Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาไทยพื้นฐาน

ภาษาไทยพื้นฐาน

Published by panyaponphrandkaew2545, 2020-01-14 09:01:24

Description: ภาษาไทยพื้นฐาน

Search

Read the Text Version

บทท่ี ๑ ความรู้ท่ัวไปเก่ยี วกับหลักการใช้ภาษาไทยในการ ส่อื สาร ความหมายของคาว่า “ภาษา” ภาษาเป็นสงิ่ ท่ีมคี วามสาคญั ต่อมนษุ ยเ์ พราะทกุ คนตอ้ งใชภ้ าษาเป็นเคร่ืองมอื ในการ รบั สารและการสง่ สาร การเรียนรูเ้ พือ่ เขา้ ใจคาและความหมายของภาษาอยา่ ง ละเอยี ดลกึ ซงึ้ ย่อมกอ่ ใหเ้ กดิ ความสาเร็จในการการตดิ ตอ่ ส่ือสารเป็นอยา่ งยิง่ แต่ ความสาเรจ็ ดงั กลา่ วไม่ไดเ้ พียงพดู กนั รูเ้ ร่อื งเท่านน้ั แต่ตอ้ งขยายขอบเขตถงึ ระดบั ของ การรบั รูร้ สของคาและความหมาย ถอ้ ยคาภาษาทใี่ ช้ในการสอ่ื สาร ถอ้ ยคา หมายถงึ คากลา่ ว เสยี งพดู และลายลกั ษณอ์ กั ษร ทมี่ นุษยใ์ ชส้ ือ่ สารกนั ทงั้ ในดา้ นกจิ ธรุ ะและ ในดา้ นกจิ การอืน่ ๆ มรี ูปลกั ษณต์ า่ งกนั ไป ผทู้ ม่ี ีความรูเ้ รอื่ ง ถอ้ ยคา รูจ้ กั ถอ้ ยคาและเขา้ ใจ ความหมายของถอ้ ยคาไดด้ ี ก็จะสามารถเลือกใช้ ถอ้ ยคามาใชใ้ นการสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ การใชถ้ อ้ ยคา ใหม้ ีประสทิ ธิผลมขี อ้ ควรคานึง ดงั นี้ ๑.การออกเสยี งใหถ้ ูกต้อง หากออกเสียงไมถ่ กู ตอ้ งอาจจะทาใหค้ วามหมายผิดไปได้ เชน่ เขาไมช่ อบปา (ปลา) หา้ มยนื ทางฝา (ขวา) ท่ีนี่มีคมู ากมาย (ครู) เป็นตน้ ๒.การเขียนให้ถูกต้อง

หากเขยี นสะกดผดิ อาจจะทาใหค้ วามหมายผิดไปได้ เช่น เมืองอ่ทู องไม่เคยเป็น เมอื งหนา้ ดา้ น (หนา้ ดา่ น) เธอช่วยขลิบปลอกหมอนสีฟ้าใหฉ้ ันหนอ่ ย (ขรบิ ) นกเป็ดนา้ ใกลจ้ ะ สญู พรรณแลว้ (พนั ธุ)์ เป็นตน้ ๓.ใช้คาใหถ้ ูกต้องตามความหมาย ถา้ ใชค้ าผิดความหมายกจ็ ะผิดไป และคาบางคาอาจมคี วามหมาย โดยตรง ความหมายโดยนยั มีหลายความหมาย มคี วามหมายใกลเ้ คียงกนั ควร คานงึ ถึงบริบทและพจิ ารณาก่อนใช้ เช่น ขบวนการนเี้ ป็นภยั แห่งนกั ศกึ ษาทงั้ หมด (ควรใช้ ตอ่ ) บนถนนราชดาเนนิ มีรถอย่แู ออดั (ควรใช้ คบั ค่งั ) ฉันกลวั เสอื มาก/เขาทาตวั เป็นเสอื (ความหมายโดยตรง/โดยนยั ) ฉันถกู ตอ่ ต่อย/เขาตอ่ เวลาใหเ้ รา/เธอขอต่อราคาลงอีก/พีต่ ่อใหเ้ ขาวง่ิ ไปก่อนหา้ นาที (คาหลายความหมาย) เขาอนมุ ตั ใิ หเ้ ธอกลบั บา้ นได้ (ควรใช้ อนญุ าต)

๔.ใช้คาให้ถกู ต้องตามหลักภาษา และหน้าทขี่ องคา เช่น การใชค้ าอาการนาม การใชล้ กั ษณะนาม การใชค้ าบพุ บท การใช้ คาสนั ธาน เป็นตน้ ๕.ใช้คาใหเ้ หมาะสมบุคคล เช่น เขามีหมายกาหนดการการอบรมแลว้ หรอื ยงั (ควรใช้ กาหนดการ) เมอ่ื ชาติชาย ไดย้ นิ ก็โกรธ กระฟัดกระเฟี ยดออกไป (ควรใช้ ปึงปัง) แม่เชญิ พระสงฆ์ จานวน ๙ รูปมาที่บา้ น (ควรใช้ นมิ นต)์ เป็นตน้ ๖.ใชค้ าให้เหมาะสมกับโอกาส เชน่ โอกาสทเี่ ป็นทางการ ควรหลีกเล่ยี งการใชค้ าตา่ งประเทศ คาหยาบ คา สแลง ภาษาพดู ภาษาหนงั สือพิมพ์ คาย่อ คาต่างระดบั และภาษาถนิ่ และโอกาส ทไี่ มเ่ ป็นทางการ ใชค้ าระดบั ภาษาปาก และคาระดบั ภาษากง่ึ แบบแผนได้ ๗.ใช้คาท่ชี ดั เจนไมก่ ากวม ใชค้ าทีผ่ รู้ บั สารรูค้ วามหมาย ไมใ่ ชค้ าทที่ ่มี คี วามหมายกวา้ ง และคาท่มี ี ความหมายไมแ่ นน่ อน เพราะอาจทาใหเ้ กดิ อปุ สรรคในการส่ือสารได้ เชน่ ฉนั ไมเ่ คย ไปทบ่ี า้ นหลงั นน้ั (ไม่รูว้ ่าหลงั ไหน) นอ้ งซอื้ หนงั สือ เล่มนเี้ พราะดกี ว่าเลม่ อนื่ ๆ ใน

รา้ น (ไมร่ ูว้ ่าดีอย่างไร) ลงุ ปลกู ตน้ ไม้ ๒ ตน้ (ไม่รูว้ ่าตน้ อะไร) บา้ นเขาอย่ใู กลม้ าก (อกี คนอาจคดิ ว่าไกล) นดิ ตกลงมาหรือไม่ (ตกลงใจหรอื ตกลงมาจากบนั ได) เป็นตน้ ๘.ใช้คาไม่ซา้ ซากหรือรูจ้ กั การหลากคา ไมค่ วรใชค้ าเดยี วกนั ซา้ ซาก ควรเลอื กใชค้ าท่มี ีความหมายคลา้ ยคลงึ กนั หรอื ใกลเ้ คียงกนั แต่ยงั คง ความหมายเดิม เช่น พอใจ –ชอบ- มีความสขุ - เพลิดเพลนิ คนเดยี ว-ตามลาพงั เป็นตน้ ๙.ใชค้ าให้ตรงตามความนิยมของผ้ใู ชภ้ าษาเดียวกนั ซง่ึ ขนึ้ อย่กู บั บริบทดว้ ย เช่น คาความหมาย ว่า มาก อาจใช้ ชกุ ชมุ ดก หนกั บริบรู ณ์ อดุ มสมบรู ณ์ ลน้ หลาม แน่นขนดั เจง่ิ เป็นตน้ ๑๐.ใช้คาให้เห็นภาพ เช่น ดาทะมนึ ขาวโพลน แดงแจ๋ ขาวผ่อง ดงั ล่นั ดงั เปรยี้ ง เงยี บกรบิ เงยี บสงดั หอมหวาน หอมเยน็ เหมน็ คลงุ้ เหม็นหนื หวานจอ๋ ย ขมป๋ี เค็มป๋ี เปรีย้ วจีด๊ จดื ชืด ออ่ นนมุ่ ออ่ นพลวิ้ อ่อนละมนุ น่มุ นวล ใหญ่โต กวา้ งใหญ่ไพศาล เลก็ นอ้ ย เลก็ กระจริ ิด เกะกะเกง้ กา้ ง ๑๑.ใช้คาที่เป็ นคาไทย

ไมค่ วรใชค้ าตา่ งประเทศหรอื ใชค้ าไทยปนคาตา่ งประเทศ เชน่ กรุณาดาดเซฟตี้ เบลทด์ ว้ ยคะ่ (ควรใช้ เข็มขดั นริ ภยั ) วนั นมี้ ีสอบไฟแนล (ควรใช้ ปลายภาค) กลมุ่ คนเสอื้ แดงแอนตีร้ ฐั บาล (ควรใช้ ต่อตา้ น) เป็นตน้ ๑๒.ใช้คาที่กอ่ ใหเ้ กดิ ไมตรจี ติ และมนุษยสมั พันธอ์ ันดีต่อกัน -ใชค้ าสรรพนามท่ีแสดงความสภุ าพ เช่น คณุ ผม ดิฉัน กระผม -ใชค้ าขยายเพอ่ื ใหส้ ภุ าพ เช่นคาว่า กรุณา ขอโทษ โปรด อนเุ คราะห์ เป็นตน้ -ใชค้ าลงทา้ ย หรอื คาเรยี กขานทกุ ครง้ั ที่จบคาถามหรอื คาตอบ คาเหลา่ นี้ เชน่ คาว่า ครบั ค่ะ ขา เป็นตน้ -ไม่เป็นคาหยาบ เช่น ขี้ เยี่ยว อา้ ย อี การใชว้ ่า อจุ จาระ ปัสสาวะ สง่ิ นี้ สิ่งนน้ั โรคกลาก(ขีก้ ลาก) นางเห็น( อีเหน็ ) -ไม่เป็นคาผวนคอื คาทีพ่ ดู กลบั เสียงเดิมแลว้ เป็นคาท่ไี ม่สภุ าพ ๑๓.ใช้คาท่ีเป็ นรูปธรรม ผพู้ ดู ทดี่ ีควรหลกี เล่ียงถอ้ ยคาท่ีเป็นนามธรรมเพราะการใชถ้ อ้ ยคา ทเ่ี ป็น รูปธรรมจะชว่ ยใหผ้ ฟู้ ัง เขา้ ใจง่าย และเห็นภาพพจน์

๑๔.ใช้คาราชาศัพทใ์ ห้ถูกต้อง สานวนภาษาทใ่ี ช้ในการส่อื สาร ๑. สานวนภาษาสามัญ หมายถงึ สานวนภาษาสภุ าพ ในชน้ั ในกล่มุ คนทีม่ ี การศกึ ษาโดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพื่อการสือ่ สารทที่ าใหเ้ ขา้ ใจง่ายและไม่ใชค้ าศพั ท์ ยาก เป็นสานวนภาษาทน่ี ิยมใชก้ นั อย่างกกวา้ งขวาง เช่น โรงเรียน สถานศกึ ษา หน่วยงานตา่ ง ๆ ๒. สานวนภาษาการประพนั ธ์ เป็นสานวนภาษารอ้ ยแกว้ หรือรอ้ ยรองประเภท ใดประเภทหน่งึ จดุ ม่งุ หมายของการเขยี นสานวนภาษาชนดิ นี้ นอกจากจะให้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ คิดเห็นแลว้ ยงั กอ่ ใหเ้ กิดอารมณส์ ะเทอื นใจอีกดว้ ย โดยใหผ้ รู้ บั สารใชจ้ นิ ตนาการการเกดิ อารมณอ์ อ่ นไหวประณีตขนึ้ จดั เป็นสารประเภทท่ีมงุ่ พฒั นาทางอารมณ์ โดยสานวนภาษาการประพนั ธจ์ ะใชถ้ อ้ ยคาละเมียดละไม สะดดุ ใจ ใชเ้ สยี งของภาษาใหเ้ กกดิ มโนภาพ มีการใชอ้ ปุ มาโวหาร โวหารเกิน จริง สภุ าษิต คากล่าวกนิ ใจ ใหข้ อ้ คิด สานวนภาษาชนิดนอี้ าจปะปนอย่กู บั สานวนภาษาชนดิ อ่ืน ยกเวน้ สานวนภาษาวิทยาศาสตร์

๓. สานวนภาษาส่ือมวลชนและสานวนภาษาโฆษณา สานวนภาษา ทงั้ ๒ แบบนี้ บางครงั้ ใชป้ ะปนกนั ไปกบั สานวนภาษาสามญั หรือสานวนภาษา การประพนั ธ์ สานวนภาษาสอ่ื มวลชนและสานวนภาษาโฆษณาแตกตา่ งกนั ที่ เวลาของการถกู ยกขนึ้ มาใช้ เพราะภาษาสอ่ื มวลชนนน้ั ตอ้ งรบี เขียนรบี พดู ไม่มี เวลาขดั เกลา เชน่ การใชเ้ ขยี นในหนงั สอื พิมพร์ ายวนั รายการวทิ ยกุ ระจายเสยี ง รายกากรโทรทศั น์ ส่วนสานวนภาษาโฆษณาตอ้ งผา่ นการเลอื กเป็นอย่าง พิถีพิถนั มคี วามหมายชดั เจนจนกระท่งั ม่นั ใจแลว้ วา่ จะเรียกรอ้ งและดงึ ดดู ความสนใจไดอ้ ยา่ งดี ๔. สานวนภาษาธุรกิจ เป็นหนง่ึ ในทาเนียบของภาษาเฉพาะกจิ ขอบเขตของ ภาษาธรุ กิจกวา้ งขวางครอบคลมุ ภาษาโฆษณา ภาษา การสมั ภาษณ์ การ เขียนคาอวยพร การแถลงขา่ ว การเขียน บทความวชิ าการ เป็นตน้ ระดบั ของภาษาทใี่ ช้ในการสอื่ สาร การใชภ้ าษาขนึ้ อย่กู บั กาลเทศะ สถานการณ์ สภาวะแวดลอ้ ม และ สมั พนั ธภาพระหว่างบคุ คล ซึ่งอาจแบง่ ภาษาเป็นระดบั ตา่ ง ๆไดห้ ลายลกั ษณะ เชน่ (ภาษาระดบั ทเี่ ป็นแบบแผนและไมเ่ ป็นแบบแผน),(ภาษาระดบั พธิ ีการ ระดบั กง่ึ พิธีการ ระดบั ไม่เป็นทางการ) ในชน้ั เรยี นนี้ เราจะชลี้ กั ษณะสาคญั ของ ภาษาเป็น ๕ ระดบั ดงั นี้ ๑. ระดับพธิ ีการ ใชส้ ่ือสารกนั ในท่ปี ระชมุ ที่จดั ขนึ้ อย่างเป็นทางการ ไดแ้ ก่ การ ประชมุ รฐั สภา การกลา่ วอวยพร การกล่าวตอ้ นรบั การกล่าวรายงานในพธิ ี มอบปรญิ ญาบตั ร ประกาศนยี บตั ร การกล่าวสดดุ หี รือการกล่าวเพื่อจรรโลงใจ ใหป้ ระจกั ษ์ในคณุ ความดี การกลา่ วปิดพธิ ี เป็นตน้ ผสู้ ง่ สารระดบั นมี้ ักเป็นคน สาคญั สาคญั หรอื มตี าแหน่งสงู ผรู้ บั สารมกั อยใู่ นวงการเดียวกนั หรอื เป็นกลมุ่ คนสว่ นใหญ่ สมั พนั ธภาพระหวา่ งผสู้ ่งสารกบั ผรู้ บั สารมตี อ่ กนั อยา่ งเป็น

ทางการ สว่ นใหญผ่ สู้ ง่ สารเป็นผกู้ ลา่ วฝ่ายเดียว ไมม่ กี ารโตต้ อบ ผกู้ ลา่ วมกั ตอ้ งเตรยี มบทหรือวาทนพิ นธม์ าลว่ งหนา้ และมักนาเสนอดว้ ยการอ่านตอ่ หนา้ ท่ี ประชมุ ๒. ภาษาระดับทางการ ใชบ้ รรยายหรอื อภิปรายอย่างเป็นทางการในที่ประชมุ หรอื ใชใ้ นการเขยี นขอ้ ความทีป่ รากฏตอ่ สาธารณชนอยา่ งเป็นทางการ หนงั สือ ทใ่ี ชต้ ิดต่อกบั ทางราชการหรอื ในวงธรุ กิจ ผสู้ ง่ สารและผรู้ บั สารมกั เป็นบคุ คลใน วงอาชีพเดียวกนั ภาษาระดบั นเี้ ป็นการสื่อสารใหไ้ ดผ้ ลตามจดุ ประสงคโ์ ดยยึด หลกั ประหยดั คาและเวลาใหม้ ากที่สดุ ๓. ภาษาระดับกง่ึ ทางการ คลา้ ยกบั ภาษาระดบั ทางการ แต่ลดความเป็นงาน เป็นการลงบา้ ง เพื่อใหเ้ กดิ สมั พนั ธภาพระหว่างผสู้ ่งสารและผรู้ บั สารซึ่งเป็น บคุ คลในกลมุ่ เดยี วกนั มีการโตแ้ ยง้ หรือแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กนั เป็นระยะ ๆ มกั ใชใ้ นการประชมุ กลมุ่ หรือการอภิปรายกลมุ่ การบรรยายในชั้นเรยี น ขา่ ว บทความในหนงั สือพมิ พ์ เนอื้ หามกั เป็นความรูท้ ่ัวไป ในการดาเนินชวี ติ ประจา วนั กจิ ธรุ ะต่าง ๆ รวมถงึ การปรกึ ษาหารือรว่ มกนั ๔. ภาษาระดับไมเ่ ป็ นทางการ ภาษาระดบั นีม้ กั ใชใ้ นการสนทนาโตต้ อบ ระหวา่ งบคุ คลหรือกล่มุ บคุ คลไม่เกิน ๔-๕ คนในสถานทแ่ี ละกาละทไ่ี มใ่ ช่ ส่วนตวั อาจจะเป็นบคุ คลที่คนุ้ เคยกนั การเขียนจดหมายระหว่างเพือ่ น การ รายงานข่าวและการเสนอบทความในหนงั สือพิมพ์ โดยท่วั ไปจะใชถ้ อ้ ยคา สานวนทท่ี าใหร้ ูส้ กึ คนุ้ เคยกนั มากกวา่ ภาษาระดบั ทางการหรือภาษาท่ใี ชก้ นั เฉพาะกลมุ่ เนอื้ หาเป็นเรอ่ื งท่วั ๆไป ในการดาเนินชวี ติ ประจาวนั กิจธรุ ะต่าง ๆ รวมถึงการปรกึ ษาหารือหรือรว่ มกนั ๕. ภาษาระดับกนั เอง ภาษาระดบั นมี้ กั ใชก้ นั ในครอบครวั หรอื ระหว่างเพ่อื น สนิท สถานทใ่ี ชม้ กั เป็นพนื้ ท่ีส่วนตวั เนอื้ หาของสารไมม่ ีขอบเขตจากดั มกั ใชใ้ น

การพดู จากนั ไมน่ ยิ มบนั ทกึ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรยกเวน้ นวนิยายหรือเรื่องสั้น บางตอนที่ตอ้ งการความเป็นจรงิ (การแบ่งภาษาดงั ทก่ี ล่าวมาแลว้ มไิ ด้ หมายความวา่ แบ่งกนั อยา่ งเด็ดขาด ภาษาระดบั หนึ่งอาจเหลอ่ื มลา้ กบั อกี ระดบั หน่งึ กไ็ ด)้ ขอ้ ควรสงั เกตเก่ยี วกบั ความลดหล่นั ตามระดบั ภาษา ๑. ภาษาทใ่ี ช้ในระดับพิธกี าร ระดับทางการและระดับก่งึ ทางการ คา สรรพนามทีใ่ ชแ้ ทนตนเอง(สรรพนามบรุ ุษที่ ๑) มกั ใช้ กระผม ผม ดฉิ นั ขา้ พเจา้ คาสรรพนามที่ใชแ้ ทนผรู้ บั สาร(สรรพนามบรุ ุษท่ี ๒)มกั จะใช้ ทา่ น ทา่ นทงั้ หลาย ส่วนภาษาระดบั ท่ีไม่เป็ นทางการและระดับกนั เอง ผสู้ ง่ สารจะใชส้ รรพนาม ผม ฉนั ดฉิ ัน กนั เรา หนู ฯลฯ หรอื อาจใชค้ านามแทน เชน่ นิด ครู หมอ แม่ พ่อ พี่ ปา้ ฯลฯ ๒. คานาม คานามหลายคาเราใชเ้ ฉพาะในภาษาระดบั ก่ึงทางการ ระดบั ไม่ เป็นทางการและระดบั กนั เองเท่านนั้ หากนาไปใชเ้ ป็นภาษาระดบั ทางการจะ ตา่ งกนั ออกไป เช่น โรงจานา>สถานธนานเุ คราะห์ โรงพกั >สถานตี ารวจ หม>ู สกุ ร ควาย>กระบือ รถเมล>์ รถประจาทาง หมา>สนุ ขั เป็นตน้

๓. คากริยา คากริยาทีแ่ สดงระดบั ภาษาตา่ งๆอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เช่น ตาย อาจใช้ ถงึ แก่กรรม เสยี ลม้ กนิ อาจใช้ รบั ประทาน บริโภค ๔. คาวิเศษณ์ บางคาใชค้ าขยายกริยา มกั ใชใ้ นระดบั ภาษาไม่เป็นทางการ และระดบั กนั เองหรอื อาจใชใ้ นภาระดบั กงึ่ ราชการกไ็ ด้ คาวิเศษณเ์ หลา่ นมี้ กั เป็นมกั เป็นคาบอกลกั ษณะหรือแสดงความรูส้ กึ เชน่ เปรีย้ วจ๊ดี เย็นเจีย๊ บ วงิ่ เต็มเหยยี ด ฟาดเตม็ เหนีย่ ว เยอะแยะ ภาษาระดบั ทางการขนึ้ มใี ชบ้ า้ ง เชน่ เป็น อนั มาก มาก บทท่ี ๒ การรบั สารจากส่ือส่ิงพิมพแ์ ละสอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส์ ความสาคญั ของการรับสาร การฟังและการดู เป็นกระบวนการรบั สารท่มี ปี ระโยชนต์ อ่ ตนเองและสงั คม เป็นอย่างมากในชวี ิตประจาวนั มนษุ ยฟ์ ังและดสู ิ่งตา่ ง ๆ มากมาย ความสาคญั ของการฟังและการดมู ีหลายประการ ดงั นี้ ๑.ให้ความรู้และเพ่มิ ความคดิ มนษุ ยเ์ ริม่ ฟังและดตู งั้ แตว่ ยั เด็ก ซง่ึ เป็นการ เรยี นรูส้ ่งิ ต่าง ๆ จากระดบั ท่งี ่ายจนกระท่งั พฒั นาส่รู ะดบั ทยี่ าก การฟังและการ ดเู ป็นวธิ ีการหาความรูอ้ ยา่ งหนงึ่ อาจเป็นการแลกเปลีย่ นทศั นคตเิ ร่ืองใดเรือ่ ง หนง่ึ ซงึ่ เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเหน็ กนั ทาใหร้ บั ความรูแ้ ละเพิ่มความคดิ ๒.เพลดิ เพลนิ จติ และสร้างความจรรโลงใจ การรบั สารบางประเภทจะทา ใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ ใจและสรา้ งความจรรโลงใจ บางครงั้ หากเหน่อื ยลา้ จากการเรยี นหรือการทางานมาทงั้ วนั การฟังเพลงที่ไพเราะสกั เพลงหรือดู ภาพยนตรท์ ่สี นกุ สนานสกั เร่ือง จะทาใหร้ ูส้ กึ ผอ่ นคลายเป็นวิธีการพกั ผ่อน

ประเภทหนึ่ง นอกจากนีเ้ นอื้ หาสาระของเรอ่ื งยงั ใหแ้ ง่คิดบางประการ ซึ่งอาจ เป็นการกระตนุ้ ความรูส้ กึ ของผรู้ บั สารไดอ้ ีกทางหน่ึง ๓.เสรมิ สรา้ งโลกทศั น์ให้กวา้ งไกล การรบั สารที่หลากหลายอยา่ งสมา่ เสมอ ย่อมทาใหผ้ รู้ บั สารไดร้ บั สง่ิ ใหมๆ่ มากขนึ้ กอ่ ใหเ้ กิดความคิดและมมี มุ มอง ใหม่ๆ ซ่งึ แตกตา่ งจากเรื่องท่ีเคยรบั มา ๔.ใช้พัฒนาตนเองและสงั คม การรบั สารดว้ ยการฟังและการดทู าใหเ้ กิด ความรู้ สรา้ งความคดิ สรา้ งความเพลิดเพลนิ ใจ และเสริมสรา้ งโลกทศั นข์ อง ผรู้ บั สารใหก้ วา้ งไกล ทกี่ ล่าวมาทงั้ หมดนลี้ ว้ นเป็นการพฒั นาในส่วนของผรู้ บั สารเอง เมอื่ ผรู้ บั สารนาไปปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ซึ่งสรา้ งประโยชนใ์ หผ้ ู้คน รอบขา้ งหรอื หนว่ ยงาน ก็จะเป็นการพฒั นาสงั คมไดด้ วี ิธีหนึ่ง จุดมงุ่ หมายในการรบั สาร ๑.สารท่ีให้ความรู้ เช่น การฟังและการดูขา่ วสารขอ้ มลู ต่าง ๆ การฟังและการ ดเู รื่องทางวชิ าการและการฟังและดเู รอ่ื งเก่ยี วกบั สาขาวิชาชพี ท่ีตนสนใจ เป็น ตน้ ๒.สารทีโ่ น้มน้าวใจ เช่น การฟังและการดโู ฆษณาชวนเชอื่ ตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โฆษณาสินคา้ หรือโฆษณาหาเสียง การเชิญชวนใหร้ ว่ มกนั ทากจิ กรรมตา่ ง ๆ การโตว้ าที และการอภปิ รายในบางเรือ่ ง เป็นตน้ ๓.สารทีส่ ร้างความจรรโลงใจ ในนหี้ มายถงึ การรบั สารท่ที าใหเ้ กิดความ เพลิดเพลินใจเพ่ิมความสขุ คลายความทกุ ข์ และใหแ้ งค่ ิดเตือนใจแก่ผรู้ บั สาร เช่น การฟังนิทาน การฟังเพลง การดูการต์ นู หรือภาพยนตร์ การฟังเทศน์ การ ฟังและการดเู ร่ืองทท่ี าใหต้ ระหนกั ถงึ คณุ ค่าของส่ิงตา่ ง ๆในชีวิต หลกั ในการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ค่าขา่ ว

๑. พาดหัวขา่ ว (Headline ) คอื การนาประเด็นสาคญั ของขา่ วมาพาดหวั หนงั สอื พิมพ์ เพื่อใหผ้ อู้ า่ นทราบว่าวนั นเี้ กิดอะไรขนึ้ บา้ ง โดยใชต้ วั อกั ษรตวั ใหญ่กวา่ ธรรมดา ใชเ้ พียงขอ้ ความสน้ั ๆ แตส่ ามารถเสนอสาระสาคญั ใหแ้ ก่ ผอู้ า่ นไดพ้ ิจารณาเลือกอ่านรายละเอยี ดขา่ วทต่ี นสนใจได้ ทงั้ ยงั สามารถ บอกภาพลกั ษณข์ องหนงั สือพมิ พฉ์ บับนน้ั ๆ ดว้ ย การพาดหวั ข่าวจะตอ้ งใช้ ทกั ษะการเลอื กถอ้ ยคาภาษาอยา่ งมาก เพราะตอ้ งดงึ ดดู ความสนใจและ กระทบตอ่ ความรูส้ กึ ของผอู้ า่ นไปพรอ้ ม ๆ กบั การใชถ้ อ้ ยคาท่สี น้ั ที่สดุ ให้ สามารถอธิบายเนอื้ ความข่าวไดม้ ากทสี่ ดุ โดยอาจใชค้ าท่ีรุนแรง คาแสลง ภาษาเฉพาะกล่มุ ใชส้ านวน หรอื เครอื่ งหมายวรรคตอนต่าง ๆ เชน่ “ปรบั ครม.เละ ‘กร’ ลยุ สวุ จั น”์ , “ตนื่ ทารกประหลาด ๓ หวั ๒ ขา” เป็นตน้ ๒. เนือ้ เร่อื งหรือเนอื้ ขา่ ว (Body) คอื สว่ นท่อี ธิบายหรอื ขยายรายละเอียด ของส่วนประกอบอ่ืน ๆ ขา้ งตน้ เพื่อใหผ้ อู้ า่ นทราบเร่ืองราวและเขา้ ใจลาดบั ความสาคญั ของเหตกุ ารณท์ ่เี กดิ ขนึ้ อยา่ งชดั เจน ๒.๑ การเขียนเนอื้ เรือ่ งข่าวทเ่ี สนอขอ้ เทจ็ จรงิ จะใชถ้ อ้ ยคากระชบั รดั กมุ ตรงไปตรงมา เสนอเฉพาะขอ้ เท็จจริงโดยใชว้ ธิ ีบรรยายโวหาร ระดบั ภาษาตงั้ แต่กึ่งทางการถงึ ระดบั ทางการ ๒.๒ การเขียนเนอื้ เรือ่ งข่าวที่แสดงความเคลื่อนไหว ผเู้ ขยี นตอ้ ง สรา้ งภาพโดยใชถ้ อ้ ยคาพรรณนาใหเ้ ห็นภาพเหตกุ ารณอ์ ยา่ งชดั เจน เนน้ ที่ คากรยิ า เพม่ิ คาแสดงอารมณ์ ความรูส้ กึ ความคิดเหน็ ของผเู้ ขียน เขา้ ไปใน รายงานขอ้ เท็จจรงิ ท่เี กิดขนึ้ ดว้ ย ขอ้ ควรระวงั คอื ผเู้ ขยี นไมค่ วรสรา้ งภาพ เกนิ ความจริง ๒.๓ การเขยี นเนอื้ เรอ่ื งขา่ วที่เป็นคาพดู ขอ้ ความส่วนหนงึ่ จะเป็น ถอ้ ยคาที่เป็นความคดิ เหน็ ของผใู้ ห้ สมั ภาษณห์ รอื แหล่งขา่ ว ผเู้ ขียนจะใช้

ถอ้ ยคากระชบั รดั กมุ ภาษางา่ ยๆ สื่อความหมายตรงไปตรงมา อาจจะมี ถอ้ ยคาแสดงความรูส้ กึ อารมณข์ องผใู้ หส้ มั ภาษณป์ รากฏอย่ดู ว้ ย หลักในการวิเคราะหข์ ่าว มดี งั นี้ ๑.กาหนดมงุ่ หมายวา่ อ่านเพื่ออะไร ๑.๑ อา่ นเพอื่ ปฏบิ ตั ภิ ารกิจในหนา้ ทก่ี ารงาน ๑.๒ การอา่ นเพ่ือการวิเคราะหก์ อ่ นตดิ ใจ ๑.๓ การอ่านเพือ่ พฒั นาความรูแ้ ละพฒั นาอาชีพ ๒.ศึกษาสว่ นประกอบตามประเภทของสารท่ีอ่าน เช่น ขา่ ว ประกอบดว้ ย พาดหวั ขา่ ว วรรคนา รายละเอยี ดของข่าว บทความ ประกอบดว้ ย คานา เนอื้ เร่อื ง สรุป ขอ้ ความโฆษณา ประกอบดว้ ย ขอ้ ความพาดหวั ขอ้ ความขยายพาด หวั ขอ้ ความอา้ งองิ ขอ้ ความลงทา้ ย ๓.ทาใจให้เป็ นกลาง ปราศจากอคติ จะชว่ ยใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีถกู ตอ้ งไมเ่ กดิ ขอ้ ผดิ พลาด ๔.อ่านขอ้ มลู อยา่ งละเอียด เพือ่ จบั ประเด็นสาคญั หรอื สาระสาคญั ของ เร่อื ง ๕.แยกแยะข้อเท็จจรงิ และขอ้ คดิ เห็น ตอ้ งแยกแยะไดว้ ่าสว่ นใดเป็น ขอ้ เท็จจรงิ ๖.ทราบความหมายและจุดมงุ่ หมายในการเขียน ขน้ั ตอนในการวิเคราะหส์ าร ขนั้ ตอนในการวิเคราะหส์ าร คอื การนาสารทอี่ า่ นมาแยกเป็นส่วนๆ โดย พจิ ารณาถงึ สงิ่ ต่อไปนี้ ๑.รูปแบบการประพนั ธ์

๒.เนอื้ เรอื่ ง ๓.สานวนภาษาและการใชถ้ อ้ ยคา ๔.กลวิธีการนาเสนอ หลักในการวิเคราะหแ์ ละประเมินค่าบทความ บทความ หมายถงึ งานเขยี นทเี่ ผยแพรใ่ นสื่อสิง่ พมิ พห์ รอื ส่อื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ซึ่งมจี ดุ ประสงคเ์ พ่อื เผยแพรข่ า่ วสาร ผลการวจิ ยั เผยแพรค่ วามรู้ การ วเิ คราะหท์ างการศึกษา การวิพากษว์ ิจารณ์ เป็นตน้ โดยปกติบทความหน่ึง บทความจะพดู ถึงเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนงึ่ เป็นประเดน็ หลกั เพียงเรอื่ งเดียว ประเภทของบทความ บทความส่วนใหญ่คือมอี งคป์ ระกอบ ๔ ส่วน คอื ๑. ช่ือเร่ือง เป็นส่วนแรกของบทความทสี่ รา้ งความสนใจแก่ผูอ้ ่าน บทความในหนงั สอื พิมพ์ หรือ นติ ยสาร อาจตพี ิมพช์ ่ือเรอื่ งดว้ ยตวั อกั ษรขนาดใหญ่เพื่อสรา้ งความสนใจ ๒.บทนา คือ ส่วนทีอ่ ย่ยู อ่ หนา้ แรกของบทความ มีลกั ษณะเป็นการกล่าว นาเร่อื ง โดยใหค้ วามรูเ้ บือ้ งตน้ บอกเจตนาและผเู้ ขยี นหรอื ตงั้ คาถาม ซึง่ ผเู้ ขยี นจะใชก้ ลวิธีต่าง ๆ ในการเขียนใหผ้ อู้ ่านสนใจเนอื้ เรอ่ื ง ๓.เนอื้ หา เป็นสว่ นสาคญั ท่ีสดุ ของบทความ เพราะเป็นสว่ นที่รวบรวม ความรู้ สาระตา่ ง ๆ และความคดิ เห็นของผเู้ ขียน ๔. บทสรุป คอื ส่วนสดุ ทา้ ยของบทความทผี่ เู้ ขียนใชส้ รุปเนอื้ หา และสรา้ ง ความประทบั ใจแก่ผอู้ ่าน โดยใชก้ ลวิธีหลายประการ เช่น การชกั จงู ใจใหด้ าเนินการอย่างใดอยา่ ง หนงึ่ การใหข้ อ้ คดิ การหาแนวรว่ ม การวเิ คราะหบ์ ทความมีหลกั ทคี่ วรพจิ ารณา ดงั นี้

๑ ต้งั จดุ มงุ่ หมายในการอ่านบทความ วา่ ตอ้ งการอา่ นเพือ่ อะไร การอ่าน บทความบทความใน แต่ละครงั้ ควรอ่านอยา่ งละเอยี ด เพราะใจความ สาคญั อาจมีหลายประเด็น จึงไมค่ วรอ่านเพยี งบางสว่ นเท่านนั้ ๒ ตง้ั ใจอ่านอย่างดี เพราะบทความเป็นการเสนอความคดิ เหน็ ของผเู้ ขยี น จงึ มคี วามเป็นไปไดส้ งู ทผี่ เู้ ขยี นจะชนี้ าใหผ้ อู้ ่านมีความคิดเห็นคลอ้ ยตาม ตน ผอู้ ่านจงึ ควรมีสติเพอื่ พิจารณาไตรต่ รองขอ้ มลู ใหร้ อบคอบ ๓ ควรนาความรูแ้ ละข้อคิดเหน็ จากบทความไปประยุกตใ์ ชก้ ับ หน่วยงานของตนเพื่อใช้เกดิ ประโยชนส์ งู สุด หลกั ในการวเิ คราะหแ์ ละประเมนิ ค่าสารคดี สารคดี คือ งานเขียนอยา่ งสรา้ งสรรค์ ที่มีลกั ษณะคลา้ ยบทความ แตไ่ มใ่ ช่ บทความ นกั วิชาการไดอ้ ธิบายความหมายของสารคดไี วต้ ่าง ๆกนั ดงั นี้ พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ (2546, หนา้ 1182) ไดใ้ ห้ ความหมายของสารคดีไวว้ า่ “สารคดี [สาระ-] น. เรอ่ื งที่เรียบเรียงขนึ้ จาก ความจริงไมใ่ ช่จนิ ตนาการ เชน่ สารคดที อ่ งเทย่ี ว สารคดีชีวประวตั ิ” ปาน ฉาย ฐานธรรม (ม.ป.ป., หน้า 51) อธิบายว่า “สารคดี คือ การเขยี นที่ เนน้ ขอ้ มลู ทเี่ ป็นความจรงิ มากท่ีสดุ โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพอื่ ใหค้ วามรู้ และ ความจริง เพอื่ ใหเ้ กิดคณุ ค่าทางปัญญา” ฉลวย สุรสิทธ์ิ (2522, หน้า 259) อธิบายว่า คาว่า สารคดี ถา้ แยกคาแลว้ แปล กจ็ ะไดค้ วามว่า สาร หมายถงึ สาคญั คดี หมายถึง เรอ่ื ง ถา้ แปลรวมกนั กห็ มายถึง เรอ่ื งใดทมี่ ีสาระสาคญั และถา้ เทยี บคานที้ บั คาภาษาองั กฤษจะเท่ากบั คา feature ซึ่งมรี ากศพั ทว์ า่ fact ซงึ่ แปลวา่ ความจริง เพราะฉะนนั้ การเขียนสารคดจี งึ หมายถึง การเขยี น เรอ่ื งใด ๆทเี่ ป็นความจริง มีสาระสาคญั นา่ รูท้ ่แี ฝงดว้ ยความจริง เนอื้ หามี

สาระสาคญั ท่ีเช่อื ถอื ได้ เสาวนยี ์ สกิ ขาบัณฑิต (2533, หน้า 61) กล่าวถึงความหมายของสารคดี วา่ “สารคดีจะมีลกั ษณะเนอื้ หาสาระเชงิ วิชาการท่ใี ชร้ ูปแบบไม่เป็นทางการ มีสาระความเพลดิ เพลนิ และความรู้ ใชส้ านวนภาษาทนั สมยั เรา้ ความ สนใจ อยากตดิ ตาม และมีอสิ ระในการใชภ้ าษา” ถวลั ย์ มาศจรัส (2545, หน้า 244) อธิบายว่า “สารคดี (Non-fiction) คือ งานเขยี นทยี่ ดึ ถอื เรอ่ื งราวจากความเป็นจรงิ นามาเขียน เพ่อื มงุ่ แสดง ความรูท้ รรศนะความคดิ เหน็ เป็นหลกั ดว้ ยการจดั ระเบียบความคิดในการ นาเสนอ ผสมผสานในการถ่ายทอดตอ่ การสนใจใฝ่รูข้ องผอู้ ่าน เพ่อื ใหเ้ กดิ คณุ ค่าทางปัญญา” วนิดา บารุงไทย (2545, หน้า 9) ไดใ้ หค้ วามหมายของสารคดีไวว้ า่ “สาร คดี คือ เรอ่ื งสรา้ งสรรค์ (creative) บางครง้ั มคี วามเป็นอตั วิสยั (subjective) เป็นขอ้ เขียนทีม่ งุ่ ใหค้ วามบนั เทิง และขา่ วสารเก่ยี วกบั เหตกุ ารณป์ ัจจบุ นั สถานการณห์ รือแงม่ มุ ชีวิตทนี่ า่ สนใจ” สุจิรา ชา้ งอยู่, วิลาวลั ย์ ม่วงเอ่ียม, สุจารี หอมนาน (2546, หน้า 7) กล่าววา่ “สารคดีเป็นงานเขียนรอ้ ยแกว้ ท่มี เี นอื้ หาหลากหลายโดยผ่านการ กล่นั กรองขอ้ เท็จจริง แลว้ นามาเสนอผ่านภาษาที่มีสสี นั ชวนอ่าน มีเนอื้ หา ในการนาเสนอขอ้ เทจ็ จรงิ ในรูปแบบการอธิบาย การวจิ ารณ์ หรืออาจมี เรือ่ งราวเก่ยี วกบั ความบนั เทิงสอดแทรก” ชลอ รอดลอย (2551, หน้า 3) กลา่ วถึงความหมายของสารคดีไวว้ ่า “สารคดี คอื งานประพนั ธร์ อ้ ยแกว้ ท่ีผเู้ ขยี นมงุ่ ท่ีจะเสนอความรูแ้ ละความ จรงิ เก่ยี วกบั เรือ่ งราวตา่ ง ๆเป็นหลกั เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นไดร้ บั ทงั้ ความรูแ้ ละความ เพลิดเพลินไปพรอ้ มกนั ดว้ ย”

ศรี คณปติ (2551, ยอ่ หน้า 1) ใหค้ วามเห็นวา่ “สารคดี หมายถึง งาน เขียนทเ่ี ป็นเร่ืองเก่ยี วกบั ขอ้ เท็จจริง เสนอเร่ืองราวเก่ยี วกบั บคุ คลท่มี ตี วั ตน จรงิ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ จริง มีเจตนาเบอื้ งตน้ ในการใหส้ าระ ความรู้ ความคดิ ทงั้ นตี้ อ้ งมีกลวิธีการเขียนใหเ้ กิดความเพลิดเพลนิ ดว้ ย” เกศินี จุฑาวิจิตร (2552, หน้า 259) กล่าวถึงความหมายของสารคดีไวว้ ่า “สารคดี คือความเรียงที่ม่งุ นาเสนอขา่ วสารขอ้ มลู ความรู้ และขอ้ เท็จจรงิ พรอ้ มกบั ใหค้ วามเพลิดเพลนิ และความพึงพอใจ ผา่ นการใชภ้ าษาท่ี พถิ ีพิถนั เรา้ ใจ คมคาย และงดงาม” จากความหมายขา้ งตน้ สรุปไดว้ า่ สารคดี คอื งานเขียนสรา้ งสรรคป์ ระเภท รอ้ ยแกว้ ซึง่ เป็นเรอื่ งราวทีเ่ กิดขนึ้ จรงิ ม่งุ เสนอความรูท้ ี่น่าสนใจ และความ เพลดิ เพลนิ ในการอา่ น โดยมกี ารใชภ้ าษาทที่ นั สมยั คมคาย งดงาม เรา้ ความสนใจ อาจเป็นเรอ่ื งเก่ยี วกบั บคุ คล หรือ งานเขียนสารคดีมีลักษณะสาคัญ ดงั นี้ 1 มีเนอื้ หาท่เี ป็ นสารประโยชน์ มงุ่ ใหผ้ อู้ า่ นเกดิ ความรู้ ไดร้ บั ความคิด เป็นหลกั เชน่ วิทยาศาสตร์ ศาสนา ภาษา กฬี า ฯลฯ 2 มีเนอื้ หาน่าสนใจ อาจเป็นเร่อื งทีก่ าลงั ไดร้ บั ความนิยม หรอื กาลงั เป็นท่ี น่าสนใจในปัจจบุ นั หรืออาจเป็นการเปิดประเด็นแง่มมุ ใหมๆ่ ท่นี าสนใจ 3 ใชส้ านวนภาษาที่ดี กระตนุ้ ความสนใจผอู้ ่าน เช่น ใชโ้ วหารบรรยาย พรรณนา ภาพพจน์ ฯลฯ 4 มงุ่ ให้ความเพลิดเพลินเป็ นสาคัญ สารคดสี ามารถแบง่ ไดอ้ ย่างกวา้ งๆ ๒ ประเภท ไดแ้ ก่ สารคดที ั่วไป และ สารคดวี ิชาการ 1 สารคดีทัว่ ไป

เป็นสารคดที ใี่ หค้ วามรูท้ ่วั ไป มีเนอื้ หาหลากหลาย ไมจ่ ากดั ขอบเขตผอู้ า่ น ตลอดจนความรูพ้ นื้ ฐานของผอู้ ่าน เชน่ สารคดแี นวประวตั ิ สารคดแี นว พทุ ธิปัญญา สารคดแี นวทอ่ งเทยี่ วและสารคดแี นะนา 2 สารคดีวิชาการ เป็นสารคดที ี่มีเนอื้ หาเก่ยี วกบั วิชาการดา้ นต่าง ๆ เชน่ มนษุ ยศ์ าสตร์ วิทยาศาสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เป็นตน้ สารคดีประเภทนคี้ ลา้ ยกบั ตาราทาง วิชาการ เพราะใหค้ วามรูท้ างศาสตรต์ า่ ง ๆ เหมอื นกนั แตกตา่ งกนั ทสี่ ารคดี วชิ าการจะมีการดาเนินเรื่องทีช่ วนติดตาม และใหค้ วามเพลิดเพลนิ แก่ ผอู้ า่ น ผอู้ า่ นควรอา่ นเพื่อเพม่ิ พนู ความรูใ้ นศาสตรน์ น้ั ๆ และอา่ นอย่าง วจิ ารณญาณ การวิเคราะหแ์ ละประเมินคา่ สารคดี ผอู้ ่านตอ้ งอา่ นอย่างพนิ ิจพจิ ารณา อยา่ งถว้ นถ่ี โดยอาศยั แนวทางในการอ่าน ๓ ขนั้ ตอน ดงั นี้ 1 ขั้นอ่าน ขนั้ ตอนแรกของการอ่านสารคดคี อื การอา่ นจบั ใจความสาคญั ของเรื่อง เพื่อจะไดท้ ราบว่าผเู้ ขียนตอ้ งการบอกขอ้ เทจ็ จรงิ อะไรแก่ผอู้ า่ น แลว้ สรุปใจความสาคญั ของเนอื้ หาตามลาดบั 2 ขั้นวิเคราะห์ ในขนั้ วิเคราะหส์ ามารถแบง่ การวิเคราะหก์ ารอ่านสารคดี ได้ ดงั นี้ วเิ คราะหค์ วามคดิ เห็นของผเู้ ขียน เมอ่ื จบั ใจความสาคญั ของ สารอนั เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ แลว้ ผเู้ รยี นตอ้ งแยกแยะขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ คดิ เหน็ ของผเู้ ขยี นออกจากกนั โดยพิจารณาใหด้ วี า่ ตนเองเห็นดว้ ยกับทรรศนะหรอื ขอ้ คิดเหน็ ของผเู้ ขียนหรือไม่ นอกจากนีอ้ าจวิเคราะหส์ งิ่ ทเี่ ก่ยี วกบั ผเู้ ขยี น จากการอ่านสารคดโี ดยพจิ ารณาจากลีลาการเขยี น การใชภ้ าษา อารมณ์ และนา้ เสยี งของผเู้ ขยี น เชน่ การแทรกอารมณข์ นั การประชดประชนั เสยี ด

สี การแสดงความเห็นใจ การวิเคราะหส์ ่งิ ต่าง ๆ เหลา่ นีจ้ ะทาใหท้ ราบวา่ ผเู้ ขียนเป็นใครมีอปุ นิสยั เจตนาในการนาเสนอสารคดีอยา่ งไร วิเคราะหก์ ลวิธีการเขยี น เรม่ิ ตงั้ แต่การตงั้ ชือ่ เรือ่ งวา่ มีความ เหมาะสม ดึงดดู ใจผอู้ า่ นหรือไมก่ ารวางโครงเรือ่ ง การเปิดเรือ่ ง การปิด เรอ่ื ง วิธีการดาเนนิ เรอ่ื ง ผเู้ ขยี นเป็นผเู้ ลา่ เร่อื งเองหรอื มกี ารแทรกบท สนทนา บทสมั ภาษณข์ องบคุ คลผเู้ ก่ียวขอ้ ง แนวคดิ ทผ่ี เู้ ขยี นนาเสนอ วิเคราะหค์ วามสัมพันธข์ องเนื้อหาสาระกบั การใช้ ภาษาไทย ตอ้ งพิจารณาวา่ สารคดีทีไ่ ดอ้ า่ นนนั้ มกี ารนาเสนอขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จรงิ และความคิดเห็น กลมกลนื กนั หรือไม่ การใชภ้ าษา สานวน โวหาร เหมาะสมกบั เรอ่ื งหรือไม่ เป็นตน้ 3 ขั้นประเมนิ คา่ ขนั้ ตอนนเี้ ป็นขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยทจี่ ะพิจารณาคณุ ค่าของ สารคดเี รือ่ งทไ่ี ดอ้ ่านวา่ ดีหรอื ไม่อยา่ ง โดยใชข้ อ้ มลู เหตผุ ลท่วี ิเคราะหใ์ น ขนั้ ตน้ มาพจิ ารณา หลกั ในการวิเคราะหแ์ ละประเมนิ ค่าโฆษณา การโฆษณา หมายถงึ การเสนอ ข่าวสาร หรือ แจง้ ขา่ วสารใหบ้ คุ คลที่ เป็นกลมุ่ เปา้ หมายทราบเก่ยี วกบั สนิ คา้ บริการ หรอื แนวความคดิ โดย เจา้ ของสนิ คา้ หรอื ผอู้ ปุ ถมั ภท์ ี่เปิดเผยตวั เองอยา่ งชดั แจง้ มกี ารจ่ายเงินเป็น ค่าใชส้ อ่ื และเป็นการนาเสนอขอ้ มลู ข่าวสารทไ่ี ม่ไดใ้ ชบ้ คุ คลเขา้ ไปติดตอ่ โดยตรง จดุ ประสงคข์ องการโฆษณา มหี ลายประการ ดงั นี้ 1. เพอ่ื แนะนาใหร้ ูจ้ กั สินคา้ หรือบรกิ ารใหม่ ๆ แกผ่ บู้ รโิ ภคกลมุ่ เป้าหมา 2. เพ่ือเสนอขอ้ มลู เก่ยี วกบั สินคา้ หรอื บรกิ าร เช่น ประเภท ประโยชน์ คณุ สมบตั โิ ดดเด่น ความสาคญั ของสนิ คา้ หรอื บรกิ ารนน้ั ๆ ตอ่ การ

ดารงชีวติ ของผบู้ รโิ ภค เป็นตน้ 3. เพื่อสรา้ งจดุ เด่นใหเ้ ป็นเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั ของสินคา้ หรอื บรกิ าร จน ผบู้ รโิ ภคจาชื่อ จาตราของสินคา้ หรอื บริการนน้ั ไดด้ ี 4. เพื่อสรา้ งแรงจงู ใจ เรา้ ใจหรอื ดึงดดู ใจ กระตนุ้ ใหผ้ บู้ ริโภคเกิดความ สนใจในสนิ คา้ หรือบริการ ซึ่งนาไปสคู่ วามตอ้ งการในการซอื้ สินคา้ หรอื บริการนนั้ ๆ 5. เพอื่ ส่งเสริมการใชส้ นิ คา้ หรอื บริการใหม้ ากขนึ้ เป็นการแข่งขนั ใน การจาหน่ายสินคา้ หรอื บริการกบั ค่แู ข่งท่จี าหน่ายสินคา้ หรอื บริการ ประเภทเดียวกนั เป็นการเอาชนะคแู่ ข่งขนั ในการจาหน่าย เพมิ่ ยอดขาย หรือเพม่ิ การครองตลาด การขยายตลาดสินคา้ หรอื บรกิ ารนนั้ ใหก้ วา้ งยง่ิ ขึน้ 6. เพื่อเป็นการทบทวนความจา เนน้ ยา้ ใหส้ นิ คา้ หรือบรกิ ารนนั้ อยู่ใน ความทรงจา ของผบู้ รโิ ภคตลอดไป 7. เพอ่ื สรา้ งตาแหนง่ สนิ คา้ หรือบริการขนึ้ ในความนึกคดิ ของผบู้ ริโภค 8. เพ่ือสรา้ งภาพลกั ษณแ์ ละเจตคตใิ นทางทดี่ ีใหก้ บั บริษทั ผผู้ ลติ สนิ คา้ หรอื บรกิ ารนนั้ 9. เพอื่ สรา้ งศรทั ธาความเชื่อถือในสนิ คา้ หรอื บริการใหเ้ ป็นที่ ยอมรบั อนั จะส่งผลถึง การจาหนา่ ยสนิ คา้ ตวั ใหมห่ รือบรกิ ารใหม่ ๆ ของ ผผู้ ลิตเดยี วกนั หลักในการวเิ คราะหโ์ ฆษณาต้องคานึงต่อไปนี้ 1. มกี ารใชป้ ระโยคทีส่ นั้ กะทดั รดั ไมย่ าวหรอื สนั้ จนเกินไป ไม่ใชค้ าพดู หรือขอ้ ความ ฟ่มุ เฟือยไม่จาเป็นแต่ อา่ นแลว้ สามารถทจ่ี ะจบั ใจความ ไดท้ นั ที

2. มคี วามชดั เจน ไม่กากวมในขอ้ ความโฆษณา คือใชค้ าพดู ท่ผี รู้ บั สารอา่ นหรอื ไดย้ ิน แลว้ ปราศจากขอ้ สงสยั เพื่อท่ีจะสามารถตอบคาถามท่ีคาดวา่ ผรู้ บั สาร ตอ้ งการทจี่ ะทราบไดห้ ลีกเลี่ยงการใชค้ าพดู สานวนโวหาร หรือขอ้ ความ ท่ี กากวมทาใหต้ คี วามไดห้ ลายทาง หรือสามารถทจ่ี ะตคี วามไดห้ ลายทาง หรือสามารถท่ีจะ ตคี วามไดห้ ลายความหมาย 3. ใชภ้ าษาที่อ่าน หรอื ฟัง เขา้ ใจง่ายกบั การบรรยายถงึ สรรพคณุ สินคา้ อาจมกี ารใช้ สานวนภาษาทแี่ ตกต่างจากโครงสรา้ งในภาษาไทย กลา่ วคือไมย่ ดึ ติดกบั หลกั ภาษาไทย มากจนเกนิ ไปเพื่อใหเ้ หมาะสมกบั ความตอ้ งการของกล่มุ เป้าหมายที่แตกตา่ งกนั ใน อายุ อาชีพ และเพศ แต่ ตอ้ งคานึงถึงวา่ จะทาใหเ้ กิดผลใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจผดิ หรือเกิดผลในทางลบได้ อยา่ มงุ่ แตจ่ ะใชค้ วามแปลกใหม่ แตเ่ พียงอยา่ งเดยี ว ภาษาท่ีใชก้ นั ท่วั ไป เป็นสง่ิ ท่ดี ีถา้ นามาใชอ้ ย่างเหมาะสม เนือ่ งจากเป็นส่ิงทคี่ ุ้นเคย กนั เป็น อย่างดี แตต่ อ้ งระวงั ไม่ใหผ้ รู้ บั สารรูส้ กึ ว่าเป็นภาษาทหี่ ยาบคาย สว่ นประกอบท่ีสาคญั ของข้อความโฆษณาแบ่งออกได้ ๔ ส่วน ดังนี้ 1 หัวเร่อื ง หรือ พาดหัว เป็นขอ้ ความในส่วนแรกของโฆษณา เพื่อดงึ ดดู หรอื เรยี กรอ้ ง ความ สนใจ มีการใชถ้ อ้ ยคาที่ สน้ั กะทดั รดั ไดใ้ จความ น่าสนใจ เรา้ ใจและ ดงึ ดดู ความสนใจกล่มุ เป้าหมาย โดยใชภ้ าษาท่ีสะดดุ ตา หรือใชต้ วั อกั ษร ท่ี มีความชดั เจน มคี วามโดดเดน่ มากกว่าส่วนอน่ื ๆ 2 พาดหัวรอง หรือข้อความขยายพาดหัว เป็นขอ้ ความขยายทาใหพ้ าดหวั มีความชดั เจน มากขึน้ หรอื สรา้ งความ เขา้ ใจต่อเน่อื งจากพาดหวั หลกั ซงึ่ เป็นสว่ นทอี่ าจจะมหี รอื ไมม่ กี ็ได้

3 ข้อความโฆษณา ทีม่ ีการขยายความหรือรายละเอียดเพ่มิ เตมิ จาก หัวเรอ่ื งหรือพาดหัว ซึ่งในการอธิบายนนั้ อาจกล่าวถึงประโยชน์ สรรพคณุ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ ของสนิ คา้ คณุ ภาพ ราคา การเปรยี บเทียบกบั ผลติ ภณั ฑช์ นดิ เดียวกบั ยีห่ อ้ อื่น หรือการกลา่ วถึงหลกั ฐานตา่ ง ๆเชน่ การรบั ประกนั คณุ ภาพ จากสถาบนั ต่าง ๆ ความคิดเห็นจากบคุ ลทมี่ ชี อื่ เสยี งและไดร้ บั การยอมรบั จากบคุ คลท่วั ไป หรือ ความคิดเห็น จากผเู้ ชยี่ วชาญเป็นตน้ เพื่อชกั จงู ใหผ้ รู้ บั สารรูส้ กึ เชื่อถอื และ คลอ้ ยตาม ซ่งึ ในส่วนนจี้ ะมีการใช้ ตวั อกั ษรทีม่ ีขนาดเล็กกวา่ พาดหวั หรอื หวั เรอ่ื ง 4 สรุป เป็นส่วนท่จี ะทาใหผ้ รู้ บั สารรูส้ กึ ประทบั ใจและจดจาได้ และเกดิ ความ ตอ้ งการ ในสนิ คา้ หรือบริการนน้ั ๆ หรืออาจเป็นการเสนอประโยชนอ์ ีกครงั้ และกระตนุ้ ใหผ้ รู้ บั สารรูส้ กึ ตอ้ งการในสินคา้ หรอื บริการนนั้ ๆ ดงั นน้ั คาสรุป จึงเป็นส่วนที่สาคญั มากอกี สว่ นหนง่ึ ในโครงสรา้ งของขอ้ ความโฆษณา เนื่องจาก ผรู้ บั สารอาจมีปฏิกริ ิยาในทางใดกไ็ ดก้ บั โฆษณา เมือ่ อา่ นคาสรุป ของโฆษณา บทที่ 3 การอ่านวรรณกรรมท้องถน่ิ ส่งเสรมิ คุณธรรม จรยิ ธรรมและค่านิยม ความหมายของวรรณกรรมท้องถิ่น วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ เป็นศาสตรส์ าขาหนึ่งของคตชิ นวิทยาประกอบดว้ ยเรอ่ื งราวท่ี ผคู้ นเล่าส่กู นั ฟัง ทงั้ ทเ่ี ป็นวรรณกรรมมขุ ปาฐะ และวรรณกรรมลายลกั ษณว์ รรณกรรม ทอ้ งถ่ินจงึ เป็นการบนั ทึกวิถีชาวบา้ นในทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ วิธีหน่ึง

ลักษณะของวรรณกรรมท้องถน่ิ 1. ชาวบา้ นเป็นผสู้ รา้ งขนึ้ มาเพื่อใชใ้ นทอ้ งถิ่นของตน ทงั้ ยงั เป็นผใู้ ช้ และ ผรู้ กั ษาวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ 2. ชาวบา้ นหรือพระภกิ ษุเป็นผสู้ รา้ งวรรณกรรมทอ้ งถ่ินขนึ้ มาเพราะมใี จรกั ไมไ่ ดส้ รา้ งขนึ้ เพอ่ื ถวายพระมหากษัตรยิ เ์ หมือนวรรณคดีท่วั ไป 3. ใชภ้ าษาทเ่ี รยี บงา่ ย ภาษาท่ีใชเ้ ป็นภาษาถนิ่ ของแต่ละทอ้ งถิ่น 4. เนอื้ หาส่วนใหญม่ ีจดุ ม่งุ หมายเพื่อสรา้ งความบนั เทิงใจ แตเ่ นน้ เร่ืองคตธิ รรม ทางพทุ ธศาสนา 5. ไมไ่ ดม้ งุ่ ยอพระเกียรติพระมหากษตั ริยม์ ากนกั แมต้ วั ละครเอกจะเป็น พระมหากษตั รยิ ์ 6.เสนอภาพสงั คม วิถชี ีวติ และวฒั นธรรมทอ้ งถิน่ นนั้ 7. เสนอค่านิยมและอดุ มคติท่วั ไปเหมอื นวรรณคดี แมจ้ ะยกย่อง พระมหากษตั ริยแ์ ต่ก็ไม่เนน้ มา ประโยชนใ์ นการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ 1. ทาใหผ้ ศู้ ึกษาวรรณกรรมทอ้ งถ่ินเขา้ ใจความเชือ่ คตนิ ิยม จารีตประเพณี ฯลฯ ของสงั คมทอ้ งถ่ิน 2. ทาใหท้ ราบคาที่ใชใ้ นทอ้ งถิน่ ตา่ ง ๆ วรรณกรรมทอ้ งถิน่ ท่ีเป็นลายลกั ษณ์ นบั เป็นแหล่งคลงั คาของทอ้ งถน่ิ ไดเ้ ป็นอย่างดี 3. การศึกษาวรรณกรรมทอ้ งถิน่ ในสถาบนั การศึกษา เป็นวิธีหน่ึงในการ อนรุ กั ษศ์ ิลปวฒั นธรรมทอ้ งถ่ิน

4. ทาใหผ้ ศู้ ึกษาวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ทราบถงึ ความสามารถของกวพี นื้ บา้ น ได้ เรยี นรูภ้ าษาถน่ิ และวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ 5. ทาใหผ้ ศู้ ึกษาวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ เกดิ ความภาคภมู ใิ จในทอ้ งถิ่นของตน 6. การศึกษาวรรณกรรมทอ้ งถ่ินเป็นการอนรุ กั ษว์ รรณกรรมพนื้ บา้ นของไทยไว้ ไม่ใหส้ ญู หายไปกอ่ นเวลาอนั ควร ลกั ษณะของนิทานพืน้ ฐานบา้ น ความหมายและความสาคัญของนทิ าน ความหมายของนิทาน มหี น่วยงาน และนกั วิชาการหลายท่าน ได้กลา่ วถึงความหมาย ของนิทานไวไ้ ด้ ดงั นี้ เกษลดา มานะจตุ แิ ละ อภญิ ญา มนญู ศิลป์ (2544 : 1) ไดใ้ หค้ วามหมายของนิทาน วา่ หมายถึง เร่ืองเลา่ ตอ่ กนั มาโดยใชว้ าจาหรอื เล่าโดยแสดงภาพประกอบ หรอื การ เลา่ โดยวสั ดอุ ปุ กรณ์ ใชป้ ระเภทต่าง ๆประกอบก็ไดเ้ ชน่ หนงั สือภาพ หนุ่ หรอื การใชค้ น แสดงบทบาทลีลาเป็นไปตามเนอื้ เรอ่ื งของนิทานนนั้ ๆ แตเ่ ดิมมานิทานถกู เลา่ สกู่ นั และกนั ดว้ ยปากสืบกนั มาเพ่ือ เป็นเครื่องบนั เทงิ ใจในยามว่าง และเพือ่ ถา่ ยทอดความ เชือ่ ความศรทั ธาเลือ่ มใสในสง่ิ ศกั ดส์ิ ิทธิ์ท่ีเป็นทยี่ ึดถือของคนแตล่ ะกล่มุ วไิ ล มาศจรสั (2545 : 12) ไดก้ ล่าวถึงความหมายของนิทานว่า นิทาน หมายถึง เรอื่ ง ท่ีเลา่ กนั มา เช่นนทิ านอีสป นทิ านชาดก ในทางคตชิ นวิทยา ถือวา่ นทิ านเป็นเรื่องเลา่ สบื สานต่อ ๆ กนั มา ถือเป็นมรดกทางวฒั นธรรมอย่างงหนึ่งในหลายอย่างของมนษุ ย์ เป็นสงิ่ ทม่ี ีความหมาย มคี ณุ ค่าซง่ึ นิทานนนั้ จะมที งั้ นิทานเล่าปากเปล่า จดจากนั มา แบบมขุ ปาฐะและนิทานท่ีมีการเขยี นการบนั ทึกไวเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร

ราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช 2542(2546 : 588) ไดร้ ะบคุ วามหมายของนิทานไวว้ ่า นิทาน หมายถงึ เร่ืองท่เี ล่ากนั มา เช่น นทิ านชาดก นิทานอีสป เกริก ยนุ้ พนั ธ(์ 2547 : 8) ไดใ้ หค้ วามหมายของนงทานไวว้ ่าหมายถงึ เรือ่ งราวท่เี ลา่ สบื ตอ่ กนั มาตงั้ แต่สมยั โบราณ เป็นการผกู เร่อื งขึน้ เพื่อใหผ้ ฟู้ ังเกิดความสนกุ สนาน เพลิดเพลนิ และสอดแทรกคตสิ อนใจลงไป ประคอง นิมมานเหมินทร(์ 2550 : 9)ไดใ้ หค้ วามหมายของนทิ านว่า หมายถึง เร่อื งท่ี เล่ากนั ตอ่ ๆ มาจากคนรุน่ หนงึ่ สคู่ นอีกรุน่ หน่งึ โดยไม่ทราบวา่ ใครเป็นผแู้ ต่ง เชน่ นทิ านเร่ืองสงั ขท์ องปลาบทู่ อง หรือโสนนอ้ ยเรอื นงาม มีการเลา่ ส่กู นั ฟังจากป่ยู ่าตา ยายของเรา พ่อแม่ของเรารวมทงั้ ตวั เราเอง ไปจนถงึ ลกู หลานเหลนโหลนของเรา เป็น ทอดๆ กนั ไปรุน่ แลว้ รุน่ เลา่ บางครงั้ กแ็ พรก่ ระจายจากทอ้ งถิ่นหน่ึงไปส่อู ีกทอ้ งถ่ินหนึง่ เชน่ นิทานเร่อื งสงั ขท์ องอาจมีหลายสานวน แลว้ แตค่ วามทรงจา ความเช่อื อารมณข์ องผเู้ ลา่ และวฒั นธรรมในแต่ละทอ้ งถิ่นจาก ความหมายของนทิ านดงั กล่าว นิทานพืน้ บา้ นมลี ักษณะสาคัญ ดังนั้น 1 เป็นเรอ่ื งเล่าดว้ ยถอ้ ยคาธรรมดา เป็นภาษารอ้ ยแกว้ ไม่ใช่รอ้ ยกรอง 2 เป็นเรอ่ื งเลา่ กนั มาชา้ นาน ตอ่ มาเมอื่ มคี วามเจริญดา้ นการเขียน ก็อาจเขียนขนึ้ โดย อาศยั เคา้ เดิมของเร่อื งเล่าดว้ ยปากเปลา่ นน้ั 3 ไม่ปรากฏว่าผเู้ ลา่ ดงั้ เดมิ นน้ั เป็นใคร ทราบเพียงแตว่ ่าเป็นของเก่าท่ีเลา่ สืบตอ่ กนั มา ประเภทของนทิ านพนื้ บา้ น นิทานพืน้ บา้ นสามารถแบง่ ได้ 11 ประเภท ดงั นี้

1 ตานานปรมั ปรา หมายถงึ เรื่องเล่าทอ่ี ธิบายความเป็นมาของโลกและ จกั รวาล กาเนดิ มนษุ ย์ สตั วแ์ ละพชื บางเรื่องอธิบายปรากฏการณท์ าง ธรรมชาติ บางครงั้ มผี เู้ รียกนทิ านประเภทนวี้ ่า เทวปกรณ์ 2 นิทานศาสนา เป็นเรื่องเลา่ ที่เก่ยี วกบั ศาสนาซ่ึงไมมใี นคมั ภรี ท์ างศาสนา 3 นิทานคติ นทิ านท่เี ลา่ โดยเจตนา ใหข้ อ้ คดิ ดา้ นคณุ ธรรมหรอื จรยิ ธรรมอย่างใด อย่างหน่งึ หรอื หลายอย่าง เชน่ นิทานอีสป 4 นทิ านชีวิต นิทานประเภทนมี้ ีเนอื้ หาอย่ใู นโลกความเป็นจริง มกี ารระบชุ อื่ ตวั ละครและสถานท่ีอยา่ งชดั เจน ตวั อยา่ งของนทิ านประเภทนมี้ ีอย่หู ลายเรือ่ งใน นทิ าน อาหรบั ราตรี 5 นทิ านมหัศจรรย์ หรอื เทพนยิ าย ลกั ษณะสาคญั ของนิทานประเภทนี้ เป็นเร่อื ง ที่ประกอบดว้ ยสง่ิ มหศั จรรย์ อาจมีตวั ละครทไ่ี มใ่ ช่มนษุ ยซ์ ึ่งไมเ่ คยปรากฏใหเ้ หน็ จรงิ เชน่ แมม่ ด นางฟ้า 6 นทิ านประจาถ่ิน หรอื ตานานประจาถิ่น เป็นเร่อื งเลา่ ท่ีอธิบายความเป็นมา ของสิ่งทมี่ อี ย่ใู นทอ้ งถ่ิน อาจเป็นสิง่ ทีเ่ กิดขนึ้ เองโดยธรรมชาติ เช่น แม่นา้ ภเู ขา หรือ เป็นสิง่ กอ่ สรา้ ง เชน่ เจดยี ์ บางเรื่องเก่ยี วขอ้ งกบั บคุ คลในประวตั ิศาสตร์ บางเรือ่ ง เก่ยี วขอ้ งกบั เทวดา สตั ว์ หรือผีสางนางไม้ 7 นิทานอธิบายเหตุผล เร่ืองเลา่ ทอี่ ธิบายถึงกาเนดิ หรอื ความเป็นมาของสิ่งที่ เกิดขนึ้ ในธรรมชาติ 8 นิทานสัตว์ เร่อื งเลา่ ทีม่ ีสตั วเ์ ป็นตวั ละครเอก โดยมกั แสดงใหเ้ ห็นถึงความฉลาด ของสตั วช์ นดิ หนงึ่ และความโง่เขลาของสตั วอ์ กี ชนดิ หนึ่ง

9 นทิ านเร่ืองผี นทิ านทีเ่ ล่าเก่ียวกบั ผีทีม่ าหลอกหลอนดว้ ยวิธีการตา่ ง ๆ ซ่งึ ผฟู้ ังเมอ่ื ฟังแลว้ เกิดความกลวั แตก่ ็ชอบฟัง 10 นทิ านขาขัน หรอื มกุ ตลก นทิ านประเภทนมี้ กั เป็นเรอ่ื งขนาดสนั้ ตวั ละครอาจ เป็นมนษุ ยห์ รอื สตั วก์ ็ได้ จดุ สาคญั ของเรอ่ื งอย่ทู ี่ความไม่น่าจะเป็นไปไดต้ า่ ง ๆ เชน่ คนโง่เอาเสอื้ คลมุ ใหก้ อ้ นหนิ เพราะกลวั กอ้ นหินหนาว 11 นิทานเข้าแบบ นิทานประเภทนมี้ ีแบบแผนการเลา่ พเิ ศษกว่านิทานประเภท อ่ืน สว่ นมากเป็นนิทานทเ่ี ลาใหเ้ ด็กฟังสนกุ มีหลายแบบ เชน่ นิทานลกู โซ่ นทิ านไมร่ ู้ จบ บทบาทและหน้าท่ีของนิทานพืน้ บ้าน 1. ใหค้ วามบันเทงิ วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ มบี ทบาทสาคญั ในการใหค้ วามบนั เทิง แก่บคุ คลในสงั คม ดงั จะเห็นไดจ้ ากการเล่านทิ านพนื้ บา้ นของภาคตา่ ง ๆ 2. สบื ทอดวฒั นธรรมประเพณีท้องถ่ิน การถ่ายทอดวรรณกรรมทอ้ งถ่ิน ประเภทตา่ ง ๆ ไมว่ ่าจะเป็นเพลงกล่อมเด็ก เพลงอีแซว หรอื นิทาน 3. เป็ นสื่อกลางระหว่างวดั กับประชาชน ในทอ้ งถิน่ ของไทยมีวดั เป็น ศนู ยก์ ลางในการสรา้ งสรรค์ เผยแพรแ่ ละอนรุ กั ษ์วรรณกรรมทอ้ งถิ่น 4. ควบคุมพฤตกิ รรมของคนในสงั คม เนอ่ื งจากวรรณกรรมทอ้ งถ่ินส่วน ใหญ่มเี นอื้ หาเก่ยี วกบั พทุ ธศาสนา ดงั นนั้ แนวคดิ และคตินิยมต่าง ๆ ที่ปรากฏใน วรรณกรรมทอ้ งถ่นิ จงึ มีสว่ นสาคญั ในการควบคมุ ความประพฤตขิ องคนในสงั คม บทที่ 4 การพูดส่ือสารตามมารยาทของสงั คม ความหมายและความสาคญั ของการพูด

การพดู เป็นพฤตกิ รรมการสอื่ สารดว้ ยการใชภ้ าษาที่ควบค่ไู ปกบั การฟังกล่าวคอื เมอ่ื มีผพู้ ดู กต็ อ้ งมีผฟู้ ัง จงึ จะเกดิ ความสมบรู ณ์ จะขาดฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงไม่ได้ สวนิต ยมาภยั (2525) ไดใ้ หค้ วามหมายของการพดู ไวว้ ่า \"การพดู คือการใช้ ถอ้ ยคา นา้ เสียง และอากปั กิริยา ท่าทาง เพือ่ ถ่ายทอดความคดิ ความรู้ ความรูส้ กึ และความตอ้ งการของผพู้ ดู ใหผ้ ฟู้ ังรบั รู้ และเกิดการตอบสนอง\" จากความหมายดงั กล่าวนี้ จะเห็นไดว้ า่ การพดู เป็นการถา่ ยทอดความรูส้ กึ นึก คิดของตนเองใหผ้ อู้ ่ืนไดร้ บั รู้ เขา้ ใจ โดยอาศยั การฝึกฝน มใิ ช่เกดิ ขนึ้ เองโดยธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นเพียงผใู้ หอ้ วยั วะท่ีใชส้ าหรบั ออกเสยี งมาเทา่ นน้ั คนเราถา้ อวยั วะทใ่ี ช้ สาหรบั ออกเสียงไมบ่ กพรอ่ ง กส็ ามารถเปลง่ เสียงออกมาได้ ซึง่ เป็นเร่ืองของธรรมชาติ แต่ทีจ่ ะเปล่งเสยี งออกมาใหเ้ ป็นภาษาทส่ี อื่ สารกนั เขา้ ใจในหม่ชู นดว้ ยกนั นนั้ ตอ้ ง อาศยั การเรียนรู้ คอื เรยี นรูถ้ งึ ภาษาท่ใี ชพ้ ดู จากนั ในหมเู่ หล่า และอาศยั การฝึกฝน เพอื่ ใหพ้ ดู ไดด้ ี บรรลจุ ดุ ม่งุ หมายของการพดู และใชก้ ารพดู เป็นประโยชนใ์ นการ ดารงชีวติ ได้ สรุปแลว้ การพดู กค็ อื พฤตกิ รรมการสือ่ สารของมนษุ ย์ โดยอาศยั ภาษา ถอ้ ยคา นา้ เสยี ง ตลอดจนกริ ิยาทา่ ทาง และอื่น ๆ เพื่อถา่ ยทอดความรูส้ กึ นกึ คดิ ของตนแก่ ผอู้ น่ื ใหเ้ กิดผลตอบสนองตามท่ี การกล่าวทักทายและโต้ตอบ การทกั ทายปราศรยั คนไทยไดช้ ่ือว่าเป็นผทู้ ่ีมอี ธั ยาศยั ไมตรอี นั ดี เพราะโดยท่วั ๆ ไปแลว้ มกั จะมี หนา้ ตายมิ้ แยม้ แจ่มใส รน่ื เริง รูจ้ กั โอภาปราศรยั เวลาที่คนไทยพบปะผใู้ ดแมจ้ ะเป็น คนแปลกหนา้ กต็ าม มกั จะยมิ้ ใหก้ อ่ น เป็นการทกั ทายปราศรยั หรือการใชอ้ วจั น ภาษา

การทกั ทายปราศรยั ควรปฏิบัตดิ งั นี้ 1. ยมิ้ แยม้ แจม่ ใสดว้ ยความรูส้ กึ ยินดที ่ีไดพ้ บผทู้ เี่ ราทกั ทาย 2. กลา่ วคาปฏิสนั ถารหรือทกั ทายตามธรรมเนียมท่ยี อมรบั กนั ในสงั คม เช่น “สวสั ดคี รบั /ค่ะ” 3. แสดงกริยาอาการประกอบคาปฏสิ นั ถาร กรยิ าทีแ่ สดงออกนนั้ ขนึ้ อยกู่ บั ฐานะ ของบคุ คลท่เี ราทกั ทาย การแนะนาตนเองและผูอ้ น่ื 1. การพดู แนะนาตนในกล่มุ ของนกั เรียน เป็นการพดู ทีม่ จี ุดประสงคเ์ พอื่ ทาความรู้ จกั กนั ในหม่เู พือ่ น หรอื แนะนาตวั ในขณะทากจิ กรรม ควรระบรุ ายละเอียดสาคญั คอื 1) ช่ือและนามสกลุ 2) รายละเอียดเก่ยี วกบั การศกึ ษา 3) ท่ีอย่ปู ัจจบุ นั และภมู ลิ าเนาเดิม 4) ความสามารถพิเศษ 5) กิจกรรมที่สนใจ และตอ้ งการมีสว่ นรว่ มปฏิบตั กิ จิ กรรม 2. การพดู แนะนาตนเพอื่ เขา้ ปฏิบตั งิ าน หรอื รายงานตวั ต่อผบู้ งั คบั บญั ชา ควรระบถุ ึงประเด็นสาคญั คือ 1 ) ชื่อและนามสกลุ 2 ) รายละเอยี ดเก่ยี วกบั การศึกษา 3 ) ตาแหน่งหนา้ ทีท่ ี่จะเขา้ มาปฏบิ ตั ิ 4 ) ระยะทางทจี่ ะเริม่ ปฏิบตั ิหนา้ ท่ี

3. การแนะนาบคุ คลอน่ื ในงานสงั คมหรอื ในที่ประชมุ โดยใหร้ ายละเอยี ด ดงั นี้ 1 ) ชอื่ และนามสกลุ ของผทู้ ่เี ราแนะนา 2 ) ความสามารถของผทู้ เ่ี ราแนะนา 3 ) ไม่ควรแนะนาอยา่ งยดื ยาว และไม่นาเรอื่ งส่วนตวั ที่จะทาใหผ้ อู้ น่ื อบั อาย หรือตะขิดตะขวงใจมาพดู 4 ) การแนะนาบคุ คลใหผ้ อู้ ืน่ รูจ้ กั ตอ้ งใชค้ าพดู เพ่อื สรา้ งไมตรที ี่ดี ระหว่างบคุ คลทงั้ สองฝ่าย การพูดตอบรบั และปฏเิ สธ การพดู กลา่ วตอ้ นรบั ในโอกาสท่ีมีผมู้ าใหม่ เชน่ เจา้ หนา้ ที่ใหม่ นกั ศกึ ษาใหม่ หรือผทู้ ี่มา เย่ียมเพ่อื พบปะชมกจิ การ ในโอการเชน่ นี้ จะตอ้ งมกี ารกลา่ วตอ้ นรบั เพื่อแสดง อธั ยาศยั ไมตรีและแสดงความยนิ ดี ผกู้ ลา่ วตอ้ นรบั ควรเป็นผมู้ ฐี านะ มเี กียรติ เหมาะสมกบั ฐานะผมู้ าเยอื น ถา้ เป็นการกลา่ วตอ้ นรบั นิสติ หรือนกั ศกึ ษาใหมก่ ม็ งุ่ หมายที่จะใหค้ วามอบอนุ่ ใจ และใหท้ ราบถงึ สง่ิ ที่ควรปฏิบตั ริ ว่ มกนั ในสถานศึกษานน้ั ๆ เป็นตน้ การกลา่ วตอ้ นรบั ควรยึดแนวปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1. เรม่ิ ดว้ ยการกล่าวแสดงความยินดที ไี่ ดม้ ีโอกาสตอ้ นรบั ผมู้ าใหม่ (ผมู้ า เยี่ยม หรอื ผมู้ ารว่ มงาน) 2. กล่าวถงึ จดุ ม่งุ หมายในการเย่ยี มเยอื น เพือ่ ใหเ้ ห็นวา่ ฝ่ายตอ้ นรบั นนั้ เห็นความสาคญั ของการเยย่ี ม ถา้ เป็นผรู้ ว่ มงาน ก็ควรกล่าวถงึ หนา้ ท่กี ารงาน กจิ การ ในปัจจบุ นั ท่ีมคี วามสาคญั และเก่ยี วขอ้ งกบั ผมู้ าใหม่ 3. แสดงความหวงั ว่าผมู้ าเย่ียมจะไดร้ บั ความสะดวกสบายระหว่างท่ีพานกั

อยใู่ นสถานทน่ี นั้ หรือระหวา่ งการเยี่ยมเยอื นนน้ั 4. สรุปเป็นทานองเรียกรอ้ งใหอ้ าคนั ตกุ ะกลบั มาเยย่ี มเยือนอีก ส่วนใน กรณีท่ีเป็นผมู้ าใหมก่ ห็ วงั วา่ จะไดร้ ว่ มงานกนั ตลอดไปดว้ ยความราบรื่น การพดู ปฏิเสธ การพดู ปฏิเสธ คอื การแสดงความหมายตรงกนั ขา้ มกบั ยืนยนั รบั ยอมรบั ขอ้ ปฏิบตั ิในการพดู ปฏเิ สธ การพดู ปฏเิ สธต่อการเชญิ ( ไม่รบั , ไม่ยอมรบั ) 1. ใชว้ าจาสภุ าพ น่มุ นวล 2. อา้ งเหตผุ ลประกอบการปฏเิ สธ 3. แสดงทา่ ทเี สยี ดายทไ่ี ม่ไดไ้ ปรว่ มงาน 4. กลา่ วขอบคณุ ทใี่ หเ้ กยี รตเิ ชิญไปรว่ มงาน 5. ฝากความหวงั ว่าคงจะไดไ้ ปรว่ มงานในโอกาสหนา้ การพดู ปฏเิ สธขอ้ กลา่ วหา หรอื ตามคาพดู ของผอู้ า้ ง 1. ใชว้ าจาสภุ าพ หนกั แน่น จริงจงั 2. กลา่ วแกข้ อ้ หาพรอ้ มหลกั ฐานอา้ งองิ 3. แสดงความเสียใจท่ีถกู กลา่ วหา แต่ตอ้ งควบคมุ สติใหด้ ี 4. วงิ วอนขอความเป็นธรรมกบั เจา้ หนา้ ทที่ ่ีเก่ยี วขอ้ งทกุ ฝ่าย 5. ขอความสงสารและเหน็ ใจจากผกู้ ล่าวหาและสงั คม การพูดแสดงความยินดแี ละความเสยี ใจ ๑. การพูดแสดงความยินดี ในบางโอกาสผทู้ ่ีเราพบปะหรอื คนุ้ เคยอาจจะประสบโชคดี มคี วามสมหวงั หรือ มี

ความเจริญกา้ วหนา้ ในชวี ิตและการงานเราควรจะตอ้ งพดู แสดงความยินดีเพอ่ื รว่ ม ชน่ื ชมในความสาเร็จนน้ั ๑.๑ วิธีการ ๑) ใชค้ าพดู ใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสม ๒) ใชน้ า้ เสียง ท่าทาง สภุ าพ น่มุ นวล ใบหนา้ ยมิ้ แยม้ แจ่มใส ๓) พดู ชา้ ๆ ชดั ถอ้ ยชดั คา พดู สนั้ ๆ ใหไ้ ดใ้ จความและประทบั ใจ ๑.๒ ตวั อย่าง “ขอแสดงความยนิ ดกี บั คณุ ทีไ่ ดร้ บั ความไวว้ างใจจากชาวบา้ นในหมบู่ า้ นของเรา เลือกคณุ ดว้ ยคะแนนเสยี งท่วมทน้ มาก ขอใหค้ ณุ เป็นผนู้ าของพวกเรานาน ๆ สรา้ ง ความ เจริญแกช่ มุ ชนของพวกเราตลอดไปนะครบั ผมดใี จดว้ ยและขอสนบั สนนุ อยา่ ง เต็มกาลงั ความสามารถเลย” ๒. การพูดแสดงความเสียใจ ในบางโอกาสญาติพีน่ อ้ งหรอื คนที่เรารูจ้ กั ประสบเคราะหก์ รรมผิดหวงั เจบ็ ป่วย หรือ เสยี ชีวติ เป็นมารยาทท่ดี ที เ่ี ราควรพดู ปลอบใจใหก้ าลงั ใจแก่ผปู้ ระสบเคราะหก์ รรม เหลา่ นนั้ หรอื พดู ปลอบใจแก่ญาติพี่นอ้ งของผเู้ คราะหร์ า้ ยนนั้ เพอ่ื ใหเ้ ขาเกดิ กาลงั ใจ ตอ่ ไป ๒.๑ วิธีการ ๑. พดู ถงึ เหตกุ ารณท์ ี่เกิดขนึ้ ใหเ้ ป็นเรื่องปกติ ๒. แสดงความรูส้ กึ ห่วงใยรว่ มสขุ รว่ มทกุ ขด์ ว้ ย ๓. พดู ดว้ ยนา้ เสยี งแสดงความเศรา้ สลดใจ ๔. พดู ดว้ ยวาจาทีส่ ภุ าพ ๕. ใหก้ าลงั ใจและยนิ ดีทจี่ ะช่วย ๒.๒ ตวั อย่าง

\"ดฉิ นั ขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งท่ีทราบว่าคณุ พ่อของคุณถงึ แกก่ รรมอยา่ ง ปัจจบุ นั ทนั ดว่ นอยา่ งนี้ ท่านไม่น่าจากเราไปรวดเรว็ เลยนะ ดฉิ นั เหน็ ใจคณุ จริง ๆ ขอใหค้ ณุ ทา ใจดี ๆ ไวค้ วามตายเป็นส่งิ ท่ไี มแ่ นน่ อนเลย จะใหด้ ฉิ ันช่วยอะไรกบ็ อกมาเลยไมต่ อ้ ง เกรงใจ ดิฉนั ยินดีชว่ ยดว้ ยความเตม็ ใจจรงิ ๆ ” บทที่ ๕ การพูดสื่อสารใหช้ วี ิตประจาวัน การพดู สรุปความ ความหมายของการสรุปความจากการฟังและการดู หมายถงึ การจบั ใจความสาคญั จากเรื่องท่ฟี ังและดู แลว้ นามาเรียบเรียงใหมอ่ ย่างสนั้ ๆ ใหร้ ูว้ า่ เป็นเร่อื งอะไร มีใครทาอะไร ท่ไี หน เมือ่ ไร อย่างไร ประโยชนข์ องการสรุปความจากการฟังและการดู ไดแ้ ก่ ๑.เพ่ือการนาไปใช้ เช่น เพือ่ ขอ้ มลู ทไี่ ดม้ าเขยี นเรยี งความ เพ่อื ชว่ ยทบทวนความรู้ ความคิด และความจา เพอ่ื นาใจความสาคญั ไปใชใ้ นการตดิ ต่อสอื่ สาร ช่วยใหก้ ารฟังและการดไู ดผ้ ลดีย่ิงขนึ้ ๒.เพื่อความเพลิดเพลิน ไดแ้ ก่ การรบั สารเพ่ือความสนกุ สนาน ผ่อนคลายความตงึ เครยี ด ไมเ่ นน้ ความสาคญั ของเนอื้ หาสาระ ไมจ่ าเป็นตอ้ งมสี มาธิมากนกั ในการรบั สาร ๓.เพือ่ ความจรรโลงใจ ไดแ้ ก่ การรบั สารทีก่ ่อใหเ้ กดิ สตปิ ัญญาหรอื ชว่ ยยกระดบั จิตใจใหส้ งู ขนึ้ ผรู้ บั สารตอ้ งมวี จิ ารณญาณทจี่ ะเชอ่ื หรือปฏบิ ตั ิในสิ่งที่ ถกู ตอ้ ง

๔.เพื่อประเมนิ ผลและวจิ ารณ์ ไดแ้ ก่ การรบั สารทตี่ อ้ งอาศยั ความรูอ้ ย่างละเอยี ด ถกู ตอ้ งในเรื่องท่จี ะประเมนิ หรอื วจิ ารณ์ นอกจากนนั้ ตอ้ งมคี วามเป็นธรรม ไม่มีอคติ ต่อผสู้ ง่ สารหรือตวั สาร กระบวนการฟังและการดู มี ๖ ข้ันตอนดังนี้ ๑.ขนั้ ไดย้ นิ หรือเห็น เป็นขนั้ ตน้ ของการรบั สาร เมอ่ื มีคลน่ื เสียงมากกระทบกบั โสตประสาทหรอื ไดเ้ หน็ ภาพท่ปี รากฏอย่ใู นสายตา ๒.ขนั้ พิจารณาแยกแยะเสยี งท่ไี ดย้ ินหรือภาพทีเ่ ห็น วา่ เป็นเสยี งอะไรหรอื ภาพ อะไร คน สตั ว์ สิง่ ของ หรือปรากฏการณท์ าง ธรรมชาติ ๓.ขนั้ ยอมรบั เป็นขนั้ ตอนท่ีตอ่ จากการพจิ ารณาแลว้ ผฟู้ ังหรอื ผดู้ อู าจยอมรบั หรือปฏิเสธวา่ ขอ้ ความที่ไดย้ ินหรอื ภาพที่เหน็ สื่อความหมายได้ หรอื ไม่ ๔.ขนั้ ตคี วาม เป็นขนั้ ที่ผฟู้ ังหรอื ผดู้ แู ปลความหมายหรือตีความหมายของส่ิงที่ ไดย้ ินหรอื ไดเ้ หน็ ใหต้ รงกบั จดุ ประสงคข์ องผสู้ ่งสารที่ตอ้ งการสื่อถงึ ผรู้ บั สาร เน่ืองจาก สารท่สี ่งมาอยใู่ น รูปของความหมายโดยนยั

๕.ขนั้ เขา้ ใจ เป็นขนั้ ท่ผี ฟู้ ังหรอื ผดู้ ทู าความเขา้ ใจกบั ขอ้ ความท่ีไดย้ ินหรือภาพที่ ไดเ้ หน็ ๖.ขนั้ นาไปใช้ เป็นขนั้ ท่ีพจิ ารณาจนเขา้ ใจ อยา่ งถ่องแทแ้ ลว้ ผฟู้ ังและผดู้ กู จ็ ะมี ปฏกิ ริ ิยาตอบสนอง หลกั การฟังและการดทู ี่ดี ไดแ้ ก่ ๑.ฟังและดใู หต้ รงจดุ ประสงค์ จะทาใหผ้ รู้ บั สารรูจ้ กั เลอื กฟังหรือดใู นสิง่ ที่ ตอ้ งการและทาใหต้ งั้ ใจรบั สารเพอ่ื ใหไ้ ดป้ ระโยชนต์ ามจดุ มงุ่ หมายท่ี กาหนด ๒.ฟังและดดู ว้ ยความพรอ้ ม คือ ตอ้ งมคี วามพรอ้ มทงั้ ทางรา่ งกาย จติ ใจ และ สติปัญญา ๓.ฟังและดอู ย่างมีสมาธิ คอื มีความตงั้ ใจ จดจ่ออยกู่ บั เรือ่ งท่ีฟังหรือดู ไม่ ฟุ้งซา่ นหรือคิดถงึ เร่อื งอนื่ ๔.ฟังและดดู ว้ ยความกระตอื รอื รน้ คอื มีความสนใจ เห็นประโยชนห์ รือคณุ ค่า ของเรอ่ื งที่ฟังหรอื ดู ๕.ฟังและดโู ดยไม่มีอคติ คอื ไมม่ ีความลาเอียง ซง่ึ ความลาเอยี งเกิดจากความ รกั ความโกรธ ความหลง

๖.ฟังและดโู ดยใชว้ ิจารณญาณ จะนาสงิ่ ท่ีฟังหรอื ดมู าประเมนิ ว่ามปี ระโยชน์ หรอื น่าเช่ือถือมากนอ้ ยแค่ไหน หลกั การฟังและดสู ารจากสื่อมวลชน ไดแ้ ก่ ๑.การเลือกสอื่ ทจี่ ะฟังและดู ในปัจจบุ นั ท่สี อ่ื มากมายไดร้ บั การคดั เลอื กเพอ่ื นามาใชเ้ ผยแพรข่ อ้ มลู ขา่ วสาร วทิ ยุ เป็นสื่อท่ใี ชใ้ นชีวติ ประจาวนั มากทส่ี ดุ สามารถ เขา้ ถึงทกุ ชมุ ชนในเวลาอนั รวดเรว็ ราคาถกู โทรทศั น์ วีดีทศั น์ ซดี ี เป็นสื่อที่ไดร้ บั ความ นิยมเป็นอยา่ งมาก แต่อาจมีไมท่ ่วั ถงึ ทกุ ชมุ ชน เนอื่ งจากราค่อนขา้ งแพง และยงั เป็น สอ่ื ทมี่ องเหน็ ภาพ สอื่ อนิ เทอรเ์ นต็ เป็นสื่อทก่ี าลงั ไดร้ บั ความนิยมกนั ในปัจจบุ นั แต่ก็มี ใชเ้ ฉพาะกล่มุ บคุ คลเทา่ นน้ั ๒.การเลือกเรอื่ งหรอื รายการทจี่ ะฟังและดู กลมุ่ ผฟู้ ังมคี วามสนใจเร่อื งราวทจี่ ะ ฟังแตกต่างกนั เช่นสนใจฟังเพลง ละคร ขา่ วสาร สารคดี ตลอดจนการวเิ คราะห์ เหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง ๓.มวี จิ ารณญาณ สื่อมวลชนต่าง ๆ นาเสนอรายการมากมายหลายรูปแบบ ผฟู้ ังจะตอ้ งใชว้ ิจารณญาณ แยกแยะวา่ รายการใดมีประโยชน์ เหมาะสมกบั เพศ วยั แยกแยะองคค์ วามรู้ ขอ้ เทจ็ จริง ๔.การแสดงปฏิกิรยิ าตอบสนอง รายการวทิ ยหุ รอื โทรทศั นบ์ างรายการ ผฟู้ ัง และผดู้ สู ามารถมสี ่วนรว่ มในกระบวนการสอ่ื สารไดด้ งั นนั้ หากมโี อกาสไดแ้ สดงความ คดิ เหน็ ควรแสดงความคิดเห็นบา้ งตามโอกาส สว่ นประกอบของข้อความที่ฟังและดู ไดแ้ ก่ ๑.ใจความ หมายถึง ขอ้ ความท่ีสาคญั ที่สดุ ของเรอ่ื งจะตดั ออกไมไ่ ด้ ถา้ ตดั ออก จะทาใหส้ าระสาคญั ของเร่ืองเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ

๒.พลความ หมายถงึ ขอ้ ความที่มคี วามสาคญั นอ้ ยกว่าใจความ มีหนา้ ท่ี ขยายใจความใหช้ ดั เจนขนึ้ ขัน้ ตอนการสรุปความจากการฟังและการดู ไดแ้ ก่ ๑.ขนั้ รบั สารใหเ้ ขา้ ใจ เม่ือฟังและดเู ร่ืองใดแลว้ ตอ้ งทาความเขา้ ใจ จบั ประเด็น สาคญั หรือแนวคิดสาคญั ของเรอื่ งทผี่ สู้ ง่ สารรูเ้ รื่อง เขา้ ใจ วา่ เป็นเรอ่ื งอะไร ๒.ขนั้ คดิ สรุปความ เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจสาระสาคญั ของเรือ่ งทงั้ หมด ดว้ ยการตงั้ คาถามตอ่ จากการจบั ประเด็นสาคญั ของเร่ืองวา่ เรื่องนน้ั เก่ยี วกบั ใคร ทาอะไร ท่ีไหน เม่ือไร อย่างไร โดยสรุปใจความสาคญั ๓.ประโยชนห์ รือขอ้ คดิ ทไี่ ดจ้ ากการฟังและดู หลงั จากสรุปเรื่องทงั้ หมดไดแ้ ลว้ เพอื่ ใหไ้ ดป้ ระโยชนจ์ ากการฟังและดยู ง่ิ ขนึ้ ผรู้ บั สารควรติดต่อวา่ เราไดอ้ ะไรจากเรื่อง นนั้ บา้ ง จะเอาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไร ๔.ขนั้ เขียนสรุป นาใจความสาคญั มาเรียบเรียงใหมด่ ว้ ยสานวนของผสู้ รุปเอง อยา่ งสน้ั ๆ การสรุปความจากสารประเภทต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ๑.สารทีใ่ หค้ วามรู้ มที งั้ ความรูท้ ่วั ไปท่ีไดย้ ินไดเ้ หน็ ในชวี ิตประจาวนั การทางาน จากบคุ คลรอบขา้ ง ขา่ วสาร สารคดี บทวเิ คราะหข์ ่าว พจิ ารณาใหร้ อบคอบ

๒.สารทใี่ หค้ วามบนั เทิง จะไมเ่ นน้ ท่ีความสาคญั ของเนอื้ หาสาระ จะเนน้ ที่ ความสนกุ สนาน เพลิดเพลินแกผ่ รู้ บั สาร ๓.สารทีใ่ หค้ วามจรรโลงใจ กอ่ ใหเ้ กดิ สตปิ ัญญา หรือช่วยยกระดบั จิตใจของ ผรู้ บั สารใหส้ งู ขนึ้ ผรู้ บั สารตอ้ งมวี จิ ารณญาณท่เี ชื่อหรือปฏบิ ตั ใิ นสิ่งท่ี ถกู ตอ้ ง ๔.สารท่โี นม้ นา้ วใจ จะออกมาในลกั ษณะชกั ชวนใหเ้ ห็นดีเหน็ งามหรือใหโ้ อน อ่อนตาม ใหเ้ ชอื่ หรอื ปฏิบตั ิตามในส่งิ ที่ผสู้ ่งสารตอ้ งการ ผฟู้ ังหรือผดู้ สู ารตอ้ งมี วจิ ารณญาณใหร้ อบคอบ เช่น การดโู ฆษณาสินคา้ การพดู แสดงความคดิ เหน็ การพดู แสดงความคดิ เหน็ เป็นการพดู ชแี้ จงถึงขอ้ เทจ็ จรงิ หลกั การ เหตผุ ล ขอ้ สนั นิษฐาน ขอ้ วินจิ ฉยั ขอ้ เสนอแนะ และการประเมนิ คา่ เก่ยี วกบั เรอ่ื งใดเรือ่ งหน่ึง ท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั การดาเนินชีวิตประจาวนั อยา่ งหลกี เลีย่ งไม่ได้ ดงั นน้ั โอกาสทจ่ี ะแสดง ความคิดเห็นจงึ อาจเกิดขนึ้ ไดต้ ลอดเวลา เป็นตน้ ว่า อาจตอ้ งพดู แสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั การเรียน การใชจ้ า่ ยเงิน การประพฤตปิ ฏิบตั งิ าน ตลอดจนอาจแสดงความ คิดเหน็ ไปถึงสภาพสงั คม เศรษฐกจิ การเมอื ง และวฒั นธรรม ๑. เป็นผมู้ คี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเร่ืองนนั้ ๆ เป็นอย่างดี ๒.สนใจต่อปัญหา หรอื เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ อยา่ งกวา้ งขวาง

๓. เป็นผมู้ เี หตผุ ลสามารถใชด้ ลุ พินิจ หรือใชป้ ัญญาพจิ ารณาเรอื่ งตา่ ง ๆ ดว้ ย ความเป็นกลาง ปราศจากอคติ ไมใ่ ชอ้ ารมณ์ ไม่เดา ไม่คาดคะเน ๔. เป็นผมู้ คี วามกลา้ สามารถแสดงออกถึงความคดิ ทมี่ ีอย่ใู นตนเองใหผ้ อู้ น่ื ทราบ ๑. กลา่ วถงึ ความเดมิ เหตกุ ารณ์ หรอื การกระทาของบคุ คล ๒. ชีใ้ หเ้ ห็นขอ้ บกพรอ่ งในเรอ่ื งดงั กล่าว และผลเสยี ที่อาจจะเกดิ ขนึ้ โดย ยกตวั อย่าง ยกเหตผุ ล ขอ้ อา้ งอิง ขอ้ โตแ้ ยง้ ตา่ ง ๆ มาอา้ งอิงคดั คา้ น ถา้ สามารถ ใชเ้ หตผุ ลทางหลกั วิชามาประกอบ จะทาใหน้ า่ เช่อื ถือยิ่งขนึ้ ๓. เสนอแนวปฏบิ ตั ิท่ดี ีกว่า เพอื่ เป็นการสรา้ งสรรค์ ๔. จบดว้ ยการกล่าวยา้ ความคิด อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เช่น ฝากความหวงั การ เรยี กรอ้ ง เชิญชวน ๑. ควรแสดงความคดิ เห็นใหเ้ ป็นตวั ของตวั เอง อยา่ ตกเป็นเครื่องมือของ ผอู้ ่ืน โดยหวงั ผลประโยชน์ ควรยดึ เอาความจรงิ เป็นทตี่ งั้ ๒. แสดงความเช่อื ม่นั ในสิง่ ทแ่ี สดงความคิดเหน็ อย่าใหเ้ ป็นไปในลกั ษณะโอ้ อวด โม้ ยกตนขม่ ท่าน หรอื อวดวา่ เป็นผรู้ ู้ ๓. แสดงความคิดเหน็ ใหต้ รงประเดน็ ไม่เอาเร่อื งส่วนตวั มากลา่ วตาหนิ หรอื ทาใหเ้ กิดความเสอื่ มเสียแกผ่ ทู้ ก่ี ลา่ วถึง

การพูดโทรศัพทต์ ิดต่อกิจธุระ การพดู โทรศพั ทม์ คี วามสาคญั ในงานอาชพี การรูม้ ารยาทในการพดู โทรศพั ท์ เป็นส่วนหนึ่งทีม่ ปี ระโยชนต์ อ่ การทางาน มารยาทการพดู โทรศพั ทโ์ ดยท่วั ไปมีดงั นี้ ๑. นา้ เสยี งเป็นธรรมชาติ และสภุ าพออ่ นโยน ๒. ไมค่ วรพดู ชา้ หรอื เร็วเกนิ ไป ๓. ไมพ่ ดู ความลบั หรอื เรื่องไรส้ าระ ๔. ไม่ผกู ขาดการพดู เพยี งฝ่ายเดยี ว ๕. เป็นผฟู้ ังทด่ี ี ไม่พดู แทรกหรือขดั จงั หวะ ๖. หากตอ้ งการตดั บทควรพดู อย่างสภุ าพและน่มุ นวล ๗. รบั โทรศพั ทแ์ ละจบการพดู “สวสั ดคี รบั (ค่ะ)” ทกุ ครง้ั ๘. กลา่ วคา “ขอโทษ” ทกุ ครงั้ ที่ตอ่ ผดิ ๙. หลกี เลี่ยงคาถามต่อไปนี้ - ท่ีน่นั ท่ีไหน - คณุ ตอ้ งการอะไร - นน้ั ใครพดู - จะพดู กบั ใคร - มอี ะไรอีกไหม ๑๐. ไมร่ บั ประทานอาหารขณะพดู โทรศพั ท์ ๑๑. วางหนู มิ่ นวลเมอื่ เลิกใชโ้ ทรศพั ท์

๑๒. เม่อื ผโู้ ทรเขา้ ตอ้ งการฝากขอ้ ความความ ควรจดขอ้ ความใหเ้ ป็นระเบียบ เขา้ ใจ งา่ ย ๑๓.ปัจจบุ นั การใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื ไดร้ บั ความนยิ ม เพราะสะดวกรวดเรว็ จึงมีความ จาเป็นอย่างยิง่ แตใ่ นขณะเดยี วกนั ก็อาจสรา้ งความราคาญใหก้ บั ผอู้ ืน่ โดยเฉพาะ ในขณะที่ประชมุ การปฏบิ ตั ิงานทเ่ี ป็นพธิ ีการ หรือเป็นการสนทนากบั บคุ คลสาคญั ซ่งึ ควรหลกั เลี่ยงการใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถือ..ควรใชบ้ รกิ ารรบั ฝากขอ้ ความเพอื่ ไมใ่ หร้ บกวน ผอู้ น่ื การพดู โทรศพั ทเ์ ป็นส่งิ สาคญั ในการพดู ติดตอ่ กจิ ธรุ ะ ผพู้ ดู ตอ้ งคานึงถงึ หลกั การ และมารยาทการพดู โทรศัพท์ เพือ่ สมั พนั ธภาพทด่ี ีระหวา่ งบุคคลในสงั คม บทที่ ๖ การพดู ในโอกาสต่างๆ ความหมายของการพดู ในโอกาสต่างๆ การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ หมายถึง การสอ่ื สารของบคุ คลหรอื กลมุ่ บคุ คลในโอกาสที่ รว่ มงานกนั หรือทากจิ กรรมรว่ มกนั โดยมวี ตั ถุประสงคอ์ ย่างใดอย่างหน่ึง ตวั อย่างการ พดู ในโอกาสตา่ ง ๆ หลักการสาคัญของการพดู ในโอกาสตา่ งๆ การพดู ในโอกาสต่าง ๆ เป็นการพดู ที่ปรากฏอย่ใู นชีวิตประจาวนั ตามสถานการณ์ ต่าง ๆ ท่มี อี งคป์ ระกอบสาคญั ที่ผพู้ ดู จะตอ้ งคานึงถงึ อย่เู สมอ ๑. กาละ หมายถึง วนั เวลา ทีก่ ารพดู เกิดขนึ้ เช่น ตอนเชา้ สาย บ่าย คา่ หรอื ระหว่างการรบั ประทานอาหาร การน่งั ฟังบรรยาย

๒. เทศะ หายถึง สถานท่ีทกี่ ารพดู นน้ั ไดก้ ระทาหรอื แสดงออกเชน่ ในสานกงาน ในหอ้ งประชมุ ในหอ้ งรบั แขก ในครวั ในโรงภาพยนตร์ ในหอ้ งเรียน ฯลฯ ๓. สัมพนั ธภาพ หมายถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างผพู้ ดู กบั ผฟู้ ัง เชน่ ความสนิท สนมความเป็นเพ่ือน พนกั งานกบั นายจา้ ง ครูกบั ศิษย์ บิดากบั มารดา หรอื บิดา- มารดากบั บตุ ร ประชาชนผมู้ าตดิ ตอ่ ราชการกบั เจา้ หนา้ ท่ี ฯลฯ สงั คมไดก้ าหนด ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คลไวต้ ามครรลองของวฒั นธรรมขนบธรรมเนียมประเพณี ๔. จุดมงุ่ หมายของการพดู หมายถึง ความตอ้ งการในเจตนาในการพดู ทงั้ ของ ผพู้ ดู และผฟู้ ัง เช่น เพื่อสรา้ งความเขา้ ใจที่ถกู ตอ้ ง เพ่ือหาขอ้ มลู และวธิ ีการในการ ปฏบิ ตั ิ เพือ่ โนม้ นา้ วใจเพอ่ื ใหเ้ กิดการคลอ้ ยตาม เหน็ ดว้ ย เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสบายใจ อบอนุ่ เพอ่ื ใหเ้ กิดกาลงั ใจ ฮึกเหิม ฯลฯ ๕. เนื้อหาของการพดู หมายถงึ สารทผี่ พู้ ดู และผฟู้ ังพดู โตต้ อบกนั โดยอาศยั ระบบสญั ลกั ษณท์ งั้ อวจั นภาษาและวจั นภาษา เนอื้ หาของการพดู ควรจะมีความ ต่อเนือ่ ง ตอบไดซ้ ึง่ กนั และกนั ระหวา่ งคสู่ นทนาหากเป็นการพดู ตอ่ กลมุ่ การพดู ต่อ สาธารณชนนอกจากความตอ่ เนอ่ื งแลว้ ควรจะมีความกระจ่างชดั เจนความถกู ตอ้ ง ดา้ นการใชภ้ าษา เรียงลาดบั ความไดด้ ี ฯลฯ ๖. โอกาส หมายถงึ เหตกุ ารณห์ รือสภาพแวดลอ้ มทีท่ าใหเ้ กิดการพดู นน้ั ๆ โดย มกั จะเก่ยี วพนั กบั กาลเทศะ ซงึ้ ทาใหเ้ กดิ การพดู ตามโอกาสขนึ้ อนั เป็นเรอื่ ง เฉพาะเจาะจงลงไป เชน่ การกล่าวอวยพรเนอื่ งในวนั ขนึ้ ปีใหม่ การกล่าวอวยพรคบู่ ่าว สาวในงานสมรส การกลา่ วขอบคณุ วิทยากร การกล่าวแสดงความคดิ เหน็ ในการ พฒั นาการขายผลติ ภณั ฑข์ องบริษทั ฯลฯ ๗. มารยาท หมายถึง แนวทางในการออกแสดงของพฤตกิ รรมการพดู หรือ กฎเกณฑ์ ขนบธรรมเนยี ม ตลอดจนคณุ ธรรมประจาใจทงั้ ของผพู้ ดู และผฟู้ ัง เชน่ ใน

การกล่าวขอบคณุ วิทยากร ซ่งึ เชิญมาบรรยาย แมว้ า่ การบรรยายจะน่าเบ่อื หน่ายอยู่ บา้ ง ผกู้ ลา่ วขอบคณุ ก็ไมค่ วนพดู กระทบกระเทียบตาหนิ เยย้ หยนั และสรุปจบลงดว้ ย คาขอบคณุ อนั ไพเราะ เพราะจนแสดงถงึ ความไม่จรงิ ใจของผพู้ ดู และถือว่าไม่ เหมาะสมวฒั นธรรมไทย เป็นตน้ องคป์ ระกอบทงั้ ๗ ประการนี้ จะเป็นตน้ กาหนดลกั ษณะภาษาทใ่ี ชใ้ นการพดู ทกุ ระดบั การพดู ในแต่ละสถานการณจ์ ะมีความแตกตา่ งกนั ออกไปกเ็ พราะความแตกตา่ งของ องคป์ ระกอบเหล่านนี้ ่นั เอง แนวเนือ้ หาท่ีใช้พูดในโอกาสต่าง ๆ การศกึ ษาแนวเนอื้ หาท่ีใชพ้ ดู แต่ละโอกาส มีประโยชนส์ าหรบั การพดุ ทงั้ ท่เี พราะ ไมว่ า่ ผพู้ ดุ จะมโี อกาสเตรียมตวั ลว่ งหนา้ มากหรอื นอ้ ยเพียงใดก็ตาม แนวเนอื้ หาจะ เป็นเสมอื นเขม็ ทิศทจี่ ะชวี้ ่าควรจะพดู ถงึ สิ่งใดบา้ ง จึงจะเหมาะกบั โอกาสนนั้ ๆ แนวเนอื้ หาของการพดู แต่ละกาสมดี งั นี้ ๑. การกล่าวคาแนะนา สว่ นมากจะเป็นการกลา่ วแนะนาผบู้ รรยาย ผอู้ ภิปราย ผโู้ ตว้ าทีหรอื ผเู้ ขา้ สมั มนา เป็นตน้ ความมงุ่ หมายของการแนะนาก็เพือ่ ใหผ้ ฟู้ ัง สนใจ “ผพู้ ดุ ” และ “เร่ืองที่จะพดุ ” ซงึ้ มขี นึ้ ตอนในการแนะนา คือ ๑.๑ กลา่ วทกั ทายผฟู้ ัง เชน่ ทา่ นผฟู้ ังที่เคารพ ทา่ นผฟู้ ังท่ีรกั ทงั้ หลาย ฯลฯ ๑.๒ เรียกรอ้ งความสนใจ โดยกลา่ วยอ่ เก่ียวกบั ตวั ผพู้ ดู วฒุ ทิ างการศกึ ษา (ถา้ จาเป็น) ตาแหน่ง ความสามารถและประสบการณใ์ นเรื่องทีจ่ ะพดู ๑.๓ เรียกรอ้ งใหเ้ กิดความสนใจในเรอ่ื งทพ่ี ดู กล่าวสน้ั ๆ ถงึ ความสาคญั และความ เหมาะสมของเรือ่ งทจี่ ะพดุ เรง่ เรา้ ใหฟ้ ังสนใจทจี่ ะฟัง ๑.๔ ประกาศชอื่ ผพู้ ดู โดยเนน้ เสยี งใหห้ นกั แนน่ ชดั เจน

๑.๕ พยายามแนะนาตวั ปากเปล่า ไม่ควรอา่ นจากเอกสารท่เี ตรยี มไว้ และไม่ควร ทอ่ งจา แต่แนะนาจาก “ความทรงจา” เพ่อื แสดงใหเ้ หน็ วา่ มีความสนใจอยา่ งจรงิ จงั ต่อ ผพู้ ดู ๒. การกลา่ วให้เกียรติหรอื มอบรางวลั เมือ่ มีการมอบทนุ ใหร้ างวลั ให้ เกยี รติยศ หรอื ทาพธิ ีระลกึ ถงึ คณุ งามความดีแกผ่ ใู้ ด มักจะมีการพดู เพ่อื ใหเ้ กยี รตแิ ก่ผู้ ไดร้ บั ผล หรอื เกยี รติหรอื เกียรตแิ ห่งความดีนน้ั ปกตจิ ะพดู ประมาณ ๒-๓ นาที มี หลกั เกณฑ์ ดงั นี้ ๒.๑ กล่าวถึงเหตผุ ลในการมอบ โดยกลา่ วถงึ ความสาเร็จ ความดีหรอื ความสามารถ ของผไู้ ดร้ บั วา่ สมควรจะไดร้ บั เกียรตินนั้ อย่างไร ควรเป็นการพดู อย่างจริงใจไม่เสแส รา้ ง ๒.๒ แสดงความพอใจในเกียรติที่มอบให้ และควรระบใุ หช้ ดั ว่าใครคอื บคุ คลทไี่ ดร้ บั เกยี รตินี้ เพอ่ื เป็นการแสดงวา่ ผใู้ หต้ ระหนกั ถึงคณุ ความดีนนั้ อยา่ งแมจ้ รงิ และเพ่อื เป็นสญั ลกั ษณแ์ หง่ เกยี รติคณุ แก่ผไู้ ดร้ บั รางวลั หรอื ของขวญั ๒.๓ มอบของขวญั หรอื รางวลั เมื่อไดก้ ลา่ วตอ่ ผฟู้ ังจบแลว้ โดยหนั ไปพดู กบั ผรู้ บั โดยตรงดว้ ยเสยี งทีด่ งั พอไดย้ นิ กนั ท่วั พรอ้ มกบั มอบของขวญั หรอื ของรางวลั ให้ ๓. การกล่าวตอบการใหเ้ กียรตหิ รอื มอบรางวัล ผทู้ ่ีไดร้ บั ทนุ รางวลั เกยี รตคิ ณุ หรอื การแสดงความระลกึ ถงึ ความดี มกั จะกล่าวตอบรบั ซ่งึ ควรพดู สนั้ ๆ ใหส้ อดคลอ้ ง กบั สภาพในขณะนนั้ โดยอาศยั แนวทางดงั นี้ ๓.๑ แสดงความขอบคุณ แสดงความพอใจในของขวัญหรอื รางวลั นนั้ วา่ นอกจากจะมปี ระโยชนใ์ นตวั ของมนั เองแลว้ ยงั เป็นสญั ลกั ษณแ์ หง่ นา้ ใจ หรอื ความปรารถนาดอี นั สงู สง่ ใชภ้ าษางา่ ย ๆ ชดั เจน จรงิ ใจ

๓.๒ ถ่อมตวั และยกย่องผรู้ ว่ มงาน อย่าโออ้ วดความสามารถ ของตนเกนิ ไป และไมค่ วรถอ่ มตนจนไรค้ วามหมาย ควรสรรสรา้ งชมเชยผรู้ ว่ มงานที่ได้ ช่วยเหลอื เป็นผลสาเร็จ ๓.๓ สรรเสริญผใู้ หข้ องขวญั หรอื รางวลั ดว้ ยความสจุ รติ ใจ กลา่ วถึงผลงานและความปรารถนาดี ๓.๔ กล่าวสรุป โดยเนน้ ถึงความพึงพอใจทไ่ี ดร้ บั ของขวญั หรือ ของรางวลั ในขณะท่กี ลา่ วควรมองไปยงั ของขวญั หรือรางวลั ดว้ ย ๔. การกลา่ วต้อนรับ ในกรณีทมี่ ีบคุ คลสาคญั หรอื คณะบคุ คลมาประชมุ กนั หรือ มาเย่ยี มเยยี นอาจมีการกลา่ วตอ้ นรบั เพือ่ แสดงความปรารถนาดีและใหผ้ มู้ าเยือน รูส้ กึ อบอ่นุ ใจ การพดู ไม่ควรยาวนกั มีการเตรียมลว่ งหนา้ เป็นอย่างดี มีแนวทาง ดงั นี้ ๔.๑ กล่าวแสดงความยินดีแกผ่ มู้ าเยอื น ๔.๒ กลา่ วสรรเสริญหรือยกย่องผมู้ าเยือน เช่น เป็นใคร มี ผลงานดเี ดน่ อะไร มคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งไรกบั ผตู้ อ้ นรบั โดยการอธิบายหนว่ ยงานหรือ งานอย่างย่อ ๆ ๔.๓ แสดงความยนิ ดีท่ีไดใ้ หก้ ารตอ้ นรบั ควรกล่าวเพียงสนั้ ๆ ยา้ การตอ้ นรบั อกี ครงั้ หน่ึง ๔.๔ ขออภยั หากมีส่ิงใดบกพรอ่ งไป และหวงั วา่ ผมู้ าเยือนจะ กลบั มาเยอื นอกี ๕. การกล่าวตอบการต้อนรับ เมอ่ื มีการกล่าวตอ้ นรบั ควรมีการกลา่ วขอบคณุ อย่างสน้ั ๆใหส้ อดคลอ้ งกบั การพดู ตอ้ นรบั นนั้ ๆ ส่วนมากตอ้ งพดู ฉับพลนั เพือ่ ความ ไมป่ ระมาท ควรเตรยี มแนวทางการพดู ไวล้ ่วงหนา้ ดงั นี้

๕.๑ แสดงความยินดที ีไ่ ดม้ าเยอื น ๕.๒ แสดงความขอบคฯุ อยา่ งจริงใจตอ่ เกียรตทิ ไี่ ดร้ บั ๕.๓ กลา่ วอยา่ สรรเสริญฝ่ายที่ใหก้ ารตอ้ นรบั เชน่ กล่าวถึง ช่อื เสยี งขององคก์ ารหรือคณุ งามความดขี องสถาบนั นน้ั ๆ ๕.๔ กล่าวเชอื้ เชิญผตู้ อ้ นรบั ไปเยอื นตนบา้ ง ๖. การกลา่ วในการเข้ารับตาแหน่ง ผทู้ ่ไี ดร้ บั ตาแหน่งใหม่ โดยเฉาะผทู้ ่ีเป็น หวั หนา้ ควรจะเรียกผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชามาประชมุ กนั เพื่อแถลงนโยบายและแผนการ ดาเนนิ งาน ตลอดจนความรูค้ วามคิดของผรู้ บั ตาแหนง่ ใหม่ มีแนวทางการกลา่ วดงั นี้ ๖.๑ กลา่ วยนิ ดีทไ่ี ดร้ บั โอกาสทางานรว่ มกบั ผใู้ ตบ้ งั คบั บัญชา ๖.๒ กลา่ วยกยอ่ ง หรือคณุ คา่ ของสถาบนั ของสถานที่ทต่ี น ทางาน ๖.๓ กล่าวถึงหลกั การ นโยบาย อดุ มคติในการทางานของตน ๖.๔ พดู ใหส้ าคญั แกผ่ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทกุ คน และเชญิ ชวนให้ มารว่ มใจในการทางานเพือ่ ความกา้ วหนา้ ของหน่วยงาน ๗. การกล่าวอวยพร เป็นการแสดงความยินดีแก่งานมงคล เช่น งานมงคล สมรส งานวนั เกดิ งานปีใหม่ งานฉลลองการเลอ่ื นยศ เป็นตน้ ๗.๑ งานมงคลสมรส ผไู้ ดร้ บั เชญิ ใหพ้ ดู ควรใชแ้ นวทางการพูด ดงั นี้ ๗.๑.๑ รูส้ กึ เป็นเกียรตทิ ่ไี ดร้ บั เชิญมากลา่ วอวยพร

๗.๑.๒ กล่าวถึงความสาพนั ธข์ องผพู้ ดู กบั คสู่ มรส ฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ หรอื ทงั้ สองฝ่าย โดยเนน้ ความดคี วามงาม ของคู่สมรส ๗.๑.๓ กล่าวแสดงความยนิ ดที ที่ งั้ สองไดส้ มรสกนั และเป็นคคู่ รองที่เหมาะสม ๗.๑.๔ กล่าวใหข้ อ้ คิดในการครองเรือนแกค่ สู่ มรส ๗.๑.๕ กลา่ วคาอวยพรโดยการชกั ชวนใหด้ ่ืมแสดง ความยินดี ๗.๒ งานวนั เกิด ๗.๒.๑ กลา่ วแสดงความยินดีทีไ่ ดร้ บั เกียรติใหข้ ึน้ มาพดู กล่าวอวยพร ๗.๒.๒ กล่าวถงึ ความสมั พนั ธข์ องผพู้ ดู ต่อเขจา้ ภาพ ๗.๒.๓ กลา่ วถงึ คุณความดี และเกียรติคณุ หรอื ผลงานเดน่ ๆ ของเจา้ ภาพ ๗.๒.๔ กลา่ วอวยพรใหเ้ จา้ ภาพมอี ายยุ ืนนาน มีความสขุ ความ เจริญกา้ วหนา้ ยิ่ง ๆ ขนึ้ ไป ๘. การกลา่ วตอบคาอวยพร ผทู้ ไี่ ดร้ บั การอวยพรควรจะกล่าวตอบขอบคณุ เพื่อ แสดงมารยาทอนั ดีงามและนอ้ มรบั คาอวยพรนน้ั มแี นวทางกลา่ วกวา้ ง ๆ ดงั นี้ ๘.๑ ขอบคณุ ผทู้ ่ีมารว่ มงานทกุ คน และซาบซงึ้ ท่ีไดใ้ หเ้ กยี รติมาในงานครงั้ นี้ และขอบคณุ ผมู้ สี ่วนรว่ มในการจดั งาน ๘.๒ กลา่ วขออภยั หากมีส่งิ ใดบกพรอ่ ง ๘.๓ กลา่ วขอใหร้ ว่ มสนกุ ในงานต่อไป

๙. การกล่าวไวอ้ าลยั กรกลา่ วไวอ้ าลยั มีหลายหอย่าง เช่น ไวอ้ าลยั ผตู้ าย ไวอ้ าลยั ผู้ ทีย่ า้ ยไปรบั ตาแหนง่ ใหม่ หรือไปศึกษาตอ่ เป็นตน้ ๙.๑ ไวอ้ าลยั ผตู้ ายหรือในงานศพ ควรยดึ แนวดงั นี้ ๙.๑.๑ กล่าวแสดงความเสยี ใจแก่ครอบครวั ผเู้ สียชีวิต ๙.๑.๒ สรรเสริญผเู้ สียชีวิต โดยบอกเล่าถงึ ประวตั ิ ผลงานดเี ดน่ คณุ ความดี ๙.๑.๓ ความอาลยั ของผอู้ ยเู่ บือ้ หลงั ท่ตี อ้ งสญู เสยี บคุ คลอนั เป็นทร่ี กั ไป ๙.๑.๔ แสดงความหวงั ว่าวญิ ญาณของผตู้ ายคงไปส่สู คุ ติ ๙.๒ ไวอ้ าลยั ผทู้ ยี่ า้ ยไปรบั ตาแหนง่ ใหม่ แนวทางการกล่าวมีดงั นี้ ๙.๒.๑ กล่าวแสดงความอาลยั ทตี่ อ้ งจากไป หลงั จากไดร้ ว่ ม ทางานกนั จนคนุ้ เคยรกั ใครก่ นั แต่ก็ดีใจทเี่ ขาไดเ้ ลื่อนตาแหน่ง และมีอนาคตสดใส รุง่ โรจนด์ ีขนึ้ ๙.๒.๒ สรรเสรญิ ยกย่องคณุ ความดีของบคุ คลท่จี ากไป ๙.๒.๓ กล่าวอวยพรใหแ้ กผ่ ทู้ จ่ี ากไป ใหเ้ ขาประสบความสาเร็จ ในตาแหนง่ ใหม่ ๑o. การกล่าวอาลา ในกรณีทตี่ อ้ งจากถ่นิ ท่ีเคยอยมู่ านาน เพอื่ ไปประกอบธรุ กจิ รบั ราชการ หรอื ไปประจา ณ สถานที่อน่ื ถา้ มกี ารจดั เลยี้ งสง่ และมกี ารมอบของขวญั ที่ นะลกึ ควรมีการพดู ขอบคณุ ที่ไดร้ บั ของขวัญนี้ และกล่าวคาอาลา แนวทางการกลา่ ว ดงั นี้

๑o.๑ แสดงความเสยี ใจท่ตี อ้ งจากไป กลา่ วใหท้ ราบวา่ ทาไมจึง ไมอ่ ยากจากไป ความสขุ ท่ีไดร้ บั และความคนุ้ เคยท่มี กี บั บคุ คลตา่ ง ๆในทท่ี างานเดมิ เล่าถงึ เหตกุ ารณท์ ี่ประทบั ใจในระหว่างทีไ่ ดอ้ ย่มู านาน และการระลกึ ถงึ ความภมู ใิ จ ตลอดไป ๑o.๒ สรรเสริญคณะผจู้ ัดทาหรอื รว่ มเลยี้ งสง่ จากใจจรงิ ๑o.๓ คาดหมายความสมั พนั ธอ์ นั แนน่ แฟ้มทจ่ี ะยงั คงมคี ลอด ไปโดยแสดงคามม่นั ใจว่าแมจ้ ะออกไปแต่ความสมั พนั ธท์ ี่ดียงั คงไมม่ ีวนั จางหาย หาก ผมู้ ดผา่ นไปสถานท่ีที่จะไปอยใู่ หม่ ขอใหแ้ วะเยย่ี มเยยี น ๑o.๔ กล่าวสรุปโดยกล่าวคาอาลาและอวยพร ควรพดู ใหส้ นั้ ขอลาทา่ นทงั้ หลายไปก่อน ขอใหท้ า่ นจงมคี วามสขุ ความเจรญิ บทที่ ๗ การเขียนประเภทต่างๆ ความหมายของการสะกดคา การเขียนสะกดคา หมายถงึ การเขียนคาโดยนาเรยี งพยัญชนะตน้ สระ วรรณยกุ ต์ ตวั สะกดและตวั การนั ต์ ตามลาดบั ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั เกณฑก์ ารสะกดคา วิธกี ารสะกดคา 1.วิธีการสะกดคาตามรูปคา 2.วิธีการสะกดคาโดยสะกดแม่ ก กา ก่อน แลว้ จึงสะกดมาตราตวั สะกด 3. วิธีสะกดคาทม่ี ตี วั สะกดไมต่ รงตามมาตราตวั สะกด 4.วธิ ีการสะกดคาอกั ษรควบ 5. วิธีการสะกดคาอกั ษรนา

๑ พยญั ชนะ พยญั ชนะไทยมี ๔๔ รูป สามารถแบ่งตามฐานทีใ่ ชใ้ นการออกเสียงเป็นวรรค ดงั เช่น ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต พรอ้ มแสดงชอื่ เรยี กในปัจจบุ นั วรรค กะ คอื ก.ไก,่ ข.ไข่,ฃ.ขวด*,ค.ควาย, ฅ.คน*,ฆ.ระฆงั ,ง.งู วรรค จะ คอื จ.จาน,ฉ.ฉ่งิ ,ช.ชา้ ง,ซ.โซ่,ฌ.เฌอ,ญ. หญิง วรรค ฏะ คอื ฎ.ชฎา,ฏ.ปฏกั ,ฐ.ฐาน,ฑ.มณโฑ,ฒ.ผเู้ ฒ่า,ณ.เณร วรรค ตะ คือ ด.เด็ก,ต.เตา่ ,ถ.ถงุ ,ท.ทหาร,ธ.ธง,น.หนู วรรค ปะ คอื บ.ใบไม,้ ป.ปลา,ผ.ผงึ้ ,ฝ.ฝา,พ.พาน,ฟ.ฟัน,ภ.สาเภา,ม.มา้ เศษวรรค คือ ย.ยกั ษ์,ร.เรือ,ล.ลงิ ,ว.แหวน,ศ.ศาลา,ษ.ฤๅษี,ส.เสอื ,ห.หีบ,ฬ.จฬุ า * เนื่องจาก ฃ และ ฅ ปัจจบุ นั ไม่พบการใชง้ าน จงึ อนโุ ลมใช้ ข และ ค แทนในการ สะกด พยัญชนะไทยยงั แบง่ ออกเป็น 3 หมู่ เรยี กว่า ไตรยางศ์ ประกอบดว้ ย อกั ษรสงู 11 ตวั ไดแ้ ก่ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห อกั ษรกลาง 9 ตวั ไดแ้ ก่ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ อกั ษรตา่ 24 ตวั ไดแ้ ก่ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ พยัญชนะเสียงสงู : ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห พยัญชนะเสียงกลาง : ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ พยญั ชนะเสยี งต่า : ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ ไตรยางศ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook