Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พหุปัญญา.pdf

พหุปัญญา.pdf

Published by Guset User, 2021-12-19 11:28:27

Description: พหุปัญญา.pdf

Search

Read the Text Version

46 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ กจิ กรรมตา่ งๆ อยา่ งมเี ป้า มาย คิดอยา่ งมเี ตผุ ล และตอ้ งจดั ใ ้เ มาะ มกบั ค ามแตก ต่างระ า่ งบคุ คล เพอ่ื ใ ้พัฒนาค าม ามารถทาง ตปิ ญั ญาของบุคคลในการปรับตั ใ เ้ ขา้ กบั ง่ิ แ ดล้อม และ ังคมได้อยา่ งมีประ ิทธิ าพ พ ปุ ัญญาขา้ งต้นของ การด์ เนอร์ ปจั จุบนั แบ่งได้ 9 ดา้ น และมอี ยู่ในตั เราทุก คน แตค่ นเราจะมดี ้านที่เดน่ บางดา้ น ในขณะที่บางดา้ นด้อยก า่ แต่ ามารถพัฒนาได้ ซึง่ ามารถกลา่ ไดด้ ังนี้ ทฤ ฎีพ ปุ ัญญา แรกเรม่ิ นนั้ โ เ ิร์ด การด์ เนอร์ คดิ ไ ้ 7 ดา้ น ได้แก่ . ค �ม ล�ดท�งด้�นภ�ษ� ค าม ามารถใน การเข้าใจค าม มายและการใช้ า า การพูดและการเขยี น การเรียนรู้ า าการใช้ า า ือ่ ารใ ้ไดผ้ ลตามเปา้ มาย ือ่ อารมณ์ค ามรู้ ึกใ ค้ นอ่นื เข้าใจได้ดเี ช่น ก ี นกั เขียน นกั พูด และนกั กฎ มาย เป็นต้น . ค �ม ล�ดท�งด้�นตรรกะ ค าม ามารถทางดา้ นคณิต า ตร์และเรอื่ งของเ ตผุ ล คิด เิ คราะ ใ์ นเชงิ ทิ ยา า ตร์ เช่น นัก ทิ ยา า ตร์ และนกั คณติ า ตร์ เป็นต้น . ค �ม ล�ดท�งด�้ นดนตรี ค าม ามารถในการ เขา้ ใจและ ร้าง รรค์ดนตรี เข้าใจจัง ะเชน่ นกั แตง่ เพลง นกั ดนตรี และนกั เต้น เปน็ ต้น . ค �ม ล�ดท�งด้�นมติ ิ ค าม ามารถในการ รา้ ง าพในจินตนาการและนำามา ร้าง รรคเ์ ปน็ ผลงาน เช่น จติ รกร ประติมากร ถาปนิก และดีไซเนอร์ เปน็ ตน้ . ค �ม ล�ดท�งด้�นก�รเคล่อน ห ร�่ งก�ย ค าม ามารถในการใช้รา่ งกายเคลื่อนไ อย่าง ร้าง รรค์ เชน่ นกั เตน้ นกั กี า และนกั แ ดง เปน็ ต้น . ค �ม ล�ด นก�รเปน ้น�ำ ค าม ามารถ ในการเขา้ ใจค ามรู้ ึกนกึ คิดของผอู้ น่ื ามารถจูงใจผู้อื่นเชน่ นักการเมอื ง ผู้นำาทาง า นา ครู นกั การ กึ า นกั ขาย นิ คา้ และนักโ ณา เป็นต้น

ท ษ พี ุปญญา ( e r ti e nte i en e ) 47 . ค �ม ล�ดภ�ย นตน ค าม ามารถใน การเขา้ อกเข้าใจค ามรู้ ึก ายในของผู้คน เช่น นกั เขยี นผใู้ ค้ ำาปรึก า และจิตแพทย์ เปน็ ตน้ ตอ่ มา การ์ดเนอร์ ได้เพ่มิ ค าม ลาดอีก 2 ดา้ น คือ . ค �ม ล�ดท�งด�้ นธรรมช�ติ ค าม ามารถ ในการเรียนร้เู ร่ืองธรรมชาติ พืช ตั ์ ธรณี ิทยา และ ิง่ แ ดล้อม เชน่ นกั อนุรัก ์ และ นกั าำ ร จ เป็นตน้ . ค �ม ล�ด นก�รคิด คร่คร ชอบคิด ง ัยใคร่รู้ตั้งคำาถามกับตั เองในเรื่องค ามเป็นไปของชี ิต ชี ิต ลังค ามตาย เรื่อง เ นอื จรงิ มิตลิ กึ ลบั เช่น อริ โตเตลิ ขงจ้อื ไอน์ ไตน์ พลาโต และโ เครติ เป็นต้น การด์ เนอรเ์ คยคดิ จะนาำ ค าม ลาดทางดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม เพม่ิ เขา้ ไปด้ ย แตย่ งั ไมเ่ ปน็ ท่ี รปุ แนน่ อน ซง่ึ ถกู คดิ คน้ โดย โรเบริ ต์ โคล ์ จติ แพทยเ์ ดก็ จาก โดยค าม ลาดดา้ นนไ้ี ม่ ามารถ ก น รอื ขดั เกลา ไดใ้ นช่ งเ ลา น้ั ๆ ขณะทบ่ี คุ คลเจรญิ เตบิ โตขน้ึ มาแล้ เ มอื นคาำ กลา่ ท่ี า่ “ นั ดอนขดุ ได้ แต่ นั ดานนน้ั ขดุ ยาก” ดงั นน้ั การทบ่ี คุ คล นง่ึ จะมคี าม ลาดทางดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรมท่ี ดี ตอ้ งเรม่ิ ปลกู งั ใน ยั เดก็ จงึ จะไดผ้ ล การ์ดเนอรก์ ลา่ ่า ค าม ลาด รือ ตปิ ญั ญาทาำ ใ ้คนเราเปน็ มนุ ย์ พูด ได้ เราทกุ คนต่างมีค าม ลาดแมเ้ ป็น ิ่งทีต่ ดิ ตั มาตัง้ แต่เกิด แตก่ ็ ามารถยืด ยุ่นและ พัฒนาได้ขน้ึ อย่กู ับ ง่ิ แ ดล้อม และ การด์ เนอรไ์ ดแ้ นะนาำ ่า พอ่ แม่ ผปู้ กครอง และครู ค รจัด ิง่ แ ดลอ้ มใ ้ ลาก ลาย เพ่อื งั เกตดู า่ อะไรคอื งิ่ ทเ่ี ด็กชอบ รอื ถนดั ทาำ ได้ดี แล้ จะรู้ ่าลูก ลาน รือนักเรยี นของเราแต่ละคนมคี าม ลาดทางดา้ นใด อยา่ งไรก็ตาม การด์ เนอร์ กลา่ ่า ค าม ลาดไมไ่ ดม้ ดี า้ นเดีย และบางครั้ง ใชค้ าม ามารถ ลายๆ ดา้ นในเ ลาเดีย กัน ในอดตี แมท้ ฤ ฎี ของเขาจะไม่ไดร้ บั การยอมรับในทันทที ันใด แต่ก็ไดร้ บั ค าม นใจอยา่ งมากจากนกั การ กึ า โดย ครูและ ผู้บริ าร จาำ น นไมน่ อ้ ยนาำ ทฤ ฎี ไปใชแ้ กป้ ญั าในระบบการ กึ าในโรงเรียน ซ่ึง

48 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ โรงเรียนจาำ น น นงึ่ ในอเมริกาเ นือนาำ ไปเปน็ ลักในการ าง ลัก ูตร างแผนการ เรยี นการ อน และกิจกรรมอนื่ ๆ าำ รบั เดก็ มกี ารใชท้ ฤ ฎี กบั การเรยี น ลาก ลายระดบั ชน้ั ทง้ั ในเดก็ เลก็ เดก็ ป ม ยั เดก็ โตและแมแ้ ตก่ าร กึ าของผใู้ ญ่ การด์ เนอร์ กลา่ า่ “ จะทำาใ เ้ กิดการเรียนการ อนที่ ลาก ลาย แทนที่จะเป็นแบบเดีย แบบในโรงเรียน ท่ั ไป มี ลาก ลาย ธิ ที เ่ี ดก็ นกั เรยี นจะคดิ และเรยี นรู้ ครเู พยี งแตม่ กี รอบคดิ คร่า ๆ ในการจัดการเรยี นการ อน” และแม้ โ เ ิร์ด การด์ เนอร์ จะออกตั ่า ทฤ ฎี ของเขาไมใ่ ชค่ ำาตอบของการ กึ าท้ัง มด แต่เขากล่า คาำ ทน่ี ่า คดิ ่า . กจิ กรรมก�ร อนทีค่ รเกิด นึ ต�มแน คิดท ีพ ุป � 1 าำ รบั เดก็ ท่มี ปี ัญญาดา้ น า า ค รจัดกิจกรรม เพอื่ พฒั นาค าม ามารถ เชน่ จดั กิจกรรมใ ไ้ ด้รับประ บการณต์ รง เพื่อนาำ มาเขียนเรอ่ื งรา ตา่ งๆ จัดกจิ กรรมใ ้ได้พูด ได้อา่ น ไดฟ้ งั ได้เ ็น ได้เขียนเรือ่ งรา ที่ นใจ เพอ่ื ง่ เ รมิ การเรียนรู้ ครูค รรับฟงั ค ามคดิ เ ็น คำาถาม และตอบคำาถามด้ ยค ามเต็มใจ และกระตอื รือร้น จดั เตรียม นงั ือ ื่อการเรยี นการ อน เพอ่ื การค้นค า้ ท่ี ลาก ลาย เช่นแผ่น แผน่ อินเตอร์เนท็ กระดา และอุปกรณเ์ พอ่ื การเขยี นใ ้ พรอ้ ม เปน็ ต้น เป� ม�ย นก�ร อนคอ ใ อ้ า่ น ใ เ้ ขยี น ใ ้พูด และใ ้ฟงั เรื่องรา ตา่ งๆ ที่ นกั เรียน นใจอ ิปรายแลกเปลี่ยนประ บการณ์กบั ผอู้ ่ืน ซ่ึงผู้ทม่ี คี าม ามารถทางด้าน นี้มีค ามเ มาะ มท่ีจะประกอบอาชพี เช่น นกั พดู นกั เล่านิทาน นักการเมือง ก ี นัก เขยี น บรรณาธกิ าร นกั นัง อื พิมพ์ และครู อน า า เป็นตน้

ท ษ ีพ ุปญญา ( e r ti e nte i en e ) 49 �ำ รบั เดกทม่ี ป่ี �ด�้ นตรรกะและคณติ ศ� ตร์ ค รจัดกจิ กรรมเพือ่ พฒั นาค าม ามารถ เชน่ ใ ้มโี อกา ไดท้ ดลอง รอื ทาำ อะไรด้ ยตนเอง ่งเ รมิ ใ ้ทาำ งาน รา้ ง รรค์ งาน ลิ ปทใ่ี ชค้ ามคดิ รา้ ง รรค์ ใ ้เล่นเกมท่ี กทกั ะคณติ า ตร์ เช่น เกมไพเ่ กมตั เลข และ ปริ นาตั เลข เปน็ ตน้ ใ ช้ ่ ยทำางานบา้ น งานประดิ ์ ตกแตง่ กการใชเ้ ตผุ ล การแก้ปญั าการ ึก าด้ ยโครงงาน ในเร่ืองท่ี นกั เรยี น นใจ ก นทกั ะการใช้เคร่อื งคดิ เลข เครอ่ื งคาำ น ณ เคร่ืองคอมพิ เตอร์ ฯลฯ เป� ม�ย นก�ร อนคอ ใ ้ กคดิ แบบมี ิจารณญาณ พิ าก ์ ิจารณ์ ก กระบ นการ ร้างค ามคิดร บยอด การช่ัง ต ง ดั การคิดในใจ การคิดเลขเร็ ฯลฯ ซ่ึงผ้ทู ่ีมคี าม ามารถทางดา้ นนี้มคี ามเ มาะ มทจี่ ะประกอบอาชีพ เชน่ นกั บญั ชี นัก คณิต า ตร์ นักตรรก า ตร์ โปรแกรมเมอร์ นกั ทิ ยา า ตร์ และ ครู อาจารย์ เปน็ ต้น ำ� รบั เดกทีม่ ปี �ด้�นมิติ มั พันธ์ ค รจดั กิจกรรมเพอื่ พัฒนาค าม ามารถ เชน่ ใ ้ทำางาน ลิ ปะ งานประดิ ์ เพ่ือเปดโอกา ใ ค้ ดิ ไดอ้ ย่างอิ ระ พาไปชมนิทรร การ ลิ ป พพิ ธิ ณั ต์ า่ ง ๆ กใ ้ใชก้ ลอ้ งถ่าย าพ การ าด าพ เกต็ ซ์ าพ จดั เตรียมอปุ กรณก์ าร าด าพใ พ้ ร้อม จัด ่ิงแ ดลอ้ มใ เ้ ออ้ื ต่อ การทาำ งานดา้ น ิลปะ กใ ้เล่นเกมปริ นาอัก รไข ้ เกมตั เลข เกมทีต่ อ้ งแกป้ ัญ า เรยี นไดด้ ี ากได้ใช้จนิ ตนาการ รือค ามคิดทอ่ี ิ ระ ชอบเรียนด้ ย

50 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ การได้เ น็ าพ การดู การรบั รู้ทางตา กใ ้ใช้ รอื เขียนแผนที่ค ามคดิ การใช้ จนิ ตนาการ ใ เ้ ลน่ เกมเกยี่ กบั าพ เกมตั ต่อเลโก้ เกมจับผดิ าพ ฯลฯ เป� ม�ย นก�ร อนคอ การใ ้ดู ใ ้ าด ใ ร้ ะบาย ี ใ ค้ ิดจนิ ตนาการ ซ่ึงผู้ ท่ีมีค าม ามารถทางดา้ นนม้ี คี ามเ มาะ มท่ีจะประกอบอาชีพ เช่น ิลปน ถาปนิก มัณ นากร และนกั ประดิ ์ เป็นตน้ �ำ รบั เดกทม่ี ปี �ด�้ นร�่ งก�ยและก�รเคลอ่ น ค รจดั กจิ กรรมเพ่ือพัฒนาค าม ามารถ เชน่ เรียนรูไ้ ด้ด้ ยการ มั ผั จับตอ้ งการเคล่ือนไ รา่ งกาย และการ ปฏบิ ัติจรงิ นับ นุนใ ้เลน่ กี า การแ ดง เต้นรำาการเคลือ่ นไ ร่างกาย จัดกจิ กรรมใ น้ ักเรียนไดร้ ับประ บการณต์ รง รอื ได้ปฏิบัติจรงิ ใ เ้ ล่นเกม เดนิ งิ่ รือทำากิจกรรมทีต่ อ้ งใชก้ ารเคลอื่ นไ รา่ งกาย ใ เ้ ลน่ รอื ทาำ กจิ กรรมกลางแจง้ กี า การเคลอ่ื นไ ประกอบจงั ะ เป� ม�ย นก�ร อนคอ การใ ้นักเรียนปฏบิ ตั ิจริง ลงมอื ทาำ จริง ได้ ัมผั เคลือ่ นไ ใชป้ ระ าท มั ผั ในการเรียนรู้ และการเรยี นผา่ นการแ ดงบทบาท มมตุ ิ แ ดงละคร ซึ่งผทู้ ี่มคี าม ามารถทางดา้ นนีม้ ีค ามเ มาะ มท่จี ะประกอบอาชพี เชน่ นกั แ ดง นักกี านักฟ้อนราำ นักประดิ ์ นักปนั ชา่ งซอ่ มรถยนต์ และ ลั ยแพทย์ เป็นตน้

ท ษ ีพ ุปญญา ( e r ti e nte i en e ) 51 �ำ รบั เดกทม่ี ปี �ด้�นดนตรี ควรจดั กจิ กรรม เพ่ือพฒั นาความ ามารถ เชน่ ใ เ้ ล่นเคร่อื งดนตรี ร้องเพลง ฟังเพลง มำ่าเ มอ าโอกา ดูการแ ดงดนตรี รอื ฟังดนตรเี ปน็ ประจาำ บนั ทกึ เ ยี งดนตรที น่ี กั เรยี นแ ดงไวฟ้ งั เพอ่ื ปรบั ปรงุ รอื ชน่ื ชมผลงาน ใ ้ร้องราำ ทาำ เพลงรว่ มกับเพือ่ น รือคณุ ครูเ มอ ๆ เป� ม�ย นก�ร อนคอ ปฏบิ ัตกิ ารรอ้ งเพลง การเคาะจัง วะ การฟงั เพลง การเล่นดนตรกี ารวเิ คราะ ด์ นตรี และวิจารณ์ดนตรีเป็นตน้ ซ่งึ ผทู้ มี่ คี วาม ามารถทาง ด้านน้ี มีความเ มาะ มที่จะประกอบอาชีพ เชน่ เปน็ นกั ดนตรี นักแตง่ เพลง และนัก วจิ ารณ์ดนตรี เป็นต้น �ำ รบั เดกทมี่ ีป �ด้�นมนุ ย์ มั พันธ์ ควรจดั กจิ กรรมเพอ่ื พัฒนาความ ามารถ เชน่ จดั กิจกรรมใ ้นักเรยี นได้เขา้ กลุม่ ทำางานร่วมกัน ง่ เ รมิ ใ อ้ ิปรายเรียนรูร้ ว่ มกนั แกป้ ญั ารว่ มกัน ามารถเรยี นได้ดี ากใ โ้ อกา ในการทาำ งานร่วมกับผู้อื่น เป� ม�ย นก�ร อนคอ การใ ท้ ำางานรว่ มกัน การปฏิ ัมพันธ์ระ ว่างกลมุ่ เพ่ือน การเรยี นรูแ้ บบมี ่วนรว่ ม การจาำ ลอง ถานการณ์ บทบาท มมตุ ิ การเรยี นรู้ ู่ ชมุ ชน เปน็ ต้น ซง่ึ ผู้ทีม่ คี วาม ามารถทางดา้ นน้ี มคี วามเ มาะ มท่ีจะประกอบอาชีพ เชน่ นักบริ ารผจู้ ดั การนักธุรกจิ นกั การตลาด นักประชา มั พันธ์ ครแู ละอาจารย์ เปน็ ต้น

52 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม �ำ รบั เดกทม่ี ปี �ด�้ นค �มเ �้ จตนเอง ค รจดั กจิ กรรมเพอื่ พฒั นาค าม ามารถ เช่น เปดโอกา ใ ้ทำางานตามลำาพงั ทำางานคนเดยี อิ ระ แยกตั จาก กลมุ่ บ้าง อนใ เ้ ็นคณุ คา่ ของตั เอง นับถอื ตั เอง นับ นนุ ใ ้ทาำ งานเขยี นบนั ทึกประจำา ัน รือทำา นัง อื จลุ าร นับ นุนใ ท้ ำาโครงงาน การ กึ ารายบุคคล รอื ทำารายงานเดี่ย ใ เ้ รยี นตามค ามถนัด ค าม นใจตามจัง ะการเรยี นเ พาะตน ใ ้อย่กู ับกล่มุ ทำางานร่ มกับผอู้ ่นื บ้าง เป� ม�ย นก�ร อนคอ ค รเนน้ ทีก่ ารเปดโอกา ใ ้เลือก ึก าใน ่งิ ท่ี นใจ เปน็ พเิ การ างแผนชี ติ การทาำ งานร่ มกบั ผอู้ น่ื การ กึ ารายบคุ คล ซึ่งผ้ทู ี่มีค าม ามารถทางด้านน้ี มคี ามเ มาะ มทีจ่ ะประกอบอาชพี เช่น ชิ าชีพ อิ ระเปน็ เจ้าของกจิ การเป็นนายจา้ งของตั เอง นกั คิด นักเขียน นกั บ ช นกั ปรชั ญานัก จิต ทิ ยา และ ครู อาจารย์ เปน็ ตน้ ำ� รับเดกทมี่ ปี �ด้�นธรรมช�ติ ทิ ย� คร จดั กจิ กรรมเพื่อพัฒนาค าม ามารถ เชน่ กปฏิบัติงานดา้ นเก ตรกรรมเกีย่ กับการปลกู พชื รือเล้ยี ง ตั ์ ึก า งั เกตบันทึกค ามเปลีย่ นแปลงของธรรมชาติ ลม ฟ้า อากา จดั กิจกรรมเกี่ย กับ ่ิงแ ดลอ้ ม กึ า ค่าย ่งิ แ ดลอ้ ม ฯลฯ เป� ม�ย นก�ร อนคอ เน้นกิจกรรมที่ ัมผั กับธรรมชาติ ตาม น าธารณะ น ัต ์ รือใต้ต้นไม้ การทาำ ลิ ปะ าพพิมพ์ เชน่ ก้านกล้ ย เปลือกไม้ ใบไม้ลัก ณะต่างๆ เปน็ ตน้ กใ จ้ า่ ยตลาดและทาำ อา าร และเนน้ ใช้ผลติ ณั ์ท่ที ำา จากธรรมชาติ ซง่ึ ผ้ทู ม่ี ีค าม ามารถทางดา้ นนมี้ คี ามเ มาะ มทจ่ี ะประกอบอาชีพ เชน่ นัก ทิ ยา า ตร์ นกั าำ ร จ นักอนุรัก ธ์ รรมชาติ นกั ิ่งแ ดลอ้ ม ทำาฟาร์มเลยี้ ง ตั ์ และ

ท ษ พี ปุ ญญา ( e r ti e nte i en e ) 53 เก ตรกร เป็นต้น ำ� รับเดกทีม่ ปี �ด้�นก�รคิด ครค่ ร ค รจัดกิจกรรมเพอื่ พัฒนาค าม ามารถ เช่น กปฏิบตั ิการเรียนรู้ าเ ตุของผลท่เี กดิ ขึน้ การเข้าค่ายอา า มคั ร รอื การเขา้ ค่ายลกู เ ือ เนตรนารี ยุ กาชาด การเขา้ ค่ายปฏิบัติธรรม รอื การ ึก า ลักปรชั ญาต่างๆ เป� ม�ย นก�ร อนคอ เนน้ กิจกรรมทีใ่ ้เด็กเรียนร้เู ก่ยี กับท่ีมาของ าเ ตุ ในการเกดิ ผลต่างๆ ไดร้ ่ มกจิ กรรมอา า มัคร การเขา้ ค่ายธรรมะ รอื การใ น้ งั่ มาธิ เพ่อื คดิ ทบท น งิ่ ตา่ งๆ ในแตล่ ะ นั การ ังเกตธรรมชาตริ อบตั คือการเข้าใจถงึ การ เกดิ ข้นึ ต้ังอยู่ และดบั ไป ของ ิ่งตา่ งๆ ซ่งึ ผ้ทู ม่ี คี าม ามารถทางดา้ นน้ี มีค ามเ มาะ มทจ่ี ะประกอบอาชพี เชน่ ทำาการมลู นิธิ รอื อา า มคั ร นกั การเมือง ทปี่ รกึ า ครู อาจารย์ และ พระ รอื นกั บ ช เปน็ ตน้ ในท่ีน้ีผู้ อนต้องไม่ลืม ่า“เด็กแต่ละคนก็จะมีค าม ามารถทางปัญญา มากก ่า 1 ดา้ น ดงั นัน้ การจัดกจิ กรรมตา่ งๆจึงค รทีจ่ ะตอ้ งมคี าม ลาก ลาย โดยมุ่ง เน้นท่ีการพยายามดึงค าม ามารถทางปัญญาของเด็กแต่ละคนใ ้แ ดงออกมาใ ้มาก ท่ี ุดเท่าทจี่ ะทำาได้เมอื่ นนั้ เด็กกจ็ ะไดร้ บั ประโยชน์อยา่ งเตม็ ท่”ี แน ท�งก�รนำ�ท ีพ ปุ � ปประยุกต์ ช้ นก�ร อน จากรายงานการ ิจัยเรอื่ ง “การพัฒนา ลัก ตู รและลดระยะเ ลาเรียนและ เพ่ิมประ บการณ์ าำ รบั นกั เรียนที่มคี าม ามารถพเิ ด้าน า าองั กฤ ระดบั มัธยม ึก าตอนปลาย” ของ าำ นักงานคณะกรรมการการ ึก าแ ง่ ชาติ าำ นักนายก รั มนตรี นธิดา เกยูร ง ์ และ คณะ 2546 31 33 ท่รี ะบกุ ารใช้พ ุปัญญาใน อ้ งเรยี นพบ ่า การจะใชพ้ ุปัญญาใน อ้ งเรยี นนน้ั คงต้องเรมิ่ ต้น ด้ ยเป้า มาย และ คา่ นยิ มของการ กึ า เชน่ อนเพือ่ ค ามเขา้ ใจ เพอื่ เตรยี มบุคคลใ ้ทำางานเมอ่ื จบการ กึ า เพอื่ พัฒนา ักย าพของคนอย่างเต็มที่ รือ อนใ ้เด็กเชยี่ ชาญใน ิชา ลกั จึง

54 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ จะ ามารถตอบได้ ่า นาำ พ ุปัญญา มาใช้ได้อยา่ งไร การด์ เนอร์ เ น็ า่ พ ปุ ัญญา จะเปน็ เคร่ืองมอื ท่ีดีเลิ ในการเรียนการ อน ซงึ่ แคมมเ์ ปล และดิคิ นั 1992 ไดก้ ลา่ ถึงการใช้พ ุปญั ญาใน ้องเรียนดังนี้ ช้ก�รนำ�เ �้ ่บทเรยี น เช่น เดก็ บางคนอาจจะเขา้ ใจกราฟ รือพชื คณิตบน กระดานดาำ ไดย้ าก ครูอาจใช้ นามเด็กเล่นของโรงเรียนเปน็ แกนกราฟ โดยนำานกั เรียน มาทำากราฟที่ นาม ใ ท้ กุ คนเป็นจุดๆ น่ึงบนเ น้ กราฟ รอื ในออ เตรเลียมโี รงเรยี น แ ง่ นึ่งใช้ นามเดก็ เล่นแทนระบบ รุ ยิ จกั ร าล โดยครใู ้ นกั เรยี นเรยี นดารา า ตร์ใน นาม ใ เ้ ด็กๆ เปน็ ด งดา ต่างๆ มนุ รอบด งอาทติ ย์ เป็นตน้ ช้ นก�รเ ริมบทเรียน เชน่ โรงเรยี นในอเมริกา ลายโรงเรยี นจัด ัปดา ์ พ ุปัญญา โดยพยายามใชป้ ัญญา ลายๆ อยา่ งเขา้ ใจบทเรยี น กลา่ คือใช้ ลิ ปะและการ ละครในการเรยี น รรณคดี รอื เรียนดารา า ตรใ์ น ั ขอ้ รุ ิยจกั ร าล โดยใชป้ ัญญา ทางตรรก า ตร์และคณติ า ตร์ ัดระยะทางระ ่างด งดา ตา่ งๆ รอบด งอาทติ ย์ ค าม ามารถทางกล้ามเนื้อในการเคลื่อนไ เขียนพูดบรรยายเกี่ย กับระบบ ุริย จกั ร าล การใช้ า าพูดและเขียน เป็นตน้ แตล่ ะบทเรียนไมจ่ ำาเป็นตอ้ งใชป้ ัญญาครบ ทุกด้าน ช้ นก�ร ่งเ ริมก�รทำ�ง�นด้ ยตนเอง เชน่ ครใู ้เด็กคิด รเิ รม่ิ ทำา คน้ ค ้า ดำาเนนิ การ และรายงานผลการดาำ เนนิ งานตามโครงงานของตนเอง ซ่ึงเดก็ มโี อกา ใช้ ปญั ญาครบทกุ ด้าน ช้ นก�รประเมิน ล เชน่ ใ เ้ ด็กท่ที ำาโครงงานเ นอโครงงานและแ ดงโครง งาน รอื กประเมินโครงงานของตนเอง ด้ ยตนเอง และใ เ้ พื่อนๆ ช่ ยประเมินด้ ย ซึ่งเดก็ จะได้ กปัญญาด้านตา่ งๆ ลายดา้ น ช้ นก�ร ้เปนลกมอ เชน่ ใ ้นกั เรียนชัน้ ประถม รือมธั ยม กเปน็ ลกู มือ รือ กงาน 3 ดา้ นคอื ดา้ น ิลป ตั ถกรรม ดา้ น ชิ าการ และดา้ นรา่ งกาย เป็นต้น ท่กี ลา่ มาขา้ งต้น เปน็ การใช้ทฤ ฎี ในการช่ ย ง่ เ รมิ ค ามเข้าใจใน ิชาการต่างๆ และขณะเดีย กนั กเ็ ป็นการพฒั นาปัญญาดา้ นต่างๆ ไปด้ ย ซึ่งถ้าโรงเรยี น ต้องการพฒั นาพ ปุ ญั ญาในตั เด็ก อาจใ เ้ ด็ก กกิจกรรมต่างๆ ดงั ต่อไปนี้

ท ษ พี ปุ ญญา ( e r ti e nte i en e ) 55 ป �ด้�นภ� �พดและภ� �เ ยี น เชน่ ครอู าจใชก้ ระบ นการอ ปิ ราย การโต้ าที เขียนโคลงกลอน น นยิ าย มั า ณ์ รือ กการพดู ตอ่ นา้ าธารณชน เปน็ ตน้ ป �ด�้ นตรรก � ตรแ์ ละคณิต � ตร์ เชน่ การออกแบบและทาำ การ ทดลอง เขียนเชงิ อปุ มาอปุ มัย อธิบายรูปแบบ รอื มการ เปลี่ยนข้อค ามโจทย์ รอื ูตร คณิต า ตร์ เป็นตน้ ป �ด้�นกล�้ มเนอและก�รเคล่อน ร่�งก�ย เชน่ รา้ ง รือทำาอะไร กั อยา่ ง แ ดงการเคลอื่ นไ ร่างกาย เพ่อื แ ดงค าม มาย การแ ดง นา้ ช้ันเรียน จดั ทั น ึก า เป็นต้น ป �ด้�นมิติ เชน่ นาำ กราฟ แผนที่ ชาร์ท ทำา ิลปะ แ ดง าพถา่ ย รอื าพเขียน เป็นตน้ ป �ด้�นดนตรี เชน่ การแ ดงดนตรี รอ้ งเพลง ทาำ อุปกรณ์ดนตรี และ แ ดงใ ด้ ู เป็นตน้ ป �ด�้ น ังคมและค �มเ ้� จ ้อน่ เช่น จดั ประชมุ เร่ืองใดเรอื่ ง นง่ึ เข้า ร่ มในกิจกรรมบริการชมุ ชน กการใ แ้ ละรับข้อมลู ปอ้ นกลับ เปน็ ต้น ป �ด�้ นเ ้� จตนเอง เชน่ บรรยายค าม ามารถของตนเองในการ ทาำ งานใ ้ ำาเร็จ กาำ นดเป้า มายของงาน และดาำ เนนิ การจนบรรลเุ ป้า มาย บันทึก ประจำา ันเรือ่ งใดเรอื่ ง นง่ึ ของตนเอง ประเมนิ ผลงานของตนเอง เปน็ ต้น ป �ด้�นเ ้� จ ภ�พธรรมช�ติ เชน่ ทาำ มดุ บันทกึ การ ังเกต บรรยาย การเปลีย่ นแปลงของ าพแ ดล้อม การเลย้ี ง ัต ์ รอื ดแู ลต้นไม้ ังเกตนก รือ ตั ์ปา เขยี น รอื ถา่ ย าพ ั ดุธรรมชาติ เปน็ ตน้ ป �ด้�นก�รคดิ คร่คร เชน่ การ กใ ้เด็กคดิ า าเ ตขุ องผลท่ี เกดิ ขนึ้ ได้แก่ กจิ กรรมท่องคาำ พั ท์ ระ า่ ง ปั ดา แ์ รกใ เ้ ดก็ ท่องคาำ พั ทโ์ ดยไม่เขียน ลงกระดา กบั ัปดา ท์ ่ี องใ ้เดก็ ท่องคำา พั ทแ์ ล้ เขยี นลงกระดา เด็กก็จะคน้ พบ า่ การเขยี น พั ท์ลงกระดา จะทาำ ใ ้จำา ัพท์ไดแ้ มน่ ยาำ ก า่ เปน็ ตน้

56 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ ประ ัติ อง เ ิรด์ ก�ร์ดเนอร์ า ตราจารย์ ดร.โ เ ริ ์ด การด์ เนอร์ เป็นนักจติ ิทยาพฒั นาการชา อเมรกิ า จบการ ึก าจากม า ิทยาลัย าร์ าร์ด เขาเขียน นัง ือ ลายเล่มเกี่ย กับจิต ิทยา พฒั นาการ ซง่ึ เนน้ ไปท่กี ารพัฒนาค ามคดิ ร้าง รรค์ในเด็กและผ้ใู ญ่ เขาพบค าม มั พนั ธร์ ะ า่ ง ลิ ปะกบั พฒั นาการของมนุ ย์ ดงั ทเ่ี ขยี นไ ใ้ น นงั อื ชอ่ื มีเน้ือ าเก่ีย กับการ ิเคราะ ์ค ามคิด ร้าง รรค์ท่ีเบ่งบานในเด็กเล็กและลดน้อยถอย ลงเม่ือโตข้ึน เขา รปุ ่าเม่ือถงึ ตอนปลายของ ัยเดก็ เลก็ รือเรมิ่ โตขนึ้ เดก็ มที ัก ะอย่าง ใ ม่คือทัก ะทางด้าน า าจงึ ไม่จาำ เป็นตอ้ ง ่ือ ารด้ ย ลิ ปะอกี ตอ่ ไปแล้ ค ามคิด รา้ ง รรคจ์ ึง ด ายไป ภาพ นา้ ปก นังสอทเ่ี สนอแนว ดิ ใน านะทเ่ี ปน็ นกั จติ ทิ ยาทางการ กึ า การด์ เนอรโ์ ดง่ ดงั ด้ ยทฤ ฎี ซง่ึ ไม่ตอ้ งมีการทด อบ รือมอง าข้อ รปุ จากการทด อบ แต่ เิ คราะ ์ อย่างเปน็ ธรรมชาติ า่ ทาำ ไมผู้คนทั่ โลกถึง ามารถพัฒนาทกั ะ าำ คัญๆ ขน้ึ มาใชใ้ น ิถี ชี ติ ได้ โดย นัง ือ ของเขาปลุกนักการ กึ าจำาน นมากใ ้ นั มาคิด

ท ษ พี ุปญญา ( e r ti e nte i en e ) 57 ใ ม่ เขากล่า า่ “ค ามแตกต่าง ลาก ลายในค าม ลาด รือค าม ามารถของมนุ ย์ ท่ีมี 7 ด้านน้นั แบง่ ออกเป็น 3 กล่มุ ใ ญๆ่ กลมุ่ แรก ได้แก่ คณติ า ตร์ และตรรกะกล่มุ ท่ี อง ไดแ้ ก่ ดนตรี า า และการเคลื่อนไ และ กล่มุ ที่ าม ไดแ้ ก่ ค าม ลาดในการ เขา้ ใจตั เองและผอู้ ่ืน ซึ่งระบบการ ึก าไม่ได้เตรียมการ าำ รบั ค าม ลาดทแี่ ตกตา่ ง เ ล่าน้ี เดก็ จงึ ไมไ่ ด้รับการพฒั นาอย่างเต็ม กั ย าพ” และ การ์ดเนอร์ ยงั ใชท้ ฤ ฎี น้ีใน นงั ือเลม่ อืน่ ๆ ของเขา ได้แก่ ซงึ่ ในเลม่ นเ้ี ขากล่า ่า “การเรียนรู้ที่ ลาก ลาย ไตล์ และการจัดการเรยี นการ อนใ เ้ มาะกบั เดก็ ๆ ทกุ คนไม่อาจ าได้ใน ิธีเรียนแบบเก่า” การด์ เนอร์ ไดร้ ับราง ัลแมคอาฟไพรซ์เฟลโลชิป ได้รบั เกยี รติเชดิ ชจู าก ม า ิทยาลยั ถาน กึ า ลายแ ่งใน ลายประเท เป็นผอู้ ำาน ยการอา โุ โครงการ ของม า ิทยาลัย าร์ าร์ด และงาน ิจยั อื่นๆ อกี ลายโครงการ โ เ ริ ด์ การ์ดเนอร์ เลา่ ประ ตั ิตั เอง า่ “ผมเกดิ ทเ่ี มือง แครนตัน รั เพนซลิ าเนยี ในปค. .1943 พ่ออพยพ นนี าซีมาจากเยอรมันผมเปน็ เดก็ คราำ่ เครง่ กบั การเรียนทมี่ ีค าม ขุ กับการเล่นเปยโนดนตรเี ป็น ่ิง ำาคัญย่ิงตอ่ ชี ิตผมเ มอมา ผม เรยี นท่ี าร์ ารด์ และ ก นเปน็ นกั จติ ทิ ยาพฒั นาการตอ่ มากเ็ ปน็ นกั เปน็ เ ลา ลายปท่ผี มดแู ลงาน ิจัย เร่ือง “ ติปญั ญาและค าม ามารถในการใช้ า า” ในคน 2 กลมุ่ คือเดก็ ปกตแิ ละเดก็ อจั ริยะกับในผู้ใ ญท่ ่ีไดร้ บั ค ามกระทบกระเทือน ทาง มอง ซึ่งประ บการณใ์ นการ ิเคราะ ก์ ลมุ่ เปา้ มายในงาน จิ ยั ท้ัง องกลมุ่ นนี้ าำ ผม ไป ู่การพฒั นาทฤ ฎี โดยในปค. . 1983 เขียนออกมา เปน็ นัง อื ชอื่ จนกระทง่ั กลางท รร 1980 ผมเข้าไปเก่ยี ข้องกบั การปรบั ปรงุ การ ึก าในโรงเรยี น ในป ค. . 1986 ผมเรมิ่ อนท่ี ขณะเดยี กันก็ทาำ งานโครงการ ิจยั ระยะยา ไปด้ ยซงึ่ จิ ยั เกีย่ กบั ติ ปัญญาของมนุ ยโ์ ดยมุ่งเนน้ ไปที่ ลิ ปะ และ การ์ดเนอร์ กลา่ ่า ”ผมแต่งงานกับ เอล เลน ินเนอร์ นักจติ ิทยาพฒั นาการ ซง่ึ เป็นอาจารย์ อนอยูท่ บี่ อ ตนั คอลเลจ มลี ูก ด้ ยกนั 4 คน ในชี ิตนี้ ่งิ ท่ีผมรกั คือ ครอบครั และงาน ทัง้ ยังชอบท่องเท่ีย และช่ืน ชอบงาน ลิ ปะ โดยงาน ่ นใ ญ่ทผ่ี มทาำ ปรากฏอยู่ใน นงั อื ที่ผมเขียน ลายเลม่ และ

58 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ ผมยังรับเชิญบรรยายใน ั ข้อเกี่ย กับค าม ลาด ค ามคิด ร้าง รรค์ค ามเป็นผู้นำา การเรียนรู้ และ ิลปะ” ตั อย�่ งแบบทด อบต�มแน คดิ องท พี ุป � ดแ้ ก่ ค�ำ ชีแจง จงใ เ่ ครอื่ ง มาย นา้ ขอ้ ค ามท่ตี รงกบั ลัก ณะของท่าน ลกั ณะ ้มปี �ด�้ นดนตรี ..................เ ลาเรียน รือทาำ งานชอบเคาะจงั ะ รอื ัมเพลง .................. ามารถรอ้ งเพลงตรงจัง ะ ถกู ทาำ นอง และมีค ามไพเราะ ..................ชอบฟังเพลง และฟังดนตรี ลาก ลาย .................. ามารถบอกจัง ะ ทาำ นองเพลง และบอกเ ยี งดนตรที ผี่ ิดได้ .................. ามารถจดจาำ และร้องเพลง รือทาำ จัง ะทำานองดนตรไี ด้ถกู ต้อง เมอ่ื ได้ยิน รอื ฟงั เพลง รอื ทาำ นองดนตรีเพียงแค่คร้งั องครั้ง ..................มคี าม ามารถเลน่ เครือ่ งดนตรี ..................มคี าม ามารถเคาะจัง ะดนตรี รอื เลน่ เครอ่ื งดนตรไี ดถ้ กู ตอ้ ง ..................ชอบเขา้ ร่ มกจิ กรรม รือ กปฏบิ ัติดนตรี ..................ร้จู กั บทเพลง ทำานองเพลง และเครือ่ งดนตรที ี่ ลาก ลาย ..................ชอบ ร้างทาำ นองเพลง เ ียงดนตรี โดยการผิ ปาก ป้องปาก รือ ใช้ ั ดุใกล้ตั เชน่ ใบไม้ กระดา เป็นตน้ ลัก ณะ ้มีป �ด้�นร�่ งก�ยและก�รเคลอ่ น ..................น่งั เ ยๆ ไมไ่ ด้นาน ชอบการเคลอื่ นไ ..................ชอบแ ดง ี นา้ ท่าทาง และใชม้ ือประกอบเ ลาพูดคยุ ..................ชอบแตะตอ้ ง ัมผั งิ่ ของ ..................มักใชเ้ ลาอยกู่ ลางแจ้ง ่งิ กระโดด เล่นกบั เพอ่ื น ..................มีค าม ามารถเลน่ กี าได้ดี .................. ามารถแ ดงทา่ ทเี ลยี นแบบ รอื ลอ้ เลยี นบคุ คลอน่ื การเคลอ่ื นไ ของ ัต ์ รอื ่งิ ของ

ท ษ พี ปุ ญญา ( e r ti e nte i en e ) 59 ..................ชอบงาน มอื งานประดิ ์ เชน่ งานประกอบช้นิ ่ น ปัน แกะ ลัก พบั กระดา ถักทอ เป็นตน้ ..................ชอบเลน่ เกม ท์ ใ่ี ช้การบังคบั กลา้ มเนอื้ ..................ชอบการแ ดง รอื การเล่นท่มี กี ารเคล่ือนไ ร่างกาย เ ่ยี ง ัย ตื่น เต้น ..................ชอบร่ มกจิ กรรมทเี่ ก่ยี กบั การแ ดงออกด้านกี า กรี า การ แ ดง ลกั ษณะ ้มีป �ด้�นตรรกะและคณิตศ�สตร์ ...................คิดคาำ น ณโจทย์คณิต า ตรไ์ ด้ร ดเร็ ..................ชอบเรียนคณติ า ตร์ รอื คาำ น ณ ..................ชอบต้งั คาำ ถามต่อเน่ือง ืบ าเ ตผุ ล ทม่ี าที่ไป ข้นั ตอน กระบ นการ ..................ชอบเกม ท์ เ่ี กีย่ กบั การคาำ น ณ คาดคะเน แก้ปญั าเชงิ เ ตุผล ตั เลข ..................มีค าม ามารถในการจาำ แนกแยะแยะ จัดประเ ท ม ด มู่ ..................มคี าม ามารถคิด าเ ตผุ ลไดด้ ี ..................ชอบการพิ ูจน์ ทดลอง ทด อบข้อ ง ัย ..................มคี าม ามารถในการคดิ ในเชิงนามธรรม ได้ดเี กินกลุ่มเพือ่ นท่ีมอี า ยเุ ทา่ ๆ กนั .................. นใจเข้าร่ มกจิ กรรมที่เกีย่ กับการ าธติ การทดลองทาง ิทยา า ตร์ ..................ชอบใช้เ ลา า่ งเล่นเกม ์ เช่น มากรกุ เกมแก้ปญั าคณิต า ตร์ ลกั ษณะ ม้ ปี �ด้�นภ�ษ� ..................ชอบอ่าน นัง ือ ..................ชอบฟงั เรื่องเล่า นทิ าน รอื นยิ าย .................. ามารถจาำ เ ตุการณต์ ่างๆ รอื รายละเอียดไดด้ ี เช่น บคุ คล ถาน ท่ี ัน เ ลา คุณลกั ณะ อากปั กิรยิ า และถา่ ยทอดด้ ยถ้อยคาำ ไดด้ ี ..................ชอบเลน่ เกม ์ปริ นาอัก รไข ้ รอื เล่นคำาตา่ งๆ

60 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ ..................ระบคุ าำ ศพั ท์ ำานวน คำาพังเพยไดก้ วา้ งขวาง .................. ามารถเขียน นงั ือ โดยเรียงถ้อยคำาและประโยคได้ดี ..................มีความ ามารถเก่ียวกับคาำ คลอ้ งจอง การเขียนโคลง นั ท์ กาพย์ กลอน .................. ามารถพดู เล่าเรือ่ ง แ ดงความคิดเ น็ อ ิปราย โต้วาทไี ด้ดี .................. นใจรว่ มกิจกรรมเกี่ยวกับการฟงั การพดู การอา่ น และการเขยี น ..................ชอบเขยี นบันทึกประจาำ วนั เรอ่ื ง ้ัน นวนยิ าย วาร าร นัง อื พมิ พ์ ลกั ษณะ ้มปี �ด�้ นมติ ิสมั พันธ์ ..................ชอบขีดเขยี นรูป าพ เ ้นตา่ งๆ ตาม มุด นงั อื เรยี น ..................วาด าพไดด้ ี ..................จาำ เ ้นทาง ทิศทาง ทคี่ ุ้นเคยได้ดี ..................ดูรปู าพ แผน มู ิ แผนทแ่ี ล้วเขา้ ใจ อธบิ ายได้ดีกว่าใ อ้ า่ น นัง ือ .................. นใจเลอื กเขา้ รว่ มกิจกรรมเก่ียวกับศลิ ปะ การออกแบบ ..................ชอบดู าพยนตร์ าพเคล่อื นไ ว และ อื่ ทาง ายตาอื่นๆ ..................ชอบเลน่ เกม ์ทีเ่ ก่ียวกับรปู าพ รปู ทรง การตดั ต่อ .................. นใจการออกแบบ ร้างรูปทรงต่างๆ เช่น เป็นบล็อก โลโก้ และ ามมติ ิ เปน็ ตน้ ..................มีความ ามารถในการจาำ แนก ี ใช้ ี และระบาย ี ..................มคี วามจาำ และจินตนาการทีเ่ น็ เปน็ าพได้ชัดเจน ลักษณะ ้มีป �ด้�นมนษุ ยสัมพันธ์ .....................ชอบการพดู คยุ กบั เพ่อื น อย่ไู ม่ ุขระ วา่ งเรยี น .....................มักใชเ้ วลารวมกลุ่ม ัง รรค์ เลน่ รวมกล่มุ กบั เพื่อนๆ .....................ชอบแ ดงตัว เ นอตัว รอื อา าใ ้บรกิ ารแกค่ รู อาจารย์ และ เพอ่ื นๆ .....................ชอบคบเพอ่ื น ลายๆ คน .....................เปน็ ทีร่ ู้จกั มักคนุ้ ของเพ่ือนๆ นกั เรยี น ว่ นใ ญ่

ท ษ ีพ ปุ ญญา ( e r ti e nte i en e ) 61 .....................ชอบเล่นเกม ท์ เี่ ล่นเปน็ กลมุ่ รอื ทมี มากก า่ เล่นคนเดีย .....................มีค าม ามาถในการจงู ใจ และเปน็ ผู้นำาในการปฏบิ ัติกจิ กรรม ของกลมุ่ .....................เลอื กปฏบิ ัตกิ จิ กรรมทเี่ ป็นกลุม่ รือเกี่ย ข้องกบั บริการ งั คม การนันทนาการ .....................มคี าม ามารถเดน่ ในการเก็บ จาำ ตีค าม ี น้า ทา่ ทาง นา้ำ เ ียง อารมณ์ ค ามรู้ ึกของผูอ้ น่ื .....................มคี าม ามารถในการประ านงาน ประนีประนอม และลดค าม ขัดแย้งระ ่างบคุ คลและกลุ่ม ลักษณะ ม้ ีป �ด�้ นธรรมช�ตแิ ดล้อม ..................ชอบ ังเกตพฤตกิ รรม ค ามเปลี่ยนแปลงของ ิ่งมชี ี ิต เช่น ตั ์ และต้นไม้ เป็นต้น .................. ามารถจัด ม ด มู่ จาำ แนกประเ ทของ ัต ์ พชื ไดด้ ี .................. ามารถเปรียบเทียบและบรรยายลัก ณะค ามแตกต่างของพืช และ ัต ต์ า่ งๆ อย่างชัดเจน ..................เรยี นไดด้ ีใน ชิ า รือเรอ่ื งรา ที่เก่ยี กับธรรมชาติ ชี ทิ ยา พืช ัต ์ .................. นใจเข้าร่ มกจิ กรรมทีเ่ ก่ีย กบั ทั น กึ าธรรมชาติ การอนุรกั ์ งิ่ แ ดลอ้ ม การปลกู พชื เ ้ียง ตั ์ ..................ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม รือทาำ งานในทีก่ ลางแจ้ง รือทีๆ่ แ ดลอ้ มด้ ย ธรรมชาติไดด้ ีก ่าใน ้องเรยี น รอื ที่ๆ มีผู้คน นาแน่น ..................ชอบงานอดิเรกที่เกี่ย กับการ ึก า คน้ ค า้ ทดลอง ะ ม เกย่ี กบั ัต ์ พืช ั ดุธรรมชาติ .................. ามารถเชอื่ มโยงค าม ัมพนั ธ์ของ งิ่ มีชี ิตต่างๆ ใน าพ แ ดลอ้ มทางธรรมขาติได้ เลยี นเ ียง ัต ์ และกริ ิยาท่าทางของ ัต ์ รือตน้ ไม้ ใบไม้ได้ .................. ามารถระบุถึงผลกระทบการเปล่ีนแปลงของ าพแ ดล้อมทาง ธรรมชาตทิ ีม่ ตี อ่ มนุ ย์และ ิ่งมชี ี ติ อื่นๆ ได้

62 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม ลกั ษณะ ม้ ีป �ด�้ นก�รเ ้� จตนเอง ..................มกั ชอบเลือก ึก า คน้ ค า้ ทำางานตามลำาพงั มากก า่ ทาำ งานร่ ม กบั ผ้อู น่ื ..................ชอบใช้เ ลา ่างทาำ กจิ กรรม รอื ทาำ งานอดเิ รกตามลาำ พงั .................. ามารถบรรยาย รือ ะทอ้ นค ามรู้ ึกของตนเองไดอ้ ย่างชดั เจน ..................เปน็ ตั ของตั เอง และรกั ค ามมอี ิ ระ .................. ามารถระบุจดุ เด่น จดุ ด้อยของตนเองได้ตรงตามค ามเปน็ จรงิ และค ามรู้ ึก ..................เมื่อมอบ มายใ ท้ าำ งานตามลาำ พัง จะทาำ ได้ดีก า่ ทาำ ร่ มกบั ผู้อื่น ..................ชอบจดบันทกึ เ ตกุ ารณ์ ะทอ้ นค ามรู้ กึ และใ อดุ มคติ .................. นใจและมีค าม ามารถในการ างแผน และจัดการตนเอง ..................มีค ามรู้ กึ าค มู ใิ จในตนเอง ..................มีค าม ุขมุ ตระ นกั ในค าม ามารถ และ ักย าพของตนเอง ลักษณะ ้มีป �ด้�นก�รคดิ คร่คร ..................ชอบกิจกรรมทีเ่ ปน็ การค้นค ้า ทดลอง า าเ ตแุ ละผลต่างๆ ..................มีค าม ามารถคดิ และ ิเคราะ ์ไดด้ ี .................. ามารถอธบิ ายปรากฏการณ์ต่างๆ ถึงทีม่ าและค ามเป็นไปได้ อยา่ ง มเ ตผุ ล ..................ชอบอา่ น นงั อื พ กปรชั ญาตา่ งๆ รือ ลักคำา อนใน า นา ..................มีจินตนาการในปรากฏการณต์ ่างๆ ทเี่ นอื ธรรมชาติ ..................ชอบ นทนากบั ผใู้ ญ่ รอื ผทู้ ่โี ตก ่า .................. ามารถ ิพาก ิจารณ์ แ ดงค ามคิดเ ็นได้อย่างตรงไปตรงมา ..................มีค ามเช่อื ม่ันในตนเอง และ ลักการคิดของตนเอง

ท ษ พี ปุ ญญา ( e r ti e nte i en e ) 63 สรุป นอกเ นือจากทฤ ฎพี ปุ ัญญาดงั กลา่ วข้างตน้ แลว้ ผูท้ ี่เปน็ นกั ดนตรบี าำ บดั ต้องรใู้ นทฤ ฎอี ่นื ๆ อีก ลาก ลาย เชน่ ทฤ ฎีของบรูเนอร์ ทฤ ฎขี องเพยี เจต์ ทฤ ฎีของฟรอยด์ และทฤ ฎขี องอริ คิ ัน เปน็ ตน้ เพ่อื ามารถผ มผ านแนวคดิ ในทฤ ฎีตา่ งๆ ข้างตน้ ซง่ึ จะเปน็ ประโยชน์ต่อการประยุกตใ์ ช้ ในการเขา้ ใจผู้เขา้ รับการบำาบดั รกั าตอ่ ไปได้

64 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม เอก �รอ�้ งองิ ค �ม ล�ดท�งอ�รมณ.์ ที่มา . . . . บื คน้ นั ท่ี 1กรกฏาคม 2556. ท ีพ ุป � ด้�น. ที่มา . . 30129. บื คน้ ันท่ี 1 กรกฏาคม 2556. แบบทด อบพ ปุ �. ท่มี า . . . 20 . ืบค้น นั ที่ 1 กรกฏาคม 2556. นิ า เรช. 2550 . อจั ริยะ ร้�ง ด้. กรงุ เทพฯ ไทยยูเน่ยี นกราฟฟก .์ นธดิ า เกยูร ง ์ และคณะ. 2546 . ร�ยง�นก�ร จิ ยั เรอ่ งก�รพั น� ลัก ตรและ ลดระยะเ ล�เรียนและเพิ่ม ประ บก�รณ์ �ำ รบั นักเรยี นทม่ี ีค �ม �ม�ร พเิ ด�้ นภ� �องั ก ระดบั มธั ยม ึก �ตอนปล�ย. กรงุ เทพฯ ำานักงาน คณะกรรมการการ กึ าแ ง่ ชาติ าำ นกั นายกรั มนตรี. . 1997 . ..

บ ดนตรบี ำ�บัด ดนตรี คอื ลัก ณะของเ ยี งที่ไดร้ ับการจัดเรียบเรียงไ อ้ ย่างเปน็ ระเบียบเรียบร้อย โดยมีแบบแผน และโครง รา้ งชดั เจน ามารถนำามาใช้ประโยชน์ได้ 3 ดา้ นใ ญ่ๆ คือ เพื่อค าม นุ ทรยี า ตร์ เพ่ือการบำาบดั รัก า และเพ่อื การ ึก าเปน็ ิชาชพี ภาพ วามสขุ จากการ งดนตรี ดนตรี มผี ลตอ่ การเปล่ียนแปลงของร่างกาย จิตใจ และการทำางานของ มองใน ลายๆ ด้าน จากการ กึ า จิ ยั พบ ่า มีผลดังน้ี ล องดนตรีต่อร่�งก�ย ามารถทำาใ ้เกิดการเปล่ยี นแปลงของ อตั ราการ ายใจ อตั ราการเตน้ ของชีพจร ค ามดนั โล ิต การตอบ นองของมา่ นตา ค ามตึงตั ของกลา้ มเน้ือ และการไ ลเ ียนเลือด ล องดนตรตี ่อจิต จและสมอง ามารถทาำ ใ ้เกิดการเปลีย่ นแปลงของ อารมณ์ ติ มั ปชัญญะ จนิ ตนาการ การรับรู้ าพค ามเป็นจริง และการ ่อื ารทาง อ ัจนะ า า

66 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม ค �มหม�ย องดนตรบี �ำ บัด ดนตรบี ำาบัด เป็นกระบ นการนาำ ดนตรี รือองคป์ ระกอบ อนื่ ๆ ทางดนตรี มาประยุกต์ใช้เพอื่ การปรบั เปล่ยี น พัฒนา บาำ บัดฟนฟูเยยี ยาทางดา้ น รา่ งกาย จิตใจ อารมณ์ และ งั คมของผู้ป ยและบุคคลทั่ ไปทีม่ คี ามเครียด ดนตรจี ะ ทาำ ใ ้อารมณด์ า้ นลบทีถ่ กู เก็บไ ้ในร่างกายและจิตใจถูกเปดออก และนำามาแปรเปลย่ี น ไปในเชิง รา้ ง รรค์ เมื่อได้รบั การดแู ลจากกระบ นการทเ่ี มาะ ม ก่อใ เ้ กดิ กาำ ลงั ใจ และค้นพบ า ะ มดลุ ทางอารมณ์ อันจะนาำ ไป ู่การเผชิญกับปญั าและต่อ ู้กบั โรค ัยได้ โดยนกั ดนตรบี าำ บัดเปน็ ผดู้ ำาเนินการ โดยอาจจะอยู่ในรูปการฟังดนตรี รือเล่น ก็ได้ อดคลอ้ งกับ ท ี กั ดิ ิริรัตนเ์ รขา ได้กล่า ่า ดนตรบี าำ บดั คือ า ตรท์ ่ี ่าด้ ย การนาำ ดนตรี รอื องคป์ ระกอบอื่นๆ ทางดนตรี มาประยุกตใ์ ชเ้ พ่อื ปรบั เปลีย่ น พัฒนา และคงรกั าไ ซ้ ่งึ ขุ า ะของรา่ งกาย จติ ใจ อารมณ์ งั คม โดย นักดนตรีบาำ บดั เปน็ ผูด้ าำ เนนิ การไป เู่ ปา้ มายทตี่ ัง้ ไ ้ ผา่ นทางกิจกรรมทางดนตรตี า่ งๆ อย่างมรี ปู แบบโครง ร้างทีช่ ัดเจน มี ลักเกณ ์ และระเบียบ ธิ ที าง ิทยา า ตร์ นอกจากน้ี มาคมดนตรบี าำ บดั อเมรกิ า รอื ใชต้ ั ย่อ ไดก้ าำ นดค าม มายของดนตรบี าำ บดั า่ เปน็ การใช้ ดนตรโี ดยผทู้ ีผ่ ่านการ ก น เพื่อทำาใ เ้ กิดการเปลี่ยนแปลงในทางทีด่ ีข้ึน ท้งั ทางดา้ น รา่ งกาย จติ ใจ การรับรู้ รอื ทกั ะการเขา้ งั คม ในบคุ คลที่มปี ญั าทาง ขุ าพ รอื การ กึ า ซงึ่ ถอดค ามจาก 1998 ทก่ี ล่า า่ “ ” ดงั น้นั เป้า มายของดนตรบี าำ บดั ไม่ไดเ้ นน้ ท่ที กั ะทางด้านดนตรี แตจ่ ะมงุ่ เนน้ ดา้ นพัฒนาการทางร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ ังคม ข้ึนอยู่กับ าพและค ามจำาเป็นของ แต่ละบคุ คลท่ีมารับการบำาบัด การนำาดนตรมี าใชป้ ระโยชน์อ่นื ๆ นอกจาก รา้ งค ามร่นื รมยไ์ ม่ไดเ้ พ่งิ เกดิ ขึ้น จาก ลกั านมากมายท่ีคน้ พบแ ดงใ ้เ ็น ่า ดนตรผี กู พันกับมนุ ย์มาต้ังแต่ยุค

ดนตรบี าำ บดั 67 ิน ซึ่งชนเผ่าพน้ื เมอื งท่ั โลกได้ใช้ดนตรีประกอบพธิ กี รรมต่าง ๆ ใชใ้ นการเต้นรำา มกี าร นง่ั ลอ้ ม งรอบกองไฟ และร้องเพลง พรอ้ มกับเตน้ ไปรอบ ๆ กองไฟ ร มทง้ั ใชใ้ นการ เยยี ยารัก าโรค าำ รบั ลกั านทางการแพทย์ นายแพทย์ชา ดทั ช์ ไดบ้ ันทึกไ ใ้ นป 1960 า่ เ ียงดนตรชี ่ ยบำาบดั ลดการเจบ็ ป ดระ า่ งการคลอด รอื ในกรณีที่มีค ามเจ็บป ด มาก จะมีการนำาดนตรคี ลา กิ มาใช้แทนยากลอ่ มประ าท รอื ยาลดอาการป ดได้ อย่างมีประ ิทธิ าพ ต่อมาป 1970 ไดม้ นี กั ดนตรีเร่ิมทาำ ดนตรีแน ใ มใ่ นลกั ณะของ “ ” ข้ึนมาโดยมีจดุ ประ งค์ เพ่ือใ ้ผู้ฟงั รู้ ึกผอ่ นคลาย ร้าง มดลุ ของ รา่ งกาย จติ ใจ และอารมณ์เขา้ ด้ ยกนั ดนตรี ไตล์นีน้ ิยมนาำ ไปใชป้ ระกอบการนงั่ มาธิ เลน่ โยคะ รือใน ปา ตั อย่างเช่นดนตรที ี่เรารู้จักกนั ดีในชือ่ นอกจากนี้ โก ทิ ย์ ขันธ ริ ิ 2550 288 291 ไดก้ ล่า ถงึ “ผล ะท้อนของ เพลงพืน้ เมืองตอ่ การรัก าทางจิตใจ” ไ อ้ ยา่ งนา่ นใจดงั นี้ ดนตรนี ้ันไม่ ่าดนตรปี ระเ ทอะไร ทาำ ใ ้เรารู้ ึก บายใจ ผ่อนคลายอารมณ์ และทาำ ใ ร้ ู้ กึ งบ ซง่ึ ค ามรู้ ึกเ ลา่ น้ี กเ็ ทา่ กับเราไดผ้ ่อนคลายค ามตงึ เครยี ดของ อารมณแ์ ละค ามกัง ล นอกจากนด้ี นตรียังมปี ระโยชนท์ างออ้ มคือ เป็น ิ่งท่ีช่ ยใ ้ มนุ ย์ได้แ ดงถึงค ามรู้ ึกและค ามต้องการท่ี าพแ ดล้อมในชี ิตจริงไม่อาจอำาน ย ใ ้ทาำ ได้ ซึ่งในการ เิ คราะ ง์ านเพลง รือดนตรนี ้นั มี ลาย ิธี ใน ่ นประกอบของเพลง รือดนตรที ี่มีผล ะทอ้ นทางจิตใจกับมนุ ย์ ไดแ้ ก่ เนอ้ื รอ้ ง ทาำ นองเพลง จงั ะเพลง การใช้เครื่องดนตรีในเพลง และรปู แบบในการประพนั ธเ์ พลงนกั ดนตรีแตล่ ะคน ซงึ่ ามารถรบั รู้ได้ด้ ย “คอร์ด ” ของเพลง ซ่งึ โดยปกติคอรด์ นั้นจะเริม่ ตน้ และไล่ ข้นึ เร่ือยไป เชน่ ในคีย์ เมเจอร์ การไล่ข้ึนของคอรด์ จะเป็น 7 และจบด้ ย คอรด์ โดยในเพลงน้ีมแี ค่ 4 คอร์ด แตม่ คี าม ัมพนั ธ์กนั เมือ่ ไดย้ ินซา้ำ ๆ กนั จะทาำ ใ ้ ผู้ฟังเกิดค ามรุ้ กึ ของการเคลอื่ นไ ค ามต่นื เตน้ ตลอดจนเกดิ ค ามรู้ กึ ครบถ้ น มบรู ณ์ เชน่ ในเพลง ของ และ เปน็ เพลงพน้ื เมือง มีเนอ้ื เพลงเต็มไปด้ ยค ามไม่พอใจ และแ ดงค ามตอ้ งการ ใน งั คม า่ ต้องการเ รี าพ ค ามยตุ ธิ รรม และค ามรัก เนื้อเพลงมคี าำ ่า คอ้ น ระ ัง และแ ดงถึงชนช้นั กรรมกร เพลงมีแรง รัทธาใน า นาและการแ ดงออกของ มูค่ ณะ

68 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ เพลงน้ีแ ดงใ เ้ ็นถึงค ามตอ้ งการเปล่ียนแปลง งั คม เพราะเกดิ ค ามรุ้ ึกขดั แย้งและ อึดอัดเก่ยี กับปญั าทีเ่ ผชญิ อยู่ ซง่ึ คอรด์ และ เป็นคอร์ดเมเจอร์ ก่อใ เ้ กดิ ค ามรู้ กึ ถึงค าม มบรู ณ์และค ามเตม็ เปยม ซ่ึงเพลงนตี้ อ้ งการค ามรู้ กึ แบบน้ี ่ นคอรด์ เรียก า่ คอร์ดไมเนอร์ ซง่ึ ทำาใ ้เกดิ เ ยี งท่ีผิดไป ตลอดจนค ามรู้ ึกผดิ ไปด้ ย เพราะคอรด์ ไมเนอร์แ ดงถึงค ามเข้มง ดและค ามไม่ มบูรณ์ รู้ ึก ่ามอี ะไรขาด ายไป ดังนนั้ คอร์ดไมเนอรก์ จ็ ะใชใ้ นเพลงที่ต้องการเน้นและ แ ดงออกถงึ ค ามไม่พอใจ ขดั ข้องใจ ค ามเ รา้ โ ก ทาำ ใ เ้ พลงทม่ี ีทัง้ คอรด์ เมเจอรแ์ ละ คอรด์ ไมเนอร์เลน่ ลบั กนั จะบง่ บอกถึงอารมณ์เพลง า่ มกี ารเปลี่ยนแปลงอยา่ งร ดเร็ และบางครั้งไม่มน่ั คงแนน่ อน พร้อมกนั นั้นยังแ ดงถึงการมคี าม ังด้ ย ่ นคอรด์ 7 เรียก า่ คอร์ดทบเจ็ด 7 ซงึ่ แ ดงถึงค ามไม่ มบรู ณ์ แต่คอรด์ น้ตี ่างกบั คอร์ด ไมเนอร์ เพราะคอรด์ นีไ้ ม่แ ดงถึงค ามรู้ กึ ิน้ ัง แต่เป็นคอร์ดทเ่ี รยี กรอ้ งใ เ้ กดิ ค าม มบรู ณ์ ดังนั้นคอร์ดทบเจ็ดจงึ เรียกอีกอย่าง า่ คอร์ดนำา รือลีดดิงคอรด์ เพราะคอรด์ นี้ทำาใ เ้ รารู้ ึก า่ ยังมอี ะไรตามมาอกี นอกจากนยี้ ังนาำ มาซึง่ ค าม รู้ ึกพงึ พอใจแก่ผู้ฟงั ด้ ย โดยเพลงพ้นื เมืองชนดิ นีเ้ รียก ่า “โฟล์ก ปริชั ” แต่งขึ้นเพ่อื ือ่ ถงึ ค ามตอ้ งการของมนุ ยท์ ่จี ะแกป้ ัญ า ไดแ้ ก่ ปญั าทาง า นา และปญั าของชมุ ชนท่ีต้องการค ามเปน็ อย่ทู ด่ี กี า่ ปจั จุบัน ซ่งึ พบเ น็ ได้ทั่ ไปใน ังคม ปัจุบัน ดังนั้นเพลงประเ ทน้ีมีผล ะทอ้ นทางจติ ใจแก่มนุ ยใ์ ล้ ุกขน้ึ กู้ บั ชี ติ ต่อไป ประ ยชน์ องดนตรบี �ำ บัด ดนตรีบาำ บดั ามารถใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ลาก ลายรูปแบบ ใช้ไดท้ ัง้ ใน ยั เดก็ ยั รนุ่ ยั ผู้ใ ญ่ และผู้ งู อายุ เพอื่ นองตอบค ามจาำ เปน็ ท่แี ตกต่างกันไป ท้งั ทางรา่ งกาย และจิตใจ เช่น ปญั าพัฒนาการบกพรอ่ ง โรคซมึ เ ร้า โรคอัลไซเมอร์ ปัญ าการบาด เจบ็ ทาง มอง ค ามพกิ ารทางกาย อาการเจบ็ ป ด รอื ำา รบั คนปกตทิ ่ั ไป ก็ ามารถ ใช้ประโยชน์จากดนตรีบาำ บดั เพอ่ื ผอ่ นคลายค ามตึงเครยี ด รอื เพอ่ื ปลดปล่อยอารมณ์ ได้เช่นเดยี กนั ซ่ึง อดคลอ้ งกบั . . ท่ีกล่า ่า ดนตรีบาำ บดั ามารถนำาไปใชเ้ พ่อื ่งเ รมิ ุข าพ จัดการค ามเครยี ด บรรเทาอาการ ป ด ระบายค ามรู้ ึก ยกระดับค ามจาำ พฒั นาการ ่ือ าร และ ง่ เ รมิ การฟนฟู

ดนตรีบาำ บดั 69 มรรถ าพทางร่างกาย ซ่งึ ผทู้ ไี่ ด้ประโยชน์จากดนตรีบำาบดั คือ คนทกุ เพ ทกุ ัยตัง้ แต่ ทารกจนถึงผู้ งู อายุ ท่มี คี ามตอ้ งการ รอื ปัญ าด้าน ุข าพจิต พัฒนาการบกพรอ่ ง การเรียนร้บู กพรอ่ ง มองเ ื่อมและ า ะอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ยี ขอ้ งกบั อายุ ปญั า ารเ พติด การบาดเจบ็ ท่ี มอง พิการทางร่างกาย อาการป ดเ ยี บพลนั และเรื้อรงั ร มท้ังมารดา ในระยะคลอดลูก ก�รจัดก�รศึกษ� ชิ �ดนตรบี ำ�บัด าำ รับม า ิทยาลยั ท่เี ปด อน ลกั ูตรดนตรีบาำ บดั รอื ที่ เป็นแ ง่ แรกของโลก คือ เปด อนในป ค. .1944 แต่ในป ค. .2011 คณะนี้ไดป้ ดตั ลงแล้ เนอ่ื งจากปัญ าการถกู ตัดงบประมาณ ดงั นนั้ จะเ ็นได้ ่า ดนตรีบาำ บัดเรมิ่ มาใช้รกั าอยา่ งจริงจงั เมอื่ ไมน่ าน ซง่ึ นบั จากทมี่ า ทิ ยาลยั มิชิแกนเปด อน ถึงป ค. .2013 ไม่ถงึ 70 ป และเม่อื เปรียบเทยี บ กบั จิต ทิ ยาทีม่ ีมานาน ซ่ึงเริม่ คิดค้นโดย เพลโต และ อริ โตเติล และต่อมาก็มาเป็น ซิกมันด์ ฟรอยด์ และอีก ลายๆ คนที่รจู้ กั กนั แต่ทกุ คนทคี่ ดิ คน้ ทฤ ฏจี ติ ทิ ยาตา่ งเ ีย ชี ติ กัน มดแล้ แต่ถ้าเปรยี บเทยี บกับ ลายคนทีค่ ดิ คน้ ทฤ ฏีของดนตรบี าำ บัด บางคน พึง่ จะเ ียชี ิตไปเมอ่ื ปทแี่ ล้ บางคนก็ยังเขียน นงั ืออยู่ ทาำ ใ ้ าขา ิชาดนตรีบำาบัดนี้ เป็น าขาที่ใ ม่ เมอื่ เทียบกบั าขาจิต ิทยา ซงึ่ ปัจจบุ ันมีการเรยี กชอ่ื รอื าขา ชิ าทาง ดนตรบี าำ บดั ในอเมรกิ า เชน่ และ เป็นต้น ถานท่ีทาำ งานของนกั ดนตรีบาำ บดั ซึ่ง ลายๆ คนอาจจะเขา้ ใจ า่ เม่อื มาเป็นนกั ดนตรบี ำาบดั แล้ กจ็ ะต้องเขา้ ทำางานในโรงพยาบาล แต่จริงๆ แล้ โรงพยาบาลก็เป็น นง่ึ ใน ถานทีท่ ่ีนกั ดนตรีบาำ บดั เข้าไปทำางาน ใน รั อเมรกิ า ามารถ ทำางานในโรงพยาบาลจติ เ ช ถานทฟ่ี นฟู มรรถ าพ โรงพยาบาลแพทยค์ ลนิ ิกผู้ป ย นอก นู ย์การรกั า น่ ยงานทีใ่ ้บริการคนพกิ ารพัฒนาการ นู ย์ ุข าพจติ ชุมชน ูนย์ยาเ พตดิ และแอลกอ อล์ โปรแกรม ำา รับผ้อู า ุโ บ้านพักคนชรา ูนยพ์ กั

70 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม ระยะ ุดท้าย รือผทู้ ีใ่ กล้เ ียชี ิต ราชทณั ์ ท ารผ่าน ึก บา้ น โรงเรยี น และการ ปฏิบัติ ่ นตั รอื การออกมาทาำ เองโดยไม่ไดข้ น้ึ อยกู่ ับองคก์ รใดๆ รือทีเ่ รยี กกัน า่ ก็ได้ ปจั จบุ นั การรบั รองทาง ทิ ยา า ตรแ์ ละ ชิ าการ ตอนนถ้ี งึ แม้ กำาลังเขา้ มามีบทบาท แต่ยงั ไม่ไดเ้ ป็นทร่ี ู้จักกนั อย่างเป็น งก ้างนกั ท า่ ไดม้ ีการ ิจยั ลายๆ งาน จิ ัย ท่ีออกมา นบั นนุ การใช้ดนตรใี นการบาำ บดั โรค ลายชนิด ร มไปถงึ ทาง ไดอ้ อกตพี มิ พ์ าร ารงาน จิ ยั ตา่ งๆ ที่นัก ิชาการอนั ร มไปถงึ ตั เองท่ีทาำ การ ิจัยเอาไ เ้ พ่อื ใช้เปน็ ขอ้ มลู และแน ทางในการรัก า าร ารที่ ตีพิมพน์ ัน้ เช่น เปน็ ต้น ลกั ษณะเดน่ องดนตรีบำ�บัด ดนตรบี ำาบัดมีลัก ณะเดน่ เ พาะตั ลายดา้ น ทาำ ใ ้ ามารถประยุกต์ใช้ไดใ้ น ทุกระดบั อายุ และ ลาก ลายปัญ า ลกั ณะเด่น ไดแ้ ก่ 1 ประยุกตเ์ ขา้ กบั ระดบั ค าม ามารถของบคุ คลไดง้ า่ ย 2 กระตนุ้ การทำางานของ มองได้ ลาย ่ น 3 กระตุ้นและ ่งเ ริมพัฒนาการทกุ ด้าน 4 ช่ ยพัฒนาอารมณ์ และจิตใจ 5 เ ริม ร้างทกั ะทาง งั คม และการ ื่อ าร 6 ใ ้การรับรู้ท่มี ีค าม มาย และค าม นุก นาน ไปพรอ้ มกัน 7 ประ บค าม ำาเร็จในการบำาบัดได้ง่าย เนื่องจากประยุกต์ใช้ได้ ทกุ เพ ทกุ ัย ทุกระดับค าม ามารถ หน�้ ท่ี องดนตรีบ�ำ บัด 1 ปรบั าพจิตใจใ ้ มดลุ 2 ผอ่ นคลายค ามตึงเครียด ลดค าม ติ กกงั ล 3 กระตนุ้ เ ริม รา้ ง และพัฒนาทัก ะการเรียนรู้ และเ ริม ร้าง ค ามจาำ

ดนตรีบาำ บัด 71 4 กระตนุ้ ประ าท ัมผั 5 เ ริม รา้ ง มาธิ 6 พัฒนาทกั ะทาง งั คม 7 พฒั นาทกั ะการ อื่ ารและการใช้ า า 8 พฒั นาทกั ะการเคลอื่ นไ ว 9 ลดความตึงตัวของกลา้ มเนอื้ 10 ลดอาการเจ็บปวดจาก าเ ตุตา่ ง ๆ 11 ปรับลดพฤติกรรมทไี่ มเ่ มาะ ม 12 รา้ ง ัมพนั ธ าพท่ีดใี นการบำาบัดรัก าตา่ ง ๆ 13 ช่วยเ รมิ ร้างในกระบวนการบาำ บัดทางจิตเวช ทัง้ ในการประเมนิ ความรู้ กึ รา้ งเ รมิ อารมณเ์ ชิงบวก การควบคุมตนเอง การแก้ปมขัดแยง้ ตา่ ง ๆ องค์ประกอบ องดนตรีกบั ก�รประยุกต์ ช้ นก�รบำ�บดั 1 จงั วะ ชว่ ยเ รมิ รา้ ง มาธิ และชว่ ยใ เ้ กดิ ความผอ่ นคลาย 2 ระดบั เ ยี ง เ ยี งในระดบั ูงปานกลาง จะช่วยใ ้เกิดความ รู้ ึก งบ 3 ความดงั เ ียงเบานุ่มทำาใ เ้ กดิ ความ งบ บายใจ ว่ นเ ยี งดังทาำ ใ เ้ กดิ การเกรง็ กระตุกของกลา้ มเนอ้ื ได้ ความดงั ทเ่ี มาะ มจะ ช่วย รา้ งระเบียบในการควบคุมตนเองไดด้ ี 4 ทำานองเพลง ช่วยในการระบายความรู้ ึก ่วนลกึ ของ จิตใจ ทาำ ใ เ้ กิดความริเร่มิ รา้ ง รรค์และลดความวติ กกังวล 5 การประ านเ ยี ง ชว่ ยในการวัดระดับอารมณค์ วาม รู้ กึ ได้ โดยดจู ากปฏิกริยาท่แี ดงออกมาเม่อื ฟังเ ยี งประ านต่าง ๆ จากเพลง โดยทั่วไปแล้ว การทำาดนตรีบำาบัด ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ทั้งนี้นัก ดนตรบี าำ บดั จะออกแบบใ ้เ มาะ มกับแตล่ ะบุคคล โดยเริ่มจากการประเมนิ ผู้รบั การ บำาบัด แลว้ คอ่ ยวางแผนการบาำ บดั ตามลาำ ดบั พร้อมเลือกลัก ณะดนตรีใ เ้ มาะ มกับ แต่ละรายไป

72 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม กระบ นก�รและรปแบบดนตรีบำ�บัด ในการทาำ ดนตรบี าำ บัด ไม่มีกระบ นการและรปู แบบทีต่ ายตั แตจ่ ะ ต้องออกแบบการบาำ บัดรัก าใ เ้ มาะ มกับแตล่ ะบุคคล และตาม าพปญั า มีการ างแผนการบำาบดั รายบุคคล โดยมีข้นั ตอน ลักๆ ดังน้ี ก�รประเมิน ร้ ับก�รบ�ำ บัดรกั ษ� กึ าขอ้ มลู ประ ตั ิ ่ นตั และประ ตั ิทางการแพทย์ ประเมินปญั าและเปา้ มายท่ีต้องการบำาบดั ประเมิน ุข า ะทางร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ ังคม และ ทกั ะการคดิ �งแ นก�รบ�ำ บดั รักษ� ออกแบบโปรแกรมที่เ มาะ มเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม โดยยดึ เป้า มายเปน็ าำ คัญ รูปแบบผ มผ านกระบ นการต่าง ๆ ทางดนตรี เชน่ ร้อง เพลง แตง่ เพลง ประ านเ ยี งจินตนาการตาม รือลลี าประกอบ เปน็ ต้น ด�ำ เนนิ ก�รบำ�บดั รกั ษ� ร้างค าม มั พันธร์ ะ า่ งผู้บาำ บดั กบั ผรู้ บั การบาำ บัด โดย ใช้ดนตรเี ปน็ ่ือ และทำาดนตรีบาำ บดั ร่ มกบั การบำาบดั รกั ารูปแบบอ่ืนๆ แบบบูรณาการ ประเมิน ลก�รบ�ำ บดั รักษ� ประเมนิ ผลอยา่ งตอ่ เนอ่ื งและปรบั แผนการบาำ บดั ใ มาะ ม นอกจากนี้ บุ กร บิณ นั ต์ 2553 86 87 ไดก้ ล่า ่า ดนตรบี าำ บดั มีค าม มั พนั ธก์ ับค ามรูพ้ ้นื านทน่ี กั ดนตรบี าำ บัดต้องเข้าใจ ไดแ้ ก่ พัฒนาการของมนุ ย์ทัง้ ทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ งั คม มองและ ติปัญญา ร มทงั้ เรื่องค ามพิการตา่ งๆ ของ มนุ ย์ เชน่ พิการทางการมองเ น็ พิการทางการไดย้ ิน และพกิ ารแบบซำ้าซอ้ น เปน็ ตน้ เนือ่ งจากเป็นเร่อื งทเ่ี กี่ย ขอ้ งกบั ร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของมนุ ย์ ร มถึงขอ้ บกพร่องและค ามพิการชนดิ ตา่ งๆ ทีผ่ ้เู รยี นดนตรบี าำ บดั ตอ้ งทราบ เพือ่ นาำ ไปใช้ในการ ดาำ เนินการ าคปฏบิ ตั ิ ซึ่งในการทำากิจกรรมดนตรีบาำ บดั นกั ดนตรีบาำ บัดต้องใชค้ ามรู้

ดนตรีบำาบดั 73 ตา่ งๆ มาประกอบกัน เพือ่ แกป้ ัญ าขอ้ บกพร่องแล้ แต่กรณี อันจะทำาใ เ้ กิดประโยชน์ แกผ่ ู้เขา้ รับการบำาบัดรัก ามากท่ี ดุ ภาพการรักษาดว้ ยดนตรบี าำ บดั ตั อย่�งก�ร ช้ดนตรบี ำ�บดั คณุ กชกร รอาคม กระบ นกร ลิ ป แ ่งกลุ่ม รือนกั ลิ ปะบาำ บดั ผู้นำากระบ นการด้าน ิลปะมาใช้เพอ่ื ฟนฟูเยีย ยา เลา่ ใ ้ฟังถงึ การทำางาน ด้าน ลิ ปะบาำ บดั ท่ีใช้ดนตรีมาผ มผ าน า่ “ ลักการเบอ้ื งต้นของดนตรบี าำ บดั คอื ดนตรี และ ลิ ปะ มนั จะดงึ ใ ้เรามาอยทู่ ่ีปจั จุบนั ไม่ า่ เขาจะเคยกลั กงั ลอะไรอยู่ ดนตรจี ะทาำ ใ ้ลมื เรือ่ งเ ล่าน้ัน ใ ้เขาไดเ้ ลน่ ไปกบั กระบ นการบำาบัด ไม่ ่าจะเป็นการเลน่ รอื ฟงั ดนตรีเล่นกับ ี เขาจะ คอ่ ยๆ เร่มิ ผอ่ นคลาย เรมิ่ นกุ จนลมื ขอ้ จำากดั รอื ค ามคดิ ตา่ ง ๆ ทเี่ คยมี แล้ เราก็จะ พาเขาเดนิ ทางไปพร้อมกับกระบ นการน้นั การทำางานของเราจะเนน้ ที่ ใชก้ ระบ นการเป็นพนื้ าน ร้างพืน้ ทท่ี างกาย ค บคูก่ ับการเปดท่ี า่ งทางใจใ ้ผู้ร่ ม โครงการ ไดเ้ ปดประ บการณจ์ รงิ ผ่านกิจกรรมตา่ ง ๆ ทผ่ี มผ านการใช้ ่ือทางทั น ิลปและดนตรี ทาำ ใ เ้ กิดแรงบันดาลใจ ค ามผอ่ นคลาย การปลดปลอ่ ย ปลอ่ ย าง และ การแ ดงออกถงึ อารมณ์ ค ามรู้ กึ ของแต่ละบคุ คล โดยรปู แบบกจิ กรรมตา่ ง ๆ จะ ่ง

74 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม ผลในการดูแลอารมณ์ ค ามรู้ กึ ตั เอง และการแ ดงออกตอ่ คนรอบข้าง และเป็นการ ่งเ รมิ ใ เ้ กิดพลังเชงิ บำาบัดตอ่ บคุ คล และการ ร้างพลังการบาำ บัดเชงิ กลมุ่ ” “กระบ นการทใ่ี ช้ดนตรจี ะใชใ้ นเชิงก า้ งใ ้เกดิ การร มกล่มุ ซง่ึ เรา จะใช้เคร่อื งเคาะเยอะ เพราะใช้ง่าย ามารถนำามาใช้ประกอบใ ้ผเู้ ข้าร่ ม ได้มี ่ นร่ ม ในการเล่นเครือ่ งดนตรี เพราะเราจะเน้นใ ้เขามี ่ นร่ ม 100 ซ่งึ การทาำ ไดป้ ระโยชนใ์ นแง่ที่ไดแ้ ชร์ค ามรู้ กึ ไดใ้ นเรือ่ งของค าม ลาก ลาย อย่าง เพลงและเคร่อื งดนตรีทีน่ าำ มาใช้ เพราะแตล่ ะคนกม็ ีค ามชอบต่างๆ กัน เราจะเน้นเปด ประ าท มั ผั ของเขา ท้ังการฟัง การ มั ผั ทางตา ทาง ู โดยจะใชท้ ง้ั ิลปะและดนตรี มาประกอบกัน” “ปจั จบุ นั การรัก าทางเลือก เริ่มมีบทบาทชัดเจน ่ามี ่ นช่ ยการ แพทยแ์ ผนปัจจบุ ัน เป็นการ ่ือ าร การดูแลไปถงึ ขุ าพ ของคนไข้ ำาคญั ไมน่ อ้ ยไปก ่า ขุ าพใจ เปน็ การเรยี นรู้เพื่อใ ้เกดิ ผล ตอนนตี้ ามโรง พยาบาลตา่ งๆ ก็เริม่ เ ็นค าม าำ คญั โดยนาำ ดนตรีและ ิลปะบาำ บัด เขา้ ไปเปน็ ่ นร่ ม ในการบาำ บดั รกั ามากขน้ึ การรกั าทางเลอื กนจ้ี ะไมเ่ ปน็ เพยี งแค่ เท่านนั้ แตค่ อื ของ ิลปบำาบดั ท่ีผ มผ านกันระ ่าง ิลปะ บาำ บดั ดนตรีบาำ บดั เพื่อ ร้าง า ะ มดุล ซงึ่ า ะ มดุลน้นั ไมใ่ ช่ า ะที่ดีที่ ดุ รือ แขง็ แรงท่ี ดุ แต่เป็น า ะ มดุลที่จะทาำ ใ ้ชี ติ นน้ั ามารถดำารงอยตู่ อ่ ไปอยา่ ง บายดี รือ บายใจ” ผู้ที่ นใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ย กับดนตรีบำาบัด ิลปะบำาบัด และ โครงการต่างๆ ามารถเข้าไปดขู อ้ มลู เพิ่มเติมไดท้ ี่ . .. ดนตรีบ�ำ บัด น รงพย�บ�ลและ รงเรยี น ในโรงพยาบาลตา่ งๆ มกี ารนาำ ดนตรีบำาบดั มาร่ มบูรณาการเขา้ กับ การบาำ บัดรกั าอืน่ ๆ เพ่อื เปา้ มายตา่ งๆ กนั ดงั ตั อย่างเช่น 1 กระตุ้น และ ง่ เ ริมพฒั นาการดา้ นต่างๆ 2 ช่ ยเ รมิ การเคล่ือนไ ร่างกายในการฟนฟู มรรถ าพ

ดนตรีบำาบดั 75 3 ลดพฤตกิ รรมทีไ่ มพ่ ึงประ งค์ เชน่ ก้า รา้ รนุ แรง อยไู่ ม่ น่ิง ร่ มกบั การทาำ พฤตกิ รรมบำาบดั และการใชย้ า 4 ช่ ยใ ้ งบและนอน ลบั ได้ ในผทู้ ม่ี คี ามกลั ค ามเครยี ด ร่ มกับการปรบั งิ่ แ ดล้อม และการใช้ยา 5 ปรบั เปล่ยี นอารมณ์ ร่ มกบั การใชย้ า และจิตบำาบัดใน โรคซึมเ รา้ 6 เ รมิ ในกระบ นการบาำ บดั ต่างๆ ทางจติ เ ช 7 ลดค ามเจบ็ ป ด ร่ มกบั การใชย้ าแกป้ ด าำ รบั ในโรงเรียนมีการนาำ ดนตรบี ำาบัดมาใชใ้ น 2 ด้านใ ญ่ๆ คอื 1 เ รมิ รา้ งจุดแข็งในตั เดก็ ในทกั ะดา้ นต่างๆ นอก เ นือจากทัก ะทางดนตรี เช่น ทกั ะการ ื่อ าร ทัก ะการทำางานประ าน มั พนั ธ์กัน ของร่างกาย เปน็ ตน้ 2 เ ริมในแผนการจัดการ ึก าเ พาะบุคคล าำ รับเด็กที่มีค ามตอ้ งการพิเ สรุป ดนตรบี าำ บดั จะใชแ้ ละมผี ลตอ่ มนุ ยเ์ รา ซง่ึ ามารถเ น็ ผลและ ดั ผลได้ 3 ลกั ณะ คือ 1 มีผลต่อคลนื่ มอง 2 มผี ลต่อการเตน้ ของ ั ใจ และ 3 มผี ลตอ่ จติ ใจ

76 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม เอกส�รอ้�งองิ โก ิทย์ ขนั ธ ริ .ิ 2550 . ดรุ ิย�งคศิลปตะ นั ตก เบองต้น . กรงุ เทพฯ จุ าลงกรณ์ ม า ทิ ยาลยั . ท ี กั ดิ ริ ิรตั นเ์ รขา. ดนตรบี ำ�บดั . ทีม่ า . . 06 . . ืบค้น นั ที่ 7 พฤ าคม 2556. บุ กร บณิ ันต.์ 2553 . ดนตรีบำ�บดั . กรงุ เทพฯ จุ าลงกรณ์ม า ิทยาลัย. ดนตรบี ำ�บดั . ที่มา .. . 25 09 2010 2 10. บื ค้นเมอ่ื 1 กรกฏาคม 2556. ภ�พก�รรักษ�ด้ ยดนตรบี �ำ บัด. ทมี่ า . . . บื ค้น ันที่ 1 กรกฏาคม 2556. ภ�พค �มสุ จ�กก�ร งดนตรี. ท่ีมา . . . บื คน้ นั ท่ี 1 กรกฏาคม 2556. สร�้ งสมดลุ ยช์ ี ิตด้ ยดนตรบี �ำ บดั . ทมี่ า .. 11095. . บื ค้น นั ท่ี 7 พฤ าคม 2556. . ที่มา . . . ืบค้น ัน ที่ 22 กรกฏาคม 2556.

บ ศิลปกรรมบ�ำ บดั ิลปะบาำ บัด รือ ิลปกรรมบำาบดั า ตร์ น่ึงท่ีถูกกลา่ ขาน มายา นานในต่างประเท ร มถึงประเท ไทย มี ลกั การ าำ คัญคอื การนาำ ิลปะมา บาำ บดั และเยยี ยาผ้ทู ข่ี าดค าม มดุลทง้ั ทางร่างกายและจติ ใจ โดยมีนัก ิลปะบาำ บดั เป็นผทู้ ำา นา้ ท่ีในการบาำ บัดร่ มกับการทำางานกับแพทย์ รปู แบบการ ทำางานมแี บบ ตดู โิ อ ่ นตั โรงเรยี น โรงพยาบาล และ ถานพยาบาลต่างๆ ลิ ปะบำาบดั แน ทางมนุ ยปรชั ญา ในต่างประเท เกดิ ขน้ึ รา ค. .1921 จาก แน คดิ ลกั มนุ ยปรชั ญา ของ รดู อลฟ์ ไตเนอร์ ค. .1861 1925 และ แพทย์ ญงิ อีธา เ กมัน ใน ตูดิโอ ลิ ปะบำาบัดเลก็ ๆ ของเธอและ ในคลินิกแพทย์เมืองอาร์เล ไ ม์ ประเท ติ เซอร์แลนด์ซึง่ รูดอล์ฟ ไตเนอร์ ไดเ้ นน้ เรื่องของ ีท่ีมผี ลตอ่ าพจิตใจ โดยการค้นค า้ ทาง ชิ าการและเรียบเรียงทฤ ฎี ขี อง เกอเธ่ และเช่อื มโยงกบั การแพทย์ ร มทั้งพฒั นาการของเดก็ ในการบาำ บัด ด้ ย ในประเท รั อเมริกาได้มีการนำางาน ิลปกรรมไปใช้ใน งการจิตเ ชกรรม ซงึ่ เรมิ่ ข้นึ ป ค. .1925 โดยนายแพทย์ โนแลน ด.ี ซ.ี ลิ อี . . ค. . 1889 1979 ซ่ึงเป็นผ้อู ำาน ยการ และ ไดต้ ีพมิ พ์บทค ามเรือ่ ง ลงั จากนน้ั ก็มผี ู้บกุ เบกิ การทำางานในเร่ืองน้อี กี ลายคน เชน่ มารก์ าเรต เนาม์บรู ก์ ค. .1890 1983 ซ่งึ เป็นผบู้ ญั ญตั ิ พั ท์ ขึ้นเมื่อป ค. .1947 และ อีดธี คราเมอร์ ค. .1916 ปจั จุบนั ซง่ึ เป็นผทู้ ่ปี ระกา ่า “ ิลปกรรมเป็น ธิ กี ารบาำ บดั า ะผิดปกตทิ างจิตใจโดยเอกเท ไม่ใช่เครือ่ งมือทาง จิตบาำ บัด” และเป็นผ้บู ัญญัติ ัพท์ รอื ิลปะเพอ่ื การบาำ บัด เพอื่ เลย่ี ง คำา ่า เปน็ ต้น

78 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ ำา รบั ในประเท ราชอาณาจกั ร มี เอเดรยี น ิลล์ เปน็ ผู้ บุกเบกิ ลิ ปกรรมบำาบัด โดยในป ค. .1951 ได้เขยี น นัง ือชอื่ และ แล้ เป็นประธาน ในประเท ไทย ไดม้ กี ารใ ค้ าม มายโดยการกล่า ไ ้ใน นงั อื “ ารานกุ รม ึก า า ตร”์ และในป พ. . 2539 ไดใ้ ค้ ำาจาำ กัดค ามของการบำาบดั ด้ ย ิลปะ มายถึง การใช้กจิ กรรม ลิ ปะ รือผลงาน ลิ ปะเพ่ือ จิ ยั าข้อบกพรอ่ งของ บุคคลที่กลไกการทำางานของร่างกาย ย่อน มรรถ าพซึ่งมี าเ ตุเนื่องมาจากค ามผิด ปกติบางประการของกระบ นการทางจิตและเพื่อใช้กิจกรรม ิลปะท่ีเ มาะ มช่ ยใน การรัก าใ ้มี าพดีขึน้ าำ รบั นัก ิลปกรรมบำาบัดของไทย เชน่ มจติ ร ไกร รี รือครู น่อย เปน็ ั นา้ นู ย์ าธติ ิลปกรรมบำาบัด ถาบันราชานกุ ลู โดยใ ้บริการรัก าเดก็ ดอ้ ยพฒั นา ทางจติ รอื ออทิ ตกิ โดยใช้ ลิ ปกรรมบำาบัดแบบกล่มุ เป็นต้น ทฤ ฎีในดา้ น ลิ ปะบาำ บัดท่ีใชก้ นั แพร่ ลายนนั้ มี ลายทฤ ฎี เชน่ ทฤ ฎีของ ซลิ เ อร์ 1978 ทฤ ฎขี อง เชค็ ท์แมน 1976 ทฤ ฎีของ อลู นิ 1979 และ ทฤ ฎขี อง ซงิ เกอร์ 1979 ในแตล่ ะทฤ ฎีจะใชต้ ่างกรณกี ัน เช่น ทฤ ฎีของซิลเ อร์ เนน้ การบำาบดั โดยใ เ้ ดก็ าำ ร จ และแ ง าจากกระบ นการทำางาน ลิ ปะ เนน้ รปู แบบทาง ลิ ปะ มากก า่ เน้อื า คอื เน้นที่ ี รปู ร่าง มากก า่ เร่อื งรา และมีผลในการปรับ มดลุ ด้าน อารมณข์ องเดก็ ่ นทฤ ฎขี องซงิ เกอร์ ใช้บำาบัดเด็ก ัยร่นุ ทม่ี คี ามบกพร่องดา้ นระบบ ประ าท ซง่ึ มีผลต่อ มรรถ าพดา้ นการเขียน อา่ น ด้านการเ ็น และการเคล่ือนไ ดงั น้ันกระบ นการบำาบดั จะใชก้ จิ กรรมทาง ลิ ปะเปน็ ลัก นอกจากนกี้ ารนำา ิลปะบาำ บดั มาใช้จะตอ้ งคำานึงถึงค ามพรอ้ มของผู้ทจ่ี ะเขา้ รับการบาำ บดั กอ่ น โดยดจู าก าพทาง อารมณ์ และการปรับตั กบั ่งิ แ ดลอ้ ม เนน้ ค ามเ มาะ มกบั ค ามตอ้ งการของแตล่ ะ คนเปน็ ลกั ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ 2543

ิลปกรรมบาำ บัด 79 าพศลิ ปะของเด็ก ก�ร ชศ้ ิลปะบ�ำ บดั กบั เดกพิเศษ เดกออทสิ ติก ควรคาำ นงึ ถึงพฒั นาการดา้ นต่างๆ ดงั นี้ พั น�ก�รด้�นสตปิ � เนื้อ าควรเป็นการบูรณาการกบั ดา้ นตา่ งๆ เชน่ เรยี นรู้เรอ่ื ง ี กับวนั ตา่ งๆ การเรียนรใู้ นเรอ่ื งคาำ ศัพท์ตา่ งๆ จาก าพ การเรียนรูร้ ูปทรง ตา่ งๆ และเน้อื าไม่ควรจะมคี วามซบั ซอ้ น ควรเน้นดา้ นเทคนิค และวิธีการท่แี ตกต่าง ท่ีมีการใ เ้ ด็กทำางานอยา่ งเปน็ ระบบเปน็ ขั้นตอน โดย อนใ เ้ มาะ มกบั าพและ ปัญ า พัฒนาการของเดก็ และความบกพรอ่ งของเดก็ รวมทั้งขณะปฏิบตั กิ าร อนควร เน้นใ ้เด็กไดล้ งมอื ทาำ ด้วยตนเอง พั น�ก�รท�งด้�นอ�รมณ์ เนื้อ าควรเป็นการ ร้างความประทับใจ ความเช่ือม่นั ในตนเองในการทาำ งานใ ้ าำ เรจ็ ของเดก็ ออทิ ติก เชน่ การได้รบั คำาชมเชย รอื รางวัล การใ ก้ ารยอมรับในความ ามารถและพัฒนาการท่ีดีขนึ้ ของเด็ก ซ่งึ ความ นุก นานและกิจกรรมที่ผ่อนคลายขณะจัดการเรียนการ อนจะช่วยเพ่ิม มาธิใ ้แก่ เด็กออทิ ตกิ เพราะเดก็ จะมี มาธิ นั้ กว่าเดก็ ปกติ

80 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม พั น�ก�รด้�นสงั คม เน้นการมปี ฏิ มั พันธ์กันในการทาำ กิจกรรม การปรบั ตั ใ เ้ ข้ากบั ังคม และ รู้จักทำางานร่ มกนั ช่ ยเ ลอื กนั และมคี ามรับผดิ ชอบ ร มถึง การรับรู้ ่ิงแ ดลอ้ มรอบๆ ตั พั น�ก�รด�้ นร่�งก�ย เนือ้ าการเรียนการ อน ลิ ปะจะตอ้ งเป็นกจิ กรรม ท่ชี ่ ยใ ้เด็กออทิ ตกิ ได้เคลื่อนไ รา่ งกาย ่ นตา่ งๆ เชน่ การใชม้ อื การประ าน มั พันธร์ ะ า่ งมือกบั ตา เปน็ ต้น ใ เ้ กิดการทาำ งานท่ีคลอ่ งแคล่ ขึน้ พั น�ด�้ นค �มคดิ สร้�งสรรค์ ผู้ อนค ร ังเกตจากลัก ณะงานที่ออกมา ใ ้เกดิ การพฒั นาดา้ นค ามคิด รา้ ง รรค์ ใ ก้ ารยอมรับและเ ็นคุณค่าในงาน เดก็ จะ เกิดค าม นใจและกระตอื รอื ร้น เกดิ มาธิ มคี ามอดทน และพยายามกระตนุ้ ใ ้เด็ก เกิดค ามคดิ ใ ม่ๆ ด้ ยการทำากจิ กรรมทแ่ี ตกตา่ งไปจากเดิม ยอมรบั การเปล่ยี นแปลง และค ามคดิ เ ็นทีอ่ ิ ระของเดก็ ทไี่ มล่ อกเลยี นแบบผู้อืน่ พั น�ก�รด้�นสุนทรยี ภ�พและลกั ษณะนสิ ยั ท่ีดี มายถงึ มคี ามเปน็ ระเบยี บ ะอาดเรียบร้อย และร้จู ักเก็บและทำาค าม ะอาดอปุ กรณ์ตา่ งๆ การเรยี น ต่างๆ ไดด้ ้ ยตนเอง ตั ถปุ ระ งคท์ ี่ ำาคัญของการ อน ิลปะบำาบัด รอื ิลปกรรมบาำ บัด คือ การ พฒั นากล้ามเน้ือมอื เด็ก พัฒนาใ ้ผู้เรียนมบี คุ ลกิ าพท่ีดี มี มาธิ จิตใจละเอียดอ่อน ประณตี มี นุ ทรียะ รู้จักการแกป้ ัญ าอย่างมีระบบ ดาำ รงชี ติ ทีเ่ รยี บง่าย มีจดุ มายท่ี รา้ ง รรค์ และท่ี าำ คัญคอื ามารถตดิ ตอ่ ื่อ ารแ ดงค ามรู้ กึ กับบุคคลต่างๆ รอบ ตั เด็กได้ ิธีก�รสง่ เสรมิ ก�รสร�้ งสรรคด์ ้ ยศิลปะบ�ำ บดั กับเดกพเิ ศษ การใช้ ิลปะบาำ บดั กบั เด็กพิเ น้ี ชาญณรงค์ พรรงุ่ โรจน์ 2542 ไดก้ ล่า เปน็ ข้อๆ ไ ด้ ังน้ี 1 ใ ้เ รี าพในการทำางาน ิลปะโดยการใ ้อิ ระในการเลือก ิธีการและ ั ดุในการทาำ งาน 2 ใ ้ทำางานร่ มกับผู้อื่นมีเ รี าพในการช่ ยกันคิดช่ ยกัน างแผนและช่ ย

ลิ ปกรรมบำาบัด 81 กัน รา้ ง รรค์ 3 ช่ ยเ นอแนะและกระตุน้ ใ ้ รา้ ง รรค์อย่างอิ ระเตม็ ักย าพ 4 ใ ม้ ีค ามรบั ผิดชอบในการทำางาน 5 กาำ นดงานใ ้เ มาะ มกบั เ ลา ัย และระดบั ชั้น 6 จัดบรรยากา และ ่งิ แ ดล้อมท่ี ง่ เ รมิ การ ร้าง รรค์งาน ลิ ปะ 7 กการคดิ การถามและ ามารถแก้ปัญ าด้ ยตนเอง 8 ใ ้ค ามรกั ค ามเมตตา รับร้คู ามแตกตา่ งและยอมรบั ค ามคิดเ น็ ของ แตล่ ะคน 9 กใ ้มคี ามคดิ และมีจินตนาการ 10 ใ ้การเ นอแนะแทนการตำา นิในการประเมินผลงาน ิลปะไม่ค รใช้ มาตร าน ก�รประเมิน ลง�นศิลปะ องเดก เด็ก มี มรรถ าพการใช้มือ การรับรู้ และค าม ามารถไม่เท่ากัน การ แ ดงออกทาง ิลปะ จงึ มคี ามแตกตา่ งกนั การประเมินผลการเรยี น ลิ ปะจึงเปน็ การ ดั พัฒนาการของนกั เรยี นในดา้ นตา่ งๆ และการ รา้ ง รรค์ นุ ทรยี าพ การรบั รู้ อารมณ์ ติปัญญา และ ังคม ร มถงึ การ ัดพฤติกรรมท่เี กิดจากการเรียนการ อนในดา้ นค ามรู้ กระบ นการทาำ งาน ค ามเขา้ ใจในการ ่อื าร ค ามคดิ เจตคติ ทัก ะ และการนำาไปใช้ ซงึ่ ามารถประเมนิ ไดโ้ ดยการทด อบและการ งั เกต ดังนี้ 1 การ ร้าง รรคง์ าน ิลปะได้อย่างอิ ระ มคี ามม่นั ใจในการทำางาน 2 การเรยี นรแู้ ละปฏิบตั งิ านอย่างเป็นลำาดับขัน้ ตอน 3 ค ามมีระเบียบ และการรกั าค าม ะอาด 4 การเข้าใจในการ ่ือ าร 5 การเคลอื่ นไ ่ นตา่ งๆ เชน่ การเคล่ือนไ ของร่างกาย มือ และตา เป็นต้น 6 ามารถ รา้ ง รรค์งาน ิลปะได้ถกู ต้อง มีรายละเอยี ดมาก และ ยงาม 7 มี มาธิในการทำางานจนเ ร็จ ้นิ

82 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ 8 มีทัก ะในการใช้เทคนคิ ต่างๆ ในการทาำ กิจกรรม 9 มคี าม ามารถในการทำางานร่ มกับผู้อืน่ ไดด้ ี และมคี าม ขุ ในการทำางาน ตั อย่�งก�รจดั กจิ กรรมศิลปะบ�ำ บัด กับเดกออทิ ตกิ กิจกรรม �ดภ�พด้ ยก� ี ประกอบด้ ย 7 เนอ้ื า ดังนี้ จดุ มุ่ง ม�ย นก�รเรยี นก�ร อน รือ ิง่ ทนี่ กั เรียนค รไดร้ ับ คอื 1 นกั เรียน ามารถ าด าพตามรอยปะ 2 นกั เรียน ามารถจินตนาการ และบอกช่ือของเ ยี งที่ นกั เรียนได้ยนิ 3 นกั เรียนมพี ัฒนาการในการเชื่อมโยงการทำางานท่ี ประ าน ัมพนั ธข์ องมือกับ ตา ค ามคดิ ค ามเขา้ ใจ การรบั รู้ ในด้านการ าด าพที่ เ มาะ ม 4 นักเรยี นมคี าม นุก นานเพลดิ เพลิน และมี มาธิในการ ปฏิบัติงานจนเ ร็จ ิน้ พน �นท�งด้�นพั น�ก�ร องเดก เป็นข้อมูลพื้น านของ นกั เรียน คือ ุฒิ า ะในการเขียน าพของเด็กนักเรียนปกติจะเร่ิมเขียน าพเปน็ ไปตามพฒั นาการ คือ จะเริม่ จากการ าด าพ ะเปะ ะปะ และเดก็ จะ ามารถ ค บคุมมือในการขดี เขียนการเคลือ่ นไ จะเป็นไปอย่างซำ้าๆ เปน็ เ มอื นการออกแบบ รปู ทรง เดก็ จะเกดิ ค าม ัมพันธร์ ะ า่ งมือ การเคล่ือนไ และการมองดู เดก็ จะพฒั นาจากการออกแบบรปู ทรงงา่ ยๆ ไป รู่ ปู ทรง ของ งิ่ ตา่ งๆ เด็กจะเริ่มการรบั ร้ตู อ่ โลก ายนอก มั่นใจในการขดี เขียน และจะเร่ิม ำาร จ ตร จ อบ ิ่งแ ดล้อมรอบๆ ตั เร่ิม ังเกตรปู ทรงของ ง่ิ ตา่ งๆ บน าพทเี่ ขยี น รูจ้ ัก พูดคยุ เกี่ย กับ าพ ตัง้ ชื่อ าพ เด็กเ น็ ค าม มั พันธร์ ะ ่างงาน ลิ ปะ กบั ิ่งแ ดล้อ มรอบๆ ตั เด็กจะพัฒนาการ รา้ ง รรค์งาน ิลปะของตนกา้ ไป ู่การเลียนแบบรูป ทรงธรรมชาติ รอื งิ่ แ ดลอ้ ม ซง่ึ พัฒนาการของเดก็ ระดบั อายุ 4 7 ป เป็นข้นั ที่เรม่ิ ใช้

ิลปกรรมบาำ บดั 83 ญั ลัก ณ์ าพเขียนของเด็กจะแ ดงถึงค าม นใจต่อค าม มั พันธข์ อง ง่ิ แ ดลอ้ ม เมอ่ื เดก็ าด าพเด็กจะเขียน าพตามการรับร้ขู องตนเอง าพที่ าดมลี กั ณะเปน็ ัญลัก ณ์ เดก็ จะ ามารถรบั รู้และเข้าใจ ิง่ ทต่ี นเอง าด และจะเรม่ิ นใจรปู เรขาคณิต มากข้นึ ซึ่งจะแ ดงใ เ้ ็นถึงพฒั นาการตาม ฒุ ิ า ะของเดก็ มากขนึ้ เด็กออทิ ติกมีค ามบกพร่องด้านการรับรู้ตามท่ีกล่า มา ขา้ งต้น ดงั นั้นจงึ ตอ้ งจัดกจิ กรรมเพือ่ พฒั นาด้านการ าด าพ ระบาย ีของเด็กออทิ ติก ค �มบกพรอ่ ง องพั น�ก�รต�ม ุ ภิ � ะ อง เดก ..... ก. ก่ .... ง่ึ มอี �ยุ ป เป็นลกั ณะของนักเรียนท่รี ่ มกิจกรรม ได้แก่ 1 นักเรยี นไม่ ามารถ าด าพได้เอง 2 นักเรียนมกี ารจบั ดิน อทีไ่ มถ่ กู ิธี 3 นักเรียนไม่ ามารถระบาย ีใ อ้ ยู่ในกรอบได้ 4 นกั เรยี นไม่ ามารถค บคมุ ทิ ทาง และน้าำ นกั ในการใชม้ อื ใ ม้ ี ค ามเ มาะ มได้ 5 นักเรียนมคี ามบกพร่องในดา้ นการ ่ือ าร ในบางคร้งั ไม่ ามารถ ปฏบิ ตั ิตามคำา ัง่ ได้ครตู อ้ งคอยกระตุ้นและชแี้ นะ 6 นักเรยี นมี มาธทิ ่ี น้ั เนอ �ก�รเรยี นก�ร อน กิจกรรม าด าพจากกา ี เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไ ายตา มอื และการออกแรงบบี มือ เพ่ือใ ้กา ีไ ลออกมาจากข ด อกี ทั้งยัง ามารถ ใ เ้ ด็กเกิด มาธิไดน้ าน เนอ่ื งจากเด็กจะมองตามกา ท่ีถูกบบี และต้องค บคมุ ใ ้กา ท่ี บบี ออกมาไ ลไปตาม าพท่ีร่างไ ้ กิจกรรมก�รเรียนก�ร อน 1 นกั เรยี นฟงั เ ยี งจาก ที่ครูเปด โดยครใู ชค้ าำ พดู ่า “ ชือ่ นักเรยี น . ไดย้ ินเ ยี ง ” 2 นกั เรยี นตอบชอื่ เ ยี งทไี่ ดย้ นิ เชน่ “ .. นกั เรยี นตอบ ชา้ ง .” และครูพูด า่ “ช้างรอ้ งดงั ” ใ ้นักเรยี น ่งเ ยี งร้องของชา้ ง .แปรน้ แปรน้ เมื่อออก เ ยี งถกู ต้องชดั เจนครูใ ้คาำ ชมเชย

84 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม 3 นกั เรยี น ยบิ าพช้าง และนักเรยี นบีบกา ตี ามเ น้ ร่าง าพ ัต ์ บนกระดา 4 นกั เรยี นเขยี นชอ่ื าพ และทาำ ตามข้นั ตอนที่ 1 3 ซาำ้ 5 นักเรยี นนาำ าพไปผงึ่ ลมใ ้แ ้ง 6 เก็บและทาำ ค าม ะอาดอปุ กรณ์ใ ้เรียบร้อย สอ่ อุปกรณ์ ที่ ช้ นกจิ กรรม 1 กา ผ ม โี ป เตอรใ์ ใ่ นข ดพลา ตกิ 2 แผน่ เ ยี ง ีโป เตอร์ ีเขยี แี ดง เี ลือง ฟี ้า ผ้าเชด็ มอื าพของเ ียงใน ิธกี �รประเมนิ ลก�รจดั กจิ กรรม 1 จากการ งั เกตพฤตกิ รรม ค ามกระตือรือรน้ ในการร่ มกิจกรรม ค าม นใจในการร่ มกิจกรรม ค ามต้งั ใจในการปฏบิ ัติงาน มาธใิ นการปฏิบตั งิ าน การพัฒนาพฒั นาการ การ าด าพระบาย ี การเกบ็ และทาำ ค าม ะอาดอุปกรณ์ 2 จากการเตรยี มอปุ กรณ์ 3 จากผลงาน จากกจิ กรรมทย่ี กตั อย่างจะเ น็ ได้ า่ “ผู้ อนตอ้ ง างแผน ทราบ มู ิ ลงั รอื อาการผรู้ ่ มกิจกรรม จัดกจิ กรรมที่บาำ บัดอาการ และประเมนิ ผล” ซงึ่ ผทู้ ี่ นใจ ามารถ ดูกิจกรรม “ ลิ ปะบาำ บดั ” อนื่ ๆ ได้จากเ ป็ ไซต์ . .. 20 . ของ อรธิดา ประ าร อยา่ งไรก็ตามนอกจากกจิ กรรมขา้ งต้นแล้ ยังมีการบาำ บัดอกี ลาย ิธี โดยอาจ ใช้ ิธเี ด่ีย ๆ รอื ใช้ร่ มกัน ขึ้นอยู่กบั ระยะ ลัก ณะอาการท่ีเป็น และการตอบ นองของ ผทู้ ่ีตอ้ งบาำ บัด

ิลปกรรมบาำ บัด 85 ก�รรักษ�ด้ ย ิธจี ติ บ�ำ บดั นิยมใช้กับผู้ป ยที่มีอาการเล็กน้อย และมี าเ ตุมาจาก ายนอก แต่ไม่เ มาะกับผ้ปู ยทม่ี อี าการทางจติ ร่ มด้ ย ามารถใชร้ ่ มกับการรกั า ด้ ยยา าำ รับการรกั าระยะยา การรัก าด้ ย ิธจี ติ บำาบดั มดี ้ ยกัน ลายแบบ เชน่ เปน็ ต้น ก�รรักษ�ด้ ยย�กลุ่มแก้อ�ก�ร มึ เศร�้ เ มาะกับผู้ป ยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง ยากลุ่มนี้มี มากมาย ลายชนิด และไดร้ บั การพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ามารถแบ่งเป็นกล่มุ ยอ่ ยๆ ตาม กลไกการออกฤทธิ เชน่ เป็นตน้ อาจมผี ลข้างเคียง เชน่ ทาำ ใ ป้ ด ั อาเจยี น และตั รอ้ น เป็นต้น ดังนั้นการใชย้ าจงึ ตอ้ งอยใู่ นค ามดูแล ของแพทย์ รอื ผเู้ ชี่ย ชาญเพอื่ ประ ิทธิ าพในการรกั า ก�รชอกด้ ย � เป็น ิธีท่ีมีประ ิทธิ าพ ูงเ มาะกับผู้ป ยท่ีมีอาการซึม เ รา้ รุนแรง ผู้ป ยทมี่ อี าการทางจติ ร่ มด้ ย ผู้ป ยทม่ี คี ามคดิ า่ ตั ตาย ร มถึงผูป้ ย ทีไ่ ม่ตอบ นองตอ่ การรัก าด้ ยยา แม้ า่ การรกั าด้ ยการชอ็ กด้ ยไฟฟ้านี้จะปลอด ยั แต่อาจจะมีผลตอ่ กระบ นการเรยี นรู้ เช่น ทาำ ใ เ้ กิดค ามรู้ ึก ับ น มปี ัญ ากับค าม ทรงจาำ และอาจมีผลข้างเคยี งตอ่ ั ใจ จงึ ต้องระ ังการใช้กับผู้ป ยทม่ี ีปัญ าเกี่ย กับ ั ใจและ ลอดเลือดใน มอง ก�รรักษ�ด้ ยแสง เ มาะกับการรัก าผู้ป ยทีม่ อี าการไมร่ ุนแรง และมีอาการ แปรปร นตามฤดูกาล ผลการรัก าขึน้ อยกู่ ับการตอบ นองของ ผ้ปู ย บางรายอาจต้องใชเ้ ลา ลาย ัปดา ก์ า่ จะเ ็นผลการรกั า และอาจมผี ลข้าง เคียงทีเ่ กิดขึน้ เช่น ป ด ั นุ เ ีย และง่ งซึม เปน็ ตน้ ในปัจจุบันประเท ไทยมีการนำา ิลปะและดนตรีมาประยุกต์ใช้ร่ มกันในการ บาำ บัดรัก า ซึ่งเปน็ า ตร์ นึ่งทม่ี คี ณุ คา่ ามารถนำามาใช้ประโยชน์ได้ ลาก ลาย จะ ใช้รกั าผปู้ ยทางจติ เ ช คนไขท้ ีท่ ำากาย าพบำาบดั รอื แม้แต่คนคลอดลกู โดยเ พาะ

86 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม เ ยี งดนตรี ามารถบาำ บดั คลายค ามเจ็บป ดลงได้ ในกรณีทีค่ นไม่ป ย แตไ่ มม่ ีค าม ขุ ในชี ติ ก็ ามารถใช้ดนตรีบำาบดั ช่ ยไดท้ ้ังเดก็ และผู้ใ ญ่ สรุป การบาำ บดั ด้ ย ลิ ปะและดนตรี นอกจากจะทาำ ใ ผ้ ูร้ บั การบาำ บดั เกิด มาธิ มี อารมณ์ค ามรู้ กึ ที่ บายใจ ยังเบ่ียงเบนค ามคิดจากเร่ืองรา ทเ่ี ครยี ด รือ ติ กกัง ล ไป ู่ค ามคิดใ มๆ่ ท่ี รา้ ง รรคแ์ ละเอ้ือประโยชน์ต่อการปรบั ปรงุ ตนเองใ ม้ พี ฤตกิ รรมที่ พึงปรารถนาได้ แม้ า่ ยงั ไม่มีผลการ จิ ยั ท่ีชี้ชัดลงไป ่า ่งิ ใดใน ิลปะและดนตรที ่ที าำ ใ ้ ผรู้ บั การบำาบดั มอี าการดีข้นึ เ มือนเชน่ การรัก าด้ ยยา ท่ี ามารถระบุคุณลัก ณะทาง ิทยา า ตรท์ ี่ออกฤทธโิ ดยตรงต่ออ ัย ะของรา่ งกายได้ แต่ ่ น นง่ึ ที่เ น็ ไดช้ ัดคือ ิลปะและดนตรีมีผลทางด้านจิตใจ และ ามารถเปน็ ่อื เชือ่ มโยงอำานาจทอี่ ยเู่ นอื จติ ใจ มนุ ย์ได้ ทง้ั นีเ้ พราะ ิลปะและดนตรเี ปน็ ิลปะทมี่ นุ ย์ รา้ ง รรค์ขน้ึ จาก ตปิ ัญญา เพอ่ี ตอบ นองอารมณแ์ ละค ามรู้ กึ ของมนุ ย์

ิลปกรรมบาำ บดั 87 เอกส�รอ้�งอิง จเร าำ อางค์. 2553 . ดนตรเี ลน่ สมองแล่น. กรงุ เทพฯ บริ ทั อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ติ้งแอนด์ พับลิชชิ่ง จาำ กดั ม าชน . ศลิ ปะบ�ำ บดั นแน ท�งมนษุ ยปรชั �. ทมี่ า . . 2. . ืบคน้ ันท่ี 15 กรกฏาคม 2556. ภ�พศลิ ปะ องเดก. ทม่ี า . . .. ืบค้น นั ที่ 15 กรกฏาคม 2556. ถิตธรรม เพญ็ ขุ . 2555 . อัจ รยิ ะอย่�ง อนส์ ตน์ด้ ยเสยี งดนตรี. กรุงเทพฯ ปัญญาชน. กุ รี เจริญ ุข. 2548 . �รส�รเพลงดนตร.ี ปท่ี 11 บับท่ี 6 พฤ าคม มิถนุ ายน 2548 ิทยาลยั ดุรยิ างค ิลป ม า ิทยาลัยม ดิ ล. อรธดิ า ประ าร. ศิลปะบำ�บดั . ทม่ี า . .. 20 . . ืบคน้ ันที่ 15 กรกฏาคม 2556.

บ เดกทม่ี คี �มแตกต่�งจ�กเดกปกติ ใน าพท่ั ไปใน ังคม ากใครทาำ อะไร มีอะไร รอื ปฏบิ ัตอิ ะไรท่ีไม่เ มอื น กบั มาชิกคนอื่นๆ ใน งั คม เรามกั จะเรียกบุคคลเ ล่าน้ี ่า เป็นคนทีม่ คี ามตอ้ งการ พิเ เพราะเปน็ เด็กทีม่ ีค ามแตกต่างจากเดก็ ปกติ ทงั้ นี้เพราะ งั คมยอมรบั และมี บรรทดั าน ทเี่ ปน็ ตั กำา นด รอื คาดการณ์ไ ้ า่ ทกุ คนจะตอ้ งทาอยา่ งนน้ั อยา่ งนี้ และบรรทัด านนีเ้ องจึงเป็นมาตร านใ ้ มาชกิ ของ ังคมทาำ ตาม ปฏิบตั ติ าม จนถือเป็นระเบียบแบบแผนแ ่งพฤตกิ รรม รือการกระทาำ ของคน ดงั ทเ่ี ราคงจะเคย ได้ยิน ไดฟ้ งั เพื่อนๆ เรยี กเราในบางครงั้ า่ เป็นคนที่มคี ามต้องการพเิ เพราะเราทำา อะไรได้บางอยา่ งไม่เ มือนเพอ่ื นๆ ในกลุ่ม ำา รบั เด็กทม่ี ีค ามตอ้ งการพิเ นัน้ เรากอ็ า ัยบรรทดั าน ทมี่ กี าร กึ าคน้ ค ้า และบนั ทกึ เอาไ ้ ่า เมื่อเดก็ เกดิ มาแล้ จะต้องมีอะไร มีลัก ณะอยา่ งไร และ ามารถปฏิบัตอิ ยา่ งไรได้เช่นเดยี กับคนอน่ื ๆ ใน ังคมบ้าง ร มไปถึงเรื่องของ พฒั นาการ รือพฤติกรรม ่าเ มอื นกับทมี่ กี าร ึก าคน้ ค ้าเอาไ ้ รือไม่ ากเกิดมา และมกี ารเบ่ยี งเบนไปจากบรรทดั านที่กาำ นดไ ้ เราก็มกั จะมกี ารเรียกตามลัก ณะที่ ขาด าย รือตามทีบ่ กพร่องไป เช่น เด็กตาบอด เด็กปญั ญาอ่อน เดก็ แขนด้ น ขาด้ น เปน็ ตน้ นน้ั เปน็ การเรียกกันตาม าพที่เ ็น ่าไม่เ มือนคนทั่ ไป แต่ในทาง ิชาการเรา มกั จะใช้การเรยี กร มๆ ่า เดก็ ทม่ี คี ามตอ้ งการพิเ ดังนัน้ ากจะจาำ กดั ค ามของคาำ ่า เด็กท่มี คี ามตอ้ งการพเิ จะพบ า่ มีค าม มายที่ก ้างมาก ซึ่งองค์การอนามัยโลก ไดพ้ ยายามท่จี ะจำากดั ค าม รอื ใ ค้ าม มายของคาำ ่า เดก็ ทมี่ ีค ามต้องการ พิเ เพอ่ื ใ ้เปน็ แน ทาง าำ รับการทาำ ค ามเข้าใจ า่ เด็กทม่ี คี ามต้องการพิเ จะ ต้องอยูใ่ นขอบเขต 3 ประการคอื ค �มบกพร่อง มายถึง มีการ ญู เ ยี รือมีค ามผดิ ปกติ ของจติ ใจ และ รีระ รอื โครง ร้างและ น้าท่ขี องร่างกาย ร้สมรร ภ�พ มายถงึ การมีขอ้ จาำ กัดใดๆ รอื การขาด ค าม ามารถอนั เปน็ ผลมาจากค ามบกพร่อง จนไม่ ามารถทาำ กจิ กรรมในลัก ณะ รอื

เดกที่มี วามแตกต่างจากเดกปกติ 89 ายในขอบเขตที่ถือ า่ ปกติ ำา รบั มนุ ย์ได้ ค �มเสียเปรยี บ มายถึง การมคี ามจำากัด รืออปุ รรค กีดกัน้ อันเนอื่ งมาจากค ามบกพร่อง และการไร้ มรรถ าพทจี่ ำากัด รือขัดข างตน ทาำ ใ บ้ ุคคลนัน้ ไม่ ามารถบรรลกุ ารกระทำาตามบทบาทปกติของเขาได้ าำ เรจ็ จากขอบเขตดงั กล่า คาำ า่ “เดก็ ท่มี ีค ามตอ้ งการพเิ ” จึง มายถงึ เด็กที่ ไม่อาจพฒั นาค าม ามารถได้เทา่ ที่ค รจากการใ ้การช่ ยเ ลอื และการ อนตามปกติ ท้งั นมี้ ี าเ ตุจาก าพค าม บกพร่องทางร่างกาย ติปัญญา และอารมณ์ จำาเป็นต้องได้รบั การกระตุ้น ช่ ยเ ลือ รับ การบาำ บดั ฟนฟูและใ ก้ ารเรียนการ อนท่ีเ มาะกบั ลกั ณะ และค ามตอ้ งการของเดก็ ท้ังนี้คำา า่ เด็กทีม่ คี ามต้องการพเิ มาจากคาำ า าองั กฤ ่า เป็นคาำ ใ ม่ และเพิง่ ใช้กันอยา่ งแพร่ ลายในระยะไม่กีป่ ท่ผี ่านมา นอกจากน้ีแล้ ยงั มีการใ ้คาำ นิยามเกี่ย กบั เด็กท่ีมีค ามต้องการพิเ ตาม ลกั ณะของการจดั ใ ้บริการ โดยแยกลัก ณะการใ ้บรกิ ารไดด้ งั นี้ ท�งก�รแพทย์ มกั จะเรียกเดก็ ท่ีมคี ามตอ้ งการพเิ เ ลา่ นี้ า่ เด็กพกิ าร ดงั นนั้ เดก็ ที่มคี ามต้องการพิเ จึง มายถึง ผู้ท่มี คี ามผิดปกติ ผ้ทู ีม่ ีค ามบกพรอ่ ง รอื ผทู้ ่มี ีการ ญู เ ยี มรรถ าพ อาจเปน็ ค ามผดิ ปกติ ค ามบกพรอ่ งทางกาย รือ การ ูญเ ยี มรรถ าพทาง ติปญั ญา ทางจติ ใจ เน้อื เยื่อ รอื ระบบเ ้นประ าทก็ได้ ซงึ่ ค ามผิดปกติ ค ามบกพรอ่ ง รือการ ูญเ ยี มรรถ าพเ ลา่ น้ี ง่ ผลกระทบตอ่ การ ดาำ เนินชี ิตของเขา ทำาใ ้เขาไม่ ามารถปฏิบตั ิ ารกจิ ได้ดเี ทา่ กบั คนปกติ แต่ ากมีการ แก้ไขอ ัย ะที่บกพรอ่ งไปใ ้ ามารถใช้งานได้ดงั เดมิ แล้ าพค ามบกพร่องอาจ มด ไป ท�งก�รศึกษ� ใ ้ค าม มายเดก็ ท่ีมคี ามตอ้ งการพิเ า่ มายถงึ เดก็ ทม่ี ี ค ามตอ้ งการทางการ ึก าเ พาะของตั เอง ซึ่งจาำ เป็นต้องจัดการ กึ าใ ต้ ่างไปจาก เด็กปกตทิ ัง้ ทางเนอื้ า ลัก ูตร กระบ นการทใ่ี ช้ และการประเมินผล ประเภทและลกั ษณะ องเดกที่มคี �มตอ้ งก�รพเิ ศษ การจัดแบง่ ประเ ทของเด็กทีม่ ีค ามตอ้ งการพเิ มกั กระทาำ เพื่อเป็นการจดั

90 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม ใ ้ อดคลอ้ งกบั การจัดบริการ และใ ก้ ารช่ ยเ ลอื ตามค ามเ มาะ ม ซ่งึ การจดั แบง่ ประเ ทจงึ มคี ามแตกต่างกนั ดังนี้ องค์การอนามัยโลก ได้จัดแบง่ เด็กที่มคี ามตอ้ งการพิเ ตามลัก ณะ ไ ้ดังนี้ แบ่งต�มค �มบกพรอ่ ง ได้แก่ 1.1 บกพรอ่ งทาง ติปญั ญา รือค ามทรงจำา ปญั ญาออ่ น เ ยี ค ามทรงจาำ ลืมเ ตกุ ารณท์ ่ีผา่ นมาและ เ ตกุ ารณป์ จั จุบัน 1.2 บกพรอ่ งทางจิตอนื่ ๆ - บกพร่องทาง ติ ัมปชญั ญะ ยอ่ นค าม าำ นกึ บกพรอ่ งทางค าม นใจ รอื การ เขา้ ใจ นอนไม่ ลบั 1.3 บกพร่องทาง า า รือการ ื่อค าม มาย พูดไมไ่ ด้ พูดไม่ชดั ไม่ ามารถแ ดงค ามเข้าใจ และแ ดงการตดิ ต่อ รือปฏิ ัมพันธ์กับคนอ่นื ได้ 1.4 บกพรอ่ งทางการได้ยิน ตู งึ ไดย้ นิ ไม่ชดั เจนทัง้ องขา้ ง ไดย้ ินข้าง นึง่ และ น กอีกขา้ ง นง่ึ 1.5 บกพร่องทางการมองเ ็น เ น็ ไมช่ ัดเจนท้ัง องข้าง บอดขา้ ง น่งึ เ น็ เลือนลางขา้ ง นึ่ง บอดท้ัง องขา้ ง 1.6 บกพรอ่ งทางอ ัย ะ ายใน บกพรอ่ งทางระบบ ั ใจและการไ ลเ ยี นของโล ติ บกพรอ่ งทางระบบการย่อยอา าร และการขับถา่ ย 1.7 บกพรอ่ งทางโครงกระดูก กระโ ลก ีร ะ ั ลำาตั แขน ขาไม่เปน็ ปกติ 1.8 บกพรอ่ งทางประ าท มั ผั เ ียค ามรู้ ึกรอ้ น นา ค ามรู้ ึกลดน้อยก า่ ปกติ ญู เ ียค ามรู้ ึก ัมผั และการ เจ็บป ด

เดกทม่ี ี วามแตกต่างจากเดกปกติ 91 แบง่ ต�มก�ร รค้ �มส�ม�ร ไดแ้ ก่ 2.1 ไร้ความ ามารถทางอุปนิ ยั ไม่ ามารถบอกเวลา ถานที่ ไม่ ามารถปกป้องคุ้มครองตนเอง เ ยี ความ ัมพนั ธ์กบั ครอบครวั 2.2 ไรค้ วาม ามารถทางการ อ่ื ความ มาย พดู ได้แต่ไม่เข้าใจ พดู ไม่รเู้ ร่อื ง พูดไมไ่ ด้ เขียน นงั อื ไม่ได้ อา่ นไม่ได้ 2.3 ไรค้ วาม ามารถทางการดูแลตนเอง ไม่ ามารถทาำ กิจวัตรประจาำ วนั เชน่ อาบนา้ำ เข้า ้องนาำ้ แต่งตวั และกิน อา ารไดเ้ อง 2.4 ไร้ความ ามารถทางการเคลื่อนไ ว เชน่ เดนิ ว่งิ ข้ึนลงบนั ไดไม่ได้ตามปกติ 2.5 ไร้ความ ามารถทางความคล่องแคล่วของอวัยวะ ไร้ความ ามารถในการทาำ กิจวัตรประจำาวนั ไม่ ามารถใช้น้วิ มือกำาของ ถอื ของ รือไม่ ามารถบงั คบั การใชเ้ ท้า และบงั คบั ร่างกายได้ 2.6 ไร้ความ ามารถทาง ิ่งแวดล้อม ไม่ ามารถทนตอ่ การเปลี่ยนแปลงของอุณ ูมิ ดิน ฟา้ อากาศ เ ยี ง รอื บรรยากาศในการทาำ งาน 2.7 ไร้ความ ามารถในบาง ถานการณ์ ชว่ ยตนเองไม่ได้ ต้องพึง่ ผ้อู น่ื ไมเ่ ปน็ อิ ระ รือเปน็ ตวั ของตนเอง แบง่ ต�มก�รเสยี เปรียบ ไดแ้ ก่ 3.1 เ ียเปรยี บทางความ ำานกึ ไรค้ วาม ำานึกต่อ ิ่งแวดลอ้ ม และไม่ ามารถเกี่ยวขอ้ งกับผอู้ ื่น 3.2 เ ยี เปรยี บทางกาย ไมเ่ ปน็ อิ ระ ตอ้ งพง่ึ ผอู้ น่ื โดยแบ่งตามความรุนแรงของความพิการ คือต้องพงึ่ ผู้อนื่ ทุกอยา่ ง ช่วยตนเองได้บา้ งแต่ ว่ นใ ญย่ ังไมเ่ ปน็ อิ ระ มี ถาน าพพ่ึงตนเองไดแ้ ต่นอก บา้ นยังไมม่ ีอิ ระ พ่ึงตนเองได้เปน็ ครัง้ คราวในช่วงเวลา น้ั ๆ ชว่ ยตนเองในการทาำ กิจวัตร ประจำาวันได้บ้างในการแต่งตัว กนิ อา าร เขา้ อ้ งน้าำ แตย่ ังไม่เปน็ อิ ระทั้ง มด และ

92 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม ช่ ยตนเองได้ในการทำากิจ ตั รประจำา ันทุกอย่าง 3.3 เ ียเปรยี บทางการเคลือ่ นไ แบ่งตามค ามรนุ แรงของค ามพกิ าร คอื เคลือ่ นไ ข้อในการบริ ารกล้ามเนื้อเกอื บไม่ ได้ เคล่ือนไ ไดเ้ องบา้ งแต่ขอ้ ยงั ตดิ เปน็ ่ นใ ญ่ และเคลือ่ นไ ไดเ้ องเป็น ่ นใ ญ่ โดยใ ้ผ้อู ืน่ ช่ ยเปน็ ่ นน้อย 3.4 เ ยี เปรยี บทางด้านกิจกรรม แบ่งตามค ามรุนแรงของค ามพิการ ได้แก่ พ่ึงตนเองในการทาำ กิจกรรมได้น้อยมาก เป็น อิ ระในกจิ กรรมตา่ งๆ แต่ยงั มขี อบเขตที่พ่งึ ตนเองไม่ได้ ทาำ กจิ กรรมต่างๆ ไดด้ ้ ยตนเอง ในบางเ ลา เป็นอิ ระในการทาำ กจิ กรรมได้ 1 2 ชนดิ แต่ยงั ตอ้ งพึ่งคนอื่นอยู่ในกิจกรรม อืน่ ๆ 3.5 เ ยี เปรยี บทางด้าน งั คม - ไม่ ามารถเข้า ังคมท่ั ไปได้ ไม่ ามารถร่ มกจิ กรรมกบั เพือ่ น ญาติ พ่ี น้องได้ อารมณจ์ ิตใจยังอยูใ่ น าพไม่พรอ้ มทจี่ ะเข้า ังคม เพราะอาย รอื นอ้ ยใจ 3.6 เ ยี เปรยี บทาง าพเ ร กิจ ไดแ้ ก่ ไมม่ รี ายได้ มรี ายได้เล็กน้อยแตไ่ มพ่ อเพยี งกับการรัก า พยาบาล คณะกรรมการร่ มขององค์การกองทุนเพื่อเด็กแ ่ง ประชาชาติ รอื ยูนเิ ซฟ กบั องค์การฟนฟู มรรถ าพคนพิการระ ่างประเท ไดก้ า นด ประเ ทของเดก็ ที่มคี ามต้องการพิเ โดยอา ัยลกั ณะของค ามพกิ ารและปญั า ของเด็กเป็นเกณ ์ คือ 1 ตาบอด 2 มองเ ็นไดอ้ ย่างเลอื นลาง รอื บาง ่ น 3 มีค ามบกพร่องทางการไดย้ ิน 4 ปญั ญาออ่ น 5 พิการเกีย่ กับการเคลื่อนไ ซ่งึ เกิดจากค ามพกิ ารทาง มอง ค ามพกิ ารทางแขน ขา ลาำ ตั 6 มีค ามบกพรอ่ งทางการพูด รือการใช้ า า 7 มปี ญั าการเรยี นรเู้ พาะดา้ น

เดกท่มี ี วามแตกตา่ งจากเดกปกติ 93 8 มีปัญ าทางพฤติกรรมตา่ งๆ 9 เรียน นัง อื ได้ช้า 10 มีปัญ าค ามพิการซ้ำาซอ้ น าำ รบั ทางการแพทย์ มกี ารจดั ประเ ทค ามตอ้ งการพิเ เพ่ือการ บำาบัดรกั าตาม าพค ามพิการออกเป็นประเ ทตา่ งๆ อยา่ งก า้ งๆ ดงั น้ี 1 ค ามพิการทางแขน ขา ลาำ ตั 2 ค ามพกิ ารทาง ู 3 ค ามพกิ ารทางตา 4 ค ามพิการทาง ตปิ ญั ญา 5 ค ามพกิ ารทางอารมณ์และจิตใจ กองการ กึ าเพ่อื คนพิการ กรม ามญั ึก า กระทร ง ึก าธกิ าร ได้กำา นดประเ ทเด็กที่มีค ามต้องการพิเ ตามลัก ณะที่ได้ดำาเนินการจัดใ ้บริการ ทางการ กึ า โดยแบง่ เปน็ 1 เด็กพเิ ประเ ทตาบอด 2 เดก็ พเิ ประเ ท ู น ก 3 เด็กพิเ ประเ ทปัญญาอ่อน 4 เดก็ พิเ ประเ ทพิการทางร่างกาย ร มทัง้ เด็กเจบ็ ป ย เรื้อรงั ในโรงพยาบาล 5 เด็กขาดโอกา ท่ีจะเรียน รือเดก็ ึก า งเคราะ ์ ไดแ้ ก่ เด็กชา ปา ชา เขา ชา เรอื ชา เกาะ เดก็ ท่อี ยูใ่ นท้องถน่ิ ทรุ กนั ดาร รือมีปญั าทาง าพ ูมิ า ตร์ เดก็ ยากจนท่ไี ม่ ามารถเข้าเรยี นในโรงเรียน เดก็ กาำ พร้าบิดามารดาขาด ผ้อู ปุ การะ บตุ ร ลานของผทู้ มี่ ี ่ นร่ มในการเ ริม ร้างค ามม่นั คงของชาติ เดก็ ทีม่ ี ปญั าทาง ังคม รอื เด็กทีข่ าดโอกา ทางการ กึ าในลัก ณะอื่นๆ คณะอนุกรรมการโครงการการ ึก าพเิ โครงการพฒั น กึ า อาเซียน ไดจ้ ดั ประเ ทเด็กทม่ี ีค ามตอ้ งการพิเ ท่จี ะใ บ้ ริการทางการ ึก าไ ด้ ังน้ี 1 เด็กทีม่ คี ามบกพรอ่ งทางการมองเ ็น 2 เดก็ ท่มี ีค ามบกพรอ่ งทางการได้ยิน 3 เด็กทมี่ คี ามบกพร่องทาง ตปิ ัญญา

94 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ 4 เดก็ ทมี่ ีค ามบกพร่องทางรา่ งกายและ ุข าพ 5 เด็กที่มีปญั าทางการเรียนรู้ เดกทม่ี ี วามตอ้ งการพิเ ษ ตามพระราชบัญญัติการฟนฟู มรรถ าพคนพิการ พ. . 2534 แบ่ง ประเ ทของบุคคลทีม่ คี ามต้องการพิเ เพ่ือการจดทะเบยี นและการฟนฟู มรรถ าพ ไ ้ คอื 1 คนพิการทางการเ ็น 2 คนพิการทางการได้ยนิ รอื ่อื ค าม มาย 3 คนพกิ ารทางกาย รือการเคล่ือนไ 4 คนพิการทางจติ ใจ รือพฤติกรรม 5 คนพกิ ารทาง ตปิ ญั ญา รือการเรยี นรู้ จากทกี่ ลา่ ข้างต้น จะเ น็ ได้ า่ ถงึ การแบง่ ประเ ทเด็กท่ีมีค ามตอ้ งการพิเ เพอื่ ค าม ะด กในการจัดบรกิ าร และการใ ้ค ามช่ ยเ ลอื แกเ่ ด็กท่ีมีค ามต้องการ พเิ ได้อยา่ งเ มาะ ม ากนำามาประม ลจดั เป็นประเ ทใ ม่เพอ่ื รปุ ใ ้ อดคลอ้ งกบั ค าม มายของเด็กที่มคี ามต้องการพเิ แล้ จะ ามารถจดั แบง่ ไดเ้ ป็น 2 กลมุ่ ใ ญ่ๆ คือ

เดกท่มี ี วามแตกตา่ งจากเดกปกติ 95 กลุ่มเดกที่มีลักษณะท�งค �มส�ม�ร สง รือมีค ามเป็นเลิ ทาง ติ ปญั ญา ซ่งึ เรยี กโดยทั่ ๆ ไป ่า “เดก็ ปญั ญาเลิ ” กลุม่ นีจ้ ะเปน็ กลมุ่ ท่ี ามารถพฒั นา ตนเองได้ดี เพราะเปน็ ผ้ทู ่ีมคี าม ามารถทาง ติปัญญาและ รือค ามถนัดเ พาะทาง เมือ่ เทยี บกบั ระดบั พัฒนาการในดา้ นต่าง ๆ กับเกณ เ์ ล่ียของเดก็ ในช่ งอายุเดีย กนั แล้ พบ า่ ูงก า่ ค่าเ ลยี่ รือเร็ ก ่าค่าเ ลย่ี ท่มี กี ารกาำ นดไ ้ ทง้ั ในดา้ นการรับรู้ และ ค าม ามารถในการแก้ปญั า ดา้ นปริมาณและคุณ าพ เมอื่ ทำาการทด อบระดบั ติ ปญั ญาจะพบ ่าระดับ ตปิ ญั ญา งู ก า่ 120 ข้นึ ไป กลุม่ เดกทม่ี ลี กั ษณะท�งค �มบกพร่อง ด้อยค าม ามารถ รอื มีปญั า เด็กเ ล่าน้ีมักจะเรยี นรู้ได้ชา้ และมีปัญ าในการเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาด้านต่างๆ เป็นไปได้ไม่เท่าเทียมกับเกณ ์เ ลี่ยของเด็กเมื่อเทียบกับเด็กในช่ งระดับอายุเดีย กัน ดงั น้ันการจะใ ้การ กึ า รือการจะพฒั นาเด็กกลุ่มน้ตี ้องอา ยั ค ามรู้ค ามเข้าใจ และใ ้การช่ ยเ ลือเปน็ พเิ ตามค ามเ มาะ ม ซึง่ จาำ แนกได้เป็น 9 ประเ ท คือ 2.1 เดก็ บกพรอ่ งทาง ติปัญญา 2.2 เดก็ บกพร่องทางการไดย้ นิ 2.3 เดก็ บกพรอ่ งทางการเ น็ 2.4 เดก็ บกพร่องทางร่างกายและ ุข าพ 2.5 เด็กบกพร่องทางการพดู และ า า 2.6 เด็กพรอ่ งทางพฤติกรรมและอารมณ์ 2.7 เดก็ ที่มีปญั าทางการเรียนรู้ 2.8 เดก็ ออทิ ติก 2.9 เด็กพกิ ารซา้ำ ซอ้ น สรปุ เด็กเ ล่าน้ีต้องได้รับโอกา ทางการ ึก าและการเรียนรู้อย่างทั่ ถึงและมี คณุ าพ เพอ่ื ใ ้ ามารถ ือ่ าร คดิ เิ คราะ ์ และแกป้ ัญ าได้ในระดับทเี่ มาะ ม อัน นาำ ไป กู่ ารมีคุณ าพชี ิตท่ีดขี น้ึ และอย่รู ่ มกับคนใน งั คมไดอ้ ย่างมคี าม ขุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook