Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พหุปัญญา.pdf

พหุปัญญา.pdf

Published by Guset User, 2021-12-19 11:28:27

Description: พหุปัญญา.pdf

Search

Read the Text Version

ดนตรีบ�ำ บดั กรรมก�รกลัน่ กรองและรบั รองคุณภ�พ รอง า ตราจารย์ ดร.โก ทิ ย์ ขนั ธ ิริ ท่ีปรึกษ� รอง า ตราจารย์ ดร.กาญจนา อนิ ทร ุนานนท์ รอง า ตราจารย์ ดร.มานพ ิ ทุ ธิแพทย์ อาจารย์ ดร.ระ ิ รรณ รรณ ไิ ชย บรรณ�ธกิ �ร อาจารย์ ดร. ชิ ฌนเ์ ก ยา่ นเดมิ กองบรรณ�ธิก�ร ผชู้ ่ ย า ตราจารยจ์ กั รพง ์ แพทย์ ลักฟา้ ผู้ช่ ย า ตราจารย์ ดร.กิตตกิ รณ์ นพอดุ มพันธ์ุ ผู้ช่ ย า ตราจารย์ ดร.เลิ ริ ิร์ บ รกติ ติ นาง ริ ิ ิธร กญั โ นาง ิริรัตน์ พรมนาง นาง า อรทัย ไกรรัก ์ นาง า พชั รี รโี ชติ จำาน นพิมพ์ 500 เลม่ พทุ ธ กั ราช 2556 พิมพท์ ่ี บริ ัท กริด ์ ดไี ซน์ แอนด์ คอมมนู ิเคช่ัน จาำ กดั 142 ซอยพฒั นาการ 46 ถนนพฒั นาการ แข ง น ล ง เขต น ล ง กรงุ เทพฯ 10250

ค�ำ น�ำ ตาำ รา “ดนตรีบาำ บัด” จัดทาำ ขึน้ เพ่ือเผยแพรอ่ งคค์ ามรูใ้ นการใช้ดนตรี เข้าไปบำาบัดในมนุ ย์ ซึ่งมีเนอ้ื าเกี่ย ข้องกบั เรอ่ื งตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การทาำ งานของ มอง พัฒนาการของเด็ก ทฤ ฏีท่ีเกี่ย ข้องกบั ค าม ามารถของมนุ ย์ ค าม มายและ แน คดิ ของดนตรีบำาบดั และ ิลปกรรมบาำ บดั เดก็ ที่มีค ามพเิ และแน ทางการ บำาบดั ซง่ึ จะเป็นประโยชนต์ ่อผูท้ ่ี นใจตอ่ ไป ผเู้ ขยี นขอขอบพระคณุ รอง า ตราจารย์ ดร.โก ทิ ย์ ขนั ธ ริ ิ และรอง า ตราจารย์ ดร.กาญจนา อินทร นุ านนท์ ที่เป็นแรงบันดาลใจในการ ร้าง รรค์ผลงาน ิชาการและ การค้นค ้า ิจัยดา้ นดนตรี ใ เ้ ผยแพร่และเปน็ ประโยชนต์ ่อ ง ิชาการต่อไป อ�จ�รย์ ดร.สิชฌนเ์ ศก ย�่ นเดมิ

ส�รบญั หน�้ 1 บทท่ี 1 การทาำ งานของ มอง 11 บทที่ 2 ค ามจำาและการเก็บขอ้ มูลใน มอง 27 บทท่ี 3 พัฒนาการของเดก็ 45 บทท่ี 4 ทฤ ฎพี ปุ ัญญา 65 บทท่ี 5 ดนตรีบำาบัด 77 บทที่ 6 ิลปกรรมบำาบดั 88 บทที่ 7 เดก็ ทม่ี ีค ามแตกตา่ งจากเด็กปกติ 97 บทที่ 8 ตั อย่างการ อนเดก็ มาธิ ้ัน

บ ก�รท�ำ ง�น องเ ลล์สมอง อวยั วะท่ี าำ คัญของรา่ งกายมนุ ยก์ ็คอื มอง มองของเดก็ แรกเกิดมนี า้ำ นัก ประมาณ 1 ปอนด์ 0.45 กิโลกรัม และเมื่ออายุ 18 20 ป มองของมนุ ย์จะโตเต็มที่ มี นาำ้ นักประมาณ 3 ปอนด์ โดยแรกเกิดจาำ นวนเซลล์ มองมปี ระมาณ นึ่งแ นล้านเซลล์ มี ายใยประ าทเชื่อมโยงถงึ กนั บา้ งแตไ่ มม่ ากนักคือ ประมาณ 20 และเมื่อมนุ ย์ เจรญิ เติบโตขึน้ จาำ นวนเซลล์ มองไมไ่ ดเ้ พ่มิ ข้นึ แต่จะขยายตวั และเพม่ิ ายใยประ าท เพ่อื เชอ่ื มระ ว่างเซลล์ ทำาใ ้เกิดการเรียนรู้และ ง่ ผ่านขอ้ มลู เพื่อ อื่ ารถงึ กนั และเกิด การทาำ งานของเซลล์ มองต่อไป ภาพใยประสาท [เดนไดรท์ (Dendrite) เปน็ แขนงของเซลล์ประสาทท่นี ำาสญั ญาณประสาท เขา้ ส่ตู วั เซลล์ และแอดซอน เป็นแขนของเซลลป์ ระสาทซงึ่ นำาสัญญาณประสาท ออกจากเซลล์ประสาทนนั้ ๆ]

2 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ าำ รบั ายใยประ าทจะเกิดขึน้ มาก รอื นอ้ ย รอื ไมเ่ กิดขึน้ เลย ขนึ้ อยู่กับ ประ บการณ์ของชวี ิต การกระต้นุ จาก ิง่ แวดลอ้ ม อา ารการกนิ ทคี่ รบ 5 มู่ เ มาะ มในวยั ต่างๆ ทก่ี ำาลังเจรญิ เตบิ โต ซ่งึ เด็กจะ ร้าง ายใยประ าทได้เร็วกวา่ ผใู้ ญ่ และ ยงิ่ ถกู กระตุ้นและใชง้ านบอ่ ยๆ โดยขอ้ มลู ตา่ งๆ ผ่านประ าท ัมผั ทั้ง 5 ู ตา จมูก ลิ้น ผวิ นงั ใยประ าทก็จะแข็งแรง และเพ่ิมจาำ นวนมากขน้ึ ขอ้ มูลก็จะเดนิ ทางได้เรว็ ทำาใ ้ การเรียนรู้ได้งา่ ยข้นึ และ 83 ของใยประ าทเกดิ ข้ึน ลงั คลอด ภาพเซลลป์ ระสาท (เซลลป์ ระสาทลักษณะต่างๆ และการเดินทางของข้อมลู ผ่านเซลล์) มองของมนุ ยจ์ ะเกดิ การเรียนรไู้ ด้เมือ่ เซลล์ มอง 2 ตัว ง่ ผ่านขอ้ มูลตดิ ตอ่ ซึ่งกันและกนั โดยขอ้ มูลจะ ง่ จากเซลล์ มองตวั ง่ ผา่ นทาง ายใย ่งขอ้ มลู รือ แอกซอน ไปยัง ายใยรับขอ้ มูล รอื เดนไดรต์ ของเซลล์ประ าทตวั รบั โดยจะมีจดุ เช่ือม รอื ซแิ นป ์ ระ วา่ งกัน และเม่ือมขี อ้ มลู ผ่านมาบอ่ ยๆ จะทำาใ ้จุดเชื่อมนแ้ี ขง็ แรง ซง่ึ เซลล์ มองแตล่ ะตวั จะเชือ่ มกัน 5 000 10 000 ตัว มี ายใยประ าทประมาณ 20 000 ายใย และมีจดุ เชอื่ มทัง้ มดประมาณ 50 ลา้ นๆ จดุ ใน 2 ปแรกของมนุ ย์ มองจะเรยี นรอู้ ยา่ งรวดเร็วมากท่ี ุด และจะพฒั นา ด้านการเคล่อื นไ ว การมองเ น็ และการไดย้ นิ เ ยี งกอ่ นเปน็ อนั ดับแรก ซ่งึ การเจริญ เตบิ โตของ มอง ายใยประ าท ใน 2 ปแรกนี้จะมจี ุด ูง ุดและลดอตั ราการ ร้างใย ประ าทลงบา้ ง จนถงึ อายุ 6 10 ป และ ลงั จากนนั้ จะมกี ารเปลี่ยนแปลงเพียงเลก็ น้อย

การทำางานของเซลล์สมอง 3 แล้ เมอื่ เขา้ ู่ ัยชรา ใยประ าทยงั คงเกิดขึน้ แต่นอ้ ยลงมาก ทง้ั นข้ี นึ้ อยู่กบั การกระต้นุ และการใชง้ านบอ่ ยๆ ซง่ึ เราจะพบ ่า เด็กๆ จะเรยี นรู้ได้เร็ ก ่าผู้ใ ญ่ ภาพพัฒนการของใยประสาท มองของมนุ ย์ ลงั เกิด จะมีโครง รา้ งพื้น านท่จี าำ เป็นตอ่ มชี ี ิตรอดเกิดขน้ึ เช่น การค บคุมการ ายใจ การเตน้ ของ ั ใจ ปฏิกิรยิ าโตต้ อบอัตโนมตั ิ การค บคมุ การ ร้องไ ้ ฯลฯ ่ นทคี่ บคมุ การทาำ งานท่ี งู ขึน้ และการเช่ือมโยงของเชลล์ มองอืน่ ๆ จะ เกดิ ข้ึน าย ลงั และบางครง้ั แมจ้ ำาน นเซลล์ มองเทา่ เดมิ แตก่ อ็ าจ ญู เ ียการตดิ ต่อ อื่ ารระ า่ งเซลลด์ ้ ยกนั ได้ ซึ่งเกิดจาก มองไม่ได้รบั การกระต้นุ รอื ถกู ใช้ในช่ ง เ ลาทีเ่ มาะ ม โดยเ พาะใน ยั 10 ปแรกที่กาำ ลังเจรญิ เตบิ โต เรยี ก ่า 1998 เปน็ าเ ตทุ ท่ี าำ ใ เ้ รา ญู เ ียค ามทรงจาำ และไม่ เกิดการเรยี นรู้ ซ่งึ การทำางานของเซลล์ มองกลุ่มนไี้ ดแ้ ก่ กั ย าพทางค ามคิด การแก้ ปญั า ค ามคิดรเิ ร่มิ รา้ ง รรค์และไ พริบ โดยเซลล์ มองทีเ่ ก่ยี กับการเรยี นรู้มี 2 ชนดิ คือ และ ซึ่ง ่ นใ ญ่จะอยู่ ่ นบนของ มอง ทาำ น้าทชี่ ่ ยใ ้อา ารและเปน็ พี่เล้ียงใ ้เซลล์ประ าท เม่อื ใชเ้ ซลล์ประ าทมาก กต็ ้องใช้มากด้ ย และ ามารถ ร้างใ ม่ไดต้ ามตอ้ งการของเซลล์ มอง โดยปกติเรา ใช้เซลล์ มองแค่ 5 10 ของ มองท้งั มดในการเรยี นรู้แบบรู้ ึกตั ่น อกี 90 จะเรียนรู้แบบไม่รตู้ ั

4 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม ภาพใยประสาทที่ไม่ไดร้ บั การกระตุ้นและได้รบั การกระตนุ้ เยอ่ื ไขมัน ้มุ ใยประ าท ตัว ง่ ข้อมูล ทำา นา้ ที่เป็น นวน ไฟฟ้า เพ่ีอใ ข้ อ้ มูล ามารถ ่งผ่านไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ประกอบดว้ ย 2 ว่ นคือ ไขมันที่ จำาเป็น 75 และโปรตนี 25 ซ่ึงนมแมจ่ ะมีครบทงั้ 2 ว่ นอยา่ งเ มาะ ม โดยมขี อ้ ำาคญั คือ 1 ยิ่งเซลลป์ ระ าทไดร้ ับข้อมูลมากเทา่ ไร เย่อื ไขมนั ยง่ิ มมี าก และการ เรยี นรูจ้ ะเกดิ ขน้ึ เร็วมากเชน่ กัน 2 เยื่อไขมัน เกิดขน้ึ ลังคลอด โดยเรม่ิ ที่ มอง ่วนล่าง กา้ น มอง แล้วคอ่ ยตอ่ ไปท่ี มอง ่วน นา้ และข้ึนอยู่กบั วา่ ชว่ งอายุใด ่วนใดเจริญเตบิ โต กอ่ น กจ็ ะเกดิ การทำางานของ มอง ่วนน้ัน และ ว่ นใ ญ่จะเจรญิ เตม็ ท่ใี นชว่ งวยั รนุ่ ทาำ ใ เ้ ดก็ วยั ร่นุ ามารถคิด ามารถวางแผน แกป้ ัญ าเปน็ ามารถตดั นิ ใจเอง รูจ้ กั วิเคราะ ์ งั เคราะ ์ และ รปุ อยา่ งมวี ิจารณญาณได้

การทำางานของเซลลส์ มอง 5 ในการประชุม ชิ าการนานาชาตดิ นตรี กึ า ณ อาคาร มู พิ ล ังคตี ทิ ยาลยั ดรุ ยิ างค ลิ ป ม า ทิ ยาลยั ม ดิ ล เมอ่ื นั ท่ี 29 มนี าคม 2 เม ายน 2547 ร .ดร. กุ รี เจรญิ ุข มปป. 4 6 ไดก้ ลา่ เก่ีย กบั มองและการเรียนรูไ้ ้ ่า ค ามมืดและค าม เงียบ เปน็ บรรยากา ของค ามกลั ซึ่งค ามมดื ทาำ ใ ต้ ามองไม่เ ็น เม่ืออย่กู ับค ามมืด นานๆ ตาก็จะมีปัญ า มองไมช่ ัด มองไม่เ น็ และถ้าเด็กเกิดมาอย่กู ับค ามมืดเด็กกจ็ ะ ตาบอด าำ รบั ค ามเงียบนั้น ทาำ ใ ้ ูไมไ่ ดย้ ิน เดก็ แรกเกิดทอ่ี ยู่กับค ามเงียบ ูก็จะ ไมพ่ ัฒนา ากอยูก่ ับค ามเงียบในช่ ง 2 ปแรก เดก็ กจ็ ะกลายเป็นคน ู น ก เพราะ ่าอ ยั ะของ ไู มไ่ ด้ถกู พัฒนา เ น้ ใยประ าทไม่ ามารถพัฒนาได้ เมื่อมคี ามมดื และ ค ามเงยี บเปน็ พื้น าน พฒั นาการของเดก็ จะทบึ และเชอื่ งช้า ทึบที่ มองชา้ ท่ี มอง แล้ งั่ การใ ร้ ่างกายตอบ นองช้าด้ ย ดงั นัน้ พ่อแม่ตอ้ งใ ้เด็กอย่ใู นที่ า่ งเพยี งพอ เพ่อื ใ ้ เดก็ ไดม้ องเ ็น พัฒนาตา เดก็ จะต้องมเี ยี ง ตามธรรมชาติ เ ยี งพดู เ ียงดนตรี เ ียง มาเ า่ ไกข่ นั นกรอ้ ง ฯลฯ ทัง้ นีก้ ต็ อ้ งมีค ามดงั เพียงพอตอ่ การไดย้ นิ และไมด่ งั เกนิ ไปท่ี จะทาำ ลายอ ยั ะของการฟัง เ ยี งตา่ งๆ และค าม ลาก ลายของเ ยี งเปน็ การกระตุ้น การเรยี นรู้ เ ยี งทอี่ ยู่รอบขา้ งน้ัน ขู องเด็กจะได้รับการพัฒนาการฟัง ขณะเดยี กนั เ ยี ง จะ ง่ พลังไปยัง มอง เพอ่ื ใ ใ้ ยประ าทได้พฒั นาแตกกิ่งกา้ น าขามากขึ้นต่อไป นอกจากน้ดี นตรยี ังเป็นพลังงานเ ยี ง เ ียงดนตรมี อี ำานาจ มีพลงั งานทาำ ใ ้ เกดิ การเคลือ่ นไ เมื่อมเี ยี งก็จะ ร้างการเคล่อื นไ กจ็ ะเกิดการพฒั นา เ ยี งท่ี ละเอยี ดและไพเราะ จะมีอำานาจมาก เ ียงที่ ยาบและไม่ไพเราะ จะมอี ำานาจนอ้ ย ค าม เคลื่อนไ ทำาใ ้เกิดการเปล่ียนแปลง และค ามเปลี่ยนแปลงทำาใ ้เกิดการพัฒนา ซงึ่ มนุ ย์จะพัฒนาจากค าม ยาบไป ่คู ามละเอยี ด พัฒนาจากค ามไมร่ ู้ ไป ู่ค ามรู้ ค ามเงยี บทาำ ใ เ้ ด็กรู้ ึกกลั ค ามกลั ทาำ ใ พ้ ฒั นาช้า เมอื่ มีเ ยี งทาำ ใ เ้ ดก็ รู้ กึ อบอนุ่ เ ยี งดังและ ยาบกระด้างทาำ ใ เ้ ดก็ ยายกระด้างและต่ืนเตน้ ตกใจกลั เ ยี งทล่ี ะเอยี ด ทำาใ เ้ ดก็ รู้ กึ อบอุ่นมัน่ คง คลน่ื เ ยี งเปน็ พลังงาน เม่อื มนุ ย์ไดย้ ินเ ยี งกจ็ ะเกิดการเคลือ่ นไ ทั้งการ เคลอ่ื นไ ายในและ ายนอก ายในน้นั เราอาจจะมองไม่เ น็ ด้ ยตา แต่จะ ะท้อน ออกมาเป็นค ามรู้ กึ เชน่ อารมณด์ ี เปน็ ตน้ ่ นค ามเคลื่อนไ ายนอกนัน้ ดูได้ จากค ามเคล่ือนไ ทางกาย เมื่อมีการเคล่อื นไ ก็จะทำาใ ้เกิดการพัฒนาการต่างๆ

6 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม และ ง่ ผลตอ่ ใย มองทจี่ ะพฒั นาแตกก่งิ ก้าน าขา เชลล์ มองจะพฒั นาเร็ ข้นึ รือช้าลง ข้นึ อยู่กบั การกระตนุ้ ของ งิ่ แ ดล้อม และเ ยี งดนตรีท่ีละเอยี ดเปน็ ปัจจยั าำ คญั ต่อการ เติบโตและแตกกง่ิ กา้ น าขาของเ น้ ใยประ าทในเซลล์ มองต่อไป นอกจากน้ใี นการ จิ ัยใน นู เดก็ และผใู้ ญ่ ของ . 1988 ได้ทดลองนำา นู 2 กลมุ่ กล่มุ แรก นูมีของเลน่ และกลมุ่ อง นไู มม่ ีของเล่น ปรากฏ ่า นทู ่มี ีของเลน่ มี งิ่ แ ดล้อมและตั กระตุน้ จะมไี ยประ าทเชอื่ มโยงกันมากก า่ นู ทไ่ี ม่มขี องเล่น และ นทู ่ีอยูก่ นั ลายตั จะมีใยประ าทมากก ่า นูทอี่ ยตู่ ั เดยี และ เซลล์ มองจะโตมากก ่าด้ ย ดงั น้ันการอยู่ด้ ยกันและ ัมผั ิ่งแ ดล้อมท่ี มบรู ณจ์ ะ ทาำ ใ ้ มองเจริญเตบิ โตได้ดกี า่ รือได้ทาำ การทดลองโดย นตู ั ใ ญ่ถูกกระตุ้น เช่น ัมผั อยา่ งอ่อนโยนกบั นูเลก็ ๆ ที่ไมถ่ ูกกระตนุ้ ปรากฏ า่ นูตั ใ ญ่จะมใี ยประ าท มากก า่ นตู ั เลก็ ดังนน้ั การ มั ผั ทีอ่ บอนุ่ จะทาำ ใ ้ มองเจริญเติบโต ไดด้ ี อยา่ งไรกต็ ามไดม้ ีการทดลองกบั คน โดยใช้ ารรงั ีตดิ ท่ี ซงึ่ พบ า่ ใน 2 ปแรก มองจะใช้ เร็ มาก และจะลดลงจนอายุ 10 ป มายถึง มองมกี าร เจรญิ เตบิ โตมากในช่ งนี้ แตค่ ามจริง มองจะมกี าร ร้างใยประ าทไดต้ ลอดชี ติ ถา้ ากมีการกระตุ้นตลอดเ ลา แต่ใน ัยเด็กจะ ร้างไดง้ า่ ยก ่าผู้ใ ญ่ ดังน้ันเดก็ จงึ เรยี นรู้ ไดเ้ ร็ ก า่ ผู้ใ ญ่ นอกจากนี้ได้มกี าร จิ ยั โดยนาำ เดก็ 6 เดอื นมาอยู่ใน ง่ิ แ ดลอ้ มทพี่ ร้อม ทงั้ ของเล่น เพอื่ นเลน่ อา ารท่ี มบรู ณ์ เรยี นรู้ ่งิ ตา่ งๆ และการละเล่น พบ า่ เดก็ มี มากก า่ อกี กลุ่มทต่ี รงกันขา้ ม และ มองมีการทาำ งานมากขึ้น จากเครือ่ งตร จ มอง ดงั นั้น มองจะไ ตอ่ ประ บการณแ์ ละ ิง่ แ ดล้อมที่ มบรู ณ์ อดคลอ้ งกับ 1986 ได้ กึ าคนใน ถาน งเคราะ ก์ ับคนชราท่อี ยู่บา้ น พบ ่า ายใน 6 เดอื น ของคนใน ถาน งเคราะ ์จะลดลงมากก ่าคนชราทอี่ ยู่ในบา้ น เพราะขาด การกระตนุ้ ด้ ยค ามรกั และค ามอบอ่นุ ดังนน้ั ไม่ ่าเราจะอายุเท่าไร การกระตุ้น มองใ ไ้ ดใ้ ชค้ ามคิดแก้ไขปญั า ทา้ ทายตา่ งๆ จะช่ ยใ ้ มองเจรญิ เตบิ โตได้ดี และขณะเดีย กนั การได้รับประ บการณ์ ชี ิตกจ็ ะทำาใ ้ มองเจรญิ เติบโตด้ ยเชน่ กนั แตต่ อ้ งมี ่ นร่ มอย่างแท้จริง

การทำางานของเซลลส์ มอง 7 จากขอ้ ค ามข้างตน้ จึง รุปได้ ่า มองจะเจริญเตบิ โตไดด้ จี ากปจั จัยต่างๆ ดงั นี้ 1. ิ่งแ ดล้อมทาง ังคม และอา ารท่ี มบรู ณ์ โดยเ พาะในระยะ ยั เด็ก รอื ประมาณกอ่ น อายุ 10 ป 2. มนุ ย์เปน็ ัต ์ ังคมและการเรยี นคือ การมีกจิ กรรมทาง ังคม เราเรียนดี ขน้ึ เมื่อเราทาำ งานกล่มุ ด้ ยกัน 3. การไดร้ ับการ มั ผั อันออ่ นโยนและอบอุ่นในการเลีย้ งดู 4. มีปฏกิ ิรยิ าตอ่ ิง่ แ ดล้อมรอบๆ ตั 5. มองค รจะถูกใช้และถูกกระตุ้นทุกอณูและใช้คิด ่ิงต่างๆที่ท้าทายต่อ มอง เด็กเลก็ จะเรียนรูโ้ ดยการเลน่ และการได้ มั ผั ประ บการณ์ชี ิตต่างๆ การเลน่ และการได้ มั ผั กบั ของจริง เป็น ิง่ ท่มี ีประ ิทธิ าพ ูง ดุ ของการเรียน ่ นเดก็ โตค รใ ้ทำากิจกรรมการทำางานตาม ัยอย่างเ มาะ ม 6. การเล่น การทาำ กจิ กรรม และการทาำ งาน เป็น ง่ิ ท่ี ำาคญั ำา รับการเรยี นรู้ โดยเ พาะการพัฒนา มองซีกข าและใยประ าท 7. การเล่นและประ บการณ์ตา่ งๆ ค รใ ม้ ีค ามเครียดนอ้ ยท่ี ุด แตค่ รใ ้ คิดและทำา ิง่ ท่ที า้ ทายมากท่ี ดุ สรุป การมปี ฏิกริ ยิ าตอ่ งั คม การเลี้ยงดทู ด่ี ี การ มั ผั อนั อ่อนโยน การใช้ มอง ทำางานต่างๆ ทีท่ ้าทาย และการเลน่ ต่างๆ การทาำ กิจกรรมกลมุ่ การทาำ งานตาม ัย ล้ นมี ผลตอ่ การเจริญเตบิ โตของ มองและใยประ าท ไม่ ่ากิจกรรมเ ลา่ นนั้ จะเกิดขนึ้ ที่บา้ น โรงเรียน ทท่ี าำ งาน ฯลฯ ซึง่ ล้ นมผี ลอยา่ งมากต่อการเรียนรู้ โดยอาจจาำ แนก รุปได้คือ 1 มองเดก็ ผชู้ าย จะชอบการตอ่ ู้ ต่นื เตน้ เล่นข า้ งปา คน้ ค ้า จิ ยั และทดลอง และ 2 มองเด็กผู้ ญิง จะชอบอ่าน นัง ือ ฟังเพลง ทั นะ กึ า งานบา้ น และทัก ะทาง า า ซงึ่ การทำางานของเซลล์ มองจะได้รบั การกระตุ้นอยา่ งเ มาะ ม รือไมน่ ัน้ กข็ นึ้ อย่กู ับปัจจยั ดังกลา่ ข้างต้น ซ่งึ ามารถ รปุ เป็นตารางไดด้ ังนี้

8 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ สมองเจริญเตบิ โตไดด ี (ฉลาด) ปจจัยทมี ผี ลกระทบตอสมอง โดยเฉพาะกอนวัยรนุ เกิดขึนไดกับทกุ วยั - การทาํ กิจกรรมกลมุ มีปฏสิ มั พันธก บั สังคม - ความเครยี ดนานๆ จากทกุ สาเหตุ เชน - ไดท าํ งานหรอื เรยี นในสงิ ทชี อบ 1 ถกู บังคบั ใหเ รียน/ทําในสิง ทไี มชอบ - การละเลนตา งๆ (เกมส) หรอื เลนกับเพอื น 2 ทาํ งานหรือเรยี นหนกั การบา นมาก ไมม ีเวลา - การไดฟงการเลา นทิ าน - ศิลป ดนตรี กฬี า ออกกาํ ลังกาย รองเพลง ตาม พักผอ นหรือออกกําลังกาย ความถนดั และอสิ ระ ไมถ ูกบังคบั ไมใ ชก ารทองจาํ 3 ถกู ดุดาทุกวนั ทฤษฎที ซี ําซาก 4 มองคุณคา ตัวเองตาํ - ไดรับคําชมเชยเสมอ 5 วติ กกงั วล ทุกขนานๆ - มองภาพตนเองในเชงิ บวก 6 ความกลวั โกรธนานๆ - เปนคนยดื หยุน ไมเ ขมงวดเกินไป 7 เขมงวดเกินไป - ชว ยเหลอื ตนเองตามวยั - ไดค วามรกั ความอบอุน จากพอแม หรอื ผูใกลช ดิ - สมองไมถูกใช หรอื กระตุน เลย - ไดทัศนะศึกษา ไดสมั ผัสกบั ของจรงิ - ขาดสารอาหาร - ไดรบั อาหารครบ 5 หมู - การไดร ับสารพษิ เชน ยาเสพติด เปน ตน

การทำางานของเซลลส์ มอง 9 เอกส�รอ้�งอิง กมลพรรณ ชีวพันธศุ ร.ี มปป. . สมองกบั ก�รเรยี นร.้ กรุงเทพฯ บรษิ ทั พรการพิมพ์ จำากัด. ภ�พ ยประส�ท. ท่ีมา .. . สืบค้น วนั ท่ี 1 มถิ นุ ายน 2556. ภ�พเ ลล์ประส�ท. ทมี่ า .. . สืบคน้ วนั ที่ 1 มถิ ุนายน 2556. ภ�พ ยประส�ทท่ี ด้รับก�รกระตนุ้ และ ม่ ด้รับก�รกระตนุ้ . ที่มา . .. 0 9 83 0 8 2 0 8 0 8 1 0 8 0 8 87 10 4 2 0 1280 662 03 5 3 3 3 253 252 252 . . . . 252 52321292 252 252 02. 3 253 252 252 . . . . 252 52321292 252 252520 . 3 400 3 460. สบื คน้ วันท่ี 1 มิถุนายน 2556. ภ�พพั น�ก�ร อง ยประส�ท. ที่มา 0 9 83 8 2 . .. 0 8 87 08 08108 72 0

10 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ 0 1280 662 3 3 93 3 253 252 252 . . . . 252 252 252 252 23. 3 253 252 252 . . . 252 252 2. 3 577 3 282. ืบค้นวันท่ี 1 มิถนุ ายน 2556. กุ รี เจรญิ ุข. มปป. ประชมุ ิช�ก�รน�น�ช�ตดิ นตรศี ึกษ�. นครป ม วิทยาลยั ดรุ ิยางคศิลป ม าวิทยาลยั ม ดิ ล. . 1988 . . . . . 1998 . .. . 1986 . . . . 1999 . . .

บ ค �มจ�ำ และก�รเกบ ้อมล นสมอง ก�รเรยี นก�รสอนกับก�รพั น�ค �มคิดและค �มจำ� นสมอง 2012 กล่าววา่ ิ่งแวดล้อม มผี ลต่อความ ลาดของมนุ ย์ ประมาณ 40 70 และกรรมพันธุ์ มีผลต่อความ ลาด ของมนุ ยป์ ระมาณ 30 60 จากคาำ กลา่ วข้างตน้ การทาำ ใ เ้ กิดคณุ าพของ “ ่ิงแวดล้อม” ท่ีกระตุ้นใ ้เกดิ เรยี นรู้คือ การเอาแรงกดดันท้งั มดออกจาก ่ิงแวดลอ้ มทก่ี าำ ลังเรียนรู้ เชน่ การเกรย้ี ว กราด การ ร้างความอึดอัด การกำา นดการบา้ นทม่ี ากเกินไป การบังคบั ใ เ้ ด็กเรียน ลงั เลิกเรยี น การทาำ ใ ้เด็กขาย น้า อับอาย การเ ียด ี ถากถาง ขาดอปุ กรณก์ ารเรียนการ อน การขเู่ ขญ็ การเข้มงวดเกนิ ไป และการดุด่า เปน็ ต้น ซึ่ง ่วนใ ญก่ ำาลงั เกดิ ขน้ึ ใน ครอบครัวและโรงเรยี น ซ่งึ ง่ิ แวดลอ้ มในการกระตนุ้ ใ เ้ กิดการเรยี นรคู้ ือ าวะท่ไี รแ้ รง กดดนั เรยี นอยา่ ง นกุ นาน และมคี วาม ุข 1967 จาก เปน็ กล่าวว่า มอง ามารถ ร้างเ ้นใยประ าท เม่ือถกู กระตุ้นดว้ ย ่ิงแวดล้อม ที่ดีและ มบูรณ์ โดยพบวา่ มองชนั้ นอก ุด รือ จะ นาข้ึน มีเ น้ ใยมากขึ้น และ มีขนาดใ ญข่ ้ึน ซงึ่ ามารถเกดิ ขนึ้ ายใน 48 ชว่ั โมง ลังถูกกระตุ้น โดย อาจมาจากประ บการณท์ ซ่ี บั ซอ้ น ซึ่ง มองจะปรับเปลยี่ นโครง ร้าง ทั้งนีข้ ้นึ อยู่กับชนดิ และปรมิ าณของการใช้จุดเชอ่ื มประ าท ว่ นใดมาก น้อยขน้ึ กบั ชนิดของ กจิ กรรม เชน่ การออกกำาลงั กาย จะทำาใ ้เลอื ดไปเลย้ี ง มองมากข้ึน ่ิงแวดลอ้ มท่ี กระตุ้นลกั ณะตา่ งๆ กนั ก็ทำาใ ้ มองมี ลาย ่วนทจ่ี ะพฒั นาต่างกัน ซึ่ง . . 1997 จาก กลา่ วว่า เด็ก ทข่ี าดความรกั และมีประ บการณท์ เี่ ลวร้าย การทำางานของ มองจะผิดปกติ แตกต่างกับเด็กท่ไี ด้รับความอบอ่นุ จากครอบครวั อยา่ งไรกต็ าม เรา ามารถเพิ่ม รอื ลด กวา่ 20 จดุ ได้ ทั้งนข้ี ้นึ อยกู่ บั งิ่

12 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม แ ดลอ้ ม โดยการจดั การ ึก าของโรงเรียนจะมผี ลตอ่ ของเดก็ ซึ่งพบ ่า ในเด็กทจ่ี บ ปรญิ ญาตรี มใี ยประ าทเชอ่ื มตอ่ กนั มากก า่ เด็กจบช้ันมธั ยมถงึ 40 และเด็กทไ่ี ดท้ ำา กจิ กรรมต่างๆ ทีท่ า้ ทายค ามคิด จะมี มองเจรญิ เตบิ โตถงึ 25 ซึง่ มากก า่ กล่มุ ทีไ่ มไ่ ดท้ าำ กจิ กรรม และไมใ่ ชเ่ พาะการจดั การ ึก าเพยี งอย่าง เดยี แต่ตอ้ งมปี ระ บการณแ์ ละค ามคดิ ท่ีทา้ ทายใ ้กับ มองด้ ย เชน่ การแก้ปญั า ด้ ยตนเอง การ างแผน ฯลฯ ถึงจะทำาใ ้ มองเจรญิ เตบิ โตมี เพ่มิ ข้นึ ซึ่งเด็กที่เรียน แบบรับค ามรู้ใน ้องเรียนไปเร่ือยๆ กับเด็กที่มีการใช้ มองคิดท้าทายทุก ัน จะมีการ เจริญเติบโตของ มองต่างกัน 1993 ภาพ นา้ ที่ของสมองซีกซ้ายและขวา มองจะมีการเจริญเติบโตในเด็กอย่างร ดเร็ และง่ายก ่าในผู้ใ ญ่ มากก ่า 25 ในระ ่างท่ถี ูกกระตุ้นด้ ยค ามแปลกใ ม่ และประ บการณใ์ มๆ่

วามจำาและการเกบขอ้ มลู ในสมอง 13 จากโลก ายนอก ซึ่ง 1820 1894 ไดท้ ดลองทั้งใน ตั แ์ ละคน มาก า่ 20 ป รุป ่า ่ิงที่จะทาำ ใ ้ มองเจรญิ เติบโตดี รอื ลาดนนั้ มี 3 อย่าง คือ ก�รเรียนรต้ ้องท�ำ เ้ กิดก�รคดิ ด้ ัม ั ทา้ ทายกบั ค ามรู้ ประ บการณ์ และค ามแปลกใ ม่ รือ ิ่งใ ม่ๆ การใ ้ กคิดใน ิ่งต่างๆ ไม่ค รมาก รือน้อยไป เพราะเด็กจะเบ่ือ รือเลิกกิจกรรมนั้น ดูได้ ่ามาก รือน้อยคือการ ังเกตบุคคลิก ี น้า ท่าทาง ของเด็ก า่ แ ดงค ามเบอื่ น่าย รือ นกุ มี ธิ กี �รเรียนร้ ด้ ยการใ ม้ ี ่ นร่ มในการตร จ อบและประเมนิ ผล กล่า คอื การไดร้ บั การตร จ อบและประเมินผล ที่ถูก ธิ ี เช่น การจับคู่ กันเรียนและถกเถียงกันในกล่มุ จะลดค ามไมม่ ัน่ ใจในการเรียนรู้ ช่ ยเพิ่มค าม ามารถ และลดการเกิดค ามเครียดได้ ซงึ่ ถา้ ไมม่ กี ารตร จ อบและประเมินผล เราจะไม่ไดเ้ รยี น รู้ เชน่ ถ้าเราเขยี นคำาตอบแล้ ไมม่ ีการตร จคาำ ตอบ เราก็ไม่รู้ า่ ถกู รือผิด เกิดค ามไม่ แน่ใจในค ามรนู้ ้ัน เปน็ ต้น ด้นำ� ิง่ ทเี รียนร้ ป ช้ นชี ติ จรงิ กใ ้เกิดทกั ะจาก ค ามรทู้ ่เี รียนไป ไดแ้ ก่ า าไทย อังกฤ ุข กึ า นา้ ท่ีการเป็นพลเมอื งทีด่ ี และ ีล ธรรม เปน็ ต้น โดยใช้ ทิ ยา า ตรแ์ ละ งั คมประยุกต์ใ เ้ ข้ากับ ิ่งแ ดลอ้ มรอบๆ ตั เรา การกระต้นุ มองใ ้คิดท้าทาย ในการทาำ กจิ กรรมตา่ งๆ ามารถเกิดได้จากปัจจัย เช่น เกิด ัตถุดิบ รือมีเ ตุการณ์ใ ม่ๆ รือการเพิ่มค าม ยาก ง่าย การกระทาำ ในทรัพยากรทีจ่ าำ กดั รือในช่ งเ ลาทีแ่ ตกต่างกนั ค ามคาด ัง รือการช่ ยเ ลอื ซงี่ กันและกัน นอกจากนี้ ค ามแปลกใ ม่ ยงั เปน็ ิ่งที่ ำาคัญมาก การเปลย่ี น ิง่ แ ดล้อม ายใน อ้ งเรียน เช่น เปล่ียน ้องเรยี นทุกๆ 4 ปั ดา ์ รอื จัดบอรด์ ้องเรียนใ ม่ แต่ ต้องใ ้เด็กนักเรียนทำาเอง เปล่ียนกระบ นการ อน เช่น การใช้ การเข้า กลุ่ม ไปทั น กึ า เชญิ ผู้อ่ืนมา อน การจบั คู่ จับกล่มุ การเล่นเกม ์ ใ เ้ ด็ก อนกนั เอง การรายงาน และการจดบันทกึ ประจาำ นั เปน็ ตน้ รอื การใช้เน้ือ า าระทีแ่ ปลกใ ม่ จะน่า นใจเรยี นมากก ่าเนอ้ื า าระที่ซ้าำ ๆ โดยเนือ้ าท่คี รจะใช้เพอื่ เพมิ่ ค าม มบูรณ์ ของ ิ่งแ ดล้อมท่ีกระตุ้น มอง เช่น า า การอ่าน การออกกำาลังกาย พลานามยั การคดิ ต่างๆ การแกป้ ญั า และ ลิ ปะ ดนตรี เป็นต้น โดยมี าระดังนี้

14 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม ก�ร ชภ้ � � ก�รอ�่ น เพอ่ ้ มองพั น� การอ่านของมนุ ย์เรา เริ่มท่ีอายุ 6 เดอื น โดยอาจจะเป็นการชดี้ รู ูป าพใ ้ เ น็ บอ่ ยๆ ใน นัง อื เดก็ เล็กจะต้องเรียนรูซ้ ำ้าๆ ใน งิ่ นนั้ เพ่ือเรยี นรู้ า า แตเ่ ด็กโต แล้ ค รได้รับค ามรู้ใ ม่ๆ ถ้าเรียน า า ลัง ัยรุ่น เด็กอาจเรียนรู้ า าโดยขาด รือ าำ เนียง า าแมข่ อง า านั้นๆ ได้ ในการเรียนคาำ ัพทต์ ้องฟงั อ่าน พดู บ่อยๆ แต่ไม่ค รจะกดดันเด็กจนเกนิ ไป ช่ งเ ลาทเี่ ดก็ ชอบอ่านจะไมเ่ มอื น กัน เช่น ตง้ั แต่อายุ 3 8 ป การเขยี นคำา ัพท์ ก็ ามารถเพิ่มการเรยี นรไู้ ดม้ ากขึน้ แตใ่ น เด็กเลก็ ใ ้พิมพ์ รือกดกอ่ นเขียนจะดีก ่า เพราะกล้ามเนือ้ มัดเล็กทใ่ี ชใ้ นการเขียนยังไม่ พฒั นา และปจั จบุ ันเดก็ ต้องรู้ า า คือการกา้ ใ ท้ ันเทคโนโลยดี่ ้ ย ก�รท�ำ ้ มองพั น� �่ นก�รออกก�ำ ลังก�ย ก�รเตน้ ร�ำ ก�ร ช้กล�้ ม เนอต�่ ง ที่ไมถ่ ูกบงั คับ การออกกำาลังกายและการเคล่ือนไ เป็น ิ่งที่ดีต่อ มองแต่ไม่ค รบังคับ และ ค รใ ค้ ิดทาำ ่ิงใ ม่ ๆ ลาก ลายรูปแบบแกเ่ ด็กเลก็ เช่น การกระโดด การโยนบอล การปนปาย และการ มนุ เปน็ ค รใ ้มกี ารออกกำาลงั กายประกอบการ อน ิชาอนื่ ๆ ใน ้องเรียน ในด้านกี าเราค รจะใ ้เด็กใช้ มองนับตั เลข กการ างแผน และการแก้ ปญั า ในเดก็ โตค รใ ้เลน่ กี าท่ีเปน็ กลมุ่ มากขนึ้ และการเต้นราำ ชนดิ ต่างๆ ตามค าม ชอบของเด็ก กระต้นุ มอง เ้ กิดก�รคิดและก�รแกป้ � ิธีการนี้เป็นทางท่ีดีที่ ุดท่ีจะใ ้ มองเจริญเติบโต มองถูกใช้ด้ ยการแก้ ปัญ า ก็จะ รา้ งใย มองเพ่มิ ขึน้ การแกป้ ญั า เรา ามารถเร่ิมกระตุน้ ตงั้ แต่อายุ 1 2 ป เช่น การ อนใ เ้ กบ็ ข้า ของ การรับประทานอา ารเอง ทำาเลอะเทอะไม่เป็นไร และการช่ ยงานเล็กๆ นอ้ ยๆ เช่น การเกบ็ จาน แก้ พลา ติก ฯลฯ เดก็ ๆ ตอ้ งการคดิ แก้ปญั าท่ีซับซอ้ นและ ท้าทาย เช่น อาจจะผ่านการเขียน การจำาลองตั อย่าง รอื ถานการณ์ และการเปรยี บ เทียบ รือถกเถยี งกัน เป็นต้น ซ่งึ การแก้ปญั าที่ทำา มองเกิดการเจรญิ เติบโต คือ การ เน้นใ ้ มอง กคดิ อย่างเป็นกระบ นการ แต่จะไมไ่ ดเ้ น้นทค่ี าำ ตอบ รอื ผลลัพธ์

วามจำาและการเกบขอ้ มลู ในสมอง 15 มองซกี ข า ามารถพฒั นาไดม้ ากในช่ งอายุ 4 7 ป และ มองซกี ซา้ ย ช่ ง อายุ 9 12 ป ซง่ึ มองทงั้ องดา้ นจะเจรญิ เต็มท่เี มอื่ อายุ11 13 ป 1995 ดังนั้นเราค รจะกระตนุ้ มองเดก็ ท่อี ายุ 4 7 ป ด้ ยการ ก นการเพ่ิมจนิ ตนาการ มอง ซีกข า ได้แก่ การละเลน่ ต่างๆ เลน่ แ ดงเป็นตั ละคร การ รา้ งบา้ น แตง่ ตั ตกุ ตา ตอ่ ตั รถยนต์ เคร่อื งบนิ ทาำ ของเล่นเอง เชน่ ก้านกล้ ย กะลามะพรา้ าด าพ ระบาย ี ตามจินตนาการมากก ่าเรียนรูใ้ นบทเรียน ซ่ึงค รจะเรม่ิ เพมิ่ าระการเรียนรู้ มองซกี ซา้ ย ทอ่ี ายุ 9 12 ป แตไ่ มค่ รมากเกินไป และต้องมีกระบ นการกระต้นุ มองใ ค้ รบ ทุกดา้ นโดย ม่ำาเ มอ เพื่อไม่ใ ้ มองขาดการกระตุ้นค ามคิดด้านต่างๆ และเพ่ือ ป้องกัน แ ่งม า ทิ ยาลัยแคลฟิ อร์เนยี กล่า ่า การเลน่ ดี ีโอเกม ์ท่ี รา้ งกลยุทธ์ใ มๆ่ ไม่ใช้ค ามรนุ แรงกา้ ร้า และมีค ามยากในแตล่ ะ ่ น จะทำาใ ้ มอง ลาด ำา รับ ิ่งกระตุ้น มองอ่ืนๆ ได้แก่ การต่อจิกซอ การแก้ปัญ าจาก มมุติ าน การนำา ่ิงทอี่ ยู่รอบตั ครอบครั ชุมชน ังคม และ ิง่ ท่ีอยูใ่ นชี ิตจรงิ มา เรยี นรู้และคดิ แกป้ ัญ า เด็กอายุ 11 ป มที กั ะการใชเ้ ตุผลประมาณ 5 ่ นเด็กอายุ 14 ป มี า ะ ทางเ ตผุ ลประมาณ 25 และผใู้ ญ่มเี ตผุ ลอยปู่ ระมาณ 50 1980 กระตุ้นสมอง ่�นศลิ ปะ และดนตรี การ รา้ งค าม ขุ ไมใ่ ช่การใ ้เด็กท่องทฤ ฎี ราก านทาง ิลปะท่ีดีจะทำาใ ้ เกิดค ามคิด ร้าง รรค์ เกิดค าม นใจ มี มาธิ ามารถคิดแก้ปัญ า กค บคุม ตนเอง กการใช้มือ ายตา ทำาใ ้เรียน า าไดด้ ีขนึ้ เกิดการพฒั นา ทาง ังคม มที ั นะคตทิ ่ีดี ในการเรียนดนตรแี ละ ลิ ปะ เชน่ การร้องเพลง เปน็ ง่ิ ท่ีทาำ ใ ้ มองมคี าม ขุ เกดิ ทัก ะทาง งั คม มีค ามคิดร บยอด ทาำ ใ ้ มองตนื่ ตั เรยี นรู้ และ จดจำาไดด้ ีข้นึ และการฟังเพลงของ ท่ีต่นื เตน้ เรา้ ใจ ทำาใ ้ มองตน่ี ตั ก ่าเพลง เบาๆ ช้าๆ 1993 ในการรอ้ งเพลงและเล่นดนตรี ทาำ ใ เ้ พ่มิ ได้ การ อน ิลปะไม่ใช่แค่การ าดรูป แต่ค ร อนการคิด การแ ดงออกทาง อารมณ์ เพือ่ ใ เ้ กิดค ามคิดและจนิ ตนาการ ไม่ใช่การท่องจาำ ทฤ ฎี รือจำากดั ค ามคิด จินตนาการของเด็ก ร มทั้งในการเรียนดนตรี รือร้องเพลง และการเรยี นพละ ก็ค ร

16 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ เป็นไปเพื่อใ เ้ กดิ ความ ขุ นกุ นาน ไม่ใชเ่ รยี นเพราะถกู บงั คบั รือท่องจาำ ทฤ ฎี ใน การเรียนรู้เ ลา่ น้ีเมือ่ เรารู้ ึกวา่ มคี ณุ ค่า และมีความ ามารถ มองจะ ลง่ั ารเคมีทมี่ ี ความ ุข ก�รพั น�ศกั ยภ�พสมอง �่ นส่ิงแ ดลอ้ มรอบตั การใ ้เด็กได้เรียนรู้ ่ิงต่างๆท่ีจำาเป็นในชีวิตจาก ่ิงแวดล้อมรอบตัวการใช้รูป าพที่ผนัการทำาใ ้ มองเจริญเติบโตที่ดี มาจากการทำาใ ้ มองได้ กคิดและการมี ปฏกิ รยิ าโตต้ อบกลบั ควรมกี ลยทุ ธท์ ี่ ลาก ลาย เชน่ การใชค้ อมพวิ เตอร์ การใช้ การนง่ั เรยี น การแ ดง การเลน่ ดนตรี การพดู นา้ ้องเรยี น ฯลฯ แลว้ ควรใ ้เด็กเลอื กเอง และไม่ควรทาำ แต่เ พาะ ่ิงทช่ี อบใน งิ่ น้ันเพยี งอยา่ งเดียว ควร ลาก ลาย การได้รบั ิ่งแวดลอ้ มที่นา่ เบื่อ จะทาำ ใ เ้ ปลือก มอง บางลง แต่ ามารถฟนคนื ได้ถา้ งิ่ แวดลอ้ ม มบูรณ์ ซ่งึ มผี ลทำาใ ้เปลือก มอง นาข้ึน 1998 การเปลี่ยนแปลงดงั กลา่ ว ามารถเกดิ ขึ้น ายใน 48 ชวั่ โมง ใน .. กลา่ ววา่ เวลาทเ่ี มาะ มในการเรียน มาก ดุ คอื 90 นาที ลังตืน่ นอนท่ี ลบั นทิ การอดนอนทาำ ใ ก้ ารเรยี นแยล่ ง าำ รับการเพ่มิ นั้น . กลา่ วเป็นข้อๆ ไว้ดังนี้ ใ ้วติ ามนิ รวมและเกลอื แร่ โดยเ พาะวิตามิน และ เพิม่ การกินผักและผลไม้ กนิ อา ารไม่ขัด ี เช่น กนิ ขา้ วกล้อง แทนการกินขนมปัง รอื ข้าวขาว การจัดคู่ โดย ลับตานึก าพในการเขียนคาำ รือ าพบนแผน่ ลงั ของอกี าย การจำากัดการกนิ ของ วาน เชน่ นำา้ อัดลม คกุ ก้ี เคก้ คอื ไม่ควรมากจนเกนิ ไป ภาพสมองในส่วนท่เี กย่ี วกบั วามจำาและการเกบขอ้ มลู ในสมอง

วามจาำ และการเกบข้อมลู ในสมอง 17 มองเป็นอ ยั ะทถ่ี ูก ่อ ้มุ ด้ ยกระดกู กะโ ลก รี ะ เพอ่ื ป้องกันการกระทบ กระเทือนจาก ายนอก ลกั ณะ มองคลา้ ยเกาลัดลูกใ ญ่แต่เ ีย่ ๆ ายในประกอบไป ด้ ยเซลล์ มองจาำ น นมาก ซีง่ ในเดก็ เม่อื เกิดมาจะมจี ำาน นเซลล์ 1 แ นลา้ นเซลล์ มีน้าำ นักประมาณ 1.3 กิโลกรัม และแต่ละเซลล์รับข้อมลู ได้ 5 แ นขอ้ มูลตอ่ นาที ค �มคิดริเรม่ิ สร้�งสรรคแ์ ละจนิ ตน�ก�ร องมนษุ ย ค ามคดิ ริเริ่ม รา้ ง รรค์ คือ ค ามคดิ ทแี่ ปลกใ ม่ แตกต่างจากเดิม โดย ดดั แปลงจากขอ้ มูล ค ามคิดตา่ งๆ ทมี่ ีอยูเ่ ดิม ามารถเชื่อมโยงค าม มั พันธจ์ าก ง่ิ น่งึ ไปอีก ่งิ นึ่ง ทีจ่ ินตนาการใ แ้ ปลกใ มอ่ อกไป เปน็ ค ามคิดนอกกรอบออกจาก ค ามคิดเดิม ซ่ึงมี ลาก ลายค ามคิด คิดได้ก ้างไกลและอิ ระที่มีค ามเป็นไปได้ ูง การคิด ร้าง รรค์ต้องมีข้อมูล ายใน มองอยู่พอ มค รจึงคิดได้ และค ามคิด ร้าง รรคใ์ นเดก็ จะมมี ากก ่าผใู้ ญ่ ค าม ำาคญั ของค ามคดิ ร้าง รรค์ และจนิ ตนาการ คอื การท่ีเรา ามารถเพมิ่ มูลค่าของ ินค้า รือผลผลิตใ ้ได้มากขึ้น รือทางแก้ปัญ าท่ีแปลกไปจากเดิมๆ ยก ตั อยา่ งเชน่ การผลติ คอมพิ เตอร์ โทร ัพทม์ ือถือ และเครอื่ งบิน เป็นตน้ ซงึ่ มมี ูลคา่ มากก ่าการผลติ ขา้ ทใ่ี ช้แรงงาน และค ามคิดเดิมๆ เช่น เคร่อื งบนิ 1 ลำาจะมีมูลคา่ เท่ากบั ผลผลิตขา้ ไทยท้งั ประเท ใน 1 ป รอื เชน่ ทรัพย์ ินบริ ทั มอื ถือใน ีเดน 1 บริ ัท มีมลู คา่ เท่ากบั 1 เท่าของผลผลิต ของไทยทง้ั ประเท รอื ท่งี ่ายๆ ก็คือการ คิดแปรรูป นิ คา้ เก ตร จะมีมูลค่ามากก ่า ินค้ารปู แบบเดิมๆ ท่ีมาจากไร่ รอื การ ผลิตผ้าไ ม ถา้ ลายแปลกใ ม่ กจ็ ะมีคนซ้อื มากก ่า แม้จะแพงขนึ้ กต็ าม ปัจจุบันในประเท ไทย มีบุคคลที่มีค ามคิด จินตนาการ ริเร่ิม ร้าง รรค์ นอ้ ย ทำาใ ้ประชากรของเราใชแ้ รงงาน และใช้ ถิ ีชี ติ แบบเดิมๆ ทีไ่ มต่ ้องใช้ มองมาก และเป็นเพียงผู้บริโ ค แต่ในโลกปัจจุบันนี้ มีการแข่งขันกันมากในด้านค ามคิด รา้ ง รรค์ แปลกๆ ใ มๆ่ ไม่ า่ จะเป็นการพฒั นา เช่น มอื ถอื และที ี เปน็ ต้น ล้ นตอ้ ง อา ยั ค ามคดิ ร้าง รรค์และจนิ ตนาการ ทั้งนีเ้ พ่อื ท่ีจะได้เพิ่มมูลค่าของ ินคา้ ากเรา ไมป่ รบั ตั อนาคตประเท ของเรากจ็ ะเป็นแตเ่ พียงผบู้ ริโ ค ซ่งึ มายถงึ การใช้จา่ ยเงนิ ซอื้ ิ่งเ ล่านั้น ประเท เราก็ยากจนลง แต่ถ้าเรา ันมาเป็นผู้ผลิต ประเท ก็จะมี

18 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดมิ ประชาชนท่ีมีค ามคดิ ร้าง รรค์ และมเี งนิ เ ลอื เกบ็ ด้ ย ดงั นน้ั การเตรยี มค ามพรอ้ มใ เ้ ด็กของเรา เป็นผ้มู ีค ามคดิ ริเริม่ รา้ ง รรค์ และจนิ ตนาการ จะประกอบไปด้ ยรปู แบบของเด็กที่มีลกั ณะดงั นี้ เป็นผไู้ ต่อปัญ า ค ามเปน็ ผ้ทู ี่คดิ ไดอ้ ยา่ งร ดเร็ มองการณไ์ กล ามารถคิดได้ ลาก ลายรปู แบบ เปน็ ตั ของตั เอง มีค ามยืด ยนุ่ ามารถเปลย่ี นแปลงค ามคิด ไมย่ ดึ ติด นใจ ง่ิ ใ ม่ๆ ทีเ่ กิดขึน้ อยากรู้ อยากเ น็ กระตอื รือรน้ ชอบตั้งคาำ ถาม เช่น ทาำ ไม และอยา่ งไร เปน็ ตน้ ขี้ ง ยั พยายามซกั ถามและแ ง าคำาตอบทอ่ี าจจะไมต่ รงคาำ ถาม 100 ชอบคิดจินตนาการอย่างมเี ตุผล ค ามเป็นไปได้ ชอบแ ดงค ามคิดเ ็น ค ามคดิ รา้ ง รรคจ์ ะเกิดไดม้ ากขึน้ เม่อื ไดร้ ะดม มองจาก ลายๆ คน ค ามคดิ จินตนาการ และ การริเรม่ิ รา้ ง รรค์ ามารถเกิดข้ึนไดจ้ ากการทีเ่ รา ไดใ้ ช้ ก น และกระตนุ้ มอง ่ นที่เกีย่ ข้อง ซกี ข า โดยนำาขอ้ มลู ประ บการณ์ตา่ งๆ ทผี่ ่านมาในชี ิต มาประกอบกนั แล้ จินตนาการ รือ รา้ งค ามคิดทผี่ ิดแปลกแตกต่าง ไปจากรูปแบบเดมิ ๆ ท่ีมีอยู่ และประ บการณ์ต่างๆ น้ี ามารถเกดิ ข้ึนไดจ้ าก 1 การทั น กึ า รอื การได้เ น็ คน ินคา้ ค ามคดิ ถิ ชี ี ิต ิ่งทแ่ี ปลกๆ ใ มๆ่ ใน ถานทต่ี า่ งๆ ถึงไดม้ ีการ ึก าดงู านในท่ีต่างๆ ท่ั โลก 2 เชอ่ื มัน่ ในตนเอง ยงิ่ มคี ามเช่ือมัน่ ในค ามคดิ ของตนเอง ย่งิ ทาำ ใ เ้ กดิ ค ามคดิ ใ มๆ่ ได้ดี แตถ่ า้ ใ ค้ นอนื่ มาช่ ยคดิ จะทำาใ ้ค าม ามารถในการ คดิ ่งิ ใ มๆ่ ลดลงเพราะขาดประ บการณ์ 3 มั ผั ผูค้ น ลาก ลายโดยเ พาะคนทีม่ ีค ามคิดแปลกๆ ใ ม่ๆ บุคคล เ ลา่ นี้ ไดแ้ ก่ เดก็ ๆ เพราะโลกของเด็กจะเต็มไปด้ ยจินตนาการ เราอาจจะเล่นกับเดก็ ๆ

วามจาำ และการเกบข้อมลู ในสมอง 19 เล่นเกม ์ ซึง่ จะทาำ ใ ้เราเกิดจินตนาการได้ มั ผั ผคู้ นท่ี ลาก ลายค ามคิด 4 การเลน่ เกม ์และจกิ ซอ การเล่น มากรกุ ซึ่งจะกระต้นุ ใ เ้ ราเกดิ การ ร้าง กลยทุ ธ์ รอื ไ พรบิ การออกกาำ ลงั กายเป็นทมี เช่น การเล่นฟตุ บอล บา เกตบอล เบ บอล เทนนิ รือเกม ์อื่นๆ ทีเ่ ลน่ เปน็ ทีม การทำากจิ กรรมเป็นกลุ่ม ก็จะทาำ ใ เ้ กิดการ ร้าง กลยทุ ธ์ รอื ไ พรบิ เกิดการ างแผน การปรับตั เข้ากับ งั คม ซ่งึ เปน็ พื้น าน าำ คัญใน การมที กั ะชี ติ และทัก ะในการประกอบอาชพี การเล่นทายคาำ ปริ นาทมี่ ีเงอ่ื นไขไ ้ท่ีพยางค์ การต่อบตั รคาำ การทาำ อัก รไข ้ 5 การทำางานอดเิ รก เช่น การระบาย ี าด าพ ปัน แกะ ลกั ช่างซ่อม ทิ ยุ รือคอมพิ เตอร์ มัครเล่น การเขียนโปรแกรม จัดงานปาร์ตี้ นกุ ๆ แต่ต้องไม่ใชเ่ ปน็ การ เรียน ลิ ปะ รอื พละทีท่ ่องทฤ ฎี 6 การอ่าน ไมใ่ ช่อา่ นทกุ เร่อื ง แตต่ อ้ งเปน็ เรื่องเ พาะ และอยากรู้ ไดแ้ ก่ ชี ประ ัติ เช่น ชี ประ ตั ิของ และ เป็นตน้ รือเลอื ก ั ขอ้ เรือ่ งทน่ี ่า นใจ แต่อา่ นใน ลาก ลายค ามคิด รือ ร้างเร่ืองทีบ่ ้าๆ บอๆ แปลกๆ รอื อา่ น นัง อื ที่ ลาก ลายรูปแบบ เช่น กี า การจดั น เคร่อื งยนต์ และเรือ่ งตลก เป็นตน้ 7 การเขยี น คอื การนาำ เอาการเรยี นรู้ และค ามรทู้ ไี่ ดร้ บั ทง้ั มดมาประกอบกนั 8 การ ร้างมุม ิลปะในบ้าน เช่น ไม่ดุด่าเมื่อเด็กทำาเลอะเทอะ ในบาง ถานการณ์ 9 กระต้นุ ใ เ้ ดก็ ไดท้ ำา รือคิดแน ทางใ ม่ๆ ไมค่ าด ังผลงาน แต่กระตุ้นใ ้ รา้ งกระบ นการค ามคิดจนิ ตนาการ เช่น ถาม า่ “ครู ง ัย า่ จะเกิดอะไรขนึ้ ถ้า เรา ” เป็นต้น 10 ใ ้เดก็ มีค ามเชอื่ มั่นในตนเอง คอื เมอื่ เขาทาำ อะไรแล้ พยายามชมเชยผล งาน อย่าพยายามตำา นอิ ยเู่ มอๆ 11 เน้นใ ค้ าม นุก นานในกระบ นการทาำ งาน รา้ งค ามคดิ มากก ่า ผลลัพธ์ รือคุณ าพของงานที่ออกมา

20 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ 12 ใ จ้ ดั นิทรร การ รือผลงานทเ่ี ดก็ ทาำ ก�ร ่งเ รมิ และ ก ้เดกพั น�ด�้ นค �มคิด รเิ ร่มิ ร�้ ง รรค์ 1 นใจคำาถาม และค ามคิดแปลกๆ ของนักเรยี น ไมจ่ าำ กดั ค ามคิดเด็ก ใ ้ เด็กมีอิ ระในการแ ดงค ามคดิ เ น็ การพูด รือการกระทาำ ตามจินตนาการทเี่ ขามี 2 ตงั้ คำาถามปลายเปด และไม่ใชต่ อบได้แบบเดยี คอื มี ลายคำาตอบแล้ ตอ่ เ ตุผล 3 ไมอ่ คติกบั ผูเ้ รียนไม่เกง่ ไม่ลำาเอยี งกับลกู ิ ย์ ถงึ แมน้ จะไม่เกง่ ไม่ ย ไม่ ลอ่ กค็ รใ ้ค ามรักและค าม าำ คัญเทา่ ๆ กัน 4 ไม่ รา้ งบรรยากา ทเ่ี คร่งเครยี ด กดดนั และค รยืด ยุ่นกบั คำาตอบท่ีได้ 5 ใ ้นักเรยี นได้คิด เิ คราะ ์ คน้ า และพิ จู นข์ อ้ ง ัยต่างๆ 6 มเี ทคนิคตงั้ คาำ ถามใ ้เด็กคดิ เชน่ ทำาไม เพราะอะไร ถา้ เป็น .จะเกิด อะไรขน้ึ และอยา่ งไร เป็นตน้ 7 กระตือรือร้น และ นใจ ่งิ ทีท่ ้าทายค ามคิด าำ รบั อุป รรคต่อค ามคดิ ร้าง รรคจ์ นิ ตนาการ ได้แก่ บุคคลทมี่ ีลกั ณะตอ่ ไปน้ี าระมาก ปญั ามาก มจี ดุ มุ่ง มายทีม่ ีข้อขดั แยง้ ไมม่ เี ลาพักผอ่ น ไม่มีเ ลาใ ค้ ดิ กลั ถูก จิ ารณ์ ขาดค ามเช่ือม่นั ่าตนเองมีค าม ามารถ า ะของจิตใจ จากประ บการณ์ทีผ่ า่ นมา การมองตนเองใน แง่ลบ กฏท่ีเขม้ ง ด ถูกจบั ผิดตลอด ค ามเครียด ค าม ติ กกงั ล ่าจะทาำ ไดไ้ ม่ดี และทำาผิด ค ามเคยชินตอ่ การใช้ชี ติ ประจำา ัน ท่ไี มค่ อ่ ยเกิดค ามคดิ ใ ม่ ๆ ค ามเชอ่ื ในบางอย่าง ค ามเชื่อม่ันตนเอง ูง ไม่ฟงั ใคร

วามจาำ และการเกบข้อมลู ในสมอง 21 ความกลัวในการแ ดงออก รอื การตดั ินใจ กลวั โดนด่า กลวั ผิดพลาด การถกู จำากัดความคดิ และการกระทำา เช่น ถามไม่ได้ โตเ้ ถียง ไม่ได้กับผใู้ ญ่ ถูกควบคุมมากไป นอกจากการ อนเพื่อ ่งเ ริมความคิด ร้าง รรค์แล้ว การ อนใ ้คิดแบบมี วจิ ารณญาณ คดิ อยา่ งรอบคอบ พิจารณา ไตรต่ รองผลดี ผลเ ยี ขอ้ เท็จจริง ตอ้ งใช้ เ ตุผลในการคิด คิดอยา่ งมเี ตุผล โดยมกี ารนำาขอ้ มูลทไ่ี ดร้ บั ตอ้ งถกู ต้อง เช่อื ถือได้ เพยี งพอ และชัดเจน เพ่ือประกอบการคดิ ช่งั น้ำา นกั ผลดแี ละผลเ ียระยะ ้ันและระยะ ยาวต่อไป ถือวา่ มีความ าำ คญั มากในยคุ เพราะโลกปจั จบุ นั มกี ารเช่ือมโยงขอ้ มูล ข่าว ารทีร่ วดเรว็ มีข่าว ารท่เี ป็นจรงิ และเท็จ ดังน้นั การ อนใ ค้ ดิ แบบมีวจิ ารณญาณ จงึ มคี วามจาำ เป็น ซึง่ ามารถ ก นไดด้ ังนี้ กคดิ เกย่ี วกับรายละเอียดขององค์ประกอบกิจกรรม ง่ิ ของ ถานท่ี เ ตุการณ์ กแยกแยะ าเ ตผุ ลองคป์ ระกอบท่ีทำาใ ้กิจกรรม แผนการ เปา้ มาย วตั ถุประ งค์ทที่ ำาใ ้ลม้ เ ลว กแยกความคดิ เ น็ ท่แี ตกตา่ ง รอื คลา้ ยกัน กแยกแยะข้อมลู จาก ือ่ มวลชน ข่าว าร แต่ละแ ่งวา่ แตกตา่ ง รอื เ มือนกนั อย่างไร และคิดถงึ ความเปน็ ไปไดแ้ ค่ไ น เทจ็ จรงิ อย่างไร แยกแยะข้อคดิ เ ็นในเชงิ ทาำ ลาย รอื ร้าง รรค์ กแยกขอ้ ดี ขอ้ เ ยี ของกจิ กรรม ่ิงของ บุคคล เ ตุการณ์ กแยกแยะ าเ ตุของปญั า เ ตุการณ์ ปรากฏการณ์ กจิ กรรม และแนวทางแกไ้ ข กตั้ง มมตุ ิ าน รอื ความเป็นไปไดท้ ตี่ นต้ังขึน้ และตดิ ตามตรวจ อบดวู ่าเปน็ ไปไดแ้ ค่ไ น าเ ตทุ ไี่ ม่เป็นไปตามนัน้ เพราะอะไร กคาดการณ์ เ ตกุ ารณ์ทจ่ี ะเกดิ ข้ึน กจดั ลาำ ดบั ความ าำ คญั ของเ ตกุ ารณ์ บุคคล ถานท่ี ง่ิ ของ

22 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม ก รปุ ประเด็นการ นทนา การอ ิปราย การเ นอขอ้ คดิ เ น็ ขอ้ มูลทว่ี ิเคราะ แ์ ละจัด มวด มู่ไว้ กอธิบายความ มายจากขอ้ มูลตา่ งๆ กใชเ้ ตุผลประกอบทกุ ๆ ความคดิ การตัด นิ ใจ ข้อ รุป การกระทำา กเ นอข้อมูลในรปู าพ และแผน ูมิ กมอง าขอ้ ลำาเอียงของบุคคล และตนเองในเรอ่ื งตา่ งๆ ก าข้อมลู จากแ ล่งข้อมูลที่เชื่อถอื ได้ กตคี วามเ ตกุ ารณ์ เรื่องราว และการกระทาำ ต่างๆ เพราะ ะนนั้ เราจะต้องมีวิจารณญาณ การไตรต่ รอง ในการเลอื กรบั ขอ้ มูล ขา่ ว าร รอื ิ่งต่างๆ ทผี่ า่ นเข้ามาในรูปและแบบตา่ งๆ กนั ผู้ทีม่ ีลกั ณะนกั คดิ อย่างมี วิจารณญาณจะต้องเป็นคนใจกว้าง มองไปข้าง น้า เปลยี่ นแปลงความคดิ งา่ ยเมื่อมี ลกั าน มอง าทางเลือก ค้น าเ ตุผล รู้ถงึ ปัญ า เลอื กรับข้อมูลจากแ ล่งท่เี ชอ่ื ถอื ได้ ไม่ ลงประเดน็ ไวตอ่ ความรู้ ึกนึกคิดของผู้อื่น และมอง ถานการณ์โดยรวมเป็น และเมือ่ เราผ่านการคิดแบบมวี จิ ารณญาณแลว้ ุดท้ายของความคดิ ที่ ำาคญั คอื การ อนใ ้คิด แก้ปัญ า การคิดแก้ปญั า เป็นการคิดพจิ ารณาไตรตรอง า าเ ตขุ องปญั า ซง่ึ บางคน ก็แก้ไขไดถ้ กู ตอ้ งเพราะมขี ้อมลู เ ตุผลประกอบใ เ้ ็นชอ่ งทางของทางแกป้ ัญ า บาง คนกล็ องผิด ลองถูก ซึง่ อาจจะไม่ ามารถแกป้ ัญ าได้ ซ่ึงมขี ั้นตอน กคดิ ดงั นี้ ยอมรบั วา่ อะไรคอื ปญั า า าเ ตขุ องปญั า โดยอาจจะระดมความเ น็ รือของตนเองคน เดยี ว การวางแผนแก้ไขปัญ า โดยรวบรวมข้อมูลต่างๆ แล้วเลือก แนวทางในการแกไ้ ข พิจารณาความเปน็ ไปได้ในการแกป้ ญั าโดยวิธีต่างๆ กนั ข้อดี ข้อ เ ยี แลว้ เลอื กว่าแนวทางใดเป็นทางออกทีด่ ีท่ี ดุ ิง่ าำ คัญของแนวทางการ อนใ ้คิดแก้ปญั านนั้ ถ้าจะใ ้ได้ผลดตี อ้ ง ก นต้งั แต่เดก็ ๆ โดยกระตนุ้ การทำางานของ มองจากประ บการณท์ ี่เกิดขึ้นในชวี ติ จรงิ โดยใ ม้ ี

วามจำาและการเกบขอ้ มลู ในสมอง 23 ทกั ะในการแกป้ ัญ าง่ายๆ ของตนเอง และคอ่ ยๆ ร้างประ บการณ์ท่มี ากข้ึน น่ันคอื การทใ่ี เ้ ด็กได้เลน่ ได้ทำากิจกรรม ได้ทำางานช่ ยเ ลอื ตั เองตาม ัย เมอื่ เขาประ บ ปญั าในขณะทเ่ี ลน่ รอื ทาำ งานเขาก็ ามารถคดิ แก้ไขปัญ าเองขณะทปี่ ระ บอยู่ ถา้ ากแก้ปัญ าไม่ได้เขาก็ต้องปรึก าผู้ใ ญ่ซึ่งจะคอย อนและแนะนำาแน ทางท่ีเ มาะ มใ ้ จงึ จะได้ผลในการคิดแก้ปัญ าท่เี ป็นไปตาม ยั แตถ่ า้ มา อนกบั เดก็ โตแล้ จะได้ ผลทีย่ ากก า่ ำา รบั การ อนใ ้คิดแกป้ ญั าค รประกอบด้ ยขั้นตอนตา่ งๆ ได้แก่ 1 ึก าและรู้ าพปญั า 2 ร บร ม า าเ ตจุ ากการ เิ คราะ ์ คน้ ค า้ ฟงั ค ามคดิ เ น็ ของผอู้ นื่ 3 าทางแกไ้ ขของ าเ ตุ ิเคราะ ์ าเ ตุ 4 เปรยี บเทียบข้อดี ขอ้ เ ียในแน ทางนัน้ ๆ แล้ รปุ ่ นทด่ี ที ี่ ดุ เ มือนอรยิ ัจ 4 คอื ทกุ ข์ มุทยั าเ ตุแ ง่ ทุกข์ นโิ รจน์ ทางดบั ทุกข์ มรรค ผลลพั ธ์ สรุป จากท่กี ล่า มาข้างตน้ เรา ามารถทำาใ ้เดก็ จดจาำ ค ามรูต้ ่างๆ ได้ด้ ย “การ ลงมอื ทำา รอื กปฏบิ ัต”ิ เพราะเดก็ จะไดร้ ับประ บการณ์ตรงจากการเรียนรนู้ ้นั ซึง่ อดคลอ้ งกับท่ี กมลพรรณ ชี พนั ธุ รี กลา่ ไ ้ า่ 1 การเรียนรูท้ ีเ่ กดิ การอ่าน จะทำาใ ้ เราจดจำาได้ 10 2 การเรยี นรทู้ เ่ี กิดจากการได้ยนิ จะทำาใ ้เราจดจำาได้ 20 3 การ เรยี นรูท้ เ่ี กดิ จากการไดเ้ ็น จะทำาใ เ้ ราจดจำาได้ 30 4 การเรยี นรทู้ เ่ี กดิ จากการได้ เ ็นและได้ยนิ จะทำาใ ้เราจดจำาได้ 50 5 การเรียนร้ทู ี่เกิดจากการไดถ้ กเถียงแ ดง ค ามเ น็ จะทาำ ใ ้เราจดจาำ ได้ 70 6 การเรียนรูท้ ่เี กดิ จากการได้ ัมผั ด้ ยตนเอง จะ ทาำ ใ เ้ ราจดจำาได้ 80 และ 7 การเรียนรูท้ เี่ กิดจากการได้ อนคนอน่ื จะทำาใ ้เรา จดจำาได้ 90 โดยมี ธิ กี ารตา่ งๆ ทจ่ี ะใ เ้ ดก็ เกิดการลงมอื ทำา รอื ปฏบิ ัติ รุปได้ดังนี้ 1 การต้ังคำาถามปลายเปด รือใ ้เด็กตัง้ คำาถาม รอื กำา นดคาำ ตอบ 2 การ รปุ ใจค าม าำ คญั ซงึ่ แ ดงใ เ้ น็ ถงึ ค าม ามารถของการคดิ ซบั ซอ้ นได้

24 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม 3 การแ ดงบทบาทตั ละครในเรื่องที่เรียน ใชไ้ ด้บาง ชิ า เชน่ ประ ัติ า ตร์ เป็นตน้ 4 การถกเถยี งกนั 5 การใช้คำาย่อ รือตั ย่อจาก ลายๆ คำานาำ นา้ เช่น เปน็ ตน้ 6 การถอดคาำ ใ ้ง่าย จากคำาพดู ของผู้เขียนมาเป็น า าเดก็ ๆ 7 การผลดั กนั เปน็ ครู กลา่ คอื ผลดั กนั อน รอื ใ ้ เิ คราะ ์ ังเคราะ ข์ อ้ มูล เมื่อเปลี่ยน ั ข้อที่ อน ก็จะเปล่ียนกลุ่มกัน รือเปลี่ยนท่ีนั่งกันทำาใ ้มีค าม ลาก ลาย นุก นาน รือเปลี่ยน ีกระดา การจัดโตะเรียนเป็นรูปแบบต่างๆ ที่ ลาก ลายและพอใจของแต่ละคน 8 การใช้ดนตรี การเตน้ ราำ กี า รปู เ ยี ง เกม ์ ช่ ยในการรเรียนรู้ เชน่ ปรบ มอื กระโดดเม่อื ตอบคาำ ถามได้ การทำาใ ม้ ีการเคลื่อนไ ของร่างกายขณะเรียนจะทาำ ใ ้ นุกและจดจาำ ได้ง่ายขน้ึ การใ ่เ ยี งดนตรี ทำานองเพลง ในโคลง กลอน า ิต บท ด มนต์ ล้ นทำาใ จ้ ดจำาได้งา่ ยข้ึน 9 การทาำ ใ ้ ่งิ แ ดลอ้ มใน อ้ งเรยี นมีค าม ขุ เช่น การ ลองกัน ลังเรียนจบ แต่ละเร่ือง รอื การตกแต่ง ้องเรยี น ลงั เปด าคเรียนใ ม่ 10 การใช้ รอื เชน่ การแ ดงค ามคดิ ลกั และ รายละเอียดปลีกย่อย ิธนี ้จี ะทาำ ใ เ้ กดิ การ รปุ ร บยอด และเขา้ ถงึ ค ามจำาได้ดที ี่ ดุ โดยทาำ การเขยี นค ามคดิ รอื ั ขอ้ ท่ีกลางแผน่ กระดา แล้ ลากโยงเ น้ ตี า่ งๆ กนั ไป ที่แต่ละรายละเอียด โดยใช้คาำ น้อยที่ ุดเท่าทจ่ี ะทำาได้ อาจ าดรูป รือ ัญลัก ณ์เพื่อ แ ดงคาำ อธบิ าย

วามจำาและการเกบข้อมูลในสมอง 25 เอก �รอ�้ งองิ กมลพรรณ ชวี พนั ธุศร.ี มปป. . มองกบั ก�รเรยี นร้. กรุงเทพฯ บริษทั พรการพิมพ์ จาำ กดั . กรมอน�มัย. ท่มี า . . .. 2. สืบคน้ วันท่ี 1 มิถุนายน 2556. ภ�พ น�้ ที่ อง มอง ีก ้�ยและ �. ท่มี า . .. .. . .. . 347 400 22 3 7 87 100 3 3 25 0 25 8 25 25 0 25 8 25 1 25 0 25 8 25 25 0 25 8 2587 26 3 26 3 1 08 081 0 8 0 8 87 4 0 3 3 0 39 29 2 0 49 774 สืบค้นวันที่ 1 มถิ นุ ายน 2556. ม�คมเครอ �่ ย ้ปกครองแ ่งช�ต.ิ ทีม่ า . .. 538688998 5 สบื ค้นวันที่ 1 มิถุนายน 2556.

26 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม .. . . 1993 . .. . 327 97 111. . . . . 1997 . . 20 4 558 559. . 2012 . . .

บ พั น�ก�ร องเดก การพัฒนาของ มองมนุ ย์ต้ังแต่แรกเกิดจนถึง ัยรุ่น มีการแบ่งโดย โดยแยกเป็น 4 ระดบั ดังนี้ 1. ยั 0 2 ป ระยะนเ้ี ด็กจะพัฒนากล้ามเน้อื มัดใ ญ่ และการมองเ น็ เรยี นรูเ้ พาะ ง่ิ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรม โดย ัมผั และมปี ฏกิ ิริยาต่อ ่ิงแ ดล้อม แก้ปญั าแบบ ลองผิดลองถูก 2. ยั 2 7 ป พฒั นาการดา้ น า า แตย่ ังไม่ ามารถคิดเป็นนามธรรมได้ ต้องเป็นรปู ธรรมท่ีชดั เจน เช่น เรยี นร้ธู รรมชาติ ตั ถุ มคี ามคดิ ร บยอดและมเี ตุผล บา้ ง 3. ัย 7 11 ป ามารถเรยี นร้เู กีย่ กับค ามคดิ ร บยอดมากขนึ้ ามารถ แกไ้ ขปญั าต่างๆ ไดบ้ า้ ง และเรียนรู้ผา่ นการกระทาำ มเี ตผุ ล ามารถคิดกลับไปกลับ มาได้ มอง ิ่งต่างๆ ได้ ลายแง่ ลายมมุ มากขึ้น และ ามารถแบ่งแยก ม ด มไู่ ด้มาก ขนึ้ 4. ยั 11 15 ป ลกั ณะมคี ามคดิ เ มอื นผใู้ ญ่ คดิ ซบั ซอ้ นขน้ึ มคี ามคดิ แบบมี จิ ารณญาณ ไตรต่ รอง ามารถเขา้ ใจ ิ่งทเ่ี ป็นนามธรรมไดด้ ีขน้ึ ามารถใช้เ ตผุ ล มาอธิบายและแกป้ ัญ า ตดั นิ ใจ และมองค าม ัมพนั ธข์ อง ่งิ ต่างๆ ได้ อดคล้องกบั ในการ มั มนาทาง ชิ าการที่ เม่ือ นั ที่ 17 เม ายน พ. .2541 ได้ รุปผลการ ิจัยเก่ีย กับ มองและร บร มค ามรู้ต่างๆ ใน “การอบรมเลย้ี งดูเดก็ ” ไ เ้ พ่ือบริการใ แ้ ก่ประชาชนในเ ็ปไซ ์ .. เพีอ่ ใ ้ประชาชนอเมรกิ ามคี ามรู้ในการพฒั นาเด็กใ ้ถูกทาง มีรายละเอียด “ช่ ง ยั 3 11 ป” ดังนี้

28 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม ภาพพัฒนาการในวัย ป ก�รพั น� องเดก ยั ป ช่วงวยั 3 ปเป็นวยั ท่ีเด็กจะชา่ ง ง ยั เตม็ ไปดว้ ยคำาถาม การเ ้าดู ังเกต และ เลียนแบบ และย่งุ อยูก่ ับการ าำ รวจโลกใบนอ้ ยๆ บา้ น ของพวกเด็กๆ ในวัยนเ้ี ดก็ จะ นใจเกี่ยวกบั การ กทัก ะอย่างมาก เช่น จะเล่นไม้ลืน่ รือปัน จกั รยาน ามลอ้ รอื กิจกรรมอ่ืนๆ ทเ่ี ขาชอบได้โดยไม่รู้จกั เบ่อื ในขณะเดยี วกนั เดก็ วยั น้ี จะจำาเร่ืองราวในอดีตได้น้อยมาก และยังไม่เข้าใจคำาว่า “เม่ือวานน้ี” รือ “พรุ่งนี้” เ มือนท่ีผู้ใ ญ่เข้าใจ เด็กวัยนี้จะชอบทำากิจกรรมซ้ำาๆ รืออาจจะไม่ทำาก็ได้ เช่น กิจกรรมการต่อ าพใ ญจ่ ากชิ้น ว่ นยอ่ ยๆ รวมกนั เปน็ ตน้ และในชว่ งวยั 3 ขวบนี้เปน็ ช่วงท่ี ำาคัญท่ีจะทำาใ ้ทราบถึงความเปล่ียนแปลงและความต่อเน่ืองที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา ถัดไป ก�รพั น�ด้�นสตปิ � อง ยั ป ดแ้ ก่ 1 พดู ประโยค มบูรณ์ได้โดยใชค้ าำ 3 5 คำา เช่น คณุ แม่กำาลงั ดืม่ น้ำาผลไม้ รอื มี ุนขั ตัวใ ญ่ น่งึ ตวั เปน็ ตน้ 2 ามารถฟงั นทิ าน รอื เรือ่ งราวใน นงั ือ ้นั ๆ ได้อยา่ งตง้ั ใจ 3 ชอบฟงั นิทานชว่ งทำานองง่ายๆ ซ้ำาๆ บ่อยๆ ท่ีใช้คาำ เดิม 4 ามารถท่ีจะเลา่ นทิ านจากรูป รือ นงั ืองา่ ยๆ ได้

พัฒนาการของเดก 29 5 ตอ่ ลูกบลอ็ กได้ 5 7 บลอ็ ก 6 นุก นานกับการเล่นปันดิน 7 ามารถตอ่ าพด้วยช้นิ ่วน 6 ช้นิ 8 วาดวงกลมและ เี่ ล่ียมจตุรั ได้ 9 จบั คู่ าพได้ 10 เขา้ ใจ พี น้ื ๆ ได้ เชน่ ีแดง ีนา้ำ เงิน ีเ ลือง ีเขยี ว 11 ามารถนบั ิง่ ของได้ 2 3 ่ิง 12 ามารถแก้ปัญ าไดเ้ อง ถ้าเด็กตอ้ งการในเรื่องงา่ ยๆ 13 นใจเรื่องความเ มอื น ความต่าง 14 ามารถแยกแยะ จับคู่ และเรียก ไี ด้ 15 ามารถบอกอายุตนเองได้ ก�รพั น�ด�้ นร�่ งก�ย อง ัย ป ดแ้ ก่ 1 ามารถใ ่รองเท้าไดด้ ้วยตนเอง แต่ยังไม่ ามารถผกู เชอื กรองเทา้ ด้วย ตนเองได้ 2 แต่งตวั ได้โดยผ้ใู ญ่ใ ค้ วามช่วยเ ลอื บ้าง ในกรณีเชน่ การตดิ กระดมุ การรูดซิป 3 กินข้าวเองได้ แตอ่ าจ กเลอะเทอะบา้ ง 4 กระโดดขาเดียวได้ 5 ขจี่ กั รยาน ามลอ้ ได้ 6 เดนิ เป็นเ น้ ตรงได้ 7 ามารถยนื ทรงตวั และกระโดดขาเดยี วได้ 8 กระโดดข้าม ิ่งกดี ขวาง ูง 6 นว้ิ ได้ 9 ามารถใชช้ อ้ น อ้ ม และทาเนยได้ 10 ามารถแปลงฟัน ล้างมอื และด่มื นำ้าด้วยตนเองได้

30 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ ก�รพั น�ด�้ นอ�รมณ์และ งั คม ดแ้ ก่ 1 ยอมรับคำาแนะนาำ และทาำ ตามคาำ ่งั งา่ ยๆ 2 ชอบช่วยเ ลอื ทำางานบา้ น 3 ช่าง ังเกตและชอบเ า้ ดู 4 ชอบเลน่ กับเดก็ คนอน่ื เป็นระยะเวลา น้ั ๆ แตย่ ังคงไม่ร้จู กั การแบ่งปนั รือเลน่ รว่ มกัน แน คิด ำ� รบั ้เลยี งดเดก ด้แก่ 1 เร่อื งการใช้ ้องนำ้า กล่าวคือ ในเดก็ ลายคน โดยเ พาะเดก็ ผูช้ าย ไมม่ ี ความพรอ้ มเรอ่ื งการใช้ ้องน้ำาด้วยตนเองจนกระทงั่ อายมุ ากกว่า 3 ป บางคร้งั อาจมี อุบตั เิ ตุ ดงั น้นั ผปู้ กครองควรใจเยน็ ลีกเลี่ยงการทำาใ เ้ ดก็ อาย 2 กพัฒนาการทาำ งานประ านกันระ ว่างการใชม้ อื และตา โดยใชเ้ ชือก ลอดผา่ นกระดมุ เม็ดใ ญ่ รอื ลูกปดั เก่าๆ 3 เลน่ ลูกบอล อนใ เ้ ด็กรู้จักขว้างลูกบอล จบั และเตะลกู บอลขนาด ต่างๆ 4 อนใ ้เดก็ รู้จกั กระโดดเ มอื นกระต่าย เดินปลายเท้าเ มอื นนก และ เดนิ อย่างเป็ด เลีอ้ ยเ มอื นงู และวิง่ เ มอื นกวาง 5 นทนากับเดก็ บอ่ ยๆ โดยใช้ประโยค ้นั ๆ ถามคาำ ถาม และฟัง 6 ชว่ ยเพิ่มคาำ รอื ขอ้ ความในประโยคพดู ของเดก็ เช่น “ใช่แล้ว นนั้ คอื ดอกไม้ ... ดอกไม้ที่ ูง ีแดง และกล่นิ อม” 7 อนเดก็ ใ ร้ จู้ ัก และจาำ ชอ่ื นาม กุลของตนเองใ ไ้ ด้ 8 จัด า นงั ือใ ้เด็กไดอ้ า่ น และอ่านเล่มเดมิ ใ ้เดก็ ฟัง ลายๆ ครง้ั อา่ น บทโคลงกลอนเปน็ ช่วงจงั วะทำานอง ่งเ ริมใ ้เดก็ ฟังเรอื่ งเดมิ ซา้ำ ๆ และคุยกันในแง่คิด ตา่ งๆ เนน้ คติธรรม และเ ตุการณ์ต่างๆ อา่ นชอื่ เรื่องและชี้จดุ คำา าำ คญั ๆ ใน น้านน้ั ๆ รวมทงั้ เครือ่ ง มาย รอื ญั ลัก ณต์ า่ งๆ เชน่ เครื่อง มายจารจร เป็นต้น

พัฒนาการของเดก 31 9 ง่ เ ริมการอ่าน การเขยี น โดยใ ้ผู้ปกครองมี ่ นร่ ม จดั เตรยี ม กระดา มดุ จดบนั ทึกเลก็ ๆ และปากกาไ เ้ ขยี น 10 กนับ ่งิ ของ เช่น คุ้กกี้ ถ้ ย ผ้ากนั เปอน รือตกุ ตา ถา้ เปน็ ไปได้ค ร ใ ม้ ีการใชม้ าตร ัดและนบั โดยการใ ้เดก็ ได้มีโอกา ช่ ยในการใชม้ าตร ัดและนบั ไป พรอ้ มๆ กนั กับผปู้ กครอง 11 กอธิบาย า่ เกดิ ขึ้นได้อย่างไร และทำาไม โดยใช้ นัง ืออ้างอิง ช่ ยใ ้ เดก็ ทาำ การทดลอง ทิ ยา า ตร์แบบงา่ ยๆ เช่น ค ามน่า นใจของแม่เ ลก็ นา้ำ ที่ถกู แช่ แข็ง การปลูกต้นไม้ เปน็ ตน้ 12 จัดเตรียมชดุ ของเลน่ คุยถึงค ามเ มอื น รอื ค ามตา่ ง เช่น อธิบาย ลำาดับขั้นตอนการทำาอา าร ใ เ้ ดก็ ทำาการทดลองด้ ยกอ็ กนาำ้ เครอ่ื งมือ ทิ ปดเปดไฟ ลกู ปดประตู กลอนประตู 13 ร้องเพลงงา่ ยๆ ด้ ยเคร่ืองมอื งา่ ยๆ เช่น ตัดแปลงกล่องใ เ้ ป็นกลอง การเตน้ รำาทาำ เพลงโดยอา ัยการเคล่อื นไ ของร่างกาย การเลน่ เกม ต์ ่างๆ เชน่ รๆี ข้า าร อมี อญซอ่ นผ้า เป็นต้น 14 ิลปะซ่งึ เปดโอกา ใ ้เดก็ ได้แ ดงออกอยา่ งเตม็ ที่ โดยขอใ ้ ลีก เล่ียงการพูด า่ “อะไร” ในขณะที่เดก็ กำาลัง าด เด็ก 3 ป อาจจะยงั ไมร่ ู้ รือไม่ นใจ แต่ ขอใ เ้ ขาได้ นกุ กบั กระบ นการ าดอยา่ งงา่ ยๆ ก็ถอื า่ บบรรลุผล 15 าด น้าคนบนถุงเท้าเก่าๆ และแ ดงใ ้เด็กรู้ถึงการเลน่ นุ่ มือ 16 พดู ถึง ี ตั เลข และรปู รา่ ง ในการ นทนาทกุ ัน เชน่ เราตอ้ งการไข่ 1 ฟอง นั้น”รถ แี ดง เนยอย่ใู นกล่อง ่เี ล่ยี มเลก็ ๆ เป็นต้น 17 ขอใ ้เด็กๆ ได้ช่ ยงานบ้าน เช่น เก็บถุงเท้าในล้นิ ชัก รดนาำ้ ต้นไม้ เปน็ ตน้ ก�รพั น� องเดก ัย ป เดก็ ัย 4 ป จะเปน็ เด็ก ัยท่ใี ชพ้ ลงั งานไปกบั การเล่น เล่น และเลน่ เปน็ ัย ทีม่ ีจินตนาการ ไม่มคี ามอดทน และชอบทำาตนเป็นตั ตลกช น ั า าของเดก็ ัย 4 ปน้ี จะพูดจาเล่นคำา ใช้เ ยี งดงั ตะโกน และ ั เราะเ า

32 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม เดก็ ัยน้จี ะมีจนิ ตนาการที่ย่ิงใ ญก่ ่าค ามเปน็ จรงิ ซงึ่ มักจะปฏเิ ธค าม จริงและมกั จะถกู ทำาใ เ้ ชอ่ื และการพดู จาโอ้อ ดเกินจริงถือเป็นเรอื่ งปกติของเด็ก ัยนี้ เด็ก ัยน้ีจะรู้ ึกดีถ้าได้แ ดงออกใน ่ิงที่ตนต้องการ แ ดงใ ้เ ็นถึงค ามเช่ือม่ันใน ตนเองและเต็มใจทจ่ี ะลองของใ ม่ ผจญ ยั ใน ่ิงแปลกใ ม่ เดก็ จะชอบแขง่ ิ่งขึ้นลง บันได รือ ิ่งตามมมุ อ้ ง ขจ่ี ักรยาน ผ้ปู กครอง รอื ครูยังคงตอ้ งเ า้ ดแู ลเขาอยา่ งใกล้ชดิ เพราะเขายังไม่รถู้ งึ ัยอันตรายของตนเองได้อย่างถูกต้อง การออกแรงมากเกินไป การ ่ิงเร็ อยา่ งไม่คดิ ชี ิต อาจทาำ ใ ป้ ระ บอบุ ัติเ ตุได้ ก�รพั น�ด้�นสตปิ � ดแ้ ก่ 1 ามารถเรียงลำาดบั ิง่ ของจากใ ญ่ไปเล็กได้ 2 ามารถจดจาำ ตั อกั รทไี่ ด้เรยี น และ ามารถเขียนชื่อตนเองได้ 3 จำาคำาใน นัง ือง่ายๆ ได้ รือเครอ่ื ง มายงา่ ยๆ 4 เขา้ ใจค าม มายของคาำ ตา่ งๆ เช่น ูงท่ี ุด ใ ญท่ ี่ ดุ เทา่ กนั มากก ่า บน ล่าง ใน ใต้ และเ นอื เปน็ ตน้ 5 นบั ่งิ ของ 1 7 อย่างไดด้ ้ ยเ ยี งดัง แต่บางครัง้ อาจไม่เรียงตั เลขกนั 6 เขา้ ใจลำาดับกอ่ น ลัง ทเ่ี กดิ ขึน้ ในแต่ละ ัน เช่น อา ารเชา้ ตอ้ งก่อน อา ารกลาง นั อา ารกลาง ันตอ้ งก่อนอา ารเยน็ เปน็ ตน้ 7 ามารถรู้ชือ่ ทีอ่ ยู่ เบอรโ์ ทร ัพท์ ถ้าไดร้ ับการ อน 8 ถามและตอบคำาถาม เกย่ี กับใคร อะไร ทไี่ น เมื่อไร ทำาไม 9 รูจ้ กั ี 6 8 ี และรปู ทรง 3 ประเ ท 10 ามารถทาำ ตามคำา งั่ ท่ีไมเ่ ก่ีย ขอ้ งกันได้ 2 คำา ง่ั เช่น เอานม างบน โตะ และไปใ เ่ อื้ กัน น เป็นต้น 11 มคี ามเขา้ ใจพืน้ านของ ลกั การท่ี มั พันธ์กบั ตั เลข ขนาด นำ้า นัก ี ระยะทาง ตาำ แ น่ง และเ ลา 12 เขา้ ใจเร่ืองรา ในอดีตท่ผี ่านไปไม่นาน เชน่ เข้าใจ ่ามีอะไรเกิดขน้ึ เมือ่ านน้ี แตย่ ังไม่เขา้ ใจปฏทิ นิ เปน็ ต้น

พฒั นาการของเดก 33 ก�รพั น�ด�้ นร�่ งก�ย ด้แก่ 1 แต่งตัวไดเ้ อง แต่ตอ้ งไดร้ บั ความช่วยเ ลอื บา้ งนิด น่อย เช่น ชว่ ยผกู เชอื กรองเทา้ เปน็ ตน้ 2 ทานอา าร แปรงฟนั วผี ม ลา้ งตัว แตง่ ตัว ด้วยตนเองได้ 3 วิ่ง กระโดด ขา้ ม ิง่ กดี ขวางได้คลอ่ ง 4 ต่อบล็อกไดม้ ากกวา่ 10 บลอ็ ก 5 ปันแป้งเปน็ รปู ่งิ ของได้ และรปู ตั ว์ไดใ้ นบางครง้ั 6 ร้อยลูกปดั เม็ดเลก็ ได้ ก�รพั น�ด�้ นอ�รมณ์และสงั คม ด้แก่ 1 เดก็ วยั นี้ ่วนใ ญ่จะรู้จัการรอคิวและแบ่งปนั บางทกี ็ยังคงเปน็ คนเจา้ ก้ี เจ้าการ 2 ่วนใ ญ่เดก็ จะเข้าใจและเชอื่ ฟงั กฏเกณ ง์ า่ ยๆ 3 เปลี่ยนกฏเกณ ์การเล่นเกม ์ตามที่เขาต้องการ 4 มกั ใชค้ ำาถามวา่ ทาำ ไม 5 คยุ โออ้ วด และชอบการแ ดงออก แ ดงความเปน็ เจ้าของ 6 มคี วามกลัวความมดื กลัวผี ปศาจ 7 เรม่ิ มคี วามเขา้ ใจถึงอันตรายในทกุ คร้ังทเ่ี ด็กมีความกลัว ุดขีด 8 มีความยากลาำ บากในการแยกแยะในเรื่องท่ี รา้ งขน้ึ รือ ่งิ ทเ่ี ปน็ ข้อเท็จจริง 9 บางครง้ั จะพดู โก กเพอ่ื ปกปอ้ งตนเองและเพอื่ นโดยไมม่ คี วามเขา้ ใจทแ่ี ท้ จริงใน ่งิ ทท่ี าำ ลงไป แตม่ ักเกดิ จากจนิ ตนาการของเด็กทีเ่ กิดข้ึนและพาไป กู่ ารพูดโก ก 10 ่วนใ ญ่จะแ ดงอาการโกรธด้วยคำาพูดมากกว่าการแ ดงออกทาง ร่างกายคือร้องไ ้ 11 ยังคงระเบิดอารมณ์บดู ออกมามากกวา่ การเกบ็ กด ายใน 12 นกุ นานกบั การ มมตุ ติ วั ละครไปตามจนิ ตนาการกบั การเลน่ กบั เพอ่ื น 13 นกุ นานกับการเลน่ บทละครต่างๆ

34 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ น์เ ก ย่านเดิม แน คิด ำ� รับ เ้ ลยี งดเดก ด้แก่ 1 อา่ น นัง อื ดังๆ และ ลอกลอ่ เด็กใ ร้ ้จู กั ดู นัง ือของเขาเอง ร้าง ทางเลอื กการเรียนรูก้ ารอา่ น เช่น จากการอ่านใบโ นาตา่ งๆ รอื ปา้ ยช่ือต่างๆ เปน็ ต้น 2 พดู ถงึ ทาำ นองจงั ะงา่ ยๆ พร้อมๆ กับการใชน้ ้ิ มือไปด้ ยกัน รือ ลอกลอ่ ใ เ้ ดก็ ยั 4 ปเรยี นรแู้ ละเลา่ นทิ านใ เ้ ด็ก ัยอ่อนก า่ ฟัง 3 เบนค าม นใจไปที่การเรียนและการใชค้ ำา จดั ากระดา และ มดุ บันทึกเพื่อเขียน พมิ พอ์ กั ร รือตั เลขบนงาน ลิ ปะ และใ เ้ ด็กใช้ ัญลัก ณ์ เช่น รูป าพ รอื คาำ อธิบาย ้นั ๆ ถงึ ่งิ นนั้ ๆ 4 จดั เตรียมงาน ลิ ปะใ ้ ลาก ลาย เชน่ การ ร้างเร่ืองรา จากรปู าพ ใน าร าร รือนิตย ารต่างๆ ง่ เ ริมใ ้เดก็ ทำาการทดลองจาก ื่อใ ม่ๆ เชน่ ลอด เ ้นดา้ ย อนใ ้เดก็ เรียนรู้ถึงการผ ม ตี ่างๆ และระบาย ี 5 ใ ้ค าม ำาคัญกบั การ อนตั เลขและระยะ า่ ง การเรียงลาำ ดบั การนบั จาก ิ่งของทเี่ น็ ได้ เชน่ เร่อื งเงนิ ถงุ เทา้ กอ้ น ิน ใบไม้ เปน็ ตน้ การรถู้ ึงระยะ ่าง เชน่ ข้างบน ขา้ งใน ขา้ ง ลงั ขา้ งๆ กอ่ น ลัง ใ ญ่ก ่า ไกลก า่ เปน็ ตน้ 6 อนใ ้เด็กรู้ ิธีการใช้โทร ัพท์ 7 เดก็ ัย 4 ป มคี ามต้องการอยา่ งแรงกลา้ และรู้ ึกถงึ ค าม ำาคัญและ คุณค่า ดังนน้ั การพูดชมเชยเม่อื เด็กทำาได้ ำาเร็จ และใ ้โอกา แ ดงออกถงึ ค ามคิด อิ ระและเป็นตั ของตั เองจึง าำ คัญ 8 อนใ เ้ ดก็ รจู้ กั ังเกตจดุ เดน่ รอบๆ ละแ กบา้ นตนเอง เพ่อื ามารถรู้ ทางไป าเพือ่ นบา้ นได้ 9 ่งเ รมิ ใ ้เกดิ พฒั นาการทางดา้ นร่างกาย การเลน่ ตาม ั นา้ รือผนู้ ำา การเดินเลียนแบบ ัต ์ต่างๆ การเล่นในท่ีร่มอย่างท้าทาย เช่น การคลาน การปน การ กระโดดเ มอื นกบ การทรงตั การ งิ่ ขา้ มกอ้ น นิ การเดนิ โดยมขี อง างบน รี ะ เปน็ ตน้ 10 ใ ้เด็กเรียนรูถ้ งึ ชี ติ ค ามเป็นอยู่ เช่น ใ ้เด็กช่ ย รา้ งที่ใ ้อา ารของ ตั ์เลีย้ งในบา้ น รือใ ้บนั ทกึ ชนดิ ของนกท่พี บเ น็ เพอ่ื ามารถแยกแยะประเ ทได้ เป็นต้น

พฒั นาการของเดก 35 11 ใ ้เด็กช่วยผูป้ กครองวางแผนการปลกู ตน้ ไม้ใน วน เดก็ จะรักการ รดนำ้าตน้ ไมท้ ุกวนั และจะ นุกกับการ ังเกต และวัดผลการเจรญิ เติบโตของตน้ ไม้ 12 รจู้ กั แยกแยะความแตกต่างของขนบธรรมเนียมท่ีต่างกัน เชน่ จาก ตกุ ตา ุ่นมือ รูป าพ และ นงั อื ่งเ รมิ เร่ืองวัฒนธรรม โดยใ เ้ ดก็ เรยี นรู้จาก ครอบครัว เพลง ข้อมลู ขา่ ว ารจากการจัดงานเ ลิม ลองต่างๆ เปน็ ตน้ 13 จดั การแ ดงละคร เก่ยี วกับเรอ่ื งราวต่างๆ เช่น รา้ นขายของชาำ ร้าน พิซซ่า งานเลยี้ งวันเกดิ และการดบั ไฟ เปน็ ต้น ก�รพั น� องเดก ยั ป เดก็ วยั 5 ปนเี้ ปน็ วยั ทีร่ า่ เริง แจ่มใ ใช้พลงั งานไปกบั การเล่น และ กระตือรือรน้ ชอบวางแผน และคุยกนั ว่าใครจะเป็นคนทำาอะไร เดก็ วยั น้ีจะ นใจการเลน่ ละครกบั เดก็ คนอ่นื ๆ มอี ารมณ์ออ่ นไ วเก่ียวกบั ความต้องการ และความรู้ ึกของคนอน่ื รอบๆ ตัวเขา รู้จกั การรอคอยและการแบง่ ปันใ ้คนอื่น และ “เพ่ือนท่ดี ีท่ี ดุ ” จะมีความ มายต่อเขามากในวัยนี้ ว่ นใ ญเ่ ด็กวยั 5 ป กาำ ลงั จะเขา้ อนบุ าล เขาจะมคี วามรู้ ึกอยากกลับ บ้าน ลังเลกิ เรียนมาพกั ผ่อน และเลน่ ใน ่งิ ท่เี ขาอยากเลน่ โดยไมต่ ้องมีใครบอกใ ท้ าำ อยา่ งนี้ รอื ตอ้ งทำาตามกลมุ่ เพ่อื นใ ้ทนั ในชว่ งปลายของการเรยี นอนุบาลจงึ ต้องจัด เวลาใ ้ มดลุ ระ ว่างการเลน่ กจิ กรรม และการพกั ผ่อนตลอดเวลาท้ังวันระ ว่างอยู่ โรงเรยี น เมื่อเด็กกลบั บา้ นอาจเ น่อื ย พูดมาก ิว รืออยากเลา่ ประ บการณท์ ัง้ วันท่ี เจอมาผปู้ กครองควรเป็นผูร้ ับฟังท่ีดี ก�รพั น�ด�้ นสติป � ด้แก่ 1 เด็กวัยน้ี ามารถใช้ 5 8 คาำ ในการ ร้างประโยค 2 ชอบเถียงและใชเ้ ตุผล เช่น ใช้คำาว่า “เพราะวา่ ” 3 รู้จักแม่ ี ลักๆ เช่น แดง เ ลอื ง นา้ำ เงนิ เขียว ้ม 4 ามารถจำาท่ีอยู่และเบอรโ์ ทรศัพท์

36 จัดทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ 5 เข้าใจเรือ่ งราว รู้การเริ่มตน้ ตอนกลางเรื่อง และตอนจบ 6 ามารถจำาเรอ่ื งราว และเลา่ ได้ 7 มคี วามคิด รา้ ง รรค์ และเล่าเร่อื งได้ 8 เขา้ ใจ นัง อื ทอ่ี า่ นจากซา้ ยไปขวา จากบนลงล่าง 9 วาดรูป ตั ว์ คน และ งิ่ ของได้ 10 เข้าใจและแ ดงความเปรยี บเทยี บได้ เช่น ใ ญก่ วา่ เป็นตน้ 11 ามารถจดั เรียง ่งิ ของตามขนาด 12 บอกตัวอัก รและตวั เลขได้ 2 3 ตัว 13 เข้าใจความ มายของ มากกว่า น้อยกวา่ เทา่ กับ 14 นับ ง่ิ ของได้ 10 อยา่ ง 15 จาำ มวด ม่ไู ด้ เชน่ กลุ่มของ ตั ว์ เปน็ ตน้ 16 เขา้ ใจกอ่ น ลัง ขา้ งบน ข้างลา่ ง 17 มคี วามคิดด้านการวางแผน เช่น การวาดอยา่ งมแี บบแผน การเลน่ ละคร มมตุ ิ เป็นต้น 18 ามารถเข้าใจถึงเวลา เม่ือวานนี้ วนั น้ี พร่งุ น้ี ก�รพั น�ด�้ นร�่ งก�ย เชน่ 1 ามารถแตง่ ตัวไดโ้ ดยได้รับความช่วยเ ลือเพยี งเล็กน้อย 2 ขี่จกั รยาน ามลอ้ ด้วยความชาำ นาญมากข้นึ อาจจะข่ีจักรยาน องลอ้ ได้ 3 ยนื กระต่ายขาเดียวได้นาน 5 10 นาที 4 ใชช้ ้อนและ ้อมได้ดี 5 ใชก้ รรไกรตดั เ น้ ตรงได้ 6 เริ่มถนดั ซ้าย รอื ขวา 7 กระโดดข้าม ่งิ กดี ขวางเต้ียๆ ได้ 8 วงิ่ เ ยาะๆ และวิ่งบนปลายเท้าได้ และวงิ่ ขา้ ม ้ันๆ ได้ 9 กระโดดเชอื กได้

พฒั นาการของเดก 37 10 มที กั ะการประ านงานของอวยั วะตา่ งๆ ในร่างกายได้ซบั ซ้อนขน้ึ เชน่ เล่น เกต็ การข่ีจกั รยาน องล้อ เปน็ ต้น 11 ามารถผกู เชือกรองเทา้ ได้ 12 อาจจะ ามารถคดั ลอกรปู แบบ และรปู รา่ งงา่ ยๆ ได้ ก�รพั น�ด้�นอ�รมณแ์ ละ งั คม ดแ้ ก่ 1 คิดคน้ เกม ท์ ก่ี ฏง่ายๆ 2 รวบรวมเด็กและของเลน่ เพอื่ เลน่ ละคร มมตุ ิ 3 บางคร้ังยงั คง บั นระ วา่ งเรอ่ื งปรุงแต่งกับเรอื่ งจริง 4 บางคร้งั จะกลัวเ ยี งดัง ความมืด ัตว์ และคนบางคน 5 รอคอยควิ และรู้จักแบ่งปันได้ในบางเวลา 6 ชอบเล่นเ พาะกบั เพ่อื น นิทเทา่ นั้น 7 ชอบตดั ินใจเอง 8 มคี วามอ่อนไ วต่อการรับรู้ความรู้ กึ ของเพอื่ น เมอ่ื เ ็นเขาโกรธ รอื เ ียใจ 9 ชอบเลน่ กับเพื่อน 2 3 คนในเวลาเดยี วกนั อาจไม่พอใจเวลามีคนอน่ื จะ เขา้ มาเลน่ เพมิ่ 10 เริ่มมคี วามเข้าใจพ้นื านเก่ยี วกบั ความถูกต้องและความผิด 11 เลน่ ได้อยา่ งอิ ระโดยไมต่ ้องอย่ใู นความดแู ลของพเ่ี ล้ยี งตลอดเวลา 12 นกุ นานกบั การเก็บ ะ ม แน คิด �ำ รับ ้เลยี งดเดก ด้แก่ 1 ่งเ รมิ เรอ่ื งการประ านงานระ วา่ งอวัยวะตา่ งๆ ของรา่ งกายใ ้ ทำางานดีข้ึน โดยเลน่ เกม ์และทำาท่าทางตามผูน้ าำ เช่น การกระโดดโลดเตน้ กระโดด เชือก การวิง่ เ ยาะ การร้องเพลง อนการเตน้ รำาพน้ื บา้ น การทรงตัวบนขอน รอื ทอ่ น ไม้ การปนต้นไม้ การผูกปมเชอื กตา่ งๆ เปน็ ต้น

38 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ 2 อนการเดนิ ดว้ ยกระ อบ เดนิ ามขา เพ่ือพฒั นาดา้ นการเคลอื่ นไ ว 3 เล่นเกมตบแผะ 4 ชว่ ยใ ้เดก็ ได้ตัดกระดา เปน็ เ น้ ตรงดว้ ยกรรไกร เชน่ กระดา ทาำ ลูกเตา 5 พัฒนากล้ามเนื้อเล็กๆ โดย กการใชม้ อื รอ้ ยลูกปัดผ่านเชอื ก รอื เ น้ ด้าย 6 เรียนร้กู ารแยกแยะช้นิ ว่ น และรวมช้นิ ว่ นต่างๆ เขา้ ดว้ ยกัน เช่น แกะ เครื่องมือช่างไม้ และนา กาที่ไม่ใช้แลว้ 7 แ ดงใ ้เดก็ ดูถึงการซ่อมของเล่น และ นงั อื 8 ง่ เ รมิ การเล่นละครเข้ากบั การอา่ นทกุ ๆ วัน ใช้โทนเ ยี งต่างๆ กนั และบุคลิกท่ีต่างกันขณะท่ีอ่าน นัง ือที่เด็กคุ้นเคยแล้วก็ควรพยายามใ ้เด็กแ ดงความ เ น็ โดยใ เ้ ด็กแต่งเร่อื งตอนจบดว้ ยจินตนาการของเด็กเอง 9 ขอใ เ้ ด็กวัย 5 ปเลา่ นิทานใ ้เราฟัง ใ เ้ ขียนและตดิ ไว้ทกี่ ำาแพง รือตู้ เยน็ 10 ถามโดยใชป้ ระโยค เชน่ ถา้ .... อะไรจะเกิดขึน้ เชน่ ถา้ เรอื่ ง นูนอ้ ย มวกแดง เปลยี่ นจาก มาปาเปน็ กระตา่ ยแล้วอะไรจะเกิดขน้ึ เปน็ ต้น และเดก็ วัยนจ้ี ะยดึ ติดกับกฏเกณ ์ โดย ามารถพัฒนาเกม ์ตา่ งๆ ตามกฏที่มากข้นึ และเปน็ พธิ ีกรรมท่ีมาก ข้นึ ก�รพั น� องเดก ัย ป เด็กอายุ 6 7 และ 8 ป จะมีพัฒนาการท่ี ำาคญั ในวัยช่วง 6 ปแรกของ ชวี ิต และพรอ้ มท่จี ะเตบิ โตและเรยี นรู้ตอ่ ไปในโรงเรียนประถมน้ี จะเปน็ กิจกรรมทเี่ กดิ ข้นึ ในชีวิตจริง การ มมตุ ิ การปรงุ แต่งจะมีบ้างในการเรยี นการ อน เดก็ วยั ประถมต้นน้ี ต้องการท่ีจะทาำ อะไรจริงๆ ถ่ายรปู จริง และเกบ็ ะ ม ่ิงท่ีเกดิ ขน้ึ จริง เดก็ วัยนจ้ี ะมี มาธิยาวขึ้น และดเู มอื นวา่ เขาจะยึดตดิ กบั ่ิงตา่ งๆ จน กระท่งั เรอื่ งนน้ั รอื เ ตุการณน์ ้ันได้จบลง ชอบทาำ งานร่วมกบั เพอ่ื นและปฏบิ ตั ิตามกฏ

พัฒนาการของเดก 39 ของ ้องเรยี น ดังนน้ั จึงค ร ่งเ ริม ได้แก่ ง่ เ รมิ เด็กใ ้อยากประ บค าม ำาเรจ็ โดยเ นอโอกา ใ เ้ ด็ก ร้าง รูปแบบจาำ ลองต่างๆ การทาำ อา าร การแกะ ลกั การ กปฏบิ ัตดิ า้ นดนตรี รือการ ทาำ งานไม้ ง่ เ รมิ เดก็ ในเร่ืองการเกบ็ ะ ม ิง่ ของต่างๆ โดยใ ้เขาไดท้ าำ กลอ่ ง พิเ รือ นัง อื พเิ ำา รบั เกบ็ ิง่ ของที่เดก็ ต้องการ ะ ม ่งเ รมิ การอา่ นและการเขยี นโดยใ ้เดก็ คิดเรอื่ งรา ต่างๆ เชน่ ร้อง เพลงเพ่อี ประกอบการแ ดง นุ่ มือ รือการบนั ทกึ เ ตุการณต์ ่างๆ ในแต่ละ นั ลงใน มดุ บันทึก เป็นต้น ง่ เ ริมเด็กใ ้มกี าร ำาร จโลก ายนอก เชน่ มกี ารจดั ไปชม พพิ ธิ ัณ ์ การออกไปทาำ งานนอก ถานทตี่ า่ งๆ และในละแ กใกล้ๆ บ้านเพ่อื นบ้าน เปน็ ตน้ ก�รพั น�ด�้ นสตปิ � ดแ้ ก่ 1 ามารถเขยี น นงั อื กลบั น้ากลบั ลังได้ 2 นใจการอ่าน 3 มีค าม ามารถในการแก้ปัญ าดขี น้ึ 4 นใจเรื่องมายากล และ ่งิ ม ั จรรย์ 5 ามารถเรียนรถู้ ึงค ามแตกตา่ งระ ่าง ซา้ ยและข า 6 เรม่ิ เขา้ ใจ นั และเ ลาในแตล่ ะ ัปดา ์ ก�รพั น�ด้�นร�่ งก�ย ดแ้ ก่ 1 ทัก ะการใช้กรรไกร และเคร่อื งมือเลก็ ๆ ดีขน้ึ 2 ามารถผกู เชอื กรองเทา้ ได้ 3 ามารถลอกแบบและรูปร่างได้ ตั นงั อื และตั เลขได้ 4 ามารถเขียนชอ่ื ได้

40 จดั ทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ ก�รพั น�ด�้ นอ�รมณแ์ ละ ังคม ดแ้ ก่ 1 เพื่อนเริม่ มีบทบาทท่ี ำาคญั ข้นึ 2 เดก็ ญิง นใจเล่นกับเด็ก ญิง เดก็ ชาย นใจเล่นกับเดก็ ชาย 3 อาจมีเพอื่ นทด่ี ที ่ี ดุ และมี ัตรู 4 มคี ามตอ้ งการทาำ ใน ิ่งดีๆ และทำา ิ่งทถ่ี กู ต้อง 5 การถูก ิพาก ์ ิจารณ์ และค ามลม้ เ ล เปน็ ิง่ ทเี่ ดก็ ัยนไี้ ม่ยอมรับ 6 ากพฤตกิ รรม รืองานทโ่ี รงเรยี นของเดก็ ถูกละเลย รือถูกเมนิ เด็ก อาจจะเ ยี ใจ แน คิด �ำ รับ ้เลียงดเดก ด้แก่ 1 ใ ้โอกา าำ รับการละเล่น เช่น การปาเปา้ การ ิง่ การกระโดดเชือก เล่นกายกรรม และเต้นแอโรบคิ เป็นตน้ 2 ใ โ้ อกา ในการพฒั นาค ามเข้าใจเก่ีย กบั กฏเกณ ์ เช่น การเล่นเกม ์ ง่ายๆ บนโตะ เล่นไพ่ เล่นโดมโิ น เป็นต้น 3 ใ ้โอกา เดก็ ไดเ้ ลน่ เกม ์ท่ีไม่ต้องแขง่ ขนั เช่น การต่อจกิ ซอร์ การปลกู ตน้ ไม้ใน น เปน็ ตน้ 4 ใ ้เดก็ เขยี นการ์ดขอบคุณ การ์ด ุข ันต์ ันเกิด รือคำาอ ยพรต่างๆ 5 ใ โ้ อกา เด็กได้จัดเรยี ง จดั กลุม่ จบั คู่ การนบั ใน ถานการณ์จรงิ เชน่ การจัดโตะ เปน็ ตน้ 6 ช่ ยเด็กเรยี นรู้การ รา้ งกฏเกณ ์และการเล่นเกม ง์ ่ายๆ ในกลมุ่ เลก็ ๆ 7 เพ่อี ใ ้เด็กเขา้ ใจและคุ้ยเคยคำาแ ดงค ามรู้ ึก โดยใ ค้ ำาเ ล่านนั้ เ ลา เดก็ มีอาการอย่างน้ันเกิดข้นึ เช่น ครู ผ้ปู กครองเ น็ เธอ “เ รา้ ” เมอื่ เธอตอ้ งกลับบา้ น ครู ผ้ปู กครองเ ็นเธอ “โกรธ” เพอื่ นของเรา เป็นตน้ 8 ังเกตเ ลาเด็กเล่นด้ ยกนั อนใ เ้ ดก็ รจู้ ัก ขอร้อง ไกล่เกลย่ี ต่อรอง และขอโท 9 ตง้ั คำาถามอยา่ งเคร่งขรมึ พูดกับเดก็ า่ อะไรจะเกดิ ขึ้นและทาำ ไม และ ตอ้ งใ ้คำาตอบแกเ่ ดก็ เพ่ือใ ้เขาเข้าใจ

พฒั นาการของเดก 41 10 รร าคาำ ขอบคุณ ชมเชยเด็กเพ่อื ใ ้เดก็ เข้าใจถึงคุณคา่ ใน ง่ิ ท่ีเขาทาำ จรงิ ๆ เชน่ โอโ้ .... นู างของเล่นแบบนีแ้ ละเยยี่ มเลย รอื นูช่ ยครไู ดจ้ ริงๆ ด้ ย ขอบใจนะ ดกี า่ จะพดู ่า นูทำาได้ดนี ะ เปน็ ตน้ 11 จดั เตรียม ถานที่ ำา รับใ ้เดก็ อย่ตู ามลำาพงั เช่น กลอ่ งกระดา ขนาด ใ ญ่ เ มือน ้องจำาลอง เป็นตน้ 12 เ ลาทเี่ ด็กกลั มากเราตอ้ งแ ดงค ามมั่นใจใ เ้ ด็กเ ็น า่ งิ่ เล รา้ ย ต่างๆ จะไมเ่ กิดขน้ึ กับพ กเขาอีก 13 ค รใ ้เด็กเข้า ้องน้ำาด้ ยตนเองไดแ้ ล้ และใ ้พ กเขาล้างมอื ทุกครง้ั ลงั ออกจาก ้องนำ้า โดย กใ ้เปน็ นิ ยั 14 จงอดทนกบั ค ามไม่เรียบร้อยท่ีเกิดขน้ึ กับพ กเด็กๆ ยอมเ ยี เ ลา มากมายในการเกบ็ ทาำ ค าม ะอาด ใ ้เกบ็ ของเล่นต่างๆ ไ ้ในทต่ี ่ำาๆ เพ่ีอเดก็ จะได้ ยิบ เล่นเองได้งา่ ย 15 เดก็ จะ นใจในเรือ่ งตั เลขมากข้ึน ปลอ่ ยใ เ้ ขานับเลข เชน่ ถ้ ยนาำ้ ใบไม้ ดิน อ ปลา รือเพ่อื นท่ีขาดเรยี นใน ้อง เป็นตน้ 16 ใ เ้ ดก็ นุก นานกบั ค ามตลก ค ามไร้ าระ อ่านเรอ่ื งขาำ ขนั การ เล่นคำาผ น ทำานองเพลงตา่ งๆ จาก นัง ือ นิตร าร และอินเตอร์เน็ท 17 ใ โ้ อกา เด็กในการแ ดงละคร และค ามคิด รา้ ง รรคต์ ่างๆ อนใ ้ เด็กรจู้ ักการเคล่ือนไ ร่างกายในตั ละครต่างๆ เช่น เปน็ ดอกไม้ ิมะตก นอน งู แม รือเ ือ้ ผา้ ทปี่ ลิ ไปตาม ายลม เป็นตน้ ก�รพั น� องเดก ัย ป เดก็ ใน ัยน้ีจะมพี ัฒนาการด้านค ามรู้ กึ ของตนเอง และตอ้ งการใ ้ ังคม ยอมรับในการที่ตนเองจะประ บค าม ำาเร็จ เพื่อจะมคี าม ำาคญั มากขึ้น มีการใชร้ ั ลับเ พาะค าม มายของคำา และการใช้ า าและรายละเอียดปลกี ยอ่ ยตา่ งๆ จะเป็น ่งิ าำ คัญท่ีทำาใ เ้ กดิ ค าม นทิ นมในกล่มุ เพ่ือนของตนไดด้ ยี ่ิงข้นึ เพื่อน นทิ มกั เป็นเพ่ือน เพ เดยี กัน ถึงแม้ า่ กลุ่มเด็ก ยั นีจ้ ะเริ่มใ ้ค าม ำาคญั กับเพ ตรงขา้ มมากขึน้

42 จดั ทาำ ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดมิ ผู้ปกครอง ครู ควรเตรยี มใจ ำา รับเด็กวยั น้ี เพราะบ่อยคร้งั จะไม่ตอ้ งการ การดูแลเอาใจใ ่จากผูใ้ ญ่ รอื พ่เี ล้ยี ง อยา่ งไรกต็ ามเด็กวยั นอี้ าจถกู ละเลยและใ ้ดูแล ตัวเอง เดก็ จะรู้ กึ เ งา ไมม่ ีความ ุข และบางคร้ังจะรู้ ึกตกใจกลัว ซง่ึ เป็นเ ตุท่ที ำาใ ้ เด็ก นั เข้า ายาเ พตดิ เพราะ ะน้ันควรมีเวลาใ ้เด็กเม่ือเขาเรยี กร้องในทนั ที และต้อง เรยี นรู้อุปนิ ยั ของเพ่อื นลูกด้วย เพ่อื ไมใ่ ช้ ักนาำ ไปในทางทีผ่ ิด เพราะเด็กวัยน้ีจะเช่อื ฟัง เพ่ือนมากกวา่ พอ่ แม่ ก�รพั น�ด�้ น ตปิ � ด้แก่ 1 นใจอา่ น นงั อื นยิ าย วาร าร และ นัง อื แนะวิธีการต่างๆ 2 อาจ นใจในงานอดิเรกและการเก็บ ะ ม 3 มกั จะ นั เก่ยี วกบั ง่ิ ท่ีจะเกิดในอนาคต ก�รพั น�ด้�นร่�งก�ย ด้แก่ 1 โดยทั่วไปเด็ก ญิงจะมีความเจริญเติบโตตามวัยทางร่างกายท่ีเร็วกว่า เดก็ ชาย 2 ป 2 เด็ก ญงิ จะเริ่มมีประจำาเดอื น ก�รพั น�ด�้ นอ�รมณแ์ ละ งั คม ดแ้ ก่ 1 พธิ กี รรม กฏเกณ ์ ร ั ลับ า าเพยี้ นท่ีใช้ในกลุ่ม เปน็ เรื่องธรรมดา ำา รับเด็กวัยน้ี 2 การระเบดิ ความโกรธออกมามีนอ้ ยลง 3 เ ็นความ าำ คญั เลก็ นอ้ ย รอื ปฏเิ ธการใชอ้ าำ นาจของผู้ใ ญ่ แน คิด �ำ รบั ้เลยี งดเดก ด้แก่ 1 ใ ้โอกา ในการ ก นทกั ะ เช่น การทาำ อา าร การเย็บปักถักรอ้ ย การออกแบบ การแ ดง นุ่ มือ และการแ ดงบนเวที เป็นต้น ่ิงเ ล่านีจ้ ะเปน็ การ ก ทัก ะและใ ้ความ ามารถของเด็กใ ้เกิดประโยชน์

พัฒนาการของเดก 43 2 จดั าเวลาและ ถานที่ าำ รบั เดก็ วยั นอี้ ยเู่ พยี งคนเดยี วตามทเี่ ขาตอ้ งการ มเี วลาในการอา่ น นงั ือ เวลาในการ นั กลางวนั รือ ถานทก่ี ารทาำ งานโรงเรยี นที่ไม่มี ใครรบกวน เชน่ ้อง มดุ เปน็ ตน้ 3 ่งเ รมิ ใ ้เด็กได้เข้าร่วมในชมรม รือกลุ่มทจี่ ัดต้ังขึ้น มี ลายกลุ่มท่ี นบั นุนการ กทัก ะด้วยโครงการ รือกจิ กรรม มากกว่าอยใู่ นความดูแลในโครงการ ดูแลเดก็ 4 ใ เ้ ดก็ ทีโ่ ตกวา่ ชว่ ยเ ลือเด็กท่อี ่อนกว่า แต่ไม่ควรใ ้ช่วยมากเกินความ จำาเป็น ควรปลอ่ ยใ ้เดก็ ไดม้ ีเวลาเลน่ และผ่อนคลาย 5 ใ ้เดก็ ไดม้ โี อกา เลน่ เกม ท์ ีต่ อ้ งใช้กลยทุ ธ์ เช่น การเลน่ มากรกุ เป็นตน้ 6 ตอ้ งใ ้อา ารในปริมาณท่เี พยี งพอแก่เด็ก เดก็ โตจะต้องการอา ารที่ มากข้ึน สรุป ช่วงเวลาที่เ มาะ มการท่จี ะพัฒนาเดก็ คือ ในดา้ นการมองเ น็ จะปดเมอื่ อายุ 10 ป และถ้าถงึ เวลาแลว้ ไม่ได้พฒั นา รือไม่ได้ถูกใชก้ ็จะ ญู เ ียไป ว่ นช่วงเวลา ำา รบั า าจะเปน็ 0 10 ป เพราะเปน็ ช่วงทเี่ ซลล์ มองพรอ้ ม ำา รับเ ียงตา่ งๆ กนั แต่ไมค่ วร เกิน 2 า า ถ้าเดก็ ไมไ่ ดย้ ินเ ียงในช่วง 10 ปแรก เซลล์ทเี่ กย่ี วขอ้ งจะ ูญเ ียการทาำ งาน เพราะ ะน้ันผูใ้ ญ่จะออกเ ียงไดไ้ มด่ เี มอื นเดก็ ๆ ท่เี รียน า าตัง้ แต่เด็ก ำา รบั พัฒนาการทางอารมณเ์ กิดใน 2 3 ปแรกของชีวติ ถา้ เดก็ ไมไ่ ด้ ก นเลย ก็จะไม่ ามารถ ควบคมุ อารมณไ์ ดด้ เี มอ่ื โตขึน้ และนกั วิจยั ลายๆ คนยอมรับวา่ วัย 0 10 ป มีความ าำ คัญตอ่ การเรียนรอู้ ย่างมาก แตไ่ ม่ใช่ว่าจะเรียนรไู้ มไ่ ด้ ลงั 10 ปไปแลว้ มนุ ย์ ามารถ เรยี นรู้ได้ตลอดชวี ติ แต่ประ ิทธิ าพไม่ดีเทา่ กับชว่ ง 0 10 ป

44 จัดทำา ดย อาจารย์ ดร สิ นเ์ ก ย่านเดิม เอก �รอ�้ งอิง กมลพรรณ ชี พันธุ ร.ี มปป. . มองกบั ก�รเรยี นร.้ กรุงเทพฯ บริ ทั พรการพมิ พ์ จาำ กัด. ก�รอบรมเลยี งดเดก. ทีม่ า . . ืบค้น ันท่ี 1 กรกฏาคม 2556. ภ�พพั น�ก�ร น ัย ป. ที่มา . .. 0 89 0 8 1 0 8 92 0 8 99 0 8 2 0 8 81 0 8 2 0 8 3 0 9 83 0 8 99 0 8 7 0 8 1 0 8 2 0 8 95 0 9 88 0 8 2 0 8 87 0 9 86 1 2 477 30 1366 579 9 3 3 7 0 39 39 331 09 3 253 252 252 . . 252 252 31921 252 . 3 253 252 252 . . 252 252 76365 3 500 3 291 บื คน้ นั ท่ี 1 กรกฏาคม 2556. ธ ชั ชยั นาค ง ์. 2543 . ก�ร อนดนตรี �ำ รบั เดก. กรุงเทพฯ ม า ทิ ยาลยั เก ตร า ตร์. ันเพญ็ บุญประกอบ. 2534 . จิตเ ชศ� ตร์เดกและ ยั รุน่ . กรงุ เทพฯ ช นพิมพ.์ . 1975 . . .

บ ท ษ ีพหปุ � ทฤ ฎพี ปุ ญั ญา รือ เป็นทฤ ฎี ท่ีถกู ตง้ั ข้นึ โดย โ วารด์ การด์ เนอร์ นักจิตวิทยาทีม่ ีแนวคิดเชอ่ื ว่า “คนเราทกุ คนลว้ นมีความ ลาด แตค่ วาม ลาดของแตล่ ะคนไมเ่ มือนกัน” ซ่งึ จากคาำ กลา่ วน้เี องจงึ เปน็ ที่มาของทฤ ฎพี ปุ ัญญา ทีไ่ ด้รบั ความเชื่อถืออย่างมากมายในโลกยคุ ปัจจบุ ัน ภาพ วารด์ การ์ดเนอร์ ( rd rdner) การ์ดเนอร์ กล่าววา่ พ ปุ ัญญา เป็นแนวคิดของพ ปุ ญั ญาในเร่อื งท่ีเกย่ี วกับ ความเกง่ ความ ลาดของบุคคล โดยความเก่งความ ามารถและความ ลาดดังกล่าวน้นั ถูกควบคุมโดย มองแต่ละ ่วน าก มอง ่วนท่ีควบคุมความเก่งนนั้ ได้รบั ความกระทบ กระเทือนจนผิดปกติก็จะทำาใ ้ความเก่งด้านนั้น มดไป รือพัฒนาได้ไม่เต็มที่ รือไม่ ามารถแ ดงออกซง่ึ ความเกง่ นั้นๆ ได้ พ ปุ ัญญา มายถงึ ตปิ ัญญาความ ามารถที่ ลาก ลายของบคุ คลท่ีมี ความ ามารถท่ีมาจากการถกู ควบคมุ โดย มองแตล่ ะ ว่ น และการพัฒนา มองตอ้ งไดร้ บั การ เล้ยี งดูจาก ่งิ แวดลอ้ มที่เ มาะ ม การ ง่ เ ริมความ ามารถทาง ตปิ ญั ญาในการทาำ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook