Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

Published by nutthar.n, 2021-11-07 09:40:41

Description: คู่มือรายวิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย-ม.ปลาย

Search

Read the Text Version

45 ข้นั ที่ 4 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ข้นั ท่ี 5 ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

46 กจิ กรรมท้ายบท คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนดูภาพหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ท่ีกาํ หนดให้ แลว้ บอกช่ือและจาํ แนกกลุ่ม หลกั ฐาน ทางประวตั ิศาสตร์ และสรุปความรู้ที่ได้ รูปที่ 1 รูปท่ี 2 รูปที่ 3 ........................ รูปท่ี 4 รูปที่ 5 รูปที่ 6 รูปท่ี 7 รูปที่ 8 รูปท่ี 9..........................

47 จาแนกกล่มุ หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ ผู้เรียนได้ประโยชน์อะไรจากการศึกษาวธิ ีการทางประวตั ศิ าสตร์

48 ประเด็นสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ไทย สาระสาคญั ศึกษาเก่ียวกบั การแนวความคิดเกี่ยวกบั ความเป็ นมาของชนชาติไทย ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการ สถาปนาอาณาจกั รไทย บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยไ์ ทย ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั 1. อธิบายความสาํ คญั ประเด็นสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย 2. ตระหนกั เห็นคุณคา่ ถึงความสาํ คญั ประเด็นสาํ คญั ทางประวตั ิศาสตร์ไทย ขอบข่ายเนื้อหา 1. แนวความคิดเกี่ยวกบั ความเป็นมาของชนชาติไทย 2. ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รไทย 3. บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยไ์ ทย กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาจากคูม่ ือเรียน 2. ทาํ กิจกรรมทา้ ยบท 3. ศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ สื่อการประกอบการเรียนรู้ 1. คูม่ ือเรียน 2. กิจกรรมทา้ ยบท 3. แหล่งเรียนรู้ ประเมินผล 1. ประเมินผลจากการทาํ กิจกรรมทา้ ยบท 2. ประเมินผลจากการบนั ทึกการเรียนรู้ 3. ประเมินผลจากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน

49 บทที่ 3 ประเด็นสาคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ไทย เรื่องที่ 1 แนวคดิ เกย่ี วกบั ความเป็ นมาของชนชาตไิ ทย แนวคดิ เกย่ี วกบั ถิ่นเดิมของชนชาติไทย ปัจจุบนั การศึกษาเกี่ยวกบั ที่มาของชนชาติไทยยงั คงเป็นประเด็นถกเถียงกนั อยู่ และยงั ไม่มี ขอ้ สรุปที่แน่นอนวา่ ถ่ินเดิมของชนชาติไทยอยทู่ ี่ไหนกนั แน่ แต่มีแนวคิดเกี่ยวกบั เรื่องน้ีอยู่ 5 แนวคิด และควรระลึกเสมอวา่ ผลสรุปของการศึกษาถ่ินเดิมของชนชาติไทยอาจเปลี่ยนแปลงหรือ แกไ้ ขได้ หากมีการคน้ พบหลกั ฐานใหม่ ๆ ที่น่าเชื่อถือ แนวคิดเกี่ยวกบั ถิ่นเดิมของชนชาติไทยของนกั วชิ าการท้งั ไทยและต่างชาติ มีรายละเอียด ดงั น้ี 1. แนวคดิ ถ่นิ เดิมของชนชาติไทยอย่ใู นบริเวณตอนกลางของจีน น้ีเช่ือวา่ ถ่ินเดิมของชนชาติไทยอยใู่ นบริเวณท่ีปัจจุบนั เป็ นมณฑลซ่ือชวน ฉ่านซี หูเป่ ย์ อานฮุย หูหนาน เจียงซี แลว้ จึงอพยพมาทางตอนใตข้ องจีน และคอ่ ยอพยพลงมาสูคาบสมุทรอินโอ จีนและประเทศไทย ศาสตราจารยแ์ ตเรียง เดอ ลาคูเปอรี ( Terrien de Lacouperie ) เป็นผรู้ ิเริ่ม แนวคิดน้ี นกั วชิ าการไทยหลายทา่ นสนบั สนุน ไดแ้ ก่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดาํ รงรา ชานุภาพ หลวงวจิ ิตรวาทการ (กิมเหลียง วฒั นปฤดา)บริหารเทพธานี และพระยาอนุมานราชธน (ยง เสถียรโกเศศ ) หลักฐานท่ีใช้ในแนวคิดน้ีมาจากหลักฐาน 3 แหล่งด้วยกัน ได้แก่ หลักฐานประเภท ภาษาศาสตร์ ความคลา้ ยคลึงกนั ดา้ นภาษา หลกั ฐานเอกสารจีน ที่นกั วิชาการตีความว่า ชนชาติท่ี ปรากฏในเอกสารจีนน่าจะเป็ นชนชาติไทย แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบนั นักวิชาการส่วนใหญ่ไม่ ยอมรับแนวคิดดงั กล่าวน้ีเน่ืองจาก - พ้ืนฐานทฤษฎีมาจากการตีความภาษาในเอกสารจีนร่วมกบั หลกั ฐานทางดา้ นภาษาและ ความคล้ายคลึงของวฒั นธรรม แต่ว่ามีเหตุผลน้อยเกินไปในด้านความคล้ายของภาษา และ ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นสิ่งที่สามารถถ่ายทอดกนั ระหวา่ งกลุ่มชนได้ - จากการคน้ พบทางโบราณคดีท่ีหมู่บา้ นซานซิงตุย มณฑลซื่อชน พ.ศ. 2519 พบ ประติมากรรมสําริดขนาดใหญ่จํานวนมากมีท้ังรูปคน ศีรษะและหน้าคน หล่อสําริดหลาย ขนาด เป็ นของปลายสมยั ราชวงศช์ าง ลว้ นแต่มีรูปร่างสัณฐานและใชเ้ ครื่องนุ่งห่มต่างจากชนชาติ ไทย จึงเป็นหลกั ฐานยนื ยนั วา่ มิไดม้ ีถ่ินเดิมอยใู่ นบริเวณน้ี

50 2. แนวคิดชนชาติไทยเป็ นเชื้อสายมองโกล มถี ิ่นเดิมอยู่แถบเทือกเขาอลั ไต แนวคิดน้ีเชื่อวา่ ชนชาติไทยมีเช้ือสายมองโกล เป็นชาติที่มีความเก่าแก่และเจริญรุ่งเรืองมา ก่อนจีน ถิ่นเดิมน่าจะอยูใ่ นเขตอบอุ่นเหนือ ต่อมาไดเ้ คล่ือนยา้ ยมาสู่ประเทศจีนและต้งั อาณาจกั ร ของตนข้ึนมาเรียกวา่ อาณาจกั รอา้ ยลาว จีนเรียกตา้ มุง เมื่อประมาณ 1,700 ปี ก่อนพุทธศกั ราช ต่อมา เม่ือชาวจีนมีความเขม้ แขง็ ไดข้ ยายอิทธิพลเขา้ ไปในถ่ินของชาวไทยและแยง่ ชิงพ้ืนที่ทาํ มาหากิน ทาํ ให้ชาวไทยอพยพไปหาท่ีทาํ กินแหล่งใหม่เม่ือประมาณ 60 ปี ก่อนพุทธศกั ราช โดยอพยพลงไปสู่ ทางใตข้ องจีน ตอ่ มาไดม้ ีการขยายแนวคิดออกไป โดยนกั ประวตั ิศาสตร์รุ่นตอ่ มา ดร.วลิ เลียม คลิฟตนั ดอดด์ ( William Clifton Dodd ) เป็นผรู้ ิเร่ิมแนวคิดน้ี มีนกั ประวตั ิศาสตร์รุ่นหลงั ไดย้ นื ยนั และขยายแนวคิด เช่น ขนุ วจิ ิตรมาตรา ( รองอาํ มาตย์ โท สง่า กาญจนาคพนั ธ์ ) หลกั ฐานท่ีใช้ในแนวคิดน้ีมีที่มาจากหลกั ฐาน เอกสารของจีน พิจารณาความคลา้ ยคลึง ดา้ นภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี วา่ มีความคลา้ ยคลึงกนั ระหว่างชนกลุ่มนอ้ ยในไทยกบั จีน หลกั ฐานทางดา้ นภาษาจากการตีความคาํ บางคาํ ในทอ้ งถ่ิน ปัจจุบนั นกั วชิ าการตา่ งปฏิเสธแนวคิดน้ี เพราะมีเหตุผลและหลกั ฐานคดั คา้ นหลายประการ เช่น - ที่นกั วชิ าการไทยบางท่านเห็นวา่ ไต ช่ือเทือกเขาอลั ไตเป็ นภาษาไทย หมายถึงไท น้นั ศาสตราจารยเ์ ฉินหลว่ีฟ่ าน แยง้ ว่า อลั ไตเป็ นภาษาทูเจของเผา่ เช้ือสายตุรกีในจีน แปลว่า ทองคาํ ท้งั น้ีเพราะเทือกเขาอลั ไตอุดมไปดว้ ยแร่ทองคาํ มิไดเ้ ก่ียวขอ้ งกบั คาํ วา่ ไท แต่อยา่ งใด - สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของเทือกเขาอลั ไตเป็นทุง่ หญา้ เหมาะแก่การเล้ียงสัตว์ ไมเ่ หมาะกบั การดาํ รงชีพของชนชาติไทย - พบภาพเขียนสีที่หนา้ ผาทางดา้ นใตข้ องเทือกเขาอลั ไตเป็ นภาพสัตวต์ ่าง ๆ ภาพคนข่ีมา้ ล่า สัตว์ ภาพการเล้ียงปศุสัตว์ ภาพการฟ้อนรํา แสดงให้เห็นความเป็ นอยู่และวฒั นธรรมของกลุ่มชน เร่ร่อน มิใช่วฒั นธรรมของไทย - การอพยพจากเทือกเขาอลั ไตตอ้ งเดินทางไกลมาก ผ่านทะเลทรายกวา้ งใหญ่ทุรกนั ดาร จึงไม่น่าเป็นไปได้ หรือถา้ เป็นไปไดก้ ค็ งจะเหลือผรู้ อดชีวติ ไม่มากนกั 3. แนวคดิ ถิน่ เดิมของชนชาตไิ ทยอยู่บริเวณตอนใต้ของจีน แนวคิดน้ีเช่ือวา่ ถิ่นเดิมของชนชาติไทยอยบู่ ริเวณซ่ึงปัจจุบนั เป็นมณฑลหยนุ หนาน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และมณฑลกว่างตงของจีน ตอนเหนือเวียดนาม รัฐชานของ พม่า และรัฐอสั สัมของอินเดีย อาร์ซิยอลด์ รอสส์ คอนคูน ( Archibale Ross Colqhoun ) เป็ นผู้ เสนอแนวคิดน้ี ใน พ.ศ. 2426

51 แนวคิดน้ีไดร้ ับการยอมรับสืบต่อมาในหมู่นกั วิชาการไทยและต่างประเทศ เช่น พระยา ประชากิจกรจกั รพนั ตรีเอช. อาร์. เดวีส์ ( H. R. Davies ) วิลเฮล์ม เครดเนอร์ (Wilhelm Credner ) ศาสตราจารยว์ ลิ เลียม เจ เกดนีย์ ( William J. Gedney ) ศาสตราจารยข์ จร สุขพานิช รวมท้งั นกั วชิ าการจีน เช่น ศาสตราจารยเ์ จียงอิง้ เหลียง และศาสตราจารยเ์ ฉินหลวฟี่ ่ าน หลักฐานท่ีสําคญั ซ่ึงเป็ นพ้ืนฐานของแนวคิดน้ี คือ หลักฐานทางด้านมานุษยวิทยากับ หลกั ฐานทางดา้ นภาษาศาสตร์ เป็ นหลกั ฐานที่ไดม้ าจากการศึกษาการต้งั ถิ่นฐาน วถิ ีการดาํ รงชีวิต ในกลุ่มชนที่พูดภาษาตระกูลไทย พบวา่ ชนกลุ่มน้ีต้งั ถ่ินฐานกระจายเป็ นบริเวณกวา้ งทางตอนใต้ ของจีน ลกั ษณะวฒั นธรรมชนชาติไทยจะสมั พนั ธ์กนั สรุปไดว้ า่ แนวคิดน้ีเป็ นแนวคิดท่ีเป็ นท่ีมีหลกั ฐานทางโบราณคดี ประวตั ิศาสตร์ นิรุกติ ศาสตร์ สนบั สนุน จึงเป็นแนวคิดที่เป็นที่ยอมรับมากที่สุดร่วมกนั ในหมูน่ กั วชิ าการ 4. แนวคิดถิ่นเดิมของชนชาตไิ ทยอย่ใู นคาบสมุทรมลายูและหมูเกาะอนิ โดนีเซีย แนวคิดน้ีเชื่อวา่ คนไทยมีเช้ือสายมลายู มีถิ่นกาํ เนิดในบริเวณหมู่เกาะอินโดนีเซีย ต่อมา อพยพมาทางเหนือยงั ประเทศไทย และข้ึนไปถึงมณฑลหยนุ หนาน รูธ เบเนดิกต์ ( Ruth Benedict ) เป็ นผูเ้ สนอแนวคิดน้ีใน พ.ศ. 2485 มีนกั วิชาการไทยสนบั สนุน คือ นายแพทยส์ มศกั ด์ิ พนั ธุ์สม บุญ หลกั ฐานที่สนบั สนุนแนวคิดน้ี คือ ขอ้ มูลทางดา้ นมานุษยวิทยา หลกั ฐานทางการแพทย์ ดา้ นพนั ธุศาสตร์ การตรวจสอบกลุ่มเลือดและรหสั พนั ธุกรรม แนวคิดน้ีไม่เป็ นท่ียอมรับ โดยมีเหตุผลและหลักฐานโต้แย้งคือ ไม่มีหลักฐานทาง ภาษาศาสตร์และประวตั ิศาสตร์สนบั สนุน อีกท้งั ขดั กบั หลกั ที่วา่ วฒั นธรรมยอ่ มเคลื่อนยา้ ยจากตน้ น้าํ ทางเหนือลงไปทางใต้ ส่วนเร่ืองหมู่เลือดไดใ้ ช้วิธีการท่ีทนั สมยั ตรวจสอบพบวา่ กลุ่มไทยดาํ และผไู้ ทยชนท่ีพูดภาษากลุ่มตระกูลไทในเวยี ดนาม มีหมู่เลือดใกลเ้ คียงกบั คนจีน ไม่ใกลเ้ คียงกบั คนมาเลเซียและคนเขมร 5. แนวคดิ ถนิ่ เดมิ ของชนชาติไทยอย่ใู นประเทศไทยปัจจุบัน แนวคิดน้ีเช่ือวา่ ถ่ินเดิมของชนชาติไทยอยใู่ นประเทศไทย ดร.ควอริตซ์ เวลส์ ( Quaritch Wales ) เป็ นผูร้ ิเร่ิมแนวคิดน้ี มีผเู้ ช่ียวชาญดา้ นกายวิภาค ศ า ส ต ร์ ใ ห้ก า ร ส นับ ส นุ น คื อ น า ย แ พ ท ย์สุ ด แ ส ง วิเ ชี ย ร น อ ก จ า ก น้ัน ยัง มี นกั วชิ าการ คือ ศรีศกั ร วลั ลิโภดม และสุจิตต์ วงษเ์ ทศ พ้ืนฐานขอ้ มูลแนวคิดน้ี มาจากการตีความหลกั ฐานทางโบราณคดี และหลกั ฐานทาง ประวตั ิศาสตร์ หลกั ฐานทางโบราณคดี ไดแ้ ก่ เคร่ืองมือเครื่องใชใ้ นการดาํ รงชีพสมยั ต่าง ๆ โครง กระดูก ร่องรอยชุมชนที่มีหลกั ฐานแสดงกิจกรรมต่าง ๆ ในอดีต โบราณสถาน โบราณวตั ถุท้งั สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์และสมยั ประวตั ิศาสตร์

52 อย่างไรก็ตาม แนวคิดน้ีถูกคดั คา้ นโดยนกั วิชาการบางท่าน เช่น ศาสตราจารยห์ ม่อมเจา้ สุทรดิศ ดิศกุล ทรงมีความเห็นว่า โครงกระดูกมนุษยอ์ าจแบ่งได้ 3 แบบ คือ คนผวิ ขาว คนผิว ดาํ และคนผิวเหลือง เม่ือทราบวา่ โครงกระดูกที่ขุดพบท่ีบา้ นเก่า เป็ นโครงกระดูกคนผิวเหลือง แลว้ ถา้ จะพิสูจนว์ า่ เป็นคนไทยกต็ อ้ งพิสูจน์ใหไ้ ดว้ า่ ไม่ใช่คนชาติผิวเหลืองอ่ืน ๆ จึงจะลงความเห็น เป็ นเช่นน้นั ได้ นอกจากน้ียงั ทรงเช่ือวา่ คงมีคนไทยมาอยใู่ นประเทศไทยปัจจุบนั นานแลว้ แต่เป็ น กลุ่มของชนกลุ่มนอ้ ย ต่อมาคนไทยค่อย ๆ เพ่ิมมากข้ึน โดยอพยพจากภาคตะวนั ออกเฉียงใตข้ อง จีนตามหลกั ดา้ นภาษาศาสตร์

53 เรื่องที่ 2 ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการสถาปนาอาณาจักรไทย การสถาปนาอาณาจกั รไทยท้งั กรุงสุโขทยั กรุงศรีอยธุ ยากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ลว้ นเกิดจากปัจจยั ที่แตกต่างกนั โดยปัจจยั หลกั ๆ ไดแ้ ก่ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ปัจจยั ทางการเมืองและ ประวตั ิศาสตร์ 1. กรุงสุโขทัย (พ.ศ. 1792 - 2006) ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการสถาปนากรุงสุโขทยั ไดแ้ ก่ 1) ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ การเลือกท่ีต้งั เมืองหลวงในอดีตส่วนใหญม่ กั ใกลแ้ มน่ ้าํ แตเ่ มือง สุโขทยั ไม่ไดต้ ้งั อยรู่ ิมน้าํ เพราะแมน่ ้าํ ยมอยหู่ ่างจากตวั เมืองสุโขทยั ไปประมาณ 13 กิโลเมตรการ เลือกต้งั เมืองหลวงที่สุโขทยั คงเป็นเพราะสุโขทยั เป็นเมืองสาํ คญั มาแต่เดิมนอกจากน้ีการที่สุโขทยั ยงั ต้งั อยทู่ า่ มกลางเทือกเขาถนนธงชยั เทือกเขาตะนาวศรีและเทือกเขาเพชรบูรณ์ทาํ ใหอ้ ากาศไม่ร้อน มากจนเกินไปและมีลมมรสุมพดั ผา่ นจึงทาํ ใหม้ ีฝนตกชุกรวมท้งั มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ 2) ปัจจยั ทางการเมืองและประวตั ิศาสตร์ ก่อนการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั น้นั ในเขต สุโขทยั และศรีสชั นาลยั มีชุมชนท่ีมีผนู้ าํ ไทยอยกู่ ่อนแลว้ เช่นพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถุมเจา้ เมืองเชลียง พอ่ ขนุ ผาเมืองเจา้ เมืองราดโอรสของพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถุม และพอ่ ขนุ บางกลางหาวเจา้ เมืองบางยาง (ต่อมาคือพอ่ ขุนศรีอินทราทิตย)์ ต่อมาเม่ือพ่อขนุ ศรีนาวนาํ ถุมสิ้นพระชนมล์ งขอมสบาดโขลญลาํ พง ซ่ึงอาจเป็นขนุ นางเขมรไดเ้ ขา้ ยดึ เมืองศรีสชั นาลยั สุโขทยั พอ่ ขนุ ผาเมืองและพอ่ ขนุ บางกลาง หาวไดท้ รงช่วยกนั ต่อสู้ขบั ไล่ขอมสบาดโขลญลาํ พง และพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยส์ ถาปนาอาณาจกั ร สุโขทยั ข้ึนมากล่าวไดว้ า่ บริเวณสุโขทยั มีพฒั นาการทางการเมืองมานานแลว้ ก่อนมีการสถาปนา อาณาจกั รดงั พบโบราณสถานท่ีมีอิทธิพลเขมรซ่ึงสร้างก่อนต้งั กรุงสุโขทยั เช่นศาลตาผาแดงพระ ปรางคว์ ดั ศรีสวายและวดั พระพายหลวงเป็นตน้ การสถาปนากรุงสุโขทยั อาณาจกั รสุโขทยั เป็นอาณาจกั รของคนไทยที่ไดร้ ับการสถาปนาข้ึนใน พ.ศ. 1792 ก่อน หนา้ ท่ีจะมีการสถาปนาอาณาจกั รสุโขทยั ข้ึนมาน้นั สุโขทยั เป็นเมืองเก่าแก่ท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองมา ก่อน จากการตีความในศิลาจารึกหลกั ท่ี 2 (วดั ศรีชุม) พอจะสรุปความไดว้ า่ เมืองสุโขทยั แต่เดิมมี ผนู้ าํ คนไทยช่ือ พอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถุม เป็นเจา้ เมืองปกครองอยู่ เมื่อพระองคส์ ิ้นพระชนม์ ขอมส บาดโขลญลาํ พง ขนุ นางขอมไดน้ าํ กาํ ลงั เขา้ ยดึ กรุงสุโขทยั ไวไ้ ด้ พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ เมื่อพวกขอม เร่ิมเส่ือมอาํ นาจลง ในปี พ.ศ. 1780 ไดม้ ีผนู้ าํ 2 ทา่ น คือ พอ่ ขนุ บางกลางหาว และพอ่ ขนุ ผา เมือง ซ่ึงเป็นผนู้ าํ คนไทยไดร้ ่วมมือกนั รวบรวมกาํ ลงั เขา้ ขบั ไล่ขอมออกจากดินแดนแถบน้ีและต้งั ตนเป็ น อิสระ พร้อมกบั สถาปนากรุงสุโขทยั เป็ นราชธานีของอาณาจกั รไทย และไดส้ ถาปนาพอ่ ขนุ บางกลางหาวข้ึนเป็นกษตั ริยป์ กครองกรุงสุโขทยั ทรงพระนามวา่ พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยน์ บั เป็น

54 ปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศส์ ุโขทยั หรือราชวงศพ์ ระร่วง นบั ต้งั แต่ พ.ศ.1792 เป็นตน้ มา ปัจจัยทเ่ี อือ้ ต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทยั เป็ นราชธานี มีดงั นี้ 1. ปัจจยั ภายใน ไดแ้ ก่ การมีขวญั และกาํ ลงั ใจดีของประชาชนเนื่องจากมีผนู้ าํ ท่ีเขม้ แขง็ และมีความสามารถ การมีนิสัยรักอิสระ ไมช่ อบใหผ้ ใู้ ดมากดขี่ข่มเหง บงั คบั และบา้ นเมืองมีความ อุดมสมบูรณ์ 2. ปัจจยั ภายนอก ไดแ้ ก่ การเส่ือมอาํ นาจของขอมหลงั จากท่ีพระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7 สิ้นพระชนมล์ ง กษตั ริยอ์ งคต์ อ่ มาไม่สามารถรักษาอาํ นาจของตนในดินแดนท่ียดึ ครองมาได้ ทาํ ให้ หวั เมืองตา่ งๆพากนั ต้งั ตนเป็ นอิสระ ระยะเริ่มตน้ ของการสถาปนากรุงสุโขทยั เป็นราชธานี โดยเฉพาะในสมยั พอ่ ขนุ ศรีอินทรา ทิตยบ์ า้ นเมืองยงั ไม่มนั่ คงมากนกั คนไทยยงั อยกู่ นั อยา่ งกระจดั กระจาย บางเมืองยงั คงมีอิสระใน การปกครองตนเอง ไม่มีการรวมอาํ นาจไว้ ณ ศูนยก์ ลางเมืองใดเมืองหน่ึงโดยตรง บางคร้ังจึงมีการ ทาํ สงครามกนั เพ่ือแยง่ ชิงอาํ นาจและขยายอาณาเขตของเมือง เช่น ขนุ สามชนเจา้ เมืองฉอดไดย้ ก ทพั มาตีเมืองตาก เม่ือสิ้นรัชสมยั ของพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ พระราชโอรสองคใ์ หญ่ คือ พอ่ ขนุ บาน เมือง ไดข้ ้ึนครองราชย์ สมยั น้ีสุโขทยั ไดข้ ยายอาํ นาจทางการเมืองดว้ ยการทาํ สงครามกบั หวั เมืองต่าง ๆ โดยมีพระ อนุชาคือ พระรามคาํ แหง เป็นกาํ ลงั สาํ คญั ซ่ึงตอ่ มาพระองคไ์ ดข้ ้ึนครองราชยส์ ืบต่อจากพอ่ ขนุ บานเมือง พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหง พระองคท์ รงเป็ นแมท่ พั ไปปราบ เมืองตา่ ง ๆ จนเป็นท่ีเกรงขามของอาณาจกั รอ่ืน ๆ ดงั น้นั เม่ือพระองคข์ ้ึนครองราชยจ์ ึงมีหลายเมือง ที่ยอมอ่อนนอ้ มเขา้ รวมอยกู่ บั อาณาจกั รสุโขทยั โดยพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชมิไดส้ ่งกองทพั ไป รบ ทาํ ใหอ้ าณาจกั รสุโขทยั มีอาณาเขตแผข่ ยายออกไปกวา้ งขวาง ดงั ปรากฏในศิลาจารึกหลกั ที่ 1 ดงั น้ี ทิศเหนือ ครอบคลุมเมืองแพร่ น่าน พลวั จนถึงเมืองหลวงพระบาง ทิศใต้ ครอบคลุมเมืองคณฑี (กาํ แพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค)์ แพรก(ชยั นาท) สุพรรณบุรี ราชบุรี นครศรีธรรมราช จนถึงแหลมมลายู ทิศตะวนั ออก ครอบคลุมเมืองสระหลวงสองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย(หล่มเก่า) สระคา และขา้ มฝ่ังแม่น้าํ โขงไปถึงเมืองเวยี งจนั ทนแ์ ละเวยี งคาํ ทิศตะวนั ตก ครอบคลุมเมืองฉอด หงสาวดี จนถึงชายฝ่ังทะเลดา้ นอา่ วเบงกอล ขณะเดียวกนั พอ่ ขุนรามคาํ แหงมหาราชทรงใชห้ ลกั ธรรมในการปกครองเพื่อใหป้ ระชาชน ไดอ้ ยเู่ ยน็ เป็ นสุข ดว้ ยเหตุน้ีจึงทาํ ใหเ้ จา้ เมืองตา่ ง ๆ เหล่าน้ีสาํ นึกในพระมหากรุณาธิคุณ ทาํ ให้ สุโขทยั ปราศจากขา้ ศึกศตั รูในทุกทิศ นบั ไดว้ า่ ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช เป็นช่วงสมยั ท่ี อาณาจกั รสุโขทยั มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดหลงั จากสิ้นรัชสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช มีกษตั ริย์

55 ข้ึนครองราชยอ์ ีก 2 พระองค์ คือ พญาเลอไทย และพญางว่ั นาํ ถม แตอ่ าณาจกั รสุโขทยั ก็เร่ิมเสื่อม อาํ นาจลง บรรดาเมืองตา่ ง ๆที่อยภู่ ายใตก้ ารปกครองของสุโขทยั ไดแ้ ยกตวั เป็นอิสระและเมือง ประเทศราชท่ีมีกาํ ลงั เขม้ แขง็ ต่างพากนั แยกตวั ไม่ข้ึนตอ่ กรุงสุโขทยั เช่น เมืองพงสาวดีเมือง นครศรีธรรมราช เป็นตน้ นอกจากน้ีในตอนปลายรัชสมยั พญางวั่ นาํ ถมยงั เกิดจลาจลข้ึน อีก เน่ืองจากมีการแยง่ ชิงราชสมบตั ิจนพญาลิไทยเจา้ เมืองศรีสชั นาลยั ตอ้ งยกกาํ ลงั มาปราบ ทาํ ให้ บา้ นเมืองสงบลงหลงั ทรงปราบจลาจลในกรุงสุโขทยั ไดส้ าํ เร็จ พญาลิไทยไดป้ ราบดาภิเษกข้ึนเป็น กษตั ริยค์ รองราชสมบตั ิ ทรงพระนามวา่ พระมหาธรรมราชาท่ี 1 พระองคท์ รงพยายามสร้างอาํ นาจทางการเมือง เพื่อพฒั นา บา้ นเมืองให้เขม้ แขง็ มาใหม่ อยา่ งไรก็ตามอาณาเขตของอาณาจกั รสุโขทยั ในรัชสมยั พระมหาธรรม ราชาท่ี 1 กไ็ ดล้ ดลงไปมากกวา่ คร่ึงเม่ือเทียบกบั สมยั พอ่ ขุนรามคาํ แหงมหาราช ต่อมาเม่ือสิ้นรัช สมยั ของพระมหาธรรมราชาท่ี 1 แลว้ มีพระมหากษตั ริยข์ ้ึนครองราชยส์ ืบต่อมาอีก 3 พระองค์ คือ พระมหาธรรมราชาท่ี 2 พระมหาธรรมราชาท่ี 3 (ไสลือไทย) และพระมหาธรรม ราชาท่ี 4 (บรมปาล) แต่ในช่วงเวลาดงั กล่าวอาณาจกั รสุโขทยั เริ่มเสื่อมอาํ นาจ กรุงสุโขทัย มกี ษัตริย์ปกครอง 9 พระองค์ ดงั นี้ กรุงสุโขทยั มีกษตั ริยป์ กครอง 9 พระองค์ ดงั น้ี 1. พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ (พ่อขนุ บางกลางหาว) 2. พอ่ ขนุ บานเมือง 3. พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช 4. พญาเลอไทย 5. พญางว่ั นาํ ถม 6. สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) 7. สมเด็จพระมหาธรรมราชาท่ี 2 8. สมเด็จพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไทย) 9. สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาท่ี 4 (บรมปาล) 2. กรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 - 2310) ปัจจัยทม่ี ผี ลต่อการสถาปนากรุงศรีอยุธยาได้แก่ 1) ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ กรุงศรีอยธุ ยามีสภาพภูมิศาสตร์ท่ีเหมาะสมตอ่ การสถาปนา อาณาจกั รเนื่องจากต้งั อยบู่ ริเวณท่ีราบลุ่มกวา้ งใหญ่มีแมน่ ้าํ ลาํ คลองหนองบึงมากและมีความอุดม สมบูรณ์ทาํ ใหก้ ารเกษตรกรรมไดผ้ ลดีรวมท้งั มีแม่น้าํ สาํ คญั หลายสายไหลผา่ นคือแมน่ ้าํ ลพบุรีทาง เหนือแม่น้าํ ป่ าสักทางตะวนั ออกแมน่ ้าํ เจา้ พระยาทางตะวนั ตกและทางใตก้ รุงศรีอยธุ ยาจึงติดต่อกบั หวั เมืองต่างๆไดส้ ะดวกรวมท้งั ต้งั อยไู่ ม่ไกลจากอ่าวไทยทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยาพฒั นาเป็ นเมืองท่าท่ี

56 สาํ คญั ของภูมิภาคมีการติดต่อคา้ ขายกบั ดินแดนตา่ ง ๆ ท้งั ที่อยใู่ กลเ้ คียงเช่นเขมรมอญและดินแดนที่ อยหู่ ่างไกลเช่นอินเดียจีนอาหรับและชาติตะวนั ตกทาํ ใหไ้ ดร้ ับวฒั นธรรมต่างชาติมาผสมผสานกนั 2) ปัจจยั ทางการเมืองและประวตั ิศาสตร์ กรุงศรีอยธุ ยามีพฒั นาการมาจากอาณาจกั รละโว้ และสุพรรณบุรีเมื่อพระเจา้ อู่ทองมาต้งั เมืองที่กรุงศรีอยธุ ยาไดท้ รงสร้างวงั ที่บริเวณเวยี งเหล็กก่อน ตอ่ มาทรงเห็นวา่ บริเวณหนองโสนหรือบึงพระรามในปัจจุบนั มีความเหมาะสมมากกวา่ จึงทรงยา้ ย วงั ไปบริเวณหนองโสนจะเห็นไดว้ า่ การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยาไดม้ ีการพิจารณาท้งั ในดา้ น ภูมิศาสตร์และมีพฒั นาการทางการเมืองการปกครองมาก่อนทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีความพร้อมใน การต้งั เป็ นอาณาจกั ร การสถาปนากรุงศรีอยธุ ยา ในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ทาํ ใหเ้ ราทราบวา่ บรรพบุรุษของไทยเป็นผสู้ ถาปนาอาณาจกั ร สุโขทยั ข้ึนในบริเวณลุ่มแมน่ ้าํ เจา้ พระยาตอนบนและในช่วงเวลาท่ีอาณาจกั รสุโขทยั เริ่มเสื่อมอาํ นาจ ลงอาณาจกั รอยธุ ยาก็สถาปนาข้ึน และดาํ รงอยเู่ ป็นราชธานีตลอดระยะเวลา 417 ปี จนกระทงั่ กรุง ศรีอยธุ ยาเสียอิสรภาพใหแ้ ก่พม่า ในปี พ.ศ. แลว้ สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชไดก้ อบกเู้ อกราช ของไทยคืนมา และสถาปนากรุงธนบุรีข้ึนเป็นราชธานีแห่งใหม่ อาณาจกั รธนบุรีดาํ รงอยมู่ าได้ 15 ปี กส็ ิ้นสุดแผน่ ดินสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ต่อมาในปี พ.ศ. 2325 สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้า จุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาพระราชวงศจ์ กั รีข้ึนปกครองแผน่ ดินและต้งั กรุงรัตนโกสินทร์เป็น ราชธานีแห่งใหมข่ องไทยสืบตอ่ มาจนถึงปัจจุบนั น้ี พระเจา้ อูท่ อง ผกู้ ่อต้งั อาณาจกั รอยธุ ยา ก่อนท่ีพระเจา้ อูท่ องจะเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยธุ ยา เมื่อ พ.ศ. 1893 ไม่ปรากฏหลกั ฐานแน่ชดั วา่ พระองคม์ ีเช้ือสายมาจากราชวงศใ์ ด และมีถิ่นกาํ เนิดอยู่ ท่ีเมืองใด แตม่ ีขอ้ สันนิษฐานวา่ พระเจา้ อู่ทองสืบเช้ือสายมาจากทางเหนือ ตอนบนของแม่น้าํ เจา้ พระยา ก่อนท่ีจะอพยพมาสร้างกรุงศรีอยธุ ยานอกจากน้ียงั มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปวา่ พระเจา้ อู่ทองซ่ึงเป็นฝ่ ายละโวไ้ ดอ้ ภิเษกสมรสกบั พระราชธิดาของกษตั ริยแ์ ห่งสุพรรณภูมิ เพ่ือ จุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะสร้างความมน่ั คงใหก้ บั อาณาจกั รต่อมาเม่ือเมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด เกิดภยั ธรรมชาติ ผคู้ นลม้ ตายเป็นจาํ นวนมาก พระเจา้ อูท่ องจึงอพยพผคู้ นไปยงั ทาํ เลที่มีน้าํ อุดม สมบูรณ์(เช่ือกนั วา่ เป็ นบริเวณที่เป็นวดั พุทไธสวรรยน์ ปัจจุบนั ) ทรงสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนอง โสนหรือบึงพระราม แลว้ สถาปนากรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 1893 ทรงพระราชทาน นามพระนครวา่ \"กรุงเทพทวารวดี ศรีอยธุ ยา\" พระเจา้ อู่ทองเสด็จข้ึนครองราชย์ เป็นปฐมกษตั ริย์ ตน้ ราชวงศ์ อูท่ อง ทรงพระนามวา่ \"สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1พระเจา้ อู่ทอง

57 ทตี่ ้งั ของกรุงศรีอยุธยา กรุงศรีอยธุ ยามีท่ีต้งั ท่ีเหมาะสม เนื่องจากมีแม่น้าํ สาํ คญั ไหลผา่ นถึง3 สาย ไดแ้ ก่แมน่ ้าํ ลพบุรี ไหลจากทางทิศเหนือออ้ มไปทางทิศตะวนั ตกแม่น้าํ ป่ าสัก ไหลผา่ นจากทิศตะวนั ออก แม่น้าํ เจา้ พระยา ไหลจากทิศตะวนั ตกออ้ มไปทางทิศใตแ้ มน่ ้าํ ท้งั 3 สายน้ี ไหลมาบรรจบกนั ลอ้ มรอบราชธานี ทาํ ใหก้ รุงศรีอยธุ ยามีลกั ษณะเป็นเกาะที่มีสัณฐานคลา้ ยเรือสาํ เภา คนทว่ั ไปจึง เรียกอยธุ ยาวา่ \"เกาะเมือง\" อยธุ ยามีทาํ เลทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกบั การเป็นราชธานี คือ 1. เป็นท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูก 2. สะดวกแก่การคมนาคม 3. มีความเหมาะสมดา้ นยทุ ธศาสตร์ 3. กรุงธนบุรี (พ.ศ. 2310 - 2325) ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การสถาปนากรุงธนบุรีไดแ้ ก่ 1) ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ เมื่อสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ยงั เป็น ช่วงท่ีบา้ นไม่มนั่ คงการเลือกต้งั เมืองท่ีกรุงธนบุรีจึงคาํ นึงถึงปัจจยั ทางดา้ นความมน่ั คงเป็นหลกั กรุง ธนบุรีอยใู่ นจุดยทุ ธศาสตร์ท่ีดีเพราะอยูร่ ิมแม่น้าํ เจา้ พระยาและอยไู่ มไ่ กลจากอา่ วไทยหากขา้ ศึกยก ทพั มาแลว้ สู้ไม่ไดก้ ็สามารถหนีออกทางทะเลได้ 2) ปัจจยั ทางการเมือง เม่ือกรุงศรีอยธุ ยาล่มสลายสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชไดเ้ ป็นผูน้ าํ ในการขบั ไล่กองทพั พมา่ และสถาปนาตนข้ึนเป็นกษตั ริยต์ ้งั ราชธานีใหมท่ ่ีกรุงธนบุรีเพราะกรุงศรี อยธุ ยาเสียหายจนยากจะฟ้ื นคืนดงั เดิม การสถาปนากรุงธนบุรีเป็ นราชธานี เมื่อพระยาตากกูเ้ อกราชไดส้ ําเร็จไดโ้ ปรดใหข้ ดุ พระบรมศพพระเจา้ เอกทศั ข้ึนมาถวายพระ เพลิงอยา่ งสมพระเกียรติ ประชาชนต่างก็ยอมรับพระเจา้ ตากเป็นพระเจา้ แผน่ ดิน จึงไดท้ รง ปราบดาภิเษกข้ึนเป็นพระมหากษตั ริย์ ใน พ.ศ. 2311 และยงั ไดท้ รงเก้ือกูลพระราชวงศข์ องกรุงศรี อยธุ ยาหลายพระองคท์ ่ีประชวรอยหู่ ลงั จากกอบกเู้ อกราชไดแ้ ลว้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช ทรงมีพระราชดาํ ริวา่ กรุงศรีอยธุ ยามีสภาพทรุดโทรมมาก ไม่สามารถซ่อมแซมฟ้ื นฟูใหก้ ลบั คืน สภาพเดิมได้ ปราสาทราชมณเฑียร วดั วาอารามพงั ยอ่ ยยบั จึงทรงตดั สินพระทยั สร้างราชธานีใหม่ ข้ึนที่เมืองธนบุรี ซ่ึงมีขอบเขตของราชธานีครอบคลุมสองฝ่ังน้าํ โดยมีแม่น้าํ เจา้ พระยาตดั ผา่ นกลาง เมือง

58 สาเหตุทยี่ ้ายเมืองหลวงจากกรุงศรีอยธุ ยามาอยู่ทก่ี รุงธนบุรี 1. กรุงศรีอยธุ ยาชาํ รุดเสียหายมาก ไม่สามารถบูรณปฏิสังขรณ์ใหม้ ีสภาพเหมือนเดิม ได้ 2. กาํ ลงั พลของพระองคม์ ีนอ้ ย ไม่สามารถรักษากรุงศรีอยธุ ยาที่เป็นเมืองใหญไ่ ด้ 3. ขา้ ศึกรู้ทิศทางท่ีจะมาตีกรุงศรีอยธุ ยาดีแลว้ 4. กรุงศรีอยธุ ยาต้งั อยไู่ กลจากปากแมน่ ้าํ มากเกินไป ไมส่ ะดวกต่อการติดต่อคา้ ขายกบั ต่างชาติที่มีจาํ นวนเพิม่ ข้ึนเรื่อย ๆ สาเหตุที่ทรงเลือกกรุงธนบุรีเป็ นเมืองหลวง 1. กรุงธนบุรีเป็ นเมืองเล็ก เหมาะต่อการป้องกนั รักษา 2. กรุงธนบุรีต้งั อยใู่ กลป้ ากแมน่ ้าํ ทาํ ใหส้ ะดวกต่อการติดตอ่ คา้ ขายกบั ต่างชาติ และการ ควบคุมการลาํ เลียงเสบียงอาหาร 3. กรุงธนบุรีต้งั อยใู่ กลท้ ะเล หากขา้ ศึกมีแต่ทพั บกไม่มีทพั เรือก็ยากที่จะชนะได้ และหาก ต้งั รับไม่ไหวก็สามารถยกพลทางเรือไปต้งั รับท่ีจนั ทบุรีได้ 4. กรุงธนบุรีเป็ นแหล่งรวมขวญั และกาํ ลงั ใจของคนไดด้ ี เพราะต้งั อยไู่ ม่ไกลจากกรุงศรี อยธุ ยา 4. กรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2325 - ปัจจุบนั ) ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ไดแ้ ก่ 1) ปัจจยั ทางการเมือง ในช่วงปลายสมยั ธนบุรีเกิดความไม่สงบข้ึนในบา้ นเมืองและเกิด กบฎพระยาสรรคห์ ลงั จากปราบกบฎพระยาสรรคแ์ ลว้ สมเด็จพระยามหากษตั ริยศ์ ึกไดส้ ถาปนา ราชวงศจ์ กั รีและกรุงรัตนโกสินทร์พร้อมกบั สาํ เร็จโทษสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชตามธรรม เนียมการเมืองในอดีต 2) ปัจจยั ทางภูมิศาสตร์ กรุงรัตนโกสินทร์ถูกต้งั ข้ึนบนฝ่ังตะวนั ออกของแม่น้าํ เจา้ พระยา ตรงขา้ มกบั กรุงธนบุรีการยา้ ยเมืองหลวงมายงั ท่ีใหม่หรือฝั่งกรุงเทพ ฯเพราะมีพ้นื ที่กวา้ งขวางกวา่ กรุงธนบุรีซ่ึงเหมาะแก่การขยายบา้ นเมืองต่อไปในอนาคตนอกจากน้ีกรุงเทพ ฯยงั มีท่ีต้งั ที่ดีในการ ติดต่อคา้ ขายกบั ต่างชาติเพราะอยใู่ กลป้ ากอ่าวไทย

59 เรื่องท่ี 3 การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 การปฏริ ูปประเทศสมัยรัชการท่ี 5 ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นยคุ แห่งการล่าอาณานิคมของชาวตะวนั ตก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ องั กฤษ และฝร่ังเศส ทาํ ใหป้ ระเทศเพอื่ นบา้ นของไทยตอ้ งตกเป็ น อาณานิคมของประเทศท้งั สอง ส่วนประเทศไทยเป็นประเทศเดียว ที่มิไดเ้ ป็นอาณานิคมของชาติใด ประเทศมหาอาํ นาจตา่ ง ๆ จึงแขง่ ขนั กนั เพือ่ เขา้ มามีอิทธิพลเหนือประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั จึงไดท้ รงดาํ เนิน นโยบายทางการทูต เพอื่ มิให้ประเทศมหาอาํ นาจฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง ถือเป็นขอ้ อา้ งในการยดึ ครองประเทศไทย โดยการเร่งพฒั นา ประเทศใหม้ ีความเจริญในดา้ นตา่ ง ๆ อยา่ งรวดเร็ว และศึกษาหา ความรู้ ความเขา้ ใจในภาษา วฒั นธรรม และสถานการณ์ตา่ ง ๆ ของชาติตะวนั ตก อนั จะทาํ ใหก้ ารเจรจากบั ประเทศเหล่าน้นั ดีข้ึน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มีแนวความคิดท่ีมีประโยชนต์ ่อการปกครองอยา่ งยง่ิ 2 ประการ คือ 1) การศึกษาภาษาต่างประเทศ พระองคท์ รงศึกษาภาษาองั กฤษอยา่ งจริงจงั เพื่อจะไดใ้ ช้ เจรจากบั ประเทศมหาอาํ นาจ กบั ส่งเสริมใหข้ า้ ราชการไดศ้ ึกษาหาความรู้ใหส้ ามารถเขา้ ใจ ภาษาต่างประเทศ จะไดไ้ ม่เสียเปรียบชาวตา่ งประเทศ 2) การบริหารราชการแผน่ ดิน พระองคท์ รงจา้ งผูเ้ ช่ียวชาญต่างประเทศมาช่วยราชการดา้ น ต่าง ๆ เช่น ครูฝึกทหาร ครูสอนภาษาองั กฤษ ผจู้ ดั การทา่ เรือ ผอู้ าํ นวยการศุลกากร เป็ นตน้ เพื่อ พฒั นาใหป้ ระเทศไทยมีความเจริญในดา้ นต่าง ๆ ขณะเดียวกนั ก็ฝึกใหข้ า้ ราชการไทยไดม้ ีความรู้ ความสามารถในการปฏิบตั ิราชการตอ่ ไปดว้ ย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงปฏิรูปการปกครอง เพราะทรงเห็นวา่ เป็น หนทางหน่ึงที่จะรักษาเอกราชของบา้ นเมืองไวไ้ ดใ้ นช่วงการขยายลทั ธิจกั รวรรดินิยมของชาติ ตะวนั ตก การปรับปรุงการปกครองใหท้ นั สมยั ทาํ ใหช้ าวตา่ งชาติเห็นวา่ ประเทศไทยเป็นประเทศ ท่ีเจริญแลว้ สามารถปกครองดูแลพฒั นาบา้ นเมืองได้ นอกจากน้ี ยงั ทาํ ใหเ้ ศรษฐกิจดีข้ึน ประชาชน มีความเป็นอยดู่ ีข้ึน ประเทศชาติมีรายไดใ้ นการทาํ นุบาํ รุงบา้ นเมืองมากข้ึน ทาํ ใหส้ ายตาของ ชาวตา่ งชาติมองประเทศไทยตา่ งจากประเทศเพอื่ นบา้ นอ่ืน ๆ และดว้ ยการวางวเิ ทโศบายทางการทูต กบั ชาติตะวนั ตกอยา่ งเหมาะสม ยอมรับวา่ ชาวยโุ รปเป็ นชาติท่ีเจริญ ให้เกียรติและยกยอ่ ง พร้อมกบั เปล่ียนแปลงวธิ ีปฏิบตั ิบางอยา่ ง เพ่ือใหเ้ ห็นวา่ ไทยไม่ใช่ชนชาติป่ าเถื่อน เช่น ใหข้ า้ ราชการสวมเส้ือ เวลาเขา้ เฝ้า นอกจากน้นั ยงั ยอมผอ่ นปรนอยา่ งชาญฉลาด แมจ้ ะเสียผลประโยชนห์ รือดินแดนไป

60 บา้ ง แตก่ เ็ ป็นส่วนนอ้ ย ยงั สามารถรักษาส่วนใหญไ่ วไ้ ด้ ทาํ ใหป้ ระเทศไทยคงความเป็นชาติท่ีมีเอก ราชมาไดต้ ลอด พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีแนวความคิดในการปฏิรูปการ ปกครองอยู่ 3 ประการ คือ 1) การรวมอาํ นาจเขา้ สู่ส่วนกลางมากข้ึน ท้งั น้ีเพื่อมิใหช้ าติตะวนั ตกอา้ งเอาดินแดนไปยดึ ครองอีก ถา้ อาํ นาจของรัฐบาลกลางแผไ่ ปถึงอาณาเขตใด กเ็ ป็นการยนื ยนั วา่ เป็นอาณาเขตของ ประเทศไทย 2) การศาลและกฎหมายท่ีมีมาตรฐาน จากการยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในรัชกาล ท่ี 4 เป็นเพราะประเทศอาณานิคมอา้ งวา่ ศาลไทยไมม่ ีคุณภาพ ไมไ่ ดม้ าตรฐาน ดงั น้นั รัชกาลที่ 5 จึง ทรงพระราชดาํ ริที่จะปรับปรุงการศาลยตุ ิธรรมและกฎหมายไทยใหเ้ ป็นสากลมากข้ึน 3) การพฒั นาประเทศ พระองคท์ รงริเร่ิมนาํ สิ่งใหม่ ๆ เขา้ มาใชเ้ พือ่ พฒั นาประเทศในดา้ น ตา่ ง ๆ เช่น สร้างถนน ขดุ คูคลอง จดั ใหม้ ีการปกครอง ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ เป็นตน้ การปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดก้ ่อใหเ้ กิดการจดั ระเบียบการปกครองที่สาํ คญั จาํ แนกได้ 3 ส่วน คือ 1) การปกครองส่วนกลาง การปรับปรุงการบริหารราชการในส่วนกลางของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 5 คือ ทรงยกเลิกตาํ แหน่งอคั รเสนาบดี 2 ตาํ แหน่ง คือ สมุหกลาโหม และสมุหนายก รวมท้งั จตุสดมภ์ โดยแบ่งการบริหารราชการออกเป็ นกระทรวงตามแบบอารยประเทศ และใหม้ ี เสนาบดีเป็นผวู้ า่ การแตล่ ะกระทรวง กระทรวงท่ีต้งั ข้ึนท้งั หมด เมื่อ พ.ศ.2435 มี 12 กระทรวง คือ (1) มหาดไทย รับผดิ ชอบหวั เมืองฝ่ ายเหนือและเมืองลาว (2) กลาโหม รับผดิ ชอบหวั เมืองฝ่ ายใต้ หวั เมืองฝ่ ายตะวนั ออก ตะวนั ตก และเมืองมลายู (3) ตา่ งประเทศ รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั การตา่ งประเทศ (4) วงั รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั กิจการในพระราชวงั (5) เมืองหรือนครบาล รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั การตาํ รวจและราชทณั ฑ์ (6) เกษตราธิการ รับผิดชอบเก่ียวกบั การเพาะปลูก เหมืองแร่ ป่ าไม้ (7) คลงั รับผดิ ชอบเก่ียวกบั ภาษีอากรและงบประมาณแผน่ ดิน (8) ยตุ ิธรรม รับผิดชอบเก่ียวกบั การชาํ ระคดีและการศาล (9) ยทุ ธนาธิการ รับผดิ ชอบเก่ียวกบั การทหาร (10) ธรรมการ รับผดิ ชอบเกี่ยวกบั การศึกษา การสาธารณสุขและสงฆ์ (11) โยธาธิการ รับผดิ ชอบเก่ียวกบั การก่อสร้าง ถนน คลอง การช่าง ไปรษณียโ์ ทรเลข และ รถไฟ (12) มุรธาธิการ รับผดิ ชอบเก่ียวกบั การรักษาตราแผน่ ดิน และงานระเบียบสารบรรณ ภายหลงั ไดย้ บุ กระทรวงยทุ ธนาธิการไปรวมกบั กระทรวงกลาโหม และยบุ กระทรวงมุรธาธิการ

61 ไปรวมกบั กระทรวงวงั คงเหลือเพียง 10 กระทรวง เสนาบดีทุกกระทรวงมีฐานะเทา่ เทียมกนั และ ประชุมร่วมกนั เป็นเสนาบดีสภา ทาํ หนา้ ที่ปรึกษาและช่วยบริหารราชการแผน่ ดินตามท่ี พระมหากษตั ริยท์ รงมอบหมาย เพราะอาํ นาจสูงสุดเด็ดขาดเป็นของพระมหากษตั ริยต์ ามระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงแต่งต้งั \"สภาที่ปรึกษาในพระองค\"์ ซ่ึง ต่อมาไดเ้ ปล่ียนเป็น \"รัฐมนตรีสภา\" ประกอบดว้ ย เสนาบดี หรือผแู้ ทน กบั ผทู้ ี่โปรดเกลา้ ฯ แต่งต้งั รวมกนั ไมน่ อ้ ยกวา่ 12 คน จุดประสงคเ์ พื่อใหเ้ ป็นท่ีปรึกษาและคอยทดั ทานอาํ นาจพระมหากษตั ริย์ แต่การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของสภาดงั กล่าวไมไ่ ดบ้ รรลุจุดประสงคท์ ี่ทรงหวงั ไว้ เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ ไมก่ ลา้ โตแ้ ยง้ พระราชดาํ ริ คณะท่ีปรึกษาส่วนใหญม่ กั พอใจท่ีจะปฏิบตั ิตามมากกวา่ ท่ีจะแสดงความ คิดเห็น นอกจากน้ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ยงั ทรงแตง่ ต้งั \"องคมนตรีสภา\" ข้ึนอีก ประกอบดว้ ยสมาชิกเมื่อแรกต้งั ถึง 49 คน มีท้งั สามญั ชน ต้งั แต่ช้นั หลวงถึงเจา้ พระยา และพระ ราชวงศ์ องคมนตรีสภาน้ีอยใู่ นฐานะรองจากรัฐมนตรีสภา เพราะขอ้ ความที่ปรึกษา และตกลงกนั ใน องคมนตรีสภาแลว้ จะตอ้ งนาํ เขา้ ที่ประชุมรัฐมนตรีสภาก่อนแลว้ จึงจะเสนอเสนาบดีกระทรวงต่าง ๆ 2) การปกครองส่วนภูมิภาค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงมีพระราชดาํ ริใหย้ กเลิกการปกครองหวั เมือง และใหเ้ ปล่ียนแปลงเป็นการปกครองส่วนภูมิภาคโดยโปรดเกลา้ ฯ ให้ตราพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะ ปกครองทอ้ งที่ ร.ศ.116 ข้ึน เพื่อจดั การปกครองเป็นมณฑล เมือง อาํ เภอ ตาํ บล และหมู่บา้ น ดงั น้ี (1) มณฑลเทศาภิบาล ประกอบดว้ ยเมืองต้งั แต่ 2 เมืองข้ึนไป มีสมุหเทศาภิบาล ท่ี พระมหากษตั ริยท์ รงแต่งต้งั ไปปกครองดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ (2) เมือง ประกอบดว้ ยอาํ เภอหลายอาํ เภอ มีผวู้ า่ ราชการเมืองเป็นผรู้ ับผิดชอบ ข้ึนตรงต่อ ขา้ หลวงเทศาภิบาล (3) อาํ เภอ ประกอบดว้ ยทอ้ งท่ีหลาย ๆ ตาํ บล มีนายอาํ เภอเป็นผรู้ ับผดิ ชอบ (4) ตาํ บล ประกอบดว้ ยทอ้ งที่ 10 - 20 หมูบ่ า้ น มีกาํ นนั ซ่ึงเลือกต้งั มาจากผใู้ หญ่บา้ นเป็ น ผรู้ ับผดิ ชอบ (5) หมูบ่ า้ น ประกอบดว้ ยบา้ นเรือนประมาณ 10 บา้ นข้ึนไป มีราษฎรอาศยั ประมาณ 100 คน เป็นหน่วยปกครองที่เลก็ ท่ีสุด มีผใู้ หญบ่ า้ นเป็นผูร้ ับผดิ ชอบ ตอ่ มาในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดย้ กเลิก มณฑลเทศาภิบาล และ เปลี่ยน เมือง เป็ น จงั หวดั 3) การปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงจดั ใหม้ ีการบริหารราชการส่วนทอ้ งถ่ินในรูป สุขาภิบาล ซ่ึงมีหนา้ ที่คลา้ ยเทศบาลในปัจจุบนั เป็ นคร้ังแรกเมื่อ พ.ศ.2440 โดยโปรดเกลา้ ฯ ใหต้ รา

62 พระราชกาํ หนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) ข้ึนบงั คบั ใชใ้ นกรุงเทพฯ ตอ่ มาใน ร.ศ. 124 (พ.ศ. 2448) ไดข้ ยายไปที่ทา่ ฉลอม ปรากฏวา่ ดาํ เนินการไดผ้ ลดีเป็นอยา่ งมาก ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหต้ ราพระราชบญั ญตั ิจดั การสุขาภิบาล ร. ศ.127 (พ.ศ.2451) ข้ึน โดยแบง่ สุขาภิบาลออกเป็น 2 ประเภท คือ สุขาภิบาลเมืองและสุขาภิบาล ตาํ บล ทอ้ งถิ่นใดเหมาะสมที่จะจดั ต้งั เป็นสุขาภิบาลประเภทใด กใ็ หป้ ระกาศต้งั สุขาภิบาลในทอ้ งถิ่น น้นั แมว้ า่ การปกครองในสมยั รัตนโกสินทร์จะเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แตพ่ ระราช กรณียกิจบางประการของพระมหากษตั ริยก์ ็ถือไดว้ า่ เป็ นการปูพ้นื ฐานการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย โดยเฉพาะในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ที่ไดท้ รงดาํ เนินการ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1) การเลิกทาส ทรงประกาศเลิกทาสเมื่อวนั ท่ี 18 ตุลาคม พ.ศ. 2417 นโยบายการเลิกทาสของพระองคน์ ้นั เพอ่ื ใหป้ ระชาชนมีสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคทดั เทียมกนั อนั เป็นหลกั การสาํ คญั ของระบอบ ประชาธิปไตย 2) การสนบั สนุนการศึกษา ทรงจดั ต้งั โรงเรียนเพ่ือสนบั สนุนใหค้ นไทยไดม้ ีโอกาสเล่าเรียน ศึกษาหาความรู้ ต้งั ทุน พระราชทาน ส่งผมู้ ีความสามารถไปศึกษาตอ่ ต่างประเทศ จากการสนบั สนุนการศึกษาอยา่ ง กวา้ งขวางน้ี นบั ไดว้ า่ เป็นรากฐานของการเปล่ียนแปลงแนวความคิดในการปกครองประเทศสู่ ระบอบประชาธิปไตยในเวลาตอ่ มา 3) การปฏิรูปการปกครอง ทรงเปิ ดโอกาสใหข้ า้ ราชการมีส่วนรับผดิ ชอบในการบริหารมากข้ึน ทรงสนบั สนุนการ ปกครองทอ้ งถิ่นดว้ ยการจดั ต้งั สุขาภิบาล ทาํ ใหป้ ระชาชนธรรมดามีส่วนและมีโอกาสเรียนรู้ ประสบการณ์การบริหารการปกครอง ตามหลกั การประชาธิปไตยท่ีตอ้ งการใหป้ ระชาชนมีส่วนใน การปกครองบา้ นเมือง

63 เร่ืองที่ 4 การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 การเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การเปลยี่ นแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 วนั ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 หลงั จากท่ีรัชกาลที่ 7 ทรงครองราชยไ์ ด้ 7 ปี คณะผกู้ ่อการซ่ึง เรียกตวั เองวา่ “คณะราษฎร์” ประกอบดว้ ยทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน จาํ นวน 99 คน ไดท้ าํ การยดึ อาํ นาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราช หรือ “ราชาธิป ไตย” มาเป็นระบบการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” และไดอ้ ญั เชิญรัชกาลท่ี 7 ข้ึนเป็นกษตั ริย์ ภายใตร้ ัฐธรรมนูญ นบั ไดว้ า่ รัชกาลท่ี 7 ทรงเป็นกษตั ริยอ์ งคแ์ รกในระบอบประชาธิปไตย การยดึ อานาจในวนั ที่ 24 มถิ ุนายน พ.ศ. 2475 เม่ือวนั ที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร ไดใ้ ชก้ ลลวง นาํ ทหารบกและทหารเรือมารวมตวั กนั บริเวณรอบ พระท่ีนงั่ อนนั ตสมาคม ประมาณ 2000 คน ต้งั แต่เวลาประมาณ 5 นาฬิกา โดยอา้ งวา่ เป็นการสวนสนาม จากน้นั นายพนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนา ไดอ้ า่ น ประกาศคณะราษฎร ฉบบั ท่ี 1 ณ บริเวณลานพระบรมรูปทรงมา้ เสมือน ประกาศยดึ อาํ นาจการปกครอง ก่อนจะนาํ กาํ ลงั แยก ยา้ ยไปปฏิบตั ิการต่อไป มูลเหตุของการเปลีย่ นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 1. ภาวะเศรษฐกิจตกต่าํ ทว่ั โลก หลงั สงครามโลก รัฐบาลตอ้ งการลดรายจ่ายโดยปลด ขา้ ราชการบางส่วนออก ผถู้ ูกปลดไมพ่ อใจ 2. ผทู้ ่ีไปเรียนจากตา่ งประเทศเม่ือกลบั มาแลว้ ตอ้ งการเปล่ียนแปลงประเทศใหท้ นั สมยั เหมือนประเทศท่ีเจริญแลว้ 3. ความเหล่ือมล้าํ ต่าํ สูงระหวา่ งขา้ ราชการและประชาชน จึงตอ้ งการสิทธิเสมอภาคกนั 4.ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชยไ์ มส่ ามารถแกป้ ัญหาพ้ืนฐานชีวติ ของราษฎรได้ ลกั ษณะการปกครองหลงั เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475

64 1.พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมขุ ภายใต้รัฐธรรมนญู 2.รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ 3.อานาจอธิปไตย เป็นของปวงชนชาวไทยและเป็นอานาจสูงสุดในการปกครอง ประเทศ 4.ประชาชนใช้อานาจอธิปไตยผ่านทางรัฐสภา รัฐบาลและศาล 5.ประชาชนมสี ิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกนั 6.ประชาชนเลือกตวั แทนในการบริหารประเทศ ซ่ึงเรียกว่า รัฐบาล หรือ คณะรัฐมนตรี 7.ในการบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งเป็ น 3 ส่วน คือ - การปกครองส่วนกลาง แบ่งเป็น กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ - การปกครองส่วนภมู ิภาค แบ่งเป็น จังหวดั และอาเภอ - การปกครองส่วนท้องถิ่นแบ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวดั เทศบาลสุขาภิบาล และองค์ การบริ หารส่ วนตาบล การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยเป็นไปอยา่ งสงบไมร่ ุนแรงเหมือนบางประเทศ อยา่ งไรกต็ ามลกั ษณะการเมืองการปกครอง มิไดเ้ ป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ อาํ นาจบางส่วนตก อยกู่ บั ผนู้ าํ ทางการเมือง หรือผบู้ ริหารประเทศ มีการขดั แยง้ กนั ในดา้ น นโยบาย มีการแยง่ ชิง ผลประโยชน์ เป็ นเหตุใหเ้ กิดการปฏิวตั ิรัฐประหารข้ึนหลายคร้ังระบบการปกครองของไทยจึงมี ลกั ษณะ กลบั ไปกลบั มาระหวา่ งประชาธิปไตยกบั คณาธิปไตย (การปกครองโดยคณะปฏิวตั ิ)ปฏิวตั ิ .....รัฐประหารและกบฏ ในประวตั ิศาสตร์ไทย ในความขดั แยง้ ของอาํ นาจและผลประโยชน์ (ท่ีไมใ่ ช่อุดมการณ์หรือความคิดเช่นใน สมยั ก่อน) ฝ่ ายหน่ึงไดน้ าํ คาํ วา่ \" กบฏ \" มาใชอ้ ยา่ งมนั่ ใจและนาํ มาใชก้ บั ฝ่ ายที่เป็นผรู้ ัฐประหาร และสามารถยดึ ครองการปกครองรัฐไดเ้ ป็นผลสาํ เร็จ คาํ วา่ กบฏ หากจาํ ไม่ผดิ มนั เป็ นคาํ ท่ีแสดงความหมายของ \" ผทู้ ่ีตอ้ งการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากกลุ่มคนชนช้นั ปกครองหรือรัฐเดิม แต่ไมป่ ระสบความสาํ เร็จในการกระทาํ การ ใด ๆ เพอ่ื การเปลี่ยนแปลงไปสู่จุดมุ่งหมายของตน \" การวางยทุ ธศาสตร์และยทุ ธวธิ ีท่ีหลากหลายในการทาํ สงครามเพอ่ื เอาชนะฝ่ ายตรงขา้ มเป็นส่ิง ที่ทุกคนตอ้ งการ แตย่ ทุ ธวธิ ีที่หลากหลายน้นั มนั ไดย้ อ้ นกลบั และมีผลกระทบใน \"ความจริง\" ความจริงท่ีกาํ ลงั ฟ้องใหเ้ ห็นวา่ จุดมุ่งหมายหรือ \"อุดมการณ์\"ของการประทว้ งท่ีกล่าวอา้ ง น้นั มนั ไดม้ ี ปรากฏการณ์ขดั แยง้ ในตวั ของมนั เองตลอดเวลา ความลกั หลนั่ เหล่าน้นั กาํ ลงั กดั กร่อน \"ความเช่ือมน่ั \" และ \" ศรัทธา\" ของผูร้ ักประชาธิปไตยท่ีไมต่ อ้ งการอาํ นาจเผด็จการทหาร ใหเ้ ห็นความจริงมากข้ึนทุกขณะ

65 ยอ้ นกลบั ไปในสมยั สุโขทยั ในฐานะของรัฐ เป็นราชธานีของบรรพบุรุษที่กลายมาเป็นคน ไทยในปัจจุบนั สายหน่ึง \"การปฏิวตั ิคร้ังแรก\" เกิดข้ึนเพอื่ การชิงอาํ นาจระหวา่ งกลุ่มขอมพระนคร และกลุ่มขอม-ไท ขอมพระนครคือสมาดโขลญลาํ พง ขอม-ไท คือพอ่ ขุนศรีนาวนาํ ถม ขอมพระนคร เขา้ ยดึ อาํ นาจจากเจา้ นายทอ้ งถ่ินคือพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถม หลงั จากการสิ้นสลายของอาํ นาจใน ศูนยก์ ลางท่ีนครธมหลงั สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ที่ 7 ขอมพระนครครองอาํ นาจในสุโขทยั ไดร้ ะยะหน่ึง จารึกวดั ศรีชุมกเ็ ขียนวา่ พ่อขุนบางกลาง หาวและพอ่ ขนุ ผาเมือง รวบรวมไพร่พลท่ีเมืองบางขลุงทางทิศใตข้ องสุโขทยั และเขา้ ยดึ อาํ นาจจาก กษตั ริยส์ ายขอมพระนครไดส้ าํ เร็จ เป็นการปฏิวตั ิของคนเช้ือสายขอม - ไท - สยาม จึงถือวา่ นี่คือเหตุการณ์ \"ปฏิวตั ิ รัฐประหารคร้ังแรก ของประวตั ิศาสตร์ชาติ\" ส่วนสมาด โขลญลาํ พง ก็ยงั ไม่นบั วา่ เป็ น \" กบฏ\" เพราะสามารถทาํ การโค่นลม้ สายพอ่ ขนุ เจา้ เก่าแห่งสุโขทยั ไดเ้ ช่นกนั ส่วนการกบฏคร้ังแรกของประวตั ิศาสตร์ชาติ เป็นเหตุการณ์ในจารึกหลกั ท่ี 1 นน่ั คือการ กบฏของขนุ สามชน เจา้ เมืองฉอด ที่ยกพลไกรเขา้ มาหมายยดึ อาํ นาจในรัฐสุโขทยั จากพอ่ ขนุ รามราช (กาํ แหง) แลว้ ในสมยั กรุงศรีอยุธยาล่ะ การปฏิวตั ิ รัฐประหารและการกบฏ เกิดข้ึนคร้ังแรกเม่ือไหร่ การปฏิวตั ิคร้ังแรกของกรุงศรีอยธุ ยา ก็เริ่มทนั ทีทนั ใดเมื่อพระเจา้ อูท่ องสวรรคต พระราเมศวรข้ึน ครองราชย์ กถ็ ูกขนุ หลวงพะงวั่ เขา้ ยดึ อาํ นาจรัฐและเนรเทศพระองคไ์ ปลพบุรี ดว้ ยหลกั ฐาน พงศาวดารในช่วงยคุ ตน้ ของกรุงศรีอยธุ ยาน้นั ไม่มีบนั ทึกและถูกทาํ ลายไปมาก การกบฏคร้ังแรกจึง ตอ้ งยกมาอยใู่ นสมยั ของพระเพทราชา เรียกวา่ \"กบฏธรรมเสถียร\" ซ่ึงธรรมเสถียรมีรูปร่างหนา้ ตา คลา้ ยกบั เจา้ ฟ้าอภยั ทศ พระอนุชาของพระนารายณ์ ธรรมเสถียรไดร้ วบรวมผคู้ นจากเขตพระนคร ใหม่อยา่ งลพบุรี และสระบุรี เขา้ ตีกรุงศรีอยธุ ยาอยา่ งลบั ๆ แตบ่ งั เอิญความแตก จึงพา่ ยแพใ้ นการ ช่วงชิงอาํ นาจ ความขดั แยง้ อุดมการณ์ ความไม่พอในอาํ นาจและผลประโยชน์ นาํ ไปสู่การรัฐประหาร \"คร้ัง แรก\" ในระบอบประชาธิปไตย (แบบคณะราษฎร์ แบบบาง ๆ ) เป็นการปฏิวตั ิการเองภายในของ เหล่าผยู้ ดึ อาํ นาจ โดยมีพนั โทหลวงพบิ ูลสงครามเป็นหวั หนา้ และผลกั ดนั ใหพ้ นั เอกพระยาพหลพล พยหุ เสนา เป็นหนา้ เสื่อ หนา้ ไฟ หลงั จากน้นั 4 เดือน ความไม่ชดั เจนในอุดมการณ์ของผยู้ ดึ อาํ นาจ ไดน้ าํ ไปสู่การก่อการ \"กบฏ\" คร้ังแรก ดว้ ยเพราะความวติ กกงั วล ในความไมช่ ดั เจนน้นั จะก่ออนั ตรายต่อสถาบนั พระมหากษตั ริย์ และประเทศชาติ พลเอกพระเจา้ วรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ บวรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหมในยคุ ก่อนการ เปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็ นแกนหลกั สาํ คญั ในการก่อการ \"ตกั เตือน\" ดว้ ยกาํ ลงั ทหารจากโคราช

66 และหวั เมืองรอบนอก ไม่ให้คณะปฏิวตั ิตวั เองของคณะราษฎร์เดินนโยบายไปสู่ ลทั ธิ \"คอมมิวนิสต\"์ อนั จะเป็ นภยั ร้ายต่อสถาบนั สูงสุดของชาติและประชาชน \"กบฏบวรเดช\" จึงถือเป็นกบฏคร้ังแรกของประเทศสยาม หลงั เปล่ียนแปลงการปกครองมา ไดไ้ ม่นาน ซ่ึงความพา่ ยแพข้ องกบฏบวรเดช ในคร้ังน้นั เป็นบทเรียนสาํ คญั ของผปู้ กครองรัฐสยาม ในสมยั ตอ่ มา ในความชดั เจนของนโยบายและอุดมการณ์ของรัฐบาล ผา่ นมากวา่ 75 ปี ของประชาธิปไตย ประเทศไทยของเราผา่ นการ \" ปฏิวตั ิ รัฐประหาร\" มาแลว้ 10 คร้ัง (รวมท้งั ล่าสุดดว้ ย) และผา่ นการ \"กบฏ\" มาถึง 12 คร้ัง หากยงั ไมช่ ดั เจนท้งั ยทุ ธศาสตร์ อุดมการณ์และเป้าหมายท่ีเป็นเอกภาพ และยงั มีความ พยายามใชค้ าํ วา่ \"กบฏ\" โดยละเลยถึงความหมาย ไม่สื่อสารใหถ้ ูกตอ้ งและใชพ้ ร่าํ เพรื่อ กบั ประชาชนทว่ั ไปผเู้ ป็ นกลางโดยเน้ือแท้ เหตุการณ์ในแผน่ ดินเม่ือปี พ.ศ. 2475 การก่อตวั เม่ือปี พ.ศ. 2475 นกั ศึกษาไทยท่ีมาศึกษาที่ฝร่ังเศส จาํ นวน 7 คน มีท้งั ทหารและพลเรือน ไดน้ ดั ประชุมกนั ท่ี กรุงปารีส เพื่อกาํ หนดความมุ่งหมายของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย กติกาของการ เปล่ียนแปลงการปกครอง ตลอดจนกาํ หนดบุคคลิกของผทู้ ่ีจะมาร่วมคณะต่อไป และไดก้ าํ หนด หลกั การไว้ 3 ประการคือ ประการแรก ทาํ การเปลี่ยนการปกครองใหม้ ีรากฐานประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษตั ริย์ ภายใตร้ ัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกบั ประเทศองั กฤษ โดยงดเวน้ การมีสาธารณรัฐโดยเด็ดขาด ประการท่ีสอง กาํ หนดยดึ อาํ นาจดว้ ยการปฏิวตั ิ (COUP D' ETAT) ไม่ใช่การก่อการจลาจล งดเวน้ การนองเลือด การทาํ ทารุณกรรมใด ๆ และไม่ประหตั ประหารกนั เอง อยา่ งกบฏในฝร่ังเศส ประการท่ีสาม ร่วมมือกนั ทาํ การปกครองบริหารประเทศชาติดว้ ยความสุจริตใจ งดเวน้ การ แสวงหา และ สร้างสรรคค์ วามมน่ั คงเป็นประโยชนส์ ่วนตวั ในการประชุมคร้ังแรกน้ีคณะผรู้ ิเร่ิมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไมไ่ ดม้ ีการพจิ ารณากาํ หนด ลทั ธิการเมืองประการใด มีความมุ่งหมายเพียงใหม้ ีรัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตยเป็น จุดหมายปลายทาง ในการประชุม ไดก้ าํ หนดหลกั การเพื่อดาํ เนินการยดึ อาํ นาจไว้ 3 ประการ คือ 1. การหาความรู้พจิ ารณาการเปล่ียนแปลงการปกครองของประเทศต่าง ๆ ในทาง ประวตั ิศาสตร์ เพ่ือทราบความมุ่งหมาย แผนการดาํ เนินการ ความสาํ เร็จและเหตุการณ์แห่งความ ลม้ เหลวและเหตุผล เพื่อประกอบการพจิ ารณาในการดาํ เนินการเปลี่ยนแปลงการปกครองต่อไป 2. กาํ หนดคุณสมบตั ิของบุคคล ที่จะมาร่วมคณะผเู้ ปล่ียนแปลงการปกครอง ซ่ึงจะตอ้ ง มีความรู้ และวฒุ ิที่กวา้ งขวาง มีรากฐานการศึกษาเพยี งพอ นอกจากน้นั จะตอ้ งเป็นผทู้ ี่มาร่วมดว้ ย ความบริสุทธ์ิใจ ไมป่ ระกอบดว้ ยอคติ ความพยาบาท เคียดแคน้ หรือมุง่ แสวงหาประโยชนจ์ ากการ

67 เปล่ียนแปลงการปกครองแต่ประการใด และทาํ งานเพื่อประโยชนป์ ระเทศชาติโดยสุจริตใจ กบั ท้งั จะตอ้ งเป็ นผทู้ ่ีมีความประพฤติ และสภาพความเป็นอยภู่ ายในครอบครัวเป็นหลกั ฐานท่ีพงึ ไวว้ างใจ ได้ 3. ในเร่ืองการกาํ หนดวธิ ีการท่ีจะหาเงินมาเป็ นทุนในการดาํ เนินการเปล่ียนแปลงการ ปกครอง ซ่ึงในระยะแรกก็อาศยั การเรี่ยไรเงินส่วนตวั กนั เป็นสาํ คญั ไม่มีความจาํ เป็ นตอ้ งใชจ้ ่ายเงิน มาก นอกจากน้ีกว็ างแผนที่จะประกอบธุรกิจเพ่ือหารายไดเ้ ป็นกอบเป็นกาํ ต่อไป การเร่ิมปฏบิ ัตกิ ารในประเทศไทย เม่ือคณะผกู้ ่อตวั ไดท้ ะยอยกนั เดินทางกลบั ประเทศไทย เขา้ รับราชการตามตาํ แหน่ง หนา้ ที่ตา่ ง ๆ แลว้ กเ็ ริ่มดาํ เนินเรื่องการเมืองติดต่อกบั เพ่ือนร่วมคิดเปล่ียนแปลงการปกครอง ที่ให้ สตั ยป์ ฏิญาณกนั มา ต้งั แต่อยูย่ โุ รปต่อไป โดยติดตอ่ กบั ผรู้ ่วมคิดจากปารีสและสวทิ เซอร์แลนด์ รวม 15 คน ซ่ึงแตล่ ะคนก็ไดต้ ิดต่อกบั ผทู้ ี่รู้จกั และมีความประทบั ใจท่ีไม่ดีในเรื่องตา่ ง ๆ ท่ีคนไดป้ ระสบ มาในรูปแบบต่าง ๆ สรุปแลว้ ผรู้ ิเร่ิมฝ่ ายพลเรือน 15 คน ยงั ไมม่ ีอะไรเป็นแก่นสาร และดูซบเซาไป เน่ืองจากห่างเหินกนั ไปนาน ส่วนผรู้ ่วมคิดฝ่ ายทหารมีความเห็นวา่ เหตุการณ์บา้ นเมืองมนั สุกงอมแลว้ ควรจะ ดาํ เนินการเปล่ียนแปลงการปกครองได้ และมีความพร้อมที่จะดาํ เนินการ เพราะไดเ้ ตรียมหาสมคั ร พรรคพวกกนั อยตู่ ลอดแมผ้ กู้ ่อการสายทหารบางคนจะไม่มีหวั ในการเมือง แตก่ เ็ ป็นผรู้ ักเพือ่ นฝงู เป็นชีวติ จิตใจ เอาอะไรเอากนั ประกอบกบั หลายคนมีตาํ แหน่งหนา้ ที่สาํ คญั ใชเ้ ป็นกาํ ลงั ได้ การวางแผนยดึ อานาจ จากการประสานงานไดท้ หารบก 34 คน ทหารเรือ 19 คน และฝ่ ายพลเรือน 45 คน รวม ท้งั สิ้น 98 คน ผรู้ ่วมคิดเปล่ียนแปลงการปกครองในประเทศฝรั่งเศสและสวติ เซอร์แลนดใ์ นการร่วม ประชุมคร้ังแรก 7 คน ผทู้ ี่มาสมคั รตอนหลงั อีก 9 คน เม่ือไดท้ บทวนผลการดาํ เนินงานที่ผา่ นมา รวม 3 ปี พบวา่ งานคืบหนา้ ไปชา้ และซบเซา แตก่ ย็ งั มีความสนใจกนั อยเู่ ป็ นส่วนมาก สาํ หรับฝ่ ายพลเรือนท่ีแตกแยกเป็นหลายสาย ก็ยงั ไมม่ ี ความหมายที่จะเป็นกาํ ลงั แต่อยา่ งใด จึงไดม้ ีการนดั ประชุมผใู้ หญ่ฝ่ ายทหาร รวม 5 คน มียศเป็นนาย พนั เอก มีบรรดาศกั ด์ิเป็นพระยา 3 คน ยศนายพนั โท มีบรรดาศกั ด์ิเป็ นพระ 1 คน และยศนายพนั ตรี มีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวง 1 คน 4 คนแรก เรียกกนั ในคร้ังน้นั วา่ สี่ทหารเสือ ในการประชุมไดพ้ ิจารณา สถานการณ์โดยทวั่ ไป กบั แผนการท่ีจะยดึ อาํ นาจ ซ่ึงกาํ หนดไวต้ ามสถานท่ีและโอกาสต่าง ๆ หลาย ประการซ่ึงมีความเห็นแตกแยกกนั อยู่ นอกจากไดป้ ระมาณกาํ ลงั ทหารบก ทางผกู้ ่อการคนหน่ึงมีเพ่ือนคู่คิดท่ีสาํ คญั ยศนายพนั โท ซ่ึงอยทู่ างหน่วยท่ีหวงั วา่ จะไดก้ าํ ลงั ดา้ นอาจารยแ์ ละนกั เรียนนายร้อย สาํ หรับดา้ นทหารมา้ และรถ รบ ผเู้ ขา้ ประชุมยศนายพนั ตรีรับรองวา่ มีความหวงั มน่ั คง เพราะมีนายทหารยศนายพนั โทที่เคยสนิท

68 สนมกนั คร้ังอยกู่ รุงปารีสบงั คบั บญั ชาหน่วยอยู่ ทางดา้ นทหารปื นใหญน่ ายทหารผนู้ ้ีก็รับรองวา่ มี เพ่อื นฝงู ที่ไวว้ างใจได้ แต่ไม่ยอมบอกชื่อวา่ เป็นใคร ทางดา้ นนายทหารยศนายพนั โท ซ่ึงคุมอยทู่ าง โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ก็รับรองวา่ จะไดน้ ายทหารที่อาจารย์ และนกั เรียน จากท่ีน่ีเป็น ส่วนมาก สาํ หรับนายทหารยศนายพนั เอกผหู้ น่ึง ที่เขา้ ประชุม ยงั รู้สึกขอ้ งใจวา่ ไมม่ ีกาํ ลงั พอที่จะทาํ การใหญ่ใหส้ าํ เร็จไดจ้ ึงยงั ลงั เลอยู่ แตก่ ร็ ับรองวา่ จะเตรียมการฝึกซอ้ มการเคลื่อนไหวกาํ ลงั ไวพ้ ร้อม ถา้ หน่วยทหารมา้ และรถถงั นาํ ขบวน เป็นทพั หนา้ ไปไดส้ าํ เร็จ กจ็ ะใหห้ น่วยทหารปื นใหญซ่ ่ึงมี เพอ่ื นของตน ซ่ึงสามารถหน่วยทหารปื นใหญ่ ติดตามแผนการใหจ้ งได้ ส่วนผเู้ ขา้ ประชุมอีกคนหน่ึง ยศนายพนั เอก บอกวา่ ตนมีแต่ตวั คนเดียว แต่ก็จะเป็นกาํ ลงั ช่วยวงิ่ เตน้ สง่ั การในฐานะท่ีดูแลเหล่า ทหารปื นใหญ่อยู่ สาํ หรับดา้ นทหารเรือ มีการติดต่อประสานงานกบั นายทหารเรือยศนายนาวาตรี มี บรรดาศกั ด์ิเป็นหลวงเป็นหวั หนา้ ฝ่ ายทหารเรือแต่ผเู้ ดียว ทา่ นผนู้ ้ีเป็ นอาจารยอ์ ยูโ่ รงเรียนนายเรือ มี สมคั รพรรคพวกเป็นผบู้ งั คบั การเรืออยูห่ ลายลาํ รวมท้งั กองพนั พาหนะเรือ ซ่ึงต่อมาเรียกวา่ หน่วย นาวกิ โยธิน อีกประมาณเดือนเศษต่อมา ไดม้ ีการประชุมคร้ังใหญ่ท่ีวดั แคลาย จงั หวดั นนทบุรี มี การเช่าเรือกลไฟลาํ ใหญ่ จดั ใหเ้ ฉพาะผใู้ หญ่ฝ่ ายทหารเพ่ือเดินทางไปยงั วดั ดงั กล่าว ส่วนพวกพล เรือนต่างคนต่างไป โดยถือโอกาสไปทาํ การยงิ นก ส่วนทางทหารเรือไดไ้ ปเรือส่วนตวั และข้ึนไป ทาํ ความรู้จกั กบั นายทหารช้นั ผใู้ หญ่ แลว้ แยกกลบั ความขดั แย้งในหลกั การ ในเรื่องการปรับปรุงกองทพั มีความเห็นไม่ตรงกนั คือ ฝ่ ายหน่ึงจะใหย้ บุ กองทพั กอง พล โดยใหห้ น่วยทหารตา่ ง ๆ ไปข้ึนกบั ผบู้ งั คบั เหล่า เลิกยศนายพล และเลิกโรงเรียนเสนาธิ การ แต่อีกฝ่ ายหน่ึงเห็นวา่ ควรจะละเวน้ การใด ๆ ท่ีจะทาํ ใหก้ ระทบกระเทือนจิตใจนายทหารใน กองทพั การปรับปรุงจะตอ้ งดาํ เนินการไปเป็นข้นั ๆ วางรากฐานการปกครองกองทพั ใหม้ น่ั คงเป็น สาํ คญั ฝ่ ายแรกซ่ึงมีอาวุโสกวา่ ไมพ่ อใจ เห็นวา่ ฝ่ ายหลงั ท่ีออ่ นอาวโุ สกวา่ ควรจะฟังแนวทางของตน เป็นหลกั เมื่อตกลงกนั ไม่ไดก้ ็ตดั บทวา่ ใหย้ ตุ ิกนั เพยี งน้ีก่อน แลว้ เลิกลากนั ไป ฝ่ ายออ่ นอาวโุ สกวา่ มีความหนกั ใจวา่ การเปล่ียนแปลงการปกครองท่าจะไปไม่สาํ เร็จ ถา้ พลาดพล้งั ไปก็ตอ้ งเขา้ คุกเขา้ ตาราง และโทษถึงประหารชีวติ ถา้ ทาํ ตามความคิดในการปรับปรุงกองทพั ตามแนวทางของ นายทหารอาวโุ สกจ็ ะเกิดความวนุ่ วาย เพราะฉะน้นั เม่ือทาํ การปฏิวตั ิไมส่ าํ เร็จก็ตาย ถา้ ปฏิวตั ิสาํ เร็จก็ จะเกิดความขดั แยง้ ตอ้ งฆ่ากนั อีก จึงเห็นวา่ น่าจะยบั ย้งั การร่วมคิดกบั ผทู้ ี่มีแนวทางดงั กล่าว ในเร่ือง น้ีฝ่ ายที่เป็นผปู้ ระสานงานเห็นวา่ ไดม้ ีการดาํ เนินการในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็น เวลานาน หากไม่ไดน้ ายทหารอาวุโสผมู้ ีความเห็นตามแนวทางดงั กล่าวกจ็ ะสาํ เร็จไดย้ าก เพราะจะ ไดก้ าํ ลงั จากทา่ นผนู้ ้ีทางดา้ นโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนเสนาธิการเป็ นสาํ คญั จึงไดม้ ีการหาทาง ประนีประนอมกนั ต่อไป

69 ไดเ้ กิดเหตุการณ์ท่ีเอ้ือประโยชน์แก่คณะผกู้ ่อการ ฯ เป็นอยา่ งมาก คือ นายพลเอก พระองค์ เจา้ บวรเดช ฯ ที่ลาออกจากราชการทหารไป เพราะขดั แยง้ กบั จอมพลสมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระ นครสวรรคว์ รพนิ ิต ที่ทรงให้ลา้ งคาํ ส่งั เลื่อนยศเงินเดือนนายทหารในกองทพั บกเป็นจาํ นวนมาก พระองคเ์ จา้ บวรเดช ฯ จึงวางแผนการท่ีจะปรับปรุงการบริหารใหม้ ีรัฐธรรมนูญข้ึน เป็นแนวคิดท่ีจะ ทาํ ฎีกาข้ึนกราบบงั คมทูล ขอพระมหากรุณาพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ ฯ ใหพ้ ระราชทานรัฐ ธรรนูญ และในการน้ีจอมพลเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯ และเจา้ นายช้นั ผใู้ หญบ่ างพระองค์ ได้ กราบบงั คมทูลทดั ทานไวเ้ ร่ืองกจ็ ึงสงบเงียบไป การปรับความเข้าใจ เมื่อเร่ืองราวต่าง ๆ เงียบสงบลงไป ฝ่ ายผกู้ ่อการที่มีความเห็นไปตรงไปตรงกนั ในเรื่อง การ ปรับปรุงโครงสร้างและการจดั หน่วยทหารกไ็ ดม้ ีการปรับแนวความคิดดว้ ยการลดหยอ่ นผอ่ นเขา้ หา กนั คือแทนที่จะใหย้ บุ เลิกหน่วยบางระดบั หน่วย และยบุ เลิกยศนายพลเสียท้งั หมดก็เปลี่ยนเป็นยบุ เลิกแต่กองทพั คงหน่วยกองพลไว้ ส่วนนายพลก็จะลดจาํ นวนลงเหลือเพียง 5 คน ส่วนการ ปรับปรุงโดยทว่ั ไป กจ็ ะไดป้ รึกษากนั ดว้ ยดีต่อไป เป็ นที่พอใจกนั ท้งั สองฝ่ าย อยา่ งไรกต็ ามในการประชุมพบปะเพ่อื ปรับความเขา้ ใจดงั กล่าว ปรากฏวา่ ทางตาํ รวจกอง พิเศษ ไดเ้ ริ่มระแคะระคายและเฝ้าตรวจดูอยใู่ นรูปแบบต่าง ๆ คร้ันแลว้ วนั หน่ึง ผบู้ ญั ชาการตาํ รวจ กองปราบยศนายพนั ตาํ รวจเอก มีบรรดาศกั ด์ิเป็นพระยาไดป้ ลอมตวั เป็ นชาวนา สะกดรอยผกู้ ่อการ ฝ่ ายพลเรือน 2 คน จนไดท้ ราบเรื่องการคิดเปล่ียนแปลงการปกครองเป็นท่ีแน่ชดั ในที่สุดในตน้ เดือนมิถุนายน นายพลตาํ รวจโทพระยาอธิกรณ์ประเทศกบั ผบู้ งั คบั การตาํ รวจกองปราบ ไดป้ ระมวล เร่ืองของผกู้ ่อการ ฯ วา่ กาํ ลงั คิดการใหญ่ และจะลงมือยดึ อาํ นาจอยา่ งแน่นอน จึงไดท้ าํ หมายจบั ผกู้ ่อการ 5 คน เป็นนายทหาร 4 คน และพลเรือน 1 คน ไปกราบทูลจอมพลสมเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระ นครสวรรค์ ฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ใหล้ งพระนามในหมายเพือ่ จะทาํ การจบั กุมตอ่ ไป แต่ เม่ือพระองคไ์ ดท้ รงเห็นช่ือผกู้ ่อการ ก็ทรงเห็นวา่ บุคคลเหล่าน้ีลว้ นเป็นเด็ก ๆ ไม่มีความหมาย บาง คนพระองคก์ ไ็ ดเ้ คยรู้จกั ต้งั แต่เกิด และเมื่อเป็นนายทหารมหาดเล็กก็เคยรับใชอ้ ยูเ่ สมอ ส่วนคนอ่ืน ๆ ก็ดูเป็นตาํ แหน่งที่ไม่มีความหมายประการใด ดงั น้นั จึงทรงยบั ย้งั การออกหมายจบั มอบเรื่องใหพ้ ระ ยามานนวราชเสรี อธิบดีกรมอยั การ และพระยาอธิกรณ์ประเทศ อธิบดีกรมตาํ รวจไปพิจารณากนั ต่อไป เมื่อความทราบถึงผกู้ ่อการที่เป็ นนายทหารช้นั อาวุโสสูง จึงไดม้ ีการเรียกประชุมนายทหาร ช้นั ผใู้ หญ่มาปรึกษาวางแผนการ และกาํ หนดวนั ลงมือ

70 การปฏิบัตยิ ดึ อานาจการปกครอง จากผลการประชุมวางแผนการ ไดต้ กลงมอบหมายให้ นายทหาร 3 นาย ประกอบดว้ ย นายทหารยศนายพนั เอก 1 นาย ยศ นายพนั ตรี 1 นาย และยศ นายนาวาตรี 1 นาย เป็นคณะ บญั ชาการโดยเด็ดขาด คณะผกู้ ่อการ ฯ ไดถ้ ือโอกาสอนั เหมาะแก่การทาํ การ ในขณะท่ีเศรษฐกิจ การเงิน การคา้ ของ ประเทศไทยกาํ ลงั ทรุดโทรม ประชาชนเดือดร้อนในเร่ืองการครองชีพ งบประมาณแผน่ ดินก็ขาด แคลน ตอ้ งดุลขา้ ราชการเป็นการใหญ่ (คาํ วา่ ดุลยภาพในคร้ังน้นั เป็นการปรับจาํ นวนขา้ ราชการให้ ลดลง โดยใหอ้ อกจากราชการก่อนเกษียณอายเุ ป็นจาํ นวนมาก เพื่อลดคา่ ใชจ้ า่ ยของรัฐบาลลงใหเ้ กิด ความสมดุลย)์ นบั เป็นโอกาสท่ีจะไดอ้ าศยั มติมหาชนเป็ นกาํ ลงั ส่งเสริม สาํ หรับการลงมือยดึ อาํ นาจน้นั ไดถ้ ือโอกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ ฯ เสดจ็ แปร พระราชฐานไปหวั หิน เพ่อื ทอดพระเนตรการทดลองการยิงปื นใหญ่มีนายทหารช้นั ผใู้ หญ่ แม่ทพั นายกอง ไปร่วมในการประลองอาวธุ ในคร้ังน้นั ดว้ ยเป็นส่วนมากแผนสายฟ้าแลบ แผนการรวบรวมกาํ ลงั กรมกองทหารต่าง ๆ เขา้ ท่ีชุมพลท่ีลานพระบรมรูปทรงมา้ ไดน้ ้นั จดั เป็นแผนการฟ้าแลบ ทาํ การจู่โจมโดยกระทนั หนั ไม่ให้มีเวลายบั ย้งั ชง่ั คิด ท้งั น้ีโดยอาศยั กองพนั รถรบกบั ทหารมา้ เป็นทพั หนา้ เคล่ือนกาํ ลงั โดยมีนายทหารยศนายพนั ตรี มีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวง เป็นหวั แรงที่สาํ คญั ท่ีสุด และมีนายทหารยศนายร้อยอีก 3 นาย ซ่ึงประจาํ หน่วยรถรบไดเ้ ตรียมซอ้ ม เคร่ืองยนตค์ ิดปื นกล และเติมน้าํ มนั ไวพ้ ร้อม พอเป่ าแตรปลุก เป่ าแตรเร่งเร็ว และเป็นเหตุสาํ คญั ทหารท่ีถูกปลุกก็ตาลีตาลานรีบแต่งกายมาเขา้ ประจาํ แถว มีนายทหารฝ่ ายเสนาธิการ จาํ นวนมาก เทา่ ท่ีบนั ทึกไวไ้ ดม้ ี 5 คน ยศนายร้อยเอก และมีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวง ทุกคนเขา้ มาช่วยเร่งรัดให้ ทหารรีบข้ึนรถเขา้ ประจาํ ท่ี ส่วนนายทหารยศนายพนั เอกเหล่าทหารปื นใหญ่ ไดส้ ่ังใหเ้ ปิ ดคลงั อาวธุ จา่ ยกระสุนจริง บรรดาผบู้ งั คบั บญั ชาช้นั ผบู้ งั คบั หมวด และผบู้ งั คบั กองร้อยตา่ งก็ยนื งง มองดูการ ปฏิบตั ิอนั วปิ ริตซ่ึงไมเ่ คยพบ แตเ่ ม่ือเห็นนายทหารช้นั ผใู้ หญท่ ี่เป็นครูบาอาจารย์ เขา้ มาส่ังการก็ยอม จาํ นน พลอยสมทบเขา้ ประจาํ หน่วยในบงั คบั บญั ชาของตนดว้ ยความสงบ ส่วนนายพนั โทพระ ปฏิยทุ ธอริยน่ั ผบู้ งั คบั การกรม ไดม้ ีผกู้ ่อการจาํ นวนหน่ึงที่มีอาวธุ พร้อมควบคุมตวั มิใหล้ งจากบา้ น ขบวนการปฏิบตั ินาํ โดยกองพนั รถถงั นาํ โดยนายทหารมา้ ยศ นายพนั ตรี มีบรรดาศกั ด์ิเป็ น หลวง ติดตามดว้ ยกรมทหารปื นใหญ่ ในบงั คบั บญั ชาของนายทหารปื นใหญย่ ศนายพนั เอก มี บรรดาศกั ด์ิเป็นพระยา แลว้ มีกองพนั ทหารช่าง โดยมีนายทหารช่างยศ นายร้อยเอก มีบรรดาศกั ด์ิ เป็นหลวง ปิ ดทา้ ยกาํ กบั มา การควบคุมกาลงั แผนการยดึ อาํ นาจน้นั ไม่ไดม้ ุ่งหวงั ใชก้ าํ ลงั ทหารเป็นพลงั สู้รบ แต่มุ่งหมายเพื่อลวงให้ หน่วยทหารต่าง ๆ ในพระนครมาชุมนุมกนั ที่ลานพระบรมรูปทรงมา้ เป็นการรวมกาํ ลงั กนั มา

71 ควบคุมไวใ้ นที่จาํ กดั แลว้ เรียกประชุมนายทหารที่เป็ นผบู้ งั คบั บญั ชาของหน่วยทหารน้นั ๆ มา รวมกนั โดยมีคณะนายทหารผรู้ ่วมคิดในการก่อการ ฯ พกอาวธุ ครบครันลอ้ มกรอบอยโู่ ดยไมท่ ราบ จาํ นวน และไม่รู้วา่ ใครเป็ นใคร คร้ันเม่ือเขา้ มาชุมนุมพร้อมเพรียงกนั แลว้ นายทหารยศนายพนั เอก มีบรรดาศกั ด์ิเป็นพระยาเป็นผอู้ าวโุ ส เป็นหวั หนา้ นาํ การก่อการ ฯ โดย อ่านประกาศแถลงการณ์ เปล่ียนแปลงการปกครองดว้ ยเสียงอนั ดงั หนกั แน่นเด็ดขาด พอจบก็เปล่งเสียงไชโยดงั กึกกอ้ งสาม คร้ัง แลว้ พาคณะนายทหารพร้อมดว้ ยกาํ ลงั หน่วยทหารท้งั สิ้น พงั พระทวารประตูเขา้ ยดึ พระท่ีนง่ั อนนั ตสมาคม เป็นฐานทพั มีรถถงั ควบคุมกาํ กบั ตามมุมลานพระบรมรูปทรงมา้ อยา่ งเขม้ แขง็ กบั มี หน่วยกองพนั พาหนะของทหารเรือในบงั คบั บญั ชา ของนายทหารเรือยศนายเรือโท ขยายแถวหนา้ ลานพระบรมรูปทรงมา้ จา่ ยกระสุนจริงเตรียมพร้อม ที่จะปฏิบตั ิการไดท้ นั ที นบั วา่ เป็นความสาํ เร็จ ในการก่อการ ฯ ในเบ้ืองตน้ การจับกมุ บุคคลสาคัญ ในข้นั ต่อไป ไดอ้ อกจบั กุมบุคคลสาํ คญั ที่มีอาํ นาจสั่งการตอ่ ตา้ นเป็นหลายสาย ท่านที่มี ความสาํ คญั ท่ีสุดคือ จอมพลสมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯ ที่วงั บางขนุ พรหม โดยจดั รถถงั และรถลาํ เลียงที่มีกาํ ลงั ทหาร กาํ กบั ไปดว้ ย โดยมีนายทหารยศนายพนั โท ยศนายพนั ตรี และยศนาย นาวาตรี มีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวงท้งั 3 คน เป็นกาํ ลงั สาํ คญั เขา้ ยดึ วงั บางขนุ พรหม รถคนั หนา้ ไดเ้ ขา้ ยดึ สถานีตาํ รวจ ท่ีหนา้ วงั บางขนุ พรหม ปลดอาวธุ และควบคุมตวั ไว้ ส่วนรถถงั และรถลาํ เลียงอีก 1 คนั ไดม้ ุ่งเขา้ วงั บางขุนพรหม โดยมีนายทหารยศนายร้อยโท มีบรรดาศกั ด์ิเป็นขุนเขา้ กาํ กบั กอง รักษาการณ์ นายพลตาํ รวจโท พระยาอธิกรณ์ประกาศ อธิบดีกรมตาํ รวจไดเ้ ขา้ มาสกดั ก้นั ชกั ปื นพก ออกจะยงิ นายทหารผนู้ าํ กาํ ลงั เขา้ มา แต่ถูกนายทหารเรือยศนายนาวาตรี ที่กล่าวแลว้ ตบปื นกระเด็น ไป แลว้ เขา้ ควบคุมตวั ไว้ จากน้นั นายทหารผนู้ าํ กาํ ลงั เขา้ มา กม็ ุ่งไปท่ีตาํ หนกั ท่าน้าํ ซ่ึงจอมพล สมเดจ็ กรมพระนครสวรรค์ ฯ เตรียมเสด็จออกไปทางเรือ พอดีเรือตอปิ โดหาญทะเล ซ่ึงผกู้ ่อการ ฯ ฝ่ ายทหารเรือสงั่ ใหม้ า ลอยลาํ คอยควบคุมอยสู่ ่งั ทหารเรือเตรียมยงิ ทาํ ใหพ้ ระองคต์ อ้ งยอมจาํ นน โดยนายทหารผนู้ าํ กาํ ลงั เขา้ มา ไดก้ ราบทูลรับรองความปลอดภยั และเชิญเสดจ็ ไปประทบั ที่พระท่ี นงั่ อนนั ตสมาคม โดยไม่ยอมใหเ้ ปลี่ยนฉลองพระองคก์ ่อน ขบวนรถท่ีพาเสดจ็ ไปไดแ้ วะไปจบั นาย พลโท พระยาสีหราชฤทธิไกร ที่บา้ นริมวดั โพธ์ิ แลว้ จึงไปท่ีพระที่นงั่ อนนั ตสมาคม สาํ หรับนายพลตรี พระยาเสนาสงคราม ( ม.ร.ว. อ๋ี นพวงศ์ ) ผบู้ ญั ชาการกองพลท่ี 1 รักษา พระองค์ บา้ นอยถู่ นนนครชยั ศรี ไดถ้ ูกนายทหารยศนายร้อยโท มีบรรดาศกั ด์ิเป็นขนุ ยงิ บาดเจบ็ ไม่สามารถจะออกจากบา้ นมาบญั ชาการได้ โทรศพั ทถ์ ูกตดั ขาดการติดต่อ ไดเ้ ชิญเสดจ็ ฯ เจา้ นางช้นั ผใู้ หญ่ กกั กนั ควบคุมตวั ผบู้ งั คบั การกรม และบุคคลสาํ คญั ใน วงการทหารไว้ ที่กองรักษาการณ์ในพระท่ีนงั่ อนนั ต์ ฯ

72 การเกบ็ อาวุธ และยดึ โทรศัพท์กลาง ไดส้ ง่ั ใหเ้ ก็บอาวธุ กระสุนตามหน่วยทหารตา่ ง ๆ และเขา้ ควบคุมคลงั แสง เกือบจะมีการสู้ รบกนั โดยนายพนั ตรี หลวงไกรชิงฤทธ์ิ ( พุด วนิ ิจฉยั กุล ) ผบู้ งั คบั กองพนั ทหารมหาดเล็ก ที่ สะพานมฆั วาน ซ่ึงไดจ้ ดั ทหารหน่ึงกองร้อยขยายแถวเตรียมยงิ ต่อสู้ แต่เมื่อเห็นวา่ หมดทางตอ่ สู้ จึง ไดถ้ อนกาํ ลงั กลบั เขา้ ที่ต้งั ไป การยดึ สถานีโทรศพั ทก์ ลางท่ีวดั เลียบ ตอน 04.00 น. เพ่ือทาํ ลายการ ติดต่อส่ือสาร ผกู้ ่อการ ฯ ฝ่ ายพลเรือนจาํ นวน 6 คน เป็ นผูป้ ฏิบตั ิโดยมีกาํ ลงั ฝ่ ายทหารเรือใหค้ วาม คุม้ กนั มีการวางแผนตรวจสอบสถานท่ี และเตรียมการในรายละเอียดอยา่ งดี ดงั น้นั จึงใชเ้ วลาเพียง 15 นาทีก็สาํ เร็จเรียบร้อย เมื่อทางตาํ รวจเขา้ มาสอบถาม ทางฝ่ ายทหารเรือที่นาํ โดยนายทหารยศ นายเรือเอกมีบรรดาศกั ด์ิเป็ นหลวง กป็ ระกาศวา่ ไดเ้ กิดกบฏข้ึนในพระนคร ทางราชการทหารเรือ ไดม้ ีคาํ ส่งั ใหม้ ารักษาการณ์ แลว้ ไดจ้ บั กุมตาํ รวจเอาไว้ ในดา้ น อาวธุ และกระสุนน้นั มีเจา้ ของร้านปื นท้งั สองพีน่ อ้ ง ไดเ้ ป็นกาํ ลงั จดั หาอาวธุ ให้ ผกู้ ่อการฯฝ่ ายพลเรือนและพลพรรค การดาเนินการฝ่ ายบริหาร ต้งั ผรู้ ักษาการพระนคร เมื่อคณะทหารไดท้ าํ การยดึ อาํ นาจ โดยใชพ้ ระท่ีนง่ั อนนั ตสมาคม เป็นฐานทพั กไ็ ดแ้ ต่งต้งั คณะบุคคลคณะหน่ึง เป็นผรู้ ักษาพระนคร คือ นายพนั เอกพระยาพหลพล พยหุ เสนา นายพนั เอกพระยาทรงสุรเดช นายพนั เอกพระยาฤทธ์ิอคั รเนย์ แลว้ ไดส้ ่งโทรเลขไป กราบบงั คมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ ฯ ณ พระราชวงั ไกลกงั วลหวั หิน ในเรื่องการยดึ อาํ นาจเปล่ียนแปลงการปกครอง เพอื่ ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ เป็ นรากฐานในการปกครอง ประเทศ โดยใหน้ ายนาวาตรี หลวงศุภชลาศยั นาํ เรือรบหลวงไปเชิญเสดจ็ ฯ กลบั พระนคร ประชุมหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง ทางดา้ นการบริหารฝ่ ายพลเรือน ไดเ้ ชิญเสด็จ ฯ เสนาบดี และเจา้ กระทรวงกบั ปลดั กระทรวงมาประชุมที่พระท่ีนงั่ อนนั ตสมาคม โดยมีนายพนั เอกพระยา พหลพยหุ เสนา เป็นประธาน ไดช้ ้ีแจงใหท้ ี่ประชุมทราบถึงความมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงการ ปกครอง ซ่ึงคณะผกู้ ่อการ ฯ คงต้งั มนั่ ในความจงรักภกั ดี และเทิดทูนพระมหากษตั ริย์ กบั จะเคารพ ตอ่ สญั ญาท่ีรัฐบาลเดิม ไดม้ ีขอ้ ผกู พนั กบั ต่างประเทศโดยครบถว้ น ขอให้เจา้ กระทรวงดาํ เนินการ บริหารราชการประจาํ ไปตามปกติ จนกวา่ จะมีการประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญ และโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั รัฐบาลข้ึนมาใหม่ ขอใหช้ ่วยกนั รักษาความสงบใหบ้ า้ นเมืองอยใู่ นสภาพปกติต่อไปดว้ ยดี กบั ได้ เชิญหนงั สือพมิ พท์ ุกฉบบั มาช้ีแจงใหด้ ูและทราบเรื่องการเปล่ียนแปลงการปกครอง นอกจากน้ีได้ ทาํ หนงั สือเวยี นช้ีแจงสถานการณ์ไปใหส้ ถานทูตตา่ ง ๆ ทราบทวั่ กนั นอกจากน้ีคณะผูร้ ักษาพระ นครฝ่ ายทหารไดข้ อพระมหากรุณาใหส้ มเด็จเจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์ ฯ เสนาบดี กระทรวงมหาดไทย ไดล้ งพระนามในคาํ ประกาศ ขอใหข้ า้ ราชการประชาชนต้งั อยดู่ ว้ ยความสงบ

73 พระวจิ ารณ์ของพระราชวงศ์ผ้ใู หญ่ เม่ือพระราชวงศผ์ ใู้ หญ่ ถูกเชิญเสด็จไปประทบั อยทู่ ี่พระที่นงั่ อนนั ตสมาคม พระองคไ์ ดต้ รัส ถามผกู้ ่อการ ฯ คนหน่ึงซ่ึงพระองคร์ ู้จกั ดีวา่ ที่ยดึ อาํ นาจน้ีตอ้ งการอะไร ประสงคอ์ ะไร แลว้ จะดีกวา่ ที่เป็นอยเู่ ดิมหรือก็ไดร้ ับคาํ ตอบวา่ อารยประเทศทว่ั โลกก็มีปาเลียเมน้ ตท์ วั่ ไป ยกเวน้ แตอ่ บิสซิเนีย พระองคไ์ ดต้ รัสถามต่อไปวา่ พวกผกู้ ่อการซ่ึงส่วนใหญ่อายยุ งั นอ้ ย ส่วนใหญ่อยใู่ นวยั ประมาณ สามสิบปี เศษเหล่าน้ีรู้จกั คนไทยดีแลว้ หรือ เพราะเขาเหล่าน้ีจะตอ้ งเผชิญปัญหาเรื่องคน พระ ราชวงศจ์ กั รีไดป้ กครองเมืองมา ๑๕๐ ปี แลว้ รู้ดีวา่ คนไทยน้ีปกครองกนั อยา่ งไร คณะผูก้ ่อการ ฯ จะ เขน็ ครกข้ึนเขาไหวหรือ ก็ไดร้ ับคาํ ตอบวา่ การดาํ เนินการจะใหร้ าบร่ืนไปทีเดียวคงไม่ได้ คงตอ้ งมี การยดึ อาํ นาจกนั ต่อไปอีกหลายยคุ เร่ืองคอนสติติวชน่ั และปาเลียเมนต์ ก็จะเร่ิมตน้ กนั สักวนั หน่ึง ขอ้ ความในในปลิว ไดม้ ีการออกใบปลิวของคณะผกู้ ่อการ ฯ ซ่ึงมีขอ้ ความบางตอนที่ รุนแรงอยมู่ าก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในวรรคสุดทา้ ยของประกาศยดึ อาํ นาจมีความวา่ \"จะไดน้ าํ ประชาชนไปสู่ความสุขความเจริญอยา่ งประเสริฐสุด ซ่ึงเรียกเป็นศพั ทว์ า่ 'ศรี อารยะ' น้นั ก็พึงบงั เกิดแก่ราษฎรถว้ นหนา้ \" การนารัฐธรรมนูญขึน้ ทลู เกล้า ฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดม้ ีการนาํ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย ฉบบั ชว่ั คราวข้ึนทูลเกลา้ ฯ ถวาย ณ วงั สุโขทยั เมื่อวนั ท่ี 25 มิถุนายน 2475 ไดม้ ีผเู้ ขา้ เฝ้าเพื่อการน้ี 9 คน คือ นายพลเรือตรีพระยาศรยทุ ธ เสนีย์ นายพนั เอกพระยาทรงสุรเดช นายพนั เอกพระยาฤทธิอคั รเนย์ นายพนั โทพระประศาสน์ พทิ ยายทุ ธ นายพนั ตรีหลวงวรี ะโยธา หลวงประดิษฐม์ นูธรรม นายร้อยโทจรูญ ณ บางชา้ ง นายสงวน ตุลารักษ์ นายร้อยโทประยรู ภมรมนตรี ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหห้ ลวงประดิษฐ์ มนูธรรม นาํ รัฐธรรมนูญข้ึนมาทูลเกลา้ ฯ ถวายทรง รับสงั่ ถามวา่ ไดอ้ า่ นรัฐธรรมนูญฉบบั น้ีมาก่อนแลว้ หรือยงั กไ็ ดร้ ับคาํ ตอบวา่ ยงั มิไดอ้ า่ น เพราะมิใช่ หนา้ ที่โดยเฉพาะ และไดก้ ราบทูลตอ่ ไปวา่ ทางพระยาทรงสุรเดชไดป้ ระชุมกาํ ชบั ไวม้ นั่ คงแลว้ วา่ ใหร้ ่างรัฐธรรมนูญตามแบบองั กฤษ ซ่ึงมีพระมหากษตั ริยอ์ ยภู่ ายใตร้ ัฐธรรมนูญ จึงทรงรับสั่งวา่ ถูกตอ้ งแลว้ ตอ้ งการจะใหเ้ ป็ นเช่นน้นั แต่เรื่องอะไรจึงตอ้ งใชค้ าํ แทนเสนาบดีวา่ \"คณะกรรมการ ราษฎร\" ซ่ึงเป็นแบบรัสเซีย พระยาทรงสุรเดชไดก้ ราบทูลขอพระราชทานสารภาพผดิ และขอพระราชทานอภยั ที่มิได้ อ่านมาก่อน และขอถวายสัตยว์ า่ จะไปร่างมาใหมใ่ หเ้ ป็นไปตามพระราชประสงค์ ต่อมาในวนั ที่ 27 มิถุนายน 2475 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาไดเ้ ป็นผูน้ าํ รัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกลา้ ฯ ถวายใหท้ รงลงพระ ปรมาภิไธย ณ พระตาํ หนกั จิตรลดา ฯ และในวนั เดียวกนั ก็ไดม้ ีประกาศวทิ ยเุ ป็นทางการทวั่ ประเทศ ท่ีไดท้ รงพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกลา้ ฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญใหแ้ ก่ประชาชนชาว ไทย

74 ตอ่ มาไดป้ ระกาศต้งั คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวรข้ึน 8 คน คือ 1. พระยามโนปกรณ์นิติธาดา 2. พระยาเทพวฑิ ูรย์ 3. พระยาศรีวสิ ารวาจา 4. นายพลเรือโทพระยาราชวงั สนั 5. พระยาปรีดานฤเบศร์ 6. พระยามานนวราชเสวี 7. หลวงประดิษฐม์ นูธรรม 8. นายพนั ตรีหลวงสินาดโยธารักษ์ การร่างรัฐธรรมนูญใชเ้ วลา 2 เดือน 15 วนั เมื่อรวมเวลาตรวจเร่ืองอีก 1 เดือน รวมเป็น 3 เดือนเศษ ไดม้ ีพระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหม้ ีพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบบั ถาวร เม่ือวนั ที่ 10 ธนั วาคม 2475 พระราชกาหนดนิรโทษกรรม ในวนั ท่ีผกู้ ่อการคณะราษฎร ไดเ้ ขา้ เฝ้าพระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เพ่ือขอ พระราชทานรัฐธรรมนูญ เม่ือวนั ที่ 27 มิถุนายน 2475 ไดถ้ ือโอกาสทูลเกลา้ ฯ ถวายพระราชกาํ หนด นิรโทษกรรม นบั เป็นบทบญั ญตั ิฉบบั แรก ที่มีผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการ มีขอ้ ความดงั น้ี \" การกระทาํ ของผกู้ ่อการคณะราษฎรในคร้ังน้ี หากจะเป็นการละเมิดกฎหมายใด ๆ ก็ดี หา้ ม มิใหถ้ ือวา่ เป็นการละเมิดกฎหมาย พระราชกาํ หนดน้ีไดป้ ระกาศ ณ วนั ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 สรุปการปฏิบัตใิ นข้นั ต้น การก่อการคร้ังน้ี สาํ เร็จลงไดด้ ว้ ยการรู้จกั ใชโ้ อกาสวางแผนรัดกุม ปกปิ ด ฉบั พลนั เดด็ ขาด ผกู้ ่อการคณะราษฎร มีจุดหมาย เพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซ่ึงรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศ ผกู้ ่อการคณะราษฎร มิได้ พจิ ารณากาํ หนดลทั ธิเศรษฐกิจไวแ้ ต่เริ่มแรกแต่ประการใด ผกู้ ่อการคณะราษฎร ไม่ไดท้ ราบเร่ืองการจดั ต้งั คณะราษฎรมาก่อน และไม่ทราบเรื่องการ ขนานนามเสนาบดี ผบู้ ริหารประเทศเป็นกรรมการราษฎร แบบประเทศโซเวยี ตรัสเซีย ผกู้ ่อการคณะราษฎร ไดเ้ สนอให้นายพนั เอกพระยาพหลพลพยหุ เสนาเป็นผนู้ าํ ในฐานะท่ี เป็นผอู้ าวโุ ส และไดจ้ ดั ต้งั ผูร้ ักษาพระนครฝ่ ายทหาร รวม 3 คน คือ นายพนั เอกพระยาพหลพล พยหุ เสนา นายพนั เอกพระยาทรงสุรเดช และนายพนั เอกพระยาฤทธิอคั รเนย์

75 สภาผ้แู ทนราษฎรและคณะรัฐบาล ผกู้ ่อการคณะราษฎร ไดพ้ ิจารณาดว้ ยบุคคลท่ีมีคุณสมบตั ิเหมาะสมที่จะเป็ นหวั หนา้ รัฐบาล ไดม้ ีการเสนอมหาอาํ มาตยโ์ ทพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซ่ึงเคยเป็ นผูพ้ ิพากษาศาลฎีกา และเป็ น อาจารยส์ อนวชิ ากฎหมายเป็นประธานคณะราษฎร ซ่ึงจะเสนอต่อสภาผแู้ ทนราษฎรตอ่ ไป ไดม้ ีการเลือกสรรสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรประเภทท่ีสอง จาํ นวน 70 คน โดยไดแ้ บ่งให้ เป็ นส่วนของผูก้ ่อการ ฯ ก่ึงจาํ นวน อีกก่ึงหน่ึงได้เลือกจากข้าราชการช้ันผูใ้ หญ่ ที่บรรดาศกั ด์ิ เจา้ พระยา 3 คน ช้นั พระยา 22 คน ส่วนมากเป็นผพู้ พิ ากษา ทหารบก และทหารเรือ กองทพั ละ 3 คน ที่เหลือเป็นผรู้ ่วมการกบฏ ร.ศ. 130 จาํ นวน 4 คน นกั หนงั สือพิมพก์ บั พอ่ คา้ อีกจาํ นวนหน่ึง ไดเ้ ลือกมหาอาํ มาตยเ์ อกเจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี อดีตเสนาบดีกระทรวงธรรมการ เป็ น ประธานสภา และนายพลตรีพระยาอินทรวชิ ิต เป็นรองประธานสภา การคดั เลือกผแู้ ทนราษฎรประเภทท่ีสอง มีปัญหาพอสมควร เพราะคณะผกู้ ่อการ ฯ มี 98 คน ไดร้ ับเลือกเพียง 30 คน สาํ หรับฝ่ ายทหารไดก้ าํ หนดผูท้ ่ีจะเป็ นไดใ้ นระดบั ยศนายพนั ตรี และนาย นาวาตรีข้ึนไป ความเห็นไม่ตรงกนั ก่อนเปล่ียนแปลงการปกครอง ผกู้ ่อการ ฯ บางคนมีความเห็นขดั แยง้ กนั ในเร่ืองการ ปรับปรุงกองทพั แต่ในที่สุดกป็ ระนีประนอมกนั ได้ ต่อมาเม่ือเปล่ียนแปลงการปกครองสําเร็จ ก็เร่ิม กลบั ไปดาํ เนินการตามแนวความคิดเดิมของตน โดยจะใหค้ งเหลือนายพลไว้ 2 นาย คือ ตาํ แหน่ง ปลดั ทูลฉลอง (ปลดั กระทรวง)กลาโหม กบั สมุหราชองครักษม์ ีการต้งั กรรมการเลือกผูบ้ งั คบั บญั ชา กบั ท้งั ส่ังการโยกยา้ ยหน่วยทหารโดยฉบั พลนั เกิดความวนุ่ วายในกองทพั เป็ นอยา่ งมาก เหตุการณ์ ดงั กล่าวทาํ ให้ท้งั สองฝ่ ายท่ีมีความเห็นไม่ตรงกนั ก็เป็ นอริแก่กนั เกิดการรวมตวั เป็ นกลุ่มเป็ นพวก และไดแ้ ผข่ ยายไปสู่พวกพลเรือนดว้ ย ร่างรัฐธรรมนูญ ในการนาํ ร่างรัฐธรรมนูญเขา้ สู่สภาผูแ้ ทนราษฎร ไดม้ ีเร่ืองโตแ้ ยง้ สําคญั อยูห่ ลาย ประการ กล่าวคือ ประการแรก เก่ียวกบั บทบญั ญตั ิท่ีระบุให้เจา้ นาย และบรมวงศานุวงศอ์ ยูเ่ หนือ การเมือง โดยมีเจตจาํ นงท่ีจะมิให้เจา้ นายมาพวั พนั ตอ้ งถูกโจมตีให้เสียศกั ด์ิศรี จึงควรให้อยูเ่ หนือ การเมือง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ทรงเห็นชอบด้วย แต่มีพระราชปรารภว่าไม่ควรจะ บญั ญตั ิไวใ้ นรัฐธรรมนูญ ให้เป็ นการตดั สิทธิของเจา้ นายที่เป็ นพลเมืองไทยคนหน่ึง แต่จะทรงมี ประกาศเป็นพระราชนิยม ที่จะมิใหเ้ จา้ นายเขา้ มาเกี่ยวขอ้ งในเรื่องการเมือง ประการต่อมาคือ การใช้คาํ ว่า \" กรรมการราษฎร \" แทนคาํ วา่ เสนาบดี ไดเ้ ป็ นเร่ืองที่ วพิ ากษว์ จิ ารณ์กนั โดยเฉพาะผทู้ ี่เป็นแกนสาํ คญั ในการร่างรัฐธรรมนูญ ซ่ึงเป็ นขา้ ราชการพลเรือน

76 มีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวง คงยนื ยนั จะใหใ้ ชค้ าํ วา่ \" กรรมการราษฎร \" ใหจ้ งได้ มีผเู้ สนอให้ใชค้ าํ อ่ืน แทน เช่น เลขาธิการว่าการกระทรวง เหมือนอย่างสหรัฐอเมริกา บางท่านเสนอให้ใช้คาํ ว่า \" ประศาสนกามาทย์ และมีท่านหน่ึงซ่ึงเป็ นนายทหารบก เสนอให้ใชค้ าํ ว่า \" รัฐมนตรี \" และมี ผูส้ นับสนุน คาํ น้ีเป็ นคาํ โบราณที่แปลว่า ข้าราชการ ผูม้ ีอาํ นาจในแผ่นดินซ่ึงใช้กนั ทว่ั ไปใน อินเดีย มลายู และชวา และคาํ ว่า รัฐมนตรีน้ี เคยมีใช้กันมาในสมัย พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกลา้ ฯ ท่ีเรียกวา่ สภารัฐมนตรี มีขา้ ราชการพลเรือนอีกคนหน่ึง มีบรรดาศกั ด์ิเป็ นหลวง ไดต้ ่อวา่ ผทู้ ่ีกล่าววา่ กรรมการราษฎร เป็ นคาํ ที่ใชอ้ ยู่เฉพาะ เป็ นรัสเซียคอมมิวนิสต์ และบอกว่า เป็ นเร่ืองของคํา ๆ เดียว ไม่เกี่ยวกับลัทธิ ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติให้ใช้คาํ ว่า \" รัฐมนตรี แทน \" กรรมการราษฎร\" ดว้ ยคะแนนเสียง 28 ตอ่ 7 งดออกเสียง 26 พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทางรัฐบาลไดก้ าํ หนดวนั รัฐธรรมนูญ ฉบบั ถาวรในวนั ที่ 10 ธนั วาคม 2475 ณ พระที่นง่ั อนนั ตสมาคม ในวนั พระราชพธิ ีรับพระราชทานรัฐธรรมนูญ ไดจ้ ดั เป็ นงานมโหฬาร ขา้ ราชการท้งั ในและนอกราชการ ตลอดจนทูตานุทูต ไดเ้ ขา้ เฝ้าประจาํ ตาํ แหน่งอยา่ งครบครัน สําหรับขา้ ราชการ พลเรือน ไดย้ กเลิกยศอาํ มาตย์ ดงั น้นั เครื่องแบบท่ีเคยแต่งอยา่ งสง่างาม จึงเปล่ียนมาเป็ นเคร่ืองแบบ ชุดขาวติดแผงที่คอ เมื่อไดฤ้ กษ์ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี ก็ไดน้ าํ รัฐธรรมนูญข้ึนทูลเกลา้ ฯ ถวาย พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฯ ทรงลงพระปรมาภิไธย ในท่ามกลางมหาสมาคม แลว้ ทรงพระ กรุณาโปรดเกลา้ ฯ มอบรัฐธรรมนูญใหแ้ ก่พระยามโนปกรณ์ ฯ งานฉลองรัฐธรรมนูญคร้ังแรก งานพระราชพิธีฉลองรัฐธรรมนูญ ไดม้ ีการหยุดราชการ 3 วนั และจดั ใหม้ ีงานมหรสพที่ ทอ้ งสนามหลวง และสวนลุมพนิ ี มีการประดบั โคมไฟกนั ทวั่ ไปในพระนคร ตลอดจนต่างจงั หวดั ดว้ ย ในโอกาสน้ีไดป้ ระพนั ธ์บทเพลงชาติข้ึน โดยความริเร่ิมของนายพนั เอกพระยาทรง สุรเดช เป็นการกระตุน้ เตือนใหค้ นไทย สาํ นึกในชาติกาํ เนิดของตน ในงานฉลองรัฐธรรมนูญไดม้ ีเรื่องท่ีเน่ืองมาจากการปกครองแบบใหม่อยหู่ ลายเรื่องดว้ ยกนั คือ นกั เรียนโรงเรียนอสั สัมชญั ไดห้ ยดุ เรียนมาชุมนุมประทว้ งระเบียบการของโรงเรียน จีนลาก รถรับจา้ งสไตร๊คหยุดงานประทว้ งนายจา้ งท่ีเอาเปรียบ และไม่ปรับปรุงรถให้อยูใ่ นสภาพที่ใชก้ าร ได้ ลูกศิษยว์ ดั บางแห่งถือหลกั สิทธิเสมอภาคกนั ไม่หุงขา้ วให้พระฉนั และมีเร่ืองขบขนั เกิดข้ึนใน บางจงั หวดั เมื่อมีการฉลองรัฐธรรมนูญกนั มโหฬาร ก็เขา้ ใจวา่ เป็ นการสมโภชบุตรชายคนใหม่ ของพระยาพหล เป็นตน้

77 เร่ืองที่ 5 บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในการพฒั นาชาตไิ ทย บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริย์ในการพฒั นาชาตไิ ทย สถาบนั พระมหากษตั ริยม์ ีบทบาทสาํ คญั อยา่ งยง่ิ ในการพฒั นาชาติไทยมาต้งั แตอ่ ดีตจนถึง ปัจจุบนั ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี 1) การป้องกันและรักษาเอกราชของชาติ นบั ต้งั แต่อดีตพระมหากษตั ริยท์ รงอยใู่ นฐานะจอมทพั เป็ นผนู้ าํ ในการทาํ สงครามเพอื่ ป้องกนั บา้ นเมืองและขยายอาํ นาจ เช่นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากพม่า และทาํ สงครามเพ่ือสร้างความมน่ั คงและขยายอาํ นาจของกรุงศรีอยธุ ยาหรือสมเด็จพระเจา้ ตากสิน มหาราชทรงประกาศอิสรภาพจากพม่าและทาํ สงครามเพื่อสร้างความมนั่ คงและขยายอาํ นาจของ กรุงศรีอยธุ ยาหรือสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชทรงเป็นผนู้ าํ ขบั ไล่พมา่ หลงั เสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังที่ 2 และสถาปนากรุงธนบุรีเป็ นราชธานีแห่งใหมใ่ นรัชสมยั พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชก็ทรงเป็นแมท่ พั สาํ คญั มาต้งั แตส่ มยั ธนบุรีทรงทาํ สงครามกบั พมา่ สงครามคร้ังใหญ่ คือ สงครามเกา้ ทพั เม่ือ พ.ศ. 2328 แมแ่ ตใ่ นสมยั ท่ีไทยเผชิญภยั คุกคามจากจกั รวรรดินิยมตะวนั ตกท้งั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ก็ทรงเป็นผนู้ าํ ในการดาํ เนินนโยบายตา่ งๆ เพือ่ รักษาเอกราชของชาติโดยใชน้ โยบายทางการทูตสร้าง ความสัมพนั ธ์กบั ราชสาํ นกั ต่างชาติเมื่อเผชิญกบั ความขดั แยง้ กบั ชาติตะวนั ตกเช่น รัฐบาลไทยใช้ การเจรจาทางการทูตท้งั การเจรจาในเมืองไทยและในฝร่ังเศสในกรณี ร.ศ. 112 โดยขนุ นางไทยและ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงเจรจากบั ฝร่ังดว้ ยพระองคเ์ องเม่ือคราวเสด็จ ประพาสยโุ รปคร้ังที่ 1 พ.ศ. 2440 นอกจากน้ีทรงผกู มิตรกบั รัสเซียเพ่ือใหร้ ัสเซียช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยกบั ฝรั่งเศสอีกทางหน่ึง และทรงยอมเสียดินแดนส่วนนอ้ ยท่ีไม่ใช่ดินแดนไทยเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไวห้ รือในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฏเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประกาศเขา้ ร่วมกบั ฝ่ ายสัมพนั ธมิตรในสงครามโลก คร้ังท่ี 1 (ค.ศ. 1914 - 1918) และส่งทหารไทยไปยโุ รปดว้ ยทาํ ใหไ้ ทยไดป้ ระโยชน์จากการเขา้ ร่วมกบั ฝ่ ายชนะสงครามโดยไดย้ กเลิกสนธิสัญญาไมเ่ ป็นธรรมที่เคยทาํ กบั ชาติตะวนั ตกไวใ้ นเวลา ต่อมา 2) การสร้างสรรค์วฒั นธรรมไทย บทบาทของสถาบนั พระมหากษตั ริยใ์ นการสร้างสรรคว์ ฒั นธรรมไทยจดั วา่ มีความสาํ คญั อยา่ งยงิ่ ต่อ การพฒั นาชาติไทยดว้ ยเช่นกนั โดยสามารถสรุปไดด้ งั น้ี 1. ดา้ นประเพณีและพิธีสาํ คญั ต่าง ๆพระมหากษตั ริยท์ รงมีบทบาทสาํ คญั ในการ สร้างสรรคพ์ ระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติไทยมาต้งั แต่อดีตท้งั พระราชพิธีที่ เก่ียวกบั พระมหากษตั ริยโ์ ดยตรง เช่น พระราชพธิ ีราชาภิเษกพระราชพธิ ีของรัฐ เช่น พระราชพิธี จรดพระนงั คลั แรกนาขวญั และพระพระราชพธิ ีทางศาสนา เช่นพระราชพิธีเสด็จพระราชดาํ เนิน

78 ทอดผา้ พระกฐินโดยกระบวนพยหุ ยาตราทางชลมารควนั สาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา ลว้ นมี พระมหากษตั ริยด์ ป็ นผนู้ าํ ในการปฏิบตั ิ 2. ดา้ นศาสนาพระมหากษตั ริยไ์ ทยทุกยคุ ทุกสมยั เป็นองคอ์ ุปถมั ภแ์ ละส่งเสริมการ เผยแผพ่ ระพุทธศาสนาท้งั การสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน การสงั คายนาพระไตรปิ ฏก การแตง่ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เช่น สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาที่ 1(ลิไทย)ทรงแต่งไตรภูมิ พระร่วงหรือสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถทรงสนบั สนุนใหน้ กั ปราชญร์ าชบณั ฑิตร่วมกนั แตง่ หนงั สือเรื่องมหาชาติคาํ หลวง นอกจากน้ี พระมหากษตั ริยไ์ ทยทรงมีขนั ติธรรมทางศาสนาทรงให้ เสรีภาพในการนบั ถือศาสนาแก่ราษฎร และทรงสนบั สนุนศาสนาอ่ืน ๆ เช่นพระราชทานที่ดินให้ สร้างเป็นโบสถค์ ริสตแ์ ละมสั ยดิ ในศาสนาอิสลามท้งั ในสมยั อยธุ ยาและรัตนโกสินทร์เป็นตน้ 3) ด้านวฒั นธรรมการดาเนินชีวติ ในอดีตราชสาํ นกั เป็ นศูนยก์ ลางประเพณีและวฒั นธรรมชาวบา้ นจะเรียนแบบการประพฤติ ปฏิบตั ิของชาววงั เช่น การแต่งกายอาหารนบั ต้งั แต่รัชสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เป็นตน้ มาพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นผนู้ าํ ในการเปล่ียนแปลงวฒั นธรรมการดาํ เนินชีวติ โดยเฉพาะการรับวฒั นธรรมแบบตะวนั ตก เช่น การใชช้ อ้ นส้อม การนง่ั โตะ๊ เกา้ อ้ีการแต่งกายแบบ ตะวนั ตก ทาํ ใหว้ ฒั นธรรมแบบใหมแ่ พร่หลายไปสู่ประชาชน คร้ันถึงสมยั พระบาทสมเดจ็ พระ มงกฏุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงปลูกฝังเร่ืองชาตินิยมใหค้ นไทยมีความรักและจงรักภกั ดีต่อ \"ชาติ ศาสน์ กษตั ริย\"์ ซ่ึงกลายเป็นคาํ ขวญั มาจนถึงปัจจุบนั ทรงนาํ ประเทศเขา้ สู่สังคมนานาชาติในทางวฒั นธรรม โดยใหค้ นไทยมีนามสกลุ เพ่อื แสดงถึงความเป็นชาติที่มีอารยธรรมมีการใชค้ าํ นาํ หนา้ เด็ก สตรี บุรุษ ทรงเปล่ียนการนบั เวลาตามแบบสากล 24 นาฬิกาและทรงประดิษฐธ์ งชาติแบบใหม่ เรียกวา่ \"ธง ไตรรงค\"์ ใหเ้ หมือนกบั ธงท่ีประเทศส่วนใหญ่ใชก้ นั 4) ด้านศิลปกรรม แบง่ ออกเป็น 4.1) ดา้ นวรรณกรรมพระมหากษตั ริยไ์ ทยหลายพระองคท์ รงมีพระปรีชาสามารถ ทางการประพนั ธ์ เช่นรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์นิราศรบพม่าที่ท่าดินแดนบทละครเรื่อง รามเกียรต์ิ รัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์เร่ืองอิเหนากาพยเ์ ห่เรือชมเครื่องคาวหวาน รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องเงาะป่ า ไกลบา้ น รัชกาลท่ี 6 ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรม มากมาย เช่นเทศนาเสือป่ า นิทานทองอิน ศกุนตลา มทั นะพาธา รวมท้งั ทรงแปลบทละครของ วลิ เลียม เชกสเปี ยร์ เช่น เวนิสวานิช โรมิโอและจูเลียต รวมท้งั รัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ทรงแปลเรื่องนายอินทร์ ผปู้ ิ ดทองหลงั พระติโต (Tito) จากตน้ ฉบบั ภาษาองั กฤษ เป็ นตน้ 4.2) ดา้ นสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมผลงานดา้ นสถาปัตยกรรม ท่ีพระมหากษตั ริยไ์ ทยหลายพระองค์โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างข้ึนมีอยู่มากมาย เช่น ในสมยั อยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 (อู่ทอง) โปรดเกลา้ ฯ ให้สร้างพระปรางคว์ ดั พุทไธสวรรย์ ตามแบบศิลปะ

79 ลพบุรี สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 2 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระเจดียใ์ หญ่ 3 องคใ์ นวดั พระศรีสรรเพชญ์ ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทยั ส่วนในสมยั รัตนโกสินทร์ เช่น รัชสมยั ท่ี 1 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระบรมมหาราชวงั และวดั พระศรีรัตนศาสดาราม ซ่ึงเป็นผลงานชิ้นเอกดา้ นสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอนั เป็น สมบตั ิของชาติมาถึงปัจจุบนั โดยโปรดใหถ้ ่ายแบบพระบรมมหาราชวงั ท่ีกรุงศรีอยธุ ยามาสร้าง เช่น พระท่ีนงั่ ดุสิตมหาปราสาท นอกจากน้ีโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างป้อมปราการเรียงรายไวร้ อบพระนคร ป้อมที่เหลือมาถึงปัจจุบนั คือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ รัชกาลที่ 2 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้าง พระเจดียใ์ หญ่ 3 องคใ์ นวดั พระศรีสรรเพชญ์ ซ่ึงไดร้ ับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทยั ส่วนในสมยั รัตนโกสินทร์ เช่น รัชกาลที่ 1 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระบรมมหาราชวงั และวดั พระศรีรัตนศาสดา ราม ซ่ึงเป็นผลงานชิ้นเอกดา้ นสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมอนั เป็นสมบตั ิของชาติมาถึงปัจจุบนั โดยโปรดใหถ้ ่ายแบบพระบรมมหาราชวงั ท่ีกรุงศรีอยธุ ยามาสร้าง เช่น พระที่นง่ั ดุสิตมหาปราสาท นอกจากน้ีโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างป้อมปราการเรียงรายไวร้ อบพระนคร ป้อมที่เหลือมาถึงปัจจุบนั คือ ป้อมพระสุเมรุและป้อมมหากาฬ รัชกาลท่ี 2 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างสวนขวาข้ึนใน พระบรมมหาราชวงั เพ่ือเป็นที่ทรงพระสาํ ราญและตอ้ นรับแขกเมือง ทรงแกะสลกั บานประตูวหิ าร พระศรีศากยมุนีท่ีวดั สุทศั นเทพวราราม รัชกาลท่ี 3 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างโลหะปราสาทที่วดั ราช นดั ดาราม และโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างและซ่อมแซมพระราชวงั เช่น เปลี่ยนหลงั คาพระท่ีนงั่ ดุสิตมหา ปราสาทและเพ่ิมการปิ ดทองเขา้ ไป ร้ือประตูกาํ แพงวงั เดิมเป็นประตูท่ีมียอดมณฑปเป็นไม้ เปล่ียนเป็นประตูหอรบอยา่ งท่ีเห็นอยใู่ นปัจจุบนั และโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างป้อมปราการเพิม่ เติม โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ป้อมที่ต้งั อยทู่ างปากอา่ วไทย ในสมยั รัชกาลท่ี 5 ไดร้ ับอิทธิพลจากวฒั นธรรม ตะวนั ตก จึงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างตึกและพระท่ีนงั่ ท้งั แบบตะวนั ตก และประยกุ ตร์ ะหวา่ งศิลปะ ไทยกบั ตะวนั ตก เช่น พระที่นงั่ อนนั ตสมาคม พระท่ีนงั่ จกั รีมหาปราสาท พระที่นง่ั วมิ านเมฆ เป็น ตน้ สาํ หรับงานประติมากรรมส่วนใหญ่จะโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระพทุ ธรูป เช่น สมเดจ็ พระ รามาธิบดีที่ 2 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระศรีสรรเพชญป์ ระดิษฐานไวใ้ นวิหารหลวง วดั พระศรีสรร เพชญ์ ในสมยั รัตนโกสินทร์ เช่น รัชกาลที่ 2 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระพุทธธรรมิศราชโลกธาตุ ดิลก พระประธานในพระอุโบสถวดั อรุณราชวราราม โดยทรงป้ันพระพกั ตร์ดว้ ยพระองคเ์ อง รัชกาลท่ี 9 โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ ร้างพระพทุ ธรูปบางประทานพร ภ.ป.ร. รวมท้งั ทรงสร้างพระพมิ พ์ ส่วนพระองค์ คือ พระพิมพจ์ ิตรลดา เป็ นตน้ ในดา้ นจิตรกรรม เช่น สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชโปรดเกลา้ ฯ ใหช้ ่างเขียนเขียนสมุด ภาพไตรภูมิ เพื่อใหค้ นท้งั หลายประกอบความดีละเวน้ ความชว่ั รัชกาลท่ี 3 ทรงใหก้ ารส่งเสริม ช่างฝีมือทุกชาติ งานจิตรกรรมในรัชสมยั น้ีจึงมีอยหู่ ลายแห่งท่ีมีการนาํ ศิลปะจีนเขา้ มาผสม เช่น ประตูพระท่ีนง่ั อิศราวนิ ิจฉยั ในพระราชวงั บวรสถานมงคล (พพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร) มี การประดบั ลวดลายท่ีแตกต่างไปจากเดิม คือ มีลายตน้ ไม้ ดอกไม้ นก แมลง และกิเลน ซ่ึงเป็นสตั ว์

80 ในตาํ นานของจีนปรากฏอยดู่ ว้ ย ขณะเดียวกนั ก็มีการเขียนสีทอง ซ่ึงดดั แปลงมาจากจิตรกรรมของ ไทยมีความโดดเด่น รวมท้งั รัชกาลที่ 9 ทรงวาดภาพฝีพระหตั ถ์ ซ่ึงมีท้งั แบบเหมือนจริง (Realism) แบบเอกซ์เพรสชนั นิซึม (Expressionism) และแบบนามธรรม (Abstractionism) 4.3) ดา้ นนาฏกรรมและการดนตรี นาฏกรรมของไทยเร่ิมมีแบบแผนข้ึนในสมยั สมเด็จพระ บรมราชาธิราชที่ 2 (เจา้ สามพระยา) โดยไดร้ ับอิทธิพลมาจากละครหลวงของเขมรและโปรดใหม้ ี การเล่นดึกดาํ บรรพ์ (ซ่ึงตอ่ มาพฒั นาเป็นการแสดงโขน) จนกระทงั่ ถึงในสมยั สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศโปรดการเล่นละครอยา่ งมาก จึงทรงส่งเสริมการละครจนมีความเจริญรุ่งเรืองคร้ันเม่ือเสีย กรุงศรีอยธุ ยาแก่พมา่ ใน พ.ศ. 2310 การละครไทยเสื่อมโทรมลง สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชได้ โปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าํ พม่าใน พ.ศ. 2310 การละครไทยเสื่อมโทรมลง สมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราช ไดโ้ ปรดเกลา้ ฯ ใหน้ าํ ละครหญิงของเจา้ นครเมื่อคราวเสดจ็ ลงไปปราบชุมนุมเจา้ นครเขา้ มาเป็นครู ฝึกร่วมกบั พวกละครที่ทรงรวบรวมจากที่ตา่ ง ๆ ฝึกหดั เป็ นละครหลวงข้ึนใหม่ ในสมยั รัตนโกสินทร์ นาฏกรรมไดร้ ับการฟ้ื นฟูในสมยั รัชกาลที่ 1 และไดร้ ับการส่งเสริมให้เจริญกา้ วหนา้ ในสมยั รัชกาลท่ี 2 ทรงฟ้ื นฟูท่าราํ อยา่ งโบราณท้งั โขนและละคร และปรับปรุงทา่ รําตา่ ง ๆ ดว้ ย พระองคเ์ อง ทรงส่งเสริมการละคร ซ่ึงกลายเป็นตน้ แบบทางการละครท่ีสืบเน่ืองมาถึงปัจจุบนั ใน ดา้ นการดนตรี รัชกาลท่ี 2 ทรงชาํ นาญการเล่นซอสามสาย ทรงใชซ้ อที่พระราชทานนามวา่ \"ซอ สายฟ้าฟาด\" ประพนั ธ์เพลง \"บุหลนั ลอยเล่ือน\" หรือ บุหลนั ลอยฟ้า\" ในสมยั รัชกาลท่ี 7 ทรง ประพนั ธ์เพลงราตรีประดบั ดาว และในสมยั รัชกาลที่ 9 ทรงประพนั ธ์เพลงพระราชนิพนธ์ไวจ้ าํ นวน มาก เช่น พรปี ใหม่ ลมหนาว ใกลร้ ุ่ง สายฝน เป็นตน้ กล่าวโดยสรุป ในประวตั ิศาสตร์ไทยมีประเด็นสาํ คญั หลายเรื่องที่น่าศึกษา เช่น ประเด็น เกี่ยวกบั ความเป็นมาของชนชาติไทย อาณาจกั รโบราณในดินแดนไทยและอิทธิพลที่มีตอ่ สังคมไทย ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การสถาปนาอาณาจกั รไทย สาเหตุและผลการปฏิรูป การปกครองบา้ นเมือง การเลิก ทาสและเลิกไพร่ การเสด็จประพาสยโุ รปและหวั เมืองสมยั รัชกาลที่ 5 การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 บทบาทของสตรีไทยนอกจากน้ี ตลอดประวตั ิศาสตร์ไทยจะเห็นไดว้ า่ ไทยเป็ นชนชาติท่ี มีพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นผนู้ าํ ในการสร้างความมน่ั คงทางการเมืองการปกครอง รวมท้งั การสร้างสรรค์ วฒั นธรรมและพฒั นาบา้ นเมืองใหเ้ จริญรุ่งเรือง

81 กจิ กรรมท้ายบทที่ 3 1. พระมหากษตั ริยไ์ ทยพระองคใ์ ด ทรงมีพระปรีชาสามารถและความกลา้ หาญ ทาํ ใหข้ า้ ศึกยกทพั เขา้ มาโจมตีไทยอีกเป็ นเวลาหลายร้อยปี ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 2. ในสมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงต้งั สภาท่ีปรึกษาราชการแผน่ ดินข้ึน 2 สภ คือ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. 3. จงบอกสาเหตุที่นาํ ไปสู่การเปล่ียนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาอยา่ งนอ้ ย 3 ขอ้ ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................

82 ผลงานบุคคลสาคัญในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย สาระสาคญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทยและพฒั นาจนเจริญรุ่งเรืองดงั เช่นทุกวนั น้ีส่วนหน่ึงเป็ นเพราะ บุคคลสาํ คญั จาํ นวนมาก ท้งั พระมหากษตั ริยเ์ ช้ือพระวงศข์ นุ นาง สามญั ชนท้งั ชาวไทยและ ชาวตา่ งชาติ ไดม้ ีบทบาทสาํ คญั ในการสร้างสรรคช์ าติไทยดา้ นต่างๆ ท้งั ทางดา้ นการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และศิลปวฒั นธรรมซ่ึงบุคคลท่ีหยบิ ยกมาเป็ นตวั อยา่ งในท่ีน้ีลว้ นทาํ คุณประโยชน์ ตอ่ ประเทศชาติมีความซื่อสัตยค์ วามจงรักภกั ดีต่อพระมหากษตั ริย์ มีความวริ ิยะอุตสาหะ มีความรัก และความรับผดิ ชอบต่อชาติบา้ นเมือง สมควรท่ีคนรุ่นหลงั ควรยดึ ถือและนาํ ไปใชเ้ ป็ นแบบอยา่ งใน การดาํ เนินชีวติ ผลการเรียนรู้ทคี่ าดหวงั วเิ คราะห์ผลงานของบุคคลสาํ คญั ท้งั ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีส่วนสร้างสรรคว์ ฒั นธรรม ไทยและประวตั ิศาสตร์ไทย ขอบข่ายเนื้อหา เร่ืองที่ 1 พระมหากษตั ริยท์ ี่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย เร่ืองที่ 2 พระบรมวงศานุวงศท์ ี่มีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย เร่ืองท่ี 3 ขนุ นางและชาวต่างชาติท่ีมีบทบาทในการสร้างสรรคช์ าติไทย กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ศึกษาเอกสารการเรียนรู้ 2. ปฏิบตั ิกิจกรรมตามท่ีไดร้ ับมอบหมายในเอกสารการเรียนรู้ ส่ือประกอบการเรียนรู้ 1. คู่มือการเรียนรู้ 2. แบบฝึกหดั ประเมินผล 1. จากแบบฝึกหดั 2. จากการทดสอบกลางภาคและปลายภาคเรียน

83 บทท่ี 4 ผลงานบุคคลสาคญั ในการสร้างสรรค์ชาตไิ ทย เรื่องที่ 1 พระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทในการสร้างสรรค์ชาติไทย 1. พ่อขุนศรีอนิ ทราทติ ย์ พ่อขุนศรีอนิ ทราทติ ย์ หรือพระนามเตม็ กมรเตงอัญศรีอนิ ทรบดินทราทติ ย์ พระนามเดิม \"พอ่ ขนุ บางกลางหาว\" เป็นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชวงศ์ พระร่วง ตามประวตั ิศาสตร์ไทย ทรงครองราชย์ ต้งั แต่ พ.ศ. 1792 ถึงปี ใดไมท่ ราบ พระนาม 1. พอ่ ขนุ บางกลางหาว 2. พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ 3. บางกลางหาว 4. พระร่วง 5. พระอินทราชา 6. อรุณราช 7. ไสยรังคราช หรือไสยรังคราชา 8. ไสยนรงคราช 9. รังคราช หรือสุรังคราช 10. พระร่วง หรือโรจนราช สาํ หรับพระนามแรก คือ พ่อขนุ บางกลางหาวน้นั เป็ นพระนามด้งั เดิมเมื่อคร้ังเป็นเจา้ เมือง บางยาง เป็นท่ียอมรับกนั โดยทว่ั ไปวา่ พอ่ ขนุ บางกลางหาวเป็นพระนามสมยั เป็นเจา้ เมืองบางยาง โดยแทจ้ ริง พระนามท่ีสองน้นั เป็นพระนามที่ใชก้ นั ทางราชการ เป็นพระนามที่เชื่อกนั วา่ ทรงใชเ้ ม่ือ ราชาภิเษกแลว้ พระนาม \"ศรีอินทราทิตย\"์ มีบง่ อยใู่ นศิลาจารึก ส่วนคาํ นาํ หนา้ พระนาม \"ศรีอินทราทิตย\"์ มีคาํ เรียกแตกต่างกนั ไปวา่ ขนุ ศรีอินทราทิตยบ์ า้ ง พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยบ์ า้ ง บางกลางหาวศรีอินทราทิตยบ์ า้ ง และบางทีก็เรียกพระเจา้ ขนุ ศรีอินทราทิตย์

84 พระราชกรณยี กจิ พอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตย์ เมื่อคร้ังยงั เป็นพอ่ ขนุ บางกลางหาว ไดร้ ่วมมือกบั พอ่ ขนุ ผาเมือง เจา้ เมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนาํ ถุม รวมกาํ ลงั พลกนั กระทาํ รัฐประหารขอมสบาดโขลญลาํ พง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลยั และเมืองบางขลงได้ และยกท้งั สองเมืองให้พ่อขุนผา เมือง ส่วนพอ่ ขนุ ผาเมืองตีเมืองสุโขทยั ได้ ก็ไดม้ อบเมืองสุโขทยั ให้พอ่ ขนุ บางกลางหาว พร้อมพระ ขรรคช์ ยั ศรีและพระนาม \"ศรีอินทรบดินทราทิตย\"์ ซ่ึงไดน้ าํ มาใชเ้ ป็นพระนาม ภายหลงั ไดค้ ลายเป็ น ศรีอินทราทิตย์ การเขา้ มาครองสุโขทยั ของพระองค์ ส่งผลใหร้ าชวงศพ์ ระร่วงเขา้ มามีอิทธิพลในเขต นครสุโขทยั เพ่ิมมากข้ึน และไดแ้ ผข่ ยายดินแดนกวา้ งขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสรลวงสอง แคว ก็ยงั คงเป็นฐานกาํ ลงั ของราชวงศศ์ รีนาวนาํ ถุมอยู่ ในกลางรัชสมยั ทรงมีสงครามกบั ขนุ สามชน เจา้ เมืองฉอด ทรงชนชา้ งกบั ขนุ สามชน แต่ชา้ ง ทรงพระองค์ ไดเ้ ตลิดหนีดงั คาํ ในศิลาจารึกวา่ \"หนีญญ่ายพ่ายจแจ๋น\" (หนี-ยอ-ยา่ ย-พ่าย-จอ-แจน้ ) ขณะน้นั พระโอรสองค์เล็ก มีพระปรีชาสามารถ ได้ชนชา้ งชนะขุนสามชน ภายหลงั จึงทรงเฉลิม พระนามพระโอรสวา่ รามคาํ แหง ในยุคประวตั ิศาสตร์ชาตินิยม มีคติหน่ึงที่เช่ือกนั วา่ พระองคท์ รงเป็ นผูน้ าํ ชาวสยามต่อสู้กบั อิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิ ทรงไดช้ ยั ชนะและประกาศอิสรภาพต้งั ราชอาณาจกั รสุโขทยั ข้ึน และ ทรงเป็ นปฐมกษตั ริยแ์ ห่งราชอาณาจกั รไทย แต่ภายหลงั คติดงั กล่าวไดร้ ับการพิสูจน์แลว้ วา่ ไม่จริง เพราะพระองคไ์ ม่ไดเ้ ป็นปฐมกษตั ริย์ อีกท้งั ยงั มีพอ่ ขนุ ศรีนาวนาํ ถุม ครองสุโขทยั อยกู่ ่อนแลว้ พระราชวงศ์ พ่อขนุ ศรีอนิ ทราทติ ย์ มีพระราชโอรสและพระธิดารวม 5 พระองค์ ไดแ้ ก่ 1. พระราชโอรสองคโ์ ต (ไม่ปรากฏนาม) เสียชีวติ ต้งั แตย่ งั ทรงพระเยาว์ 2. พอ่ ขนุ บานเมือง 3. พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช (พระนามขณะท่ียงั ทรงพระเยาวไ์ ม่ปรากฏ) 4. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม) 5. พระธิดา (ไมป่ รากฏนาม) แมไ้ ม่ทราบแน่นอนวา่ พระองคส์ ิ้นพระชนมใ์ นปี ใด แตภ่ ายหลงั จากพระองคส์ ิ้นพระชนม์ แลว้ พอ่ ขนุ บานเมือง พระราชโอรสพระองคใ์ หญ่ ไดส้ ืบราชสมบตั ิแทน

85 2. พ่อขุนรามคาแหง พ่อขุนรามคาแหงมหาราช หรือ พญาร่วง หรือ พระบาทกมรเตงอญั ศรีรามราช เป็นพระมหากษตั ริยพ์ ระองคท์ ี่ 4 ในราชวงศพ์ ระร่วงแห่งราชอาณาจกั รสุโขทยั เสวยราชย์ ประมาณ พ.ศ. 1822 ถึงประมาณ พ.ศ. 1841 พระองคท์ รงเป็นกษตั ริยพ์ ระองคแ์ รกของไทยที่ไดร้ ับ การยกยอ่ งเป็น \"มหาราช\" ดว้ ยทรงบาํ เพญ็ พระราชกรณียกิจอนั ทรงคุณประโยชนแ์ ก่แผน่ ดิน ทรง รวบรวมอาณาจกั รไทยจนเป็ นปึ กแผน่ กวา้ งขวาง ท้งั ยงั ไดท้ รงประดิษฐต์ วั อกั ษรไทยข้ึน ทาํ ใหช้ าติ ไทยไดส้ ะสมความรู้ทางศิลปะ วฒั นธรรม และวชิ าการตา่ ง ๆ สืบทอดกนั มากวา่ เจด็ ร้อยปี พระราชประวตั ิ พระประสูติกาล พ่อขุนรามคาํ แหงมหาราชเป็ นพระราชโอรสองค์ท่ี 3 ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ กบั นาง เสือง พระเชษฐาองคแ์ รกสิ้นพระชนมต์ ้งั แต่พ่อขุนรามคาํ แหง ยงั ทรงพระเยาว์ พระเชษฐาองค์ท่ี สองทรงพระนามตามศิลาจารึกวา่ \"พระยาบานเมือง\" ซ่ึงไดเ้ สวยราชยต์ ่อจากพระราชบิดา และเม่ือ สิ้นพระชนมแ์ ลว้ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชกเ็ สวยราชยแ์ ทนต่อมา ตามพงศาวดารโยนก พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชแห่งกรุงสุโขทยั พญามงั รายมหาราชแห่ง ลา้ นนา และพญางาํ เมืองแห่งพะเยา เป็นศิษยร์ ่วมพระอาจารยเ์ ดียวกนั ณ สาํ นกั พระสุกทนั ตฤๅษี ที่เมืองละโว้ จึงน่าจะมีอายรุ ุ่นราวคราวเดียวกนั โดยพญามงั รายประสูติเมื่อ พ.ศ. 1782 พอ่ ขนุ รามฯ น่าจะประสูติในปี ใกลเ้ คียงกนั น้ี พระนาม เม่ือพอ่ ขุนรามคาํ แหงมหาราชมีพระชนมายสุ ิบเกา้ พรรษา ไดท้ รงทาํ ยทุ ธหตั ถีมีชยั ตอ่ ขนุ สาม ชน เจา้ เมืองฉอด (อยบู่ นน้าํ แม่สอดใกลจ้ งั หวดั ตาก แต่อาจจะอยใู่ นเขตประเทศพม่าในปัจจุบนั ) พระราชบิดาจึงทรงขนานพระนามวา่ \"พระรามคาํ แหง\" ซ่ึงแปลวา่ \"พระรามผกู้ ลา้ หาญ\"

86 ราชบณั ฑิตยสถานสนั นิษฐานวา่ พระนามเดิมของพระองคค์ ือ \"ราม\" เพราะปรากฏพระนาม เม่ือเสวยราชยแ์ ลว้ วา่ \"พอ่ ขนุ รามราช\" อน่ึง สมยั น้นั นิยมนาํ ชื่อป่ ูมาต้งั เป็ นชื่อหลาน ซ่ึงตามพระราช นดั ดาของพระองคม์ ีพระนามวา่ \"พระยาพระราม\" และในช้นั พระราชนดั ดาของพระราชนดั ดา ใน เหตุการณ์การแยง่ ชิงราชสมบตั ิกรุงศรีอยธุ ยา พ.ศ. 1962 ตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบบั หลวง ประเสริฐอกั ษรนิต์ิปรากฏเจา้ เมืองพระนามวา่ \"พระยาบาลเมือง\" และ \"พระยาราม\" การเสวยราชย์ นายตรี อมาตยกุล ไดเ้ สนอวา่ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชน่าจะเสวยราชย์ พ.ศ. 1820 เพราะ เป็นปี ท่ีทรงปลูกตน้ ตาลท่ีสุโขทยั ศาสตราจารยป์ ระเสริฐ ณ นคร ราชบณั ฑิต จึงไดห้ าหลกั ฐานมาประกอบพบวา่ กษตั ริยไ์ ทย อาหมถือประเพณีทรงปลูกตน้ ไทรตอนข้ึนเสวยราชยอ์ ยา่ งนอ้ ยเจ็ดรัชกาลดว้ ยกนั ท้งั น้ี เพอ่ื สร้าง โชคชยั วา่ รัชกาลจะอยยู่ นื ยงเหมือนตน้ ไทร อน่ึง ตน้ ตาลและตน้ ไทรเป็นไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิของลงั กาจน ทาํ หาย พระราชกรณยี กจิ รัชสมยั ของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชเป็ นยคุ ท่ีกรุงสุโขทยั เฟ่ื องฟูและเจริญข้ึนกวา่ เดิมเป็ น อนั มาก ระบบการปกครองภายในก่อใหเ้ กิดความสงบเรียบร้อยอยา่ งมีประสิทธิภาพ มีการติดตอ่ สัมพนั ธ์กบั ต่างประเทศท้งั ในดา้ นเศรษฐกิจและการเมือง ประชาชนอยดู่ ีกินดี สภาพบา้ นเมือง กา้ วหนา้ ท้งั ทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทยั ไดข้ ยายออกไปกวา้ งใหญ่ไพศาล การเมืองการปกครอง เม่ือพอ่ ขนุ ศรีอินทราทิตยท์ รงขจดั อิทธิพลของเขมรออกไปจากกรุงสุโขทยั ไดใ้ นปลายพทุ ธ ศตวรรษที่ 18 การปกครองของกษตั ริยส์ ุโขทยั ไดใ้ ชร้ ะบบปิ ตุราชาธิปไตยหรือ \"พ่อปกครองลูก\" ดงั ขอ้ ความในศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาํ แหงวา่ คาํ พดู \"...เมื่อชว่ั พอ่ กู กบู าํ เรอแก่พอ่ กู กูไดต้ วั เน้ือตวั ปลา กู เอามาแก่พอ่ กู กไู ดห้ มากส้มหมากหวาน อนั ใดกินอร่อยดี กเู อามาแก่พอ่ กู กไู ปตีหนงั วงั ชา้ งได้ กเู อา มาแก่พอ่ กู กูไปท่อบา้ นท่อเมือง ไดช้ า้ งไดง้ วง ไดป้ ั่วไดน้ าง ไดเ้ งือนไดท้ อง กูเอามาเวนแก่พอ่ ก.ู .\" ขอ้ ความดงั กล่าวแสดงการนบั ถือบิดามารดา และถือวา่ ความผกู พนั ในครอบครัวเป็นเรื่อง สาํ คญั ครอบครัวท้งั หลายรวมกนั เขา้ เป็นเมืองหรือรัฐ มีเจา้ เมืองหรือพระมหากษตั ริยเ์ ป็ นหวั หนา้ ครอบครัว ปรากฏขอ้ ความในศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาํ แหงวา่ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงใชพ้ ระราช อาํ นาจในการยตุ ิธรรมและนิติบญั ญตั ิไวด้ งั ต่อไปน้ี 1) ราษฎรสามารถคา้ ขายไดโ้ ดยเสรี เจา้ เมืองไม่ เรียกเก็บจงั กอบหรือภาษีผา่ นทาง 2) ผใู้ ดลม้ ตายลง ทรัพยม์ รดกกต็ กแก่บุตร และ 3) หากผใู้ ดไม่ได้

87 รับความเป็ นธรรมในกรณีพิพาท กม็ ีสิทธิไปสัน่ กระด่ิงที่แขวนไวห้ นา้ ประตูวงั เพื่อถวายฎีกาตอ่ พระมหากษตั ริยไ์ ด้ พระองคก์ ็จะทรงตดั สินดว้ ยพระองคเ์ อง นอกจากน้ี พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราชยงั ทรงใชพ้ ทุ ธศาสนาเป็นเคร่ืองช่วยในการปกครอง โดยไดท้ รงสร้าง \"พระแท่นมนงั คศิลาบาตร\"ข้ึนไวก้ ลางดงตาล เพอื่ ใหพ้ ระเถรานุเถระแสดงพระ ธรรมเทศนาแก่ประชาชนในวนั พระ ส่วนวนั ธรรมดาพระองคจ์ ะเสด็จประทบั เป็นประธานให้ เจา้ นายและขา้ ราชการปรึกษาราชการร่วมกนั เศรษฐกจิ และการค้า โปรดใหส้ ร้างทาํ นบกกั น้าํ ท่ีเรียกวา่ “สรีดภงส์” เพ่ือนาํ น้าํ ไปใชใ้ นตวั เมืองสุโขทยั และ บริเวณใกลเ้ คียง โดยอาศยั แนวคนั ดินท่ีเรียกวา่ “เขื่อนพระร่วง” ทาํ ใหม้ ีน้าํ สาํ หรับใชใ้ นการ เพาะปลูกและอุปโภคบริโภคในยาม ท่ีบา้ นเมืองขาดแคลนน้าํ ทรงส่งเสริมการคา้ ขายอยา่ งเสรีภายในราชอาณาจกั รดว้ ยการไม่เก็บภาษีผา่ นด่านหรือ “จก อบ” (จงั กอบ) จากบรรดาพอ่ คา้ ท่ีเขา้ มาคา้ ขายในกรุงสุโขทยั ดงั คาํ จารึกบนศิลาจารึกวา่ \"เจา้ เมือง บ่ เอาจกอบในไพร่ลู่ทาง\" นอกจากน้ียงั มีหลกั ฐานที่ปรากฏวา่ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงส่งเสริม ใหช้ าวสุโขทยั นิยมการคา้ ขายน้นั ปรากฏตามศิลาจารึกตอนหน่ึงวา่ \"เพื่อนจูงววั ไปคา้ ขี่มา้ ไปขาย ใครจะใคร่คา้ ชา้ งคา้ ใครจกั ใคร่คา้ มา้ คา้ ใครจกั ใคร่คา้ เงือนคา้ ทองคา้ \" อนั เป็ นการแสดงใหเ้ ห็นวา่ ทรงเปิ ดเสรีทุกประการในการคา้ ขาย ทาํ ใหก้ ารคา้ ขายขยายออกไปอยา่ งกวา้ งขวางจนปรากฏแหล่ง การคา้ สาํ คญั ในสุโขทยั ไดแ้ ก่ \"ตลาดปสาน\" จากศิลาจารึกกล่าววา่ \"เบ้ืองตีนนอนเมืองสุโขทยั มี ตลาดปสาน\" ในดา้ นเศรษฐกิจระหวา่ งประเทศ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั มหาอาํ นาจอยา่ ง \"จีน\" โดยนอกจากการเพ่ิมพนู สมั พนั ธไมตรีตามปกติแลว้ ยงั โปรดใหน้ าํ ช่างจาก ชาวจีนมาเพ่ือก่อต้งั โรงงานต้งั เตาทาํ ถว้ ยชามท้งั เพอ่ื ใชใ้ นประเทศ และสามารถส่งออกไปยงั ประเทศใกลเ้ คียงไดด้ ว้ ย ถว้ ยชามท่ีผลิตในยคุ น้ีเรียกวา่ \"ชามสังคโลก\" ศาสนาและวฒั นธรรม ทรงคิดประดิษฐอ์ กั ษรไทยข้ึนใชแ้ ทนตวั อกั ษรขอมท่ีเคยใชก้ นั มาแตเ่ ดิม เม่ือ พ.ศ. 1826 เรียกวา่ “ลายสือไทย” และไดม้ ีการพฒั นาการมาเป็นลาํ ดบั จนถึงอกั ษรไทยในยคุ ปัจจุบนั ทาํ ใหค้ น ไทยมีอกั ษรไทยใชม้ าจนถึงทุกวนั น้ี โปรดใหจ้ ารึกเร่ืองราวบางส่วนท่ีเกิดในสมยั ของพระองค์ โดยปรากฏอยใู่ นศิลาจารึกสุโขทยั หลกั ที่ 1 ทาํ ใหค้ นไทยยคุ หลงั ไดท้ ราบ และนกั ประวตั ิศาสตร์ไดใ้ ชศ้ ิลาจารึกดงั กล่าวเป็นขอ้ มูล หลกั ฐานในการศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองราวประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ทรงรับเอาพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ลทั ธิลงั กาวงศ์ จากลงั กา ผา่ นเมือง นครศรีธรรมราช มาประดิษฐานท่ีเมืองสุโขทยั ทาํ ใหพ้ ระพุทธศาสนาวางรากฐานมนั่ คงใน

88 อาณาจกั รสุโขทยั และเผยแผไ่ ปยงั หวั เมืองตา่ งๆในราชอาณาจกั รสุโขทยั จนกระทงั่ ไดก้ ลายเป็น ศาสนาประจาํ ชาติไทยมาจนถึงทุกวนั น้ี เมื่อพระพุทธศาสนาไดม้ าต้งั มนั่ ที่นครศรีธรรมราช พ่อขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงเล่ือมใส ศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงให้นิมนตพ์ ระเถระช้นั ผูใ้ หญ่จากเมืองนครศรีธรรมราชไปต้งั เผยแผ่ พระพุทธศาสนาท่ีกรุงสุโขทยั ดว้ ย และนบั เป็ นการเริ่มการเจริญสัมพนั ธไมตรีกบั ลงั กา อีกท้งั ทรง ไดส้ ดบั กิตติศพั ทข์ อง \"พระพุทธสิหิงค์\" ซ่ึงเป็ นพระพุทธรูปที่เจา้ ราชวงศล์ งั กาสร้างข้ึนดว้ ยพระ พุทธลกั ษณะท่ีงดงาม และมีความศกั ด์ิสิทธ์ิ จึงทรงให้พระยานครศรีธรรมราช เจา้ ประเทศราชแต่ง สาส์นให้ทูตถือไปยงั ลงั กา เพ่ือขอเป็ นไมตรีและขอพระราชทานพระพุทธสิหิงค์มาเพื่อเป็ นพระ คูบ่ า้ นคูเ่ มืองไทยสืบไป อาณาเขต พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชไดท้ รงขยายอาณาเขตออกไปอยา่ งกวา้ งขวางไพศาล คือ ทิศตะวนั ออก ทรงปราบไดเ้ มืองสรหลวงสองแคว (พษิ ณุโลก), ลุมบาจาย, สะคา้ (สองเมือง หลงั น้ีอาจอยแู่ ถวลุ่มแม่น้าํ น่านหรือแควป่ าสกั ก็ได)้ , ขา้ มฝั่งแมน่ ้าํ โขงไปถึงเวยี งจนั ทน์และเวยี งคาํ ในประเทศลาว ทิศใต้ ทรงปราบไดค้ นที (บา้ นโคน จงั หวดั กาํ แพงเพชร), พระบาง (นครสวรรค)์ , แพรก (ชยั นาท), สุพรรณภูมิ, ราชบุรี, เพชรบุรี, และนครศรีธรรมราช โดยมีฝั่งทะเลสมุทร (มหาสมุทร) เป็ นเขตแดนไทย ทิศตะวนั ตก ทรงปราบไดเ้ มืองฉอด,มีสมุทรเป็นเขตแดนไทย ทิศเหนือ ทรงปราบไดเ้ มืองแพร่, เมืองน่าน, เมืองพลวั (อาํ เภอปัว น่าน), ขา้ มฝั่งโขงไปถึง เมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็ นเขตแดนไทย ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ การใชค้ วามสมั พนั ธ์ทางดา้ นการทูตและความสมั พนั ธ์ทางดา้ นวฒั นธรรม โดยเฉพาะ ทางดา้ นพระพทุ ธศาสนาแทนการทาํ สงคราม ทาํ ใหส้ ุโขทยั มีแตค่ วามสงบร่มเยน็ ไม่เกิดสงครามกบั แควน้ ตา่ งๆ ในสมยั ของพระองค์ และไดห้ วั เมืองประเทศราชเพมิ่ ข้ึนอีกดว้ ย ทรงทาํ พระราชไมตรีกบั พญามงั รายมหาราชแห่งลา้ นนา และพญางาํ เมืองแห่งพะเยา โดย ทรงยนิ ยอมใหพ้ ญามงั รายมหาราชขยายอาณาเขตลา้ นนาทางแมน่ ้าํ กก แม่น้าํ ปิ ง และแม่น้าํ วงั ได้ อยา่ งสะดวก เพอื่ ใหเ้ ป็ นกนั ชนระหวา่ งจีนกบั สุโขทยั กบั ท้งั ยงั ไดเ้ สด็จไปทรงช่วยเหลือพญามงั ราย มหาราชหาชยั ภูมิสร้างเมืองเชียงใหมเ่ ม่ือ พ.ศ. 1839 ดว้ ย ทางอาณาจกั รมอญ มีพอ่ คา้ ช่ือ \"มะกะโท\" เขา้ รับราชการอยใู่ นราชสาํ นกั ของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช มะกะโทไดผ้ กู สมคั รรักใคร่กบั \"เจา้ เทพธิดาสร้อยดาว\" พระธิดาของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช แลว้ พากนั หนีไปอยเู่ มืองเมาะตะมะ แลว้ จึงขออภยั โทษต่อพอ่ ขนุ รามคาํ แหง

89 มหาราช ขอพระราชทานนาม และขอยนิ ยอมเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทยั ซ่ึงพอ่ ขนุ รามคาํ แหง ไดพ้ ระราชทานนามวา่ \"พระเจา้ ฟ้าร่ัว\" ทางทิศใต้ ไดท้ รงอาราธนาพระมหาเถรสังฆราชผเู้ รียนจบพระไตรปิ ฎกมาจาก นครศรีธรรมราช ใหม้ าเผยแพพ่ ทุ ธศาสนาในกรุงสุโขทยั ส่วนดา้ นเมืองละโวน้ ้นั ทรงปล่อยใหเ้ ป็นเอกราชอยู่ เพราะปรากฏวา่ ยงั ส่งเครื่องบรรณาการ ไปจีนอยรู่ ะหวา่ ง พ.ศ. 1834 ถึง พ.ศ. 1840 ท้งั น้ี พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชกค็ งจะไดท้ รงผกู ไมตรี กบั เมืองละโวไ้ ว้ นอกจากน้ี พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชเองกท็ รงส่งราชทูตไปจีนสามคร้ังเพือ่ เจริญ สัมพนั ธไมตรี ประดิษฐกรรม พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชทรงประดิษฐอ์ กั ษรไทยข้ึนใชเ้ มื่อ พ.ศ. 1826 ตวั หนงั สือไทยของ พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชมีลกั ษณะพิเศษกวา่ ตวั หนงั สือของชาติอ่ืนซ่ึงขอยมื ตวั หนงั สือของอินเดีย มาใช้ กล่าวคือ พระองคไ์ ดท้ รงประดิษฐพ์ ยญั ชนะ สระ และวรรณยกุ ต์ เพ่มิ ข้ึนใหส้ ามารถเขียน แทนเสียงพูดของคาํ ในภาษาไทยไดท้ ุกคาํ กบั ท้งั ไดน้ าํ สระและพยญั ชนะมาอยใู่ นบรรทดั เดียวกนั โดยไมต่ อ้ งใชพ้ ยญั ชนะซอ้ นกนั ทาํ ใหเ้ ขียนและอ่านหนงั สือไทยไดง้ ่ายและสะดวกมากข้ึน วรรณกรรม วรรณกรรมสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชสูญหายไปหมดแลว้ คงเหลือแต่ศิลาจารึกพอ่ ขนุ รามคาํ แหง (พ.ศ. 1835) ซ่ึงแมจ้ ะมีขอ้ ความเป็ นร้อยแกว้ แตก่ ม็ ีสัมผสั คลอ้ งจองทาํ ใหไ้ พเราะ ซาบซ้ึงตรึงใจ เช่น คาํ พูด...ในน้าํ มีปลา ในนามีขา้ ว...ลู่ทางเพื่อนจูงววั ไปคา้ ข่ีมา้ ไปขาย...เห็นขา้ ว ทา่ นบใ่ คร่พิน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด นบั เป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทยั ซ่ึงตกทอดมาถึงปัจจุบนั โดยอยา่ งไรก็ดี ในช่วง ต้งั แต่ พ.ศ. 2520 เป็นตน้ มา มีขอ้ สงสัยทางวชิ าการวา่ ศิลาจารึกดงั กล่าวจะมิไดท้ าํ ข้ึนในสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช และมีผเู้ สนอวา่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ผทู้ รงพบศิลาน้นั เม่ือ เสดจ็ จาริกธุดงค์ เป็นผทู้ รงทาํ ศิลาน้นั ข้ึนเพื่อเหตุผลทางการเมืองในการสร้างประวตั ิศาสตร์ชาติไทย ใหช้ าติตะวนั ตกเห็นวา่ มีและรุ่งเรืองมาอยา่ งยาวนาน เป็ นการป้องปัดภยั การล่าอาณานิคมในสมยั น้นั ท้งั น้ีขอ้ สงสยั น้ีกาํ ลงั เป็นท่ีถกเถียงกนั อยู่

90 3. พระมหาธรรมราชาท่ี 1 (ลิไท) พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พระบาทกมรเตงอัญศรีสุริยพงศ์รามมหาราชาธิราช, พระบาทกมรเตงอญั ฦๅไทยราช , พระยาลือไทย หรือ พระยาลไิ ทย (ครองราชย์ พ.ศ. 1890 - พ.ศ. 1919) พระมหากษตั ริยอ์ าณาจกั รสุโขทยั ราชวงศพ์ ระร่วงลาํ ดบั ท่ี 6 เป็นพระโอรสพระยาเลอ ไทย และพระราชนดั ดาของพอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราช พระราชประวตั ิ พระยาลิไทยเป็นกษตั ริยอ์ งคท์ ี 6 แห่งอาณาจกั รสุโขทยั ข้ึนครองราชยต์ ่อจากพระยางวั่ นาํ ถุม เดิมทรงปกครองเมืองศรีสัชนาลยั ในฐานะองคอ์ ุปราชหรือรัชทายาทเมืองสุโขทยั เมื่อปี พ.ศ. 1882 เม่ือพระยาเลอไทยเสด็จสวรรคตใน พ.ศ. 1884 พระยางว่ั นาํ ถุมไดข้ ้ึนครองราชยจ์ นเสดจ็ สวรรคตในพ.ศ. 1890 พระยาลิไทยโดยตอ้ งใชก้ าํ ลงั ทหารเขา้ มายดึ อาํ นาจเพราะท่ีสุโขทยั เกิดการ กบฏการสืบราชบลั ลงั ก์ ไม่เป็นไปตามครรลองครองธรรม พระยาลิไทยยกทพั มาแยง่ ชิงราชสมบตั ิ ได้ และข้ึนครองราชยใ์ น พ.ศ. 1890 ทรงพระนามวา่ พระบาทกมรเตงอญั ศรีสุริยพงษร์ ามมหาธรรม ราชาธิราช ในศิลาจารึกมกั เรียกพระนามเดิมวา่ \"พญาลิไทย\" หรือเรียกยอ่ วา่ พระมหาธรรมราชาท่ี 1 พระราชกรณีกิจ การศาสนา พระยาลิไทยทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอยา่ งมากนโยบายการปกครองที่ใช้ ศาสนา เป็นหลกั รวมความเป็ นปึ กแผน่ จึงเป็นนโยบายหลกั ในรัชสมยั น้ี ดว้ ยทรงดาํ ริวา่ การจะขยาย อาณาเขตต่อไปเช่นเดียวกบั ในรัชการพอ่ ขนุ รามคาํ แหง พระอยั กา ก็จกั ตอ้ งนาํ ไพร่พลไปลม้ ตายอีก เป็นอนั มาก พระองคจ์ ึงทรงมีพระราชประสงคท์ ่ีจะปกครองบา้ นเมืองเช่นเดียวกบั พระเจา้ อโศก

91 มหาราชท่ีทรงปกครองอินเดียใหเ้ จริญไดด้ ว้ ยการส่งเสริมพระพทุ ธศาสนา และสง่ั สอนชาวเมืองให้ ต้งั อยใู่ นศีลธรรมอนั จะเป็นวิธีรักษาเมืองใหย้ งั่ ยนื อยไู่ ด้ ทรงสร้างเจดียท์ ่ีเมืองนครชุม (กาํ แพงเพชร) ผนวชในพระพทุ ธศาสนาเม่ือ พ.ศ. 1905 ที่วดั ป่ ามะม่วงการที่ทรงออกผนวช นบั วา่ ทาํ ความมน่ั คงใหพ้ ทุ ธศาสนามากข้ึน ดงั กล่าวแลว้ วา่ หลงั รัชสมยั พอ่ ขนุ รามคาํ แหงมหาราชแลว้ บา้ นเมืองแตกแยก วงการสงฆเ์ องก็แตกแยก แต่ละสาํ นกั แต่ ละเมืองก็ปฏิบตั ิแตกตา่ งกนั ออกไป เม่ือผูน้ าํ ทรงมีศรัทธาแรงกลา้ ถึงข้นั ออกบวช พสกนิกรท้งั หลาย ก็คลอ้ ยตามหนั มาเล่ือมใสตามแบบอยา่ งพระองค์ กิตติศพั ทข์ องพระพทุ ธศาสนาในสุโขทยั จึงเลื่อง ลือไปไกล พระสงฆช์ ้นั ผใู้ หญห่ ลายรูปไดอ้ อกไปเผยแพร่ธรรมในแควน้ ตา่ ง ๆ เช่น อโยธยา หลวง พระบาง เมืองน่าน แมแ้ ต่พระเจา้ กือนาธรรมิกราชแห่งอาณาจกั รลา้ นนาก็นิมนตพ์ ระสุมณเถระ จากสุโขทยั ไปเพอ่ื เผยแพร่ธรรมท่ีลา้ นนา นอกเมืองสุโขทยั ทางทิศตะวนั ตก ทรงอาราธนาพระสามิสงั ฆราชจากลงั กาเขา้ มาเป็ น สงั ฆราชในกรุงสุโขทยั เผยแพร่เพ่มิ ความเจริญใหแ้ ก่พระศาสนามากยง่ิ ข้ึน ทรงสร้างและบูรณะวดั มากมายหลายแห่ง รวมท้งั การสร้างพระพุทธรูปเป็นจาํ นวนมาก เช่น พระพุทธชินสีห์ พระศรี ศาสดา และพระพุทธรูปองคส์ าํ คญั องคห์ น่ึงของประเทศคือ พระพุทธชินราช ปัจจุบนั ประดิษฐาน อยทู่ ่ีวดั พระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวหิ าร พระยาลิไทย ทรงปราดเปร่ืองในความรู้ในพระพทุ ธศาสนา ทรงมีความรู้แตกฉานใน พระไตรปิ ฎก พระองคไ์ ดท้ รงแบง่ พระสงฆอ์ อกเป็น 2 ฝ่ ายคือฝ่ าย \"คามวาสี\" และฝ่ าย \"อรัญวาสี\" โดยใหฝ้ ่ ายคามวาสีเนน้ หนกั การส่งั สอนราษฎรในเมืองและเนน้ การศึกษาพระไตรปิ ฎก ส่วนฝ่ าย อรัญวาสีเนน้ ใหห้ นกั ดา้ นการวปิ ัสสนาและประจาํ อยตู่ ามป่ าหรือชนบท ดว้ ยทรงเป็นองคอ์ ุปถมั ภ์ พระศาสนาตลอดพระชนมช์ ีพ ราษฎรจึงถวายพระนามวา่ \"พระมหาธรรมราชา\" พระยาลิไท ไดส้ ร้างและบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระธาตุช่อแฮ (วดั พระธาตุช่อแฮพระ อารามหลวง อาํ เภอเมือง จงั หวดั แพร่ ปัจจุบนั ) เมื่อปี พ.ศ. 1902 นอกจากศาสนาพุทธแลว้ พญาลิไทยยงั ทรงอุปถมั ภศ์ าสนาพราหมณ์ดว้ ยโดยทรงสร้าง เทวรูปขนาดใหญห่ ลายองคซ์ ่ึงยงั เหลือปรากฏใหศ้ ึกษาในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติใน กรุงเทพมหานครและที่พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติจงั หวดั พิษณุโลก ภาษาและวรรณคดี ดา้ นอกั ษรศาสตร์ทรงพระปรีชาสามารถนิพนธ์หนงั สือไตรภูมิพระร่วง ท่ีนบั เป็นงานนิพนธ์ ท่ีเก่าแก่ท่ีสุดเร่ืองหน่ึงในประวตั ิศาสตร์ไทย ดว้ ยทรงเชี่ยวชาญในพระไตรปิ ฎกจึงทรงนิพนธ์ถึง เรื่องราวเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนา ประเพณีในพระพทุ ธศาสนา โลกมนุษย์ สวรรค์ และนรก

92 นอกจากพระเจา้ ลิไทยจะทรงนิพนธ์วรรณคดีเล่มแรกของไทยแลว้ ยงั ทรงดดั แปลงการเขียน หนงั สือไทยที่พอ่ ขนุ รามคาํ แหงทรงสร้างไว้ โดยกาํ หนดใหม้ ีสระขา้ งบน ขา้ งล่าง ขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั รวมท้งั แกไ้ ขรูปพยญั ชนะใหอ้ า่ นเขียนสะดวกข้ึน การสร้างเมือง ทรงทาํ นุบาํ รุงบา้ นเมืองใหเ้ จริญหลายประการ เช่น สร้างถนนพระร่วงต้งั แต่เมืองศรีสัชนา ลยั ผา่ นกรุงสุโขทยั ไปถึงเมืองนครชุม (กาํ แพงเพชร) บูรณะเมืองนครชุม ทรงสร้างเมืองสองแคว (พษิ ณุโลก) เป็นเมืองลูกหลวงโดยการยา้ ยเมืองซ่ึงเคยอยทู่ ่ีสองแคว ซ่ึงเดิมอยทู่ างใต้ (วดั จุฬามณีในปัจจุบนั ) แต่ยงั คงเรียกวา่ เมืองสองแควตามเดิม ความสัมพนั ธ์ระหว่างประเทศ นบั แตพ่ ระยาลิไทยไดค้ รองราชยม์ า 2 ปี พระเจา้ อู่ทองผคู้ รองกรุงศรีอยธุ ยา ไดใ้ หข้ นุ หลวง พระงว่ั ยกทพั มาตีเมืองชยั นาท หวั เมืองช้นั ในของกรุงสุโขทยั ดว้ ยขณะน้นั กรุงสุโขทยั อ่อนแอจาก ทุพภิกขภยั ขา้ วกลา้ ในนาเสียหาย ชาวเมืองอดอยาก ต่อมาพระยาลิไทยไดส้ ่งทูตไปเจรจาใหก้ รุงศรีอยธุ ยาคืนเมืองชยั นาทแต่โดยดี และจะ ยนิ ยอมใหเ้ ป็นประเทศอิสระและมีไมตรีกนั เช่นเดียวกบั ขอมท่ีครองเมืองลพบุรี กรุงศรีอยธุ ยาเห็น ควรดว้ ยเกรงวา่ ขอมจะร่วมมือกบั กรุงสุโขทยั จดั ทพั กระหนาบมาตี กรุงศรีอยธุ ยาจึงคืนเมืองชยั นาท ใหพ้ ระยาลิไทย หลงั จากสมั พนั ธไมตรีระหวา่ ง 2 กรุงดาํ เนินมาไดร้ าว 10 ปี เม่ือพระเจา้ อูท่ องสวรรคต ไมตรี ระหวา่ งกรุงสุโขทยั กบั กรุงศรีอยธุ ยากเ็ ร่ิมตึงเครียดข้ึน และเมื่อขนุ หลวงพระงว่ั (พระบรม ราชาธิราช) ไดร้ าชสมบตั ิครองกรุงศรีอยธุ ยา ก็ไดก้ รีธาทพั ไปตีกรุงสุโขทยั สงครามระหวา่ ง 2 กรุง ดาํ เนินไปถึง 6 ปี เศษ ขนุ หลวงพระงวั่ ก็ไมอ่ าจเอาชยั ทพั พระยาลิไทย กรุงสุโขทยั ได้ 4. พระราชประวตั ิพระเจ้าอู่ทอง พระมหากษตั ริยแ์ ห่งราชวงศอ์ ูท่ อง จดหมายเหตุโหรระบุวา่ พระเจา้ อูท่ องเสด็จพระ ราชสมภพในปี พ.ศ. 1857 ไดท้ รงสถาปนาเมืองหลวง ข้ึนในบริเวณที่หนองโสนเมื่อ จ.ศ. 712 ปี ขาล โทศก วนั ศุกร์ข้ึน 6 ค่าํ เดือน 5 เวลา 3 นาฬิกา 9 บาท ตรงกบั วนั ศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 1893 เมื่อครองราชยไ์ ดร้ ับ เฉลิมพระปรมาภิไธยวา่ สมเดจ็ พระรามาธิบดศี รี สุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอย่หู ัว ถึงปี ระกา พ.ศ. 1912 เสด็จสวรรคต อยูใ่ นราชสมบตั ิ 20 ปี

93 พระราชกรณยี กจิ การสงครามกบั เขมร ในสมยั สมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 1 พระองคท์ รงเจริญสมั พนั ธไมตรีกบั แวน่ แควน้ ตา่ ง ๆ มากมาย แมก้ ระทง่ั ขอม ซ่ึงก็เป็นมาดว้ ยดีจนกระทงั่ กษตั ริยข์ อมสวรรคต พระราชโอรสนาม พระ บรมลาํ พงศ์ ทรงข้ึนครองราชย์ ซ่ึงพระบรมลาํ พงศก์ ็แปรพกั ตร์ไมเ่ ป็นไมตรีดงั แต่ก่อน สมเดจ็ พระ รามาธิบดีที่ 1 จึงใหส้ มเด็จพระราเมศวร ยกทพั ไปตีกมั พูชา และใหส้ มเดจ็ พระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขนุ หลวงพะงว่ั ) ทรงยกทพั ไปช่วย จึงสามารถตีเมืองนครธมแตกได้ พระบรมลาํ พงศส์ วรรคตใน ศึกคร้ังน้ี สมเด็จพระบรมราชาธิราชท่ี 1 จึงแตง่ ต้งั ปาสัต พระราชโอรสของพระบรมลาํ พงศเ์ ป็น กษตั ริยข์ อม ตรากฎหมาย สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี 1 ทรงประกาศใชก้ ฎหมายถึง 10 ฉบบั ในรัชสมยั ของพระองค์ ไดแ้ ก่  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะพยาน  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะอาญาหลวง  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะรับฟ้อง  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะลกั พา  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะอาญาราษฎร์  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณ์โจร  พระราชบญั ญตั ิเบด็ เสร็จวา่ ดว้ ยท่ีดิน  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะผวั เมีย  พระราชบญั ญตั ิลกั ษณะโจรวา่ ดว้ ยโจร ในประวตั ิศาสตร์บางแหล่งบอกวา่ มีมากกวา่ น้ี แต่เทา่ ที่หาหลกั ฐานได้ มีเพียงเทา่ น้ีเทา่ น้นั การศาสนา ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ใหส้ ร้างวดั ตา่ ง ๆ เช่น วดั พทุ ไธศวรรย์ (สร้างปี พ.ศ. 1876) วดั ป่ าแกว้ (สร้างปี พ.ศ. 1900) และวดั พระราม (สร้างปี พ.ศ. 1912) พระโอรส สมเด็จพระราเมศวร พระมหากษตั ริยพ์ ระองคท์ ่ี 2 แห่งกรุงศรีอยธุ ยา

94 5. พระราชประวตั ิสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ พระราชสมภพ ที่ทุ่งพระอุทยั หรือในปัจจุบนั เรียกวา่ ทุง่ หนั ตรา โดย เมื่อคร้ังสมเดจ็ พระบรมราชาธิราชท่ี ๒ (เจา้ สามพระ ยา) จะยกกองทพั ลงไปตีเมืองพระนครหลวง (นคร ธรรม) น้นั ไดร้ วมพลและต้งั พลบั พลา เพื่อประกอบ พธิ ีกรรมตดั ไมข้ ่มนามท่ีทุ่งพระอุทยั ขณะน้นั พระ อคั รชายาซ่ึงเป็นพระราชธิดาของสมเดจ็ พระมหา ธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไท) กษตั ริยแ์ ห่งพระราชวงศ์ พระร่วง กาํ ลงั ทรงพระครรภอ์ ยู่ ไดอ้ อกไปส่งเสดจ็ ไดป้ ระสูติสมเดจ็ พระบรมไตรนาถท่ีพลบั พลาน้นั เมื่อปี กุน จุลศกั ราช ๗๙๗ พ.ศ. ๑๙๗๔ ซ่ึงในยวนพา่ ย โคลงด้นั ระบุวา่ แถลงปางพระมาตรไท้ สมภพ ท่านนา แดนด่าํ บลพระอุทยั ทุง่ กวา้ ง ทรงเจริญพระชนั ษาท่ีเมืองพิษณุโลก พระองคท์ รงครองราชย์ 40 ปี เป็นเวลานานที่สุดใน บรรดาพระมหากษตั ริยแ์ ห่งราชวงศส์ ุพรรณภูมิ แห่งอาณากรุงศรีอยธุ ยา โดยเป็นพระราชโอรสใน พระเจา้ สามพระยาและก็ยงั เป็นพระนดั ดาในสมเดจ็ พระอินทราชา มีพระราชมารดาเช้ือสายราชวงศ์ พระร่วง พระนามมีความหมายถึง \"พระพุทธเจา้ \" หรือ \"พระอิศวร\" มีผทู้ ่ีเขา้ ใจวา่ คงเป็ นพระสหาย มาต้งั แตว่ ยั เยาวช์ ื่อ \"ยทุ ธิษฐิระ\" ซ่ึงตอนหลงั กลายมาเป็นผชู้ กั นาํ ศึกเขา้ มา หลงั การข้ึนครองราชย์ แลว้ กเ็ สด็จมาประทบั ที่อยธุ ยาในช่วงแรกของการครองราชย์ อีกคร่ึงหน่ึงเสดจ็ มาประทบั ท่ี พษิ ณุโลก เช่ือวา่ คงเป็นไปเพื่อการควบคุมดูแลหวั เมืองทางดา้ นเหนือ และคานอาํ นาจของอาณาจกั ร ทางเหนือ คือ อาณาจกั รลา้ นนาซ่ึงกาํ ลงั มีความเขม้ แขง็ และตอ้ งการแผอ่ าํ นาจลงมาทางใต้ ในยคุ ของพระเจา้ ติโลกราช สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสดจ็ สวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2031 เมื่อพระชนมายุ 57 พรรษา ทรงครองราชยไ์ ด้ 40 ปี ยาวนานท่ีสุดของอาณาจกั รอยธุ ยา และเป็นลาํ ดบั 3 ของพระมหากษตั ริย์ ไทยต้งั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบนั พระองคป์ ระทบั อยทู่ ่ีกรุงศรีอยธุ ยาประมาณ 20 ปี ท่ีเหลือทรงประทบั ที่เมืองพษิ ณุโลกตลอดรัชกาล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook