หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช11002 ) ระดบั ประถมศึกษา (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ ห้ามจาหน่าย หนงั สือเรียนเล่มน้ีจดั พมิ พด์ ว้ ยเงินงบประมาณแผน่ ดินเพ่ือการศึกษาตลอดชีวติ สาหรับประชาชน ลิขสิทธ์ิ เป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ที่ 12/2555
หนงั สือเรียนสาระทกั ษะการดาเนินชีวติ รายวชิ า สุขศึกษา พลศึกษา ( ทช 11002 ) ระดบั ประถมศึกษา ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560 ลิขสิทธ์ิเป็นของ สานกั งาน กศน. สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวชิ าการลาดบั ท่ี 12/2555
คํานาํ กระทรวงศึกษาธิการไดประกาศใชหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 เม่อื วนั ที่ 18 กนั ยายน พ.ศ. 2551 แทนหลกั เกณฑและวิธกี ารจัดการศกึ ษานอกโรงเรียน ตามหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2544 ซ่ึงเปนหลักสูตรท่ีพัฒนาข้ึนตามหลักปรัชญาและ ความเชื่อพ้ืนฐานในการจัดการศึกษานอกโรงเรียนที่มีกลุมเปาหมายเปนผูใหญมีการเรียนรูและส่ังสม ความรูและประสบการณอ ยา งตอเนือ่ ง ในปง บประมาณ 2554 กระทรวงศกึ ษาธิการไดก ําหนดแผนยุทธศาสตรใ นการขบั เคลอื่ นนโยบาย ทางการศึกษาเพือ่ เพ่มิ ศกั ยภาพและขดี ความสามารถในการแขงขันใหป ระชาชนไดมีอาชีพทส่ี ามารถสรา ง รายไดที่ม่ังคั่งและม่ันคง เปนบุคลากรที่มีวินัย เปยมไปดวยคุณธรรมและจริยธรรม และมีจิตสํานึก รับผิดชอบตอตนเองและผูอ่ืน สํานักงาน กศน. จึงไดพิจารณาทบทวนหลักการ จุดหมาย มาตรฐาน ผล การเรียนรทู ค่ี าดหวัง และเนือ้ หาสาระ ทง้ั 5 กลุมสาระการเรียนรู ของหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษา ข้ันพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ใหม ีความสอดคลองตอบสนองนโยบายกระทรวงศึกษาธิการ ซงึ่ สง ผลใหตอ งปรบั ปรุงหนังสือเรียน โดยการเพ่ิมและสอดแทรกเน้ือหาสาระเก่ียวกับอาชีพ คุณธรรม จรยิ ธรรมและการเตรยี มพรอม เพ่ือเขาสูประชาคมอาเซยี น ในรายวิชาท่ีมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน แต ยังคงหลักการและวิธีการเดิมในการพัฒนาหนังสือท่ีใหผูเรียนศึกษาคนควาความรูดวยตนเอง ปฏิบัติ กจิ กรรม ทาํ แบบฝกหัด เพ่ือทดสอบความรูความเขาใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรูกับกลุม หรือ ศึกษาเพมิ่ เตมิ จากภมู ิปญ ญาทอ งถิ่น แหลง การเรยี นรแู ละสอ่ื อนื่ การปรับปรุงหนังสือเรียนในครั้งนี้ ไดรับความรวมมืออยางดียิ่งจากผูทรงคุณวุฒิในแตละ สาขาวิชา และผูเก่ียวขอ งในการจดั การเรียนการสอนที่ศึกษาคนควา รวบรวมขอมูลองคความรูจากสื่อ ตาง ๆ มาเรียบเรียงเนือ้ หาใหค รบถว นสอดคลองกับมาตรฐาน ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง ตัวชี้วัดและกรอบ เนือ้ หาสาระของรายวชิ า สํานักงาน กศน.ขอขอบคณุ ผมู สี ว นเกย่ี วของทกุ ทานไว ณ โอกาสนี้ และหวังวา หนังสือเรียน ชุดน้ีจะเปนประโยชนแกผูเรียน ครู ผูสอน และผูเก่ียวของในทุกระดับ หากมี ขอเสนอแนะประการใด สาํ นกั งาน กศน. ขอนอมรับดวยความขอบคณุ ย่ิง
สารบญั หนา 1 บทที่ 1 รา งกายของเรา 2 เรอ่ื งที่ 1 วัฏจกั รชวี ติ ของมนษุ ย เร่ืองท่ี 2 โครงสรา ง หนาท่ีและการทํางานของอวัยวะภายนอก ภายใน ท่สี ําคัญ 4 ของรางกาย เรอ่ื งที่ 3 การดแู ลรกั ษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสําคัญของรา งกาย 10 อวยั วะภายนอกและภายใน 16 17 บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ การคุมกาํ เนดิ และโรคติดตอทางเพศสมั พันธ 19 เร่ืองท่ี 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ 20 เรื่องท่ี 2 การดูแลสุขภาพเบ้อื งตน ในวัยรนุ 24 เรอื่ งที่ 3 การคุมกาํ เนิด 27 เร่อื งที่ 4 วธิ กี ารสรางสมั พันธภาพทด่ี รี ะหวา งคนในครอบครวั 29 เรื่องท่ี 5 การสอื่ สารเร่ืองเพศในครอบครวั 39 เรอ่ื งที่ 6 ปญ หาทีเ่ กย่ี วของกับพัฒนาการทางเพศของวัยรนุ 44 เร่ืองท่ี 7 ทักษะการจัดการกบั ปญ หา อารมณ และความตองการทางเพศของวยั รุน 47 เรอื่ งท่ี 8 หลากหลายความเชือ่ ทีผ่ ิดในเรอ่ื งเพศ 53 เรื่องท่ี 9 กฎหมายทีเ่ กี่ยวขอ งกบั การลว งละเมดิ ทางเพศ 58 เรอื่ งท่ี 10 โรคตดิ ตอทางเพศสัมพนั ธ 59 65 บทที่ 3 การดแู ลสขุ ภาพ 67 เรอ่ื งที่ 1 ความหมาย ความสาํ คญั และคณุ คาของอาหาร และโภชนาการ 68 เรอ่ื งท่ี 2 การเลือกบรโิ ภคอาหารตามหลักโภชนาการ 70 เรื่องท่ี 3 วธิ กี ารถนอมอาหารเพ่อื คงคุณคาของสารอาหาร 72 เรอื่ งท่ี 4 ความสาํ คัญของการมสี ขุ ภาพดี 74 เรือ่ งที่ 5 หลกั การดแู ลสุขภาพเบอ้ื งตน 75 เรอ่ื งที่ 6 ปฏบิ ตั ติ นตามหลักสขุ อนามัยสว นบคุ คล 76 เรือ่ งท่ี 7 คณุ คา และประโยชนข องการออกกําลงั กาย เร่อื งที่ 8 หลักการและวธิ ีออกกาํ ลงั กายเพื่อสุขภาพ เรอ่ื งท่ี 9 การปฏิบัติตนในการออกกาํ ลงั กายรปู แบบตา ง ๆ
เร่อื งท่ี 10 ความหมาย ความสาํ คัญของกิจกรรมนันทนาการ 80 เรอื่ งท่ี 11 ประเภทและรูปแบบของกจิ กรรมนนั ทนาการ 81 บทที่ 4 โรคตดิ ตอ เรอ่ื งที่ 1 โรคตบั อักเสบจากเชือ้ ไวรสั 82 เรื่องที่ 2 โรคไขเ ลือดออก 83 เรอ่ื งท่ี 3 โรคไขหวดั ธรรมดา 84 เรื่องท่ี 4 โรคเอดส 85 เรอื่ งที่ 5 โรคฉห่ี นู 86 เรื่องที่ 6 โรคมอื เทา เปอ ย 88 เรอ่ื งที่ 7 โรคตาแดง 90 เรือ่ งท่ี 8 โรคไขห วดั นก 91 บทที่ 5 ยาสามญั ประจาํ บา น 93 เร่ืองที่ 1 หลกั การและวธิ ีการใชย าสามัญประจําบาน 94 เรื่องที่ 2 อนั ตรายจากการใชยา และความเช่อื ที่ผิดเกีย่ วกบั ยา บทที่ 6 สารเสพตดิ อนั ตราย 95 เร่อื งที่ 1 ความหมาย ประเภท และลักษณะของสารเสพติด 100 เร่อื งท่ี 2 อนั ตรายจากสารเสพติด 104 บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ติ และทรพั ยส นิ 105 เรื่องที่ 1 อันตรายทีอ่ าจเกดิ ในชวี ิตประจาํ วนั 108 เร่ืองที่ 2 อันตรายทีเ่ กดิ ขึน้ ในบา น 110 เรอ่ื งท่ี 3 อันตรายทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการเดนิ ทาง เร่ืองท่ี 4 อันตรายจากภยั ธรรมชาติ 111 บทท่ี 8 ทกั ษะชวี ติ เพอ่ื การคิด 113 เร่ืองท่ี 1 ความหมาย ความสาํ คญั ของทักษะชีวิต 10 ประการ 113 เรอื่ งท่ี 2 ทักษะชวี ติ ท่ีจําเปน 115 บทท่ี 9 อาชพี กบั งานบรกิ ารดา นสุขภาพ 118 ความหมายงานดา นบรกิ ารดา นสขุ ภาพ 119 การนวดแผนไทย 120 ธุรกจิ นวดแผนไทย 126 บรรณานกุ รม คณะผูจดั ทํา 129 129 136 139 141
คาํ แนะนาํ การใชห นังสือเรยี น หนังสือเรียนสาระทักษะการดําเนินชีวิต รายวิชา สุขศึกษา พลศึกษา ระดับประถมศึกษา รหัส ทช 11002 เปนหนังสือเรียนที่จัดทําข้ึน สําหรับผูเรียนที่เปนนักศึกษานอกระบบ ในการศึกษาหนังสือ เรียนสาระทกั ษะการดําเนนิ ชีวิต รายวชิ าสขุ ศกึ ษา พลศกึ ษา ผเู รียนควรปฏิบัตดิ ังนี้ 1. ศึกษาโครงสรางรายวิชาใหเขาใจในหัวขอและสาระสําคัญ ผลการเรียนรูท่ีคาดหวัง และขอบขายเนอ้ื หาของรายวชิ าน้นั ๆ โดยละเอียด 2. ศึกษารายละเอียดเนื้อหาของแตละบทอยางละเอียด และทํากิจกรรมตามที่กําหนด แลว ตรวจสอบกับแนวตอบกจิ กรรมตามท่กี าํ หนด ถาผเู รียนตอบผิดควรกลบั ไปศึกษาและทําความเขาใจ ในเนอ้ื หาน้นั ใหมใหเ ขา ใจ กอนทจ่ี ะศกึ ษาเรือ่ งตอ ๆ ไป 3. ปฏิบัติกิจกรรมทายเรื่องของแตละเรื่อง เพื่อเปนการสรุปความรู ความเขาใจของเนื้อหา ในเรื่องนัน้ ๆ อีกครัง้ และการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมของแตล ะเนอ้ื หา แตล ะเร่อื ง ผเู รยี นสามารถนาํ ไปตรวจสอบ กบั ครูและเพอ่ื น ๆ ที่รวมเรียนในรายวิชาและระดบั เดยี วกันได 4. หนังสอื เรียนเลมนีม้ ี 8 บท บทท่ี 1 รา งกายของเรา บทที่ 2 พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ การคุมกําเนดิ และโรคติดตอ ทางเพศสัมพนั ธ บทที่ 3 การดูแลสขุ ภาพ บทท่ี 4โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจาํ บาน บทท่ี 6 สารเสพตดิ อันตราย บทท่ี 7 ความปลอดภยั ในชวี ติ และทรัพยส นิ บทที่ 8 ทกั ษะชวี ิตเพ่อื การคดิ บทที่ 9 อาชีพกบั งานบรกิ ารดา นสขุ ภาพ
โครงสรา งหลักสตู รรายวิชาสาระทกั ษะการดาํ เนนิ ชีวิต ระดบั ประถมศกึ ษา สขุ ศกึ ษา พลศึกษา (ทช11002) สาระสําคญั เปนสาระที่เกี่ยวของกับธรรมชาติการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย เมื่อมนุษยมีการ พฒั นาการดา นสรรี ะ เจรญิ เติบโต แลว มนุษยตองดแู ลและสรา งเสรมิ พฤติกรรมสุขภาพทดี่ ีของตนเองและ ครอบครัว ปฏบิ ัตติ นจนเกดิ เปน นสิ ัย รูจกั หลกี เลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงตอสุขภาพ ตลอดจนสงเสริมสุขภาพ พลานามัย ของตนเองและครอบครัว ผลการเรียนรทู ค่ี าดหวัง 1. อธิบายธรรมชาตกิ ารเจริญเตบิ โตและพฒั นาการของมนุษยได 2. บอกหลักการดแู ลและสรางเสริมสุขภาพท่ดี ีของตนเองและครอบครวั 3. ปฏิบัตติ นในการดูแลและสรางเสริมพฤติกรรมสขุ ภาพพลานามยั จนเปน กิจนสิ ยั 4. ปองกนั และหลีกเล่ียงพฤติกรรมเส่ียงตอ สขุ ภาพและความปลอดภัยดว ยกระบวนการทกั ษะชวี ติ ขอบขายเนอ้ื หาวิชา บทท่ี 1 รางกายของเรา บทท่ี 2 พัฒนาการทางเพศของวยั รนุ การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธ บทท่ี 3 การดแู ลสุขภาพ บทท่ี 4 โรคตดิ ตอ บทที่ 5 ยาสามัญประจําบาน บทท่ี 6 สารเสพติดอันตราย บทที่ 7 ความปลอดภัยในชวี ิตและทรพั ยส นิ บทท่ี 8 ทักษะชวี ติ เพ่ือการคิด บทที่ 9 อาชพี กบั งานบรกิ ารดานสุขภาพ
1 บทท่ี 1 รางกายของเรา สาระสําคญั รางกายของมนุษยประกอบดวยอวัยวะตางๆ ท้ังภายใน และภายนอกท่ีทําหนาท่ีตางๆ ตามความสําคัญของโครงสรางรางกายมนุษย รวมถึงการปองกันดูแลรักษาไมใหเกิดอาการผิดปกติ เพื่อใหรางกายไดมีการพัฒนาและเปล่ียนแปลงตามวัฏจักรชีวิตของมนุษยและมีสุขภาพกายที่สมบูรณ ตามวยั ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง 1. อธิบายการเปลย่ี นแปลงและพัฒนาการตามวัยของรางกายได 2. อธิบายโครงสรา งและการทํางานของอวัยวะภายใน และภายนอกได 3. อธิบายวิธีการดูแลรักษาปองกันความผิดปกติของอวัยวะท่ีสําคัญของรางกาย ท้ังภายใน และภายนอกได ขอบขายเนอ้ื หา เร่ืองที่ 1 วฏั จักรชีวิตของมนษุ ย เรอื่ งท่ี 2 โครงสราง หนาทแ่ี ละการทํางานของอวยั วะภายนอก ภายใน ที่สําคัญของรางกาย เรือ่ งท่ี 3 การดแู ลรักษาปองกนั ความผดิ ปกติของอวัยวะสาํ คัญของรา งกาย อวยั วะภายนอกและ ภายใน
2 เรื่องที่ 1 วัฏจักรชีวติ ของมนษุ ย ธรรมชาตขิ องชวี ิตมนษุ ย ธรรมชาติของมนุษยประกอบไปดวยการเกิด แก เจ็บ ตาย ซ่ึงเปนธรรมดาของชีวิตท่ี ทกุ คนหลกี ไมพ น ดงั นนั้ ควรเรยี นรูแ ละปฏบิ ัตติ นดว ยความไมประมาท 1. การเกิด ทุกคนเกดิ มาจากพอ ซึ่งเปน เพศชาย และแมซง่ึ เปน เพศหญิงโดยธรรมชาติไดกําหนดให เพศหญิงเปนคนอุมทองตามปกติประมาณ 9 เดือน จะคลอดจากครรภมารดา เจริญเติบโตเปนทารก แลวพัฒนาการเปนวัยเด็ก วัยรุน วัยผูใหญ วัยชรา ตามลําดับ รางกายของคนเราก็จะคอย ๆ เปล่ียนไป ตามวยั 2. การแก เม่อื อายุมากขน้ึ รา งกายจะมีการเปล่ียนแปลงทเ่ี หน็ ไดช ดั เชน เมื่ออยูในชวงชรารางกาย จะเส่ือมสภาพลง ผวิ หนังเหี่ยวยน การเคล่ือนไหวชา ลง คนสวนใหญเรยี กวา “คนแก” 3. การเจบ็ การเจ็บปวยของมนุษยสวนใหญเกิดจากการขาดการดูแลรักษาสุขภาพท่ีถูกตองและ สมํ่าเสมอ คนสวนใหญมักเคยเจ็บปวย บางคนเจ็บปวยเล็ก ๆ นอย ๆ หรือมาก จนตองรับการรักษา จากแพทย ถาไมดูแลรักษาสุขภาพตนเอง รางกายยอมออนแอและมีโอกาสจะรับเช้ือโรคเขาสูรางกาย ไดงายกวาบคุ คลทรี่ กั ษาสขุ ภาพสมํา่ เสมอ 4. การตาย ความตายเปนส่ิงท่ีทุกคนหนีไมพน เกิดแลวตองตายดวยกันทุกคน แตการตายน้ัน ตองถึงวัยที่รางกายเสื่อมสภาพไปตามธรรมชาติ เมื่ออยูในวัยหนุมสาวจึงควรดูแลรักษาสุขภาพและ ดาํ รงชวี ติ ดวยความไมป ระมาท การเจริญเติบโตและพฒั นาการตามวัย การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย จะเริ่มตั้งแตเกิด ซ่ึงแบงไดเปน 5 ชวงวัย โดยแตล ะวัยจะมีลกั ษณะและพฒั นาการเฉพาะของวยั การเจรญิ เตบิ โต (Growth) หมายถงึ การเปล่ียนแปลงในขนาดรปู ราง สัดสวนตลอดจน กระดกู กลา มเน้ือ และอวยั วะทุกสว นของรางกายตามลําดับขนั้
3 พฒั นาการ (Development) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของมนุษยทุกสวนที่ตอเนื่องกัน ต้ังแตแ รกเกดิ จนตลอดชวี ติ ซึ่งเปนกระบวนการเปลี่ยนแปลงท้ังรางกายและจิตใจผสมผสานกันไปเปน ข้ัน ๆ จากระยะหนึ่งไปสอู ีกระยะหน่ึง ทําใหเกดิ การเจริญกาวหนาเปนลาํ ดับ ซงึ่ แบง เปน 5 ชวงวยั ดังนี้ 1. วัยทารก (Infancy) ตั้งแตเกิด – 2 ป เด็กในวัยน้ีจะมีพัฒนาการทางดานรางกายที่รวดเร็วมากในขวบปแรกเปน 2 เทาจาก แรกเกิด ปตอไปมาพัฒนาการจะเพิ่มข้ึนเพียง 30 % จากนั้นจะเจริญเติบโตขึ้นตามลําดับ ตามแผนของ การพัฒนา วัยทารกจะสามารถรับรสู ่ิงตา ง ๆ ไดในระดับเบื้องตน เชน รูจักสํารวจ คนหา ทําความเขาใจ และปรบั ตัวใหเขากับสภาพแวดลอมรอบ ๆ ตัว รูจักใชอวัยวะสัมผัสส่ิงตางๆ วัยนี้ตองอาศัยการเล้ียงดู เอาใจใสม ากทสี่ ดุ 2. วยั เด็ก (Childhood) ตงั้ แต 3 – 12 ป การเจริญเติบโตในวัยน้ีสวนใหญเปนเรื่องของกระดูกกลามเน้ือ และการประสานกับ ระบบตาง ๆ ในรางกาย ความแตกตางระหวางบุคคลและเพศตรงกันขาม จะปรากฏชัดเจน โดยวัยเด็ก แบง ออกเปน 3 ชว ง ดังน้ี 2.1 วัยเด็กตอนตน (3 - 5 ป) รูจักใชภาษา หัดพูด กินขาว ลางมือ รูจักสังเกต อยากรู อยากทดลอง และเลน 2.2 วยั เดก็ ตอนกลาง (6 - 9 ป) เริ่มไปโรงเรยี นตองปรับตัวเขา กับคนแปลกหนา และทํา ความเขา ใจกับระเบียบของโรงเรียน รูจกั เลอื กตดั สนิ ใจ รบั ผิดชอบการทาํ งานของตนเองได 2.3 วัยเดก็ ตอนปลาย (10 – 12 ป) เพศชาย - หญงิ จะแสดงความแตกตา งชัดเจนในดาน พฤติกรรมและความสนใจ เด็กหญงิ จะโตกวา เดก็ ชาย มีทกั ษะการใชภ าษาที่ดีข้ึน ทําตามคําสั่งได เรียนรู บทบาททีเ่ หมาะสมกับเพศของตน และจะเลน เฉพาะกลุมทเ่ี ปน เพศเดยี วกนั 3. วยั รนุ (Adolescence) อายรุ ะหวาง 13 – 20 ป วัยน้ีเปนชวงหัวเลี้ยวหัวตอของชีวิต เนื่องจากเปนวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางรางกาย จิตใจและตอ งปรับตัวเขากับสิ่งใหมๆ ท่เี กดิ ข้นึ รวมท้ังปรับตัวใหเขากับสังคม บางคร้ังทําใหเกิดปญหา ตา ง ๆ ข้นึ โดยเฉพาะปญหาทางเพศ เร่ิมใหความสนใจกับเพศตรงกันขาม เร่ิมมองอนาคต คิดถึงการมี อาชีพของตน คิดถึงครอบครัว อยากรูอยากเห็น อยากแสดงความสามารถ บางคร้ังแสดงออกในทางท่ี ไมถูกตอง จึงทาํ ใหเกิดปญ หาข้ึน ผูปกครองหรอื ผูใ หญ ควรใหคาํ แนะนาํ ทเี่ หมาะสม
4 4. วัยผูใ หญ (Adulthood) อายุระหวา ง 21 – 60 ป วัยน้รี า งกายเจรญิ เตบิ โตเต็มทแี่ ลว มีรูปรางสมสวน รางกายแข็งแรง แตเนื่องจากความ เจรญิ เติบโตและพฒั นาการทางกาย และใจของแตละคนตางกัน เชน คนที่เปนลูกคนโต ตองดูแลนอง ๆ กอ็ าจจะเปนผูใหญเร็วกวานองคนเล็ก หรือคนท่ีกําพราพอแม ก็ยอมเปนผูใหญเร็วกวาคนที่มีพอแมอยู ใกลชิด สรุปไดวาวัยนี้ เปนวัยท่ีมีความเจริญดานตาง ๆ ทั้งดานความสนใจ ทัศนคติ และคานิยม โดยเฉพาะเรื่องอาชีพ การเลือกคูครอง และการมีชีวิตครอบครัว เปนวัยท่ีมีพละกําลัง มีความสามารถ ในการทาํ งานมากทส่ี ดุ เพราะเปน วัยทต่ี องรับผดิ ชอบในหนาที่ เพอ่ื ครอบครัวและประเทศชาติ 5. วยั ชรา (Old Age) อายุ 60 ปข น้ึ ไป วัยน้ีเปนวัยที่มีการเปล่ียนแปลงทางดานรางกาย จิตใจ อารมณ รวมทั้งสมองในทาง เสอื่ มลง จึงประสบปญ หาสขุ ภาพมากกวาวยั อ่ืน มอี าการหลงลืม มกั จะจําเรื่องราวในอดตี เหมาะที่จะเปน ท่ีปรึกษาใหคําแนะนําแกผูอ่ืน เพราะเปนผูท่ีมีประสบการณมากอน วัยน้ีมักมีอารมณคอนขางเครียด โกรธ และนอ ยใจงาย เรอ่ื งที่ 2 โครงสรา ง หนา ท่แี ละการทาํ งานของอวัยวะภายนอก ภายใน ทส่ี ําคญั ของรา งกาย อวัยวะและระบบตา ง ๆ ในรางกาย อวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก เปน อวยั วะทมี่ องเห็นได เชน ตา หู จมกู ปากและผิวหนัง อวยั วะเหลาน้ี มหี นา ท่ีการทํางานตา งกนั อวยั วะภายใน เปนอวัยวะทีอ่ ยใู นรางกายท่ีมีความสําคัญมาก เพราะเปนสวนหน่ึงของ ระบบตาง ๆ ภายในรางกาย โดยอวัยวะภายนอกและอวยั วะภายใน มีการทาํ งานท่สี ัมพนั ธกันหากสวนใด สว นหนึง่ บกพรอ ง หรือไดรับอันตรายก็อาจมีผลกระทบตอ สวนอน่ื ได
5 1. อวัยวะภายนอก มดี งั น้ี 1.1 ตา เปนอวัยวะทีท่ าํ ใหม องเห็นสงิ่ ตางๆ และชว ยใหเ กดิ การเรียนรู เพราะถาไมมี ดวงตา สมองจะไมสามารถรับรูและจดจําสิ่งท่ีอยูรอบตัว นอกจากนั้นตายังแสดงออกถึงอารมณ ความรสู ึกตา งๆ เชน ดใี จ เสยี ใจ ตกใจ สวนประกอบของตา ท่สี าํ คัญมดี ังนี้ (1) ค้ิว เปนสวนประกอบท่ีอยูเหนือหนังตาบน ทําหนาท่ีปองกันอันตราย ไมใหเกิดกับดวงตา โดยปองกันส่ิงสกปรก เหงื่อ น้ํา และส่ิงแปลกปลอมท่ีอาจไหลหรือตกมาจาก หนาผาก หรอื ศีรษะ เขา สูด วงตาได (2) หนงั ตา และเปลอื กตา ทาํ หนา ที่เปด ปดตา เพ่อื รบั แสง และปอ งกันอันตราย ทอ่ี าจเกดิ ข้นึ แกต า และกระจกตา โดยอตั โนมัติเม่อื มสี ิง่ อนั ตรายเขา มาใกลตา (3) ขนตา เปนสวนประกอบที่อยูหนังตาบน หนังตาลาง ทําหนาที่ปองกัน อันตราย เชนฝนุ ละออง ไมใหทาํ อนั ตรายแกต า (4) ตอ มนํ้าตา เปนสว นประกอบของตาที่อยูในเบาตา ทางดานหางคิ้วบริเวณ หนงั ตาบน ทาํ หนาทซี่ ับน้ําตา มาชว ยใหต าชมุ ช้ืน และขับสิ่งสกปรกออกมากบั นํ้าตา 1.2 หู เปนอวัยวะรับสัมผัสท่ีทําใหไดยินเสียงตาง ๆ เชน เสียงเพลง เสียงพูดคุย การไดยนิ เสยี ง ทาํ ใหเกิดการสือ่ สารระหวา งกัน ถาหูผิดปกติไมไดยินเสียงใดเลย สมองไมสามารถแปล ความไดว าเสยี งตา ง ๆ เปน อยา งไร สวนประกอบของหู สว นประกอบของหแู บงเปน 3 สว น คือ หชู ั้นนอก หูชน้ั กลาง หูชัน้ ใน (1) หูชน้ั นอก ประกอบดว ยสวนตาง ๆ ดังนี้ ใบหู ทาํ หนาท่ีรบั เสียงสะทอนเขาสูรหู ู รูหู ทําหนาที่เปนทางผานของเสียง ใหเขาไปสูสวนตาง ๆ ของรูหู ภายในรหู จู ะมตี อ มนํ้ามัน ทําหนาท่ีผลิตไขมันทําใหหูชุมชื้น และดักจับฝุนละออง และส่ิงแปลกปลอม ท่ีเขา มาภายในรหู ู และเกดิ เปน ขห้ี ู นอกจากน้นั ภายในรหู ยู งั มีเยื่อแกว หู ซึ่งเปน เยอื่ แผนกลมบาง ๆ กั้นอยู ระหวา งหชู ้นั นอก กบั หชู นั้ กลาง ทาํ หนาท่ีถายทอดเสียงผานหชู ั้นกลาง (2) หูชั้นกลาง มีลักษณะเปน โพรง ประกอบดวยสวนตาง ๆ ไดแก กระดูก รูปคอน กระดูกรูปทั่ง และกระดูกรูปโกลน เปนกระดูกชิ้นนอกติดอยูกับหูช้ันใน กระดูกท้ัง 3 ชิ้น ดังกลาว ทําหนา ท่รี บั คลื่นเสียงตอจากเยอ่ื แกวหู
6 (3) หูช้ันใน มีลักษณะเปนรูปหอยโขง เปนสวนท่ีอยูดานในสุด ทําหนาท่ี ขับคลื่นเสียงโดยผานประสาทรับเสียงสงตอไปยังสมอง และสมองก็แปลผลทําใหรูวาเสียงที่ไดยิน คอื เสียงอะไร 1.3 จมูก เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําหนาที่หายใจเอาอากาศเขาและออกจากรางกาย และมีหนาท่ีรับกลิ่นตาง ๆ ถาจมูกไมสามารถทําหนาที่ไดตามปกติ จะไมไดกล่ินอะไรเลย หรือทําให ระบบการหายใจและการออกเสียงผดิ ปกติ สวนประกอบของจมกู จมูกเปนอวัยวะภายนอกท่ีอยูบนใบหนา ชวยเสริมใหใบหนาสวยงาม จมูก แบงออกเปน 3 สวน ดงั น้ี (1) สนั จมูก เปนสว นที่มองเห็นจากภายนอก เปนกระดูกออ น ทาํ หนา ท่ปี อ งกัน อันตรายใหกับอวัยวะภายในจมกู (2) รูจมูก รูจมูกมี 2 ขาง ทําหนาที่เปนทางผานของอากาศ ที่หายใจเขาออก ภายในรูจมูกมีขนจมกู และเย่ือจมกู ทําหนาท่กี รองฝนุ และเชือ้ โรคไมใ หเ ขาสูห ลอดลมและปอด (3) ไซนสั เปนโพรงอากาศครอบจมูกในกะโหลกศีรษะ จํานวน 4 คู ทําหนาที่ พัดอากาศเขาสปู อด และปรบั ลมหายใจใหมอี ุณหภมู ิและความชื้นพอเหมาะ 1.4 ปากและฟน เปนอวัยวะสําคัญของรางกายท่ีใชในการพูด ออกเสียง และรบั ประทานอาหาร โดยฟน ของคนเราจะมี 2 ชุด คอื ฟนน้ํานมและฟนแท (1) ฟนนํ้านม เปนฟนชุดแรก มีทั้งหมด 20 ซี่ เปนฟนบน 10 ซี่ ฟนลาง 10 ซ่ี ฟนน้ํานมเร่ิมงอกเมื่ออายุประมาณ 6 - 8 เดือน จะงอกครบเมื่ออายุ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบคร่ึง และจะคอย ๆ หลุดไปเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ (2) ฟนแท เปนฟนชุดท่ีสอง ท่ีเกิดข้ึนมาแทนฟนนํ้านมท่ีหลุดไป ฟนแทมี 32 ซ่ี ฟนบน 16 ซ่ี ฟน ลา ง 16 ซ่ี ฟนแทจะครบเมอื่ อายุประมาณ 21 - 25 ป ถาฟนแทผ ุหรือหลุดไป จะไม มฟี นงอกขน้ึ มาอกี
7 หนา ทขี่ องฟน ฟน มีหนาที่ในการเคี้ยวอาหาร เชน ฉีก กัด บดอาหารใหละเอียด ฟนจึงมีหนาที่และ รูปรางตางกันไป ไดแก ฟนหนา มีลักษณะคลายลิ่ม ใชกัดตัด ฟนเขี้ยว มีลักษณะปลายแหลม ใชฉีก อาหาร และฟน กราม มีลักษณะแบน กวา ง ตรงกลางมรี อ งใชบดอาหาร 1.5 ผิวหนัง เปนอวัยวะรับสัมผัส ทําใหรูสึก รอน หนาว เจ็บปวด เพราะภายใต ผิวหนังเปนที่รวมของเซลลประสาทรับความรูสึก นอกจากน้ันผิวหนังยังทําหนาท่ีปกคลุมรางกาย และชว ยปองกันอวัยวะภายในไมใหไดรับอันตราย และยงั ชวยระบายความรอนภายในรา งกายทางรูเหง่ือ ตามผิวหนงั อกี ดวย สวนประกอบของผวิ หนงั แบงออกเปน 2 ช้นั ดังน้ี (1) ช้ันหนงั กาํ พรา เปน ชน้ั บนสดุ เปนชั้นทีจ่ ะหลุดเปนขี้ไคล แลวมีการสราง ข้ึนมาทดแทนข้นึ เรื่อย ๆ และเปน ผิวหนังช้ันทบี่ ง บอกความแตกตางของสผี ิวในแตล ะคน (2) ชั้นหนังแท เปนผิวหนังที่หนากวาช้ันหนังกําพรา เปนแหลงรวมของ ตอ มเหงอื่ ตอมไขมัน และเซลลประสาทรับความรสู กึ ตา ง ๆ 2. อวัยวะภายใน อวัยวะภายในเปนอวัยวะที่อยูใตผิวหนัง ซ่ึงเราไมสามารถมองเห็น อวัยวะภายใน เหลาน้มี ีมากมายและทํางานประสานสมั พันธกันเปน ระบบ 2.1 ปอด ปอดเปนอวัยวะภายในอยางหน่ึง อยูในระบบหายใจ ปอดมี 2 ขาง ตั้งอยู บริเวณทรวงอกทง้ั ทางดานซายและดานขวา จากตน คอลงไปจนถึงอก ปอดมีลกั ษณะน่ิมและหยุนเหมือน ฟองนํ้า ขยายใหญเทากับซ่ีโครงเวลาที่ขยายตัวเต็มท่ี มีเย่ือบาง ๆ หุม เรียกวา เย่ือหุมปอด ปอด ประกอบดวยถุงลมเล็กๆ จํานวนมากมาย เวลาหายใจเขาถุงลมจะพองออกและเวลาหายใจออกถุงลมจะ แฟบ ถุงลมนปี้ ระสานติดกันดวยเย่ือประสานละเอียดเต็มไปดวยเสนเลือดฝอยมากมาย เลือดดําจะไหล ผา นเสน เลือดฝอยเหลา นั้น แลวคายคารบอนไดออกไซดอ อก และรบั เอาออกซิเจนจากอากาศท่ีเราหายใจ เขาไปในถุงลมไปใชในกระบวนการเคมีในการสันดาปอาหารของรางกาย กระบวนการท่ีเลือดคาย คารบ อนไดออกไซด และรับออกซิเจนขณะท่ีอยใู นปอดน้ี เรยี กวา การฟอกเลือด
8 หนา ท่ีของปอด ปอดจะทาํ หนาที่สูบและระบายอากาศ ฟอกเลือดเสียใหเปนเลือดดี การหายใจมีอยู 2 ระยะ คอื หายใจเขา และหายใจออก หายใจเขา คอื การสูดอากาศเขาไปในปอดหรือถุงลมปอด เกิดข้ึน ดว ยการหดตวั ของกลามเนอ้ื กะบงั ลม ซ่ึงกน้ั อยรู ะหวางชอ งอกกบั ชองทอง เมื่อกลามเนื้อกะบังลมหดตัว จะทําใหชองอกมีปริมาตรมากข้ึน อากาศจะวิ่งเขาไปในปอด เรียกวาหายใจเขา เม่ือหายใจเขาสุดแลว กลามเนื้อกะบังลมจะคลายตัวลง กลามเนื้อทองจะดันเอากลามเนื้อกะบังลมข้ึน ทําใหชองอกแคบลง อากาศจะถกู บบี ออกจากปอด เรยี กวา หายใจออก ปกติผูใหญหายใจประมาณ 18 - 22 คร้ังตอนาที ผูท่ีมี อายนุ อยการหายใจจะเรว็ ข้นึ ตามอายุ 2.2 หัวใจ เปนอวัยวะท่ีประกอบดวยกลามเนื้อ ภายในเปนโพรง รูปรางเหมือนดอก บวั ตมู มีขนาดราวๆ กาํ ปน ของเจา ของ รอบๆ หวั ใจมีเยือ่ บางๆ หุมอยเู รยี กวา เย่ือหุมหัวใจ ซ่ึงมีอยู 2 ชนั้ ระหวางเย่อื หุม ท้งั สองชน้ั จะมชี อง ซงึ่ มีนํ้าใสสีเหลืองออนหลออยูตลอดเวลา เพื่อมิใหเยื่อทั้งสอง ชั้นเสยี ดสกี นั และทําให หวั ใจเตนไดสะดวกไมแหงติดกับเยอื่ หุมหวั ใจ หัวใจตั้งอยูร ะหวา งปอดทั้งสอง ขา ง แตคอ นไปทางซายและอยูหลังกระดูกซ่ีโครงกับกระดูกอก โดยปลายแหลม ชี้เฉียงลงทางลาง และชี้ไปทางซา ย ภายในหัวใจจะมโี พรง ซง่ึ ภายในโพรงนี้จะมผี นังกัน้ แยกออกเปนหอ งๆ รวม 4 หอง คือ หอ งบน 2 หอง และหองลา ง 2 หอ ง สาํ หรับหอ งบนจะมขี นาดเล็กกวาหองลาง หนาทข่ี องหัวใจ หัวใจมจี งั หวะการบีบตัว หรือที่เราเรียกวาการเตนของหัวใจ เพ่ือสูบฉีดเลือดแดง ไป หลอเลี้ยงรางกายตามสว นตางๆ ของรา งกาย ขณะท่ีคลายตัวหัวใจหองบนขวาจะรับเลือดดํามาจาก ท่ัว รางกาย และจะถูกบีบผานล้ินที่กั้นอยูลงไปทางหองลางขวา ซึ่งจะถูกฉีดไปยังปอดเพื่อคาย คารบอนไดออกไซดและรับออกซิเจนใหมกลายเปนเลือดแดง ไหลกลับเขามายังหัวใจหองบนซาย และถูกบบี ผา นลิน้ ท่ีก้นั อยไู ปทางหองลางซาย จากน้ันกจ็ ะถกู ฉดี ออกไปเล้ยี งท่ัวรางกาย ถาเราใชน้ิวแตะ บริเวณเสนเลือดใหญ เชน ขอมือ หรือขอพับตาง ๆ เราจะรูสึกไดถึงจังหวะการบีบตัวของหัวใจ ซึง่ เราเรียกวา ชีพจร หัวใจเปนอวัยวะท่ีสําคัญท่ีสุด เพราะเปนอวัยวะที่บอกไดวาคนนั้นยังมีชีวิตอยูได หรอื ไม ถา หากหวั ใจหยุดเตน กห็ มายถงึ วา คนคนนนั้ เสียชีวิตแลว การเตน ของหัวใจน้ัน ในคนปกติหัวใจ จะเตน ประมาณ 70 - 80 ครัง้ ตอ นาที หัวใจตอ งทาํ งานหนกั ตลอดชวี ิต ทง้ั เวลาหลับและตื่น เวลาทห่ี วั ใจจะ ไดพักผอนบา งกค็ อื ตอนทีเ่ รานอนหลบั หวั ใจจะเตน ชา ลง เราจึงตอ งระมัดระวังรกั ษาหวั ใจใหแข็งแรงอยู เสมอ โดยอยาใหห วั ใจตอ งทํางานหนกั มากจนเกนิ ไป
9 2.3 กระเพาะอาหาร มีรูปรางเหมือนนํ้าเตา คลายกระเพาะหมู มีความจุประมาณ 1 ลติ ร อยูตอ หลอดอาหารและอยูใ นชอ งทอ งคอนไปทางดานซาย หนาทสี่ ําคญั ของกระเพาะอาหาร คอื มีหนาท่ีในการยอยอาหารท่ีมีขนาดเล็กลง และ ละลายใหเปน สารอาหาร แลวสงอาหารท่ียอยแลวไปยงั ลําไสเล็ก แลวลาํ ไสเล็กจะดูดซึมไปใชประโยชน แกร างกายตอไป สวนทีไ่ มเ ปนประโยชนท ีเ่ รยี กวากากอาหารจะถูกสงตอไปยังลําไสใหญ เพื่อขับถาย ออกจากรางกายเปนอุจจาระตอไป สิ่งท่ีชวยใหกระเพาะยอยอาหารก็คือ น้ํายอยซ่ึงมีสภาพ เปนกรด นา้ํ ยอ ยในกระเพาะจะมีเปนจํานวนมากเม่ือถึงเวลารับประทานอาหาร ถาไมรับประทานอาหารใหตรง เวลานา้ํ ยอยจะกดั เนื้อเย่ือในบริเวณกระเพาะไดเ ชน กัน อาจจะทําใหเ กดิ เปนแผลในกระเพาะอาหารได วิธี ทจ่ี ะชว ยปองกันไดก ค็ ือ ดมื่ น้าํ สะอาดใหมากๆ และรบั ประทานอาหารใหต รงเวลา งดรับประทานอาหาร ท่ีมรี สจัด 2.4 ลําไสเล็ก มีลักษณะเปนทอกลวงยาวประมาณ 6 เมตร ขดอยูในชองทอง ตอนบน ปลายบนเชื่อมกบั กระเพาะอาหาร สว นปลายลา งตอ กับลาํ ไสใ หญ หนาที่สําคัญของลําไสเล็ก คือ ยอยอาหารตอจากกระเพาะอาหาร จนอาหาร มี ขนาดเลก็ พอท่ีจะดูดซึมเขา สกู ระแสเลือด เพอ่ื นําไปเล้ยี งสว นตาง ๆ ของรา งกาย 2.5 ลาํ ไสใหญ เปนอวัยวะทีอ่ ยูในระบบทางเดนิ อาหาร ลาํ ไสใหญของคนมคี วามยาว ประมาณ 1.5 เมตร เสนผานศูนยกลางประมาณ 6 เซนติเมตร แบง ออกเปน 3 สวน คือ (1) กระเพาะลําไสใหญ เปนลําไสใหญสวนแรก ตอจากลําไสเล็ก ทําหนาท่ี รบั กากอาหารจากลําไสเลก็ (2) โคลอน (Colon) เปนลําไสใหญสวนที่ยาวที่สดุ ประกอบดวยลําไสใหญขวา ลําไสใหญกลาง และลําไสใหญซาย มีหนาที่ดูดซึมน้ําและพวกวิตามินบี12 ที่แบคท่ีเรียในลําไสใหญ สรา งข้ึนและขบั กากอาหารเขา สูลาํ ไสใ หญสว นตอ ไป (3) ไสต รง เมือ่ กากอาหารเขาสูไสต รงจะทาํ ใหเกิดความรูส กึ อยากถายขน้ึ เพราะความดนั ในไสตรงเพิม่ ขนึ้ เปนผลทาํ ใหก ลา มเนือ้ หรู ูดท่ที วารหนกั ดา นใน ซึง่ จะทําใหเกดิ การ ถา ยอุจจาระออกทางทวารหนักตอ ไป หนาทีข่ องลาํ ไสใ หญ (1) ชว ยยอ ยอาหารเพยี งเลก็ นอ ย (2) ถา ยระบายกากอาหาร ออกจากรา งกาย (3) ดูดซมึ นาํ้ และสารอเิ ล็คโตรลัยต เชน โซเดียม และเกลอื แรอ ื่น ๆ จากอาหาร
10 ที่ถูกยอ ยแลว ทเี่ หลืออยใู นกากอาหาร รวมท้งั วติ ามินบางอยางทส่ี รางจากแบคทเี รยี ซง่ึ อาศยั อยู ในลาํ ไสใ หญ ไดแ ก วติ ามินบรี วม วติ ามนิ เค ดว ยเหตนุ ้ี จึงเปนชองทางสาํ หรับใหน า้ํ อาหารและยาแก ผปู วยทางทวารหนกั ได (4) ทําหนา ทเ่ี กบ็ อุจจาระไวจ นกวาจะถงึ เวลาอนั สมควรทจี่ ะถายออกนอก รา งกาย 1.5 ไต เปน อวยั วะสว นหน่งึ ในระบบขบั ถาย จะขับถายของเสียจากรางกายออกมา เปน นํ้าปสสาวะ ไตของคนเรามี 2 ขาง มีรปู รา งคลา ยเมลด็ ถ่วั แดง ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร อยูติดผนัง ชอ งทองดานหลงั ตํ่ากวา กระดูกซีโ่ ครงเล็กนอ ย หนาท่ีสําคัญของไต คือ กรองของเสียออกจากเลือดแดง แลวขับของเสีย ออกนอกรา งกายในรูปของปสสาวะ เรือ่ งที่ 3 การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผดิ ปกติของอวยั วะสาํ คญั ของรา งกาย อวยั วะ ภายนอกและภายใน การดูแลรกั ษาปอ งกนั ความผิดปกตขิ องอวัยวะสําคัญของรางกาย อวัยวะภายนอกและภายใน มคี วามสําคัญของรางกาย จําเปนตองดูแลรักษาใหสามารถทํางานไดตามปกติ เพราะถาอวัยวะสวนใด สว นหนึ่งเกิดความบกพรองหรือเกดิ ความผดิ ปกติ ระบบการทํางานนั้นก็จะบกพรองหรือผิดปกติดวย มี วิธีการงา ย ๆ ในการดูแลรกั ษาอวัยวะตาง ๆ ดังน้ี 1. การดแู ลรักษาตา ตามคี วามสําคัญ ทาํ ใหม องเหน็ ส่งิ ตาง ๆ จึงควรดแู ลรักษาตาใหด ดี วยวธิ ี ดงั ตอ ไปนี้ 1. ไมควรใชสายตาจองหรือเพงสิ่งตาง ๆ มากเกินไป ควรพักสายตาโดยการหลับตา หรือมองออกไปยงั ที่กวาง ๆ หรอื พ้ืนที่สีเขียว 2. ขณะอา นหรือเขียนหนงั สือ ควรใหแสงสวางอยางเพียงพอ และควรวางหนังสือใหหาง จากตาประมาณ 1 ฟุต 3. ไมควรอา นหนังสอื ขณะอยูบนยานพาหนะ เชน รถ หรือรถไฟท่กี ําลงั แลน
11 4. ดูโทรทศั นใหหา งจากจอภาพไมนอ ยกวา 3 เทา ของขนาดจอภาพ 5. เมอื่ มฝี ุนละอองเขา ตา ไมควรขยตี้ า ควรใชวธิ ลี มื ตาในนํ้าสะอาด หรอื ลางดวยน้าํ ยาลางตา 6. ไมค วรใชผ า เช็ดหนา รว มกับผูอ่ืน เพราะอาจติดโรคตาแดงจากผูอืน่ ได 7. หลกี เลยี่ งการมองบรเิ วณท่แี สงจา หรือหลกี เลยี่ งสถานท่ที ่มี ีฝุนละอองฟุงกระจาย 8. อยาใชย าลางตาเม่อื ไมม คี วามจาํ เปน เพราะตามธรรมชาตนิ าํ้ ในเปลอื กตาทําหนาทีล่ างตา ดีท่สี ุด 9. บริหารเปลอื กตาบนและเปลือกตาทุกวันดวยการใชนิ้วช้ีรูดกดไปบนเปลือกตาจากค้ิว ไปทางหางตา 2. การดแู ลรักษาหู หูมีความสําคญั ตอการไดยนิ ถา หูผิดปกติจนไมส ามารถไดยินเสยี งตา งๆ การทํากิจกรรม ในชวี ติ ประจาํ วนั ก็ไมร าบรื่นเกดิ อุปสรรค ดงั น้ันจงึ ควรดูแลรกั ษาหูใหท าํ หนาที่ใหด อี ยเู สมอ 1. หลีกเลี่ยงแหลงท่ีมีเสียงดังอึกทึก ถาหลีกเล่ียงไมไดควรปองกันตนเอง โดยหา อปุ กรณม าอดุ หู หรอื ครอบหู เพือ่ ปองกนั ไมใ หแกว หูฉีกขาด 2. ไมควรแคะหดู วยวสั ดใุ ด ๆ เพราะอาจทาํ ใหหูอกั เสบเกิดการติดเชอ้ื 3. เม่อื มแี มลงเขา หู ใหใ ชน ้ํามันมะกอก หรือนํ้ามันพาราฟลหยอดหู ท้ิงไวสักครูแมลง จะตาย แลวจงึ เอียงหูใหแ มลงไหลออกมา 4. ขณะวายนํ้า หรืออาบน้ํา พยายามอยาใหน้ําเขาหู ถามีนํ้าเขาหูใหเอียงหูใหน้ําออก มาเอง 5. เม่ือเปนหวัดไมควรสั่งนํ้ามูกแรงๆ เพราะเช้ือโรคอาจผานเขาไปในรูหู เกิดอักเสบ ตดิ เชอื้ กลายเปน หูนา้ํ หนวก และเมื่อมสี ง่ิ ผิดปกติเกิดขึ้นกับหู ควรปรกึ ษาแพทย 3. การดแู ลรกั ษาจมูก จมูกเปนอวัยวะรับสัมผัสที่มีความสําคัญ ทําใหไดกล่ิน และหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์ เขาสูป อด ควรดแู ลรกั ษาจมกู ใหทําหนา ทไี่ ดต ามปกตดิ วยวธิ ดี งั นี้ 1. หลีกเล่ียงบริเวณท่มี ีฝุน ละอองฟุงกระจาย 2. ไมควรแคะจมกู ดวยวัสดุแข็ง เพราะอาจทําใหจมูกอักเสบ 3. ไมควรสั่งน้ํามกู แรง ๆ ถาเปนหวดั เรื้อรงั ไมควรปลอ ยทงิ้ ไว ควรปรกึ ษาแพทย 4. ถามคี วามผิดปกติเกดิ ข้ึนกบั จมูก ควรปรึกษาแพทย
12 4. การดูแลรักษาปากและฟน 1. ควรแปรงฟนใหถ กู วิธหี ลงั อาหารทกุ ม้อื หรือควรแปรงฟนอยางนอยวนั ละ 2 คร้ัง 2. ไมควรกดั หรือฉีกของแข็งดวยฟน และควรพบทันตแพทยเพือ่ ตรวจฟนทกุ 6 เดือน 3. ออกกําลังเหงือกดวยการถู นวดเหงือก ตอนเชา และกลางคืนกอนนอน โดยการ อมเกลอื หรือเกลอื ปนผสมสารสม ปนประมาณ 5 นาที แลวนวดเหงือก 4. รับประทานผัก ผลไมสดมาก ๆ และหลีกเลี่ยงรับประทานลูกอม ช็อคโกแลตและ ขนมหวาน ๆ 5. การดูแลรกั ษาผวิ หนงั 1. อาบนาํ้ อยา งนอ ยวนั ละ 2 คร้ัง หลงั จากอาบนา้ํ เสรจ็ ควรเช็ดตวั ใหแหง 2. สวมเสอื้ ผาทส่ี ะอาด ไมเปยกช้นื และไมรัดรูปจนเกินไป 3. รับประทานอาหารท่ีมีประโยชนและด่ืมนํ้ามาก ๆ ออกกําลังกายอยางสมํ่าเสมอ หลกี เล่ยี งแสงแดดจา และระมดั ระวงั ในการใชเครอื่ งสาํ อาง 4. เมอื่ ผวิ หนังผดิ ปกติ ควรปรกึ ษาแพทย 6. การดูแลรกั ษาปอด มีขอควรปฏบิ ัติดังน้ี 1. ควรอยใู นสถานทีท่ ี่มอี ากาศบริสทุ ธถิ์ ายเทไดเสมอ หลีกเลี่ยงอยูในสถานที่ท่ีมีฝูงชน แออดั 2. ควรหายใจทางจมกู เพราะในจมกู มีขนจมูกและเยื่อเสมหะ ซึ่งจะชวยกรองฝนุ ละออง และเชื้อโรคไมใ หเขา ไปในปอด หลีกเลย่ี งการหายใจทางปาก 3. ไมค วรนอนควา่ํ นาน ๆ จะทําใหปอดถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก 4. ไมค วรสูบบุหรี่ เพราะจะสงผลใหเปน อนั ตรายตอ ปอด 5. ควรน่ังหรือยืนตัวตรง ไมควรสวมเส้ือผาท่ีรัดแนน เพราะจะทําใหปอดขยายตัว ไมส ะดวก 6. ควรรกั ษารางกายใหอบอนุ เพ่อื ปองกนั การเปนหวดั 7. ควรบริหารปอด ดวยการหายใจยาว ๆ วันละ 5-6 ครั้งทุกวัน ทําใหปอดขยายตัว ไดเตม็ ที่ 8. ควรระวังการกระทบกระเทือนอยางรุนแรงจากภายนอก เชน หนาอก แผนหลัง เพราะจะกระทบกระเทือนไปถงึ ปอดดว ย
13 9. ควรพกั ผอ นใหเ ตม็ ที่ การออกกําลังกายหรือการเลนกีฬาใด ๆ อยาใหเกินกําลังหรือ เหนื่อยเกินไป เพราะจะทําใหป อดตองทาํ งานหนกั จนเกนิ ไป 10. ควรตรวจสุขภาพ หรอื เอ็กซเรยปอดอยางนอยปละ 1 ครั้ง 7. การดแู ลรักษาหัวใจ มีวธิ กี ารปฏิบัติ ดงั น้ี 1. ควรออกกําลังกายสม่ําเสมอ เหมาะสมกับสภาพรางกาย และวัย ไมหักโหมเกินไป เพราะจะทาํ ใหหัวใจตองทาํ งานมาก อาจเปนอันตรายได 2. ไมดมื่ น้ําชา กาแฟ สบู บหุ รี่ ด่ืมสรุ าหรอื เครื่องด่ืมท่ีมีสารกระตุน เพราะมีสารกระตุน ทําใหหวั ใจทาํ งานหนักจนอาจเปน อนั ตรายแกกลามเนื้อหวั ใจได 3. ไมรับประทานยา ทจ่ี ะกระตนุ ในการทํางานของหวั ใจโดยไมปรกึ ษาแพทย 4. การนอนควา่ํ เปนเวลานานๆ จะสงผลทาํ ใหหวั ใจถูกกดทบั ทํางานไมส ะดวก 5. ไมค วรนอนในสถานท่ีอากาศถา ยเทไมส ะดวก หรือสวมเส้ือผาทร่ี ดั รปู จนเกนิ ไป จะทาํ ใหระบบการทํางานของหวั ใจไมสะดวก 6. ระมัดระวังไมใหหนาอกไดรับความกระทบกระเทือน เพราะอาจเปนอันตรายกับ หวั ใจได 7. ไมควรวิตกกังวล กลัว ตกใจ เสียใจมากเกินไป เพราะจะสงผลตอการทํางานของ หัวใจ 8. ไมควรรบั ประทานอาหารท่มี ีไขมนั และนํ้าตาลมากเกนิ ไป เพราะจะทําใหเกิดไขมัน เกาะภายในเสนเลือดและกลา มเน้ือหวั ใจ ทําใหหวั ใจตองทํางานหนักข้นึ จะเปน อนั ตรายได 9. เมื่อเกดิ อาการผดิ ปกตขิ องหัวใจ ควรปรึกษาแพทย 8. การดูแลรักษากระเพาะอาหารและลาํ ไส ควรปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1. ควรรับประทานอาหาร ท่มี ีประโยชน ไมแข็ง ไมเหนียว หรือยอยยาก หรือมีรสจัด เกินไป เพราะทําใหกระเพาะอาหารทํางานหนกั หรือทําใหเ กิดเปน แผลได 2. ควรใหรางกายอบอุน ในเวลานอนตองสวมเส้ือผาหรือหมผาเสมอ เพื่อมิใหทอง รับความเย็นจนเกินไป จนอาจเกดิ อาการปวดทอง 3. ควรควบคุมอารมณ เพราะความเครียด ความวติ กกงั วล กท็ าํ ใหกระเพาะอาหารหล่ัง น้ํายอ ยออกมามาก 4. เค้ียวอาหาร ใหละเอียดกอนกลืน และไมรีบรับประทาน เพราะจะทําใหอาหาร ยอ ยยาก
14 5. ไมควรสวมเส้ือผาคับหรือรัดเข็มขัดแนนเกินไป จะทําใหกระเพาะอาหารทํางาน ไมส ะดวก 6. ไมควรรับประทานจุบจิบ เพราะจะทําใหกระเพาะอาหารตองทํางานอยูเสมอไมมี เวลาพกั 7. ควรรับประทานอาหารใหเปนเวลา ไมปลอยใหหิวมาก หรือรับประทานอาหาร มากเกินไป จะทําใหก ระเพาะอาหารตอ งทํางานหนกั หรอื เกดิ อาการอาหารไมยอ ย แนน ทองได 8. ไมร ับประทานของหมกั ดอง จะทําใหเกิดอาการทอ งเสยี หรือทองรวงได 9. ปฏิบัติตนตามหลักสุขนิสัยท่ีดี โดยรักษาความสะอาดมือ ภาชนะและอาหารท่ี รบั ประทานเพือ่ ปองกันเชอ้ื โรคจะเปนอนั ตรายตอ กระเพาะอาหารได 10. ควรรับวคั ซีนปองกันโรค เม่ือเกิดโรคติดตอระบาดในชุมชน เชน อหิวาตกโรค บิด พยาธติ า ง ๆ ทองรว ง 9. การดแู ลรักษาไต ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี 1. ควรรบั ประทานอาหาร นํ้า เกลือแร ใหเหมาะสมตามสภาวะของรา งกาย 2. ควรหลกี เลี่ยงการใชย าหรอื รับประทาน ยาท่มี ีผลเสียตอ ไต เชน ยาซัลฟา ยาแกปวด และแกอกั เสบตอ เนือ่ งเปน เวลานาน 3. ไมควรกลัน้ ปส สาวะเอาไวน าน ๆ หรอื สวนปส สาวะ 4. ผูท่ีมีอาการของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ควรรักษา เพราะจะสงผล กระทบตอการทาํ งานของไต 5. เมื่อเกิดอาการผิดปกตทิ ่ีสงสัยวาจะเปนโรคไต เชน เทา ตัว หรือหนาบวม ปสสาวะ เปนสีคลา้ํ เหมอื นสนี ้าํ ลา งเนอ้ื หรือปสสาวะบอ ยผดิ ปกติ ควรปรึกษาแพทย 6. ควรตรวจสขุ ภาพ ตรวจปส สาวะ อยา งนอ ยประจําปละ 1 - 2 คร้งั
15 กิจกรรมทายบท 1. ใหผ เู รยี นแบงกลุมศึกษาพฒั นาการของมนุษยตามวัยตางๆ แลวใหแตละกลุมอภิปราย นาํ เสนอผลงานแตล ะกลุม 2. ใหผ ูเ รยี นเปรียบเทยี บความแตกตา งที่เกิดขน้ึ ในแตละวยั และชวยกันสรปุ ผล 3. ใหผูเรียนบอกความแตกตางของการดูแลรักษาอวัยวะภายในและภายนอก พรอมอภปิ รายวิธกี ารปอ งกนั และดูแลรกั ษา
16 บทที่ 2 พฒั นาการทางเพศของวยั รนุ การคมุ กําเนดิ และโรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ สาระสําคัญ มคี วามรูความเขาใจเกี่ยวกับปญหาและการพัฒนาทางเพศของวัยรุนในเร่ืองตาง ๆ ทั้งเพศชาย และเพศหญิง ท่ีมีปญหาที่แตกตางกันออกไปตลอดจนเรียนรูในเรื่องของกฎหมายที่เก่ียวของกับการ ลวงละเมิดทางเพศ และมีความรูในการดูแลรักษาสุขภาพของตนเองใหพนจากโรคติดตอจากการ มเี พศสัมพันธ ผลการเรียนรูที่คาดหวัง 1. เรียนรเู ก่ียวกบั การพัฒนาการทางเพศ และการดูแลสขุ ภาพของวยั รุน 2. เรียนรูเกี่ยวกบั การปองกันปญหาทีจ่ ะเกิดจากสาเหตุตา ง ๆ ของวัยรนุ 3. เรยี นรใู นเรอื่ งกฎหมายทเี่ กยี่ วของกบั การลวงละเมดิ ทางเพศ 4. เรียนรใู นเรอื่ งของโรคติดตอตาง ๆ ที่เกดิ จากการมีเพศสัมพันธ ขอบขา ยเน้อื หา เรื่องที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รุน เรื่องที่ 2 การดแู ลสขุ ภาพเบ้อื งตน ในวัยรนุ เรื่องที่ 3 การคมุ กาํ เนิด เรอ่ื งที่ 4 วธิ กี ารสรางสัมพนั ธภาพทีด่ ีระหวางคนในครอบครัว เรื่องท่ี 5 การสอ่ื สารเรอ่ื งเพศในครอบครวั เรอ่ื งที่ 6 ปญหาทเ่ี ก่ยี วขอ งกบั พัฒนาการทางเพศของวัยรนุ เรอ่ื งที่ 7 ทกั ษะการจัดการกับปญหา อารมณ และความตอ งการทางเพศของวัยรุน เรือ่ งที่ 8 หลากหลายความเชื่อที่ผดิ ในเรือ่ งเพศ เรอ่ื งท่ี 9 กฎหมายทีเ่ ก่ยี วกับการลว งละเมดิ ทางเพศ เรอ่ื งที่ 10 โรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธ
17 เรอ่ื งที่ 1 พัฒนาการทางเพศของวยั รุน วยั รุน ชวงอายรุ ะหวาง 8 - 18 ป เปนวยั ทรี่ างกายเปล่ยี นจากเดก็ ไปเปนผูใ หญ เรียกวา วัยรุน หรือ วัยเจริญพันธุ มกี ารเปลีย่ นแปลงเกิดขึน้ หลายอยา งทั้งทางรางกายและจิตใจ โดยมฮี อรโ มน เปน ตวั กระตุน การที่จะบอกใหแ นชดั ลงไปวา เดก็ ชายและเดก็ หญิงเขา สวู ยั รุนเมอื่ ใดนนั้ เปน เรือ่ งคอ นขา งยาก เพราะเดก็ ทั้งสองเพศนอกจากจะแตกเน้ือหนุมสาวไมพรอมกันแลว คนแตละคนในเพศเดียวกันก็ยังแตกเนื้อ หนมุ สาวไมพรอ มกนั อีกดวย แตพ อจะกลา วโดยท่วั ไปไดว า เด็กหญิงจะเขา สวู ยั รนุ ในอายุระหวาง 13 - 15 ป และเด็กชายจะเร่ิมเมื่ออายุ 15 ป โดยเด็กหญิงจะมีอัตราการเจริญเติบโตทางดานรางกายในชวงน้ี เร็วกวา เด็กชายประมาณ 1 - 2 ป แตท ั้งนข้ี ้ึนอยูกับลักษณะหรือแบบแผนการเจริญเตบิ โตของแตละคน ฮอรโ มนเพศ หญงิ และชายเมื่อเขา สูชวงวัยรนุ ตอมไฮโปเตลามสั (Hypothalamus) ซ่ึงเปนตอม เล็ก ๆ ในสมอง เริ่มสงสัญญาณผานตอมใตสมองพิทูอิตารี (Pituitary gland หรือ Master gland) ซึ่งเปน ตอ มไรทอ ทสี่ าํ คญั ทสี่ ดุ ของรางกาย เพราะมีหนาทผี่ ลิตฮอรโ มนท่แี ตกตา งกัน เพ่ือไปกระตุนและควบคุม การทาํ งานของอวัยวะตาง ๆ รวมถงึ อวัยวะทเ่ี กยี่ วกบั เพศ คือ รงั ไขสําหรบั ผหู ญิงในการผลิตฮอรโมนเพศ เอสโทรเจน (Estrogen) และลกู อณั ฑะสาํ หรับผูชายผลติ ฮอรโ มนเพศเทสทอสเทอโรน (Testosterone) ฮอรโ มนเอสโทรเจน และฮอรโ มนเทสทอสเทอโรน ซึ่งเปนฮอรโมนเพศน้ี ทําใหรางกายวัยรนุ เจริญเตบิ โตอยา งรวดเร็ว มไี ขมันและกลามเนื้อเพ่ิมข้ึน ตัวสูงข้ึน มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ รักแรและ สวนตาง ๆ ของรางกาย มีกล่ินตัว มีสิว ผูหญิงจะมีสะโพกผาย ตนขา หนาอกและกนใหญขึ้น และมี ประจําเดอื น สวนผูชาย เสียงจะแตกหาว ฝนเปยก และทั้งหญิงชายจะเริ่มมีความรูสึกตองการทางเพศ หรอื มีอารมณเ พศ นอกจากการเปลี่ยนแปลงทางรางกายแลว วัยรุนหญิงชายยังมีการเปล่ียนแปลงทางดานจิตใจ อารมณและความรสู ึก โดยเร่ิมมคี วามสนใจ หรอื ความรูสึกพึงพอใจเปนพิเศษตอบางคนทีอ่ าจเปนท้ังเพศ เดยี วกันและตา งเพศ วัยรุนเปนวัยที่รางกายมีความพรอมในการผลิตเซลลเพศเพ่ือการสืบพันธุ คนทั่วไปจึงตัดสิน การเขาสูวัยรุน โดยพิจารณาจากการมีประจําเดือนครั้งแรก (เด็กหญิงราว 13 ป) และการหลั่งนํ้าอสุจิ ครงั้ แรก (เด็กชายอายุประมาณ 11 ป) แตปรากฏการณท้ังสองไมคอยแนนอนนัก เชน การหล่ังนํ้าอสุจิ อาจเกดิ ชา กวาการเปล่ยี นแปลงทางรางกายดา นอนื่ ๆ สาํ หรบั การมาของประจาํ เดอื นครง้ั แรกของเด็กหญิง ก็เชน กนั การสุกของไข (ไขตก) ในบางคนอาจไมมีความสมั พนั ธก ับการมปี ระจําเดือนเสมอไป และการ ตกไขฟองแรก ๆ อาจไมทาํ ใหเกดิ ประจําเดือนกเ็ ปนได รวมทั้งการมปี ระจําเดอื นคร้ังแรกอาจเกิดขน้ึ กอน หรอื หลงั การเปล่ียนแปลงของรา งกายสว นอน่ื ๆ เมือ่ เขาสวู ยั รุนแลว ไดเ ปนเวลานาน
18 การมีประจําเดือนครัง้ แรก ขณะแรกคลอด รงั ไขของเดก็ หญิงจะมีไขทย่ี งั ไมเ จริญอยูแลวหลายพันใบ เม่ือนับจากชวงวัยรุน เปนตนไป ทุก ๆ 28 วันจะมีไข 1 ใบที่เจริญเต็มที่แลวหลุดออกมาเขาสูทอนําไข เรียกวา การตกไข ขณะเดยี วกัน เยอ่ื บุโพรงมดลกู จะมีหลอดเลือดงอกมาหลอเล้ียงมากมาย เพื่อเตรียมรับไขท่ีผสมกับอสุจิ หากไมไดรับการผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกหลุดออกมาเปนเศษเนื้อเย่ือและเลือดไหลออกมา ทางชอ งคลอด เรยี กวา ประจําเดือน อายขุ องเด็กหญิงทปี่ ระจําเดอื นมาคร้ังแรกยอมแตกตางกัน สวนมาก จะมอี ายุ 12 - 13 ป แตบางคนอาจเริ่มต้ังแตอายุ 10 ป บางคนก็ลาชาไปถึง 16 ป ซ่ึงยังไมนับวาเปนเรื่อง ผดิ ปกติ การฝน เปยก การหลงั่ นํ้าอสจุ นิ ัน้ จะเริม่ เกดิ ขนึ้ ในชว งอายปุ ระมาณ 11 ป แตก็อาจเกิดข้ึนเร็วหรือชากวานี้ดังท่ี กลาวมาแลวขางตน ขึ้นอยูกับแตละคน การฝนเปยกเปนลักษณะทางธรรมชาติของเด็กผูชาย ทแี่ ตกเน้อื หนุม เมอ่ื รา งกายผลิตนาํ้ อสจุ แิ ละเก็บสะสมไว เม่ือมีปริมาณมากเกินไป รางกายจะขับออกมา ตามกลไกธรรมชาติ มักเกิดขึ้นในชวงท่กี าํ ลงั ฝนโดยอาจนึกถงึ สงิ่ ท่กี ระตนุ อารมณทางเพศ เมื่อต่ืนข้ึนมา กพ็ บวา มขี องเหลวเปย กช้นื ตรงเปากางเกงนอน หรือเปอนบนที่นอน จึงเรียกวา “ฝนเปยก” หรืออีกกรณี การเลน ตอ สกู ับเพอ่ื นๆ อาจปลกุ เรา และกระตุน องคชาตได จะทาํ ใหน ้ําอสุจเิ ลด็ ลอดออกมาตามธรรมชาติ ทเี่ รยี กวา “การหล่ังอยางไมรูตัว” ท้ังนี้ เด็กชายแตละคนอาจมีความถ่ีในการฝนเปยกแตกตางกัน ต้ังแต ไมเ คยฝนเปยกเลยจนกระทง่ั สัปดาหละหลาย ๆ ครั้ง จึงไมควรถือเรื่องนี้เปนเรื่องความผิดปกติทางเพศ ของวัยรุนชาย น้าํ อสจุ เิ ปน ของเหลวสขี าวขุน ประกอบ ดว ยตวั อสจุ แิ ละสารคดั หล่งั จากตอ มลูกหมากและ ตอมพักตัวอสุจิ ซึง่ จะถกู ขับออกมาพรอมกนั ผานทางทอ นาํ อสจุ ิ ในน้าํ อสจุ ิเพียงหยดเดยี วจะมีสเปร ม หรอื ตวั อสจุ ปิ ระมาณ 1,500 ตวั ขณะทผี่ ชู ายถึงจุดสดุ ยอด จะหลั่งนํา้ อสุจิออกมาประมาณ 1 ชอนชา ซึ่งมีอสุจิ อยูถึง 300 ลา นตวั และเชือ้ อสจุ ิเพียงหนึง่ ตวั ก็สามารถเขาไปผสมกับไขไดเมื่อมีเพศสัมพันธแบบสอดใส วัยรุน ชายจะมีอสจุ ิทีส่ มบรู ณเ มอ่ื อายรุ าว 13 - 14 ป การจัดการอารมณเ พศ หรอื การชวยตัวเอง วัยรนุ หญิงชายตา งก็เร่ิมมีความรสู กึ หรืออารมณทางเพศเพิ่มมากข้ึนตามลําดับ (วัยรุนเปนวัยท่ีมี ความรูสกึ ทางเพศสูงสุด) การชวยตัวเอง เปนวิธีการจัดการเพ่ือผอนคลายอารมณเพศ ซ่ึงเปนเรื่องปกติ ธรรมดาของท้ังหญิงและชาย โดยการลูบคลําอวัยวะเพศของตนเองจนถึงจุดสุดยอด แตละคนอาจมี วิธกี ารแตกตา งกันไป
19 การต้งั ครรภ เกิดขนึ้ จากการมีเพศสัมพนั ธระหวา งชายและหญิง เม่ือมีการหลั่งน้าํ อสุจใิ นชองคลอด ตวั อสุจิจะ วา ยเขาไปในมดลูกจนถึงทอ นาํ ไข และพบไขของฝา ยหญงิ พอดี ก็จะเกิดการผสมระหวางอสุจิกับไขหรือ ทเ่ี รยี กวา “การปฏิสนธ”ิ แตถาไมม ีไข อสุจิจะตายไปเองภายในเวลา 2 - 3 วนั เรอ่ื งท่ี 2 การดูแลสขุ ภาพเบือ้ งตน ในวัยรนุ วธิ กี ารดแู ลผิวหนา ใหสะอาดเพอื่ ลดการมีสิว การลา งหนา ดว ยนา้ํ สะอาดเพียงอยางเดียว และซับหนาใหแหงอยางเบามือ เปนการถนอมผิวที่ ไดผ ลดี เปนวธิ ีทีแ่ พทยผวิ หนงั แนะนําใหใช เพ่ือลดการระคายเคือง แตการลางหนาดวยสบูหรือครีมลาง หนาบอ ยครง้ั ซง่ึ จะไปชะลา งไขมันทผ่ี วิ สรางขึน้ ตามธรรมชาติ เมื่อผิวแหงตึง ก็จะกระตุนใหตอมไขมัน ยง่ิ ทาํ งานมากขึน้ การทําความสะอาดอวัยวะเพศหญงิ ใหลางจากดา นหนา ไปดา นหลังดวยสบูและนํ้าสะอาด ไมจําเปนตองใชสเปรยหรือน้ํายาลางทํา ความสะอาดชอ งคลอดอีก เน่ืองจากชองคลอดมีระบบทําความสะอาดตามธรรมชาติอยูแลว บางคนใช แลวอาจเกิดอาการระคายเคืองจากสารเคมีเหลาน้ัน เพราะผิวบริเวณนั้นบอบบางมาก ระหวางมี ประจาํ เดอื น ควรเปลย่ี นผาอนามัยทกุ 2 - 3 ชั่วโมงเพอื่ ปอ งกันกลิน่ การทาํ ความสะอาดอวัยวะเพศชาย ทบ่ี รเิ วณใตหนังหุมปลายของผูชายจะมีเมือกขาวเหลืองขุนๆ เรียกวา ‘ขี้เปยก’ ซึ่งทําใหมีกล่ิน การลา งทาํ ความสะอาดอวยั วะเพศชายจึงตองดงึ หนังหุมปลายอวัยวะเพศข้ึน เพ่ือทําความสะอาดบริเวณ สวนหวั ของอวยั วะเพศ (ถาหนงั หมุ ปลายตึงเกินไป ใหคอยๆ ดึงขนึ้ ทลี ะนอ ยในระหวา งอาบน้าํ โดยใชสบู ชว ย)
20 อาการผดิ ปกติบรเิ วณอวัยวะเพศ เชน คันในชอ งคลอด ตกขาวมากจนผิดสงั เกต อวยั วะเพศมกี ลิ่นเหมน็ มาก มสี ผี ิดไปจากเดิม หรือเวลาปส สาวะแลวรสู ึกเจ็บเหมือนปส สาวะไมสดุ สามารถขอคําปรกึ ษาจากหนว ยงานทใี่ หบรกิ าร ดานสขุ ภาพวยั รนุ หรือคลิกเขาไปทคี่ ลินิกสขุ ภาพ www.teenpath.net กลน่ิ ตวั เม่ือเขาสูวัยรุน ตอมไขมันจะผลิตความมันออกมาตามรูขุมขนเพิ่มขึ้น ตอมเหง่ือก็เชนกันผลิต เหง่ือออกมามากโดยเฉพาะเวลาวงิ่ เลน เดินเร็วในอากาศรอน เหงื่อออกมาจากรูเปดของตอมเหง่ือซึ่งอยู ไมหางจากรูเปดขุมขนมากนัก เม่ือทั้งความมันและน้ําเหง่ือไหลซึมออกมาจากรูเปดบนผิวพรรณสัก ระยะเวลาหน่ึง และมีสภาพแวดลอมท่ีอับช้ืนนานพอเหมาะ บรรดาเชื้อจุลินทรียตางๆ ที่อาศัยอยูตาม ธรรมชาตบิ นผิวพรรณเรากจ็ ะพากันเจรญิ เติบโตแพรพ ันธุออกมาจํานวนมาก พรอมทั้งสงกลิ่นเหม็นอับ ออกมาเปนกล่นิ ตวั แรง ๆ นอกจากน้ัน อาหารประเภท เครือ่ งเทศ กระเทียม ทุเรียน ซึ่งเปนอาหารท่ีมีกลิ่นแรง อาจระเหย ออกมาจากลมหายใจ ขับถายออกมาทางตอมเหงื่อ ตอมไขมัน ตอมกลิ่น หรือเปนบอเกิดในการสราง สารประกอบมีกล่ินไดแลว จึงปลดปลอยออกมาทางชองระบายของรางกายไดอีกทอดหนึ่ง รวมท้ัง รองเทาหมุ สน รองเทาผาใบ ลว นเปน บอ เกดิ ของกลิน่ เหม็นอบั ไดเชนกัน วิธกี ารทาํ ความสะอาดดวยการอาบน้ํา ฟอกสบูทุกคร้ังท่ีมีเหงื่อออกมาก โดยเฉพาะผูที่มีผิวมัน ตองหมัน่ สระผม ถรู กั แรซ ่งึ เปนจดุ อบั ทม่ี กั สง กลน่ิ รนุ แรงเสมอดวยสารสม เปนวธิ ีพน้ื บานทีไ่ ดผ ลดี เรอ่ื งท่ี 3 การคมุ กาํ เนิด การแสวงหาขอมลู เก่ียวกับวธิ กี ารคุมกาํ เนิด ถอื เปนการแสดงความรับผิดชอบท้ังตอตัวเองและ คนทีเ่ รามคี วามสมั พนั ธด วย มคี นจาํ นวนมากยังเช่ือวาเร่ืองเพศเปนเรื่องนาอาย ทําใหไมกลาหาความรู ในเรอ่ื งนี้อยา งเปด เผย จงึ สงผลใหข าดความรู หรอื มีความเชื่อที่ผิด ๆ จนสงผลตอสุขภาพทางเพศ ท้ังท่ี การมีขอมูลถูกตอง รอบดานและเพียงพอในเร่ืองเพศจะชวยใหทุกคนมีทางเลือกท่ีเหมาะสมท่ีสุดกับ
21 เงื่อนไขของตนเองเมอ่ื ตองตดั สนิ ใจในเร่ืองเพศ เชน การส่ือสารกับคู/คนรอบขาง การมีเพศสัมพันธที่ ปลอดภัย ฯลฯ วธิ ีการคมุ กําเนดิ แบบตา งๆ ถงุ ยางอนามัย มีหลายขนาด ควรเลือกขนาดทีเ่ หมาะสมกับอวัยวะเพศ ควรดวู ันผลติ หรือวันหมดอายกุ อ น การใช ใชส วมเมื่ออวยั วะเพศแข็งตวั โดยใหบีบปลายถุงยางอนามัยเพ่ือไลล มขณะสวม เร่มิ สวมจากตรง ปลายอวัยวะเพศรดู เขา หาตัว แลวรูดใหส ุดโคนอวยั วะเพศ เมอื่ เสรจ็ กิจ ใหถ อดถงุ ยางอนามัยขณะท่ีอวยั วะเพศยงั แขง็ ตวั โดยจับที่ขอบถุงยางและคอยๆ รูด ออก หากปลอ ยใหอ วยั วะเพศออ นตัวในชอ งคลอดอาจทาํ ใหถ งุ ยางอนามยั หลดุ ได ในขณะน้ี ถุงยางอนามัยเปนวิธีคุมกําเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพในการคุมกําเนิดและ สามารถปอ งกนั การติดเชื้อเอชไอวี รวมท้ังโรคตดิ ตอทางเพศสัมพันธอ ื่นๆ เชน เริม หูดหงอนไก หนองใน ซิฟลิส แผลรมิ ออน ไปพรอมกนั ได ยาเมด็ คมุ กาํ เนดิ ทั่วไป • ยาคุมกาํ เนิดชนดิ เมด็ มี 2 แบบคอื แบบ 21 เมด็ และแบบ 28 เมด็ ซง่ึ มีประสิทธิภาพไมแตกตาง กนั • ยาคุมชนดิ 28 เม็ด เม็ดยาทเ่ี พม่ิ ขึ้นมา 7 เม็ดเปนวิตามนิ ทชี่ ว ยใหกนิ ยาตอเนือ่ งโดยไมลืม • วิธีการกินยาคุมแผงแรก ใหเริ่มกินเม็ดแรกภายใน 5 วันแรกของการมีประจําเดือน แลวกิน ตดิ ตอกนั ทกุ วัน วันละ 1 เมด็ จนหมดแผง • สําหรับยาคมุ 21 เมด็ เมอ่ื กินหมดแผง ใหเ วนไป 7 วันแลวจึงเริ่มแผงใหม สวนยาคุม 28 เม็ด ใหกนิ แผงใหมติดตอ ไปไดเลย • ออกฤทธค์ิ ุมกําเนดิ โดย 1) ยบั ยง้ั ไมใหมีการเจรญิ เตบิ โตของไข และปองกนั ไขตก 2) ทาํ ให เยือ่ บุโพรงมดลูกบางลงไมเหมาะแกก ารฝงตวั ของตวั ออ น 3) ทาํ ใหม ูกที่ปากมดลูกเหนยี วขน ไมเหมาะแกการใหอ สุจิเคล่อื นผานเขา ไปในโพรงมดลูก 4) เปลี่ยนแปลงการเคล่ือนไหวของ ทอนาํ ไข ทําใหไ ขท่ีผสมแลว เดินทางไปถงึ มดลกู เร็วเกินไปจนไมสามารถฝงตวั ได • ถา ลมื กิน 1 วนั ใหกิน 2 เมด็ ในวนั ถัดไป
22 • ถาลืมกิน 2 วัน ใหก นิ 2 เม็ดในวนั ทส่ี าม และอกี 2 เม็ดในวันท่ี 4 • ถา ลืมกนิ 3 วนั ขึ้นไป ควรหยุดกนิ ยาคุมแผงน้ันไปเลย และใชว ิธคี มุ กําเนิดชนิดอนื่ ไปกอ น เชน ใชถงุ ยาง แลวจงึ เริม่ กินแผงใหมในการมีประจําเดือนรอบถัดไป • หากเร่ิมกินเปนคร้ังแรก ตองกินไป 14 วัน แลวจึงจะมีผลตอการปองกันการต้ังครรภ หากมี เพศสมั พนั ธใ นชวงเวลาดงั กลาว ควรใชถุงยางอนามัยควบคูไ ปดวย • แมผหู ญงิ จะเปน คนกินยาคมุ แตผ ูช ายควรมสี วนรวมในการชวยเตอื นใหก ินยาตอเนือ่ ง ยาเมด็ คุมกาํ เนดิ แบบฉกุ เฉนิ • ตอ งกิน 2 เม็ด จึงมปี ระสิทธิภาพในการคมุ กําเนดิ • เม็ดแรก กินทันทีหรือภายใน 72 ชั่วโมง (สามวัน) หลังการมีเพศสัมพันธ ประสิทธิภาพจะ ขึ้นกับเวลาทกี่ ินภายหลังการมีเพศสัมพันธ หากกนิ ไดเร็วเทาไร ความสามารถในการปองกัน การตัง้ ครรภก จ็ ะสงู ขึน้ เทานัน้ เม็ดที่สอง กินหา งจากเมด็ แรก 12 ช่วั โมง • หากกนิ ถูกวธิ ี มีประสทิ ธภิ าพปอ งกันการต้ังครรภ 75% • การกินยาคมุ ฉกุ เฉนิ มีประสทิ ธิภาพตาํ่ กวา วธิ ีคุมกําเนิดแบบปกตทิ ว่ั ๆ ไป ดังนนั้ ควรใชใ นกรณี ฉกุ เฉนิ เทา นนั้ ไมค วรใชเ ปนวิธีการคุมกําเนดิ ประจํา การนบั ระยะปลอดภยั หรอื นบั หนา 7 หลัง 7 เปนวิธีคุมกําเนดิ แบบธรรมชาติ วธิ ีนี้ใชไ ดผลเฉพาะผูหญงิ ทม่ี รี อบเดือนมาสม่ําเสมอเทาน้ัน ซ่ึง ไมเ หมาะกบั วัยรุน ซึง่ รางกายยังอยูในชวงฮอรโมนเพศปรับตัว อาจมรี อบเดือนไมส มํ่าเสมอ การนับหนาเจ็ดหลังเจ็ด ใหใช “วันแรก” ของการมีประจําเดือน นับเปนวันท่ี 1 หนาเจ็ดคือ นับยอนข้ึนไปใหครบเจ็ดวัน สวนหลังเจ็ด ใหนับตอจากวันแรกที่มีประจําเดือนไปใหครบ 7 วัน ดังตัวอยา ง
23 12 3 4 5 6 7 89 10 11 12 13 14 21 ระยะหนา เจ็ด วันแรกของ ระยะหลังเจด็ การมปี ระจาํ เดอื น 15 16 17 18 19 20 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 การหลัง่ ขา งนอก การหลัง่ ขา งนอก เปนวธิ ีการคมุ กาํ เนดิ แบบธรรมชาติ ไดผ ลไมแนน อน เพราะขณะที่สอดใส ฝายชายจะมีน้ําคัดหลงั่ จํานวนหนึ่งออกมากอ น ซง่ึ จะมอี สุจปิ ะปนอยูดวย ตวั อสุจนิ น้ั สามารถวา ยไป ผสมกบั ไข การตั้งครรภจงึ เกดิ ข้ึนไดก อ นผชู ายจะหลงั่ น้ําอสุจิภายนอกเสยี อกี
24 นอกจากน้นั การหล่งั ภายนอกยังเปนวธิ กี ารทข่ี ึ้นอยูก ับฝา ยชาย โดยทฝี่ า ยหญิงไมส ามารถ ควบคุมไดเลย o การกินยาคมุ กําเนิดชนดิ เมด็ ยาคมุ กาํ เนดิ แบบฉกุ เฉนิ การนับวนั และการหลั่ง ขา งนอก ลว นเปน วิธคี มุ กําเนิดทไ่ี มสามารถปอ งกนั การติดเชอื้ เอชไอวี และเชอ้ื โรคติดตอ ทางเพศสัมพนั ธ o ถุงยางอนามัย เปนวิธเี ดียวที่ชวยปอ งกนั การตงั้ ครรภ ปองกนั การติดเช้ือเอชไอวี และเชื้อโรคตดิ ตอ ทางเพศสัมพันธ เรือ่ งที่ 4 วธิ ีการสรางสัมพันธภาพที่ดรี ะหวา งคนในครอบครวั ครอบครวั หมายถึง กลุม คนต้ังแต 2 คนขึน้ ไปมาเกยี่ วพนั กนั และสืบสายเลือด ไดแก พอ แม ลูก และอาจมญี าติ หรือไมใชญ าตมิ าอาศัยอยูดว ยกัน ซ่งึ ถอื เปนสมาชกิ ครอบครัว เชนกัน มีความรัก มีความ ผูกพนั ซ่งึ กันและกัน ครอบครัวมหี นา ทีห่ ลอหลอม ขดั เกลาสมาชิกในครอบครัว ใหเปนคนดี รูระเบียบและกฎเกณฑ ของสังคม อีกท้ังยังสรางความเปนตัวตนของทุกคน เชน ลักษณะนิสัย ความคิด ความเชื่อ ความสนใจ เปน ตน การสรา งสัมพนั ธภาพในครอบครวั ความขัดแยงระหวางพอแมและลูกเปนเร่ืองที่เกิดข้ึนเสมอ เพราะความแตกตางของวัยและ ประสบการณ ความหวงใยของพอ แมที่ปรากฏผานการวากลาว ตกั เตือน หา มปราม ใหความรสู ึกไมไ วใจ และกงั วลเกินความจาํ เปน ตอลูกโดยเฉพาะลกู ท่ีอยใู นวยั รนุ เปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากพอ แมใ ชประสบการณข องตนมาคาดเดาถงึ ผลท่ีอาจเกิดขึ้นเม่ือเห็น การกระทาํ ของลกู การตําหนิจึงมกั มาพรอมกับทา ทีขนุ เคอื ง โมโห บน ทําใหดเู หมอื นวาพอแมชอบใช อารมณ ไมใ ชเหตผุ ล ไมคอ ยยอมรับส่งิ ทีเ่ ปน อยขู องลกู วยั รุน ความตอ งการของตวั เองเปน ทตี่ ั้ง ไมพยายามเขา ใจอกี ฝา ยหนงึ่ วา ตองการอะไร ยอ มทาํ ใหเกิด ความขัดแยงกัน การหาทางออกจึงตองเริ่มจากตัวเองกอนในการเปดใจมองหาความหมายที่อีกฝาย พยายามส่อื สารผานการกระทําซึ่งเราอาจไมชอบใจ การเขาใจความหมายที่แทจริงจะชวยใหเกิดการ สอ่ื สารระหวา งกัน ไมตดิ กบั อารมณแ ละทา ทขี องกันและกนั
25 การเรียนรูถึงความแตกตางของวัยและประสบการณของทั้งสองฝาย จะชวยสรางความเขาใจ ลดขอขดั แยง และส่ือสารกันไดม ากขน้ึ ปจ จยั ท่ชี วยสง เสริมใหมสี มั พันธภาพทด่ี ีตอ กนั ไดแก การชมเชยหรอื ชืน่ ชมอยา งเหมาะสม การติเพ่อื กอ การแกไขความขดั แยงในเชิงสรางสรรค การชมเชยหรอื ช่ืนชม คนสวนใหญไ มวาจะอยใู นครอบครัวหรืออยูในสงั คมภายนอกครอบครัว มักจะไมค อยช่ืนชม หรือชมเชยกนั พอแมส ว นใหญเ ช่ือวาถา ชมลูกบอยๆ เดก็ จะเหลิง อาจกลายเปน คนไมดีได ทาํ ใหพ อ แม ไมชมเมื่อลกู กระทําสิง่ ท่ีดหี รือมีพฤติกรรมในลักษณะท่ีเปน สิ่งทพี่ อแมต องการ จึงทาํ ใหเด็กขาดกําลงั ใจ ขาดนาํ้ หลอ เล้ยี งจติ ใจ คนเราโดยทว่ั ไปตอ งการคาํ ชมเชย โดยการชมเชยทจี่ ะสรางเสริมสมั พันธภาพใหด คี วรมีลกั ษณะ ดังน้ี ชมพฤติกรรมท่ีเพิ่งเกดิ ขึ้นใหมๆ การชมควรเนนทีพ่ ฤตกิ รรมที่ทําไดด ี และชมทลี ะ 1 พฤติกรรม บอกความรูสกึ ของเราตอพฤตกิ รรมนนั้ อยา งจริงใจ ชมเฉพาะส่งิ ทค่ี วรชม ไมช มมากเกนิ กวา ความเปน จรงิ ตัวอยา ง เชน ลกู บอกกบั แมว า “วนั นี้ แมทาํ กับขา วอรอยมาก ทาํ ใหก นิ ไดม าก ลูกรูสกึ มีความสขุ ภูมิใจที่มีแม ทํากบั ขา วอรอย” แมบอกกับลูกวา “วันน้ี แมรูสึกภูมิใจท่ีลูกชวยลางชามในตอนเย็นไดสะอาดเรียบรอยดีมาก โดยทแี่ มไมตองเรียกใหทํา” การตเิ พื่อกอ คนสวนใหญ ไมชอบฟงคําติ การติติงท่ีไมเหมาะสม มักจะทําใหเกิดผลเสียหายตามมา เชน เกดิ การทะเลาะกันได แตก ารติในเชิงสรา งสรรคก ็มปี ระโยชน และสามารถเสริมสรา งสัมพันธภาพท่ีดีได โดยมีลักษณะดังน้ี ตอ งแนใจวา เขาสนใจทจ่ี ะรบั ฟง คําติ และพรอมที่จะรบั ฟง
26 เรอื่ งทีจ่ ะติ ตอ งเปน เรือ่ งทีเ่ พิ่งเกดิ ขึ้น ไมใ ชเ กิดขึน้ เมือ่ นานมาแลว สิ่งทีจ่ ะติ ตองเปน สง่ิ ท่เี ปลยี่ นแปลงได พูดถึงพฤตกิ รรมที่ตใิ หช ัดเจน เปน รปู ธรรม บอกทางแกไขไวด ว ย เชน ควรทําอยา งไรใหด ขี นึ้ รกั ษาหนาของผรู บั คําตเิ สมอ เชน ไมสมควรตติ อ หนาคนอนื่ เลือกเวลาและจงั หวะทีเ่ หมาะสม เชน ผรู ับคําติมีอารมณส งบหรอื แจมใส ไมตใิ นชวงทมี่ ี อารมณโกรธ ตัวอยา งเชน หากพอ หรอื แมตอ งการติลกู วยั รนุ ในเร่ืองการคยุ โทรศัพทนาน ควรเลอื กเวลาทลี่ กู มี อารมณสงบ พรอ มท่จี ะรับฟง และพูดตใิ นเชิงสรางสรรคว า “วันนีล้ กู คยุ โทรศพั ทก ับเพือ่ นมานาน 2 ชว่ั โมงแลว แมคดิ วาลกู ควรหยดุ คุยโทรศัพทไดแ ลว และหันมาทาํ การบาน อานหนังสือ แลวเขา นอน จะดกี วา ไหม” การแกไ ขความขดั แยง ในเชงิ สรางสรรค หนทางในการแกไ ขปญ หา เมอ่ื เกิดความขดั แยง ในครอบครวั คือ การสอื่ สารทด่ี ี ซง่ึ ตองอาศยั ทกั ษะและความสามารถ ดังตอ ไปนี้ แสดงความปรารถนาอยางแนว แนท่จี ะรว มกนั รกั ษาความสัมพนั ธทด่ี ตี อกนั ไว มงุ มน่ั เชิงสรา งสรรค เปนไปในทางการปรกึ ษากัน ใหค วามสําคญั และตง้ั ใจฟง ความคิดเห็นของอกี ฝา ยหนง่ึ แสดงความคดิ เหน็ ของเราใหช ดั เจนและสอ่ื สารใหอีกฝา ยหนง่ึ ไดร ับทราบ ไมถ อื วา การยอมรบั ความคดิ เหน็ ของผอู ื่นเปน เรือ่ งแพหรอื เปนเรอ่ื งที่เสยี หาย ยอมรบั ฟง ความคดิ เหน็ ของกนั และกนั หลกี เล่ยี งการใชอารมณ ขู คกุ คาม ด้ือรนั้ ชว ยกนั เลือกหาทางออกทีย่ อมรบั ไดท ัง้ 2 ฝา ย ตัวอยางการแกไขความขดั แยงระหวา งคูส มรส คสู มรสทง้ั 2 คนจะตองเปดใจรบั ฟงกันกอนโดยการพูดทีละคน และรับฟงกันโดยพูดใหจบ ประโยคหรอื จบประเดน็ ทลี ะคน และรบั ฟงใหเขาใจวา อีกคนตงั้ ใจจะสือ่ อะไรใหทราบ
27 ถา ฝายหนง่ึ พูดแทรกในขณะทอี่ ีกคนพูดไมจบประเด็น ก็จะทาํ ใหสอื่ สารกันไมได ถาคนหนึ่งหรือทงั้ 2 คน โกรธ โมโห ขม ขู กจ็ ะย่ิงทาํ ใหไมส ามารถแกไขความขดั แยงได ตอง หลกี เล่ยี งการใชอ ารมณ พยายามพูดคุยกันดวยอารมณที่สงบ และต้ังใจฟงความคิดเห็นของ อกี ฝา ยหนึง่ ทายที่สุด ชวยกนั เลือกหรอื ตดั สนิ ใจมองหาทางออกท่ีทัง้ คยู อมรบั ได เร่อื งท่ี 5 การสือ่ สารเรื่องเพศในครอบครัว พอแมที่มีลูกกําลังเปนวัยรุน ลวนพบปญหาเดียวกันคือ “พูดกับลูกไมคอยจะรูเร่ือง คุยกันได แปบ ๆ กข็ ดั คอกนั ทะเลาะกนั แลว” ชว งเวลาแหงการเชื่อฟง ไมวาพอแมพูดอะไร ลูกก็ เออ ออ หอหมก ไปดวยไดหมดไปแลวเม่ือลูกยางเขาสูวัยที่กําลังจะเร่ิมเปนหนุมเปนสาว และย่ิงยากมากขึ้นเมื่อหัวขอ ของการพูดคุยเกีย่ วกับความประพฤตทิ ีพ่ อแมเ ปนหวง เพราะลูกกําลังจะเปน หนมุ เปน สาวน่ีเอง เพราะไมเคยมีใครสอนเราซึ่งเปนพอแมมากอนวาตองคุยกับลูกยังไง ดังนั้น เม่ือเกิดความ ไมสบายใจ กังวลใจกับพฤตกิ รรมของลูก เราจึงมักเลือกวิธีเดียวกับที่พอแมปฏิบัติกับเราเมื่อเราเปนเด็ก คอื เงียบ บน หรอื ดาวา ซึง่ วธิ ีการเหลานั้นเปนการสรางกาํ แพงระหวางเรากับลกู ใหยิ่งสูงขึ้น และยากตอ การปนปา ยขาม โดยเฉพาะเมอื่ เปน เรอ่ื งเพศ ซ่ึงเปนเรื่องท่ีหลายครอบครัวไมเคยเอยปากสนทนาเมื่ออยู ดวยกันพรอมหนา ลองเรม่ิ ตน จากการตอบคําถามตวั เองกอ น การกอบกชู วงเวลาดี ๆ ท่ีเคยมีเมื่อตอนลูกยังเปนเด็กเล็ก ๆ ใหกลับมาแมลูกจะเขาสูวัยรุนแลว เปนเรื่องท่ีทําได แตตองอาศัยการฝกฝน ทําบอย ๆ และแมจะยากเพียงใด ก็เปนเรื่องที่พอแมควรตอง เรียนรู ตองฝกการพูดคุยกับลูกดวยทาทีท่ีแสดงใหลูกเห็นถึงความรัก ความหวงใย และสรางความ ไววางใจ เพราะผลดจี ะตกอยูท ีล่ กู ของเรา เมือ่ ความสัมพันธใ นครอบครัวดีข้ึน กอนจะเริ่มตน คุยกับลูก ลองทบทวน ถามตวั เองในใจวา มเี รอ่ื งอะไรบา งทเ่ี ราพูดไดอยางสบายใจ มเี รอ่ื งอะไรทเ่ี หน็ ๆ อยูตาํ ตา แตไมเ คยพูดเลย มเี ร่ืองอะไรท่ีเปนความลับสุดยอดของครอบครัว ซึ่งตองปดไว ไมสามารถเปดเผยไดจริงๆ เพราะจะสง ผลกระทบถึงสมาชกิ ในครอบครัว มีความลับอะไรในครอบครัวท่เี ก่ียวของกับเรอ่ื งศาสนา
28 มีศีลธรรม จริยธรรมขอ ไหนบางที่เราไดแตพ ูด แตทําตามไมได การตอบคําถามเหลานี้ คือการเรมิ่ ตนทจี่ ะทาํ การสํารวจและทําความเขาใจกับกฎกติกาความคิด ความเชื่อของครอบครวั เราที่มีตอ เรอ่ื งตาง ๆ ทําใหเรารวู าทาํ ไมเราถึงคิดและประพฤตเิ ชน น้นั และจะชวย เตอื นเราวา มีหลายเรอื่ งอาจไมส อดคลองกบั ครอบครวั ของเราหรือกบั ของคนอืน่ เราจงึ ควรเปดใจกวา งขนึ้ ซง่ึ การเปด ใจยอมรบั ประสบการณใ หม ๆ คอื จุดเริม่ ตน ของการส่อื สารทไี่ ดผ ล เม่อื สื่อสารเรื่องเพศกบั ลกู สิ่งทตี่ อ งระวัง ลองพยายามทาํ สงิ่ น้ี ไมควรหลีกเลยี่ ง บา ยเบ่ยี ง - ตั้งใจฟงคําถามลูก และฉวยโอกาสพูดคุยโดยยกตัวอยางจาก หรอื เปลีย่ นเรื่องคุย สถานการณตาง ๆ ในขณะน้ัน เชน ระหวางดูโฆษณา ละครทีวี เดนิ เลน ในหา ง นงั่ รถ ฯลฯ - ใหคําตอบส้ัน ๆ ถายังไมสะดวกใจจะคุย เชน อยูในที่สาธารณะ หรืออยูในชวงเวลาที่ยงั ไมเ หมาะสมวา “เด๋ียวเราคอยคุยเรื่องน้ีกัน ทีบ่ า น” หรอื “รอใหแม/ พอวา งกอนนะ เดย๋ี วจะคยุ ใหฟง ” ไมควรไลใ หไปถามพอ - บอกลูกไปตรง ๆ วา “ไมรู แตจะลองไปหาคําตอบให” หรือชวน หรือ ถามแมแ ทน ลูกใหชวยกนั หาคาํ ตอบวา เพราะอะไร - หากคุณลาํ บากใจ อายท่จี ะพดู กค็ วรใหล กู รบั รูว า “แมกระดากปาก ยงั ไมก ลาพูด ขอเวลาหนอย แลว จะตอบ” ไมค วรหวั เราะ ลอ เลยี น หรอื การหัวเราะหรือลอเลียนคําถามของเด็กในเรื่องเพศ จะทําใหลูกเกิด แสดงใหลูกเหน็ วา คาํ ถามของ ความสับสน และกังวลใจ สง ผลใหใ นอนาคตเม่ือลกู เกิดปญหาในเร่ือง ลกู เปน เรอ่ื งตลก เพศ ลูกจะไมส ามารถตดั สินใจไดวา ควรทําอยา งไร สิ่งที่ควรทํา คือ การสนับสนุน หรือแสดงออกทั้งนํ้าเสียง กริยา วาจา ในทางทที่ ําใหล กู รวู าเมอ่ื ไหรท ่ีมคี าํ ถามในเร่ืองเพศ ใหมาปรึกษาหรือ ถามกบั พอ แมไ ดเสมอ
29 สิ่งที่ตอ งระวัง ลองพยายามทาํ สิง่ นี้ ไมควรใชน ้ําเสยี งตําหนิ หา ม เปดใจรับฟง แสดงใหลูกเห็นวา พอ แมมีความสนใจเร่อื งตา งๆ ท่ี ปรามเม่ือไดยินคาํ ถามที่แสดง เกยี่ วของกับเรือ่ งเพศ และเหน็ วา เปน เร่ืองธรรมชาติ ไมใ ชเ รอ่ื งผิดปกติ ความอยากรูอยากเหน็ ในเรอื่ ง เพศของลูก ใชคําเรียกอวัยวะตางๆ ทีเ่ กย่ี วขอ งกบั เร่อื งเพศทีถ่ ูกตอ งตามความเปน ไมควรใชค ําเรยี กอวยั วะตา งๆ จริง ดวยนํ้าเสียงดูถูก ติเตียน ไมควรใหลกู ฟง ขอมูลตางๆ การพดู คุยเรอ่ื งเพศกบั ลกู ตองเลือกใชคําศัพทท่ีสอดคลองกับวยั ของลกู มากมายในคราวเดยี ว ไมใชศัพทท ี่ยากเกินกวา ลกู จะเขา ใจ เชน การตอบคาํ ถามวา เด็กเกดิ มา จากไหน กบั เดก็ วยั 5 ป ตอ งใชการอธบิ ายทต่ี างจากการตอบคําถามแก เด็กวยั 8 ป และ 11 ป เร่ืองที่ 6 ปญ หาทเ่ี กี่ยวขอ งกับพัฒนาการทางเพศของวยั รุน เมื่อรางกายเจริญเติบโตเขาสูวัยรุน หญิงและชายมีการเปลี่ยนแปลงหลายดานท้ังทางรางกาย จติ ใจ สงั คม และพฒั นาการทางเพศ ซ่ึงเปนพฒั นาการตามธรรมชาตขิ องมนษุ ย การเปลย่ี นแปลงที่สําคัญ คือในผูชายมีการฝนเปยก และในผูหญิงมีประจําเดือน ซ่ึงหมายถึงภาวะท่ีนําไปสูการตั้งครรภได พัฒนาการทางรางกายน้ีมีความจําเปนที่แตละบุคคลตองดูแลสุขอนามัยสวนบุคคล และเขาใจกลไก การสบื พันธุของรางกายเพือ่ ท่จี ะดํารงอยูไดอ ยา งมสี ขุ ภาวะท่ีดี ประจาํ เดอื น การตัง้ ครรภ และการแทง ผูหญิงมปี ระจาํ เดอื นไดอยา งไร การมีประจําเดือน หรือระดู (Menstruation) เปนกระบวนการทางธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนในสตรี โดยรังไขจะผลิตไขขึ้นมาทุกเดือน เมื่อไขสุกรางกายเตรียมพรอม เพื่อรองรับไขท่ีอาจถูกผสมโดยเช้ือ อสุจิของฝายชาย โดยผนังมดลูกจะเกิดการเปล่ียนแปลง ถาไมมีการผสมระหวางไขและเช้ืออสุจิของ
30 ฝายชาย ผนงั มดลกู จะลอกหลดุ ออกมาเปนเลือด ที่เรียกวา “ประจําเดือน” กระบวนการท้ังหมดกินเวลา ประมาณ 28 วัน หรือคลาดเคล่ือนมากหรือนอยกวา 7 วัน และมักจะมีครั้งละ 3 – 7 วัน จํานวนเลือด ท่อี อกมาในแตละเดอื นประมาณ 30 – 80 มลิ ลลิ ิตร เมื่อรางกายของผูหญิงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเด็กหญิงเขาสูวัยสาว นอกเหนือจากการ เปล่ียนแปลงทางสรรี ะภายนอกแลว การเปลี่ยนแปลงที่สําคัญอีกอยางหนึ่งคือ การมีประจําเดือนนั่นเอง เด็กผูหญิงจะเริ่มมีประจําเดือนครั้งแรกในอายุราว 11 – 15 ป การมีประจําเดือนคร้ังแรกจะชาหรือเร็ว ขึ้นกับพัฒนาการของสมอง กรรมพันธุ และสุขภาพกายและใจของคน ๆ น้ัน ในชวงปแรก ๆ ที่มี ประจําเดอื นใหม ๆ และในวยั ใกลห มดประจําเดือน รอบเดือนมักจะไมสม่ําเสมอและบางเดือนอาจไมมี การตกไข และโดยเฉลยี่ แลววยั หมดประจําเดอื นจะเกิดขนึ้ เมอ่ื มีอายุประมาณ 45 – 50 ป ซึ่งเปนเวลาที่รัง ไขหยุดสรางไขอ อกมา วงจรการเกิดประจําเดือน การตกไข ชว งประมาณก่ึงกลางของรอบเดือน ตอมใตสมองจะหล่ังฮอรโมนออกมาตัวหนึ่ง ซึ่งมีผล ทําใหร งั ไขปลดปลอ ยไขอ อกมาเพือ่ รอการผสม หลงั จากตกไข หลังจากไขตก ก็จะเคลื่อนไปตามทอนําไขไปสูมดลูก ขณะเดียวกัน รังไขก็เร่ิมผลิตฮอรโมน เพ่ือทาํ ใหผ นังมดลูกเร่มิ สรา งตวั ใหหนาขน้ึ ขณะเดยี วกันก็มีเลอื ดมาหลอเลยี้ งมดลูกมากข้ึน และพรอมที่ จะรองรบั ไขท อ่ี าจถูกผสม ระหวางมีประจําเดอื น เม่อื ไขเดินทางมาถึงมดลูก และไมไดรับการผสม ซึ่งอาจเปนเพราะไมไดมีเพศสัมพันธ หรือมี เพศสัมพันธโดยมีการปองกันการตั้งครรภ ระดับฮอรโมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรนจะลดลง อยางรวดเร็ว ทําใหผนังมดลูกหลุดลอกออกกลายเปนประจําเดือน โดยปกติผูหญิงจะมีประจําเดือน อยใู นชวง 3 - 5 วัน หลังจากหมดประจําเดือน หลงั จากหมดประจาํ เดอื น ฮอรโ มนจากตอ มใตส มองในกระแสเลอื ด ก็เริ่มกระตุน ใหไ ขในรงั ไข เจริญขึน้ ขณะเดียวกัน ฮอรโ มนจากรงั ไขก ็เร่มิ กระตุนการสรา งตัวของผนังมดลูก
31 ลกั ษณะของประจาํ เดือนทป่ี กติ ลักษณะของประจําเดือนปกติคือเลือดที่ออกจากชองคลอดอยางสมํ่าเสมอ ทุก 28 วัน 7 วัน ประจาํ เดอื นท่ีออกมา ประกอบดว ยนาํ้ เมือกจากปากมดลูก นํ้าชองคลอด น้ําเมือกและช้ินสวนของเยื่อบุ มดลูก และเลือด ซ่งึ สว นประกอบเหลานีเ้ ห็นไมชดั เจนเพราะสขี องเลือด ประจําเดือนท่ีปกติมีสีคล้ํา ไมมี เลือดกอน ไมมีกลิ่น จนกระทั่งมีแบคทีเรียและมีการสัมผัสอากาศภายนอกชองคลอด จึงทําใหมีกล่ิน เกิดขน้ึ ปกตจิ ะมาประมาณ 3 - 7 วนั หากผิดไปจากนอี้ าจถอื วา ผดิ ปกติ ปญหาและอาการที่มักเกิดขึ้นในชว งมีประจําเดือน กอนหนาท่ีจะมีประจาํ เดอื น ในชว งระหวา งที่มกี ารตกของไข สว นมากผหู ญงิ จะมอี าการทีบ่ งบอกลว งหนา กอน บางคนอาจมี อาการปวดถวงบรเิ วณทอ งนอย หรือปวดหลงั อาจปวดมากหรือนอยแตกตางกันไป อาจมีอาการรวมของ ทองเสีย และรสู กึ คล่นื ไส มบี างรายอาจปวดศีรษะเพิ่มเขามาอกี อยางหนง่ึ ในชว งแรก กอนประจําเดือนมา มักมอี าการตกขาว และมอี าการเจ็บคดั เตา นมรวมดวยก็ได ในระหวางน้ี ผูหญิงหลายรายจะมีความรูสึก ไมสบายใจ ซึมเศรา หรือหงุดหงิด รําคาญใจไดงาย ซึ่งถือเปนเร่ืองปกติธรรมดา และอาการอยางน้ี จะหายไปไดเองเมื่อประจําเดือนออกมาแลว ตามสถิติพบวา อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นใสชวงอายุ 18 – 24 ปแลว ก็จะทุเลาลง อาการปวดประจาํ เดือนจะหายไปไดภายหลังหญิงนั้นต้ังครรภและคลอดบุตร ซ่งึ เชอ่ื วา เปน เพราะปากมดลูกทถ่ี างขยาย มผี ลใหเกดิ การทาํ ลายปลายประสาทท่ีอยูบรเิ วณดงั กลา ว วิธกี ารบําบดั อาการอาการปวดทอ งปวดเกรง็ สามารถทําไดด วยวิธีงาย ๆ คือ การประคบบริเวณ หนาทอ งดวยการใชก ระเปา น้ํารอน และนอนพักเพื่อทุเลาอาการ หรืออาจรับประทานยาระงับปวดชนิด ธรรมดา หรือใหยาชวยคลายการหดเกร็งของกลามเน้ือมดลูก นอกจากนี้ควรออกกําลังอยางสม่ําเสมอ จะชวยปองกันมใิ หป ญ หาการปวดทองประจําเดือนรุนแรงไดดว ย อาการปวดประจําเดือนอีกประเภทหน่ึงที่อาจไมปกติท่ีผูหญิงควรระวัง สวนใหญอาการ จะเกิดข้ึนภายหลังจากหญิงนั้นมีประจําเดือนเปนเวลานานหลายป เชน อาการของโรคภายใน ชองเชิงกราน ซึ่งเกิดจากภาวะการติดเชื้อในอุงเชิงกรานชนิดเรื้อรัง ทําใหมีผังผืดยึดอวัยวะใน ชอ งเชงิ กรานไวด วยกัน หรือภาวะเยื่อบุผนังโพรงมดลูกเจริญผิดที่ในอุงเชิงกราน หรือเพราะมีเนื้องอก ของกลามเน้ือผนังมดลูก นอกจากนี้การใสหวงคุมกําเนิดก็เปนสาเหตุที่พบบอย ในภาวะเหลานี้จะมี อาการปวดประจําเดือนแตกตางกันไป เชน ยังคงปวดทองแมประจําเดือนหยุดไปแลวหลายวัน หรือมี
32 อาการปวดทวีขึ้นอยา งมากในแตละวงจรรอบประจําเดือนตามกาลเวลาที่ผานไป หรือบางคร้ังอาจรูสึก หรือคลํากอนท่ีทอ งนอยไดเ อง หากมีอาการเหลา นี้ควรรบี ปรกึ ษาแพทยเ พือ่ การวนิ ิจฉยั ท่ีถกู ตอ ง ประจําเดือนไมม า ตามปกติ ประจําเดือนจะมาคร้ังแรกเม่ืออายุระหวาง 11–15 ป ชาหรือเร็วแตกตางกันไปบาง หากประจาํ เดือนไมม าเม่ือถงึ เวลา หรือวยั ที่ควรจะตองมี ถือวามคี วามผิดปกติ สาเหตทุ ่ปี ระจาํ เดือนไมม า เกดิ ขึน้ ไดดังนคี้ ือ 1. ไมม ีมดลกู 2. ไมม ีรังไข 3. ไมม ีชอ งคลอดโดยกําเนดิ 4. มรี งั ไขแตเ กดิ ความผิดปกตขิ องรังไข 5. เยอื่ พรหมจารีไมเ ปด 6. เกดิ ความผิดปกตขิ องชอ งคลอด 7. เกิดความผดิ ปกตขิ องมดลกู บางรายอาจมปี ระจําเดือนขาดหายไป กค็ วรตองพิจารณาสาเหตุความผิดปกติท่ีเกิดข้ึน หากเกิด ขาดหายไปโดยไมทราบสาเหตุ ควรรีบปรึกษาแพทยทันที สาเหตุของประจําเดือนขาดหายไปอาจเกิด จากสาเหตุเชน 1. เกดิ การตัง้ ครรภ 2. ใชย าคุมกาํ เนดิ เชน ยาฉีดคุมกาํ เนิด 3. หลังการคลอดบุตรหรอื กาํ ลงั ใหน ้าํ นมบตุ รอยู 4. เกิดอาการเครียดทางจิตใจมาก 5. ไดรบั การผา ตัดเอามดลูกออก หรือรงั ไขออกทัง้ สองขางแลว ทัศนคตแิ ละความเช่ือเกยี่ วกบั ประจาํ เดอื น ประสบการณของผูหญิงเกี่ยวกับประจําเดือน มิใชเพียงเปนแคสวนหนึ่งของชีวิต ท่ีเปนเร่ือง ของธรรมชาติ หากแตย งั สะทอ นใหเ ห็นถงึ อทิ ธิพลความเชอ่ื ศาสนาและวัฒนธรรมในสังคมที่มากําหนด วิธกี ารปฏิบัตติ อ ภาวะการมีประจาํ เดอื นของผหู ญงิ อันสะทอ นใหเ ห็นถึงความคิดและทัศนคติของสังคม
33 ที่ มีตอ ผหู ญงิ และโดยมากมกั เปนทัศนะในดา นลบมากกวาดานบวก ดงั เชน การหามผหู ญงิ เขาสูพธิ กี รรม ทางศาสนา หรอื หามหญิงสงั สรรคก ับผอู น่ื หากหญงิ น้นั อยใู นชว งมปี ระจาํ เดือน เปน ตน นอกจากน้ี อทิ ธพิ ลความเช่ือบางอยางมผี ลตอ การปฏิบัติตัวในระหวางมีประจําเดือนของผูหญิง เชน ความเช่ือในการงดเวนการออกกําลังกาย การอาบนํ้าหรือสระผม หรือไมมีเพศสัมพันธระหวางน้ี ขอเท็จจริงในเรื่องเหลานี้ไมปรากฏชัด บางเร่ืองก็พอสามารถหาเหตุผลได และบางเรื่องก็ไมมีเหตุผล ท่ีชัดเจน ดังเชน การหามการมีเพศสัมพันธขณะมีประจําเดือน ซ่ึงในทางการแพทยไมมีขอหามใดๆ แตไมเปน ทน่ี ิยม กเ็ พราะเลอื ดประจําเดอื นจะออกมาเลอะเทอะ และท่ีสําคัญก็คือโอกาสจะมีการอักเสบ ติดเชื้อไดงายข้ึน เพราะปากมดลูกเปดออกเล็กนอย และในมดลูกจะมีแผลเนื่องจากมีการลอกหลุดของ เยือ่ บุมดลูก การตัง้ ครรภ การต้ังครรภเกิดจากการปฏิสนธิ หรือการผสมของไข กับตัวอสุจิของฝายชาย ในชวงกึ่งกลาง ของรอบประจําเดอื น ซ่ึงเปนระยะท่ีฝา ยหญิงมีไขสกุ เมื่อไขและอสุจิผสมกันแลว ไขท่ีไดรับการผสม จะเดินทางมาฝงตัวบนเยื่อมดลูกซ่ึงหนาข้ึน แลวแบงตัวออกเร่ือยๆ กลายเปนเด็กตัวเล็กๆ จนอายุครบ 9 เดือนจึงคลอดออกมา ขณะท่ีต้ังครรภแม และลกู มกี ารเช่อื มโยงกนั ของเลอื ดผานทางรก เม่ือเริ่มต้ังครรภผูห ญิงจะมอี าการตางๆ ท่ีสังเกตไดดงั นี้ ประจาํ เดอื นขาด ประจําเดือนทีเ่ คยมมี าสม่าํ เสมอทกุ เดอื น จะหายไปไมม าอกี เลยตลอดระยะเวลาตง้ั ครรภ ประมาณ 38 - 40 สปั ดาห อาการคลน่ื ไส อาเจียน วิงเวียนศรี ษะ มักจะมอี าการในสามเดอื นแรก อาการเหลาน้ีมกั เปนในตอนเชา ซึง่ เราเรียกวา แพทอ ง นัน่ เอง เตา นมคัด หัวนมและอวยั วะเพศจะมสี คี ลาํ้ ลง มกั พบในครรภแรก บางครั้งอาจมนี ํ้านมเหลอื ง ออกมาเมอ่ื บบี หวั นม เด็กด้นิ
34 ในครรภแ รก จะรสู ีกวา เดก็ เริ่มดน้ิ เม่อื อายุครรภป ระมาณ 20 สัปดาห สว นในครรภหลัง จะเร่ิมดิน้ เมือ่ อายุครรภป ระมาณ 16 สัปดาห ถา เด็กท่เี คยดนิ้ อยแู ลวดน้ิ นอยลง ตอ งรีบไปพบ แพทย ปส สาวะบอ ย เนื่องจากมดลูกโตขนึ้ และไปกดทับกระเพาะปสสาวะ แตถ าปสสาวะบอยขึน้ มอี าการ แสบขัด หรือปสสาวะขนุ ตอ งรีบไปพบแพทย มอี ารมณห งดุ หงิด การตรวจการตง้ั ครรภ หากผูห ญิงเราไมแ นใจวา ตัง้ ครรภหรอื ไม สามารถตรวจสอบไดทีค่ ลินกิ สถานพยาบาลทง้ั ของรฐั และเอกชน หรือสามารถซื้อชุดตรวจการตั้งครรภไดตามรานขายยาทั่วไป ซึ่งเปนการตรวจหาฮอรโมน ในปสสาวะ เปนวิธีท่ีงาย สะดวก และประหยัด ซ่ึงผลการตรวจจะคอนขางแมนยําสําหรับผูหญิงที่อายุ ครรภประมาณ 27 วันหลงั ปฏสิ นธิ ขอควรปฏบิ ัตกิ อ นการทดสอบการตงั้ ครรภเ อง เพอ่ื เพ่ิมประสิทธภิ าพการตั้งครรภ คือ 1. งดนา้ํ หรอื เครอื่ งดืม่ ใด ๆ ต้ังแตสองทมุ และถายปสสาวะใหหมดกอ นเขา นอนของคนื กอนทจ่ี ะ เก็บปส สาวะ 2. เกบ็ ปส สาวะ ครงั้ แรกท่ีถายปสสาวะเมื่อต่นื นอนในตอนเชา ลงในภาชนะทส่ี ะอาด 3. ไมควรรบั ประทานยาใด ๆ ท้ังสิน้ ใน 48 ชวั่ โมงกอ นเกบ็ ปส สาวะ 4. ในกรณที ี่ยงั ไมท ดสอบทนั ที ควรเกบ็ ปสสาวะใสชอ งเก็บอาหารปกติของตูเยน็ เพราะฮอรโ มน ท่ีขับออกมาในปสสาวะของผหู ญิงตั้งครรภ จะเสอ่ื มสลายในอุณหภมู ิหอง อะไรคอื ทอ งนอกมดลกู ทอ งนอกมดลกู คอื การฝงตวั นอกโพรงมดลกู ของไขที่ถกู ผสมซ่งึ จะเจรญิ ตอ ไปเปนรกและทารก แตตําแหนงที่ไขฝงตัวกลับอยูผิดท่ี ตําแหนงที่เกิดข้ึนบอยคือในทอนําไข แตอาจมีบางรายเกิดขึ้นที่คอ มดลกู ชองทอง รังไขและตาํ แหนง อน่ื ๆ ไดด ว ย สาเหตุสาํ คัญของการเกดิ ทอ งนอกมดลกู คอื กลไกการ นําไขเ สยี ไป โดยรทู อ นาํ ไขผดิ ปกติ ทาํ ใหไขท ี่ผสมแลว ไมส ามารถเคล่ือนผานไปไดสะดวก มักมีสาเหตุ มาจากการอักเสบติดเช้ือ เช้ือที่สําคัญคือหนองใน ซ่ึงกอใหเกิดความผิดปกติของเยื่อบุผนังทอนําไข
35 โดยตรง นอกจากน้กี ารอักเสบหรือพยาธิสภาพเรื้อรังของชองเชิงกราน ก็ทําใหเกิดพังผืดท่ียึดทอนําไข มใิ หเคลอ่ื นไหวไดส ะดวก ทําใหก ารเคลื่อนยา ยไขท ่ีผสมใหเ ดินทางสมู ดลูกไมไ ดตามกาํ หนด อาการที่เกิดข้ึน คือประจําเดือนจะขาดไปชวงหน่ึง แตมักไมมีอาการแพทองเดนชัด เม่ือ ภาวะวกิ ฤตดังกลาวเกดิ ข้นึ กจ็ ะทาํ ใหม อี าการปวดทองเฉยี บพลันทีท่ องนอ ยขางใดขา งหน่ึงอยูตลอดเวลา แลวรูสึกหนามืด ใจส่ัน หรือเปนลม อาจมีเลือดออกทางชองคลอดกะปริบกะปรอยรวมดวยหรือไมมี กไ็ ด ในบางราย เลือดที่ตกในชองทองมีจํานวนมาก ก็จะไประคายกะบังลมที่ก้ันระหวางชองปอดและ ชองทอง ทําใหมีอาการเจ็บปวดที่หัวไหลขางขวาได ผูปวยจะซีดมาก กระสับกระสาย เหงื่อออก สติสัมปชัญญะเลือนราง มีอาการรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นช็อกได หากนําสงโรงพยาบาลไมทัน อาจอันตรายถงึ ชวี ิตได เพราะรา งกายขาดเลือด ในสตรที ีท่ าํ หมนั แลว กอ็ าจเกดิ อบุ ัติเหตุของการตั้งครรภนอกมดลูกไดแมวาโอกาสเสี่ยงมีนอย มาก สาเหตเุ กิดจากทอ นําไขท ่ถี ูกผูกตัดออกไปแลวบางสวนจากการผาตัดกลับเช่ือมกันไดใหม หรือมีรู เปดถงึ กนั ไดใหม เปน เหตใุ หต ง้ั ครรภได ตามสถิตพิ บวา เกิดขน้ึ นอยกวา 1 ใน 1,000 ราย และในจาํ นวนน้ี เปนการทองนอกมดลูกสวนหนงึ่ หากเปรยี บเทียบอัตราสวนกับการต้ังครรภปกติแลว พบวาเปอรเซ็นต การตงั้ ครรภน อกมดลกู เกดิ ขึ้นสงู ในหญิงที่ทอ งภายหลังการทาํ หมนั แลว การระมัดระวังมิใหเกิดการอักเสบในชองเชิงกราน และมิใหเกิดโรคติดตอทางเพศสัมพันธ จึงเปน การปอ งกันมิใหเ กิดการทองนอกมดลูกได หากรสู กึ มผี ิดขาวผดิ ปกติ หรอื ปส สาวะแสบขัด อยาน่ิง นอนใจ ควรไปใหแพทยตรวจเพื่อการรักษาในระยะแรกเร่ิม เพราะอาการโรคติดตอทางเพศสัมพันธ ทส่ี าํ คญั โดยเฉพาะหนองในในผหู ญงิ น้นั จะไมม อี าการเดนชัดเทา อาการในเพศชาย อาการปกตริ ะหวา งต้งั ครรภ การดูแล การปอ งกันและขอปฏิบตั ิในการบรรเทาอาการ อาการ การดแู ล /ลดอาการ/ปอ งกัน คลืน่ ไส กินอาหารคร้ังละนอย แตบ อ ยครงั้ หลกี เลย่ี งอาหาร บวม มันๆ พักผอ นใหเพยี งพอ ทาํ จติ ใจใหส ดชนื่ ยกขาใหส งู ระหวางวนั เวลานอนใหต ะแคงซาย
36 เลือกรองเทา ไมร ดั รูปและไมสงู ตะครวิ ทเ่ี ทา เวลาเปน ใหนอนหงายเหยยี ดเทา ตรง และเหยยี ด ปลายหัวแมเทาขึน้ หม่ันนวดทน่ี อง และระวงั อยาใหเ ทา เย็นจดั ออนเพลีย เหนอื่ ยงา ย หนามดื เปน อยาเปลยี่ นอิรยิ าบถโดยกะทนั หนั พกั ผอ นใหเพียงพอ ลม เวยี นศรี ษะ เบ่ืออาหาร ปวดแสบบริเวณลน้ิ ป ไมท านอาหารใหอม่ิ เกนิ ไป แตท านใหบ อ ยครั้งขน้ึ ปวดหลัง นอนในทาศรี ษะสูง ทองผูก ด่มื นมและนํ้ามากๆ ไมค วรดืม่ น้าํ อัดลม ทาํ งาน ออกกาํ ลงั กายเบาๆ ตกขาว น่ังหลังตรง และยืนตวั ตรง นอนตะแคงโดยกอดหมอนขาง ด่มื นํา้ มากๆ อยา งนอ ยวนั ละ 10 แกว ออกกาํ ลงั กายเบาๆ ถายอจุ จาระใหเปนเวลา รบั ประทานผกั ผลไม และอาหารท่มี เี สน ใยเพิ่มขึ้น ในชว งตัง้ ทองอาจมอี าการตกขาวมากกวาปกติมี สีขาวปนเทาหรือเหลอื งออ น แตไมม ีกล่ิน และไมคัน ซึง่ เปนเรอื่ งปกติ ใหด แู ลความสะอาดโดยการลา งดว ย นํ้าสบูออน ๆ ท่ีอวัยวะเพศภายนอกก็เพียงพอ ไมจ าํ เปนตอ งใชน้ํายาฆาเชื้อโรค การแทง การแทง หมายถึง การสิ้นสดุ ของการต้งั ครรภในระยะกอนที่เด็กจะเตบิ โตพอทีจ่ ะมีชวี ติ รอดได โดยมีอายคุ รรภนอยกวา 28 สัปดาห และ/หรือ นาํ้ หนักเดก็ นอ ยกวา 1,000 กรมั
37 ชนดิ ของการแทง การแทงแบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คือ 1. แทงทีเ่ กดิ ข้นึ เอง คือ การแทงบุตรทเี่ กดิ ขึ้น โดยไมม กี ารใชย า เครอ่ื งมอื หรอื วธิ ีการใด ๆ ทัง้ ส้ิน 2. แทง ท่เี กดิ จากการกระทํา แบงออกไดเ ปน 2 ชนิด คอื 2.1 การทําแทงเพอ่ื การรกั ษา 2.2 การทาํ แทงที่ผิดกฎหมาย สาเหตุของการแทงทเ่ี กดิ ขนึ้ เอง ความผิดปกตขิ องตัวออน ซ่ึงอาจเกดิ จากความผดิ ปกตขิ องตัวออนเอง ซึง่ พบบอยถึงรอ ยละ 60 ความผดิ ปกตใิ นตวั มารดา ซงึ่ อาจเกดิ จากความผดิ ปกติของมดลูกการอกั เสบ ติดเชื้อ เชน ซิฟล สิ ซึง่ อาจจะทําใหแ ทง ได นอกจากน้ยี ังมสี าเหตุตา ง ๆ อีกมากมาย บางสาเหตุก็ไมส ามารถรักษา หรอื ปองกนั ได บางสาเหตุ ก็สามารถปอ งกันได เพราะฉะน้ัน ผูที่เคยแทงควรจะตองไปพบแพทยเพ่ือตรวจหาสาเหตุ และปองกัน กอ นทจ่ี ะต้ังครรภในครงั้ ตอไป เพราะอาจจะเกิดการแทงซ้ําได และขณะตั้งครรภควรจะตองระมัดระวัง เปนพเิ ศษ และอยใู นความดแู ลของแพทย อาการของการแทงทเ่ี กดิ ขน้ึ เอง โดยท่ัวไป หญิงมีครรภเมื่อจะแทงลูก จะเริ่มตนดวยอาการเลือดออกกะปริบกะปรอยทาง ชองคลอด ซึ่งเปนเลือดท่ีออกจากโพรงมดลูก เรียกการแทงอยูในระยะคุกคาม อาจรวมกับอาการปวด ทองนอยท่ีบริเวณตรงกลางเหนอื หัวเหนา จากน้ันมดลกู เรม่ิ บบี รดั ตวั เมื่อการแทงลุกลามมากข้ึน จนการ ต้งั ครรภไ มอ าจดาํ เนินตอไปได เลอื ดกจ็ ะออกมากขึ้น อาการปวดทองจะรุนแรงข้ึน สุดทายมดลูกจะหด ตัวบบี ไลตัวออนหรือทารกและรกออกมา ซึ่งอาจหลดุ ออกมาจากโพรงมดลกู ไดท ั้งหมด เรียกวาแทงครบ โดยมากการแทงออกมาครบเชนนีจ้ ะเกดิ ในชว งอายคุ รรภท อ่ี อ นเดอื นมาก ๆ คือไมเกนิ 8 สปั ดาหหลังจาก วันแรกของการมีประจําเดือนครั้งสุดทาย ถาอายุครรภมากกวาน้ี สิ่งท่ีแทงออกมาอาจจะไมครบหมด ทกุ อยาง สว นใหญ มีเพียงแตท ารกและกอนเลือด แตรกยังคงคางอยู เพราะย่ิงอายุครรภมาก รกจะเจริญ มากข้นึ ทําใหไ มหลดุ ออกจากโพรงมดลกู ไดง าย ๆ การแทงเชนนี้ถือวาเปนแทงไมครบ มีผลตอสุขภาพ ของผูหญิงคือทําใหผูหญิงตกเลือดไดอยางมากจนเปนอันตรายตอชีวิต การบําบัดคือการขูดมดลูก เพือ่ เอารกสวนทีเ่ หลือออกใหห มด
38 ขอปฏบิ ัตแิ ละการปอ งกนั การแทง ทเี่ กดิ ข้นึ เอง 1. เมื่อรูวา ตนเองประจาํ เดอื นขาด หรอื สงสัยวา จะต้ังครรภ ควรมาพบแพทยต งั้ แตเนน่ิ ๆ และมาพบ ทกุ ครัง้ ตามนดั 2. บอกประวัตกิ ารเจบ็ ปว ยในอดีต และโรคทางกรรมพันธุ เชน ธาลสั ซีเมีย เบาหวาน ความดนั โลหติ สูง ใหแกแพทยท ราบ 3. ถาตั้งครรภเมื่ออายมุ าก (35 ปข ้นึ ไป) ควรรบี มาพบแพทย 4. ถา เคยมีการแทงมากอ น ตองแจงใหแ พทยทราบ 5. ในระหวา งต้งั ครรภ ถาเกดิ อาการผดิ ปกติ เชน เลือดออก ตอ งรบี มาพบแพทยโ ดยดว น แมว า จะยงั ไมถงึ เวลานดั 6. รบั ประทานยาบาํ รุงท่ีแพทยใ หอ ยา งสมา่ํ เสมอ 7. หลกี เลีย่ งการมเี พศสัมพนั ธใ นขณะท่ีมี เลือด หรือ นํ้าใส ๆ ไหลออกมาทางชอ งคลอด 8. ควรตัง้ ครรภในระยะหา งกนั อยา งนอย 2 ป 9. ควรหลกี เล่ียง ของมนึ เมา เคร่ืองดม่ื ผสมคาเฟอนี และสิ่งเสพติด การแทงทเ่ี กดิ จากการกระทาํ ตามกฎหมายไทย การทําแทง เปนการกระทาํ ผิดกฎหมาย แตกฎหมายมขี อยกเวน ใหมีการทําแทง ไดบางประการ ซึ่งจะตองเปนการกระทําของแพทยและมีขอบงชี้ขัดเจน เชน อันตรายตอสุขภาพของ มารดา หรอื หญิงตงั้ ครรภเพราะถูกขมขืน เปนตน นอกเหนือจากกรณีเหลาน้ี การทําแทงถือเปนการผิด กฎหมายทั้งสิ้น สาเหตุของการทําแทงสวนใหญของผูหญิงไทยมาจากการต้ังครรภไมพึงประสงค เคยมี ผูศึกษาวิจัยสาเหตุและกลุมอายุของผูทําแทง พบวา วัยรุนมีการต้ังครรภไมพึงประสงคคอนขางสูง โดยมีตนเหตุมาจากการไมใชวิธีคุมกําเนิดปองกันเม่ือมีเพศสัมพันธ แตก็เปนท่ีสังเกตพบวา ในกลุม ผูใหญ หญิงที่แตงงานแลวก็พบมีการไปทําแทงในสัดสวนท่ีไมนอย ซ่ึงมีสาเหตุสวนใหญมาจาก ความลม เหลวจากการใชว ิธคี มุ กําเนิด ยังมีผูหญิงจํานวนมากท่ีไมมีความรูความเขาใจเพียงพอเกี่ยวกับผลกระทบท่ีตามมาจากการ ทาํ แทง ที่ผดิ กฎหมาย ซึง่ นอกจากเปนอนั ตรายตอชวี ติ อยางมาก โดยเฉพาะอยางยงิ่ ในรายท่ีอายุครรภมาก ย่ิงอันตรายมาก อาการแทรกซอ นท่พี บไดบอยจากการทําแทงที่ผิดกฎหมาย ที่อาจมีทั้งอาการแทรกซอน ในระยะสนั้ และระยะยาวตอ ชวี ติ ของหญิงคนน้นั เชน
39 การตกเลอื ด อาจมีเลอื ดออกมากผดิ ปกติ ถาไมไ ดร ับเลือดทดแทน หรือชวยเหลือได ทนั ทวงทีกอ็ าจถงึ แกช ีวิตได มดลกู ทะลุ อาจจะตอ งตดั มดลูกทงิ้ มดลกู แตก จะตอ งตดั มดลกู ทงิ้ ทาํ ใหห มดโอกาสท่จี ะมีลูกไดอีก การอกั เสบตดิ เชอ้ื อันเกิดจากกระบวนการทําแทง ท่ีใชเ คร่อื งมอื ที่ไมส ะอาดปราศจาก ความระมดั ระวังในมาตรการการปองกันการแพรเชื้อโรค ทําใหเกิดการอักเสบติดเชื้อจากการ ขดู มดลกู ซงึ่ สง ผลตามมาในปญหาสขุ ภาพอ่นื ๆ ทาํ ใหส ิ้นเปลืองคา ใชจา ยในการรกั ษา เน่อื งจาก เช้ือทก่ี อ ใหเ กิดการอกั เสบมกั เปน แบคทีเรยี ทม่ี อี านภุ าพในการกระจายเชอ้ื ไดรุนแรงมาก จึงตอง ใชก ารรักษาเปนเวลานาน หากไมห ายขาดก็จะทาํ ใหเกิดการติดเชื้ออกั เสบเรื้อรังในอวัยวะอุงเชิง กราน และหากรักษาหายขาดจากการอักเสบแลว ผูหญิงคนนั้นก็อาจมีการปญหาดานการมีบุตร ยากตอไปได เร่อื งท่ี 7 ทักษะการจดั การกับปญ หา อารมณแ ละความตองการทางเพศของวัยรนุ เพศสัมพันธเปนเรื่องของความรับผิดชอบตอตนเอง เคารพความรูสึกของคูของตน ไตรตรอง วิเคราะหถึงผลดี ผลเสีย และเปนสิทธิสวนบุคคลท่ีจะตัดสินใจ แตตองไมสรางปญหาภาระแกผูอื่น ภายหลัง และเม่ือมีความผิดพลาดเกิดขึ้นก็เปนเรื่องที่จะแกไขและหาทางออกท่ีเหมาะสมตอไป และ กอนท่ีจะคิดถึงการมีเพศสัมพันธ ตองแสวงหาความรูเก่ียวกับเร่ืองเพศสัมพันธ และสุขภาพอนามัย ทเี่ กย่ี วของกับเพศสัมพันธ เพื่อจะไดปลอดภัย ไมเกิดการต้ังครรภที่ไมตองการ และไมเกิดการติดโรค รวมทง้ั ปญ หาอนื่ ๆ ทางดานจิตใจ ท่จี ะตามมา สิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจมีเพศสัมพันธ จึงมีทั้งดานบวกและดานลบ การวิเคราะหถึงผล ที่จะตามมาลวงหนา จะชวยใหเราสามารถเตรียมการ และคิดวิธีการปองกันและ/หรือหลีกเล่ียงไมให ตวั เองและคนที่เกี่ยวของตองเผชิญกับปญหาท่ีอาจตามมา ดังน้ัน เม่ือคิดและคาดการณไดลวงหนาวา สิง่ ทต่ี ัวเองตองการและไมตองการใหเกดิ ขน้ึ คอื อะไร กส็ ามารถใชเปน เหตผุ ลประกอบการตัดสินใจวาจะ ทําหรือไมทํา เพราะผลที่เกิดขึ้น เปน เรอื่ งทีเ่ ราจะตองเผชิญและรบั ผิดชอบดว ยตวั ของเราเอง การเรียนรูทจ่ี ะประเมินสถานการณ หรอื การคาดเดาไดวา อะไรบา งที่จะนาํ ไปสกู ารมเี พศสมั พนั ธ ของตนเอง เราพรอ มที่จะเผชญิ สถานการณนน้ั หรือไมอยางไร การคาดการณและตอบตัวเองไดชัดเจน
40 จะชวยใหเราควบคุม จัดการ และแกไขสถานการณไดดีกวาการไมไดเตรียมตัว ซึ่งอาจสงผลตอส่ิงท่ี ตามมาทีไ่ มพงึ ประสงค เชน การตั้งครรภท ไี่ มพ รอ มและความเส่ียงตอ การตดิ เชอื้ เอชไอวี เปน ตน เชนเดียวกับการเรียนรูและฝกฝนทักษะการยืนยันความตองการและการตอรองเพื่อใหบรรลุ ความตอ งการของท้ังสองฝายเปนเร่ืองสาํ คญั การเรยี นรูน ้ดี ําเนินไปตลอดชีวิต การเผชิญกับความรูสึกผิด อารมณโกรธ หว่นั เกรงกับความรูส ึกของผอู ่ืนท่ีมตี อ ตนเองหรอื รูสึกวาตนเองดอยคา เปนประสบการณ รวมของทกุ คน การเริม่ ตนและฝกฝนในชีวิตประจาํ วันจะชว ยใหเราทําไดดีข้ึนและจะนําไปสูการพัฒนา ความสัมพนั ธข องท้งั ฝายใหแ นน แฟนย่ิงขึ้น การเรียนรูความตองการของตัวเอง และสิ่งที่อาจมีอิทธิพลตอความคิด และการตัดสินใจของ ตัวเองเปนเรือ่ งสําคัญของวัยรนุ เพราะในสถานการณหลายอยางที่วัยรุนเผชิญ การเขาใจความตองการ ของตัวเองอยางชัดเจนจะชวยใหวัยรุนสามารถส่ือสาร ตอรอง หรือปฏิเสธเพื่อใหเปนไปตามความ ตอ งการของตนเองได นอกจากน้ัน การเรียนรูเทคนิคการชักชวน จะทําใหเห็นวา คนสวนใหญมีวิธีการหลายอยาง ในการโนม นา วใจ หรอื ชกั จูงคนอ่ืนใหค ลอ ยตาม ท้ังนี้ อาจทาํ ไปโดยไมสนใจความตองการของอีกฝาย และไมเ คารพในการตัดสินใจที่แตกตา งไปจากส่งิ ทีต่ ัวเองตอ งการ การเรียนรู ยอมรับ และเคารพความ คดิ เหน็ ที่แตกตา งของบุคคลเปนพื้นฐานสาํ คัญในการสรา งสมั พนั ธภาพและการอยูรว มกนั เสน ทางความคิดเพอื่ ตดั สนิ ใจ 1. เรอ่ื งทตี่ อ งตดั สนิ ใจคืออะไร เรอื่ ง................................................................................. 2. ทางเลือกท่ีมีอยูม อี ะไรบา ง ทางเลอื กที่ 1 ทางเลอื กที่ 2 ทางเลือกท่ี 3 ทางเลือกอนื่ ๆ คดิ ตอ...มที างเลอื กอน่ื อกี ไหม
41 3. คดิ ถงึ ผลทีต่ ามมาของแตละทางเลอื ก วา จะเกดิ อะไรขนึ้ ถา เราเลอื ก ผลบวก ผลลบ มคี วามเสย่ี งอะไรบา ง? ความเส่ยี งนัน้ มีโอกาสที่จะเกิดข้นึ มากแคไ หน? ถาเกิดขึน้ แลว เราจัดการ/รับไดหรือไม? จะลดความเสีย่ งของทางเลือกทเี่ ราอยากเลอื ก ไดอยา งไร? 4. ความตองการที่แทจรงิ ของเราคอื เรารวู าคนอนื่ อยากใหเราทําอะไร แลว เรารูไ หมวา เราอยากทําอะไรท่ีเปนความตอ งการทแี่ ทจ รงิ ของตัวเราเอง 5. ตดั สินใจ ทางเลือก 1. ..................................................................................................... 2. ..................................................................................................... ฉันเปนแบบไหน บุคลกิ 3 แบบ ในเรื่องการกลาแสดงความคดิ เหน็ ความตอ งการและการตอบสนองความตอ งการของ ตัวเอง 1. “ฉันจะเอาแบบน้ี ฉันไมสนใจวาเธออยากเลอื กแบบไหน” (Aggressive) คนบุคลิกนี้ไมคอยสนใจความตองการของผูอื่น กลาแสดงออก กลาทําเพ่ือใหไดตามที่ ตอ งการ
42 ไมช อบใหข ดั ใจ คนทีไ่ มคอยสนใจความตองการของผูอ่ืนเปนคนที่รูวาตัวเองตองการอะไรและเดินหนา เพ่อื ใหไดม า การไดตามทีต่ อ งการเปนเร่อื งสําคัญจงึ ทาํ ใหเปนคนท่ีไมให ความสนใจ กบั ผลทเี่ กิดกับผอู ่ืนมากนัก มักทาํ ใหเ พอ่ื นอดึ อดั ใจ 2.“ฉนั รเู ธออยากไดอะไร และฉันเลอื กไดว าฉนั จะทําอะไร” (Assertive) คนบคุ ลกิ น้ี จะยอมรบั ในสิทธแิ ละความตอ งการของผูอ ื่น รูจกั ปกปอ งสทิ ธแิ ละตอบสนอง ความตองการของตวั เอง กลา ถามและกลาบอก คนท่ยี อมรับในสิทธแิ ละความตองการของผอู น่ื ขณะเดียวกันกร็ ูจกั ปกปองสิทธแิ ละ ตอบสนองความตองการของตวั เอง เปน ผูท่ีมคี วามสขุ และสรา งสัมพันธภาพท่ียง่ั ยืนได 3. “สาํ หรับฉนั อะไรกไ็ ด” (Passive) คนบุคลกิ น้ี มกั คลอยตามผูอ นื่ ไมค อ ยกลาแสดงความตองการและความรูสกึ ของตวั เอง โดยเฉพาะเรื่องท่ีตองขดั ใจผอู น่ื ปฏิเสธไมเปน ไมค อ ยกลาบอก คนท่มี ักคลอ ยตามผูอ่ืนเปน คนที่ไปกบั เพือ่ นไดดี ไมมคี วามขดั แยง ไมค อยแสดง ความตองการและความรสู กึ ออกมาโดยเฉพาะเรอื่ งทีต่ องขดั ใจผูอ นื่ เมอ่ื อยูใ นสถานการณ อยากปฏิเสธจึงยากที่จะบอกยนื ยันความตองการของตวั เอง การบอกยนื ยนั ความตองการ ทบทวนเร่ือง + บอกความรสู ึก + ระบคุ วามตองการ ตวั อยา ง: สถานการณค ยุ กนั จนดึก แฟนขอนอนคางท่ีหอ ง ทบทวน “เรอ่ื ง” คือ คําชกั ชวนหรอื คาํ ขอรอง ทางเลอื กทเ่ี พอ่ื นหยบิ ยนื่ ให : (แฟนขออยคู า ง)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153