Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2 บทที่ 2 - 1

2 บทที่ 2 - 1

Published by sudarat3265, 2019-08-21 03:54:44

Description: 2 บทที่ 2 - 1

Search

Read the Text Version

บทที่ 2 พัฒนาการดา้ นประวตั ศิ าสตรอ์ าํ เภอท่าศาลา อําเภอท่าศาลาเป็นอําเภอขนาดกลางของจังหวัดนครศรีธรรมราช หลายสิบปีท่ีผ่านมาท่าศาลา มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอําเภอขนาดใหญ่ มีความสําคัญทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน มีพัฒนาการด้านการศึกษา การอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การประมง เป็นต้น ขณะท่ีจํานวน ประชากรเพ่ิมข้ึนแบบก้าวกระโดด ชุมชนเมืองขยายตัวออกไปรอบทิศทาง บ้านเมืองกว้างใหญ่ขึ้น การขยายตัวอย่างรวดเร็วทําให้ปัจจัยพื้นฐานด้านบริการ เช่น ท่ีอยู่อาศัย ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ท่ีดิน ถนนหนทาง การขนส่ง การเดินทาง ส่ิงดังกล่าวติดขัดอยู่บ้างในระยะแรกแต่ปัจจุบันได้รับการแก้ไขไป บ้างแล้ว เนื่องจากมผี ้คู นอพยพเข้ามาอยู่อาศัยในอําเภอท่าศาลาเป็นจํานวนมาก ย้ายเข้ามาทํามาหากิน ประกอบอาชีพต่างๆ โดยมีปัจจัยที่สําคัญคือการจัดตั้งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ผู้คนท่ีเข้ามาอยู่ใหม่ จึงไม่รู้พื้นเพประวัติความเป็นมาของอําเภอท่าศาลา ขณะผู้ท่ีอยู่อาศัยในอําเภอท่าศาลามาแต่เดิม มีไม่กี่คนที่รู้เร่ืองราวประวัติความเป็นมาของอําเภอท่าศาลา หลักฐานเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับ อําเภอท่าศาลามีไม่มากนัก อีกท้ังยังกระจัดกระจายอยู่ตามท่ีต่างๆ ประวัติความเป็นมาของ อาํ เภอทา่ ศาลาเทา่ ทรี่ ู้กนั นน้ั กเ็ ปน็ เพียงคาํ บอกเลา่ จากคนแกค่ นเฒ่าแบบปากต่อปาก ถ่ายทอดต่อมายัง เยาวชนคนหนุ่มคนสาว ยังรับประกันไม่ได้ว่าคําบอกเล่าเหล่าน้ันเป็นความจริง เพียงแต่ได้ยินได้ฟังจาก คนรุ่นก่อนแล้วนํามาเล่าต่อ ซึ่งอาจเป็นเพียงการคาดเดาหรือนึกเอาเองว่าเป็นแบบนั้นเป็นแบบน้ี โดยไม่มหี ลกั ฐานอะไรมารองรบั การทําประวัติอําเภอท่าศาลาในคร้ังน้ี อาศัยหลักฐานท่ีมีปรากฏอยู่ในเขตอําเภอท่าศาลา และอําเภอใกล้เคียง รวมทั้งเอกสาร นิทาน ตํานาน บทกลอน ข้อความท่ีจารึกเอาไว้ตามวัตถุต่างๆ เช่น ศิลาจารึก คําจารึกที่ฐานพระพุทธรูป คําจารึกบนศิวลึงค์ คําจารึกบนฐานโยนิโทรณะ คําจารึกบนกรอบ ประตู คําจารึกบนธรณีประตู รวมทั้งรูปแบบของศิลปกรรมในยุคต่างๆ รวมกับส่ิงก่อสร้างในยุคต่างๆ เป็นตน้ การรวบรวมหลักฐานเพื่อบอกเล่าเร่ืองราวประวัติความเป็นมาของอําเภอท่าศาลา ใช้เวลาใน รวบรวมไม่นานนัก ยังมีหลักฐานโบราณสถานโบราณวัตถุอีกมาก โดยหลักฐานที่มีอยู่ตามบ้านเรือน เรือกสวนไร่นาของชาวบ้าน ไม่สามารถเข้าไปทําการศึกษาเจาะลึกลงไปในรายละเอียดได้ การลงลึกใน รายละเอียดต้องลาดตระเวนไปตามแหล่งโบราณคดีต่างๆ ทําการศึกษาโดยละเอียดทุกซอกทุกมุม ซึ่งต้องใช้เวลานานหลายสิบปี เนื่องจากแหล่งโบราณคดีมีอยู่มากมาย อย่างไรก็ตามเร่ืองราวต่างๆ ท่ีหามาได้ดังที่ปรากฏอยู่ในเอกสารฉบับนี้ พอจะทําให้ทราบถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ อําเภอทา่ ศาลาได้ในระดับหนงึ่ คิดว่านา่ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านท้ังหลายไดบ้ า้ งพอสมควร

ลําดับพัฒนาการด้านประวัติศาสตร์อําเภอท่าศาลา อําเภอท่าศาลา มีประวัติความเป็นมาต้ังแต่ยุคหิน พบเคร่ืองมือหินขัดในสวนมะพร้าวของ นายเห้ง คุณารักษ์ ที่ตําบลสระแก้ว นายเห้ง คุณารักษ์ เป็นลุงของกํานัลหีด (นายจงกิตต์ิ คุณารักษ์) ยังพบ เครื่องมือหินใช้ชําแหละเน้ือสัตว์ตั้งแสดงท่ีพิพิธภัณฑ์วัดป่าเรียน คร้ันถึงยุคโลหะพบเคร่ืองมือท่ีทําจากสัมฤทธิ์ ทองแดง และ เหล็ก เป็นจํานวนมาก ช่วงต้นพุทธศตวรรษชาวอินเดียใต้เดินเรือมาถึงคาบสมุทรมลายู เร่ิมมี บา้ นเมอื งเกิดข้ึน และ พัฒนาเป็นอาณาจักรตามพรลิงค์ในช่วง พ.ศ.600-1200 มีพื้นท่ีครอบคลุมต้ังแต่เขตอําเภอ จุฬาภรณ์ ร่อนพิบูลย์ เมือง พระพรหม พรหมคีรี โดยมศี นู ย์กลางทีอ่ าํ เภอสชิ ล และ อาํ เภอทา่ ศาลา อาณาจักรตาพรลิงค์ เป็นอาณาจักรที่ต้ังบนคาบสมุทรมลายู ปกครองโดยราชวงศ์ไศเลนทร์ และ ราชวงศ์ปัทมวงศ์ แบ่งออกเป็น 3 ยุค คือ ตามพรลิงค์ยุคที่หนึ่งมีศูนย์กลางท่ีสิชลและท่าศาลา ตามพรลิงค์ยุคท่ี สองมีศูนยก์ ลางท่ีเมอื งพระเวียง ตามพรลิงค์ยุคท่ีสามมีศูนย์กลางท่ีเมืองนครศรีธรรมราช ครั้นถึงต้นพุทธศตวรรษ ท่ี 19 โรคระบาดทําให้ชาวเมืองนครศรีธรรมราชล้มตายเป็นจํานวนมาก พระเจ้าศรีธรรมโศกราช (พระเจ้าพงสุระ) สิน้ พระชนมจ์ ากโรคระบาดอาณาจักรตามพรลงิ ค์ขาดผู้นํา และ กลายสภาพเป็นเมืองร้าง บ้านเมืองบนคาบสมุทร มลายจู ึงตกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสโุ ขทัย สมยั กรุงสโุ ขทยั ตาํ นานเมอื งนครศรธี รรมราชบันทกึ วา่ พ.ศ.1830 พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราชผู้ ครองเมืองเพชรบุรี ซึ่งเป็นหลานปู่ของพระเจ้าศรีธรรมโศกราช ที่ถูกส่งไปปกครองเมืองเพชรบุรี ครั้นอาณาจักร นครศรีธรรมราชล่มสลายจากโรคระบาด พระเจ้าศรีธรรมโศกราชสิ้นพระชนม์จากโรคห่าบ้านเมืองขาดผู้นํา พระพนมทะเลศรีมเหสวัสดิทราธิราช จึงส่งพระพนมวังกับพระนางสะเดียงทองมาซ่อมเมืองนครศรีธรรมราช พระพนมวังและพระนางสะเดียงทองยกพลมาตั้งหลักท่ีเมืองจงสระ (อําเภอเวียงสระ) เน่ืองจากเวลานั้นเมือง นครศรธี รรมราชเปน็ เมอื งรา้ ง พระพนมวังซอ่ มองคพ์ ระบรมธาตุ ซ่อมวดั วาอาราม ซอ่ มบา้ นเมือง จัดส่งผู้คนไปถาง ป่าเป็นนาตามที่ต่างๆ ทั่วภาคใต้ เฉพาะท่ีท่าศาลา พระพนมวังส่งคนมาถางป่าเป็นนาท่ี ทุ่งกะโดน (บ้านโดน) ท่ี ทุ่งไผ่ (ปัจจุบันเป็นท่ีต้ังมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์) ให้นายอาย เจ้าปา เอาคนไปสร้างป่าเป็นนาแลรักษาพระใน วัดพะนงั ตรา (วัดนางตรา) ใหน้ ายแก้ว นายใส ตั้งบ้านอยู่ กรงุ ชิง (นบพิตํา) เปน็ ต้น สมัยกรุงศรอี ยธุ ยาตอนต้น เม่อื พ.ศ.1893 สมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอทู่ อง) ก่อนนี้ นครศรธี รรมราชเกิดโรคระบาดกลายเปน็ เมืองร้าง หลังจากซ่อมแซมเมืองนครศรธี รรมราชเสร็จแลว้ มผี ู้คนพลเมอื ง กลับมาอยู่อาศัยอกี ครั้ง แตผ่ ู้นาํ ของนครศรีธรรมราชไมเ่ ขม้ แข็งพอท่จี ะต้ังตนเป็นผู้นาํ บนคาบสมทุ รมลายูได้ เมอื งนครศรีธรรมราชจึงเป็นประเทศราชของกรงุ ศรีอยุธยา สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศบันทึกว่า ประมาณ พ.ศ.2073 พระมหา จักรพรรดริ าชาธิราช (พระเทียรราชา) ทรงเห็นว่า ขุนอินทรเทพ มีความดีความชอบช่วยกําจัด ขุนวรวงศาธิราช และ แมศ่ รสี ุดาจันทร์ พระองค์แต่งต้ังขุนอินทรเทพเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมโศกราช พระราชทานลูกพระสนมองค์ หนึ่ง เจียดทองคู่หนึ่ง พานทองคู่หนึ่ง เต้าน้ําทอง กระบี่ กั้นหยั่น เสลี่ยงงา เสล่ียงกลีบบัว เครื่องสูง เป็นต้น ช่วงเวลานีน้ ครศรธี รรมราชเปน็ ประเทศราชของกรุงศรีอยธุ ยา

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย คร้ังพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ.2275-2301 จากคําส่ังแต่งตั้ง พระยาไชยาธิเบศร์เป็นเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ในสมุดตําแหน่งมีชื่อเมืองและช่ือข้าราชการเมือง นครศรีธรรมราชอยู่ด้วย น่าเสียดายท่ีสมุดตําแหน่งแต่งตั้งข้าราชการยังหาไม่พบ จึงไม่ทราบว่าท่าศาลา ในสมัยพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศมเี มอื งใดบา้ ง แต่ละเมืองมีใครเปน็ เจา้ เมืองและมใี ครเปน็ ข้าราชการ สมัยกรุงธนบุรี ครั้งพระเจ้าตากสินมหาราช พ.ศ.2310-2325 พระเจ้าตากสินเข้ายึดครอง นครศรีธรรมราช ตั้งเจ้านราสุรยิ วงศป์ กครองเมอื งนครศรธี รรมราช เจ้านราสุริยวงศ์ทิวงคตเมื่อ พ.ศ.2319 พระเจ้าตากสินยกฐานะเมืองนครศรีธรรมราชเป็น ประเทศนครศรีธรรมราช แต่งต้ังพระปลัดหนูผู้รั้ง เมืองนครศรีธรรมราชเป็น พระเจ้านครศรีธรรมราช ช่วงน้ันท่าศาลาน่าจะเป็นเมืองสําคัญเมืองหนึ่ง ของประเทศนครศรีธรรมราช แตท่ ุกสงิ่ ทกุ อย่างถูกยกเลิกไปในสมยั รัชกาลที่ 1 ช่วง พ.ศ.2325-2352 สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คร้ังรัชกาลที่ 2 พ.ศ.2352-2369 จากคําสั่งแต่งต้ังข้าราชการเมือง นครศรีธรรมราช พ.ศ.2354 เร่อื ง แตง่ ต้ังพระบริรักษ์ภูเบศร์เป็นพระยานครศรีธรรมราช แผ่นดินท่าศาลา เวลาน้ันประกอบด้วยเมืองใหญ่น้อย 7 เมือง ได้แก่ เมืองไทยบุรี (ออกหลวงไทยบุรีศรีมหาสงคราม) เมืองอินทรคีรี (หลวงอินทรคีรีศรีสงคราม) เมืองท่าสูง (เมืองเพชรชลธี) เมืองร่อนกะหรอ (ขุนไชยบรุ ี) เมืองนบพิตํา (ขนุ เดชธานคี นุ บพติ ํา) เมอื งกลาย (ขุนพิชยั ธานศี รีสงคราม) เมืองโมคลาน (ขุนทัณฑ์ธานี) เมืองไทยบุรีและเมืองอินทรคีรีเป็นเมืองขนาดใหญ่ศักดินา 1,200 ไร่ ที่เหลือเป็นเมือง ขนาดเล็กฐานะเจ้าเมืองเทียบเท่านายอําเภอ เทียบเท่ากํานัน เทียบเท่าผู้ใหญ่บ้าน ศักดินา 600 ไร่ 400 ไร่ และ 200 ไร่ พ้ืนที่บางส่วนของเมืองอินทรคีรีโอนมาอยู่กับอําเภอกลาย (ท่าศาลา) คือ ตําบล ดอนตะโก และ ตาํ บลทอนหงส์ วนั นตี้ ําบลทอนหงสโ์ อนกลบั ไปอยกู่ ับอาํ เภอพรหมคีรี (เมอื งอินทรครี )ี การศึกษาประวัติความเป็นมาของท่าศาลาจะทําการศึกษา ดังน้ี ตอนที่ 1 ท่าศาลาสมัยก่อน ยุคประวัติศาสตร์ ประกอบด้วย 1.1 ยุคหิน 1.2 ยุคโลหะ ตอนที่ 2 ท่าศาลาช่วงที่เป็นแคว้นอิสระ บนคาบสมุทรมลายู ประกอบด้วย 2.1 ท่าศาลายุคก่อนอาณาจักรตามพรลิงค์ 2.2 ท่าศาลายุค อาณาจักรตามพรลิงค์ ประกอบด้วย 2.2.1 อาณาจักรตามพรลิงยุคท่ีหนึ่ง (สิชล-ท่าศาลา) 2.2.2 อาณาจักรตามพรลิงค์ยุคที่สอง (เมืองพระเวียง) 2.2.3 อาณาจักรตามพรลิงค์ยุคท่ีสาม (เมืองนครศรีธรรมราช) ตอนท่ี 3 ท่าศาลาช่วงที่เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย อัน ประกอบด้วย 3.1 สมัยกรุงสุโขทัย 3.2 สมัยกรุงศรีอยุธยา 3.3 สมัยกรุงธนบุรี 3.4 สมัยกรุง รัตนโกสินทร์ จะกลา่ วโดยละเอียดต่อไป

ตอนท่ี 1 ทา่ ศาลายุคกอ่ นประวัติศาสตร์ 1.1 ยุคหิน หลักฐานโบราณวัตถุท่ีขุดพบในเขตอําเภอท่าศาลาบอกให้รู้ว่า อําเภอท่าศาลามีมนุษย์อยู่อาศัยกัน มาต้ังแต่ยุคหิน โดยขุดพบเครื่องมือหินขัดลักษณะคล้ายระนาดหินท่ีบ้าน นายชม ริมคลองกลาย ตําบล สระแก้ว อําเภอท่าศาลา ขุดพบขณะกําลังขุดหลุมปลูกมะพร้าว เป็นเคร่ืองมือยุคหินใหม่ช่วงอายุ 4,000-6,000 ปี กล่าวได้ว่า ยุคหินแผ่นดินท่าศาลาบางส่วนน่าจะจมอยู่ใต้ทะเล ภาพเคร่ืองมือหินขัด ลักษณะคล้ายระนาดหิน พบที่บ้านนายชม ริมคลองกลาย ตําบลสระแก้ว อําเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช อยู่ในยุคหิน ใหมม่ ีอายุ 4,000 - 6,000 ปี ข้อมูลเพิ่มเติม นายชม นามสกุล เต็มสงสัย ปลูกบ้านอยู่อาศัยในสวน มะพร้าวของนายเหง้ คณุ ารกั ษ์ นายชม เตม็ สงสยั ทํา หน้าทเ่ี ปน็ ผดู้ ูแลสวนมะพร้าวของนายเห้ง คุณารกั ษ์ พื้นท่ีสูงบริเวณตําบลนบพิตํา ตําบลกะหรอ ตําบลไทยบุรี ตําบลท่าศาลา ตําบลสระแก้ว ตําบลเสาเภา ตําบลเปล่ียน ตําบลทุ่งปรัง ตําบลสิชล ตําบลเทพราช ตําบลทอนหงส์ ตําบลพรหมโลก เป็นต้น พื้นท่ีของตําบล ดังกล่าวน้ําทะเลท่วมไม่ถึง แผ่นดินบริเวณนี้เป็นท่ีอยู่อาศัยของมนุษย์ยุคหินใหม่ ขุดพบเคร่ืองใช้ไม้สอยท่ีทํามา จากหิน และ ทาํ มาจากดนิ เผาตามสถานทีต่ ่างๆ ยคุ หินแบง่ ออกเปน็ 3 ยุค ดงั นี้ 1.1.1 ยุคหินเก่า อายุ 10,000-2,500,000 ปี ยังไม่พบเครื่องใช้ไม้สอยที่ทําจากหินในเขตอําเภอท่าศาลา แต่ไม่ได้หมายความว่าท่าศาลาในยุคหินเก่าไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย เพียงแต่เวลาน้ียังไม่พบหลักฐานโบราณวัตถุ ถ้าหากมีการสํารวจขุดค้นบนพ้ืนที่สูงอย่างจริงจัง เช่น ตําบลกลาย ตําบลกะหรอ ตําบลนาเหรง ตําบลนบพิตํา ตาํ บลกรุงชงิ อาจพบกับเครื่องมือหินกะเทาะของยคุ หนิ เก่าฝังอยตู่ ามพนื้ ถาํ้ และเพงิ ผา เพราะถา้ํ และเพิงผาใช้เป็น สถานท่ีอยู่อาศัยของมนุษย์ในยุคหินเก่า (เคร่ืองมือหินท่ีจัดอยู่ในยุคหินเก่าต้องเป็นเครื่องมือหินกะเทาะหยาบ) อย่างไรก็ตามยังมีการค้นพบเครื่องมือยุคหินเก่าตามอําเภอต่างๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช เช่น ถ้ําตาหมื่นยม บ้านวังเหรียง ตําบลช้างกลาง อําเภอช้างกลาง พบเคร่ืองมือหินกะเทาะ คมรอบ ปลายแหลม ด้านบนมีรอยโดนตัดคล้ายขวานส้ัน เหมือนกับขวานกําป้ันที่เคยพบที่อําเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เข้าใจว่า น่าจะเป็นยุคเดียวกัน ยังพบเศษภาชนะดินเผาสีดําลายเชือกทาบ ถ้ําเขาหลัก ตําบลสิชล อําเภอสิชล พบเคร่ืองมือหินกะเทาะแบบสองหน้า ลักษณะเป็นขวานสั้น กะเทาะหยาบ ทําจากหินควอร์ตไซด์จํานวนหนึ่งช้ิน พบหม้อก้นกลมหน่ึงชิ้น หม้อก้นแบนสามช้ิน และ กระดูกสัตว์ประเภทลิงสองช้ิน ดังนั้น เมื่อมีการค้นพบ เครอื่ งมือหินกะเทาะในพน้ื ทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ทา่ ศาลา จึงคาดว่าท่าศาลานา่ จะมีมนุษย์ยุคหนิ เก่าอาศัยอยดู่ ว้ ย

ภาพเครื่องมอื หนิ เก่า พบในพน้ื ที่อาํ เภอชา้ งกลาง และ อาํ เภอสชิ ล จงั หวดั นครศรธี รรมราช เปน็ ขวานหนิ กะเทาะ 1.1.2 ยุคหินกลาง อายุ 6,000-10,000 ปี พบช้ินส่วนหม้อสามขาที่วัดป่าเรียน ตําบลตล่ิงชัน อาํ เภอท่าศาลา พบเครื่องมือหินที่ตําบลนบพิตํา อําเภอท่าศาลา (ปัจจุบันอําเภอนบพิตํา) สันนิษฐานว่า อายุอยใู่ นชว่ ง 5,000-6,500 ปี ยุคหินกลางมนษุ ยอ์ าศัยในถํ้าและเพิงผา มีวิธีปรุงอาหารโดยใช้ความร้อน จากไฟ รูจ้ กั หุงต้มโดยใชห้ ม้อดินเผา ใช้ไม้เป็นเช้ือเพลิง ภาชนะที่ใช้ประกอบอาหารโดยท่ัวไปคือหม้อดิน เผากน้ กลม หมอ้ สามขาซึ่งสามารถตั้งคร่อมกองไฟโดยไม่ต้องใช้เสาหรือก้อนเส้า นอกจากน้ียังมีภาชนะ ใส่อาหาร เช่น ภาชนะทรงพาน หม้อก้นต้ืน หม้อมีสัน ภาชนะประเภทชาม จอก ถ้วย เหยือก แท่นรอง หม้อ แท่นพิงถ้วยสําหรับรองรับถ้วยน้ําด่ืมที่อาจทําจากเขาสัตว์ นอกจากนี้ชาวถ้ําชาวเพิงผายังรู้จักก่อ กองไฟ ให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย รู้จักทําเคร่ืองนุ่งห่มจากหนังสัตว์หรือขนสัตว์ และทํา เครื่องนุ่งห่มท่ีทําจากเปลือกไม้ มีการขุดพบหินที่ใช้ทุบเปลือกไม้หลายช้ิน มีคราบยางไม้ติดอยู่กับหิน ดงั กลา่ ว แหล่งโบราณวัตถุท่ีคน้ พบ มีดังน้ี ถํ้าเขาช้าง เขาสาํ โรง ตําบลนาหลวงเสน อําเภอทุ่งสง พบเศษ ภาชนะดินเผาเน้ือหยาบเผาด้วยอุณหภูมิต่ํา มีทั้งผิวเรียบ ผิวลายเชือกทาบ ผิวลายกดทับ พบเศษหม้อ สามขา ถํ้าเขาโพรงเสือ (วัดเขาขุนพนม) ตําบลบ้านเกาะ อําเภอพรหมคีรี พบเศษภาชนะดินเผาเนื้อ หยาบ มที ้ังผวิ เรียบและลายเชอื กทาบ พบชิ้นส่วนหม้อสามขาและขวานหินขัด ถ้ําเทวดางวงช้าง ตําบล ลานสกา อําเภอลานสกา พบภาชนะดินเผาขัดผิวภายนอกเรียบมัน เน้ือค่อนข้างบาง พบภาชนะดินเผา ลายเชือกทาบรปู ทรงคล้ายขันนํา้ พบขวานหนิ ขัดแบบจะงอยปากนก เขาปูน วัดเขาปูน ตําบลพรหมโลก อําเภอพรหมคีรี พบเศษภาชนะดินเผาเน้ือหยาบ ลายกดทับ ลายเชือกทาบ ชิ้นส่วนหม้อสามขาบริเวณ ยอดเขา ถํ้าเขาหินตก ตําบลเสาธง อําเภอร่อนพิบูลย์ พบลูกปัดเปลือกหอย ลูกปัดทําจากกระดูก เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ หม้อสามขา ขวานหินขัด หินทุบเปลือกไม้ หุบเขาลานสกาในตําบล ลานสกา อําเภอลานสกา พบขวานหินเล็กรูปสี่เหลี่ยมคางหมู ขวานหินขัดมีบ่า เขาต่อ บ้านเขาแก้ว อําเภอลานสกา พบขวานหินขัดหรือระนาดหินหนาขัดเรียบ ถ้ําเขาพรง ตําบลทุ่งปรัง อําเภอสิชล พบขวานหินขัดไม่มีบ่ารูปสี่เหลี่ยมคางหมู ถํ้าทองพรรณรา ตําบลถํ้าพรรณรา อําเภอถํ้าพรรณรา

พบเศษดนิ เผาสแี ดงลายเชอื กทาบ ขวานหนิ ขัด ชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ถ้ําเขาแดง ตําบลนบพิตํา อําเภอ ทา่ ศาลา (ปัจจุบันเป็นอาํ เภอนบพิตาํ ) พบหม้อสามขาสภาพเกอื บสมบูรณ์ เปน็ ต้น ภาพหมอ้ สามขา โบราณวัตถยุ คุ หนิ กลางสภาพค่อนข้างดี พบทีถ่ ํ้าเขาแดง อําเภอนบพติ าํ จงั หวดั นครศรธรรมราช ภาพโบราณวตั ถถุ า้ํ โพรงเสือ เขาขนุ พนม อ.พรหมครี ี พบเศษภาชนะดินเผา พบเศษ ช้ินสว่ นหมอ้ สามขา และ ขวานหนิ ขดั

1.1.3 ยุคหินใหม่ อายุ 4,000-6,000 ปี แหล่งโบราณคดียุคหินน้ีมีอยู่ในถํ้าและเพิงผา ในขณะเดียวกนั มนุษยท์ ่ีเคยอาศัยตามถ้ําและเพงิ ผา เคลื่อนตัวลงมาอาศัยตามพื้นราบระหว่างภูเขาและ สันทราย แสดงว่าระดับนํ้าทะเลลดต่ําลงมากแล้ว มีโบราณวัตถุยุคหินใหม่พบท่ีท่าศาลาและใกล้เคียง เชน่ คลองกลาย ตําบลสระแก้ว อาํ เภอท่าศาลา ขุดพบขวานหินยาวหรือระนาดหินจํานวนหกช้ิน รูปร่าง ลักษณะเปน็ แผ่นสเ่ี หล่ียมผืนผ้า เชงิ เขาคา ดา้ นตะวันตกเฉียงเหนือเชิงเขาคา ตําบลเสาเภา อําเภอสิชล พบขวานหนิ ขัดรูปสี่เหลย่ี มคางหมู สชิ ล เขตอําเภอสชิ ล พบมีดทําจากหนิ ทรายสเี ทาลักษณะเป็นมีดด้าม งอ ส่วนท่ีเป็นด้ามตอนปลายโค้งขนานไปกับใบมีด ส่วนคมคอดเล็กกว่าด้าม มีสันร่องแบ่งส่วนคมกับ ส่วนดา้ มออกชดั เจน เหมอื นกับมีดมีด้ามจับ คลองเขาแก้ว ตําบลเขาแก้ว อําเภอลานสกา พบขวานหิน ขัดขนาดใหญโ่ ครงรา่ งห้าเหล่ียม มีคมแบบจะงอยปากนก บ้านในแหนบ ตําบลเขาแก้ว อําเภอลานสกา พบโกลนโครงร่างละเอียดของขวานหินขัดตกแต่งละเอียด ห้วยครกเบือ ตําบลนาดี อําเภอลานสกา พบขวานหินขัด ชุมชนใกล้วัดพระเพลง ตําบลนาสาร อําเภอพระพรหม พบขวานหินขัดขนาดกลาง รูปส่ีเหล่ียมคางหมูไม่มีบ่า คลองท่าเรือ ตําบลท่าเรือ อําเภอเมือง พบขวานหินขัด และ กําไลหิน วดั หัวมีนา ตําบลท่าเรอื อาํ เภอเมือง พบโกลนขวานหินขัด และ สะเกด็ หิน เปน็ ตน้ ภาพเครอื่ งมอื ยุคหนิ ใหม่ ขวานหนิ แบบมีบ่า และ ไมม่ ีบ่า พบในพื้นทจี่ ังหวดั นครศรีธรรมราช มอี ายุ 2,000-4,000 ปี จากโบราณวัตถุท่ีพบโดยเฉพาะในแหล่งโบราณคดียุคหินใหม่ แสดงถึงการกระจายตัวของการ ตั้งชุมชนบนพ้ืนราบเชิงเขา พ้ืนราบริมน้ํา พ้ืนราบแนวสันทราย โดยมีแม่น้ําลําคลองท่ีเกิดจากภูเขาทาง ตอนกลาง ไหลลงส่ทู ่ีราบท้ังด้านตะวันออก และ ด้านตะวันตก เป็นเส้นทางการเชื่อมโยง การเคล่ือนย้าย การกระจายตัวของกลุ่มชุมชนเกษตรกรรมต่อเนื่องมาจนย่างเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ กําหนดอายุชุมชน โบราณยคุ หินใหมใ่ นพืน้ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่ามีอายปุ ระมาณ 2,000-4,000 ปมี าแล้ว

ภาพเคร่ืองใชใ้ นยุคหนิ ใหม่ ภาพบนเป็นภาชนะดนิ เผาพบทอี่ ําเภอบางขัน ภาพล่างซ้ายภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ พบที่อาํ เภอบางขนั เช่นกนั สว่ นภาพลา่ งขวาเปน็ กาํ ไลหินพบทบี่ ้านท่าเรือ อาํ เภอเมอื ง จงั หวดั นครศรธี รรมราช อยู่ในยุค หนิ ใหม่เขน่ เดยี วกัน

เครือ่ งมอื หินขดั ขุดพบที่บา้ นของนายชม ริมคลองกลาย ตาํ บลสระแก้ว อําเภอท่าศาลา คล้ายกับ ระนาดท่ีทํามาจากหินหลายชิ้น แต่ละช้ินส้ันยาวไม่เท่ากัน เคาะจะมีเสียงสูงเสียงต่ําเหมือนเสียงดนตรี ยังพบเคร่ืองมือหินขัดรูปร่างคล้ายระนาดเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของวัดป่าเรียน ตําบลตล่ิงชัน อําเภอ ท่าศาลา ขุดพบขวานหินหลายชิ้นท้ังขวานหินมีบ่าและไม่มีบ่า แหล่งโบราณคดีวัดป่าเรียนมีโบราณวัตถุ ตั้งแต่ยุคหิน ยุคโลหะ ยุคศาสนาพราหมณ์ และ ยุคศาสนาพุทธ เป็นแหล่งโบราณคดีที่สําคัญมาก ยังไม่ มีการสํารวจศึกษาโดยละเอียด วัดป่าเรียนตั้งอยู่ระหว่างคลองคอกช้างกับคลองหวด สายน้ําเกิดจาก เทอื กเขานัน ไหลไปรวมกับคลองปากเจาแล้วไหลลงคลองกลาย ภาพเคร่ืองมือหนิ ขดั คล้ายระนาดหิน ขุดพบทีแ่ หลง่ โบราณคดีวดั ป่าเรียน ตาํ บลตลง่ิ ชัน อาํ เภอท่าศาลา ต้ังแสดงอยู่ ท่ีพิพธิ ภณั ฑ์วดั ป่าเรียน เจา้ อาวาสวดั ปา่ เรยี นสนั นษิ ฐานวา่ น่าจะเป็นเครอ่ื งมอื เกษตรอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ภาพมีดหินเฉือนเนื้อสัตว์ เคร่ืองมือมีดหินมีคมใช้เฉือนเน้ือสัตว์ เน้ือปลา เป็นเคร่ืองมือของมนุษย์ในสมัยหินใหม่ พบทว่ี ดั ปา่ เรียน ตาํ บลตล่ิงชนั อาํ เภอท่าศาลา ตงั้ แสดงอยู่ท่ีพิพธิ ภัณฑว์ ดั ปา่ เรยี น

1.2 ยุคโลหะ อายุ 2,500-4,000 ปี โลหะที่มนุษย์นํามาทําเป็นเคร่ืองมือคร้ังแรกเรียกว่าสําริด โลหะสําริดทําได้ โดยการหลอม ทองแดง กับ ตะกั่ว หรือ ทองแดง กับ ดีบุก เข้าด้วยกัน โดยใช้ความร้อนไม่มากนัก ไม่นานก็ค้นพบ วิธีถลุงเหล็ก การถลุงเหล็กต้องใช้ความร้อนมากกว่าการทําสําริด นับจากบัดนั้นเป็นต้นมา มนุษย์นําโลหะมาทํา เคร่ืองใช้ไม้สอยแทนที่เคร่ืองมือหิน เช่น นําโลหะมาทําเป็นมีด นํามาทําเป็นอาวุธ นํามาทําเคร่ืองมือการเกษตร และ นําโลหะมาทาํ รูปเคารพบูชา เช่น พระพุทธรูป (พุทธ) พระวิษณุ (พราหมณ์) เป็นต้น การตั้งถิ่นฐานช่วงท่ีสอง ของท่าศาลา (ช่วงแรกอยู่บนภูเขาอาศัยอยู่ในถํ้าและเพิงผา) เร่ิมต้นจากยุคหินใหม่มนุษย์ลงจากภูเขา มาอาศัย บนพ้ืนราบระหว่างเชิงเขาและสันทราย เข้าสู่ชุมชนกสิกรรมมีการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เครื่องมือโลหะมีผลต่อ พฒั นาการของชมุ ชนเกษตร ทําใหป้ ลกู ข้าวไดม้ ากกว่าเดมิ เน่อื งจากสนิมเหล็กทําให้เหล็กเสื่อมสภาพเร็วกว่าสนิม ท่ีเกิดกับสําริด จึงพบเห็นโบราณวัตถุที่ทําจากเหล็กน้อยมาก ส่วนใหญ่พบเครื่องมือท่ีทําจากสําริด มนุษย์เริ่มตั้ง ถ่ินฐานอย่างถาวร เลือกต้ังถ่ินฐานในภูมิประเทศที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก ชุมชนโบราณจึงมีอยู่ ตามท่ีราบลมุ่ ดา้ นหลังสนั ทราย โดยเฉพาะสองฝง่ั คลองในเขตอําเภอท่าศาลา ผู้คนรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บ้านเรือน สิ่งก่อสร้างทําจากวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น บ้านเรือนทําด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจาก พ้ืนปูไม้กระดาน วัสดุท่ี นํามาใช้ไม่มั่นคงแข็งแรงเสื่อมสลายได้ง่าย การคมนาคมการขนส่งอาศัยลําน้ําเป็นหลักโดยใช้เรือ ใช้แพ รวมทั้ง การเดินเท้า และ การใชส้ ัตว์เปน็ พาหนะเดนิ ทางไปมาหาสู่กับชุมชนอืน่ ๆ ภาพโบราณวัตถุยุคโลหะ ภาพแรกโลหะสําริดกลองมโหระทึกนําเข้าจากเมืองธันหัว ทางตอนใต้ของเวียดนาม พบท่ี คลองท่าทน บา้ นยวนเฒา่ ตําบลเทพราช อําเภอสิชล อีกภาพไมท่ ราบรายละเอยี ด อาจเป็นพานพ่มุ หรือ จานทรงสูง

ชุมชนในยคุ โลหะมกี ารพบกลองมโหระทกึ สําริดท่ีภาคใต้รวม 13 ใบ พบท่นี ครศรีธรรมราช 5 ใบ ดังน้ี พบที่ตาํ บลท่าเรือ อําเภอเมือง 1 ใบ พบที่อาํ เภอฉวาง 2 ใบ พบทตี่ ําบลท่าข้นึ อําเภอท่าศาลา 1 ใบ พบทตี่ ําบลเทพราช อาํ เภอสิชล 1 ใบ นอกจากน้ยี ังพบทชี่ ุมพร 3 ใบ พบท่ีสรุ าษฎร์ธานี 5 ใบ แสดงใหเ้ หน็ ถึงพัฒนาการด้านโลหะกรรม ทนี่ าํ มาใชใ้ นการประกอบพธิ ีกรรมตามความเชอ่ื ของชุมชน กลองมโหระทึก เปน็ วัตถทุ น่ี าํ เข้ามาจากชุมชนภายนอก เม่ือมีการค้าขายแลกเปล่ียนสินค้า มกี ารแลกเปล่ียนวฒั นธรรม ความเชอื่ กับชุมชนโพ้นทะเลทม่ี าจากอินเดีย จากเปอรเ์ ซีย จากอาหรับ จากจนี จากเจนละ จากจามปา จากเวียดนาม เป็นต้น กลองมโหระทกึ ทั้ง 13 ใบ ทําขึ้นช่วง พ.ศ.200-300 เป็นศิลปะแบบ ดองซอน นําเข้าจากเมือง ธนั หวั ตอนใต้ลุ่มแมน่ ํา้ แดง ประเทศเวียดนาม พบกลองมโหระทึกทคี่ ลองทา่ ทน เขา ยวนเฒา่ ต.เทพราช อ.สิชล หน้ากลองเสน้ ผ่าศูนย์กลาง 52 เซนติเมตร คลอง ท่าทน เป็นสายน้ําใหญ่ ไหลอย่ทู างทิศตะวันตก และ ทศิ เหนือของเขาคา สมัยโบราณคลองท่าทนเป็นสายน้าํ ทีส่ าํ คญั เป็นแหล่ง นา้ํ หล่อเลี้ยงศาสนสถานของพราหมณ์บนเขาคา บนสันทรายปากคลองทา่ ทนเปน็ ท่าเรือขนาดใหญ่ ทกุ วนั นีเ้ รียกวา่ บ้านต้นเหรยี ง เรอื จากเมืองอน่ื แล่นเข้าออกท่าเรอื แห่งนี้อยู่เสมอ จงึ พบโบราณวัตถุใน คลองท่าทนถ้าค้นหากนั จริงจงั คงพบโบราณวัตถุอีกมาก ทา่ ศาลา พบวัตถุคล้ายกลองมโหระทึกทสี่ วน มะพร้าวของนายไพศักดิ์ ยอ้ ยนวล ท่ปี ากน้ําคลองเราะ ยังมหี มอ้ ดิน โถนา้ํ เต้าจีนใส่เหล้า กําไล แผ่นทอง มดี หมอ วางอยู่ใกล้กัน นายไพศกั ด์ินาํ ไปเก็บไว้ท่วี ัดพระบรมธาตุ ต่อมามโหระทึกถกู นําไปเก็บไว้ที่ สงขลา โดยเจ้าหน้าไดม้ าสอบถามนายไพศักดถิ์ ึงรายละเอียดของสถานทแี่ ละการขดุ พบ ตอนที่ 2 ท่าศาลาชว่ งท่เี ป็นแคว้นอสิ ระบนคาบสมุทรมลายู ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรือ ยุคประวัติศาสตร์ กําหนดโดยใช้ตัวอักษรที่ขีดเขียนเป็นสัญลักษณ์ แทนภาษาพูด ยุคก่อนประวัติศาสตร์ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร อาจมีการวาดภาพเอาไว้บน ผนังถํ้าและเพิงผา แต่เปน็ เพยี งรูปวาดไมใ่ ชต่ ัวหนังสอื หรอื ตัวอักษร จึงไมถ่ อื วา่ เปน็ ยุคประวัตศิ าสตร์ ยุคประวัติศาสตร์มีการบันทึกเรื่องราวต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆ เอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น บันทึกเร่ืองราวเอาไว้โดยแกะสลักเป็นตัวอักษรลงบนหินเรียกว่าศิลาจารึก บันทึกไว้บนดินเหนียวนําดิน เหนียวไปเผาไฟจนกลายเปน็ ดินเผาเรียกว่าอักษรคูนิฟอร์ม (ตะวนั ออกกลาง) สามารถคงสภาพอยู่ได้เป็น เวลานานหลายพนั ปี หากบนั ทกึ ไว้บนแผ่นทองคําสามารถคงสภาพอย่ไู ด้นานหลายหม่ืนปี เนื่องจากแผ่น ทองคําไม่เป็นสนิม สําหรับหัวข้อท่าศาลาในช่วงท่ีเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอิสระบนคาบสมุทรมลายู แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ท่าศาลายุคก่อนอาณาจักรตาพรลิงค์ (พ.ศ.1-600) และ ท่าศาลายุคอาณาจักรตาม พรลงิ ค์ (พ.ศ.601-1820) มรี ายละเอียดดงั น้ี

ภาพศลิ าจารกึ วดั มเหยงณ์ พบที่วดั มเหยงณ์ บา้ นลุ่มโหนด ตําบลสระแกว้ อําเภอทา่ ศาลา เมอื่ พทุ ธศตวรรษที่ 12 จดุ เรม่ิ ตน้ ของยุคประวตั ิศาสตรบ์ นคาบสมทุ รมลายู ตัวอกั ษรปลั วะ ภาษาสนั สกฤต ผู้จารกึ นา่ จะเปน็ ชาวอนิ เดยี แท้ เพราะตวั อกั ษรทเ่ี กะ สลกั ลงบนกอ้ นหินสวยงามมาก ศลิ าจารึกหลกั นีต้ งั้ แสดงทพี่ พิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร ท่าศาลายคุ ก่อนอาณาจกั รตามพรลิงค์ (พุทธศตวรรษที่ 1-6 พ.ศ.1-600) เวลานี้ยังอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ มนุษยล์ งจากภเู ขามาอาศยั อยู่บนพืน้ ราบกว้าง ระหวา่ งเทอื กเขา หลวงกับสันทรายของชายฝ่งั อ่าวไทย ประกอบอาชีพทาํ กสิกรรมเพาะปลูกเล้ียงสัตว์ ประมาณ ต้นพทุ ธศตวรรษ ชาวอนิ เดียแลน่ เรือมาเผยแผ่ศาสนา มาแสวงหาทรพั ย์สมบัตใิ นดินแดนทีพ่ วกเขาเรียกกนั ว่า สวุ รรณภมู ิ ชาว อนิ เดียยงั แลน่ เรือต่อไปยงั โตนเลสาบ (ทะเลสาบ) ที่อุดมสมบรู ณ์บริเวณประเทศกัมพูชาในปจั จบุ ันน้ี ชาวอินเดีย เดินเรอื มาถึงฝง่ั ตะวันตกแล้วข้นึ บกที่ ตักโกลา เดินทางข้ามคาบสมุทรถงึ ฝงั่ ตะวันออก ลงเรือเดนิ ทางต่อไปยงั ประเทศกัมพชู า การขา้ มฟากจากฝงั่ ตะวันตกไปฝง่ั ตะวนั ออกเรียกว่า มลายู ด้วยเหตุนคี้ าบสมทุ รแห่งน้ีจึงเรียกกัน วา่ คาบสมุทรมลายู พทุ ธศตวรรษที่ 3 พราหมณช์ าวอินเดยี กับคนพื้นเมืองกัมพูชารว่ มกันก่อตั้ง อาณาจกั รฟูนัน ขึน้ ในดนิ แดนของประเทศกมั พูชา อาณาจกั รฟนู นั มีอํานาจครอบคลุมเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ท้งั หมด กลา่ ว เฉพาะคาบสมทุ รมลายู ชาวอนิ เดียท่ีเดินทางเข้ามามีอารยธรรมเหนือกว่าชาวพ้ืนเมือง ต้ังตนเปน็ ผนู้ ําเกดิ เปน็ ชุมชนขนาดย่อม กระจัดกระจายอยู่บนคาบสมุทรมลายู การเกิดชมุ ชนขนาดย่อมดงั กลา่ ว ในขณะทผ่ี ู้คนของ ชุมชนไมม่ ีความรเู้ ร่อื งสขุ ภาพอนามยั เป็นสาเหตุสําคญั ที่ทาํ ให้เกิดโรคระบาด จนต้องอพยพโยกย้ายถ่ินท่ีอยู่อาศัย กันเสมอ ทกุ วนั นีม้ กี ารคน้ พบชุมชนโบราณหลายแหง่ แต่ไม่ไดร้ ับการสนใจจากทางราชการ ถกู ชาวบ้านทีข่ าด ความรู้ความเข้าใจ บกุ รุกเข้ายึดครองจับจองเป็นเจ้าของนํามาใช้ทํานาทําสวน หลักฐานทีม่ อี ยใู่ นชมุ ชนโบราณจึง เสยี หายสูญหายไปเป็นจาํ นวนมาก อําเภอท่าศาลาเป็นสว่ นหนงึ่ ของคาบสมทุ รมลายู มีลกั ษณะการเกิดชมุ ชน โบราณในแบบเดียวกนั ชุมชนท่าศาลาและชุมชนอ่ืนในละแวกนี้ นิยมสร้างบา้ นที่อย่อู าศัยใกล้กบั แม่นํ้าลําคลอง เชน่ ชุมชนลมุ่ น้ําคลองกลายอันเป็นสายนํ้าขนาดใหญ่ ชุมชนลุ่มนาํ้ คลองท่าเปรง (คลองเตาหม้อ) ชุมชนลมุ่ น้ํา คลองทา่ พุด (คลองทา่ พดุ สายเก่า) ชมุ ชนล่มุ น้ําคลองตูน (คลองยายปุด คลองสิงห)์ ชมุ ชนล่มุ นา้ํ คลองเกยี บ (คลองลุ่มเข้) ชมุ ชนลมุ่ นํา้ คลองชุมขลิง (คลองมะยิง) ชุมชนลุ่มนา้ํ คลองลาว (คลองโตะ๊ เนง็ ) และ ชุมชนลุม่ น้าํ คลองอ้ายเขยี ว (คลองอ้ายคู คลองหญ้าปล้อง คลองจนั พอ คลองอู่ตะเภา) เปน็ ตน้ มีชุมชนลุ่มนาํ้ ทางทศิ เหนือของ

ทา่ ศาลาในอําเภอสชิ ล คือ ชุมชนลมุ่ น้ําคลองท่าหนิ ชมุ ชนลุ่มนํา้ คลองทา่ ทน ชุมชนลุ่มนํ้าคลองท่าเชย่ี ว ชมุ ชนลมุ่ น้ําคลองท่าควาย ชุมชนลมุ่ น้าํ คลองทา่ เรอื รี ทิศใตข้ องท่าศาลามีชุมชนลมุ่ นํ้าในอําเภอพรหมครี ี เช่น ชุมชนลมุ่ นํ้า คลองนอกทา่ ชุมชนลุ่มนํ้าคลองปลายอวน (คลองโคกทึง คลองโรงฆอ้ ง) ชุมชนลุ่มน้าํ ในอําเภอเมอื ง (ต้นนํ้ามา จากอาํ เภอลานสกา) เชน่ ชุมชนลุ่มน้ําคลองทา่ ดี ชุมชนลมุ่ นาํ้ คลองทา่ เรอื (คลองหวั ตรุด) เป็นต้น อยา่ งไรก็ตาม ช่วงเวลานย้ี งั ไมม่ สี ง่ิ กอ่ สรา้ งขนาดใหญท่ เ่ี ปน็ บา้ นเมือง โบสถพ์ ราหมณ์ หรือ วัดวาอาราม แหละทีส่ าํ คัญต้อง เข้าใจด้วยวา่ เวลานั้นชมุ ชนแถบลุ่มน้ําต่างๆ ยังเปน็ อันหนึ่งอันเดยี วกัน ไม่ไดแ้ บ่งเปน็ อําเภอสชิ ล อําเภอท่า ศาลา อําเภอนบพิตํา อาํ เภอพรหมครี ี อาํ เภอลานสกา อําเภอรอ่ นพิบลู ย์ อาํ เภอพระพรหม อําเภอเมอื ง อย่างทีเ่ หน็ ในปัจจบุ นั การเขา้ มาของชาวอินเดยี นําความเช่อื ทางศาสนาเขา้ มาดว้ ย ศาสนาพราหมณ์มีทงั้ ไศวนิกาย และ ไวษณพนิกาย ศาสนาพทุ ธมีท้ังหนิ ยาน และ มหายาน ชาวอินเดยี ท่ีเข้ามามที ั้งนักแสวงโชคลาภ โจรผูร้ า้ ย ขุนนาง นักบวช และ เช้ือพระวงศ์ของกษตั รยิ ์ อีกหลายร้อยปีต่อมาเกดิ เป็นแว่นแคว้นอิสระเล็กๆ มากมายหลายแว่นแควน้ จากนน้ั มีการรวบรวมแคว้นต่างๆ เขา้ ด้วยกนั พัฒนาเปน็ อาณาจักรทม่ี กี ษัตรยิ ์ปกครอง อาณาจกั รกว้างใหญข่ ึ้นมี เขตแดนชัดเจนขึ้น มีส่งิ ก่อสรา้ งของศาสนาพราหมณ์ และ ศาสนาพทุ ธ สร้างอยบู่ นเนนิ เขาบ้าง สรา้ งอยู่บนพ้ืน ราบบ้าง มีอยู่มากมายกระจายไปทวั่ ทงั้ อาํ เภอท่าศาลา อําเภอสิชล และ อําเภออ่ืนๆ พบเห็นได้โดยทั่วไป บนั ทกึ ความเขา้ ใจ ตน้ พทุ ธกาลชาวอินเดียเดนิ ทางมายังหมเู่ กาะอนิ โดนีเซีย คาบสมุทรมลายู และ โตนเลสาบของเขมร บนคาบสมุทรมลายชู าวอนิ เดียสรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั ทางฝ่ังตะวันออกของคาบสมทุ ร ปจั จุบนั อย่ใู นท้องทจี่ ังหวัดนครศรธี รรมราช และ จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ช่วงแรก ต้นพุทธศตวรรษชาว อินเดียเผยแพรศ่ าสนาพราหมณ์ ชว่ งทส่ี อง พุทธศตวรรษท่ี 2 เปน็ ต้นมา พระเจ้าอโศกมหาราชแหง่ อนิ เดียเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายหนิ ยานมายังสุวรรณภมู ิ ศาสนาพทุ ธแกะสลักหินเปน็ กงลอ้ พระธรรม และ กวางหมอบ เป็นสญั ลกั ษณ์ สัญลักษณ์น้ีพบเหน็ ไดท้ างภาคกลางของไทย แต่ไม่พบบนคาบสมุทร มลายู ต่อมาศาสนาพุทธนกิ ายหินยานใช้ พระพุทธรปู เปน็ สัญลักษณ์ เผยแพรศ่ าสนาอยู่บนคาบสมทุ ร มลายู มาถงึ ยคุ ของศาสนาพุทธนกิ ายมหายาน ใชพ้ ระอวโลกิเตศาวร หรือ พระศรีอารียเมตไตรย์ เปน็ สัญลกั ษณ์ เผยแพร่ศาสนาอยู่บนคาบสมทุ รมลายเู ช่นเดยี วกัน พบเห็นทตี่ ุมปงั อําเภอทา่ ศาลา อาณาจักรตามพรลงิ คย์ คุ ท่ี 1 (พุทธศตวรรษที่ 7-13 พ.ศ. 601 ถงึ พ.ศ.1300) อาณาจักรตามพรลิงค์ปรากฏให้เหน็ เปน็ ครัง้ แรกเมอ่ื ตน้ พุทธศตวรรษที่ 7 บนั ทึก คัมภีรม์ หานิ ทเทศติสสเมตเตยยสูตร อนั เปน็ วรรณคดีอินเดียโบราณ บันทึกเป็นภาษาบาลี เมอ่ื พุทธศตวรรษที่ 8 กลา่ วถงึ การเดนิ ทางของนักเผชญิ โชคเพื่อแสวงหาโชคลาภ แสวงหาความร่ํารวยในดนิ แดนตา่ งๆ ชอื่ เมอื ง ที่ปรากฏอยใู่ นคมั ภีร์มหานิทเทศ เปน็ เมืองท่าในภูมภิ าคท่ีต้ังอยู่บนเสน้ ทางการคา้ และการเดินเรือ เช่น เมืองท่าในอินเดีย เมอื งทา่ อเล็กซานเดรีย เมืองท่าในศรีลังกา เมอื งท่าในพม่า เมอื งท่าในชวา และ เมอื ง ท่าบนคาบสมุทรมลายู เมืองท่าเหล่านม้ี อี ยเู่ มอื งหนง่ึ เรียก กะมะลิง หรอื ตะมะลิง เมอื งกะมะลิง ท่ี กล่าวนี้ หมายถึงเมืองตามพรลิงค์ เมอื งตามพรลงิ ค์จึงเปน็ เมอื งท่าที่สําคัญบนคาบสมุทรมลายูตั้งแต่ ศตวรรษที่ 7 บันทึกจากคมั ภีรม์ หานิทเทศติสสเมตเตยยสูตร บนั ทึกไวช้ ่วงที่เป็นอาณาจักรตามพรลงิ ค์ยุค

ที่ 1 อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ในยคุ นี้ต้งั อยูบ่ รเิ วณ อาํ เภอสชิ ล และ อาํ เภอทา่ ศาลา มศี นู ย์กลางอยทู่ ี่ เขาคา พระราชวงั ของอาณาจกั รตามพรลงิ ค์นา่ จะอยบู่ ริเวณ วัดสธุ รรมาราม (สระใหญ่) ทางทิศ ตะวันตกเฉยี งเหนือของเขาคา บ้านเรือนของชาวเมอื งตามพรลงิ คก์ ระจายไปทวั่ ภมู ิภาค ปจั จบุ ันเหลือ ซากโบราณสถานโบราณวัตถุอยู่ในตําบลโมคลาน ตาํ บลดอนตะโก ตําบลท่าศาลา ตาํ บลไทยบุรี ตําบล ท่าขนึ้ ตาํ บลสระแก้ว ตําบลตลง่ิ ชัน ตาํ บลกลาย ของอาํ เภอทา่ ศาลา ตําบลนาเหรง ของอาํ เภอนบพติ ํา ตําบลฉลอง ตาํ บลเสาเภา ตําบลเทพราช ตําบลสิชล ตําบลทงุ่ ปรงั ตําบลเขาน้อย ของอาํ เภอสิชล ส่วน ทา่ เรือใหญ่ของอาณาจกั รตามพรลิงค์ควรจะอยทู่ ี่ปากน้ํา คลองท่าทน ตรงบริเวณ บ้านตน้ เหรียง ยังมี ทา่ เรอื อ่ืนๆ เช่น ทา่ เรือปากน้าํ คลองทา่ หิน สองฝง่ั คลองท่าหินมีศาสนสถานและบ้านเรอื นของชาวเมอื ง ตามพรลิงค์อยอู่ าศัยกนั หนาแนน่ ปัจจบุ ันพื้นทบี่ ริเวณน้เี ปน็ แหล่งโบราณคดีที่สําคญั มาก แต่ขาดการเอา ใจใสด่ ูแลจากรฐั และหนว่ ยงานท่เี ก่ยี วขอ้ ง ยงั มีท่าเรือที่ปากนํ้าคลองกลาย ท่าเรอื ปากคลองกลายก็มี ความสาํ คัญมากเช่นเดยี วกัน มีศาสนสถานและบ้านเรือนของชาวเมอื งตามพรลิงค์อยู่อาศัยกันหนาแน่น ท้งั ทางฝั่งสระแกว้ (ฝั่งขวา) และ ฝั่งกลาย (ฝั่งซ้าย) ท่าเรือปากนา้ํ คลองท่าเปรง หรือ เรยี กวา่ ปากคลอง เตาหม้อ ขุดพบส่งิ ของโบราณมากมาย ท่าเรือปากน้ําคลองท่าสูง ริมคลองท่าสูงในท่ดี ินของผูใ้ หญ่ อาภรณ์ บุญญวงศ์ ขดุ พบดาบโบราณ สรอ้ ยทองคํา ชิ้นสว่ นกระดกู มนุษย์ (ทรพั ย์สมบตั ทิ ี่ขดุ พบถกู ชาวบา้ นถือครองเปน็ เจา้ ของ) ท่าเรือปากคลองชุมขลิง ท่าเรือปากคลองในเขยี ว อู่ตะเภาเปน็ ท่าเรือ สาํ คัญของศาสนาพราหมณ์ เป็นท่าเรือของชมุ ชนโบราณโมคลาน ขุดพบเหรยี ญเงินฟนู ัน 150 เหรียญ เปน็ ตน้ ตามท่าเรือของปากนา้ํ ดงั กลา่ ว มักขดุ พบโบราณวัตถุเป็นจาํ นวนมาก เช่น ซากเรือเดินทะเล โอ่ง ไห หมอ้ จาน ชาม เหรียญเงนิ เหรยี ญทอง และ มีการขดุ พบมโหระทึกสําริดวัฒนธรรมดองซอนใน ประเทศเวียดนาม พบท่ีคลองท่าทน บ้านเขายวนเฒ่า ตําบลเทพราช อาํ เภอสิชล เป็นต้น เมอ่ื กล่าวถงึ อาณาจกั รตามพรลิงค์ มีหลักฐานบอกเล่าถึงอาณาจักรแห่งนี้อยู่มากมาย ทง้ั ใน บนั ทกึ ของอินเดีย จนี อาหรับ ทกุ คนยอมรบั ว่ามีอาณาจักรนีอ้ ยทู่ ี่นครศรีธรรมราช แตน่ กั ประวตั ิศาสตร์ และนักโบราณคดี กลับหลกี เลยี่ งทจ่ี ะบอกว่าอาณาจกั รตามพรลงิ คต์ ง้ั อยู่ทีใ่ ด มีบางคนตั้งสมมุติฐานว่า อาณาจกั รตามพรลิงค์นา่ จะตง้ั อยู่ท่เี ดียวกับเมืองพระเวียง หรอื เมืองตามพรลิงคน์ ่าจะตั้งอยทู่ ี่เดยี วกับ เมืองนครศรธี รรมราช อย่างไรก็ตามมีความจรงิ อยอู่ ยา่ งหนึง่ คือ ชือ่ ของอาณาจกั รตามพรลิงคม์ ีความ เกย่ี วขอ้ งสัมพันธก์ บั ศาสนาพราหมณ์ แต่หลกั ฐานท่ีมอี ยใู่ นเมืองพระเวียง และ หลกั ฐานทม่ี ีอยใู่ น เมืองนครศรธี รรมราช ไม่พบโบราณสถานของพราหมณข์ นาดใหญ่อยเู่ ลย อาณาเขตเมอื งพระเวยี งทศิ ใต้ จดคลองคพู าย ทิศเหนือจดคลองสวนหลวง และ ขยายไปถึงคลองป่าเหล้า เมอื งพระเวียงมแี ตว่ ดั วา อารามของศาสนาพทุ ธ เชน่ วัดสวนหลวงตะวันออก วัดสวนหลวงตะวันตก วัดบ่อโพง วดั เพชรจริก ตะวันออก วัดเพชรจริกตะวันตก วัดพระเวยี ง วัดกุฏิ วัดพระเสดจ็ นอกเมืองทางเหนอื ก็มีวัดชายนา วัด ท้าวโคตร วัดโคกธาตุ เปน็ ต้น ขณะที่อาณาเขตเมอื งนครศรธี รรมราชทิศใตจ้ ดคลองป่าเหลา้ ทิศเหนือจด คลองหน้าเมือง ไมพ่ บไมเ่ หน็ โบราณสถานของพราหมณ์ท่มี ขี นาดใหญ่อยู่ในตัวเมือง แม้แต่การประกอบ พิธีกรรมของพราหมณ์เมอื งนครศรธี รรมราช ก็ใชว้ ัดพระบรมธาตุเป็นสถานท่ปี ระกอบพธิ ีกรรม เน่ืองจาก

ไมม่ ีโบสถ์พราหมณ์ใหใ้ ช้น่ันเอง โบราณสถานทมี่ ีอยูก่ เ็ ป็นวดั วาอารามของศาสนาพทุ ธ เชน่ วัดพระบรม ธาตุ วดั หนา้ พระบรมธาตุ วัดหนา้ พระลาน วัดสระเรียง วัดพระนคร วัดเสมาเมือง วัดเสมาชยั วัดสวน ปา่ น เปน็ ต้น โบราณสถานของพราหมณ์ทีม่ อี ยูก่ ม็ ีขนาดเลก็ เช่น หอพระอิศวร หอพระนารายณ์ และ เสาชิงชา้ ส่งิ กอ่ สรา้ งดงั กลา่ วถูกสร้างขน้ึ มาในชัน้ หลงั อกี ทั้งโบราณวัตถทุ ่เี ป็นรูปเคารพของศาสนา พราหมณ์ เช่น พระวษิ ณุ พระศิวะ ศิวลึงค์ ฐานโยนโิ ทรณะ รวมทง้ั ศิลาจารกึ หลักตา่ งๆ สิ่งดังกล่าว เหลา่ นส้ี ามารถเคล่ือนยา้ ยไปมาได้ โบราณวัตถทุ ่ีมีอยูใ่ นเมืองพระเวยี ง ท่ีมีอยใู่ นเมืองนครศรีธรรมราช ถกู เคลื่อนย้ายมาจากท่าศาลา สิชล นบพิตาํ พรหมคีรี เปน็ ตน้ ทก่ี ล่าววา่ อาณาจักรตามพรลิงคย์ ุคแรก ตงั้ อยทู่ เี่ มืองพระเวียง หรือ อาณาจักรตามพรลิงค์ยุคแรกต้ังอยทู่ ่เี มอื งนครศรธี รรมราช จึงไม่เป็นความ ความจริง แตม่ หี ลักฐานบ่งบอกอยา่ งชัดเจนในศิลาจารึกวา่ เมืองพระเวียง และ เมืองนครศรธี รรมราชเป็น ศูนย์กลางของอาณาจกั รตามพรลงิ คเ์ ช่นเดียวกัน แตเ่ ป็นในชว่ งหลงั เม่อื อาณาจักรตามพรลิงค์หันมานับ ถอื ศาสนาพทุ ธแล้ว โดยเป็นศนู ย์กลางอาณาจกั รตามพรลงิ คใ์ นยุคท่ี 2 และ ยุคท่ี 3 ตามลาํ ดบั อาณาจกั รตามพรลิงคต์ ้องอยู่คูก่ ับศาสนาพราหมณ์ ชื่อของอาณาจักรมาจากส่งิ ที่สาํ คัญ ที่สุดของศาสนาพราหมณ์ ดังนั้น ที่ตงั้ ของอาณาจักรตามพรลิงคต์ อ้ งมสี ง่ิ ก่อสรา้ งของศาสนาพราหมณ์ ในขณะที่แผ่นดินของอําเภอสิชล และ แผ่นดนิ ของอาํ เภอท่าศาลา เตม็ ไปด้วยโบราณสถานโบราณวัตถุ ของศาสนาพราหมณ์ ดังน้นั อาณาจักรตามพรลิงคจ์ ึงเร่มิ ต้นจากอําเภอสชิ ล และ อาํ เภอทา่ ศาลา ท่กี ลา่ วมานี้อาจเป็นคําตอบของคําถามที่ว่า โบราณสถานของศาสนาพราหมณ์ในอาํ เภอสิชล และ ในอาํ เภอท่าศาลา เกิดขนึ้ มาไดอ้ ย่างไร ใครเป็นคนสร้าง สร้างข้นึ มาเพื่ออะไร ทาํ ไม่ต้องสร้าง เสียใหญโ่ ตมโหฬารอย่างนี้ โบราณสถานโบราณวัตถุทม่ี อี ยูใ่ นพน้ื ทีข่ องอําเภอสชิ ล และ ในพน้ื ท่ีของ อาํ เภอท่าศาลา จะได้รวบรวมแลว้ นาํ มาบันทึกไวใ้ นเอกสารฉบบั น้ีโดยละเอียดต่อไป คําว่า ตามพรลิงค์ อันเป็นชอ่ื ของอาณาจกั รตามพรลิงคน์ ัน้ เป็นคาํ ผสมมาจากคาํ วา่ ตามพ แปลว่า ทอง หรือ ทองแดง กับคําวา่ ลงิ ค์ หรอื ลึงค์ คอื อวัยวะเพศชาย หมายถงึ ลิงค์ของพระศวิ ะ หรอื ศิวลงึ ค์ ตั้งอยบู่ น ฐานโยนโิ ทรณะ แทนอวยั วะเพศหญิงของพระอมุ า ใชใ้ นการประกอบพิธีกรรม สาํ คญั ของศาสนาพราหมณ์ ชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 7-13 ถือเป็น ยคุ ทองของสชิ ล-ทา่ ศาลา เพราะมี สิง่ กอ่ สรา้ งของศาสนาพราหมณเ์ กิดขน้ึ เปน็ อนั มาก รวมทง้ั บา้ นเรือนทอ่ี ย่อู าศัยของชาวเมอื ง กล่าวไดว้ ่า สชิ ล-ท่าศาลา มสี ่ิงกอ่ สร้างของศาสนาพราหมณ์มากท่ีสุด มากยิ่งกว่าพน้ื ทีใ่ ดบนคาบสมทุ รมลายู พ้นื ท่อี าํ เภอท่าศาลาและอําเภอสชิ ลนบั เน่ืองเปน็ พน้ื ท่ีเดียวกัน หากเป็นแคว้นก็ถือว่าอยใู่ นแคว้นเดียวกนั โบราณสถานโบราณวตั ถุทีค่ ้นพบอยู่ในแหล่งเดยี วกนั ไม่สามารถแบ่งเปน็ สว่ นๆ ได้ ดงั น้นั การสํารวจ ค้นหาศึกษาโบราณสถานโบราณวตั ถุ ทม่ี ปี รากฏในทุกอําเภอตอ้ งทาํ ไปพรอ้ มกนั เพราะเกดิ ในยุคเดียวกัน นายคงเดช ประพัฒน์ทอง อดีตนักโบราณคดีอาวุโสทา่ นหนงึ่ เรียกพน้ื ที่ อาํ เภอสิชล และ อําเภอทา่ ศาลา ท่ีพบโบราณสถานโบราณวัตถุของศาสนาพราหมณ์เปน็ จํานวนมากว่า ไศวภมู มณฑล แปลว่า มณฑลสถานแหง่ พระศิวะ โบราณสถานโบราณวตั ถุท่ีมีอยูม่ ากมายนี้เอง นกั โบราณคดหี ลาย ทา่ นลงความเหน็ ว่า สชิ ล-ท่าศาลา คือศูนย์กลางของ อาณาจกั รตามพรลิงค์ โบราณสถานเขาคาเป็น สถานที่สาํ คญั ท่สี ุดของอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ เพราะมีกอ้ นหินลักษณะคล้ายศิวลึงคอ์ ยู่บนเนนิ เขาด้าน

ทศิ เหนือ แทง่ หนิ ธรรมชาติท่ีตง้ั เด่นเป็นสงา่ อยู่บนฐานหินนี้ จะต้องเป็นสญั ลักษณส์ ูงสดุ ทางศาสนา พราหมณ์ ซึ่งจะเป็นอะไรอย่างอืน่ ไปไมไ่ ดน้ อกจาก ศิวลึงค์ บางท่านเรยี กศวิ ลงึ ค์น้วี า่ ลงิ คบรรพต แทง่ หินโบราณด้านทิศเหนือของเขาคาเข้าขา่ ย ลิงคบรรพต เป็นการเลือกชัยภูมิทม่ี คี วามเหมาะสมกบั คติ ความเชอื่ ทางศาสนา เกิดบูรณาการในการสร้างบ้านเมอื งทผี่ กู พนั อยกู่ ับภเู ขาศักด์สิ ิทธ์ิ บนภูเขามสี งิ่ ที่ พระศวิ ะทรงประทานมาให้ เปน็ ลงึ คท์ ่เี กิดขน้ึ เองตามธรรมชาตเิ รยี กว่า สวยัมภลู ึงค์ ถา้ หาก สวยัมภู ลงึ ค์ เกิดการแตกหักต้องเอาทองหรอื ทองแดงไปซ่อม นอ้ี าจเปน็ ทม่ี าของคําว่า ตามพรลงิ ค์ ลงิ คบรรพต เปน็ ศาสนสถานพราหมณ์แห่งแรกทสี่ ร้างบนเขาคา มลี กั ษณะเป็นเทวสถานกลางแจง้ ไม่มีตวั อาคาร ครอบคลุม สร้างกลมกลืนอยกู่ บั ธรรมชาติ (ปจั จบุ นั ยงั ไม่มกี ารขุดแตง่ ) จากน้นั ก็มีการสร้างเทวสถาน เพม่ิ เติมบนเนนิ เขาทางดา้ นทิศใต้ อาจารย์ก่องแก้ว วีระประจกั ษ์ ผู้เชย่ี วชาญพเิ ศษภาษาโบราณ กรม ศลิ ปากร ให้ขอ้ สงั เกตเกีย่ วกับการอธิบายว่า สิง่ ใดคือ ลิงคบรรพต โดยดูทอี่ งค์ประกอบแวดล้อมของ สถานทแี่ หง่ น้ัน ถ้ามีองค์ประกอบแวดล้อมบง่ บอกโดยชัดเจนว่าส่ิงนั้นสร้างขึน้ หรอื ปรับใช้ เพ่อื อทุ ิศแด่ พระศวิ ะ การสถาปนาศวิ ลึงค์ท่มี อี ยใู่ นธรรมชาติบนยอดเขา ถอื ว่าสงิ่ น่นั คือ ลงิ คบรรพต การที่มีโขดหิน ในธรรมชาตโิ ผล่พ้นดนิ ขึ้นมาทาํ มมุ เอยี ง 70-80 องศา สูง 2 เมตรเศษ หนิ กอ้ นนีม้ รี อ่ งรอยการกะเทาะที่ ขอบสว่ นบน ทําใหม้ ลี กั ษณะคล้ายเส้นเอน็ ของหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายเรยี กว่า เสน้ พรหมสตู ร สลักเป็นเสน้ ดงิ่ บนสว่ นหนา้ แล้วลากลงมาทางซา้ ยและทางขวา จากนนั้ กล็ ากให้ไปพบกนั ท่ีด้านหลัง เรียกวา่ เสน้ ปารศวสูตร แมศ้ ิวลึงค์จากแท่งหินธรรมชาติแท่งน้ี จะมเี ส้นพรหมสตู รและปารศวสตู รไม่ ชดั เจน ไม่เหมอื นกบั ศิวลงึ ค์ที่มนษุ ยส์ กัดข้นึ มาจากหิน แต่องค์ประกอบของศาสนสถานแหง่ นี้ บง่ ชี้วา่ แท่งหนิ น้ีไม่ธรรมดา แต่เปน็ ศวิ ลึงคส์ ญั ลักษณ์แทนองคพ์ ระศิวะ ดงั นัน้ ชื่อของ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ นา่ จะไดม้ าจาก ศวิ ลงึ ค์ ท่ีสถติ อย่บู นเนนิ เขาด้านทิศเหนือของโบราณสถานเขาคา หรือ อาจไดม้ าจาก ศวิ ลงึ ค์ทองคํา จํานวน 4 องคท์ ่ขี ุดพบในถํ้าเขาพลีเมือง ตาํ บลสชิ ล อําเภอสิชล เมอื่ เร็วๆ นี้ จากข้อความที่วา่ ตั้งดินต้ังฟา้ ตง้ั หญ้าเข็ดมอน โมคลานต้งั กอ่ น เมอื งนครตง้ั หลัง เบอื้ ง หน้าพระยัง เบือ้ งหลังพระภูมี ต้นศรีมหาโพธิ ห้าโบสถห์ กวหิ าร เจ็ดทวารแปดเจดีย์ อนั เปน็ ลาย แทงบอกแหล่งสมบตั ิของวัดโมคลาน โมคลานต้ังก่อน เมืองนครต้ังหลัง บอกให้รูว้ ่าแผน่ ดินท่าศาลา ได้รวมตวั เป็นแว่นแควน้ อยา่ งชดั เจน บา้ นเมอื งมีความเจรญิ รงุ่ เรอื งมานานแล้ว เมืองนครศรธี รรมราชเพิ่ง จะมาสรา้ งกันทีหลงั ดงั น้ัน สมมุติฐานท่วี ่า สิชล-ทา่ ศาลา เปน็ ศนู ย์กลางของ อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ จากโบราณสถานและโบราณวัตถุที่พบชดั เจนว่าอาณาจักรตามพรลงิ ค์ ตงั้ อยทู่ ่ีอาํ เภอสชิ ลและอําเภอท่า ศาลา นอกจากน้ียังมีพืน้ ทีใ่ นอําเภอใกลเ้ คยี ง คอื อําเภอนบพติ ํา อําเภอพรหมคีรี อําเภอลานสกา อําเภอ พระพรหม อําเภอร่อนพบิ ลู ย์ อําเภอจุฬาภรณ์ และ อําเภอเมอื ง ในแต่ละพ้นื ท่ีมโี บราณสถานโบราณวัตถุ อีกเป็นจํานวนมาก อาณาเขตของเมอื งตามพรลงิ ค์นับเน่ืองจากหุบเขาชอ่ งคอยในเขตอําเภอจุฬาภรณ์ ไลข่ น้ึ ไปทางทิศเหนือถงึ คลองเหลงในเขตอาํ เภอสิชล อาณาบริเวณเมืองตามพรลิงค์กวา้ งขวางใหญ่โต มากโดยไม่มีกําแพงลอ้ มรอบ เขตอิทธพิ ลของอาณาจักรตามพรลงิ คค์ รอบคลุมคาบสมุทรมลายูทัง้ หมด ยงั มีชุมชนพราหมณข์ นาดใหญท่ ไ่ี ชยา กษัตริย์ปกครองอาณาจกั รตามพรลงิ ค์เรยี กว่า ราชวงศไ์ ศเลนทร์

ราชวงศ์ไศเลนทรเ์ ป็นราชวงศท์ ่ยี ิ่งใหญม่ าก ปกครองท่ีชวา สมุ าตรา คาบสมุทรมลายู อาณาจักรเจนละ อาณาจกั รขอม อาณาจกั รจามปา ราชวงศ์ไศเลนทรป์ กครองครอบคลมุ ทว่ั เอเชียอาคเนย์ รูปแบบ ศิลปวัฒนธรรมการปกครองของ ราชวงศไ์ ศเลนทร์ ไม่มศี ูนย์กลางควบคุมอยทู่ เ่ี มืองใดเมอื งหน่งึ แต่เป็น รปู แบบทางศลิ ปวฒั นธรรมของกลุ่มบา้ นเมืองท่ีอยรู่ วมกัน มรี ูปแบบศิลปวัฒนธรรมเดียวกนั มีถนิ่ กาํ เนดิ มาจากอนิ เดยี ใตเ้ หมอื นกนั แว่นแควน้ เหล่าน้ีมีความสัมพันธเ์ กีย่ วข้องกันทางเศรษฐกจิ การเมืองและ สงั คม อยู่รวมกันเปน็ สหพนั ธรัฐโดยมีศูนย์อาํ นาจตง้ั อยู่ในรฐั ทเ่ี ขม้ แข็งที่สดุ ศูนย์อาํ นาจสามารถ เคล่ือนยา้ ยจากรัฐหนึง่ ไปยงั อกี รัฐหน่ึง ข้นึ อยู่กับว่าผู้นาํ ของรัฐใดเข็มแขง็ ทีส่ ุด แต่ก็ไม่มอี ํานาจทแ่ี ท้จรงิ ในการบงั คับบญั ชาบ้านเมอื งอื่น เพราะแต่ละรัฐยงั มอี สิ ระในการปกครองตนเองอย่างสมบรู ณ์ แตม่ ีการ ยอมรบั ซึง่ กันและกันเพอ่ื เข้ารวมในสหพนั ธรัฐ เพื่อผลประโยชน์ทางการคา้ การเดินทางไปมาหาสู่ การมี ความเล่ือมใสศรัทธาในสิ่งเดียวกัน นายยอร์ช เซเดส์ คิดว่าน่เี ปน็ เครอื ข่ายอารยธรรมแบบ ศรีวชิ ัย เลย เรยี กแว่นแคว้นทอี่ ย่รู วมกนั ในเอเชยี อาคเนย์ว่า อาณาจักรศรีวิชยั อันเปน็ การเขา้ ใจผดิ ขอ้ เท็จจรงิ มีว่า อาณาจักรศรีวชิ ยั เกิดจากแนวคดิ และทฤษฏีของ ยอรช์ เซเดส์ นกั ประวัตศิ าสตรแ์ ละผู้เช่ียวชาญด้าน เอเชียตะวันออกเฉียงใตช้ าวฝรง่ั เศส คําว่า ศรีวชิ ยั ของนายยอรช์ เซเดส์ มาจากศลิ าจารึกหลักท่ี 23 จารึกเมือ่ พ.ศ.1818 พบท่ีวัดเสมาเมือง อาํ เภอเมือง จงั หวดั นครศรธี รรมราช จารึกวา่ ศรีวชิ เยนทรราชา อันเป็นช่ือของกษัตรยิ ์พระองค์หนึง่ ของอาณาจักรตามพรลิงค์ ไมใ่ ชเ่ มืองศรวี ิชัยหรืออาณาจักรศรีวิชัยแต่ อย่างใด ท่ีมกี ารอา้ งหลักฐานที่อินโดนีเซียบอกวา่ มีคาํ ว่า ศรวี ิชยั นั้นก็ยงั ไม่ชดั เจนนัก ดังน้ัน นกั ประวตั ิศาสตรน์ ักโบราณคดีท้งั ชาวไทยและชาวต่างชาติหลายคน ลงความเห็นว่าอาณาจักรศรีวชิ ยั ไมม่ ี ตวั ตนอยจู่ รงิ ของจรงิ ทม่ี ีอยู่ในเวลาน้ัน คือ อาณาจกั รตามพรลิงคท์ ี่ สิชล-ทา่ ศาลา กบั อาณาจักรตาม พรลิงค์ที่ ไชยา เม่อื พทุ ธศตวรรษที่ 6-13 และ อาณาจักรตามพรลงิ คท์ ี่ นครศรธี รรมราช กับ อาณาจกั ร ตามพรลงิ คท์ ่ี สุวรรณปุระ (ไชยา) เมอื่ พทุ ธศตวรรษท่ี 13-19 ดังน้นั ที่เรียกวา่ อาณาจักรศรวี ิชยั ควร เปล่ียนเป็น อาณาจกั รแห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ จะถูกต้องยง่ิ กวา่ เพราะทกุ เมืองปกครองโดยกษัตริยจ์ าก ราชวงศ์ไศเลนทร์ อาณาจักรศรีวชิ ยั เป็นอาณาจกั รท่ีสมมุติขึ้นมาโดย ยอร์ช เซเดส์ (Gorge Coedes) นักประวัตศิ าสตร์และนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส แนวคิดและทฤษฎขี อง ยอร์ช เซเดส์ จึงยงั ไมช่ ดั เจน แต่ อย่างไรก็ตามแนวคิดของ ยอร์ช เซเดส์ ยังส่งอิทธพิ ลต่อประวัตศิ าสตรช์ าตไิ ทย และ ประวตั ิศาสตรข์ อง ชาตติ ่างๆ ในเอเชยี อาคเนย์เรือ่ ยมาจนถงึ ปจั จุบัน อาณาเขตของอาณาจักรตามพรลงิ ค์ยคุ ท่ี 1 (สชิ ล-ทา่ ศาลา) ดา้ นตะวนั ออกจดอ่าวไทย ด้าน ตะวนั ตกจดทะเลอนั ดามัน ด้านเหนือพื้นที่ครอบคลุมถึงเมอื งเพชรบรุ ี (พริบพร)ี ด้านใตถ้ งึ เมืองตรังแตย่ ัง ไม่ครอบคลุมไปจนสุดแหลมมลายู เพราะทางภาคใต้ยังมอี าณาจักร ลงั กาสุกะ สร้างข้นึ ในศตวรรษที่ 7 ยุคเดียวกับอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ ปัจจุบันลงั กาสกุ ะกลายเป็นแหล่งโบราณคดีทีส่ ําคัญ ตัง้ อย่ใู นจังหวัด ปตั ตานี อาณาจกั รลงั กาสุกะเปน็ อาณาจักรอิสระนับถือศาสนาพทุ ธ มีอิทธพิ ลครอบคลมุ พื้นทีต่ ง้ั แต่ จังหวัดตรงั ลงไปจนสดุ ปลายแหลมมลายู อาณาจกั รลงั กาสุกะรงุ่ เรืองจนถงึ ศตวรรษที่ 11 เส่ือมอาํ นาจ ลงกลายเปน็ ส่วนหน่ึงของอาณาจักรตามพรลงิ ค์ยุคท่ี 1 (สิชล-ทา่ ศาลา) ถงึ พุทธศตวรรษท่ี 20 ลงั กาสุกะ

ล่มสลายกลายเป็นเมืองร้าง เน่อื งจากตัวเมืองอยู่หา่ งไกลจากทะเล ก่อนหน้าน้ีมีการสรา้ งเมืองใหม่ทอี่ ยู่ ใกลก้ ับทะเลคือ เมอื งปัตตานี ชว่ งท่ีสร้างเมอื งปัตตานี เป็นเวลาของอาณาจกั รตามพรลงิ ค์ยุคที่ 3 ศูนย์กลางอยู่ท่ีเมอื งนครศรีธรรมราช ปตั ตานีมฐี านะเป็นเมอื ง 12 นักษัตรของเมอื งนครศรีธรรมราช อาณาจกั รตามพรลงิ ค์ยคุ ท่ี 1 สชิ ล-ท่าศาลา ล่มสลายกลายเป็นเมอื งร้างประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 13 เนอื่ งจากศาสนาพราหมณเ์ สอ่ื มความนิยม ในขณะที่ศาสนาพทุ ธไดร้ ับความนิยมมากข้ึนกวา้ งข้นึ ศาสน สถานของพราหมณห์ ลายแห่งถกู ร้อื ถอน นําอิฐมาสรา้ งศาสนสถานของพทุ ธ กรอบประตู กรอบหน้าต่าง ส่วนประกอบอน่ื ถกู ร้ือนํามาปกั เป็นเสาเรยี งรายอยรู่ มิ ทางเดนิ หน้าวดั โมคลาน แต่ปัจจบุ ันถูกถอนนําไป กองรวมกนั ไว้ใกลส้ นามเด็กเลน่ ของโรงเรียนวดั โมคลาน โบราณสถานพราหมณ์ทีว่ ดั ไทรขามถกู ร้ือนาํ มา สร้างวัดไทรขาม ส่วนโบราณวัตถุถูกชาวบ้านหยบิ ฉวยไปครอบครองเปน็ เจ้าของ มีโบราณวตั ถุบางช้ินถกู นําไปไวท้ ีว่ ัดจันพอ ชว่ งท่ีพระครูวสิ ุทธจิ ารีเปน็ เจ้าอาวาสวดั จนั พอ และ เจ้าคณะอําเภอกลาย (ท่าศาลา) เชน่ ฐานโยนิโทรณะท่ีไดม้ าจากวัดไทรขาม ปจั จุบนั ต้ังตากแดดตากฝนอย่ทู างทิศเหนือของศาลาการ เปรียญวัดจันพอ อาณาจักรตามพรลิงคย์ ุคท่ี 1 สชิ ล-ทา่ ศาลา ลม่ สลายต้องย้ายไปต้ังมนั่ ในทแ่ี ห่งใหม่ ขณะท่ศี าสนาพทุ ธนิกายมหายานกําลังเจรญิ รงุ่ เรือง มีการสร้างเมืองสรา้ งวัดบนสันทรายของหาดทราย แก้วเปน็ อาณาจักรตามพรลงิ ค์ยุคท่ี 2 โดยศูนยก์ ลางอยทู่ ี่ เมืองพระเวยี ง สว่ นแหลง่ โบราณสถาน โบราณวัตถุของศาสนาพราหมณใ์ นทอ้ งที่อาํ เภอท่าศาลา อาํ เภอสชิ ล และ อําเภอใกล้เคียง จะสรุปเป็น ขอ้ ๆ โดยเรมิ่ จากทา่ ศาลา สิชล พรหมคีรี เมือง พระพรหม ร่อนพบิ ูลย์ และ จุฬาภรณ์ แหล่งโบราณคดี ของศาสนาพราหมณ์ แหลง่ โบราณคดขี องศาสนาพทุ ธ จะทาํ การศกึ ษาและอธิบายรายละเอยี ดโดย พิสดารต่อไป อาณาจกั รตามพรลิงค์ยุคที่ 2 ศูนย์กลางท่เี มอื งพระเวยี ง ระหว่างคลองคูพายกบั คลองสวนหลวง จะไม่ กล่าวถึงในตอนน้ี อาณาจกั รตามพรลิงค์ยคุ ที่ 3 ศูนย์กลางท่ีเมืองนครศรธี รรมราช ระหว่างคลองปา่ เหล้า กับ คลองหน้า เมอื ง มเี มอื งบรวิ าร 12 เมือง เรยี กว่าเมืองสิบสองนักษัตร แหล่งโบราณคดที ส่ี ําคญั สมยั อาณาจกั รตามพรลิงค์ยคุ ท่ี 1 สชิ ล-ท่าศาลา (พทุ ธศตวรรษท่ี 7-13 หรือ พ.ศ.601-1300) 1. แหล่งโบราณสถานโมคลาน หมู่ 11 ตําบลโมคลาน อาํ เภอท่าศาลา จังหวดั นครศรธี รรมราช เป็นเทวาลัยของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนกิ าย เม่ือพุทธศตวรรษที่ 11-12 หันหนา้ ไป ทางทศิ ตะวันออก ต่อมามีโบราณสถานของพุทธศาสนาสรา้ งซอ้ นทับลงไป 3 หลงั โดยหนั ดา้ นหนา้ ไป ทางทิศเหนือ อาคารด้านตะวนั ออกประดษิ ฐานพระพทุ ธรูป ตรงกลางเป็นเจดยี ์องคใ์ หญ่ ดา้ นตะวันตก เปน็ เจดยี ์องคเ์ ล็ก ดา้ นหลังเจดียอ์ งคเ์ ล็กเปน็ โบราณสถานของพราหมณ์ ภายในโบราณสถานของ

พราหมณ์มีเทวรปู ต้งั อยู่บนแทนเทวรปู พบแต่แทนเทวรูป ส่วนเทวรูปยงั หาไมพ่ บเข้าใจว่าคงจะถูกนําไป ไว้ทีอ่ ่นื นอกจากน้ียังพบศิวลงึ ค์ ฐานโยนิโทรณะ ชนิ้ ส่วนสถาปตั ยกรรมได้แก่ ธรณปี ระตู กรอบประตู (หินแกะสลกั ) กรอบหน้าตา่ ง เสาหิน ฐานเสา เป็นต้น พบสระนา้ํ ที่ใช้ในพิธีกรรมของศาสนาพราหมณ์ และศาสนาพทุ ธ อยู่ทางตะวนั ออกของกาํ แพงแก้ว จํานวน 1 สระ ด้านหลังของอาคารท้ังหมด ห่างไป ทางทิศใตป้ ระมาณ 25 เมตร เป็นอาคารทอี่ ยูอ่ าศัยของสงฆจ์ าํ นวน 2 หลงั เรียกวา่ เขตสงั ฆาวาส มี กําแพงแก้วลอ้ มสงั ฆาวาสกินอาณาเขตถึงตวั อาคารเรยี นโรงเรียนวัดโมคลาน ด้านทิศใต้ของสังฆาวาสมี บ่อนา้ํ ต้ืน 1 บ่อ รอบสังฆาวาสมีคูระบายน้าํ เสีย คูระบายน้ําปล่อยน้ําเสยี ทอดยาวไปลงทะเลทางดา้ นทิศ ตะวนั ออก พบเห็นอยู่ในสวนป่าของวดั ตอนทข่ี ุดแตง่ โบราณสถานโมคลานประมาณปี 2538 สมัยที่ อาจารย์ฉลาด หนเู มือง เป็นอาจารยใ์ หญโ่ รงเรียนวัดโมคลาน ปัจจุบนั คูระบายนํา้ ถูกน้ําฝนชะดินลงไป ถมจนมองไมเ่ หน็ ภาพโบราณสถานโบราณวตั ถุ ศาสนาพราหมณท์ ่ี “โมคลาน” ขณะกาํ ลังขดุ แตง่ เห็นเสาศลิ าทใี่ ชป้ กั เปน็ ทางเข้าวัดโม คลาน กอ่ นถูกถอนมากองรวมกนั ไวใ้ กล้กับสนามเดก็ เลน่ ของโรงเรยี นวดั โมคลาน

ภาพอาคารดา้ นตะวนั ออก เปน็ อาคารทางพุทธศาสนา เปน็ ท่ปี ระดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ภาพอาคารตรงกลาง เป็นอาคารทางพระพทุ ธศาสนา เป็นทปี่ ระดษิ ฐานเจดยี อ์ งคใ์ หญ่ ภาพอาคารดา้ นตะวนั ตก ดา้ นหนา้ เปน็ อาคารทางพทุ ธศาสนา ประดษิ ฐานเจดียอ์ งคเ์ ลก็ ดา้ นหลงั เจดยี อ์ งคเ์ ล็กเปน็ โบราณสถานของพราหมณ์ โบราณสถานของพราหมณ์ขดุ พบศวิ ลงึ ค์ ฐานโยนิโทรณะ กรอบประตู ธรณปี ระตู เป็นตน้

ภาพรวมโบราณสถานโมคลาน อาคารทงั้ 3 หลังเรียงกนั แนวตะวนั ออก-ตะวันตก ทางดา้ นขวามีอาคารซ้อนกันอยู่ หลายหลงั ด้านหนา้ เปน็ เจดยี ข์ องศาสนาพทุ ธ ดา้ นหลงั ของเจดยี เ์ ปน็ โบราณสถานของพราหมณ์ อาคารของพราหมณ์ ซอ้ นกันอยู่ 2-3 หลัง และ หนั หนา้ ไปทิศตะวันออก ภาพจากแหล่งโบราณโมคลาน เสาหนิ หนา้ วดั โมคลานทป่ี กั เป็นแนวทางเดนิ หน้าวดั ถกู ถอนนํามารวมไว้ตรงนี้ ชน้ิ ส่วนฐานเสา กรอบประตู ธรณีประตู กรอบหนา้ ตา่ ง เป็นตน้ นาํ มากองรวมกันไวใ้ กลส้ นามเดก็ เลน่ ของโรงเรียนวดั โม คลาน อาํ เภอท่าศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช

ภาพบริเวณสังฆาวาสวดั โมคลาน ตง้ั อยูท่ างทิศใตข้ องพุทธาวาส บรเิ วณนีน้ า่ จะเปน็ ที่ตัง้ ของกฏุ สิ งฆ์ ดา้ นหลังของ กฏุ ิมองเหน็ แนวกาํ แพงลอ้ มรอบกุฏิและล้อมรอบบริเวณใช้สอยของสังฆาวาสทง้ั หมด มอี าณาบริเวณกวา้ งใหญ่กว่าแนว กาํ แพงแก้วของเขตพุทธาวาสท่อี ยู่ดา้ นหนา้ แนวกาํ แพงสงั ฆาวาสเขา้ ไปถงึ ครงึ่ หนงึ่ ของพ้ืนท่ีอาคารเรียนโรงเรียนวดั โม คลาน ภาพกลางอาจารย์ภาณนุ าํ นกั เรยี นวัดโมคลานออกสาํ รวจพนื้ ที่

ภาพพระพุทธรูป พบทว่ี ัดโมคลาน อายุ พุทธศตวรรษท่ี 16-17 ลกั ษณะเป็นพระพุทธรปู ยืน หตั ถซ์ ้ายแสดงปางวิ ตรรกะ พระพักตรเ์ หลีย่ ม พระนลาฎกว้าง พระนาสกิ ใหญ่ พระโอษฐ์กว้าง เกตมุ าลาเปน็ รูปกรวยแหลม ลกั ษณะของ พระพุทธรูปเปน็ ศลิ ปะแบบเขมร ชว่ งเวลาทีโ่ บราณสถาน พราหมณโ์ มคลาน ปรบั เปลย่ี นมาเป็นพุทธศาสนา เม่อื พทุ ธศตวรรษท่ี 14-18 พบพระพุทธรปู องคน์ ตี้ อนขดุ แตง่ โบราณสถานวดั โมคลานเมอื่ ปี 2538 ผเู้ ขียนจาํ ไดว้ า่ ตอน น้ันอาจารย์ ฉลาด หนเู มอื ง เปน็ อาจารย์ใหญ่โรงเรยี นวดั โมคลาน พระพทุ ธรูปองค์นจี้ ัดแสดงอยทู่ พี่ ิพธิ ภณั ฑสถาน แห่งชาติ นครศรธี รรมราช 2. แหล่งโบราณคดที ุ่งน้ําเค็ม ตง้ั อยู่ หมู่ที่ 9 ตําบลโพธท์ิ อง อําเภอทา่ ศาลา เม่ือ พ.ศ.2510- 2511 ชาวบา้ นขุดดินบริเวณทุ่งนํา้ เค็ม (นําดนิ มาทาํ อิฐและเคร่ืองปน้ั ดนิ เผา) อยู่หา่ งจากโบราณสถานโม คลานไปทางทศิ ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประมาณ 1 กิโลเมตร (จากลกั ษณะทางภมู ิศาสตรพ์ ื้นดนิ บริเวณนี้ ในยุคน้ันมีสภาพเป็นท้องทะเล) ไดพ้ บเงินเหรียญแบบฟนู ันอย่ลู กึ ลงไปในดิน 1.5 เมตร เป็นเหรียญแบบ เดียวกับทีเ่ คยพบท่เี มืองออกแกว้ ประเทศเวยี ดนาม แบบเดียวกบั ทเ่ี คยพบบรเิ วณชุมชนโบราณ ในเขต ภาคกลางของประเทศไทย เหรียญเงนิ ฟนู นั ท่ีพบอยู่รวมกันในกระปุกจํานวน 150 เหรยี ญ แสดงวา่ ดินแดนแถบนีม้ กี ารติดต่อค้าขายกับดนิ แดนในประเทศกัมพูชา และ เวยี ดนามมาตงั้ แตพ่ ทุ ธศตวรรษที่ 3 เพราะอาณาจักรฟนู ันเกดิ ข้ึนในดนิ แดนประเทศเขมรชว่ งพุทธศตวรรษท่ี 3 หมายถงึ ดนิ แดนแถบน้ีมกี าร ตดิ ต่อกบั แวน่ แควน้ อื่นมาก่อนแล้วประมาณ 1,800-2,200 ปี นบั จากเวลาปัจจุบัน (2560) ภาพเหรียญเงนิ พบท่ี “ทุ่งนํา้ เคม็ ” ต.โมคลาน อ.ท่าศาลา คลา้ ยกบั ท่ีพบในเมืองโบราณ “ทวารวดี” ในเขตภาคกลาง

3. โบราณสถานไทรขาม ภาพซ้ายคอื ปา้ ยชือ่ วัดไทรขามสมัยก่อน ภาพขวาคือปา้ ยวัดไทรขามในปจั จุบัน วดั ไทรขาม ต้ังอยทู่ ี่ หมู่ 6 ตําบลดอนตะโก อาํ เภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรีธรรมราช เป็นวัดเก่าโบราณ วดั ไทรขามแตเ่ ดมิ เปน็ โบราณสถานของพราหมณ์ ลกั ษณะเปน็ เนินดินมพี ื้นทีป่ ระมาณ 10 ไร่ มีผ้พู บ โบราณวัตถทุ ีเ่ รียกว่าฐานโยนิโทรณะ มีอายุรนุ่ ราวคราวเดียวกับโบราณวตั ถุทีว่ ดั โมคลาน บางช้ินเป็น เศษทรากวางเกะกะอยู่ในวดั บางชิน้ ถกู นําไปไว้ทีอ่ ื่นๆ นอกจากนีย้ ังพบโบราณวัตถุอกี หลายช้ิน ตาม ประวตั ิของวัดไทรขามกล่าววา่ แต่ก่อนวัดไทรขามเปน็ วดั รา้ งอย่ใู นการดูแลของวัดจนั พอ เวลาน้ันเจา้ อาวาสวดั จนั พอคือพระครูวสิ ุทธจิ ารี (พอ่ ท่านพุ่ม) พอ่ ท่านวดั จนั พอนาํ ฐานโยนิโทรณะ และ โบราณวัตถุ ต่างๆ ไปเก็บไว้ทีว่ ดั จันพอ ช่วงที่ผูเ้ ขยี นเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรยี นวัดจันพอเม่ือปี พ.ศ.2531-2532 เห็น หนิ ท่ีเป็นโบราณวัตถุบางชน้ิ ถกู นาํ มาทําเปน็ หินลบั มีดตง้ั อยู่ปละออกโรงธรรมวัดจนั พอ ฐานโยนีโทรณะ วางตากแดดตากฝนอยู่บนดินปละออกโรงธรรม ตอนนัน้ ผเู้ ขยี นเขา้ ใจว่านํามาจากวัดโมคลาน ภาพซ้ายคอื ทรากโยนิโทรณะวางอยู่รอบโคนไม้ ภาพขวาคือสระนํา้ ทีใ่ ชใ้ นพธิ ีกรรมของพราหมณ์กรดุ ว้ ยอฐิ โบราณ (ยงั แลเห็นก้อนอฐิ เกา่ โบราณวางอย่รู มิ สระประปราย)

ภาพซ้ายคืออิฐโบราณ ขนาด 12-6-3 นิว้ ภาพขวานําอฐิ โบราณมาจดั เรียงลอ้ มรอบโคนไม้ใหญ่ ผเู้ ขยี นขับรถมอเตอร์ไซท์ไปสํารวจแหลง่ โบราณวัดไทรขาม ตําบลดอนตะโกวันที่ 25 สงิ หาคม 2556 วัดไทรขามปัจจุบัน พระไพรนิ ทร์ ปัญญาธโร เป็นเจา้ อาวาสมพี ระลูกวัดหลายรูป พระไพรนิ ทร์ สนใจเรื่องวดั โบราณสถาน และ โบราณวัตถุ ท่านกําลังทาํ วิทยานพิ นธ์เกี่ยวกับประวตั พิ ุทธศาสนาของ เมอื งนครศรธี รรมราช ท่านบอกผ้เู ขยี นว่าวัตถุโบราณหลายชนิ้ ของวัดไทรขามไปอยทู่ ี่วัดจันพอ พระลกู วัด ของพระอธกิ ารไพรินทร์ทีส่ าํ คัญมากคือ พ่อท่านผอม ถาวโร อดตี เจ้าอาวาสวัดหญ้าปล้อง ท่านออก จากวดั หญา้ ปล้องมาจําพรรษาทว่ี ัดไทรขาม เป็นพระอริยะสงฆผ์ ู้รกั สนั โดษ ใชช้ วี ิตอยา่ งสมถะเรียบงา่ ย ไมส่ ะสมสมบัติแมแ้ ตย่ ่ามก็ไม่ใช้รองเท้ากไ็ มส่ วม ตลอดชวี ติ ท่ีผ่านมาท่านเปน็ พระเกจอิ าจารยผ์ ู้แก่กลา้ คาถาอาคมมากท่านหนงึ่ สมัยทอี่ ยู่วัดหญ้าปล้องชื่อเสยี งของทา่ นโดง่ ดังมาก ทุกวนั น้พี ระเกจอิ าจารย์ท่ี ร่วมยคุ สมัยกบั ท่านต่างมรณภาพไปหมดแล้ว เหลือเพียงแตท่ า่ นเท่านัน้ ที่ยังครองสังขารอยู่อย่างปกตสิ ขุ พ่อท่านผอมมีนามเดิมว่า “ผอม คงรอด” เกิดเมอ่ื วันที่ 17 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2469 ตระกลู ของทา่ น ประกอบอาชีพทาํ นา ลักษณะเดน่ ของท่านคือ เป็นคนอารมณด์ ีรกั สงบชอบสนั โดษ ท่านอุปสมบทเม่ือ อายุครบ 20 ปบี ริบรู ณ์ ณ วัดหวั ลําภู ต.หัวไทร อ.หัวไทร จ.นครศรธี รรมราช เมอ่ื วันท่ี 15 พฤษภาคม 2489 โดยมพี ระปริยัติวโรปการ (หมนุ่ ปุณฺณรโส) วัดหนา้ พระบรมธาตุ เป็นพระอปุ ัชฌาย์ หลงั จาก อุปสมบทแล้วทา่ นฝากตวั เป็นศษิ ย์เรียนวชิ ากับพ่อทา่ นแดง วัดบ้านราม อ.หวั ไทร และพ่อท่านคล้ายวัด สวนขัน ท่านออกเดินธุดงคเ์ พอ่ื ปฏบิ ตั ิสมาธฝิ ึกจติ ไปตามป่าเขาทั่วภาคใต้ จนถึงประเทศมาเลเซยี ท่าน เคยเล่าใหล้ ูกศิษย์ฟังวา่ พ่อทา่ นคล้ายเปน็ พระท่ีศักดส์ิ ิทธมิ์ าก ปฏบิ ัติดปี ฏิบัติชอบ พ่อทา่ นแดงเปน็ พระที่ ดีและเกง่ วิชา สามารถเรยี กลม เรียกไฟได้ คาถาอาคมลว้ นสาํ เร็จด้วยจิต อยู่ป่าอยู่เขา มภี ัยรอบตวั คํา สอนและการปฏบิ ัตติ ามแนวทางของพระพุทธเจ้าน่แี หละ คอื อาวธุ ของพระธุดงค์ พ่อท่านผอม มีบารมี มี เมตตาธรรมสงู สง่ วัตถุมงคลที่ทา่ นสร้างขน้ึ เองมีไม่มากนัก ทกุ รุ่นล้วนมากไปด้วยประสบการณใ์ นทกุ ดา้ น จนเป็นที่แสวงหาของคนทวั่ ไป ประสบการณท์ ่ผี ู้คนสว่ นใหญไ่ ดพ้ บเห็นอย่างชัดเจน คือ แคล้วคลาด คงกระพัน สามารถอธษิ ฐานขอลาภผลไดอ้ ย่างนา่ อัศจรรย์

ภาพฐานโยนีโทรณะของวดั ไทรขาม ถกู นําไปเก็บไว้ท่ีวดั จนั พอในสมยั พระครูวิสทุ ธจิ ารีย์ (พ่อท่านพุ่ม) ทุกวันนี้วัดไทรขามมเี พยี งก้อนหินกอ้ นอิฐเก่าๆ มีวัตถุโบราณชน้ิ เล็กๆ เพียงไมก่ ีช่ นิ้ วัตถโุ บราณ ถกู ทําลายไปมาก อาจมหี ลงเหลืออยู่กับชาวบ้านใกลว้ ัดบ้างแต่ไมม่ ากนกั ผเู้ ขียนบอกกับทา่ นเจ้าอาวาส วา่ น่าจะนําโบราณวัตถุท่เี ก็บไวท้ ่วี ดั จนั พอกลับมาไว้ที่วัดไทรขาม พระท่านบอกว่าคงไม่มีใครกลา้ ขอ แต่ ถ้ากล้าขอก็คงจะไมไ่ ด้ เพราะเจ้าอาวาสวัดจันพอไม่มีอํานาจอนญุ าต อีกทัง้ ชาวบ้านวัดจนั พอก็คงไม่ ยอม เจา้ อาวาสวัดจนั พอรูปปัจจบุ นั คือ ท่านอาจารย์นับ กลั ยาโณ อดีตท่านเป็นกํานนั ตําบลดอนตะโก ช่ือสกุลเดิมของทา่ นคอื กาํ นนั นบั สทุ ธพิ ันธ์ ทา่ นเป็นกาํ นนั ชว่ งที่ผ้เู ขียนเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัด จันพอ รจู้ ักสนิทสนมกับท่านเป็นอย่างดี คดิ วา่ จะหาโอกาสไปกราบนมสั การท่านสักครั้ง ขอดโู บราณวตั ถุ ของวดั ไทรขามทีเ่ กบ็ รกั ษาไว้ที่วดั จันพอด้วย เม่ือวนั ที่ 9 ตุลาคม 2556 ผเู้ ขียนไปเผาศพของอารมุ่ สุทธิ พนั ธ์ ท่วี ัดจนั พอ เดนิ ไปดูฐานโยนิโทรณะยงั ตัง้ ตากแดดตากฝนเหมอื นเดมิ ส่วนโบราณวัตถทุ ีน่ าํ มาทาํ เปน็ หินลับมีดตัง้ อยู่ปละออกโรงธรรมหายไป ไปหาอาจารย์นบั ที่กฏุ ิเจ้าอาวาสท่านยังจาํ ผูเ้ ขียนได้ ทา่ น บอกว่าหลงั เกษียณจากกาํ นันตาํ บลดอนตะโกแล้ว เจ้าคณะอําเภอ (อาํ เภอพรหมครี )ี มอบหมายให้ทา่ น บวช แตง่ ตง้ั ใหเ้ ปน็ เจ้าอาวาสวดั จนั พอทําหน้าที่รักษาวัดจนั พอ ท่านอาจารยน์ ับบวชมา 7 พรรษา ทา่ น บอกวา่ การรักษาวัดจนั พอน้ันเหน่ือยยากพอสมควร วัดจนั พอเป็นวัดเก่าแกโ่ บราณ มอี าคารสถานทต่ี ้อง คอยดแู ลบํารงุ รักษาเป็นจาํ นวนมาก 2-3 ปีที่ผา่ นมาท่านรเิ ริ่มจัดทาํ ซมุ้ ประตหู น้าวัดจนั พอ แลว้ เสร็จสิน้ ค่าสร้างทาํ ประมาณ 7 แสนบาท รูปแบบซมุ้ ประตูของวัดจันพอยังถูกนําไปทําเปน็ ซุ้มประตูของวดั ท่าสงู งานกําลังสร้างกนั อยา่ งเรง่ รีบ คาดว่าค่าสรา้ งซ้มุ ประตวู ัดท่าสงู น่าจะมากกว่าซมุ้ ประตูของวัดจนั พอ 4. โบราณสถานวัดตาเณร (รา้ ง) เป็นโบราณสถานของศาสนาพราหมณ์ จากการสอบถาม ผูค้ นในท้องทต่ี ําบลโพธิ์ทอง อําเภอทา่ ศาลา บอกว่าตั้งอยู่ทางทิศตะวนั ออกเฉยี งเหนือของมสั ยิดอิสลาม บ้านตนี ดอน ตําบลโพธ์ิทอง อาํ เภอท่าศาลา โดยสอบถามจากนายหนงั จาํ เนียร คาํ หวาน และ นายเขียน รปู โอ เลา่ ว่า บริเวณนเ้ี ปน็ แหล่งโบราณสถานทส่ี ําคญั มาก ช่วงแรกมกี ารขุดพบเทวรูปพระวิษณุ อย่ใู น การครอบครองของเอกชน เวลานตี้ ั้งแสดงอยู่ในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช ปจั จุบนั แหล่ง

โบราณสถานวัดตาเณรมพี ืน้ ทน่ี อ้ ยลงเกิดจากการบกุ รุกของชาวบ้าน ทางการควรเข้ามาควบคมุ ดูแลให้ เข้มงวดมากกว่านี้ เพราะต่อไปอาจจะไม่เหลือแหล่งโบราณสถานแหง่ นี้อกี เลย ภาพพระวษิ ณุ ขุดพบที่วดั ตาเณร อยู่ทางทศิ ตะวันออก ของสเุ หรา่ บา้ นตนี ดอน ตาํ บลโพธิท์ อง อําเภอทา่ ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช ยคุ พุทธศตวรรษท่ี 10-12 5. โบราณสถานตมุ ปัง (ร้าง) โบราณสถานตุมปัง ต้ังอยู่ ณ หมู่ที่ 6 ตําบลไทยบุรี อําเภอทา่ ศาลา จังหวัดนครศรธี รรมราช เปน็ แหล่งโบราณสถานในเขตพื้นที่ ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ พบวา่ อิทธิพลของวัฒนธรรมอนิ เดยี แพร่กระจายอย่เู ปน็ จํานวนมาก จากการสาํ รวจของกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2536 ขดุ พบช้นิ ส่วนท่อนล่างของเทวรูปพระนารายณ์ สกัดจากหนิ (ตอนนั้นเขา้ ใจวา่ เปน็ รูปเคารพของศาสนาพราหมณ์) โบราณสถานตุมปังแหง่ นอี้ าจบอก รอ่ งรอยของประวตั ิศาสตรไ์ ด้ ไมเ่ พยี งแต่ประวัติศาสตรข์ องอําเภอท่าศาลา หากศึกษากนั อยา่ งละเอียด อาจบ่งบอกความเปน็ มาของอาณาจักรตามพรลิงคไ์ ด้ ดังน้ัน โบราณสถานตุมปังจงึ มคี วามสําคญั มาก โดยเฉพาะทางมหาวิทยาลยั วลยั ลักษณใ์ นฐานะเจ้าของพื้นท่ี ทําการศึกษาเบื้องตน้ พบเหน็ ความต่อเนอ่ื ง และ การเรียงลาํ ดับชว่ งเวลาของชมุ ชนในยุคต่างๆ ซ่ึงก็คือการเรียงลําดับความเป็นมาของประวัติศาสตร์ เมืองนครศรีธรรมราชนั่นเอง แหลง่ โบราณคดีแหง่ นี้ต้งั อยบู่ นท่ีราบลมุ่ ทางทิศตะวนั ตกของสนั ทราย ช่วง ฤดูฝนมีนาํ้ ทว่ มขงั บริเวณโบราณสถาน ด้านทศิ ตะวันออกเฉียงใต้มลี กั ษณะคลา้ ยคันดิน กนั้ ระหว่างพ้ืนท่ี ลุม่ ด้านทิศตะวันออกกับพืน้ ท่ีของโบราณสถานอยา่ งชัดเจน คลา้ ยกับการสร้างคนั ดินปอ้ งกนั น้าํ ทว่ ม จึง เหน็ ความแตกต่างของพืชที่อยนู่ อกคนั ดนิ กับพชื ทีอ่ ยู่ทางทิศตะวนั ตกไดช้ ัดเจน

ลักษณะท่ัวไป เมอื่ พ.ศ.2536 กรมศลิ ปากรทําการสํารวจแหลง่ โบราณสถานตุมปังอย่างเป็น ทางการ พบว่าบรเิ วณแหล่งศลิ ปกรรมโบรานสถานตมุ ปังมีสภาพโดยท่วั ไปเปน็ พื้นราบ ต้ังอยรู่ ะหว่าง แนวสันทรายท่าสงู กับแนวเทือกเขาหลวง พนื้ ทีบ่ รเิ วณน้เี หมาะกับการทาํ นาปลกู ขา้ ว เพราะเปน็ ท่ีราบลุม่ กอ่ นถงึ ตัวสันทรายท่าสงู ในสมยั ก่อนเตม็ ไปด้วยต้นยางนา มกี อไผ่ขึน้ กระจดั กระจายทั่วไป สลับกบั ปา่ ละเมาะ ในตอนหลงั พ้นื ที่บริเวณโบราณสถานมผี ู้นาํ ยางพาราไปปลูกเอาไว้ สว่ นรอบนอกออกไปเป็นท่ี ราบโลง่ มีต้นยางนามีกอไผเ่ หลืออยบู่ ้าง แหลง่ โบราณคดีตมุ ปังประกอบด้วยโบราณสถาน 4 อาคาร ปลูก สรา้ งตา่ งยุคต่างสมยั กันแตอ่ ยภู่ ายในแนวกาํ แพงแก้วเดยี วกนั มที างเข้าออกทางเดียวประตูตัดแนว กําแพงแกว้ ด้านทิศตะวันออก เสน้ ทางเข้าออกเดิมเข้าทางทศิ ตะวนั ออก ปัจจุบันเข้าออกทางดา้ นทิศใต้ ภาพเนนิ โบราณสถานตุมปงั ซง่ึ ตอนแรกเขา้ ใจว่าเป็น แหล่งโบราณสถานของศาสนาพราหมณ์ แตเ่ มอ่ื มกี าร ขุดพบรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรได้ครบถ้วน ทาํ ให้ ทราบวา่ เป็นโบราณสถานของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ภาพวาดเนนิ โบราณสถานตุมปัง มี 4 เนนิ โดยมแี นว กาํ แพงแก้วลอ้ มรอบเนนิ ท่ี 1-2 สว่ นเนินที่ 3-4 มแี นว กาํ แพงแก้วเดยี วกัน เนินที่ 1 พบส่วนล่างของรปู เคารพ และ พบส่วนลําตัวของรูปเคารพ เนินที่ 3 พบพระเศยี ร ของรูปเคารพ เม่อื นาํ มารวมกันกลายเปน็ รูปเคารพ พระอวโลกเิ ตศวร และ/หรอื พระศรีอารยี เมตไตรย์

ภาพองคพ์ ระอวโลกิเตศวร โบราณวตั ถขุ องศาสนาพทุ ธลัทธมิ หายาน ขดุ พบทโ่ี บราณสถานตมุ ปัง มหาวิทยาลยั วลัย ลกั ษณ์ ตาํ บลไทยบุรี อาํ เภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ตอนแรกเขา้ ใจว่าเป็นรูปเคารพของศาสนาพราหมณ์ แต่ ปจั จบุ ันทราบว่าเปน็ รปู เคารพของของศาสนาพทุ ธลัทธิมหายาน เรียกวา่ พระอวโลกิเตศวร หรือ พระศรีอารยี เมตไตรย์ ภาพของนกั เรยี น โรงเรยี น เมอื งนครศรธี รรมราช กําลงั ศกึ ษาโบราณสถานตุมปงั ที่ อาคารหมายเลขสี่ อาคารหมายเลขหนึ่ง เป็นสงิ่ ก่อสร้างสมัยแรกสุดของแหลง่ โบราณคดี อาคารก่อดว้ ยอิฐทรง สเ่ี หลีย่ มจตั รุ สั ขนาด 3.30 x 3.30 ตารางเมตร ภายในมีห้องรปู สเ่ี หลี่ยมผนื ผา้ ขนาด 2.50 x1.60 ตาราง เมตร ประกอบด้วยผนัง 3 ด้าน ด้านทิศตะวนั ออกเป็นทางเข้า ไม่พบพืน้ ห้องภายในอาคาร การขุดคน้ พบ

โบราณวัตถุ เชน่ ช้ินสว่ นรูปเคารพสลกั จากหินทรายท่อนลาํ ตวั ตงั้ แต่คอลงมาถึงบน้ั เอว ชน้ิ ส่วนรปู เคารพ สลกั ท่อนแขนและมือ อนึ่ง อาคารหมายเลขหนงึ่ เคยขดุ พบท่อนล่างของพระอวโลกเิ ตศวรเมือ่ หลายปี กอ่ น สามารถต่อเข้ากับสว่ นลาํ ตัวทีพ่ บทีหลงั จากอาคารหมายเลขหน่งึ เหมอื นกัน และต่อไดพ้ อดีกับเศียร ของพระอวโลกิเตศวรที่ขุดได้จากอาคารหมายเลขสาม เศียรรูปเคารพสวมเทรดิ สูง ดา้ นหน้าของเทริด เจาะเป็นช่องเล็กๆ รูปสามเหล่ียม ทาํ ให้สันนษิ ฐานว่ารูปเคารพองคน์ ี้อาจเป็นพระโพธสิ ตั ว์ เพราะชอ่ ง เล็กๆ นี้คลา้ ยช่องสําหรับใส่พระพุทธรปู อนั เปน็ ลักษณะทางประตมิ านวทิ ยาของพระโพธสิ ัตว์อวโลกิเต ศวร หรอื อาจใช้บรรจุสถูปขนาดเล็ก อันเป็นลกั ษณะทางประตมิ านวทิ ยาของพระโพธสิ ตั ว์ศรีอารียเมต ไตรย์ ซงึ่ เป็นทเี่ คารพบชู าทง้ั ฝ่ายเถรวาทและมหายาน ชิ้นส่วนท้ังหมดทีไ่ ด้จากกการขดุ แตง่ สามารถต่อได้ เปน็ องคเ์ ดยี วกัน ปจั จบุ นั จัดแสดงอยู่ทพ่ี ิพิธภณั ฑส์ ถานแหง่ ชาตนิ ครศรีธรรมราช ภาพอาคารหมายเลข 1 นา่ จะมีรปู เคารพเป็นพระอวโลกเิ ตศวรวางอยู่ภายใน เนอ่ื งจากพบท่อนลา่ ง และ ทอนลาํ ตัว ของพระอวโลกิเตศวรฝงั อยภู่ ายในบรเิ วณนี้ เปน็ อาคารหลงั แรกทกี่ อ่ สรา้ งในพื้นทโ่ี บราณสถานตมุ ปัง อาคารหมายเลขสอง เป็นส่ิงกอ่ สรา้ งในสมยั ที่ 2 ของแหลง่ เหลือเพียงสว่ นฐานของอาคารท่ี เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตรุ สั สว่ นบนของอาคารสมบรู ณท์ สี่ ุดคือด้านทิศใต้ มองเห็นรูปแบบการก่ออฐิ ของอาคาร ประกอบด้วยชัน้ ฐานเขยี ง ถัดขึ้นมามีช้ันฐานบัว แตส่ ่วนบนจากน้ีไปเส่ือมสภาพทั้งหมด สว่ นบนของ อาคารมีรอ่ งรอยการลกั ลอบขดุ ค้นหาส่ิงมีคา่ ภาพอาคารหมายเลข 2 อยู่ทางขวามือของอาคารหมายเลข 1 สรา้ งเปน็ ลาํ ดบั ที่ 2 สันนิษฐานวา่ นา่ จะเป็นเจดยี แ์ ละมี ฐานเป็นส่เี หล่ียม อาจคลา้ ยกับพระบรมธาตไุ ชยา เพราะมีอฐิ ทสี่ กดั เป็นบวั หงายอยูท่ ่ฐี านของเจดยี ์

อาคารหมายเลขสาม เป็นสิ่งกอ่ สร้างสมยั สุดท้ายเป็นอาคารก่ออฐิ ฐานสเ่ี หลีย่ มจตั ุรัส ภายใน เปน็ ห้องสี่เหล่ียมขนาดเล็กๆ ประกอบด้วยผนงั 3 ด้าน ทางทิศตะวนั ออกเปน็ ชอ่ งทางเข้า-ออก รูปแบบ คล้ายเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ ฐานอาคารพบว่าค่อนขา้ งสมบูรณท์ ั้ง 4 ดา้ น ภายในอาคารปูพ้นื ด้วย แผน่ อฐิ เตม็ พนื้ ที่ จัดวา่ เปน็ โบราณสถานทสี่ มบรู ณท์ ่สี ุดในจาํ นวน 4 แหง่ พบเศียรรูปเคารพตรงพ้นื ท่ี ทางเขา้ อาคารหลังนด้ี ว้ ย ภาพอาคารหมายเลข 3 ตง้ั อยหู่ นา้ อาคารหมายเลข 2 ทางขวาของอาคารมปี ระตทู างเขา้ สูอ่ าคารหมายเลข 2 ประตู ตดั ผ่านกาํ แพงแกว้ ชัน้ ใน อาคารนี้อาจเป็นเจดยี ์ หรือ พทุ ธสถาน เพราะขดุ พบเศียรพระอวโลกเิ ตศวรทอ่ี าคารหลงั น้ี อาคารหมายเลขส่ี อยู่ในสมัยเดียวกับอาคารหมายเลขสาม เปน็ โบราณสถานที่พบจากการขุด ขยายพืน้ ที่ มีลกั ษณะเป็นแนวอิฐสีเ่ หลีย่ มผืนผ้า ก่อชนกบั กําแพงแก้วของอาคารหมายเลขหนง่ึ เป็น อาคารโปรง่ มีชุดหลงั คาเปน็ เครือ่ งไม้ พบฐานเสาหินทราย 4 คู่ ฝงั อยใู่ นแนวกาํ แพงอิฐ ตรงกลางของห้อง ก่ออฐิ ท่มี ีรูปแบบคล้ายฐานรูปเคารพ ทางเข้าอาคารก่อเป็นทางขึน้ เล็กๆ ดว้ ยอฐิ อยู่ทางทศิ ตะวันออกตรง กบั ประตขู องกาํ แพงแกว้ ด้านทศิ ตะวันออก หนา้ ประตกู ําแพงแกว้ ทางทศิ ตะวนั ออกมีคันดินอันเปน็ ทางเดนิ หลักเขา้ สโู่ บราณสถานวัดตุมปัง สองขา้ งคันดินมสี ระน้ําขนาบซ้ายขวา น้ําในสระทัง้ สองนาํ มาใช้ บริโภคอปุ โภค สระนํ้าต่ออยู่กบั คูน้าํ ทข่ี ุดล้อมรอบกาํ แพงแก้วเอาไว้อีกช้นั หนง่ึ ภาพอาคารหมายเลข 4 สร้างอยู่หน้าอาคารหมายเลข 1 ก่อสร้างหลงั สดุ หนา้ อาคารมีทางขน้ึ เลก็ ๆ ตัวอาคารมหี ลังคา่ คลมุ มเี สา 4 คู่ ฐานเสาทาํ ดว้ ยหนิ สลกั เป็นรสู ําหรบั วางเสาไม้ 8 ต้น ตรงกลางอาคารกอ่ อฐิ รปู ส่เี หลยี่ ม น่าจะใชว้ างดอก ไมธ่ ปู เทยี นบูชาพระอวโลกเิ ตศวรทอี่ ยู่ในอาคารหมายเลข 1 ที่อยู่ขา้ งหลงั ดา้ นหลงั อาคารหมายเลข 4 มีประตูผา่ น กาํ แพงแก้วเขา้ ไปในอาคารหมายเลข 1 ได้

กําแพงแก้ว โบราณสถานทั้งหมดมีกาํ แพงแกว้ ล้อมรอบ ส่วนใหญ่มีสภาพชาํ รดุ จากการขุด แตง่ ลําดับการสรา้ งกาํ แพงแก้ว ดงั น้ี แนวกาํ แพงแกว้ แรกสุดเป็นกําแพงแกว้ รอบอาคารหมายเลขหนึ่ง โดยมุมกําแพงพบร่องรอยการเซาะรอ่ งอฐิ คลา้ ยตอ้ งการทําลวดลายประดบั ปรากฏอยู่ท่ีมมุ กาํ แพงดา้ น ตะวนั ออกเฉียงเหนอื และ ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อมามีการสร้างกําแพงสมยั ท่ี 2 ซ่งึ ล้อมรอบอาคาร หมายเลขสอง เชื่อมต่อกบั กําแพงแกว้ รอบอาคารหมายเลขหนง่ึ โดยกอ่ ปิดทับลวดลายเสามมุ กาํ แพง ดว้ ย สมยั สุดท้ายคือกาํ แพงแก้วรอบอาคารหมายเลขสาม มีขนาดใหญก่ วา่ กําแพงแกว้ รอบโบราณสถาน อีกสองหลัง โดยกําแพงแก้วเดิมมีความกวา้ งประมาณ 1 เมตร ส่วนกาํ แพงแก้วในสมัยสุดท้ายกว้าง ประมาณ 1.5-2 เมตร ท้งั น้ีมรี ่องรอยการก่อสรา้ งกําแพงซอ้ น เพิม่ เตมิ ขนาดของกําแพงทบี่ ริเวณกาํ แพง แกว้ ด้านทิศใต้ของอาคารหมายเลขสาม ตรงบรเิ วณรอยต่อกับกาํ แพงแกว้ ทิศใต้ของอาคารหมายเลขหนง่ึ บรเิ วณชว่ งกลางของกําแพงจะเห็นแนวกําแพงแก้วเดิมเรียงตัวตอ่ เนื่องอย่างชัดเจน ถัดไปทางทิศ ตะวนั ออกหา่ งจากแนวกําแพงอิฐ 1 เมตร รอบกาํ แพงแกว้ ทงั้ 4 ดา้ น มีคนู า้ํ ล้อมรอบ คนู ้ํากว้างประมาณ 2.5 เมตร คนู ้ําอยู่หา่ งจากกําแพงแกว้ 2 เมตร โดยคนู ้ําด้านทิศใต้เชือ่ มตอ่ อยู่กับสระน้ําด้านทิศใต้ ภาพกําแพงแกว้ ล้อมรอบโบราณสถานตุมปงั ท้ังหมด กาํ แพงแกว้ ดา้ นหนา้ หนาประมาณ 125 เซนติเมตร กาํ แพงแก้ว ดา้ นหลังหนาประมาณ 1 เมตร บริเวณกาํ แพงแก้วทางขวามือของภาพเป็นประตทู างเขา้ โบราณสถานตมุ ปงั มีเพียง ประตูเดยี ว สมยั โบราณเสน้ ทางเข้าส่โู บราณสถานมาทางทิศตะวนั ออกของตมุ ปัง (ทางเข้าปจั จบุ นั มาทางทศิ ใต)้

ภาพประตูทางเขา้ โบราณสถานตมุ ปัง เปน็ ประตเู ดยี วที่ผ่านกาํ แพงแก้วเข้าไปในโบราณสถาน ถ่ายภาพทห่ี นา้ ประตู มุมกลอ้ งมองมาจากทศิ ตะวนั ออก เข้าไปเปน็ อาคารหมาย 4 สร้างอยู่ขา้ งหน้า ถัดไปเปน็ อาคารหมายเลข 1 มสี ระนาํ้ โบราณรปู ส่เี หลี่ยมผืนผา้ 2 สระ กว้าง 12 เมตร ยาว 60 เมตร ลกึ ประมาณ 2-3 เมตร ระหวา่ งสระน้ําทั้งสองมีคันดินกวา้ ง 5 เมตร แนวคันดินสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเสน้ ทางเข้าโบราณสถาน เพราะตรงกบั ประตูทางเขา้ โบราณสถานซึง่ มอี ย่เู พียงประตูเดยี ว นอกจากน้ี ยงั พบเครือ่ งถ้วยชามของจนี อีกหลายชนิ้ เชน่ ชามเคลือบสีเขียวสลกั ด้านนอกเปน็ ลายกลบี บวั ผลิตจากเตาหลงฉวนมณฑลเจ้อเจยี ง มอี ายุราวพทุ ธศตวรรษที่ 19 พบคณฑเี คลือบสเี ขยี วและสเี หลอื งลวดลายพรรณพฤกษาพิมพ์นนู สมยั ราชวงศห์ มงิ พทุ ธศตวรรษที่ 21 จักรพรรดเิ จย้ี จ้งิ พบถ้วยขนาดเล็กเคลือบขาวทาํ จากเตาเต๋อฮั่ว มณฑลฝู เจ้ยี น ครงั้ ราชวงศ์ชิงตอนต้น อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี 23 มีการพบอฐิ โดยทั่วไป ขนาดของอิฐยาว 32 ซม. กวา้ ง 17 ซม. หนา 7 ซม. นอกจากพนื้ ยังมีการพบอฐิ ที่ทาํ การขดั ฝน เขา้ ใจวา่ โบราณสถานแห่งน้ีมกี ารทาํ บัวคว่าํ บัวหงายหรือลูกแก้วด้วย ดว้ ยเหตุทส่ี ถานทแ่ี ห่งน้ีไมพ่ บกรอบประตแู ละธรณีประตทู ท่ี ําจากหนิ ไม่ พบฐานโยนโิ ทรณะ ไม่พบศวิ ลงึ ค์ ไมพ่ บรูปเคารพองค์พระวษิ ณุ เป็นต้น จงึ แน่ใจได้ว่าตมุ ปังไม่ใช่ โบราณสถานของพราหมณ์ ภาพคนั ดนิ ทางเข้าโบราณสถานตมุ ปัง เปน็ คันดนิ ท่เี ดินเข้ามาทางทศิ ตะวันออก ด้านซา้ ยมอื ของภาพเป็นสระนํา้ โบราณ ทางขวามือของภาพก็เปน็ สระน้ําโบราณเหมือนกนั

6. โบราณสถานเกาะพระนารายณ์ เป็นโบราณสถานเก่าแก่ของอําเภอทา่ ศาลา มีอายุช่วง พุทธศตวรรษที่ 11-13 มผี ้ขู ุดพบรปู พระวิษณุ (พระนารายณ)์ สรา้ งตามความเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ์ ไวษณพนกิ าย จํานวน 2 องค์ ไวษณพนิกายในท่าศาลามีพบไม่กแ่ี ห่ง ท่ีพบส่วนใหญจ่ ะเป็นไศวนิกาย หลกั ฐานท่พี บมซี ากเศษอิฐกระจัดกระจดั กระจายทั่วบรเิ วณแหล่งโบราณสถาน ก้อนอิฐมีสภาพสมบูรณ์ ขนาดกว้าง 18 เซนติเมตร ยาว 36 เซนติเมตร หนา 9 เซนติเมตร สันนิษฐานว่าบรเิ วณน้ีเป็นซากเทวส ถานของพราหมณ์ ยงั พบสระนาํ้ โบราณ จากหนงั สือสารานุกรมวฒั นธรรมภาคใต้ เล่ม 71 กล่าววา่ สระ น้ํามขี นาด 36 x 90 เมตร ปัจจุบันสระนํ้าโบราณถกู ถมไปบ้างแลว้ สําหรับพระวิษณุ (พระนารายณ)์ ตาม หลักฐานกล่าววา่ พบพระวิษณุที่วดั เกาะพระนารายณ์ 2 องค์ คือ องคพ์ ระวิษณุทําจากศิลาสงู 68 เซนติเมตร อายุประมาณครึ่งแรกของพทุ ธศตวรรษที่ 13 ลักษณะพระวรกายค่อนขา้ งบาง แตย่ ังคงแสดง กายวิภาคตามธรรมชาติ กล่าวคือ พระองั สากวา้ ง บ้นั พระองคค์ อดสงู พระโสภพี าย แม้พระอรุ ะจะไมผ่ งึ่ ผายแต่กลา้ มเนอ้ื พระอุระมลี ักษณะลํ่าสัน ทรงพระภูษาโจงยาวขมวดเปน็ ปมอย่ใู ต้พระนาภีแสดงร้ิวของ ผา้ ตามธรรมชาติ ไมม่ ีผ้าคาดพระโสภี พระกรทัง้ 2 ขา้ งหกั หายไปแตม่ ีสว่ นแสดงให้เห็นว่าพระกรท้ัง 4 ขา้ ง สลักแยกออกจากพระวรกาย ส่วนพระวษิ ณุอีกองค์ทําจากศลิ าสงู 52 เซนตเิ มตร อายุประมาณคร่งึ แรกของพุทธศตวรรษที่ 13 มลี ักษณะพระวรกายแสดงกล้ามเน้อื ตามธรรมชาติ พระองั สากวา้ ง บั้น พระองคค์ อด พระอุระกวา้ ง ทรงพระภษู าโจงขมวดเป็นปมอยใู่ ต้พระนาภี พระกรทัง้ 4 ขา้ งหักหายไป แต่ ก็สลักใหแ้ ยกออกจากพระวรกาย องคพ์ ระวิษณทุ ั้ง 2 องค์ เก็บไวท้ ีพ่ พิ ธิ ภณั ฑ์นครศรีธรรมราช วดั เกาะ พระนารายณช์ าวบา้ นเรียกว่า วัดเกาะรายณ์ วัดเกาะรายณ์ต้งั อยทู่ างทิศตะวนั ตกเฉยี งเหนือของวัด นางตรา (ประมาณ 500 เมตร) หมู่ 3 ตําบลไทยบรุ ี อยูร่ ิมถนนสายท่าศาลา-นบพิตํา ตรงข้ามกับ ปั๊มน้าํ มันของสหกรณ์อําเภอทา่ ศาลา อยู่ทางทศิ ตะวันออกของบ้านนายบญุ เสรมิ ไพนุพงศ์ วดั เกาะพระ นารายณ์ขึ้นทะเบยี นเป็นวัดเก่า ตงั้ อยูร่ มิ ทางดา่ นสายวัดเตาหม้อ-วัดดาน เม่ือกอ่ นอยใู่ นการดแู ลของ ศกึ ษาธิการอาํ เภอท่าศาลา ปัจจบุ ันระบบบรหิ ารจัดการศกึ ษาเปลี่ยนไป จงึ ไม่ทราบวา่ ขณะน้ีวัดเกาะพระ นารายณ์มีหน่วยงานใดรับผิดชอบดแู ล อยา่ งไรก็ตามวัดเกาะพระนารายณ์ทางราชการอนุญาตให้ ชาวบา้ นเช่าพน้ื ทีท่ ํากิน สรา้ งบา้ นอยู่อาศัยมีโรงสขี า้ ว จากการสงั เกตบรเิ วณพนื้ ทใี่ นปจั จุบนั ไม่พบเหน็ ส่งิ ใดที่เปน็ โบราณวัตถุอยบู่ นผวิ ดนิ ถา้ ขุดลึกลงไปในดินคงมีโบราณวัตถฝุ ังอย่ใู ต้ดินอีกเป็นจํานวนมาก นายสมพล รัตนคช อดีตกํานันตําบลท่าศาลา เคยสํารวจขุดค้นเมื่อนานมาแล้ว ไม่ทราบวา่ ขุดพบได้อะไร กันไปบ้าง ทางราชการควรยกเลกิ สัญญาเชา่ ที่ดนิ วดั เกาะพระนารายณ์ ให้กรมศิลปากรเขา้ มาดแู ล บริหารจัดการ หรือ มอบหมายใหอ้ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นตําบลไทยบุรเี ข้ามาดูแล เพ่ืออนรุ กั ษ์โบราณสถาน แหง่ นเี้ อาไว้ให้คนรนุ่ ลูกร่นุ หลานได้ศึกษาไดเ้ รียนรู้

ภาพพระวษิ ณุ พทุ ธศตวรรษท่ี 11-13 ขุดพบจากวัดเกาะพระนารายณ์ (รา้ ง) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของวัดนางตรา ม.3 ต.ไทยบุรี อ.ท่าศาลา จ.นครศรธี รรมราช ปัจจบุ นั ตงั้ แสดงอยทู่ ีพ่ ิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช 7. วัดมเหยงคณ์ สถานท่ีต้ัง บ้านลมุ่ โหนด หมทู่ ี่ 2 ตาํ บลสระแก้ว อําเภอทา่ ศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช เสน้ รุ้ง 8 องศา 30 ลปิ ดา 46 ฟลิ ปิ ดา เสน้ แวง 99 องศา 45 ลปิ ดา 24 ฟิลปิ ดา อาณาเขต : ทิศเหนือติดต่อกับคลองกลาย ทิศใต้ติดต่อกับสวนยางของนายโสภาค ช่วยเช้ือ ทิศ ตะวันออกติดต่อกบั ปา่ ชา้ และสวนของชาวบ้าน ทศิ ตะวันตกติดตอ่ กบั ทอนวัดมเหยงคณ์ ทอนมเหยงคณ์ เป็นสว่ นหน่ึงของคลองกลายในอดีต ก่อนที่คลองกลายเปล่ยี นทิศทางไปอยูท่ ่ีอื่น ประวตั คิ วามเปน็ มา จากการสันนิษฐานแหล่งศิลปกรรมวัดมเหยงคณอ์ ายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 13 ประวตั ิของชุมชนมีการ เลา่ ขานตํานานเกี่ยวกับประวัตกิ ารสร้างวัดกลา่ ววา่ ผู้สรา้ งไดน้ ําข้าวของเงินทองมาสรา้ งพระบรมธาตุ นครศรธี รรมราช ล่องเรอื มาตามลําน้าํ กลายมาถึงบริเวณนี้ ทราบวา่ พระบรมธาตุสร้างเสรจ็ แลว้ ดว้ ยจิต ศรัทธาก็ไมน่ ําขา้ วของกลบั แต่ได้สรา้ งวัดบริเวณนแ้ี ทน คือ วดั มเหยงคณ์ อีกกระแสหนงึ่ กล่าวว่าวัด มเหยงคณ์ คอื วัดพระทา่ นผู้ใหญ่สร้าง ดังนั้นคําว่า มเห น่าจะมาจากคาํ มหา แปลว่า ใหญ่ ชือ่ สมณะ ศกั ดท์ิ ี่สอบไล่ไดช้ ้ันเปรียญ มเหยงคณจ์ งึ นา่ จะมาจากคําวา่ มเหยงคณ์ ตามตําแหน่งและชอื่ ของผ้สู รา้ ง เองอีกดว้ ย ลกั ษณะทว่ั ไป แหลง่ ศิลปกรรมวัดมเหยงคณต์ ง้ั อยู่บนที่ราบลุ่ม อยู่ทางทิศใต้ของคลอง กลาย ทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของวัด เป็นทอนที่ล่มุ ตาํ่ กว่าทตี่ ง้ั ของวดั ประมาณ 1.5 เมตร ในฤดู แล้ง ชาวบ้านจะเขา้ ไปใชพ้ ้ืนที่ทาํ การเกษตรกรรม หลักฐานท่พี บ พบวา่ วัดมเหยงคณ์เป็นวัดเก่าแก่ โบราณ คือ ไดพ้ บซากอุโบสถซง่ึ กวา้ งประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร สรา้ งด้วยอฐิ แผน่ ใหญ่

(ขนาดกว้างประมาณ 8x10 นิว้ ) มกี ําแพงโดยรอบอุโบสถ และยังมีเจดยี ์บริวาร 9 องค์ แตไ่ ด้มีการขุดคน้ หลายครั้ง ประกอบกับชาวบา้ นทําไร่รกุ ลํ้าเข้าไปในท่ีดินของวดั จึงทําให้ไมส่ ามารถเหน็ ลกั ษณะองค์ เจดีย์ในปจั จบุ นั ได้ชัด แต่มีซากและตําแหน่งท่ีประดิษฐานพระพทุ ธรูป พระประธานในพระอโุ บสถวัดม เหยงคณก์ ลา่ วกนั ว่า มลี ักษณะเดยี วกันกบั พระประธานในพระอุโบสถวัดนางตรา เป็นพระพมิ พด์ ินเผาสี ขาวอมเหลือง แต่ถูกช้างแทงปรกั หักพงั มีผ้เู กบ็ ไปไว้ทีว่ ัดประดู่หอม อําเภอท่าศาลา นอกจากน้ชี าวบา้ น ยงั ขุดพบพระพิมพ์จํานวนมากบริเวณพ้ืนทใ่ี กลว้ ัด ชาวบ้านเรยี กวา่ “พระทอนไม้สงู ” ประมาณ 2 ปีมานี้ กรมศิลปากรได้ทาํ การขุดค้นบรเิ วณพระอุโบสถ พบพระทําดว้ ยหินทรายแดง 2 องค์ ปางสมาธิ ชาวบ้าน ยงั ไดข้ ุดพบใบเสมา ลูกนมิ ติ เสาหนิ และ หม้อใส่กระดูก ปัจจุบันวดั มีเพยี งกุฏิ โรงธรรม และ โรงครวั ยงั ไมเ่ ปน็ อาคารถาวร สภาพพระอโุ บสถและบริเวณภายในวดั เปน็ ปา่ รกปกคลุมด้วยวัชพชื เชน่ หญ้าคา หญา้ ไมยราพ ยังมไิ ดม้ กี ารบูรณปฏสิ ังขรณ์ ภายในวัดปจั จบุ ันมีพระจาํ พรรษา 2-3 รูป ภาพศลิ าจารึกวดั มเหยงคณ์ บา้ นลุ่มโหนด ตําบลสระแกว้ อาํ เภอท่าศาลา จังหวดั นครศรีธรรมราช คําแปลจากศลิ าจารึกวัดมเหยงคณ์…….พระระเบยี งและหอ้ งอาหารกับอโุ บสถาคาร อาหารสาํ หรับ คณะสงฆ์และบุคคลตา่ งๆ....การนมัสการพระบารมี การเขยี นหนังสอื จําหน่ายน้าํ หมึกกบั แผน่ (สําหรับ เขียน)........เครือ่ งบูชา อาหารเครื่องบํารุงคณะพราหมณข์ องพระอคัสตมิ หาตมัน...........มที ง้ั ธรรมเทศนา ประกอบด้วยธปู ประทีป พวงมาลยั ธงพิดาน จามร ประดับด้วยธงจีน ........บญุ กุศลอ่ืนๆ ตามคาํ สอน คือการปฏิบัตพิ ระธรรมไม่ขาดสักเวลา การบริบาลประชาราษฎร์ การทนต่ออฎิ ฐารมณแ์ ละอนฎิ ฐารมณ์ การชํานะอินทรีย์สังวร (ให้ราบ)..........ผไู้ ด้ทรัพย์สมบัติโดยความองอาจ ………......ชื่อ อรรณาย ………………..

ภาพแนวกําแพงแก้ว วัดมเหยงคณ์ ทข่ี ุดแตง่ เมอื่ เรว็ ๆ นี้ ทเี่ หน็ เป็นแนวกาํ แพงแกว้ ดา้ นทศิ ใต้ ยังขุดสาํ รวจไปเพยี ง เล็กน้อย คาดวา่ พื้นท่ใี นกําแพงแก้วนา่ จะมโี บราณวัตถฝุ งั อยใู่ นพื้นดนิ เป็นจาํ นวนมาก การขุดแต่งคราวนที้ าํ โดยคณะ สงฆใ์ นวดั มเหยงคณ์ ไมเ่ กยี่ วกบั กรมศิลปากรแต่อยา่ งใด อฐิ ทที่ าํ เป็นแนวกาํ แพงมีขนาดเลก็ กว่าทีโ่ บราณสถานตมุ ปัง

ภาพพระพทุ ธรูป แกะสลกั จากหินทรายแดงท้งั 2 องค์ ปางมารวิชยั องค์แรกขุดพบเศยี รพระดว้ ย สว่ นองค์ทส่ี องพบ สว่ นทเ่ี ป็นหวั ไหลดา้ นขวาตกอยใู่ กลๆ้ เป็นศลิ ปะสมยั อยธุ ยา ขดุ พบท่ีวัดมเหยงคณ์ ตําบลสระแกว้ อําเภอทา่ ศาลา ภาพเสมาธรรมจักร ภาพแรกเปน็ ช้ินส่วนเสมาธรรมจกั รเหลอื เฉพาะสว่ นดมุ เกือบคร่ึงซกี มซี ล่ี อ้ ธรรมจักร 2 ซี่ ขอบลอ้ ด้านนอกหกั หายไปหมด ชิน้ สว่ นเสมาทาํ ด้วยดินเผา ภาพท่ีสองชน้ิ สว่ นเสมาธรรมจกั รมซี ล่ี อ้ 2 ซี่ และ มีขอบล้อเสมา ธรรมจกั ร ชิน้ สว่ นเสมาทําดว้ ยดนิ เผา ทง้ั สองชนิ้ ขุดพบทว่ี ัดมเหยงคณ์ บา้ นล่มุ โหนด ตาํ บลสระแกว้ อาํ เภอทา่ ศาลา จงั หวดั นครศรธี รรมราช ตง้ั แสดงอยูท่ พ่ี ิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรธี รรมราช 8. วดั นางตรา หมู่ 3 ตาํ บลไทยบุรี อําเภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรธี รรมราช ที่ต้งั รุง้ 8 องศา 30 ลปิ ดา 40 ฟลิ ปิ ดา แวง 99 องศา 45 ลิปดา 24 ฟลิ ิปดา อาณาเขต : ทิศเหนือ ติดต่อกับท่งุ นาและถนน สายท่าศาลา-นบพิตํา ทศิ ใต้ ติดต่อกบั ถนนในหมู่บ้าน ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ต่อกับโรงเรยี นวัดนางตรา ทิศ ตะวนั ตก ตดิ ต่อกับทงุ่ นา ประวตั ิความเป็นมา แหลง่ ศิลปกรรมวัดนางตรา อาจมีอายุตง้ั แต่สมัยอาณา ตามพรลิงคย์ ุคทีห่ น่ึง สชิ ล-ท่าศาลา จนถงึ อาณาจกั รศรีโพธิ์ อายอุ ยู่ในชว่ งพทุ ธศตวรรษ 12-18 ลักษณะ ท่ัวไป สภาพภูมปิ ระเทศโดยท่วั ไปของแหลง่ ศลิ ปกรรมวัดนางตราเปน็ ทร่ี าบ รอบบริเวณวัดนางตราเป็น ทุ่งนาโล่ง วัดนางตรามีลักษณะรปู รา่ งเปน็ สเ่ี หล่ียมผนื ผ้า มีเนอ้ื ทป่ี ระมาณ 8 ไร่ หลกั ฐานท่หี ลงเหลือบอก ว่าเป็นวัดเกา่ ก่อนทําการขุดคน้ พระอุโบสถซ่ึงกว้างประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร ทําดว้ ยอิฐ หน้าวัว มคี รู อบพระอุโบสถ มีเจดีย์ประธานลักษณะคล้ายพระบรมธาตุเมืองไชยาอยู่ทางทศิ เหนือ ขนาด

ฐานประมาณ 8x8 เมตร สูงประมาณ 16 เมตร แต่ยอดหัก สภาพเจดีย์ปัจจุบนั มีแตก่ องอฐิ ไมม่ ีอะไร หลงเหลืออยเู่ ลย ซากเจดียอ์ งค์ประธานเหลือเพียงซากเนินดนิ สูงเท่าจอมปลวกขนาดใหญ่ สว่ นพระ อโุ บสถมีการบรู ณปฏสิ ังขรณ์ใหม่เมอ่ื ปี พ.ศ.2524 สร้างองค์พระต่อกับพระเศียรที่ขดุ พบ ใชเ้ ป็นพระ ประธานในพระอุโบสถเชน่ เดิม มีเนนิ ดนิ อยทู่ างทิศเหนือของวดั เรียกว่าดอนทาํ เนียบ เชือ่ วา่ เป็นทปี่ ระทับ ของเจา้ หญิงสพุ ตั ราในครง้ั ที่สรา้ งวัด หลกั ฐานที่พบ 1. พระพุทธรูปยืน ทาํ ด้วยสาํ ริดสูง 43 เซนติเมตร อายุประมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 18 ลักษณะพระวรกายผอม พระพักตรก์ ลม พระเนตรมองตรง พระนาสิกโต พระโอษฐ์หนา อมย้มิ เลก็ น้อย เม็ดพระศกเล็ก อษุ ณียะเป็นรูปครง่ึ วงกลม รัศมีเปน็ บัวตูมอยู่ด้านบน ทรง ยนื อยู่บนปัทมอาสน์ซึง่ ตอ่ อยู่บนฐานสเ่ี หล่ียมย่อมมุ ลดหลัน่ กันลงมา ด้านหน้ามรี ากษสถือกระบองอยู่ใน มือแตล่ ะข้าง พระหัตถท์ ้งั สองขา้ งอยูใ่ นลักษณะประทานธรรม ครองจีวรห่มคลุมบางแนบพระวรกายแล เห็นหน้านางกับขอมหยกั ด้านบนของสบงและรัดประคดมหี วั เป็นรปู ดอกไมห้ กกลีบ เบ้ืองหลงั มีลวดลาย พรรณพฤกษาคั่นด้วยลายประจํายาม 2. พระอุโบสถ กว้างประมาณ 5 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร ทํา ดว้ ยอฐิ ขนาดใหญ่ (อฐิ หนา้ วัว) มคี ลู อ้ มรอบพระอุโบสถ 3. เจดยี ป์ ระธาน ลักษณะคล้ายพระบรมธาตไุ ช ยา อยทู่ างทิศเหนือ ขนาดฐานประมาณ 8x8 เมตร สูงประมาณ 16 เมตร แต่ยอดเจดียห์ ักหายไป ปัจจบุ นั สรา้ งฐานพระพุทธรปู ครอบฐานเจดยี ์องคเ์ ดิม และ สรา้ งพระพุทธรูปวางอยู่บนฐาน ภาพพระพทุ ธรปู สาํ รดิ วดั นางตรา ต.ทา่ ศาลา อ.ทา่ ศาลา จ.นครศรีธรรมราช ลกั ษณะแบบเขมรพุทธศตวรรษท่ี 15 (ผเู้ ขียนคดิ วา่ รปู ร่างคล้ายนางอปั สราทปี่ ราสาทนครวดั ประเทศกมั พูชา) มคี นบอกวา่ ฝงั อยใู่ ตฐ้ านพระพทุ ธรูปท่สี ร้าง ข้นึ มาทหี ลงั อาจารยบ์ อล พระปุญญพัฒน์ สธุ มฺ โม ลกู ศษิ ยข์ องพระครูกาแกว้ วดั หนา้ พระลาน ปจั จุบนั รกั ษาการ ประธานสงฆส์ าํ นกั สงฆว์ ดั ทา่ ลาด ต.ท่าข้นึ อ.ท่าศาลา บอกกับผูเ้ ขียนวา่ พระพทุ ธรปู องค์นเี้ ก็บรกั ษาทว่ี ัดพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช ชว่ งตน้ เดือนมกราคม 2561 ผู้เขยี นไปทพ่ี พิ ิธภณั ฑว์ ดั พระบรมธาตุ พบเหน็ พระพทุ ธรูปองค์น้ถี ูกเก็บอยู่ ในตู้กระจกของพิพธิ ภณั ฑ์วดั พระบรมธาตุ เป็นความจรงิ ตามท่ีอาจารย์บอลบอก

ภาพเจดียว์ ัดนางตรา สันนษิ ฐานวา่ รปู แบบของเจดยี ค์ ลา้ ยกบั เจดยี ์พระบรมธาตไุ ชยา ภาพน้ีมีการบรู ณะเบื้องตน้ โดย นาํ อฐิ ทถี่ กู รื้อกระจดั กระจายจากการขุดหาพระนางตรา นาํ มาวางเรยี งซ้อนกนั ครา่ วๆ ให้คลา้ ยกบั เจดยี ์ ภาพเจดียว์ ัดนางตรา หมู่ 3 ตาํ บลทา่ ศาลา อาํ เภอท่าศาลา ถกู ขดุ คน้ หา “พระนางตรา” สมยั สงครามเวยี ดนามจนมี สภาพพังเสยี หายยบั เยนิ สันนิษฐานวา่ รปู ทรงเป็นแบบเดยี วกบั เจดีย์พระบรมธาตไุ ชยา ภาพบนไดร้ ับการบรู ณะครง้ั แรก สว่ นภาพลา่ งมีการสร้างฐานพระพทุ ธรปู ครอบเจดยี เ์ อาไวข้ ้างใน และ สร้างพระพุทธรูปวางอยู่บนฐานครอบเจดยี ์ จาก การสอบถามชาวบา้ นรอบวัดนางตราเลา่ วา่ โบราณวัตถขุ ดุ พบท่ีวดั นางตราถกู ฝงั อยใู่ ตฐ้ านพระพทุ ธรูปองคน์ ้ี

ภาพโบสถ์วดั นางตรา เดิมมขี นาดใหญก่ วา่ น้ี มกี าํ แพงล้อมรอบทง้ั 4 ด้าน สูงประมาณ 1 เมตร ขา้ งบนเป็นลานดิน มี โรงเรือนสร้างแบบงา่ ยๆ แค่กนั แดดกันฝนใหก้ บั พระพุทธรูป ลานดนิ ถกู ขดุ ค้ยุ หา “พระนางตรา” มสี ภาพเสียหายยบั เยิน เช่นกนั ประมาณ 20 กวา่ ปที ่ผี ่านมาจงึ สรา้ งโบสถ์หลังท่เี หน็ อยนู่ ข้ี ้นึ มา โบสถ์เก่าโบราณหนั หนา้ ไปทางทิศเหนือ ส่วน โบสถ์ทส่ี รา้ งใหม่หลังนหี้ ันหนา้ ไปทางทศิ ใต้ แต่พระพุทธรูปในโบสถ์หนั หน้าไปทางทิศตะวนั ออก ภาพพระนางตรา พระเครือ่ งดังของอําเภอท่าศาลา ภาพพระนางสพุ ัตรา เชอ่ื กันวา่ เป็นผ้สู รา้ งวดั นางตรา

9. โบราณสถานบ้านนายสุฤทธิ์ คล้ายพมิ ล หมู่ 1 ตําบลสระแกว้ อําเภอทา่ ศาลา 8 องศา 35 ลปิ ดา 24 พิลิปดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 48 พิลปิ ดาตะวนั ออก ยังไมท่ ราบรายละเอียด 10. โบราณสถานบา้ นนายพัว กาญจนธานี ม.4 ตําบลสระแก้ว เขตลุ่มนํา้ คลองกลาย พบ เนินโบราณสถานถูกขุดทําลายจนหมดสภาพแล้ว และ พบศิวลงึ ค์อายรุ าวพทุ ธศตวรรษที่ 12 11. สวนนางหนเู ล็ก รกั ชาติ หมู่ 7 ตําบลสระแกว้ อําเภอทา่ ศาลา 8 องศา 34 ลปิ ดา 48 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 54 ลิปดา 00 พลิ ิปดาตะวนั ออก ยังไม่ทราบรายละเอียด 12. โบราณสถานบา้ นนางนํา สงั ข์ทอง (บา้ นทุ่งพนั ธ์ 1 ) เลขที่ 378 ม.7 บ้านทงุ่ พนั ธ์ ตําบล กลาย เขตลมุ่ น้ําคลองท่าลาด 8 องศา 47 ลิปดา 24 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 53 ลิปดา 24 พิลิปดา ตะวันออก ประวัติความเป็นมา ปัจจุบนั บนเนนิ โบราณสถานแห่งนถี้ ูกขดุ คน้ จนหมดสภาพ โดยไม่เหลือ รอ่ งรอยหลักฐานทางโบราณคดเี หลืออยู่เลย เหลือเฉพาะเพียงอฐิ ที่มีการขุดค้นและวางไว้อย่างไม่มี ระเบียบ บนเนินโบราณสถานเดมิ นั้นถูกขุดเปน็ หลมุ ลึกลงไปประมาณ 2 เมตร รอบ ๆ ปกคลมุ ไปด้วย ธญั พชื มากมายหลายชนิด มีการปลกู กลว้ ยบนเนินโบราณสถานแหง่ น้ี ลักษณะท่วั ไป ประชากรสว่ น ใหญอ่ าศยั อยูใ่ นถ่ินน้ีต้งั แต่ต้น ไมม่ ีการอพยพเคลอ่ื นย้ายเพ่มิ มาแตอ่ ย่างใด ประชากรมอี าชพี ทํานา ทาํ สวนยางพารา และ มกี ารเล้ียงสตั วเ์ ป็นรายได้ของครอบครวั หลกั ฐานท่ีพบ 1. ศิวลึงค์ องคท์ ีเ่ กบ็ รกั ษา ไวท้ ่ีวดั ดอนใครมีอายุอยู่ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-14 2. โยนิโทรณะ ทาํ ดว้ ยหินปูน เกบ็ รักษาไว้ ณ วัด ดอนใคร อายุอยใู่ นราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 3. สระนํา้ โบราณ มีสระนํ้าโบราณทางทิศใต้และทิศ ตะวันตกของเนนิ โบราณสถานทิศละ 1 สระ ห่างจากโบราณสถานสระละ 100 เมตร 4. อฐิ โบราณ อฐิ โบราณจากโบราณสถานแห่งน้ี สภาพท่ีสมบรู ณ์มีขนาดหนา 7 เซนติเมตร กว้าง 17 เซนตเิ มตร ยาว 30.5 เซนติเมตร อฐิ เหล่านย้ี งั มีกระจายอยใู่ นพน้ื ที่ 5. พระพฆิ เนศ จํานวน 1 องค์ ทาํ ดว้ ยศลิ า สงู 20 เซนติเมตร ถกู ชาวบ้านขายไปอยแู่ ถวอําเภอท่งุ สง ภาพฐานโยนโิ ทรณะ ขดุ พบท่บี า้ นนางนาํ สังขท์ อง บา้ นทงุ่ พนั ธ์ ต.กลาย อ.ท่าศาลา เก็บรกั ษาไวท้ ีโ่ รงเรยี นวดั ดอนใคร ตอนหลังเกดิ ชาํ รุดจงึ นําไปไว้ที่วดั ดอนใคร ปัจจบุ ันไมท่ ราบวา่ ยงั มีอยหู่ รอื ไม่

ภาพศิวะลึงค์ ขุดพบท่ีบา้ นนางนํา สงั ขท์ อง บา้ นท่งุ พนั ธ์ ต.กลาย อ.ท่าศาลา เกบ็ รักษาไวท้ ี่วดั ดอนใคร ปัจจุบันไม่ ทราบวา่ ยังมีอยู่หรือไม่ 13. โบราณสถานบ้านนายสว่าง พรหมสวุ รรณ บ้านทงุ่ พนั ธ์ หมู่ 2 ตําบลกลาย อาํ เภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรธี รรมราช เขตลุม่ นํ้าคลองทา่ ลาด 8 องศา 45 ลปิ ดา 15 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 45 ลปิ ดา 22 พิลิปดาตะวันออก อาณาเขต ทศิ เหนือ ติดต่อกับคลองทา่ ลาด ทิศใต้ ติดตอ่ กบั ถนนเขา้ หมบู่ า้ นดอนใคร ทิศตะวนั ออก ติดต่อกับสวนยาง ทิศตะวันตก ตดิ ตอ่ กับสวนยาง ลักษณะท่ัวไป ลักษณะภมู ิประเทศโดยท่วั ไปเป็นท่ีราบ รอบบริเวณเป็นสวนยางพารา ห่างจากเนนิ โบราณไปทางทิศ เหนือประมาณ 200 เมตร เป็นคลองท่าลาด ลกั ษณะของแหลง่ ศลิ ปกรรมโบราณสถานบ้านท่งุ พนั ธ์ บรเิ วณสวนของนายสว่าง พรหมสุวรรณ มีลักษณะเป็นเนนิ ดินโบราณ ซึง่ ในปจั จุบันเนนิ โบราณไดถ้ ูก ทําลายไปหมดแลว้ อนั เน่ืองมาจากเจ้าของบ้านได้ใชร้ ถแทรกเตอรป์ รบั พ้ืนทใี่ ชเ้ พาะปลูกพชื ผักสวนครัว เหลือเพยี งเนินดินเล็ก ๆ เนินหนึง่ เท่านั้น มเี ศษอิฐกระจัดกระจายไปทัว่ รอบบริเวณบนเนนิ โบราณสถาน มีขนาดประมาณ 8x15 ตารางเมตร ช้นิ สว่ นโบราณวัตถุทพี่ บ 1. ศวิ ลงึ ค์ พบศวิ ลึงค์ทาํ ด้วยศลิ าทราย ตาม “ประเพณีนยิ ม” อยใู่ นราวพทุ ธศตวรรษที่ 12 ถึงกลางพุทธศตวรรษท่ี 13 ปจั จุบนั นเ้ี ก็บรกั ษาไว้ ณ วัดดอนใคร 2. ธรณีประตู พบธรณปี ระตูทาํ ด้วยหินปูนซึง่ ชํารุด 1 ช้ิน ขนาดกว้าง 53 เซนติเมตร ยาว 84 เซนติเมตร หนา 6 เซนตเิ มตร เกบ็ รักษาไว้ท่วี ัดดอนใคร 3. ซากอิฐโบราณ กระจัดกระจายอยูบ่ นเนนิ โบราณ อนั ท่ีมีสภาพสมบรู ณ์มีขนาดกว้าง 20 เซนติเมตร ยาว 30 เซนตเิ มตร หนา 7 เซนตเิ มตร ปจั จุบนั เจ้าของบา้ นได้ใช้รถแทรกเตอรป์ รับพื้นท่ี เพื่อใช้เปน็ ที่เพาะปลูกพชื ผกั สวนครวั ยงั มี ธรณีประตู 1 อัน

วางอยู่บนเนินโบราณสภาพบางสว่ นได้หักพงั ไปบ้างแล้ว เส้นทาง เดนิ ทางโดยรถยนตไ์ ปตามทางหลวง หมายเลข 401 จากศาลากลางจงั หวัดนครศรีธรรมราช ถงึ สามแยกดอนใครระยะทางประมาณ 44 กโิ ลเมตรเลี้ยวซา้ ยไปตามทางแยกเข้าวัดดอนใคร ถึงบ้านนายสว่าง พรหมสุวรรณ ประมาณ 4 กโิ ลเมตร 14. โบราณสถานสวนนายจรญู รัตนขวัญ ม.12 บ้านทุ่งพนั ธ์ ตาํ บลกลาย เขตลมุ่ นํ้าคลองท่า ลาด พบเนินโบราณสถาน และ สระนํา้ โบราณ 15. โบราณสถานบ้านนายสุวิทย์ และ นายสวุ ิน จ่องเย้า ม.3 ตาํ บลกลาย เขตลุ่มน้าํ คลอง กลาย 8 องศา 47 ลิปดา 24 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 55 ลิปดา 12 พิลปิ ดาตะวันออก พบเนินโบราณ สระ น้ําโบราณ บ่อนํ้าโบราณ ฐานโยนิโทรณะ ธรณีประตู กรอบประตู อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-14 16. โบราณสถานบา้ นนายจํานงค์ ศรวี ิมาศ ม.3 ตําบลกลาย อําเภอท่าศาลา 8 องศา 48 ลปิ ดา 36 พลิ ปิ ดาเหนอื 99 องศา 54 ลิปดา 00 พิลิปดาตะวันออก เขตลุม่ น้ําคลองทา่ ลาด พบเนิน โบราณสถาน และ สระนํา้ โบราณ 17. โบราณสถานวัดดอนใคร สถานทต่ี ั้ง บ้านดอนใคร ตําบลกลาย อําเภอท่าศาลา จังหวัด นครศรธี รรมราช ที่ตั้ง รหัส รุ้ง 8 องศา 45 ลิปดา 20 ฟลิ ปิ ดา แวง 99 องศา 45 ลปิ ดา 15 ฟลิ ปิ ดา อาณา เขต : ทศิ เหนือ ติดต่อกับถนนเข้าหมบู่ ้าน ทศิ ใต้ ติดต่อกับบ้านนาเพรง ทิศตะวันออก ติดต่อกับบา้ นทุง่ พันธ์ ทิศตะวันตก ติดต่อกับโรงเรยี นวัดดอนใคร ลักษณะทั่วไป สภาพภมู ิประเทศโดยทว่ั ไปของแหลง่ ศิลปกรรมวดั ดอนใคร มีพนื้ ที่เป็นทีร่ าบลุ่ม ดา้ นทิศเหนือเป็นทุ่งนา ด้านทิศใต้เปน็ ที่ราบและมีต้นไมข้ ึน้ ปก คลมุ ลกั ษณะของแหลง่ ศลิ ปกรรมวัดดอนใคร มพี นื้ ทเี่ ป็นรปู สเี่ หลีย่ มผืนผ้า มเี น้ือท่ีประมาณ 40 ไร่ รอบ บริเวณวัดปกคลมุ ไปด้วยต้นไมเ้ ลก็ และตน้ ไม่ใหญ่ วดั ดอนใครเป็นท่รี วบรวมโบราณวัตถุทพ่ี บอย่ใู น บริเวณน้ัน เช่น บรเิ วณแหล่งโบราณคดีบา้ นทงุ่ พนั ธ์ หลักฐานท่พี บ 1. ศวิ ลึงค์ ทําดว้ ยหินทรายมีขนาด ดงั น้ี ส่วนยอด (รทุ ธภาค) ส่วนกลาง (วิษณุภาค) และ ส่วนฐาน (พรหมภาค) สงู เท่ากนั คือ สว่ นละ 29 เซนติเมตร ฐานกวา้ ง 19 เซนตเิ มตร ศิวลึงค์องค์นเ้ี ป็นศิวลงึ ค์ประเภท ประเพณีนิยม มลี กั ษณะการ ถ่ายทอดจากรูปทรงเรขาคณิต ส่วนยอดเป็นรปู โคง้ ส่วนกลางเปน็ รูปแปดเหลี่ยม ส่วนฐานเปน็ รปู สี่เหล่ยี ม อายรุ าวพุทธศตวรรษที่ 12-13 พบที่บริเวณโบราณสถานบ้านโคกตกึ ปัจจุบนั ทางวัดสรา้ งท่ี ประดิษฐานไวท้ ีม่ ิดชิดและปลอดภยั 2. ศิวลงึ ค์ มลี ักษณะคล้ายกับองคก์ ่อน แตม่ ีขนาดสงู กว่าองคก์ อ่ น ทาํ ด้วยหนิ ทรายเหมือนกัน มีขนาดดังนี้ ส่วนฐาน (พรหมภาค) สูง 31 เซนติเมตร ส่วนกลาง (วษิ ณภุ าค) สูง 29 เซนตเิ มตร สว่ นยอด (รทุ ธภาค) สูง 32 เซนตเิ มตร ลักษณะต่างๆ เหมือนองคก์ ่อนทกุ ประการ องค์ นป้ี จั จบุ นั เจ้าอาวาสยังเกบ็ รักษาไว้ในกุฏิเจ้าอาวาส 3. ฐานโยนิโทรณะ (ฐานศิวลงึ ค)์ ทําดว้ ยหนิ ปนู เป็นรูปสีเ่ หลี่ยมจัตุรสั ขนาด 100 x 100 เซนตเิ มตร หนา 9 เซนตเิ มตร ตรงกลางมรี ู เส้นผ่าศนู ยก์ ลาง 24 เซนติเมตร อายรุ าวพทุ ธศตวรรษท่ี 12-14 ชาวบ้านทําฐานข้นึ มาเพื่อรองรับไมใ่ ห้โยนิโทรณะตั้งอยู่บน พน้ื ดนิ 4. ฐานโยนโิ ทรณะ ทาํ ด้วยหินทรายสีขาว มีขนาดกว้าง 95 เซนตเิ มตร ยาว 98 เซนติเมตร ตรง กลางมรี กู วา้ ง 37 เซนติเมตร ปัจจบุ ันมีรอยรา้ วตรงกลาง ชาวบ้านไดย้ กไว้เหนอื พน้ื ดิน 5. ธรณปี ระตู ทํา ด้วยหินปูน ชํารุด 1 ช้ิน มขี นาดกว้าง 53 เซนตเิ มตร ยาว 84 เซนติเมตร หนา 6 เซนตเิ มตร ปจั จบุ นั จมดนิ

อยใู่ กล้พระอุโบสถหลังเก่าของวดั 6. หินบดยา เปน็ หินทรายใช้สําบดยา เส้นทางเข้าสสู่ ถานที่ ออก จากจังหวดั นครศรีธรรมราชไปทางทิศเหนอื โดยทางรถยนต์ ไปตามทางหลวงสาย 401 เสน้ ทางห่างจาก ศาลากลางจงั หวัดนครศรีธรรมราชถงึ ดอนใครประมาณ 44 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายจากถนนสาย 401 เข้าไป บ้านดอนใครตามถนนเขา้ หม่บู า้ น ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ถึงวดั ดอนใครอย่ทู างซา้ ยมือ 18. แหล่งโบราณสถานวดั ป่าเรยี น วัดป่าเรียนต้ังอยทู่ ่ีตําบลตล่ิงชัน (แยกจากตําบลกลาย) อาํ เภอทา่ ศาลา จงั หวัดนครศรธี รรมราช เปน็ แหล่งโบราณสถานยุคแรกๆ ของศาสนาพราหมณ์ พบเห็น วัตถุโบราณเป็นฐานโยนิโทรณะ กรอบประตู ธรณีประตู บานประตู ทุกอย่างทําดว้ ยหินทราย พบกระจดั กระจายอยู่ท่วั ไป เจา้ อาวาสวดั ป่าเรียนบอกวา่ ฐานโยนิโทรณะและศิวลึงค์ชุดท่ีสมบรู ณ์ มีผขู้ อนาํ ไปไวท้ ี่ จงั หวัดเชยี งใหม่ ส่วนฐานโยนิท่ีมีขณะนี้เป็นฐานโยนิรนุ่ เกา่ ท่ียงั ไมท่ ําร่องนํ้าใหน้ ้าํ ไหลเวลาท่ที าํ การสรง นํ้าศวิ ลงึ ค์ นอกจากน้ียังพบขวานหนิ ท้งั มีบา่ และไมม่ บี ่า รวมท้งั ท่ีคิดว่าเปน็ ระนาดหินด้วย เจา้ อาวาสวัด ป่าเรยี นให้ความเหน็ วา่ นา่ จะไมใ่ ชร่ ะนาดหนิ แตน่ ่าจะเปน็ เคร่อื งมอื ทําการเกษตร

ภาพโบราณวตั ถพุ บที่วดั ปา่ เรยี น รูปรา่ งลักษณะคลา้ ยบานประตหู ิน ธรณีประตู และ ภาพล่างมีลกั ษณะคลา้ ยศวิ ลงึ ค์วางอยูบ่ นฐานโยนิโทรณะ แบบท่ีไม่มรี ่องน้าํ มนต์ เปน็ โยนทิ ส่ี ร้างขนึ้ ในยุคแรกๆ ทีศ่ าสนาพราหมณ์เผยแผเ่ ขา้ มาที่ คาบสมทุ รมลายู คาดวา่ แหล่งโบราณสถานแหง่ น้นี ่าจะมอี ายอุ ยใู่ นชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 7 คือ พ.ศ.601 เป็นตน้ มา แหล่งโบราณสถานวัดปา่ เรียน ตั้งอยูร่ ิมคลองคอกชา้ งอันเปน็ สาขายอ่ ยของคลองกลาย โดยน้ํา จากคลองคอกช้างไหลไปรวมกับคลองกลาย เปน็ สายน้าํ ท่ีเชี่ยวกรากยากในการคมนาคม ช่วงหลงั พราหมณ์จงึ ไปอาศยั อยู่ตามลํานาํ้ ทไ่ี มใ่ หญ่มากนัก กระแสนํ้าไมเ่ ชยี่ วกรากเหมอื นคลองกลาย เช่น ไป อาศัยรมิ คลองท่าทน คลองท่าเช่ยี ว คลองทา่ ควาย คลองท่าหนิ คลองทา่ เรือรี ในอําเภอสิชล และ คลอง ทา่ เปรง คลองทา่ พุด คลองตูน คลองเกียบ คลองชุมขลงิ คลองโตะ๊ เนง็ คลองอ้ายเขียว คลองอ่ตู ะเภา ใน อาํ เภอท่าศาลา 19. โบราณสถานบา้ นนายมาตร หงส์ชู (พงั กํา 1) สถานท่ีต้งั บ้านนายมาตร หงส์ชู บ้านพัง กาํ เลขที่ 861 หมู่ 9 ตําบลฉลอง อาํ เภอสชิ ล จังหวัดนครศรธี รรมราช 8 องศา 52 ลิปดา 48 พลิ ปิ ดาเหนือ 99 องศา 51 ลปิ ดา 36 พลิ ิปดาตะวันออก ทศิ เหนอื ติดต่อกับบ้านนายจวง หงส์ชู ทิศใต้ตดิ ต่อบา้ นนาย ช่วง ชูเพ็ง ทศิ ตะวันออกติดตอ่ กับบ้านนายเช่ือง สมเชอื้ และ นายโชค เรืองฤทธิ์ ทิศตะวันตกติดต่อกับ ถนนสายไสสบั -ตลิ่งชนั หลักฐานทพ่ี บ เปน็ ลกั ษณะเนินโบราณสถานขนาดใหญห่ ลายเนนิ แตเ่ ดมิ ยอด เนินอยสู่ งู กว่าที่ลุ่มนาข้าวราว 4 เมตร เมอ่ื เดือนธันวาคม พ.ศ. 2523 เจา้ ของบ้านไดป้ รับยอดเนินแหง่ หนึง่ เพือ่ ทาํ สวนครัว ได้พบแนวอฐิ เป็นรปู ส่ีเหล่ียมจตั รุ สั ขนาดดา้ นละ 10 เมตร จึงได้ขดุ ลงไปเพยี งบาง ด้านคอื ด้านเหนอื พบการเรียงอิฐขึน้ เปน็ ขัน้ ๆ แบบขน้ั บันได คร้นั ไดข้ ดุ ต่อไปอีกลึกราว 2 เมตร จึงได้พบ เทวรูปพระวิษณุ 4 กร พบอฐิ จาํ นวนมาก อฐิ บางส่วนถกู ร้ือขนึ้ มาเพอื่ การก่อสร้างบ้าน หินที่พบจาํ นวนไม่ นอ้ ยถูกทบุ เป็นชิน้ เล็กช้ินนอ้ ยเพื่อสร้างบา้ น บางส่วนเห็นกองอยู่หนา้ บา้ น หลกั ฐานท่ีพบ ดงั น้ี พระวษิ ณุ ทาํ ด้วยหนิ ทราย ขนาดสงู รวมฐาน 41.5 เซนตเิ มตร ฐานกวา้ ง 25 เซนตเิ มตร เดือยยาว 13 เซนตเิ มตร สว่ นความกวา้ งของเดือยตอนบนกว้าง 9 เซนตเิ มตร แลว้ ค่อย ๆ เรียวลงไปจนปลายสุด กว้าง 6 เซนตเิ มตร มีอายไุ มน่ ้อยกว่าตน้ พทุ ธศตวรรษที่ 11 ฐานโยนิโทรณะ พบฐานโยนิทําด้วยหนิ ปูนในกองหนิ

ทีก่ ําลังถูกลําลายเพ่ือการก่อสรา้ งบา้ น 2 ชิ้น มีขนาดรูปร่างทีต่ า่ งกนั สนั นษิ ฐานว่าเป็นฐานโยนอี ย่างน้อย 2 ฐาน ธรณีประตู พบธรณปี ระตทู ่ียังเหลืออย่จู ากการถูกทําลาย 2 ชนิ้ ชิ้นแรกไมส่ มบูรณท์ ําดว้ ยหินปูน กว้าง 80 เซนตเิ มตร ยาว 200 เซนติเมตร หนา 15 เซนติเมตร มรี ทู รงกลมด้านละรู เส้นผา่ นศนู ยก์ ลาง 10 เซนติเมตร ท้ัง 2 ช้ิน สลักใหข้ อบที่มีรูตํ่าลงมาราว 2 เซนติเมตร ชิ้นน้ีกว้าง 34 เซนตเิ มตร สว่ นชิ้นท่ี 2 กว้าง 26 เซนตเิ มตร ปจั จุบนั ธรณปี ระตูวางอยู่ตรงศาลาหน้าบ้าน สระน้ําโบราณ รอบโบราณสถานมี สระน้ําโบราณอยู่ 3 สระ คือ สระทางทิศเหนือ สระทางทิศใต้ สระทางทิศตะวนั ออก ทางทิศตะวันออก ของเนินโบราณสถานเป็นท่ีราบล่มุ นาขา้ ว หา่ งไปทางเหนือราว 2 กิโลเมตร มีคลองท่าน้อยไหลผ่าน ส่วน ทางทิศใต้ระยะทาง 2 กิโลเมตร มีคลองท่าทนไหลผา่ น โบราณสถานและโบราณวัตถุแห่งนน้ี ่าจะมีอายุ อยู่ในราวพทุ ธศตวรรษท่ี 11-14 ภาพวตั ถโุ บราณบา้ น นายมาตร หงส์ชู เป็นบางส่วน ภาพพระวษิ ณุ พบท่บี า้ นนายมาตร หงส์ชู หมู่ 9 ตําบลฉลอง อําเภอสิชล จงั หวดั นครศรีธรรมราช ต้ังแสดงอยู่ท่ี พิพิธภณั ฑสถานแห่งชาติ นครศรธี รรมราช

20. บ้านนายเนิม สตกุ ขาํ (พงั กาํ 3) เลขท่ี 212 หมู่ 9 ตําบลฉลอง อําเภอสิชล 8 องศา 52 ลปิ ดา 48 พลิ ิปดาเหนอื 99 องศา 51 ลิปดา 36 พิลปิ ดาตะวันออก ยงั ไม่ทราบรายละเอียด 21. โบราณสถานบา้ นนายสมจิตร อนิ ทราช (พงั กํา 2) ตัง้ อยู่บ้านพังกาํ เลขที่ 90 หมู่ 9 ตาํ บลฉลอง อาํ เภอสชิ ล จังหวัดนครศรีธรรมราช 8 องศา 53 ลปิ ดา 24 พลิ ิปดาเหนือ 99 องศา 51 ลิปดา 36 พลิ ปิ ดาตะวนั ออก บ้านนายสมจติ ร อินทราช มีพ้นื ท่ีประมาณ 10 ไร่ อาณาเขต ทศิ เหนือติดต่อกับที่ นาของนายประเสรฐิ ถนิมกาญจน์ ทิศใตต้ ิดต่อกับสวนของนายชว่ ง ชูเพง็ ทิศตะวันออกติดต่อกับบ้าน นายสุชีพ งามคม ทศิ ตะวันตกตดิ ตอ่ กบั สวนปาล์มเอกชน หลักฐานท่พี บ มีรอ่ งรอยเนินโบราณสถาน เสน้ ผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 4 เมตร มีเศษอฐิ กระจดั กระจายอย่รู อบๆ เนินโบราณสถาน ปัจจุบนั มีการ ปลูกไมผ้ ล ไดแ้ ก่ เงาะ ลางสาด มงั คุด ทุเรียน เปน็ ต้น ภาพเนนิ โบราณบา้ นนายสมจติ ร อนิ ทราช ต.ฉลอง อ.สชิ ล จ.นครศรธี รรมราช 22. โบราณสถานเขาคา หมู่ 11 ตาํ บลเสาเภา อาํ เภอสิชล 8 องศา 52 ลิปดา 48 พิลปิ ดาเหนือ 99 องศา 52 ลิปดา 12 พลิ ิปดาตะวนั ออก เทวสถานของศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย บนยอดเขาคา คงเป็นที่ประดิษฐานเทวาลัยทีส่ ําคัญที่สุดในละแวกน้ี โดยมีแหล่งเทวาลัยขนาดเล็กพบกระจายอย่รู อบ เขาคา เทวาลัยเล็กๆ เหล่าน้ีเป็นบริวารของเทวาลยั บนเขาคา ส่ิงสาํ คัญทีพ่ บบนเขาคาคอื เทวสถานสี่ หลัง สระน้ําโบราณ 3 สระ ศาสนาสถานเนนิ โบราณท่ตี ง้ั ศวิ ะลงึ คห์ น่ึงแหง่ พบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรม ได้แก่ ฐานเสา ธรณีประตู กรอบประตู เศษอฐิ โบราณวัตถไุ ดแ้ ก่ ฐานโยนิโทรณะ พระวิษณุศิลา ท่อโสม สตู ร อายุประมาณพุทธศตวรรษท่ี 12-14 แหล่งโบราณคดเี ขาคาตงั้ อย่ทู บ่ี ้านเขาคา เป็นภเู ขาลกู โดดท่ี ตง้ั อยู่บนทร่ี าบ ยอดเขาสูง 72 เมตร เหนือระดบั นํ้าทะเลปานกลาง มีคลองท่าทนไหลผ่านทางทิศ ตะวนั ตก และ ทางทศิ เหนือ เขาคาเป็นภูเขาท่วี างตวั ในแนวทิศเหนอื -ทิศใต้ มียอดเขาซ้อนกันสองยอด เนินเขาแตล่ ะลูกเปน็ ที่ต้งั ของโบราณสถานหลายหลงั จากการสํารวจทางโบราณคดีทาํ การขุดคน้ แหล่ง โบราณสถานแห่งนี้ คน้ พบหลักฐานทางโบราณคดีเปน็ จาํ นวนมาก นอกจากเขาคาแลว้ ยงั ทส่ี ถานทีอ่ ีกแหง่ หนง่ึ ที่อาจเป็นพระราชวังของอาณาจักรตามพรลงิ ค์ ตง้ั อยู่บรเิ วณ วัดสระใหญ่ ชอ่ื อย่างเปน็ ทางการเรยี กวา่ วัดสุธรรมาราม บริเวณวัดสุธรรมารามมสี ระ

นํ้าขนาดใหญ่ เขา้ ใจว่าเป็นสระน้ําท่ีนาํ น้ําไปใชใ้ นพระราชวังของกษัตริย์ตามพรลิงค์ วังของกษัตริย์ตาม พรลงิ ค์ต้ังอยู่ทางทิศตะวนั ตกเฉยี งเหนอื ของเขาคา และ อยูห่ ่างจากคลองทา่ ทนไปทางทศิ เหนือไมม่ าก นกั เขา้ ใจว่าสระนาํ้ เหล่านร้ี ับนํ้ามาจากคลองทา่ ทน และ คลองท่าเช่ียวที่อยใู่ กล้กนั ภาพทที่ าํ การโบราณสถานเขาคา ตําบลเสาเภา อาํ เภอสิชล จังหวัดนครศรธี รรมราช เขาคา คอื จุดเร่มิ ตน้ ของ อาณาจักรตามพรลิงคย์ ุคที่ 1 สชิ ล-ทา่ ศาลา เปน็ โบราณสถานของศาสนาพราหมณแ์ หง่ แรกของชาวอนิ เดีย ท่ีเขา้ มา เผยแพร่ศาสนาบนคาบสมทุ รมลายู คาดกันว่าสรา้ งขนึ้ เมอ่ื พทุ ธศตวรรษท่ี 12-14 การกาํ หนดอายขุ องโบราณสถานแหง่ นนี้ อ้ ยกวา่ ความเป็นจรงิ โบราณสถานเขาคานา่ จะสร้างเมอ่ื พทุ ธศตวรรษที่ 7-8 บคุ คลในภาพคอื อ.ปรีดา คงสวุ รรณ เคยเปน็ ครูสอนท่โี รงเรียนวัดศิลาชลเขต (วัดหิน) เคยสาํ รวจเขาคาเมอื่ 40 ปกี ่อน ผู้เขยี นชกั ชวนมาสาํ รวจเขาคาดว้ ยกนั เพ่ือเปรียบเทยี บความแตกต่างของเขาคาในวันน้ีกับเขาคาเมอ่ื 40 ปที แ่ี ลว้ เขาคาลกู ท่ี 1 อย่ทู างดา้ นทิศเหนือ ค้นพบหลักฐานบนยอดเขา มีการสลักหนิ ใหม้ ีลักษณะ พิเศษคลา้ ยกับศวิ ลึงคข์ นาดใหญ่ รอบประติมากรรมน้ีมีการสร้างแนวกําแพงหนิ ล้อมรอบอกี สองช้ัน มี การสลักเป็นห้องและร่องน้ําสนั นิษฐานว่าประติมากรรมชน้ิ นน้ี ่าจะเปน็ ลงิ คบรรพต ตามความเชื่อใน ศาสนาพราหมณ์ และ ทางลาดลงเขาคาลูกท่ี 1 ดา้ นทิศตะวนั ตกมีรอ่ งรอยเสน้ ทางขึ้นลงจากลาํ นํ้าคลอง ทา่ ทน อาจเป็นเส้นทางหลกั ทใ่ี ชข้ ึ้นลงในสมัยโบราณ เนื่องจากสมัยน้ันใช้ลาํ นา้ํ เปน็ เสน้ ทางสญั จร โบราณสถานเขาคา อ.สิชล จ.นครศรธี รรมราช อันเขาอนื่ หมืน่ แสนกเ็ ขาเขา เขาคาเขาเราเราหวงแหน อีกเขาดินเขาหินทว่ั ถ่นิ แดน ไมแ่ นบแนน่ ใจเราเท่าเขาคา บรรทัดแรกผแู้ ต่ง อ.อาวุธ ชูพันธ์ ชว่ งที่ อ.นิรนั ดร อภัยกุล เป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนวดั สวนศขิ รบรรพต บรรทัดท่ีสองผูแ้ ตง่ อ.มนตรี พรหมมา ช่วงทกี่ ําลังทําประวตั คิ วามเปน็ มาของอาํ เภอท่าศาลา

ภาพลิงคบรรพต บนยอดเขาคาด้านทศิ เหนือ แกะสลกั ใหม้ รี ปู ร่างคล้ายศวิ ลงึ ค์ อันเปน็ ศวิ ลงึ คท์ ดี่ ัดแปลงของทม่ี อี ยู่ ตามธรรมชาติ ให้เปน็ รูปเคารพตามความเชอื่ ของศาสนาพราหมณ์ หรือนค่ี อื ที่มาของช่อื อาณาจกั ร ตามพรลิงค์ ภาพแนวกาํ แพงหนิ ลอ้ มรอบศวิ ลึงค์ แนวกาํ แพงหนิ ที่เห็นเป็นแนวกาํ แพงชั้นนอก อีกสว่ นหน่งึ เป็นกาํ แพงชัน้ ใน ล้อมรอบศิวลึงคเ์ อาไว้ ด้านทิศตะวันตกมที างลาดขน้ึ ไปถงึ องค์ศวิ ลงึ ค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook