Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

Published by nutthar.n, 2021-11-07 09:40:41

Description: คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

Search

Read the Text Version

95 พระราชกรณียกจิ ด้านการปกครอง พระราชกรณียกิจดา้ นการปกครองประกอบดว้ ยการจดั ระเบียบการปกครองส่วนกลางและ ส่วนภูมิภาค อนั เป็นแบบแผนซ่ึงยดึ สืบตอ่ กนั มาจนถึงรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และการตราพระราชกาํ หนดศกั ดินา ซ่ึงทาํ ใหม้ ีการแบ่งแยกสิทธิ และหนา้ ท่ีของแต่ละ บุคคลแตกต่างกนั ไป โดยทรงเห็นวา่ รูปแบบการปกครองนบั ต้งั แต่รัชสมยั สมเดจ็ พระรามาธิบดี ที่ 1 มีความหละหลวม หวั เมืองตา่ ง ๆ เบียดบงั ภาษีอากร และปัญหาการแขง็ เมืองในบางช่วงท่ี พระมหากษตั ริยอ์ ่อนแอ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงปฏิรูปการปกครองโดยมีการแบ่งงานฝ่ ายทหารและฝ่ ายพล เรือนออกจากกนั อยา่ งชดั เจน ใหส้ มุหพระกลาโหมดูแลฝ่ ายทหาร และใหส้ มุหนายกดูแลฝ่ ายพล เรือน รวมท้งั จตุสดมภใ์ นราชธานี สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงแบง่ งานทางการปกครองออกเป็ น \"ฝ่ ายพลเรือน\" และ \"ฝ่ ายทหาร\" อยา่ งชดั เจน โดยมี \"เจา้ พระยามหาเสนาบดี\" ดาํ รงตาํ แหน่ง สมหุ พระกลาโหม มีหนา้ ที่ ดูแลกิจการทหารทว่ั อาณาจกั ร และ \"เจา้ พระยาจกั รีศรีองครักษ\"์ ดาํ รงตาํ แหน่ง สมหุ นายก รับผดิ ชอบงานพลเรือนทว่ั อาณาจกั ร พร้อมกบั ดูแลหน่วยงานจตุสดมภ์ จากเดิมท่ีพ้ืนฐานการ ปกครองนบั ต้งั แตส่ มยั อาณาจกั รสุโขทยั ยงั ไม่ไดแ้ ยกฝ่ ายพลเรือนกบั ทหารออกจากกนั ชดั เจน ท้งั น้ี ในยามสงคราม ไพร่ทุกคนจะตอ้ งรับราชการทหารอนั เป็ นหนา้ ที่หลกั อนั เป็นลกั ษณะรูปแบบการ ปกครองของอาณาจกั รขนาดเล็กท่ีขาดการประสานงานระหวา่ งเมือง การปกครองในส่วนภูมิภาค ไดย้ กเลิกระบบการปกครองหวั เมืองต่าง ๆ แต่เดิมท่ีแบง่ ออกเป็ นเมืองลูกหลวง หลานหลวง แลว้ ระบบการปกครองหวั เมืองเสียใหม่ ดงั น้ี  หวั เมืองช้นั ใน เช่น เมืองราชบุรี นครสวรรค์ นครนายก เมืองฉะเชิงเทรา และ ปราจีนบุรี เป็นตน้ [4] จดั เป็ นเมืองจตั วา พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั ผทู้ ่ีเหมาะสมไปปกครอง แต่ สิทธิอาํ นาจท้งั หมดยงั ข้ึนอยูก่ บั องคพ์ ระมหากษตั ริย์  หัวเมืองชั้นนอก หรือ เมืองพระยามหานคร มีการกาํ หนดเป็นเมืองเอก โท หรือตรี ตามลาํ ดบั ความสาํ คญั เมืองใหญ่อาจมีเมืองเล็กข้ึนอยูด่ ว้ ย พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งต้งั เจา้ นายหรือ ขนุ นางช้นั ผใู้ หญไ่ ปปกครอง มีการจดั การปกครองเหมือนกบั ราชธานี คือ มีกรมการตาํ แหน่งพล และกรมการตาํ แหน่งมหาดไทย และพนกั งานเมือง วงั คลงั นา[5] เช่น เมืองพิษณุโลก สุโขทยั นครราชสีมา และทวาย จดั เป็ น เมือง เอก โท ตรี พระมหากษตั ริยท์ รงแตง่ ต้งั พระราชวงศห์ รือ ขา้ ราชการช้นั ผใู้ หญ่ไปเป็ นเจา้ เมืองมีอาํ นาจบงั คบั บญั ชาเป็นสิทธิขาด เป็ นผแู้ ทนองค์ พระมหากษตั ริย์ มีกรมการปกครองในตาํ แหน่ง เมือง วงั คลงั นา เช่นเดียวกบั ของทางราชธานี

96  เมืองประเทศราช คงใหเ้ จา้ เมืองปกครองกนั เอง เพียงแต่ส่งเครื่องราชบรรณาการ มาถวายตามกาํ หนด และเกณฑผ์ คู้ นและทรัพยส์ ินเพ่อื ช่วยราชการสงคราม สาํ หรับการปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ใหจ้ ดั เป็นหมูบ่ า้ น มีผใู้ หญบ่ า้ นปกครองดูแล ตาํ บล มี กาํ นนั เป็นหวั หนา้ แขวง มีหมื่นแขวงเป็ นหวั หนา้ พระองคย์ งั ทรงแบง่ การปกครองในภูมิภาค ออกเป็นหมูบ่ า้ น ตาํ บล แขวง และเมือง ตราพระราชกาหนดศักดนิ า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงตราพระราชกาํ หนดศกั ดินาข้ึนเป็นกฎเกณฑข์ องสังคม ทาํ ใหม้ ีการแบง่ ประชากรออกเป็นหลายชนช้นั เช่นเดียวกบั หนา้ ท่ีและสิทธิของแตล่ ะบุคคล ศกั ดินา เป็นความพยายามจดั ระเบียบการปกครองใหม้ ีความรัดกมุ ยงิ่ ข้ึน อนั เป็ นหลกั ที่เรียกวา่ การรวมเข้าสู่ ศนู ย์กลาง ท้งั น้ี ถึงแมว้ า่ ศกั ดินาจะเป็นการกาํ หนดสิทธิในการถือครองที่ดิน แต่ในทางปฏิบตั ิแลว้ หมายถึงจาํ นวนไพร่พลท่ีสามารถครอบครอง เกณฑก์ ารปรับไหม และลาํ ดบั การเขา้ เฝ้าแทน ศักกดนิ าของคนในสังคมอยุธยา ศักดินา (ไร่) ฐานะ/ยศ/ตาแหน่ง 15,000-100,000 400-10,000 เจา้ นาย 25-400 ขนุ นาง 10-25 มหาดเล็ก, ขา้ ราชการ 5 ไพร่ ทาส มีการแต่งต้งั ตาํ แหน่งขา้ ราชการใหม้ ีบรรดาศกั ด์ิตามลาํ ดบั จากต่าํ สุดไปสูงสุด คือ ทนาย พนั หม่ืน ขนุ หลวง พระ พระยา และเจา้ พระยา มีการกาํ หนดศกั ดินาเพอ่ื เป็นคา่ ตอบแทน การรับราชการ และไดอ้ าศยั ใชเ้ ป็นเกณฑก์ าํ หนดการมีท่ีนาและการปรับไหมตามกฎหมาย กฎมณเฑยี รบาล ในปี พ.ศ. 2001 สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงต้งั กฎมณเฑียรบาล ข้ึนเป็ นกฎหมาย สาํ หรับการปกครอง แบง่ ออกเป็นสามแผน คือ 1. พระตาํ ราวา่ ดว้ ยแบบแผนพระราชพิธีต่าง ๆ 2. พระธรรมนูญวา่ ดว้ ยตาํ แหน่งหนา้ ท่ีราชการต่าง ๆ 3. พระราชกาํ หนดเป็นขอ้ บงั คบั สาํ หรับพระราชสาํ นกั

97 ด้านวรรณกรรม ในรัชสมยั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองคไ์ ดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหป้ ระชุมนกั ปราชญร์ าช บณั ฑิตแต่งหนงั สือมหาชาติคาํ หลวง นบั วา่ เป็นวรรณกรรมทางพระพทุ ธศาสนา เรื่องแรกของกรุง ศรีอยธุ ยา และเป็นวรรณคดีช้นั เยยี่ มที่ใชเ้ ป็นแนวทางในการศึกษาภาษา และวรรณคดีของไทย นอกจากน้ียงั มีลิลิตพระลอ ซ่ึงเป็นยอดวรรณคดีประเภทลิลิตของไทย 6. สมเดจ็ พระสุริโยทยั สมเด็จพระสุริโยทยั หรือ พระสุริโยทยั เป็นพระอคั รมเหสีในสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ พระมหากษตั ริยอ์ งคท์ ่ี 15 ของอาณาจกั รอยธุ ยา สมยั ราชวงศส์ ุพรรณภูมิ พระสุริโยทยั ตามพงศาวดารหลวงประเสริฐฯ กล่าวเพียงแค่ เป็นอคั รมเหสีผเู้ สียสละพระชนมช์ ีพเพื่อปกป้อง พระราชสวามีในสงครามพระเจา้ ตะเบง็ ชเวต้ี ในปี พ.ศ. 2091 พงศาวดารบางฉบบั กล่าววา่ พระสุริโยทยั เป็นเจา้ นายเช้ือสายราชวงศพ์ ระร่วง เจา้ กรุงสุโขทยั โดยมิไดก้ ล่าวรายละเอียดใด มากกวา่ น้ี ไทยยกยอ่ งวา่ เป็นวรี สตรี จากวรี กรรม ยทุ ธหตั ถีกบั พระเจา้ แปรในสงครามพระเจา้ ตะเบง็ ชเวต้ี พระราชประวตั ิ สมเด็จพระสุริโยทยั สืบเช้ือสายมาจากราชวงศพ์ ระร่วง ดาํ รงตาํ แหน่งพระอคั รมเหสีใน สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ ในขณะท่ีสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ ข้ึนครองราชยส์ มบตั ิกรุงศรีอยธุ ยา ตอ่ จากขุนวรวงศาธิราชไดเ้ พียง 7 เดือน เม่ือ พ.ศ. 2091 พระเจา้ ตะเบง็ ชะเวต้ี และมหาอุปราชาบุเรง นอง ยกกองทพั พม่าเขา้ มาลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังแรก โดยผา่ นมาทางดา้ นด่านพระเจดียส์ าม องค์ จงั หวดั กาญจนบุรีและต้งั คา่ ยลอ้ มพระนคร การศึกคร้ังน้นั เป็นที่เล่ืองลือถึงวรี กรรมของสมเด็จ พระศรีสุริโยทยั ซ่ึงไสชา้ งพระท่ีนงั่ เขา้ ขวางพระเจา้ แปรดว้ ยเกรงวา่ สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ พระราชสวามี จะเป็นอนั ตราย จนถูกพระแสงของา้ วฟันพระองั สาขาดสะพายแล่งสิ้นพระชนมอ์ ยู่ บนคอชา้ ง เพื่อปกป้องพระราชสวามีไว้ เมื่อวนั อาทิตย์ ข้ึน 6 ค่าํ เดือน 4 ปี จุลศกั ราช 910 ตรงกบั วนั เดือนปี ทางสุริยคติ คือ วนั ท่ี 3 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2092 เมื่อสงครามยตุ ิลง สมเด็จพระมหา จกั รพรรดิไดท้ รงปลงพระศพของพระนางและสถาปนาสถานท่ีปลงพระศพข้ึนเป็นวดั ขนานนาม วา่ วดั สบสวรรค์ หรือวดั สวนหลวงสบสวรรค์

98 พระวรี กรรมในหลกั ฐานไทย พระสุริโยทยั (กลาง) ไสชา้ งเขา้ ขวางชา้ งสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิ (ขวา) ซ่ึงกาํ ลงั เสียทีชา้ งพระเจา้ แปร (ซา้ ย) ใน สงครามพระเจา้ ตะเบง็ ชเวต้ี (จิตรกรรมฝี พระหตั ถส์ มเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้า จิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์) เม่ือวันท่ี 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2092 สมเด็จพระมหาจกั รพรรดิทรงตดั สินพระทยั ยกทัพออกนอกพระนครเพ่ือเป็ นการบํารุ งขวัญทหารและทอดพระเนตรจํานวนข้าศึก พระสุริโยทยั พร้อมกบั พระราชโอรส-พระราชธิดารวม 4 พระองค์ได้เสด็จติดตามไปดว้ ย โดย พระองคท์ รงแต่งกายอย่างมหาอุปราช คร้ันยกกองทพั ออกไปบริเวณทุ่งภูเขาทอง กองทพั อยุธยา ปะทะกบั กองทพั พระเจา้ แปร ซ่ึงเป็ นทพั หนา้ ของพม่า ชา้ งทรงของสมเด็จพระมหาจกั รพรรดิเกิด เสียทีหันหลงั หนีจากข้าศึก พระเจา้ แปรก็ทรงขบั ช้างไล่ตามมาอย่างกระช้ันชิด พระสุริโยทยั ทอดพระเนตรเห็นพระราชสวามีกาํ ลงั อยใู่ นอนั ตรายจึงรีบขบั ชา้ งเขา้ ขวางพระเจา้ แปร ทาํ ให้ทรงไม่ สามารถติดตามตอ่ ไปได้ พระเจา้ แปรจึงทาํ ยทุ ธหตั ถีกบั สมเด็จพระสุริโยทยั เนื่องจากพระสุริโยทยั อยใู่ นลกั ษณะเสียเปรียบ ชา้ งพระเจา้ แปรไดเ้ สยชา้ งพระสุริโยทยั จนเทา้ หนา้ ท้งั สองลอยพน้ พ้ืนดิน แลว้ พระเจา้ แปรจึงฟันพระสุริโยทยั จากพระพาหาขาดถึงกลางพระองค์ พระองค์เสด็จสวรรคต เช่นเดียวกบั พระราชธิดา คือ พระบรมดิลก บนชา้ งทรงเชือกเดียวกนั ถึงแมว้ า่ จะมีการสร้างอนุสาวรียข์ ้ึนเฉลิมพระเกียรติพระองคข์ ้ึนหลายแห่งในประเทศไทย แต่ตวั ตนและความเสียสละของพระองค์ยงั เป็ นหวั ขอ้ ที่ยงั เป็ นที่โตเ้ ถียงกนั อยู่ เน่ืองจากความจริง ที่ว่าพระนามของพระองคม์ ิไดถ้ ูกกล่าวถึงหรือบนั ทึกไวใ้ นประวตั ิศาสตร์พม่าเลย และขอ้ เท็จจริง ท้งั หมดเก่ียวกบั ชีวิตของพระองค์ถูกคดั มาจากบางตอนของจดหมายเหตุกรุงศรีอยุธยาและการ บรรยายของนกั สํารวจชาวโปรตุเกส โดมิงกู เซชสั (Domingo Seixas) พระราชโอรสและพระ ราชธิดา สมเดจ็ พระสุริโยทยั มีพระราชโอรส-พระราชธิดา 5 พระองค์ ซ่ึงน่าจะเรียงลาํ ดบั ดงั น้ี พระราเมศวร พระราชโอรสองค์โต ถูกจบั เป็ นองค์ประกนั แก่ พม่า และสิ้นพระชนมร์ ะหวา่ งไป หงสาวดี พระมหินทร์ พระราชโอรสองค์รอง ต่อมาได้ข้ึนครองราชย์เป็ นสมเด็จพระมหิน ทราธิราช กษตั ริยอ์ งค์สุดทา้ ยก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังที่ 1 ใน พ.ศ. 2112 พระสวสั ดิราช พระราชธิดา ต่อมาได้รับการสถาปนาข้ึนเป็ นพระวิสุทธิกษัตรี ย์ พระอัครมเหสีในสมเด็จ พระมหาธรรมราชาธิราชและเป็ นพระมารดาในพระสุพรรณกลั ยา สมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถพระบรมดิลก พระราชธิดา เสียพระชนมช์ ีพพร้อมพระมารดาในสงคราม คราวเสียพระสุริ โยไท พระเทพกษัตรี พระราชธิดา ภายหลังถูกส่งตัวถวายแด่สมเด็จ

99 พระเจา้ อภยั พุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช แห่งอาณาจกั รลา้ นชา้ ง ซ่ึงระหวา่ งการเดินทางถึงชายแดน สยามประเทศพระนางถูกพระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งพม่าทาํ การชิงตัวไปยงั กรุงหงสาวดี อนุสาวรีย์ เจดียส์ มเดจ็ พระศรีสุริโยทยั พระราชานุสาวรียส์ มเดจ็ พระสุริโยทยั หลงั สงคราม สมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิไดพ้ ระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระสุริโยทยั ท่ี สวนหลวง แลว้ สร้างวดั อุทิศพระราชกุศลพระราชทาน คือ วดั สวนหลวงสบสวรรค์ สถูปขนาดใหญ่ ซ่ึงสร้างข้ึนเพ่ือเกบ็ พระอฐั ิของสมเด็จพระสุริโยทยั ถูกเรียกวา่ เจดียพ์ ระศรีสุริโยทยั ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2534 ไดม้ ีโครงการก่อสร้างพระราชานุสาวรียส์ มเด็จพระสุริโยทยั ในบริเวณทุ่งมะขามหยอ่ ง ตาํ บลบา้ นใหม่ จงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา เป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระสุริโยทยั และสมเด็จพระนางเจา้ สิริกิต์ิ พระบรมราชินีนาถ ในวโรกาสที่มีพระชนมายุ ครบ 5 รอบ ในปี พ.ศ. 2535 7. พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ. 2098 - 25 เมษายน พ.ศ. 2148)พระนามเดิมวา่ พระองค์ ดาํ โอรสของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และ พระวิ สุทธิกษตั ริย์ (พระราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทยั และสมเดจ็ พระมหาจกั รพรรดิ) พระองคเ์ สดจ็ พระราช สมภพที่เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระเชษฐภคิณีคือพระ สุพรรณกลั ยาทรงมีพระอนุชาคือสมเดจ็ พระเอกาทศรถ (องคข์ าว) และทรงเป็นพระราชนดั ดาของสมเด็จพระ ศรีสุริโยทยั พระนามของพระองคป์ รากฏในลายลกั ษณ์

100 อกั ษรหลายฉบบั เช่น พระนเรศวรราชาธิราช จึงยงั ไม่สามารถสรุปไดว้ า่ พระนามนเรศวรไดม้ าจาก ที่ใด สนั นิษฐานเบ้ืองตน้ วา่ เพ้ยี นมาจากสมเดจ็ พระนเรศวรราชาธิราชเป็นสมเด็จพระนเรศวร ราชาธิราช พระราชประวตั เิ มื่อทรงพระเยาว์กบั ชีวติ และการศึกษาในหงสาวดี ตลอดระยะเวลาในวยั เยาวข์ องพระนเรศวรทรงใชช้ ีวติ อยใู่ นพระราชวงั จนั ทน์ เมือง พษิ ณุโลก จนกระทง่ั เมื่อพระเจา้ บุเรงนองยกทพั มาตีเมืองพษิ ณุโลกสมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธิราช เจา้ เมืองพษิ ณุโลกยอมอ่อนนอ้ มต่อแห่งหงสาวดี และทาํ ใหพ้ ิษณุโลกตอ้ งแปรสภาพเป็ นเมือง ประเทศราชหงสาวดีไม่ข้ึนต่อกรุงศรีอยธุ ยา พระเจา้ บุเรงนองไดท้ รงขอพระนเรศวรไปเป็นองค์ ประกนั ที่หงสาวดี ทาํ ใหพ้ ระองคต์ อ้ งจากบา้ นเกิดเมืองนอนต้งั แต่มีพระชนมม์ ายเุ พียง 9พรรษา นอกจากพระองคแ์ ลว้ ยงั มีองคป์ ระกนั จากเมืองอื่น ๆ ท่ีเป็ นเมืองข้ึนของหงสาวดีเป็นจาํ นวนมาก พระเจา้ บุเรงนองน้นั ทรงให้เหล่าองคป์ ระกนั ไดร้ ับการเล้ียงดูและการศึกษาอยา่ งดี พระนเรศวรทรง ใชเ้ วลา ๘ ปี เตม็ ในหงสาวดีศึกษายทุ ธศาสตร์ของพมา่ พระองคท์ รงศึกษาวชิ าศิลปศาสตร์และวชิ า พชิ ยั สงครามทรงนิยมในวชิ าการรบทพั จบั ศึก พระองคท์ รงมีโอกาสศึกษาท้งั ภายในราชสาํ นกั ไทย และราชสาํ นกั พมา่ มอญ และไดท้ ราบยทุ ธวธิ ีของชาวตา่ งชาติต่าง ๆ ที่มารวมกนั อยใู่ นกรุงหงสาวดี เป็นอยา่ งดี เช่น ชาวโปรตุเกส สเปน หรือชาวพมา่ เอง ทรงนาํ หลกั วชิ ามาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะกบั เหตุการณ์ และสภาพแวดลอ้ มในการทาํ ศึกไดเ้ ป็นเลิศ ดงั เห็นไดจ้ ากการสงครามทุกคร้ังของ พระองค์ ยทุ ธวธิ ีที่ทรงใช้ ไดแ้ ก่ การใชค้ นจาํ นวนนอ้ ยเอาชนะคนจาํ นวนมาก และยทุ ธวธิ ีการรบ แบบกองโจร พระองคท์ รงนาํ มาใชก้ ่อนจอมทพั ท่ีเลื่องช่ือในยโุ รป นอกจากน้นั หลกั การสงครามที่ เป็นที่ยอมรับอยา่ งกวา้ งขวางในปัจจุบนั เช่น การดาํ รงความมุง่ หมาย หลกั การรุก การออมกาํ ลงั และการรวมกาํ ลงั การดาํ เนินกลยทุ ธ ความเดด็ ขาดในการบงั คบั บญั ชา การระวงั ป้องกนั การจู่โจม ฯลฯ พระองคก์ ท็ รงนาํ มาใชอ้ ยา่ งเช่ียวชาญ และประสบผลสาํ เร็จอยา่ งงดงามมาโดยตลอด เนื่องจาก การที่พระองคม์ ีชีวิตอยใู่ นฐานะองคป์ ระกนั ทาํ ใหท้ รงมีความกดดนั สูงจากมงั กะยอชวา (พระราช โอรสในพระเจา้ นนั ทบุเรง) จึงทรงมีแรงผลกั ดนั ที่จะกอบกอู้ ิสรภาพใหก้ บั บา้ นเมืองของพระองค์ เช่น จากการชนไก่ของพระองคก์ บั มงั กะยอชวา เป็นตน้ รวมท้งั การเหยยี ดหยามวา่ เป็นเชลยจาก พวกพมา่ ดว้ ย ทรงประกาศอสิ รภาพ วนั ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2127 สมเด็จพระนเรศวรฯเดินทพั มาถึงเมืองแครง ดว้ ยบุญญาธิ การทรงปฏิบตั ิตนเป็ นท่ีเคารพรักของชาวมอญ จึงมีพรรคพวกคนมอญมาก แมก้ ระทงั่ พระมหาเถร คนั ฉ่องก็ไดน้ มสั การทา่ นอยปู่ ระจาํ จนชอบพอคุน้ เคย และเม่ือบงั เอิญเกิดความวุน่ วายทางเมืองพม่า พวกมอญท่ีเกลียดและประสงคจ์ ะเป็นอิสระจากพม่าอยแู่ ลว้ รวมท้งั พระยาเกียรติ พระยารามจึง จาํ เป็นตอ้ งพ่ึงพากองทพั ไทยสมเดจ็ พระนเรศวรฯไดพ้ กั ทพั ต้งั พลบั พลาอยใู่ กลว้ ดั พระมหาเถรคนั ฉ่อง เม่ือเสด็จไปนมสั การ มหาเถรคนั ฉ่อง จึงไดท้ รงทราบวา่ พระเจา้ หงสาวดีนนั ทบุเรงคิดกาํ จดั

101 พระองค์ จึงรับสัง่ ใหป้ ระชุมแม่ทพั นายกองรวมท้งั ชาวมอญท้งั หลายในเมืองแครงดว้ ย และเขา้ ใจ กนั วา่ โปรดใหพ้ ระมหาเถรคนั ฉ่องมานงั่ เป็นประธานในพิธีดว้ ยสมเดจ็ พระนเรศวรฯทรงหลง่ั น้าํ จากสุวรรณภิงคารลงเหนือแผน่ ดิน ประกาศแก่เทพยดาต่อหนา้ ท่ีประชุมวา่ “ต้งั แตว่ นั น้ีเป็นตน้ ไป กรุงศรีอยธุ ยาขาดพระราชไมตรีกบั กรุงหงสาวดีมิไดเ้ ป็ นมิตรกนั ดงั แตก่ ่อนสืบไป\" ในปี ที่ทรง ประกาศอิสรภาพ สมเด็จพระนเรศวรฯทรงมีพระชนมายไุ ด้ 29พรรษาหลงั จากประกาศอิสรภาพ แลว้ จากน้นั จึงยกกองทพั หลวงจากเมืองแครงไปตีเมืองหงสาวดี สงครามยทุ ธ์หตั ถี ตลอดรัชสมยั ของพระองคท์ รงกอบกูก้ รุงศรีอยธุ ยาจากหงสาวดี และไดท้ าํ สงครามกบั อริ ราชศตั รูท้งั พม่าและเขมร จนราชอาณาจกั รไทยเป็นปึ กแผน่ มนั่ คง ขยายพระราชอาณาเขตออกไป อยา่ งกวา้ งใหญไ่ พศาลกวา่ คร้ังใดในอดีตที่ผา่ นมา ทรงมีพระปรีชาสามารถในการนาํ ทพั ทรงริเริ่ม นาํ ยทุ ธวธิ ีแบบใหม่มาใชใ้ นการทาํ สงคราม การสงครามกบั พมา่ คร้ังสาํ คญั ที่ทาํ ใหพ้ ม่าไม่กลา้ ยกทพั มารุกรานไทยอีกเลย เป็นเวลา เกือบสองร้อยปี คือ สงครามยุทธหตั ถี เม่ือปี พ.ศ. 2135 นนั่ คือเมื่อหงสาวดีนาํ โดยพระมหาอุป ราชามงั สามเกียดยกทพั มาตีกรุงศรีอยธุ ยาอีกคร้ัง สมเด็จพระนเรศวรก็นาํ ทพั ออกไปจนปะทะกนั ท่ี หนองสาหร่าย จงั หวดั สุพรรณบุรี บา้ งกว็ า่ จงั หวดั กาญจนบุรี สมเดจ็ พระนเรศวรไดท้ รงกระทาํ ยทุ ธ หตั ถีกบั พระมหาอุปราชาจนกระทงั่ สามารถเอาพระแสงงา้ วฟันพระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่ง สิ้นพระชนมอ์ ยกู่ บั คอชา้ งนน่ั เอง พระราชกรณียกิจสาํ คญั ที่มีต่อการสร้างสรรคช์ าติไทยสามารถสรุปไดด้ งั น้ี พ.ศ. 2113 เสด็จออกร่วมรบกบั ทหารโดยขบั ไล่กองทพั เขมรไดส้ าํ เร็จ พ.ศ. 2114 ไดร้ ับสถาปนาใหป้ กครองเมืองพิษณุโลก เม่ือพระชนมายุ 16 พรรษา พ.ศ. 2117 เสด็จไปรบที่เวยี งจนั ทน์ ทรงประชวรเป็นไขท้ รพิษจึงเสด็จกลบั พ.ศ. 2121 ทรงทาํ สงครามขบั ไล่พระยาจีนจนั ตุออกไปจากกรุงศรีอยธุ ยา พ.ศ. 2127 ทรงประกาศอิสรภาพท่ีเมืองแครง และกวาดตอ้ นคนไทยกลบั พระนคร พ.ศ. 2127-พ.ศ. 2130 พมา่ ยกกองทพั มาตีไทยถึง 4 คร้ัง แต่ถูกไทยตีแตกพา่ ยกลบั ไป พ.ศ. 2133 ทรงเสดจ็ ครองราชย์ ณ กรุงศรีอยธุ ยาเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา พ.ศ. 2135 ทรงทาํ สงครามยทุ ธหตั ถี และมงั กะยอชะวา สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 2136 ทรงยกกองทพั ไปตีเขมรและจบั พระยาละแวกทาํ พิธีปฐมกรรม พ.ศ. 2138 และ พ.ศ. 2141 ทรงกรีฑาทพั ไปตีกรุงหงสาวดี คร้ังที่ 1 และคร้ังที่ 2 พ.ศ.2148 ทรงกรีฑาทพั ไปตีกรุงองั วะ เมื่อไปถึงเมืองหางหรือเมืองหา้ งหลวงทรงพระ ประชวรเป็นหวั ระลอกข้ึนที่พระพกั ตร์ เสด็จสวรรคต ณ ทุง่ แกว้ เมืองหา้ งหลวง ตรงกบั วนั ข้ึน 8 ค่าํ เดือน 6 ปี มะเส็ง พระชนมายุ 50 พรรษา ครองราชยส์ มบตั ิได้ 15 ปี

102 สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชกบั วฒั นธรรมในปัจจุบนั 1. ตราประจาํ จงั หวดั ของไทยที่มีพระบรมรูปของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเป็น องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ จงั หวดั สุพรรณบุรี จงั หวดั ตาก และจงั หวดั หนองบวั ลาํ ภู 2. มีการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชในหลายแห่งทวั่ ประเทศ เช่น พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ จงั หวดั สุพรรณบุรี ศาลสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชท่ีริม หนองบวั ลาํ ภู ในจงั หวดั หนองบวั ลาํ ภู เป็นตน้ 3. มีการนาํ พระนามของสมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชไปต้งั เป็นช่ือของมหาวทิ ยาลยั นเรศวร และคา่ ยทหารตา่ งๆ ทวั่ ประเทศ เช่น ค่ายนเรศวร ท่ีจงั หวดั ลพบุรี คา่ ยนเรศวรมหาราช ที่อาํ เภอแม่ แตง จงั หวดั เชียงใหม่ เป็ นตน้ ส่วนทางกรมตาํ รวจไดน้ าํ พระนามของพระองคม์ าต้งั เป็นช่ือคา่ ย ตาํ รวจตระเวนชายแดนที่อาํ เภอชะอาํ จงั หวดั เพชรบุรีวา่ \"คา่ ยนเรศวร\" ดว้ ยเช่นกนั 4. ชาวไทยนิยมนาํ หุ่นรูปไก่ชนพนั ธุ์เหลืองหางขาวไปบนบานกบั พระบรมรูปสมเดจ็ พระ นเรศวรมหาราช เพราะเชื่อกนั วา่ เป็นไก่พนั ธุ์เดียวกบั ตวั ที่เอาชนะไก่ชนของพระมหาอุปราชาแห่ง หงสาวดีได้ 5. มีการนาํ พระราชประวตั ิของพระองคไ์ ปเขียนเป็นหนงั สือการ์ตูนอยหู่ ลายคร้ัง เช่น มหา กาพยก์ แู้ ผน่ ดิน ผลงานของมนตรี คุม้ เรือน เป็นตน้ 8. สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชทรงเป็นพระโอรสของพระเจา้ ปราสาททอง และพระนางเจา้ สิริกลั ยานีอคั รราชเทวพี ระราช มารดาเป็ น พระราชธิดาในสมเด็จพระเจา้ ทรงธรรม เสด็จพระ ราชสมภพ เมื่อวนั จนั ทร์เดือนย่ี ปี วอก พ.ศ. 2175การครองราชย์ ราชวงศป์ ราสาททองทรงราชย์ พ.ศ.2199- พ.ศ. 2231 ระยะเวลา ครองราชย3์ 2 ปี พระองคท์ รงเป็นพระมหากษตั ริยอ์ งคท์ ี่ 27ใน สมยั กรุงศรีอยธุ ยาตอนปลายรัชกาลก่อนหนา้ สมเด็จพระศรีสุ ธรรมราชารัชกาลถดั มาสมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระนารายณ์ มหาราชเสด็จสวรรคต พ.ศ. 2231

103 พระราชกรณียกจิ สาคัญทมี่ ีต่อการสร้างสรรค์ชาตไิ ทยสามารถสรุปได้ดังนี้ ด้านการทหาร ในสมยั ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไดท้ รงปราบปรามเมืองนอ้ ยใหญใ่ หเ้ ป็นมา สวามิภกั ด์ิ ท้งั หวั เมืองทางเหนือ เช่น เชียงใหม่ ลาํ พูนส่วนศึกกบั พมา่ แมจ้ ะมีอยใู่ นเวลาน้ี แตก่ ท็ รง จดั ทพั ตีพา่ ยกลบั ไปอยเู่ นืองๆกิจการของกองทพั นบั วา่ รุ่งเรืองและยงิ่ ใหญส่ มเด็จพระนารายณ์เองก็ ทรงชาํ นาญในการศึก คลอ้ งชา้ ง และทรงซ้ืออาวธุ จากตา่ งชาติสาํ หรับกิจการของกองทพั ดว้ ย การตา่ งประเทศ มีการติดต่อท้งั ดา้ นการคา้ และการทูตกบั ประเทศต่างๆ เช่น จีน ญ่ีป่ ุนอิหร่าน องั กฤษ และ ฮอลนั ดา มีชาวต่างชาติเขา้ มาในพระราชอาณาจกั รเป็นจาํ นวนมาก ขณะเดียวกนั ยงั โปรดฯให้แตง่ คณะทูตไป เจริญสัมพนั ธไมตรีกบั ราชสาํ นกั ฝร่ังเศส ในรัชสมยั พระเจา้ หลุยส์ที่ 14 ถึง 4 คร้ังดว้ ยกนั ผทู้ ่ีเขียน เกี่ยวกบั กรุงศรีอยธุ ยาและสยามมากท่ีสุดในสมยั น้ีก็คือ มองซิเออร์ เดอลาลูแบร์ วทิ ยาการสมยั ใหม่ พระองคย์ งั ทรงรับเอาวทิ ยาการสมยั ใหม่มาใช้ เช่น กลอ้ งดูดาว และยทุ โธปกรณ์บาง ประการ รวมท้งั ยงั มีการรับเทคโนโลยกี ารสร้างน้าํ พจุ ากชาวยโุ รป และวางระบบท่อประปาภายใน พระราชวงั อีกดว้ ย ดา้ นวรรณกรรม สมเดจ็ พระนารายณ์นบั วา่ เป็ นท้งั นกั รบและกวที รงพระราชนิพนธ์วรรณคดีไวห้ ลายเรื่อง เช่น *โคลงพทุ ธไสยาสนป์ ่ าโมก *โคลงพาลีสอนนอ้ ง *โคลงทศรถสอนพระราม *ราชสวสั ด์ิ *ราชาณุวรรต *ประดิษฐพ์ ระร่วง *สมุทรโฆษคาํ ฉนั ท์ (ตอนกลาง) *คาํ ฉนั ทก์ ล่อมชา้ ง (ของเก่า) เป็นตน้ ด้านดาราศาสตร์ ในระหวา่ งปี พทุ ธศกั ราช 2228-2230รัชสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราชคณะบาทหลวง เจชูอิตชาวฝร่ังเศส ไดม้ าเผยแพร่ดาราศาสตร์ในประเทศไทย มีส่ิงก่อสร้าง เช่น หอดูดาววดั สัน เปาโล เป็นหอดูดาวแห่งแรกในประเทศไทย นอกจากน้ีในวนั ที่ 30 เมษายน พทุ ธศกั ราช 2231 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชไดท้ อดพระเนตรสุริยปุ ราคาเตม็ ดวงท่ีพาดผา่ นแมน่ ้าํ ฤกษณะใน

104 ประเทศอินเดีย พม่า จีน ไซบีเรียไปสิ้นสุดในทวปี อเมริกา สาํ หรับประเทศไทยเห็นเป็ นสุริยปุ ราคา บางส่วนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงกลอ้ งทอดพระเนตรจนั ทรุปราคาเตม็ ดวงใน คืนวนั ที่ 11 ธนั วาคม พ.ศ.2228ร่วมกบั คณะบาทหลวงชาวฝร่ังเศส ณ พระตาํ หนกั ทะเลชุบศร เมืองลพบุรี 9. สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช พระนาม เดิมวา่ สินทรงพระราชสมภพ เมื่อปี พ.ศ. 2277ท่ี บา้ นใกลก้ าํ แพงพระนครศรีอยธุ ยา พระราชบิดา มีบรรดาศกั ด์ิเป็นขนุ พฒั น์ พระราชมารดาชื่อ นก เอ้ียง ต่อมาภายหลงั ไดร้ ับการสถาปนาเป็นกรม พระเทพามาตย์ เจา้ พระยาจกั รี สมุหนายกในรัช สมยั สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ไดข้ อรับไป เล้ียงเป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออายไุ ด้ 13 ปี เจา้ พระยาจกั รี ไดน้ าํ เขา้ ถวายตวั รับราชการเป็น มหาดเล็ก ทาํ ราชการอยใู่ นบงั คบั บญั ชาของหลวง ศกั ด์ินายเวร เม่ืออายไุ ด้ 21 ปี เจา้ พระยาจกั รีไดท้ าํ การอุปสมบทใหใ้ นสาํ นกั พระอาจารยท์ องดี วดั โกษาวาส (วดั เชิงท่า)อยสู่ ามพรรษาแลว้ ลาสิกขาเขา้ รับราชการตามเดิม ในรัชสมยั สมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั น์ (สมเด็จพระบรมราชาที่ 3) ไดร้ ับโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ป็นขา้ หลวงพิเศษเดินทางไปชาํ ระคดีความตามหวั เมืองฝ่ ายเหนือ มีความดีความชอบไดร้ ับ โปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ป็ นหลวงยกกระบตั รเมืองตาก ตอ่ มาเม่ือพระยาตากถึงแก่กรรมก็ไดร้ ับโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ป็นพระยาตากแทน เมื่อพมา่ ยกกาํ ลงั เขา้ ลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยาก่อนที่กรุงศรีอยธุ ยาจะเสียแก่พม่าคร้ังที่สองพระยา ตากไดเ้ ขา้ มาช่วยราชการป้องกนั กรุงศรีอยธุ ยาอยา่ งเขม้ แขง็ แต่ในท่ีสุดเมื่อเห็นวา่ การป้องกนั กรุง ศรีอยธุ ยาในคร้ังน้นั ไม่อาํ นวยใหก้ ระทาํ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ีและอยนู่ อกอาํ นาจหนา้ ที่ท่ีพระองคจ์ ะแกไ้ ข ได้ จึงไดห้ าทางต่อสู้ใหม่ ดว้ ยการตีฝ่ าวงลอ้ มพมา่ ออกไป ดว้ ยกาํ ลงั เลก็ นอ้ ยเพียง 500 คนไดต้ ่อสู้ กบั กองทหารพมา่ ที่บา้ นพรานนกไดช้ ยั ชนะจากน้นั ไดน้ าํ กาํ ลงั ไปต้งั มนั่ ที่เมืองจนั ทบุรี เพ่ือรวบรวม กาํ ลงั มากกู้ รุงศรีอยธุ ยาท่ีเสียแก่พมา่ เม่ือวนั ที่ 7 เมษายน พ.ศ.2310 เม่ือพระองคท์ รงรวบรวมกาํ ลงั พลไดป้ ระมาณ 5,000 คน กบั เรือรบ 100 ลาํ กไ็ ดย้ กกาํ ลงั ทางเรือเขา้ ยดึ เมืองธนบุรี ไดเ้ ม่ือวนั ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2311 ในวนั ต่อมาพระองคไ์ ดต้ ีคา่ ยทหาร พมา่ ท่ีค่ายโพธิสามตน้ และค่ายอื่นๆ แตกทุกค่าย ทาํ การกูเ้ อกราชกรุงศรีอยธุ ยาไดส้ าํ เร็จในเวลา เพยี งเจด็ เดือน

105 หลงั จากขบั ไล่พม่าออกไปแลว้ พระองคก์ ไ็ ดท้ าํ พิธีปราบดาภิเษกเป็นกษตั ริย์ เม่ือวนั ท่ี 28 ธนั วาคม พ.ศ.2311 เมื่อพระชนมายไุ ด้ 34 พรรษา ทรงพระนามวา่ สมเด็จพระศรีสรรเพชรญห์ รือ สมเด็จพระบรมราชท่ี 4 แตค่ นทวั่ ไปนิยมขนานพระนามพระองคว์ า่ สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช พระองคท์ รงเห็นวา่ กรุงศรีอยธุ ยาที่ถูกฝ่ ายพมา่ เผาผลาญวอดวาย ทาํ ลายบา้ นเมืองไปหมดสิ้นเกินกวา่ ท่ีจะบูรณะปฏิสังขรณ์ใหก้ ลบั เป็นเมืองหลวงไดจ้ ึงทรงเลือก เมืองธนบุรีที่มีความเหมาะสมกวา่ ข้ึนเป็นราชธานี พระราชกรณียะกิจของพระองคใ์ นลาํ ดบั ต่อมาคือการรวบรวม การรวบรวมกาํ ลงั ไวต้ อ่ สู้ กบั พม่าตอ่ ไปคือความเป็นปึ กแผน่ ของพระราชอาณาจกั ร ซ่ึงในเวลาน้นั ไดม้ ีผตู้ ้งั ตนเป็ นใหญ่หา้ ชุมนุมต่าง ๆ ไดแ้ ก่ชุมนุมเจา้ พระยาพษิ ณุโลก ชุมนุมเจา้ พระฝาง ชุมนุมเจา้ พิมายและชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช เม่ือรวมชุมนุมของพระองคเ์ องท่ีกรุงธนบุรีแลว้ ก็มีถึงหา้ ชุมนุม พระองคท์ รงใช้ เวลาในการปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ อยสู่ ามปี จึงเสร็จปราบปรามไดเ้ สร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.2313 ทาํ ให้ พระราชอาณาจกั รเป็นปึ กแผน่ ส่วนหวั เมืองมาลายไู ดแ้ ก่ เมืองปัตตานี เมืองไทรบุรีเมืองกลนั ตนั และเมืองตรังกานู ซ่ึงเคยเป็นเมืองข้ึนของกรุงศรีอยธุ ยามาแต่เดิม และไดแ้ ยกตวั เป็นอิสระเมื่อเสีย กรุงศรีอยธุ ยาคร้ังที่สองพระองคเ์ ห็นวา่ ยงั ไม่พร้อมและยงั ไม่มีความสาํ คญั เร่งด่วนที่จะไป ปราบปรามจึงไดป้ ล่อยไปก่อนในการทาํ สงครามกบั พม่าในระยะต่อมาพระองคไ์ ดเ้ ปลี่ยนหลกั นิยม ในการยดึ พระนครเป็ นที่ต้งั รับขา้ ศึกมาเป็นการยกกาํ ลงั ไปยบั ย้งั ขา้ ศึกท่ีชายแดน ทาํ ใหป้ ระชาชน พลเมืองไม่ไดร้ ับอนั ตรายเสียหายเดือดร้อนจากขา้ ศึก ในรัชสมยั ของพระองค์ ไดม้ ีการทาํ สงคราม ขยายพระราชอาณาเขตของกรุงศรีอยธุ ยาออกไปอยา่ งกวา้ งขวางโดยไดท้ าํ ศึกสงครามกบั พม่าและ อาณาจกั รอื่น ๆ รวม 12 คร้ัง ในปี พ.ศ.2324 สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชไดท้ รงโปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก และเจา้ พระยาสุรสีห์ยกทพั ไปปราบเขมร แต่ตอ้ งยกทพั กลบั เนื่องจากทางกรุงธนบุรีเกิดจราจล โดยพระยาสรรคไ์ ดก้ ่อกบฏยกกาํ ลงั เขา้ ยดึ กรุงธนบุรีแลว้ จบั สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชใหไ้ ปทรงผนวชที่วดั อรุณราชวราราม (วดั แจง้ ) เม่ือสมเด็จเจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก ยกทพั กลบั มาถึงกรุงธนบุรี ไดป้ ราบปรามกบฏได้ สาํ เร็จราษฎรและบรรดามหาอาํ มาตย์ จึงไดพ้ ร้อมใจกนั อญั เชิญใหส้ มเดจ็ เจา้ พระยามหากษตั ริยศ์ ึก ข้ึนครองราชยเ์ มื่อวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ.2325 ตลอดรัชสมยั ของพระองคไ์ ดท้ รงทาํ ศึกสงครามมาโดย ตลอดเวลา 15 ปี โดยมิไดห้ ยุดหยอ่ น ไดข้ ยายพระราชอาณาเขตของกรุงธนบุรีออกไปจนเกือบ เทา่ กบั สมยั กรุงศรีอยธุ ยาก่อนเสียกรุงแก่พมา่ พระองคไ์ ดร้ ับการถวายพระราชสมญั ญานามวา่ สมเดจ็ พระเจ้าตากสินมหาราช

106 10. พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (ร.1) พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช ทรงมีพระนามเดิมวา่ “ดว้ ง” หรือ “ทองดว้ ง” เสด็จพระราชสมภพเมื่อวนั พุธท่ี20 มีนาคม พ.ศ. 2279 เขา้ ถวายตวั เป็ นมหาดเลก็ ในเจา้ ฟ้าอุทุมพร กรมขนุ พร พินิต ต่อมาไดเ้ ขารับราชการในรัชกาลพระเจา้ เอกทศั ตาํ แหน่งหลวงยกกระบตั รประจาํ เมืองราชบุรีและปฏิบตั ิ ราชการที่เมืองราชบุรีจนกรุงศรีอยธุ ยาเสียแก่พม่าเม่ือ พ.ศ. 2310 ในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช หลวง ยกกระบตั รไดร้ ับราชการอยา่ งแขง็ ขนั และมีพระปรีชา สามารถโดยเฉพาะดา้ นการสงคราม พระราชกรณยี กจิ สาคญั ทมี่ ตี ่อการสร้างสรรค์ชาตไิ ทยสามารถสรุปได้ดงั นี้ ด้านการเมืองการปกครอง 1. ทรงสถาปนาราชวงศจ์ กั รีและกรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยทรงยา้ ย ราชธานีจากกรุงธนบุรีมาอยูท่ ่ีกรุงเทพมหานคร 2. โปรดเกลา้ ฯ ใหช้ าํ ระกฎหมายใหถ้ ูกตอ้ งยตุ ิธรรมเรียกวา่ “กฎหมายตราสามดวง” เพราะ ประทบั ตราสาํ คญั 3 ดวง ไดแ้ ก่ตราราชสีห์ของสมุหนายก ตราคชสีห์ของสมุหพระกลาโหม และ ตราบวั แกว้ ของกรมท่า 3. ทรงใหข้ ดุ คลองรอบกรุง เช่น คลองบางลาํ พทู างตะวนั ออก คลองโอ่งอ่างทางใต้ ทาํ ให้ กรุงรัตนโกสินทร์เป็ นเหมือนเกาะที่มีแม่น้าํ ลอ้ มรอบเหมือนกบั กรุงศรีอยธุ ยา รวมท้งั สร้างกาํ แพง พระนครและป้อมปราการไวโ้ ดยรอบ ปัจจุบนั คงเหลือเพยี งป้อมพระสุเมรุท่ีต้งั อยบู่ ริเวณสุดถนน พระอาทิตยเ์ ชื่อมต่อกบั ถนนพระสุเมรุและป้อมมหากาฬที่สะพานผา่ นฟ้าลีลาศ 4. ทรงเป็นจอมทพั ในการทาํ สงครามกบั รัฐเพื่อนบา้ นสงครามคร้ังสาํ คญั คือ สงครามเกา้ ทพั กบั พม่า

107 ด้านเศรษฐกจิ ในตอนตน้ รัชกาลที่ 1 เศรษฐกิจยงั ไม่ดีเพราะมีการทาํ สงครามกบั พม่าหลายคร้ัง การติดตอ่ คา้ ขายกบั ต่างประเทศก็ลดลงมาก แตใ่ นปลายรัชกาลบา้ นเมืองปลอดภยั จากสงครามทาํ ให้ ประชาชนมีเวลาประกอบอาชีพส่วนการคา้ ขายกบั จีนเพม่ิ มากข้ึนทาํ ใหเ้ ศรษฐกิจดีข้ึน มีเงินใชจ้ า่ ย ในการทาํ นุบาํ รุงบา้ นเมือง สร้างพระนคร สร้างและบูรณปฏิสงั ขรณ์วดั รวมท้งั ส่งั ซ้ือและสร้าง อาวธุ เพื่อใชป้ ้องกนั พระราชอาณาเขต ทาํ ใหบ้ า้ นเมืองและราษฎรเกิดความมนั่ คงและมง่ั คง่ั ด้านสังคมและวฒั นธรรม 1. โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระราชวงั และวดั ใหม้ ีรูปแบบเหมือนสมยั อยธุ ยา เพื่อสร้างขวญั กาํ ลงั ใจแก่ราษฎรใหเ้ สมือนอยใู่ นสมยั อยธุ ยาเม่ือคร้ัง บา้ นเมืองเจริญรุ่งเรือง เช่น โปรดเกลา้ ฯ ใหล้ อกแบบ พระที่นง่ั สรรเพชญป์ ราสาท มาสร้างพระที่นง่ั อมรินทรวินิจฉยั ฯ ต่อมาเกิดเพลิงไหมจ้ ึงโปรดเกลา้ ฯ ใหร้ ้ือแลว้ สร้างพระมหาปราสาทข้ึนมาใหม่และ พระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาท พระราชทานนามวา่ “พระที่นงั่ ดุสิตมหาปราสาท”รวมท้งั โปรดเกลา้ ฯใหส้ ร้างวดั พระศรีรัตนศาสดารามหรือวดั พระแกว้ ไวใ้ นเขตพระบรมมหาราชวงั เพ่ีอใช้ ในการประกอบพธิ ีทางพระพทุ ธศาสนาเช่นเดียวกบั วดั พระศรีสรรเพชญใ์ นสมยั อยธุ ยา 2. ทรงทาํ นุบาํ รุงพระพุทธศาสนา ดว้ ยการออกกฎหมายคณะสงฆเ์ พือ่ ใหพ้ ระสงฆอ์ ยใู่ น พระธรรมวนิ ยั โปรดเกลา้ ฯใหม้ ีการสงั คายนาพระไตรปิ ฎกใหม้ ีความถูกตอ้ งสมบูรณ์ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างวดั และบูรณปฏิสงั ขรณ์วดั วาอารามตา่ ง ๆ เช่น วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ์ิ) วดั สุทศั นเทพวราราม วดั สระเกศ วดั ระฆงั โฆสิตาราม วดั สุวรรณดารารามตลอดจน บูรณปฏิสงั ขรณ์พระพุทธรูปที่ถูกทิ้งร้างตามหวั เมืองต่างๆ แลว้ นาํ มาประดิษฐานไวต้ ามวดั วาอาราม ที่สร้างข้ึนใหม่ เช่น อญั เชิญพระศรีศากยมุนีจากวหิ ารหลวงวดั มหาธาตุ จงั หวดั สุโขทยั มาประดิษฐานที่วดั สุทศั นเทพวรารามเป็นตน้ 3. ทรงฟ้ื นฟูพระราชพิธีและประเพณีสาํ คญั สมยั อยธุ ยา เช่น จดั ใหม้ ีพระราชพิธีบรม ราชาภิเษกและพระราชพิธีสมโภชพระนคร แสดงให้เห็นถึงความมน่ั คงของการกอบกูร้ าชธานี ข้ึนมาใหมเ่ ป็นการสร้างขวญั กาํ ลงั ใจใหก้ บั ราษฎรและเป็ นการรักษาพระราชพิธีโบราณ

108 น1ิพ1.นพธร์วะร4บพร.ณารททะครสบงดมสาีหทเ่งดลเสสจ็ามยพรเเิมรดร่ืองะ็จางพพนเรทุ ชวะธร่นพเรลุทรณศิาธกมหเรลเลกริศ้าียมหนรโภลตด์า้าิเพนลยพลยัภ(งรารยละ.า2ยรั ว)ารชบ พภพพสมารมีพมรษะา่ ะเราคทดบะไลจ็ี่ททนางพั่าทยาดร(มสหเินะชเมดนอแ่นเิมมด)ดซวสร็จง่ึิงาน่พาโวม“ทรปรฉกะรรริม๊กพาณดบ”ุทเรคกรทาธดลมชยรีเา้ราหองฯธาเดลปชิรใฟ่็าินนาหนช้าีพเแ้้จีมยแปรุฬงื่ัอปะเลาพปรลโห็รนาลโนชะทดกชโงั ยี่มนสอนเหิยจรือมมา้าสจาพรมใีนยารนาไุชเถะปดแยึ็งน้ ล1า6ะ ปพัจรจรุบษนั า ทรงไดร้ ับการสถาปนาข้ึนเป็นสมเดจ็ พระเจา้ ลูกยาเธอ เจา้ ฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรในคราวท่ีสมเด็จ พระราชบิดาทรงปราบดาภิเษกข้ึนเป็นปฐมกษตั ริย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เม่ือ พ.ศ. 2325 วดั พระแกว้ ในพระบรมมหาราชวงั สร้างข้ึนในสมยั รัชกาลท่ี 1 พระราชกรณยี กจิ สาคญั ทม่ี ีต่อการสร้างสรรค์ชาติไทย สรุปได้ดังนี้ ด้านการเมืองการปกครอง 1. ทรงตรากฎหมายหา้ มสูบซ้ือขายฝ่ินใน พ.ศ. 2354 และ พ.ศ. 2362 โดยกาํ หนด บทลงโทษแก่ผสู้ ูบฝิ่นไวอ้ ยา่ งหนกั 2. ทรงปรับปรุงกฎหมายพระราชกาํ หนดสกั เลกเม่ือพ.ศ. 2353 เพ่อื เรียกเกณฑไ์ พร่พลเขา รับราชการ โดยลดเวลาใหไ้ พร่มารับราชการเพยี ง 3 เดือน ทาํ ใหไ้ พร่มีเวลาทาํ มาหากินส่วนตวั มาก ข้ึน ด้านสังคมและวฒั นธรรม 1. โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีการบูรณปฏิสังขรณ์วดั แจง้ ดว้ ยการสถาปนาโบสถแ์ ละวหิ ารข้ึนใหม่ เสริมพระปรางคอ์ งคเ์ ดิมใหใ้ หญข่ ้ึน และพระราชทานนามใหม่วา่ “วดั อรุณราชวราราม” ทรงให้ แปลบทสวดมนตจ์ ากภาษาบาลีเป็ นภาษาไทย เพื่อใหค้ นทว่ั ไปเขา้ ใจคาํ สอนต่าง ๆ ไดง้ ่ายข้ึน 2. ทรงฟ้ื นฟูพระราชพิธีวสิ าขบูชาข้ึนมาใหม่เม่ือ พ.ศ. 2360 ตามท่ีเคยปฏิบตั ิกนั มาในสมยั สุโขทยั

109 ด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม 1. ทรงปรับปรุงท่าราํ ตา่ ง ๆ ท้งั โขนและละคร ซ่ึงกลายเป็นตน้ แบบมาถึงปัจจุบนั ทรง ประพนั ธ์เพลง “บุหลนั ลอยเลื่อน” หรือ “บุหลนั ลอยฟ้า” 2. ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมมากมาย เช่น ขุนชา้ งขนุ แผน คาวสี ังขท์ อง ไกรทอง อิเหนา 3. ทรงแกะสลกั บานประตูวหิ ารพระศรีศากยมุนี ท่ีวดั สุทศั นเทพวราราม ปัจจุบนั เก็บรักษา ไว้ ณ พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติพระนคร 12. พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หวั (ร.3) พระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระนาม เดิมวา่ “พระองคเ์ จา้ ชายทบั ” ทรงเป็นพระราช โอรสพระองคใ์ หญใ่ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศ หลา้ นภาลยั และสมเด็จพระศรีสุลาลยั (เจา้ จอม มารดาเรียม) เสด็จพระราชสมภพเมื่อวนั ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2330 พระราชกรณียกจิ สาคัญทม่ี ตี ่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมดี ังนี้ พระปรางคว์ ดั อรุณราชวราราม ด้านศาสนา พระบาทสมเด็จพระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงให้ ความสาํ คญั กบั การทาํ นุบาํ รุงพระพุทธศาสนาโดยทรงสร้าง และบูรณปฏิสังขรณ์วดั มากข้ึน วดั ที่ทรงสร้างมีหลายแห่ง เช่นวดั ราชนดั ดาราม วดั เทพธิดารามทรงบูรณะ วดั พระเชตุ พนวมิ ล-มงั คลารามหรือวดั โพธ์ิรวมท้งั ใหจ้ ารึกความรู้ตา่ งๆ ลงบนแผน่ หินอ่อนประดบั ไวต้ ามศาลารายในวดั โพธ์ิ และ โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระปรางคว์ ดั อรุณราชวรารามเพิม่ เติม จนสูงอยา่ งที่เห็นในปัจจุบนั

110 ในสมยั น้ีมีการก่อต้งั ธรรมยตุ ิกนิกายโดยวชิรญาณเถระ (ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอม เกลา้ เจา้ อยหู่ วั )ซ่ึงพระสงฆใ์ นนิกายน้ีจะมีความเคร่งครัดมาก เช่น ไม่จบั ตอ้ งเงิน เดินโดยไม่สวม รองเทา้ เป็นตน้ รวมท้งั ใหค้ วามเสมอภาคแก่ผทู้ ี่นบั ถือศาสนาอื่น ด้านความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ ในสมยั น้ีมีชาติตะวนั ตกเขา้ มาติดต่อเพ่ือขอทาํ สนธิ สญั ญาทางพระราชไมตรีและการคา้ กบั ไทยมากข้ึนพระบาท สมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงลงพระนามทาํ สนธิสัญญา กบั ประเทศองั กฤษเม่ือวนั ท่ี 20 มิถุนายน พ.ศ. 2369เรียกวา่ “สนธิสญั ญาเบอร์นีย”์ เป็นสนธิสญั ญาฉบบั แรกท่ีไทยทาํ กบั ชาติตะวนั ตก สนธิสัญญาฉบบั น้ีไทยไมเ่ สียเปรียบใดๆ และภายหลงั ตอ่ มาไทยทาํ สนธิสัญญากบั ชาติ ตะวนั ตกอ่ืนๆ อีกหลายฉบบั และในสมยั รัชกาลที่ 3 ไดม้ ีการติดตอ่ กบั สหรัฐอเมริกาอยา่ งเป็น ทางการคร้ังแรกโดยสหรัฐอเมริกาไดส้ ่งเอ็ดมนั ด์โรเบิร์ตส์เป็นทูตเขา้ มาเจรจาทางการคา้ กบั ไทย ซ่ึง มีการตกลงและลงนามในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2375 โดยมีสาระสาํ คญั คลา้ ยคลึงกบั สนธิสญั ญาเบอร์ นีย์ ด้านเศรษฐกจิ พระบาทสมเด็จพระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงส่งเสริมการคา้ กบั ต่างชาติท้งั จีนองั กฤษ สหรัฐอเมริกา และโปรตุเกส โดยส่งเรือ สาํ เภาและเรือกาํ ปั่นแบบฝร่ังท้งั เรือของราชการและของเอกชน ไปคา้ ขาย ทาํ ใหม้ ีรายไดเ้ ขา้ สู่ประเทศ และเงินเหล่าน้นั ไดถ้ ูก นาํ มาใชพ้ ฒั นาบา้ นเมืองในสมยั ต่อ ๆ มา

111 13. พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.4) พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราช สมภพ เม่ือวนั ท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 เป็นพระราชโอรสใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหลา้ นภาลยั กบั สมเดจ็ พระศรีสุริ เยนทราบรมราชินี มีพระนามเดิมวา่ สมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอเจา้ ฟ้ามงกฎุ เม่ือคร้ันพระชนมพรรษาได้ 21 พรรษา ไดอ้ อกผนวช ตามพระราชประเพณี แต่ผนวชไดเ้ พยี ง 15 วนั พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั กเ็ สด็จสวรรคต เมื่อพระบาทสมเด็จ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ข้ึนครองราชย์ พระองคจ์ ึงทรงออกผนวช ต่อจนกระทง่ั รัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต จึงทรงลาสิกขาและ เสด็จข้ึนครองราชย์ เมื่อวนั ท่ี 2 เมษายน พ.ศ. 2394 ภาพจาก kingmongkut.com พระราชกรณียกิจท่ีสาํ คญั ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั คือการรักษาเอกราช ของชาติ เนื่องจากในช่วงรัชสมยั ของพระองคเ์ ป็ นช่วงที่ชาติมหาอาํ นาจตะวนั ตก โดยเฉพาะองั กฤษ และฝร่ังเศส เขา้ มาล่าอาณานิคมในดินแดนแถบน้ี จึงทาํ ใหพ้ ระองคม์ ีพระราชดาํ ริในการเปิ ด สมั พนั ธภาพกบั ประเทศตะวนั ตก และ นาํ มาสู่การทาํ สนธิสญั ญาเบาวร์ ิง ในวนั ท่ี 18 เมษายน พ.ศ. 2398 ไม่เพยี งเท่าน้นั พระองคย์ งั ไดท้ รงวางรากฐานความเจริญกา้ วหนา้ แบบอารยประเทศ มากมาย นอกจากน้ีพระองคย์ งั ทรงมีความสนพระราชหฤทยั ในเรื่องวชิ าดาราศาสตร์เป็ นอยา่ งมาก โปรดใหส้ ร้างพระที่นงั่ ภูวดลทศั ไนยข้ึนในพระบรมมหาราชวงั อีกท้งั ยงั ทรงสถาปนาระบบเวลา มาตรฐานข้ึน และพระราชกรณียกิจที่สาํ คญั ในดา้ นดาราศาสตร์ก็คือการพยากรณ์ล่วงหนา้ วา่ จะเกิดสุริยปุ ราคาเตม็ ดวงในวนั ท่ี 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ซ่ึงพระองคท์ รงพยากรณ์ไวไ้ ดอ้ ยา่ งแมน่ ยาํ หลงั จากเสด็จฯ กลบั จากการทอดพระเนตรสุริยปุ ราคาเตม็ ดวงแลว้ พระบาทสมเด็จพระ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดป้ ระชวรดว้ ยพระโรคไขม้ าลาเรีย และเสดจ็ สวรรคตในวนั ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะพระชนมมายไุ ด้ 64 พรรษา รวมระยะเวลาครองราชยท์ ้งั หมด 17 ปี และดว้ ยพระปรีชา สามารถทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ รัฐบาลไทยจึงไดม้ ีมติใหก้ าํ หนดวนั ที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็นวนั วทิ ยาศาสตร์แห่งชาติ และเทิดพระเกียรติใหพ้ ระองคท์ รงเป็นพระบิดาแห่งวทิ ยาศาสตร์ ต่อมาในโอกาสวนั พระบรมราชสมภพครบ 200 ปี องคก์ ารการศึกษาวทิ ยาศาสตร์และ วฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ไดป้ ระกาศยกยอ่ งพระเกียรติคุณ ใหพ้ ระองคท์ รง เป็นบุคคลสาํ คญั ของโลก สาขาการศึกษา วฒั นธรรม สงั คมศาสตร์ มานุษยวทิ ยา การพฒั นาสงั คม และการส่ือสาร ประจาํ ปี พ.ศ. 2546-2547

112 14. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอย่หู ัว (ร.5) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นพระราชโอรส ในรัชกาลท่ี 4 และสมเดจ็ พระเทพศิรินทราบรมราชินี พระราชสมภพ เม่ือวนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2396 มี พระนามเดิมวา่ สมเด็จพระเจา้ ลูกยา เธอ เจา้ ฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงไดร้ ับการศึกษาข้นั ตน้ ในพระบรมมหาราชวงั เม่ือพระชนมายุ 13 พรรษา ทรงเป็นกรมขนุ พินิตประชานาถเสวยราชย์ เมื่อวนั ท่ี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง 15 พรรษา โดยมีเจา้ พระยาศรีสุริ ยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผสู้ าํ เร็จราชการแผน่ ดิน จนถึง พ.ศ. 2416 ทรง บรรลุนิติภาวะ พระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา จึงมีพระราชพธิ ีบรม ราชาภิเษกคร้ังท่ี 2 ทรงครองราชสมบตั ิยาวนานถึง 42 ปี สวรรคตเมื่อวนั ท่ี 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 พระราชกรณียกจิ สาคัญทมี่ ีต่อการสร้างสรรค์ชาตไิ ทยมีดังนี้ เพอ่ื ใหไ้ ทยเจริญกา้ วหนา้ ทดั เทียมอารยประเทศและรอดพน้ จากภยั จกั รวรรดินิยมที่กาํ ลงั คุกคามภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตอ้ ยขู่ ณะน้นั รัชกาลที่ 5 ทรงพฒั นาและปรับปรุงประเทศทุก ดา้ นเช่น การปกครอง ทรงปฏิรูปการปกครองใหม่ตามอยา่ งตะวนั ตก แยกการปกครองออกเป็น 3 ส่วน คือการ ปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็ นกระทรวงตา่ ง ๆ การปกครองส่วนภูมิภาคโดยระบบเทศาภิบาลและการ ปกครองส่วนทอ้ งถ่ินในรูปสุขาภิบาล กฎหมายและการศาล ใหต้ ้งั กระทรวงยตุ ิธรรมรับผดิ ชอบศาล ยตุ ิธรรม เป็ นการแยกอาํ นาจตุลาการออกจากฝ่ ายบริหารเป็ นคร้ังแรก ยกเลิกจารีตนครบาลท่ีใชว้ ธิ ี โหดร้ายทารุณในการไต่สวนคดีความ ต้งั โรงเรียนกฎหมายข้ึนและประกาศใชป้ ระมวลกฎหมาย ลกั ษณะอาญาอนั เป็นประมวลกฎหมายฉบบั แรกของไทย การปรับปรุงกฎหมายและการศาลน้ีเป็น ลู่ทางท่ีทาํ ใหป้ ระเทศไทยสามารถแกป้ ัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตไดใ้ นภายหลงั สังคมและวฒั นธรรม ทรงยกเลิกระบบทาสและระบบไพร่ ใหป้ ระชาชนมีอิสระในการดาํ รงชีวติ ยกเลิก ประเพณีที่ลา้ สมยั และรับเอาวฒั นธรรมตะวนั ตกเขา้ มา การเงิน การธนาคารและการคลงั ผลจากการทาํ สนธิสัญญาเบาวร์ ิงในสมยั รัชกาลท่ี 4 ทาํ ใหเ้ ศรษฐกิจการคา้ ขยายตวั มีชาว ต่างประเทศเขา้ มาทาํ กิจการในประเทศไทยมากข้ึน รัชกาลท่ี 5 จึงใหอ้ อกใชธ้ นบตั รและมีการ กาํ หนดอตั ราแลกเปล่ียนที่แน่นอนเป็นคร้ังแรก ทรงอนุญาตใหธ้ นาคารพาณิชยข์ องต่างประเทศเขา้ มาต้งั สาขาและสนบั สนุนใหค้ นไทยต้งั ธนาคารพาณิชยข์ ้ึน ในดา้ นการคลงั มีการจดั ทาํ งบประมาณ แผน่ ดินเป็นคร้ังแรก และปรับปรุงระบบจดั เก็บภาษีอากรใหม้ ีประสิทธิภาพข้ึน

113 สาธารณูปโภค ทรงใหส้ ร้างถนนเพ่ิมเติม ขดุ คลองใหม่และลอกคลองเดิม เพ่ือใชใ้ นการคมนาคมและ ขยายพ้นื ที่เพาะปลูก ทรงริเริ่มใหจ้ ดั กิจการสาธารณูปโภคหลายอยา่ งข้ึนเป็นคร้ังแรก เช่น รถไฟ รถราง โทรเลข ไปรษณีย์ โทรศพั ท์ ไฟฟ้า ประปา แพทย์และการสาธารณสุข ทรงปรับปรุงกิจการดา้ นน้ีใหเ้ ป็นแบบสมยั ใหม่ เช่น ต้งั โรงพยาบาลวงั หลงั (ศิริราช) สภาอุณาโลมแดง (สภากาชาดไทย) กรมสุขาภิบาล โรงเรียนสอนแพทย์ โรงเรียนผดุงครรภแ์ ละ พยาบาล เป็นตน้ การศึกษา มีการสร้างโรงเรียนหลวง เพอื่ ใหก้ ารศึกษาแก่ราษฎรและทรงส่งพระราชโอรสและพระ บรมวงศานุวงศไ์ ปศึกษาตา่ ง ประเทศ จุดมุง่ หมายของการจดั การศึกษาก็เพอ่ื ฝึกคนใหม้ ีความรู้ สาํ หรับเขา้ รับราชการ การศาสนา โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองสงฆ์ จดั ต้งั สถานศึกษาสงฆ์ คือ มหามกุฏราชวทิ ยาลยั และใหม้ ีการสังคายนาพระไตรปิ ฎก การทหาร ทรงปรับปรุงหน่วยทหารและอาวธุ ยทุ ธภณั ฑใ์ หท้ นั สมยั ต้งั กรมยทุ ธนาธิการซ่ึงภายหลงั เปลี่ยนเป็นกระทรวงกลาโหม ต้งั โรงเรียนนายร้อยทหารบก โรงเรียนนายเรือ และตรา พระราชบญั ญตั ิเกณฑท์ หารข้ึนใชเ้ ป็นคร้ังแรก ในการปรับปรุงพฒั นาประเทศในดา้ นตา่ งๆ เนื่อง จากในขณะน้นั คนไทยมีความรู้ความ เช่ียวชาญในวทิ ยาการสมยั ใหมย่ งั มีนอ้ ย รัชกาลที่ 5 จึงตอ้ งทรงจา้ งชาวต่างประเทศเขา้ มาเป็นที่ ปรึกษาและรับราชการเป็นจาํ นวนมาก ส่งวนใหญ่เป็นชาวตะวนั ตก เช่น องั กฤษ อเมริกนั เยอรมนั ฝร่ังเศส เบลเยยี ม เดนมาร์ก ที่เป็นชาวตะวนั ออกก็มีอยบู่ า้ ง เช่น ญ่ีป่ ุน ลงั กา ปรากฏวา่ ชาว ต่างประเทศท่ีจา้ งมาทาํ งานไดผ้ ลดีสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยเป็นอยา่ งมาก บางคน ไดร้ ับพระราชทานบรรดาศกั ด์ิเป็นถึงพระยา เจา้ พระยานอกจากน้ีรัชกาลท่ี 5 ยงั ทรงเป็ น พระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคแ์ รกท่ีเสดจ็ พระราชดาํ เนินตา่ งประเทศ โดยไดเ้ สดจ็ ประพาสสิงคโปร์ ขององั กฤษและเกาะชวาอาณานิคมของฮอลนั ดา ต่อมาเสด็จประพาสอินเดียซ่ึงเป็นอาณานิคมของ องั กฤษ ทรงนาํ ความเจริญของดินแดนเหล่าน้ีมาประกอบในการพฒั นาประเทศไทย ใน พ.ศ. 2440 รัชกาลที่ 1 เสด็จประพาสยโุ รปคร้ังท่ี 1 ไดเ้ สด็จพระราชดาํ เนินเยอื น ประเทศต่างๆ กวา่ 10 ประเทศ เป็นผลดีต่อฐานะของประเทศไทยในสงั คมระหวา่ งประเทศ ตอ่ มา ใน พ.ศ. 2449 - 2450 ไดเ้ สด็จประพาสยโุ รปเป็นคร้ังที่ 2 เพื่อเยย่ี มพระราชโอรสที่ศึกษาอยใู่ น ประเทศตา่ งๆ และรักษาพระองคต์ ามที่แพทยถ์ วายคาํ แนะนาํ ในโอกาสเดียวกนั ทรงไดเ้ จรจาเพ่ือ

114 แกไ้ ขปัญหาทางการเมืองกบั ประเทศตา่ ง ๆ ดว้ ย แมว้ า่ รัชกาลท่ี 5 จะทรงพฒั นาประเทศทุก ๆ ดา้ น และพยายามผกู มิตรกบั ประเทศมหาอาํ นาจต่างๆ แต่ประเทศไทยกย็ งั ไม่อาจรอดพน้ ภยั จากลทั ธิล่า อาณานิคมโดยสิ้นเชิง ดงั เช่นเกิดพิพาทกบั ฝร่ังเศสจนถึงข้นั ปะทะกนั ท่ีปากน้าํ สมุทรปราการ ซ่ึงเรียกวา่ เหตุการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) เป็นตน้ รัชกาลที่ 5 ตอ้ งทรงยอมเสียดินแดนบางส่วน ใหแ้ ก่ฝรั่งเศสและองั กฤษ เพื่อรักษาเอกราชและดินแดนส่วนใหญไ่ ว้ ทาํ ใหป้ ระเทศไทยรอดพน้ จากการเป็นอาณานิคมเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระกรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย และประเทศไทยอยา่ งใหญห่ ลวง จึงทรงไดร้ ับพระราชสมญั ญาวา่ พระปิ ยมหาราช อนั หมายถึงวา่ ทรงเป็นที่รักยง่ิ ของปวงชนชาวไทย และในโอกาสครบรอบ 150 พรรษาแห่งวนั คลา้ ยวนั พระราช สมภพ วนั ท่ี 20 กนั ยายน พ.ศ. 2546 องคก์ ารศึกษาวทิ ยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยเู นสโก (UNESCO) ไดป้ ระกาศ ยกยอ่ งใหพ้ ระองคเ์ ป็นบุคคลสาํ คญั และมีผลงานดีเด่นของ โลกทางสาขาการศึกษา วฒั นธรรม สังคมศาสตร์ มานุษยวทิ ยา การพฒั นาสงั คมและส่ือสาร 15. พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) ถึงแมร้ ัชสมยั ของพระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จะมีระยะส้ันเพยี ง ๑๕ ปี เท่าน้นั แตไ่ ดท้ รง ประกอบพระราชกรณียกิจอนั เป็นคุณประโยชน์แก่ ประเทศและประชาชนชาวไทยหลายดา้ น ดงั ต่อไปน้ี ด้านการศึกษา - จดั การศึกษาระดบั อุดมศึกษา โดยทรงพระกรุณาโปรด เกลา้ ฯ ยกฐานะ โรงเรียนขา้ ราชการพลเรือนฯ ข้ึนเป็น จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ นบั เป็ น มหาวทิ ยาลยั แห่งแรกของไทย - ทรงตราพระราชบญั ญตั ิประถมศึกษา ปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ให้ บิดามารดาส่งบุตรเขา้ โรงเรียนโดยไม่เสียคา่ เล่าเรียน - โปรดเกลา้ ฯใหจ้ ดั ต้งั สถาบนั การศึกษาหน่ึงและพระราชทานนามวา่ โรงเรียนเพาะช่าง ในวนั ที่ ๗ มกราคม ๒๔๕๖ พระองคเ์ สดจ็ พระราชดาํ เนินทรงเปิ ดโรงเรียนเพาะช่างดว้ ยพระองคเ์ องดว้ ย จุดเร่ิมตน้ น้ีทาํ ใหป้ ระเทศไทยยงั มีช่างฝีมือทางศิลปกรรมไทยไวส้ ืบทอดและสร้างสรรคส์ ่ิงดีงาม จนถึงปัจจุบนั

115 ด้านสังคม - ยกเลิกบ่อนการพนนั และ หวย ก.ข. ซ่ึงเป็นอบายมุขมอมเมาประชาชน แมว้ า่ จะเป็น แหล่งรายไดส้ าํ คญั ของรัฐบาลแหล่งหน่ึงกต็ าม - ลดการคา้ ฝ่ินซ่ึงเป็ นแหล่งรายไดห้ ลกั อีกแหล่งหน่ึงของรัฐบาล - ตราพระราชบญั ญตั ิขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ เป็นการเร่ิมตน้ ให้คนไทยมีนามสกุลใช้ โดยไดท้ รงพระราชทานนามสกุลแก่ผทู้ ี่ขอมาดว้ ย ด้านเศรษฐกจิ - จดั ต้งั ธนาคารออมสินข้ึน เพื่อให้ ประชาชนรู้จกั ออมทรัพย์ และเช่ือมน่ั ในสถาบนั การเงิน เนื่องจากมีธนาคารพาณิชยเ์ อกชนที่ฉอ้ โกง และตอ้ งลม้ ละลายปิ ดกิจการ ทาํ ใหผ้ ฝู้ ากเงินไดร้ ับ ธนาคารออมสินที่สร้างข้ึนในสมยั รัชกาลท่ี 6 ความเสียหายอยเู่ สมอ - ใชพ้ ระราชทรัพยส์ ่วนพระองคซ์ ้ือหุน้ ของ ธนาคารสยามกมั มาจล ทุนจาํ กดั (ปัจจุบนั คือ ธนาคารไทยพาณิชย)์ ซ่ึงมีปัญหาการเงิน ทาํ ให้ ธนาคารของคนไทยแห่งน้ีดาํ รงอยมู่ าได้ - ทรงริเริ่มต้งั บริษทั ปูนซีเมนตไ์ ทย จาํ กดั ซ่ึงไดเ้ ป็ นกิจการอุตสาหกรรมสาํ คญั ของไทย ตอ่ เนื่องมาจนปัจจุบนั - ทรงจดั ต้งั สภาเผยแผพ่ าณิชย์ ซ่ึงเป็นหน่วยงานคลา้ ยกบั สภาพฒั นาการเศรษฐกิจใน ปัจจุบนั - โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั เตรียมแสดงสินคา้ ไทย คืองานสยามรัฐพพิ ิธภณั ฑท์ ่ีสวนลุมพนิ ีแตง่ าน ตอ้ งเลิกลม้ ไปเพราะสวรรคตเสียก่อนดา้ นการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย - ทรงส่งเสริมสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวพิ ากษว์ จิ ารณ์ผา่ นส่ือมวลชนที่ สาํ คญั ในยคุ น้นั คือหนงั สือพิมพ์ ซ่ึงอาจกล่าวไดว้ า่ มีเสรีภาพสูงยงิ่ กวา่ สมยั หลงั พ.ศ. 2475 - ทรงทดลองและฝึกใหข้ า้ ราชบริพารรู้จกั การปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยทรงสร้าง เมืองจาํ ลอง \"ดุสิตธานี\" ข้ึน เป็นเมืองที่มีพรรคการเมือง,การเลือกต้งั , และการบริหารตามระบอบ ประชาธิปไตย ด้านการแพทย์และสาธารณสุข - ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ้งั โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ และวชิรพยาบาล เพ่อื รักษาพยาบาล ประชาชนที่เจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย - ทรงเปิ ดสถานเสาวภา เมื่อวนั ท่ี 7 ธนั วาคม พ.ศ. 2465 เพ่ือผลิตวคั ซีนและเซรุ่ม เป็น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และ วชิรพยาบาล ประโยชน์ท้งั แก่ประชาชนชาวไทยและประเทศ

116 ใกลเ้ คียงอีกดว้ ย - ทรงเปิ ดการประปากรุงเทพฯ เมื่อวนั ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2575 ด้านการต่างประเทศ เมื่อเกิดมหายุทธสงครามโลกคร้ังท่ี 1 ข้ึน เม่ือปี พ.ศ. 2475 ในตอนต้นของสงคราม ประเทศไทยไดป้ ระกาศตนเป็นกลางแตต่ อ่ มาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงมีพระ บรมราชโองการประกาศสงครามกบั เยอรมนี และออสเตรีย-ฮงั การี เมื่อวนั ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 เพ่ือรักษาสิทธิของประเทศ และเพ่ือความเท่ียงธรรมของโลกเป็ นส่วนรวม และไดท้ รงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ่งทหารไทยอาสาสมคั รไปร่วมรบในสมรภูมิดว้ ย การเขา้ ร่วมสงครามในคร้ังน้ีเป็ นผลดีแก่ประเทศไทยอย่างย่ิง ในฐานะผูช้ นะสงคราม ประเทศไทยสามารถเจรจากบั ประเทศมหาอาํ นาจขอแกไ้ ขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และ สนธิสัญญาจาํ กัดอาํ นาจการเก็บภาษีของประเทศไทย ทาํ ให้ประเทศไทยพ้นสภาพการ เสียเปรียบในดา้ นการศาล และสามารถดาํ เนินนโยบายดา้ นภาษีไดโ้ ดยอิสระ ด้านกจิ การเสือป่ าและลูกเสือ - ทรงจดั ต้งั กองเสือป่ าข้ึนเม่ือวนั ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2454 โดยมีพระราชประสงคจ์ ะ ฝึ กอบรมขา้ ราชการใหม้ ีระเบียบวนิ ยั มีความสามคั คี มีน้าํ ใจเป็ นสุภาพบุรุษ ประพฤติตนดี รักชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ เป็นกาํ ลงั ของชาติในยามคบั ขนั - ทรงจดั ต้งั กอง ลูกเสือข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2454 เพ่ือฝึ กเยาวชนให้มีความสามคั คีมานะอดทน เสียสละเพือ่ ส่วนรวม และเป็นผชู้ ่วยรบไดใ้ นยามคบั ขนั ด้านศิลปวฒั นธรรม - ทรงต้งั กรมมหรสพข้ึน เพอ่ื ฟ้ื นฟูศิลปวฒั นธรรมไทย - ทรงต้งั โรงละครหลวงข้ึนเพ่อื ส่งเสริมการแสดงละครในหมู่ขา้ ราชบริพาร - ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ออกแบบอาคารสมยั ใหม่เป็ นแบบทรงไทย เช่น ตึกอกั ษร ศาสตร์ ซ่ึงเป็ นอาคารเรียนหลังแรกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั และอาคารโรงเรียนวชิราวุธ วทิ ยาลยั ด้านวรรณกรรมและหนังสือพมิ พ์ - ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิการพิมพ์ฉบบั แรกข้ึน เรียกว่า พระราชบญั ญตั ิสมุด เอกสาร และหนงั สือพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ - ทรงพระราชนิพนธ์เร่ืองราวต่างๆ ไวเ้ ป็ นอนั มาก ท้งั ในภาษาไทย และภาษาองั กฤษ ท้งั ที่ เป็ นร้อยแกว้ และร้อยกรอง ท้งั ที่เป็ นสารคดี และนิยาย มีบทละครรํา ละครร้อง ละครพูด ท้งั ยงั ได้ ทรงพระราชนิพนธ์บทความพระราชทานหนงั สือพิมพด์ ว้ ย รวมกวา่ 1,000 เรื่อง เป็ นมรดกทาง วรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้อ่านและช่ืนชมสืบทอดกนั มา จึงไดร้ ับพระสมญั ญานามว่า

117 สมเด็จพระมหาธีรราชเจา้ และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ก็ไดย้ กยอ่ งพระเกียรติคุณของพระองคเ์ ป็นปราชญส์ ยาม ด้านการคมนาคม - ทรงปรับปรุงและขยายงานกิจการรถไฟ ใหร้ วม สะพานพระราม 6 สร้างในสมยั รัชกาลท่ี 6 กรมรถไฟซ่ึงเคยแยกเป็น 2 กรมเขา้ เป็ นกรมเดียวกนั เรียกวา่ กรมรถไฟหลวง เริ่มเปิ ดกิจการเดินรถไฟสาย กรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ ทรงเปิ ดเดินรถด่วนระหวา่ งประเทศ สายใตต้ ิดต่อกบั รถไฟมลายู (มาเลเซีย) - ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างสะพาน พระราม 6 ขา้ มแม่น้าํ เจา้ พระยาเชื่อมทางรถไฟท้งั ปวงใน พระราชอาณาจกั รโดยโยงเขา้ มาสู่ศูนยก์ ลางที่สถานี หวั ลาํ โพง - ทรงจดั ต้งั กรมอากาศยาน ไดเ้ ร่ิมการขนส่ง ไปรษณียภณั ฑท์ างอากาศระหวา่ งกรุงเทพฯ ไปยงั นครราชสีมาเป็ นคร้ ังแรก โรงเรียนวชิราวธุ วิทยาลยั หรือโรงเรียนมหาดเลก็ หลวง สร้างขึน้ ในสมยั รัชกาลที่ 6 เป็ นโรงเรียนประจาตามแบบตะวนั ตก

118 16. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั (ร.7) พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้า เจ้าอย่หู วั (8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484) เป็น พระมหากษตั ริยส์ ยาม รัชกาลท่ี 7 ในราชวงศจ์ กั รี เสดจ็ พระราช สมภพเม่ือวนั พุธ แรม 14 ค่าํ เดือน 11 ปี มะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือ ตรงกบั วนั ท่ี 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 เป็นพระราชโอรสพระองคท์ ่ี 76 ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นพระองคท์ ี่ 9 ในสมเดจ็ พระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพนั ปี หลวง ข้ึนเสวยราชสมบตั ิเป็ นพระมหากษตั ริย์ เม่ือวนั ท่ี 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 และทรงสละราชสมบตั ิเมื่อวนั ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (นบั ศกั ราชแบบเก่า) รวมดาํ รงสิริราชสมบตั ิ 9 ปี เสดจ็ สวรรคต เมื่อวนั ท่ี 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 รวมพระชนมพรรษา 47 พรรษา พระราชกรณยี กจิ สาคญั ทมี่ ตี ่อการสร้างสรรค์ชาติไทยมดี ังนี้ ด้านการทานุบารุงบ้านเมือง เศรษฐกิจ สืบเนื่องจากผลของสงครามโลกคร้ังที่หน่ึง ประเทศทว่ั โลกประสบปัญหาภาวะ เศรษฐกิจ ตกต่าํ ซ่ึงมีผลกระทบกระเทือนมาสู่ประเทศไทย พระองคไ์ ดท้ รงพยายามแกไ้ ขปัญหา เศรษฐกิจดว้ ยวธิ ีต่าง ๆ เช่น การควบคุมงบประมาณ ตดั ทอนรายจ่าย ลดอตั ราเงินเดือนขา้ ราชการ รวมถึงการลดจาํ นวนขา้ ราชการ ปรับปรุงระบบภาษี การเก็บภาษีเพิ่มเติม ยบุ รวมจงั หวดั เลิก มาตรฐานทองคาํ เปล่ียนไปผูกกบั ค่าเงินขององั กฤษ เป็นตน้ รวมท้งั ส่งเสริมกิจการสหกรณ์ให้ ประชาชนไดม้ ีโอกาสร่วมกนั ประกอบกิจการทางเศรษฐกิจ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา พระราชบญั ญตั ิสหกรณ์ พ.ศ. 2471 ข้ึน การสุขาภิบาลและสาธารณูปโภค โปรดใหป้ รับปรุงงานสุขาภิบาลทว่ั ราชอาณาจกั รให้ ทดั เทียมอารยประเทศ ดา้ นการส่ือสารและการคมนาคมน้นั ไดม้ ีการอญั เชิญกระแสพระราชดาํ รัส ของพระองคจ์ ากพระท่ีนง่ั อมรินทรวนิ ิจฉยั พระบรมมหาราชวงั ถ่ายทอดเสียงทางวทิ ยเุ ป็นคร้ังแรก ของประเทศไทยในพิธีเปิ ดสถานีวทิ ยกุ รุงเทพฯ ท่ีพระราชวงั พญาไท ในส่วนกิจการรถไฟ ขยาย เส้นทางรถทางทิศตะวนั ออกจากทางจงั หวดั ปราจีนบุรี จนกระทง่ั ถึงต่อเขตแดนเขมร ในปี พ.ศ. 2475 เป็นวาระท่ีกรุงเทพมหานครมีอายคุ รบ 150 ปี ทรงจดั งานเฉลิมฉลองโดย ทาํ นุบาํ รุงบูรณปฏิสงั ขรณ์สิ่งสาํ คญั อนั เป็นหลกั ของกรุงเทพมหานครหลายประการ คือ บูรณะวดั พระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวงั , สร้างปฐมบรมราชานุสรณ์และสะพานพระพุทธยอด ฟ้าเชื่อมฝั่งกรุงเทพมหานครและฝั่งธนบุรีเพื่อเป็นการขยายเขตเมืองใหก้ วา้ งขวางเป็ นตน้ สาํ หรับใน

119 เขตหวั เมือง ทรงไดจ้ ดั ต้งั สภาจดั บาํ รุงสถานท่ีชายทะเลทิศตะวนั ตกข้ึน เพอ่ื ทาํ นุบาํ รุงหวั หินและ ใกลเ้ คียงใหเ้ ป็นสถานท่ีตากอากาศชายทะเล ด้านการปกครอง พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงลง พระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รสยาม เม่ือวนั ที่ 10 ธนั วาคม พ.ศ. 2475พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีพระราชปรารภจะพระราชทานรัฐธรรมนูญ แตถ่ ูกทกั ทว้ งจากพระบรมวงศช์ ้นั ผใู้ หญ่จึงได้ ระงบั ไปก่อน ซ่ึงหม่อมเจา้ พูนพศิ มยั ดิศกลุ มี ดาํ รัสถึงเร่ืองน้ีวา่ “ส่วนพระเจา้ อยหู่ วั เองน้นั [พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ] ทรงรู้สึก ยง่ิ ข้ึนทุกทีวา่ การปกครองบา้ นเมืองในสมยั เช่นน้ี เป็ นการเหลือกาํ ลงั ของพระองคท์ ่ีจะทรง รับผดิ ชอบไดโ้ ดยลาํ พงั แต่ผเู้ ดียว พระองคท์ รง รู้ดีวา่ ทรงอ่อนท้งั ในทาง physical และ mental จึงมีพระราชปรารถนาจะพระราชทาน รัฐธรรมนูญใหช้ ่วยกนั รับผดิ ชอบใหเ้ ตม็ ท่ีอยเู่ สมอ” แต่ก็เกิดเหตุการณ์ปฏิวตั ิโดยคณะราษฎร ใน วนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 โดยพระองคท์ รงยนิ ยอมสละพระราชอาํ นาจและเป็นพระมหากษตั ริย์ ภายใตร้ ัฐธรรมนูญ ทรงใหต้ รวจตราตวั บทกฎหมายรัฐธรรมนูญท่ีจะเป็นหลกั ในการปกครองอยา่ งถี่ ถว้ น ทรงแกไ้ ขกฎหมายองคมนตรี ดว้ ยการออกพระราชบญั ญตั ิองคมนตรี เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดยใหส้ ภากรรมการองคมนตรีมีอาํ นาจหนา้ ท่ีในการให้คาํ ปรึกษาในการร่างกฎหมาย โดยมี พระราชดาํ ริใหส้ ภาองคมนตรีเป็นท่ีฝึกการประชุมแบบรัฐสภา กรรมการสภาองคมนตรีอยใู่ น ตาํ แหน่งวาระละ 3 ปี ทรงตราพระราชบญั ญตั ิควบคุมการคา้ ขายอนั กระทบถึงความปลอดภยั หรือ ความผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ. 2471 เพ่อื คุม้ ครองสวสั ดิการของปวงชนชาวไทย โดยมีขอบเขต ครอบคลุมการคา้ ขายท่ีเป็นสาธารณูปโภคและการเงิน เช่น การประปา การไฟฟ้า การรถไฟ การ เดินอากาศ การชลประทาน การออมสิน และการประกนั ภยั อนั เป็นรากฐานของระเบียบปฏิบตั ิ ท่ี ใชก้ นั มาจนทุกวนั น้ี มีพระราชดาํ ริใหจ้ ดั ระเบียบการปกครองรูปแบบเทศบาลข้ึน เพ่อื ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถิ่น รู้จกั เลือกตวั แทนเขา้ ไปบริหารและจดั การงานตา่ ง ๆ ของชุมชน โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา

120 พระราชบญั ญตั ิเทศบาล ข้ึนแต่มิไดเ้ ป็นไปตามพระราชประสงคเ์ น่ืองจากเกิดการปฏิวตั ิสยาม พ.ศ. 2475 ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณแี ละวฒั นธรรม พระบรมฉายาลกั ษณ์ขณะทรงซออูท้ รงส่งเสริม การศึกษาของชาติท้งั ส่วนรวมและส่วนพระองค์ โปรดให้สร้าง หอพระสมุดสาํ หรับพระนคร เพื่อเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ ศึกษาไดอ้ ยา่ งเสรี ทรงต้งั ราชบณั ฑิตยสภา เพือ่ มีหนา้ ที่บริหาร และเผยแพร่วชิ าการดา้ นวรรณคดี โบราณคดี และศิลปกรรม ใน ดา้ นวรรณกรรม โปรด ตราพระราชบญั ญตั ิคุม้ ครองวรรณกรรม และศิลปกรรมใน พ.ศ. 2475 พระราชทานเงินส่วนพระองค์ เป็น รางวลั แก่ผแู้ ต่งหนงั สือยอดเย่ยี ม และใหท้ ุนนกั เรียนไปศึกษา วชิ าวทิ ยาศาสตร์จากตา่ งประเทศ การศาสนา ทรงปลูกฝังเยาวชน ใหม้ ีคุณธรรมดีงาม โดยยดึ หลกั คาํ สอนของ พระพทุ ธศาสนา โปรดให้ราชบณั ฑิตยสร้างหนงั สือสอนพระพุทธศาสนาสาํ หรับเด็ก ซ่ึงนบั วา่ พระองคเ์ ป็ นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกท่ีทรงสร้างหนงั สือสาํ หรับเด็ก ส่วนการศึกษาใน พระพทุ ธศาสนาน้นั โปรดใหส้ ร้างหนงั สือพระไตรปิ ฎก เรียกวา่ ฉบบั สยามรัฐ โดยหน่ึงชุดมี จาํ นวน 45 เล่ม เพอื่ เป็นอนุสาวรียเ์ ชิดชูพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในดา้ นศิลปวฒั นธรรมของชาติน้นั พระองคท์ รงสถาปนาราชบณั ฑิตยส์ ภาข้ึน (เดิมคือ กรรมการหอพระสมุดสาํ หรับพระนคร) เพื่อจดั การหอพระสมุดสาํ หรับพระนครและสอบสวน พจิ ารณาวชิ าอกั ษรศาสตร์ เพ่ือจดั การพพิ ิธภณั ฑสถานตรวจรักษาโบราณสถานและโบราณวตั ถุ และเพื่อจดั การบาํ รุงรักษาวชิ าช่าง ผลงานของราชบณั ฑิตสภาเป็นผลดีต่อการอนุรักษแ์ ละส่งเสริม ศิลปวฒั นธรรมของชาติเป็นอยา่ งมาก เช่น การตรวจสอบตน้ ฉบบั เอกสารโบราณออกตีพิมพ์ เผยแพร่ มีการส่งเสริมสร้างสรรคว์ รรณกรรมรุ่นใหม่ดว้ ยการประกวดเรียบเรียงบทประพนั ธ์ท้งั ร้อย แกว้ และร้อยกรอง ทรงอนุรักษด์ นตรีไทยไวด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ท้งั น้ีเพราะไดท้ รงสนพระราชหฤทยั ในวชิ า ดนตรีไทย ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เขา้ ถวายการ ฝึกสอนจนสามารถ พระราชนิพนธ์ทาํ นองเพลงไทยได้ ถึง 3 เพลง คือ เพลงราตรีประดบั ดาวเถา เพลงเขมรลออองคเ์ ถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝ่ัง ทางดา้ นวฒั นธรรมและสถาปัตยกรรม ทรงสละทรัพยส์ ่วนพระองคป์ ฏิสงั ขรณ์วดั สุวรรณ ดารารามจงั หวดั พระนครศรีอยธุ ยา โปรดฯใหเ้ ขียนภาพพงศาวดารสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไวท้ ่ี ผนงั พระวหิ าร

121 ทรงพยายามสร้างค่านิยมใหม้ ีสามีภรรยาเพยี งคนเดียว โปรดใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิม่ เติม กฎหมายลกั ษณะผวั เมีย พ.ศ. 2473 ริเร่ิมใหม้ ีการจดทะเบียนสมรส ทะเบียนหยา่ ทะเบียนรับรอง บุตร อนั เป็ นการปลูกฝังค่านิยมแบบใหม่ทีละนอ้ ยตามความสมคั รใจ นอกจากน้ียงั ทรงปฏิบตั ิตน เป็นแบบอยา่ งโดยทรงมีแตพ่ ระบรมราชินีเพยี งพระองคเ์ ดียว พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ รําไพพรรณี พระบรมราชินีเสด็จเยือนประเทศเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1934 นอกจากน้ีแลว้ เม่ือทรงวา่ งจากพระราชภารกิจ พระองคโ์ ปรดในการถ่ายภาพนิ่งและถ่าย ภาพยนตร์ทรงมีกลอ้ งถ่ายภาพและภาพยนตร์จาํ นวนมากที่ทรงสะสมไว้ สะทอ้ นใหเ้ ห็นพระ อุปนิสัยโปรดการถ่ายภาพและภาพยนตร์ ภาพยนตร์ทรงถ่ายมีเน้ือหาท้งั ที่เป็นสารคดีและที่ใหค้ วาม บนั เทิง ในจาํ นวนภาพยนตร์เหล่าน้ี เรื่องที่เป็ นเกียรติประวตั ิของวงการภาพยนตร์ไทยและแสดง พระราชอจั ฉริยภาพดีเยยี่ มในการสร้างโครงเรื่อง กาํ กบั ภาพ ลาํ ดบั ฉาก และอาํ นวยการแสดง คือ เร่ืองแหวนวเิ ศษ นบั ไดว้ า่ พระองคเ์ ป็นหน่ึงในบุคคลท่ีบุกเบิกวงการภาพยนตร์ไทยอีกพระองคห์ น่ึง นอกจากน้ีทรงสละพระราชทรัพยส์ ่วนพระองคส์ ร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ซ่ึงนบั เป็นโรง ภาพยนตร์ทนั สมยั ในสมยั น้นั นบั เป็นโรงมหรสพแห่งแรกในเอเชียท่ีมีเคร่ืองปรับอากาศระบบไอ น้าํ ความสัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศ ในตน้ รัชสมยั ไดท้ รงดาํ เนินกิจการสาํ คญั ที่ทรงเก่ียวขอ้ งกบั ต่างประเทศที่คา้ งมาต้งั แต่รัช สมยั พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ใหส้ าํ เร็จลุล่วงไป เช่น การใหส้ ตั ยาบนั สนธิสัญญาต่าง ๆ นอกจากน้ียงั ทรงทาํ สญั ญาใหม่ ๆ กบั ประเทศเยอรมนีหลงั สถาปนาความสมั พนั ธ์ข้นั ปกติ เมื่อ พ.ศ. 2471 และทาํ สนธิสญั ญากบั ฝรั่งเศสเกี่ยวกบั ดินแดนในลุ่มแมน่ ้าํ โขง เรียกวา่ สนธิสญั ญาอินโด จีน พ.ศ. 2469 โดยกาํ หนดให้ มีเขตปลอดทหาร 25 กิโลเมตร ท้งั สองฝั่งของแม่น้าํ โขงแทนที่จะมี เฉพาะฝ่ังสยามแตเ่ พยี งฝ่ ายเดียว พระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ปฏิบตั ิพระราชกรณียกิจนานปั การจึงมีการสร้างพระ บรมราชานุสรณ์หลายแห่งเพ่ือเป็นการรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เช่น วนั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอย่หู วั คณะรัฐมนตรีไดก้ าํ หนดใหว้ นั ที่ 30 พฤษภาคมของทุกปี ซ่ึง เป็นวนั สวรรคตของพระองคเ์ ป็น “วนั พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ” เพื่อเป็ นการเฉลิมพระ เกียรติใหเ้ ป็ นท่ีประจกั ษแ์ ละเป็นการนอ้ มสาํ นึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองคท์ ี่มีต่อปวงชน ชาวไทยนานปั การ

122 วงั ศุโขทัย วงั ศุโขทยั ต้งั อยมู่ ุมถนนขาวและถนนสามเสน โดยสมเด็จพระศรีพชั รินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พระพนั ปี หลวง โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างข้ึนเพอ่ื พระราชทานเป็นของขวญั ในการ อภิเษกสมรสของ สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าฯ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา (พระยศขณะน้นั ) กบั หม่อมเจา้ หญิงราํ ไพพรรณี สวสั ดิตน์ (พระยศขณะน้นั ) เมื่อปี พ.ศ. 2461 โดยไดร้ ับพระราชทานนามวงั จากพระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ “วงั ศุโขไทย” ถนนประชาธิปก ถนนประชาธิปก เป็นถนนท่ีเร่ิมต้งั แต่สะพานพระพุทธยอดฟ้าถึงวงเวยี นใหญ่ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร โดยสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพทรงต้งั ช่ือถนนถวาย พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ “ถนนพระปกเกลา้ ” หรือ “ถนนประชาธิปก” เพือ่ เป็นการ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ที่ทรงสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าและถนน เพ่อื เชื่อมฝั่งพระนครกบั ฝั่งธนบุรี โดยพระองคพ์ ระราชทานนามถนนน้ีวา่ “ถนนประชาธิปก” สถาบนั พระปกเกล้า สถาบนั พระปกเกลา้ เป็นสถาบนั พฒั นาประชาธิปไตยท่ีจดั ต้งั ข้ึนในวโรกาสครบรอบ 100 ปี วนั พระราชสมภพพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ผพู้ ระราชทานรัฐธรรมนูญแก่ประชาชนชาวไทย โดยไดร้ ับพระราชทานพระบรมราชานุญาตจาก พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชใหเ้ ชิญพระนามของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มาเป็นช่ือของสถาบนั มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช เป็นมหาวทิ ยาลยั เปิ ดโดยใชร้ ะบบการศึกษาทางไกล ซ่ึง พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานชื่อ มหาวทิ ยาลยั ตามพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมื่อคร้ังทรงดาํ รงพระ อิสริยยศที่ “กรมหลวงสุโขทยั ธรรมราชา” นอกจากน้ี ยงั พระราชทานพระบรมราชานุญาตใหใ้ ช้ พระราชลญั จกรในรัชกาลที่ 7 นาํ มาประกอบกบั เจดียท์ รงพมุ่ ขา้ วบิณฑซ์ ่ึงเป็นสัญลกั ษณ์ของกรุง สุโขทยั เป็นตราประจาํ มหาวิทยาลยั ดว้ ย โรงพยาบาลพระปกเกล้า โรงพยาบาลพระปกเกลา้ เดิมช่ือ โรงพยาบาลจันทบรุ ี คณะรัฐมนตรีมีมติใหเ้ ปลี่ยนช่ือเป็น โรงพยาบาลพระปกเกลา้ เพ่ือนอ้ มเกลา้ ถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมื่อวนั ท่ี 11 กนั ยายน พ.ศ. 2496 นอกจากน้ี ยงั มีการสร้างพระบรมราชานุสาว รียพ์ ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และตึกตา่ งๆ เช่น อาคารประชาธิปก อาคารประชาธิปก ศกั ดิเดชน์ ภายในโรงพยาบาล รวมท้งั มีการจดั ต้งั โรงเรียนพยาบาลผดุงครรภแ์ ละอนามยั ข้ึนท่ี

123 โรงพยาบาลพระปกเกลา้ ปัจจุบนั คือ วทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี และสมเด็จพระนางเจา้ ราํ ไพพรรณี พระบรมราชินี ยงั ไดพ้ ระราชทานพระราชทรัพยจ์ ดั ต้งั “ทุนประชาธิปก” (ตอ่ มา เปล่ียนเป็น มูลนิธิประชาธิปก-ราํ ไพพรรณี) เพ่ือสนบั สนุนกิจการของโรงพยาบาลพระปกเกลา้ , วทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี และมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราํ ไพพรรณี พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ต้งั อยู่ ณ อุทยานการศึกษารัชมงั คลาภิเษก มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้า เจ้าอย่หู วั (รัฐสภา)พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ต้งั อยหู่ นา้ ตึก รัฐสภา พระราชวงั ดุสิตกรุงเทพมหานคร มีขนาดหน่ึง เท่าคร่ึงพระองคจ์ ริง ทรงเครื่องพระบรมราชภูษิตา ภารณ์ฉลองพระองคค์ รุยสวมพระชฎามหากฐินปักขน นกการเวก เสด็จประทบั เหนือพระท่ีนงั่ พดุ ตาญจน สิงหาสน์ พระหตั ถว์ างเหนือพระเพลาท้งั สองขา้ ง ออกแบบโดยนาวาเอกสมภพ ภิรมย์ โดยจะมีพิธี ถวายบงั คมพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ในวนั ที่ 10 ธนั วาคม เป็น ประจาํ ทุกปี พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั (โรงพยาบาลพระปกเกล้า) พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ต้งั อยหู่ นา้ อาคารประชาธิปก ศกั ดิเดชน์ โรงพยาบาลพระปกเกลา้ จงั หวดั จนั ทบุรี มีขนาด 2 เท่าของพระองคจ์ ริง สูง 3.14 เมตร ฐานสูง 20 เซนติเมตร แท่นฐานสูง 2.60 เมตร โดยมีพนั โทนภดล สุวรรณสมบตั ิ เป็ นประติมา กร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสดจ็ พระราชดาํ เนินเป็นองคป์ ระธานในการ เปิ ดพระบรมราชานุสาวรียเ์ มื่อวนั ท่ี 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551 พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช) พระบรมราชานุสาวรียพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ต้งั อยู่ ณ อุทยานการศึกษา รัชมงั คลาภิเษก มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ภูมิพลอดุลยเดชทรง พระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกฎุ ราชกมุ ารเสดจ็ พระราชดาํ เนิน แทนพระองคท์ รงเปิ ดเม่ือวนั ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 ในโอกาสครบ 100 ปี วนั คลา้ ยวนั พระบรม ราชสมภพ

124 พพิ ธิ ภัณฑ์ พิพิธภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั บริเวณส่ีแยกผา่ นฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พพิ ธิ ภัณฑ์พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั พิพธิ ภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นพพิ ิธภณั ฑใ์ นความดูแลของสถาบนั พระปกเกลา้ ต้งั ที่อาคารกรมโยธาธิการเดิม บริเวณส่ีแยกผา่ นฟ้า เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซ่ึงสถาบนั พระปกเกลา้ ไดบ้ ูรณะเพื่อจดั ทาํ เป็น พิพธิ ภณั ฑเ์ พ่ือรวบรวมขา้ วของเคร่ืองใชส้ ่วนพระองคข์ องพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเด็จพระนางเจา้ ราํ ไพพรรณี พระบรมราชินี จดั แสดงภาพถ่าย เอกสาร และพระราชประวตั ิ ของพระองค์ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ สยามมกุฎราชกมุ ารเสดจ็ ฯ แทนพระองคท์ รงเปิ ดพิพิธภณั ฑพ์ ระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั อยา่ งเป็นทางการเม่ือวนั ที่ 7 ธนั วาคม พ.ศ. 2545 พพิ ธิ ภัณฑ์อาคารทป่ี ระทบั ประชาธิปกศักดิเดชน์ พิพิธภณั ฑอ์ าคารท่ีประทบั ประชาธิปกศกั ดิเดชน์ ต้งั อยใู่ นกองพลทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน เป็นอาคารที่พาํ นกั ของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ในสมยั ท่ีพระองคท์ รงรับราชการเป็ น นายทหารเหล่าทหารปื นใหญ่ (พ.ศ. 2458 ‟ พ.ศ. 2464) สร้างข้ึนเมื่อ พ.ศ. 2463 เป็นบา้ นไมช้ ้นั เดียว ใตถ้ ุนสูง หลงั คามุงดว้ ยกระเบ้ืองลูกวา่ ว แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดา้ นหนา้ จะมี 3 หอ้ ง คือ หอ้ งทรงงาน หอ้ งบรรทม และหอ้ งพระกระยาหาร ส่วนดา้ นหลงั เป็นห้องเตรียมพระกระยาหารและยงั มีชานโล่ง สาํ หรับพกั ผอ่ นภายนอก อาคารน้ีไดร้ ับการบูรณะเมื่อ พ.ศ. 2541 เพอ่ื จดั ทาํ เป็นพิพิธภณั ฑเ์ ผยแพร่ พระเกียรติคุณและนอ้ มราํ ลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ พพิ ธิ ภัณฑ์สถานพระปกเกล้าราไพพรรณี เฉลมิ พระเกยี รติ พิพิธภณั ฑส์ ถาน พระปกเกลา้ ราํ ไพพรรณี เฉลิมพระเกียรติ ต้งั อยทู่ ี่วทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี สร้างข้ึนเพ่ือเป็นการนอ้ มราํ ลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจา้ ราํ ไพพรรณี พระบรมราชินี ที่มีพระมหากรุณาธิคุณแก่ปวงชนชาว ไทยโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ แก่ชาวจงั หวดั จนั ทบุรีและวทิ ยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดาํ เนินทาํ พธิ ีเปิ ดแพรคลุมป้ายพิพธิ ภณั ฑ์ ในวนั ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

125 พระราชลญั จกร พระราชลญั จกรประจาพระองค์ เรียกวา่ พระแสงศร เป็นรูปพระแสงศร 3 องค์ วางอยบู่ น ราวพาดที่เบ้ืองบนเป็นตรามหาจกั รีบรมราชวงศภ์ ายใตพ้ ระมหาพิชยั มงกุฎ เบ้ืองซา้ ยและเบ้ืองขวา ของราวพาดพระแสงศร ต้งั บงั แทรกสอดแทรกดว้ ยลายกระหนกอยบู่ นพ้นื ตอนบนของดวงตราพระ ราชลญั จกรองคน์ ้ีออกแบบโดยสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานริศรานุวดั ติวงศ์ ที่ ทรงนาํ พระบรมนามาภิไธยเดิมของพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดแ้ ก่ ประชาธิปกศักดิ เดชน์ ซ่ึงคาํ วา่ เดชน์ แปลวา่ ลูกศร มาใชใ้ นการออกแบบ ดงั น้นั พระราชลญั จกรประจาํ พระองคจ์ ึง เป็นรูปพระแสงศร อนั ประกอบดว้ ย พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลยั วาต และพระแสง ศรอคั นีวาต ซ่ึงเป็ นพระแสงศรท่ีใชใ้ นพระราชพิธีศรีสจั จปานกาล (พระราชพิธีถือ น้าํ พระพพิ ฒั น์สัตยา) 17. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหดิ ล พระอฐั มรามาธิบดนิ ทร พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันท มหิดล พระอฐั มรามาธิบดินทร (20 กนั ยายน พ.ศ. 2468 ‟ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489) เป็นพระโอรสใน สมเด็จพระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรม ขนุ สงขลานครินทร์ (ภายหลงั ดาํ รงพระอิสริยยศเป็น สมเดจ็ พระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวกิ รม พระบรม ราชชนก) และหม่อมสงั วาลย์ (ภายหลงั ดาํ รงพระยศ เป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) มี พระเชษฐภคินีและพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก 2 พระองค์ ไดแ้ ก่ สมเด็จพระเจา้ พี่นางเธอ เจา้ ฟ้ากลั ยาณิ วฒั นา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และสมเดจ็

126 พระเจา้ นอ้ งยาเธอ เจา้ ฟ้าภูมิพลอดุลยเดช (ภายหลงั ทรงข้ึนครองราชสมบตั ิเป็นพระบาทสมเดจ็ พระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช) พระองคเ์ สด็จข้ึนทรงราชยเ์ ป็นพระมหากษตั ริยล์ าํ ดบั ที่ 8 แห่ง ราชวงศจ์ กั รี เมื่อวนั ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 477 ขณะท่ีมีพระชนมายเุ พียง 8 พรรษาและประทบั อยทู่ ี่ ประเทศสวติ เซอร์แลนด์ ดงั น้นั จึงมีการแตง่ ต้งั คณะผสู้ าํ เร็จราชการแทนพระองคเ์ พ่ือทาํ หนา้ ท่ี บริหารราชการแผน่ ดินจนกวา่ พระองคจ์ ะทรงบรรลุนิติภาวะ พระองคเ์ สด็จนิวตั ิพระนครคร้ังแรกภายหลงั ทรงราชยเ์ มื่อวนั ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2481 และคร้ังที่สองเม่ือวนั ท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ. 2488ก่อนกาํ หนดการเสดจ็ พระราชดาํ เนินกลบั ไป ทรงศึกษาตอ่ ที่ประเทศสวติ เซอร์แลนด์เพียง 4 วนั พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตดว้ ยทรงตอ้ งพระแสงปื น เมื่อวนั ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ณ หอ้ งพระบรรทม พระท่ีนงั่ บรมพิมาน ภายใน พระบรมมหาราชวงั รวมระยะเวลาท่ีทรงครองสิริราชสมบตั ิท้งั สิ้น 12 ปี พระองค์ทรงมีพระราชกรณยี กจิ ในด้านต่าง ๆ ดงั เช่น ด้านการปกครอง พระองคท์ รงเยย่ี มชาวไทยเช้ือสายจีนเป็ นคร้ังแรก ณ สาํ เพง็ เพ่ือแกไ้ ข ปัญหาความขดั แยง้ กนั ระหวา่ งชาวไทยและชาวไทยเช้ือสายจีนท่ีเกือบจะเกิดสงครามกลางเมือง ด้านศาสนา พระองคไ์ ดป้ ระกอบพธิ ีทางปฏิญาณตนเป็ นพุทธมามกะ ณ วดั พระศรีรัตน ศาสดาราม เมื่อวนั ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2481 ด้านการศึกษา พระองคไ์ ดม้ ีพระราชปรารภใหม้ ีการผลิตแพทยเ์ พมิ่ มากข้ึน เพื่อใหเ้ พียง พอที่จะช่วยเหลือประชาชน โรงเรียนแพทยแ์ ห่งท่ี 2 (แห่งแรก คือ ศิริราชพยาบาล มหาวทิ ยาลยั แพทยศาสตร์) จึงไดถ้ ือกาํ เนิดข้ึนที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ซ่ึงในปัจจุบนั คือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั 18. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช (5 ธนั วาคม พ.ศ. 2470 † 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559) เป็นพระมหากษตั ริยไ์ ทย รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศจ์ กั รี เสดจ็ สู่ พระราชสมบตั ิต้งั แต่วนั ท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นพระมหากษตั ริย์ ไทยผเู้ สวยราชยย์ าวนานที่สุด พระองคเ์ ป็ นพระมหากษตั ริยภ์ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ และไดท้ รง หยดุ ย้งั การกบฏ เช่น ในคราวปี 2524 และปี 2528 กระน้นั ก็ไดท้ รง แตง่ ต้งั หวั หนา้ คณะยดึ อาํ นาจหลายคณะ เช่น จอมพล สฤษด์ิ ธนะ รัชต์ ในช่วงพทุ ธทศวรรษที่ 2500 กบั พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ในช่วง ปลายพทุ ธทศวรรษท่ี 2540 และ พลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา ในปี พ.ศ. 2557 ตลอดรัชกาลของพระองคเ์ กิดรัฐประหารโดยกองทพั 14 คร้ัง] รัฐธรรมนูญ 19 ฉบบั และนายกรัฐมนตรี 29 คน

127 ประชาชนชาวไทยจาํ นวนมากเคารพพระองค์ อน่ึง ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษตั ริยท์ รง อยใู่ นฐานะอนั เป็นท่ีเคารพสักการะและผใู้ ดจะละเมิดมิได้ ส่วนประมวลกฎหมายอาญาวา่ การดู หมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษตั ริยเ์ ป็นความผดิ อาญา[8] คณะรัฐมนตรีหลาย ชุดท่ีไดร้ ับการเลือกต้งั มาก็ถูกคณะทหารลม้ ลา้ งไปดว้ ยขอ้ กล่าวหาวา่ นกั การเมืองผใู้ หญห่ มิ่นพระ บรมเดชานุภาพ กระน้นั พระองคเ์ องไดต้ รัสเมื่อปี 2548 วา่ สาธารณชนพงึ วพิ ากษว์ จิ ารณ์พระองค์ ได[้ พระองคท์ รงเป็นที่สรรเสริญในประเทศไทยเก่ียวกบั พระราชดาํ ริในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง โคฟี แอนนนั เลขาธิการสหประชาชาติ ไดถ้ วายรางวลั ความสาํ เร็จสูงสุดดา้ นการพฒั นา มนุษยแ์ ด่พระองค์ กบั ท้งั พระองคย์ งั ทรงเป็ นเจา้ ของสิทธิบตั รสิ่งประดิษฐ์ งานพระราชนิพนธ์ และ งานดนตรีจาํ นวนหน่ึงดว้ ย ดา้ นสินทรัพยข์ องพระองคน์ ิตยสารฟอบส์จดั อนั ดบั ใหพ้ ระองคเ์ ป็น พระมหากษตั ริยผ์ มู้ ีพระราชทรัพยม์ ากท่ีสุดในโลกต้งั แต่ปี 2551 ถึง 2556 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 พระองคม์ ีพระราชทรัพย์ 30,000 ลา้ นดอลล่าร์สหรัฐ (ดูหมายเหตุดา้ นล่าง) สาํ นกั งานทรัพยส์ ินส่วน พระมหากษตั ริยน์ ้นั ใชส้ ินทรัพยเ์ พอื่ สวสั ดิการสาธารณะ เช่น เพอ่ื พฒั นาเยาวชน แต่ไดร้ ับการ ยกเวน้ มิตอ้ งจา่ ยภาษีและใหเ้ ปิ ดเผยการเงินต่อพระมหากษตั ริยแ์ ต่พระองคเ์ ดียว ขณะท่ี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกไ็ ดท้ รงอุทิศพระราชทรัพยไ์ ปในโครงการ พฒั นาประเทศไทยหลายต่อหลายโครงการ โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรม ส่ิงแวดลอ้ ม สาธารณสุข การส่งเสริมอาชีพ ทรัพยากรน้าํ สวสั ดิการทางคมนาคม และสวสั ดิการสาธารณะ นบั แต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 พระองคเ์ สด็จแปรพระราชฐานไปประทบั รักษาพระอาการ พระโรคไขว้ ดั และพระปัปผาสะอกั เสบ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราชตลอดมา แต่ พระอาการประชวรไดท้ รุดลงตามลาํ ดบั จนเสด็จสวรรคตเม่ือวนั พฤหสั บดีท่ี 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 เวลา 15:52 น. สิริพระชนมายุ 88 ปี 313 วนั พระราชกรณยี กจิ สาคญั ทม่ี ตี ่อการสร้างสรรค์ชาตไิ ทยมดี ังนี้ นบั ต้งั แต่พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสดจ็ ข้ึนครองราชสมบตั ิเป็น ประมุขแห่งประเทศไทยเม่ือวนั ท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เป็นตน้ มา พระองคไ์ ดท้ รงประกอบพระ ราชกรณยี กจิ ในดา้ นตา่ ง ๆ อนั เป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอด 70 ปี โดยพระราชกรณียกิจที่สาํ คญั ของพระองค์ คือ การเสด็จพระราชดาํ เนินเยอื นประชาชนในทอ้ งถิ่นตา่ ง ๆ ของประเทศ ดงั ในปฐม พระบรมราชโองการในระหวา่ งพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวนั ท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 วา่ \"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม \"ในปี พ.ศ. 2539 จากการท่ี พระองคท์ รงงานเพ่ือประชาชนอยา่ งหนกั จึงไดม้ ีการลงนามโดยประชาชนชาวไทยเพือ่ ถวาย สมญั ญานามใหพ้ ระองคท์ รงเป็น \"มหาราช\"

128 ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติอนั เป็ นคุณประโยชน์ตอ่ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม มีหลากหลายมากมาย โดยส่วนใหญจ่ ะอยใู่ นรูปของโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ เป็นโครงการท่ีพระองคท์ รง วางแผนพฒั นา ทรงเสนอแนะ ใหส้ ่วนราชการ ร่วมดาํ เนินการตามพระราชดาํ ริ โดยร่วมทรงงานกบั หน่วยงานของส่วนราชการ ซ่ึงมีท้งั ฝ่ ายพลเรือน ตาํ รวจ ทหาร และประชาชนชาวไทยทวั่ ประเทศ โครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ ท่ีอยใู่ นความรับผดิ ชอบของ สาํ นกั งาน กปร. ต้งั แต่ ปี งบประมาณ2525-2540 มีจาํ นวน 1,955 โครงการ แยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ 8 ประเภท คือ การเกษตร ส่ิงแวดลอ้ ม สาธารณสุข ส่งเสริมอาชีพ พฒั นาแหล่งน้าํ คมนาคมส่ือสาร สวสั ดิการ สงั คม และอื่น ๆ 1. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกบั การจัดการทรัพยากรนา้ จากการเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปเยยี่ มเยยี นพสกนิกรนบั ต้งั แตท่ รงข้ึนครองราชย์ ทาํ ให้ ทรงตระหนกั วา่ ภยั แลง้ และน้าํ เพอื่ การเกษตรและบริโภคอุปโภคเป็ นปัญหาท่ีรุนแรงและสาํ คญั ท่ีสุด การจดั การทรัพยากรน้าํ และการพฒั นาแหล่งน้าํ เพ่ือการเพาะปลูกและบริโภคอุปโภค นบั วา่ เป็นงาน ท่ีมีความสาํ คญั และมีประโยชนอ์ ยา่ งยง่ิ สาํ หรับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในการช่วยให้ เกษตรกรทาํ การเพาะปลูกไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์ตลอดปี ในปัจจุบนั พ้นื ท่ีการเพาะปลูกส่วนใหญ่ทุกภาค ของประเทศเป็นพ้ืนที่เพาะปลูกนอกเขตชลประทาน ซ่ึงตอ้ งอาศยั เพยี งน้าํ ฝน และน้าํ จากแหล่งน้าํ ธรรมชาติเป็นหลกั ทาํ ใหพ้ ชื ไดร้ ับน้าํ ไม่สม่าํ เสมอตามที่ตอ้ งการ เป็ นผลใหผ้ ลผลิตที่ไดร้ ับไม่ดี เทา่ ท่ีควร พระองคท์ รงใฝ่ พระราชหฤทยั เกี่ยวกบั การจดั การพฒั นาแหล่งน้าํ เป็ นอยา่ งยง่ิ มี พระราชดาํ ริวา่ น้าํ คือปัจจยั สาํ คญั ต่อมนุษยแ์ ละบรรดาส่ิงมีชีวติ อยา่ งถ่องแท้ ดงั พระราชดาํ รัส ณ สวนจิตรลดา เม่ือวนั ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2529 ความตอนหน่ึงวา่ \"...หลกั สาํ คญั วา่ ตอ้ งมีน้าํ บริโภค น้าํ ใชน้ ้าํ เพอ่ื การเพาะปลูก เพราะวา่ ชีวติ อยทู่ ่ีนน่ั ถา้ มีน้าํ คนอยไู่ ด้ ถา้ ไม่มีน้าํ คนอยไู่ ม่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคน อยไู่ ด้ แต่ถา้ มีไฟฟ้าไมม่ ีน้าํ คนอยไู่ ม่ได.้ ..\" ในการจดั การทรัพยากรน้าํ น้นั ทรงมุง่ ขจดั ปัญหาความ แหง้ แลง้ อนั เน่ืองมาจากสภาพของป่ าไมต้ น้ น้าํ เสื่อมโทรม ลกั ษณะดินเป็นดินปนทราย หรือการขาด แหล่งน้าํ จืด การจดั การทรัพยากรน้าํ โดยการพฒั นาแหล่งน้าํ อนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริน้นั มีหลกั และวธิ ีการท่ีสาํ คญั ๆ คือ การพฒั นาแหล่งน้าํ จะเป็ นรูปแบบใด ตอ้ งเหมาะสมกบั รายละเอียดสภาพ ภูมิประเทศแตล่ ะทอ้ งที่เสมอ และการพฒั นาแหล่งน้าํ ตอ้ งพจิ ารณาถึงความเหมาะสมในดา้ น เศรษฐกิจ และสังคมของทอ้ งถ่ิน หลีกเล่ียงการเขา้ ไปสร้างปัญหาความเดือดร้อนใหก้ บั คนกลุ่มหน่ึง โดยสร้างประโยชนใ์ หก้ บั คนอีกกลุ่มหน่ึง ไม่วา่ ประโยชน์ทางดา้ นเศรษฐกิจเกี่ยวกบั การลงทุนน้นั จะมีความเหมาะสมเพียงใดก็ตาม ดว้ ยเหตุน้ีการทาํ งานโครงการพฒั นาแหล่งน้าํ ทุกแห่งจึง พระราชทานพระราชดาํ ริไวว้ า่ ราษฎรในหมู่บา้ น ซ่ึงไดร้ ับประโยชน์จะตอ้ งดาํ เนินการแกไ้ ขปัญหา เร่ืองที่ดิน โดยจดั การช่วยเหลือผทู้ ่ีเสียประโยชน์ตามความเหมาะสมที่จะตกลงกนั เอง เพอื่ ใหท้ าง

129 ราชการสามารถเขา้ ไปใชท้ ี่ดินทาํ การก่อสร้างได้ โดยไม่ตอ้ งจดั ซ้ือท่ีดิน ซ่ึงเป็นพระบรมราโชบายที่ มุ่งหวงั ใหร้ าษฎรมีส่วนร่วมกบั รัฐบาล และช่วยเหลือเก้ือกูลกนั ภายในสงั คมของตนเอง และมีความ หวงแหน ที่จะตอ้ งดูแลบาํ รุงรักษาส่ิงก่อสร้างน้นั ต่อไปดว้ ย 2. พระบาทสมเดจ็ พระะปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกบั การจัดการทรัพยากรป่ าไม้ ป่ าไมเ้ ป็นทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีเอ้ืออาํ นวยประโยชน์ท้งั ทางตรง และทางออ้ มใหแ้ ก่ มวลมนุษยชาติ ช่วยควบคุมใหส้ ภาพดินฟ้าอากาศอยใู่ นสภาพปกติ รักษาตน้ น้าํ ลาํ ธาร พนั ธุ์ พฤกษชาติ และสตั วป์ ่ า อีกท้งั ยงั เป็นที่พกั ผอ่ นหยอ่ นใจ ป่ าไมเ้ ป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติท่ีมนุษย์ ไดบ้ ริโภคใชส้ อย ไดป้ ระกอบอาชีพดา้ นการทาํ ไม้ เกบ็ ของป่ า การอุตสาหกรรมไมแ้ ปรรูปและ ผลิตภณั ฑส์ าํ เร็จรูปที่ใชว้ ตั ถุดิบจากไม้ และของป่ า แต่สภาพปัจจุบนั มีแรงผลกั ดนั ใหเ้ กิดการบุกรุก ทาํ ลายป่ าไม้ เพอ่ื บุกเบิกพ้นื ที่ทาํ การเกษตร ลกั ลอบตดั ไมป้ ้อนโรงงานอุตสาหกรรม และเผา่ ถ่าน นอกจากน้ี การเร่งการดาํ เนินงานบางโครงการ เช่น การก่อสร้างถนน สร้างเข่ือน ฯลฯ ทาํ ใหม้ ีการ ตดั ไม้ โดยไม่คาํ นึงถึงการอนุรักษท์ รัพยากรป่ าไม้ ป่ าไมจ้ ึงมีเน้ือท่ีลดลงตามลาํ ดบั และบางแห่งอยู่ ในสภาพเส่ือมโทรมอยา่ งมาก พระองคท์ รงมุ่งเนน้ การอนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟูป่ าไมเ้ ป็นแนวทางหลกั ในการจดั การ ทรัพยากรป่ าไม้ ดว้ ยทรงตระหนกั ถึงความสาํ คญั ของป่ าไม้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ปัญหาภยั แลง้ น้าํ ท่วมฉบั พลนั และการพงั ทลายของดินอยา่ งรุนแรง จึงมีพระราชหฤทยั มุ่งมน่ั ที่จะแกไ้ ข ปรับปรุง และพฒั นาป่ าใหอ้ ยใู่ นสภาพสมบูรณ์ดงั เดิม พระองคท์ รงเลง็ เห็นวา่ การจดั การทรัพยากรป่ าไม้ มีความเกี่ยวโยงกบั การอนุรักษ์ ทรัพยากรแหล่งน้าํ จึงทรงเนน้ การอนุรักษแ์ ละพฒั นาป่ าตน้ น้าํ เป็นพิเศษ จากแนวพระราชดาํ ริของ พระองคก์ ่อให้เกิดโครงการพฒั นา และบาํ รุงป่ าไมจ้ าํ นวนมากมายทว่ั ประเทศ โดยเฉพาะป่ าไมท้ ี่ เป็นตน้ น้าํ ลาํ ธารใหค้ งสภาพอยเู่ ดิม เพื่อป้องกนั อุทกภยั ตา่ ง ๆ ท่ีจะเกิดข้ึน ในขณะเดียวกนั ก็ถนอม น้าํ ไวใ้ ชส้ าํ หรับหล่อเล้ียงแม่น้าํ ลาํ ธารดว้ ย พระราชกรณียกจิ ทส่ี าคัญทเี่ กยี่ วกบั การจัดการทรัพยากรป่ าไม้ ในด้านการอนุรักษ์และฟื้ นฟูสภาพ ป่ าทเี่ ส่ือมโทรม มตี ัวอย่าง คือ 1. ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยฮ่องไคร้อนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ อาํ เภอดอยสะเก็ด จงั หวดั เชียงใหม่ เพื่อศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั รูปแบบท่ีเหมาะสมของการพฒั นาพ้นื ท่ีตน้ น้าํ ลาํ ธาร เพ่อื ประโยชนท์ างเศรษฐกิจรวมท้งั รูปแบบการพฒั นาตา่ ง ๆ ที่ทาํ ใหเ้ กษตรกรพ่งึ ตนเองได้ โดยไม่ ตอ้ งทาํ ลายสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ 2. โครงการพฒั นาพ้นื ท่ีหว้ ยลานอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ อาํ เภอสนั กาํ แพง จงั หวดั เชียงใหม่ เพือ่ บาํ รุงฟ้ื นฟูป่ าไมท้ ่ีเป็นตน้ น้าํ ลาํ ธารใหค้ งสภาพอยเู่ ดิม อนั จะเป็ นประโยชนใ์ นการ ป้องกนั อุทกภยั และรักษาสภาพแหล่งตน้ น้าํ ลาํ ธาร 3. ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยทรายอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ จงั หวดั เพชรบุรี ได้

130 ประสบผลสาํ เร็จอยา่ งสูงในดา้ นการลดปัญหาการบุกรุกทาํ ลายป่ า การป้องกนั ไฟป่ า และการจดั การ ทรัพยากรธรรมชาติดว้ ยการแสวงหาแนวทางและวธิ ีการพฒั นาแหล่งน้าํ เพอื่ การปลูกป่ าที่เรียบง่าย ประหยดั เหมาะสมกบั ราษฎรท่ีสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิไดด้ ว้ ยตนเอง โดยการปลูกป่ าทดแทนใหไ้ ด้ ประโยชน์อเนกประสงค์ 4. โครงการป่ าสาธิตส่วนพระองคพ์ ระตาํ หนกั สวนจิตรลดา เพอ่ื อนุรักษ์ รวบรวมและ ขยายพนั ธุ์พฤกษชาติรวมท้งั พชื สมุนไพรเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของทรัพยากรป่ าไม้ 5. โครงการชุมชนพฒั นาป่ าชายเลน ตาํ บลหวั เขา อาํ เภอสิงหนคร จงั หวดั สงขลา มี วตั ถุประสงคท์ ี่จะทาํ การพฒั นาชุมชนใหม้ ีความสาํ นึกในความรู้ความเขา้ ใจในการใชท้ รัพยากร ชายฝ่ัง เป็นการพฒั นาและฟ้ื นฟูป่ าชายเลนในอีกมิติหน่ึงของการจดั การทรัพยากรธรรมชาติท่ีอาศยั ความเก่ียวพนั และเก้ือกูลซ่ึงกนั และกนั ของมนุษยก์ บั ธรรมชาติ 6. โครงการศูนยศ์ ึกษาธรรมชาติป่ าชายเลนยะหร่ิง อาํ เภอยะหร่ิง จงั หวดั ปัตตานี มี เป้าหมายมุง่ เนน้ ใหเ้ กิดประสิทธิภาพในดา้ นการจดั การและสงวนรักษาทรัพยากรป่ าชายเลน มี เจตนารมณ์ท่ีจะใหท้ ุกฝ่ ายมีความรู้ ความเขา้ ใจของสมดุลระบบนิเวศชายฝ่ัง และสร้างความร่วมมือ รวมพลงั กนั ระหวา่ งชุมชนและนกั วชิ าการที่จะปกปักรักษาและพฒั นาป่ าชายเลนใหส้ ามารถใช้ ประโยชน์อยา่ งยง่ั ยนื 7. ศูนยว์ จิ ยั และศึกษาธรรมชาติป่ าพรุสิรินธร อาํ เภอสุไหงโก-ลก จงั หวดั นราธิวาส มี วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ทาํ การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั ธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มของป่ าพรุ อนั จะทาํ ให้ การพฒั นาพ้นื ที่พรุเป็ นไปอยา่ งสอดคลอ้ งผสมผสานกนั ท้งั ในเรื่องการอนุรักษ์ และการพฒั นาพ้ืนท่ี เขตตา่ ง ๆ ในป่ าพรุไดด้ าํ เนินการไปพร้อมกนั อยา่ งไดผ้ ลดียง่ิ ทาํ ใหป้ ่ าพรุไดร้ ับการใชป้ ระโยชน์ อยา่ งอเนกประสงค์ ควบคู่กบั การสร้างสมดุลของระบบนิเวศ 3. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดชกบั การจัดการทรัพยากรทดี่ ิน ในช่วงระยะเวลา 20 ปี ท่ีผา่ นมา การเพิม่ ผลผลิตทางการเกษตร และรายไดข้ องประเทศ มาจากการขยายพ้ืนท่ีการเพาะปลูก มากกวา่ การเพิ่มผลผลิตตอ่ หน่วยพ้นื ท่ี จนถึงขณะน้ีประมาณได้ วา่ พ้นื ที่ท่ีเหมาะสมตอ่ การเกษตรกรรมไดใ้ ชไ้ ปจนเกือบหมด และเกษตรกรพยายามหาพ้นื ท่ีใหม่ ดว้ ยการอพยพโยกยา้ ยกระจดั กระจายเขา้ ไปอยใู่ นเขตป่ าสงวนแห่งชาติ พ้นื ที่ป่ าไมถ้ ูกทาํ ลายเพ่ิม จาํ นวนมากข้ึน เพราะมีการใชท้ ี่ดินกนั อยา่ งขาดความระมดั ระวงั และไมม่ ีการบาํ รุงรักษา ซ่ึงทาํ ให้ คุณภาพของดินเสื่อมโทรมท้งั ดา้ นเคมีและกายภาพ ปัญหาเหล่าน้ีหากไม่ไดร้ ับการแกไ้ ขยอ่ มส่งผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศเป็ นอยา่ งมาก พระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีแนวพระราชดาํ ริเพื่อแกไ้ ขปัญหาในเรื่องของทรัพยากรท่ีดิน ท้งั ใน แง่ของปัญหาดินท่ีเสื่อมโทรม ขาดคุณภาพ และการขาดแคลนที่ดินทาํ กินสาํ หรับเกษตรกร แนว พระราชดาํ ริและพระราชกรณียกิจเก่ียวกบั การจดั การทรัพยากรท่ีดินสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 3 ดา้ นหลกั ไดแ้ ก่

131 1. การจัดและพฒั นาทดี่ ิน ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทาํ กินของเกษตรกร เป็นปัญหาสาํ คญั ยง่ิ ในช่วง 4 ทศวรรษที่ ผา่ นมา งานจดั และพฒั นาที่ดินเป็นงานแรก ๆ ท่ีพระองคท์ รงใหค้ วามสาํ คญั ทรงเร่ิมโครงการ พฒั นาท่ีดินหุบกะพง ตามพระราชประสงค์ เม่ือปี พ.ศ.2511 โดยมุ่งแกไ้ ขปัญหาการไม่มีที่ดินทาํ กิน ของเกษตรกรเป็ นสาํ คญั ดงั พระราชดาํ รัสที่วา่ \"…มีความเดือดร้อนอยา่ งยงิ่ วา่ ประชาชนในเมืองไทยจะไร้ท่ีดิน และถา้ ไร้ท่ีดินแลว้ ก็จะทาํ งานเป็น ทาสเขา ซ่ึงเราไม่ปรารถนาที่จะใหป้ ระชาชนเป็ นทาสคนอ่ืน แตถ่ า้ เราสามารถที่จะขจดั ปัญหาน้ี โดยเอาท่ีดินจาํ แนกจดั สรรอยา่ งยตุ ิธรรม อยา่ งมีการจดั ต้งั จะเรียกวา่ นิคมหรือจะเรียกวา่ หมูห่ รือ กลุ่ม หรือสหกรณ์ก็ตาม กจ็ ะทาํ ใหค้ นที่มีชีวติ แร้นแคน้ สามารถที่จะพฒั นาตวั เองข้ึนมา ได…้ \"(สาํ นกั งาน กปร., 2531: 94-5) พระราชดาํ ริแนวทางหน่ึงในการแกไ้ ขปัญหาน้ีไดแ้ ก่ทรง นาํ เอาวธิ ีการปฏิรูปท่ีดินมาใชใ้ นการจดั และพฒั นาที่ดินที่เป็นป่ าเสื่อมโทรม ทิง้ ร้าง วา่ งเปล่า นาํ มา จดั สรรใหเ้ กษตรกรที่ไร้ท่ีทาํ กิน ไดป้ ระกอบอาชีพ ในรูปของหมูบ่ า้ นสหกรณ์ และโครงการจดั และ พฒั นาที่ดินในรูปแบบอื่น ๆ ท้งั น้ีโดยใหส้ ิทธิทาํ กินชว่ั ลูกชว่ั หลาน แต่ไมใ่ หก้ รรมสิทธ์ิในการถือ ครอง พร้อมกบั จดั บริการพ้ืนฐาน ใหต้ ามความเหมาะสม นอกจากน้ียงั มีการจดั พ้นื ที่ทาํ กินให้ ราษฎรชาวไทยภูเขา สามารถดาํ รงชีพอยไู่ ดเ้ ป็นหลกั แหล่ง โดยไม่ตอ้ งทาํ ลายป่ าอีกตอ่ ไป ในการจดั พ้นื ท่ีตา่ ง ๆ ดงั กล่าวน้ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ทรงมีหลกั การวา่ ตอ้ งมีการวางแผนการจดั การ ใหด้ ีเสียต้งั แต่ตน้ โดยใชแ้ ผนที่ และภาพถ่ายทางอากาศช่วยในการวางแผน ไม่ควรทาํ แผนผงั ท่ีทาํ กินเป็นลกั ษณะตารางส่ีเหลี่ยมเสมอไป โดยไม่คาํ นึงถึงสภาพภูมิประเทศ แตค่ วรจดั สรรพ้นื ที่ทาํ กิน แนวพ้ืนท่ีรับน้าํ จากโครงการชลประทาน นนั่ คือจะตอ้ งดาํ เนินโครงการเก่ียวกบั การพฒั นาที่ดินเพื่อ การเกษตรควบคูไ่ ปกบั การพฒั นาแหล่งน้าํ เช่น โครงการนิคมสหกรณ์หุบกะพง (ในพระบรม ราชูปถมั ภ)์ อาํ เภอชะอาํ จงั หวดั เพชรบุรี โครงการจดั พฒั นาท่ีดินทุ่งลุยลาย อนั เนื่องมาจาก พระราชดาํ ริ อาํ เภอคอนสาร จงั หวดั ชยั ภูมิ และโครงการจดั พฒั นาท่ีดินตามพระราชประสงค์ \"หนองพลบั \" อาํ เภอหวั หิน จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ โครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริเหล่าน้ี มีวตั ถุประสงคท์ ่ีสาํ คญั คือ (ก) เพื่อนาํ ทรัพยากรธรรมชาติออกมาใชใ้ นดา้ นการผลิตใหเ้ กิดประสิทธิภาพสูงสุด (ข) เพื่อส่งเสริมใหร้ าษฎร มีที่ดินสาํ หรับประกอบอาชีพและอยอู่ าศยั (ค) เพ่ือส่งเสริมใหร้ าษฎรรู้จกั พ่ึงตนเอง และช่วยเหลือ ส่วนรวม ท้งั ทางเศรษฐกิจและสังคม ท้งั น้ีบางโครงการมีวตั ถุประสงคเ์ ฉพาะกิจในการช่วยบรรเทา ความเดือดร้อนในเร่ืองท่ีทาํ กินของราษฎรที่ถูกอพยพออกจากพ้ืนที่ 2. การพฒั นาและอนุรักษ์ดนิ หลงั จากงานจดั สรรที่ดินทาํ กินในระยะแรกแลว้ แนวพระราชดาํ ริในการจดั การ ทรัพยากรดินของพระพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ไดข้ ยายขอบเขตไปสู่เร่ือง การพฒั นาและอนุรักษด์ ินเพื่อการเกษตรกรรม เพ่ือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร

132 ใหส้ ูงข้ึนหรือรักษาไวไ้ มใ่ หต้ กต่าํ เช่น การวจิ ยั และการวางแผนการใชท้ ี่ดินเพ่อื ใหม้ ีการใช้ ประโยชน์ที่ดินอยา่ งมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกบั ลกั ษณะสภาพดิน การศึกษาเพ่ืออนุรักษ์ บาํ รุงรักษาและฟ้ื นฟูดิน วธิ ีส่วนใหญ่เป็นวธิ ีการตามธรรมชาติที่พยายามสร้างความสมดุลของ ระบบนิเวศและสภาพแวดลอ้ มใหเ้ กิดข้ึน เช่น ใหม้ ีการปลูกไมใ้ ชส้ อยร่วมกบั การปลูกพืชไร่เพือ่ ประโยชน์ใหไ้ ดร้ ่มเงาและรักษาความชุ่มช้ืน หรือการปลูกพชื บางชนิดในพ้นื ท่ีซ่ึงดินไมด่ ี แต่พชื ชนิดน้นั ใหป้ ระโยชนใ์ นการบาํ รุงดินให้อุดมสมบูรณ์ข้ึนโดยไมต่ อ้ งลงทุนใชป้ ๋ ุยเคมี พ้ืนท่ีบางแห่ง ไม่เหมาะสมสาํ หรับการปลูกพืชผล ทรงแนะนาํ ใหใ้ ชป้ ระโยชน์ดา้ นอ่ืน เช่น ฟ้ื นฟูเป็ นทุง่ หญา้ เล้ียง สัตว์ เป็นตน้ ในระยะต่อมาพระองคท์ รงใหค้ วามสาํ คญั มากข้ึนในงานอนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟูท่ีดินที่มี สภาพธรรมชาติและปัญหาที่แตกตา่ งกนั ออกไปในแตล่ ะภูมิภาค จึงมีพระราชดาํ ริในการแกไ้ ข ปัญหาท่ีดินที่เนน้ เฉพาะเรื่องมากข้ึน เช่น การศึกษาวจิ ยั เพื่อแกไ้ ขปัญหาดินเคม็ ดินเปร้ียว ดินทราย ในภาคกลางและภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ปัญหาดินพรุ ในภาคใต้ และท่ีดินชายฝั่งทะเล รวมถึง งานในการแกไ้ ขปรับปรุงและฟ้ื นฟูดินท่ีเสื่อมโทรมพงั ทลายจากการชะลา้ งหนา้ ดิน ตลอดจนการ ทาํ แปลงสาธิตการพฒั นาท่ีดินเพ่อื การเกษตรกรรมในบางพ้นื ที่ท่ีมีปัญหาในเร่ืองดินเสื่อมโทรมดว้ ย สาเหตุตา่ ง ๆ ท้งั น้ี เพ่ือใหพ้ ้ืนท่ีที่มีปัญหาเรื่องดินท้งั หลาย สามารถใชป้ ระโยชน์ทางการเกษตรได้ อีก โครงการต่าง ๆ ในระยะหลงั จึงเป็นการรวบรวมความรู้ท้งั ทางทฤษฎีและปฏิบตั ิจากหลากหลาย สาขามาใชร้ ่วมกนั ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ และที่ปรากฏใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนกค็ ือ แนวคิดและตวั อยา่ งการจดั การทรัพยากรดินในศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาทุกแห่ง พระราชดาํ ริและพระ ราชกรณียกิจในการดาํ เนินงานดา้ นการพฒั นาและอนุรักษด์ ินท่ีสาํ คญั สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 3 ส่วน คือ ก) แบบจาํ ลองการพฒั นาพ้ืนท่ีท่ีมีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์ การจดั การทรัพยากร ดินโดยการอนุรักษบ์ าํ รุงรักษาดินท่ีมีสภาพขาดความอุดมสมบูรณ์ ดินปนทราย และมีปัญหาการชะ ลา้ งพงั ทลายของดินมีแบบจาํ ลองอยทู่ ่ีศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาเขาหินซอ้ น อนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ซ่ึงพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ไดพ้ ระราชทานพระราชดาํ ริใหจ้ ดั ต้งั ข้ึนเพื่อ ทาํ การศึกษาคน้ ควา้ เก่ียวกบั การสร้างระบบอนุรักษด์ ินและน้าํ เป็นตวั อยา่ งในการป้องกนั การชะ ลา้ งพงั ทลายของดิน การขยายพนั ธุ์พืช เพื่ออนุรักษด์ ินและบาํ รุงดิน และสนบั สนุนใหเ้ กษตรกร เรียนรู้เขา้ ใจวธิ ีการอนุรักษด์ ินและน้าํ การปรับปรุงบาํ รุงดิน และสามารถนาํ ไปปฏิบตั ิไดเ้ อง โดย ทรงมีพระราชดาํ ริวา่ \"…การปรับปรุงท่ีดินน้นั ตอ้ งอนุรักษผ์ วิ ดิน ซ่ึงมีความสมบูรณ์ไวไ้ มใ่ หไ้ ถ หรือลอกหนา้ ดินทิ้งไป สงวนไมย้ นื ตน้ ที่ยงั เหลืออยู่ เพื่อที่จะรักษาความชุ่มชื่นของผนื ดิน...\" ( สาํ นกั งาน กปร., 2542) ข) การแกไ้ ขปัญหาดินเปร้ียวดว้ ยวธิ ี \"การแกลง้ ดิน\" พระองคท์ รงรับทราบความ เดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใตโ้ ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เกษตรกรในจงั หวดั นราธิวาส ท่ีประสบปัญหา

133 ดินเปร้ียวทาํ ใหเ้ พาะปลูกไม่ไดผ้ ล พระองคจ์ ึงทรงมีพระราชดาํ ริใหท้ าํ การศึกษาวจิ ยั และพฒั นาดิน พรุเพ่ือแกไ้ ขปัญหาดินเปร้ียว ณ ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาพิกลุ ทอง จงั หวดั นราธิวาส โดยมี วตั ถุประสงคห์ ลกั ในการศึกษาและพฒั นาพ้ืนท่ีพรุ ซ่ึงเป็ นดินเปร้ียวใหเ้ ป็ นดินที่มีคุณภาพ สามารถ ทาํ การเพาะปลูกได้ พระองคท์ รงแนะนาํ ใหใ้ ชว้ ธิ ี \"การแกลง้ ดิน\" คือ เริ่มจากการแกลง้ ดินใหเ้ ปร้ียว สุดขีด ดว้ ยการทาํ ใหด้ ินแหง้ และเปี ยกสลบั กนั เพือ่ เร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุท่ีมีสารประกอบ ของกาํ มะถนั ที่จะทาํ ใหด้ ินมีสภาพเป็นกรดจดั เม่ือดินแหง้ จากน้นั ก็จึงทาํ การปรับปรุงดินท่ีเป็นกรด จดั น้นั ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาใหอ้ ยใู่ นระดบั ท่ีจะปลูกพชื เศรษฐกิจ เช่น ขา้ ว ได้ ค) \"หญา้ แฝก\" กบั การอนุรักษด์ ินและฟ้ื นฟูพ้ืนที่เสื่อมสภาพ พ้ืนที่ดินในประเทศไทยท่ี ต้งั อยใู่ นบริเวณท่ีมีความลาดชนั เช่นพ้นื ที่เชิงเขาอยใู่ นสภาพเสื่อมโทรมเน่ืองมาจากการชะลา้ ง พงั ทลายของดิน ทาํ ใหเ้ กิดการสูญเสียธาตุอาหารในดินและความอุดมสมบูรณ์ของดิน พระองคม์ ี พระราชดาํ ริในการท่ีจะป้องกนั การเส่ือมโทรมและการพงั ทลายของดินโดยใชว้ ถิ ีธรรมชาติ คือการ ใชห้ ญา้ แฝก เม่ือวนั ท่ี22 มิถุนายน พ.ศ.2534 ไดพ้ ระราชทานพระราชดาํ ริเก่ียวกบั หญา้ แฝกเป็นคร้ัง แรกกบั ดร.สุเมธ ตนั ติเวชกุล เลขาธิการสาํ นกั งาน กปร. ในขณะน้นั วา่ ใหท้ าํ การศึกษาทดลองปลูก หญา้ แฝก เพื่อป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดิน และอนุรักษ์ ความชุ่มช้ืนไวใ้ นดิน เพราะข้นั ตอน การดาํ เนินงานเป็นวธิ ีการแบบง่าย ๆ ประหยดั และที่สาํ คญั คือเกษตรกรสามารถดาํ เนินการเองได้ โดยไม่ตอ้ งใหก้ ารดูแลภายหลงั การปลูกมากนกั และไดพ้ ระราชทานพระราชดาํ ริอีกหลายคร้ัง เกี่ยวกบั การนาํ หญา้ แฝกมาใชป้ ระโยชน์ในลกั ษณะต่าง ๆ การดาํ เนินโครงการตา่ ง ๆ ดงั กล่าวน้ี ทรง เนน้ อยเู่ สมอวา่ กระบวนการพฒั นาท่ีดินท้งั หมดน้ี จะตอ้ งช้ีแจงใหร้ าษฎร ซ่ึงเป็นผไู้ ดร้ ับประโยชน์ มีส่วนร่วมและลงมือลงแรงดว้ ย (สาํ นกั งาน กปร., 2542) ตวั อยา่ งของการจดั การทรัพยากรดินดว้ ยการอนุรักษด์ ินและฟ้ื นฟูพ้นื ที่เส่ือมสภาพ โดยการป้องกนั การเส่ือมโทรมและการชะลา้ งพงั ทลายของดินดว้ ยการปลูก \"หญา้ แฝก\" พชื จาก พระราชดาํ ริที่ทาํ หนา้ ที่เป็นกาํ แพงที่มีชีวติ ในการอนุรักษแ์ ละคืนธรรมชาติสู่แผน่ ดิน ไดแ้ ก่ โครงการฟ้ื นฟูดินเส่ือมโทรมเขาชะงุม้ จงั หวดั ราชบุรี ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงของศูนยศ์ ึกษาการพฒั นา หว้ ยทราย จงั หวดั เพชรบุรี และไดม้ ีการนาํ มรรควธิ ีน้ีไปศึกษาวจิ ยั และนาํ ไปสาธิตในทอ้ งที่ตา่ ง ๆ ที่มีศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาฯ ต้งั อยู่ รวมท้งั โครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริอื่น ๆ เช่น โครงการ พฒั นาหญา้ แฝกในโครงการพฒั นาดอยตุง เพ่ือใหเ้ กษตรกรไดร้ ับทราบและนาํ ไปปฏิบตั ิใหบ้ งั เกิด ผลดีแก่ตวั เกษตรกรเอง และสังคมโดยรวม 3. การดาเนินการเกยี่ วกบั กรรมสิทธ์ิทด่ี นิ \"ป่ าเตรียมสงวน\" ทรงมีพระราชดาํ ริวา่ ปัญหาการบุกรุกเขา้ ไปครอบครองที่ดินของรัฐโดยราษฎรท่ีไม่มี ท่ีดินทาํ กินเป็ นหลกั แหล่งจะทวคี วามรุนแรงข้ึน จึงทรงพระราชทานแนวทางการจดั การทรัพยากร

134 ท่ีดินและป่ าไม้ สาํ หรับท่ีดินป่ าสงวนท่ีเสื่อมโทรมและราษฎรไดเ้ ขา้ ไปทาํ กินอยแู่ ลว้ น้นั รัฐน่าจะ ดาํ เนินการตามความเหมาะสมของสภาพพ้ืนท่ีน้นั ๆ เพ่ือใหก้ รรมสิทธ์ิแก่ราษฎรในการทาํ กินได้ อยา่ งถูกตอ้ งตามกฎหมาย แต่มิไดเ้ ป็นการออกโฉนดที่จะสามารถนาํ ไปซ้ือขายได้ เพยี งแตค่ วรออก ใบหนงั สือรับรองสิทธิทาํ กิน (สทก.) แบบสามารถเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทใหส้ ามารถทาํ กินได้ ตลอดไป และดว้ ยวธิ ีการน้ีจะช่วยใหร้ าษฎรมีกรรมสิทธ์ิที่ดินเป็นของตนเองและครอบครัว โดยไม่ อาจนาํ ที่ดินน้นั ไปขายและจะไมไ่ ปบุกรุกพ้ืนท่ีป่ าสงวนอ่ืน ๆ อีกต่อไป (สาํ นกั งาน กปร., 2531: 96) พระองคท์ รงมีพระราชดาํ ริเพมิ่ เติมวา่ ควรมีการประกาศเกี่ยวกบั ป่ าสงวน ในกรณีที่ สภาพป่ ายงั ไมเ่ สื่อมโทรมมากนกั โดยเจา้ หนา้ ท่ีควรวางมาตรการป้องกนั มิใหม้ ีการทาํ ลายป่ า และ ควรช้ีแจงใหป้ ระชาชนทราบถึงความสาํ คญั ของการมีป่ า ท้งั น้ี การท่ีใหเ้ รียกวา่ \"ป่ าเตรียมสงวน\" น้นั ก็เพอ่ื ป้องกนั มิใหม้ ีผบู้ ุกรุกเขา้ มาจบั จองที่ดินในป่ า แต่หากเรียกวา่ \"ป่ าสงวน\" แลว้ ผทู้ ี่อาศยั อยู่ ในป่ ามาเป็นเวลานานแลว้ จะถูกกล่าวหาวา่ บุกรุกป่ าสงวนและถูกไล่ท่ี ซ่ึงจะเป็นปัญหาตอ่ ทาง ราชการมากข้ึน (สุพตั รา, 2540: 126) โดยในส่วนของราษฎรท่ีอาศยั อยใู่ นป่ ามาเป็ นเวลานานแลว้ กใ็ หด้ าํ เนินการใหไ้ ดร้ ับ เอกสารสิทธ์ิท่ีเรียกวา่ สทก. เช่นเดียวกนั แนวทางน้ีจะทาํ ใหไ้ ดป้ ระโยชนท์ างเศรษฐกิจ ขณะเดียวกนั จะช่วยลดความขดั แยง้ ในการใชท้ รัพยากรและปัญหาทางสังคม ซ่ึงถือไดว้ า่ เป็นแนว ทางการจดั การทรัพยากรที่ดิน ป่ าไม้ และน้าํ ไปพร้อมกนั อยา่ งชาญฉลาด จากแนวพระราชดาํ ริในการจดั การทรัพยากรที่ดินดงั ไดก้ ล่าวท้งั 3 ส่วน จึงไดม้ ีการ ดาํ เนินงานในหลาย ๆ ทอ้ งที่กระจายอยทู่ วั่ ประเทศ โดยเฉพาะโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ น้นั แทบทุกโครงการมกั จะมีเรื่องการพฒั นาจดั สรรปรับปรุงบาํ รุงดิน และการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดินให้ เหมาะสมแทรกอยดู่ ว้ ยเสมอ เป็นผลใหเ้ กษตรกรทว่ั ไปมีความรู้ความสามารถในดา้ นการจดั การและ พฒั นาทรัพยากรท่ีดินดว้ ยการปรับปรุงบาํ รุงดินและอนุรักษด์ ินและน้าํ จนทาํ ใหพ้ ้นื ท่ีในหลาย ๆ แห่งเกิดความชุ่มช้ืนและอุดมสมบูรณ์ ทาํ ใหก้ ารผลิตทางการเกษตรมีประสิทธิภาพสูงข้ึน อนั หมายถึงรายไดแ้ ละมาตรฐานความเป็นอยขู่ องเกษตรกรเหล่าน้ียอ่ มดีข้ึนดว้ ย (สาํ นกั งาน กปร., 2531: 96) 4. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดชกบั การจัดการทรัพยากรประมง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงตระหนกั ดีวา่ ประชาชนในชนบท ยงั ขาดสารอาหารโปรตีนซ่ึงจาํ เป็นตอ่ การเจริญเติบโตของร่างกาย และสตั วน์ ้าํ จาํ พวกปลาน้าํ จืดเป็น แหล่งอาหารราคาถูกท่ีใหส้ ารอาหารโปรตีน ประกอบกบั สามารถหาไดใ้ นทอ้ งถิ่นชนบททว่ั ประเทศ จึงทาํ ใหป้ ลาเป็ นอาหารที่สาํ คญั และเป็ นอาหารหลกั ของราษฎรในชนบท แตก่ ารท่ีจาํ นวน ประชากรเพม่ิ ข้ึนอยา่ งรวดเร็วประกอบกบั แหล่งน้าํ ธรรมชาติมีความเสื่อมโทรม ทาํ ใหป้ ริมาณการ ผลิตปลาจากแหล่งน้าํ เหล่าน้ีไม่เพียงพอกบั ความตอ้ งการโดยเฉพาะสาํ หรับประชาชนที่ยากจนใน ชนบท แนวพระราชดาํ ริและพระราชกรณียกิจในดา้ นการจดั การทรัพยากรประมง มีดงั ต่อไปน้ี

135 1. โครงการส่วนพระองคส์ วนจิตรลดา มีบ่อเพาะเล้ียงปลานิล และมีพนั ธุ์ปลา พระราชทาน มีบ่อเพาะพนั ธุ์จาํ นวน 6 บอ่ สามารถผลิตลูกปลานิลพระราชทานในปี พ.ศ.2538 จาํ นวน 42,485 ตวั (สาํ นกั พระราชวงั , 2539:25) พระองคไ์ ดพ้ ระราชทานพนั ธุ์ปลาไปทวั่ ประเทศ บ่อยคร้ังที่ทรงปล่อยปลาลงตามแหล่งน้าํ ตา่ ง ๆ ดว้ ยพระองคเ์ องเพ่ือใหม้ ีทรัพยากรสัตวน์ ้าํ เพม่ิ มาก ข้ึน 2. งานศึกษาวจิ ยั ดา้ นการจดั การทรัพยากรประมงน้าํ จืด พระองคท์ รงโปรดใหม้ ีกิจกรรม การทดลองคน้ ควา้ วจิ ยั ทางดา้ นการประมง ณ ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริท้งั 6 แห่ง โดยทรงเนน้ ใหท้ าํ การศึกษาการพฒั นาดา้ นการประมง ซ่ึงมิใช่การศึกษาวจิ ยั ทางดา้ นวชิ าการ ช้นั สูง แต่ตอ้ งศึกษาในดา้ นวิชาการท่ีจะนาํ ผลมาใชใ้ นทอ้ งท่ีและสามารถปฏิบตั ิไดจ้ ริง เป็นสะพาน เชื่อมโยงระหวา่ งการคน้ ควา้ เชิงวชิ าการช้นั สูงกบั การนาํ ความรู้ท่ีคน้ พบมาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ใน การประกอบอาชีพของประชาชน เพ่อื ให้เกษตรกรทวั่ ไปท่ีไม่มีความรู้มากนกั สามารถนาํ ไปปฏิบตั ิ ได้ พระองคย์ งั ทรงห่วงใยถึงการทาํ ประมงของราษฎรและทรงตระหนกั ถึงความจาํ เป็ นในการ จดั การทรัพยากรประมง จึงโปรดใหม้ ีกิจกรรมการทดลองวจิ ยั ทางดา้ นการจดั การทรัพยากรประมง ณ ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาหว้ ยฮ่องไคร้ฯ โดยใหจ้ ดั ระเบียบในดา้ นการบริหารการจบั ปลาไม่ใหม้ ีการ แก่งแยง่ และเอาเปรียบกนั และไม่ทาํ ลายพนั ธุ์ปลา ทาํ ใหป้ ระชาชนไดป้ ระโยชน์อยา่ งยงั่ ยนื โดยการ จดั ต้งั เป็นกลุ่มและใหป้ ระชาชนมีส่วนร่วมในการจดั การ (สาํ นกั งาน กปร., 2531: 52) 3. งานดา้ นการอนุรักษท์ รัพยากรประมง พระองคท์ รงสนพระราชหฤทยั ในดา้ นการ จดั การทรัพยากรประมง โดยทรงมุง่ มน่ั ในงานดา้ นการฟ้ื นฟูและอนุรักษท์ รัพยากรประมงควบคูไ่ ป กบั โครงการพฒั นาแหล่งน้าํ อนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริซ่ึงกระจายครอบคลุมพ้นื ที่อยา่ งกวา้ งขวาง ทว่ั ประเทศ เช่น โครงการส่งเสริมการเล้ียงปลาในศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาปลวกแดง จงั หวดั ระยอง - ชลบุรี (ทบวงมหาวทิ ยาลยั , 2540: 101-2) ดว้ ยการสงวนพนั ธุ์และเพาะพนั ธุ์สตั วน์ ้าํ พร้อมเร่งรัด ปล่อยพนั ธุ์ปลาชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ปลาโตเร็วที่เหมาะสมในแตล่ ะทอ้ งท่ีลงในแหล่งน้าํ ตา่ ง ๆ เพื่อใหม้ ีสตั วน์ ้าํ ชนิดต่าง ๆ เป็นแหล่งอาหารโปรตีนของประชาชนไวบ้ ริโภคตลอดไป ใน กรณีที่ปลาบางชนิดซ่ึงเป็นปลาท่ีหายากและมีแนวโนม้ วา่ จะมีจาํ นวนลดนอ้ ยลงจนอาจสูญพนั ธุ์ได้ เช่นปลาบึก ซ่ึงเป็นปลาในสกลุ Catfish ที่ใหญท่ ่ีสุดในโลก และมีอยแู่ ตเ่ ฉพาะในแมน่ ้าํ โขงเทา่ น้นั พระองคก์ ็ทรงห่วงใยและทรงใหท้ าํ การคน้ ควา้ หาวธิ ีการที่จะอนุรักษพ์ นั ธุ์ปลาชนิดน้ีไวใ้ หไ้ ด้ พร้อมท้งั ทรงใหก้ าํ ลงั ใจแก่ผคู้ น้ ควา้ ตลอดเวลา จนในท่ีสุดกส็ ามารถผสมเทียมพนั ธุ์ปลาชนิดน้ีได้ สาํ เร็จ (สาํ นกั งาน กปร., 2531: 52) 4. การจดั การทรัพยากรประมงที่เกี่ยวกบั การพฒั นาการเพาะเล้ียงสัตวน์ ้าํ ชายฝ่ัง ไดท้ รง มอบหมายใหห้ น่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งทาํ การศึกษาวจิ ยั ตามแนวพระราชดาํ ริเพ่ือหาแนวทางการ เพาะเล้ียงกุง้ กลุ าดาํ อยา่ งยงั่ ยนื รวมท้งั การใชป้ ระโยชน์ทรัพยากรชายฝั่งแบบอเนกประสงคแ์ ละ เก้ือกลู กนั ณ \"ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาอ่าวคุง้ กระเบน\" จงั หวดั จนั ทบุรี โดยไดม้ ีการพฒั นาพ้นื ท่ีป่ าชาย

136 เลนเสื่อมโทรมเป็นพ้นื ท่ีเพาะเล้ียงกงุ้ กุลาดาํ แบบพฒั นา ผสมผสานกบั การอนุรักษแ์ ละปลูกป่ าชาย เลนทดแทนเพอ่ื ให้เกิดการใชท้ รัพยากรอยา่ งยง่ั ยนื นอกจากน้ีพระองคย์ งั ทรงมีพระราชดาํ ริในการจดั การทรัพยากรชายฝั่งเพอื่ แกไ้ ขปัญหา ส่ิงแวดลอ้ มที่เกิดจากการเพาะเล้ียงกุง้ กลุ าดาํ และความขดั แยง้ ระหวา่ งนาขา้ ว กบั นากุง้ โดยทรง โปรดเกลา้ ฯ ใหจ้ ดั ทาํ \"โครงการพฒั นาพ้นื ท่ีลุ่มน้าํ ปากพนงั \" จงั หวดั นครศรีธรรมราช เพอ่ื ใหม้ ีการ เพาะเล้ียงกุง้ กุลาดาํ โดยไม่ก่อใหเ้ กิดปัญหาดว้ ยการกาํ หนดเขตการเพาะเล้ียงกุง้ กุลาดาํ ใหเ้ ป็น สดั ส่วน และใหม้ ีการสร้างเขื่อนป้องกนั ไม่ใหน้ ้าํ เคม็ เขา้ มาทาํ ความเสียหายใหก้ บั นาขา้ ว และยงั ทรง แนะนาํ ใหม้ ีการบาํ บดั น้าํ เสียจากการเพาะเล้ียงกงุ้ กุลาดาํ ก่อนท่ีจะปล่อยทิ้งลงสู่แหล่งน้าํ รวมท้งั การ จดั ทาํ ระบบชลประทานน้าํ เค็ม และคลองระบายน้าํ เสียแยกจากกนั ในบริเวณโครงการฯ วธิ ีการน้ีทาํ ใหป้ ัญหาสิ่งแวดลอ้ มถูกทาํ ลายจากการเพาะเล้ียงกุง้ กุลาดาํ ลดลง อนั จะนาํ ไปสู่การพฒั นาการ เพาะเล้ียงกุง้ กลุ าดาํ อยา่ งยง่ั ยนื 5. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กบั การจดั การทรัพยากรการผลิต ทางการเกษตรแนวพระราชดาํ ริเกี่ยวกบั การจดั การทรัพยากรการผลิตทางการเกษตรมุง่ ที่จะพฒั นา ประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตรภายใตข้ อ้ จาํ กดั ของสภาพภูมิศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ รวมท้งั ตวั เกษตรกรเองดว้ ย การจดั การทรัพยากรธรรมชาติต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็นป่ าไม้ ที่ดิน แหล่งน้าํ ฯลฯ มุง่ ใหอ้ ยใู่ นสภาพท่ีจะมีผลตอ่ การเพ่มิ ประสิทธิภาพการผลิตใหม้ ากท่ีสุด แนวพระราชดาํ ริที่ สาํ คญั คือ การที่ทรงเนน้ ในเรื่องของ การทดลอง คน้ ควา้ และวจิ ยั หาพนั ธุ์พชื ใหม่ ๆ ท้งั พืช เศรษฐกิจ และพชื เพ่อื การปรับปรุงบาํ รุงดิน รวมถึงพืชสมุนไพร ตลอดจนการศึกษาเกี่ยวกบั การ ป้องกนั และกาํ จดั โรคและแมลงศตั รูพชื และแนวทางการจดั การทรัพยากรระดบั ไร่นา เพื่อแนะนาํ ใหเ้ กษตรกรนาํ ไปปฏิบตั ิได้ ราคาถูกและใชเ้ ทคโนโลยที ่ีง่ายและไม่สลบั ซบั ซอ้ น ซ่ึงเกษตรกรจะ สามารถรับไปดาํ เนินการเองได้ และที่สาํ คญั คือจะตอ้ งเหมาะสมกบั สภาพสังคมและสภาพแวดลอ้ ม ของทอ้ งถิ่นน้นั ๆ ดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามการทาํ ใหเ้ กษตรกรสามารถพ่ึงตนเองไดโ้ ดยเฉพาะในดา้ น อาหารก่อนเป็ นพระราชประสงคอ์ นั ดบั แรก พระราชดาริและพระราชกรณยี กจิ ทส่ี าคัญและสมควรได้รับการกล่าวถึงเกย่ี วกบั การผลติ ทาง การเกษตร ได้แก่ 1. ทฤษฎกี ารพฒั นาการเกษตรแบบ \"พงึ่ ตนเอง\" และ \"เศรษฐกจิ พอเพยี ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดาํ ริในการจดั การ ทรัพยากรระดบั ไร่นาเพ่ือการพฒั นาการเกษตรแบบพ่งี ตนเอง (Self Reliance) มาต้งั แตป่ ี พ.ศ.2517 โดยทรงเนน้ ให้เกษตรกรสามารถพ่ึงตนเองและช่วยเหลือตนเองเป็นหลกั สาํ คญั และมีพระราช ประสงคเ์ ป็นประการแรก คือ การทาํ ใหเ้ กษตรกร สามารถพ่ึงตนเองไดใ้ นดา้ นอาหาร ก่อน เป็ น อนั ดบั แรก เช่น ขา้ ว พืชผกั ผลไม้ ฯลฯ แนวพระราชดาํ ริที่สาํ คญั อีกประการหน่ึง คือ การที่ทรง พยายามเนน้ มิใหเ้ กษตรกรพ่ึงพาอยกู่ บั พชื เกษตรแตเ่ พียงชนิดเดียว เพราะมีความเส่ียงท่ีจะเกิดความ

137 เสียหายสูง เน่ืองจากความแปรปรวนของราคา และความไม่แน่นอน ของธรรมชาติ ทางออกก็คือ นอกจากจะปลูกพชื หลายชนิดแลว้ เกษตรกรควรจะตอ้ งมีรายไดเ้ พม่ิ ข้ึนนอกเหนือไปจากภาค เกษตร เช่น การส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ในสมเดจ็ พระ นางเจา้ สิริกิต์ิพระบรมราชินีนาถ ซ่ึงดาํ เนินงานสนบั สนุนงานของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ใน ปัจจุบนั (สาํ นกั งาน กปร., 2542) 2. ทฤษฎใี หม่ : แนวทางการจัดการท่ีดนิ และนา้ เพ่ือการเกษตรทย่ี ง่ั ยืน ปัญหาการขาดแคลนท่ีดินทาํ กินของเกษตรกร เป็นปัญหาสาํ คญั ยง่ิ ในปัจจุบนั และ การประกอบอาชีพทางการเกษตรโดยเฉพาะในเขตที่ใชน้ ้าํ ฝนทาํ นาเป็ นหลกั เกษตรกรจะมีความ เส่ียงสูง เป็นเหตุให้ผลผลิตขา้ วอยใู่ นระดบั ต่าํ ไมเ่ พยี งพอตอ่ การบริโภค ดว้ ยพระอจั ฉริยะในการ แกป้ ัญหา จึงไดพ้ ระราชทาน \"ทฤษฎีใหม\"่ ใหด้ าํ เนินการในพ้นื ท่ีทาํ กินท่ีมีขนาดเลก็ ประมาณ 15 ไร่ ดว้ ยวธิ ีการจดั การทรัพยากรระดบั ไร่นาอยา่ งเหมาะสม ดว้ ยการจดั สรรการใชป้ ระโยชนใ์ นท่ีดิน โดยใหม้ ีการจดั สร้างแหล่งน้าํ ในที่ดินสาํ หรับการทาํ การเกษตรแบบผสมผสานอยา่ งไดผ้ ล เพือ่ ให้ เกษตรกรสามารถเล้ียงตวั เองได้ ใหม้ ีรายไดไ้ วใ้ ชจ้ า่ ยและมีอาหารไวบ้ ริโภคตลอดปี (กรมวชิ าการ, 2539: 77) ซ่ึงไดด้ าํ เนินการอยา่ งแพร่หลายในปัจจุบนั เพื่อการผลิตทางเกษตรกรรมที่ยง่ั ยนื สาํ หรับ เกษตรกรชาวไทย พระองคไ์ ดท้ รงมีพระราชดาํ รัสวา่ \"…ถึงบอกวา่ เศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎี ใหม่ สองอยา่ งน้ีจะทาํ ความเจริญแก่ประเทศได้ แต่ตอ้ งมีความเพียร แลว้ ตอ้ งอดทน ตอ้ งไม่ใจ ร้อน…\" (สาํ นกั พระราชวงั , 2542: 31) พระองคไ์ ดท้ รงทาํ การศึกษาและวจิ ยั เชิงปฏิบตั ิ เก่ียวกบั ทฤษฎีใหมม่ าเป็นเวลานาน ต้งั แต่ปี พ.ศ.2532 ในพ้นื ท่ีส่วนพระองคข์ นาด 16 ไร่2 งาน23 ตารางวาใกลว้ ดั มงคล ตาํ บลหว้ ยบง อาํ เภอเมือง จงั หวดั สระบุรี และทรงมอบใหม้ ูลนิธิชยั พฒั นาท่ีทรงจดั ต้งั ข้ึนมาเพอื่ เสริมโครงการ ของรัฐ ท้งั น้ีก่อนที่จะทรงนาํ เอกสารออกเผยแพร่อยา่ งเป็ นทางการในปี พ.ศ.2537 น้นั ทรงใหจ้ ดั ต้งั \"ศูนยบ์ ริหารพฒั นา\" ตามแนวพระราชดาํ ริ อยใู่ นความรับผดิ ชอบของมูลนิธิชยั พฒั นา เพอ่ื เป็น ตน้ แบบสาธิตการพฒั นาดา้ นการเกษตรโดยประสานความร่วมมือระหวา่ ง วดั ราษฎรและรัฐ ทาํ การ เผยแพร่อาชีพการเกษตรและจริยธรรมแก่ประชาชนในชนบท โดยทรงหวงั วา่ หากประสบ ความสาํ เร็จก็จะใชเ้ ป็ นแนวทางสาธิตในทอ้ งท่ีอ่ืน ๆ ต่อไป ท้งั น้ีในส่วนของการพฒั นาดา้ น การเกษตรน้นั กค็ ือแนวคิดและมรรควธิ ีท่ีรู้จกั กนั ในนาม \"เกษตรทฤษฎีใหม่\" (อาํ พล,2542: 3-4) พระราชดาํ ริ \"ทฤษฎีใหม\"่ เป็นแนวทางหรือหลกั การในการจดั การทรัพยากรระดบั ไร่ นาคือท่ีดินและน้าํ เพือ่ การเกษตรในท่ีดินขนาดเล็กใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุด ในการดาํ เนินการทฤษฎี ใหม่ ไดพ้ ระราชทานข้นั ตอนดาํ เนินงาน ดงั น้ี ข้นั ที่ 1 ทฤษฎีใหม่ข้นั ตน้ สถานะพ้ืนฐานของเกษตรกร คือ มีพ้ืนท่ีนอ้ ย ค่อนขา้ ง ยากจน อยใู่ นเขตเกษตรน้าํ ฝนเป็นหลกั โดยในข้นั ที่ 1 น้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ สร้างเสถียรภาพของการ ผลิต เสถียรภาพดา้ นอาหารประจาํ วนั ความมน่ั คงของรายได้ ความมน่ั คงของชีวติ และความมนั่ คง

138 ของชุมชนชนบท เป็นเศรษฐกิจพ่งึ ตนเองมากข้ึน มีการจดั สรรพ้ืนท่ีทาํ กินและที่อยูอ่ าศยั ใหแ้ บง่ พ้นื ท่ี ออกเป็น 4 ส่วน ตามอตั ราส่วน 30:30:30:10 ซ่ึงหมายถึง พ้ืนที่ส่วนที่หน่ึงประมาณ 30% ให้ ขดุ สระเกบ็ กกั น้าํ เพอื่ ใชเ้ กบ็ กกั น้าํ ฝนในฤดูฝนและ ใชเ้ สริมการปลูกพชื ในฤดูแลง้ ตลอดจนการ เล้ียงสัตวน์ ้าํ และพืชน้าํ ต่าง ๆ (สามารถเล้ียงปลา ปลูกพืชน้าํ เช่น ผกั บุง้ ผกั กะเฉด ฯ ไดด้ ว้ ย) พ้นื ที่ ส่วนที่สองประมาณ 30% ใหป้ ลูกขา้ วในฤดูฝน เพอ่ื ใชเ้ ป็ นอาหารประจาํ วนั ในครัวเรือนใหเ้ พยี งพอ ตลอดปี เพื่อตดั ค่าใชจ้ า่ ยและสามารถพ่งึ ตนเองได้ พ้ืนท่ีส่วนที่สามประมาณ 30% ใหป้ ลูกไมผ้ ล ไม้ ยนื ตน้ พืชผกั พชื ไร่ พชื สมุนไพร ฯลฯ เพื่อใชเ้ ป็นอาหารประจาํ วนั หากเหลือบริโภคก็นาํ ไป จาํ หน่าย และพ้ืนท่ีส่วนท่ีสี่ประมาณ 10% ใชเ้ ป็นท่ีอยอู่ าศยั เล้ียงสัตว์ และโรงเรือนอ่ืน ๆ (ถนน คนั ดิน กองฟาง ลานตาก กองป๋ ุยหมกั โรงเรือน โรงเพาะเห็ด คอกสตั ว์ ไมด้ อกไมป้ ระดบั พชื ผกั สวน ครัวหลงั บา้ น เป็นตน้ ) ทฤษฎีใหม่ข้นั กา้ วหนา้ เมื่อเกษตรกรเขา้ ใจในหลกั การและไดล้ งมือปฏิบตั ิตามข้นั ท่ี หน่ึงในที่ดินของตนเป็ นระยะเวลาพอสมควรจนไดผ้ ลแลว้ เกษตรกรก็จะพฒั นาตนเองจากข้นั \"พอ อยพู่ อกิน\" ไปสู่ข้นั \"พอมีอนั จะกิน\" เพื่อใหม้ ีผลสมบูรณ์ย่ิงข้ึน จึงควรที่จะตอ้ งดาํ เนินการตามข้นั ที่ สองและข้นั ที่สามตอ่ ไปตามลาํ ดบั (มูลนิธิชยั พฒั นา, 2542) ข้นั ท่ี 2 ทฤษฎีใหมข่ ้นั กลาง เม่ือเกษตรกรเขา้ ใจในหลกั การและไดป้ ฏิบตั ิในท่ีดินของ ตนจนไดผ้ ลแลว้ ก็ตอ้ งเริ่มข้นั ท่ีสอง คือ ใหเ้ กษตรกรรวมพลงั กนั ในรูปกลุ่ม หรือ สหกรณ์ ร่วมแรง ร่วมใจกนั ดาํ เนินการในดา้ น 1. การผลิต เกษตรกรจะตอ้ งร่วมมือในการผลิตโดยเริ่มต้งั แต่ ข้นั เตรียมดิน การหา พนั ธุ์พชื ป๋ ุย การหาน้าํ และอื่น ๆ เพ่ือการเพาะปลูก 2. การตลาด เม่ือมีผลผลิตแลว้ จะตอ้ งเตรียมการต่าง ๆ เพอ่ื การขายผลผลิตใหไ้ ด้ ประโยชน์สูงสุด เช่น การเตรียมลานตากขา้ วร่วมกนั การจดั หายงุ้ รวบรวมขา้ ว เตรียมหาเครื่องสีขา้ ว ตลอดจนการรวมกนั ขายผลผลิตใหไ้ ดร้ าคาดี และลดคา่ ใชจ้ า่ ยลงดว้ ย 3. ความเป็นอยู่ ในขณะเดียวกนั เกษตรกรตอ้ งมีความเป็นอยทู่ ่ีดีพอสมควร โดยมี ปัจจยั พ้นื ฐานในการดาํ รงชีวิต เช่น อาหารการกินตา่ ง ๆ กะปิ น้าํ ปลา เส้ือผา้ ท่ีพอเพียง 4. สวสั ดิการ แต่ละชุมชนควรมีสวสั ดิการและบริการท่ีจาํ เป็ น เช่น มีสถานีอนามยั เม่ือ ยามป่ วยไข้ หรือมีกองทุนไวใ้ หก้ ูย้ มื เพ่อื ประโยชน์ในกิจกรรมต่าง ๆ 5. การศึกษา มีโรงเรียนและชุมชนมีบทบาทในการส่งเสริมการศึกษา เช่น มีกองทุนเพอื่ การศึกษาเล่าเรียนใหแ้ ก่เยาวชนของชุมชนเอง 6. สงั คมและศาสนา ชุมชนควรเป็นศูนยก์ ลางในการพฒั นาสังคมและจิตใจ โดยมี ศาสนาเป็นท่ียดึ เหน่ียว กิจกรรมท้งั หมดดงั กล่าวขา้ งตน้ จะตอ้ งไดร้ ับความร่วมมือจากทุกฝ่ ายท่ีเก่ียวขอ้ ง ไม่วา่ ส่วนราชการ องคก์ รเอกชน ตลอดจนสมาชิกในชุมชนน้นั เป็นสาํ คญั

139 ข้นั ที่ 3 ทฤษฎีใหม่ข้นั กา้ วหนา้ เมื่อดาํ เนินการผา่ นพน้ ข้นั ท่ีสองแลว้ เกษตรกรจะมี รายไดด้ ีข้ึน ฐานะมน่ั คงข้ึน เกษตรกรหรือกลุ่มเกษตรกรก็ควรพฒั นากา้ วหนา้ ไปสู่ข้นั ที่สามตอ่ ไป คือ ติดตอ่ ประสานงาน เพ่ือจดั หาทุน หรือแหล่งเงิน เช่น ธนาคาร หรือบริษทั หา้ งร้านเอกชน มาช่วย ในการทาํ ธุรกิจ การลงทุนและพฒั นาคุณภาพชีวติ ท้งั น้ี ท้งั ฝ่ ายเกษตรกรและฝ่ ายธนาคารกบั บริษทั จะไดร้ ับประโยชน์ร่วมกนั กล่าวคือ เกษตรกรขายขา้ วไดใ้ นราคาสูง (ไมถ่ ูกกดราคา) ธนาคารกบั บริษทั สามารถซ้ือขา้ วบริโภคในราคาต่าํ (ซ้ือขา้ วเปลือกตรงจากเกษตรกร และมาสีเอง)เกษตรกรซ้ือเคร่ืองอุปโภคบริโภคไดใ้ นราคาต่าํ เพราะรวมกนั ซ้ือเป็นจาํ นวนมาก (เป็น ร้านสหกรณ์ ซ้ือในราคาขายส่ง) ธนาคารกบั บริษทั จะสามารถกระจายบุคลากร (เพ่ือไปดาํ เนินการในกิจกรรมต่าง ๆ ใหเ้ กิดผลดียง่ิ ข้ึน) ในปัจจุบนั น้ีไดม้ ีการนาํ เอาเกษตรทฤษฎีใหม่ไปทาํ การทดลองขยายผล ณ ศูนยศ์ ึกษา การพฒั นาและโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ รวมท้งั กรมวชิ าการเกษตรไดด้ าํ เนินการจดั ทาํ แปลงสาธิต จาํ นวน25 แห่งกระจายอยทู่ วั่ ประเทศ นอกจากน้ี กรมพฒั นาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กองบญั ชาการทหารสูงสุด กองทพั ภาค กระทรวงกลาโหม และกระทรวงศึกษาธิการ ไดม้ ีการดาํ เนินงานใหม้ ีการนาํ เอาทฤษฎีใหมน่ ้ีไปใช้ อยา่ งกวา้ งขวางข้ึน 3. เกษตรยง่ั ยืนและระบบเกษตรธรรมชาติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงเนน้ ความสาํ คญั ในการจดั การ ทรัพยากรระดบั ไร่นาในลกั ษณะที่จะมุ่งใชป้ ระโยชน์จากธรรมชาติ ซ่ึงจะมีความสอดคลอ้ งกบั วธิ ีการท่ีสาํ คญั ของพระองคอ์ ีกประการหน่ึงคือ การประหยดั ทรงเนน้ ความจาํ เป็นที่จะลดคา่ ใชจ้ ่าย ในการทาํ มาหากินของเกษตรกรลงใหเ้ หลือนอ้ ยท่ีสุด โดยอาศยั พ่ึงพิงธรรมชาติเป็ นปัจจยั สาํ คญั วธิ ีการของพระองคม์ ีต้งั แต่การสนบั สนุนใหเ้ กษตรกรใชโ้ คกระบือในการทาํ นามากกวา่ การใช้ เครื่องจกั ร ใหม้ ีการปลูกพชื หมุนเวยี น โดยเฉพาะพืชตระกูลถว่ั เพอื่ ลดค่าใชจ้ า่ ยเร่ืองป๋ ุย หรือกรณีท่ี จาํ เป็นตอ้ งใชป้ ๋ ุยกท็ รงสนบั สนุนใหเ้ กษตรกรใชป้ ๋ ุยธรรมชาติแทนป๋ ุยเคมีซ่ึงมีราคาแพง รวมท้งั ให้ หลีกเลี่ยงการใชส้ ารเคมีตา่ ง ๆ ท่ีมีผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม และคุณภาพของดินในระยะยาว ทาํ ให้ ราษฎรอยใู่ นชุมชนและสภาพสิ่งแวดลอ้ มที่ดี และมีฐานะทางเศรษฐกิจท่ีดีข้ึน ซ่ึงเป็นหลกั การ สาํ คญั ของ \"การเกษตรยงั่ ยนื \"(กรมวชิ าการเกษตร,2539: 170-1) ระบบเกษตรยงั่ ยนื ควรมีลกั ษณะการจดั การทรัพยากรการผลิตทางการเกษตรที่ เลียนแบบระบบนิเวศของป่ าธรรมชาติ คือมีความหลากหลายทางชีวภาพ มีกลไกควบคุมตวั เอง มี การพ่งึ พาปัจจยั การผลิตจากภายนอกนอ้ ยที่สุดตามความจาํ เป็น สาํ หรับการป้องกนั และกาํ จดั ศตั รูพืชพยายามลดการใชส้ ารเคมี โดยการใชว้ ธิ ีการจดั การศตั รูพชื แบบผสมผสาน กล่าวคือควรให้

140 ความสาํ คญั กบั ระบบการปลูกพืชท่ีเก้ือกูลกนั เพอ่ื สร้างความสมดุลตามธรรมชาติในระบบ การเกษตร (สุพตั รา, 2540: 76-7) ในปัจจุบนั มีการทดลองวธิ ีการเกษตรยงั่ ยนื ในพ้นื ท่ีศูนยส์ มเด็จพระศรีนครินทราบรม ราชชนนี จงั หวดั เพชรบุรี ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาเขาหินซอ้ นฯ ศูนยศ์ ึกษาการพฒั นาพิกุลทองฯ ศูนย์ ศึกษาการพฒั นาหว้ ยฮ่องไคร้ฯ เป็นตน้ มีกิจกรรมตา่ ง ๆ ที่เป็นไปตามแนวพระราชดาํ ริและ สอดคลอ้ งกบั หลกั การของเกษตรยงั่ ยนื ท่ีสาํ คญั ไดแ้ ก่ ระบบการปลูกพชื หมุนเวยี น ระบบ การเกษตรแบบผสมผสาน ระบบวนเกษตร และระบบเกษตรธรรมชาติ 6. พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกบั การอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม ปัญหาเรื่องสิ่งแวดลอ้ มเป็นปัญหาท่ีมีความสาํ คญั ท่ีมกั จะเกิดควบคู่กบั การพฒั นา เศรษฐกิจและความเจริญกา้ วหนา้ ซ่ึงเป็นปัญหาร่วมกนั ของทุกประเทศ กล่าวคือ การพฒั นายง่ิ รุดหนา้ ปัญหาคุณภาพสิ่งแวดลอ้ มและภาวะมลพิษกย็ ง่ิ ก่อตวั และทวคี วามรุนแรงมากยงิ่ ข้ึน ประเทศ ไทยก็เป็นประเทศหน่ึงท่ีกาํ ลงั ประสบกบั ปัญหาดงั กล่าวอยใู่ นขณะน้ี ท้งั น้ีเพราะการพฒั นา เศรษฐกิจในช่วงท่ีผา่ นมาไดใ้ หค้ วามสาํ คญั กบั ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยการนาํ เอา ทรัพยากรธรรมชาติมาใชป้ ระโยชน์ แต่ไม่ไดม้ ีการวางแผนการจดั การที่เหมาะสมรองรับปัญหาท่ีจะ เกิดข้ึน ทาํ ใหท้ รัพยากรธรรมชาติที่เหลืออยมู่ ีสภาพเส่ือมโทรมลง และปัญหาต่าง ๆ ดา้ น ส่ิงแวดลอ้ มกเ็ พ่ิมข้ึน ปัญหาเหล่าน้ีส่งผลกระทบตอ่ ความเป็นอยขู่ องประชาชนและระบบนิเวศ จึง ทรงใหม้ ีการดาํ เนินโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ ซ่ึงส่วนใหญ่จะเป็นวธิ ีการที่จะทาํ นุบาํ รุง และปรับปรุงสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ใหด้ ีข้ึนในดา้ นต่าง ๆ โดยในดา้ นการแกไ้ ข ปัญหาสิ่งแวดลอ้ มน้นั ทรงเนน้ งานการอนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟูสภาพสิ่งแวดลอ้ ม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ใน เรื่องของปัญหาน้าํ เน่าเสีย พระราชดาํ ริ พระราชกรณียกิจ และโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาํ ริ ดา้ นสิ่งแวดลอ้ มที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ หลกั การ \"น้าํ ดีไล่น้าํ เสีย\" หลกั การบดั น้าํ เสียดว้ ยผกั ตบชวา ทฤษฎี การบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งพืชน้าํ กบั ระบบการเติมอากาศ ทฤษฎีการบาํ บดั น้าํ เสีย ดว้ ยระบบบอ่ บาํ บดั และวชั พืชบาํ บดั และ \"กงั หนั น้าํ ชยั พฒั นา\" ซ่ึงมีสาระโดยสรุปดงั น้ีคือ 1. ทฤษฎี \"น้าํ ดีไล่น้าํ เสีย\" ไดท้ รงนาํ หลกั การบาํ บดั น้าํ เสียโดยการทาํ ใหเ้ จือจางตาม แนวทฤษฎีการพฒั นาอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ \"น้าํ ดีไล่น้าํ เสีย\" โดยใชห้ ลกั การตามธรรมชาติ แห่งแรงโนม้ ถ่วงของโลก เป็ นการใชน้ ้าํ คุณภาพดีมาช่วยบรรเทาน้าํ เน่าเสีย ดงั พระราชดาํ รัส เกี่ยวกบั การใชพ้ ้ืนท่ีในอาํ เภอธญั บุรี เม่ือวนั ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ.2532 \"…แต่ 3,000 ไร่นนั่ มนั อยสู่ ูง จะนาํ น้าํ โสโครกจากที่น่ีไปที่โนน้ ตอ้ งสูบไปไม่ไหว แต่วา่ จะทาํ เป็นบึงใหญ่ท่ีจะเก็บน้าํ ไดส้ าํ หรับ เวลาหนา้ น้าํ มีน้าํ เก็บเอาไว้ หนา้ แลง้ ก็ปล่อยลงมา ส่วนหน่ึงอาจปล่อยลงมาสาํ หรับลา้ งกรุงเทพ ได้ เจือจางน้าํ โสโครกในคลองต่าง ๆ…\" (สาํ นกั งานคณะกรรมการส่ิงแวดลอ้ ม, 2534: 31-2) อีกท้งั ไดพ้ ระราชทานแนวพระราชดาํ ริโดยรับน้าํ จากแมน่ ้าํ เจา้ พระยา ส่งเขา้ ไปตาม

141 คลองตา่ ง ๆ เช่น คลองบางเขน คลองบางซื่อ คลองแสนแสบ คลองเทเวศร์ และคลองบางลาํ ภู เป็น ตน้ โดยกระแสน้าํ จะไหลแผก่ ระจายขยายไปตามคลองซอยที่เช่ือมกบั แม่น้าํ เจา้ พระยาอีกดา้ นหน่ึง ดงั น้นั เมื่อทาํ การปล่อยน้าํ ให้ไหลเวยี นจากปากคลองไปปลายคลองไดอ้ ยา่ งเหมาะสม ก็ยอ่ มจะช่วย เจือจางน้าํ เน่าเสียไดม้ ากโดยเฉพาะในช่วงฤดูแลง้ (สาํ นกั งาน กปร., 2540: 101) 2. การบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยผกั ตบชวา พระองคท์ รงสนพระราชหฤทยั ในการปรับปรุง คุณภาพของแหล่งน้าํ ที่มีอยแู่ ลว้ เช่น บึงและหนองตา่ ง ๆ เพือ่ ทาํ เป็นแหล่งบาํ บดั น้าํ เสีย โดยหน่ึงใน จาํ นวนน้นั ไดแ้ ก่ โครงการบึงมกั กะสนั อนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ มีหลกั การบาํ บดั น้าํ เสีย ตามแนว ทฤษฎีการพฒั นาโดยการกรองน้าํ เสียดว้ ยผกั ตบชวา 3. การบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งพชื น้าํ กบั ระบบเติมอากาศ ดว้ ยทรง ห่วงใยในปัญหาน้าํ เน่าเสียที่เกิดข้ึนในหนองหนองหาน จงั หวดั สกลนคร ซ่ึงเป็นแหล่งรับน้าํ เสีย จากครัวเรือนในเขตเทศบาลเมืองสกลนคร ที่มีสภาพเกินขีดความสามารถในการรองรับของเสีย พระองคท์ รงพระราชทานแนวพระราชดาํ ริ ทฤษฎีการบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยการผสมผสานระหวา่ งพชื น้าํ กบั ระบบการเติมอากาศ ณ บริเวณหนองสนม-หนองหาน จงั หวดั สกลนคร ซ่ึงเป็นการ ผสมผสานระหวา่ งวธิ ีธรรมชาติกบั เทคโนโลยแี บบประหยดั โดยมีกรมประมงร่วมกบั กรม ชลประทานดาํ เนินการศึกษาและก่อสร้างระบบบาํ บดั น้าํ เสียในบริเวณดงั กล่าว โดยมีระบบบาํ บดั ดว้ ยพชื น้าํ ซ่ึงเป็นวธิ ีการบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยวธิ ีธรรมชาติในพ้ืนท่ี 84.5 ไร่ และไดม้ ีการก่อสร้างแลว้ เสร็จเมื่อปี พ.ศ.2537 (สาํ นกั งานคณะกรรมการทรัพยากรน้าํ แห่งชาติ, 2539:222) 4. การบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยระบบบอ่ บาํ บดั และวชั พชื บาํ บดั โครงการวจิ ยั และพฒั นา สิ่งแวดลอ้ มแหลมผกั เบ้ียอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ ตาํ บลแหลมผกั เบ้ีย อาํ เภอบา้ นแหลม จงั หวดั เพชรบุรี พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ทรงตระหนกั ถึงปัญหาภาวะมลพษิ ท่ีมีผลต่อการดาํ รงชีพของ ประชาชน อนั เนื่องมาจากชุมชนเมืองตา่ ง ๆ ยงั ขาดระบบบาํ บดั น้าํ เสียและการกาํ จดั ขยะมูลฝอยท่ีดี และมีประสิทธิภาพ จึงทรงใหม้ ีการดาํ เนินการตามโครงการดงั กล่าวข้ึนในพ้ืนที่ 1,135 ไร่ โดยเป็น โครงการศึกษาวจิ ยั วธิ ีการบาํ บดั น้าํ เสีย กาํ จดั ขยะมูลฝอยและการรักษาสภาพป่ าชายเลนดว้ ยวธิ ี ธรรมชาติ 5. กงั หนั น้าํ ชยั พฒั นา ในปัจจุบนั สภาพมลภาวะทางน้าํ มีความรุนแรงมากยงิ่ ข้ึน จึง จาํ เป็นตอ้ งใชเ้ คร่ืองกลเติมอากาศเพมิ่ ออกซิเจนเพื่อการบาํ บดั น้าํ เสีย พระองคท์ รงสนพระราช หฤทยั เก่ียวกบั อุปกรณ์การเติมอากาศ และทรงคน้ คิดทฤษฎีบาํ บดั น้าํ เสียดว้ ยวธิ ีการเติมอากาศ โดย ใชว้ ธิ ีทาํ ใหอ้ ากาศสามารถละลายลงไปในน้าํ เพื่อเร่งการเจริญเติบโตและการเพาะตวั อยา่ งรวดเร็ว ของแบคทีเรียจนมีจาํ นวนมากพอท่ีจะทาํ ลายส่ิงสกปรกในน้าํ ใหห้ มดสิ้นไปโดยเร็ว ตามแนวทฤษฎี การพฒั นาอนั เนื่องมาจากพระราชดาํ ริ \"กงั หนั น้าํ ชยั พฒั นา\" ซ่ึงเป็นรูปแบบสิ่งประดิษฐท์ ี่เรียบง่าย ประหยดั เพ่ือใชใ้ นการบาํ บดั น้าํ เสียที่เกิดจากแหล่งชุมชนและแหล่งอุตสาหกรรม และไดม้ ีการ นาํ ไปใชง้ านทวั่ ประเทศ (สาํ นกั งานคณะกรรมการทรัพยากรน้าํ แห่งชาติ,2539:218-9)

142 6. การกาํ จดั น้าํ เสียโดยวธิ ีธรรมชาติ ทรงมีพระราชดาํ ริใหท้ าํ การศึกษา ทดลองวจิ ยั ดูวา่ จะใชป้ ลาบางชนิดกาํ จดั น้าํ เสียไดห้ รือไม่ ปลาเหล่าน้ีน่าจะเขา้ ไปกินสารอินทรียใ์ นบริเวณแหล่งน้าํ เสีย ซ่ึงปรากฏวา่ ปลาบางสกลุ มีอวยั วะพิเศษในการหายใจ เช่น ปลากระด่ี ปลาสลิด เหมาะแก่การ เล้ียงในน้าํ เสีย และชอบกินสารอินทรีย์ จึงช่วยลดมลภาวะในแหล่งน้าํ วธิ ีการน้ีสามารถนาํ มาใช้ ประโยชน์ในการกาํ จดั น้าํ เสียได้ ซ่ึงจะมีตน้ ทุนต่าํ และสามารถเพิม่ ผลผลิตสัตวน์ ้าํ ไดอ้ ีกทางหน่ึง (สาํ นกั งาน กปร., 2531: 52) ดว้ ยพระอจั ฉริยภาพและพระปรีชาสามารถในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ ม องคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (The Food and Agriculture Organization : FAO) ไดท้ ูลเกลา้ ฯ ถวายเหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในดา้ นการพฒั นาการเกษตร (Agricola Medal) แด่พระองค์ เม่ือวนั ที่ 6 ธนั วาคม พ.ศ.2538 ในฐานะท่ีทรงบาํ เพญ็ พระราชกรณียกิจอุทิศพระองค์ เพือ่ ประโยชนส์ ุขของปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะผูซ้ ่ึงประกอบอาชีพเพาะปลูก บาํ รุงรักษาน้าํ และ บาํ รุงรักษาป่ า ซ่ึงทรงยดึ หลกั \"สนบั สนุนการพฒั นาแบบยง่ั ยนื เพอ่ื ความมนั่ คงในอนาคต\" เป็นหลกั ปฏิบตั ิ เพือ่ ใหป้ ระจกั ษช์ ดั เจนจากความสาํ เร็จในดา้ นการพฒั นา โดยองคก์ ารฯ สดุดีพระองคว์ า่ ทรง พระปรีชาสามารถเกี่ยวกบั ความยตุ ิธรรมของสังคม ซ่ึงไดป้ รากฏเห็นเป็ นตวั อยา่ งจากนโยบายเรื่อง การแบง่ ที่ดินทาํ กินเพ่อื เกษตรกรและผทู้ าํ นุบาํ รุงรักษาป่ า ทรงวริ ิยะอุตสาหะในเร่ืองการกกั เก็บน้าํ ใหเ้ พยี งพอเพือ่ ประกนั ผลผลิตอาหาร การอนุรักษส์ นั ปันน้าํ และป้องกนั การกดั เซาะผวิ ดิน ทรง สนบั สนุนเผยแพร่การเกษตรสมบูรณ์ ซ่ึงรวบรวมแหล่งน้าํ เพอ่ื การเพาะปลูก และขยายพนั ธุ์สัตวใ์ ห้ เจริญเติบโตข้ึน ตลอดจนการบาํ รุงผวิ ดิน ทรงมีพระอุตสาหะอนั สูงส่งในการสงวนรักษาพนั ธุ์พืช ซ่ึงเป็นสิ่งจาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ต่อมนุษยชาติในการคน้ ควา้ เร่ืองอาหาร ท้งั น้ี เนื่องจากทรงมีสายพระเนตร อนั กวา้ งไกลในการท่ีจะทาํ ใหโ้ ลกปราศจากความหิวโหย และประชาชนมีอาหารเพียงพอตอ่ การ ดาํ รงชีวิต ด้านการแพทย์ ในการเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปทรงเยยี่ มราษฎรตามทอ้ งที่ต่าง ๆ ทุกคร้ัง จะทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีคณะแพทยท์ ี่ประกอบดว้ ย ผูเ้ ชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และ ลว้ นเป็นอาสาสมคั รท้งั สิ้น โดยเสดจ็ พระราชดาํ เนินไปในขบวนอยา่ งใกลช้ ิด พร้อมดว้ ยเวชภณั ฑ์ และเคร่ืองมือแพทยค์ รบครัน พร้อมท่ีจะใหก้ ารรักษาพยาบาลราษฎร ผปู้ ่ วยไขไ้ ดท้ นั ที นอกจากน้นั ยงั มีโครงการทนั ตกรรมพระราชทาน ซ่ึงเป็ นพระราชดาํ ริท่ีใหท้ นั ตแพทย์ อาสาสมคั ร ไดเ้ ดินทางออกไปช่วยเหลือบาํ บดั โรคเก่ียวกบั ฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามยั ของ ปากและฟัน แก่เดก็ นกั เรียนและ ราษฎรท่ีอาศยั อยใู่ นทอ้ งที่ทุรกนั ดาร และห่างไกลจากแพทยท์ วั่ ทุกภาค โดยใหก้ าร บริการรักษาโรคฟัน โดยไมค่ ิดมูลคา่ ในการแพทยเ์ คล่ือนที่

143 สาํ หรับการเสด็จพระราชดาํ เนินทรงเยยี่ มวดั ทุกแห่ง ซ่ึงนบั เป็นศูนยก์ ลางของชุมชนใน ชนบท โดยจะพระราชทานกล่องยาแก่วดั เพื่อพระภิกษุใชเ้ ม่ือเกิดอาพาธ และเพอื่ แจกจ่ายแก่ราษฎร ผปู้ ่ วยเจบ็ ในหมูบ่ า้ นน้นั ๆ ส่วนในการเสด็จพระราชดาํ เนินไปเยยี่ มหน่วยทหาร ตาํ รวจ และ อาสาสมคั ร ท่ีออกไปต้งั ฐานปฏิบตั ิการในทอ้ งท่ีทุรกนั ดาร กจ็ ะพระราชทานสิ่งของท่ีจาํ เป็นตา่ ง ๆ รวมท้งั ยารักษาโรคสาํ หรับใชใ้ นหมูเ่ จา้ หนา้ ที่ และใชใ้ นการรักษาพยาบาล และเพ่ือแจกจ่ายแก่ ราษฎรในทอ้ งท่ีท่ีมาขอความช่วยเหลือ อนั จะทาํ ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีฝ่ ายปราบปราม และประชาชนใน พ้นื ที่ปฏิบตั ิการ ไดม้ ีความเขา้ ใจอนั ดีต่อกนั รู้จกั ช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั ทางดา้ นหน่วยแพทยห์ ลวงท่ีจะตอ้ งตามเสดจ็ พระราชดาํ เนินไป ณ ท่ีประทบั แรมทุก แห่งน้นั จะมีเจา้ หนา้ ที่ใหก้ ารรักษาพยาบาลราษฎร ผมู้ าขอรับการรักษาไม่ตอ้ งเสียค่าใชจ้ า่ ยแต่ ประการใด นอกจากน้นั หน่วยแพทยห์ ลวงยงั จดั เจา้ หนา้ ท่ีออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผปู้ ่ วยเจบ็ ตามหมู่บา้ นที่อยหู่ ่างไกลออกไปอีกดว้ ย โดยไดร้ ับความร่วมมือจากเจา้ หนา้ ท่ีฝ่ ายปกครอง ซ่ึงเป็ นผู้ แนะนาํ สถานที่และร่วมเดินทางไปดว้ ย สาํ หรับราษฎรผเู้ จบ็ ป่ วยรายที่มีอาการหนกั หรือจาํ เป็นที่ จะตอ้ งไดร้ ับการตรวจรักษาเพิม่ เติมน้นั ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯใหข้ า้ ราชบริพารท่ีตามเสด็จ พระราชดาํ เนิน ทาํ การบนั ทึกรายช่ือ อาชีพ ที่อยแู่ ละอาการโดยละเอียด โดยตรวจสอบความถูกตอ้ ง กบั เจา้ หนา้ ท่ีฝ่ ายปกครอง และมีสาํ เนาใหร้ ับทราบเพื่อติดต่อประสานงานต่อไป ในการพิจารณาส่ง ผปู้ ่ วยไปรับการักษาต่อตามความเห็นของแพทยผ์ ทู้ าํ การตรวจ ด้านการศึกษา พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงตระหนกั ดีวา่ การพฒั นาการศึกษา ของเยาวชนน้นั เป็ นพ้นื ฐานอนั สาํ คญั ของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ พระราชทาน พระราชทรัพยจ์ ดั ต้งั มูลนิธิอานนั ทมหิดล ใหเ้ ป็ นทุนสาํ หรับการศึกษาในแขนงวชิ าตา่ ง ๆ เพื่อให้ นกั ศึกษาไดม้ ีทุนออกไปศึกษาหาความรู้ตอ่ ในวชิ าการช้นั สูงในประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีเง่ือนไขขอ้ ผกู พนั แต่ประการใด เพื่อท่ีจะไดน้ าํ ความรู้น้นั ๆ กลบั มาใชพ้ ฒั นาประเทศชาติใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ต่อไป H.M.K picture นอกเหนือไปจากน้ีแลว้ ทรงมีพระราชดาํ ริใหด้ าํ เนินการจดั ทาํ สารานุกรม ไทยสาํ หรับเยาวชนข้ึน สารานุกรมชุดน้ี มีลกั ษณะพเิ ศษท่ีแตกตา่ งจากสารานุกรมชุดอื่น ๆ ท่ีไดเ้ คย จดั พมิ พม์ าแลว้ กล่าวคือ เป็ นสารานุกรมอเนกประสงคท์ ่ีบรรจุเร่ืองราวตา่ ง ๆ ที่เป็ นสาระไวค้ รบทุก แขนงวชิ า โดยจดั แบง่ เน้ือหาของแต่ละเร่ืองออกเป็นสามระดบั เพื่อท่ีจะใหเ้ ยาวชนแตล่ ะรุ่น ตลอดจนผใู้ หญ่ที่มีความสนใจสามารถที่จะศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ไดต้ ามความเหมาะสมของพ้ืน ฐานความรู้ของแต่ละคน โดยมีวทิ ยากรผทู้ รงคุณวฒุ ิในแต่ละสาขาวชิ า การอุทิศเวลาและความรู้ เพ่ือสนองพระราชดาํ ริ โดยร่วมกนั เขียนเร่ืองตา่ ง ๆ ข้ึน แบง่ ออกเป็ น 4 สาขาวชิ า คือวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

144 ทรงก่อต้งั กองทุนนวฤกษ์ ในมูลนิธิช่วยนกั เรียนท่ีขาดแคลน ในพระบรมราชูปถมั ภเ์ พ่ือ ช่วยใหน้ กั เรียนท่ีขาดแคลนทุนทรัพย์ ไดม้ ีโอกาสเขา้ รับการศึกษาในระดบั ประถมศึกษา และระดบั มธั ยมศึกษา ท้งั ยงั พระราชทานพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์ เป็นทุนริเร่ิมในการก่อสร้างโรงเรียน ตามวดั ในชนบท สาํ หรับที่จะสงเคราะห์เดก็ ยากจนและกาํ พร้า ใหไ้ ดม้ ีสถานที่สาํ หรับศึกษาเล่า เรียน โดยอาราธนาพระภิกษุเป็นครูสอนในวชิ าสามญั ต่าง ๆ ท่ีไม่ไดข้ ดั ตอ่ พระธรรมวินยั ตลอดจน ช่วยอบรมศีลธรรมแก่เดก็ นกั เรียน ท้งั น้ี เป็นพระราชประสงคท์ ี่จะใหเ้ ดก็ นกั เรียน ไดเ้ กิด ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งศาสนากบั การศึกษาควบคู่กนั ไป อนั จะทาํ ใหเ้ ยาวชนของชาติ นอกจากจะมี ความรู้ดา้ นวชิ าการแลว้ ยงั จะทาํ ใหม้ ีจิตใจที่ดี ท่ีต้งั มน่ั อยใู่ นศีลธรรม เพ่ือที่จะไดเ้ ป็ นพลเมืองดีของ ประเทศชาติต่อไป ในอนาคต โรงเรียนร่มเกลา้ กเ็ ป็นสถานศึกษาในระดบั มธั ยมศึกษา ในหลายจงั หวดั ท่ีเกิดข้ึนจาก พระราชดาํ ริท่ีจะใหท้ หารออกไปปฏิบตั ิภารกิจในทอ้ งที่ทุรกนั ดาร ไดท้ าํ ประโยชนต์ ่อชุมชน และมี ส่วนช่วยเหลือประชาชนในดา้ นการศึกษาตามโอกาสอนั ควร โดยพระราชทานพระราชทรัพยส์ ่วน พระองค์ ใหท้ หารจดั สร้างโรงเรียนข้ึนในจงั หวดั นครพนม จงั หวดั สกลนคร จงั หวดั นราธิวาส จงั หวดั ปราจีนบุรีและจงั หวดั แมฮ่ อ่ งสอน เป็ นตน้ เพ่ือช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสถานศึกษา สาํ หรับเยาวชน และยงั เป็นการส่งเสริมความเขา้ ใจอนั ดี ระหวา่ งเจา้ หนา้ ท่ีทหารท่ีไปปฏิบตั ิภารกิจ ในพ้ืนที่น้นั ๆ กบั ราษฎรเจา้ ของทอ้ งท่ีอีกโสตหน่ึงดว้ ย ซ่ึงในการดาํ เนินงานจดั สร้างโรงเรียน ทาง ฝ่ ายทหารไดต้ ิดต่อประสานงานกบั เจา้ หนา้ ที่ฝ่ ายปกครอง และฝ่ ายศึกษาธิการ เพ่อื เลือกสถานที่ต้งั โรงเรียนที่เหมาะสมกบั ความจาํ เป็นท่ีสุด ซ่ึงปรากฎวา่ ราษฎรในทอ้ งท่ีท่ีมีการสร้างโรงเรียน ไดพ้ า กนั ร่วมอุทิศแรงกายช่วยในการก่อสร้าง ตลอดจนอุทิศทุนทรัพยส์ มทบเป็นทุนในการจดั ซ้ืออุปกรณ์ ตา่ ง ๆ ท่ีจะนาํ ไปใชใ้ นการก่อสร้างโรงเรียน เพ่ือเป็ นการโดยเสด็จพระราชกุศลดว้ ย และเมื่อการ ก่อสร้างโรงเรียนแลว้ เสร็จ พระองคไ์ ดเ้ สด็จพระราชดาํ เนินไปทรงเปิ ดโรงเรียนเหล่าน้นั พร้อมท้งั พระราชทานนามวา่ โรงเรียนร่มเกลา้ ซ่ึงในปัจจุบนั มีท้งั โรงเรียนระดบั ประถมศึกษา และระดบั มธั ยมศึกษา ด้านความสัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศ โดยท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นประมุขของประเทศ ได้ เสดจ็ พระราชดาํ เนินเยือนประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ท้งั ในทวปี เอเชีย ทวปี ยโุ รป และทวปี อเมริกาเหนือ เพ่ือเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหวา่ งประเทศไทย กบั บรรดามิตรประเทศ เหล่าน้นั ที่มีความสัมพนั ธ์อนั ดีอยแู่ ลว้ ใหม้ ีความสัมพนั ธ์แน่นแฟ้นยง่ิ ข้ึน ทรงนาํ ความปรารถนาดี ของประชาชนชาวไทย ไปยงั ประเทศต่าง ๆ น้นั ดว้ ย ทาํ ให้ประเทศไทยเป็นท่ีรู้จกั กนั อยา่ งกวา้ งไกล มากยง่ิ ข้ึน นบั วา่ เป็นประโยชนต์ ่อประเทศไทยอยา่ งมหาศาล และประเทศต่าง ๆ ท่ีเสด็จพระราช ดาํ เนินไปทรงเจริญทางพระราชไมตรีน้นั มีดงั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook