(5) หลกั การสรา้ งขวัญและกาลงั ใจใหพ้ นกั งานมีส่วนรว่ มสรา้ งคณุ ภาพใหก้ บั องคก์ าร แผนภาพท่ี 6.9 หลกั การของกจิ กรรม Suggestion 3. การดาเนนิ กิจกรรมขอ้ เสนอแนะเพ่ือปรบั ปรุงงานมีดงั นี้ (1) อบรมพนกั งานใหเ้ ขา้ ใจเปา้ หมายและรว่ มกนั กนั วางแผนการดาเนิน กจิ กรรม (2) ผบู้ รหิ ารประกาศนโยบายทต่ี อ้ งปฏิบตั ใิ หช้ ดั เจน (3) ใหข้ องขวัญหรือประกาศเกยี รติคุณแก่ขอ้ เสนอแนะของพนกั งานท่ี ผบู้ ริหารยอมรบั และนาไปใชจ้ ริง (4) ติดตามประเมินผลกจิ กรรม Suggestion 4. การพฒั นาองคก์ าร (Organization Development) 1. ความหมายของการพฒั นาองคก์ าร
การพัฒนาองคก์ าร สามารถแปลไดห้ ลายความหมาย เชน่ ความพยายาม เปลี่ยนแปลง องคก์ ารอย่างมีแบบแผน มกี ารวิเคราะหป์ ัญหา/วาง แผนยทุ ธศาสตร์ และใชท้ รพั ยากรเพ่ือใหบ้ รรลเุ ป้าหมาย หรอื การพฒั นาระบบโดยมีสว่ นรว่ มทงั้ องคก์ าร เรม่ิ จากผบู้ รหิ ารระดบั สงู ลงส่รู ะดบั ลา่ งขององคก์ าร โดยมจี ดุ ม่งุ หมายเพอ่ื เพมิ่ ประสทิ ธิภาพขององคก์ าร ดงั แนวคิดของบคุ คลต่อไปนี้ Wendul L. Irenchและ Ceci H. Bell ได้ ใหค้ วามหมายการพฒั นาองคก์ ารไว้ วา่ เป็นเร่ืองของการใชค้ วามพยายามในระยะยาวท่ีจะแกไ้ ขปัญหาภายในองคก์ าร และการ ฟื้นฟูองคก์ าร โดยจะดาเนินการในสว่ นของวฒั นธรรมองคก์ าร โดยเฉพาะ ทมี งานบนรากฐานแห่งความรว่ มมือ แตท่ งั้ นตี้ อ้ งอาศยั ความรว่ มมอื จากท่ีปรกึ ษาและ ใชท้ ฤษฎีทางพฤติกรรมศาสตร์ รวมทงั้ การวจิ ยั และ การปฏิบตั เิ ป็นหลกั Jack K. Fordye และ Reymond Well ได้ ใหค้ วามหมายการพฒั นาองคก์ ารไว้ วา่ เป็นวธิ ีการม่งุ ท่จี ะเอาพลงั ความสามารถของมนษุ ยไ์ ปใชเ้ พ่ือวตั ถปุ ระสงค์ อย่างใด อยา่ งหนึ่งขององคก์ าร การพฒั นาองคก์ ารจะสาเร็จได้ ถา้ องคก์ ารมีแผนและใชค้ วามรูท้ างพฤติกรรม ศาสตรเ์ ขา้ มาช่วย เช่น เรอ่ื งการจงู ใจ เรอ่ื งอานาจ เรื่องการส่อื สาร เรือ่ งความเขา้ ใจใน วฒั นธรรมองคก์ าร การแกป้ ัญหา การกาหนดเป้าหมายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล กลมุ่ หรอื เร่ืองของการขจดั ความขดั แยง้ 2. ขนั้ ตอนในกระบวนการพฒั นาองคก์ าร (Step in the OD Process) กระบวนการ เฉพาะท่จี ะเปล่ยี นแปลงองคก์ ารก็คือ การพฒั นาองคก์ ารตามกระบวนการ เปลี่ยนแปลงของ Kurk Lewin's โดยอาศยั ทีมที่ปรกึ ษา ตอ้ งมกี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู การพจิ ารณาขอ้ ผดิ พลาด การป้อนกลบั และการประเมนิ ผลอยา่ งเป็นทางการ ซ่งึ ขนั้ ตอนในกระบวนการพฒั นาองคก์ ารสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 7 ขนั้ ตอน ดงั นี้
ขั้นตอนท่ี 1 การกาหนดปัญหา(Problem recognition) เป็นการเร่ิมตน้ พฒั นา องคก์ าร โดยท่ผี บู้ ริหารระดบั สงู จะตอ้ งกาหนดปัญหาต่างๆ ภายในองคก์ าร และส่ิงท่ี ตอ้ งการแกไ้ ขปัญหา ถา้ หากผบู้ รหิ ารระดบั สงู มีความตอ้ งการท่ีจะแกไ้ ขก็ถอื วา่ เป็น ผนู้ าการเปล่ียนแปลงในระบบการพฒั นาองคก์ ารและเป็นจุดเรมิ่ ตน้ ทส่ี าคญั สงู สดุ ขั้นตอนท่ี 2 การสง่ ตอ่ ใหก้ บั ทีมท่ปี รกึ ษา(Entry of change agent) ทมี ท่ี ปรกึ ษาจะนาปัญหามาวิเคราะหพ์ รอ้ มหาทางแกไ้ ขและเปล่ียนแปลง บคุ คลภายใน องคก์ ารและภายนอกองคก์ ารมสี ว่ นรว่ มในการเขา้ มาช่วยแกไ้ ขปัญหาขององคก์ าร ขัน้ ตอนท่ี 3 การรวบรวมขอ้ มลู และการวเิ คราะหป์ ัญหา(Data collection and problem diagnosis)การ ทางานของสมาชิกภายในองคก์ าร ทมี ท่ปี รกึ ษาจะมีการ ตรวจสอบเอกสารภายในองคก์ าร และใชใ้ นการสมั ภาษณท์ าแบบสอบถาม และ สงั เกตขอ้ มลู เก่ยี วกบั องคก์ ารและปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ ต่อ จากนนั้ ทีมท่ีปรกึ ษาก็จะเลอื ก ผจู้ ดั การใหช้ ว่ ยในการตรวจสอบขอ้ มลู และ วิเคราะหป์ ัญหาเบอื้ งต้นว่าเกิดจากสาเหตุ อะไร ลกั ษณะของปัญหาและการขยายตวั ของปัญหา ส่วนทีมท่ปี รกึ ษาอาจจะมกี าร สอบถามผจู้ ดั การบางทา่ นใหจ้ ดั เตรียมขอ้ มลู ปอ้ นกลบั ของการวเิ คราะหป์ ัญหา เบือ้ งตน้ ขั้นตอนที่ 4 การปรบั แผนสาหรบั เปลยี่ นแปลง (Development of plan for change)ทมี ทีป่ รกึ ษาจะทางานรว่ มกบั ผจู้ ดั การหลกั เพอ่ื กาหนดเป้าหมายในการ เปลยี่ นแผนโดยการสรา้ งและประเมินทางเลือกในการทากจิ กรรมต่างๆ และตัดสนิ ใจ เลือกทางที่เหมาะสมทสี่ ดุ ในระหวา่ งนนั้ จะมกี ารปรบั แผนใหเ้ หมาะสมกับองคก์ าร ขน้ั ตอนที่ 5 การดาเนนิ การเปลยี่ นแปลงในเบือ้ งตน้ (Change implementation) คดั เลือกวิธีทีเ่ หมาะสมและนาไปปฏิบตั ิ ขนั้ ตอนนจี้ ะไดร้ บั การตอบสนองตามขนั้ ตอน
การเปลีย่ นแปลง สามารถทีจ่ ะเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ ง บคุ คล วฒั นธรรม และสภาวะ การทางานอืน่ ๆ ขน้ั ตอนท่ี 6 การทาใหม้ ่นั คงและจดั ทาใหม้ ขี นึ้ (Stabilization and institutionalization) หมาย ถึง การปฏิบตั ิอยา่ งต่อเนอ่ื งและจรงิ จงั โดยผบู้ ริหาร ระดบั สงู จะตอ้ งใหค้ วามรว่ มมือในการปฏิบตั ิงานอยา่ งสม่าเสมอ และพิจารณาผลการ เปลี่ยนแปลงภายหลงั จากที่ไดน้ าวิธีใหมม่ าใชพ้ ฒั นาองคก์ ารโดย พิจารณากิจกรรม แต่ละวนั ข้นั ตอนท่ี 7 การป้อนกลบั และการประเมินผล (Feedback and evaluation) หลงั จากการเปล่ยี นแปลงทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั มิ าเป็นเวลานาน ทีมทีป่ รกึ ษาจะตอ้ งมีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ใหม่ เพ่อื เปรยี บเทียบกบั ขอ้ มลู เก่า และวเิ คราะหข์ อ้ ผิดพลาดที่อาจจะ เกดิ ขนึ้ จากนนั้ ก็จะมกี ารประเมนิ ผล ขนั้ ตอนนสี้ ามารถทจ่ี ะปรบั ปรุงขัน้ ตอนใน กระบวนการเปล่ียนแปลงตา่ งๆ ได้ หากผลการวิเคราะหอ์ อกมาวา่ ขนั้ ตอนใดยงั ไม่ เหมาะสมกใ็ หแ้ กไ้ ขใหม่ ถงึ แมว้ า่ สภาพแวดลอ้ มบางอยา่ งเราจะควบคมุ ไม่ได้ แต่ องคก์ ารกส็ ามารถทีจ่ ะเอาชนะได้ เป็น ผลมาจากการทดลองปฏิบตั ิ ผบู้ ริหารระดบั สงู ควรจะตระหนกั ว่า การท่ีองคก์ ารม่นั คงและการทางานมีประสิทธิภาพมากขนึ้ เกดิ จาก การเปลี่ยนแปลง และพฒั นาองคก์ าร 3. เทคนิคในการพฒั นาองคก์ าร (OD Techniques) ภายหลงั จากการวเิ คราะห์ ปัญหาขององคก์ ารและมกี ารตงั้ เปา้ หมายในการเปลย่ี นแปลงแลว้ ทมี ทีป่ รกึ ษา สามารถท่จี ะใชเ้ ทคนคิ อบ่างใดอยา่ งหนึ่ง หรือหลายวธิ ีในการนามาปฏบิ ตั ิ เทคนิคใน การพฒั นาองคก์ ารมดี งั นี้ 1. การสารวจการปอ้ นกลบั (Survey Feedback) เทคนคิ นที้ มี ที่ปรกึ ษาจะให้ สมาชกิ ในองคก์ ารตอบแบบสอบถาม โดยจะสอบถามเก่ยี วกบั ทศั นคติ ความชานาญ
งาน เครอื่ งมอื ในการปฏิบตั ิ คา่ นยิ ม วฒั นธรรมขององคก์ าร และสิ่งต่างๆ หลกั จากนน้ั กจ็ ะนาขอ้ มลู มาวเิ คราะหเ์ พ่อื หาขอ้ บกพรอ่ ง พรอ้ มวิธีการแกไ้ ขปัญหา 2. การอบรม (Training) ทมี ทีป่ รึกษาอาจใชว้ ธิ ีการอบรมในลกั ษณะสว่ นตวั กล่มุ เลก็ หรือกลมุ่ ใหญ่ เพอื่ ช่วยพนกั งานและผจู้ ดั การปรบั ปรุงเทคนคิ ในการปฏบิ ตั งิ าน การตดั สนิ ใจ การวางแผนหรือความชานาญระหว่างบคุ คล 3. การสอนงาน (Coaching) และการใหค้ าแนะนา (Counseling) ในระดบั สว่ นตวั ควรจะมีการสอนงานและใหค้ าแนะนาจากสมาชกิ ภายในองคก์ าร เพ่ือปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั การเปลี่ยนแปลงเมอ่ื ผรู้ ว่ มงานไม่ทราบวา่ ผลของการปฏบิ ตงิ านของจนมี ความสมั พนั ธก์ บั ผลการปฏิบตงิ านขององคก์ าร วิธีการสอนงานและการใหค้ าแนะนา จะชว่ ยใหพ้ นกั งานไดท้ ราบถงึ บทบาทในการการพฒั นาองคก์ ารใหม่ ซง่ึ จะทาใหม้ ี พฤตกิ รรมและผลการปฏิบตั ิงานทด่ี ขี นึ้ 4. การสรา้ งทีมงาน (Team Building) หรือการสรา้ งกล่มุ ในการพฒั นา วธิ ีจะเนน้ ท่ี ความสมั พนั ธใ์ นการทางานรว่ มกนั เป็นกล่มุ ความชานาญในการตดั สินใจหรอื การทา กิจกรรม ซงึ่ จะช่วยในการปรบั ปรุงวิธีการติดต่อสอ่ื สาร การทางานรว่ มกนั และการ เพมิ่ ประสทิ ธิภาพ 5. การทาใหบ้ คุ คลที่สามเขา้ มาแทรกแซง (Third-Party) เมื่อเกิดความขดั แยง้ ระหว่างบคุ คลหรือกล่มุ ขนึ้ จะทาใหเ้ กิดอปุ สรรคต่อการทางาน ทีมท่ปี รกึ ษาจะตอ้ ง สงั เกต ถงึ การกระทาและคณุ ภาพระหว่างสมาชิกในองคก์ ร และจดั เตรยี มขอ้ มลู ป้อนกลบั เก่ยี วกบั ประสทิ ธิภาะของกระบวนการ 5. องคก์ ารแห่งการเรียนรู้ (Learning Organizations) 1. ความหมายองคก์ ารแห่งการเรียนรู้
องคก์ ารแห่งการเรยี นรู้ หมายถึง เป็นแนวคดิ ในการพฒั นาองคก์ ารโดยเนน้ การ พฒั นาการเรยี นรูส้ ภาวะของการเป็นผนู้ าในองคก์ าร (Leadership) และการเรียนรู้ รว่ มกนั ของคนในองคก์ าร (Team Learning) เพอื่ ใหเ้ กิดการถา่ ยทอดแลกเปลี่ยนองค์ ความรู้ ประสบการณ์ และทกั ษะรว่ มกนั และพฒั นาองคก์ ารอยา่ งต่อเนอ่ื งทนั ตอ่ สภาวะการเปล่ยี นแปลงและการแขง่ ขนั ผบู้ รกิ ารในปัจจบุ นั นกี้ าลงั เผชญิ กบั สภาพแวดลอ้ มทีเ่ ปล่ียนแปลงในอตั ราที่ รวดเรว็ มากนวตั กรรมทีต่ อ่ เรอ่ื งในเรอื่ งของสารสนเทศและเทคโนโลยคี อมพิวเตอรท์ ี่ เช่อื มโยงกบั โลการภวิ ฒั นข์ องตลาด ซ่ึงทาใหเ้ กิดความสบั สนว่นุ วาย ผลท่ีเกิดขนึ้ คอื หลกั การและแนวทางการบรหิ ารในอดตี ไม่สามารถนามาใชไ้ ด้ 2. ท่ีมาของแนวคดิ องคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ (Learn Organizations) แนวความคดิ ขององคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ ไดม้ กี ารกลา่ วถงึ ไวใ้ นวรรณกรรมตา่ งๆ ซ่งึ ยอ้ นหลงั ไปเม่ือประมาณ ค.ศ. 1978 คริส อารจ์ ีรสิ (Chris Argyris) ศาสตราจารย์ ดา้ นจติ วทิ ยาการศกึ ษาและพฤติกรรมองคก์ ารของมหาวทิ ยาลยั ฮารด์ วารด์ รว่ มกบั ศาสตราจารยด์ า้ นปรชั ญา คอื โดนลั ชนุ (Donald Schon)แหง่ สถาบนั เทคโนโลยขี อง แมซชาซเู สส (Massachusetts Institute of Technology: MIT) สรา้ งผลงานการเขียน ท่ีเสนอแนวคดิ ตา่ ง ๆ เก่ยี วกบั องคก์ ารแห่งการเรยี นรูไ้ ว้ แตเ่ นอื่ งจากผลงานเหล่านนั้ มี ลกั ษะเชงิ วิชาการชน้ั สงู ยากต่อการศึกษาและเขา้ ใจ จึงทาใหไ้ ม่ใครไ่ ดร้ บั ความนิยม เทา่ ทคี่ วร (Argyris and Schon, 1978) อยา่ งไรกต็ าม ในช่วง ค.ศ. 1980 เร่ือยมา แนวคดิ ดงั กล่าวเริ่มกลบั มาไดร้ บั ความสนใจและตระหนกั ถึงความสาคญั ในศกั ยภาพ แตย่ งั คงไดร้ บั ความนยิ มในวงแคบ เช่น กรณีของบรษิ ัทเชลล์ ท่เี ริม่ นาเอาองคก์ ารแหง่ การเรียนรูม้ าเชื่อมโยงเขา้ เป็นแผนกลยทุ ธข์ องบริษัท (Marquardt, 1996) และใน ทศวรรษต่อมาคือชว่ งตงั้ แต่ ค.ศ.1990 จนถงึ ปัจจบุ นั มอี งคก์ ารทีไ่ ดน้ าเอาแนวคดิ เรอื่ ง
องคก์ ารแห่งการเรยี นรูม้ าปฏิบตั ิในตา่ งประเทศและไดร้ บั ความสาเรจ็ ในการเป็น บรษิ ัทระดบั โลก ไดแ้ ก่ บริษัทโมโตโรลา่ วอลลม์ ารท์ บรติ ชิ ปิโตรเลยี ม ซรี อกซ์ เจอ เนอรลั อิเลก็ ทรกิ ซ์ ฟอรด์ มอเตอร์ ฮาเลยเ์ ดวิดสนั โกดกั ฮวิ เลต็ แพคการด์ ไอบีเอ็ม ฮอนดา โซนี่ และสามเอ็ม เป็นตน้ 3. แนวคิดของความสามารถในการเรียนรู้ เป็นปัจจยั สาคญั ท่ีทาใหอ้ งคก์ ารประสบความสาเรจ็ ส่งิ ทชี่ ว่ ยสนบั สนนุ ความสามารถในการเรียนรูข้ ององคก์ ารที่สาคญั มี 2 ประการ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ (1) ปัจจยั ที่ทาใหเ้ กดิ ความสะดวก (Facilitating Factors) ปัจจยั ที่ทาใหเ้ กดิ ความสะดวกเป็นผลมาจากโครงสรา้ งภายในองคก์ ารและกระบวนการ ซึ่งส่งผล กระทบตอ่ ความยากงา่ ยสาหรบั การเรียนรูท้ เี่ กดิ ขนึ้ และประสทิ ธิผลในการเรียนรู้ (2) วธิ ีการเรียนรู้ (Learning Mode) วิธีการเรียนรูไ้ ดแ้ สดงใหเ้ หน็ วีธีการท่ี หลากหลายซึง่ องคก์ ารไดพ้ ยายามสรา้ งสรรคแ์ ละทาใหเ้ กดิ การเรยี นรูม้ ากทส่ี ดุ แสดง ใหเ้ ห็นวา่ วธิ ีการเรยี นรูไ้ ดร้ บั อทิ ธิพลโดยตรงจากวฒั นธรรมองคก์ าร (Organization s Culture) และประสบการณห์ รอื เรอ่ื งราวในอดีต นกั วิจยั พฤตกิ รรมองคก์ ารช่อื (Danny Millัาe) 4. วินยั 5 ประการขององคก์ ารแห่งการเรียนรู้ รองศาสตราจารย์ peter Senge แห่ง MlT ไดก้ าหนดคาท่ไี ดร้ บั ความนยิ ม ไปท่วั โลก คือ คาว่า องคก์ ารแหง่ การเรียนรู(้ Learning Organization) ในหนงั สอื ท่ี ขายดที ีส่ ดุ เลม่ หนึง่ คอื วนิ ยั 5 ประกอบขององคก์ ารแห่งเรียนรู้ (The Fifth Discipline) โดย Senge ไดอ้ ธิบายถึงองคก์ ารแหง่ การเรียนรูใ้ นฐานะเป็นกลมุ่ บคุ คล
ซ่งึ ทางานรว่ มกนั ในการเพ่มิ พูนความสามารถในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานท่พี วกเขาตอ้ ง คอยขดแู ลตอ้ งรบั ผิดชอบ วินยั ประการท่ี 1 การคดิ อย่างเป็นระบบ (Systems Thinking) เป็นวินยั องคก์ ารแหง่ การเรยี นรูท้ ม่ี คี วามสาคญั มากที่สดุ โดย ระบบ คอื ส่วนยอ่ ยท่เี ก่ยี วเนื่อง กนั ในสว่ นใหญ่ จะสะทอ้ นใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธข์ องส่วนย่อยที่มผี ลต่อส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในเรอ่ื งของความคิดทเ่ี ป็นระบบ เนอ่ื งจากองคก์ าาธรุ กิจในปัจจบุ นั จะมี ลกั ษณะการดาเนนิ งานอยา่ งเป็นระบบที่มขี อบเขตการดาเนนิ งานท่ีตอ้ งชดั เจนการที่ จะพิจารณาขอ้ มลู เพยี งส่วนเด่ยี วของระบบอาจทาใหพ้ ิจารณามองไมเ่ หน็ ภาพรวม ซึง่ จะทาใหม้ องปัญหาไม่ออกหรือแกป้ ัญหาไดไ้ มส่ มบรู ณ์ โดยเราจะตอ้ งสามารถมอง ภาพรวมขององคก์ ารวา่ เป็นระบบ ๆ หนึง่ จึงจะทาใหอ้ งคก์ ารพฒั นาไปได้ วนิ ยั ประการที่ 2 การรอบรูแ้ หง่ ตน (personal Mastery) เป็นความสามารถ ในการเรยี นรูร้ ะดบั สงู ของบคุ คลทเี่ กิดขึน้ อยา่ งต่อเนือ่ ง เพ่ือเพ่ิมระดบั ของสามารถของ คนที่สงู สดุ ในงานที่ตนรบั ผดิ ชอบ การฝึกฝนบรรมตนดว้ ยการเรยี นรูเ้ สมอเป็นรากฐาน ที่สาคญั จะเป็นการขยายขีดความสามารถใหเ้ ช่ยี วชาญมากขนึ้ และเกิดความรู้ เมอื่ เป็นเชน่ นกี้ ็จะส่งผลต่อองคก์ าร เพราะองคก์ ารจะเรียนรูผ้ า่ นกลมุ่ บุคคลท่มี กี ารเรยี นรู้ เทา่ กนั วนิ ยั ประการท่ี 3 การสรา้ งวสิ ยั ทศั นร์ ่วมกนั (Shares Vision) หมายถงึ การมี วนิ ยั ทศั นร์ ว่ มกนั ของคนทงั้ องคก์ าร องคก์ ารแห่งการเรยี นรูต้ อ้ งเป็นองคก์ ารทส่ี มาชกิ ทกุ คนไดร้ บั การพฒั นาใหม้ ีวิสยั ทศั นส์ อดลอ้ งกบั วิสยั ทศั นข์ ององคก์ าร เพอื่ ทีจ่ ะเกิด พลงั และแนวคิดไปในทศิ ทางเดีย่ วกนั นาพาองคก์ ารไปส่จู ดุ หมายไดใ้ นท่ีสดุ วนิ ยั ประการท่ี 4 แบบจาลองความคดิ (Mental Model) คอื รูปแบบทาง ความคดิ ทเี่ หมาะสม เป็นสิง่ ทม่ี ีอิทธิพลตอ่ ความเขา้ ใจในเร่ืองต่าง ๆ ซง่ึ ทาใหบ้ คุ คล
แสดงพฤตกิ รรมแบบจาลองความคดิ เริม่ ตน้ ขนึ้ ดว้ ยการมองภาพของตนเองก่อน คอื พยายามที่จะคน้ หาตวั เองและนามาพิจารณารวมทงั้ ความสามารถทจ่ี ะรกั ษาสภาพ การเรยี นรูแ้ ละสรา้ งสมดลุ ระหวา่ งสง่ิ ทเี่ รากาลงั คน้ หา โดยใช่ความคดิ วจิ ารญาณท่ี ถกู ตอ้ ง สมเหตสุ มผล เพือ่ ประเมนิ สงิ่ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง และหาวิธีการพฒั นาที่ เหมาะสมต่อไป วนิ ยั ประการที่ 5 การเรียนรูเ้ ป็นทมี (Team Learning) การเรียนรูถ้ า้ เกดิ ในคน เดียว จะไมท่ าใหเ้ กิดพลงั อนั จะนาไปส่กู ารเปลย่ี นแปลงได้ ดงั นนั้ ยการเรยี นรูท้ จ่ี ะมี ประโยชน์ คอื การเรียนรูเ้ ป็นทมี จะเกดิ จากการท่ีสมาชกิ ในทมี โอกาสเรียนรูส้ ง่ิ ตา่ ง ๆ ดว้ ยกนั มกี ารแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ความคิดและประสบการณซ์ ่งึ กนั และกนั อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง และสม่าเสมอ การเรียนรูเ้ ป็นทีมจะทาใหเ้ กิดการแตกแขนงทางความคิด 5. วธิ ีการเรยี นรูห้ รอื กระบวนการเรียนรู้ ซึ่งไดแ้ ก่ (1) การบรรยายและโปรแกรมการสอน (Lectures and syllabus-Based programmers) จะประกอบดว้ นวีการใชก้ รณีศกึ ษา เพ่ือใหผ้ เู้ รียนรูไ้ ดเ้ รียนรูเ้ ก่ียวกบั ขอ้ มลู ใหม่ ๆ และสามารถปรบั ใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณท์ เ่ี กดิ ขึน้ (2) การเรียนรูโ้ ดยการจดั โปรแกรม (programmed Learning) เป็นการ เรียนรูโ้ ดยการฝึกอบรมทางดา้ นฐานขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ โดยการทาการเรียนการสอน ในกอ้ งปฏิบตั กิ าร ซ่ึงพนื้ ฐานการเรียนคือการท่องจา มีการบรรยายเนอ่ื งหาและมีการ ฝึกปฏบิ ตั ิอย่างเพยี งพอ ซ่งึ จะทาใหเ้ กิดความเคยชนิ ในการเรยี น (3) การแสดงพฤตกิ รรมและการเรียนรูแ้ บบแสดงบทบาท จะเป็นการฝึก ทกั ษะทางดา้ นการเรียนรูล้ กี ษณะทีก่ ูกกาหนดไดล้ า่ งหนา้ ซง่ึ จะทาใหผ้ เู้ รยี นปรบั ตวั และสามารถตดั แปลงลกั ษณะตามบทบาททไี่ ดร้ บั
(4) แบบจาลองทางธรุ กจิ (Business Simulations) เป็นการเรียนรูแ้ บบ ลองผดิ ลองถกู (Trial & Error) และผลท่ปี อ้ นกลบั (Feedback) ซ่งึ ผเู้ รยี นจะต่อง ปฎบิ ตั กิ ารโดยการออกแบบสภาพแวดลอ้ มในการเรียนใหเ้ หมอื นกบั การปฏิบตั งิ านใน ธรุ กจิ นน้ั ๆ ซง่ึ จะถือวา่ เป็นเกมในการเรียนรู้ (5) การเรียนรูโ้ ดยการปฎิบตั ิและโปลแกรมกราพฒั นาภายนอกองคก์ าร (Action Learning and Outdoor Development programmers) เป็นการ ปรบั เปลย่ี นการใหค้ วามสนใจในพฤติกรรมของผเู้ รยี นไปเป็นการรบั รูใ้ นส่ิงต่าง ๆ ที่ เกิดขนึ้ ซงึ่ จะเป็นการเรยี นรูเ้ พอ่ื ใหไ้ ดป้ ระสบการณ์ และเป็นการกระตนุ้ ใหเ้ กดิ การ ระมดั ระวงั ตนเองมากขนึ้ (6) กิจกรรมทไี่ มม่ ีใครสรา้ งท่ีสาคญั (Relatively Unstructured Activities) ซ่ึงจะคลา้ ยกบั กล่มุ เผชญิ หนา้ (Encounter Groups) ละเป็นพนื้ ฐานของ ทฤษฎีการเรียนรู้ โดยอาศยั ประสบการณร์ วมทงี้ เป็นการเรียนรูเ้ ก่ยี วกบั ตวั บคุ คลทงั้ ทางดา้ นความรูส้ กึ (Feelings) สิ่งจงู ใจ (Motives) และอารมณ์ (Emotions) เช่นเดียวกนั การเรยี นรูท้ างดา้ นความรูส้ กึ นกึ คดิ และพฤติกรรม (Cognition) และ พฤติกรรม (Behaviors) ซ่ึงหลกั ของการเรียนรูแ้ บบนีจ้ ะมีความเป็นอิสระและตอ้ ง อาศยั การปรบั ตวั ในการเรียนรู้ เพอื่ ทีจ่ ะขจดั อปุ สรรคที่เกิดขนึ้ สรุปสาระสาคัญ -คณุ ภาพ หมายถึง คุณลกั ษณะของสนิ คา้ หรอื บริการท่ีสามารถตอบสนองความ ตอ้ งการและสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ กล่ กู คา้ ได้ -การบรหิ ารงานคณุ ภาพ หมายถงึ กระบวนการดาเนนิ งานดา้ นคณุ ภาพทงั้ หมด อยา่ งต่อเนอ่ื ง โดยมีเปา้ หมายท่สี นองความตอ้ งการของลกู คา้
-ววิ ฒั นาการของการบริหารงานคณุ ภาพมี 3 ชว่ ง คอื ช่วงก่อนปฏวิ ตั อิ ตุ สาหกรรม ช่วงของการปฏิวตั อิ ตุ สาหกรรม และช่วงการแขง่ ขนั ท่ีเขม้ ขน้ ขนึ้ -หลกั การบรหิ ารงานคณุ ภาพมี 8 ประการ ไดแ้ ก่ ม่งุ ลกู คา้ เป็นสาคญั มีความเป็น ผนู้ า มสี ่วนรว่ ม ดาเนนิ กระบวนการ อยา่ งเป็นระบบ ปรบั ปรุงต่อเนอื่ ง ใชข้ ้อมลู จรงิ สรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ตวั แทน -กระบวนการบริหารคณุ ภาพ คือ กระบวนการดาเนินงานที่ใชอ้ งคป์ ระกอบ 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ปัจจยั นาเขา้ กระบวนการ และผลการดาเนินงาน -ประโยชนข์ องการบรหิ ารงานคณุ ภาพ มีดงั นี้ เคร่ืองมือชว่ ยพฒั นางานใหม้ ีระบบ ลกู คา้ มคี วามพึงพอใจ สรา้ งภาพพจนท์ ี่ดี เพิม่ ประสทิ ธิภาพ และเพิ่มขวญั กาลงั ใจกบั พนกั งาน -เทคนิคการบรหิ ารงานเพื่อใหก้ ารดาเนนิ งานเกดิ ประสิทธิภาพ ไดแ้ ก่ กิจกรรม 5ส กจิ กรรม Q.C.C. และกจิ กรรมขอ้ เสนอแนะเพ่ือปรบั ปรุงงาน เป็นตน้ หน่วยที่ 7 ระบบบรหิ ารคุณภาพ ISO 9000 ความหมายระบบบริหารคุณภาพ ISO 9000 ระบบบรหิ ารคณุ ภาพ ISO 9000 คอื มาตรฐานสากลซง่ึ เป็นระบบบรหิ ารประกนั คณุ ภาพขนั้ พนื้ ฐานดา้ นคณุ ภาพและประกนั คณุ ภาพโดยมจี ดุ ม่งุ หมายที่จะใหร้ ะบบ คณุ ภาพเท่าเทยี มกนั ระหว่างองคก์ ารต่างๆ และประเทศตา่ งๆ ประวตั ิของระบบบรหิ ารคุณภาพ ISO 9000 ISO ย่อมาจาก International Organization for Standardization หรือ International Standard Organization ซ่ึงเป็น องคก์ ารสากล
ท่ที าหนา้ ทเ่ี ก่ยี วกบั การกาหนด หรือปรบั มาตรฐานนานาชาตขิ องเกือบทกุ ประเทศ (ยกเวน้ ทางดา้ นไฟฟ้า ซง่ี เป็นหนา้ ทขี่ อง IEC) เพ่อื ใหป้ ระเทศตา่ งๆ ในโลกสามารถใช้ มาตรฐานเดยี วกนั เนอ่ื งจากแต่ละประเทศมมี าตรฐานคณุ ภาพของตนเอง ปัจจบุ นั องคก์ รระหวา่ งประเทศว่าดว้ ยมาตรฐาน หรอื ISO มีสานกั งานใหญ่ ตงั้ อย่ทู ี่กรุงเจนวิ า ประเทศสวสิ เซอรแ์ ลนด์ ประกอบดว้ ยสมาชิกจากประเทศตา่ งๆ ท่วั โลกปัจจบุ นั 137 ประเทศโดยมีภารกิจหลกั ๆ ดงั นี้ 1. ใหก้ ารสนบั สนนุ พฒั นามาตรฐาน และภารกจิ ท่ีเก่ยี วขอ้ งเพื่อตอบสนอง ตอ่ การขาย การแลกเปลีย่ นสินคา้ และการบริการของนานาชาตทิ ่วั โลก 2. พฒั นาความรว่ มมอื ในดา้ นวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์ และภมู ิปัญญาของมวลมนษุ ยชาติ รูปท่ี 7.1 สญั ลกั ษณ์ ISO สมาชกิ ขององคก์ ารระหวา่ งประเทศว่าดว้ ยการมาตรฐาน ISO องคก์ าร ISO ประกอบดว้ ยสมาชิกท่วั โลกจานวน 163 ประเทศ สมาชิกแบง่ เป็น 3 ประเภท คอื 1. Member Body สมาชิกส่วนใหญจ่ ะเป็นประเทศท่ีพฒั นาแลว้ มีสถาบนั มาตรฐานแห่งชาตทิ ่ี เป็นตวั แทนดา้ นมาตรฐานของประเทศตนเอง
2. Correspondent Member สมาชิกสว่ นใหญจ่ ะเป็นประเทศกาลงั พฒั นาท่ยี งั ไม่มกี ารจดั ตงั้ สถาบนั มาตรฐาน เป็นการเฉพาะ 3. Subscribe Membership สมาชิกประเทศนเี้ ป็นกลมุ่ ประเทศทม่ี ีเศรษฐกิจค่อนขา้ งเลก็ สว่ นใหญเ่ ป็น ประเทศดอ้ ยพฒั นา ผลประโยชนจ์ ากการเป็ นสมาชิกของ ISO จากที่ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ สมาชกิ ขององคก์ าร ISO มี 3 ประเภท ประเทศเป็น สมาชิกของ ISO ซ่งึ ไดร้ บั ประโยชนแ์ บง่ ออกเป็น 2 ดา้ นใหญ่ ๆ คอื 1. ดา้ นเศรษฐกิจ ประเทศไทยสามารถที่จะปกป้องประโยชนท์ างดา้ นการคา้ ระหว่างประเทศเพราะ ไทยไดม้ ีบทบาทและมีสว่ นรว่ มในการกาหนดมาตรฐานซึง่ สามารถต่อรองขอ้ กาหนดที่ เก่ยี วกบั มาตรฐาน และใหเ้ ออื้ ประโยชนต์ อ่ ประเทศ และถา้ หากมาตรฐานสากลทไ่ี ทย มีสว่ นรว่ มในการกาหนดขนึ้ นน้ั แต่ละประเทศมคี วามสอดคลอ้ งกนั กจ็ ะทาใหก้ ารคา้ ระหว่างประเทศดาเนนิ ไปดว้ ยดี ราบรน่ื 2. ดา้ นวชิ าการ ประเทศไทยไดร้ บั ความรู้ ความกา้ งหนา้ ทางวชิ าการ ตลอดทงั้ ไดร้ บั การถ่านทอด ดา้ นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไดร้ บั ความชว่ ยเหลือทางดา้ นวิชาการและการเงนิ ซง่ึ นบั วา่ เป็น ประโยชนต์ อ่ การพฒั นางานดา้ นมาตรฐานของประเทศ มาตรฐาน ISO 9000 ในประเทศไทย
ประเทศไทยไดจ้ ดั ตงั้ หน่ยวงานขนึ้ มารบั ผิดชอบในเรอื่ งมาตรฐานของประเทศ เรยี กวา่ สานกั งานมาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (Thai industrial Standard institute : TlSl ) เป็นหนว่ ยงานสงั กดั กระทรวงอตุ สาหกรรม เสนอรา่ งพระราชบญั ญตั ิ และประกาศใชเ้ ป็นกฎหมาย (ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษาวนั ท่ี 31 ธนวาคม 2511) มีผลบงั คบั ใชต้ งั้ แตว่ นั ท่ี 1 มกราคม พรพราชบัญญัติมาตรฐานผลติ ภณั ฑิั์ ุ ตสาหกร รม พ. ศ 2551 ใชค้ วบคมุ ผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรมเรยี กวา่ มาตรฐานอตุ สาหกรรม : (มอก.) ไดป้ ระกาศใชอ้ นกุ รมมาตรฐาน ISO 9000 ในประเทศไทยเม่อื ปีพทุ ธศกั ราช 2534 โดยประการศในราชกจิ จานเุ บกษา เล่มที่ 108 ตอนที่ 99 วนั ที่ 4 มถิ นุ ายน ปี พทุ ธศกั ราช 2534 โดยใช่ชอ่ื ว่าอนกุ รมมาตรฐานระบบคณุ ภาพ มอก.ISO 9000 ในปี พทุ ธศกั ราช 2534\" ลกั ษณะสาคัญของมาตรฐานระบบบรหิ ารงานคุณภาพ ISO 9000 มาตรฐานระบบบรหิ ารงานคณุ ภาพ ISO 9000 หรือเรยี กอย่างย่อระบบ คณุ ภาพ ISO 9000 ตามความหมายท่ีกล่าวมาแลว้ ว่า มาตรฐานระบบบรหิ าร คณุ ภาพ ISO 9000 เป็นมาตรฐานสากลที่ใชเ้ พอ่ื การบริการหรอื จดั การคณุ ภาพ ภายในองคก์ าร ทงั้ ภาคธุรกจิ และกิจการอตุ สาหกรรม ก็สามารถนาระบบคณุ ภาพนี้ ไปใชไ้ ด้ ทงั้ นรี้ ะบบคณุ ภาพ ISO 9000 จะไมเ่ ป็นหลกั ประกนั วา่ ผลติ ภณฑจ์ ะดที ส่ี ดุ หรือมมี าตรฐานทสี่ ดั แตร่ ะบบคณุ ภาพ ISO 9000 จะประกนั วา่ การบริหารงานของ องคก์ ารนน้ั มีคณุ ภาพท่งั ทงั้ องคก์ าร ลกั ษณะสาคญั ของมาตรฐานระบบบริหารคณุ ภาพ ISO 9000 มีดงั นี้ 1. เป็นการบริหารงานคณุ ภาพเพอ่ื ทาใหล้ กู คา้ มคี วามพึงพอใจ โดยยดึ หลกั ของ คณุ ภาพทีม่ ่งุ เนน้ ใหม้ ีการจดั ทาขนั้ ตอนการดาเนนิ งานและหลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ทจ่ี ะทา
ใหผ้ ลิตภณั ฑ์ ซึง่ หมายถงึ สินคา้ และบริการ มีคณุ ภาพเป็นไปตามความตอ้ งการของ ลกู คา้ 2. ม่งุ เนน้ การบริหารงานคณุ ภาพทกุ ขนั้ ตอน ตงั้ แตเ่ รม่ิ ขนั้ ตอนแรกจนถึงขั้นตอน สดุ ทา้ ยในกระบวนการผลิตของธุกจิ นน้ั ๆ 3. เนน้ การปฎิบตั ทิ ่เี ป็นระบบมีแบบแผน เพ่ือป้องกนั ปัญหาที่อาจจะเกิดขนึ้ 4. สามารถตรวจสอบไดง้ า่ ย โดยมหี ลกั ฐานดา้ นเอกสาร 5. เป็นระบบบรหิ ารคณุ ภาพท่ที กุ คนในองคก์ ารมสี ่วนรว่ ม 6. เป็นแนวทางบริหารคณุ ภานท่วั ทงั้ องคก์ าร 7. เป็นระบบบรหิ ารคณุ ภาพทนี่ านาชาติยอมรบั และใชเ้ ป็นมาตรฐานของประเทศ 8. ระบบคณุ ภาพ ISO 9000 เป็นการรบั รองในระบบคณุ ภาพขององคก์ าร ไมใ่ ช้ เป็นการรบั รองตวั ผลิตภณั ฑ์ 9. ตอ้ งมหี น่วยงานที่ 3 (Third party) ท่ไี ดร้ บั การรบั รองจากองคก์ าร มาตรฐานสากลระหวา่ งประเทศ (ISO) มาทาการตรวจสอบเพอื่ ใหก้ ารรบั ลอง เม่อื ผา่ นการรบั รองแลว้ จะตอ้ งไดร้ บั การตรวจซา้ อกี อย่างนอ้ ยปีละ 2 ครง้ั ตลอด ระยะเวลาของการรบั รอง 3 ปี เมือ่ ครบกาหนด 3 ปีแลว้ จะตอ้ งมกี ารตรวจประเมิน ใหม่ทงั้ หมด ประโยชนข์ อง ISO 9000 ในการนาระบบ ISO 9000 มาใชอ้ งคก์ าร ก่อนใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อบคุ คล 2 กลมุ่ และองคก์ าร คือ ประโยชนต์ ่อพนกั งานในองคก์ าร ประโยชนต์ ่อผซู้ อื้ หรอื ตอ่ บรโิ ภค และประโยชนอ์ งคก์ ารหรอื บรษิ ทั ซึ่งจะไดก้ ลา่ วรายละเอียดดงั นี้
1. ประโยชนต์ ่อพนกั งานต่อองค์การ 1. ทาใหพ้ นกั งานมสี ่วนรว่ มในการดาเนนิ งานระบบบรหิ ารคณุ ภาพ 2. พนกั งานมคี วามพอใจในการปฎิบตั งิ าน 3. ลดปัญหาและความย่งุ ยากในการทางาน 4. พนกั งานมจี ิกสานกึ ในเรื่องคณุ ภาพมากขนึ้ 5. พนกั งานใหมเ่ รยี นรูง้ านไดเ้ ร็ว จากรายละเอียดของงานทไี่ ดบ้ นั ทึกไวอ้ ยา่ งเป็น ระบบ 2. ประโยชนต์ อ่ ผซู้ อื้ หรือบริโภค 1. ผบู้ ริโภคไดร้ บั ทราบถงึ ระดบั คณุ ภาพของสนิ คา้ หรือบรกิ าร 2. ผบู้ รโิ ภคม่งั ใจในคณุ ภาพของผลิตภณั ฑห์ รอื การบรกิ าร 3. ผบู้ ริโภคมีทางเลอื กในทางซอื้ สินคา้ หรอื บรกิ ารมากขนึ้ 4.ผบู้ ริโภคไดร้ บั การคมุ้ ครองในดา้ นคณุ ภาพ ความปลอดภยั และการใชง้ าน 3. ประโยชนต์ ่อองค์การหรือบริษทั 1. ผลิตภณั ฑข์ องบริษัทมีคุณภาพคงทแี่ ละลดการสญู เสยี ใหน้ อ้ ยลง 2. เพม่ิ ประสิทธิภาพในการบริหาร จดั การ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ย เวลา มีการควบคมุ กระบานการทางานตงั้ แตต่ น้ จนสนิ้ สุดกระบวนการ 3. ทาใหผ้ ลิตภณั ฑเ์ ป็นทเ่ี ช่ือถือไดแ้ ละไดร้ บั การยอมรบั จากตลาดต่างประเทศและ ภายในประเทศ 4. ขจดั ปัญหาขอ้ โตแ้ ยง้ และการกีดกนั ทางการคา้ ระหวา่ งประเทศ
หลกั การบรหิ ารคุณภาพ หลกั การบรหิ ารคณุ ภาพ (Quality Management principle) ISO 9000 คณะกรรมการดา้ นเทคนิคท่ี 176 ขององคก์ ารระหว่างประเทศว่าดว้ ยมาตรฐาน ISO ไดม้ ีการพฒั นาหลกั การบริหารคณุ ภาพและแนวการทางานนาไปใชป้ ฎิบตั ิ ซ่ึงไดร้ บั ควานเหน็ ชอบจากนานาชาติ ที่เป็นสมาชิกขององคก์ ารตงั้ แต่ปี 1997 ซง่ึ หลกั การ บรหิ ารคณุ ภาพมี 8 หลกั ซ่งึ รายระเอียดดีงนี้ หลักการที่ 1 องคก์ ารที่ใหค้ วามสาคญั แก่ลกู คา้ (Customer Focused Organization) องคก์ ารตอ้ งพงึ พงิ ลกู คา้ เพ่อื ความอย่รู อด ดงั้ นน้ั จงึ ควรทาความเขา้ ใจความ ตอ้ งการของลกู คา้ ทงั้ ในสว่ นปัจบุ นั และอนาคต และใหบ้ รรลคุ วามตอ้ งการเหล่านนั้ การนาหลักไปใช้งาน 1. เขา้ ใจความตอ้ งการและความคาดหวงั ของลกู คา้ 2. กาหนดเป้าหมายและองคก์ ารใหส้ มั พนั ธก์ บั ความตอ้ งการและคาดหวงั ของ ลกู คา้ 3. สือ่ ความตอ้ งการและความคาดหวงั ของลกู คา้ ใหเ้ ป็นที่เขา้ ใจท่วั ถงึ ทงั้ องคก์ ารวดั ความพึงพอใจของลกู คา้ 4. สรา้ งสมั ธก์ บั ลกู คา้ อย่างเป็นระบบ 5. คานึกถึงความสมดลุ ในการตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ และมีส่วนไดส้ ว่ น เสยี อ่ืน ๆ หลกั การที่ 2 ความเป็นผนู้ า (Leadership)
ผนู้ าเป็นผกู้ าหนดความเป็นเอกภาพของวตั ถปุ ระสงคแ์ ละทศิ ทางขององคก์ าร (ผนู้ าตอ้ งเป็นผสู้ รา้ งและธารงไวซ้ ่งึ ปัจจยั เกอื้ หนุนภายในทีส่ นบั สนนุ ใหท้ กุ คน สามารถมสี ่วนรว่ มและสง่ เสริมการบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ารได้ การนาหลกั การไปใชง้ าน 1. พิจารณาความตอ้ งการของผมู้ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ทกุ ฝ่าย 2. กาหนดวสิ ยั ทศั นท์ ชี่ ดั เจอขององคก์ าร 3. กาหนดเปา้ หมายทที่ า้ ทาย 4. สรา้ งและรกั ษาคุณคา่ ความเสมอภาพ และจรรยาบรรณรว่ มกนั ใหม้ ีทกุ ระดบั ขององคก์ าร 5. สรา้ งความไวว้ างใจและจดั ความหวาดกลวั 6. จดั สรรทรพั ยากรที่จาเป็น 7. ใหก้ ารฝึกอบรม 8. ใหอ้ สิ ระในการปฎบิ ตั งิ มาตามหนา้ ที่และความรบั ผิดชอบ 9. สรา้ งแรงบนั ดาลใจ สนบั สนนุ และใหก้ ารยอมรบั ต่อการมีส่วนรว่ มของบคุ ลากร หลักการที่ 3 การมสี ว่ นรว่ มของบคุ ลากร (lnvolvement of people) พนกั งานทกุ ระดบั ถอื เป็นหวั ใจสาคญั ต่อองคก์ ารและการใหค้ วามรว่ มมืออย่าง เด่ียวท่ีจะเต็มความสามารถของพนกั งานทกุ คน ย่อมก่อใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กอ่ งคก์ าร การนาหลกั ไปใชง้ าน
1. ทาใหบ้ คุ ลากรเขา้ ใจในความสาคญั ของการมสี ว่ นรว่ มและบทบาทของตนใน องคก์ าร 2. ทาใหร้ ูข้ อ้ จากดั ในการทางาน 3. ทาใหย้ อมรบั เป็นเจา้ ของปัญหา และความรบั ผดิ ชอบในการแกไ้ ข 4. ประเมินผลงานเทยี บกบั เป้าหมายท่ตี นเองตงั้ ไว้ 5. เพิ่มพนู ความรูค้ วามสามารถอย่างสมา่ เสมอ 6. แลกเปลี่ยนความรูแ้ ละประสบการณ์ 7. พิจารณาขอ้ ปัญหาและประเด็นตา่ ง ๆ อยา่ งเปิดเผย หลกั การที่ 4 การบริหารเชิงกระบวนการ (Process Approach) ผลลพั ธท์ ตี่ อ้ งสามารถบรรลไุ ดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพก็ตอ่ เมื่อทรพั ยากรและกิจกรรม ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งไดร้ บั การบรหิ ารจดั การอยา่ งเป็นกระบวนการ การนาหลกั การไปใชง้ าน 1. กาหนดกิจกรรทจี่ าเป็นเพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลทต่ี อ้ งการ 2. กาหนดหนา้ ทีแ่ ละความรบั ผิดชอบในการดาเนินการกิจกรรมหลกั ใหช้ ดั เจน 3. วเิ คราะหแ์ ละวดั ขดี ความสามารถกจิ กรรมหลกั 4. แสดงความสมั พนั ธข์ องกจิ กรรมหลกั ทงั้ ภาพในหนว่ ยงาน และระหว่าง หน่วยงานในองคก์ าร 5. เนน้ ปัจจยั ที่จะใหเ้ กิดความปรบั ปรุงกจิ กรรมหลกั ขององคก์ าร เช่น ทรพั ยากร วีธืการ
6. ประเมินความเส่ยี ง และผลกระทบ ท่ีมตี ่อลกู คา้ ผขู้ าย และผมู้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสยี อน่ื ๆ หลกั การที่ 5 การบรหิ ารการเป็นระบบ (System Approach to Manaement) การบ่งชี้ การทาความเขา้ ใจและการบริหารจดั การในเชงิ ระบบทป่ี ระกอบดว้ ย กระบวนการตา่ ง ๆ ทม่ี ีความสมั พนั ธต์ อ่ กนั เพื่อวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี าหนดไวจ้ ะชว่ ย ปรบั ปรุงประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององคก์ าร การนาหลกั ไปใชง้ าน 1. จดั ระบบเพอื่ บรรลเุ ป้าหมายขององคก์ ารอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธภิ าพ สงู สดุ 2. ทาความเขา้ ใจกบั การพ่ึงพาซง่ึ กนั และกนั ระหวา่ งกระบวนการตา่ ง ๆ ในระบบ 3. ปรบั และรวมกระบวนการตา่ ง ๆ อยา่ งเป็นระบบ 4. เขา้ ใจบทบาทและหนา้ ท่ีท่ีจาเป็นเพ่อื การบรรลุเปา้ หมายรว่ ม และลดอปุ สรรค ระหว่างหนว่ ยงาน 5. เขา้ ใจขีดความสามารถขององคก์ ารและขดี จากดั ดส้ นทรพั ยากร ก่อนการ ดาเนินการใด ๆ 6. กาหนดเป้าหมายและวธิ ีดาเนนิ การในแต่ละกิจกรรม 7. วดั และประเมินผลเพอ่ื การปรบั ปรุงอย่างตอ่ เนื่อง หลักการที่ 6 การปรบั ปรุงอยา่ งต่อเนอื่ ง (Continual lmprovement) การปรบั ปรุงอย่างตอ่ เน่อื งครวไดร้ บั การกาหนดใหเ้ ป็นวตั ถปุ ระสงคถ์ าวรของ องคก์ าร
การนาหลกั การไปใชง้ าน 1. ใหม้ ีการปรบั ปรุงตอ่ เน่อื งท่วั องคก์ ารอยา่ งสมา่ เสมอ 2. ใหก้ ารฝึกอบรมเก่ียวกบั วธิ ีการและเครือ่ งมอื สาหลบั ใชใ้ นการกิจกรรมปรบั ปรุง อย่างตอ่ เนื่อิ ง 3. ทาใหท้ กุ คนมเี ป้าหมายท่จี ะทาใหเ้ กดิ การปรบั ปรุงอยา่ งตอ่ เน่ืองในสินคา้ กระบวนการ และระบบ 4. กาหนดเป้าหมายเพ่อื เป็นแนวทาง และมมี าตรการในการติดตามผลการ ปรบั ปรุงอยา่ งต่อเน่ือง 5. ใหก้ ารยอมรบั และชื่นชมผลการปรบั ปรุง หลักการที่ 7 การตดั สินใจจากขอ้ มลู ที่เป็นจรงิ (Factual Approacg to Decision Making) การตดั สนิ ใจที่ทรงประสิทธิภาพ ควรดดาเนนิ การบนพอื้ ฐานของการวเิ คาราะห์ ขอ้ มลู และสาวสนเทศ การนาหลกั ไปใชง้ าน 1. ม่นั ใจว่ามขี อ้ มลู ขา่ วสารท่ถี กู ตอ้ งและเชือ่ ถอื ได้ 2. บคุ ลากรสามารถเขา้ ถึงขอ้ มลู ท่จี าเป็นตอ้ งใช้ 3. วเิ คราะหข์ อ้ มลู ข่าวสารโดยวธิ ืการที่ถกู ตอ้ ง 4. ตดั สนิ ใจและดาเนนิ การโดยใชผ้ ลการวเิ คราะหท์ ่ีแทจ้ รงิ ประกอบกนั ประสบการณแ์ ละสญั ชาตญาณ
หลักการที่ 8 ความสมั พนั ธก์ บั ผขู้ ายเพื่อประโดยรว่ ม (Mutually Beneficial Supplier Relationship) องคก์ ารและผสู้ ง่ มอบต่างตอ้ งพ่งึ พาอาศยั กนั และกนั และการมีความสมั พนั ธใ์ น เชิงผเู้ กือ้ กลู ผลประโยชน์ จะชว่ ยส่งเสริมความสามารถในการสรา้ งคณุ คา่ ทงั้ สองฝ่าย การนาหลกั การไปใชง้ าน 1. สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะยะสนั้ และระยะยาว 2. รวบรวมความชานาญและทรพั ยากรรว่ มกบั คคู่ า้ 3. ระบแุ ละคดั เลือกผทู้ สี่ าคญั 4. สรา้ งสือ่ สารทีช่ ดั เจนและโปรง่ ใส 5. ใช่ข่าวสาวขอ้ มลู และแผนงานรว่ มกนั 6. จดั ใหม้ กี ิจกรรมการปรบั ปรุงรว่ มกนั และใหก้ ารยอมรบั ซึ่งกนั และกนั สรุปสาระสาคัญ ระบบบรหิ ารคณุ ภาพ ISO 9000 เป็นระบบการจดทะเบียนรบั รองมาตรฐาน คณุ ภาพของผลติ ก่อตงั้ เป็นทางการเมือ่ วนั ที่ 14 ตลุ าคม 2490 ปัจจบุ นั ตงั้ อยทู่ ก่ี รุงเจนี วา ประเทศสวิตเซอรแ์ ลนดม์ ีสมาชิกท่วั โลกจาแนกเป็น 3 ประเภท และสมาชกิ จะ ไดร้ บั ประโยชน์ 2 ดา้ นใหญ่ ๆ คือ ดา้ นเศรษฐกิจและดา้ นวชิ าการ สาหรบั ประเทศไทยเราไดจ้ ดั ตงั้ หนว่ ยงานขนึ้ มารบั ผดิ ชอบในเร่ืองมาตรฐานของ ประเทศเรยี กว่าสานกั งารมาตรฐานผลิตภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (สมอ.) ลกั ษณะสาคญั ของมาตรระบบบหิ ารงานคณุ ภาพ ISO 9000 คอื เป็นการบริหารคณุ ภาพ เพอื่ ทาให้ ผบู้ รโิ ภคหรอื ลกู คา้ มคี วามพงึ พอใจตอ่ ผลติ ภณั ฑส์ นิ คา้ และบรกิ าร มงุ่ เนน้ การบริหาร
คณุ ภาพทกุ ขนั้ ตอน ซง่ึ ลกั ษณะดงั กลา่ วนที้ าให้ ISO 9000 ประโยชนห์ ลายดา้ น ดว้ ยกนั เช่น มปี ระโยชนต์ ่อพนกั งานในองคก์ าร ผซู้ อื้ หรือผบู้ รโิ ภค และต่อองคก์ าร หรอื บริษัท ทาใหผ้ บู้ ริโภคทราบถึงระดบั คณุ ภาพของสินคา้ หรือบริการ มีความม่งั ใจ ในคณุ ภาพของผลิตภณั ฑ์ และการบิการ และมีประโยชนต์ ่อองคก์ ารหรอื บริษทั คอื ผลติ ภณั ฑม์ คี ณุ ภาพคงที่ เพิม่ ประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารจดั การ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ย ผลติ ภณั ฑเ์ ป็นทเี่ ชอ่ื ถอื ได้ และไดร้ บั การยอมรบั จากตลาดต่างประเทศและ ภายในประเทศ หน่วยที่ 8 การจัดการด้านสิง่ แวดล้อม ความหมายของสิ่งแวดล้อม มแี นวทางกล่าวถึงความหมายของสงิ่ แวดลอ้ มหลายประการ ดงั นี้ คาว่าสิง่ แวดลอ้ ม มรี ากศพั ทม์ าจากภาษาฝร่งั เศส คือ Environ แปลวา่ Around ฉะนนั้ Environment จงึ หมายถงึ Totality of Mom's Surrounding พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ 2542 กลา่ ววา่ สิ่งแวดลอ้ ม หมายถงึ สิง่ ตา่ ง ๆ ทงั้ ทางธรรมชาติและทางสงั คมท่ีอยรู่ อบ ๆ มนษุ ยทฺ์ งั้ ที่ดแี ละไม่ดี เช่น โรงเรยี น สรา้ งสวนดอกไมใ้ หเ้ ป็นส่งิ แวดลอ้ มท่ีดีแกน่ กั เรยี น ศดนิ า ภารา (2550 : 18) สง่ิ แวดลอ้ ม คอื ทกุ สิง่ ทกุ อย่างทีร่ อบตวั มนษุ ยท์ งั้ ใน ระยะใกลแ้ ละไกลอาจเป็นส่งิ ที่เกดิ ขนึ้ เองตามธรรมชาติหรือท่ีมนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ ทงั้ ท่ีเป็น รูปธรรมและนามธรรม เป็นส่งิ ทีม่ ีชวี ติ และไมม่ ีชวี ิตก็ได้ ทกุ อย่างเก่ยี วขอ้ งเป็นระบบ และมอี ิทธิพลตอ่ การดารงชวี ิตของมนษุ ยห์ รอื สง่ิ มีชวี ิต สรุป ส่ิงแวดลอ้ ม หมายถึง สิง่ ทีอ่ ยรู่ อบตวั ของมนษุ ย์ ทงั้ ใกลแ้ ละไกล เป็นรูปธรรม และนาทธรรมมีชีวิตหรือไมม่ ชี ีวติ ก็ได้ ทกุ อยา่ งสมั พนั ธก์ นั และมอี ทิ ธิพลต่อมนษุ ย์ คุณสมบัติของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดลอ้ มทีอ่ ย่รู อบตวั มนษุ ยม์ ีคณุ สมบตั ิเฉพาะตวั 7 ประการ คอื 1. สง่ิ แวดลอ้ มไม่อย่โู ดเด่ียวในธรรมชาติ แตจ่ ะมสี ง่ิ แวดลอ้ มอ่นื ๆ อยรู่ ว่ มดว้ ย เสมอ เช่น ปลาอย่ใู นนา้ ดินอยกู่ บั ตน้ ขา้ ว คนกบั ทพี่ กั ฯลฯ 2. สิ่งแวดลอ้ มตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั และกนั เนอื่ งจากสิ่งแวดลอ้ มทกุ ชนดิ ตอ้ งการ สง่ิ แวดลอ้ มอน่ื ๆ เพอ่ื การอยรู่ อด หรอื จรรโลงชีวิตของตนเอง เชน่ ตน้ ยาง ตอ้ งการดิน และนา้ โคตอ้ งการนา้ ฯลฯ 3. สงิ่ แวดลอ้ มแตล่ ะประเภทจะมีความแขง็ แรงทนทานแตกตา่ งกนั เช่น ดนิ จะถกู ชะ ลา้ งไดง้ ่าย 4. สงิ่ แวดลอ้ มมกี ารเปลี่ยนแปลงตามเวลาทเี่ ปลยี่ นไป เชน่ ทเี่ ชือ้ ราใหม่ ๆ มสี ีสนั สวยงาม แต่เม่อื ใช่งานนานจะเกดิ การชารุง เป็นตน้ 5. สิ่งแวดลอ้ มจะอยรู่ วมกนั เป็นกลมุ่ เรยี กว่า ระบบนิเวศ ซึง่ เป็นรูปแบบทต่ี อ้ งอาศยั กนั และกนั ทงั้ ทางตรงหรอื ทางออ้ ม 6 .สิ่งแวดลอ้ มจะสมั พนั ธเ์ ป็นลกู โซ่ หมายความว่า เม่ือสิง่ แวดลอ้ มชนิดหนง่ึ ถูก ทาลายก็จะกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ มอื่น ๆ เป็นลกู โซ่เสมอ เชน่ ป่าถกู ทาลาย จะส่งผลให้ พนื้ ดนิ พงั ทลาย หรือเผาป่าทาใหโ้ ลกรอ้ งขนึ้ เป็นตน้ 7. ส่งิ แวดลอ้ มทกุ ชนดิ มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะตวั เป็นเอกลกั ษณข์ องส่ิงแวดลอ้ มชนิด นนั้ ๆ เชน่ ตน้ ไม้ นา้ คน บา้ น แตละชนดิ มีลกั ษณแ์ ตกตา่ งกนั ประเภทของสง่ิ แวดล้อม สง่ิ แวดลอ้ มแบง่ ออกเป็นประเภทได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สิ่งลอ้ มธรรมชาติ (Natural Environment) ส่งิ แวดลอ้ มธรรมชาติ หมายถึง ส่งิ แวดลอ้ มทเ่ี กดิ ขนึ้ เองหรอื มอี ยตู่ ามธรรมชาตแิ ละ ใหม้ ปี ระโยชนต์ อ่ มนษุ ย์ มีอยู่ 2 ประเภท คอื 1. สง่ิ แวดลอ้ มชีวภาพ (Biological Environment) เป็นส่งิ แวดลอ้ มทีม่ ีชวี ีต เช่น คน
สตั ว์ พชื เป็นตน้ 2. สิง่ แวดลอ้ มกายภาพ (Physical Environment) เป็นสิง่ แวดลอ้ มทไ่ี มม่ ชี ีวติ เช่น ลม ฟา้ นา้ ควนั เสียง เป็นตน้ ส่ิงแวดลอ้ มท่มี นษุ ยส์ รา้ งขนึ้ คือ ส่งิ ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการกระทาของมนษุ ยท์ งั้ ทต่ี งั้ ใจ และไม่ไดต้ งั้ ใจ ทงั้ ทีม่ ีตวั ตน มี 2 ประเภท คอื 1. สง่ิ แวดลอ้ มทางกายภาพ (Physical Environment) หรือเรียกวา่ สิ่งแวดลอ้ ม รูปธรรมเป็นส่ิงที่มนษุ ยส์ รา้ งขนึ้ สามารถมองเห็นได้ เชน่ ถนน เมือง สะพาน รถ เครงิื่ บิน เปน้ ตน้ 2. สง่ิ แวดลอ้ มทางสงั คม (Social Environment) หรืออาจเรียกว่า สิ่งแวดลอ้ ม นามธรรม เป็นสง่ิ ทสี่ รา้ งขนึ้ เพอื่ ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ยของการอย่รู ว่ มกนั เช่น ศาสนา กฎหมาย ขอ้ บงั คบั ต่าง ๆ พฤตกิ รรมของคน เป็นตน้ กฎหมายทเี่ กีย่ วขอ้ งกับสิง่ แวดล้อม กฎหมาย เป็นขอ้ ตกลงทางสงั คมเพอ่ื ใหม้ ีการนาไปใชใ้ นการดารงชวี ิตไดอ้ ย่างมี ความสขุ ไม่มก่ ารละเมิดสทิ ธืส่วนบคุ คล เชน่ เดย่ี วกบั กฎหมายส่งิ แวดลอ้ มทมี่ ขี รึ้ เพอ่ื มี การรกั ษาส่งิ แวดลอ้ มของชมุ ชน ของประเทศ และของโลกเรา และป้องกนั สภาพแวดลอ้ มไม่ใหเ้ สอ่ื มโทรม กฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ส่งิ แวดลอ้ มมีหลายฉบบั ท่ี สาคญั ดงั นี้ 1. พระราชบญั ญตั ิโรงงาน พ.ศ 2535 เป็นกฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ งโดยตรงกบั การ ประกอบอตุ สาหกรรม คือ การประกอบกจิ การโรงงาน การกากบั และดแู ลโรงงาน และ บทกาหนดโทษ โดยใหร้ ฐั มนตรีวา่ กระทรวงอตุ สาหกรรมมอี านาจในการออกกฎกะ ทรวง กาหนดหลกั เกณฑเ์ ก่ยี วกบั ท่ตี งั้ ของโรงงาน สภาพแวดลอ้ มโรงงาน การควบคมุ มลพษิ หรอื สง่ิ ต่าง ๆ ทเี่ กิผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม 2. พระราชบญั ญตั สิ ่งเสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ 2535 มี 7
หมวด ไดแ้ ก่ หมวด 1 คณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ มแหง่ ชาติ หมวด 2 กองทนุ สิง่ แวดลอ้ ม หมวด 3 การคมุ ครองสิง่ แวดลอ้ ม หมวด 4 การควบคมุ มลพิษ ประกอบดว้ ย คณะกรรมการควบคมุ พิษ มาตรฐาน ควบคมุ มลพษิ จากแหลง่ กาเนดิ เขตควบคมุ มลพษิ มลพษิ ทางอากาศและเสียง การ ตรวจสอบและควบคมุ คา่ บริการและคา่ ปรบั หมวด 5 มาตรการส่งเสรมิ หมวด 6 ความรบั ผิดทางการแพง่ หมวด 7 บทกาโทษ 3. ประกาศกระทรวงอตุ สาหกรรม เรอ่ื งการกาหนดชนิดและขนาดของโรงงาน กาหนดวิธีการควบคมุ การปลอ่ ยของเสียมลพิษหรือสงิ่ ใดๆ ทีม่ ีผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม กาหนดหลกั เกณฑก์ ารขนึ้ ทะเบียนผคู้ วบคมุ ดแู ลสาหรบั ระบบป้องกนั ส่ิงแวดลอ้ มเป็นพษิ พ.ศ. 2545 ซง่ึ เป็นกฏหมายท่กี าหนดโรงงานมกี ารแตง่ ตงั้ บคุ ลากรดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มประจาโรงงาน ไดแ้ ก่ ผจู้ ดั การสิง่ แวดลอ้ ม ผคู้ วบคมุ ระบบ บาบดั มลพษิ นา้ ผคู้ วบคมุ ระบบบาบดั มลพิษอากาศ เป็นตน้ 4. ประกาศกระทรวงอตุ สาหกรรม เร่อื งกาหนดปริมาณสารเจือปนในอากาศ ท่ี ระบายออกจากปลอ่ งเตาเผาสิง่ ปฏกิ ลู หรอื วสั ดทุ ่ีไม่ใชแ้ ลว้ เป็นท่อี นั ตรายจาก อตุ สาหกรรม พ.ศ. 2545 กาหนดค่าพารามิเตอรไ์ ว้ ดงั นี้ - ฝ่นุ ละออง 34 มลิ ลกิ รมั ต่อลกู บาศกเ์ มตร - HCI 50 มลิ ลิกรมั ต่อลกู บาศกเ์ มตร - CO 115 มิลลิกรมั ต่อลกู บาศกเ์ มตร - ปรอท 0.1 มลิ ลกิ รมั ตอ่ ลกู บาศกเ์ มตร
- แคดเมียมและตะก่วั 0.2 มิลลิกรมั ตอ่ ลูกบาศกเ์ มตร 5. พระราชบญั ญัตวิ ตั ถอุ นั ตราย พ.ศ 2535 ประกอบดว้ ย 4 หมวด ไดแ้ ก่ หมวดท่ี 1 คณะกรรมการวตั ถอุ นั ตราย หมวดท่ี 2 การควบคมุ วตั ถอุ นั ตราย หมวดท่ี 3 หนา้ ทแ่ี ละความรบั ผดิ ชอบทางแพง่ หมวดที่ 4 บทกาหนด 6. ประกาศคณะกรรมการการสงิ่ แวดลอ้ มแหง่ ชาติ ฉบบั ที่ 15 (พ.ศ2540) เรือ่ ง กาหนดมาตรฐานระดบั เสียง โดยท่งั ไปกาหนดไวร้ ะดบั เสียงเฉลยี่ 24 ช่วั โมง ไมเ่ กิน 70 db(A) 7. พระราชบญั ญัติรกั ษาความสะอาดและความเป็นเรียบรอ้ ยของบา้ นเมือง มี วตั ถปุ ระสงคเ์ พ่อื ทีจ่ ะจดั การเรือ่ งความสะอาดและความเป็นระเบียบเรยี บรอ้ ยของ บา้ นเมือง โดยกาหนดใหอ้ าคาร หา้ งรา้ น สานกั งาน โรงงาน โรงมหรสพ โรงแรมตา่ งๆ จา้ งเจา้ หนา้ ทด่ี แู ลรกั ษาความสะอาดหนา้ อาคารนนั้ ใหส้ ะอาด เช่น - หา้ มอาบนา้ ซกั ผา้ บนถนนเวน้ แตไ่ ดร้ บั อนญุ าต - หา้ มส่งั ถม่ นา้ ลาย นา้ มกู นา้ หมาก ลงบนถนน หากฝ่าฝื้นปรบั ไม่เกนิ 100 บาท - หา้ มถา่ ยอจุ จาระ ปัสสาวะลงบนถนนสาธารณะ ฝ่าฝืนปรบั ไม่เกนิ 500 บาท - หา้ มเดด็ ใบ ดอก หรือผลของตน้ ไมข้ องสาธารณะฝ่าฝืนปรบั ไม่เกนิ 200 บาท ประโยชนข์ องการจดั การสง่ิ แวดล้อม ประโยชนท์ อี่ งคก์ ารจะไดร้ บั จากระบบการจดั การส่ิงแวดจาแนกออกเป็น ประโยชนท์ างตรงและทางออ้ ม ดงั นี้ 1. ประโยชนท์ างตรง (1) องคก์ ารบรหิ ารดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มได้ ลดการใชท้ รพั ยากรดา้ นวสั ดอุ ย่างมี ระบบ
(2) ลดค่าใชจ้ ่ายในการจดั การผลติ เนอื่ งจากการใชท้ รพั ยากรอย่างคมุ้ ค่า (3) มีการจดั การสิ่งแวดลอ้ มทีเ่ หมาะสม เช่น การจดั การการทรพั ยากร การ จดั การของเสยี (Waste Management) ทาใหม้ ผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ มนอ้ ยทสี่ ดุ เป็นผลใหต้ น้ ทนุ ตา่ (4) เกิดสภาพแวดลอ้ มการทางานทีด่ ี พนกั งานมีความปลอดภยั ในการทางาน ลดความเส่ยี งท่เี กิดจากความผิดพลาดในการกาจดั ขยะทีม่ ีพษิ รวมถงึ ลดความเสยี ง ที่เกิดตอ่ ชมุ ชนรอบๆ สถานประกอบการ 2. ประโยชนท์ างอ้อม (1) สรา้ งภาพพจนท์ ่ดี ีใหก้ บั องคก์ าร เป็นทยี่ อมรบั ของสงั คม เป็นผผู้ ลติ ทม่ี ี จริยธรรม ไม่เปน้ ผทู้ าลายสงิ่ แวดลอ้ ม ทาใหเ้ กดิ สมั พนั ธภาพท่ีดตี อ่ ชมุ ชน (2) เพ่ิมโอกาสทางธุรกิจซ่งึ เป้นผลจากการคดิ รเิ ริ่มผลิตสนิ คา้ ทไ่ี มท่ าลาย สง่ิ แวดลอ้ ม ทาใหก้ ารเจรจาทางดา้ นการคา้ สะดวกยิ่งขนึ้ เป็นผลใหส้ ามารถรกั ษา สว่ นแบ่งทางการตลาดและเพ่ิมโอกาสในการขยายตลาดในอนาคตอีกดว้ ยนบั วา่ เป็น ประโยชนอ์ ยา่ งย่งิ (3) ชว่ ยในการอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรของโลกซง่ึ เหลอื อยไู่ มม่ ากนกั มาตรฐานระบบคณุ ภาพการจัดการส่ิงแวดล้อม Iso14000 1. ความหมายและแนวคิดของมาตรฐานระบบคณุ ภาพ Iso 14000 มาตรฐาน ISO 14000 คือมาตรฐานสากลวา่ ดว้ ยการจดั การดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม ระหว่างประเทศที่กาหนดโดยองคก์ ารมาตรฐานระหว่างประเทศ (The international Organization for Standardization) ซง่ึ ตงั้ อยู่ ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ เพอื่ เป็นมาตรฐานสากลในการกาหนดคณุ ภาพสิง่ แวดลอ้ มในกระบวนการผลติ และ มาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ เพ่อื สรา้ งระบบในการรกั ษา ควบคมุ และปรบั ปรุงคุณภาพของ สงิ่ แวดลอ้ ม รวมทงั้ ปอ้ งกนั สขุ อนามยั ของมนษุ ย์ โดยมกี ารวางแผนกาหนดแนวทาง
เพอ่ื ป้องกนั และลดตน้ เหตขุ องมลพษิ ครอบคลมุ ถึงการฝึกอบรมพนกั งาน การจดั การ ดา้ นความรบั ผดิ ชอบ และระบบต่าง ๆ ที่ตอ้ งดาเนนิ การดา้ นสิ่งแวดลอ้ มในองคก์ าร มาตรฐาน ISO 14000 เป็นอนกุ รมมาตรฐานการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ ระบบการจกั การสิ่งแวดลอ้ ม การตรวจประเมินการจดั การส่งิ แวดลอ้ ม การประเมนิ ความสามารถในการจดั การสงิ่ แวดลอ้ มการแสดงฉลากรบั รองผลิตภณั ฑ์ และการ ประเมินผลกระทบต่อสง่ิ แวดลอ้ มในวงจรของผลิตภณั ฑท์ กุ องคก์ ารทงั้ ผผู้ ลติ และ บริโภค มาตรฐาน ISO 14000 ประกอบดว้ ยมาตรฐานหลายฉบบั เร่มิ ตน้ แต่หมายเลย 14001 จนถงึ 14100 สาหรบั มาตรฐานท่ีสามารถยืน่ ขอรบั การรบั รองไดค้ อื ISO 14001 Environmental Management Systems-Specification with Guidance for Use หรอื ทเ่ี รียกกนั วา่ เป็นมาตรฐานระบบการจดั การสง่ิ แวดลอ้ ม 2. โครงสรา้ งอนกุ รมมาตรฐาน ISO 14000 มาตรฐานการจดั การส่งิ แวดลอ้ ม ISO 14000 ที่หน่วยงานต่าง ๆ สามารถ ดาเนนิ การท่ีจดั ขนึ้ มี 3 กล่มุ มาตรฐานของระบบการจดั การส่งิ แวดลอ้ ม เก่ยี ว ผลิตภณั ฑ์ และมาตรฐานเก่ยี วกบั การตรวจสอบ ซงึ่ แต่ละกลมุ มีรายเอยี ดดงั นี้ 1. มาตรฐานของระบบการจกั การสิง่ แวดลอ้ ม (Environmental Management System : EMS) มหี นา้ ท่คี วบคมุ ระบบการจดั การส่ิงแวดลอ้ มของหนว่ ยงานทางดา้ น นโยบายการงางแผน การปฎบิ ตั กิ ารตรวจสอบ มี 2 รูปแบบ คอื ISO 14001 หมายถงึ ขอ้ กาหนดสาหรบั การใชเ้ ป็นขอ้ กาหนดของระบบการ จดั การส่ิงแวดลอ้ ม และแนวทางในการนาขอ้ กาหนดไปใชใ้ นองคก์ าร ISO 14004 หมายถึง หลกั เกณฑแ์ ละขอ้ เสนอแนะเป็นแนวทางเก่ยี วกบั หลกั การของระบบการจดั การสิง่ แวดลอ้ มและการประยกุ ตใ์ ชใ้ นองคก์ าร 2. มาตรฐานเก่ยี วกบั ผลติ ภณั ฑ์ (Product Evaluation Standards) ประกอบ
มาตรฐานเก่ยี วกบั การประเมนิ ผลของผลติ ภณั ฑ์ 3 แบบ คือ (1) ฉลากส่ิงแวดลอ้ ม (Environmental Labels, EL) หมายถงึ สง่ิ ตา่ ง ๆ ท่ี เก่ยี วขอ้ งกบั ฉลากสง่ิ แวดลอ้ มดว้ ยการกาหนดมาตรฐาน คิอ ISO 14020 หลกั การพนื้ ฐานเก่ยี วกบั การพฒั นาและการใชฉ้ ลาก ส่งิ แวดลอ้ ม ISO 14021 คานิยามและคาศพั ทเ์ ก่ยี วกบั การใชฉ้ ลากผลติ ภณั ฑป์ ระเภทท่ี 2 ISO 14022 วธิ ีการ/แนวทางในการใชส้ ญั ลกั ษณข์ องฉลากผลติ ภณั ฑ์ ประเภทที่ 2 ISO 14023 วิธีการตรวจสอบและรบั รองผลิตภณั ฑท์ จ่ี ะใชฉ้ ลากผลิตภณั ฑ์ ประเภทท่ี 2 ISO 14024 แนวทางหลกั การและขอ้ กาหนดของวิธีการรบั รองผลติ ภณั ฑท์ ี่ จะใชฉ้ ลากผลติ ภณั ฑป์ ระเภทที่ 1 (2) การประเมนิ วงจรผลิตภณั ฑ์ (Life-Cycle Assessment, LCA) การประเมนิ วงจรผลติ ภณั ฑห์ รือวงจงชีวติ หมายถงึ ลกั ษณะปัญหาสิ่งแวดลอ้ มและ ผลกระทบต่อสงิ่ แวดลอ้ มทเี่ ป็นไปไดข้ องผลติ ภณั ฑ์ เป็นการศึกษาลกั ษณะปัญหา สง่ิ แวดลอ้ มและผลกระทบทเี่ ป็นไปไดต้ ลอดชวี ติ ของผลติ ภณั ฑต์ งั้ แตก่ ารไดม้ าซง่ึ วตั ถดุ บิ ไปจนถงึ การผลติ การใช้ ดว้ ยการกาหนดมาตรฐาน ไดแ้ ก่ ISO 14040 หลกั การกรอบงาน และขอ้ กาหนดสาหรบั การดาเนินการและ การรายงานผลการศึกษาการประเมินวงจงผลติ ภณั ฑ์ ISO 14041 วีธีการจดั ทารายงาน ปัจจยั ท่ีใชใ้ นกระบวนการการผลติ /บริการ และผลที่ไดจ้ ากกระบวนการ ISO 14042 การประเมนิ ผลกระทบทางสิง่ แวดลอ้ มของวงจงผลิตภณั ฑ์
ISO 14043 การประเมนิ การปรบั ปรุงผลติ ภณั ฑ์ 3. ลกั ษณะปัญหาส่ิงแวดลอ้ มของมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ (Environmental Aspects in products Standards, EAPS) เป็นขอ้ แนะนาว่าดว้ ยประเด็นปัญหาดา้ น สงิ่ แวดลอ้ มของมาตรฐานผลติ ภณั ฑเ์ ป็นหลกั ษณะของการกาหนดเกณฑ์ (Criteria) เดมิ จดั ทาเป็นมาตรฐาน ISO 14060 ปัจจบุ นั เป็น ISO Guide 64 3.มาตรฐานเก่ยี วกบั การตรวจสอบ เป็นมาตรฐานทกี่ าหนดวธิ ีการตรวจประเมนิ ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ (1) มาตรฐานการตรวจสอบดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม (Environmental Auditing) จดั เป็นเครือ่ งมอื ในการตรวจสอบประเมนิ การดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม ประกอบดว้ ย 3 มาตรฐาน คอื ISO 14010 หมายถึง หลกั เกณฑท์ ่วั ไปที่เป็นแนวทางและหลกั การในการ ตรวจสอบส่ิงแวดลอ้ ม ISO 14011 หมายถงึ แนวทางสาหรบั การตรวจตดิ ตามสงิ่ แวดลอ้ ม (เป็นวธิ ี ตรวจประเมินระบบการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม ISO 14012 หมายถงึ คณุ สมบตั ิผตู้ รวจสอบ เป็นขอ้ กาหนดคณุ สมบตั ิของผู้ ตรวจสอบสงิ่ แวดลอ้ ม (2) มาตรฐานการประเมินผลดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม (Environmental performance Evaluation, EPÉE) เป็นเครอื่ งมือท่ีผบู้ รหิ ารใชป้ ระเมินองคก์ ารวา่ ไดท้ างานบรรลุ วตั ถปุ ระสงคท์ างสิง่ แวดลอ้ มทไี่ ดต้ งั้ ไวห้ รือไม่ โดยตรวจสอบจากสภาพการปฎบิ ตั งิ าน เทคโนโลยี ปัญหาและอปุ สรรคท่เี กิดขนึ้ คือ ISO 14031 หมายถึง แนวทางการประเมินผลการดาเนนิ การดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม 3. หลกั การของระบบการจดั การสิง่ แวดลอ้ ม ISO 14000 การดาเนนิ งานตามระบบการจดั การสิง่ แวดลอ้ ม ISO 14000 มีหลกั การที่จะตอ้ ง
คานึงถงึ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. กาหนดนโยบายสงิ่ แวดลอ้ ม เริม่ แรกผบู้ ริหารระดบั สงู ขององคก์ ารตอ้ ง กาหนดนโยบายสง่ิ แวดลอ้ มใหเ้ หมาะสมกบั สภาพ ขนาด และผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม ทีเ่ กดิ จากการดาเนินกจิ กรรมต่าง ๆ ขององคก์ าร 2. วางแผน (1) ระบลุ กั ษณะปัญหาสงิ่ แวดลอ้ ม (2) พจิ ารณาขอ้ กาหนดในกฎหมายและระเบียบอ่ืน ๆ ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง (3) กาหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมายดา้ นส่ิงแวดลอ้ มใหส้ อดคลอ้ งกบั นโยบาย (4) จดั ทาโครงการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม เพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละเปา้ หมาย 3. นานโยบายไปปฎิบัติและดาเนินการ (1) จดั โครงสรา้ งขององคก์ ารและกาหนดหนา้ ทค่ี วามรบั ผดิ ชอบ เพอ่ื ใหก้ าร จดั การสงิ่ แวดลอ้ ม สามารถดาเนนิ การไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิพล (2) จดั ฝึกอบรมสรา้ งจิตสานึกและใหค้ วามรูด้ า้ นสิ่งแวดลอ้ มแก่บคุ ลากรท่ี ปฎิบตั ิงานในลกั ษณธทอ่ี าจก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบสาคญั ต่อส่ิงแวดลอ้ ม (3) กาหนดลกั ษณะและขนั้ ตอนการติดต่อส่ือสารทงั้ ภายในและภายนอก องคก์ าร (4) จดั ทาและควบคมุ ระบบเอกสารดา้ นการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม (5) ควบคมุ การดาเนินงานในกิจกรรม ซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั ลกั ษณะปัญหา สงิ่ แวดลอ้ มเพอื่ ใหบ้ รรลนุ โยบาย วตั ถปุ ระสงค์ และเปา้ หมายทกี่ าหนด (6) เตรยี มพรอ้ มเพ่อื รบั สถานการณห์ ากเกดิ เหตฉุ กุ เฉิน รวมถึงการป้องกนั และบรรเทาผลกระทบดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี ก่ยี วกบั สถานการณด์ งั กล่าว 4. ตรวจสอบและแกไ้ ข
(1) เฝา้ ติดตามและวดั ผลในกิจกรรมซง่ึ กอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบต่อสิง่ แวดลอ้ ม (2) ดาเนินการแกไ้ ขและป้องกนั ในสิง่ ที่ไม่เป็นไปตามขอ้ งกาหนด (3) ตรวจตดิ ตามประสทิ ธิพลของการแกไ้ ขและการปอ้ งกนั 5. ทบทวนระบบการจดั การสง่ิ แวดล้อม โดยผบู้ ริหารระดบั สงู ขององคก์ ารเป็นระยะ ๆ เพ่ือใหแ้ นใ่ จว่าระบบท่ีไดจ้ ดั ทา ขนึ้ มีความเหมาะสมเพยี งพล และไดน้ าไปใชอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ 4. ขนั้ ตอนการจดั ทาระบบการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม ISO 14000 มีขนั้ ตอนดงั นี้ (1) ขนั้ ศกึ ษาอนกุ รมมาตรฐาน ISO 14000 เพื่อคน้ หาขอ้ มเท็จจรงิ ในการ ดาเนินการเขา้ ส่รู ะบบซงึ่ ปัจจบุ นั มหี นว่ ยงานมากมายใหค้ วามรู้ เช่น สานกั งาน มาตรฐานผลติ ภณั ฑอ์ ตุ สาหกรรม (สมอ.) สานกั งานรบั รองมาตรฐานไอเอสโอ (สรอ.) สถาบนั เพม่ิ ผลผลติ แห่งชาติ และองคก์ ารต่าง ๆ ที่ผา่ นการรบั รองคณุ ภาพ (2) แตต่ งั้ คณะกรรมการ เพ่อื จดั ทารบั บควบคมุ ดแู ลใหเ้ ป็นไปตามทไี่ ดก้ าหนด ไว้ (3) คณะกรรมการกาหนดนโยบายดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม วางแผนการจดั ระบบ จดั ทาวธิ ีการปฎบิ ตั ิและคาแนะนาทจี่ าเป็น ทงั้ นตี้ อ้ งไม่ละเลยในการสรา้ งจิตสานึก เรอื่ งส่ิงแวดลอ้ มแกบ่ คุ ลากร (4) ปฎบิ ตั ิตามระบบการจดั การสง่ิ แวดลอ้ มทก่ี าหนดไว้ (5) ตรวจตดิ ตามระบบการจดั การสงิ่ แวดลอ้ ม เพื่อตรวจสอบว่าระบบเป็นไป ตามแผนและขอ้ กาหนดของมาตรฐานหรอื ไม่ เพียงใด ตลอดจนไดม้ กี ารนาไปใช่ ปฎบิ ตั ิและคงไวอ้ ยา่ งเหมาะสมหรอื ไม่ (6) ปรบั ปรุงและแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งท่ีพบจากการตรวจติดตามภายใน และ ปรบั ปรุงระบบใหม้ ปี ระสิทธิภาพย่ิงขนึ้ (7) ย่ืนคาขอรบั รองจากหน่วยงานจดทะเบยี น
5. ฉลากเพอื่ สิ่งแวดล้อม ฉลากเพอ่ื ส่งิ แวดลอ้ มจดั เป็นเครื่องมอื หนึ่งในการจดั การสิ่งแวดลอ้ มตาม วตั ถปุ ระสงคข์ องระบบ ISO 14000 ทรี่ ูจ้ กั กนั ดีของฉลากเพ่ือส่ิงแวดลอ้ ม คือ ฉลาก เขียว (Green Label) ฉลากเพือ่ สงิ่ แวดลอ้ มในปัจจบุ นั ตามระบบ ISO 14000 แบ่ง ออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทที่ 1 (Type 1) เป็นฉลากทีผ่ ่านการรบั รองโดยบคุ คลท่ี 3 ซงึ่ ไดแ้ ก่ องคก์ ารอิสระท่ใี ชม้ าตรฐาน ISO 14000 เป็นแนวทางในการประเมนิ มอบให้ ผลิตภณั ฑท์ ี่มคี ณุ สมบตั ิตรงกบั ขอ้ กาหนดทางส่งิ แวดลอ้ มทอ่ี งคก์ ารกาหนด โดยมี เกณฑห์ รอื เงอื นไขในการพิจารณามากกว่า 1 อยา่ ง ประเภทท่ี 2 เป็นฉลากผลติ ภณั ฑเ์ พือ่ ส่ิงแวดลอ้ ม ทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการประกาศ ตนเองบคุ คลท่ี 1 ซ่ึงใชม้ าตรฐาน ISO 14021, ISO 14022 และ ISO 14023 เป็น แนวทางในการปฎบิ ตั ิ โดยปกตแิ ลว้ ผผู้ ลติ จะเป็นผตู้ ิดตามฉลากเอง ประเภทท่ี 3 เป็นฉลากทีผ่ า่ นการรบั รองโดยบคุ คลที่ 3 ที่ไม่มกี ารวางเงื่อนไข มี ลกั ษณะคลา้ ยกบั ฉลากโภชนาการของอาหาร ผผู้ ลิตเพียงแตร่ ายงานดา้ นเทคนคิ ให้ ทราบ ลกั ษณะของฉลากจะบอกรายละเอียดใหข้ อ้ มลู ต่าง ๆ เก่ยี วกบั ผลิตภณั ฑใ์ น การใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ พลงั งาน ปริมาณมลพษิ ทีเ่ กินขนึ้ เป็นตน้ ในการออกฉลากเพือ่ สงิ่ แวดลอ้ มประเภทที่ 1 โดยองคก์ ารอสิ ระจะใช้ ISO 14024 เป็นหลกั การและวธิ ีปฎบิ ตั ิ ซ่ึงกค็ อื มาตรฐานทเ่ี ก่ยี วกบั ฉลากเชยี ว (Green Label หรอื Eco-Label) ซึง่ ดาเนนิ การโดยภาครฐั หรือเอกชนกไ็ ด้
รูปที่ 8.1 ฉลากเขยี วที่ออกใหโ้ ดยองคก์ ารอสิ ระซ่งึ เป็นบคุ คลที่ 3 ของประเทศไทย ฉลากเขยี ว เป็นเครอ่ื งมอื และกลยทุ ธอ์ ยา่ งหนงึ่ ท่ใี ชใ้ นการตลาด เป็นเครอ่ื งมอื ในการ ชว่ ยรกั ษาและป้องกนั ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ มผ่านทางการผลิตและการ บริโภค ฉลากเขียวไมไ่ ดเ้ ป็นรางวลั ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มแต่เป็นส่ิงท่อี อกใหก้ บั ผลติ ภณั ฑ์ ซ่งึ ไดผ้ ่านการประเมินและตรวจสอบวา่ ไดม้ าตรฐานทางดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มตาม ขอ้ กาหนดท่คี ณะกรรมการโครงการฉลากเขียวประกาศใช้ ซึง่ โครงการฉลากเขยี ว ดาเนินงานโดยความสมคั รใจของผผู้ ลิต ผจู้ ดั จาหน่าย หรอื ผใู้ ชบ้ ริการทีต่ อ้ งการแสดง ความรบั ผิดชอบส่ิงแวดลอ้ ม ในประเทศไทยมีคณะกรรมการนกั ธรุ กิจเพอื่ สง่ิ แวดลอ้ มไทยริเร่ิมโครงการฉลาก เขียวขนึ้ ตงั้ แต่ 10 ตลุ าคม 2536 โดยมเี กณฑใ์ นการคดั เลือกผลติ ภณั ฑเ์ พ่อื มอบฉลาก เขียว ดงั นี้ 1. เป็นผลติ ภณั ฑท์ ี่ใชใ้ นการอปุ โภคบรโิ ภคท่วั ไปในชีวติ ประจาวนั 2. ผลกระทบของผลติ ภณั ฑท์ ีม่ ตี ่อส่งิ แวดลอ้ ม และคณุ ประโยชนท์ ี่ส่ิงแวดลอ้ มจะ ไดร้ บั จาหนา่ ยผลติ ภณั ฑอ์ อกส่ตู ลาด 3. มวี ธิ ีการตรวจสอบประเมนิ คณุ ภาพของผลติ ภณั ฑท์ ไี่ มย่ ่งุ ยากและไม่เสียคา่ ใชจ้ า่ ย สงู 4. ตอ้ งเป็นผลิตภณั ฑท์ ีผ่ ผู้ ลติ มที างเลือกอน่ื ในการผลิตทกี่ ่อใหเ้ กิดผลกระทบตอ่
สิ่งแวดลอ้ มนอ้ ย 5. การจดั การทรพั ยากรธรรมชาติ ทงั้ ทสี่ ามารถนากลบั มาใชใ้ หม่ได้ และไมส่ ามารถ นากลบั มาใชใ้ หม่ 6. การลกมลพิษส่งิ แวดลอ้ ม ตงั้ แตก่ ารผลิต การขนส่ง การบริโภค และการกาจดั หลงั การใชแ้ ลว้ 7. การนากลบั มาใชใ้ หม่ หรือหมนุ เวยี นกลบั มาใชใ้ หม่ 8. การปฏิบตั ิตามขอ้ กาหนดของกฎหมาย 6 เหตุการณเ์ กี่ยวกับส่ิงแวดล้อม 1. ลกั ลอบตดั ไมป้ ่าตน้ นา้ ทงุ่ ระยะ รูปท่ี 8.2 ขา่ วลกั ลอบตดั ไมป้ ่าตน้ นา้ ทงุ่ ระยะ 2. เทศบาลขขุ นั ธ์ จ. ศรสี ะเกษ ม่งุ ประหยดั พลงั งาน
รูปท่ี 8.3 เทศบาลขขุ นั ธ์ จ. ศรีสะเกษ มงุ่ ประหยดั พลงั งาน 3. สิ่งแวดลอ้ ม จ. ภเู ก็ต บบั เคล่ือนเมอื งสวยใสไรม้ ลพษิ รูปท่ี 8.4 ข่าวสิง่ แวดลอ้ ม จ. ภเู ก็ต บบั เคลอื่ นเมืองสวยใสไรม้ ลพิษ 4. ลดมลพษิ จากหมอกควนั ภาคเหนอื
รูปท่ี 8.5 ขา่ วลดมลพษิ จากหมอกควนั ภาคเหนอื 5. กระทรวงวทิ ยฯ์ นาเทคโนโลยชี ่วยปรบั ปรุงคณุ ภาพนา้ ภาคอสี าน
รูปที่ 8.6 ข่าวกระทรวงวทิ ยฯ์ นาเทคโนโลยชี ่วยปรบั ปรุงคณุ ภาพนา้ ภาคอีสาน 6. กระทรวงพลงั งานรว่ มปลกู ป่าในจงั หวดั น่าน รูปท่ี 8.7 ขา่ วกระทรวงพลงั งานรว่ มปลกู ป่าในจงั หวดั นา่ น สรุปสาระสาคัญ สงิ่ แวดลอ้ ม หมายถงึ สิ่งท่อี ย่รู อบตวั มนษุ ย์ ทงั้ ทอ่ี ย่ใู กลแ้ ละไกล เป็นรูปธรรมและ นามธรรม มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต และมีคณุ สมบตั เิ ฉพาะตวั 7 ประการ มี 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ส่งิ แวดลอ้ มธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ้ มทมี่ นษุ ยส์ รา้ งขนึ้ โดยปัจจบุ นั มกี ฎหมายท่ี เก่ยี วขอ้ งในการกากับดแู ลควบคมุ สงิ่ แวดลอ้ มอย่างดีโดยเฉพาะพระราชบญั ญตั ิ โรงงาน พ.ศ. 2535 ทาใหเ้ กดิ ประโยชนท์ งั้ ประโยชนท์ างตรงและประโยชนท์ างออ้ ม
มากมาย อยา่ งไรกต็ ามเพอ่ื ใหก้ ารจดั การสง่ิ แวดลอ้ มมมี าตรฐานสากล จงึ ไดม้ กี ารนา ระบบมาจรฐาน ISO 14000 มาใช้ หน่วยที่ 9 อาชวี อนามยั และความปลอดภัยในการทางาน วตั ถปุ ระสงคข์ องอาชวี อนามัย งานอาชวี อนามยั เป็นการปรบั สภาพงานใหเ้ หมาะสมกบั มนษุ ยแ์ ละจดั บคุ คล ใหเ้ หมาะสมกบั งานที่ตนถนดั และรบั ผดิ ชอบ ซงึ่ งานอาชวี อนามยั มวี ตั ถปุ ระสงคท์ ี่ สาคญั ดงั นี้ 1. เพื่อส่งเสริมและรกั ษาสขุ ภาพทางกาย ทางใจ และการมชี ีวติ เป็นปกตใิ นสงั คม ของคนงานทกุ อาชพี 2. เพอ่ื ปอ้ งกนั ความเสีย่ งตอ่ ปัจจยั ท่อี าจจะทาใหเ้ กิดปัญหาสขุ ภาพของคนงาน 3. เพอ่ื ป้องกนั การเกิดปัญหาสขุ ภาพท่วั ไปจากสภาพการทางานของคนงาน 4. เพื่อปรบั ปรุงส่ิงแวดลอ้ มในการทางานทเ่ี หมาะสมเออื้ ตอ่ การทางานทงั้ รา่ งกาย และจิตใจของคนงาน รูปท่ี 9.1 การออกกาลงั กายเพอ่ื สขุ ภาพ องคป์ ระกอบของอาชีวอนามยั งานอาชีวอนามยั มีองคก์ ารประกอบทีส่ าคญั ดงั นี้ 1. คน
ในดา้ นคนทีป่ ฎบิ ตั งิ านทงั้ หลายย่อมมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งหลากหลาย เช่น กรรมพนั ธุส์ ภาพรา่ งกาย อารมณ์ เป็นตน้ 2. กระบวนการผลติ มีส่วนเก่ยี วขอ้ ง 2 ส่วน คอื 1. วตั ถดุ บิ ท่ใี ชใ้ นการผลติ อาจจะเป็นพิษตอ่ สขุ ภาพได้ 2. วธิ ีการผลิต อาจมีอนั ตรายในการทางานเกิดขนึ้ ได้ 3. เคร่อื งมือ มที งั้ เคร่ืองจกั ร เครอ่ื งยนต์ อปุ กรณต์ ่างๆ ท่ใี ชใ้ นการประกอบอาชพี เชน่ รถบรรทกุ เคร่ืองตดั เครือ่ งยก ฯลฯ 4. ส่ิงแวดลอ้ มในการทางาน มีองคป์ ระกอบท่ีสาคญั ดงั นี้ 1. ส่ิงแวดลอ้ มทางเคมี เชน่ ยาฆ่าแมลง ควนั สารเคมตี า่ งๆ ทใ่ี ชใ้ นการ ประกอบอาชพี เป็นตน้ 2. สงิ่ แวดลอ้ มทางชวี ภาพ เชน่ ไวรสั แบคทเี รีย หนู แมลงตา่ งๆ เป็นตน้ 3. สง่ิ แวดลอ้ มดา้ นจติ ใจ เชน่ ความสกปรก ทศั นยี ภาพ เป็นตน้ 4. สิง่ แวดลอ้ มทางกายภาพ เช่น เสยี ง ความรอ้ น รงั สี ฯลฯ ขอบเขตของอาชวี อนามยั ขอบเขตของอาชวี อนามยั มดี งั นี้ 1. ป้องกนั และรกั ษาอบุ ตั ิภยั จากการทางานในอาชีพ 2. ปอ้ งกนั และรกั ษาโรคท่ีเกดิ จากการประกอบอาชีพ 3. การจดั บริการสขุ ภาพแก่คนงาน 4. ส่งเสรมิ สขุ ภาพจิตในการทางาน 5. จดั สิง่ แวดลอ้ มท่ีเหมาะสมในการทางานเพอื่ ปอ้ งกนั อนั ตราย 6. ฟื้นฟสู ขุ ภาพผรู้ บั บาดเจ็บจากการทางาน
7. ปอ้ งกนั การเจ็บป่วยและสง่ เสริมสขุ ภาพของคนงานโดยรวม ความหมายของความปลอดภัย มีนกั วิชาการไดใ้ หค้ วามหมายของความปลอดภยั ไว้ ดงั นี้ พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ 2542 กล่าววา่ ความปลอดภยั คอื พน้ ภยั เฉดิ ศกั ดิ์ สืบทรพั ย์ (2555 : 23) กาหนดว่า ความปลอดภยั หมายถงึ การ ปราศจากภยั รวมถึงปราศจากอนั ตรายท่ีมโี อกาสจะเกิดขนึ้ สรุป ความปลอดภยั หมายถงึ การพน้ หรอื ปราศจากสง่ิ ทเี่ ป็นอนั ตรายตา่ ง ๆ ทงั้ จากโรคและจากอบุ ตั ภิ ยั
รูปที่ 9.2 ป้ายความปลอดภยั ต่างๆ ความสาคญั ของความปลอดภัยในการทางาน การทางานทีม่ ีความระมดั ระวงั จะทาใหม้ คี วามปลอดภยั ซึง่ เกดิ ประโยชนห์ ลาย ประการ ดงั นี้ 1. ตน้ ทนุ การผลิตลดลง
เมอื่ การเกดิ อบุ ตั ิเหตลุ ดลง ความสญู เสยี หรอื คา่ ใชจ้ า่ ยสาหรบั อบุ ตั เิ หตกุ น็ อ้ ยลง โรงงานสามารถประหยดั เงนิ ค่ารกั ษาพยาบาล คา่ เงนิ เขา้ กองทนุ ทดแทน เป็นตน้ 2. ผลผลติ เพ่งิ ขนึ้ การทางานอย่างปลอดภยั ทาใหค้ นงานมีขวญั และกาลงั ใจทางานไดเ้ ต็มที่ รวดเร็วยิ่งขนึ้ ส่งผลใหม้ ีผลผลติ โดยรวมเพ่มิ ขึน้ 3. กาไรมากขนึ้ เนอ่ื งจากตน้ ทนุ ลดลงและผลผลติ เพม่ิ เป็นเหตใุ หโ้ รงงานไดก้ าไรมาขนึ้ เน่อื งจาก กาไร = รายได้ - รายจ่าย 4. รกั ษาทรพั ยากรมนุษย์ การทาใหส้ ภาพการทางานมคี วามปลอดภยั เป็นการลดการเกดิ อบุ ตั เิ หตุ ส่งผล ใหค้ นงานไดร้ บั บาดเจ็บหรือตายนอ้ ยลง จึงเป็นการสงวนรกั ษาทรพั ยากรมนษุ ยท์ ี่ สาคญั ของชาติไวไ้ ด้ 5. จงู ใจใหค้ นอยากทางานมากขนึ้ เนอ่ื งจากมคี วามปลอดภยั ในการทางานและดารงชีวิตซง่ึ สอดคลอ้ งตามทฤษฎี การจงู ใจของมาสโลว์ (Maslow Motivation Theory) กฎหมายความปลอดภัยในการทางานของประเทศไทย พ.ศ 2470 ไดม้ ีการจดั ตงั้ คณะพจิ ารณากฎหมายอตุ สาหกรรม เพอื่ คมุ ครอง ความปลอดภยั ของคนงาน พ.ศ 2471 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิควบคมุ กิจการคา้ ขายอนั กระทบถงึ ความ ปลอดภยั หรอื ผาสกุ แหง่ สาธารณชน พ.ศ 2477 ประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั สิ าธารณสขุ พ.ศ 2482 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติโรงงาน พ.ศ 2482 ไดก้ าหนดเงอ่ื นไขการ ขอตงั้ และประกอบกิจการโรงงานเก่ยี วกบั การรกั ษาความสะอาด ความปลอดภยั ใน
การทางาน ความปลอดภยั ในการติดตงั้ เรอื่ งจกั ร อปุ กรณ์ ตลอดจนไฟฟ้า การป้องกนั อนั ตรายจากวตั ถรุ ะเบิด พ.ศ 2484 ประก่ศใชพ้ ระราชบัญญัตสิ าธารณสขุ โดยเพิ่มเตมิ ในบทบญั ญต้ ิ เก่ยี วกบั แสงสวา่ งการระบายอากาศ นา้ ดมื่ หอ้ งนา้ และสขุ ภณั ฑ์ พ.ศ 2499 ประกาศใชพ้ ระราชบัญญัติควบคมุ การก่อสรา้ งอาคาร พ.ศ 2503 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั โิ รงงาน (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ 2503 พ.ศ 2510 ประกาศใชพ้ ระราชบัญญตั วิ ตั ถมุ ีพิษ พ.ศ 2510 และมีการแกไ่ ข เพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญัตวิ ตั ถมุ ีพิษ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ 2516 พ.ศ 2512 ต่อมาไดแ้ ก่ไขเพมิ่ เตมิ ฉบบั ที่ 2 พ.ศ 2518 และฉบบั ท่ี 3 พ.ศ 2552 พ.ศ 2515 ประกาศใช้ ประกาศคณะปฎิวตั ิ ฉบบั ท่ี 103 ลงวนั ที่ 16 มนี าคม 2515 เพื่อเป็นกฎหมายคมุ้ ครองสขุ ภาพอนามยั ของลกู จา้ ง พ.ศ 2525 รฐั บาบไดจ้ ดั ตงั้ คณะกรรมการป้องกนั อบุ ตั ภิ ยั แหง่ ชาติ (กปอ.) สงั กดั สานกั นายกรฐั มนตรี พ.ศ 2526 จดั ตงั้ สถานบนั ความปลอดภัย โดยกรมแรงงานกระทรวงมหาดไทย พ.ศ 2528 กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ไดอ้ อกประกาศเรอ่ื งความปลอดภยั ในการทางาน ซ่ึงระบวุ ่านายจา้ งมีลกู จา้ งในสถานประกอบการ 100 คนขนึ้ ไป จะตอ้ ง มีเจา้ หนา้ ท่ีความปลอดภยั (Safety Officer) พ.ศ 2535 ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญัติโรงงาน พ.ศ 2535 แทนพระราชบญั ญัติ โรงงาน พ.ศ 2512 ซ่ึงมีสาระสาคญั เก่ยี วกบั การอนญุ าตโรงงาน ความปลอดภยั และ อาชีวอนามยั มลพษิ และส่ิงแวดลอ้ ม รวมถงึ บทลงโทษ - ประกาศกระทรวงแรงงานและสวสั ดิการสงั คมวา่ ดว้ ยความปลอดภยั ในการ ทางานของลกู จา้ ง เชน่ 1. เรอ่ื งความปลอดภยั ในการทางานเก่ยี วกบั เครอ่ื งจกั ร
2. เร่อื งความปลอดภยั ในการทางานท่เี ก่ยี วกบั ไฟฟ้า 3. เร่ืองความปลอดภยั ในการทางานก่อสรา้ งวา่ ดว้ ยน่งั รา้ น 4. เรื่องความปลอดภยั ในการทางานเก่ยี วกบั ป้ันจ่นั 5. เรื่องความปลอดภยั ในการทางานเก่วี กบั สารเคมีอนั ตราย - พระราชบญั ญัตคิ มุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กาหนดรายละเอียดท่สี าคญั ในการ คมุ้ ครองแรงงานใหม้ ีความปลอดภยั ในการทางาน ดงั นี้ 1. เวลาทางานปกติไม่เกิน 8 ช่วั โมง/วนั 2. เวลาพกั ไม่นอ้ ยกว่า 1 ช่วั โมง/วนั หลงั จากทางานไมเ่ กนิ 5 ช่วั โมง 3. วนั หยดุ ไมน่ อ้ ยกว่า 1 วนั /สปั ดาห์ 4. วนั ลา ลาป่วย ไดเ้ ท่าทปี่ ่วยจริง การลาป่วยตงั้ แต่ 3 วนั ขนึ้ ไป นายจา้ งอาจให้ ลกู จา้ งแสดงใบรบั รองแพทย์ 5. หา้ มมใิ หน้ ายจา้ งจา้ งเดก็ ตา่ กวา่ 15 ปี เป็นลกู จา้ ง 6. สถานทห่ี า้ มลกู จา้ งเดก็ อายตุ ่ากวา่ 15 ปี ทางาน - กฎหมายกระทรวงฉบบั ที่ 2 (พ.ศ. 2541) ออกตาม พ.ร.บ. คมุ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กาหนดใหง้ านท่ีเป็นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพและความปลอดภยั ของลกู จา้ ง ตอ้ งจดั ใหม้ ีการปอ้ งกนั ท่ีตวั บคุ คล ไดแ้ ก่ 1. งานทีต่ อ้ งทาใตด้ ิน ในถา้ ในอโุ มงค์ หรอื ในทอี่ บั อากาศ 2. งานเก่ยี วกบั กมั มนั ตภาพรงั สี 3. งานเชื่อมโลหะ 4. งานขนสง่ วตั ถอุ นั ตราย 5. งานผลิตสารเคมอี นั ตราย 6. งานที่ตอ้ งทาดว้ ยเครอ่ื งมอื หรอิื เคร่อื งจกั ร 7. งานที่ตอ้ งทาเก่ยี วกบั ความรอ้ นจดั หรือเยน็ จดั อนั อาจเป็นอนั ตราย
วธิ กี ารทางานอยา่ งปลอดภยั ในการประกอบอาชีพ 1. กฎเบือ้ งตน้ แห่งความปลอดภยั 10 ประการ 1. ชว่ ยกนั รกั ษาความสะอาดและมีความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย 2. ปรบั ปรุงแกไ้ ขสภาพการณท์ ไ่ี มป่ ลอดภยั 3. ปฏิบตั ิตามคาแนะนาอยา่ งเครง่ ครดั 4. รายงานการบาดเจ็บและการปฐมพยาบาล 5. ใชเ้ ครอื่ งมอื หรอื อปุ กรณใ์ หถ้ กู ตอ้ งปลอดภยั 6. การใช้ การปรบั ซอ่ มแซมอปุ กรณต์ า่ งๆ ตอ้ งเป็นหนา้ ทขี่ องผเู้ ก่ยี วขอ้ งเท่านน้ั 7. การยกสงิ่ ของหนกั ควรชว่ ยกนั ยกหลายๆ คน 8. หา้ มหยอกลอ้ หรือเลน่ กนั ในขณะทางาน 9. ใชอ้ ปุ กรณป์ ้องกนั อนั ตรายในการปฏบิ ตั งิ านใหเ้ หมาะสม 10. ปฏิบตั ิตามกฎหรอื สญั ลกั ษณข์ องความปลอดภยั 2. ความปลอดภยั ในการเคลือ่ นยา้ ยวสั ดุ มวี ธิ กี ารดงั นี้ 1. การเคลอื่ นยา้ ยดว้ ยมือ ตอ้ งพิจารณาจากส่ิงของทีจ่ ะทาการเคลอ่ื นยา้ ยโดยใชม้ อื ยก 2. การเคล่ือนยา้ ยดว้ ยเครอื่ งจกั ร สามารถพจิ ารณาไดจ้ าก (1) เรอื่ งจกั รหรือรถตอ้ งมีหลงั คาและอปุ กรณใ์ นการควบคมุ (2) ใชร้ ถใหเ้ หมาะสมกบั ลกั ษณะงาน (3) ดา้ นผขู้ บั ข่ีตอ้ งมีสขุ ภาพรา่ งกายแข็งแรง 3. ความปลอดภยั ในการเชือ่ มโลหะ มีวธิ ีการดงั นี้ 1. ใชห้ นา้ กากปอ้ งกนั แสงทเี่ กิดจากการเช่อื มโลหะ 2. ควรสวมรองเทา้ นริ ภยั ในขณะทางานเชื่อม 3. ควรสวมเสอื้ ผา้ อยา่ งมดิ ชดิ ในขณะทาการเชอื่ ม
4. ควรสวมถงุ มือในขณะทท่ี าการเชอ่ื ม 5. ควรสวมหนา้ กากเพ่ือป้องกนั แสง รงั สี และสะเก็ตไฟ 4. ความปลอดภยั ในการใชไ้ ฟฟ้า มีวิธีการดงั นี้ 1. ตอ้ งมีสวติ ซต์ ดั ตอนไฟฟ้าโดยอตั โนมตั ิ 2. อปุ กรณไ์ ฟฟ้าควรมีการต่อสายดนิ 3. ตอ้ งมีฟิวสป์ ้องกนั การใชก้ ระแสไฟฟ้าเกิน 4. การใชง้ านเตา้ เสยี บไมค่ วรต่อออกไปใชง้ านมากเกินไป 5. สายไฟฟา้ ทต่ี ่อจากเตา้ เสยี บไมม่ ีการชารุด 6. ตอ้ งมีการตรวจสอบระบบไฟฟ้าจากผเู้ ช่ยี วชาญ กจิ กรรมส่งเสรมิ ความปลอดภยั ในการทางาน กิจกรรมส่งเสรมิ ความปลอดภยั ในการทางาน เป็นกิจกรรมที่จดั ขนึ้ เพ่อื รณรงคส์ ง่ เสรมิ ความปลอดภยั แกล่ กู จา้ งอย่างเป็นรูปธรรม เพือ่ เป็นไปตามนโยบายและแผนดาเนินงานของสถานประกอบการนนั้ กิจกรรมตา่ งๆ มีดงั นี้ 1. การจดั นิทรรศการ การจดั นิทรรศการเป็นการนาภาพเร่อื งราวตา่ งๆ เชน่ นาภาพอบุ ตั ิเหตุ สถิติการเกดิ อนั ตราย รวมถงึ ภาพเหตกุ ารณจ์ ริงมาจดั แสดงในวนั สาคญั เพอ่ื ใหล้ กู จา้ งเกดิ ความ ตระหนกั และมจี ิตสานึกในการทางานอยา่ งปลอดภยั 2. การบรรยายพเิ ศษ การบรรยายพิเศษเป็นการเชญิ วทิ ยากรมาใหค้ วามรูแ้ กบ่ คุ ลากรในหนว่ ยงานอนั เป็นการปลกู จติ สานกึ ใหป้ ฏิบตั ิตามกฎแห่งความปลอดภยั 3. การประกวดเก่ียวกบั ความปลอดภยั ตวั อย่างการประกวดเก่ยี วกบั ความปลอดภยั เชน่ ประกวดคาขวญั ความปลอดภยั
ประกวดภาพโปสเตอร์ เป็นตน้ 4. การรณรงคค์ วามปลอดภยั การจดั กจิ กรรมรณรงคค์ วามปลอดภยั เพ่อื เชิญชวนใหท้ กุ คนรว่ มกนั ปฏิบตั ิตาม นโยบายของหน่วยงาน 5. การกระจายเสยี งบทความ การกระจายเสยี งบทความเป็นการนาบทความเก่ยี วกบั ความปลอดภยั ออกเสยี ง ตามสายหรอื ทางสถานวี ิทยตุ า่ งๆ 6. การทศั นะศึกษาในสถานประกอบการอน่ื การทศั นะศึกษาในสถานประกอบการอ่ืนเพื่อใหล้ กู จา้ งไดม้ ีโอกาสไปพบการทางาน ในสถานประกอบการทีด่ ีเด่น 7. การจดั ฉายวิดีโอความปลอดภยั การจดั ฉายวดิ โี อความปลอดภยั เป็นกจิ กรรมที่จดั ไปพรอ้ มกบั นทิ รรศการในวนั หรอื สปั ดาหค์ วามปลอดภยั โดยขอยมื วดิ ีโอความปลอดภยั จากสถาบนั ความปลอดภยั ใน การทางานหรอื ศนู ยค์ วามปลอดภยั นาไปฉายใหเ้ จา้ หนา้ ทไ่ี ดด้ ู 8. การทาปา้ ยแสดงสถติ ิอบุ ตั เิ หตุ หน่วยงานท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ความปลอดภยั สามารถจดั ทาแผ่นป้ายขนาดใหญ่แสดง สถติ อิ บุ ตั เิ หตหุ รือป้ายประกาศกิจกรรมเก่ยี วกับความปลอดภยั ไวใ้ นที่มองเห็นไดง้ า่ ย 9. ตอบปัญหาชงิ รางวลั หน่วยงานท่ีรบั ผิดชอบอาจจดั ใหม้ ีการตอบปัญหาชงิ รางวลั ในช่วงสปั ดาหค์ วาม ปลอดภยั ของหน่วยงาน วิธีการตอบปัญหาจากเรอ่ื งราวนิทรรศการ หรอื แผ่นพบั ความรูท้ ี่แจกในงาน 10. การเผยแพรบ่ ทความในวารสาร หากหนว่ ยงานมีการจดั ทาวารสารเพ่อื เป็นการประชาสมั พนั ธ์ แจกจา่ ยแก่
บคุ ลากรและผทู้ ส่ี นใจท่วั ไป สามารถนาบทความเก่ยี วกบั ความปลอดภยั ไปตีพมิ พใ์ น วารสารเพื่อเผยแพรค่ วามรู้ ความเขา้ ใจไดม้ ากยง่ิ ขนึ้ กิจกรรมสง่ เสรมิ ความปลอดภยั ทงั้ 10 ขอ้ มีความสาคญั กบั ความปลอดภยั ในการ ทางาน เนอ่ื งจากเป็นกจิ กรรมที่เปิดโอกาสใหผ้ บู้ ริหารและพนักงานมสี ว่ นรว่ ม และ กระตนุ้ จิตสานกึ ของพนกั งานดา้ นความปลอดภยั ในการทางานของพนกั งานไดเ้ ป็น อยา่ งดียงิ่ ขนึ้ แผนภาพท่ี 9.1 กจิ กรรมสง่ เสรมิ ความปลอดภยั ในการทางาน มาตรฐานระบบคุณภาพการจัดการอาชวี อนามัยและความ ปลอดภยั ISO 18000 1. ความหมายและแนวคิดของมาตรฐานระบบคณุ ภาพ ISO 18000 มาตรฐานระบบคณุ ภาพ ISO 18000 หรือในประเทศไทย คอื มอก. 18000 เป็น มาตรฐานระบบการจดั การอาชวี อนามยั และความปลอดภยั กาหนดขนึ้ เพือ่ เป็น
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153