นเมือง พษิ ณุโลก แต่ไปบรรจบกบั แมน่ ้าํ โพ (ปัจจุบนั คือแมน่ ้าํ น่าน) ที่เหนือเมืองพษิ ณุโลกข้ึนไป และยงั ส่งผลใหพ้ ระศรี รัตนมหาธาตพุ ิษณุโลก หกั พงั ทลายในลกั ษณะที่บูรณะคืนไดย้ าก ในการฟ้ื นฟูจึงกลายเป็นการสร้างพระปรางค์ แบบอยธุ ยาครอบทบั ลงไปแทนรายพระนามพระมหากษตั ริยส์ ุโขทยั ราชวงศน์ าํ ถมุ (ราชวงศผ์ าเมือง) พ่อขนุ ศรีนาว นาํ ถุม ครองราชยป์ ี ใดไม่ปรากฏ - พ.ศ. ๑๗๒๔ ขอมสบาดโขลญลาํ พง (พ.ศ. ๑๗๒๔ – พ.ศ. ๑๗๘๐) ราชวงศพ์ ระ ร่วง พ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์ (พ.ศ. ๑๗๘๐- สวรรคตปี ใดไมป่ รากฏ (ประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๑) พอ่ ขนุ บานเมือง (หลงั พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยส์ วรรคต - พ.ศ. ๑๘๒๒) พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒ - พ.ศ. ๑๘๔๒) (ใน พงศาวดารกรุงศรีอยธุ ยา เรียกวา่ พ่อขนุ รามราช) ป่ ไู สสงคราม (รักษาราชการชว่ั คราวแทน พญาเลอไท ซ่ึง ขณะน้นั ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นเมืองสุโขทยั ) พญาเลอไท (พ.ศ. ๑๘๔๒ – พ.ศ. ๑๘๓๓) ราชวงศน์ าํ ถุม พญางว่ั นาํ ถุม (พ.ศ. ๑๘๓๓ - พ.ศ. ๑๘๙๐) ราชวงศพ์ ระร่วง พระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (ลิไท) (พ.ศ. ๑๘๙๐ - พ.ศ. ๑๙๑๓) พระมหาธรรม ราชาท่ี ๒ (ลือไท) (พ.ศ. ๑๙๑๓ - พ.ศ. ๑๙๒๑) (ตกเป็นประเทศราชของอยธุ ยาในปี พ.ศ. ๑๙๒๑) พระมหาธรรม ราชาท่ี ๓ (ไสยลือไท) (พ.ศ. ๑๙๓๑ - พ.ศ. ๑๙๖๒) พระมหาธรรมราชาที่ ๔ (บรมปาล) (พ.ศ. ๑๙๖๒ - พ.ศ. ๑๙๘๑) พระยายทุ ธิษฐิระ (พ.ศ. ๑๙๙๑ - พ.ศ. ๒๐๑๑) (เป็นประเทศราชลา้ นนาในปี พ.ศ. ๒๐๑๑) ราชวงศ์สุพรรณภูมิ

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๒๐๑๑ - พ.ศ. ๒๐๓๑) (สถาปนา และประทบั ณ พษิ ณุโลก จนส้ินรัชกาล) พระ เชษฐาธิราช (พ.ศ. ๒๐๓๑ - พ.ศ. ๒๐๓๔) (ตาํ แหน่งพระมหาอปุ ราช) พระอาทิตยวงศ์ (พระหน่อพทุ ธางกรู ) (พ.ศ. ๒๐๓๔ – พ.ศ. ๒๐๗๒) (ตาํ แหน่งพระมหาอปุ ราช) พระไชยราชา (พ.ศ. ๒๐๗๒ - พ.ศ. ๒๐๗๗) (ตาํ แหน่งพระ มหาอุปราช) ราชวงศ์สุโขทัย พระมหาธรรมราชา (ขนุ พเิ รนทรเทพ) (พ.ศ. ๒๐๗๗ - พ.ศ. ๒๑๑๑) (เจา้ ราชธานีฝ่ ายเหนือ) พระนเรศวร (หลงั เสดจ็ กลบั จากหงสาวดี - พ.ศ. ๒๐๒๗) (ตาํ แหน่งพระมหาอปุ ราช) อา้ งอิงและหมายเหตุ พญางว่ั นาํ ถุม มาจากสาย ราชวงศน์ าํ ถุม(ผาเมือง) แตใ่ นตาํ ราประวตั ิศาสตร์ยงั ถือวา่ ท่านเป็น \"ราชวงศพ์ ระร่วง\" (อภิปราย) พระยายทุ ธิษฐิระ ครองศรีสัชนาลยั ซ่ึงขณะน้นั มีฐานะเป็นเมืองสาํ คญั เหนือกวา่ พิษณุโลก ราชการสงครามในสมยั สมเด็จพระ นเรศวร หอมรดกไทย กองทพั บก พ่อขนุ รามคําแหงมหาราช พอ่ ขนุ รามคาํ แหง หรือ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๓ แห่งกรุงสุโขทยั ในราชวงศพ์ ระร่วง เป็นโอรส ของพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ และพระนางเสือง ทรงเป็ นผปู้ ระดิษฐอ์ กั ษรไทยท่ีปรากฏในศิลาจารึกหลกั ท่ี ๑ ทรงเป็น นกั รบความเป็นนกั รบของพระองคน์ ้นั เห็นไดต้ ้งั แต่ยงั มิไดค้ รองราชย์ พระองคท์ รงไดร้ ับชนะในการกระทาํ ยทุ ธ หตั ถีกบั ขนุ สามชน เจา้ เมืองฉอด ในสมยั พ่อขนุ ศรีอินทราทิตย์ พระราชบิดา และทรงเป็นจอมทพั ในการทาํ สงครามขยายอาณาเขตตลอดรัชสมยั ของพระบิดา และพอ่ ขนุ บานเมืองทรงนกั ปกครองพระองคท์ รงมีพระเมตตา เอาพระทยั ใส่ในทกุ ขส์ ุขของประชาชน โดยการสนบั สนุนการประกอบอาชีพอยา่ งเสรี ทรงยกเลิกจงั กอบ ซ่ึงเป็น ภาษที ่ีคิดตามความกวา้ งของเรือ ใหก้ รรมสิทธ์ิท่ีดินทาํ กิน ตลอดจนเสรีภาพใหแ้ ก่ราษฎร ทรงเป็นนกั การทตู ที่หลกั แหลมพระองคม์ ีนโยบายกระชบั มิตรกบั ดินแดนต่างๆท้งั ที่ใกลเ้ คียง และแมแ้ ตด่ ินแดนอนั ห่างไกลท่ีมีอาํ นาจ เช่น ลา้ นนา พะเยา ศิริธรรมนคร (นครศรีธรรมราช) ตลอดจนถึงจีน นอกจากน้ียงั ปรากฏทรงใหค้ วามช่วยเหลือ สนบั สนุนรัฐท่ีมาพ่งึ พระบรมโพธิสมภารดว้ ย เช่น มอญ และลา้ นชา้ งเป็นตน้ ทรงเป็นนกั ปราชญพ์ ระองคน์ ้นั ทรง เห็นความสาํ คญั ของพระศาสนา พระองคท์ รงเป็นอคั รศาสนูปถมั ภก และสนบั สนุนทาํ นุบาํ รุงพระพุทธศาสนา ดงั ปรากฏวา่ พระองคท์ รงนิมนตพ์ ระเถระจากเมืองศิริธรรมนคร มาสถาปนาพระพทุ ธศาสนาลทั ธิลงั กาวงศใ์ นสุโขทยั ทรงจดั สร้างพระอารามท้งั ในและนอกราชธานี รวมท้งั ทรงสนบั สนุนการเผยแผ่ หลกั ธรรมและการสร้างศาสน วตั ถุอีกดว้ ย นอกจากพระราชกรณียกิจทางดา้ นพระศาสนาแลว้ ยงั มีความสาํ คญั เช่นกนั คือ ทรงส่งเสริมความเจริญ ทางภมู ิปัญญาศิลปวฒั นธรรมที่โดดเด่น คือ การประดิษฐอ์ กั ษรไทย หรือ ลายสือไทย เป็นหลกั ฐานสาํ คญั ที่แสดง

ถึงการประดิษฐล์ ายสือไทย จนถึงเหตุการณ์ทางประวตั ิศาสตร์ในรัชสมยั ของพระองคอ์ ีกดว้ ย และเน่ืองจาก พระองคท์ รงทาํ คุณประโยชนอ์ นั ยงิ่ ใหญแ่ ก่ปวงชนชาวไทย จึงยกยอ่ งใหพ้ ระองคท์ รงเป็น \"มหาราช\" พระองคแ์ รก แห่งประวตั ิศาสตร์ไทย ยคุ สมยั กรุงศรีอยุธยา – ยคุ สมัยกรุงธนบุรี อาณาจกั รกรุงศรีอยุธยา อาณาจกั รอยธุ ยา เป็นอาณาจกั รของไทยในอดีต มีหลกั ฐานของการเป็นเมืองในลมุ่ แมน่ ้าํ เจา้ พระยา ต้งั แต่ ราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๘ โดยมีร่องรอยของท่ีต้งั เมือง โบราณสถาน โบราณวตั ถุ และเรื่องราวเหตุการณ์ใน ลกั ษณะตาํ นาน พงศาวดารไปจนถึงศิลาจารึก ซ่ึงถือวา่ เป็นหลกั ฐานร่วมสมยั ท่ีใกลเ้ คียงเหตกุ ารณ์มากที่สุด วา่ ก่อน การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา ใน พ.ศ. ๑๘๙๓ น้นั ไดม้ ีบา้ นเมืองต้งั อยกู่ ่อนแลว้ มีช่ือเรียกวา่ เมืองอโยธยา หรือ อโยธยาศรีรามเทพนคร หรือ เมืองพระราม มีที่ต้งั อยบู่ ริเวณดา้ นตะวนั ออกของเกาะ เมืองอยธุ ยาเป็นเมืองที่มีความ เจริญทางการเมืองการปกครอง ละมีวฒั นธรรมท่ีรุ่งเรืองแห่งหน่ึง มีการใชก้ ฎหมายในการปกครอง ๓ ฉบบั คือ พระอยั การลกั ษณะเบด็ เสร็จ พระอยั การลกั ษณะทาส และพระอยั การลกั ษณะกหู้ น้ี สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ หรือ พระเจา้ อทู่ อง ทรงสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานีเมื่อวนั ศุกร์ ข้ึน ๖ ค่าํ เดือน ๕ ปี ขาล จุลศกั ราช ๗๑๒[๑] ตรงกบั วนั ท่ี ๔ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๙๓[๒] กรุงศรีอยธุ ยาเป็นศนู ยก์ ลางของอาณาจกั รสยาม มีช่ือตาม พงศาวดารวา่ กรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยธุ ยามหาดิลกภพนพรัตนร์ าชธานีบุรีรมยอ์ ุดมพระราชนิเวศนม์ หาสถาน ดาํ รง มน่ั คงสืบต่อยาวนานถึง ๔๑๗ ปี จนถึงวนั ที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ มีประวตั ิในการปกครอง การกอบกูอ้ ิสรภาพ วรี กรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีมากมายเป็นเมืองที่อุดมสมบรู ณ์ดว้ ยพชื พนั ธ์ธญั ญาหาร ดงั คาํ กล่าววา่ ในน้าํ มีปลา ในนามีขา้ ว ทว่ั ท้งั จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยายงั มากไปดว้ ย วดั วาอาราม ปราสาท พระราชวงั ปชู นียสถาน และ ปูชนียวตั ถมุ ากมายอาณาจกั รอยธุ ยามีพระมหากษตั ริยป์ กครองสืบตอ่ กนั มาถึง ๓๔ พระองค์ และมพี ระราชวงศ์ ผลดั เปล่ียนกนั ครองรวม ๕ ราชวงศ์ ไดแ้ ก่ ราชวงศอ์ ทู่ อง มี ๓ พระองค์ ราชวงศส์ ุพรรณภมู ิ มี ๑๓ พระองค์ ราชวงศส์ ุโขทยั มี ๗ พระองค์ ราชวงศป์ ราสาททอง มี ๔ พระองค์ และ ราชวงศบ์ า้ นพลูหลวง มี ๖ องค์ ประวตั สิ มยั อยุธยา การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา : กรุงศรีอยธุ ยาก่อกาํ เนิดข้ึนเป็น ราชธานีในปี พ.ศ.๑๘๙๓ แต่มีขอ้ ถกเถียงกนั มากวา่ การถือกาํ เนิดของกรุง ศรีอยธุ ยาน้นั มิไดเ้ กิดข้ึนอยา่ งปัจจุบนั ทนั ด่วนเสียทีเดียว มีหลกั ฐานวา่ ก่อนท่ีพระเจา้ อู่ทอง

จะสร้างเมืองข้ึนที่ตาํ บลหนอง โสน บริเวณน้ีเคยมีผคู้ นอาศยั มาก่อนแลว้ วดั สาํ คญั อยา่ งวดั มเหยงค์ วดั อโยธยา และ วดั ใหญ่ชยั มงคล ลว้ นเป็นวดั เก่าที่มีมาก่อนสร้างกรุงศรี อยธุ ยาท้งั ส้ิน โดยเฉพาะท่ีวดั พนญั เชิง วดั ท่ีประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระ พทุ ธรูปปูนป้ันขนาดใหญแ่ บบอู่ทอง พงศาวดารเก่าระบวุ า่ สร้างข้ึนก่อน การสร้าง พระนครศรีอยธุ ยาถึง ๒๖ ปี วดั เหล่าน้ี ต้งั อยตู่ ามแนวฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้าํ ป่ าสัก นอก เกาะเมืองอยธุ ยาท่ีมีการ ขดุ พบคูเมืองเก่าดว้ ย ทาํ ใหเ้ ช่ือกนั วา่ บริเวณน้ีน่า จะเป็นเมืองเก่าท่ีมีช่ืออยใู่ นศิลาจารึกกรุงสุโขทยั วา่ อโยธยาศรี รามเทพ นครอโยธยาศรีรามเทพนคร ปรากฏชื่อเป็ นเมืองแฝดละโวอ้ โยธยา มาต้งั แต่ช่วงราวปี พ.ศ.๑๗๐๐ เป็นตน้ มา คร้ันก่อนปี พ.ศ.๑๙๐๐ พระเจา้ อู่ ทองซ่ึงครองเมืองอโยธยาอยกู่ ็ทรงอภิเษกสมรสกบั พระราชธิดาของ กษตั ริย์ ทางฝ่ ายสุพรรณภูมิ ซ่ึงครองความเป็นใหญอ่ ยอู่ ีกฟากหน่ึงของแม่ น้าํ เจา้ พระยา อโยธยาและสุพรรณภมู ิจึงรวมตวั กนั ข้ึน โดยอาศยั ความ สัมพนั ธ์ทางเครือญาติ คร้ันเมื่อเกิดโรคระบาด พระเจา้ อทู่ องจึงอพยพผคู้ นจากเมืองอ โยธยาเดิม ขา้ มแม่น้าํ ป่ าสกั มาต้งั เมืองใหม่ ท่ีตาํ บลหนองโสน หรือท่ีรู้จกั กนั วา่ บึงพระราม ในปัจจุบนั กรุงศรีอยธุ ยาจึงก่อเกิดเป็นราชธานีข้ึนใน ปี พ.ศ. ๑๘๙๓ พระเจา้ อ่ทู องเสดจ็ ฯ เสวยราชยเ์ ป็นสมเดจ็ พระรามาธิบดี ท่ี ๑ ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งกรุงศรีอยธุ ยา ในรัชสมยั ของ พระองคน์ บั ไดว้ า่ เป็นยคุ ของการก่อร่างสร้างเมือง และวางรูปแบบการปกครองข้ึนมาใหม่ ทรงแบ่งการบริหาร ราชการออก เป็น ๔ กรม ประกอบดว้ ย เวียง วงั คลงั และ นา หรือที่เรียกกนั วา่ จตุสดมภ์ ระบบที่ทรงวางไวแ้ ต่ แรกเริ่มน้ี ปรากฏวา่ ไดส้ ืบทอดใชก้ นั มา ตลอด ๔๐๐ กวา่ ปี ของกรุงศรีอยธุ ยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ครองราชยอ์ ยไู่ ดเ้ พยี ง ๑๙ ปี กเ็ สด็จ สวรรคต หลงั จากรัชสมยั ของพระองค์ ผู้ ไดส้ ร้างราชธานีแห่งน้ีข้ึนจาก ความสัมพนั ธข์ องสองแวน่ แควน้ กรุงศรีอยธุ ยาไดก้ ลายเป็นเวทีแห่งการ แก่งแยง่ ชิง อาํ นาจระหวา่ งสองราชวงศค์ ือ ละโว-้ อโยธยา และราชวงศ์ สุพรรณภูมิ สมเดจ็ พระราเมศวร โอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ข้ึนครอง ราชยต์ อ่ จากพระราชบิดาไดไ้ ม่ทนั ไร ขนุ หลวงพะงวั่ จากราชวงศส์ ุพรรณ ภูมิ ผมู้ ีศกั ด์ิเป็นอากแ็ ยง่ ชิงอาํ นาจไดส้ าํ เร็จ ข้ึนครองราชยเ์ ป็นสมเด็จพระ บรม ราชาธิราช เมื่อส้ินรัชกาลของสมเดจ็ พระบรมราชาธิราช สมเด็จพระ ราเมศวรกก็ ลบั มาชิงราชสมบตั ิกลบั คืน มีการ แยง่ ชิงอาํ นาจผลดั กนั ข้ึนเป็นใหญร่ ะหวา่ งสองราชวงศน์ ้ีอยู่ ถึง ๔๐ ปี จนสมเด็จพระนครอินทร์ ซ่ึงเป็ นใหญ่อยทู่ าง สุพรรณภมู ิและ สมั พนั ธแ์ น่นแฟ้นอยกู่ บั สุโขทยั แยง่ ชิงอาํ นาจกลบั คืนมาไดส้ าํ เร็จ พระ องคส์ ามารถรวมท้งั สอง ฝ่ายใหเ้ ป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริง ในช่วงของการแก่งแยง่ อาํ นาจกนั เองน้นั กรุงศรีอยธุ ยาก็ พยายามแผ่ อาํ นาจไปตีแดนเขมรอยบู่ ่อยคร้ัง จนกระทง่ั ปี พ.ศ.๑๙๗๔ หลงั สถาปนากรุงศรีอยธุ ยาไดแ้ ลว้ ราว ๘๐ ปี สมเด็จเจา้ สามพระองค์ พระ โอรสของสมเดจ็ พระนครอินทร์ ก็ตีเขมรไดส้ าํ เร็จ เขมรสูญเสียอาํ นาจจน ตอ้ งยา้ ยเมืองหลวง

จากเมืองพระนครไปอยเู่ มืองละแวกและพนมเปญในท่ีสุด ผลของชยั ชนะคร้ังน้ีทาํ ใหม้ ีการกวาดตอ้ นเชลยศึก กลบั มา จาํ นวนมาก และทาํ ใหอ้ ิทธิพลของเขมรในอยธุ ยาเพ่มิ มากข้ึน ซ่ึงถือเป็น เรื่องปกติที่ผชู้ นะมกั รับเอา วฒั นธรรมของผแู้ พม้ าใช้ กรุงศรีอยธุ ยาหลงั สถาปนามาไดก้ วา่ คร่ึงศตวรรษก็เร่ิมเป็นศูนย์ กลางของราชอาณาจกั ร อยา่ งแทจ้ ริง มีอาณาเขตอนั กวา้ งขวางดว้ ยการ ผนวกเอาสุโขทยั และสุพรรณภมู ิเขา้ ไว้ มีการติดต่อคา้ ขายกบั ต่างประเทศ โดยเฉพาะกบั จีน และวดั วาอารามตา่ ง ๆ ไดร้ ับการบูรณะข้ึนมาใหมจ่ น งดงาม ยคุ รุ่งโรจน์ก่อนสงคราม : หลงั รัชกาลสมเด็จเจา้ สามพระยา แลว้ กรุงศรีอยธุ ยากเ็ ขา้ สู่ยคุ สมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ ซ่ึงเป็นช่วง เวลาที่อาณาเขตไดแ้ ผข่ ยายออกไปอยา่ งกวา้ งขวาง มีการติดต่อคา้ ขาย กบั บา้ นเมือง ภายนอก รวมท้งั มีการปฏิรูปการปกครองบา้ นเมืองข้ึน พระองคท์ รงยกเลิกการปกครองท่ีกระจายอาํ นาจใหเ้ มือง ลูก หลวงปกครองอยา่ งเป็นอิสระ มาเป็นการรวบอาํ นาจไวท้ ่ีพระมหากษตั ริย์ แลว้ ทรงแบง่ เมืองต่าง ๆ รอบนอก ออกเป็น หวั เมืองช้นั ใน หวั เมืองช้นั นอก ซ่ึงเมืองเหล่าน้ีดูแลโดยขนุ นางที่พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั นอกจากน้ีก็ ยงั ไดท้ รงสร้างระบบศกั ดินาข้ึน อนั เป็นการให้ กรรมสิทธ์ิถือที่นาไดม้ ากนอ้ ยตามยศ พระมหากษตั ริยม์ ีสิทธ์ิท่ีจะ เพ่มิ หรือ ลด ศกั ดินาแก่ใครก็ได้ และหากใครทาํ ผดิ ก็ตอ้ งถูกปรับไหมตาม ศกั ดินาน้นั ในเวลาน้นั เอง กรุงศรี อยธุ ยาท่ีเจริญมาไดถ้ ึงร้อยปี ก็กลายเป็น เมืองที่งดงามและมีระเบียบแบบแผน วดั ตา่ ง ๆ ท่ีไดก้ ่อสร้างข้ึนอยา่ ง วิจิตร บรรจงเกิดข้ึนนบั ร้อย พระราชวงั ใหม่ไดก้ ่อสร้างข้ึนอยา่ งใหญโ่ ตก วา้ งขวาง ส่วนท่ีเป็นพระราชวงั ไมเ้ ดิมได้ กลายเป็นวดั พระศรีสรรเพชญ์ วดั คูเ่ มืองที่สาํ คญั กรุงศรีอยธุ ยากาํ ลงั จะเติบโตเป็นนครแห่งพอ่ คา้ วาณิชอนั รุ่งเรือง เพราะเส้นทางคมนาคมอนั สะดวกที่เรือสินคา้ นอ้ ยใหญ่จะเขา้ มาจอด เทียบท่าได้ แตพ่ ร้อม ๆ กบั ความรุ่งเรืองและ ความเปล่ียนแปลง สงครามก็ เกิดข้ึน ช่วงเวลาน้นั ลา้ นนา ที่มีพระมหากษตั ริยค์ ือราชวงศเ์ มง็ ราย ครองสืบตอ่ กนั มา กาํ ลงั เจริญรุ่งเรือง ข้ึนมาเป็นคูแ่ ข่งสาํ คญั ของกรุงศรี อยธุ ยา พระเจา้ ติโลกราชซ่ึงไดข้ ยายอาณาเขตลงมาจนได้ เมืองแพร่และ น่านก็ทรงดาํ ริที่จะขยายอาณาเขตลงมาอีก เวลาน้นั เจา้ นายทางแควน้ สุโขทยั ที่ถกู ลดอาํ นาจดว้ ยการ ปฏิรูปการปกครองของสมเด็จพระบรมไตร โลกนาถเกิดความไมพ่ อใจอยธุ ยา จึงไดช้ กั นาํ ใหพ้ ระเจา้ ติโลกราชยก ทพั มายดึ เมืองศรีสัชนาลยั ซ่ึงอยใู่ นอาํ นาจของกรุงศรีอยธุ ยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตอ้ งเสดจ็ กลบั ไปประทบั อยทู่ ี่เมือง สระหลวงพรือพษิ ณุโลก เพ่ือทาํ สงครามกบั เชียงใหม่ วงครามยดื เย้อื ยาว นานอยถู่ ึง ๗ ปี ในท่ีสุดอยธุ ยาก็ยดึ เมืองศรีสัชนาลยั กลบั คืนมาได้ ตลอด รัชกาลอนั ยาวนานของสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ และ สมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒ กรุงศรีอยธุ ยาไดเ้ จริญอยา่ ง ต่อเน่ืองอยนู่ านถึง ๘๑ ปี การคา้ กบั ตา่ งประเทศกเ็ จริญกา้ วหนา้ ไปอยา่ งกวา้ งขวาง วฒั นธรรมก็เฝื่องฟูท้งั ทาง ศาสนาและประเพณีต่าง ๆ แต่หลงั รัชกาลสมเดจ็ พระรามาธิบดีที่ ๒การแยง่ ชิงอาํ นาจภายใน ก็ทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยา

อ่อนแอลง ขณะเดียวกนั ที่พม่ากลบั เขม้ แขง็ ข้ึน ความเปล่ียนแปลงท้งั ภายในและภายนอกราชอาณาจกั รไดท้ าํ ใหเ้ กิด สงครามคร้ังใหญอ่ ยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ได้ สงครามไทยกบั พม่า : ประวตั ิศาสตร์หนา้ ใหม่ อนั อาจจะเรียก ไดว้ า่ ยคุ แห่งความคบั เขญ็ ยงุ่ เหยงิ น้ี เร่ิมตน้ ดว้ ย การมาถึงของชาวตะวนั ตกพร้อม ๆ กบั การรุกรานจากพม่า เมื่อวาสโก ตากามา ชาวโปรตเุ กสเดินเรือผา่ นแหลม กดู โฮปได้ สาํ เร็จในราว พ.ศ.๒๐๐๐ กองเรือของโปรตุเกสกท็ ยอยกนั มายงั ดินแดนฝั่ง ทวปี เอเชีย ในปี พ.ศ.๒๐๕๔ อลั ฟองโซ เดอ อลั บูเควิก ชาวโปรตเุ กสก็ยดึ มะละกาไดส้ าํ เร็จ ส่งคณะฑูตของเขามายงั สยาม คือ ดูอารต์ เฟอร์นนั เดซ ซ่ึงถือเป็นชาวตะวนั ตกคนแรกที่มาถึงแผน่ ดินสยาม ชาวโปรตเุ กสมาพร้อมกบั วิทยาการสมยั ใหม่ ความรู้ เก่ียวกบั การ สร้างป้อมปราการ อาวธุ ปื น ทาํ ใหส้ มยั ต่อมาพระเจา้ ไชยราชาธิราชกย็ ก ทพั ไปตีลา้ นนาไดส้ าํ เร็จ กรุง ศรีอยธุ ยาเป็นใหญข่ ้ึน ในขณะท่ีพมา่ เองในยคุ ของ พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ี กก็ าํ ลงั แผอ่ ิทธิพลลงมาจนยดึ เมืองมอญที่ หงสาวดีได้ สาํ เร็จ อยธุ ยากบั พมา่ กเ็ กิดการเผชิญหนา้ กนั ข้ึน เม่ือพวกมอญจากเชียง กรานที่ไมย่ อมอยใู่ ตอ้ าํ นาจพมา่ หนีมาพ่ึงฝ่ังไทย พระเจา้ ไชยราชาธิราช ยกกองทพั ไปขบั ไล่พมา่ ยดึ เมืองเชียงกรานคืนมาไดส้ าํ เร็จ ความขดั แยง้ ระหวา่ งไทยกบั พม่าก็เปิ ดฉากข้ึน หลงั พระเจา้ ไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตเพราะถกู ปลงพระชนม์ แผน่ ดินอยธุ ยากอ็ ่อนแอลงดว้ ยการแยง่ ชิงอาํ นาจ พระยอดฟ้าซ่ึงมีพระ ชนมเ์ พยี ง ๑๑ พรรษาข้ึนครองราชยไ์ ดไ้ มท่ นั ไรกถ็ ูกปลงพระชนมอ์ ีก ในท่ี สุดก็ถึง แผน่ ดินสมเดจ็ พระมหา-จกั รพรรดิ พมา่ สบโอกาสยกทพั ผา่ นด่านเจดีย์ ๓ องค์ เขา้ มาปิ ดลอ้ มกรุงศรี อยธุ ยา สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดินาํ กองทพั ออก รับสู้ ในช่วงน้ีเองท่ีหนา้ ประวตั ิศาสตร์ไดบ้ นั ทึกวีรกรรมของวีรสตรีพระองค์ หน่ึง คือ สมเด็จพระศรี สุริโยทยั ที่ปลอมพระองคอ์ อกรบดว้ ย และไดไ้ สชา้ งเขา้ ขวางสมเด็จพระ มหาจกั รพรรดิท่ี กาํ ลงั เพล่ียงพล้าํ จนถูกฟันส้ินพระชนมข์ าดคอชา้ ง ทุกวนั น้ีอนุสาวรียเ์ ชิดชูวีรกรรมของพระองคย์ งั คงต้งั เด่นเป็น สงา่ อยใู่ จกลาง เมืองพระนครศรีอยธุ ยา คร้ังน้นั เมื่อพม่ายดึ พระนครไม่สาํ เร็จ เพราะไม่ชาํ นาญภมู ิ ประเทศ กองทพั พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ีตอ้ งยกทพั กลบั ไปในท่ีสุด ฝ่ายไทยกต็ ระเตรียมการป้องกนั พระนครเพ่ือต้งั รับการ รุกราน ของพมา่ ท่ีจะมีมาอีก การเตรียมกาํ ลงั ผคู้ น การคลอ้ งชา้ งเพือ่ จดั หาชา้ งไว้ เป็นพาหนะสาํ คญั ในการทาํ ศึก คร้ังน้ี ทาํ ใหม้ ีการพบชา้ งเผือกถึง ๗ เชือก อนั เป็นบุญบารมีสูงสุดของพระมหากษตั ริย์ แต่นน่ั กลบั นาํ มาซ่ึงสงคราม ยดื เย้อื ยาวนานอยนู่ บั สิบปี พระเจา้ บเุ รงนอง ผนู้ าํ พมา่ คนใหมอ่ า้ งเหตุการณ์ตอ้ งการชา้ งเผอื กที่สมเด็จพระมหา จกั รพรรดิมีอยถู่ ึง ๗ เชือก ยกทพั มาทาํ สงครามกบั กรุงศรีอยธุ ยาอีกคร้ัง แลว้ ไทยกเ็ สียกรุงแก่พม่าเป็นคร้ังแรกใน พ.ศ.๒๑๑๒ ชา้ งเผือกอนั เป็นสาเหตุของสงครามก็ถกู กวาดตอ้ นไปพร้อมกบั ผคู้ นจาํ นวนมาก พระ นเรศวรและ พระเอกาทศรถ พระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่พมา่ ต้งั ให้ เป็นกษตั ริยป์ กครองอยธุ ยาต่อไปในฐานะเมือง ประเทศราชก็ทรงถูกบงั คบั ใหต้ อ้ งไปดว้ ย

กรุงศรีอยธุ ยาเป็ นเมืองข้ึนของพม่าในคร้ังน้ีอยถู่ ึง ๑๕ ปี พระนเรศวรกป็ ระกาศอิสรภาพ เม่ือสมเด็จพระ นเรศวรประกาศอิสรภาพแลว้ กองทพั พม่านาํ โดย พระมหาอุปราชก็คุมทพั ลงมาปราบ สมเด็จพระนเรศวรยกทพั ไปต้งั ท่ี ตาํ บลหนองสาหร่าย จงั หวดั สุพรรณบรุ ี แลว้ การรบคร้ังยิง่ ใหญก่ ็อุบตั ิข้ึน สมเด็จพระนเรศวรทรงทาํ ยทุ ธ หตั ถีจนไดช้ ยั ชนะ พระมหาอุปราชถกู ฟัน ส้ินพระชนมข์ าดคอชา้ ง เป็นผลใหก้ องทพั พม่าตอ้ งแตกพ่ายกลบั ไป ยคุ สมยั ของสมเด็จพระนเรศวร กรุงศรีอยธุ ยาเป็นปึ กแผน่ มน่ั คง ศตั รูทางพมา่ อ่อนแอลง ขณะเดียวกนั เขมรกถ็ ูก ปราบปรามจนสงบ ความ มน่ั คงทางเศรษฐกิจจึงเกิดข้ึนตามมา อนั ส่งผลใหก้ รุงศรีอยธุ ยากลายเป็น อาณาจกั รที่ รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตามคาํ กล่าวของชาวยโุ รปที่หลง่ั ไหลเขา้ มา ติดต่อคา้ ขายในช่วงเวลาดงั กล่าว เวนสิ ตะวันออก : นบั ต้งั แต่สมยั พระนเรศวรเป็นตน้ มา กรุงศรี อยธุ ยากก็ ลายเป็นศูนยก์ ลางการคา้ ท้งั ในและ นอกประเทศ มีผคู้ นเดินทาง เขา้ มาติดต่อคา้ ขายเป็นจาํ นวนมากตา่ งกช็ ่ืนชมเมืองที่โอบลอ้ มไปดว้ ยแม่ น้าํ ลาํ คลอง ผคู้ นสัญจรไปมาโดยใชเ้ รือเป็นพาหนะ จึงพากนั เรียกพระ นครแห่งน้ีวา่ เวนิสตะวนั ออก หลงั จากโปรตุเกสเขา้ มา ติดตอ่ คา้ ขายเป็นชาติแรกแลว้ ฮอลนั ดา ญ่ีป่ ุนและองั กฤษก็ตามเขา้ มา ท้งั น้ีไมน่ บั จีนซ่ึงคา้ ขายกบั กรุงศรีอยธุ ยา อยู่ ก่อนแลว้ ชนชาติตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีไดร้ ับการจดั สรรที่ดินใหอ้ ยเู่ ป็นยา่ น เฉพาะ ดงั ปรากฏชื่อบา้ นโปรตุเกส บา้ นญ่ีป่ ุน และบา้ นฮอลนั ดามาจน ปัจจุบนั บนั ทึกของชาวฝร่ังเศสคนหน่ึงซ่ึงบาทหลวงปาลเลอกวั ซไ์ ดค้ ดั ลอกมา เล่าถึง พระนครศรีอยธุ ยาในสมยั น้นั ไวว้ า่ เป็นพระนครที่มีผคู้ นตา่ งชาติต่างภาษารวมกนั อยู่ ดูเหมือนเป็น ศูนยก์ ลาง การคา้ ขายในโลก ไดย้ นิ ผคู้ นพูดภาษาตา่ ง ๆ ทกุ ภาษา ในบรรดาชาวตา่ งชาติท่ีมาคา้ ขายกบั อยธุ ยาในยคุ แรกน้นั ญี่ป่ ุน กลบั เป็นชาติท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุด ยามาดะ นางามาซะ ชาวญี่ป่ นุ ไดร้ ับ ความไวว้ างใจถึงข้นั ไดด้ าํ รงตาํ แหน่ง ขนุ นางในราชสาํ นกั ของพระเอกาทศ รถ มียศเรียกวา่ ออกญาเสนาภิมขุ ต่อมาไดก้ ่อความยงุ่ ยากข้ึนจด หมด อิทธิพลไปในท่ีสุด แมจ้ ะมีชนชาติต่าง ๆ เขา้ มาคา้ ขายดว้ ยมากมาย แต่กรุงศรี อยธุ ยาก็ดูเหมือนจะผกู พนั การคา้ กบั จีนไวอ้ ยา่ งเหนียวแน่น จีนเองก็ส่ง เสริมให้อยธุ ยาผลิตเครื่องป้ันดินเผาโดยเฉพาะเคร่ืองสงั คโลก เพอื่ ส่งออก ไปยงั ตะวนั ออกกลางและหม่เู กาะในแถบเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ นิทานเรื่องพระเจา้ สายน้าํ ผ่ึงและพระนางสร้อย ดอกหมากเดิน ทางมาโดยเรือสาํ เภาใหญ่ และร่องรอยของเรือจมแถบกน้ อา่ วสยาม รวม ท้งั เครื่องเคลือบแบบของ จีนท่ีพบอยตู่ ามกน้ แม่น้าํ ลว้ นเป็นประจกั ษ์ พยานว่าอยธุ ยาไดต้ ิดตอ่ คา้ ขายกบั จีนมาโดยตลอด การคา้ ขายต่าง ๆ เหล่าน้ีทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีการเก็บภาษที ี่ เรียกวา่ ขนอน มีด่านขนอนซ่ึงเป็นด่านเก็บภาษอี ยตู่ ามลาํ น้าํ ใหญ่ท้งั ๔ ทิศ และยงั มีขนอนบกคอยเก็บภาษที ี่มาทางบกอีกต่างหาก นอกเหนือจากความเป็นเมืองทา่ แลว้ อยธุ ยายงั เป็นชุม ทางการ คา้ ภายในอีกดว้ ย ตลาดกวา่ ๖๐ แห่งในพระนคร มีท้งั ตลาดน้าํ ตลาดบก และยงั มียา่ นตา่ ง ๆ ที่ผลิตสินคา้ ดว้ ยความชาํ นาญเฉพาะดา้ น มียา่ นท่ี ผลิตน้าํ มนั งา ยา่ นทาํ มีด ยา่ น-ป้ันหมอ้ ยา่ นทาํ แป้งหอมธูปกระแจะ ฯลฯ คู คลองต่าง ๆ ในอยธุ ยาไดส้ ร้างสงั คมชาวน้าํ ข้ึนพร้อมไปกบั วถิ ี ชีวติ แบบเกษตรกรรม เมื่อถึงหนา้ น้าํ ก็มีการเล่น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook