คาวา่ ไตรยางศ์ มาจากคาในภาษาสนั สกฤตวา่ ตฺรยฺ ซ่ึงแปลว่า สาม รวมกบั อศ ซงึ่ แปลว่า ส่วน ดงั นนั้ ไตรยางศ์ จงึ แปลรวมกนั ไดว้ า่ ว่า สามสว่ น การจดั หมวดหมู่ ไตรยางศ์ ไตรยางศม์ ีการจดั หมวดหมเู่ พอ่ื แบ่งพยญั ชนะไทยออกเป็น 3 ประเภท ดงั นี้ พยัญชนะเสียงสงู มี 11 ตวั เเละ ผนั ได้ เสยี งท่ี ๕, ๒ เเละ ๓ อกั ษรสงู หมายถึง พยัญชนะทยี่ งั ไมไ่ ดผ้ นั วรรณยกุ ต์ แลว้ มเี สียงอย่ใู นระดบั สงู มี ทงั้ หมด 11 ตวั วิธีทอ่ งจาง่าย ๆ ผ ฝ ถ ฐ ข ฃ ศ ษ ส ห ฉ ผี ฝาก ถงุ ขาว สาร ให้ ฉัน พยัญชนะเสียงกลาง มี 24 ตวั เเละผนั ไดท้ งั้ หมดหา้ เสยี ง อกั ษรกลาง หมายถึง พยญั ชนะท่ียงั ไม่ไดผ้ นั วรรณยกุ ต์ แลว้ มเี สียงอย่ใู นระดบั กลาง มีทงั้ หมด 9 ตวั วธิ ีทอ่ งจาง่าย ๆ ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ ไก่ จิก เดก็ ตาย เด็ก ตาย บน ปาก โอง่ การผนั วรรณยกุ ตก์ บั อกั ษรกลาง ผนั ไดค้ รบ 5 เสยี ง ใชว้ รรณยกุ ตไ์ ด้ 4 รูป พยญั ชนะเสียงต่า มี 9 ตวั เเละผนั ได้ เสียงที่ ๑, ๓ เเละ ๔ อกั ษรตา่ หมายถงึ พยญั ชนะทีย่ งั ไม่ไดผ้ นั วรรณยกุ ต์ แลว้ มีเสียงอยใู่ นระดบั ตา่ มีทงั้ หมด 24 ตวั ต่าคู่ มเี สยี งคอู่ กั ษรสงู 14 ตวั พภฟฑฒทธคตฆซฮชฌ ต่าเด่ียว(ไรค้ )ู่ 10 ตวั วธิ ีทอ่ งจางา่ ย ๆ
ง ญ น ย ณ ร ว ม ฬ ล งู ใหญ่ นอน อยู่ ณ ริม วดั โม ฬ โลก หนา้ ทีข่ องพยญั ชนะ ทาหนา้ ที่ เป็นพยญั ชนะตน้ กา เป็น สตั ว์ ใกลส้ ญู พนั ธ์ ก ป ส กล ส พ เป็นพยัญชนะตน้ ทาหนา้ ทเ่ี ป็นพยญั ชนะทา้ ยพยางค'์ (ตวั สะกด) เกิด เป็น ชาย หมาย รกั นี้ หนกั อก พยญั ชนะทข่ี ดี เสน้ ใตเ้ ป็นพยญั ชนะทา้ ยพยางคห์ รอื ทา้ ยคา เรยี กวา่ ตวั สะกด พยัญชนะตวั สะกด พยญั ชนะตวั สะกด มีทงั้ สนิ้ 39 ตวั เทา่ นนั้ ทส่ี ามารถใชเ้ ป็นตวั สะกดได้ โดยแบง่ เป็น ๘ เสียงเรยี กวา่ มาตราตวั สะกด ๘ มาตราดงั นี้ แมก่ ก ออกเสยี งสะกด ก ซึ่งจะใชพ้ ยัญชนะ ก ข ค ฆ เป็นตวั สะกด เช่น นก เลข โรค เมฆ แมก่ ด ออกเสียงสะกด ด ซงึ่ จะใชพ้ ยัญชนะ ด ต ถ ท ธ ฎ ฏ ฐ ฒ จ ช ซ ศ ษ ส เป็น ตวั สะกด เชน่ เปิด จติ รถ บาท โกรธ กฎ ปรากฏ เทจ็ บงกช กา๊ ซ อากาศ พเิ ศษ โอกาส อฐิ แม่กบ ออกเสียงสะกด บ ซ่ึงจะใชพ้ ยญั ชนะ บ ป พ ภ ฟ เป็นตวั สะกด เช่น ดาบ บาป ภาพ กราฟ โลภ แมก่ น ออกเสยี งสะกด น ซึ่งจะใชพ้ ยัญชนะ น ร ญ ล ฬ เป็นตวั สะกด เชน่ แขน คณู บุญ อาหาร กล ปลาวาฬ
แมก่ ง ออกเสยี งสะกด ง ซ่งึ จะใชพ้ ยญั ชนะ ง เป็นตวั สะกด เชน่ จริง ว่งิ ลงิ สิงห์ พิง มงุ่ ส่งั แมก่ ม ออกเสียงสะกด ม ซึ่งจะใชพ้ ยญั ชนะ ม เป็นตวั สะกด เชน่ นม ดม ลม พรม สม ชิม แยม แมเ่ กย ออกเสยี งสะกด ย ซงึ่ จะใชพ้ ยญั ชนะ ย เป็นตวั สะกด เช่น ยาย เนย เคย เลย คยุ แมเ่ กอว ออกเสียงสะกด ว ซึ่งจะใชพ้ ยญั ชนะ ว เป็นตวั สะกด เช่น สิว หวิ ววั ทาหนา้ ทเี่ ป็นอกั ษรควบ พยัญชนะควบกลา้ นอกจากเสยี งนน้ั ยงั มพี ยัญชนะควบกลา้ พยญั ชนะกลา้ คือพยญั ชนะ 2 ตวั ประสม สระเดยี วกนั มี ร ล ว แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ควบกลา้ แท้ เป็นพยญั ชนะควบกลา้ ที่ออกเสยี งพรอ้ มกนั ทงั้ 2 ตวั เชน่ ควบดว้ ย ร กรอบ กราบ เกรง ครอบครวั ควบดว้ ย ล กลว้ ย กลบี ไกล แปลง ควบดว้ ย ว ไกว แกวง่ ควาย ขวา้ ง ควบกลา้ ไมแ่ ท้ เป็นพยญั ชนะทเ่ี ขียนเหมอื นควบกลา้ แท้ ร แตอ่ อกเสยี งเพยี งตวั เดยี ว เช่น จรงิ สรา้ ง สระ เศรา้ แสรง้ ศรี อา่ นวา่ (จงิ ) (สา้ ง) (สะ) (เสา้ ) (แสง้ ) (ส)ี ตวั อยา่ งคา อกั ษรควบแทแ้ ละไม่แท้
กราดเกรยี้ วเกลียวคลน่ื คลา้ ย ปลกุ ปลอบควายคลายโกรธเกรยี้ ว ตรวจตรากลา้ จรงิ เพรยี ว ขวกั ไขว่ควา่ กลา้ กลบคลอง ทรายเศรา้ เคลา้ คลงึ ศรี ทราบโทรมตรีปลีกลว้ ยพรอ่ ง ครมึ้ ครกึ ตรติ รกึ ตรอง เปล่าพลิกกลองแปรเปลีย่ นแปลง ทาหนา้ ทเี่ ป็นอกั ษรนา-อกั ษรตาม อกั ษรนา คือ พยัญชนะ 2 ตวั เรียงกนั ประสมสระเดยี ว พยญั ชนะตวั แรกของคา แบ่ง ตาลกั ษณะการอ่านได้ 2 ชนดิ คือ อ่านออกเสยี งรว่ มกนั สนิทเป็นพยางคเ์ ดยี วกนั เมอื่ มีตวั ห และ ตวั อ เป็นอกั ษรนา ตวั อย่างเช่น เมือ่ มตี วั ห เป็นอกั ษรนา เชน่ หรู หรา หญิง เหลอื หลาย เหลว ไหล หรู หรา –หรูหรา - ห อกั ษรสงู นา ร อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยุกตต์ าม ห หญิง หญา้ ใหญ่ -หยงิ - ห อกั ษรสงู นา ญ อักษรตา่ ออกเสยี งวรรณยกุ ตต์ าม ห เม่อื มตี วั อ เป็นอกั ษรนา ย มี 4 คา คอื อยา่ อยู่ อยา่ ง อยาก อยา่ อยู่ อยา่ ง อยาก -หยา่ หยู่ หย่าง หยาก-อ อกั ษรกลาง นา ย อกั ษรตา่ ออกเสียง วรรณยกุ ตต์ าม อ
อา่ นออกเสียงเป็น 2 พยางค์ โดยพยางคแ์ รกอ่านออกเสยี งเหมือนมีสระ อะ ประสม อย่กู ่งึ เสยี ง สว่ นพยางคห์ ลงั อา่ นตามสระทป่ี ระสมอยู่ และอา่ นออกเสียงวรรณยกุ ต์ ตามพยญั ชนะตวั แรก เช่น ขยบั ขะ-หยับ ข อกั ษรสงู นา ย อกั ษรต่า ออกเสยี งวรรณยกุ ตต์ าม ห ฉลาม ฉะ-หลาม ฉ อกั ษรสงู นา ล อกั ษรตา่ ออกเสยี งวรรณยกุ ตต์ าม ห ตลาด ตะ-หลาด ต อกั ษรกลาง นา ล อกั ษรตา่ ออกเสียงวรรณยกุ ตต์ าม ต สนาม สะ-หนาม ส อกั ษรสงู นา น อกั ษรต่า ออกเสียงวรรณยุกตต์ าม ส ผลติ ผะ-หลติ ผ อกั ษรสงู นา ล อกั ษรต่า ออกเสยี งวรรณยกุ ตต์ าม ผ ตวั อย่างคาอกั ษรนา-อกั ษรตาม ขยะขยาดตลาดเสนอ.........ฉลาดเสมอเฉลมิ ไฉน สนมิ สนองฉลองไสว..........เถลไถลหวาดหว่นั แสวง อย่าอยอู่ ย่างอยากเผยอ..........ตล่ิงตลบเสนอถลอกแถลง จมกู ถนดั ขยะแขยง...............สวะสวงิ หน่ายแหนงขยบั ขยาย หรูหราหรุบหรบั (สา)หรา่ ย... สลบั สลายเสนาะสนกุ สนาน สลดิ เสลดสลดั สมาน .. หวงั หลอกเหลนหลานหลากหลาย ทาหนา้ ทเี่ ป็นเป็นสระ (อ ว ย ร) เช่น สรรค์ รร ทาหนา้ ทีแ่ ทนวสิ รรชนยี ์ หรอื สระอะ กวน ว เป็นสระอวั ลดรูป เสยี ย เป็น ส่วนประกอบของสระเอยี ขอ เสอื มือ อ เป็นสระ และเป็นส่วนหนงึ่ ของสระ ทาหนา้ ท่ีเป็นตวั การนั ต์
เชน่ จนั ทร์ ทร์ เป็นตวั การนั ต์ ลกั ษณ์ ษณ์ เป็นตวั การนั ต์ ศิลป์ ป์ เป็นตวั การนั ต์ พยัญชนะไทยทีพ่ ึงสงั เกตและควรจดจา อกั ษร ฃ นกั ภาษาศาสตรไ์ ดศ้ ึกษาประวตั คิ วามเป็นมาของพยัญชนะ ฃ และ สนั นษิ ฐานวา่ ฃ นน้ั เดมิ มฐี านเสียงท่ีแตกต่างจากฐานเสยี งของ ข โดยมีลกั ษณะเสยี ง เป็น พยญั ชนะลนิ้ ไกอ่ โฆษะ ซึง่ พบไดใ้ นภาษาต่าง ๆ ในกลมุ่ ภาษาไท และภาษาอนื่ ทวา่ ในภายหลงั หนว่ ยเสียงนีค้ อ่ ยๆ สญู หายไป โดยออกเสยี ง ข แทนเป็นท่นี า่ สงั เกต ว่า ฃ มใี ชใ้ นตาแหนง่ ที่เป็นพยญั ชนะตน้ ไม่ปรากฏในตาแหนง่ ตวั สะกดเลย นอกจากนีย้ งั มีขอ้ ทนี่ ่าสงั เกตว่าคาว่า \"ขวด\" ซง่ึ เป็นช่ือของพยญั ชนะตวั นี้ ก็ไม่เคย เขยี นดว้ ย ฃ (น่นั คือ ขวด) มากอ่ นเลย สาเหตทุ ท่ี าใหเ้ ลิกใช้ ฃ (ขวด) และ ฅ (คน) นนั้ คงเนอื่ งมาจากพิมพด์ ีดภาษาไทยในสมยั แรก ๆ น่นั เองทแี่ ป้นอกั ษรไม่มี ฃ และ ฅ เนอ่ื งจากกา้ นอกั ษรมีไม่พอกบั จานวนสระพยญั ชนะและวรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทย จงึ ตอ้ งตดั คาบางคาหรอื เครอ่ื งหมายตวั ออกไปบา้ ง อกั ษร ฅ เป็นอกั ษรที่เลกิ ใชแ้ ลว้ ไม่มคี าศพั ทใ์ นหมวดคา ฅ ในพจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน แต่ยงั มีการใช้ ฅ อย่บู า้ งในบางแวดวง นยั ว่าเพ่อื เป็นการอนรุ กั ษ์ ใหต้ วั อกั ษรไทยมีใชค้ รบ 44 ตวั เท่าทพี่ บเหน็ มกั จะใชใ้ นคาวา่ ฅน (คน) อกั ษร ฑ ในคาไทย บางคาอ่านออกเสียงเป็น /ท/ อยา่ งคาวา่ มณโฑ (มน-โท) บณุ ฑรกิ (บนุ -ทะ-รกิ ) แต่บางครง้ั ออกเสยี งเป็น /ด/ เช่น มณฑป (มน-ดบ) บณั ฑิต (บนั -ดิด) อกั ษร ณ เพียงตวั เดียวสามารถเป็นคาไดห้ นึ่งคา ณ อา่ นวา่ นะ แปลว่า \"ที่\" เป็นคาบพุ บท
อกั ษร บ เพียงตวั เดยี วแลว้ เติมไมเ้ อก โดยไม่มีสระ สามารถเป็นคาไดห้ น่ึงคา คอื บ่ อา่ นว่า บ่อ หรือ เบาะ แปลว่า \"ไม\"่ เป็นคาพิเศษทีแ่ สดงถงึ ความเป็นตรงกนั ขา้ ม อกั ษร ร ทเี่ ป็นพยญั ชนะสะกดซ่งึ ตามหลงั สระ ออ จะไม่ปรากฏตวั ออ ใหใ้ ช้ ร ต่อทา้ ย พยัญชนะตน้ ไปไดเ้ ลย เชน่ กร (กอน) พร (พอน) ละคร (ละ-คอน) เป็นตน้ คาไทยบาง คาท่ยี มื มาจากภาษาเขมรและภาษาสนั สกฤต จะมี ร ซอ้ นกนั สองตวั เรยี กวา่ ร หนั (รร) เมือ่ ตามหลงั พยญั ชนะตน้ จะออกเสียงคลา้ ยมสี ระ อะ และสะกดดว้ ยแมก่ นหรอื พยัญชนะตวั ถดั ไป เชน่ บรรพชา (บนั -พะ-ชา) สรรพ (สบั ) ธรรมะ (ทมั -มะ) เป็นตน้ อกั ษร ว รูปสระ ตวั วอ (ว) ยงั สามารถใชเ้ ป็น สระ อวั เมอ่ื มีพยญั ชนะสะกด เชน่ สวน และใชป้ ระสมสระ อวั ะ และ อวั อกั ษร ห จะไมถ่ กู ใชเ้ ป็นพยญั ชนะสะกด ถงึ แมเ้ ป็นคาที่มาจากภาษาบาลี ห กจ็ ะไม่ ออกเสียง แต่จะออกเสียงเป็นพยญั ชนะตวั ถดั ไปแทน เชน่ พราหมณ์ (พราม) พรหั มา (พรมั -มา) เป็นตน้ ห สามารถใชเ้ ป็นอกั ษรนาสาหรบั พยญั ชนะเหลา่ นี้ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ เพื่อใหส้ ามารถผนั วรรณยกุ ตไ์ ดค้ รบ 5 เสียง อกั ษร ฬ ปัจจบุ นั ฬ ไมม่ ี ๒ สระ สระในภาษาไทยมี 21 รูป ซง่ึ รูปสระเหลา่ นจี้ ะนาไปประกอบเป็นรูปสระท่ีใชจ้ ริงอกี ตอ่ หน่ึง ะ วิสรรชนยี ์ นมนางทงั้ คู่ \" ฟันหนู มสู กิ ทนั ต์ อ ตวั ออ ัั ไมห้ นั อากาศ หาง ัุ ตนี เหยยี ด ลากตนี ย ตวั ยอ กงั หนั ไมผ้ ดั ั็ ไมไ้ ต่คู้ ไมต้ ายคู้ ัู ตนี คู้ ว ตวั วอ
า ลากขา้ ง เ ไมห้ นา้ ฤ ตวั รึ ัิ พินทอุ์ ิ ใ ไมม้ ว้ น ฤๅ ตวั รอื ั่ ฝนทอง ไ ไมม้ ลาย ฦ ตวั ลึ ั นิคหิต นฤคหิต หยาด โ ไมโ้ อ ฦๅ ตวั ลือ นา้ คา้ ง หมายเหตุ : ที่แสดงขา้ งตน้ เป็นสระเด่ยี ว สระทเี่ หลอื เป็นสระผสม เช่น เ-ะ ผสมจาก เ และ ะ ๓ วรรณยุกต์ วรรณยกุ ตใ์ นภาษาไทยมี 4 รูป 5 เสียง คาทกุ คาในภาษาไทยจะมเี สียงวรรณยกุ ตเ์ สมอ แมว้ ่าจะไมม่ รี ูปวรรณยุกตแ์ สดงให้ เห็นกต็ าม รูปวรรณยุกต์ ั่ ไมเ้ อก ั้ ไมโ้ ท ั๊ ไมต้ รี ั๋ ไมจ้ ตั วา เสยี งวรรณยกุ ต์ เสยี งสามญั เสยี งเอก เสยี งโท
เสยี งตรี เสยี งจตั วา ๔ ตวั การนั ต์ ตวั การนั ต์ คือ พยญั ชนะท่มี ไี มท้ ณั ฑฆาต (-์) กากบั อยู่ ซึ่งตวั การนั ตส์ ามารถอยู่ ระหว่างคาหรอื ทา้ ยของคากไ็ ดซ้ ึง่ เราจะไมอ่ อกเสยี งพยญั ชนะท่ีมตี วั การนั ต์ เชน่ คาว่า สตั ว์ อา่ นว่า สดั *จะไมอ่ อกเสียง ว์ เลยแมแ้ ต่นิดเดียว สมั พนั ธ์ อา่ นว่า สมั -พนั คอมพวิ เตอร์ อ่านวา่ คอม-พวิ้ -เตอ้ จดุ สงั เกตคาส่วนมากคาท่มี ีตวั การนั ตอ์ ย่ตู รงกลางจะเป็นคาที่มาจาก ภาษาตา่ งประเทศซึง่ เราจะอา่ นคานนั้ มีการอ่านแบบทบั คาศพั ทล์ งไปเลย เช่นคาวา่ คอนเสิรต์ อา่ นวา่ คอ็ น-เสิด ฟิลม์ อ่านวา่ ฟีม พเ่ี พชรคะ่ แลว้ คาที่มเี ครอื่ งหมายทณั ฑฆาตกากบั แลว้ หนา้ นนั้ ไมม่ ตี วั สะกดจะอา่ น อย่างไร อนั นเี้ ป็นปัญหาพอสมควรเลยคาที่มี เคร่อื งหมายทณั ฑฆาตกากับและมพี ยญั ชนะซ่งึ ไม่มีตวั สะกดอยขู่ า้ งหนา้ เรากจ็ ะไม่อ่านออกเสยี งพยญั ชนะทอ่ี ย่ขู า้ งหนา้ นน้ั ดว้ ยเช่น จนั ทร์ อา่ นวา่ จนั *เนอ่ื งดว้ ย ร์ มีพยัญชนะ ท อยขู่ า้ หนา้ แตไ่ ม่มตี วั สะกด เราก็จะไม่ อ่านออกเสียง ทร์ ดว้ ยเช่นกนั
อนิ ทร์ อ่านว่า อนิ สดุ ทา้ ยพยญั ชนะทา้ ย ที่มีสระ และ เครอื่ งหมายทณั ฑฆาตกากับเรากจ็ ะไม่อ่านออก เสยี งทงั้ สระและพยญั ชนะดว้ ยเช่นกนั ครบั เชน่ คาวา่ บรสิ ทุ ธิ์ อ่านวา่ บอ-ริ-สดุ *เสยี ง ธิ์ จะไม่อา่ นออกเสยี งเลย รามเกยี รติ์ อา่ นว่า ราม-มะ-เกยี น สาหรบั คาท่มี ตี วั การนั ตเ์ ราจะสรุปสน้ั ๆไดง้ า่ ยๆ คือ ตวั ไหนมตี วั ทณั ฑฆาตกากบั อยู่ คานน้ั กจ็ ะไมอ่ า่ นออกเสียง พยญั ชนะ หรอื สระตวั นนั้ เลย ๕ การสะกดคาท่ี “ประ” และ “ไม่ประ” วิสรรชนยี ์ หลกั การประวิสรรชนยี ์ ๑. คาไทยแทอ้ อกเสียง อะ เตม็ คาจะประวิสรรชนีย์ เชน่ กะ จะ ปะ ละ กระโดด กะทิ ชะลอม ทะนาน มะระ กระทะ เกะกะ สะเปะสะปะ ฯลฯ ๒. คาคาประสมสองพยางค์ ท่ตี ่อมาพยางคห์ นา้ คาหนา้ กรอ่ นเป็นเสียง อะ ใหป้ ระวสิ รรชนีย์ เชน่ สาวใภ้ เป็น สะใภ้ หมากปราง เป็น มะปราง ๓. พยางคเ์ สียง สะ ทีแ่ ผลเป็น ตะ หรือ กระ ไดต้ อ้ งประวสิ รรชนยี ์ เช่น สะเทอื น เป็น กระเทอื น สะพาน เป็น ตะพาน
๔. คาที่มาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ถา้ พยางคส์ ดุ ทา้ ยออกเสียง อะ ตอ้ งประวสิ รรชนยี ์ เชน่ เถระ อวยั วะ คณะ ศิลปะ ลกั ษณะ ปิยะ ๕. คาแผลงคาทแ่ี ผลงโดยการแทรกตวั “ร” ถา้ คาเดิมประวสิ รรชนยี ์ ตอ้ งคงรูปประวสิ รรชนยี ไ์ ว้ เช่น จะเข้ เป็น จระเข้ ทะนง เป็น ทระนง ๖. คาท่มี าจากภาษาตา่ ง ๆ จากประเทศทางตะวนั ออก เช่น ชวา จนี ญ่ีป่นุ ฯลฯ พยางคท์ อ่ี อกเสยี ง อะ ตอ้ งประวสิ รรชนีย์ เช่น สะตาหมนั มะงมุ มะงาหรา ระตู (ภาษาชวา) ตะหลิว ตะเกียบ พะโล้ (ภาษาจนี ) ๗. คาทม่ี าจากภาษาต่าง ๆ จากประเทศทางตะวนั ตก ถา้ ออกเสยี ง อะ เต็มคา ตอ้ งประวสิ รรชนยี ์ เชน่ อะตอม อะเธนส์ ฯลฯ (ภาษาองั กฤษ) กะจบั ปิง้ กะละแม กะละมงั (ภาษาโปรตเุ กส) ๘. คาอพั ภาสในบทรอ้ ยกรองท่ีกรอ่ นมาจากคาซา้ และพยางคแ์ รกออก เสียง อะ จะตอ้ งประวิสรรชนีย์ เชน่ คกึ คึก เป็น คะคกึ วบั วบั เป็น วะวบั
๙. คาท่ไี มท่ ราบแนช่ ดั วา่ มาจากภาษาใด และออกเสยี ง อะ อย่าง ชดั เจนตอ้ งประวสิ รรชนีย์ เช่น พะนอ คะนึง พะงา พะเนยี ง กะหร่ี สะระแหน่ หลักการไม่ประวสิ รรชนยี ์ ๑. คาที่ออกเสยี ง อะ ไมเ่ ต็มเสียง เช่น สบาย พมา่ สกั หลาด ชนดิ สบู่ ชนวน ๒. คาทีเ่ ป็นอกั ษรนาไม่ตอ้ งประ วิสรรชนีย์ เชน่ กนก ขนม ขนาด ขนนุ จรวด ๓. คาทีม่ าจากภาษาบาลี-สนั สกฤต และ ออกเสยี ง \"อะ\" ท่พี ยางคห์ นา้ ไม่ ตอ้ ง ประวสิ รรชนีย์ เชน่ กรณี กวี คณติ ศาสตร์ คหบดี คมนาคม นวรตั น์ สรณคมณ์ อรหนั ต์ สมาคม ๔.คาสมาส ซึ่งมีเสียง อะ ท่ที า้ ยคาหนา้ ไม่ตอ้ งประวสิ รรชนยี ์ เชน่ พลศึกษา ชวี ประวตั ิ อสิ รภาพ คณบดี สาธารณสขุ มนษุ ยมัมพนั ธ์ จริยศกึ ษา กรรมกร วฒั นธรรม ๕. คาไทยแทซ้ งึ่ ย่อมาจากคาอ่ืน ๆ ไมป่ ระวสิ รรชนยี ์ เช่น ทนาย มาจากคาว่า ทา่ นนาย แทนนาย ธ มาจากคาว่า ท่าน เธอ ไท้
ณ มาจากคาวา่ ใน ณ ที่นี้ พนกั งาน มาจากคาวา่ ผนู้ กั งาน พ่อนกั งาน ๖. ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย ท่พี ยางคห์ นา้ ออกเสียง อะ ไมเ่ ตม็ เสยี งไมต่ อ้ ง ประวิสรรชนีย์ เช่น ถนน กบาล (ภาษาเขมร) สงั ขยา สลดั (ภาษามลาย)ู สกั หลาด อง่นุ กลาโหม (ภาษาเปอรเ์ ซยี ) อนิ ทผลมั พนสั (ภาษาทมฬิ ) สบู่ ฯลฯ (ภาษาเปอรต์ เุ กส) สลตุ สตู (ภาษาองั กฤษ) อิสลาม สลุ ต่าน (ภาษาอาหรบั ) ๖ การใช้ อมั อา อาม และ รรม ๑.หลกั การ ใช้ อัม ๑.๑ ใชเ้ ขียนคาท่มี าจากภาษาบาลี และสนั สกฤต ซง่ึ เดมิ เป็นเสยี ง / อะ / มี ม สะกด เชน่ กมั พล มาจาก กมพฺ ล คมั ภรี ์ มาจาก คมฺภรี อปุ ถมั ภ์ มาจาก อปุ ตฺถมภฺ ์ กมั ปนาท มาจาก กมปฺ นาท
๑.๒ สาหรบั คาบาลสี นั สกฤต ท่นี ฤคหติ สนธิกบั พยญั ชนะวรรค ป ( ป ผ พ ภ ม ) เกดิ เป็นเสยี ง / อมั / ใหเ้ ขยี น / อมั / ตามหลกั เกณฑน์ ดี้ ว้ ย เชน่ สมั พตั สร มาจาก ส + วจฺฉร สมั พาหะ มาจาก ส + วาหน สมั ภาระ มาจาก ส + ภาร สมั ผสั มาจาก ส + ผสฺส ๑.๓ เขียนคาทยี่ มื มาจากภาษาอ่ืน ๆ เชน่ กิโลกรมั นมั เบอร์ อลั บมั้ สมั มนา ปรมั ปรา ทรมั เป็ต ๒. หลักการใช้ อา ๒.๑ ใชเ้ ขยี นคาไทยแท้ ๆ ท่วั ไป เช่น คา ขา กา จดจา ลานา ทา ยา้ ลา้ ๒.๒ ใชเ้ ขยี นคาแผลงท่วั ไปท่ีแผลงมาเป็น เสยี ง / อมั / ไม่ว่าจะเป็นคาแผลงซ่งึ มา จากคาไทยแท้ หรอื คาภาษาอ่นื ๆ เชน่ ขจร เป็น กาจร ตรสั เป็น ดารั ๒.๓ ใชเ้ ขียนคาท่ีมาจากภาษาอน่ื ซึ่งออกเสยี ง / อมั / และนามาเขียนตามอกั ขรวธิ ี ของภาษาไทย ใชส้ ระอา เช่น กาป่ัน กายาน กามะถนั รามะนากาสรวล สาปั้น กาธร กามะลอ ๓. หลักการใช้ อาม
ใชเ้ ขียนคาท่ียมื มาจากภาษาบาลี และสนั สกฤต ทม่ี ีเสียงเดิมเป็น / อะ / แลว้ มีตวั ม ตาม เม่อื นามาใชใ้ นภาษาไทย แผลง อะ เป็น อา จงึ กลายเป็นรูป - อาม ในภาษาไทย เช่น กมลาศน์ เป็น กามลาศน์ อมฤต เป็น อามฤต อมหติ เป็น อามหิต ๔. หลกั การใช้ -รรม คาเสยี ง / อมั / ทแี่ ผลงมาจาก รฺ ( ร เรผะ ) ในภาษาสนั สกฤต เขยี น ใช้ รร มี ม สะกด เชน่ กรฺม เขียนเป็น กรรม เช่น กรรมการ กรรมพนั ธุ์ กรรมวาจา ธรฺม เขียนเป็น ธรรม เช่น ธรรมาสน์ ธรรมสาร ธรรม ๗ การใช้ ใอ ไอ อัย และ ไอย คาในภาษาไทยที่อา่ นออกเสยี ง / อยั / มีรูปแบบอยถู่ ึง ๔ รูปแบบดว้ ยกนั คอื ใอ , ไอ,ไอย และ อยั การมรี ูปเขียนถึง ๔ แบบเชน่ นี้ เป็นเครอ่ื งชว่ ยในการแยก ความหมายของคา ทาใหค้ าท่มี รี ูปตา่ ง ๆ ใชใ้ นความหมายต่างกนั ไดม้ ากขนึ้ และ แสดงถงึ ท่ีมาของคานน้ั ๆ ไดอ้ ีกดว้ ย นบั วา่ เป็น ประโยชนใ์ นการใชภ้ าษา การจะใชค้ า เหลา่ นใี้ หถ้ กู ตอ้ ง จะตอ้ งศึกษาหลกั เกณฑเ์ ขียนคาแต่ละแบบ ซ่ึงมหี ลกั ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. หลักการใช้ ใอ ( ไมม้ ว้ น) คาทีเ่ ขียนดว้ ย สระใอ เป็นคาไทยแท้ ในภาษาไทยเรามอี ยู่ ๒๐ คา ซงึ่ อาจใชว้ ธิ ีผกู เป็นบทรอ้ ยกรองแบบตา่ ง ๆ เพ่อื ช่วยความจา
๒.หลักการใช้ ไอ ( ไม้มลาย ) การเขยี นคาทีใ่ ชส้ ระไอ ( ไมม้ ลาย ) ในการเขียนคาภาษาไทยในปัจจบุ นั มี หลกั สาคญั ๓ ประการ ๒.๑ คาไทยทกุ คาท่ีออกเสยี ง / อยั / นอกเหนอื จากคาท่ใี ชไ้ มม้ ว้ นใหเ้ ขยี น ดว้ ย ไอ (ไมม้ ลาย) เช่น ไก่, ตะไคร้ , คลนื่ ไส้ , ไอแดด,ไฟ ฯลฯ ๒.๒ คาท่ีมาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ซ่ึงรูปคาเดมิ ใชส้ ระไอ ( ไมม้ ลาย ) ใหเ้ ขยี นโดยใช้ ไอ ตามรูปแบบคาเดิม เชน่ ไอศฺวรฺย ไอศวรรย์ ไพรสณฺฑ ไพรสณฑ์ ไวชยนฺ ต ไพชยนต์ ไวฑรู ฺย ไพฑรู ย์ ๒.๓ คาทีม่ าจากภาษาต่างประเทศทกุ คาไม่วา่ จะเป็นภาษาจนี เขมร มอญ พม่า หรอื ชาติตะวนั ตก เมอ่ื เขียนเป็นคาไทยใหใ้ ชส้ ระไอ (ไมม้ ลาย) เชน่ ไถง สไบ ไศล สไลด์ อะไหล่ ไวน์ ๓. หลกั การใช้ อยั ( เสียง อะ มี ย สะกด ) การเขียนรูป อยั นี้ เป็นการเขียนรูปคาที่มาจากภาษาบาลี และสนั สกฤต ซ่งึ รูปคาเดมิ เป็นคาทอี่ อกเสยี ง / อะ / แลว้ มี ย ตามหลงั หรอื มาจากเสียง / อะ-ยะ / เม่ือนามาใชใ้ นภาษาไทย เปลี่ยน “ อะ” เป็นไมห้ นั อากาศ และใช้ “ย” เป็นตวั สะกด เช่น ชย เป็น ชยั
วินย เป็น วนิ ยั ๔. หลักการใช้ ไอย ( ไม้มลาย มี ย ตาม ) มหี ลกั การเขียนดงั นี้ ๔.๑ คาไทยทีย่ ืมมาจากภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ซง่ึ มรี ูปเดมิ เอยย ( เอย - ยะ) เมอ่ื เป็นคาภาษาไทย แผลง เอ เป็น ไอ แลว้ ตดั ย ออก หนงึ่ ตวั เชน่ เวเนยยฺ สตวฺ เป็น ไวไนยสตั ว์ อธิปเตยฺย เป็น อธิปไตย ๔.๒ คาสนั สกฤตบางคา รูปเดิมเขยี นเป็น เอย ( เอ-ยะ ) เมือ่ นามาใชใ้ น ภาษาไทย เราแผลงเสียง เอ เป็น ไอ เขยี นรูปคาเป็นไอย เชน่ อปุ เมย เป็น อปุ ไมย ภาคเิ นย เป็น ภาคไิ นย ๔.๓ คาบางคาไม่ไดร้ ูปคามาจาก เอยย หรือ เอย ดงั กลา่ ว แต่เราเขยี นเสยี ง / อยั / โดยใชร้ ูป ไอย โดยความนิยม และเคยชินกนั แลว้ เช่น ไทย เดิมใช้ ไท ตอ่ มาเขยี นเป็น (ไทย) ไอยรา มาจากคาว่า ไอราวณ (ภาษาสนั สกฤต) ๘ การใชไ้ มท้ ัณฑฆาต ( ์์ ) ๑.ใชส้ าหรบั บอกใหร้ ูว้ า่ เป็นตวั สะกด เช่น พทุ โ์ ธ อนั วา่ พระพทุ ธเจา้ ๒. ใชส้ าหรบั ฆา่ อกั ษรทีไ่ มต่ อ้ งการออกเสยี ง ไดแ้ ก่
๒.๑ ฆา่ พยญั ชนะตวั เดยี ว เช่น การนั ต์ ครุฑพ่าห์ ทรพั ย์ อลงกรณ์ ๒.๒ ฆา่ สระ เชน่ หมอ่ มเจา้ ทรงเชอื้ ธรรมชาติ์ ๒.๓ ฆา่ ทงั้ พยัญชนะและสระ เชน่ พนั ธุ์ โพธิ์ สวสั ดิ์ ๒.๔ ฆ่าอกั ษรหลายตวั เชน่ กษตั รยิ ์ ฉันทลกั ษณ์ พระลกั ษณ์ การเขยี นสรุปความ การสรุปความ หมายถึง การรวบรวมเอาใจความสาคญั ของเรื่องมาเรียบเรยี งใหมใ่ ห้ สน้ั ทส่ี ดุ โดยใชส้ านวนภาษาของตนเอง ตอ้ งสรุปขอ้ ความทีอ่ ่านใหต้ รงกบั จดุ มงุ่ หมาย ของเนอื้ เร่อื ง พิจารณาวา่ ผเู้ ขียนตอ้ งการส่งสารทานองใด เชน่ แนะนา ตกั เตือน ยก ย่อง ตาหนิ หรอื ประชดประชนั เป็นตน้ ซึง่ หากเขา้ ใจองคป์ ระกอบของการเขยี นยอ่ หนา้ กจ็ ะสามารถเขียนสรุปความไดด้ ี หลกั ในการเขยี นสรุปความ ๑. ใชค้ างา่ ยๆ ตรงตามความหมายทีต่ อ้ งการ ๒. ใชป้ ระโยคความเดียวสนั้ ๆ ตดั พลความหรอื สว่ นประกอบออกไป ๓. เขยี นคาใหถ้ กู ตอ้ งตามพจนานกุ รม ๔. ไมค่ วรใชอ้ กั ษรยอ่ ในขอ้ ความทเ่ี ขยี นสรุปความแลว้ ๕. หากมีคาราชาศพั ทใ์ หค้ งไวต้ ามตน้ ฉบบั และใชใ้ หถ้ กู ตอ้ งตามระดบั ชน้ั ของบคุ คล ๖. เมือ่ กล่าวถึงบคุ คลใหเ้ ปลย่ี นเป็นสรรพนามบรุ ุษท่ี 3 ๗. ถา้ ขอ้ ความเดมิ เป็นรอ้ ยกรอง การเขยี นสรุปความใหเ้ ขยี นเป็นรอ้ ยแกว้ ๘. ใชส้ านวนการเขียนของตนเอง
๙. ใชค้ าสนั ธานเชื่อมขอ้ ความใหล้ าดบั เนอื้ เรื่องเป็นเร่อื งเดียวกนั การเขียนอธบิ าย การเขียนอธิบาย เป็นการเขียนเพื่อใหผ้ อู้ ่านไดร้ บั ความรูแ้ ละความเขา้ ใจเรือ่ งราว ตา่ ง ๆ อย่างละเอยี ดและถกู ตอ้ ง ดว้ ยกลวิธีท่หี ลากหลายและเหมาะสมกบั เนอื้ หา ความสาคัญของการเขยี นอธิบาย ๑ ชว่ ยใหผ้ อู้ ่านไดร้ บั ความรูแ้ ละเขา้ ใจความหมายของคาไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ๒ ช่วยใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเร่ืองราวตา่ ง ๆ ไดช้ ดั เจน และกวา้ งขวางมากขนึ้ ๓ ช่วยใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจสาระสาคญั อนั เก่ยี วขอ้ งกบั สงั คมและวฒั นธรรมไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ ง ๔ ชว่ ยใหผ้ อู้ ่านเกิดองคค์ วามรูใ้ หมแ่ ละมปี ระโยชนต์ ่อการเรยี นการสอน ๕ ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ทศั นคติ และโลกทศั นใ์ นดา้ นตา่ ง ๆ ไดด้ ีย่งิ ขนึ้ หลักและกลวธิ กี ารเขยี นอธบิ าย การเขียนอธิบายเร่ืองราวตา่ ง ๆ มีจดุ ม่งุ หมายท่ีเหมอื นกนั คือ มงุ่ ใหค้ วามรูแ้ ละ ชว่ ยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจเร่ืองราวตา่ ง ๆ ไดง้ ่ายขนึ้ การเขยี นอธิบายท่ดี คี วรมีหลกั การเขียน ดงั นี้ ศึกษาคาคน้ ควา้ และรวบรวมขอ้ มลู ต่าง ๆ ใหค้ รบถว้ นเพ่ือนามาเขียนอธิบาย ความหมายของคา เลือกวิธีเขียนอธิบายใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะของคาและเนอื้ เรื่อง เรยี บเรยี งขอ้ ความและเขียนอธิบายตามลาดบั ความสาคญั ของขอ้ มลู ใชภ้ าษางา่ ยๆ อธิบายใหเ้ ขา้ ใจง่าย เขยี นอธิบายเรื่องราวใหเ้ ป็นเอกภาพและครบถว้ นสมบรู ณ์
การอธิบายเรื่องราวบางเรอื่ งที่ตอ้ งใชภ้ าพประกอบควรจดั สรรใหเ้ หมาะสมกบั เนอื้ เรอื่ ง ลักษณะของการเขยี นอธิบาย การเขียนอธิบายทใี่ ชส้ ่อื สารในชวี ติ ประจาวนั นน้ั มหี ลายลกั ษณะ มีทงั้ เขียน อธิบายในเอกสาร ตารา ตลอดจนในเวบ็ ไซดต์ า่ ง ๆ ท่ปี รากฏในอินเทอรเ์ นต็ ซง่ึ ลกั ษณะของการอธิบายเร่อื งราวต่าง ๆ มวี ิธีการเขยี นโดยสรุปดงั นี้ 1. การเขียนอธบิ ายโดยการนยิ าม หรอื ใหค้ าจากดั ความเป็นการอธิบาย ความหมายของคา สานวนตา่ ง ๆ ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจความหมายไดถ้ กู ตอ้ ง เช่น ตวั อยา่ ง การอธิบายความหมายคาในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ชีปะขาว (น.) ชื่อแมลงทเี่ ป็นผีเสอื้ ของหนอนกอขา้ ว ถึก (ว.) เปลี่ยว, หนมุ่ (ใชแ้ ก่ควายตวั ผ)ู้ เช่น ควายถึก 2. การเขียนอธิบายโดยการขยายความ เป็นการเขยี นอธิบายความหมายของคา โดยขยายความ และเสนอรายละเอียดจากการศกึ ษาคน้ ควา้ ส่วนที่เก่ยี วขอ้ งกบั คา แลว้ นามาเรยี บเรยี งเป็นเรื่องราวอนั เป็นองคค์ วามรูท้ ่กี วา้ งขวางและครบสมบรู ณ์ จน สามารถนาไปใชอ้ า้ งองิ ได้ ดงั จะเห็นไดจ้ ากการเขยี นอธิบายในสารานกุ รมต่าง ๆ เชน่ สารานกุ รมวฒั นธรรมไทยภาคกลาง ภาคเหนอื ภาคอีสาน ภาคใต้ สารานกุ รมสาหรบั เยาวชน และสารานกุ รมแนะนาหนงั สอื ดี ๑๐๐ เลม่ เป็นตน้ 3. การเขียนอธิบายเปรยี บเทยี บ เป็นการเขยี นเพ่ืออธิบายเรือ่ งราวต่าง ๆ ให้ ผอู้ า่ นเขา้ ใจง่ายขนึ้ โดยการเปรียบเทียบสง่ิ ของสองส่งิ เหตกุ ารณห์ รอื ความ เปลยี่ นแปลงของสงั คมที่ต่างยคุ สมยั กนั เพ่อื ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจถงึ ความเหมอื นความ แตกตา่ งและความเปลยี่ นแปลงที่เกิดขนึ้ 4. การเขยี นอธบิ ายโดยยกตัวอยา่ ง เป็นการเขยี นอธิบายเรือ่ งราวต่าง ๆ ซ่ึง
อาจจะเป็นเรื่องโบราณ หรอื เร่ืองที่คน ในสมยั ปัจจบุ นั อาจจะไม่เคยรูจ้ กั หรืออาจเป็น องคค์ วามรูใ้ หม่ท่ีเป็นนามธรรม เขา้ ใจยาก จึงเขยี นอธิบายโดยยกตวั อยา่ งดว้ ย รูปภาพ หรือยกตวั อย่างประโยคเหตกุ ารณเ์ พ่ือช่วยใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจไดง้ ่ายและเร็วขนึ้ การเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขียนเล่าเหตกุ ารณใ์ ดเหตกุ ารณห์ นง่ึ ท่เี กิดขนึ้ เพอ่ื ให้ ผอู้ า่ นเหน็ ภาพเหตกุ ารณ์ ลาดบั เวลา สถานท่ี บคุ คล ผเู้ ขียนควรกลา่ วถึง เหตกุ ารณ์ ใหช้ ดั เจน โดยมีขอ้ มลู และเนอื้ หาสาระของเรือ่ งที่จะแสดงความคดิ บางครง้ั อาจแทรก บทสนทนาตวั ละครทาใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจลกั ษณะอารมณค์ วามคิดของตวั ละครและ เขา้ ใจเรอื่ งทงั้ หมด การเขยี นบรรยายใชแ้ สดงความคิดเหน็ ไดห้ ลายรูปแบบ เช่น ใชใ้ นคาประพนั ธแ์ บบ เล่าเรื่อง เลา่ เหตกุ ารณ์ การเขยี นชวี ประวตั ิ การเขยี นบันทึก การใหข้ อ้ มลู การรายงาน ข่าว เป็นตน้ การเขียนบรรยายเป็นการเขียนเล่าขอ้ เท็จจริงหรือรายละเอียดของเรอ่ื ง ตามทเี่ ป็นอยโู่ ดยคานงึ ถงึ ความต่อเนอ่ื ง การเขียนประวตั ยิ ่อ การเขียนประวตั ยิ อ่ เป็นงานเขียนรอ้ ยแกว้ กล่าวถึงเรื่องราวของบคุ คลสาคญั หรือ บคุ คลท่นี า่ สนใจโดยใชภ้ าษาเรียบเรยี งอยา่ งมีศิลปะ ในทน่ี จี้ ะกล่าวถงึ หลกั ในการ เขยี นประวตั ยิ อ่ ของตนเอง หลกั การเขยี นประวัติย่อ ๑ เขยี นจากเรอื่ ง ๒ เลือกเขยี นประวตั ทิ ี่นาสนใจ ทงั้ ทป่ี ระสบความสาเรจ็ และลม้ เหลวเพราะสามารถ นามาเป็นแบบอย่างในการดาเนนิ ชวี ติ ทดี่ ีแกผ่ อู้ า่ นได้
๓ การใชส้ านวนโวหารไมค่ วรใชส้ านวนที่เกนิ ความจรงิ ๔ ก่อนลงมอื เขียนผเู้ ขียนตอ้ งเตรยี มขอ้ มลู ใหพ้ รอ้ ม บทที่ ๘ การกรอกแบบฟอรม์ และการเขยี นขอ้ ความตดิ ตอ่ กจิ ธุระ ความหมายของการกรอกแบบฟอรม์ การกรอกแบบฟอรม์ หมายถงึ การเขียนขอ้ ความหรอื การทาเครอ่ื งหมายลงใน เอกสารท่จี ดั ขนึ้ โดยมชี ่องว่างไวใ้ หก้ รอกขอ้ มลู ส่วนบคุ คล เพอ่ื ความสะดวกในการ รวบรวมหรือจดั เก็บใหเ้ ป็นระบบ ก่อนท่จี ะนาขอ้ มูลเหล่านนั้ ไปใชป้ ระโยชน์ หลักการกรอกแบบฟอรม์ ๑ ก่อนกรอกขอ้ ความใด ๆ ควรอา่ นขอ้ ความในแบบฟอรม์ ใหเ้ ขา้ ใจก่อน ๒ หากมีคาอธิบายวธิ ีกรอกแบบฟอรม์ ควรศกึ ษาคาอธิบายใหเ้ ขา้ ใจก่อน ๓ เขียนดว้ ยลายมือที่ชดั เจนและอ่านงา่ ย ๔ กรอกขอ้ ความตามความเป็นจรงิ ๕ ใชถ้ อ้ ยคาทก่ี ะทดั รดั ตรงตามจดุ ม่งุ หมายของแบบฟอรม์ นนั้ ๆ ๖ หา้ ม ขดู ลบ ขดี ฆ่า หากเขียนผดิ หากมีรอยขดี ฆา่ แกไ้ ขตวั อกั ษรดว้ ยความจาเป็น ตอ้ งลงลายมือชอ่ื กากบั ทกุ ที่ ๗ เขยี นคานาหนา้ ชอ่ื ไดแ้ ก่ นาย นาง นางสาว ยศ ตาแหน่งท่กี ฎหมายกาหนดให้ ถกู ตอ้ งทกุ ครงั้
๘ วนั เดอื นปีเกดิ และท่ีอยู่ ตอ้ งระบใุ หช้ ดั เจนถกู ตอ้ งตามบตั รประจาตวั ประชาชนหรอิ สามะโนครวั หากท่อี ย่ปู ัจจบุ นั ไมต่ รงกบั สามะโนครวั ใหร้ ะบใุ หช้ ดั เจนเพ่ือความ สะดวกในการตดิ ตอ่ ๙ อยา่ ลงลายชื่อเพียงอยา่ งเดยี วหริลงลายมอื ชอื่ ในกระดาษเปลา่ เพราะอาจเกิด ปัญหาภายหลงั ได้ ๑๐ ควรอ่านทบทวนอกี ครง้ั เมอื่ กรอกขอ้ ความในแบบฟอรม์ ครบถว้ นแลว้ คุณสมบัติพนื้ ฐานของผกู้ รอกแบบฟอรม์ ๑ ความรู้ความเขา้ ใจทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกบั เร่ืองที่จะต้องกรอก ผกู้ รอกตอ้ งมีความรู้ เก่ยี วกบั ตนเอง เชน่ วนั เดอื นปีเกดิ ทอี่ ยู่ ภมู ิลาเนาเกดิ นามบิดามารดา หรือนามป่ยู า่ ตายาย ชอื่ และทอ่ี ยขู่ องบคุ คลทใ่ี กลช้ ิดเม่ือจาเป็นตอ้ งอา้ งถงึ หมโู่ ลหิต โรคภยั ไขเ้ จ็บ ประจาตวั ประวตั ิการแพย้ า กฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั เรื่องทีจ่ ะตอ้ งกรอก เร่อื งราวและ เหตกุ ารณอ์ น่ื ๆท่เี ก่ยี วขอ้ ง ความรูเ้ หลา่ นจี้ ะทาใหก้ ารกรอกขอ้ มลู ไม่ผิดพลาด และ ชว่ ยไมใ่ หเ้ สยี ประโยชนแ์ ก่ตนเอง หรอื เกิดความเสียหายแกก่ ารรวบรวมขอ้ มลู ๒ ความสามารถทางภาษา สามารถอา่ นขอ้ ความและตีความขอ้ ความในแบบฟอรม์ ไดถ้ กู ตอ้ งโดยตลอด เขา้ ใจความตอ้ งการของแบบฟอรม์ นนั้ ว่า ตอ้ งการใหก้ รอก ขอ้ ความใดลงในช่องใด เชน่ การขออนญุ าตใชร้ ถในช่องวตั ถปุ ระสงค์ เราตอ้ งชใี้ หเ้ หน็ ถงึ ความจะเป็นวา่ ตอ้ งการใชร้ ถเพือ่ การปฏบิ ตั ิงานอนั เป็นประโยชนส์ าหรบั องคก์ าร นน้ั กรณีท่ีผกู้ รอกขอ้ ความไม่แนใ่ จว่าตนเองเขา้ ใจหรอื ตคี วามในแบบฟอรม์ นน้ั ได้ ถกู ตอ้ งหรือไม่ อยา่ เดา ใหถ้ ามผรู้ ู้ ๓ ความซ่ือตรง การกรอกแบบฟอรม์ ทกุ ชนดิ ผกู้ รอกควรใหค้ วามจริงเสมอ ไมค่ วร กรอกขอ้ ความท่เี ป็นเทจ็ เพราะจะทาใหเ้ กิดผลเสยี
๔ ความรับผดิ ชอบ แบบฟอรม์ หลายชนิดไม่มีผลทจ่ี ะก่อใหเ้ กดิ พนั ธะทางกฎหมาย แก่ผกู้ รอกกจ็ ริง แตผ่ กู้ รอกจาเป็นตอ้ งมีความรบั ผิดชอบต่อขอ้ ความทตี่ นกรอกลงไป ตวั อยา่ ง ในการกรอกแบบสอบถามของชมรมวทิ ยาศาสตรถ์ ามวา่ สมาชิกประสงคจ์ ะ ไป ทศั นศกึ ษา ณ ทใี่ ด และเราใหค้ าตอบไปแลว้ ว่าตอ้ งการไปสถานทนี่ นั้ ๆ หากทาง ชมรมจดั ขนึ้ ตามความประสงค์ เราก็ไม่ควรปฏเิ สธที่จะรว่ มกจิ กรรมของชมรม หรอื เมอื่ เราไดร้ บั แบบฟอรม์ มา เรากไ็ มค่ วรละเลยไม่ตอบ ไมส่ ่งกลบั คืนไปยงั ผสู้ อบถาม หรอื ทาเป็นเรอ่ื งเล่นๆ ลายมอื ทก่ี รอกควรใหอ้ ่านงา่ ย ชดั เจน และสะอาด ๕ ความรอบคอบ การกรอกแบบฟอรม์ บางอยา่ ง ตอ้ งประณีตรอบคอบเป็นอยา่ งย่ิง มฉิ ะนนั้ จะเกิดผลเสียหายแก่ตนเองได้ เชน่ ในการกรอกสญั ญากยู้ ืม สญั ญาคา้ ประกนั สญั ญาซอื้ ของผ่อนสง่ ผกู้ รอกแบบฟอรม์ ตอ้ งดจู านวนเงนิ ใหแ้ นน่ อนตรงกนั ทงั้ ตวั เลขและตวั อกั ษร รวมทงั้ ระยะเวลาในการชาระเงินและเงือ่ นไขอนื่ ๆ กต็ อ้ งดดู ว้ ย ความรอบคอบ ประเภทของแบบฟอรม์ แบบฟอรม์ ทใี่ ชก้ นั ในปัจจบุ นั แบ่งออกไดเ้ ป็น ๔ ประเภท ไดแ้ ก่ ๑) แบบฟอรม์ ที่ใชใ้ นการติดตอ่ กบั หน่วยงาน ๒) แบบฟอรม์ ทีผ่ อู้ น่ื ขอความรว่ มมือใหก้ รอก ๓) แบบฟอรม์ ท่ีใชภ้ ายในหนว่ ยงาน ๔) แบบฟอรม์ สญั ญา ๑ แบบฟอรม์ ท่ใี ช้ในติดตอ่ กับหน่วยงาน ทงั้ ภาครฐั และเอกชน แบบฟอรม์ ชนดิ นี้ หนว่ ยงานเป็นผจู้ ดั เตรียมขนึ้ เพือ่ ใหผ้ มู้ าตดิ ตอ่ ใชไ้ ดโ้ ดยสะดวก จะไดไ้ ม่เสยี เวลาใน การเขียน ทาใหห้ นว่ ยงานไดร้ บั ขอ้ มลู ครบถว้ นท่ีจาเป็นตามตอ้ งการ นอกจากนีย้ งั ทา
ใหจ้ ดั เก็บไวไ้ ดเ้ ป็นระเบียบเรยี บรอ้ ย คน้ หาไดง้ า่ ย ตวั อย่างเช่น แบบฟอรม์ สมคั รงาน แบบฟอรม์ สมคั รเขา้ ศกึ ษาตอ่ แบบฟอรม์ ขอติดตงั้ นา้ ประปา แบบฟอรม์ เสียภาษี ๒ แบบฟอรม์ ท่ีผอู้ ื่นขอความรว่ มมอื ใหก้ รอก แบบฟอรม์ ชนดิ นใี้ ชเ้ พ่ือตอ้ งการ ทราบขอ้ มลู ทงั้ ทเี่ ป็นขอ้ เทจ็ จริง และทรรศนะของประชาชนกลมุ่ ตา่ ง ๆ ตวั อยา่ ง สถานี วิทยกุ ระจายเสียง อยากทราบชนิดของรายการทป่ี ระชาชนสนใจ กอ็ าจสรา้ ง แบบฟอรม์ ชนดิ หนง่ึ ขนึ้ เรียกวา่ แบบสอบถาม สง่ ทางไปรษณียห์ รอื ใหบ้ คุ คลนาไปถงึ กลมุ่ ประชากรท่ตี อ้ งการจะสอบถาม ผทู้ ่ีไดร้ บั แบบสอบถามเป็นผกู้ รอก หรอื บอก ขอ้ ความใหผ้ อู้ ืน่ กรอกกไ็ ด้
๓ แบบฟอรม์ ทใี่ ชภ้ ายในหน่วยงาน องคก์ ารสมยั นี้ มรี ะบบการรวบรวมเรือ่ งราว ทกุ ชนดิ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั บคุ ลากรภายในหนว่ ยงานของตนดว้ ยวิธีใหก้ รอกแบบฟอรม์ แทนที่จะตอ้ งเขยี นชแี้ จงทงั้ เรอ่ื งซงึ่ มกั จะใหร้ ายละเอียดไมต่ รงตามทีต่ ้องการ ตวั อยา่ ง ท่เี หน็ ง่าย เชน่ แบบฟอรม์ ขออนญุ าตใชว้ สั ดอุ ปุ กรณแ์ ลส่งิ อานวยความสะดวกตา่ ง ๆ ของหนว่ ยงาน แบบฟอรม์ ใบลา แบบฟอรม์ ขอกเู้ งินสวสั ดิการ การใชแ้ บบฟอรม์ ตามท่ี กล่าวมานี้ จะช่วยใหอ้ งคก์ ารไดร้ ายละเอยี ดทกุ ประการตามท่ตี อ้ งการ ๔ แบบฟอรม์ สัญญา สญั ญาในทน่ี หี้ มายถึงเอกสารทีม่ ีผลผกู พนั ทางกฎหมาย ระหว่างบคุ คล ๒ ฝ่าย เช่น สญั ญาจะซอื้ จะขายสินคา้ สญั ญากเู้ งิน สญั ญาเชา่ บา้ น สญั ญาตา่ ง ๆ เหลา่ นี้ มผี ทู้ าขนึ้ เป็นแบบฟอรม์ เพ่อื ใหค้ สู่ ญั ญาไดร้ บั ความสะดวก ไม่ ตอ้ งเรยี บเรยี งถอ้ ยคาขนึ้ เอง เพียงแตก่ รอกสถานท่ี วนั เดอื นปี ช่อื ตวั เลขบางอย่างลง
ไป และลงลายมอื ช่อื กากบั ไวเ้ ทา่ นน้ั สญั ญาก็จะมผี ลสมบรู ณ์
หลกั การเขียนบันทกึ เพื่อตดิ ต่อกิจธุระ ๑ การเขียนบันทกึ จากการฟัง การบนั ทกึ จากการฟัง จะมีความคลา้ ยคลงึ กบั บนั ทกึ จาการเขียนเพราะตอ้ งการขอ้ มลู เพือ่ นาไปใชใ้ นการเขยี น การบนั ทึกจาการฟังเร่มิ ขนึ้ เมอื่ ผทู้ ่ีจะเร่ิมจากงานเขยี นเขา้ ไป ฟังการพดู ในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง การฟังจาการบรรยาย การฟังจากการรบั โทรศพั ท์ การฟังวทิ ยุ การสมั ภาษณ์ การประชมุ การอภิปราย ซง่ึ จะตอ้ งเตรยี มอปุ การทจ่ี ะ บนั ทึกการฟังเป็นอยา่ งดี โดยเตรียมอปุ กรณส์ าหรบั การยนั ทึกอาจเป็นวีดีทศั นห์ รือ เครื่องบนั ทกึ เสยี ง ปกติแลว้ นยิ มใชเ้ ครื่องบนั ทกึ เสียงมากกว่า หากไมม่ ีอปุ กรณ์ ประเภทนกี้ อ็ าจใชก้ ารจดบนั ทึกสาระทไ่ี ดจ้ ากการฟังก็ได้ ๒ การบันทกึ จากการอา่ น การบนั ทึกจากการอา่ น ส่วนมากจะเป็นการบนั ทกึ ขอ้ มลู เพ่อื งานเขียน อาจเป็นงาน เขียนทางวิชาการหรอื การเขียนรายงาน โดนมีวิธีการดงั นี้ ๒.๑ จะตอ้ งสารวจหนงั สอื และวสั ดสุ ารสนเทศต่าง ๆ ท่รี วบรวมไวว้ า่ มเี ร่ืองหรือ ขอ้ มลู ทีเ่ ก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั เรอื่ งทีจ่ ะเขยี นรานงาน โดยสารวจดจู ากสารบญั และ ดรรชนี ๒.๒ ควรเลอื กอา่ นบทท่คี าดว่าจะบรรจเุ รอ่ื งราวทต่ี อ้ งศึกษาคน้ ควา้ ควรอา่ น อย่างรวดเรว็ โดยปดตผิ เู้ ขียนมกั จะบรรจเุ นอื้ หาสาคญั ๆ ของแตล่ ะบทไวใ้ นยอ่ หนา้ แรกและย่อหนา้ สดุ ทา้ ย ๒.๓ ในการอ่านทงั้ บทเพ่อื หาขอ้ มลู จงึ จะไดเ้ นอื้ เรอื่ งตามตอ้ งการฉะนน้ั ไมค่ วรที่ จะอา่ นทกุ ตวั อกั ษร ควรอ่านเพ่ือจบั ใจความสาคญั เท่านนั้
๒.๔ เพ่อื ใหย้ นั ทึกเรอื่ งทีค่ น้ ควา้ เป็นไปไดด้ ว้ ยดี อย่ใู นขอบขา่ ยของรายงานก่อน ลงมอื บนั ทกึ ควรอ่านบทความจากสารานกุ รม หรอื หนงั สอื ทวี่ า่ ดว้ ยเรื่องทเ่ี ก่ยี วกบั บท นพิ นธโ์ ดยตรงเพ่อื ใหม้ ีความรูพ้ นื้ ฐาน ๒.๕ การบนั ทกึ ตอ้ งทาดว้ ยความประณีต อา่ นงา่ ย ถกู ตอ้ ง สมบรู ณ์ มี ระเบียบในการบนั ทึกโดนสม่าเสมอ สิง่ สาคญั ทต่ี อ้ งมีใยบตั รบนั ทึก คอื หวั ขอ้ หรือหวั เรอื่ งท่ีบนั ทกึ แหลง่ ที่มาของความรูแ้ ละขอ้ ความท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาคน้ ควา้ ๒.๖ การบนั ทึกเรือ่ งราวทต่ี อ้ งการนน้ั อาจบนั ทกึ ดว้ ยวิธีดงั ต่อไปนดี้ ว้ ยวธิ ีใดวธิ ี หนึง่ หรือหลายวิธีประกอบก็ได้ ๑ บนั ทกึ แบบยอ่ ความ ๒ บนั ทึกแบบถอดความเป็นสาเนาของผบู้ นั ทึก ๓ การบนั ทึกแบบคดั ลอกอญั ประกาศ ใชเ้ มอื่ ขอ้ ความนน้ั มลี กั ษณะดงั นี้ ก. เป็นขอ้ ความทสี่ าคญั มาก ข. เป็นขอ้ ความทจี่ ะพิสจู นต์ ่อไปวา่ ไม่จรงิ ค. เป็นขอ้ ความที่กากวม ไม่แจม่ แจง้ ง. เป็นขอ้ ความทผ่ี เู้ ขยี นรายงานตอ้ งการอา้ งอิงเพ่อื สนบั สนนุ ความ คดิ เหน็ ของตน จ. เป็นขอ้ ความท่เี ขยี นไวเ้ ป็นอย่างดีมาก ถอ้ ยคาสานวนกะทดั รดั ชดั เจนซึ่งถา้ จะถอดความเป็นคาพดู ของผเู้ ขยี นรายงานเองแลว้ อาจทาไมไ่ ดเ้ ทา่ ของเดิม ๔ วิจารณห์ รอื สรุปความเหน็
๓ การเขียนบนั ทกึ จากประสบการณต์ รง การเขียนบนั ทกึ จากประสบการณห์ รอื บนั ทึกสว่ นตวั เป็นการบนั ทกึ เรอื่ งราวใน ชวี ิตประจาวนั บนั ทึกเหตกุ ารณส์ าคญั ทไ่ี ดป้ ระสบมา เพื่อเป็นประโยชนใ์ นการช่วย ความจาและใชเ้ ป็นหลกั ฐานสาคญั ของชวี ติ และเป็นการฝึกฝนการเขียนของผบู้ นั ทกึ ทสี่ ามารถเขยี นระบายความรูส้ กึ ตา่ ง ๆ ใหก้ ารเขียนบนั ทึกสว่ นตวั ผ่อนคลายลดความ ตรงึ เครียดและมคี วามสนุ ทรยี ด์ า้ ยอารมณไ์ ดอ้ ย่างดียง่ิ การเขยี นบนั ทกึ ส่วนตวั มี วิธีการดงั นี้ ๓.๑ เขียน วนั เดือน ปี ทบี่ นั ทกึ ๓.๒ ไมจ่ าเป็นตอ้ งบนั ทึกทกุ วนั ควรบนั ทึกเฉพาะเหตกุ ารณส์ าคญั ๆ ท่ีผู้ บนั ทึกไดพ้ บ เวลาสถานทเี่ กิดเหตกุ ารณ์ รายละเอยี ดของเหตกุ ารณแ์ ละความคิดเหน็ ๓.๓ ควรบนั ทกึ เหตกุ ารณท์ ่ีประทบั ใจ ทงั้ ในดา้ นดแี ละไม่ดี พยายาม เขยี นความรูส้ กึ ตามท่ตี นตอ้ งการ ๓.๔ ไมค่ วรบนั ทึกกจิ กรรมประจาวนั ทีซ่ า้ ซาก เชน่ ตน่ื นอน อาบนา้ แปรง ฟัน กจิ วตั รเหลา่ นมี้ านา่ สนใจ ไมม่ อี ะไรน่าจดจา นอกจากในตอนใดท่ีเหตกุ ารณ์ พเิ ศษเกิดขนึ้ กค็ วรจดบนั ทกึ ไว้ ๓.๕ กอ่ นนอนเป็นเวลาท่เี หมาะสมในการเขยี นบนั ทึกที่สดุ ประเภทของบนั ทกึ บนั ทกึ มี ๔ ประเภท มีเนอื้ หาแตกต่างกนั ไปตามโอกาสทีใ่ ชแ้ ละลกั ษณะการเขียน ดงั นี้
๑ บันทึกย่อเรื่อง คอื บนั ทึกท่ีเขียนสรุปสาระสาคญั ของเรอื่ งใดเร่อื งหนึ่ง ซึ่งจะตอ้ งมี ตน้ ฉบบั ท่สี มบรู ณแ์ นบมาดว้ ย หรอื แจง้ ท่มี าของฉบบั สมบรู ณน์ นั้ ใหท้ ราบดว้ ย มี หลกั การเขยี นดงั นี้ ๑.๑ อา่ นและทาความเขา้ ใจเนอื้ ความตน้ ฉบบั ท่ีจะยอ่ แลว้ จบั ใจความสาคญั ใหไ้ ด้ ๑.๒ เรียบเรียงใจความสาคญั ซงึ่ ไม่จาเป็นตอ้ งเรยี งเหมอื นตน้ ฉบบั เดมิ ๑.๓ เนอื้ ความในบนั ทึกยอ่ เรื่อง ควรเร่ิมตน้ ดว้ ยการเทา้ ความบอกถงึ เหตทุ ี่เขยี น บอกที่มาของความทีย่ ่อ จากนน้ั จงึ เป็นความทย่ี อ่ ซึ่งตรงกบั หลกั ของการยอ่ ความ น่นั เอง ๑.๔ หากใจความทย่ี อ่ ยาวมาก อาจแยกทาเป็นบนั ทึกปะหนา้ เร่อื งทยี่ ่อนน้ั และถา้ ใจความนน้ั สน้ั อย่แู ลว้ ไมอ่ าจย่อไดอ้ กี ก็ใหเ้ สนอตามลาดบั ขนั้ ไดเ้ ลย ๑.๕ ขอ้ ความใดท่ีตอ้ งการเนน้ เป็นสาคญั อาจขดี เสน้ ใตไ้ วใ้ หเ้ ป็นทสี่ งั เกตได้ ๒ บนั ทกึ รายงาน คือ บนั ทกึ ท่กี ล่าวถึงเรือ่ งราวซงึ่ ผเู้ ขียนไดป้ ระสบมา ไดล้ งมอื ปฏบิ ตั ติ ดิ ตามตรวจตราตรวจสอบ เพอื่ ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวม และงานในหนา้ ท่ี มี หลกั การเขยี นดงั นี้ ๒.๑ กล่าวถึงเหตทุ ่เี ขยี นรายงานโดยอาจอา้ งถงึ คาส่งั ท่ีไดร้ บั มอบหมาย ถา้ เป็น เรอื่ งราวทรี่ ายงานขนึ้ เอง อาจขนึ้ ตน้ วา่ “ดว้ ย.........., ปรากฏว่า......... ฯลฯ” ๒.๒ เขียนรายงานเรือ่ งราวอย่างสรุป ๒.๓ อาจมขี อ้ เสนอแนะ แสดงผลที่ไดรบั หรอื แสดงความคดิ เพ่มิ เติม
๓ บันทึกความเห็น คือ บนั ทกึ ท่ผี เู้ ขียนแสดงความรูส้ กึ หรอื ความนึกคดิ เพื่อ นาเสนอผบู้ งั คบั บญั ชาและผเู้ ก่ยี วขอ้ ง ซ่งึ อาจเขียนลงในกระดาษบนั ทกึ ขอ้ ความ หรือ เขยี นต่อทา้ ยบนั ทึกประเภทอ่นื ท่ีเป็นตน้ เร่ืองเดมิ ก็ได้ มีหลกั การเขยี นดงั นี้ ๓.๑ สรุปประเดน็ ความเหน็ ตามเหตแุ ละผลใหส้ น้ั ทีส่ ดุ ๓.๒ เหตผุ ลทีแ่ สดงความเหน็ นนั้ ควรเป็นเหตผุ ลทมี่ ีหลกั ฐาน มีขอ้ อา้ งอิง นา่ เช่ือถือ สมเหตสุ มผล เช่น อาจอา้ งระเบียบ ขอ้ บงั คบั คาส่งั หรือกฎหมาย ๔ บนั ทึกตดิ ต่อและส่ังการ คือ บนั ทกึ ท่ีใชส้ ่อื สารระหว่างบคุ ลากรในหนว่ ยงาน เดยี วกนั รวมถึงการส่งั การของผบู้ งั คบั บญั ชา และผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาเขยี นตดิ ต่อกบั ผบู้ งั คบั บญั ชาดว้ ย มหี ลกั การเขยี นดงั นี้ ๔.๑ เริม่ เทา้ ความถึงทมี่ าและสาเหตขุ องการเขยี นสนั้ ๆ ๔.๒ ตรงเขา้ ส่จู ดุ ประสงคข์ องเร่อื ง ๔.๓ ใหร้ ายละเอียดทจี่ าเป็นอย่างชดั เจนและครบถว้ น การเขยี นบนั ทกึ ข้อความเพ่ือติดต่อกิจธุระ บันทกึ ข้อความ หมายถึง รูปแบบของเอกสารชนดิ หนงึ่ ทน่ี าไปใชเ้ พื่อใหเ้ กดิ ความ สะดวกในการติดตอ่ การเก่ยี วกบั กิจธรุ ะภายในของหนว่ ยงานหรอื องคก์ รทงั้ ภาครฐั และเอกชน ถา้ หากเป็นบนั ทึกขอ้ ความท่ใี ชใ้ นหนว่ ยราชการก็จะใชแ้ บบฟอรม์ ของทาง ราชการ ซงึ่ ในทน่ี จี้ ะของบนั ทึกทีใ่ ชต้ ดิ ตอ่ กิจธุระภายในหนว่ ยงานของทางราชการ การเขยี นบนั ทกึ ขอ้ ความเพ่อื ตดิ ตอ่ กจิ ธุระ ควรใชภ้ าษาทีก่ ะทดั รดั ส่อื ความหมายได้ ชดั เจน บนั ทึกขอ้ ความจะเขียนหรือพิมพล์ งในแบบพมิ พห์ รอื แบบฟอรม์ เฉพาะท่ีจดั ไว้ เป็นกระดาษบนั ทึกขอ้ ความ หากกระดาษขอ้ ความเป็นของบรษิ ัท หา้ ง รา้ น หรอื
หน่วยงานภาคเอกชน อาจจะมรี ายละเอียดของแบบฟอรม์ ตา่ งกนั ออกไปได้ แต่ อยา่ งไรก็ตามจะมีส่วนประกอบสาคญั ๆ เหมอื นกนั และมกั มีคาวา่ “บนั ทึก” “บันทกึ ภายใน” หรือ “บนั ทกึ ข้อความ” อย่กู ลางหนา้ กระดาษ โดยท่วั ไปบนั ทึกขอ้ ความมสี ว่ นประกอบทสี่ าคญั ดงั นี้ ๑ สว่ นหัวของบันทกึ ขอ้ ความ จะใหร้ ายละเอียดของส่งิ ต่อไปนี้ • หนว่ ยงานของผเู้ ขียนบนั ทกึ • วนั เดือน ปีที่เขยี นบนั ทึก • เรื่องทเี่ ขยี น • ตอ้ งการเขียนถึงใคร ๒ ส่วนขอ้ ความ จะสรุปใจความสน้ั ๆ หากมหี ลายประเดน็ อาจแยกเป็นหวั ขอ้ ได้ เนอื้ หาในส่วนของขอ้ ความอาจเขียนถงึ ส่ิงตอ่ ไปนี้ • เหตทุ เี่ ขยี นหรอื การเทา้ ความถึงท่ีมาอนั เป็นเรอ่ื งเดิมของบนั ทกึ ขอ้ ความ • จดุ ประสงคข์ องการเขียน • รายละเอียดอื่นๆ ทจี่ าเป็นโดยยอ่ ๓ สว่ นทา้ ย ไมต่ อ้ งเขียนคาลงทา้ ย ใหล้ งลายมือช่ือวงเล็บตวั บรรจงใตล้ ายมือชอื่ และ ลงตาแหน่งของผเู้ ขียนบนั ทกึ สาหรบั บนั ทึกขอ้ ความทตี่ อ้ งการความสะดวก รวดเร็วและถือเป็นเรอ่ื งภายใน อาจลง ชื่อยอ่ หรือไม่จาเป็นตอ้ งลงสว่ นทา้ ยครบสมบรู ณก์ ไ็ ด้ การจดบันทกึ ขอ้ ความ
การจดบนั ทึกข้อความ เป็นวิธีการรบั สารวธิ ีหน่งึ เป็นขนั้ ตอนหนึง่ ของการ ปฏบิ ตั ิงานในหน่วยงานโอกาสทจี่ ะเกิดการจดบนั ทึกขอ้ ความมีดงั นี้ ๑ เมื่อผบู้ งั คับบญั ชาส่งั งาน เป็นการจดบนั ทกึ จากการฟังผูบ้ งั คบั บัญชาโดยตรง มี หลกั ในการจดบนั ทกึ ดงั นี้ • จบั ประเด็นใหไ้ ดว้ ่าส่งั งานอะไร ใหท้ าเมื่อไร แบบไหน อย่างไร ใหใ้ ครทา • ลาดบั คาส่งั เป็นขอ้ ๆ เรื่องใดมากอ่ น เพราะบางครงั้ งานทสี่ ง่ ใหท้ ากอ่ น อาจมผี ลต่องานลาดบั ถดั ไป • ควรทบทวนคาส่งั เป็นระยะ เพ่ือใหผ้ สู้ ่งั รบั รูด้ ว้ ยว่าไดส้ ่งั อะไรไปแลว้ • ในขณะทีฟ่ ังและจดคาส่งั ไมค่ วรขดั จงั หวะการส่งั งาน หากมีขอ้ สงสยั ควร ซกั ถามเมอ่ื การส่งั นน้ั เสร็จสนิ้ แลว้ ๒ เมอ่ื ตอ้ งรบั ฝากขอ้ ความ การรบั ฝากขอ้ ความเกิดจาก ๒ กรณี คือ ๒.๑ เมอ่ื มีผโู้ ทรศพั ทต์ ดิ ต่อหน่วยงานหรือบคุ ลากรในหนว่ ยงาน ๒.๒ เมอ่ื มผี มู้ าติดตอ่ งานกบั บคุ ลากรในหน่วยงานแลว้ ไมพ่ บบคุ คลนน้ั การรับฝากข้อความมีหลกั ปฏิบัตดิ ังนี้ • ทาความเขา้ ใจวา่ ผสู้ ่งั ขอ้ ความมีจดุ ประสงคอ์ ะไร ขอ้ ความนน้ั มคี วาม รีบเรง่ เพียงใด • ซกั ถามและทบทวนขอ้ ความนน้ั ใหช้ ดั เจนและแน่ใจก่อนจดบนั ทึก ขอ้ ความ โดยลงวนั ท่ี เวลา และลงช่อื ผจู้ ดบันทึก • จดั ส่งขอ้ ความทีบ่ นั ทกึ ไวไ้ ปยงั บคุ คลหรือหนว่ ยงานตามความประสงค์ ของผฝู้ ากขอ้ ความโดยเร็ว
๓ เมอ่ื ตอ้ งจดบนั ทึกการประชมุ การจดบนั ทึกการประชมุ จะเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ภายใน องคก์ รมีการประชมุ ปรกึ ษาหารอื เพ่อื พิจารณาเรือ่ งราวตา่ ง ๆ การจดบนั ทึกการ ประชมุ จะนาไปเขียนเป็นรายงานการประชมุ เพ่อื ใชเ้ ป็นหลกั ฐานของหน่วยงานต่อไป การจดบนั ทึกการประชมุ แบ่งออกได้ ๓ ลกั ษณะ ดงั นี้ ๓.๑ จดคาพดู ทกุ คาของผอู้ ภปิ รายและมติในทีป่ ระชุม ๓.๒ จดแบบสรุปเฉพาะขอ้ คิดเหน็ ทีส่ าคญั และมติในทีป่ ระชมุ ๓.๓ จดเฉพาะญัตติและมติของทปี่ ระชุมนน้ั บทท่ี ๙ การเขยี นรายงานวิชาการ ความหมายของรายงานเชงิ วิชาการ รายงาน เป็นผลของการศึกษาคน้ ควา้ เรื่องใดเรื่องหน่ึงซงึ่ เรียบเรียง แลว้ เขียนหรือ พมิ พข์ นึ้ ใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผนทก่ี าหนด การทารายงานอาจทาเป็นรายบคุ คลหรือ เป็นกล่มุ กไ็ ด้ ความยาวของรายงานขนึ้ อย่กู บั ขอบเขตของหวั ขอ้ รายงาน และ ระยะเวลาในการทารายงาน การเขียนรายงานเชงิ วชิ าการ หมายถึง งานเขียนทางวิชาการท่ีเกดิ จาก การศกึ ษาคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ ง ๆ โดยศกึ ษาคน้ ควา้ จากเอกสาร จาก การสารวจ การสงั เกต การทดลอง ฯลฯ แลว้ นามารวบรวมวเิ คราะห์ เรียบเรียงขนึ้ ใหม่ ตามโครงเร่ืองทกี่ าหนดไว้ โดยมีหลกั ฐานและเอกสารอา้ งอิงประกอบ การเขียนรายงานเชงิ วชิ าการ ควรมขี นั้ ตอนดงั ต่อไปนี้ ๑ เลือกหวั ชอื่ เร่ือง หากสามารถเลอื กเรื่องที่จะทารายงานได้ กค็ วรเลอื กโดยอาศยั หลกั เกณฑต์ ่อไปนี้
๑. มคี วามสนใจ ความถนดั ในเรอื่ งนน้ั ๒. เป็นเรื่องทใ่ี หส้ าระความรูเ้ หมาะสมกบั ระดบั ความรู้ ความสามารถของผทู้ า รายงาน ๓. สามารถทาไดเ้ สร็จทนั กาหนดเวลา ๔. มีแหล่งคน้ ควา้ ทจ่ี ะใหข้ อ้ มลู ความรูไ้ ดอ้ ยา่ งเพยี งพอ ๒ กาหนดจุดมงุ่ หมาย และขอบเขตของเร่ือง เพ่อื ไดแ้ นวทางชดั เจน ในบางเรื่องอาจ กาหนดจดุ มงุ่ หมายและขอบเขตของเรื่องไปพรอ้ ม ๆ กบั การเลอื กหวั ขอ้ เรื่องกไ็ ด้ ๓ คน้ คว้าและรวบรวมข้อมูลจากแหลง่ ความรู้ตา่ ง ๆ ดว้ ยวธิ ีการอา่ น การฟัง การสอบถาม สงั เกตการณ์ การปฏบิ ตั ิทดลองของจริง หรือการหาประสบการณจ์ ริง แลว้ บนั ทึกไว้ วิธีการจดบนั ทกึ เพือ่ เกบ็ ขอ้ มลู ทค่ี น้ ควา้ มาได้ จาแนกไดเ้ ป็น ๑) จดบนั ทึกจากการฟัง โดยเลอื กจดเฉพาะประเด็นที่สาคญั ๒) จดบนั ทกึ จาการอา่ น ควรบอกแหลง่ ท่ีมาของขอ้ มลู ใหช้ ดั เจน ๓) จดบนั ทกึ จากประสบการณต์ รงทีไ่ ดพ้ บไดเ้ ห็น หรือสงั เกตมา หลกั สาคญั ในการจดบนั ทึกจากแหลง่ ขอ้ มลู ต่าง ๆ มีดงั นี้ ๑) จดบนั ทกึ ใหถ้ กู ตอ้ งโดยใชส้ านวนภาษาของผจู้ ดอย่างยอ่ ๒) ระบบแหล่งที่มาใหช้ ดั เจน และบอกวนั เดอื น ปี ท่บี นั ทกึ ไวด้ ว้ ย ๓) จดบนั ทกึ อย่างมรี ะเบียบ เป็นระบบเดียวกนั ซึ่งอาจใชบ้ ตั รบนั ทกึ หรอื บรรณนทิ ศั นท์ ม่ี ีขนาดเท่าๆ กนั โดยท่วั ไปอาจใชข้ นาด ๕” x ๗”
๔ วางโครงเรือ่ ง คือ การเรียบเรียงเนอื้ หาออกเป็นหวั ขอ้ ยอ่ ย ๆ โดยพจิ ารณาจาก ขอบเขต และการคน้ ควา้ รวบรวมขอ้ มลู ท่ไี ดม้ า อาจนาบตั รบนั ทึกทีไ่ ดท้ งั้ หมดมา เรียงลาดบั แลว้ จดั เป็นโครงสรา้ ง ๕ ลงมือเขยี นรายละเอยี ด ตามโครงเรือ่ งและขอ้ มลู ทค่ี น้ ควา้ และรวบรวมไว้ โดยคานงึ ถึงหลกั การเขยี นดงั ต่อไปนี้ ๕.๑ ความถกู ตอ้ งในส่ิงตอ่ ไปนี้ • ตวั สะกด • สานวนของภาษา การใชค้ า และประโยค • ขอ้ เท็จจริง สิง่ ท่ีอา้ งอิง • รูปแบบของรายงาน ๕.๒ ความชดั เจนในสงิ่ ตอ่ ไปนี้ • สานวนการใชภ้ าษา • ตวั เลข กราฟ แผนภมู ิ ภาพประกอบ ฯลฯ โดยเพม่ิ คาอธิบายให้ เขา้ ใจกระจา่ งแจง้ ๕.๓ ความต่อเนอ่ื ง หรือสมั พนั ธภาพ ในดา้ น • เนอื้ หาทส่ี อดคลอ้ งกนั น่าเช่ือมถอื • การเรยี งลาดบั ตามรูปแบบของรายงาน ตงั้ แต่คานา เนอื้ เรื่อง และบทสรุป ๕.๔ ความสมบรู ณ์ ในส่ิงตอ่ ไปนี้ • เนอื้ หาสมั พนั ธก์ บั เนอื้ เรอ่ื ง
• ขอบเขตของเร่อื ง • ขนั้ ตอนในการเรียบเรียงเนอื้ หา • สาระของเรื่อง ความคิดเหน็ การอา้ งอิง และประโยชน์ ๖ ตรวจทานแกไ้ ข ในสง่ิ ต่อไปนี้ ๖.๑ เนอื้ หาความถกู ตอ้ ง ๖.๒ สานวนภาษา ๖.๓ ความสอดคลอ้ งกบั ตลอดเร่ือง (สมั พนั ธภาพ) ๖.๔ ตรวจขอ้ บทพรอ่ งท่วั ไป เช่น การสะกดคา การเรยี งลาดบั หวั ขอ้ การใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอน ฯลฯ ๖.๕ ความถกู ตอ้ งของส่วนประกอบต่าง ๆ ของรายงาน ๗ พิมพห์ รือเขียน เป็นขนั้ ตอนท่ีตอ้ งพถิ พี ิถนั เพ่ือใหร้ ายงานมคี ณุ ภาพ และนา่ อา่ น หากตอ้ งส่งพิมพ์ หรือใหผ้ อู้ น่ื คดั ลอก ผเู้ ขยี นตอ้ งจดั ทาตน้ ฉบบั ใหช้ ดั เจน เพือ่ ป้องกนั การผดิ พลาด และหลงั จากพมิ พห์ รือเขยี นแลว้ จาเป็นตอ้ งใหส้ วยงาม เหมาะสม ใชห้ มายเลขกากบั หนา้ ใหช้ ัดเจน ๘ เรยี งลาดบั และเข้าเล่มรายงาน เป็นขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยทสี่ าคญั ในการ เขยี นรายงาน ผจู้ ดั ทารายงานจะตอ้ งรูส้ ่วนประกอบต่าง ๆ ของรายงานเพื่อจะได้ จดั เรียง และเขา้ เลม่ ไดถ้ กู ตอ้ ง สว่ นประกอบของรายงานเชงิ วิชาการ ผคู้ น้ ควา้ และเขียนรายงานเชิงวชิ าการจะศกึ ษาหรอื ไดร้ บั ความรูใ้ นเรือ่ งนน้ั ๆ อย่าง แตกฉานหากปฏิบตั ติ ามขนั้ ตอนของการเขียนรายงานดงั กล่าวมาแลว้ แตเ่ พื่อให้
ผลงานท่อี อกมามีคณุ ค่านา่ เชอ่ื ถือ และเผยแพรใ่ หผ้ อู้ นื่ ตดิ ตามทาความเขา้ ใจไดง้ ่าย จึงตอ้ งคานงึ ถงึ ส่วนประกอบต่าง ๆ ของรายงานดว้ ย ส่วนประกอบของรายงานเชิงวชิ าการที่ควรรู้จักมี ๓ ส่วนใหญๆ่ ดังนี้ ๑ ส่วนตน้ ประกอบดว้ ย ๑.๑ ปกรายงาน ๑.๒ ใบรองปก ๑.๓ คานา ๑.๔ สารบญั ๑.๕ สารบญั ตาราง ๑.๖ สารบัญภาพ ๒ ส่วนเนอื้ เรอื่ ง ประกอบดว้ ย ๒.๑ บทนา ๒.๒ ตวั เนอื้ หา ๒.๓ บทสรุป บทลงทา้ ย หรือขอ้ เสนอแนะ ๒.๔ ตารางหรอื ภาพประกาศ ๒.๕ อญั ประกาศ ๒.๖ เชิงอรรถ
๓ ส่วนท้าย ประกอบดว้ ย ๓.๑ หนา้ บอกขนั้ ทา้ ย คอื หนา้ ท่ีมีเฉพาะชือ่ ตอนหรอื ชือ่ หวั ขอ้ ยอ่ ยเทา่ นนั้ โดยพมิ พไ์ วต้ รงกลางหนา้ ๓.๒ บรรณานกุ รม ๓.๓ ภาคผนวก ๓.๔ อภิธานศพั ท์ หลักการเขียนส่วนประกอบของรายงานเชิงวิชาการ ๑. ปกนอก (Cover หรือ Binding)คือสว่ นที่เป็นปกหมุ้ รายงานประกอบดว้ ยปก หนา้ สนั และปกหลงั ควรเป็นกระดาษแข็งพอ สมควรสีสนั เหมาะสมกบั เนอื้ หา หรืออาจใชป้ กของแตล่ ะสถาบนั การศึกษาซึง่ ไดจ้ ดั ทาสาเร็จไวแ้ ลว้ ก็ได้ อาจมภี าพหรอื ไม่กไ็ ดถ้ า้ มี ภาพควรใหส้ อดคลอ้ งกบั เนอื้ เร่อื ง การจดั วางรูปแบบควรจดั ใหส้ วยงามเหมาะสม ปัจจบุ นั การพมิ พด์ ว้ ยคอมพวิ เตอรท์ าใหส้ ามารถ ออกแบบปกใหส้ วยงามไดอ้ ย่างสะดวกงา่ ยดาย ขอ้ ความทปี่ รากฏบนปกนอก ประกอบดว้ ย ๑.๑ ชอื่ เรื่องของรายงาน อย่หู ่างจากขอบบนของหนา้ กระดาษลงมาประมาณ 1.5 – ๒ นวิ้ และควรกะใหอ้ ยกู่ งึ่ กลาง พอดี (ไมม่ ีคาวา่ รายงานเร่อื ง)
๑.๒ ชือ่ ผู้เขยี นรายงาน ใหอ้ ยตู่ รงส่วนกลางของหนา้ กระดาษ เขียนหรอื พมิ พช์ ่ือและ นามสกลุ ของผเู้ ขยี นรายงาน ในกรณีทรี่ ายงานนนั้ มีผเู้ ขียนหลายคนใหใ้ สช่ ่ือทกุ คนโดยจดั เรยี งตามลาดบั ตวั อกั ษร ๑.๓ สว่ นล่างของหน้าปก ประกอบดว้ ยขอ้ ความตามลาดบั ดงั นี้ ๑.๓.๑ ชอ่ื ของรายวชิ าท่ีกาหนดใหเ้ ขียนรายงาน ๑.๓.๒ ระดบั ชน้ั ๑.๓.๓ ชือ่ ของสถาบนั การศึกษา ๑.๓.๔ ภาคการศกึ ษา ปีการศึกษาที่ทารายงาน บรรทดั ลา่ งสดุ ของส่วนลา่ งปกควรหา่ งจากขอบลา่ ง ๑.๕ – ๒ นวิ้ บทนิพนธข์ องแตล่ ะ มหาวิทยาลยั อาจแตกต่างกนั บา้ ง ในราย ละเอยี ดตามทส่ี ถาบนั กาหนด ๒. หน้าปกใน (Title Page) อย่ตู อ่ จากปกนอกและมขี อ้ ความเชน่ เดยี วกบั ปกนอก ชอื่ เรือ่ งของรายงานพิมพอ์ ยตู่ รงกึ่งกลางของหนา้ กระดาษ โดยใหห้ า่ งจากขอบบนประมาณ ๒ นวิ้ และห่างจากขอบกระดาษซา้ ยและ ขวาเทา่ ๆ กนั ถา้ ช่ือเรือ่ งยาวแบ่งเป็นสอง-สาม บรรทดั ตามความเหมาะสม ชอื่ ผเู้ ขียนรายงานโดยท่วั ไปเขียนเฉพาะช่ือและนามสกลุ ไม่ตอ้ งเขยี นคานาหนา้ นาม เช่น นาย นาง นางสาว ยกเวน้ ในกรณีทผี่ เู้ ขยี นมยี ศหรือบรรดาศกั ดิ์ เช่น ม.ร.ว ม.ล. หรือ ร.ต.ท. ฯลฯ ใหใ้ ส่ไวด้ ว้ ยใตช้ ่อื ผเู้ ขียนควรใสเ่ ลขประจา
ตวั หรือรหสั ประจาตวั นกั ศกึ ษาดว้ ย ตาแหนง่ ของชื่อผเู้ ขียนคือตรงกลางหนา้ กระดาษ เวน้ ระยะจากขอบกระดาษซา้ ยและขวาเท่าๆ กนั และอย่หู า่ งจากขอ้ ความส่วนบนและส่วนลา่ งของหนา้ กระดาษเป็นระยะพอๆ กนั ในกรณีทีม่ ีผเู้ ขียนหลายคนใหเ้ ขยี นชือ่ ทกุ คน เรยี งตามลาดบั อกั ษร และใส่รหสั ประจาตวั ไวต้ อ่ จากช่อื ในบรรทดั เดยี วกนั ส่วน ขอ้ ความท่ีแจง้ ว่าเป็นรายงานการคน้ ควา้ ประกอบ รายวิชาใด สถาบนั ศกึ ษาใด ภาคเรียนและปีการศึกษาใด จดั พิมพไ์ วส้ ว่ นทา้ ยของ หนา้ กระดาษโดยใหบ้ รรทดั สดุ ทา้ ยอย่หู า่ งจากขอบ ลา่ งประมาณ ๑ นวิ้ ๓. คานา (Preface)คือส่วนท่กี ล่าวถึงวตั ถปุ ระสงคข์ องรายงานเร่ืองนน้ั รวมทงั้ ความสาคญั และขอบเขตของเนอื้ หา นอกจากนนั้ ยงั อาจกลา่ วขอบคณุ ผมู้ สี ่วนชว่ ยเหลอื ในการจดั ทา จนสาเร็จดว้ ยดี คานาอาจมเี พยี งยอ่ หนา้ เดยี ว สอง หรือสามยอ่ หนา้ กไ็ ดข้ นึ้ อยกู่ บั ความเหมาะสมของเนอื้ หา คานาไม่ควรเขยี นยาวเกนิ ไป ใหพ้ ิมพค์ าว่า “คานา” ไว้ กลางหนา้ กระดาษไมข่ ดี เสน้ ใตห้ ่างจากขอบบน ๒ นวิ้ แลว้ พิมพข์ อ้ ความในบรรทดั ถดั ลงมา เมอื่ จบขอ้ ความแลว้ ใหล้ งชื่อ นามสกลุ ของผเู้ ขียน ถา้ ทางานเป็นกล่มุ ใหล้ งคาว่า “คณะผู้ จดั ทา” และลงวนั ที่ เดอื น (เขียนเตม็ ไม่เขยี นย่อ) ปี (ไมต่ อ้ งมีคาว่า พ.ศ.) กากบั ไว้ ดว้ ย
๔. สารบัญ (Table of Contents)ให้เขียนหรอื พิมพค์ าวา่ “สารบัญ” ดว้ ยตวั อกั ษร ตวั ใหญ่ไวก้ ลางหนา้ กระดาษหา่ งจากขอบบนลงมา ๒ นวิ้ มีลกั ษณะคลา้ ยโครงเรอ่ื งอย่หู ลงั คานาจดั ทาเม่ือเขยี นหรอื พมิ พร์ ายงานเสรจ็ แลว้ เป็นหนา้ ทบ่ี อก ชอื่ ตอน บท หวั ขอ้ ใหญห่ รอื หวั ขอ้ ยอ่ ยเรียงตามลาดบั เนอื้ หาในเลม่ มเี ลขหนา้ เร่มิ ตน้ กากบั อย่ดู า้ นขวามือ พิมพ์ หา่ งขอบประมาณ ๑ นวิ้ ขอ้ ความในหนา้ สารบญั ใหเ้ ขยี นหรือพิมพห์ า่ งจากขอบซา้ ยของหนา้ กระดาษ ๑.๕ นวิ้ ๕. สารบัญตารางหรอื บัญชตี าราง (List of Tables)จดั ทาเมอ่ื งานเขียนนั้นมี ตารางจานวนมาก และตารางเป็นสว่ นประกอบทีส่ าคญั ของเนอื้ หา (ถา้ งานเขยี นนน้ั ทงั้ เล่มมีตารางเพยี งหนงึ่ หรอื สองตารางกไ็ ม่จาเป็นตอ้ ง ทาหนา้ สารบญั ตาราง) เรียงไวต้ อ่ จากหนา้ สารบญั เป็นหนา้ ที่แสดงใหท้ ราบถงึ จานวนตารางทงั้ หมดในเนอื้ เรอ่ื งเรยี งตามลาดบั ท่ี ปรากฏในรายงานซึ่งจะช่วยใหผ้ อู้ ่านคน้ หาได้ สะดวก จดั หนา้ ลกั ษณะเดียวกบั สารบญั โดยพิมพไ์ วก้ ลางหนา้ กระดาษหา่ งจากขอบ บนลงมา ๒ นวิ้ พมิ พค์ าวา่ “บัญชตี าราง” หรือ “สารบญั ตาราง” และเปล่ยี นคาวา่ “บทท่ี๑”เป็น “ตารางที่๑” ๖. สารบัญภาพประกอบหรือบัญชีภาพประกอบ (List of illustrations)อยู่ต่อ จากหน้าบัญชตี าราง (ถา้ ม)ี เป็นหนา้ ทีบ่ อกใหท้ ราบถึง จานวนภาพประกอบ แผนผงั แผนที่ กราฟ แผนภาพทางสถติ ิต่าง ๆ หรือแผนภมู ิ ทงั้ หมดในเรอ่ื งไปจนถึงภาคผนวก พมิ พค์ าว่า
“บญั ชีภาพประกอบ” “สารบญั ภาพ” “สารบัญแผนภมู ิ” และเปลี่ยนคาว่า “บท ที่” เป็น “ภาพที่” การกากบั หนา้ ในสว่ นประกอบตอน ตน้ นน้ั ใหเ้ ร่มิ นบั ตงั้ แตห่ นา้ ปกในเป็นตน้ ไปโดยใชต้ วั อกั ษรกากบั งานเขียนภาษาไทย ใช้ ก ข ค… และงานเขียนภาษาองั กฤษใชเ้ ลข โรมนั I II III…เรียงไปตามลาดบั สว่ นประกอบตอนกลางหรือส่วนเนอื้ หา (Text)เป็น ส่วนทเ่ี ป็นเนอื้ หาโดยละเอียดซ่งึ ผทู้ ารายงาน ไดเ้ รียบเรียงขนึ้ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ จงึ ถอื วา่ เป็นสว่ นสาคญั ท่สี ดุ ของงานเขยี นทาง วชิ าการทกุ ประเภท ประกอบดว้ ย ๑.บทนา (Introduction)เป็นสิ่งแรกทจ่ี ะทาใหผ้ อู้ ่านไดส้ มั ผสั กบั ความคดิ และกลวธิ ี การเขียนของผเู้ ขยี น มสี ่วนอย่างสาคญั ในการ จดุ ประกายความสนใจของผอู้ ่านใหอ้ ยากตดิ ตามอ่านตอ่ ไป ถา้ บทนาไมน่ ่าสนใจ สบั สน หรือคลมุ เครอื ผอู้ ่านจะไมร่ ูส้ กึ อยากอา่ น ดงั นน้ั บทนาจงึ ตอ้ งชดั แจง้ นา่ อ่าน และกระตนุ้ ความสนใจของผอู้ ่านตงั้ แต่แรกเร่ิม ของบทนิพนธบ์ ทนาอาจเป็นแค่เพยี งยอ่ หนา้ เดยี วหรอื ทงั้ บทก็ไดโ้ ดยท่วั ไปแลว้ ความยาวของรายงานการคน้ ควา้ มีผลตอ่ ความยาว ของบทนา รายงานฉบบั เล็ก ๆ อาจจะมคี วามนา ทเี่ รยี บเรยี งอย่างน่าอ่านเพียงหน่งึ ย่อหนา้ ท่ีเรยี กว่าย่อหนา้ นาในขณะทภี่ าคนพิ นธ์ เร่ืองยาวๆ อาจจะมีบทนาแยกตา่ งหากหนง่ึ บท สาหรบั บทนาทีแ่ ยกเป็นบทจะจดั อย่ใู นบทท่ี ๑ โดยเขียนแบบเดยี วกบั บทอนื่ ๆ คือ กลางหนา้ กระดาษ บรรทดั แรกเขยี น “บทท่ี ๑”
และบรรทดั ถดั ลงมาใชช้ ่ือบทวา่ “บทนา” หรอื อาจใชช้ ื่อบทเป็นอย่างอน่ื ตามความ เหมาะสม ในกรณีทีเ่ ขยี นบทนาอย่างสน้ั แต่เนอื้ หาอ่นื ๆ แบง่ เป็นบทอาจใชห้ วั ขอ้ วา่ “บทนา” หรือ “ความนา” โดยไม่ตอ้ งมคี าว่า บทท่ี เนอื้ ความที่เรียบเรยี งลงในบทนาเป็นการปพู นื้ ใหผ้ อู้ า่ นเขา้ ใจความเป็นมาของ เร่อื ง ความม่งุ หมายและขอบเขตของเรอ่ื งหรือ สภาพปัญหาทีต่ อ้ งการนาเสนอ หรอื ความบนั ดาลใจของเร่อื งทงั้ นเี้ พ่อื เป็นการนา ผอู้ ่านเขา้ ส่เู นอื้ เรื่องใหผ้ อู้ า่ นมองเห็นภาพรวมของ เนอื้ เรอื่ งทงั้ หมด ๒.ส่วนเนอื้ หา (Body of Paper)เป็นสว่ นท่เี สนอเร่อื งราวสาระทงั้ หมดของรายงาน การคน้ ควา้ การนาเสนอเนอื้ หาอาจแบง่ เป็นบท หรอื เป็นตอนเพอ่ื ใหผ้ อู้ ่านไดเ้ หน็ ประเด็นสาคญั ของเนอื้ หาตามลาดบั และตอ่ เนอ่ื งกนั สว่ นการจะแบง่ เป็นบทหรอื เป็นตอน หรือ เป็นหวั ขอ้ อย่างไรและมีจานวนมากนอ้ ยเทา่ ใดนนั้ ขนึ้ อย่กู บั ลกั ษณะ ขอบเขต และ ความสนั้ ยาวของเนอื้ เรื่องถา้ เป็นรายงานการ คน้ ควา้ ขนาดสนั้ ไม่จาเป็นตอ้ งแบ่งเป็นบทหรือตอนกไ็ ดเ้ พียงแตแ่ บง่ ตามหวั ขอ้ สาคญั ๆ ของเนอื้ เร่ืองใหเ้ หมาะสมแตถ่ า้ เป็น ภาคนิพนธข์ นาดยาวควรแบ่งเป็นบทหรือตอนใหช้ ดั เจน ๓. บทสรุปหรือสรุป (Conclusion) คอื ส่วนท่เี ขยี นยา้ หรอื เนน้ ประเด็นสาคญั ของ เนอื้ หาหรอื สรุปผลของการศึกษาคน้ ควา้ เชน่ เดียว
กบั ทีบ่ ทนาเป็นความสาคญั ขนั้ แรกในการชกั จงู ใหผ้ อู้ า่ นสนใจติดตามเนอื้ เร่อื ง บทสรุปกม็ บี ทบาทสาคญั ในการทาใหผ้ อู้ ่านจบั ประเด็นของเนอื้ เรอ่ื งทไ่ี ดอ้ ่านไปทงั้ หมด บทสรุปจะอยตู่ อนทา้ ยของเนอื้ เร่อื ง อาจแยก เป็นบทตากหากหรือเป็นเพยี งยอ่ หนา้ ทา้ ยๆ ของเรอ่ื ง ส่วนประกอบตอนท้าย (back matter หรอื reference matter) เป็นสว่ นท่ีอยถู่ ดั จากเนอื้ เรื่อง ประกอบดว้ ย ๑. หน้าบอกตอน (Half Title Page)คอื หนา้ ที่พมิ พข์ อ้ ความไวก้ ลางหนา้ กระดาษ เพ่ือบอกว่าส่วนทอี่ ยถู่ ดั ไปคืออะไร สว่ นใหญ่แลว้ หนา้ นจี้ ะปรากฏในสว่ นประกอบตอนทา้ ยของรายงานการคน้ ควา้ เช่น หนา้ บอก ตอน “บรรณานกุ รม” หนา้ บอกตอน “ภาคผนวก” และหนา้ บอกตอน “ดรรชนี” ๒. บรรณานุกรมหรือเอกสารอา้ งอิง (Bibliography หรือ References)เป็น รายช่ือทรพั ยากรสารสนเทศทงั้ หมดท่ใี ชป้ ระกอบการ คน้ ควา้ รายการวสั ดอุ า้ งองิ ทกุ ชิน้ ทปี่ รากฏอย่ใู นเนอื้ หาตอ้ งมาปรากฏอยใู่ น บรรณานกุ รมดว้ ย แตอ่ าจมบี างรายการท่ีมีอย่ใู น บรรณานกุ รมแตไ่ ม่ปรากฏในการอา้ งอิงเพราะผเู้ ขยี นเพยี งแต่ไดแ้ นวคิดมาจากวสั ดุ นน้ั แต่ถา้ ใชค้ าว่าเอกสารอา้ งองิ รายการทอ่ี ย่ใู น เนอื้ หาและในรายการเอกสารอา้ งองิ ตอ้ งมตี รงกนั ทกุ รายการ การเขียนบรรณานกุ รม หรือเอกสารอา้ งองิ ตอ้ งเขียนใหถ้ กู ตอ้ งตาม
แบบแผน ๓. ภาคผนวก (Appendix)คือสว่ นทนี่ ามาเพม่ิ ไวต้ อนทา้ ยของรายการเพราะไมใ่ ช่ เนอื้ หาทีแ่ ทจ้ ริงหรอื ไม่ไดเ้ ป็นสว่ นหนึ่งของเนอื้ เร่อื ง แต่เหน็ ว่ามปี ระโยชนเ์ พ่อื เพม่ิ ความสมบรู ณข์ องเนอื้ เรอ่ื งหรือช่วยใหผ้ อู้ ่านมี ความรูค้ วามเขา้ ใจเร่ืองราวไดด้ ีขนึ้ แตท่ ัง้ นี้ รายการการคน้ ควา้ ไม่จาเป็นตอ้ งมภี าคผนวกเสมอไปขนึ้ อยกู่ บั ความจาเป็นและความ เหมาะสมของแต่ละเรือ่ ง ๔. ดรรชนี หรอื ดัชนี (Index)คอื บัญชรี ายช่ือ หรอื คา หรอื หวั ขอ้ ในเนอื้ เร่ืองที่นามา จดั เรยี งไวต้ ามลาดบั อกั ษร พรอ้ มทงั้ แจง้ เลขหนา้ ทปี่ รากฏ ดรรชนีเป็นเครอ่ื งมือช่วยใหค้ น้ เรือ่ งไดอ้ ย่างสะดวก รวดเร็ว บทท่ี ๑๐ การเขียนโครงการ ความหมายและความสาคญั ของโครงการ โครงการ หมายถึง กิจกรรมทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั การใชท้ รพั ยากรตา่ ง ๆ เพ่ือนามาลงทนุ สรา้ งผลงานทีก่ อ่ ใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อกล่มุ เปา้ หมาย โดยกิจกรรมดงั กลา่ วจะตอ้ งเป็น หน่วยอสิ ระที่สามารถทาการวิเคราะห์ วางแผน และบริหารได้ นอกจากนนั้ จะตอ้ งมี วตั ถปุ ระสงคท์ ช่ี ดั เจน มกี าหนดเวลาเริม่ ตน้ และสนิ้ สดุ ทีแ่ นช่ ดั การดาเนนิ งานจะตอ้ ง อยภู่ ายใตง้ บประมาณท่ไี ดต้ งั้ ไว้ และไดผ้ ลงานทมี่ คี ณุ ภาพตามเกณฑท์ กี่ าหนด
โครงการไมไ่ ดล้ งทนุ เพื่อสรา้ งเฉพาะสิง่ ทเ่ี ป็นวตั ถอุ าทิ โรงงาน บา้ นจดั สรร คอนโดมิเนียม เข่ือน หรือถนน เท่านน้ั แต่ยงั รวมไปถึงสิง่ ท่ไี มใ่ ช่วตั ถดุ ว้ ย เชน่ การ ฝึกอบรมพนกั งาน การปรบั ปรุงโครงสรา้ งการบริหารงาน เป็นตน้ โครงการเป็นกิจกรรมยอ่ ยต่าง ๆ ของแผนงาน ซ่ึงเป็นส่งิ ท่ีอยนู่ อกเหนอื จากงาน ประจา แต่มกี ารดาเนนิ งานควบค่ไู ปกบั งานประจาขององคก์ ร ดงั ภาพ ความสาคญั ของโครงการ • ช่วยใหข้ นั้ ตอนวางแผนและขนั้ ตอนดาเนินงาน เป็นไปตามระบบ มีความเรยี บรอ้ ย • ช่วยใหข้ นั้ ตอนตา่ ง ๆ มีความสอดคลอ้ งกบั นโยบายหรือความประสงคข์ อง สถานศึกษาหรือหน่วยงานต่าง ๆ • ทาใหข้ นั้ ตอนดาเนนิ งานมที ศิ ทางอันชดั เจน รวมทงั้ มีประสิทธิภาพออกมายอดเยยี่ ม • เป็นหลกั ฐานเพ่อื ใชป้ ระเมินงานทผ่ี ่านมา ตลอดจนเป็นแนวทางดาเนนิ งานครง้ั ตอ่ ไปไดอ้ ย่างเป็นระเบียบ ประเภทของโครงการ
โครงการอาจแบง่ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ดงั นี้ ๑ โครงการท่ีแบง่ ตามระยะเวลาการดาเนินการ มี ๒ ประเภท คือ ๑.๑ โครงการระยะส้ันหรือโครงการใหม่ เป็นโครงการใหมท่ แี่ ต่ละหนว่ ยงาน กาหนดและเขียนขนึ้ เพ่ือแนวปฏบิ ตั ิภายในปีงบประมาณ อาจจะเป็นชว่ งระยะเวลา ๖ เดือนหรือ ๑๐ เดอื น ทงั้ นี้ ขนึ้ อยกู่ บั แผนการปฏบิ ตั งิ านของโครงการ โครงการระยะสนั้ มกั จะสนิ้ สดุ ลงภายใน ๑ ปีเทา่ นั้น เมอื่ ถึงปีต่อไปก็จะมีโครงการใหม่ๆ ซ่ึงไมใ่ ช่ โครงการเดิม ๑.๒ โครงการระยะยาวหรือโครงการต่อเน่ือง จะปฏบิ ตั ิสบื ต่อกนั ปีต่อปี ถงึ แมว้ ่าจะสนิ้ สดุ ปีงบประมาณแลว้ ในปีงบประมาณตอ่ ไปก็ทาโครงการนอี้ กี ต่อเน่ือง ไปเร่ือย ๆ จนกวา่ จะเปล่ียนโครงการทงั้ นี้ ขนึ้ อยกู่ ับความตอ้ งการของหน่วยงาน เช่น โครงการแข่งขนั กีฬาจงั หวดั โครงการสปั ดาหว์ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีประจาปี ๒ โครงการทีแ่ บง่ ตามบุคคลผู้ดาเนินการ มี ๓ ประเภท คอื ๒.๑ โครงการทเี่ สนอโดยบุคคลเพยี งคนเดียว เป็นโครงการท่ีผใู้ ดผหู้ นง่ึ ทาเพ่ือ เสนอตอ่ หนว่ ยงาน หรอื เป็นผูท้ ่ีผบู้ งั คบั บญั ชามอบหมายใหท้ าโครงการขนึ้ เพ่ือ ประโยชนแ์ กห่ นว่ ยงานหรืออ่นื ๆ ตามความเหมาะสม ๒.๒ โครงการที่เสนอโดยกลุม่ บคุ คล เป็นโครงการท่ีเสนอโดยกลมุ่ บคุ คลตงั้ แต่ ๒ คนขนึ้ ไป การดาเนินโครงการจะเป็นไปตามวตั ถปุ ระสงคข์ องกล่มุ บคุ คลหรือ หน่วยงานมอบหมายใหก้ ล่มุ บคุ คลดาเนนิ การซ่งึ มจี ดุ มงุ่ หมายรว่ มกนั ตลอดจนการ ปฏิบตั ิงานรว่ มกนั เพอ่ื พฒั นาและสรา้ งความเจริญใหแ้ กห่ น่วยงาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115