Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สุขศึกษา ทช11002_compressed (1)

สุขศึกษา ทช11002_compressed (1)

Published by nutthar.n, 2020-12-09 02:57:19

Description: สุขศึกษา ทช11002_compressed (1)

Search

Read the Text Version

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช11002 ) ระดบั ประถมศึกษา (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพ่ือการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธ์ิ เป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ที่ 12/2555

หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช 11002 ) ระดบั ประถมศึกษา ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560 ลิขสิทธ์ิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ท่ี 12/2555

คํานาํ กระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เม่อื วนั ที่ 18 กนั ยายน พ.ศ. 2551 แทนหลกั เกณฑและวิธกี ารจัดการศกึ ษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2544 ซ่ึงเปนหลักสูตรท่ีพัฒนาข้ึนตามหลักปรัชญาและ ความเชื่อพ้ืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนที่มีกลุมเปาหมายเปนผูใหญมีการเรียนรูและส่ังสม ความรูและประสบการณอ ยา งตอเนือ่ ง ในปง บประมาณ 2554 กระทรวงศกึ ษาธิการไดก ําหนดแผนยุทธศาสตรใ นการขบั เคลอื่ นนโยบาย ทางการศึกษาเพือ่ เพ่มิ ศกั ยภาพและขดี ความสามารถในการแขงขันใหป ระชาชนไดมีอาชีพทส่ี ามารถสรา ง รายไดที่ม่ังคั่งและม่ันคง เปนบุคลากรที่มีวินัย เปยมไปดวยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสํานึก รับผิดชอบตอตนเองและผูอ่ืน สํานักงาน กศน. จึงไดพิจารณาทบทวนหลักการ จุดหมาย มาตรฐาน ผล การเรียนรทู ค่ี าดหวัง และเนือ้ หาสาระ ทง้ั 5 กลุมสาระการเรียนรู ของหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ใหม ีความสอดคลองตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซงึ่ สง ผลใหตอ งปรบั ปรุงหนังสือเรียน โดยการเพ่ิมและสอดแทรกเน้ือหาสาระเก่ียวกับอาชีพ คุณธรรม จรยิ ธรรมและการเตรยี มพรอม เพ่ือเขาสูประชาคมอาเซยี น ในรายวิชาท่ีมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน แต ยังคงหลักการและวิธีการเดิมในการพัฒนาหนังสือท่ีใหผูเรียนศึกษาคนควาความรูดวยตนเอง ปฏิบัติ กจิ กรรม ทาํ แบบฝกหัด เพ่ือทดสอบความรูความเขาใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรูกับกลุม หรือ ศึกษาเพมิ่ เตมิ จากภมู ิปญ ญาทอ งถิ่น แหลง การเรยี นรแู ละสอ่ื อนื่ การปรับปรุงหนังสือเรียนในครั้งนี้ ไดรับความรวมมืออยางดียิ่งจากผูทรงคุณวุฒิในแตละ สาขาวิชา และผูเก่ียวขอ งในการจดั การเรียนการสอนที่ศึกษาคนควา รวบรวมขอมูลองคความรูจากสื่อ ตาง ๆ มาเรียบเรียงเนือ้ หาใหค รบถว นสอดคลองกับมาตรฐาน ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง ตัวชี้วัดและกรอบ เนือ้ หาสาระของรายวชิ า สํานักงาน กศน.ขอขอบคณุ ผมู สี ว นเกย่ี วของทกุ ทานไว ณ โอกาสนี้ และหวังวา หนังสือเรียน ชุดน้ีจะเปนประโยชนแกผูเรียน ครู ผูสอน และผูเก่ียวของในทุกระดับ หากมี ขอเสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอมรับดวยความขอบคณุ ย่ิง

สารบญั หนา 1 บทที่ 1 รา งกายของเรา 2 เรอ่ื งที่ 1 วัฏจกั รชวี ติ ของมนษุ ย เร่ืองท่ี 2 โครงสรา ง หนาท่ีและการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ท่สี ําคัญ 4 ของรางกาย เรอ่ื งที่ 3 การดแู ลรกั ษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสําคัญของรา งกาย 10 อวยั วะภายนอกและภายใน 16 17 บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ การคุมกาํ เนดิ และโรคติดตอทางเพศสมั พันธ 19 เร่ืองท่ี 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ 20 เรื่องท่ี 2 การดูแลสุขภาพเบ้อื งตน ในวัยรนุ 24 เรอื่ งที่ 3 การคุมกาํ เนิด 27 เร่อื งที่ 4 วธิ กี ารสรางสมั พันธภาพทด่ี รี ะหวา งคนในครอบครวั 29 เรื่องท่ี 5 การสอื่ สารเร่ืองเพศในครอบครวั 39 เรอ่ื งที่ 6 ปญ หาทีเ่ กย่ี วของกับพัฒนาการทางเพศของวัยรนุ 44 เร่ืองท่ี 7 ทักษะการจัดการกบั ปญ หา อารมณ และความตองการทางเพศของวยั รุน 47 เรอื่ งท่ี 8 หลากหลายความเชือ่ ทีผ่ ิดในเรอ่ื งเพศ 53 เรื่องท่ี 9 กฎหมายทีเ่ กี่ยวขอ งกบั การลว งละเมดิ ทางเพศ 58 เรอื่ งท่ี 10 โรคตดิ ตอทางเพศสัมพนั ธ 59 65 บทที่ 3 การดแู ลสขุ ภาพ 67 เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสาํ คญั และคณุ คาของอาหาร และโภชนาการ 68 เรอ่ื งท่ี 2 การเลือกบรโิ ภคอาหารตามหลักโภชนาการ 70 เรื่องท่ี 3 วธิ กี ารถนอมอาหารเพ่อื คงคุณคาของสารอาหาร 72 เรอื่ งท่ี 4 ความสาํ คัญของการมสี ขุ ภาพดี 74 เรือ่ งที่ 5 หลกั การดแู ลสุขภาพเบอ้ื งตน 75 เรอ่ื งที่ 6 ปฏบิ ตั ติ นตามหลักสขุ อนามัยสว นบคุ คล 76 เรือ่ งท่ี 7 คณุ คา และประโยชนข องการออกกําลงั กาย เร่อื งที่ 8 หลักการและวธิ ีออกกาํ ลงั กายเพื่อสุขภาพ เรอ่ื งท่ี 9 การปฏิบัติตนในการออกกาํ ลงั กายรปู แบบตา ง ๆ

เร่อื งท่ี 10 ความหมาย ความสาํ คัญของกิจกรรมนันทนาการ 80 เรอื่ งท่ี 11 ประเภทและรูปแบบของกจิ กรรมนนั ทนาการ 81 บทที่ 4 โรคตดิ ตอ เรอ่ื งที่ 1 โรคตบั อักเสบจากเชือ้ ไวรสั 82 เรื่องที่ 2 โรคไขเ ลือดออก 83 เรอ่ื งท่ี 3 โรคไขหวดั ธรรมดา 84 เรื่องท่ี 4 โรคเอดส 85 เรอื่ งที่ 5 โรคฉห่ี นู 86 เรื่องที่ 6 โรคมอื เทา เปอ ย 88 เรอ่ื งที่ 7 โรคตาแดง 90 เรือ่ งท่ี 8 โรคไขห วดั นก 91 บทที่ 5 ยาสามญั ประจาํ บา น 93 เร่ืองที่ 1 หลกั การและวธิ ีการใชย าสามัญประจําบาน 94 เรื่องที่ 2 อนั ตรายจากการใชยา และความเช่อื ที่ผิดเกีย่ วกบั ยา บทที่ 6 สารเสพตดิ อนั ตราย 95 เร่อื งที่ 1 ความหมาย ประเภท และลักษณะของสารเสพติด 100 เร่อื งท่ี 2 อนั ตรายจากสารเสพติด 104 บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ติ และทรพั ยส นิ 105 เรื่องที่ 1 อันตรายทีอ่ าจเกดิ ในชวี ิตประจาํ วนั 108 เร่ืองที่ 2 อันตรายทีเ่ กดิ ขึน้ ในบา น 110 เรอ่ื งท่ี 3 อันตรายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการเดนิ ทาง เร่ืองท่ี 4 อันตรายจากภยั ธรรมชาติ 111 บทท่ี 8 ทกั ษะชวี ติ เพอ่ื การคิด 113 เร่ืองท่ี 1 ความหมาย ความสาํ คญั ของทักษะชีวิต 10 ประการ 113 เรอื่ งท่ี 2 ทักษะชวี ติ ท่ีจําเปน 115 บทท่ี 9 อาชพี กบั งานบรกิ ารดา นสุขภาพ 118 ความหมายงานดา นบรกิ ารดา นสขุ ภาพ 119 การนวดแผนไทย 120 ธุรกจิ นวดแผนไทย 126 บรรณานกุ รม คณะผูจดั ทํา 129 129 136 139 141

คาํ แนะนาํ การใชห นังสือเรยี น หนังสือเรียนสาระทักษะการดําเนินชีวิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ระดับประถมศึกษา รหัส ทช 11002 เปนหนังสือเรียนที่จัดทําข้ึน สําหรับผูเรียนที่เปนนักศึกษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือ เรียนสาระทกั ษะการดําเนนิ ชีวิต รายวชิ าสขุ ศกึ ษา พลศกึ ษา ผเู รียนควรปฏิบัตดิ ังนี้ 1. ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง และขอบขายเนอ้ื หาของรายวชิ าน้นั ๆ โดยละเอียด 2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของแตละบทอยางละเอียด และทํากิจกรรมตามที่กําหนด แลว ตรวจสอบกับแนวตอบกจิ กรรมตามท่กี าํ หนด ถาผเู รียนตอบผิดควรกลบั ไปศึกษาและทําความเขาใจ ในเนอ้ื หาน้นั ใหมใหเ ขา ใจ กอนทจ่ี ะศกึ ษาเรือ่ งตอ ๆ ไป 3. ปฏิบัติกิจกรรมทายเรื่องของแตละเรื่อง เพื่อเปนการสรุปความรู ความเขาใจของเนื้อหา ในเรื่องนัน้ ๆ อีกครัง้ และการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมของแตล ะเนอ้ื หา แตล ะเร่อื ง ผเู รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบ กบั ครูและเพอ่ื น ๆ ที่รวมเรียนในรายวิชาและระดบั เดยี วกันได 4. หนังสอื เรียนเลมนีม้ ี 8 บท บทท่ี 1 รา งกายของเรา บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ การคุมกําเนดิ และโรคติดตอ ทางเพศสัมพนั ธ บทที่ 3 การดูแลสขุ ภาพ บทท่ี 4โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจาํ บาน บทท่ี 6 สารเสพตดิ อันตราย บทท่ี 7 ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรัพยส นิ บทที่ 8 ทกั ษะชวี ิตเพ่อื การคดิ บทที่ 9 อาชีพกบั งานบรกิ ารดา นสขุ ภาพ

โครงสรา งหลักสตู รรายวิชาสาระทกั ษะการดาํ เนนิ ชีวิต ระดบั ประถมศกึ ษา สขุ ศกึ ษา พลศึกษา (ทช11002) สาระสําคญั เปนสาระที่เกี่ยวของกับธรรมชาติการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย เมื่อมนุษยมีการ พฒั นาการดา นสรรี ะ เจรญิ เติบโต แลว มนุษยตองดแู ลและสรา งเสรมิ พฤติกรรมสุขภาพทดี่ ีของตนเองและ ครอบครัว ปฏบิ ัตติ นจนเกดิ เปน นสิ ัย รูจกั หลกี เลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงตอสุขภาพ ตลอดจนสงเสริมสุขภาพ พลานามัย ของตนเองและครอบครัว ผลการเรียนรทู ค่ี าดหวัง 1. อธิบายธรรมชาตกิ ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของมนุษยได 2. บอกหลักการดแู ลและสรางเสริมสุขภาพท่ดี ีของตนเองและครอบครวั 3. ปฏิบัตติ นในการดูแลและสรางเสริมพฤติกรรมสขุ ภาพพลานามยั จนเปน กิจนสิ ยั 4. ปองกนั และหลีกเล่ียงพฤติกรรมเส่ียงตอ สขุ ภาพและความปลอดภัยดว ยกระบวนการทกั ษะชวี ติ ขอบขายเนอ้ื หาวิชา บทท่ี 1 รางกายของเรา บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธ บทท่ี 3 การดแู ลสุขภาพ บทท่ี 4 โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจําบาน บทท่ี 6 สารเสพติดอันตราย บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ยส นิ บทท่ี 8 ทักษะชวี ติ เพ่ือการคิด บทที่ 9 อาชพี กบั งานบรกิ ารดานสุขภาพ

1 บทท่ี 1 รางกายของเรา สาระสําคญั รางกายของมนุษยประกอบดวยอวัยวะตางๆ ท้ังภายใน และภายนอกท่ีทําหนาท่ีตางๆ ตามความสําคัญของโครงสรางรางกายมนุษย รวมถึงการปองกันดูแลรักษาไมใหเกิดอาการผิดปกติ เพื่อใหรางกายไดมีการพัฒนาและเปล่ียนแปลงตามวัฏจักรชีวิตของมนุษยและมีสุขภาพกายที่สมบูรณ ตามวยั ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง 1. อธิบายการเปลย่ี นแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรา งและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะท่ีสําคัญของรางกาย ท้ังภายใน และภายนอกได ขอบขายเนอ้ื หา เร่ืองที่ 1 วฏั จักรชีวิตของมนษุ ย เรอื่ งท่ี 2 โครงสราง หนาทแ่ี ละการทํางานของอวยั วะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรือ่ งท่ี 3 การดแู ลรักษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะสาํ คัญของรา งกาย อวยั วะภายนอกและ ภายใน

2 เรื่องที่ 1 วัฏจักรชีวติ ของมนษุ ย ธรรมชาตขิ องชวี ิตมนษุ ย ธรรมชาติของมนุษยประกอบไปดวยการเกิด แก เจ็บ ตาย ซ่ึงเปนธรรมดาของชีวิตท่ี ทกุ คนหลกี ไมพ น ดงั นนั้ ควรเรยี นรูแ ละปฏบิ ัตติ นดว ยความไมประมาท 1. การเกิด ทุกคนเกดิ มาจากพอ ซึ่งเปน เพศชาย และแมซง่ึ เปน เพศหญิงโดยธรรมชาติไดกําหนดให เพศหญิงเปนคนอุมทองตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปนทารก แลวพัฒนาการเปนวัยเด็ก วัยรุน วัยผูใหญ วัยชรา ตามลําดับ รางกายของคนเราก็จะคอย ๆ เปล่ียนไป ตามวยั 2. การแก เม่อื อายุมากขน้ึ รา งกายจะมีการเปล่ียนแปลงทเ่ี หน็ ไดช ดั เชน เมื่ออยูในชวงชรารางกาย จะเส่ือมสภาพลง ผวิ หนังเหี่ยวยน การเคล่ือนไหวชา ลง คนสวนใหญเรยี กวา “คนแก” 3. การเจบ็ การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดการดูแลรักษาสุขภาพท่ีถูกตองและ สมํ่าเสมอ คนสวนใหญมักเคยเจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเล็ก ๆ นอย ๆ หรือมาก จนตองรับการรักษา จากแพทย ถาไมดูแลรักษาสุขภาพตนเอง รางกายยอมออนแอและมีโอกาสจะรับเช้ือโรคเขาสูรางกาย ไดงายกวาบคุ คลทรี่ กั ษาสขุ ภาพสมํา่ เสมอ 4. การตาย ความตายเปนส่ิงท่ีทุกคนหนีไมพน เกิดแลวตองตายดวยกันทุกคน แตการตายน้ัน ตองถึงวัยที่รางกายเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูในวัยหนุมสาวจึงควรดูแลรักษาสุขภาพและ ดาํ รงชวี ติ ดวยความไมป ระมาท การเจริญเติบโตและพฒั นาการตามวัย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย จะเริ่มตั้งแตเกิด ซ่ึงแบงไดเปน 5 ชวงวัย โดยแตล ะวัยจะมีลกั ษณะและพฒั นาการเฉพาะของวยั การเจรญิ เตบิ โต (Growth) หมายถงึ การเปล่ียนแปลงในขนาดรปู ราง สัดสวนตลอดจน กระดกู กลา มเน้ือ และอวยั วะทุกสว นของรางกายตามลําดับขนั้

3 พฒั นาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของมนุษยทุกสวนที่ตอเนื่องกัน ต้ังแตแ รกเกดิ จนตลอดชวี ติ ซึ่งเปนกระบวนการเปลี่ยนแปลงท้ังรางกายและจิตใจผสมผสานกันไปเปน ข้ัน ๆ จากระยะหนึ่งไปสอู ีกระยะหน่ึง ทําใหเกดิ การเจริญกาวหนาเปนลาํ ดับ ซงึ่ แบง เปน 5 ชวงวยั ดังนี้ 1. วัยทารก (Infancy) ตั้งแตเกิด – 2 ป เด็กในวัยน้ีจะมีพัฒนาการทางดานรางกายที่รวดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจาก แรกเกิด ปตอไปมาพัฒนาการจะเพิ่มข้ึนเพียง 30 % จากนั้นจะเจริญเติบโตขึ้นตามลําดับ ตามแผนของ การพัฒนา วัยทารกจะสามารถรับรสู ่ิงตา ง ๆ ไดในระดับเบื้องตน เชน รูจักสํารวจ คนหา ทําความเขาใจ และปรบั ตัวใหเขากับสภาพแวดลอมรอบ ๆ ตัว รูจักใชอวัยวะสัมผัสส่ิงตางๆ วัยนี้ตองอาศัยการเล้ียงดู เอาใจใสม ากทสี่ ดุ 2. วยั เด็ก (Childhood) ตงั้ แต 3 – 12 ป การเจริญเติบโตในวัยน้ีสวนใหญเปนเรื่องของกระดูกกลามเน้ือ และการประสานกับ ระบบตาง ๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็ก แบง ออกเปน 3 ชว ง ดังน้ี 2.1 วัยเด็กตอนตน (3 - 5 ป) รูจักใชภาษา หัดพูด กินขาว ลางมือ รูจักสังเกต อยากรู อยากทดลอง และเลน 2.2 วยั เดก็ ตอนกลาง (6 - 9 ป) เริ่มไปโรงเรยี นตองปรับตัวเขา กับคนแปลกหนา และทํา ความเขา ใจกับระเบียบของโรงเรียน รูจกั เลอื กตดั สนิ ใจ รบั ผิดชอบการทาํ งานของตนเองได 2.3 วัยเดก็ ตอนปลาย (10 – 12 ป) เพศชาย - หญงิ จะแสดงความแตกตา งชัดเจนในดาน พฤติกรรมและความสนใจ เด็กหญงิ จะโตกวา เดก็ ชาย มีทกั ษะการใชภ าษาที่ดีข้ึน ทําตามคําสั่งได เรียนรู บทบาททีเ่ หมาะสมกับเพศของตน และจะเลน เฉพาะกลุมทเ่ี ปน เพศเดยี วกนั 3. วยั รนุ (Adolescence) อายรุ ะหวาง 13 – 20 ป วัยน้ีเปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอของชีวิต เนื่องจากเปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางรางกาย จิตใจและตอ งปรับตัวเขากับสิ่งใหมๆ ท่เี กดิ ข้นึ รวมท้ังปรับตัวใหเขากับสังคม บางคร้ังทําใหเกิดปญหา ตา ง ๆ ข้นึ โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เร่ิมใหความสนใจกับเพศตรงกันขาม เร่ิมมองอนาคต คิดถึงการมี อาชีพของตน คิดถึงครอบครัว อยากรูอยากเห็น อยากแสดงความสามารถ บางคร้ังแสดงออกในทางท่ี ไมถูกตอง จึงทาํ ใหเกิดปญ หาข้ึน ผูปกครองหรอื ผูใ หญ ควรใหคาํ แนะนาํ ทเี่ หมาะสม

4 4. วัยผูใ หญ (Adulthood) อายุระหวา ง 21 – 60 ป วัยน้รี า งกายเจรญิ เตบิ โตเต็มทแี่ ลว มีรูปรางสมสวน รางกายแข็งแรง แตเนื่องจากความ เจรญิ เติบโตและพฒั นาการทางกาย และใจของแตละคนตางกัน เชน คนที่เปนลูกคนโต ตองดูแลนอง ๆ กอ็ าจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคนเล็ก หรือคนท่ีกําพราพอแม ก็ยอมเปนผูใหญเร็วกวาคนที่มีพอแมอยู ใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยท่ีมีความเจริญดานตาง ๆ ทั้งดานความสนใจ ทัศนคติ และคานิยม โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชีวิตครอบครัว เปนวัยท่ีมีพละกําลัง มีความสามารถ ในการทาํ งานมากทส่ี ดุ เพราะเปน วัยทต่ี องรับผดิ ชอบในหนาที่ เพอ่ื ครอบครัวและประเทศชาติ 5. วยั ชรา (Old Age) อายุ 60 ปข น้ึ ไป วัยน้ีเปนวัยที่มีการเปล่ียนแปลงทางดานรางกาย จิตใจ อารมณ รวมทั้งสมองในทาง เสอื่ มลง จึงประสบปญ หาสขุ ภาพมากกวาวยั อ่ืน มอี าการหลงลืม มกั จะจําเรื่องราวในอดตี เหมาะที่จะเปน ท่ีปรึกษาใหคําแนะนําแกผูอ่ืน เพราะเปนผูท่ีมีประสบการณมากอน วัยน้ีมักมีอารมณคอนขางเครียด โกรธ และนอ ยใจงาย เรอ่ื งที่ 2 โครงสรา ง หนา ท่แี ละการทาํ งานของอวัยวะภายนอก ภายใน ทส่ี ําคญั ของรา งกาย อวัยวะและระบบตา ง ๆ ในรางกาย อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เปน อวยั วะทมี่ องเห็นได เชน ตา หู จมกู ปากและผิวหนัง อวยั วะเหลาน้ี มหี นา ท่ีการทํางานตา งกนั อวยั วะภายใน เปนอวัยวะทีอ่ ยใู นรางกายท่ีมีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหน่ึงของ ระบบตาง ๆ ภายในรางกาย โดยอวัยวะภายนอกและอวยั วะภายใน มีการทาํ งานท่สี ัมพนั ธกันหากสวนใด สว นหนึง่ บกพรอ ง หรือไดรับอันตรายก็อาจมีผลกระทบตอ สวนอน่ื ได

5 1. อวัยวะภายนอก มดี งั น้ี 1.1 ตา เปนอวัยวะทีท่ าํ ใหม องเห็นสงิ่ ตางๆ และชว ยใหเ กดิ การเรียนรู เพราะถาไมมี ดวงตา สมองจะไมสามารถรับรูและจดจําสิ่งท่ีอยูรอบตัว นอกจากนั้นตายังแสดงออกถึงอารมณ ความรสู ึกตา งๆ เชน ดใี จ เสยี ใจ ตกใจ สวนประกอบของตา ท่สี าํ คัญมดี ังนี้ (1) ค้ิว เปนสวนประกอบท่ีอยูเหนือหนังตาบน ทําหนาท่ีปองกันอันตราย ไมใหเกิดกับดวงตา โดยปองกันส่ิงสกปรก เหงื่อ น้ํา และส่ิงแปลกปลอมท่ีอาจไหลหรือตกมาจาก หนาผาก หรอื ศีรษะ เขา สูด วงตาได (2) หนงั ตา และเปลอื กตา ทาํ หนา ที่เปด ปดตา เพ่อื รบั แสง และปอ งกันอันตราย ทอ่ี าจเกดิ ข้นึ แกต า และกระจกตา โดยอตั โนมัติเม่อื มสี ิง่ อนั ตรายเขา มาใกลตา (3) ขนตา เปนสวนประกอบที่อยูหนังตาบน หนังตาลาง ทําหนาที่ปองกัน อันตราย เชนฝนุ ละออง ไมใหทาํ อนั ตรายแกต า (4) ตอ มนํ้าตา เปนสว นประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางคิ้วบริเวณ หนงั ตาบน ทาํ หนาทซี่ ับน้ําตา มาชว ยใหต าชมุ ช้ืน และขับสิ่งสกปรกออกมากบั นํ้าตา 1.2 หู เปนอวัยวะรับสัมผัสท่ีทําใหไดยินเสียงตาง ๆ เชน เสียงเพลง เสียงพูดคุย การไดยนิ เสยี ง ทาํ ใหเกิดการสือ่ สารระหวา งกัน ถาหูผิดปกติไมไดยินเสียงใดเลย สมองไมสามารถแปล ความไดว าเสยี งตา ง ๆ เปน อยา งไร สวนประกอบของหู สว นประกอบของหแู บงเปน 3 สว น คือ หชู ั้นนอก หูชน้ั กลาง หูชัน้ ใน (1) หูชน้ั นอก ประกอบดว ยสวนตาง ๆ ดังนี้  ใบหู ทาํ หนาท่ีรบั เสียงสะทอนเขาสูรหู ู  รูหู ทําหนาที่เปนทางผานของเสียง ใหเขาไปสูสวนตาง ๆ ของรูหู ภายในรหู จู ะมตี อ มนํ้ามัน ทําหนาท่ีผลิตไขมันทําใหหูชุมชื้น และดักจับฝุนละออง และส่ิงแปลกปลอม ท่ีเขา มาภายในรหู ู และเกดิ เปน ขห้ี ู นอกจากน้นั ภายในรหู ยู งั มีเยื่อแกว หู ซึ่งเปน เยอื่ แผนกลมบาง ๆ กั้นอยู ระหวา งหชู ้นั นอก กบั หชู นั้ กลาง ทาํ หนาท่ีถายทอดเสียงผานหชู ั้นกลาง (2) หูชั้นกลาง มีลักษณะเปน โพรง ประกอบดวยสวนตาง ๆ ไดแก กระดูก รูปคอน กระดูกรูปทั่ง และกระดูกรูปโกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูกับหูช้ันใน กระดูกท้ัง 3 ชิ้น ดังกลาว ทําหนา ท่รี บั คลื่นเสียงตอจากเยอ่ื แกวหู

6 (3) หูช้ันใน มีลักษณะเปนรูปหอยโขง เปนสวนท่ีอยูดานในสุด ทําหนาท่ี ขับคลื่นเสียงโดยผานประสาทรับเสียงสงตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทําใหรูวาเสียงที่ไดยิน คอื เสียงอะไร 1.3 จมูก เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําหนาที่หายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกาย และมีหนาท่ีรับกลิ่นตาง ๆ ถาจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกล่ินอะไรเลย หรือทําให ระบบการหายใจและการออกเสียงผดิ ปกติ สวนประกอบของจมกู จมูกเปนอวัยวะภายนอกท่ีอยูบนใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมูก แบงออกเปน 3 สวน ดงั น้ี (1) สนั จมูก เปนสว นที่มองเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออ น ทาํ หนา ท่ปี อ งกัน อันตรายใหกับอวัยวะภายในจมกู (2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ขาง ทําหนาที่เปนทางผานของอากาศ ที่หายใจเขาออก ภายในรูจมูกมีขนจมกู และเย่ือจมกู ทําหนาท่กี รองฝนุ และเชือ้ โรคไมใ หเ ขาสูห ลอดลมและปอด (3) ไซนสั เปนโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คู ทําหนาที่ พัดอากาศเขาสปู อด และปรบั ลมหายใจใหมอี ุณหภมู ิและความชื้นพอเหมาะ 1.4 ปากและฟน เปนอวัยวะสําคัญของรางกายท่ีใชในการพูด ออกเสียง และรบั ประทานอาหาร โดยฟน ของคนเราจะมี 2 ชุด คอื ฟนน้ํานมและฟนแท (1) ฟนนํ้านม เปนฟนชุดแรก มีทั้งหมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซ่ี ฟนน้ํานมเร่ิมงอกเมื่ออายุประมาณ 6 - 8 เดือน จะงอกครบเมื่ออายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบคร่ึง และจะคอย ๆ หลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ (2) ฟนแท เปนฟนชุดท่ีสอง ท่ีเกิดข้ึนมาแทนฟนนํ้านมท่ีหลุดไป ฟนแทมี 32 ซ่ี ฟนบน 16 ซ่ี ฟน ลา ง 16 ซ่ี ฟนแทจะครบเมอื่ อายุประมาณ 21 - 25 ป ถาฟนแทผ ุหรือหลุดไป จะไม มฟี นงอกขน้ึ มาอกี

7 หนา ทขี่ องฟน ฟน มีหนาที่ในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉีก กัด บดอาหารใหละเอียด ฟนจึงมีหนาที่และ รูปรางตางกันไป ไดแก ฟนหนา มีลักษณะคลายลิ่ม ใชกัดตัด ฟนเขี้ยว มีลักษณะปลายแหลม ใชฉีก อาหาร และฟน กราม มีลักษณะแบน กวา ง ตรงกลางมรี อ งใชบดอาหาร 1.5 ผิวหนัง เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําใหรูสึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต ผิวหนังเปนที่รวมของเซลลประสาทรับความรูสึก นอกจากน้ันผิวหนังยังทําหนาท่ีปกคลุมรางกาย และชว ยปองกันอวัยวะภายในไมใหไดรับอันตราย และยงั ชวยระบายความรอนภายในรา งกายทางรูเหง่ือ ตามผิวหนงั อกี ดวย สวนประกอบของผวิ หนงั แบงออกเปน 2 ช้นั ดังน้ี (1) ช้ันหนงั กาํ พรา เปน ชน้ั บนสดุ เปนชั้นทีจ่ ะหลุดเปนขี้ไคล แลวมีการสราง ข้ึนมาทดแทนข้นึ เรื่อย ๆ และเปน ผิวหนังช้ันทบี่ ง บอกความแตกตางของสผี ิวในแตล ะคน (2) ชั้นหนังแท เปนผิวหนังที่หนากวาช้ันหนังกําพรา เปนแหลงรวมของ ตอ มเหงอื่ ตอมไขมัน และเซลลประสาทรับความรสู กึ ตา ง ๆ 2. อวัยวะภายใน อวัยวะภายในเปนอวัยวะที่อยูใตผิวหนัง ซ่ึงเราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายใน เหลาน้มี ีมากมายและทํางานประสานสมั พันธกันเปน ระบบ 2.1 ปอด ปอดเปนอวัยวะภายในอยางหน่ึง อยูในระบบหายใจ ปอดมี 2 ขาง ตั้งอยู บริเวณทรวงอกทง้ั ทางดานซายและดานขวา จากตน คอลงไปจนถึงอก ปอดมีลกั ษณะน่ิมและหยุนเหมือน ฟองนํ้า ขยายใหญเทากับซ่ีโครงเวลาที่ขยายตัวเต็มท่ี มีเย่ือบาง ๆ หุม เรียกวา เย่ือหุมปอด ปอด ประกอบดวยถุงลมเล็กๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะ แฟบ ถุงลมนปี้ ระสานติดกันดวยเย่ือประสานละเอียดเต็มไปดวยเสนเลือดฝอยมากมาย เลือดดําจะไหล ผา นเสน เลือดฝอยเหลา นั้น แลวคายคารบอนไดออกไซดอ อก และรบั เอาออกซิเจนจากอากาศท่ีเราหายใจ เขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของรางกาย กระบวนการท่ีเลือดคาย คารบ อนไดออกไซด และรับออกซิเจนขณะท่ีอยใู นปอดน้ี เรยี กวา การฟอกเลือด

8 หนา ท่ีของปอด ปอดจะทาํ หนาที่สูบและระบายอากาศ ฟอกเลือดเสียใหเปนเลือดดี การหายใจมีอยู 2 ระยะ คอื หายใจเขา และหายใจออก หายใจเขา คอื การสูดอากาศเขาไปในปอดหรือถุงลมปอด เกิดข้ึน ดว ยการหดตวั ของกลามเนอ้ื กะบงั ลม ซ่ึงกน้ั อยรู ะหวางชอ งอกกบั ชองทอง เมื่อกลามเนื้อกะบังลมหดตัว จะทําใหชองอกมีปริมาตรมากข้ึน อากาศจะวิ่งเขาไปในปอด เรียกวาหายใจเขา เม่ือหายใจเขาสุดแลว กลามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กลามเนื้อทองจะดันเอากลามเนื้อกะบังลมข้ึน ทําใหชองอกแคบลง อากาศจะถกู บบี ออกจากปอด เรยี กวา หายใจออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18 - 22 คร้ังตอนาที ผูท่ีมี อายนุ อยการหายใจจะเรว็ ข้นึ ตามอายุ 2.2 หัวใจ เปนอวัยวะท่ีประกอบดวยกลามเนื้อ ภายในเปนโพรง รูปรางเหมือนดอก บวั ตมู มีขนาดราวๆ กาํ ปน ของเจา ของ รอบๆ หวั ใจมีเยือ่ บางๆ หุมอยเู รยี กวา เย่ือหุมหัวใจ ซ่ึงมีอยู 2 ชนั้ ระหวางเย่อื หุม ท้งั สองชน้ั จะมชี อง ซงึ่ มีนํ้าใสสีเหลืองออนหลออยูตลอดเวลา เพื่อมิใหเยื่อทั้งสอง ชั้นเสยี ดสกี นั และทําให หวั ใจเตนไดสะดวกไมแหงติดกับเยอื่ หุมหวั ใจ หัวใจตั้งอยูร ะหวา งปอดทั้งสอง ขา ง แตคอ นไปทางซายและอยูหลังกระดูกซ่ีโครงกับกระดูกอก โดยปลายแหลม ชี้เฉียงลงทางลาง และชี้ไปทางซา ย ภายในหัวใจจะมโี พรง ซง่ึ ภายในโพรงนี้จะมผี นังกัน้ แยกออกเปนหอ งๆ รวม 4 หอง คือ หอ งบน 2 หอง และหองลา ง 2 หอ ง สาํ หรับหอ งบนจะมขี นาดเล็กกวาหองลาง หนาทข่ี องหัวใจ หัวใจมจี งั หวะการบีบตัว หรือที่เราเรียกวาการเตนของหัวใจ เพ่ือสูบฉีดเลือดแดง ไป หลอเลี้ยงรางกายตามสว นตางๆ ของรา งกาย ขณะท่ีคลายตัวหัวใจหองบนขวาจะรับเลือดดํามาจาก ท่ัว รางกาย และจะถูกบีบผานล้ินที่กั้นอยูลงไปทางหองลางขวา ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคาย คารบอนไดออกไซดและรับออกซิเจนใหมกลายเปนเลือดแดง ไหลกลับเขามายังหัวใจหองบนซาย และถูกบบี ผา นลิน้ ท่ีก้นั อยไู ปทางหองลางซาย จากน้ันกจ็ ะถกู ฉดี ออกไปเล้ยี งท่ัวรางกาย ถาเราใชน้ิวแตะ บริเวณเสนเลือดใหญ เชน ขอมือ หรือขอพับตาง ๆ เราจะรูสึกไดถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ ซึง่ เราเรียกวา ชีพจร หัวใจเปนอวัยวะท่ีสําคัญท่ีสุด เพราะเปนอวัยวะที่บอกไดวาคนนั้นยังมีชีวิตอยูได หรอื ไม ถา หากหวั ใจหยุดเตน กห็ มายถงึ วา คนคนนนั้ เสียชีวิตแลว การเตน ของหัวใจน้ัน ในคนปกติหัวใจ จะเตน ประมาณ 70 - 80 ครัง้ ตอ นาที หัวใจตอ งทาํ งานหนกั ตลอดชวี ิต ทง้ั เวลาหลับและตื่น เวลาทห่ี วั ใจจะ ไดพักผอนบา งกค็ อื ตอนทีเ่ รานอนหลบั หวั ใจจะเตน ชา ลง เราจึงตอ งระมัดระวังรกั ษาหวั ใจใหแข็งแรงอยู เสมอ โดยอยาใหห วั ใจตอ งทํางานหนกั มากจนเกนิ ไป

9 2.3 กระเพาะอาหาร มีรูปรางเหมือนนํ้าเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1 ลติ ร อยูตอ หลอดอาหารและอยูใ นชอ งทอ งคอนไปทางดานซาย หนาทสี่ ําคญั ของกระเพาะอาหาร คอื มีหนาท่ีในการยอยอาหารท่ีมีขนาดเล็กลง และ ละลายใหเปน สารอาหาร แลวสงอาหารท่ียอยแลวไปยงั ลําไสเล็ก แลวลาํ ไสเล็กจะดูดซึมไปใชประโยชน แกร างกายตอไป สวนทีไ่ มเ ปนประโยชนท ีเ่ รยี กวากากอาหารจะถูกสงตอไปยังลําไสใหญ เพื่อขับถาย ออกจากรางกายเปนอุจจาระตอไป สิ่งท่ีชวยใหกระเพาะยอยอาหารก็คือ น้ํายอยซ่ึงมีสภาพ เปนกรด นา้ํ ยอ ยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเม่ือถึงเวลารับประทานอาหาร ถาไมรับประทานอาหารใหตรง เวลานา้ํ ยอยจะกดั เนื้อเย่ือในบริเวณกระเพาะไดเ ชน กัน อาจจะทําใหเ กดิ เปนแผลในกระเพาะอาหารได วิธี ทจ่ี ะชว ยปองกันไดก ค็ ือ ดมื่ น้าํ สะอาดใหมากๆ และรบั ประทานอาหารใหต รงเวลา งดรับประทานอาหาร ท่ีมรี สจัด 2.4 ลําไสเล็ก มีลักษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูในชองทอง ตอนบน ปลายบนเชื่อมกบั กระเพาะอาหาร สว นปลายลา งตอ กับลาํ ไสใ หญ หนาที่สําคัญของลําไสเล็ก คือ ยอยอาหารตอจากกระเพาะอาหาร จนอาหาร มี ขนาดเลก็ พอท่ีจะดูดซึมเขา สกู ระแสเลือด เพอ่ื นําไปเล้ยี งสว นตาง ๆ ของรา งกาย 2.5 ลาํ ไสใหญ เปนอวัยวะทีอ่ ยูในระบบทางเดนิ อาหาร ลาํ ไสใหญของคนมคี วามยาว ประมาณ 1.5 เมตร เสนผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนติเมตร แบง ออกเปน 3 สวน คือ (1) กระเพาะลําไสใหญ เปนลําไสใหญสวนแรก ตอจากลําไสเล็ก ทําหนาท่ี รบั กากอาหารจากลําไสเลก็ (2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนที่ยาวที่สดุ ประกอบดวยลําไสใหญขวา ลําไสใหญกลาง และลําไสใหญซาย มีหนาที่ดูดซึมน้ําและพวกวิตามินบี12 ที่แบคท่ีเรียในลําไสใหญ สรา งข้ึนและขบั กากอาหารเขา สูลาํ ไสใ หญสว นตอ ไป (3) ไสต รง เมือ่ กากอาหารเขาสูไสต รงจะทาํ ใหเกิดความรูส กึ อยากถายขน้ึ เพราะความดนั ในไสตรงเพิม่ ขนึ้ เปนผลทาํ ใหก ลา มเนือ้ หรู ูดท่ที วารหนกั ดา นใน ซึง่ จะทําใหเกดิ การ ถา ยอุจจาระออกทางทวารหนักตอ ไป หนาทีข่ องลาํ ไสใ หญ (1) ชว ยยอ ยอาหารเพยี งเลก็ นอ ย (2) ถา ยระบายกากอาหาร ออกจากรา งกาย (3) ดูดซมึ นาํ้ และสารอเิ ล็คโตรลัยต เชน โซเดียม และเกลอื แรอ ื่น ๆ จากอาหาร

10 ที่ถูกยอ ยแลว ทเี่ หลืออยใู นกากอาหาร รวมท้งั วติ ามินบางอยางทส่ี รางจากแบคทเี รยี ซง่ึ อาศยั อยู ในลาํ ไสใ หญ ไดแ ก วติ ามินบรี วม วติ ามนิ เค ดว ยเหตนุ ้ี จึงเปนชองทางสาํ หรับใหน า้ํ อาหารและยาแก ผปู วยทางทวารหนกั ได (4) ทําหนา ทเ่ี กบ็ อุจจาระไวจ นกวาจะถงึ เวลาอนั สมควรทจี่ ะถายออกนอก รา งกาย 1.5 ไต เปน อวยั วะสว นหน่งึ ในระบบขบั ถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมา เปน นํ้าปสสาวะ ไตของคนเรามี 2 ขาง มีรปู รา งคลา ยเมลด็ ถ่วั แดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร อยูติดผนัง ชอ งทองดานหลงั ตํ่ากวา กระดูกซีโ่ ครงเล็กนอ ย หนาท่ีสําคัญของไต คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แลวขับของเสีย ออกนอกรา งกายในรูปของปสสาวะ เรือ่ งที่ 3 การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสาํ คญั ของรา งกาย อวยั วะ ภายนอกและภายใน การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผิดปกตขิ องอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายใน มคี วามสําคัญของรางกาย จําเปนตองดูแลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใด สว นหนึ่งเกิดความบกพรองหรือเกดิ ความผดิ ปกติ ระบบการทํางานนั้นก็จะบกพรองหรือผิดปกติดวย มี วิธีการงา ย ๆ ในการดูแลรกั ษาอวัยวะตาง ๆ ดังน้ี 1. การดแู ลรักษาตา ตามคี วามสําคัญ ทาํ ใหม องเหน็ ส่งิ ตาง ๆ จึงควรดแู ลรักษาตาใหด ดี วยวธิ ี ดงั ตอ ไปนี้ 1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงสิ่งตาง ๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา หรือมองออกไปยงั ที่กวาง ๆ หรอื พ้ืนที่สีเขียว 2. ขณะอา นหรือเขียนหนงั สือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนังสือใหหาง จากตาประมาณ 1 ฟุต 3. ไมควรอา นหนังสอื ขณะอยูบนยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟท่กี ําลงั แลน

11 4. ดูโทรทศั นใหหา งจากจอภาพไมนอ ยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ 5. เมอื่ มฝี ุนละอองเขา ตา ไมควรขยตี้ า ควรใชวธิ ลี มื ตาในนํ้าสะอาด หรอื ลางดวยน้าํ ยาลางตา 6. ไมค วรใชผ า เช็ดหนา รว มกับผูอ่ืน เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผูอืน่ ได 7. หลกี เลยี่ งการมองบรเิ วณท่แี สงจา หรือหลกี เลยี่ งสถานท่ที ่มี ีฝุนละอองฟุงกระจาย 8. อยาใชย าลางตาเม่อื ไมม คี วามจาํ เปน เพราะตามธรรมชาตนิ าํ้ ในเปลอื กตาทําหนาทีล่ างตา ดีท่สี ุด 9. บริหารเปลอื กตาบนและเปลือกตาทุกวันดวยการใชนิ้วช้ีรูดกดไปบนเปลือกตาจากค้ิว ไปทางหางตา 2. การดแู ลรักษาหู หูมีความสําคญั ตอการไดยนิ ถา หูผิดปกติจนไมส ามารถไดยินเสยี งตา งๆ การทํากิจกรรม ในชวี ติ ประจาํ วนั ก็ไมร าบรื่นเกดิ อุปสรรค ดงั น้ันจงึ ควรดูแลรกั ษาหูใหท าํ หนาที่ใหด อี ยเู สมอ 1. หลีกเลี่ยงแหลงท่ีมีเสียงดังอึกทึก ถาหลีกเล่ียงไมไดควรปองกันตนเอง โดยหา อปุ กรณม าอดุ หู หรอื ครอบหู เพือ่ ปองกนั ไมใ หแกว หูฉีกขาด 2. ไมควรแคะหดู วยวสั ดใุ ด ๆ เพราะอาจทาํ ใหหูอกั เสบเกิดการติดเชอ้ื 3. เม่อื มแี มลงเขา หู ใหใ ชน ้ํามันมะกอก หรือนํ้ามันพาราฟลหยอดหู ท้ิงไวสักครูแมลง จะตาย แลวจงึ เอียงหูใหแ มลงไหลออกมา 4. ขณะวายนํ้า หรืออาบน้ํา พยายามอยาใหน้ําเขาหู ถามีนํ้าเขาหูใหเอียงหูใหน้ําออก มาเอง 5. เม่ือเปนหวัดไมควรสั่งนํ้ามูกแรงๆ เพราะเช้ือโรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบ ตดิ เชอื้ กลายเปน หูนา้ํ หนวก และเมื่อมสี ง่ิ ผิดปกติเกิดขึ้นกับหู ควรปรกึ ษาแพทย 3. การดแู ลรกั ษาจมูก จมูกเปนอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสําคัญ ทําใหไดกล่ิน และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ เขาสูป อด ควรดแู ลรกั ษาจมกู ใหทําหนา ทไี่ ดต ามปกตดิ วยวธิ ดี งั นี้ 1. หลีกเล่ียงบริเวณท่มี ีฝุน ละอองฟุงกระจาย 2. ไมควรแคะจมกู ดวยวัสดุแข็ง เพราะอาจทําใหจมูกอักเสบ 3. ไมควรสั่งน้ํามกู แรง ๆ ถาเปนหวดั เรื้อรงั ไมควรปลอ ยทงิ้ ไว ควรปรกึ ษาแพทย 4. ถามคี วามผิดปกติเกดิ ข้ึนกบั จมูก ควรปรึกษาแพทย

12 4. การดูแลรักษาปากและฟน 1. ควรแปรงฟนใหถ กู วิธหี ลงั อาหารทกุ ม้อื หรือควรแปรงฟนอยางนอยวนั ละ 2 คร้ัง 2. ไมควรกดั หรือฉีกของแข็งดวยฟน และควรพบทันตแพทยเพือ่ ตรวจฟนทกุ 6 เดือน 3. ออกกําลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการ อมเกลอื หรือเกลอื ปนผสมสารสม ปนประมาณ 5 นาที แลวนวดเหงือก 4. รับประทานผัก ผลไมสดมาก ๆ และหลีกเลี่ยงรับประทานลูกอม ช็อคโกแลตและ ขนมหวาน ๆ 5. การดูแลรกั ษาผวิ หนงั 1. อาบนาํ้ อยา งนอ ยวนั ละ 2 คร้ัง หลงั จากอาบนา้ํ เสรจ็ ควรเช็ดตวั ใหแหง 2. สวมเสอื้ ผาทส่ี ะอาด ไมเปยกช้นื และไมรัดรูปจนเกินไป 3. รับประทานอาหารท่ีมีประโยชนและด่ืมนํ้ามาก ๆ ออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอ หลกี เล่ยี งแสงแดดจา และระมดั ระวงั ในการใชเครอื่ งสาํ อาง 4. เมอื่ ผวิ หนังผดิ ปกติ ควรปรกึ ษาแพทย 6. การดูแลรกั ษาปอด มีขอควรปฏบิ ัติดังน้ี 1. ควรอยใู นสถานทีท่ ี่มอี ากาศบริสทุ ธถิ์ ายเทไดเสมอ หลีกเลี่ยงอยูในสถานที่ท่ีมีฝูงชน แออดั 2. ควรหายใจทางจมกู เพราะในจมกู มีขนจมูกและเยื่อเสมหะ ซึ่งจะชวยกรองฝนุ ละออง และเชื้อโรคไมใ หเขา ไปในปอด หลีกเลย่ี งการหายใจทางปาก 3. ไมค วรนอนควา่ํ นาน ๆ จะทําใหปอดถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก 4. ไมค วรสูบบุหรี่ เพราะจะสงผลใหเปน อนั ตรายตอ ปอด 5. ควรน่ังหรือยืนตัวตรง ไมควรสวมเส้ือผาท่ีรัดแนน เพราะจะทําใหปอดขยายตัว ไมส ะดวก 6. ควรรกั ษารางกายใหอบอนุ เพ่อื ปองกนั การเปนหวดั 7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาว ๆ วันละ 5-6 ครั้งทุกวัน ทําใหปอดขยายตัว ไดเตม็ ที่ 8. ควรระวังการกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลัง เพราะจะกระทบกระเทือนไปถงึ ปอดดว ย

13 9. ควรพกั ผอ นใหเ ตม็ ที่ การออกกําลังกายหรือการเลนกีฬาใด ๆ อยาใหเกินกําลังหรือ เหนื่อยเกินไป เพราะจะทําใหป อดตองทาํ งานหนกั จนเกนิ ไป 10. ควรตรวจสุขภาพ หรอื เอ็กซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครั้ง 7. การดแู ลรักษาหัวใจ มีวธิ กี ารปฏิบัติ ดงั น้ี 1. ควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัย ไมหักโหมเกินไป เพราะจะทาํ ใหหัวใจตองทาํ งานมาก อาจเปนอันตรายได 2. ไมดมื่ น้ําชา กาแฟ สบู บหุ รี่ ด่ืมสรุ าหรอื เครื่องด่ืมท่ีมีสารกระตุน เพราะมีสารกระตุน ทําใหหวั ใจทาํ งานหนักจนอาจเปน อนั ตรายแกกลามเนื้อหวั ใจได 3. ไมรับประทานยา ทจ่ี ะกระตนุ ในการทํางานของหวั ใจโดยไมปรกึ ษาแพทย 4. การนอนควา่ํ เปนเวลานานๆ จะสงผลทาํ ใหหวั ใจถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก 5. ไมค วรนอนในสถานท่ีอากาศถา ยเทไมส ะดวก หรือสวมเส้ือผาทร่ี ดั รปู จนเกนิ ไป จะทาํ ใหระบบการทํางานของหวั ใจไมสะดวก 6. ระมัดระวังไมใหหนาอกไดรับความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับ หวั ใจได 7. ไมควรวิตกกังวล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของ หัวใจ 8. ไมควรรบั ประทานอาหารท่มี ีไขมนั และนํ้าตาลมากเกนิ ไป เพราะจะทําใหเกิดไขมัน เกาะภายในเสนเลือดและกลา มเน้ือหวั ใจ ทําใหหวั ใจตองทํางานหนักข้นึ จะเปน อนั ตรายได 9. เมื่อเกดิ อาการผดิ ปกตขิ องหัวใจ ควรปรึกษาแพทย 8. การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลาํ ไส ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1. ควรรับประทานอาหาร ท่มี ีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรือมีรสจัด เกินไป เพราะทําใหกระเพาะอาหารทํางานหนกั หรือทําใหเ กิดเปน แผลได 2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเส้ือผาหรือหมผาเสมอ เพื่อมิใหทอง รับความเย็นจนเกินไป จนอาจเกดิ อาการปวดทอง 3. ควรควบคุมอารมณ เพราะความเครียด ความวติ กกงั วล กท็ าํ ใหกระเพาะอาหารหล่ัง น้ํายอ ยออกมามาก 4. เค้ียวอาหาร ใหละเอียดกอนกลืน และไมรีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหาร ยอ ยยาก

14 5. ไมควรสวมเส้ือผาคับหรือรัดเข็มขัดแนนเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารทํางาน ไมส ะดวก 6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานอยูเสมอไมมี เวลาพกั 7. ควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรือรับประทานอาหาร มากเกินไป จะทําใหก ระเพาะอาหารตอ งทํางานหนกั หรอื เกดิ อาการอาหารไมยอ ย แนน ทองได 8. ไมร ับประทานของหมกั ดอง จะทําใหเกิดอาการทอ งเสยี หรือทองรวงได 9. ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยท่ีดี โดยรักษาความสะอาดมือ ภาชนะและอาหารท่ี รบั ประทานเพือ่ ปองกันเชอ้ื โรคจะเปนอนั ตรายตอ กระเพาะอาหารได 10. ควรรับวคั ซีนปองกันโรค เม่ือเกิดโรคติดตอระบาดในชุมชน เชน อหิวาตกโรค บิด พยาธติ า ง ๆ ทองรว ง 9. การดแู ลรักษาไต ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1. ควรรบั ประทานอาหาร นํ้า เกลือแร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรา งกาย 2. ควรหลกี เลี่ยงการใชย าหรอื รับประทาน ยาท่มี ีผลเสียตอ ไต เชน ยาซัลฟา ยาแกปวด และแกอกั เสบตอ เนือ่ งเปน เวลานาน 3. ไมควรกลัน้ ปส สาวะเอาไวน าน ๆ หรอื สวนปส สาวะ 4. ผูท่ีมีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษา เพราะจะสงผล กระทบตอการทาํ งานของไต 5. เมื่อเกิดอาการผิดปกตทิ ่ีสงสัยวาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรือหนาบวม ปสสาวะ เปนสีคลา้ํ เหมอื นสนี ้าํ ลา งเนอ้ื หรือปสสาวะบอ ยผดิ ปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. ควรตรวจสขุ ภาพ ตรวจปส สาวะ อยา งนอ ยประจําปละ 1 - 2 คร้งั

15 กิจกรรมทายบท 1. ใหผ เู รยี นแบงกลุมศึกษาพฒั นาการของมนุษยตามวัยตางๆ แลวใหแตละกลุมอภิปราย นาํ เสนอผลงานแตล ะกลุม 2. ใหผ ูเ รยี นเปรียบเทยี บความแตกตา งที่เกิดขน้ึ ในแตละวยั และชวยกันสรปุ ผล 3. ใหผูเรียนบอกความแตกตางของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอก พรอมอภปิ รายวิธกี ารปอ งกนั และดูแลรกั ษา

16 บทที่ 2 พฒั นาการทางเพศของวยั รนุ การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ สาระสําคัญ มคี วามรูความเขาใจเกี่ยวกับปญหาและการพัฒนาทางเพศของวัยรุนในเร่ืองตาง ๆ ทั้งเพศชาย และเพศหญิง ท่ีมีปญหาที่แตกตางกันออกไปตลอดจนเรียนรูในเรื่องของกฎหมายที่เก่ียวของกับการ ลวงละเมิดทางเพศ และมีความรูในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองใหพนจากโรคติดตอจากการ มเี พศสัมพันธ ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. เรียนรเู ก่ียวกบั การพัฒนาการทางเพศ และการดูแลสขุ ภาพของวยั รุน 2. เรียนรูเกี่ยวกบั การปองกันปญหาทีจ่ ะเกิดจากสาเหตุตา ง ๆ ของวัยรนุ 3. เรยี นรใู นเรอื่ งกฎหมายทเี่ กยี่ วของกบั การลวงละเมดิ ทางเพศ 4. เรียนรใู นเรอื่ งของโรคติดตอตาง ๆ ที่เกดิ จากการมีเพศสัมพันธ ขอบขา ยเน้อื หา เรื่องที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รุน เรื่องที่ 2 การดแู ลสขุ ภาพเบ้อื งตน ในวัยรนุ เรื่องที่ 3 การคมุ กาํ เนิด เรอ่ื งที่ 4 วธิ กี ารสรางสัมพนั ธภาพทีด่ ีระหวางคนในครอบครัว เรื่องท่ี 5 การสอ่ื สารเรอ่ื งเพศในครอบครวั เรอ่ื งที่ 6 ปญหาทเ่ี ก่ยี วขอ งกบั พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ เรอ่ื งที่ 7 ทกั ษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตอ งการทางเพศของวัยรุน เรือ่ งที่ 8 หลากหลายความเชื่อที่ผดิ ในเรือ่ งเพศ เรอ่ื งท่ี 9 กฎหมายทีเ่ ก่ยี วกับการลว งละเมดิ ทางเพศ เรอ่ื งที่ 10 โรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ

17 เรอ่ื งที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รุน วยั รุน ชวงอายรุ ะหวาง 8 - 18 ป เปนวยั ทรี่ างกายเปล่ยี นจากเดก็ ไปเปนผูใ หญ เรียกวา วัยรุน หรือ วัยเจริญพันธุ มกี ารเปลีย่ นแปลงเกิดขึน้ หลายอยา งทั้งทางรางกายและจิตใจ โดยมฮี อรโ มน เปน ตวั กระตุน การที่จะบอกใหแ นชดั ลงไปวา เดก็ ชายและเดก็ หญิงเขา สวู ยั รุนเมอื่ ใดนนั้ เปน เรือ่ งคอ นขา งยาก เพราะเดก็ ทั้งสองเพศนอกจากจะแตกเน้ือหนุมสาวไมพรอมกันแลว คนแตละคนในเพศเดียวกันก็ยังแตกเนื้อ หนมุ สาวไมพรอ มกนั อีกดวย แตพ อจะกลา วโดยท่วั ไปไดว า เด็กหญิงจะเขา สวู ยั รนุ ในอายุระหวาง 13 - 15 ป และเด็กชายจะเร่ิมเมื่ออายุ 15 ป โดยเด็กหญิงจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางดานรางกายในชวงน้ี เร็วกวา เด็กชายประมาณ 1 - 2 ป แตท ั้งนข้ี ้ึนอยูกับลักษณะหรือแบบแผนการเจริญเตบิ โตของแตละคน ฮอรโ มนเพศ หญงิ และชายเมื่อเขา สูชวงวัยรนุ ตอมไฮโปเตลามสั (Hypothalamus) ซ่ึงเปนตอม เล็ก ๆ ในสมอง เริ่มสงสัญญาณผานตอมใตสมองพิทูอิตารี (Pituitary gland หรือ Master gland) ซึ่งเปน ตอ มไรทอ ทสี่ าํ คญั ทสี่ ดุ ของรางกาย เพราะมีหนาทผี่ ลิตฮอรโ มนท่แี ตกตา งกัน เพ่ือไปกระตุนและควบคุม การทาํ งานของอวัยวะตาง ๆ รวมถงึ อวัยวะทเ่ี กยี่ วกบั เพศ คือ รงั ไขสําหรบั ผหู ญิงในการผลิตฮอรโมนเพศ เอสโทรเจน (Estrogen) และลกู อณั ฑะสาํ หรับผูชายผลติ ฮอรโ มนเพศเทสทอสเทอโรน (Testosterone) ฮอรโ มนเอสโทรเจน และฮอรโ มนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเปนฮอรโมนเพศน้ี ทําใหรางกายวัยรนุ เจริญเตบิ โตอยา งรวดเร็ว มไี ขมันและกลามเนื้อเพ่ิมข้ึน ตัวสูงข้ึน มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ รักแรและ สวนตาง ๆ ของรางกาย มีกล่ินตัว มีสิว ผูหญิงจะมีสะโพกผาย ตนขา หนาอกและกนใหญขึ้น และมี ประจําเดอื น สวนผูชาย เสียงจะแตกหาว ฝนเปยก และทั้งหญิงชายจะเริ่มมีความรูสึกตองการทางเพศ หรอื มีอารมณเ พศ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางรางกายแลว วัยรุนหญิงชายยังมีการเปล่ียนแปลงทางดานจิตใจ อารมณและความรสู ึก โดยเร่ิมมคี วามสนใจ หรอื ความรูสึกพึงพอใจเปนพิเศษตอบางคนทีอ่ าจเปนท้ังเพศ เดยี วกันและตา งเพศ วัยรุนเปนวัยที่รางกายมีความพรอมในการผลิตเซลลเพศเพ่ือการสืบพันธุ คนทั่วไปจึงตัดสิน การเขาสูวัยรุน โดยพิจารณาจากการมีประจําเดือนครั้งแรก (เด็กหญิงราว 13 ป) และการหลั่งนํ้าอสุจิ ครงั้ แรก (เด็กชายอายุประมาณ 11 ป) แตปรากฏการณท้ังสองไมคอยแนนอนนัก เชน การหล่ังนํ้าอสุจิ อาจเกดิ ชา กวาการเปล่ยี นแปลงทางรางกายดา นอนื่ ๆ สาํ หรบั การมาของประจาํ เดอื นครง้ั แรกของเด็กหญิง ก็เชน กนั การสุกของไข (ไขตก) ในบางคนอาจไมมีความสมั พนั ธก ับการมปี ระจําเดือนเสมอไป และการ ตกไขฟองแรก ๆ อาจไมทาํ ใหเกดิ ประจําเดือนกเ็ ปนได รวมทั้งการมปี ระจําเดอื นคร้ังแรกอาจเกิดขน้ึ กอน หรอื หลงั การเปล่ียนแปลงของรา งกายสว นอน่ื ๆ เมือ่ เขาสวู ยั รุนแลว ไดเ ปนเวลานาน

18 การมีประจําเดือนครัง้ แรก ขณะแรกคลอด รงั ไขของเดก็ หญิงจะมีไขทย่ี งั ไมเ จริญอยูแลวหลายพันใบ เม่ือนับจากชวงวัยรุน เปนตนไป ทุก ๆ 28 วันจะมีไข 1 ใบที่เจริญเต็มที่แลวหลุดออกมาเขาสูทอนําไข เรียกวา การตกไข ขณะเดยี วกัน เยอ่ื บุโพรงมดลกู จะมีหลอดเลือดงอกมาหลอเล้ียงมากมาย เพื่อเตรียมรับไขท่ีผสมกับอสุจิ หากไมไดรับการผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกหลุดออกมาเปนเศษเนื้อเย่ือและเลือดไหลออกมา ทางชอ งคลอด เรยี กวา ประจําเดือน อายขุ องเด็กหญิงทปี่ ระจําเดอื นมาคร้ังแรกยอมแตกตางกัน สวนมาก จะมอี ายุ 12 - 13 ป แตบางคนอาจเริ่มต้ังแตอายุ 10 ป บางคนก็ลาชาไปถึง 16 ป ซ่ึงยังไมนับวาเปนเรื่อง ผดิ ปกติ การฝน เปยก การหลงั่ นํ้าอสจุ นิ ัน้ จะเริม่ เกดิ ขนึ้ ในชว งอายปุ ระมาณ 11 ป แตก็อาจเกิดข้ึนเร็วหรือชากวานี้ดังท่ี กลาวมาแลวขางตน ขึ้นอยูกับแตละคน การฝนเปยกเปนลักษณะทางธรรมชาติของเด็กผูชาย ทแี่ ตกเน้อื หนุม เมอ่ื รา งกายผลิตนาํ้ อสจุ แิ ละเก็บสะสมไว เม่ือมีปริมาณมากเกินไป รางกายจะขับออกมา ตามกลไกธรรมชาติ มักเกิดขึ้นในชวงท่กี าํ ลงั ฝนโดยอาจนึกถงึ สงิ่ ท่กี ระตนุ อารมณทางเพศ เมื่อต่ืนข้ึนมา กพ็ บวา มขี องเหลวเปย กช้นื ตรงเปากางเกงนอน หรือเปอนบนที่นอน จึงเรียกวา “ฝนเปยก” หรืออีกกรณี การเลน ตอ สกู ับเพอ่ื นๆ อาจปลกุ เรา และกระตุน องคชาตได จะทาํ ใหน ้ําอสุจเิ ลด็ ลอดออกมาตามธรรมชาติ ทเี่ รยี กวา “การหล่ังอยางไมรูตัว” ท้ังนี้ เด็กชายแตละคนอาจมีความถ่ีในการฝนเปยกแตกตางกัน ต้ังแต ไมเ คยฝนเปยกเลยจนกระทง่ั สัปดาหละหลาย ๆ ครั้ง จึงไมควรถือเรื่องนี้เปนเรื่องความผิดปกติทางเพศ ของวัยรุนชาย น้าํ อสจุ เิ ปน ของเหลวสขี าวขุน ประกอบ ดว ยตวั อสจุ แิ ละสารคดั หล่งั จากตอ มลูกหมากและ ตอมพักตัวอสุจิ ซึง่ จะถกู ขับออกมาพรอมกนั ผานทางทอ นาํ อสจุ ิ ในน้าํ อสจุ ิเพียงหยดเดยี วจะมีสเปร ม หรอื ตวั อสจุ ปิ ระมาณ 1,500 ตวั ขณะทผี่ ชู ายถึงจุดสดุ ยอด จะหลั่งนํา้ อสุจิออกมาประมาณ 1 ชอนชา ซึ่งมีอสุจิ อยูถึง 300 ลา นตวั และเชือ้ อสจุ ิเพียงหนึง่ ตวั ก็สามารถเขาไปผสมกับไขไดเมื่อมีเพศสัมพันธแบบสอดใส วัยรุน ชายจะมีอสจุ ิทีส่ มบรู ณเ มอ่ื อายรุ าว 13 - 14 ป การจัดการอารมณเ พศ หรอื การชวยตัวเอง วัยรนุ หญิงชายตา งก็เร่ิมมีความรสู กึ หรืออารมณทางเพศเพิ่มมากข้ึนตามลําดับ (วัยรุนเปนวัยท่ีมี ความรูสกึ ทางเพศสูงสุด) การชวยตัวเอง เปนวิธีการจัดการเพ่ือผอนคลายอารมณเพศ ซ่ึงเปนเรื่องปกติ ธรรมดาของท้ังหญิงและชาย โดยการลูบคลําอวัยวะเพศของตนเองจนถึงจุดสุดยอด แตละคนอาจมี วิธกี ารแตกตา งกันไป

19 การต้งั ครรภ เกิดขนึ้ จากการมีเพศสัมพนั ธระหวา งชายและหญิง เม่ือมีการหลั่งน้าํ อสุจใิ นชองคลอด ตวั อสุจิจะ วา ยเขาไปในมดลูกจนถึงทอ นาํ ไข และพบไขของฝา ยหญงิ พอดี ก็จะเกิดการผสมระหวางอสุจิกับไขหรือ ทเ่ี รยี กวา “การปฏิสนธ”ิ แตถาไมม ีไข อสุจิจะตายไปเองภายในเวลา 2 - 3 วนั เรอ่ื งท่ี 2 การดูแลสขุ ภาพเบือ้ งตน ในวัยรนุ วธิ กี ารดแู ลผิวหนา ใหสะอาดเพอื่ ลดการมีสิว การลา งหนา ดว ยนา้ํ สะอาดเพียงอยางเดียว และซับหนาใหแหงอยางเบามือ เปนการถนอมผิวที่ ไดผ ลดี เปนวธิ ีทีแ่ พทยผวิ หนงั แนะนําใหใช เพ่ือลดการระคายเคือง แตการลางหนาดวยสบูหรือครีมลาง หนาบอ ยครง้ั ซง่ึ จะไปชะลา งไขมันทผ่ี วิ สรางขึน้ ตามธรรมชาติ เมื่อผิวแหงตึง ก็จะกระตุนใหตอมไขมัน ยง่ิ ทาํ งานมากขึน้ การทําความสะอาดอวัยวะเพศหญงิ ใหลางจากดา นหนา ไปดา นหลังดวยสบูและนํ้าสะอาด ไมจําเปนตองใชสเปรยหรือน้ํายาลางทํา ความสะอาดชอ งคลอดอีก เน่ืองจากชองคลอดมีระบบทําความสะอาดตามธรรมชาติอยูแลว บางคนใช แลวอาจเกิดอาการระคายเคืองจากสารเคมีเหลาน้ัน เพราะผิวบริเวณนั้นบอบบางมาก ระหวางมี ประจาํ เดอื น ควรเปลย่ี นผาอนามัยทกุ 2 - 3 ชั่วโมงเพอื่ ปอ งกันกลิน่ การทาํ ความสะอาดอวัยวะเพศชาย ทบ่ี รเิ วณใตหนังหุมปลายของผูชายจะมีเมือกขาวเหลืองขุนๆ เรียกวา ‘ขี้เปยก’ ซึ่งทําใหมีกล่ิน การลา งทาํ ความสะอาดอวยั วะเพศชายจึงตองดงึ หนังหุมปลายอวัยวะเพศข้ึน เพ่ือทําความสะอาดบริเวณ สวนหวั ของอวยั วะเพศ (ถาหนงั หมุ ปลายตึงเกินไป ใหคอยๆ ดึงขนึ้ ทลี ะนอ ยในระหวา งอาบน้าํ โดยใชสบู ชว ย)

20 อาการผดิ ปกติบรเิ วณอวัยวะเพศ เชน คันในชอ งคลอด ตกขาวมากจนผิดสงั เกต อวยั วะเพศมกี ลิ่นเหมน็ มาก มสี ผี ิดไปจากเดิม หรือเวลาปส สาวะแลวรสู ึกเจ็บเหมือนปส สาวะไมสดุ สามารถขอคําปรกึ ษาจากหนว ยงานทใี่ หบรกิ าร ดานสขุ ภาพวยั รนุ หรือคลิกเขาไปทคี่ ลินิกสขุ ภาพ www.teenpath.net กลน่ิ ตวั เม่ือเขาสูวัยรุน ตอมไขมันจะผลิตความมันออกมาตามรูขุมขนเพิ่มขึ้น ตอมเหง่ือก็เชนกันผลิต เหง่ือออกมามากโดยเฉพาะเวลาวงิ่ เลน เดินเร็วในอากาศรอน เหงื่อออกมาจากรูเปดของตอมเหง่ือซึ่งอยู ไมหางจากรูเปดขุมขนมากนัก เม่ือทั้งความมันและน้ําเหง่ือไหลซึมออกมาจากรูเปดบนผิวพรรณสัก ระยะเวลาหน่ึง และมีสภาพแวดลอมท่ีอับช้ืนนานพอเหมาะ บรรดาเชื้อจุลินทรียตางๆ ที่อาศัยอยูตาม ธรรมชาตบิ นผิวพรรณเรากจ็ ะพากันเจรญิ เติบโตแพรพ ันธุออกมาจํานวนมาก พรอมทั้งสงกลิ่นเหม็นอับ ออกมาเปนกล่นิ ตวั แรง ๆ นอกจากน้ัน อาหารประเภท เครือ่ งเทศ กระเทียม ทุเรียน ซึ่งเปนอาหารท่ีมีกลิ่นแรง อาจระเหย ออกมาจากลมหายใจ ขับถายออกมาทางตอมเหงื่อ ตอมไขมัน ตอมกลิ่น หรือเปนบอเกิดในการสราง สารประกอบมีกล่ินไดแลว จึงปลดปลอยออกมาทางชองระบายของรางกายไดอีกทอดหนึ่ง รวมท้ัง รองเทาหมุ สน รองเทาผาใบ ลว นเปน บอ เกดิ ของกลิน่ เหม็นอบั ไดเชนกัน วิธกี ารทาํ ความสะอาดดวยการอาบน้ํา ฟอกสบูทุกคร้ังท่ีมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะผูที่มีผิวมัน ตองหมัน่ สระผม ถรู กั แรซ ่งึ เปนจดุ อบั ทม่ี กั สง กลน่ิ รนุ แรงเสมอดวยสารสม เปนวธิ ีพน้ื บานทีไ่ ดผ ลดี เรอ่ื งท่ี 3 การคมุ กาํ เนิด การแสวงหาขอมลู เก่ียวกับวธิ กี ารคุมกาํ เนิด ถอื เปนการแสดงความรับผิดชอบท้ังตอตัวเองและ คนทีเ่ รามคี วามสมั พนั ธด วย มคี นจาํ นวนมากยังเช่ือวาเร่ืองเพศเปนเรื่องนาอาย ทําใหไมกลาหาความรู ในเรอ่ื งนี้อยา งเปด เผย จงึ สงผลใหข าดความรู หรอื มีความเชื่อที่ผิด ๆ จนสงผลตอสุขภาพทางเพศ ท้ังท่ี การมีขอมูลถูกตอง รอบดานและเพียงพอในเร่ืองเพศจะชวยใหทุกคนมีทางเลือกท่ีเหมาะสมท่ีสุดกับ

21 เงื่อนไขของตนเองเมอ่ื ตองตดั สนิ ใจในเร่ืองเพศ เชน การส่ือสารกับคู/คนรอบขาง การมีเพศสัมพันธที่ ปลอดภัย ฯลฯ วธิ ีการคมุ กําเนดิ แบบตา งๆ ถงุ ยางอนามัย  มีหลายขนาด ควรเลือกขนาดทีเ่ หมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดวู ันผลติ หรือวันหมดอายกุ อ น การใช  ใชส วมเมื่ออวยั วะเพศแข็งตวั โดยใหบีบปลายถุงยางอนามัยเพ่ือไลล มขณะสวม เร่มิ สวมจากตรง ปลายอวัยวะเพศรดู เขา หาตัว แลวรูดใหส ุดโคนอวยั วะเพศ  เมอื่ เสรจ็ กิจ ใหถ อดถงุ ยางอนามัยขณะท่ีอวยั วะเพศยงั แขง็ ตวั โดยจับที่ขอบถุงยางและคอยๆ รูด ออก หากปลอ ยใหอ วยั วะเพศออ นตัวในชอ งคลอดอาจทาํ ใหถ งุ ยางอนามยั หลดุ ได  ในขณะน้ี ถุงยางอนามัยเปนวิธีคุมกําเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิดและ สามารถปอ งกนั การติดเชื้อเอชไอวี รวมท้ังโรคตดิ ตอทางเพศสัมพันธอ ื่นๆ เชน เริม หูดหงอนไก หนองใน ซิฟลิส แผลรมิ ออน ไปพรอมกนั ได ยาเมด็ คมุ กาํ เนดิ ทั่วไป • ยาคุมกาํ เนิดชนดิ เมด็ มี 2 แบบคอื แบบ 21 เมด็ และแบบ 28 เมด็ ซง่ึ มีประสิทธิภาพไมแตกตาง กนั • ยาคุมชนดิ 28 เม็ด เม็ดยาทเ่ี พม่ิ ขึ้นมา 7 เม็ดเปนวิตามนิ ทชี่ ว ยใหกนิ ยาตอเนือ่ งโดยไมลืม • วิธีการกินยาคุมแผงแรก ใหเริ่มกินเม็ดแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจําเดือน แลวกิน ตดิ ตอกนั ทกุ วัน วันละ 1 เมด็ จนหมดแผง • สําหรับยาคมุ 21 เมด็ เมอ่ื กินหมดแผง ใหเ วนไป 7 วันแลวจึงเริ่มแผงใหม สวนยาคุม 28 เม็ด ใหกนิ แผงใหมติดตอ ไปไดเลย • ออกฤทธค์ิ ุมกําเนดิ โดย 1) ยบั ยง้ั ไมใหมีการเจรญิ เตบิ โตของไข และปองกนั ไขตก 2) ทาํ ให เยือ่ บุโพรงมดลูกบางลงไมเหมาะแกก ารฝงตวั ของตวั ออ น 3) ทาํ ใหม ูกที่ปากมดลูกเหนยี วขน ไมเหมาะแกการใหอ สุจิเคล่อื นผานเขา ไปในโพรงมดลูก 4) เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนไหวของ ทอนาํ ไข ทําใหไ ขท่ีผสมแลว เดินทางไปถงึ มดลกู เร็วเกินไปจนไมสามารถฝงตวั ได • ถา ลมื กิน 1 วนั ใหกิน 2 เมด็ ในวนั ถัดไป

22 • ถาลืมกิน 2 วัน ใหก นิ 2 เม็ดในวนั ทส่ี าม และอกี 2 เม็ดในวันท่ี 4 • ถา ลืมกนิ 3 วนั ขึ้นไป ควรหยุดกนิ ยาคุมแผงน้ันไปเลย และใชว ิธคี มุ กําเนิดชนิดอนื่ ไปกอ น เชน ใชถงุ ยาง แลวจงึ เริม่ กินแผงใหมในการมีประจําเดือนรอบถัดไป • หากเร่ิมกินเปนคร้ังแรก ตองกินไป 14 วัน แลวจึงจะมีผลตอการปองกันการต้ังครรภ หากมี เพศสมั พนั ธใ นชวงเวลาดงั กลาว ควรใชถุงยางอนามัยควบคูไ ปดวย • แมผหู ญงิ จะเปน คนกินยาคมุ แตผ ูช ายควรมสี วนรวมในการชวยเตอื นใหก ินยาตอเนือ่ ง ยาเมด็ คุมกาํ เนดิ แบบฉกุ เฉนิ • ตอ งกิน 2 เม็ด จึงมปี ระสิทธิภาพในการคมุ กําเนดิ • เม็ดแรก กินทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมง (สามวัน) หลังการมีเพศสัมพันธ ประสิทธิภาพจะ ขึ้นกับเวลาทกี่ ินภายหลังการมีเพศสัมพันธ หากกนิ ไดเร็วเทาไร ความสามารถในการปองกัน การตัง้ ครรภก จ็ ะสงู ขึน้ เทานัน้ เม็ดที่สอง กินหา งจากเมด็ แรก 12 ช่วั โมง • หากกนิ ถูกวธิ ี มีประสทิ ธภิ าพปอ งกันการต้ังครรภ 75% • การกินยาคมุ ฉกุ เฉนิ มีประสทิ ธิภาพตาํ่ กวา วธิ ีคุมกําเนิดแบบปกตทิ ว่ั ๆ ไป ดังนนั้ ควรใชใ นกรณี ฉกุ เฉนิ เทา นนั้ ไมค วรใชเ ปนวิธีการคุมกําเนดิ ประจํา การนบั ระยะปลอดภยั หรอื นบั หนา 7 หลัง 7 เปนวิธีคุมกําเนดิ แบบธรรมชาติ วธิ ีนี้ใชไ ดผลเฉพาะผูหญงิ ทม่ี รี อบเดือนมาสม่ําเสมอเทาน้ัน ซ่ึง ไมเ หมาะกบั วัยรุน ซึง่ รางกายยังอยูในชวงฮอรโมนเพศปรับตัว อาจมรี อบเดือนไมส มํ่าเสมอ การนับหนาเจ็ดหลังเจ็ด ใหใช “วันแรก” ของการมีประจําเดือน นับเปนวันท่ี 1 หนาเจ็ดคือ นับยอนข้ึนไปใหครบเจ็ดวัน สวนหลังเจ็ด ใหนับตอจากวันแรกที่มีประจําเดือนไปใหครบ 7 วัน ดังตัวอยา ง

23 12 3 4 5 6 7 89 10 11 12 13 14 21 ระยะหนา เจ็ด วันแรกของ ระยะหลังเจด็ การมปี ระจาํ เดอื น 15 16 17 18 19 20 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 การหลัง่ ขา งนอก การหลัง่ ขา งนอก เปนวธิ ีการคมุ กาํ เนดิ แบบธรรมชาติ ไดผ ลไมแนน อน เพราะขณะที่สอดใส ฝายชายจะมีน้ําคัดหลงั่ จํานวนหนึ่งออกมากอ น ซง่ึ จะมอี สุจปิ ะปนอยูดวย ตวั อสุจนิ น้ั สามารถวา ยไป ผสมกบั ไข การตั้งครรภจงึ เกดิ ข้ึนไดก อ นผชู ายจะหลงั่ น้ําอสุจิภายนอกเสยี อกี

24 นอกจากน้นั การหล่งั ภายนอกยังเปนวธิ กี ารทข่ี ึ้นอยูก ับฝา ยชาย โดยทฝี่ า ยหญิงไมส ามารถ ควบคุมไดเลย o การกินยาคมุ กําเนิดชนดิ เมด็ ยาคมุ กาํ เนดิ แบบฉกุ เฉนิ การนับวนั และการหลั่ง ขา งนอก ลว นเปน วิธคี มุ กําเนิดทไ่ี มสามารถปอ งกนั การติดเชอื้ เอชไอวี และเชอ้ื โรคติดตอ ทางเพศสัมพนั ธ o ถุงยางอนามัย เปนวิธเี ดียวที่ชวยปอ งกนั การตงั้ ครรภ ปองกนั การติดเช้ือเอชไอวี และเชื้อโรคตดิ ตอ ทางเพศสัมพันธ เรือ่ งที่ 4 วธิ ีการสรางสัมพันธภาพที่ดรี ะหวา งคนในครอบครวั ครอบครวั หมายถึง กลุม คนต้ังแต 2 คนขึน้ ไปมาเกยี่ วพนั กนั และสืบสายเลือด ไดแก พอ แม ลูก และอาจมญี าติ หรือไมใชญ าตมิ าอาศัยอยูดว ยกัน ซ่งึ ถอื เปนสมาชกิ ครอบครัว เชนกัน มีความรัก มีความ ผูกพนั ซ่งึ กันและกัน ครอบครัวมหี นา ทีห่ ลอหลอม ขดั เกลาสมาชิกในครอบครัว ใหเปนคนดี รูระเบียบและกฎเกณฑ ของสังคม อีกท้ังยังสรางความเปนตัวตนของทุกคน เชน ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ เปน ตน การสรา งสัมพนั ธภาพในครอบครวั ความขัดแยงระหวางพอแมและลูกเปนเร่ืองที่เกิดข้ึนเสมอ เพราะความแตกตางของวัยและ ประสบการณ ความหวงใยของพอ แมที่ปรากฏผานการวากลาว ตกั เตือน หา มปราม ใหความรสู ึกไมไ วใจ และกงั วลเกินความจาํ เปน ตอลูกโดยเฉพาะลกู ท่ีอยใู นวยั รนุ เปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากพอ แมใ ชประสบการณข องตนมาคาดเดาถงึ ผลท่ีอาจเกิดขึ้นเม่ือเห็น การกระทาํ ของลกู การตําหนิจึงมกั มาพรอมกับทา ทีขนุ เคอื ง โมโห บน ทําใหดเู หมอื นวาพอแมชอบใช อารมณ ไมใ ชเหตผุ ล ไมคอ ยยอมรับส่งิ ทีเ่ ปน อยขู องลกู วยั รุน ความตอ งการของตวั เองเปน ทตี่ ั้ง ไมพยายามเขา ใจอกี ฝา ยหนงึ่ วา ตองการอะไร ยอ มทาํ ใหเกิด ความขัดแยงกัน การหาทางออกจึงตองเริ่มจากตัวเองกอนในการเปดใจมองหาความหมายที่อีกฝาย พยายามส่อื สารผานการกระทําซึ่งเราอาจไมชอบใจ การเขาใจความหมายที่แทจริงจะชวยใหเกิดการ สอ่ื สารระหวา งกัน ไมตดิ กบั อารมณแ ละทา ทขี องกันและกนั

25 การเรียนรูถึงความแตกตางของวัยและประสบการณของทั้งสองฝาย จะชวยสรางความเขาใจ ลดขอขดั แยง และส่ือสารกันไดม ากขน้ึ ปจ จยั ท่ชี วยสง เสริมใหมสี มั พันธภาพทด่ี ีตอ กนั ไดแก  การชมเชยหรอื ชืน่ ชมอยา งเหมาะสม  การติเพ่อื กอ  การแกไขความขดั แยงในเชิงสรางสรรค การชมเชยหรอื ช่ืนชม คนสวนใหญไ มวาจะอยใู นครอบครัวหรืออยูในสงั คมภายนอกครอบครัว มักจะไมค อยช่ืนชม หรือชมเชยกนั พอแมส ว นใหญเ ช่ือวาถา ชมลูกบอยๆ เดก็ จะเหลิง อาจกลายเปน คนไมดีได ทาํ ใหพ อ แม ไมชมเมื่อลกู กระทําสิง่ ท่ีดหี รือมีพฤติกรรมในลักษณะท่ีเปน สิ่งทพี่ อแมต องการ จึงทาํ ใหเด็กขาดกําลงั ใจ ขาดนาํ้ หลอ เล้ยี งจติ ใจ คนเราโดยทว่ั ไปตอ งการคาํ ชมเชย โดยการชมเชยทจี่ ะสรางเสริมสมั พันธภาพใหด คี วรมีลกั ษณะ ดังน้ี  ชมพฤติกรรมท่ีเพิ่งเกดิ ขึ้นใหมๆ  การชมควรเนนทีพ่ ฤตกิ รรมที่ทําไดด ี และชมทลี ะ 1 พฤติกรรม  บอกความรูสกึ ของเราตอพฤตกิ รรมนนั้ อยา งจริงใจ  ชมเฉพาะส่งิ ทค่ี วรชม  ไมช มมากเกนิ กวา ความเปน จรงิ ตัวอยา ง เชน ลกู บอกกบั แมว า “วนั นี้ แมทาํ กับขา วอรอยมาก ทาํ ใหก นิ ไดม าก ลูกรูสกึ มีความสขุ ภูมิใจที่มีแม ทํากบั ขา วอรอย” แมบอกกับลูกวา “วันน้ี แมรูสึกภูมิใจท่ีลูกชวยลางชามในตอนเย็นไดสะอาดเรียบรอยดีมาก โดยทแี่ มไมตองเรียกใหทํา” การตเิ พื่อกอ คนสวนใหญ ไมชอบฟงคําติ การติติงท่ีไมเหมาะสม มักจะทําใหเกิดผลเสียหายตามมา เชน เกดิ การทะเลาะกันได แตก ารติในเชิงสรา งสรรคก ็มปี ระโยชน และสามารถเสริมสรา งสัมพันธภาพท่ีดีได โดยมีลักษณะดังน้ี  ตอ งแนใจวา เขาสนใจทจ่ี ะรบั ฟง คําติ และพรอมที่จะรบั ฟง

26  เรอื่ งทีจ่ ะติ ตอ งเปน เรือ่ งทีเ่ พิ่งเกดิ ขึ้น ไมใ ชเ กิดขึน้ เมือ่ นานมาแลว  สิ่งทีจ่ ะติ ตองเปน สง่ิ ท่เี ปลยี่ นแปลงได  พูดถึงพฤตกิ รรมที่ตใิ หช ัดเจน เปน รปู ธรรม  บอกทางแกไขไวด ว ย เชน ควรทําอยา งไรใหด ขี นึ้  รกั ษาหนาของผรู บั คําตเิ สมอ เชน ไมสมควรตติ อ หนาคนอนื่  เลือกเวลาและจงั หวะทีเ่ หมาะสม เชน ผรู ับคําติมีอารมณส งบหรอื แจมใส ไมตใิ นชวงทมี่ ี อารมณโกรธ ตัวอยา งเชน หากพอ หรอื แมตอ งการติลกู วยั รนุ ในเร่ืองการคยุ โทรศัพทนาน ควรเลอื กเวลาทลี่ กู มี อารมณสงบ พรอ มท่จี ะรับฟง และพูดตใิ นเชิงสรางสรรคว า “วันนีล้ กู คยุ โทรศพั ทก ับเพือ่ นมานาน 2 ชว่ั โมงแลว แมคดิ วาลกู ควรหยดุ คุยโทรศัพทไดแ ลว และหันมาทาํ การบาน อานหนังสือ แลวเขา นอน จะดกี วา ไหม” การแกไ ขความขดั แยง ในเชงิ สรางสรรค หนทางในการแกไ ขปญ หา เมอ่ื เกิดความขดั แยง ในครอบครวั คือ การสอื่ สารทด่ี ี ซง่ึ ตองอาศยั ทกั ษะและความสามารถ ดังตอ ไปนี้  แสดงความปรารถนาอยางแนว แนท่จี ะรว มกนั รกั ษาความสัมพนั ธทด่ี ตี อกนั ไว  มงุ มน่ั เชิงสรา งสรรค เปนไปในทางการปรกึ ษากัน  ใหค วามสําคญั และตง้ั ใจฟง ความคิดเห็นของอกี ฝา ยหนง่ึ  แสดงความคดิ เหน็ ของเราใหช ดั เจนและสอ่ื สารใหอีกฝา ยหนง่ึ ไดร ับทราบ  ไมถ อื วา การยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผอู ื่นเปน เรือ่ งแพหรอื เปนเรอ่ื งที่เสยี หาย  ยอมรบั ฟง ความคดิ เหน็ ของกนั และกนั  หลกี เล่ยี งการใชอารมณ ขู คกุ คาม ด้ือรนั้  ชว ยกนั เลือกหาทางออกทีย่ อมรบั ไดท ัง้ 2 ฝา ย ตัวอยางการแกไขความขดั แยงระหวา งคูส มรส  คสู มรสทง้ั 2 คนจะตองเปดใจรบั ฟงกันกอนโดยการพูดทีละคน และรับฟงกันโดยพูดใหจบ ประโยคหรอื จบประเดน็ ทลี ะคน และรบั ฟงใหเขาใจวา อีกคนตงั้ ใจจะสือ่ อะไรใหทราบ

27  ถา ฝายหนง่ึ พูดแทรกในขณะทอี่ ีกคนพูดไมจบประเด็น ก็จะทาํ ใหสอื่ สารกันไมได  ถาคนหนึ่งหรือทงั้ 2 คน โกรธ โมโห ขม ขู กจ็ ะย่ิงทาํ ใหไมส ามารถแกไขความขดั แยงได ตอง หลกี เล่ยี งการใชอ ารมณ พยายามพูดคุยกันดวยอารมณที่สงบ และต้ังใจฟงความคิดเห็นของ อกี ฝา ยหนึง่  ทายที่สุด ชวยกนั เลือกหรอื ตดั สนิ ใจมองหาทางออกท่ีทัง้ คยู อมรบั ได เร่อื งท่ี 5 การสือ่ สารเรื่องเพศในครอบครัว พอแมที่มีลูกกําลังเปนวัยรุน ลวนพบปญหาเดียวกันคือ “พูดกับลูกไมคอยจะรูเร่ือง คุยกันได แปบ ๆ กข็ ดั คอกนั ทะเลาะกนั แลว” ชว งเวลาแหงการเชื่อฟง ไมวาพอแมพูดอะไร ลูกก็ เออ ออ หอหมก ไปดวยไดหมดไปแลวเม่ือลูกยางเขาสูวัยที่กําลังจะเร่ิมเปนหนุมเปนสาว และย่ิงยากมากขึ้นเมื่อหัวขอ ของการพูดคุยเกีย่ วกับความประพฤตทิ ีพ่ อแมเ ปนหวง เพราะลูกกําลังจะเปน หนมุ เปน สาวน่ีเอง เพราะไมเคยมีใครสอนเราซึ่งเปนพอแมมากอนวาตองคุยกับลูกยังไง ดังนั้น เม่ือเกิดความ ไมสบายใจ กังวลใจกับพฤตกิ รรมของลูก เราจึงมักเลือกวิธีเดียวกับที่พอแมปฏิบัติกับเราเมื่อเราเปนเด็ก คอื เงียบ บน หรอื ดาวา ซึง่ วธิ ีการเหลานั้นเปนการสรางกาํ แพงระหวางเรากับลกู ใหยิ่งสูงขึ้น และยากตอ การปนปา ยขาม โดยเฉพาะเมอื่ เปน เรอ่ื งเพศ ซ่ึงเปนเรื่องท่ีหลายครอบครัวไมเคยเอยปากสนทนาเมื่ออยู ดวยกันพรอมหนา ลองเรม่ิ ตน จากการตอบคําถามตวั เองกอ น การกอบกชู วงเวลาดี ๆ ท่ีเคยมีเมื่อตอนลูกยังเปนเด็กเล็ก ๆ ใหกลับมาแมลูกจะเขาสูวัยรุนแลว เปนเรื่องท่ีทําได แตตองอาศัยการฝกฝน ทําบอย ๆ และแมจะยากเพียงใด ก็เปนเรื่องที่พอแมควรตอง เรียนรู ตองฝกการพูดคุยกับลูกดวยทาทีท่ีแสดงใหลูกเห็นถึงความรัก ความหวงใย และสรางความ ไววางใจ เพราะผลดจี ะตกอยูท ีล่ กู ของเรา เมือ่ ความสัมพันธใ นครอบครัวดีข้ึน กอนจะเริ่มตน คุยกับลูก ลองทบทวน ถามตวั เองในใจวา  มเี รอ่ื งอะไรบา งทเ่ี ราพูดไดอยางสบายใจ  มเี รอ่ื งอะไรทเ่ี หน็ ๆ อยูตาํ ตา แตไมเ คยพูดเลย  มเี ร่ืองอะไรท่ีเปนความลับสุดยอดของครอบครัว ซึ่งตองปดไว ไมสามารถเปดเผยไดจริงๆ เพราะจะสง ผลกระทบถึงสมาชกิ ในครอบครัว  มีความลับอะไรในครอบครัวท่เี ก่ียวของกับเรอ่ื งศาสนา

28  มีศีลธรรม จริยธรรมขอ ไหนบางที่เราไดแตพ ูด แตทําตามไมได การตอบคําถามเหลานี้ คือการเรมิ่ ตนทจี่ ะทาํ การสํารวจและทําความเขาใจกับกฎกติกาความคิด ความเชื่อของครอบครวั เราที่มีตอ เรอ่ื งตาง ๆ ทําใหเรารวู าทาํ ไมเราถึงคิดและประพฤตเิ ชน น้นั และจะชวย เตอื นเราวา มีหลายเรอื่ งอาจไมส อดคลองกบั ครอบครวั ของเราหรือกบั ของคนอืน่ เราจงึ ควรเปดใจกวา งขนึ้ ซง่ึ การเปด ใจยอมรบั ประสบการณใ หม ๆ คอื จุดเริม่ ตน ของการส่อื สารทไี่ ดผ ล เม่อื สื่อสารเรื่องเพศกบั ลกู สิ่งทตี่ อ งระวัง ลองพยายามทาํ สงิ่ น้ี ไมควรหลีกเลยี่ ง บา ยเบ่ยี ง - ตั้งใจฟงคําถามลูก และฉวยโอกาสพูดคุยโดยยกตัวอยางจาก หรอื เปลีย่ นเรื่องคุย สถานการณตาง ๆ ในขณะน้ัน เชน ระหวางดูโฆษณา ละครทีวี เดนิ เลน ในหา ง นงั่ รถ ฯลฯ - ใหคําตอบส้ัน ๆ ถายังไมสะดวกใจจะคุย เชน อยูในที่สาธารณะ หรืออยูในชวงเวลาที่ยงั ไมเ หมาะสมวา “เด๋ียวเราคอยคุยเรื่องน้ีกัน ทีบ่ า น” หรอื “รอใหแม/ พอวา งกอนนะ เดย๋ี วจะคยุ ใหฟง ” ไมควรไลใ หไปถามพอ - บอกลูกไปตรง ๆ วา “ไมรู แตจะลองไปหาคําตอบให” หรือชวน หรือ ถามแมแ ทน ลูกใหชวยกนั หาคาํ ตอบวา เพราะอะไร - หากคุณลาํ บากใจ อายท่จี ะพดู กค็ วรใหล กู รบั รูว า “แมกระดากปาก ยงั ไมก ลาพูด ขอเวลาหนอย แลว จะตอบ” ไมค วรหวั เราะ ลอ เลยี น หรอื การหัวเราะหรือลอเลียนคําถามของเด็กในเรื่องเพศ จะทําใหลูกเกิด แสดงใหลูกเหน็ วา คาํ ถามของ ความสับสน และกังวลใจ สง ผลใหใ นอนาคตเม่ือลกู เกิดปญหาในเร่ือง ลกู เปน เรอ่ื งตลก เพศ ลูกจะไมส ามารถตดั สินใจไดวา ควรทําอยา งไร สิ่งที่ควรทํา คือ การสนับสนุน หรือแสดงออกทั้งนํ้าเสียง กริยา วาจา ในทางทที่ ําใหล กู รวู าเมอ่ื ไหรท ่ีมคี าํ ถามในเร่ืองเพศ ใหมาปรึกษาหรือ ถามกบั พอ แมไ ดเสมอ

29 สิ่งที่ตอ งระวัง ลองพยายามทาํ สิง่ นี้ ไมควรใชน ้ําเสยี งตําหนิ หา ม เปดใจรับฟง แสดงใหลูกเห็นวา พอ แมมีความสนใจเร่อื งตา งๆ ท่ี ปรามเม่ือไดยินคาํ ถามที่แสดง เกยี่ วของกับเรือ่ งเพศ และเหน็ วา เปน เร่ืองธรรมชาติ ไมใ ชเ รอ่ื งผิดปกติ ความอยากรูอยากเหน็ ในเรอื่ ง เพศของลูก ใชคําเรียกอวัยวะตางๆ ทีเ่ กย่ี วขอ งกบั เร่อื งเพศทีถ่ ูกตอ งตามความเปน ไมควรใชค ําเรยี กอวยั วะตา งๆ จริง ดวยนํ้าเสียงดูถูก ติเตียน ไมควรใหลกู ฟง ขอมูลตางๆ การพดู คุยเรอ่ื งเพศกบั ลกู ตองเลือกใชคําศัพทท่ีสอดคลองกับวยั ของลกู มากมายในคราวเดยี ว ไมใชศัพทท ี่ยากเกินกวา ลกู จะเขา ใจ เชน การตอบคาํ ถามวา เด็กเกดิ มา จากไหน กบั เดก็ วยั 5 ป ตอ งใชการอธบิ ายทต่ี างจากการตอบคําถามแก เด็กวยั 8 ป และ 11 ป เร่ืองที่ 6 ปญ หาทเ่ี กี่ยวขอ งกับพัฒนาการทางเพศของวยั รุน เมื่อรางกายเจริญเติบโตเขาสูวัยรุน หญิงและชายมีการเปลี่ยนแปลงหลายดานท้ังทางรางกาย จติ ใจ สงั คม และพฒั นาการทางเพศ ซ่ึงเปนพฒั นาการตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย การเปลย่ี นแปลงที่สําคัญ คือในผูชายมีการฝนเปยก และในผูหญิงมีประจําเดือน ซ่ึงหมายถึงภาวะท่ีนําไปสูการตั้งครรภได พัฒนาการทางรางกายน้ีมีความจําเปนที่แตละบุคคลตองดูแลสุขอนามัยสวนบุคคล และเขาใจกลไก การสบื พันธุของรางกายเพือ่ ท่จี ะดํารงอยูไดอ ยา งมสี ขุ ภาวะท่ีดี ประจาํ เดอื น การตัง้ ครรภ และการแทง ผูหญิงมปี ระจาํ เดอื นไดอยา งไร การมีประจําเดือน หรือระดู (Menstruation) เปนกระบวนการทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนในสตรี โดยรังไขจะผลิตไขขึ้นมาทุกเดือน เมื่อไขสุกรางกายเตรียมพรอม เพื่อรองรับไขท่ีอาจถูกผสมโดยเช้ือ อสุจิของฝายชาย โดยผนังมดลูกจะเกิดการเปล่ียนแปลง ถาไมมีการผสมระหวางไขและเช้ืออสุจิของ

30 ฝายชาย ผนงั มดลกู จะลอกหลดุ ออกมาเปนเลือด ที่เรียกวา “ประจําเดือน” กระบวนการท้ังหมดกินเวลา ประมาณ 28 วัน หรือคลาดเคล่ือนมากหรือนอยกวา 7 วัน และมักจะมีครั้งละ 3 – 7 วัน จํานวนเลือด ท่อี อกมาในแตละเดอื นประมาณ 30 – 80 มลิ ลลิ ิตร เมื่อรางกายของผูหญิงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กหญิงเขาสูวัยสาว นอกเหนือจากการ เปล่ียนแปลงทางสรรี ะภายนอกแลว การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญอีกอยางหนึ่งคือ การมีประจําเดือนนั่นเอง เด็กผูหญิงจะเริ่มมีประจําเดือนครั้งแรกในอายุราว 11 – 15 ป การมีประจําเดือนคร้ังแรกจะชาหรือเร็ว ขึ้นกับพัฒนาการของสมอง กรรมพันธุ และสุขภาพกายและใจของคน ๆ น้ัน ในชวงปแรก ๆ ที่มี ประจําเดอื นใหม ๆ และในวยั ใกลห มดประจําเดือน รอบเดือนมักจะไมสม่ําเสมอและบางเดือนอาจไมมี การตกไข และโดยเฉลยี่ แลววยั หมดประจําเดอื นจะเกิดขนึ้ เมอ่ื มีอายุประมาณ 45 – 50 ป ซึ่งเปนเวลาที่รัง ไขหยุดสรางไขอ อกมา วงจรการเกิดประจําเดือน  การตกไข ชว งประมาณก่ึงกลางของรอบเดือน ตอมใตสมองจะหล่ังฮอรโมนออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งมีผล ทําใหร งั ไขปลดปลอ ยไขอ อกมาเพือ่ รอการผสม  หลงั จากตกไข หลังจากไขตก ก็จะเคลื่อนไปตามทอนําไขไปสูมดลูก ขณะเดียวกัน รังไขก็เร่ิมผลิตฮอรโมน เพ่ือทาํ ใหผ นังมดลูกเร่มิ สรา งตวั ใหหนาขน้ึ ขณะเดยี วกันก็มีเลอื ดมาหลอเลยี้ งมดลูกมากข้ึน และพรอมที่ จะรองรบั ไขท อ่ี าจถูกผสม  ระหวางมีประจําเดอื น เม่อื ไขเดินทางมาถึงมดลูก และไมไดรับการผสม ซึ่งอาจเปนเพราะไมไดมีเพศสัมพันธ หรือมี เพศสัมพันธโดยมีการปองกันการตั้งครรภ ระดับฮอรโมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะลดลง อยางรวดเร็ว ทําใหผนังมดลูกหลุดลอกออกกลายเปนประจําเดือน โดยปกติผูหญิงจะมีประจําเดือน อยใู นชวง 3 - 5 วัน  หลังจากหมดประจําเดือน หลงั จากหมดประจาํ เดอื น ฮอรโ มนจากตอ มใตส มองในกระแสเลอื ด ก็เริ่มกระตุน ใหไ ขในรงั ไข เจริญขึน้ ขณะเดียวกัน ฮอรโ มนจากรงั ไขก ็เร่มิ กระตุนการสรา งตัวของผนังมดลูก

31 ลกั ษณะของประจาํ เดือนทป่ี กติ ลักษณะของประจําเดือนปกติคือเลือดที่ออกจากชองคลอดอยางสมํ่าเสมอ ทุก 28 วัน  7 วัน ประจาํ เดอื นท่ีออกมา ประกอบดว ยนาํ้ เมือกจากปากมดลูก นํ้าชองคลอด น้ําเมือกและช้ินสวนของเยื่อบุ มดลูก และเลือด ซ่งึ สว นประกอบเหลานีเ้ ห็นไมชดั เจนเพราะสขี องเลือด ประจําเดือนท่ีปกติมีสีคล้ํา ไมมี เลือดกอน ไมมีกลิ่น จนกระทั่งมีแบคทีเรียและมีการสัมผัสอากาศภายนอกชองคลอด จึงทําใหมีกล่ิน เกิดขน้ึ ปกตจิ ะมาประมาณ 3 - 7 วนั หากผิดไปจากนอี้ าจถอื วา ผดิ ปกติ ปญหาและอาการที่มักเกิดขึ้นในชว งมีประจําเดือน กอนหนาท่ีจะมีประจาํ เดอื น ในชว งระหวา งที่มกี ารตกของไข สว นมากผหู ญงิ จะมอี าการทีบ่ งบอกลว งหนา กอน บางคนอาจมี อาการปวดถวงบรเิ วณทอ งนอย หรือปวดหลงั อาจปวดมากหรือนอยแตกตางกันไป อาจมีอาการรวมของ ทองเสีย และรสู กึ คล่นื ไส มบี างรายอาจปวดศีรษะเพิ่มเขามาอกี อยางหนง่ึ ในชว งแรก กอนประจําเดือนมา มักมอี าการตกขาว และมอี าการเจ็บคดั เตา นมรวมดวยก็ได ในระหวางน้ี ผูหญิงหลายรายจะมีความรูสึก ไมสบายใจ ซึมเศรา หรือหงุดหงิด รําคาญใจไดงาย ซึ่งถือเปนเร่ืองปกติธรรมดา และอาการอยางน้ี จะหายไปไดเองเมื่อประจําเดือนออกมาแลว ตามสถิติพบวา อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นใสชวงอายุ 18 – 24 ปแลว ก็จะทุเลาลง อาการปวดประจาํ เดือนจะหายไปไดภายหลังหญิงนั้นต้ังครรภและคลอดบุตร ซ่งึ เชอ่ื วา เปน เพราะปากมดลูกทถ่ี างขยาย มผี ลใหเกดิ การทาํ ลายปลายประสาทท่ีอยูบรเิ วณดงั กลา ว วิธกี ารบําบดั อาการอาการปวดทอ งปวดเกรง็ สามารถทําไดด วยวิธีงาย ๆ คือ การประคบบริเวณ หนาทอ งดวยการใชก ระเปา น้ํารอน และนอนพักเพื่อทุเลาอาการ หรืออาจรับประทานยาระงับปวดชนิด ธรรมดา หรือใหยาชวยคลายการหดเกร็งของกลามเน้ือมดลูก นอกจากนี้ควรออกกําลังอยางสม่ําเสมอ จะชวยปองกันมใิ หป ญ หาการปวดทองประจําเดือนรุนแรงไดดว ย อาการปวดประจําเดือนอีกประเภทหน่ึงที่อาจไมปกติท่ีผูหญิงควรระวัง สวนใหญอาการ จะเกิดข้ึนภายหลังจากหญิงนั้นมีประจําเดือนเปนเวลานานหลายป เชน อาการของโรคภายใน ชองเชิงกราน ซึ่งเกิดจากภาวะการติดเชื้อในอุงเชิงกรานชนิดเรื้อรัง ทําใหมีผังผืดยึดอวัยวะใน ชอ งเชงิ กรานไวด วยกัน หรือภาวะเยื่อบุผนังโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในอุงเชิงกราน หรือเพราะมีเนื้องอก ของกลามเน้ือผนังมดลูก นอกจากนี้การใสหวงคุมกําเนิดก็เปนสาเหตุที่พบบอย ในภาวะเหลานี้จะมี อาการปวดประจําเดือนแตกตางกันไป เชน ยังคงปวดทองแมประจําเดือนหยุดไปแลวหลายวัน หรือมี

32 อาการปวดทวีขึ้นอยา งมากในแตละวงจรรอบประจําเดือนตามกาลเวลาที่ผานไป หรือบางคร้ังอาจรูสึก หรือคลํากอนท่ีทอ งนอยไดเ อง หากมีอาการเหลา นี้ควรรบี ปรกึ ษาแพทยเ พือ่ การวนิ ิจฉยั ท่ีถกู ตอ ง ประจําเดือนไมม า ตามปกติ ประจําเดือนจะมาคร้ังแรกเม่ืออายุระหวาง 11–15 ป ชาหรือเร็วแตกตางกันไปบาง หากประจาํ เดือนไมม าเม่ือถงึ เวลา หรือวยั ที่ควรจะตองมี ถือวามคี วามผิดปกติ สาเหตทุ ่ปี ระจาํ เดือนไมม า เกดิ ขึน้ ไดดังนคี้ ือ 1. ไมม ีมดลกู 2. ไมม ีรังไข 3. ไมม ีชอ งคลอดโดยกําเนดิ 4. มรี งั ไขแตเ กดิ ความผิดปกตขิ องรังไข 5. เยอื่ พรหมจารีไมเ ปด 6. เกดิ ความผิดปกตขิ องชอ งคลอด 7. เกิดความผดิ ปกตขิ องมดลกู บางรายอาจมปี ระจําเดือนขาดหายไป กค็ วรตองพิจารณาสาเหตุความผิดปกติท่ีเกิดข้ึน หากเกิด ขาดหายไปโดยไมทราบสาเหตุ ควรรีบปรึกษาแพทยทันที สาเหตุของประจําเดือนขาดหายไปอาจเกิด จากสาเหตุเชน 1. เกดิ การตัง้ ครรภ 2. ใชย าคุมกาํ เนดิ เชน ยาฉีดคุมกาํ เนิด 3. หลังการคลอดบุตรหรอื กาํ ลงั ใหน ้าํ นมบตุ รอยู 4. เกิดอาการเครียดทางจิตใจมาก 5. ไดรบั การผา ตัดเอามดลูกออก หรือรงั ไขออกทัง้ สองขางแลว ทัศนคตแิ ละความเช่ือเกยี่ วกบั ประจาํ เดอื น ประสบการณของผูหญิงเกี่ยวกับประจําเดือน มิใชเพียงเปนแคสวนหนึ่งของชีวิต ท่ีเปนเร่ือง ของธรรมชาติ หากแตย งั สะทอ นใหเ ห็นถงึ อทิ ธิพลความเชอ่ื ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมที่มากําหนด วิธกี ารปฏิบัตติ อ ภาวะการมีประจาํ เดอื นของผหู ญงิ อันสะทอ นใหเ ห็นถึงความคิดและทัศนคติของสังคม

33 ที่ มีตอ ผหู ญงิ และโดยมากมกั เปนทัศนะในดา นลบมากกวาดานบวก ดงั เชน การหามผหู ญงิ เขาสูพธิ กี รรม ทางศาสนา หรอื หามหญิงสงั สรรคก ับผอู น่ื หากหญงิ น้นั อยใู นชว งมปี ระจาํ เดือน เปน ตน นอกจากน้ี อทิ ธพิ ลความเช่ือบางอยางมผี ลตอ การปฏิบัติตัวในระหวางมีประจําเดือนของผูหญิง เชน ความเช่ือในการงดเวนการออกกําลังกาย การอาบนํ้าหรือสระผม หรือไมมีเพศสัมพันธระหวางน้ี ขอเท็จจริงในเรื่องเหลานี้ไมปรากฏชัด บางเร่ืองก็พอสามารถหาเหตุผลได และบางเรื่องก็ไมมีเหตุผล ท่ีชัดเจน ดังเชน การหามการมีเพศสัมพันธขณะมีประจําเดือน ซ่ึงในทางการแพทยไมมีขอหามใดๆ แตไมเปน ทน่ี ิยม กเ็ พราะเลอื ดประจําเดอื นจะออกมาเลอะเทอะ และท่ีสําคัญก็คือโอกาสจะมีการอักเสบ ติดเชื้อไดงายข้ึน เพราะปากมดลูกเปดออกเล็กนอย และในมดลูกจะมีแผลเนื่องจากมีการลอกหลุดของ เยือ่ บุมดลูก การตัง้ ครรภ การต้ังครรภเกิดจากการปฏิสนธิ หรือการผสมของไข กับตัวอสุจิของฝายชาย ในชวงกึ่งกลาง ของรอบประจําเดอื น ซ่ึงเปนระยะท่ีฝา ยหญิงมีไขสกุ เมื่อไขและอสุจิผสมกันแลว ไขท่ีไดรับการผสม จะเดินทางมาฝงตัวบนเยื่อมดลูกซ่ึงหนาข้ึน แลวแบงตัวออกเร่ือยๆ กลายเปนเด็กตัวเล็กๆ จนอายุครบ 9 เดือนจึงคลอดออกมา ขณะท่ีต้ังครรภแม และลกู มกี ารเช่อื มโยงกนั ของเลอื ดผานทางรก เม่ือเริ่มต้ังครรภผูห ญิงจะมอี าการตางๆ ท่ีสังเกตไดดงั นี้  ประจาํ เดอื นขาด ประจําเดือนทีเ่ คยมมี าสม่าํ เสมอทกุ เดอื น จะหายไปไมม าอกี เลยตลอดระยะเวลาตง้ั ครรภ ประมาณ 38 - 40 สปั ดาห  อาการคลน่ื ไส อาเจียน วิงเวียนศรี ษะ มักจะมอี าการในสามเดอื นแรก อาการเหลาน้ีมกั เปนในตอนเชา ซึง่ เราเรียกวา แพทอ ง นัน่ เอง  เตา นมคัด หัวนมและอวยั วะเพศจะมสี คี ลาํ้ ลง มกั พบในครรภแรก บางครั้งอาจมนี ํ้านมเหลอื ง ออกมาเมอ่ื บบี หวั นม  เด็กด้นิ

34 ในครรภแ รก จะรสู ีกวา เดก็ เริ่มดน้ิ เม่อื อายุครรภป ระมาณ 20 สัปดาห สว นในครรภหลัง จะเร่ิมดิน้ เมือ่ อายุครรภป ระมาณ 16 สัปดาห ถา เด็กท่เี คยดนิ้ อยแู ลวดน้ิ นอยลง ตอ งรีบไปพบ แพทย  ปส สาวะบอ ย เนื่องจากมดลูกโตขนึ้ และไปกดทับกระเพาะปสสาวะ แตถ าปสสาวะบอยขึน้ มอี าการ แสบขัด หรือปสสาวะขนุ ตอ งรีบไปพบแพทย  มอี ารมณห งดุ หงิด การตรวจการตง้ั ครรภ หากผูห ญิงเราไมแ นใจวา ตัง้ ครรภหรอื ไม สามารถตรวจสอบไดทีค่ ลินกิ สถานพยาบาลทง้ั ของรฐั และเอกชน หรือสามารถซื้อชุดตรวจการตั้งครรภไดตามรานขายยาทั่วไป ซึ่งเปนการตรวจหาฮอรโมน ในปสสาวะ เปนวิธีท่ีงาย สะดวก และประหยัด ซ่ึงผลการตรวจจะคอนขางแมนยําสําหรับผูหญิงที่อายุ ครรภประมาณ 27 วันหลงั ปฏสิ นธิ ขอควรปฏบิ ัตกิ อ นการทดสอบการตงั้ ครรภเ อง เพอ่ื เพ่ิมประสิทธภิ าพการตั้งครรภ คือ 1. งดนา้ํ หรอื เครอื่ งดืม่ ใด ๆ ต้ังแตสองทมุ และถายปสสาวะใหหมดกอ นเขา นอนของคนื กอนทจ่ี ะ เก็บปส สาวะ 2. เกบ็ ปส สาวะ ครงั้ แรกท่ีถายปสสาวะเมื่อต่นื นอนในตอนเชา ลงในภาชนะทส่ี ะอาด 3. ไมควรรบั ประทานยาใด ๆ ท้ังสิน้ ใน 48 ชวั่ โมงกอ นเกบ็ ปส สาวะ 4. ในกรณที ี่ยงั ไมท ดสอบทนั ที ควรเกบ็ ปสสาวะใสชอ งเก็บอาหารปกติของตูเยน็ เพราะฮอรโ มน ท่ีขับออกมาในปสสาวะของผหู ญิงตั้งครรภ จะเสอ่ื มสลายในอุณหภมู ิหอง อะไรคอื ทอ งนอกมดลกู ทอ งนอกมดลกู คอื การฝงตวั นอกโพรงมดลกู ของไขที่ถกู ผสมซ่งึ จะเจรญิ ตอ ไปเปนรกและทารก แตตําแหนงที่ไขฝงตัวกลับอยูผิดท่ี ตําแหนงที่เกิดข้ึนบอยคือในทอนําไข แตอาจมีบางรายเกิดขึ้นที่คอ มดลกู ชองทอง รังไขและตาํ แหนง อน่ื ๆ ไดด ว ย สาเหตุสาํ คัญของการเกดิ ทอ งนอกมดลกู คอื กลไกการ นําไขเ สยี ไป โดยรทู อ นาํ ไขผดิ ปกติ ทาํ ใหไขท ี่ผสมแลว ไมส ามารถเคล่ือนผานไปไดสะดวก มักมีสาเหตุ มาจากการอักเสบติดเช้ือ เช้ือที่สําคัญคือหนองใน ซ่ึงกอใหเกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังทอนําไข

35 โดยตรง นอกจากน้กี ารอักเสบหรือพยาธิสภาพเรื้อรังของชองเชิงกราน ก็ทําใหเกิดพังผืดท่ียึดทอนําไข มใิ หเคลอ่ื นไหวไดส ะดวก ทําใหก ารเคลื่อนยา ยไขท ่ีผสมใหเ ดินทางสมู ดลูกไมไ ดตามกาํ หนด อาการที่เกิดข้ึน คือประจําเดือนจะขาดไปชวงหน่ึง แตมักไมมีอาการแพทองเดนชัด เม่ือ ภาวะวกิ ฤตดังกลาวเกดิ ข้นึ กจ็ ะทาํ ใหม อี าการปวดทองเฉยี บพลันทีท่ องนอ ยขางใดขา งหน่ึงอยูตลอดเวลา แลวรูสึกหนามืด ใจส่ัน หรือเปนลม อาจมีเลือดออกทางชองคลอดกะปริบกะปรอยรวมดวยหรือไมมี กไ็ ด ในบางราย เลือดที่ตกในชองทองมีจํานวนมาก ก็จะไประคายกะบังลมที่ก้ันระหวางชองปอดและ ชองทอง ทําใหมีอาการเจ็บปวดที่หัวไหลขางขวาได ผูปวยจะซีดมาก กระสับกระสาย เหงื่อออก สติสัมปชัญญะเลือนราง มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นช็อกได หากนําสงโรงพยาบาลไมทัน อาจอันตรายถงึ ชวี ิตได เพราะรา งกายขาดเลือด ในสตรที ีท่ าํ หมนั แลว กอ็ าจเกดิ อบุ ัติเหตุของการตั้งครรภนอกมดลูกไดแมวาโอกาสเสี่ยงมีนอย มาก สาเหตเุ กิดจากทอ นําไขท ่ถี ูกผูกตัดออกไปแลวบางสวนจากการผาตัดกลับเช่ือมกันไดใหม หรือมีรู เปดถงึ กนั ไดใหม เปน เหตใุ หต ง้ั ครรภได ตามสถิตพิ บวา เกิดขน้ึ นอยกวา 1 ใน 1,000 ราย และในจาํ นวนน้ี เปนการทองนอกมดลูกสวนหนงึ่ หากเปรยี บเทียบอัตราสวนกับการต้ังครรภปกติแลว พบวาเปอรเซ็นต การตงั้ ครรภน อกมดลกู เกดิ ขึ้นสงู ในหญิงที่ทอ งภายหลังการทาํ หมนั แลว การระมัดระวังมิใหเกิดการอักเสบในชองเชิงกราน และมิใหเกิดโรคติดตอทางเพศสัมพันธ จึงเปน การปอ งกันมิใหเ กิดการทองนอกมดลูกได หากรสู กึ มผี ิดขาวผดิ ปกติ หรอื ปส สาวะแสบขัด อยาน่ิง นอนใจ ควรไปใหแพทยตรวจเพื่อการรักษาในระยะแรกเร่ิม เพราะอาการโรคติดตอทางเพศสัมพันธ ทส่ี าํ คญั โดยเฉพาะหนองในในผหู ญงิ น้นั จะไมม อี าการเดนชัดเทา อาการในเพศชาย อาการปกตริ ะหวา งต้งั ครรภ การดูแล การปอ งกันและขอปฏิบตั ิในการบรรเทาอาการ อาการ การดแู ล /ลดอาการ/ปอ งกัน คลืน่ ไส  กินอาหารคร้ังละนอย แตบ อ ยครงั้ หลกี เลย่ี งอาหาร บวม มันๆ  พักผอ นใหเพยี งพอ ทาํ จติ ใจใหส ดชนื่  ยกขาใหส งู ระหวางวนั  เวลานอนใหต ะแคงซาย

36  เลือกรองเทา ไมร ดั รูปและไมสงู ตะครวิ ทเ่ี ทา  เวลาเปน ใหนอนหงายเหยยี ดเทา ตรง และเหยยี ด ปลายหัวแมเทาขึน้  หม่ันนวดทน่ี อง และระวงั อยาใหเ ทา เย็นจดั ออนเพลีย เหนอื่ ยงา ย หนามดื เปน  อยาเปลยี่ นอิรยิ าบถโดยกะทนั หนั  พกั ผอ นใหเพียงพอ ลม เวยี นศรี ษะ เบ่ืออาหาร ปวดแสบบริเวณลน้ิ ป  ไมท านอาหารใหอม่ิ เกนิ ไป แตท านใหบ อ ยครั้งขน้ึ ปวดหลัง  นอนในทาศรี ษะสูง ทองผูก  ด่มื นมและนํ้ามากๆ ไมค วรดืม่ น้าํ อัดลม  ทาํ งาน ออกกาํ ลงั กายเบาๆ ตกขาว  น่ังหลังตรง และยืนตวั ตรง  นอนตะแคงโดยกอดหมอนขาง  ด่มื นํา้ มากๆ อยา งนอ ยวนั ละ 10 แกว  ออกกาํ ลงั กายเบาๆ  ถายอจุ จาระใหเปนเวลา  รบั ประทานผกั ผลไม และอาหารท่มี เี สน ใยเพิ่มขึ้น  ในชว งตัง้ ทองอาจมอี าการตกขาวมากกวาปกติมี สีขาวปนเทาหรือเหลอื งออ น แตไมม ีกล่ิน และไมคัน ซึง่ เปนเรอื่ งปกติ ใหด แู ลความสะอาดโดยการลา งดว ย นํ้าสบูออน ๆ ท่ีอวัยวะเพศภายนอกก็เพียงพอ ไมจ าํ เปนตอ งใชน้ํายาฆาเชื้อโรค การแทง การแทง หมายถึง การสิ้นสดุ ของการต้งั ครรภในระยะกอนที่เด็กจะเตบิ โตพอทีจ่ ะมีชวี ติ รอดได โดยมีอายคุ รรภนอยกวา 28 สัปดาห และ/หรือ นาํ้ หนักเดก็ นอ ยกวา 1,000 กรมั

37 ชนดิ ของการแทง การแทงแบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คือ 1. แทงทีเ่ กดิ ข้นึ เอง คือ การแทงบุตรทเี่ กดิ ขึ้น โดยไมม กี ารใชย า เครอ่ื งมอื หรอื วธิ ีการใด ๆ ทัง้ ส้ิน 2. แทง ท่เี กดิ จากการกระทํา แบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คอื 2.1 การทําแทงเพอ่ื การรกั ษา 2.2 การทาํ แทงที่ผิดกฎหมาย สาเหตุของการแทงทเ่ี กดิ ขนึ้ เอง ความผิดปกตขิ องตัวออน ซ่ึงอาจเกดิ จากความผดิ ปกตขิ องตัวออนเอง ซึง่ พบบอยถึงรอ ยละ 60 ความผดิ ปกตใิ นตวั มารดา ซงึ่ อาจเกดิ จากความผดิ ปกติของมดลูกการอกั เสบ ติดเชื้อ เชน ซิฟล สิ ซึง่ อาจจะทําใหแ ทง ได นอกจากน้ยี ังมสี าเหตุตา ง ๆ อีกมากมาย บางสาเหตุก็ไมส ามารถรักษา หรอื ปองกนั ได บางสาเหตุ ก็สามารถปอ งกันได เพราะฉะน้ัน ผูที่เคยแทงควรจะตองไปพบแพทยเพ่ือตรวจหาสาเหตุ และปองกัน กอ นทจ่ี ะต้ังครรภในครงั้ ตอไป เพราะอาจจะเกิดการแทงซ้ําได และขณะตั้งครรภควรจะตองระมัดระวัง เปนพเิ ศษ และอยใู นความดแู ลของแพทย อาการของการแทงทเ่ี กดิ ขน้ึ เอง โดยท่ัวไป หญิงมีครรภเมื่อจะแทงลูก จะเริ่มตนดวยอาการเลือดออกกะปริบกะปรอยทาง ชองคลอด ซึ่งเปนเลือดท่ีออกจากโพรงมดลูก เรียกการแทงอยูในระยะคุกคาม อาจรวมกับอาการปวด ทองนอยท่ีบริเวณตรงกลางเหนอื หัวเหนา จากน้ันมดลกู เรม่ิ บบี รดั ตวั เมื่อการแทงลุกลามมากข้ึน จนการ ต้งั ครรภไ มอ าจดาํ เนินตอไปได เลอื ดกจ็ ะออกมากขึ้น อาการปวดทองจะรุนแรงข้ึน สุดทายมดลูกจะหด ตัวบบี ไลตัวออนหรือทารกและรกออกมา ซึ่งอาจหลดุ ออกมาจากโพรงมดลกู ไดท ั้งหมด เรียกวาแทงครบ โดยมากการแทงออกมาครบเชนนีจ้ ะเกดิ ในชว งอายคุ รรภท อ่ี อ นเดอื นมาก ๆ คือไมเกนิ 8 สปั ดาหหลังจาก วันแรกของการมีประจําเดือนครั้งสุดทาย ถาอายุครรภมากกวาน้ี สิ่งท่ีแทงออกมาอาจจะไมครบหมด ทกุ อยาง สว นใหญ มีเพียงแตท ารกและกอนเลือด แตรกยังคงคางอยู เพราะย่ิงอายุครรภมาก รกจะเจริญ มากข้นึ ทําใหไ มหลดุ ออกจากโพรงมดลกู ไดง าย ๆ การแทงเชนนี้ถือวาเปนแทงไมครบ มีผลตอสุขภาพ ของผูหญิงคือทําใหผูหญิงตกเลือดไดอยางมากจนเปนอันตรายตอชีวิต การบําบัดคือการขูดมดลูก เพือ่ เอารกสวนทีเ่ หลือออกใหห มด

38 ขอปฏบิ ัตแิ ละการปอ งกนั การแทง ทเี่ กดิ ข้นึ เอง 1. เมื่อรูวา ตนเองประจาํ เดอื นขาด หรอื สงสัยวา จะต้ังครรภ ควรมาพบแพทยต งั้ แตเนน่ิ ๆ และมาพบ ทกุ ครัง้ ตามนดั 2. บอกประวัตกิ ารเจบ็ ปว ยในอดีต และโรคทางกรรมพันธุ เชน ธาลสั ซีเมีย เบาหวาน ความดนั โลหติ สูง ใหแกแพทยท ราบ 3. ถาตั้งครรภเมื่ออายมุ าก (35 ปข ้นึ ไป) ควรรบี มาพบแพทย 4. ถา เคยมีการแทงมากอ น ตองแจงใหแ พทยทราบ 5. ในระหวา งต้งั ครรภ ถาเกดิ อาการผดิ ปกติ เชน เลือดออก ตอ งรบี มาพบแพทยโ ดยดว น แมว า จะยงั ไมถงึ เวลานดั 6. รบั ประทานยาบาํ รุงท่ีแพทยใ หอ ยา งสมา่ํ เสมอ 7. หลกี เลีย่ งการมเี พศสัมพนั ธใ นขณะท่ีมี เลือด หรือ นํ้าใส ๆ ไหลออกมาทางชอ งคลอด 8. ควรตัง้ ครรภในระยะหา งกนั อยา งนอย 2 ป 9. ควรหลกี เล่ียง ของมนึ เมา เคร่ืองดม่ื ผสมคาเฟอนี และสิ่งเสพติด การแทงทเ่ี กดิ จากการกระทาํ ตามกฎหมายไทย การทําแทง เปนการกระทาํ ผิดกฎหมาย แตกฎหมายมขี อยกเวน ใหมีการทําแทง ไดบางประการ ซึ่งจะตองเปนการกระทําของแพทยและมีขอบงชี้ขัดเจน เชน อันตรายตอสุขภาพของ มารดา หรอื หญิงตงั้ ครรภเพราะถูกขมขืน เปนตน นอกเหนือจากกรณีเหลาน้ี การทําแทงถือเปนการผิด กฎหมายทั้งสิ้น สาเหตุของการทําแทงสวนใหญของผูหญิงไทยมาจากการต้ังครรภไมพึงประสงค เคยมี ผูศึกษาวิจัยสาเหตุและกลุมอายุของผูทําแทง พบวา วัยรุนมีการต้ังครรภไมพึงประสงคคอนขางสูง โดยมีตนเหตุมาจากการไมใชวิธีคุมกําเนิดปองกันเม่ือมีเพศสัมพันธ แตก็เปนท่ีสังเกตพบวา ในกลุม ผูใหญ หญิงที่แตงงานแลวก็พบมีการไปทําแทงในสัดสวนท่ีไมนอย ซ่ึงมีสาเหตุสวนใหญมาจาก ความลม เหลวจากการใชว ิธคี มุ กําเนิด ยังมีผูหญิงจํานวนมากท่ีไมมีความรูความเขาใจเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบท่ีตามมาจากการ ทาํ แทง ที่ผดิ กฎหมาย ซึง่ นอกจากเปนอนั ตรายตอชวี ติ อยางมาก โดยเฉพาะอยางยงิ่ ในรายท่ีอายุครรภมาก ย่ิงอันตรายมาก อาการแทรกซอ นท่พี บไดบอยจากการทําแทงที่ผิดกฎหมาย ที่อาจมีทั้งอาการแทรกซอน ในระยะสนั้ และระยะยาวตอ ชวี ติ ของหญิงคนน้นั เชน

39  การตกเลอื ด อาจมีเลอื ดออกมากผดิ ปกติ ถาไมไ ดร ับเลือดทดแทน หรือชวยเหลือได ทนั ทวงทีกอ็ าจถงึ แกช ีวิตได  มดลกู ทะลุ อาจจะตอ งตดั มดลูกทงิ้  มดลกู แตก จะตอ งตดั มดลกู ทงิ้ ทาํ ใหห มดโอกาสท่จี ะมีลูกไดอีก  การอกั เสบตดิ เชอ้ื อันเกิดจากกระบวนการทําแทง ท่ีใชเ คร่อื งมอื ที่ไมส ะอาดปราศจาก ความระมดั ระวังในมาตรการการปองกันการแพรเชื้อโรค ทําใหเกิดการอักเสบติดเชื้อจากการ ขดู มดลกู ซงึ่ สง ผลตามมาในปญหาสขุ ภาพอ่นื ๆ ทาํ ใหส ิ้นเปลืองคา ใชจา ยในการรกั ษา เน่อื งจาก เช้ือทก่ี อ ใหเ กิดการอกั เสบมกั เปน แบคทีเรยี ทม่ี อี านภุ าพในการกระจายเชอ้ื ไดรุนแรงมาก จึงตอง ใชก ารรักษาเปนเวลานาน หากไมห ายขาดก็จะทาํ ใหเกิดการติดเชื้ออกั เสบเรื้อรังในอวัยวะอุงเชิง กราน และหากรักษาหายขาดจากการอักเสบแลว ผูหญิงคนนั้นก็อาจมีการปญหาดานการมีบุตร ยากตอไปได เร่อื งท่ี 7 ทักษะการจดั การกับปญ หา อารมณแ ละความตองการทางเพศของวัยรนุ เพศสัมพันธเปนเรื่องของความรับผิดชอบตอตนเอง เคารพความรูสึกของคูของตน ไตรตรอง วิเคราะหถึงผลดี ผลเสีย และเปนสิทธิสวนบุคคลท่ีจะตัดสินใจ แตตองไมสรางปญหาภาระแกผูอื่น ภายหลัง และเม่ือมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เปนเรื่องที่จะแกไขและหาทางออกท่ีเหมาะสมตอไป และ กอนท่ีจะคิดถึงการมีเพศสัมพันธ ตองแสวงหาความรูเก่ียวกับเร่ืองเพศสัมพันธ และสุขภาพอนามัย ทเี่ กย่ี วของกับเพศสัมพันธ เพื่อจะไดปลอดภัย ไมเกิดการต้ังครรภที่ไมตองการ และไมเกิดการติดโรค รวมทง้ั ปญ หาอนื่ ๆ ทางดานจิตใจ ท่จี ะตามมา สิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ จึงมีทั้งดานบวกและดานลบ การวิเคราะหถึงผล ที่จะตามมาลวงหนา จะชวยใหเราสามารถเตรียมการ และคิดวิธีการปองกันและ/หรือหลีกเล่ียงไมให ตวั เองและคนที่เกี่ยวของตองเผชิญกับปญหาท่ีอาจตามมา ดังน้ัน เม่ือคิดและคาดการณไดลวงหนาวา สิง่ ทต่ี ัวเองตองการและไมตองการใหเกดิ ขน้ึ คอื อะไร กส็ ามารถใชเปน เหตผุ ลประกอบการตัดสินใจวาจะ ทําหรือไมทํา เพราะผลที่เกิดขึ้น เปน เรอื่ งทีเ่ ราจะตองเผชิญและรบั ผิดชอบดว ยตวั ของเราเอง การเรียนรูทจ่ี ะประเมินสถานการณ หรอื การคาดเดาไดวา อะไรบา งที่จะนาํ ไปสกู ารมเี พศสมั พนั ธ ของตนเอง เราพรอ มที่จะเผชญิ สถานการณนน้ั หรือไมอยางไร การคาดการณและตอบตัวเองไดชัดเจน

40 จะชวยใหเราควบคุม จัดการ และแกไขสถานการณไดดีกวาการไมไดเตรียมตัว ซึ่งอาจสงผลตอส่ิงท่ี ตามมาทีไ่ มพงึ ประสงค เชน การตั้งครรภท ไี่ มพ รอ มและความเส่ียงตอ การตดิ เชอื้ เอชไอวี เปน ตน เชนเดียวกับการเรียนรูและฝกฝนทักษะการยืนยันความตองการและการตอรองเพื่อใหบรรลุ ความตอ งการของท้ังสองฝายเปนเร่ืองสาํ คญั การเรยี นรูน ้ดี ําเนินไปตลอดชีวิต การเผชิญกับความรูสึกผิด อารมณโกรธ หว่นั เกรงกับความรูส ึกของผอู ่ืนท่ีมตี อ ตนเองหรอื รูสึกวาตนเองดอยคา เปนประสบการณ รวมของทกุ คน การเริม่ ตนและฝกฝนในชีวิตประจาํ วันจะชว ยใหเราทําไดดีข้ึนและจะนําไปสูการพัฒนา ความสัมพนั ธข องท้งั ฝายใหแ นน แฟนย่ิงขึ้น การเรียนรูความตองการของตัวเอง และสิ่งที่อาจมีอิทธิพลตอความคิด และการตัดสินใจของ ตัวเองเปนเรือ่ งสําคัญของวัยรนุ เพราะในสถานการณหลายอยางที่วัยรุนเผชิญ การเขาใจความตองการ ของตัวเองอยางชัดเจนจะชวยใหวัยรุนสามารถส่ือสาร ตอรอง หรือปฏิเสธเพื่อใหเปนไปตามความ ตอ งการของตนเองได นอกจากน้ัน การเรียนรูเทคนิคการชักชวน จะทําใหเห็นวา คนสวนใหญมีวิธีการหลายอยาง ในการโนม นา วใจ หรอื ชกั จูงคนอ่ืนใหค ลอ ยตาม ท้ังนี้ อาจทาํ ไปโดยไมสนใจความตองการของอีกฝาย และไมเ คารพในการตัดสินใจที่แตกตา งไปจากส่งิ ทีต่ ัวเองตอ งการ การเรียนรู ยอมรับ และเคารพความ คดิ เหน็ ที่แตกตา งของบุคคลเปนพื้นฐานสาํ คัญในการสรา งสมั พนั ธภาพและการอยูรว มกนั เสน ทางความคิดเพอื่ ตดั สนิ ใจ 1. เรอ่ื งทตี่ อ งตดั สนิ ใจคืออะไร เรอื่ ง................................................................................. 2. ทางเลือกท่ีมีอยูม อี ะไรบา ง ทางเลอื กที่ 1 ทางเลอื กที่ 2 ทางเลือกท่ี 3 ทางเลือกอนื่ ๆ คดิ ตอ...มที างเลอื กอน่ื อกี ไหม

41 3. คดิ ถงึ ผลทีต่ ามมาของแตละทางเลอื ก วา จะเกดิ อะไรขนึ้ ถา เราเลอื ก ผลบวก ผลลบ  มคี วามเสย่ี งอะไรบา ง?  ความเส่ยี งนัน้ มีโอกาสที่จะเกิดข้นึ มากแคไ หน?  ถาเกิดขึน้ แลว เราจัดการ/รับไดหรือไม?  จะลดความเสีย่ งของทางเลือกทเี่ ราอยากเลอื ก ไดอยา งไร? 4. ความตองการที่แทจรงิ ของเราคอื  เรารวู าคนอนื่ อยากใหเราทําอะไร  แลว เรารูไ หมวา เราอยากทําอะไรท่ีเปนความตอ งการทแี่ ทจ รงิ ของตัวเราเอง 5. ตดั สินใจ ทางเลือก 1. ..................................................................................................... 2. ..................................................................................................... ฉันเปนแบบไหน บุคลกิ 3 แบบ ในเรื่องการกลาแสดงความคดิ เหน็ ความตอ งการและการตอบสนองความตอ งการของ ตัวเอง 1. “ฉันจะเอาแบบน้ี ฉันไมสนใจวาเธออยากเลอื กแบบไหน” (Aggressive) คนบุคลิกนี้ไมคอยสนใจความตองการของผูอื่น กลาแสดงออก กลาทําเพ่ือใหไดตามที่ ตอ งการ

42  ไมช อบใหข ดั ใจ คนทีไ่ มคอยสนใจความตองการของผูอ่ืนเปนคนที่รูวาตัวเองตองการอะไรและเดินหนา เพ่อื ใหไดม า การไดตามทีต่ อ งการเปนเร่อื งสําคัญจงึ ทาํ ใหเปนคนท่ีไมให ความสนใจ กบั ผลทเี่ กิดกับผอู ่ืนมากนัก มักทาํ ใหเ พอ่ื นอดึ อดั ใจ 2.“ฉนั รเู ธออยากไดอะไร และฉันเลอื กไดว าฉนั จะทําอะไร” (Assertive) คนบคุ ลกิ น้ี จะยอมรบั ในสิทธแิ ละความตอ งการของผูอ ื่น รูจกั ปกปอ งสทิ ธแิ ละตอบสนอง ความตองการของตวั เอง  กลา ถามและกลาบอก คนท่ยี อมรับในสิทธแิ ละความตองการของผอู น่ื ขณะเดียวกันกร็ ูจกั ปกปองสิทธแิ ละ ตอบสนองความตองการของตวั เอง เปน ผูท่ีมคี วามสขุ และสรา งสัมพันธภาพท่ียง่ั ยืนได 3. “สาํ หรับฉนั อะไรกไ็ ด” (Passive) คนบุคลกิ น้ี มกั คลอยตามผูอ นื่ ไมค อ ยกลาแสดงความตองการและความรูสกึ ของตวั เอง โดยเฉพาะเรื่องท่ีตองขดั ใจผอู น่ื ปฏิเสธไมเปน  ไมค อ ยกลาบอก คนท่มี ักคลอ ยตามผูอ่ืนเปน คนที่ไปกบั เพือ่ นไดดี ไมมคี วามขดั แยง ไมค อยแสดง ความตองการและความรสู กึ ออกมาโดยเฉพาะเรอื่ งทีต่ องขดั ใจผูอ นื่ เมอ่ื อยูใ นสถานการณ อยากปฏิเสธจึงยากที่จะบอกยนื ยันความตองการของตวั เอง การบอกยนื ยนั ความตองการ ทบทวนเร่ือง + บอกความรสู ึก + ระบคุ วามตองการ ตวั อยา ง: สถานการณค ยุ กนั จนดึก แฟนขอนอนคางท่ีหอ ง  ทบทวน “เรอ่ื ง” คือ คําชกั ชวนหรอื คาํ ขอรอง ทางเลอื กทเ่ี พอ่ื นหยบิ ยนื่ ให : (แฟนขออยคู า ง)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook