ปฎบิ ตั งิ านไดด้ ีย่ิงขนึ้ จะเป็นเช่ยี วชาญเฉพาะงานหรอื เป็นคณะกรรการปรกึ ษา 3. หนว่ ยงานอนกุ รม (Auxiliary) หมายถงึ หน่วยงานทช่ี ่วยบริการแก่หน่วยงาน หลกั และหน่วยงานที่ปรกึ ษา 4. สายการบงั คับบัญชา (Chain of Command) สายการบงั คบั บญั ชา หมายถงึ ความสมั พนั ธต์ ามลาดบั ชนั้ ระหว่าง ผบู้ งั คบั บญั ชา เพือ่ ใหท้ ราบว่าการติดตอ่ สอื่ สารมีทางเดินอยา่ งไร สายการบงั คบั บัญชาทด่ี ีควรมลี กั ษณะดงั นี้ 1. จานวนชน้ั แตล่ ะสายไมค่ วรมีจานวนมากเกนิ ไป 2. สายการบงั คบั บญั ชาตอ้ งกาหนดไวใ้ หช้ ดั เจน 3. สายการบงั คบั บญั ชาไม่ควรกา้ วก่ายกนั หรอื ไม่ควรซอ้ นกนั 5. ชว่ งการควบคุม (Span of Control) หมายถงึ ส่ิงท่ีแสดงใหท้ ราบวา่ ผบู้ งั คบั บญั ชาคนหนึ่งมีขอบเขตความรบั ผิดชอบเพียงใด มีผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาก่คี น ใน อดีตหวั หนา้ งาน 1 คน ตอ้ งดแู ลรบั ผิดชอบผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา 10-20 คน จงึ จะ เหมาะสม อย่างไรกต็ ามชว่ งการควบคมุ จะมากหรือนอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั 1. ความสามารถของผบู้ งั คบั บัญชา หากผบู้ งั คบั บญั ชามคี วามสามารถมากก็ สามารถปกครองผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาไดจ้ านวนมาก 2. การไดร้ บั การฝึกฝนอบรมของพนกั งาน หมายความวา่ หากพนกั งานไดร้ บั การ ฝึกฝนอบรมมีความรูด้ ีการบงั คบั บญั ชาก็จะง่าย 3. ความย่งุ ยากสลบั ซบั ซอ้ นของงาน 4. ความสมั พนั ธก์ บั หน่วยงานอ่ืน หากมีความสมั พนั ธม์ ากผบู้ งั คบั บญั ชากต็ อ้ งใช้ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจานวนมากขนึ้ 5. ลกั ษณะการควบคมุ แบบต่างๆ มดี งั นี้ (1) ช่วงการควบคมุ ทีก่ วา้ งมาก มีลกั ษณะดงั รูป
รูปท่ี 4.2 แสดงช่วงการควบคมุ ทก่ี วา้ งมาก จากรูป เป็นการแสดงถงึ ช่วงการควบคมุ ที่กวา้ งมาก หมายความวา่ ผบู้ งั คบั บญั ชา 1 คนรบั ผิดชอบผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจานวนมาก อาจเรียกวา่ ชว่ งการ ควบคมุ 10 (2) ช่วงการควบคมุ ที่กวา้ ง หมายความวา่ ผบู้ งั คบั บญั ชา 1 คน รบั ผิดชอบ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจานวนปานกลาง อาจเรยี กว่า ชว่ งการควบคมุ 5 รูปท่ี 4.3 แสดงชว่ งการควบคุมทก่ี ว้าง
(3) ช่วงการควบคุมทแี่ คบ หมายความวา่ ผบู้ งั คบั บญั ชา 1 คน รบั ผิดชอบ ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาจานวนนอ้ ย อาจเรียกวา่ ชว่ งการควบคมุ 3 รูปที่ 4.4 แสดงช่วงการควบคุมทแ่ี คบ อยา่ งไรก็ตาม นกั วิชาการไดศ้ กึ ษาขนาดช่วงการควบคมุ ทเ่ี หมาะสมไวไ้ ดด้ งั นี้ อาร์ ซี เดวสิ พบว่าขนาดการควบคมุ ระดบั ผฏิบตั งิ านมรประสิทธิภาพสงู ประมาณ 30 คน เออรว์ กิ พบวา่ สาหรบั ผบู้ ิีหารไม่ควรเกนิ 4 คน ส่วนผปู้ ฏิบตั งิ านควนมีชว่ งการ ควบคมุ ประมาณ 8-12 คน การกาหนดขนาดของการควบคมุ กวา้ งหรือแคบนน้ั จะมีขอ้ ดีขอ้ เสยี แตกต่างกนั ออกไป ดงั นี้ คือ ข้อดีขอ้ เสยี ขนาดของการควบคุมแบบแคบ ข้อดี 1. การควบคมุ งานจะกระทาไดโ้ ดยท่วั ถงึ เพราะมขี อบเขตการดแู ละแคบ 2. การกระทาผิดของผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชามีนอ้ ย ข้อเสยี ขวญั ของพนกั งานจะไม่ดี เพราะมีการควบคมุ ใกลช้ ดิ เกินไป
ข้อดีข้อเสียขนาดของการควบคมุ แบบกว้าง ขอ้ ดี ขวญั ของพนกั งานจะดี เน่อื งจากไมม่ ีการควบคมุ ใกลช้ ิดเกนิ ไป ทาใหร้ ูส้ กึ ผ่อนคลาย ช่วยทาใหก้ ารตดิ ตอ่ สือ่ สารทาไดร้ วดเรว็ และสะดวก ข้อเสีย การควบคบุ จะหยอ่ นประสิทธิภาพ 6. เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unity of Command) เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา หมายถงึ อานาจการควบคมุ บงั คบั บญั ชาซง่ึ รวมอย่ทู ี่ บคุ คลใดบคุ คลหน่ึงหรอื คณะบคุ คลหนึ่งบคุ คลใดอย่างชดั เจน ทงั้ นเี้ พอ่ื ปอ้ งกนั มใิ ห้ การปฏิบตั ิหนา้ ที่กา้ วกา่ ยกนั และม่งุ ทาใหเ้ กดิ เอกภาพในการบรหิ าร 7. แผนภมู ิขององคก์ าร (Organization Chart) แผนภมู ิขององคก์ าร คือ เครอ่ื งมอื ที่ชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจโครงสรา้ งขององคก์ าร รูอ้ านาจ หนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบตลอดจนสายบงั คบั บญั ชาในองคก์ ารนนั้ 1. ประเภทของแผนภูมิองคก์ าร มีการแบ่ง 3 ประเภท ดงั นี้ (1) แผนภมู โิ ครงสร้างหลัก (Skeleton Chart) เป็นแผนภมู ทิ ีแ่ สดงโครงสรา้ ง ขององคก์ ารทงั้ หมดขององคก์ ารว่า มกี ารแบง่ สว่ นงานใหญ่ ออกเป็นก่หี นว่ ย ทก่ี อง ก่ี แผนท่สี าคญั ๆ ตลอดจนความสมั พนั ธท์ ่ตี อ่ เนอ่ื งกนั เนอื่ งจากแผนภมู ิชนดิ นแี้ สดง สายการบงั คบั บญั ชาลดหล่นั ตาลาดบั จึงอาจเรียกไดว้ ่า \"Hierarchical Chart\" แบบ แผนภมู ิหลกั หรอื Master Chart
รูปท่ี 4.5 แสดงแผนภูมิโครงสรา้ งหลกั 2. แผนภูมิแสดงตวั บุคคล (Personnel Chart) เป็นแผนภมู แิ สดงตาแหน่ง และหนว่ ยงานคลา้ ยแผนภมู โิ ครงสรา้ งหลกั แตร่ ะบชุ ่ือบคุ คลดารงตาแหนง่ ไว้ บาง แห่งตดิ รูปผดู้ ารงตาแหนง่ ไวด้ ว้ ย รูปที่ 4.5 แผนภูมิแสดงตัวบุคคล 3. แผนภมู ิแสดงหน้าที่การงาน (Function Chart) เป็นตาแหน่งและหนว่ ยงาน ยอ่ ยคลา้ นแผนภมู ิโครงสรา้ งหลกั แต่บอกหนา้ ท่ีของแตล่ ะตาแหน่งไว้
รูปท่ี 4.5 แผนภูมิแสดงหน้าท่กี ารงาน 2. ขนั้ ตอนและข้อเสนอแนะในการเขยี นแผนภูมิ 1. รวบรวมหนา้ ท่ีตา่ งๆ ตามที่กาหนดไวใ้ นการแบ่งงาน 2. จดั ประเภทของงาน งานท่ีคลา้ ยกนั ใหอ้ ย่แู ผนกและฝ่ายเดียวกนั 3. กาหนดตาแหน่งงานโดยคานึงถงึ อานาจหนา้ ท่แี ละความรบั ผิดชอบ และ ความสาคญั ของงาน 4. กาหนดชนิดของแผนภมู ิ 5. เขียนชื่อเร่ืองของแผนภมู ิ อนั ประกอบดว้ ย 5.1 ชอ่ื ของหน่วยงานหรือชอ่ื องคก์ ารนนั้ ๆ 5.2 ชือ่ ของแผนภมู ิตามกจิ กรรม เช่น \"แผนภมู ิแสดงแบ่งส่วน ราชการ\" \"แผนภมู ิ สายทางเดินของงาน\" ฯลฯ 5.3 ใชร้ ูปสเ่ี หลี่ยมผนื ผา้ แทนหนว่ ยงาน หรือตาแหน่ง หรอื บคุ คล และควรมี
ขนาดเท่ากนั โดยกาหนดตาแหน่งสงู สดุ ใหร้ ูปใหญ่กว่าตาแหน่งรอง ๆ ลงไป 5.4. จดั รูปสีเ่ หลี่ยมผืนผา้ ใหต้ าแหนง่ สงู ต่าลดหล่นั ตามสายงานการบงั คบั บญั ชาหน่วยงานใดทีม่ ีความสาคญั มีอานาจหนา้ ท่ีเท่ากนั ก็ใหอ้ ยใู่ นระดบั เดียวกนั 5.5 ลากเสน้ สายการบงั คบั บญั ชาผ่านรูปสี่เหล่ียม ใชเ้ สน้ ตรงตามขวางและ ตามยาวขีดเช่ือมโยงแทนสายการบงั คบั บญั ชา และไมค่ วรลากผา่ นทะลรุ ูปสเ่ี หลยี่ ม แทนทห่ี น่วยงานหรอื บคุ คลเป็นอนั ขาด 5.6 พวกทที่ าหนา้ ทปี่ รกึ ษา (Staff) ใหเ้ ขียนไวต้ ่างหากตามระดบั ของหน่วยงาน ทีใ่ หค้ าปรกึ ษาถา้ มอี ยหู่ น่วยเดยี วใหเ้ ขยี นไวท้ างซา้ ยมอื 5.7 การเขียนเสน้ สายการบงั คบั บญั ชาตามขอ้ 7. ใหใ้ ชเ้ สน้ ทบึ หนา หรือเสน้ หนกั แทนสายการบงั คบั บญั ชาโดยตรงในหนา้ ที่หลกั ส่วนหน่วยงานท่ปี รกึ ษาใหใ้ ชเ้ สน้ บางหรอื จดุ ไขป่ ลาแทน สรุปสาระสาคญั ความหมายขององคก์ าร หมายถงึ กลุ่มบุคคลท่ีมาปฏิบตั งิ านรว่ มกนั เพื่อใหง้ าน ดาเนินไปสคู่ วามสาเรจ็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ โดยมรี ะบบของการประสานงานอย่าง เหมาะสม ลกั ษณะขององคก์ าร 1. เป็นโครงสรา้ งของความสมั พนั ธ์ 2. เป็นกล่มุ บคุ คล 3. เป็นส่วนหนง่ึ ของการจดั การ 4. เป็นกระบวนการ 5. เป็นระบบ เป็นมาตรฐานสากลท่ีใชก้ บั การประกอบอาชีพท่วั โลก
หลกั การมาตรฐานอาชพี แห่งชาติ เป็นขอ้ กาหนดทางวชิ าการท่ีใชเ้ ป็นเกณฑว์ ดั ระดบั ฝีมอื ความรูค้ วามสามารถ ทศั นคตโิ ดยมี หลกั การท่ีสาคญั ดงั นี้ 1. มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในทฤษฏเี พยี งพอตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน 2. การปฏบิ ตั งิ านคานงึ ถงึ ความปลอดภยั ในทกุ ดา้ น เชน่ ดา้ นสถานท่ี ดา้ นสภาวะ แวดลอ้ ม และตวั บคุ คล เลือกใชแ้ ละบารุงรกั ษา เครื่องมือ อปุ กรณไ์ ดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง เป็นตน้ 3. เลือกใชแ้ ละบารุงรกั ษาเคร่อื งมอื อปุ กรณไ์ ดอ้ ย่างถกู ตอ้ ง 4. ปฏิบตั ิงานตามลาดบั ขนั้ ตอนถกู ตอ้ งเหมาะสม 5. เลอื กใชว้ สั ดถุ กู ตอ้ ง ประหยดั 6. ใชเ้ วลาปฏิบตั งิ านอย่างเหมาะสม 7. ผลงานไดค้ ณุ ภาพตามมาตรฐานทกี่ าหนด หน่วยที่ 5 หลกั การปฏิบตั ิตนในงานอาชพี การเตรียมตัวเองเข้าสู่งานอาชพี การเตรยี มตวั เองเขา้ ส่งู านอาชพี มีความสาคญั อย่างมากต่อการประกอบอาชพี ซึง่ หากมีการเตรียมการทีด่ ียอ่ มสง่ ผลใหส้ ามารถประกอบอาชีพไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพและประสบความสาเรจ็ ดงั นน้ั การเตรียมตวั เองเขา้ ส่งู านอาชีพ มี วิธีการดงั นี้ 1 การเตรยี มตัวขณะกาลังศึกษา การเตรียมตวั ขณะกาลงั ศกึ ษา เป็นการเตรียมตวั ในดา้ นวชิ าการ ดา้ น ประสบการณ์ และการฝึกฝนความสามารถพิเศษ ซ่งึ มีวิธีปฏิบตั ิไดแ้ ก่ 1. การเตรยี มตวั ความรูว้ ิชาการ เป็นการศกึ ษาความรูส้ ่อู าชพี เก่ยี วกบั หลกั การ
หรอื ทฤษฎใี นงานอาชีพท่นี ่าสนใจ เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งท่องแท้ 2. การเตรยี มตวั ประสบการณช์ วี ิต การที่จะไดร้ บั ประสบการณจ์ ะตอ้ งทา กิจกรรมนอกหลกั สตู รการเรียนอย่างเป็นระบบ เช่น ศกึ ษาดงู านจากแหลง่ เรยี นรูท้ ่ี ไดร้ บั รางวลั รว่ มกิจกรรมกล่มุ หรือชมรมต่างๆตามท่ตี นเองสนใจ 3. การฝึกฝนความสามารถพเิ ศษ เป็นการฝึกฝนตนเองใหม้ ีความสามารถทีเ่ ออื้ ต่อการประกอบอาชพี ต่างๆ เชน่ สามารถขบั รถยนต์ สามารถใชค้ อมพวิ เตอร์ สามารถ พดู ภาษาองั กฤษและภาษาประเทศเพ่ือนบา้ น เป็นตน้ รูปท่ี 5.1 การเตรยี มตวั ขณะกาลงั ศึกษา 2. การเตรียมตวั ภายหลังจบการศึกษา หลงั จากสาเร็จการศกึ ษา เราจาเป็นตอ้ งศึกษาเพม่ิ เติม เพอื่ เตรียมความพรอ้ มสู่ การประกอบอาชีพ มีวธิ ีการปฏิบตั ดิ งั นี้ 1. การศกึ ษาเพิ่มเตมิ โดยเฉพาะความรูท้ ่ีจาเป็นในการประกอบอาชพี ในยคุ ปัจจบุ นั เชน่ เขา้ รบั การอบรมคอมพิวเตอรโ์ ปรแกรมต่างๆ อบรมภาษาต่างประเทศท่ี จาเป็น เป็นตน้ 2. การเตรียมตวั ความรูเ้ รือ่ งงานทจี่ ะทา เป็นการเตรยี มการเก่ยี วกบั ตาแหน่งงาน หนา้ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบของงาน ความรูค้ วามสามารถท่ีจะใชใ้ นการทางาน รวมถงึ ผลตอบแทนทจ่ี ะไดร้ บั
3. การเตรยี มความรูด้ า้ นตลาดแรงงาน เราตอ้ งหาช่องทาง หาตาแหนง่ งานท่ี สนใจ จากแหล่งต่างๆ เช่น จากหนงั สือพมิ พ์ ส่ือสิง่ พิมพต์ ่างๆ ฯลฯ 3. การเตรียมตวั สมัครงาน การเตรยี มตวั สมคั รงาน เป็นการเตรียมความพรอ้ มทางดา้ นบคุ ลิกภาพ การ เตรียมเอกสารและอปุ กรณต์ ่างๆ ซง่ึ มีวธิ ีการเตรียมดงั นี้ 1. การเตรียมความพรอ้ มดา้ นบคุ ลิกภาพ ไดแ้ ก่ การฝึกปรบั ปรุงกริ ิยา มารยาท การพดู การเดิน รวมถงึ การแต่งกาย 2. การเตรยี มเอกสารและอปุ กรณต์ า่ งๆ เชน่ ใบรบั รอง วฒุ ิการศึกษา บัตร ประชาชน สาเนาทะเบียนบา้ น รูปถ่าย เป็นตน้ รูปท่ี 5.2 การสมคั รงาน ทกั ษะทจี่ าเป็ นตอ่ การประกอบอาชพี การประกอบอาชีพทกุ ชนดิ ตอ้ งมีความรู้ ความสามรถเฉพาะในอาชพี นนั้ ๆ และมีทกั ษะทจ่ี าเป็นเพือ่ ท่ีจะสามรถประกอบอาชพี นนั้ ๆ ไดส้ าเรจ็ ทกั ษะที่จาเป็นที่ ควรพฒั นาตวั เองในการประกอบอาชีพมดี งั นี้
1. ทกั ษะกระบวนการทางาน ทกั ษะกระบวนการทางาน เป็นการเรยี นรูก้ ระบวนการทางานและลงมอื ปฏบิ ตั ิงานดว้ ยตนเองโดยมงุ่ เนน้ การฝึกวธิ ีการทางานอยา่ งสม่าเสมอ เพือ่ ใหเ้ กดิ ความเชย่ี วชาญในงานท่ที า ทงั้ การทางานเป็นรายบคุ คลและการทางานเป็นทมี 2. ทกั ษะกระบวนการแกป้ ัญหา ในการทางานตอ้ งประสบกบั ปญหา เราตอ้ งหาทางจดการแกป้ ัญหา เขส้ ใจ ปัญหา และคดิ แกป้ ัญหานนั้ ไดอ้ ยา่ งเด็ดขาดทนั ท่วงที โดยมวี ธิ ีการแกป้ ัญหาดงั นี้ 1. การสงั เกต 2. การวเิ คราะหแ์ ละแยกแยะปัญหา 3. สรา้ งทางเลือกในการแกป้ ัญหา 4. ประเมนิ ทางเลือกหรอื วิธีในการแกป้ ัญหา 3. ทกั ษะการทางานรว่ มกนั เราตอ้ งพฒั นาตวั เองใหส้ ามารถทางานรว่ มกบั ผอู้ ่นื ได้ โดยตอ้ งเป็นบคุ คลท่มี ี บคุ ลิกนสิ ยั ยดื หยนุ่ ประนีประนอม สามารถเขา้ กบั ผอู้ ื่นได้ แลกเปล่ยี นขอ้ มลู กบั ผอู้ ่นื เสมอ มีความจริงใจ ไม่เอาเปรียบผอู้ นื่ 4. ทกั ษะการแสวงหาความรู้ ในการทางานทกุ อย่าง เราจะตอ้ งศึกษาหาความรูเ้ พิ่มเติมตลอดเวลา เพราะว่า ปัจจบุ นั วทิ ยาการตา่ งๆ ไดพ้ ฒั นาและเจรญิ กา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็ว โดยแสวงหาความรู้ จากตารา หนงั สือพมิ พ์ วารสาร โทรทศั น์ ฯลฯ 5. ทกั ษะการจดั การ
ทกั ษะการจดั การ เป็นทกั ษะที่มคี วามจาเป็น โดยเฉพาะบคุ คลที่เป็นผบู้ ริหาร ตอ้ ง มคี วามสามารถในการวางแผน จดั ระบบงาน จดั ระบบบคุ คล มอบหมายงานหรอื ส่งั การ และการประเมินผลงานได้ แผนภาพท่ี 5 การพฒั นาทกั ษะท่ีจาเป็นของตวั เองตอ่ การประกอบอาชีพ การสรา้ งทัศนคติทดี่ ตี อ่ การประกอบอาชีพ ทศั นคติท่ีดตี อ่ การประกอบอาชีพ เป็นสิ่งท่ีสาคญั อยางยง่ิ ทจ่ี ะทาใหม้ นษุ ย์ ดารงชวี ิตอยา่ งมีความสขุ เน่อื งจากชีวติ ของมนษุ ยส์ ่วนมากจะใชเ้ วลากบการประกอบ อาชีพ ดงั นนั้ หากไดท้ างานทีต่ นเองรกั ชอบและถกู กบบคุ ลิกลกั ษณะของตนก็จะทา ใหเ้ กิดการพฒั นางานอยางตอ่ เนอื่ ง ซึง่ วิธีสรา้ งทศั นคตทิ ่ดี ีต่อการประกอบอาชีพมี แนวทางทาได้ เชน่ 1. จดั ประสบการณท์ ่ดี ีเก่ยี วกบั งาน โดยเขา้ ฝึกอบรม เพม่ิ พฒั นาทกั ษะความรู้ ความสามารถอย่างต่อเนอื่ ง ตลอดเวลา 2. จดั สภาพแวดลอ้ มทีด่ ใี นการทางาน สภาพแวดลอ้ มทด่ี ี จาทาใหบ้ รรยากาศของการทางานมคี วามเป็นกนั เอง อบอ่นุ มี ความกระตอื รือรน้ และสรา้ งสรรค์
3. การเป็นแบบอย่างทดี่ ี การประพฤตติ นเป็นแบบอย่างทีด่ ีเป็นการแสดงออกทีส่ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรม ประเพณีอนั ดงี าม 4. การใหค้ าแนะนาหรอื ปรกึ ษาเก่ยี วกบั งาน การใหค้ าแนะนาหรือปรกึ ษาเก่ียวกบั งาน เป็นการสรา้ งบรรยากาศใหเ้ กิด ความคนุ้ เคยเป็นกนั เอง และจะเกดิ ความรูส้ กึ ทีเ่ ป็นมิตรต่อกั เขา้ ใจกนั รูส้ กึ อบอ่นุ และเกดิ ความรูส้ กึ ม่นั ใจในการทางานมากขนึ้ 5. การใชก้ ารส่งเสริมการทางานเป็นทมี การทางานเป็นทมี มีความสาคญั มากในการทางานทีจ่ ะเกิดประสทิ ธิภาพและ ประสิทธิผล ดงั นนั้ เราตอ้ งพยายามอาศยั ความรว่ มมอื ของสมาชิกเป็นอย่างดี จรยิ ธรรมทผี่ ้ปู ระกอบอาชีพควรปฏิบัติ จรยิ ธรรมในการประกอบอาชีพ หมายถึง กฎเกณฑ์ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการประกอบ อาชพี เช่น ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ความเป็นธรรม ความเช่ือถอื ได้ ความไวว้ างใจ ความมี วนิ ยั เป็นตน้ ซ่งึ จริยธรรมตา่ งๆ เหลา่ นเี้ ราตอ้ งนามาใชใ้ นการประกอบอาชีพ และ จรยิ ธรรมท่ีผปู้ ระกอบอาชีพควรปฏบิ ตั ิไดแ้ ก่ 1. การมวี นิ ยั ในการประกอบอาชพี 2. ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ 3. ความรบั ผดิ ชอบในงานอาชีพ 4. การมีจริยธรรมต่อส่งิ แวดลอ้ ม 5. ขยนั หม่นั เพียร
6. ขยนั หม่นั เพยี ร 7. ใหข้ อ้ มลู ขา่ วสารอย่างถกู ตอ้ ง 8. ดาเนินธุรกจิ ถกู กฎหมาย 9. มีจรรยาบรรณตอ่ อาชีพ จรรยาบรรณท่ีผูป้ ระกอบอาชีพควรปฏิบตั ิ เป็นหลกั ธรรมในการประกอบอาชพี ต่างๆ ทีม่ ีลกั ษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ตาม อาชพี ผทู้ ีต่ อ้ งการประสบความสาเร็จในอาชีพของตน จึงควรศกึ ษา ทาความเขา้ ใจ และยึดม่นั ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชีพนน้ั ๆ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. จรรยาบรรณของนักการตลาด 1. นกั การตลาดตอ้ งดาเนนิ งานดว้ ยความยตุ ธิ รรม 2. นกั การตลาดตอ้ งดาเนินการตอบสนองตามความตอ้ งการของสงั คม 3. นกั การตลาดตอ้ งดาเนินการภายใตก้ รอบกฎหมาย 4. นกั การตลาดตอ้ งรว่ มรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม 5. นกั การตลาดตอ้ งรบั ฟังความคิดเหน็ ของผบู้ รโิ ภค 2. จรรยาบรรณของนักธุรกจิ 1. เกยี รติสาคญั กวา่ ผลประโยชน์ 2. มีความสจุ รติ ในการแจง้ คณุ ภาพสินคา้ 3. มเี มตตาตอ่ ทกุ คนท่ีดอ้ ยกว่าตน 4. รว่ มมือกบั รฐั บาลทกุ อยา่ ง
5. เฉลี่ยผลกาไรอย่างท่วั ถึง 6. รว่ มมือกบั นกั บริหารอื่น 7. พึงปฏบิ ตั ิตอ่ ลกู จา้ งในฐานะรว่ มงาน 8. รบั ผิดชอบใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาทกุ คน 9. สง่ เสริมใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาหาความรูเ้ พ่มิ 10. สง่ เสริมใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชามสี ่วนรว่ ม 11. สง่ เสรมิ ใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาออมทรพั ยแ์ ละรว่ มลงทนุ 12. ส่งเสริมใหผ้ ใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชามคี วามปลอดภยั ในการทางาน 3. จรรยาบรรณวชิ าชีพครู ตามขอ้ บงั คบั ครุ ุสภาวา่ ดว้ ยมาตรฐานวชิ าชีพและจรรยาบรรณของวชิ าชีพ พ.ศ. 2548 กาหนดจรรยาบรรณครูเป็นแนวปฏิบตั ิ สรุปไดด้ งั นี้ 1. ตอ้ งมีวินยั ในตนเอง 2. รกั ศรทั ธา สจุ ริต 3. เมตตา เอาใจใส่ ชว่ ยเหลือศิษย์ 4. สง่ เสริมใหเ้ ัิ กดการเรยี นรู้ ทกั ษะ อยา่ งเต็มความสามารถ 5. ปฏิบตั ิตนเป็นแบบอยา่ งทีด่ ี 6. ไม่กระทาคนเป็นปฏิปักษ์ต่อศษิ ย์ 7. จริงใจและเสมอภาคไม่ทจุ ริต
8. สามคั คีในหม่คู ณะ 9. เป็นผนู้ าทางเศรษฐกจิ สงั คม สิ่งแวดลอ้ ม รกั ษาผลประโยน์ และยดึ ม่นั ประชาธิปไตย 4. จรรยาบรรณวิชาชีพนักคอมพิวเตอร์ 1. จรรยาบรรณตอ่ ตนเอง ยึดม่นั ในความซอ่ื สตั ยส์ จุ ริต ปฏบิ ตั หิ นา้ ทแี่ ละดารงชีวิตเหมาะสมตามหลกั ธรร มาภิบาลดงั นี้ (1) ประกอบวิชาชพี นกั คอมพิวเตอรด์ ว้ ยความซือ่ สตั ย์ สจุ รติ มีความยตุ ิธรรม ใฝ่หาความรูใ้ หม่ๆ อย่เู สมอ (2) ผปู้ ระกอบวิชาชีพนกั คอมพวิ เตอรจ์ ะมีความวิริยะอสุ าหะในการปฏบิ ตั ิงาน เพอ่ื ใหบ้ รรลคุ วามสาเรจ็ ของงานสงู สดุ 2. จรรยาบรรณต่อผรู้ ว่ มงาน ตงั้ ม่นั ในความถกู ตอ้ ง มีเหตผุ ล และรูจ้ กั สามคั คี ดงั นี้ (1) ไมค่ ดั ลอกผลงานคนอน่ื มาเป็นผลงานของตวั เอง เวน้ แตไ่ ดร้ บั อนญุ าตจาก เจา้ ของสทิ ธิเดิมเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร (2) ใหค้ วามยกยอ่ งและนบั ถอื ผรู้ ว่ มงานและผรู้ ่วมอาชพี ทกุ ระดบั ท่มี คี วามรู้ ความสามารถและความประพฤติดี (3) รกั ษาและแสวงหามิตรภาพระหว่างผรู้ ว่ มงานและผรู้ ว่ มอาชีพ 3. จรรยาบรรณต่อวชิ าชีพ
ไมป่ ระพฤตหิ รอื กระทาการใดๆ อนั เป็นเหตใุ หเ้ สือ่ มเสียเกียรติในวิชาชีพแหง่ ตน ดงั นี้ (1) ใชค้ วามรูค้ วามสามารถในการสรา้ งสรรค์ ไมใ่ ชใ่ นทางทาลายหรอื กล่นั แกลง้ ผอู้ น่ื (2) ไมแ่ อบอา้ ง อวดอา้ ง ดหู มนิ่ ตอ่ บคุ คลอื่นๆ หรอื กลมุ่ วิชาชีพอ่นื (3) ใหค้ วามรว่ มมอื ในการปฏบิ ตั ิหนา้ ทเ่ี พ่ือสง่ เสริมเกียรติคณุ ของวิชาชีพ 4. จรรยาบรรณตอ่ สงั คม (1) ไม่เรียกรบั หรือยอมรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ผลประโยชนอ์ ยา่ งใดอย่างหนง่ึ สาหรบั ตนเองหรอื ผอู้ น่ื (2) ไมใ่ ชอ้ านาจหนา้ ที่โดยไมช่ อบธรรมในการเออื้ ใหต้ นเองหรือผอู้ น่ื ไดร้ บั ประโยชนห์ รือเสยี ประโยชน์ (3) ไมใ่ ชค้ วามรูค้ วามสามารถไปในทางล่อลวง หลอกลวง จนเป็นเหตใุ หเ้ กิดผล เสียต่อผอู้ ื่น 5. จรรยาบรรณต่อผรู้ บั บริการ เคารพในสทิ ธิเสรีภาพและความเสมอภาคของผอู้ ืน่ ปฏบิ ตั ิหนา้ ทดี่ ว้ ยความ โปรง่ ใสเป็นธรรม ดงั นี้ (1) รบั ฟังความคดิ เห็นแลกเปลี่ยนประสบการณร์ ะหวา่ งบคุ คล เครอื ขา่ ย และ องคก์ ารทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง (2) เปิดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนรว่ มและสามารถตรวจสอบการ ปฏบิ ตั งิ านได้
5. จรรยาบรรณวชิ าชีพผู้สอบบัญชี 1. ไม่รบั ตรวจสอบและรบั รองบญั ชีในกิจการทต่ี นขาดความเป็นอิสระ 2. ไมร่ บั ตรวจและรบั รองบญั ชใี นกิจการทีต่ นเองขาดความเป็นกลางโดยมี ผลประโยชน์ หรือตาปหนง่ ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กจิ การนนั้ 3. ปฏิบตั งิ านตรวจสอบ และรบั รองบญั ชดี ว้ ยความเทย่ี งธรรมและความซื่อสตั ย์ สจุ ริต 4. ไม่ปกปิดขอ้ เท็จจรงิ หรอื บดิ เบือนความจริงกนั เป็นสาระสาคญั ของงบการเงนิ ที่ ตนลงลายมอื ช่อื รบั รองไวใ้ นรายงาน 5. ไมเ่ ป็นสว่ นผทู้ ี่มสี ว่ นเก่ยี วขอ้ งกบั การ ซือ้ ขาย ออก หรือใชใ้ บกากบั ภาษีทีไ่ ม่ชอบ ดว้ ยกฎหมาย 6. ไมเ่ ป็นส่วนทีม่ ีสว่ นเก่ยี วขอ้ งกบั การลงบัญชีหรือการทาเอกสารประกอบการ ลงบญั ชี 7. ไม่เป็นสว่ นท่ีมสี ว่ นเก่ยี วขอ้ งหรือมสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบและรบั รองบญั ชขี อง กจิ การใด 8. ไม่รบั รองบัญชที ่ีตนเป็นผจู้ ัดทาขนึ้ เองหรือชว่ ยเหลือ 9. ตอ้ งปฏิบตั ิงานดว้ ยความรูค้ วามสามารถของวชิ าชพี 10. ไม่ตรวจสอบและรบั รองบญั ชใี นกจิ การที่เกนิ ความรูค้ วามสามารถของตนทีจ่ ะ ปฏิบตั ิได้ 11. ไม่ลงลายมอื ชอ่ื รบั รองในรายการของกจิ การที่ตนมไิ ดป้ ฏบิ ตั ิงานตรวจสอบหรือ ควบคมุ การปฏบิ ตั ิงานตรวจสอบ
12. สอดสอ่ งใชค้ วามรูค้ วามระมดั ระวงั ในการตรวจสอบและรบั รองบญั ชเี ยยี่ งผู้ ประกอบวชิ าชีพโดยท่วั ไป 13. ไม่ยนิ ยอมใหผ้ อู้ นื่ อา้ งวา่ ตนเป็นผตู้ รวจสอบและรบั รองบญั ชีในกิจการโดยตน มไิ ดป้ ฏิบตั ิงาน 14. ไมเ่ ปิดเผยความลบั กจิ การของผเู้ สียภาษีหรือผอู้ นื่ ทีเ่ ก่ยี วข้องโดยนาออกแจง้ แก่ ผใู้ ด หรือใหท้ ราบโดยวิธีใด 15. ไมล่ ะทงิ้ การปฏิบตั งิ านตรวจสอบและรบั รองบญั ชีทร่ี บั ไวแ้ ลว้ โดยไม่มเี หตอุ นั สมควร 16. ไม่แย่งงานตรวจสอบและรบั รองบัญชจี ากผตู้ รวจสอบและรบั รองบญั ชอี น่ื 17. ไมท่ าการตรวจสอบและรบั รองบัญชีเกินกว่าท่ีไดร้ บั มอบหมายจากผตู้ รวจสอบ และรบั รองบญั ชีอ่ืน 18. ไม่กระทาการใดๆ อนั อาจนามาซึง่ ความเสื่อมเสียเกียรตแิ ห่งวชิ าชีพในสว่ นท่ี เก่ยี วกบั กฏหมายภาษีอากร 19. ไม่โฆษณาหรือยินยอมใหผ้ อู้ นื่ โฆษณาดว้ ยประการใดๆ เซง่ึ การประกอบวิชาชพี อนั แสดงใหเ้ ห็นวา่ จะชว่ ยเหลอื ใหภ้ าษีนอ้ ยกว่าความเป็นจรงิ 20. ไมใ่ หร้ บั รองว่าทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชนใ์ ดๆ เพอ่ื เป็นการจงู ใจใหบ้ คุ คลอน่ื แนะนา หรือจดั หางานตรวจสอบและรบั รองบญั ชีมาใหต้ นทา 21. ไมเ่ รยี กหรอื รบั ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชนใ์ จากบคุ คลใดในเมอื่ บคุ คลน้ันไดร้ บั งาน เพราะการแนะนาหรือการจดหางานของตน
22. ไม่กาหนดค่าธรรมเนียมหรือค่าตอบแทนโดยถอื เอาอตั ราสงู ตา่ ตามยอดเงนิ หรือ ของมลู ค่าทรพั ยส์ ินใดที่ตนตรวจสอบ 6. จรรยาบรรณวศิ วกร ของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระ บรมราชปู ถมั ภ์ มี 8 ขอ้ หลกั ๆ ดงั นี้ จรรยาบรรณ ขอ้ 1 วิศวกรตอ้ งรบั ผิดชอบ และใหค้ วามสาคญั เป็นอนั ดบั แรก ต่อสวสั ดิภาพ สขุ ภาพ ความปลอดภยั ของสาธารณชน และ สิง่ แวดลอ้ ม เพอ่ื ให้ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วิศวกรตอ้ ง 1. หลีกเลยี่ งไม่รบั งานทีจ่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็นธรรม และความขดั แยง้ กนั ระหวา่ งผลประโยชน์ ของผวู้ ่าจา้ งกบั ผลประโยชนข์ องสาธารณชน 2. ทางานใหส้ อดคลอ้ งกบั หลกั ปฏิบตั ใิ นการประกอบวิชาชีพวิศวกรรมทเี่ ป็นท่ี ยอมรบั โดยใหร้ ะมดั ระวงั ในเร่ืองเก่ยี วกบั ความปลอดภยั ของชีวติ และสขุ ภาพของ คนงาน และสาธารณชน รวมถงึ ทรพั ยส์ ินซึ่งอาจจะไดร้ บั ผลกระทบจากงานท่ีอย่ใู น ความรบั ผดิ ชอบของตน 3. พยายามป้องกนั ความเสยี หายที่จะเกดิ แกส่ าธารณชน โดยการแจง้ ตอ่ เจา้ หนา้ ทท่ี ีเ่ ก่ยี วขอ้ งใหท้ ราบถึงสถานการณอ์ ันอาจจะกอ่ ใหเ้ กิดอนั ตรายแก่ สาธารณชนขึน้ ได้ 4. ขจดั การเผยแพรข่ ่าวสารอนั เป็นเทจ็ หรอื ข่าวสารที่ขยายเกนิ ความจริง หรอื ไม่ ยตุ ิธรรม 5. มีสว่ นรว่ มในการอภปิ รายในที่สาธารณะ เก่ยี วกบั เรอ่ื งทางวิศวกรรมใน ขอบเขตที่ตนเชยี่ วชาญ ทงั้ นโี้ ดยพจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่าการกระทาเชน่ นจี้ ะเป็นการ ส่งเสรมิ คณุ ภาพชวี ิตทด่ี ขี องสาธารณชน
จรรยาบรรณ ขอ้ 2 วศิ วกรตอ้ งใหข้ อ้ มลู และแสดงความคิดเหน็ ตามหลกั วิชาการ ตามที่ตนทราบอย่างถ่องแทแ้ ก่สาธารณชนดว้ ยความสตั ยจ์ ริงเพื่อใหบ้ รรลุ วตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วิศวกรตอ้ ง 1. แถลงถงึ ความคิดเหน็ ทางวิศวกรรมตอ่ สาธารณชน เฉพาะเมอื่ ตนไดท้ ราบ ขอ้ เทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั เร่อื งที่แถลงนนั้ อย่างถ่องแทแ้ ลว้ 2. ผทู้ ่เี ป็นพยานในศาลตอ้ งใหถ้ อ้ ยคาต่อศาลดว้ ยขอ้ มลู ทถี่ กู ตอ้ ง และเฉพาะท่ีได้ รูช้ ดั แจง้ เท่านน้ั แตจ่ รรยาบรรณขอ้ นไี้ มไ่ ดห้ า้ มการตอบขอ้ ซกั ถามท่ตี อ้ งใชก้ าร คาดคะเน และพนิ ิจพิจารณาโดยอาศยั ความรู้ และประสบการณข์ องตนเอง และ ความรูท้ ่ีเก่ยี วขอ้ งในวงกวา้ ง 3. เปิดเผยถงึ ผลประโยชนใ์ ดๆ ทีต่ นเก่ยี วขอ้ ง ทอ่ี าจจะมผี ลกระทบต่อดลุ ยพินจิ ของตนในเรื่องทางเทคนคิ ทต่ี นกาลงั แถลง หรือประจกั ษพ์ ยานอยู่ จรรยาบรรณ ขอ้ 3 วศิ วกรตอ้ งดารงและส่งเสรมิ ความซื่อสตั ยส์ จุ รติ เกยี รติยศ และศกั ด์ศิ รขี องวชิ าชีพวศิ วกรรม เพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วิศวกรตอ้ ง 1. ปฏบิ ตั ิงานทไี่ ดร้ บั ทา อยา่ งถกู ตอ้ งตามหลกั ปฏิบตั แิ ละวชิ าการของวชิ าชีพ โดย เครง่ ครดั 2. ประกอบวชิ าชพี ดว้ ยความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ไม่ใชว้ ิชาชีพในทางที่ผดิ กฎหมาย 3. หลีกเลย่ี งการกระทาใดๆ ท่จี ะนาความเสือ่ มเสียมาสวู่ ิชาชีพวศิ วกรรม 4. ไม่โฆษณาผลงานของตนเองในลกั ษณะที่เป็นการโออ้ วด
5. ไม่พวั พนั เก่ียวขอ้ งกบั ธุรกิจหรือประกอบการใดๆ ซึง่ ตนรูอ้ ยวู่ ่าเป็นการ หลอกลวงหรอื ไมส่ จุ ริต 6. ไมอ่ าศยั การคบหาสมาคมกบั บคุ คลอืน่ ๆ หรอื หน่วยงานอ่ืนๆ เพอ่ื ปกปิดการ กระทาที่ผดิ จรรยาบรรณ 7. ไมป่ ระกอบวชิ าชีพรว่ มกบั วศิ วกรที่ปฏิบตั ิตนผดิ จรรยาบรรณ และตอ้ งรายงาน ต่อพนกั งานเจา้ หนา้ ที่ เม่อื พบว่ามีวศิ วกรกระทาผดิ จรรยาบรรณ จรรยาบรรณ ขอ้ 4 วิศวกรตอ้ งปฏิบตั ิงานเฉพาะทีต่ นมคี วามรูค้ วามสามารถ เท่านน้ั เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วศิ วกรตอ้ ง 1. ไมป่ ระกอบอาชีพวิศวกรรมเกินความรูค้ วามสามารถทีต่ นเองจะทาได้ 2. ในกรณีท่งี านทไี่ ดร้ บั มอบหมายมานนั้ ตอ้ งการความรูค้ วามสามารถ หรอื ประสบการณอ์ ย่างอนื่ นอกเหนอื จากทตี่ นเชีย่ วชาญ วศิ วกรตอ้ งแจง้ ใหผ้ วู้ า่ จา้ ง หรือ ลกู คา้ ของตนทราบอยา่ งตรงไปตรงมา อีกทงั้ แนะนาใหร้ ูจ้ กั ผทู้ ี่เหมาะสมกบั งานนน้ั จรรยาบรรณ ข้อ 5 วศิ วกรตอ้ งสรา้ งชือ่ เสียงในวิชาชีพจากคณุ คา่ ของงาน และ ตอ้ งไมแ่ ข่งขนั กนั อย่างไม่ยตุ ธิ รรม เพ่อื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วศิ วกรตอ้ ง 1. ไม่ใชข้ อ้ ไดเ้ ปรยี บหรอื ตาแหน่งอนั มีอภสิ ิทธิ์ ไปแยง่ งานจากผปู้ ระกอบวิชาชพี วิศวกรรมคนอ่ืนๆ 2. ไมแ่ อบอา้ งผลงานของวศิ วกรผอู้ นื่ มาเป็นของตน โดยยดึ หลกั ไวเ้ สมอว่างานใด ท่ีวศิ วกรผใู้ ดผหู้ น่ึงทาไวจ้ ะตอ้ งใหเ้ กยี รตถิ อื ว่าเป็นผลงานของวิศวกรผนู้ น้ั
3. ไมก่ ระทาการใดๆ อนั อาจนามาซ่ึงความเสอื่ มเสยี ต่อช่ือเสียง ความกา้ วหนา้ หรอื การปฏบิ ตั ิวชิ าชพี ของวิศวกรอ่ืน 4. ไม่ปลอมแปลงและไม่ใหข้ อ้ มลู ทีผ่ ดิ พลาดเก่ยี วกบั คณุ สมบตั ิ ประสบการณ์ หรือภาระความรบั ผิดชอบทผี่ ่านมาของตน 5. ไมร่ บั ทางานหรอื ตรวจสอบงานชนิ้ เดยี วกนั กบั ผปู้ ระกอบอาชพวิศวกรรมคนอ่ืน ทาอย่แู ลว้ เวน้ แต่เป็นการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ หรือไดแ้ จ้งใหผ้ ปู้ ระกอบการวิชาชพี วิศวกรรม นนั้ ทราบลว่ งหนา้ แลว้ 6. ไมร่ ากแซงงานของวศิ วกรอืน่ เมื่อทราบวา่ งานนน้ั มีวศิ วกรอ่ืนทางานนน้ั อย่แู ลว้ ยกเวน้ เมื่อผวู้ ่าจา้ งไดบ้ แกเลกิ การจา้ งกบั วศิ วกรผนู้ นั้ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรเรียบรอ้ ย แลว้ 7. ไม่แขง่ ขนั กับวิศวกรอ่ืนดว้ ยการตดั ราคาค่าจา้ งของตนใหต้ ่ากว่า โดยเฉพาะเมื่อ ทราบอตั ราค่าจา้ งของผนู้ น้ั แลว้ 8. ไม่ใชอ้ ทิ ธิพลใดๆ ในการแขง่ ขนั กบั วศิ วกรอื่น เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงงานนน้ั 9. ไมเ่ สนอสงิ่ ตอบแทนใดๆ ทงั้ โดยตรงและโดยออ้ ม เพ่อื ใหไ้ ดง้ านมาทา 10. ไมว่ พิ ากษว์ ิจารณง์ านของวิศวกรอื่นตอ่ สาธารณะ เวน้ แตจ่ ะเป็นการปฏบิ ตั ิ หนา้ ที่ 11. พึงรบั งานจากผวู้ า่ จา้ ง หรือลกู คา้ โดยคานงึ ถงึ ความเป็นอสิ ระเชิงวชิ าชพี เป็น สาคญั จรรยาบรรณ ข้อ 6 วศิ วกรตอ้ งรบั ผิดชอบต่องานและผลงานในวิชาชพี ของ ตน
เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วศิ วกรตอ้ ง 1. คานงึ อย่เู สมอวา่ งานทกุ อย่างทีท่ าไปนนั้ ตนตอ้ งรบั ผดิ ชอบตลอดอายกุ ารใชง้ าน ตามวตั ถปุ ระสงคก์ ารใชง้ านเดิม 2. คานึงอยเู่ สมอวา่ ผลงานท่ตี นจะตอ้ งรบั ผดิ ชอบนน้ั อาจจะไดร้ บั ผลกระทบจาก ภยั ธรรมชาติ และส่ิงท่ีคาดไมถ่ ึงในอนาคต 3. ติดตามผลงานจากการออกแบบ หรอื การใหค้ าปรกึ ษาของตน ตลอดระยะเวลา ทีผ่ ลงานน้ั ยงั มกี ารใชง้ านอยู่ หากทราบวา่ มขี อ้ บกพรอ่ งใดๆ อนั อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความ เสยี หายแก่ผวู้ ่าจา้ ง หรอื ลกู คา้ หรอื แก่สาธารณชน วศิ วกรตอ้ งเรง่ รดั จดั การเพอื่ ใหม้ ี การแกไ้ ข โดยไมต่ อ้ งใหเ้ จา้ ของงานทกั ทว้ งกอ่ น จรรยาบรรณ ข้อ 7 วิศวกรตอ้ งใชค้ วามรูแ้ ละความชานาญในงานวชิ าชพี อยา่ งซื่อตรง เพอ่ื ผลประโยชนข์ องผวู้ ่าจา้ งหรอื ลกู คา้ ซึ่งตนปฏิบตั งิ านใหเ้ สมอื นเป็น ตวั แทนที่ซ่อื ตรงหรอื เป็นผทู้ ไี่ ดร้ บั ความไวว้ างใจ เพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ อง จรรยาบรรณขอ้ นี้ วศิ วกรตอ้ ง 1. ซ่ือตรงต่อผวู้ ่าจา้ งหรอื ลกู คา้ เมื่อปฏิบตั หิ นา้ ทีใ่ นฐานะท่ีตนเป็นตวั แทนหรอื ผู้ ไดร้ บั ความไวว้ างใจจากบคุ คลเหลา่ นน้ั 2. แสดงสถานะของตนใหผ้ วู้ า่ จา้ งทราบก่อนทจ่ี ะรบั ดาเนนิ การ ในกรณีทไ่ี ดร้ บั แตง่ ตงั้ ใหต้ ดั สินงานหรือส่ิงอนื่ ท่ีตนอาจจะมผี ลประโยชนเ์ ก่ยี วขอ้ งอย่ดู ว้ ย 3. รบั ผิดชอบในความเพยี งพอทางเทคนิคของงานวศิ วกรรม โดยแสดงใหเ้ ห็น อย่างชดั เจนเป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร ถึงผลทจี่ ะเกิดขนึ้ จากการเปลีย่ นแปลงเนอ่ื งจากผมู้ ี อานาจเหนอื กว่ามคี วามเห็นเป็นอย่างอ่นื 4. ไม่เปิดเผยความลบั ของงานทต่ี นรบั ทา เวน้ แตไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากผวู้ ่าจา้ ง 5. ไมม่ ีสว่ นไดส้ ว่ นเสียในฐานะเป็นผรู้ บั เหมาหรอื รว่ มทนุ ในการประกวดราคางาน ซง่ึ ตนเป็นวิศวกรผรู้ บั ผิดชอบ นอกจากจะไดร้ บั อนญุ าตจากผวู้ า่ จา้ ง
6. ไมร่ บั ค่าตอบแทนเป็นเงินหรือสง่ิ อน่ื ใด จากผวู้ ่าจา้ งหลายรายในการใหบ้ ริการ งานชิน้ เดียวกนั นอกจากจะไดร้ บั อนญุ าตจากผูเ้ ก่ยี วขอ้ งทกุ ฝ่ายแลว้ 7. ไมเ่ รียก รบั หรือยอกรบั ทรพั ยส์ ิน ของกานลั หรอื ผลประโยชนใ์ ดๆ สาหรบั ตน หรือพวกพอ้ งของตนจากผรู้ บั เหมา ตวั แทนของผรู้ บั เหมา ผขู้ ายวสั ดอุ ปุ กรณ์ หรอื บคุ คลอ่ืนทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั งานทีต่ นรบั ผดิ ชอบอยู่ 8. แนะนาผวู้ ่าจา้ งของตนใหจ้ า้ งผเู้ ชี่ยวชาญมาดาเนนิ การส่งิ ทเี่ ป็นประโยชนต์ อ่ ผู้ ว่าจา้ งและใหค้ วามรว่ มมอื อยา่ งเตม็ ที่ 9. ตอ้ งเสนอผลการศกึ ษาโครงการตามความเป็นจรงิ ทกุ ประการ โดยไม่มกี าร บดิ เบือนใดๆ 10. แจง้ ใหผ้ วู้ า่ จา้ งของตนทราบทนั ทีถึงกจิ กรรมใดๆ ซ่งึ ตนมสี ่วนไดส้ ่วนเสยี และ อาจจะเป็นคแู่ ข่งหรอื มผี ลกระทบต่อธุรกจิ ของผวู้ ่าจา้ ง และต้องไม่ยอมใหผ้ ล ประโยชนข์ องธุรกิจใดๆ มอี ิทธิพลเหนือการตดั สินใจเก่ยี วกบั งานทตี่ นทาอยู่ จรรยาบรรณ ข้อ 8 วิศวกรพึงพฒั นาและเผยแพรค่ วามรูท้ างวิชาชีพของตน ตลอดเวลาท่ีประกอบวชิ าชพี วิศวกรรม และใหค้ วามสาคญั ในการช่วยเหลอื ส่งเสรมิ เพ่อื เพิ่มพนู ความรูแ้ ละประสบการณ์ ใหแ้ กว่ ิศวกรในความดแู ลของตนอยา่ ง จรงิ จงั เพื่อใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ องจรรยาบรรณขอ้ นี้ วิศวกรตอ้ ง 1. พฒั นาตนเองในดา้ นความรูแ้ ละความกา้ วหนา้ ในวิชาชีพวิศวกรรม 2. เผยแพรค่ วามรูว้ ิชาชีพวศิ วกรรม 3. ใหค้ วามรว่ มมือในการส่งเสรมิ วชิ าชพี วิศวกรรม โดยการแลกเปลีย่ นขา่ วสาร ความรูแ้ ละประสบการณก์ บั วศิ วกรอ่ืน 4. สนบั สนนุ ใหล้ กู จา้ งหรอื ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาในงานวชิ าชีพของตนไดศ้ กึ ษาตอ่ 5. สนบั สนนุ นสิ ิตนกั ศึกษา ในการเพิม่ พนู ความรูด้ า้ นวชิ าชีพวศิ วกรรม 6. สนบั สนนุ โครงการและกิจการดา้ นวศิ วกรรมขององคก์ รวชิ าชพี วิศวกรรม และ
สถาบนั การศกึ ษาต่างๆ 7. จรรยาบรรณวิชาชีพสถาปัตยกรรม จรรยาบรรณวิชาชีพสถาปัตยกรรม เป็นกฎหมายแหง่ พระราชบญั ญตั ิ วชิ าชพี สถาปัตยกรรม พ.ศ. 2508 รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทยออกกฎกระทรวงไวเ้ ป็น แนวปฏิบตั ดิ งั นี้ 1. ปฏบิ ตั ิงานดว้ ยความซอื่ สตั ยส์ จุ ริตและไม่ละทงิ้ งานทไี่ ดร้ บั มอบหมายโดยไมม่ ี เหตอุ นั สมควร 2. ไมก่ ระทาการใดๆ อนั อาจทาใหเ้ สือ่ มเสยี เกยี รติแหง่ วิชาชีพ 3. ไม่โฆษณาเสอื่ มเสียหรอื ใหผ้ อู้ ื่นโฆษณาวิชาชีพของตน 4. ไมร่ บั ดาเนินงานโดยใชแ้ บบอย่างเดียวกนั กบั ผวู้ า่ จา้ งรายอื่น 5. ไมร่ บั ตรวจสอบงานท่ีผปู้ ระกอบวชิ าชพี สถาปัตยกรรมอื่นทา เวน้ แต่เป็นการ ตรวจสอบตามหนา้ ที่ 6. ไมร่ บั งานชนิ้ เัียวกนั กบั ผปู้ ระกอบอาชีพสถาปัตยกรรมอน่ื ทาอยู่ 7. ไมแ่ สวงหางานโดยการแบ่งปันกบั ผปู้ ระกอบวชิ าชีพสถาปัตยกรรมควบคมุ โดยลดผลประโยชน์ 8. ไม่ใชต้ าแหน่งหนา้ ท่หี รอื อิทธิพลใหป้ ระโยชนแ์ กผ่ อู้ น่ื เพื่อใหไ้ ดร้ งั งานโดยมิ ชอบ 9. ไม่เปิดเผยความลบั ของงานที่ตนไดร้ บั นามาใช้ 10. ไม่กระทาการใดๆ โดยจงใจใหเ้ ป็นท่ีเสือ่ มเสียหรอื งานของผคู้ วบคมุ อ่นื 11. ไม่รบั ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชนโ์ ดยมชิ อบ 8. จรรยาบรรณวชิ าชีพนักกฏหมาย
จรรยาบรรณหรือแนวปฏิบตั ทิ ีด่ ีงามของตลุ ากร อยั การ และทนายความ มีดงั นี้ 1. มนษุ ยท์ กุ คนมีสิทธิ์ในเรอื่ งยตุ ิธรรมเท่าเทยี มกนั 2. ความยตุ ธิ รรมอย่เู หนอื อามสิ สนิ จา้ งหรอื ผลประโยชนใ์ ดๆ 3. นกั กฏหมายทกุ คนเป็นทีพ่ ่ึงของประชาชนทกุ คนในดา้ นความยตุ ิธรรม 4. กฎหมายเป็นเครอ่ื งมือของความยตุ ิธรรมมิใชม่ าตรการความยตุ ิธรรม 5. งานดา้ นกฎหมายถอื เป็นงานอาชีพมิใชธ่ ุรกจิ 6. ความยตุ ิธรรมเป็นกลางสาหรบั ทกุ คน 7. มนษุ ยม์ ีคา่ เหนือกว่าวสั ดใุ ดๆ 8. พึงขวนขวายหาความรูใ้ หท้ นั เหตกุ ารณเ์ สมอ 9. ไม่รบี รอ้ นตดั สนิ ใจโดยไมจ่ าเป็น 10. งดอบายมขุ ทกุ ประการ 11. รกั เกียรติย่งิ กวา่ ทรพั ยส์ นิ ใดๆ 12. ไมร่ บั เหมากอ่ สรา้ ง 9. จรรยาบรรณของแพทย์ เป็นกรอบการประพฤตขิ องแพทยใ์ นภาพรวมที่แพทยท์ กุ คนจะตอ้ งปฏบิ ตั แิ ละ ยึดถอื เพอ่ื เกยี รตแิ ละศกั ดศ์ิ รีของวิชาชพี มดี งั นี้ 1. พึงวา่ มีเกียรตมิ ศี กั ดิศ์ รีอย่เู หนือผลประโยชน์ 2. คนมคี า่ เหนือวตั ถุ 3. ไมภ่ อื ว่าผปู้ ่วยเป็นโอกาสใหไ้ ดท้ ดลอง 4. รกั ษาความลบั ของผปู้ ่วย 5. พึงรว่ มมือกบั แพทยเ์ พ่ือหาวธิ ีรกั ษาพยาบาลที่มปี ระสิทธิภาพ 6. ใหย้ ารกั ษาท่ีเช่อื ว่ามีประโยชนต์ อ่ ผปู้ ่วย 7. รกั ษาพยาบาลโดยไมม่ ่งุ เนน้ ธุรกิจ
8. หาความรูต้ ลอดเวลา 9. รกั ษาพยาบาลทกุ คนไมเ่ ลอื กชาติ ศาสนา เชอื้ ชาติ วรรณะ ฐานะ 10. การตอ่ อายสุ ขุ ภาพเป็นการบรกิ ารใหเ้ หนือส่ิงอื่นใด 11. แพทยม์ ีสิทธิเรียกรอ้ งตามสทิ ธิอนั ควรไดแ้ ต่ไม่ใช่ถือโอกาสเลอื กใชส้ ถานการณ์ ต่อรอง 12. พึงงดเวน้ อบายมขุ ทกุ อย่าง สรุปสาระสาคัญ การเตรียมตวั ขณะกาลงั ศกึ ษา มกี ารเตรยี มตวั ขณะกาลงั ศึกษาการเตรยี มตวั ภายหลงั จบการศกึ ษา และการเตรยี มตวั สมคั รงาน การพฒั นาทกั ษะท่ีจาเป็นเพอ่ื ทีจ่ ะสามรถประกอบอาชีพนน้ั ๆ ไดร้ าเรจ็ ทกั ษะท่ี จาเป็นที่ควรพฒั นาตวั เองในการประกอบอาชพี ไดแ้ ก่ ทกั ษะกระบวนการทางาน ทกั ษะกระบวนการแกป้ ัญหา ทกั ษะการทางาน รว่ มกนั ทกั ษะการแสวงกาความรู้ และทกั ษะการจดั การ วธิ ีสรา้ งทศั นคติท่ีดีต่อ การประกอบอาชพี ทาไดโ้ ดย 1. จดั ประสบการณท์ ีด่ เี ก่ยี วกับงาน 2. จดั สภาพแวดลอ้ มทด่ี ใี นการทางาน 3. การเป็นแบบอย่างท่ีดี 4. การใหค้ าแนะนาหรือปรกึ ษาเก่ยี วกบั งาน 5. การใชก้ ารสง่ เสริมการทางานเป็นทมี จรยิ ธรรมในการประกอบอาชพี หมายถึง กฎเกณฑ์ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการประกอบ อาชพี เช่น ความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ความเป็นธรรม ความเชื่อถอื ได้ ความไวว้ างใจ ความมี
วนิ ยั เป็นตน้ จรรยาบรรณ เป็นขอ้ ความทีก่ าหนดเป็นแนวทางปฏบิ ตั ขิ องอาชพี โดยเขียนไว้ เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร ทค่ี วรปฏิบตั ติ าม หน่วยที่ 6 หลกั การบริหารงานคุณภาพ ความหมายของคุณภาพและการบริหารงานคณุ ภาพ 1. ความหมายของคณุ ภาพ ในการใหค้ วามหมายคาว่า คณุ ภาพ (Quality) มผี นู้ ิยามความหมายไวด้ งั นี้ คณุ ภาพตามความคิดดงั้ เดมิ (Classical) คอื ผลติ สนิ คา้ ใหไ้ ดม้ าตรฐานท่ีกาหนด ไว้ แผนภาพท่ี 6.1 แผนภาพที่ 6.1 คณุ ภาพตามความคิดดงั้ เดิม คณุ ภาพตามความคิดสมยั ใหม่ (Modery) หมายถงึ ผลิตสินคา้ สอดคลอ้ งกบั ความพงึ พอใจ (Satisfaction) ของผใู้ ชห้ รอื ลกู คา้ แผนภาพท่ี 6.2
แผนภาพที่ 6.2 คณุ ภาพตามความคิดสมยั ใหม่ คณุ ภาพในความหมายของผบู้ ริโภค \"คณุ ภาพ\" หมายถึง คณุ สมบตั ิทกุ ประการ ของผลิตภณั ฑแ์ ละบรกิ ารที่ตอบสนองความตอ้ งการและสามารถสรา้ งความพงึ พอใจ ใหแ้ กล่ กู คา้ มีความปลอดภยั ต่อชวี ติ และสภาพแวดลอ้ ม คุณภาพในความหมายของผผู้ ลิต คณุ ภาพ หมายถึง ขอ้ กาหนด (Specification) ของสนิ คา้ ท่ผี ผู้ ลติ กาหนดขนึ้ และตอ้ งเหนือกวา่ คแู่ ข่งขนั ในอนกุ รมมาตรฐาน มอก.9000 คณุ ภาพ หมายถงึ ความเหมาะสมสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ มีความปลอดภยั ในการใชง้ านและยงั ใหค้ วามม่งั ใจได้วา่ การใหบ้ ริการ หรอื ผลิตภณั ฑน์ นั้ ไดร้ บั การออกแบบผลิตขนึ้ ตรงกบั ความตอ้ งการของลกู คา้ สรุป คุณภาพ หมายถงึ คณุ ลกั ษณะเฉพาะ (Characteristics) ของสินคา้ หรือ บรกิ ารทส่ี ามาตอบสนองตามความตอ้ งการและสรา้ งความพึงพอใจใหแ้ ก่ลกู คา้ ได้ และไมเ่ ป็นภยั ตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มรวมถึงประโยชนต์ ่อสงั คม 2. ความหมายของการบรหิ ารงานคณุ ภาพ (Quality Management) การบรหิ ารงานคณุ ภาพ หมายถงึ กระบวนการเพ่อื ใหบ้ รรลจุ ดุ ม่งุ หมายคณุ ภาพ ขององคก์ ารประกอบดว้ ยนโยบายและวตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ คณุ ภาพ การจดั การโครงสรา้ ง หนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบของแตล่ ะฝ่ายท่ีเออื้ อานวยตอ่ การทางาน โดยมเี ปา้ หมายให้ เกิดคณุ ภาพท่ีสามารถตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้
ในนยิ ามศพั ท์ ISO 8402 กลา่ ววา่ การบริหารงานคณุ ภาพ หมายถึง ความม่งุ ม่นั และแนวทางดาเนดิ การทางดา้ นคณุ ภาพทงั้ หมดขององคก์ ารทีไ่ ดแ้ ถลงไวอ้ ยา่ งเป็น ทางการโดยผบู้ ริหารระดบั สงู สรุป การบริหารงานคณุ ภาพ หมายถงึ กระบวนการดาเนนิ งานดา้ นคณุ ภาพ ทงั้ หมดอย่างตอ่ เนื่องโดยมีเปา้ หมายทีส่ นองความตอ้ งการของลกู คา้ วิวัฒนาการของการบริหารงานคุณภาพ วิวฒั นาการของการบริหารงานคณุ ภาพ สามารถแบง่ เป็นช่วงทีส่ าคญั ได้ 3 ช่วง ดว้ ยกนั คอื 1. ชว่ งท่ี 1 ชว่ งก่อนการปฎวิ ตั ิอตุ สาหกรรม ในช่วงนกี้ ารจดั การคณุ ภาพจะอย่ใู นรูปแบบของการตรวจสอบ (Inspection) จะเป็นการผลิตสนิ คา้ เพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ซง่ึ มีจานวนไม่มากนกั จึง มีวธิ ีการในการควบคณุ ภาพโดยเนน้ ทกี่ ารตรวจสอบสนิ คา้ กอ่ นที่จะส่งถงึ มอื ลกู คา้ เป็นการควบคมุ คณุ ภาพโดยวิธีการแยงของดีออกจากของเสยี 2. ช่วงที่ 2 ช่วงของการปฎิวตั ิอตุ สาหกรรม อตุ สาหกรรมต่าง ๆ มีการใชเ้ ครอ่ื งจกั รแทงแรงงานคน การผลติ สินคา้ เป็น กระบวนการผลติ จานวนมาก (Mass Product) ผลิตท่อี อกจากกระบวนการผลิตในแต่ ละรอบมีปรมิ าณมากทาใหต้ อ้ งพฒั นาวธิ ีการควบคุมคณุ ภาพโดยการนาเอาเทคนิค ทางสถิตมิ าใชใ้ นการส่มุ ตวั อย่างเพอื่ ตรวจสอบสินคา้ ท่ผี ลติ เสรจ็ แลว้ โดยทาการ ตรวจสอบสินคา้ ทผี่ ลติ ไดว้ ่าเป็นไปตามขอ้ กาหนดหรือมาตรฐานทีใ่ ชอ้ า้ งอิงหรือไม่ ดงั นนั้ ในช่วงนจี้ ึงเป็นการควบคณุ ภาพในกระบวนการผลิต มีการตรวจสอบคณุ ภาพ ของสนิ คา้ ท่ีผลติ ไดเ้ ปรยี บเทียบกบั เกณฑห์ รือมาตรฐานท่ีกาหนด
3. ชว่ งที่ 3 เป็นช่วงของการแขง่ ขนั ท่เี ขม้ ขน้ ขนึ้ ในช่วงนเี้ ป็นยคุ ของโลกาภวิ ฒั นเ์ ปิกโลกเสรีการคา้ สง่ ผลใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั กนั มากในดา้ นธรุ กิจการคา้ แนวคดิ สาคญั ของคณุ ภาพไดพ้ ฒั นาสกู่ ารสรา้ งความพึง พอใจใหก้ บั ลกู คา้ ดงั นนั้ ในกระบวนการผลิตจงึ ตอ้ งมีการวางแผนและควบคมุ การ ผลิตในทกุ ขนั้ ตอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของลกู คา้ ตั้งแตก่ ารควบคมุ ปัจจยั นาเขา้ (Input) ที่ส่งถงึ มอื ลกู คา้ กระบวนการทุกอยา่ งมึ่งเนน้ ทีล่ กู คา้ เพือ่ สรา้ งความ พงึ พอใจใหก้ บั ลูกคา้ การบริหารคณุ ภาพไดพ้ ฒั นาส่รู ะบบประกนั คณุ ภาพเพ่ือสรา้ ง ความม่นั ใจใหก้ บั ลกู คา้ หลกั การบรหิ ารงานคุณภาพ หลกั การบริหารงานคณุ ภาพ (Quality Management Principle) ในการ ดาเนินงานเพอ่ื ใหเ้ กิดคณุ ภาพในหนว่ ยงานเพือ่ เป้าหมายการบรหิ ารงานคณุ ภาพ คอื การสรา้ งความพงึ พอใจใหก้ บั ลกู คา้ องคก์ ารควรยดึ หลกั การบริหารงานคณุ ภาพ มี หลกั การพื้ นฐานท่ีสาคญั 8 ประการดงั นี้ คือเป็นองคก์ ารที่ม่งุ เนน้ ลกู คา้ เป็นสาคญั (Customer Focus Organization) บริหารดว้ ยความเป็นผนู้ า (Leadership) การมี ส่วนรว่ มของบคุ ลากร (Involvement of people) การดาเนนิ การอยา่ งเป็น กระบวนการ ั่ (Process Approach) การบริหารงานอยา่ งเป็นระบบ ั่(System Approach) การปรบั ปรุงอยา่ งต่อเนอื่ ง (Continual Improvement) การใชข้ อ้ มลู (Data) ท่เี ป็นจรงิ และการสรา้ งความสมั พนั ธก์ บั ตวั แทน (Relationship)
แผนภาพท่ี 6.3 หลกั การบรหิ ารงานคณุ ภาพ 8 ขอ้ 1. องคก์ รที่ม่งุ เนน้ ลกู คา้ (Customer-Focused Organization) องคก์ รตอ้ งกาหนดนโยบายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ รใหเ้ ป็นนโยบายและ วตั ถปุ ระสงคท์ ส่ี ามารถตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ความสาเรจ็ ขององคก์ ร คือ ความสามารถสรา้ งความพึงพอใจใหก้ บั ลกู คา้ ไดม้ ากที่สดุ ควรดาเนินการขอ้ นี้ คือ 1. การกาหนดนโยบายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ร ตอ้ งมีขอ้ มลู ความตอ้ งการ ความคาดหวงั และความพึงพอใจของลกู คา้ อยา่ งถกู ตอ้ งและชดั เจน 2. การตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ตอ้ งมีความสมดลุ กบั การตอบสนอง ความคาดหวงั ขององคก์ ร บุคลากร ชมุ ชน และสงั คม 3. ทาใหบ้ คุ ลากรท่วั ทงั้ องคก์ รยอมรบั และดาเนินการตามนโยบายและ วตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ร 4. ประเมินผลการดาเนนิ งานขององคก์ รตามนโยบายและวตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี งั้ ไว้
คอื ความพงึ พอใจของลกู คา้ 5. มรี ะบบบรหิ ารสรา้ งความสมั พนั ธท์ ด่ี กี บั ลกู คา้ 2. การบรหิ ารดว้ ยความเป็นผนู้ า (Leadership) \"ผบู้ ริหารขององคก์ รทกุ ระดบั ตอ้ งใชภ้ าวะผนู้ า จดั การบริหารใหอ้ งคก์ รดาเนินงานไป ตามเปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ รอย่างเป็นเอกภาพ โดยสรา้ งบรรยากาศ การทางานทจี่ งู จาบคุ ลากรใหร้ ว่ มสรา้ งผลงานเพือ่ ตอบสนองความตอ้ งการของ ลกู คา้ \" การจดั ระบบบริหารงานคณุ ภาพตอ้ งการผบู้ รหิ ารงานทมี่ ภี าวะผนู้ า ซง่ึ ประกอบดว้ ยบคุ ลิกภาพ ความม่งั คงทางอารมณ์ ความสามารถในการแกไ้ ขปัญหา วสิ ยั ทศั นใ์ นการบรหิ าร และที่สาคญั อยา่ งยงิ่ คอื ทศั นคติหรือแนวคดิ ในการ บรหิ ารงานควรเป็นแบบประชาธิปไตยทยี่ อมรบั ในความเท่าเทียมกนั ของมนษุ ยแ์ ละ ยอมรบั ฟังความคิดเห็นของผูอ้ นื่ แนวทางปฏิบตั ิของผบู้ รหิ ารในหลกั การบรหิ ารดว้ ย ความเป็นผนู้ า 1. การจดั ระบบการบริหารงานคณุ ภาพตอ้ งการผนู้ าทมี่ ี \"ภาวะผนู้ า\" ซึ่ง ประกอบดว้ ย (1) ผนู้ าทม่ี ีบคุ ลกิ ภาพโดดเด่น (2) มคี วามรูค้ วามสามารถรอบดา้ น โดยเฉพาะเรอื่ งขององคก์ ารเอง (3) มีความม่นั คงทางอารมณ์ (4) มคี วามสามารถในการแกไ้ ขปัญหา (5) มีวสิ ยั ทศั นใ์ นการบรหิ ารทกี่ วา้ งไกล (6) ทศั นคติในการบริหารควรเป็นแบบประชาธิปไตย
2. แนวทางปฏบิ ตั ขิ องผบู้ ริหารในหลกั การบรหิ ารดว้ ยความเป็นผูน้ า ไดแ้ ก่ (1) กาหนดวสิ ยั ทศั นแ์ ละพนั ธกจิ ขององคก์ ารและหน่วยงานใหส้ อดคลอ้ งกบั เป้าหมายและวตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ าร คอื \"เนน้ ลกู คา้ เป็นสาคญั \" (2) สรา้ งแรงจงู ใจ กระตนุ้ ใหบ้ คุ ลากรมีส่วนรว่ มบรหิ ารงานในหนว่ ยงาน (3) มคี วามตน่ื ตวั ในการดาเนนิ การใหเ้ ป็นแบบอย่างแก่บคุ ลากรในองคก์ ร (4) สรา้ งความเชอ่ื ม่นั ใหแ้ ก่บคุ ลากร (5) ตงั้ เปา้ หมายทที่ า้ ทายความสามารถของบคุ ลากรและพรอ้ มใหค้ วามสนบั นนนุ ปัจจยั เพอื่ การพฒั นาองคก์ ร (6) ฝึกอบรมและพฒั นาทกั ษะของบคุ ลากรพรอ้ มใหโ้ อกาสทางการศึกษา (7) จดั ใหม้ รี ะบบการสื่อสารท่มี ีประสิทธิภาพในการสรา้ งความเขา้ ใจท่วั ทงั้ องคก์ ร 3. การมสี ่วนรว่ มของบคุ ลากร (Involvement of People) การดาเนินงานใหบ้ รรลเุ ป้าหมายตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื ของบคุ ลากรในองคก์ าร บคุ ลากรทกุ คนไมเ่ พียงแต่ทาหนา้ ที่ของตนใหด้ ีทสี่ ดุ เทา่ นนั้ จะตอ้ งใหค้ วามรว่ มมอื รว่ มใจกบั เพื่อนรว่ มงานในการสรา้ งผลงานใหส้ าเร็จตามเปา้ หมายขององคก์ าร ความสาเรจ็ ตามเปา้ หมายขององคก์ ารขนึ้ อย่กู บั ผลงานของทกุ คน ทกุ ฝ่าย ไมไ่ ด้ ขนึ้ อย่กู บั ผลงานของคนใดหรอื ฝ่ายใดฝ่ายหนงึ่ \"ความรว่ มมือของบคุ ลากร คอื ความสาเร็จขององคก์ าร\"
แผนภาพที่ 6.4 ความสมั พนั ธข์ องหน่วยงานฝ่ายตา่ งๆ ในองคก์ าร จากแผนภาพขา้ งตน้ แสดงความสมั พนั ธข์ องหน่วยงานฝ่ายต่างๆ ในองคก์ าร ที่ จะตอ้ งทางานรว่ มกนั ในการผลติ ผลิตภณั ฑค์ ณุ ภาพ ที่สรา้ งความพงึ พอใจใหก้ บั ลกู คา้ ผลิตภณั ฑท์ ่ีลกู คา้ พอใจไม่ใชผ่ ลงานของฝ่ายออกแบบหรอื ฝ่ายผลิตเท่านน้ั แต่ เป็นผลงานทเี่ กิดจากการรว่ มกนั ของทกุ ฝ่ายในองคก์ าร 4. การดาเนินการอยา่ งเป็นกระบวนการ (Process Approach) การดาเนินการอยา่ งเป็นกระบวนการ คอื การนาเอาทพั ยากรหรอื ปัจจยั การผลติ ปอ้ นเขา้ ส่รู ะบบการทางานตา่ งๆ เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลงานตามเป้าหมาย เป็นหลกั การทเี่ นน้ การบรหิ ารทงั้ กระบวนการ ไมไ่ ดเ้ นน้ ทเ่ี ร่ืองใดเร่อื งหนง่ึ เป็นสาคญั แผนภาพท่ี 6.5 กระบวนการดาเนินงานตา่ งๆ จากแผนภาพขา้ งตน้ เป็นการแสดงถึงความสมั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบในการ ดาเนนิ งานตา่ งๆ ประกอบดว้ ย ปัจจยั นาเขา้ (Input) กระบวนการดาเนินงาน (Process) ผลงานทไ่ี ดจ้ ากกระบวนการ (Output) ซ่งึ ผลงานท่ีไดจ้ ะเป็นไปตาม
เปา้ หมายหรอื ไม่ ไม่ไดข้ นึ้ อย่กู บั ปัจจยั นาเขา้ และกระบวนการดาเนนิ งาน น่นั คือ ถา้ ปัจจยั นาเขา้ ดี กระบวนการดาเนินการดี ผลงานทไ่ี ดย้ อ่ มดีดว้ ย ดงั นน้ั การบรหิ ารงาน คณุ ภาพตอ้ งใหค้ วามสาคญั ทงั้ องคป์ ระกอบของปัจจยั นาเขา้ และองคป์ ระกอบของ กระบวนการ เพราะทงั้ 2 องคป์ ระกอบมีผลตอ่ คณุ ภาพของงาน แนวทางการบริหารตามหลกั การดาเนินงานอย่างเป็นกระบวนการ ไดแ้ ก่ 1. มีการกาหนดและวางแผนการดาเนินงานทกุ ขนั้ ตอน ใหท้ างานทกุ หน่วยงาน ย่อยในองคก์ ารมีความตอ่ เนื่องและราบร่ืน ส่งิ สาคัญ คือ ระบบการเชื่อมโยงจาก หน่วยงานหนึง่ ไปสอู่ ีกหนว่ ยงานหนง่ึ ตอ้ งไม่เกดิ ผลเสียตอ่ เปา้ หมายการสนองความ ตอ้ งการของลกู คา้ 2. ใหค้ วามสาคญั กบั ปัจจยั ท่ปี อ้ นเขา้ ส่รู ะบบการทางานของทกุ หน่วยงาน ตงั้ แต่ปัจจยั เริม่ ตน้ ไปถึงผลงานที่จะใชป้ ัจจยั เขา้ สรู่ ะบบการทางานขัน้ ตอ่ ไป 3. ใหค้ วามสาคญั กบั วธิ ีการทางานทกุ หน่วยงาน การทางานในแต่ละขนั้ ตอน ย่อมส่งผลกระทบตอ่ คณุ ภาพของผลติ ภณั ฑแ์ ละบริการ งานท่ีทาควรเป็นงานที่ กอ่ ใหเ้ กดิ มลู คา้ เพิม่ ใหก้ บั หน่วยงาน 4. ประเมินผลการทางานของทกุ หนว่ ยงานทอี่ าจจะมีปัญหาจากปัจจยั นาเขา้ 5. เม่อื เกิดปัญหาตอ้ งพิจารณากระบวนการตงั้ แต่จดุ เรม่ิ ตน้ ในการนาปัจจยั การ ผลติ เขา้ ส่กู ระบวนการ มาในทกุ ขนั้ ตอนของการดาเนินงาน 5. การบรหิ ารงานอยา่ งเป็นระบบ (System Approach to Management) การบรหิ ารงานอย่างเป็นระบบ หมายถึง การใหค้ วามสาคญั กบั การสมั พนั ธ์ เก่ยี วขอ้ งกนั ของหน่วยงานต่างๆ ขององคก์ ารและเช่ือมโยงการทางานของแตล่ ะ
หน่วยงานใหม้ ีแนวทางสอดคลอ้ งกนั และเปา้ หมายอยา่ งมปี ระสิทธิภาพและ ประสิทธิผล แนวทางการบรหิ ารงานอยา่ งเป็นระบบ 1. กาหนดเป้าหมายและวิธีการดาเนนิ งานใหช้ ดั เจนโดยมีเปา้ หมายสาคญั รว่ มกนั คือความพึงพอใจของรบั บริการ 2. วางโครงสรา้ งการบริหารงานอย่างชดั เจน 3. สรา้ งความเขา้ ในในความสมั พนั ธข์ องหน่วยงานในองคก์ ารที่จะมผี ลกระทบ ต่อคณุ ภาพของงาน 6. การปรบั ปรุงงานอยา่ งตอ่ เนือ่ ง (Continual Improvement) ในสภาวะปัจจบุ นั การแข่งขนั ทางธรุ กิจมคี วามรุนแรงมากขนึ้ องคก์ ารตอ้ ง ปรบั ปรุงสมรรถนะโดยรวมขององคก์ ารอย่างตอ่ เน่ือง เพอื่ ความสามารถในการ ตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ซ่งึ จะชว่ ยเสริมสรา้ งใหอ้ งคก์ ารมคี วามสามารถ เชงิ อช่งขนั ดงั นนั้ องคก์ ารควรกาหนดเรอื่ งของการปรบั ปรุงเป้าหมายถาวรของ องคก์ าร แนวทางการปรบั ปรุงอย่างตอ่ เนอ่ื ง 1. กาหนดนโยบายองคก์ รใหม้ ีการปรบั ปรุงงานอยา่ งต่อเนอ่ื ง 2. กาหนดแผนการประเมินผลงานและเกณฑก์ ารประเมนิ ที่ชดั เจน 3. การปรบั ปรุงอย่างต่อเนอื่ ง ทงั้ ดา้ นผลิตภณั ฑ์ ปัจจยั ปอ้ นเขา้ และกระบวนการ ดาเนินงานใหม้ ีความสอดคลอ้ งสมั พนั ธก์ นั
4. ใหค้ วามรูเ้ ก่ยี วกบั เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการปรบั ปรุง เช่น วงจรบริหาร PDCA เคร่ืองมือจดั การคณุ ภาพ เป็นตน้ 7. ขอ้ มลู ที่เป็นจริง (Data) การตดั สินใจที่ถกู ตอ้ งและเกดิ ประสทิ ธภิ าพต่อการบรหิ ารงานตงั้ อย่บู นพนื้ ฐาน ของขอ้ เท็จจริงทไี่ ดจ้ ากขอ้ มลู ทีถ่ กู ตอ้ งและมกี ารวเิ คราะหอ์ ย่างเป็นระบบ ขอ้ มลู ท่ไี ดป้ ระกอบการตดั สินใจในการบริหารงานมขี อ้ มลู หลากหลายมาจาก บคุ ลากรหน่วยงาน ลกู คา้ หรืออื่นๆ ดงั นน้ั จะใชข้ อ้ มลู ใดตอ้ งม่นั ใจวา่ ขอ้ มลู นน้ั เป็น ขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ีเช่ือถอื ไดก้ อ่ นใชข้ อ้ มลู ตอ้ งมีระบบวิเคราะหข์ อ้ มลู ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพกอ่ น นามาใชต้ ดั สินใจ ตวั อยา่ งขอ้ มลู เชิงสถิตทิ ี่องคก์ ารสามารถนาม่ใชเ้ ป็นขอ้ มลู ประกอบการตดั สินใจ ไดแ้ ก่ 1. สถติ ิยอดจาหน่ายในปีที่ผา่ นมา 2. สถติ ิขอรอ้ งเรียนจากลกู คา้ 3. สถิตกิ ารเกดิ อบุ ตั ิเหตใุ นการทางาน 4. สถติ กิ ารผลิตของเสีย 5. สถิติการใหบ้ ริการลกู คา้ เป็นตน้ 8. การสรา้ งความสมั พนั ธ์ (Relationship) องคก์ ารและผขู้ าย/ผใู้ หบ้ ริการ ตอ้ งพึงพาอาศยั ซ่งึ กนั และกนั การที่องคก์ ารมี ความสมั พนั ธก์ บั ผขู้ ายเพื่อประโยชนร์ ว่ มกนั จะชว่ ยเพม่ิ ความสามารถในการสรา้ ง คณุ ค่ารว่ มกนั ของทงั้ สองฝ่าย และผขู้ ายทมี คี วามสมั พนั ธก์ บั องคก์ าร หมายถึง ผขู้ าย
ท่ีเป็นผจู้ ดั หาวตั ถดุ บิ ใหก้ บั องคก์ าร และผขู้ ายทเ่ี ป็นตวั แทนจาหนา่ ยผลิตภณั ฑ์ สาเรจ็ รูปใหก้ บั องคก์ าร แผนภาพท่ี 6.6 ความสมั พนั ธข์ ององคก์ ารที่เก่ยี วขอ้ งกนั ในการสรา้ งความพงึ พอใจ ใหก้ บั ลกู คา้ จากแผนภาพ ผลสาเร็จของการดาเนนิ งานขององคก์ ารทงั้ 3 องคก์ ารขา้ งตน้ จะ บรรลเุ ปา้ หมายรว่ กนั คอื ความพึงพอใจของลกู คา้ แตอ่ งคก์ ารทงั้ 3 องคก์ ารจะตอ้ ง สรา้ งสมั พนั ธภาพที่ดตี ่อกนั บนพนื้ ฐานของผลประโยชนท์ ีเ่ สมอภาคกนั กระบวนการบรหิ ารงานคุณภาพ 1. ความหมายของกระบวนการบริหารงานคณุ ภาพ กระบวนการบริหารงานคณุ ภาพ คอื กระบวนการดาเนนิ งานท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ปัจจยั นาเขา้ (Input) กระบวนการดาเนินงาน (Process) ผลดาเนินงาน (Output) ซึ่ง ปัจจยั นาเขา้ ของกระบวนการบรหิ ารคณุ ภาพ คอื ความตอ้ งการของลกู คา้ องคก์ ารมี หนา้ ท่นี าเอาความตอ้ งการของลกู คา้ เขา้ ส่กู ระบวนการดาเนนิ งานแลว้ ดาเนนิ กิจกรรม ต่างๆ เพ่ือใหไ้ ดผ้ ลการดาเนนิ งานทส่ี ามารถตอบสนองความตอ้ งการของลกู คา้ ได้ ผล ของกระบวนการบรหิ ารคณุ ภาพ คือ ความพงึ พอใจของลกู คา้ แผนภาพที่ 6.7 องคป์ ระกอบของกระบวนการบริหารงานคณุ ภาพ
2. องคป์ ระกอบของกระบวนการบรหิ ารงานคณุ ภาพ กระบวนการบริหารงานคณุ ภาพประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบหลกั 3 องคป์ ระกอบ คือ 1. ปัจจยั นาเขา้ การบรหิ ารงานคณุ ภาพ คอื การดาเนนิ กิจกรรมในการตอบสนอง ความตอ้ งการของลกู คา้ สรา้ งความพึงพอใจใหก้ บั ลกู คา้ ดงั นนั้ ปัจจยั นาเขา้ ของ กระบวนการบรหิ ารงานคณุ ภาพกค็ ือขอ้ มลู ความตอ้ งการของลกู คา้ 2. กระบวนการดาเนินงาน (Process) เพ่ือใหบ้ รรลเุ ป้าหมายหลกั ของการ ดาเนินงานบริหารงานคณุ ภาพขององคก์ ารในกระบวนการดาเนนิ งานอกี กรวบการ หลกั 4 กระบวนการ ทอี่ งคก์ ารจะตอ้ งดาเนนิ การ ดงั นี้ (1) ความรบั ผดิ ชอบดา้ นการบรหิ าร (Management Responsibility) ผบู้ รหิ ารมี หนา้ ท่ใี นการจดั การบริหารงานระบบการบริหารงานคณุ ภาพ (ก) การกาหนดกลยทุ ธก์ ารบริหารงานในองคก์ าร (ข) การกาหนดนโยบายคณุ ภาพ/วตั ถปุ ระสงคด์ า้ นคณุ ภาพ (ค) จดั ระบบการบรหิ ารงานคณุ ภาพ (ง) กาหนดหนา้ ทค่ี วามรบั ผิดชอบ (จ) แตง่ ตงั้ ตวั แทนฝ่ายบรหิ าร (ฉ) สอื่ ขอ้ มลู ภายในองคก์ าร เพ่อื ใหบ้ คุ ลากรในองคก์ ารรบั รูข้ า่ วสารใน องคก์ าร
(ช) ทบทวนการบริหารงาน เพื่อพจิ ารณาถึงความเหมาะสมเพียงพอของ ระบบเพ่อื หาทางปรบั ปรุงขององคก์ ารต่อไป (2) การบริหารดา้ นทรพั ยากร (Resource Management) การบริหารดา้ นทรพั ยากร หมายถึง ทรพั ยากรบคุ คลและโครงสรา้ งพนื้ ฐาน สาธารณูปโภค องคก์ ารตอ้ งกาหนดและจดั สรรทรพั ยากรท่ีจาเป็นขนึ้ ในระบบ เช่น (ก) การกาหนดความสามารถของบคุ ลากร (ข) กาหนด จดั หา และบารุงรกั ษาโครงสรา้ งพนื้ ฐาน (ค) กาหนดดแู ลสภาพแวดลอ้ มในการทางานใหเ้ หมาะสมเพื่อใหไ้ ด้ ผลติ ภณั ฑ/์ การบรกิ ารตามท่กี าหนด (3) การผลติ หรอื การบริการ องคก์ ารจะตอ้ ง (ก) กาหนดกระบวนการผลิต/บรกิ าร (ข) มีการดาเนนิ การและควบคมุ กระบวนการ (4) การวดั วิเคราะห์ และการปรบั ปรุง การวดั วเิ คราะห์ และการปรบั ปรุง เป็นการเฝา้ ตดิ ตามและตรวจวัด กระบวนการและผลิตภณั ฑ/์ บรกิ าร ว่าสามารถดาเนนิ การไดต้ ามความตอ้ งการของ ลกู คา้ /ผรู้ บั บริการไดห้ รอื ไม่ โดยผ่านกระบวนการบริหารระบบบริหารงานคณุ ภาพ ดว้ ยการตรวจประเมนิ ภายใน มกี ารวิเคราะหข์ อ้ มลู เพอื่ แสดงถงึ ความเหมาะสมและ ประสิทธิผลของระบบ
3. ผลการดาเนนิ งาน (Output) เปา้ หมายของการบรหิ ารงานคณุ ภาพองคก์ าร คือ ความพึงพอใจของลกู คา้ ดงั นน้ั ผลการดาเนินงานในการบริหารงานคณุ ภาพ คือ องคก์ ารสามารถสรา้ งความพงึ พอใจในสนิ คา้ หรือบรกิ ารลกู คา้ ประโยชนข์ องการบริหารงานคุณภาพ หน่วยงานท่นี าระบบคณุ ภาพมาใชจ้ ะชว่ ยเพ่ิมศกั ยภาพในการแข่งขนั ทงั้ ใน ประเทศและตา่ งประเทศ โดยเฉพาะฝ่ายลกู คา้ กม็ องเหน็ ประโยชนข์ องระบบว่า สามารถใชเ้ ป็นหลกั ฐานทาใหม้ ่นั ใจวา่ ตัวสนิ คา้ ท่ไี ดร้ บั มคี ณุ ภาพมาตราฐานเกดิ ความ พงึ พอใจ อย่างไรกต็ ามองคก์ ารท่ดี าเนนิ การใชร้ ะบบคณุ ภาพอย่างมปี ระสิทธิภาพจะ ไดร้ บั ประโยชน์ ดงั นี้ 1. เป็นเคร่ืองมือท่ใี ชใ้ นการพฒั นางานช่วยใหส้ ามารถจดั การหรือกาหนดการ ทางานอย่างเป็นระบบและตอ่ เนอื่ งรวมถงึ ส่งเสริมใหเ้ กิดการตรวจสอบ ตดิ ตาม และ ปรบั ปรุงผลการดาเนินงาน 2. ลกู คา้ มคี วามพงึ พอใจในตวั สนิ คา้ อละบรกิ ารซึ่งสง่ ผลใหม้ กี ารใชบ้ ริการตอ่ เนอื่ ง หรอื แนะนาลกู คา้ รายอ่นื มาใชบ้ ริการเพมิ่ 3. สรา้ งภาพพจนท์ ี่ดีใหก้ บั องคก์ าร รวมถึงสภาพการยอมรบั จากลกู คา้ และสงั คม 4. เพ่มิ ประสิทธิภาพขององคก์ าร เนอ่ื งจากดาเนินงานเหมาะสมและประหยดั ค่าใชจ้ ่าย 5. เพิ่มขวัญกาลงั ใจใหก้ บั พนกั งาน เนอ่ื งจากองคก์ ารมกี าไร พนกั งานไดร้ บั ผลตอบแทนทม่ี ากขนึ้
เทคนคิ การบริหารงานคุณภาพ เทคนคิ การบริหารงานท่ีจะทาใหเ้ กิดคณุ ภาพ ตอ้ งเป็นวธิ ีการบรหิ ารทีต่ อ้ งไดร้ บั ความรว่ มมอื ของ ทกุ คนในหนว่ ยงาน เพื่อใหก้ ารทางานเกดิ ประสิทธภิ าพ เชน่ กจิ กรรม 5ส กิจกรรม QCC และกิจกรรม ขอ้ เสนอแนะเพื่อปรบั ปรุงงาน เป็นตน้ 1. กิจกรรม 5ส เป็นแนวทางการปฏบิ ตั ิงานเพ่ือก่อใหเ้ กิดสภาพการทางานที่ดี ปลอดภยั มคี วามเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย อนั จะนาไปสกู่ ารเพิม่ ประสิทธิในการทางาน (1) องคป์ ระกอบของกจิ กรรม 5ส เป็นเทคนิคการบรหิ ารงานคณุ ภาพท่ียึด แบบอยา่ งมาจากประเทศญ่ีป่นุ ซงึ่ คาวา่ 5ส มาจากตวั อักษรนาหนา้ คาของ ภาษาญ่ีป่นุ 5 คา ทขี่ นึ้ คน้ ดว้ ยอกั ษร S ดงั นี้ - Seiri อา่ นว่า เซริ แปลว่า สะสาง (ส. สะสาง) - Seiton อ่านวา่ เซตง แปลวา่ สะดวก (ส. สะดวก) - Seiso อา่ นว่า เซโซ แปลว่า สะอาด (ส. สะอาด) - Seiketsu อ่านวา่ เซเคทซึ แปลว่า (ส. สขุ ลกั ษณะ) - Shitsuke อา่ นว่า ซทึ ซึเคะ แปลว่า (ส. สรา้ งนสิ ยั ) ซ่งึ มีรายละเอียดดงั นี้ (1) ส. สะสาง (Seiri: เซริ) หมายถงึ การแยกสิง่ ของจาเป็นออกจากสงิ่ ที่ไม่จาเป็น โดยของทไี่ ม่จาเป็นใหห้ าวิธีจากดั ท่เี หมาะสมถกู หลกั วิธี เหตผุ ลทต่ี อ้ งทาการสะสาง เพราะการเก็บของท่ีไมใ่ ชแ้ ลว้ ขน้ั ตอนในการจัดทา ส. สาง มีดังนี้ 1. สารวจส่งิ ของเคร่ืองใช้ อปุ กรณแ์ ละเอกสารในสถานที่ทางาน
2. แยกของท่ีตอ้ งการและไม่ตอ้ งการออกกจากกนั 3. ขจดั ของทไ่ี ม่ตอ้ งการทงิ้ (2) ส. สะดวก (Seiton: เซตง) หมายถึง การจดั วางสิ่งของต่าง ๆ ในที่ทางานใหเ้ ป็น ระเบยี บ เพอ่ื ความสะดวกและปลอดภยั วิธีการคอื 1. ศึกษาวิธีการเกบ็ วางสง่ิ ของโดยคานงึ ถึงความปลอดภยั คณุ ภาพ และ ประสิทธิภาพ 2. กาหนดทว่ี างใหแ้ น่ชดั โดยคานงึ ถงึ การใชเ้ นอื้ ที่ 3. เขียนป้ายชื่อแสดงสถานทว่ี าง และเกบ็ สิ่งของเครื่องใช้ อปุ กรณ์ (3) ส. สะอาด (Seiso: เซโซ) หมายถึง การทาความสะอาดเคร่อื งจกั รอปุ กรณแ์ ละ สถานทที่ างาน พรอ้ มทงั้ ตรวจสอบขจดั สาเหตขุ องความไมส่ ะอาดน้ัน ๆ วิธีการคือ 1. ทาความสะอาดสถานทที่ างาน 2. กาหนดแบ่งเขตพนื้ ที่ 3. ขจดั สาเหตอุ นั เป็นตน้ ตอของขยะ ความสกปรก เลอะเทอะ 4. ตรวจเช็คเครอ่ื งใช้ อปุ กรณ์ ดว้ ยการทาความสะอาด (4) ส. สขุ ลกั ษณะ (Seiketsu: เซเคทซึ) หมายถงึ การรกั ษาความสะอาด ดแู ล สถานที่ทางานและปฏิบตั ติ นใหถ้ กู สขุ ลกั ษณะ วธิ ีการคือ 1. ขจดั มลภาวะซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อสขุ ภาพรา่ งกาย สขุ ภาพจิตของ พนกั งาน เช่น อากาศเป็นพษิ เสยี งดงั เกินไป แสงสว่างไมเ่ พยี งพอ ควนั และเขมา่ ฟุ้ง กระจายท่วั ไป
2. ปรุงแต่งสถานทท่ี างานใหเ้ ป็นระเบียบ สะอาดหมดจดยงิ่ ขนึ้ มีบรรยากาศรม่ รืน่ น่าทางาน เปรยี บเสมอื นทีพ่ กั ผอ่ น 3. พนกั งานแต่งกายใหถ้ กู ระเบียบ สะอาดหมดจด (5) ส. สรา้ งนสิ ยั (Shitsuke: ซทึ ซเึ คะ) หมายถงึ การรกั ษาและปฏบิ ตั ติ าม หลกั เกณฑ์ 4 ส. จนเป็นนิสยั และมีวนิ ยั ในการทางาน วิธีการคอื ฝึกอบรมพนกั งานให้ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจต่อกฎระเบียบ มาตรฐานการทางานต่าง ๆ เพ่อื ใหส้ ามารถปฏิบตั ิ จนเป็นนิสยั โดยการตอกยา้ เร่อื งนอี้ ยา่ งสมา่ เสมอ ต่อเน่ืองเป็นประจา 2. ประโยชนจ์ ากการทากิจกรรม 5ส เป็นการจดั กิจกรรม ทีท่ าใหห้ นว่ ยงานไดร้ บั ประโยชนห์ ลายประการ ดงั นคี้ ือ 1. บคุ ลากรจะทางานไดร้ วดเร็วขนึ้ มคี วามถกู ตอ้ งในการทางานมากขึน้ บรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มดขี นึ้ 2. เกดิ ความรว่ มมอื รว่ มใจ จะเกิดขนึ้ บคุ ลากรจะรกั หนว่ ยงานมากขนึ้ 3. บคุ ลากรจะมีระเบยี บวนิ ยั มากขนึ้ ตระหนกั ถงึ ผลเสยี ของความไม่เป็น ระเบียบในสถานทที่ างาน ตอ่ การเพ่มิ ผลผลติ และถกู กระตนุ้ ใหป้ รบั ปรุงระดบั ความ สะอาดของสถานทที่ างานใหด้ ีขนึ้ 4. บคุ ลากรปฏบิ ตั ิตามกฏระเบยี บ และค่มู อื การปฏิบตั ิงานทาใหค้ วามผิดพลาด และความเสย่ี งต่างๆ ลดลง 5. บคุ ลากรจะมีจติ สานึกของการปรบั ปรุง ซงึ่ จะนาไปสู่ประสทิ ธภิ าพและ ประสทิ ธิผลในการทางาน
6. เป็นการยดื อายขุ องเครอ่ื งจกั ร อปุ กรณ์ เครือ่ งมือตา่ งๆ เม่ือใชอ้ ยา่ งระมดั ระวงั และดแู ลรกั ษาทีด่ ี และการจดั เกบ็ อย่างถกู วธิ ีในทีท่ เี่ หมาะสม 7. การไหลเวยี นของวสั ดุ และ work in process จะราบรน่ื ขนึ้ 8. พนื้ ทท่ี างานมรี ะเบียบ มีทว่ี ่าง สะอาดตา สามารถสงั เกตส่งิ ผดิ ปกติตา่ งๆ ได้ งา่ ย 9. การใชว้ สั ดคุ มุ้ คา่ ตน้ ทนุ ต่าลง 10. สถานท่ที างานสะอาด ปลอดภยั และเหน็ ปัญหาเร่อื งคณุ ภาพอยา่ งชดั เจน 2. กิจกรรม Quality Circle Control (Q.C.C) เป็นกจิ กรรมกล่มุ คณุ ภาพทมี่ บี คุ ลากรปฏบิ ตั ิงานอยใู่ นแผนกเดยี วกนั รวมตวั กนั จานวน 4-10 คน เพ่ือแกไ้ ขปัญหาหรอื ขอ้ บกพรอ่ งทเี่ กดิ จากการปฏิบตั ิงาน ทงั้ นกี้ าร ทางานของกล่มุ จะตอ้ งไมข่ ดั ตอ่ นโยบายของหน่วยงานและจะตอ้ งกระทาอยา่ ง ต่อเน่อื ง สามารถนาผลงานท่ีเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ แสดงได้ 1. วตั ถปุ ระสงคข์ องกิจกรรม Q.C.C มีดงั นี้ (1) เพื่อประโยชนใ์ นการปรบั ปรุงและการพฒั นารฐั วิสาหกจิ (2) เพ่อื สรา้ งสถานทท่ี างานใหน้ า่ อยู่ สรา้ งบรรยากาศในองคก์ ารใหแ้ จ่มใส (3) เพื่อส่งเสรมิ ใหม้ ีบคุ ลากรภายในหนว่ ยงานไดแ้ สดงความสามารถอยา่ ง อิสระภายใตข้ อบเขต 2. ขนั้ ตอนในการทากิจกรรม Q.C.C มกี ารจดั ตงั้ กล่มุ จดทะเบยี นกลมุ่ และจดั ประชมุ กลมุ่ อยา่ งสม่าเสมอ โดยขนั้ ตอนในการดาเนนิ การภายในการดาเนนิ การ ภายในกล่มุ แตล่ ะกล่มุ ควรมีขนั้ ตอนในการดาเนนิ กจิ กรรม ดงั นี้
(1) คน้ หาปัญหา เป็นการระดมสมองคน้ หาปัญหาในการทางาน และตกลง เลือกปัญหาทจ่ี ะนามาแกไ้ ข ในการคน้ หาปัญหานยิ มใชแ้ ผนผงั กา้ งปลา หรืออาจ เรียกว่าผงั แสดงเหตแุ ละผล เป็นการแสดงปัญหาและสาเหตขุ องปัญหาทไี่ ดจ้ ากการ ระดมสมอง โดยกาหนดใหห้ วั ปลาเป็นปัญหา และกา้ งปลาเป็นสาเหตขุ องปัญหา ดงั แผนภาพ แผนภาพท่ี 6.8 ผงั กา้ งปลาหรอื ผงั แสดงเหตแุ ละผล (2) กาหนดเป็นหวั ขอ้ เรือ่ ง ตอ้ งเป็นหวั ขอ้ ท่ีสมาชิกทกุ คนยอมรบั และเตม็ ใจ และเป็นเรอื่ งที่สามารถดาเนนิ การตามขนั้ ตอนต่างๆ ไดท้ งั้ หมดภายหน่วยงาน (3) กาหนดเป้าหมายท่ชี ดั เจนเป็นตวั เลขที่สามารถวดั ผลและประเมนิ ผลได้ เชน่ จากตวั อย่างผลของปัญหาในขอ้ 1 ท่ีประฃมุ เลอื กสาเหตทุ ่สี าคญั มาจากการขาด เรยี น (4) สารวจสภาพปัจจบุ นั สมาชกิ ทงั้ หมดจะตอ้ งรว่ มกนั สารวจสภาพปัจจบุ นั ใหล้ ะเอียดทกุ แง่มมุ และบนั ทกึ ขอ้ มลู ทงั้ หมดเพอ่ื ไปใชใ้ นการวเิ คราะหป์ ัญหาท่เี กดิ ขนึ้ (5) แกไ้ ขตามขนั้ ตอน PDCA ในการดาเนนิ งานมกี ารวางแผน การปฏิบตั ิ ตามแผน มกี ารตรวจสอบ และปรบั ปรุงแกไ้ ข ซ่ึงการดาเนนิ กิจกรรมตามวงจรดงั กลา่ ว
(6) กาหนดเป็นมาตรฐาน เมอื่ สามารถแกไ้ ขสาเรจ็ แลว้ จะตอ้ งกาหนดเป็น มาตรฐานของการทางานของกลมุ่ อยา่ งแน่ชดั 3. ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จากกิจกรรมกล่มุ Q.C.C (1) ประโยชนต์ อ่ บริษทั มีการนากจิ กรรมกลมุ่ Q.C.C มาใชบ้ ริหารงานทาให้ บริษัทไดร้ บั ประโยชน์ ดงั นี้ (1) ลดคา่ ใชจ้ า่ ยในการผลติ สนิ คา้ (2) ควบคมุ คณุ ภาพในการทางาน (3) เพม่ิ ประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต (2) ประโยชนต์ ่อพนกั งาน มีการใชก้ ิจกรรมกลมุ่ Q.C.C ที่ทาใหพ้ นกั งานไดร้ บั ประโยชน์ ดงั นี้ (1) พนกั งานมีโอกาสแสดงความคดิ เหน็ ในการทางาน (2) พนกั งานรูจ้ กั การทางานเป็นกล่มุ (3) พนกั งานเกิดความรกั และสามคั คี (4) พนกั งานไดร้ บั ความรูแ้ ละความสามารถเพิ่มขนึ้ (3) ประโยชนต์ อ่ ประเทศ (1) สรา้ งนสิ ยั ทีด่ ี (2) สรา้ งความนา่ เชือ่ ถือของสนิ คา้ (3) ทาใหก้ ารคา้ กบั ต่างประเทศขยายตวั (4) สรา้ งระบบการทางานบนพนื้ ฐานการพฒั นาความคดิ ของคนในประเทศ
3. กจิ กรรมขอ้ เสนอแนะเพอ่ื ปรบั ปรุงงาน (Suggestion) กจิ กรรมขอ้ เสนอแนะเพือ่ ปรบั ปรุงงาน เป็นกจิ กรรมท่ใี หโ้ อกาสพนกั งานทุกคนมี สว่ นรว่ มในการบริหารเพอ่ื เสนอความคดิ เหน็ ตอ่ ฝ่ายบริหาร 1. วตั ถปุ ระสงคข์ องกิจกรรมขอ้ เสนอแนะเพื่อปรบั ปรุงงานมดี งั นี้ (1) เพื่อใหพ้ นกั งานมีสว่ นรว่ มในการปรบั ปรุงการทางาน (2) เพอ่ื ใหพ้ นกั งานมคี วามพงึ พอใจในการทางานมากขนึ้ (3) เพอ่ื กระตนุ้ จงู ใจใหพ้ นกั งานผกู พนั ในองคก์ ารและรกั ในองคก์ ารมากขนึ้ (4) เพื่อสง่ เสรมิ ใหพ้ นกั งานมีจติ สานกึ และมคี วามคิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 2. หลกั การของกิจกรรมขอ้ เสนอแนะเพื่อปรบั ปรุงงานมดี งั นี้ (1) หลกั ทางคณิตศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ ในการตดั สินใจเก่ยี วกบั ขอ้ เสนอแนะนน้ั จะตอ้ งมีขอ้ มลู ทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ มายืนยนั เพอ่ื การตดั สินใจ (2) หลกั การประชาธิปไตย เป็นการรบั ฟังความคิดเหน็ ของผอู้ น่ื และตดั สนิ ใจ ดว้ ยเหตผุ ล (3) หลกั บริหารจากลา่ งส่บู น เป็นหลกั การในการบริหารในการเสนอแนะ ปรบั ปรุงจากระบดงั ล่างส่รู ะดบั บน (4) หลกั ผลประโยชนร์ ว่ มกนั เมื่อมกี ารปรบั ปรุงงานทาใหเ้ กิดคณุ ภาพใน สินคา้ และบริการ ส่งผลใหเ้ กิดประโยชนต์ อ่ ชมุ ชน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153