Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

Published by pampam12345678, 2021-10-17 03:19:35

Description: E-Book กายวิภาคศาสตร์ อภิชญา นวลเกลี้ยง 1044.

Search

Read the Text Version

A HUMAN . . . N A T O M Y

กายวภิ าคศาสตร์ HUMAN ANATOMY จัดทาํ โดย นางสาวอภชิ ญา นวลเกลยี ง รหัสนักศึกษา6417701001044 กล่มุ เรียนท2ี เสนอ อาจารย์ สุนันทา ลกั ษ์ธิตกิ ุล คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สุราษฎร์ธานี

หนังสือ E-Book เล่มนมี เี นอื หาเกยี วกบั กายวิภาคศาสตร์มนษุ ย์ ซงึ เปนสาขาหนึง ของวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ ทีเนน้ ทางด้านการศึกษาโครงสรา้ งตา่ งๆทปี ระกอบกนั เปน ร่างกายของมนษุ ย์ ซงึ มรี ายละเอยี ดหรอื เนือหาเกียวกบั โครงสรา้ งระบบต่างๆของ มนษุ ยโ์ ดยไดร้ วมรวมขอ้ มลู เพือทจี ะให้ผทู้ ีสนใจได้หาความรเู้ พิมเตมิ Electronic Book (E-Book)เปนหนังสือทีสร้างขึนดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มี ลักษณะเปนเอกสารอิเล็กทรอนกิ ส์ โดยปกตมิ กั จะเปนแฟมข้อมลู ทีสามารถอา่ นเอกสาร ผา่ นทางหน้าจคอมพิวเตอร์หรอื อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พกพาอืนๆไดื ผจู้ ดั ทาํ หวงั เปน อย่างยงิ วา่ ผอู้ ่านจะไดร้ ับประโยชนไ์ มม่ ากกน็ อ้ ย และตอ้ งขอขอบคุณอาจารยท์ ีปรกึ ษาที คอยใหค้ ําแนะนาํ เกียวกับการทาํ หนังสือE-Book เล่มนี ผูจ้ ัดทํา นางสาวอภิชญา นวลเกลียง

บทที ความรเู้ บอื งต้นเกียวกับกายวภิ าคศาสตรข์ องมนษุ ย์ สาร ับญ บทที บทที ระบบเซลล์ เนอื เยอื และ ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญงิ ผวิ หนงั บทที บทที ระบบกล้ามเนอื ระบบต่อมไรท้ ่อ บทที บทที ระบบกระดกู ระบบยอ่ ยอาหาร บทที บทที ระบบขบั ถ่ายปสสาวะ และ ระบบหายใจ ระบบสบื พนั ธุเ์ พศชาย บทที บทที ระบบหวั ใจ และ ระบบประสาท หลอดเลือด

บทท1ี ความรู้เบืองตน้ เกยี วกับกายวภาคศาสตร์ของมนุษย์ Introductionto human anatomy กายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) ? กายวภิ าคศาสตร์เปนแขนงหนงึ ของวชิ าชีววทิ ยา ซงึ ศึกษาเกียวกบั โครงสรา้ งของสิงมชี วี ิตวา่ อยู่ ส่วนใดของรา่ งกายและส่วนต่างๆ เหลา่ นตี ิดต่อเกยี วขอ้ งกันอยา่ งไร โดยมักทาํ การศึกษาร่วมกับ สาขาสรรี วทิ ยา (Physiology) ซงึ เปนวชิ าทวี ่าดว้ ยหนา้ ทกี ารทํางานของส่วนหรืออวัยวะตา่ งๆ ของร่างกาย เมือรวมกนั แลว้ อวยั วะและระบบตา่ งๆ เหลา่ นตี ้องทาํ งานประสานสัมพันธ์กัน เพือให้ ร่างกาย ดํารงชวี ติ ได้อยา่ งปกติ โดยทังสองสาขาวชิ าจะแตกตา่ งกันทีกายวิภาคศาสตร์เน้นการ ศึกษาเกยี วกับโครงรา่ ง ส่วนสรีรวิทยาเน้นทีการศึกษาเกียวกับการทํางานและหน้าที การจัดระบบในร่างกายมนุษย์ Organs Systems Cell Tissues Systems of the body (ระบบตา่ งๆในรา่ งกาย) Integumentary System or Dermatology : ระบบห่อหมุ้ ร่างกาย Skeleton system or Osteology : ระบบกระดูก Muscular system or Myology : ระบบกลา้ มเนอื Nervous system or Neurology : ระบบประสาท Circulatory system or Angiology : ระบบไหลเวียน Digestive system : ระบบยอ่ ย Respiratory system : ระบบหายใจ Urinary system or Urology : ระบบขบั ถา่ ยปสสาวะ Lymphatic system : ระบบนาํ เหลือง Endocrine system or Endocrinology : ระบบต่อมไรท้ อ่ Reproductive system : ระบบสืบพันธ์ุ ความรู้เบอื งต้นเกยี วกับกายวภาคของมนษุ ย์ | Introduction to human anatomy

Anatomical position ตําแหน่งในทางกายวภิ าคศาสตร์ หมายถึง ทา่ ยนื ตรง เท้าทังสองข้างขนาน ชดิ กันหรือแยกออกจากกันเลก็ น้อย ใบหนา้ มอง ตรงไปขา้ งหนา้ แขนทงั สองเหยยี ดตรงชดิ กับลาํ ตวั มือแบออกทงั สองขา้ ง หนั ฝามือไป ทางด้านหนา้ (นวิ กอ้ ยจดโคนขา นิวหวั แมม่ อื หันออกข้างนอก) ความรู้เบืองต้นเกียวกับกายวภาคของมนุษย์ | Introduction to human anatomy

General Body Plan แสดงการแข่งพืนทขี องร่างกาย คําศัพท์ทางกายวภิ าค Medial : เปนคาํ ประกอบใหท้ ราบวา่ เปนส่วนทใี กลก้ ับเส้นผา่ กลางของรา่ งหรอื ของอวัยวะ ซงึ เรยี กว่า (Midian line) Transverse plane or Horizontal plane : แบง่ ร่างกายออกเปนส่วนบนและลา่ ง Frontal plane or Corona plane : แบ่งรา่ งกายออกเปนด้านหนา้ และหลัง Sagittal plane or Median plane : แบง่ รา่ งกายออกเปนด้านซ้ายและขวา Anterior or Ventral : ด้านหนา้ ของลาํ ตวั Posterior or Dorsal : ด้านหลงั ของลําตัว Superior or Cranial : ดา้ นบนของลําตัว Inferior or caudal : ดา้ นลา่ งของลาํ ตัว Proximal : เปนส่วนทีอยูใ่ กลก้ บั ลาํ ตัวเชน่ โคนขา โคนแขน ซงึ อยู่ใกล้และตดิ ต่อกบั ลําตัว Distal : เปนส่วนทอี ย่ไู กลจากลาํ ตวั เช่นปลายมือ ปลายเทา้ เปนตน้ Medial : อย่ใู กล้กบั Median plane Lateral : อยไู่ กลจาก Median plane ความรู้เบอื งตน้ เกยี วกับกายวภาคของมนุษย์ | Introduction to human anatomy

Deep : อยู่ลึกกว่าผวิ , อยู่ไกล่าผวิ Superficial : อยู่ใกล้ผิวหนัง External or Outer : อย่ทู างด้านนอก Internal or Inner : อยทู่ างดา้ นใน Central : อยูใ่ กลจ้ ุดศูนยก์ ลาง Parietal : เกียวกับผนงั ด้านนอกของชีองในรางกาย Visceral : เกียวกบั เนอื เยือดาดบนอวยั วะ Ipsilateral : อยู่ข้างเดียวกันของร่างกาย Contralateral : อย่คู นละขา้ งของร่างกาย Cavities of the body ช่องตา่ งๆของรา่ งกาย ภายในร่างกายของมนุษย์มีช่องตา่ งๆ สําหรับเปนทีเก็บอวัยวะใหเ้ ปนหมวดหมู่ ถา้ แบ่งรา่ งกาย ออกไปตามยาว Frontal หรอื Coronal plane จะพบวา่ ชองถูกแบง่ ออกเปน2ส่วน คือชอ่ ง ส่วนหนา้ (ventral cavity)และชอ่ งส่วนหลัง (Dorsal cavity) ความรู้เบืองต้นเกยี วกับกายวภาคของมนษุ ย์ | Introduction to human anatomy

Cavities of the body ชอ่ งส่วนหน้า Ventral cavity or Anterior cavity : จะอยู่ดา้ นหน้าของกระดูกสันหลัง มี เนือทกี ว้างและใหญ่กว่าช่องส่วนหลังเปนช่องทีไมม่ ีกระดกู ลอ้ มอยคู่ รบ - ชอ่ งอก (Thoracic cavity) มหี ลอดลม ปอด หลอดอาหาร หัวใจ และหลอดเลอื ด ใหญๆ่ - ช่องทอ้ ง (Abdominal cavity) มกี ระเพาะอาหาร ตับ ถุงนาํ ดี ตบั อ่อน ม้าม ลําไส้เลก็ ลาํ ไส้ใหญ่ ไต และหลอดเลอื ด - ช่องทอ้ งน้อยหรอชอ่ งองุ้ เชิงกราน (Pelvic cavity) ช่องนเี ปนส่วนหนงึ ของชอ่ งท้อง แตอ่ ย่ตู ําลงมา ช่องนีมีกระดกู กนั อยมู่ ากกวา่ ชอ่ งทอ้ ง ภายในมีส่วนของsigmoid colon กระเพาะปสสาวะ ช่องทวารหนงั และอวยั วะสืบพันธ์ุ ระหว่างช่องอกกบั ช่องทอ้ งมีกะบังลม(Diaphragm)ซึงเปนกลา้ มเนือแผ่นหนึงรปู โคง้ ขึนขา้ ง บนกันอยรู่ ะหว่างกลาง ชอ่ งส่วนหลัง Dorsal cavity or Posterior cavity : ชอ่ งนีมกี ระดูกลอ้ มอยู่โดยรอบ โดย เปนชอ่ งจากกระดกู กระโหลกศีรษะและกระดูกสันหลังแบง่ ออกไดอ้ กี คือ - ช่องทอี ยู่ในกระโหลกศีรษะ (Cranial cavity) มีมันสมองบรรจุอยภูู่ ายใน - ชอ่ งทอี ย่ขู องไขสันหลงั (vertebral cavity or spinal cavity) ชอ่ งนีติดกับ กะโหลกศีรษะ โดยมีไขสันหลังทอดอยูต่ ิดต่อมาจากมันสมอง ส่วนภายในกะดหลกศีรษะนอกจาก cranial cavity และยังมีชอ่ งเล็กๆอีก3ชอ่ ง คือ 1.ชอ่ งเบา้ ตา (Orbital) มลี ูกตา ประสาทตา กลา้ มเนอื ลกู ตา และต่อมขนั ําตา 2. ชอ่ งจมูก (Nasal cavity) 3. ช่องปาก (Buccal cavity หรือ Mouth) มลี ินและฟน ความรู้เบืองต้นเกยี วกบั กายวภาคของมนษุ ย์ | Introduction to human anatomy

บรรณานุกรม ราํ แพน พรเทพเกษมสันต.์ (2661).กายวภิ าคศาสตรแ์ ละสรีรวทิ ยาของ มนุษย.์ กรงุ เทพฯ:ศิลปาบรรณาคาร Chapter 1 Introduction to Anatomy and Physiology.(2562).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้จาก:https://youtu.be/sUXwG5XVoMs.(วนั ทีสืบค้นข้อมลู : 4 ตลุ าคม 2564) สามารถทําความเขา้ ใจเพิมเตมิ ไดจ้ าก (QR code) ความรู้เบอื งต้นเกยี วกับกายวภาคของมนุษย์ | Introduction to human anatomy

บทท2ี ระบบเซลล์ เนือเยือ และผวิ หนัง Cell system Tissues and Skin เซลล์ระดบั โมเลกุลและกระบวนการแบ่งเซลล์ Type of cell : ชนิดของเซลล์ Prokaryotic Cell เปนเซลลท์ ไี มม่ เี ยือหมุ้ นวิ เคลียสและไมม่ อี อรแ์ กเนลล์ชนิดทีมีเยอื ห้มุ ได้แก่เซลล์แบคทีเรีย Eukaryotic Cell เปนเซลล์ทมี ีเยอื หมุ้ นิวเคลียสและออร์แกเนลล์ตา่ งๆในไซโทพลาสซมึ ที มเี ยอื หุ้ม โครงสร้างของเซลล์ เซลลป์ ระกอบด้วย 3 ส่วนใหญๆ่ คือ 1.เยือห้มุ นิวเคลียส (Cell membrane/Plasma membrane) 2.ไซโทพลาสซมึ (Cytoplasm) 3.นวิ เคลยี ส (Nucleus) ระบบเซลล์ เนือเยือ และผิวหนัง | Cell system Tissues and Skin

ส่วนประกอบและอวัยวะภายในเซลล์ Cytoplasm คอื ส่วนทลี อ้ มนิวเคลียสอยภู่ ายในเยอื หุ้มเซลล์ ซงึ ประกอบดว้ ยส่วนทีสําคัญ 2 ส่วน คอื ออร์แกเนลล์ (Organelles) และ ไซโทซอล (Cytosol) ไซโทซอล (Cytosol) คือส่วนของไซโทพลาสซึมมลี ักษณะเปนสารกึงแขง็ กงึ เหลวมีอยู่ ประมาณรอ้ ยละ 50-60 ของปริมาตรเซลลท์ ังหมด เซลล์ส่วนใหญ่มปี ริมาตรของไซโทซอล ประมาณ 3 เทา่ ของปริมาตรนิวเคลยี ส ) เซลลบ์ างเซลล์มกี ารไหลของไซโทพลาสซึมไปรอบ ๆ เซลล์ เรยี กว่า ไซโคลซสิ (cyclosis) เปนผลจากการหดและคลายของไมโครฟลาเมนท์ บริเวณเอนโดพลาสซึม มีลักษณะค่อนขา้ งเหลวเปนทีอยู่ของออรแ์ กเนลลต์ ่าง ๆ นอกจากนี ในไซโทซอลยงั อาจพบโครงสรา้ งอืน ๆ เชน่ กอ้ นไขมัน เมด็ สีต่าง ๆ เปนตน้ ออร์แกเนลล์ (Organelles) คือโครงสร้างภายในเซลลท์ ที ําหนา้ ทีเฉพาะ มขี อบเขตและ มีโครงสร้างสัมพันธแ์ ละหน้าทแี ตกต่างกัน คล้ายกบั อวยั วะต่างๆของร่างกาย ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

Cell membrane/Plasma membrane เยือหุ้มเซลล์ ( cell menbrane ) ประกอบด้วยฟอสโฟลพิ ิด และโปรตีน โดยฟอสโฟลิพิดจดั เรยี ง ตัวเปน 2 ชัน (bilayer) หันส่วนทไี มล่ ะลายนําเขา้ หากันและหนั ส่วนละลายนาํ ออกสู่สิงแวดลอ้ ม องค์ประกอบโปรตีนจะแทรกอยูใ่ นชนั บน ส่วนกลาง หรอื ส่วนล่างของชนั ฟอสโฟลิพิด หนา้ ที 1.ห่อห้มุ ของเเหลวและออรแ์ กเนลลส์ ่วนใหญเ่ อาไว้ 2.ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารต่างๆ จากสิงแวดลอ้ มเขา้ สู่เซลล์ และภายในเซลล์ออกสู่สิง แวดลอ้ ม 3.เปนทียึดจบั ของสารโครงรา่ งเซลล์ (cytoskeletal) ทําให้เซลลค์ งรูปอยู่ได้ 4.เปนบริเวณรับ (receptor) ของสารบางชนดิ ไซโทสเกเลตัน ทาํ ให้เกดิ การประสานระหว่าง แม ทริกซ์นอกเซลล์ และไซโทพลาซึมภายในเซลล์ขนึ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

Endoplasmic reticulum (ER) มีลกั ษณะเปนท่อแบนใหญ่ บางบรเิ วณโปงออกเปนถงุ เรียงขนานและซ้อนกนั เปนชนั ๆ ภายในมีของเหลวบรรจุอยู่ และมีทอ่ เชอื มเรียงต่อกนั เปนร่างแหอยลู่ อ้ มรอบนิวเคลียส และ เชือมกับเยอื หุม้ นิวเคลียสทีผวิ นอกของเอนโดพลาสมกิ เรตคิ ูลัม บางบรเิ วณมีไรโบไซมเกาะ ตดิ อยู่ทําให้มองเหน็ ดคู ลา้ ยผวิ ขรขุ ระ เรยี กว่า เอนโดพลาสมิกเรตคิ ูลมั แบบผิวขรขุ ระ บาง บริเวณไม่มไี รโซโซมเกาะติดอยู่ เรยี กว่า เอนโดพลาสมิกเรตคิ ลู มั ผิวแบบเรียบ ทังสองชนดิ มีท่อเชอื มตอ่ ถึงกนั Rough endoplasmic reticulum(RER) พวกนีมี Ribosome มาเกาะทีผนังท่อทาํ ใหม้ ี ผิวขรุขระ และเปนบรเิ วณไรโบโซมสังเคราะห์โปรตนี โดยโปรตนี ทีไรโบโซมสังเคราะหจ์ ะ บรรจอุ ยู่ใน เวสิเตลิ และมกี ารลําเลียงออกไปสู่นอกเซลล์หรอื ถูกส่งต่อไปยงั กอลจิ คอมเพล็กซ์ หรอื ไปเปนส่วนประกอบของ เยือห้มุ เซลลเ์ ปนตน้ เซลล์ทีมี REA มาก คอื เซลลท์ ีผลิตโปรตนี สําหรับใช้นอกเซลล์ เช่น เซลลต์ ับออ่ นทที ําหนา้ ทสี รา้ งเอนไซม์ย่อยสาร อาหารต่างๆ Smooth endoplasmic reticulum(SER ) พวกนีไมม่ ี Ribosome มาเกาะทผี นังท่อ ทาํ ใหม้ ีผวิ เรียบ ทําหนา้ ทีสังเคราะหส์ ารสเตรอยด์ เชน่ ออร์โมนเพศ ไตรกลีเซอไรด์ และ สารประกอบของคอเลสเทอรอล นอกจากนี SER ยังทําหนา้ ทีในการกาํ จัดสารพิษและ ควบคมุ การผา่ นเขา้ ออกของแคลเซียมไอออนในกลา้ มเนือยดึ กระดกู และกล้ามเนอื หวั ใจ เซลล์ทีมSี ER มาก เช่น เซลลส์ มอง ตอ่ มหมวกไต อณั ฑะ และรังไข่ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

Mitochondria ไมโตคอนเดรียเปนอวยั วะทีมกี ารเปลยี นแปลงรูปรา่ งได้อยา่ งรวดเร็วและสามารถแบ่ง ตัวไดด้ ว้ ยทาํ ให้ประเมินขนาดและรูปร่างไดย้ าก แต่โดยทวั ไปมกั มีรูปรา่ งเปนแท่งและมี ขนาดเฉลียยาว 3-5 mm และกวา้ ง 0.5-1.0 mm และมจี ํานวนตงั แต่ 20-105 หนว่ ยต่อ เซลล์ ไมโตคอนเดรยี ประกอบดว้ ยเยือหุ้ม 2 ชนั โดยทเี ยอื หุม้ ชนั นอก (Outer membrane) มีลักษณะหนากว่าเยอื หุ้มชนั ใน (Inner membrane) เยือหมุ้ ทังสองชนั แยกออกจากกัน โดยความกวา้ ง 60-100 Aํ เยือหุม้ ชนั ในจะขดตัว (Invagination) เพือเพิมพืนทผี ิวใหม้ าก ขนึ การขดตวั ทําให้เยอื หมุ้ ชนั ในพับเปนแท่งขึนมาเรียกว่าซสิ ตี (Cristae) ซึงปริมาณการขด ตวั นจี ะขึนอยู่กบั กิจกรรมของไมโตคอนเดรยี ถา้ มมี ากกจ็ ะมีซสิ ตีมากไปดว้ ย ภายในไมโต คอนเดรยี มีของเหลวเรยี กว่า แมททรกิ ซ์ (Matrix) ซึงประกอบดว้ ยโปรตีนและไขมัน ซงึ มคี วามหนาแนน่ และเข้มขน้ ต่าง ๆ กันไป ภายในแมททรกิ ซม์ ีไรโบโซม (Ribosome) และ DNA อยู่ ไมโตคอนเดรียจึงสามารถสร้างโปรตนี ได้เองทีเยือหมุ้ ชนั ในจะมีโปรตนี ทเี กยี วข้อง กับการเคลือนทขี องอีเลคตรอนและกระบวนการ Oxidative Phosphorylation และมี โครงสร้างทีเรียกว่า Elementary particle ฝงตัวอยูท่ ําหน้าทสี ร้าง ATPsynthase เพราะมีเอนไซม์ ATPase อยภู่ ายใน ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

Golgi apparatus / Golgi complax / Golgi body อวยั วะชนดิ นีประกอบดว้ ยหนว่ ยยอ่ ยเรยี กว่ากอลไจ บอดีส์ (Golgi Bodies) หรอื ดิกตี โอโซมส์ (Dictyosomes) ซงึ แต่ละหนว่ ยยอ่ ยนีเปนถุงของเยอื เมมเบรนแบน ๆ เรียงซอ้ น กนั เปนชนั ๆ แตล่ ะชนั เรยี กวา่ ซีสเตอนี (Cisternae) ซึงมักจะมี 4-8 ชัน แตล่ ะชนั จะมี ลกั ษณะคล้ายจานและมีเวสซิเคลิ (Vesicle) อยู่ ปลายซีสเตอล่างสุดของดิกตีโอโซมจะ เรียงขนานอยู่กบั เอนโดพลาสมิค เรตตคิ ิวลัม จงึ เปนทีคาดกนั ว่าซีสตนี แี ตล่ ะชนั เกดิ มาจาก เอนโดพลาสมคิ เรตติควิ ลัมและชนั ทอี ยูบ่ นสุดจะมีอายุมากทีสุด ซงึ ในทีสุดจะกลายเปน เวสซิเคิลจนหมด เวสซเิ คลิ ของซีสเตอชันบนจะเคลอื นไปรวมกับเยอื ห้มุ เซลลแ์ ละเยอื หุ้ม แวคคิวโอ สารประกอบทเี กิดในซีสเตอมีหลายชนดิ เช่น สารประกอบคารโ์ บไฮเดรตและโปรตีน กอลไจ แอพพาราตัสจะเกยี วขอ้ งกับการสังเคราะห์คารโ์ บไฮเดรต เช่น การเจรญิ ของผนัง เซลล์ โดยจะทาํ หน้าทสี ร้างผนงั เซลลใ์ นขณะทีมกี ารแบง่ เซลล์เกดิ ขึนหรอื ในขณะทสี รา้ ง ผนังเซลล์ชนั ทสี อง นอกจากนันยังเกยี วขอ้ งกบั การเจริญของเยือหุ้มเซลลด์ ้วย ในการสังเคราะห์ผนงั เซลลใ์ หมเ่ มือมีการแบง่ เซลล์แบบไมโตซิส (Mitosis) ซงึ จะเกิด เซลล์เพลท (Cell plate) ขนึ นนั เมือโครโมโซมแยกออกจากกนั แล้วจะมีเวสซิเคิลของกอล ไจ แอพพารากัสขนาดประมาณ 100 nm ซงึ มสี ารประกอบคารโ์ บไฮเดรตภายในไปเรยี ง อยู่บรเิ วณทีจะเกดิ เซลล์ และจากนนั เวสซเิ คลิ จะปล่อยคารโ์ บไฮเดรตออกมาตรงบริเวณนนั กลายเปนผนงั เซลลใ์ หม่ ส่วนเยือหุ้มเวสซเิ คิลจะกลายเปนเยอื หุม้ ของเซลล์ใหม่ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

Nucleus คือออร์แกเนลลท์ ีมีเยอื หุม้ พบในเซลลย์ แู ครโิ อต ภายในบรรจสุ ารพันธกุ รรม (genetic material) ซึงจัดเรียงตวั เปนดีเอ็นเอ (DNA) สายยาวรวมตวั กับโปรตนี หลาย ชนดิ เชน่ ฮิสโตน (histone) เปนโครโมโซม (chromosome) ยีน (gene) ตา่ งๆ ภายใน โครโมโซมเหลา่ นี รวมเรยี กว่า นวิ เคลยี ส จีโนม (nucleards genome) หนา้ ทขี อง นวิ เคลียสคอื การคงสภาพการรวมตวั ของยนี เหล่านีและควบคุมการทาํ งานของเซลล์โดยการ ควบคุมการแสดงออกของยีน (gene expression) โครงสร้างหลักของนวิ เคลยี สคอื เยือห้มุ นวิ เคลียส (nuclear envelope) ซึงเปนเยอื สองชันทหี มุ้ ทังออรแ์ กเนลลแ์ ละทําหน้าทแี ยกองค์ประกอบภายในออกจากไซโทพลาซึม (cytoplasm) อีกโครงสรา้ งหนงึ คอื นวิ เคลียรล์ ามนิ า (nuclear lamina) ซงึ เปน โครงสร้างรา่ งแหภายในนวิ เคลยี ส ทาํ หน้าทเี ปนโครงร่างคําจุน ใหค้ วามแขง็ แรงแก่ นวิ เคลยี ส คลา้ ยไซโทสเกลเลตอน (cytoskeleton) ภายในเซลล์ เนืองจากเยือหุ้ม นิวเคลียสมีลกั ษณะเปนเยอื เลอื กผา่ นทโี มเลกุลส่วนใหญผ่ า่ นทะลเุ ขา้ ออกไมไ่ ด้ ดงั นนั เยอื หมุ้ นวิ เคลียสจึงต้องมนี วิ เคลยี ร์พอร์ (nuclear pore) หรือชอ่ งทีจะใหส้ ารเคลือนผ่านเยอื ชอ่ งเหล่านีทะลุผ่านเยือทงั สองของเยอื หมุ้ นิวเคลียสใหโ้ มเลกลุ ขนาดเลก็ และไอออน เคลอื นทีเข้าออกนิวเคลียสได้ การเคลือนทีเข้าออกของสารโมเลกุลใหญ่ เช่น โปรตนี ตอ้ งมี การควบคมุ และต้องใช้โปรตีนชว่ ยขนส่งสาร (carrier proteins) ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

Microtubules ไมโครทวิ บลู ประกอบด้วยโปรตนี หน่วยยอ่ ยคือโปรตีนทวิ บูลิน (tubulin) ซงึ มหี ลาย ชนดิ ได้แก่ แอลฟา-ทิวบลู ิน เบต้า-ทวิ บูลนิ และแกมมา-ทวิ บลู นิ เปนตน้ โดยแกมมา-ทิวบูลิ นนัน จะทาํ หน้าทีเปนฐานเพือให้แอลฟาและเบต้า-ทิวบลู นิ มาต่อเปนสายยาวได้ ซงึ เรียกจดุ แรกในการสรา้ งนีว่า nucleation หลังจากนนั แอลฟาและเบตา้ -ทิวบูลินนนั ทมี ีการจับกัน เปนคูๆ่ (tubulin dimer หรือ heterodimer)จะเข้ามาจบั ตอ่ เปนสายยาวต่อไป เรยี กขนั ตอนนีวา่ elongation ซึงการต่อสายยาวนจี ะหยดุ กต็ ่อเมอื เข้าสู่ระยะสมดุลของการสร้าง (steady stage) คืออตั ราการสรา้ งไมโครทิวบูลทดี ้านหนงึ กับอตั ราการสลายไมโครทิวบลู ที ปลายอีกดา้ นหนึงมีค่าเท่ากนั ซงึ การสรา้ งและการสลายไมโครทิวบลู ในลกั ษณะนเี องทีทาํ ให้ สิงมชี ีวติ เซลลเ์ ดยี วเชน่ อะมบี าสามารถสร้างเทา้ เทียมทใี ชใ้ นการเคลือนทไี ด้ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

Centriole เปนออรแ์ กเนลลท์ ไี มม่ ีเยือหมุ้ เซลล์ พบในเซลลส์ ัตว์และสิงมชี วี ติ เซลล์เดียวเปนบริเวณ ทยี ึดเส้ยใยสปนเดลิ ชว่ ยในการเคลือนทขี องโครโมโซมและแยกโครมาทิดแต่ละคอู่ อกจาก กันขณะเศลล์แบง่ ตวั เซนทรโิ อล แตล่ ะอนั ประกอบด้วยหลอดเลก็ ๆ เรยี กวา่ ไมโครทวิ บูล(Microtubule) เรียงตัวกันเปนกลุ่มๆ กล่มุ ละ 3 หลอด มที งั หมด 9 กลุม่ แตล่ ะกล่มุ เชอื มต่อกันเปนแท่งทรงกระบอก โดยมีโปรตีนบางชนดิ ชว่ ยยดึ ระหว่างกลมุ่ ของไมโครทวิ บูล บริเวณไซโทพลาซมึ ทีอยู่ลอ้ มรอบเซนทรโิ อลแต่ละคู่ เรียกว่า เซนโทร โซม(Centrosome)ซงึ เปนแหลง่ กําเนดิ เส้นใยสปนเดิล ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

Lysosome เปนออร์แกเนลล์ทมี ขี นาดเลก็ กวา่ ไมโตคอนเดรยี มเี ส้นผา่ ศูนยก์ ลางประมาณ 0.15-0.8 ไมครอน จึงไม่สามารถ มองเหน็ ได้ด้วยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ธรรมดา พบเมอื ป พ.ศ. 2495 โดย ดูจากกลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเล็กตรอน คล้ายถงุ ลม ซงึ ภายในมีเอนไซม์หลายชนิดทําหนา้ ทเี กยี ว กับการยอ่ ยสลาย เยอื หุ้มเซลล์เปนเยือชนั เดยี วซึงไม่ยอมใหเ้ อนไซมต์ า่ ง ๆ ผ่านออก แต่ เปนเยือทีสลายตวั หรอื รัวไดง้ ่าย เมือเกดิ การอกั เสบของเนอื เยอื หรอื ขณะทมี ีการเจริญ เตบิ โต เยอื ห้มุ ชันนีมีความทนทานตอ่ ปฏิกิริยาการยอ่ ยของเอนไซม์ทีอยู่ภายในได้ เอนไซมท์ ี อยูใ่ นถงุ ของไลโซโซมนเี ชือกันวา่ เกดิ จากไรโบโซมทีอยู่บน ERE สรา้ ง เอนไซมข์ นึ แล้วส่ง ผา่ นไปยงั กอลจบิ อกดี และหลุดเปนถุงออกมา ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

การลาํ เลยี งเข้าออกของเซลล์ Cell Transportation การลําเลยี งแบบไม่ใชพ้ ลังงาน (passive transport) การแพร่ diffusion 1.การแพรธ่ รรมดา (Simple Diffusion) คือการเคลอื นทขี องสาร โดยไมอ่ าศัยตวั พาห รือตวั ช่วยขนส่ง (Carrier) ใดๆ เช่น การแพรข่ องผงด่างทบั ทิมในนํา จนทาํ ให้นํามีสีมว่ ง แดงทวั ทงั ภาชนะ การไดก้ ลินผงแปง หรอื การไดก้ ลนิ นาํ หอม เปนต้น 2.การแพรโ่ ดยอาศัยตวั พา (Facilitated Diffusion) ซงึ เกิดขนึ เฉพาะในเซลล์ของสิง มชี วี ติ เท่านนั คือการเคลือนทขี องสารบางชนิดทไี ม่สามารถแพรผ่ ่านเยอื หุ้มเซลล์ได้ โดยตรง จงึ ต้องอาศัยโปรตนี ตวั พา (Protein Carrier) ทฝี งอยูบ่ ริเวณเยือหมุ้ เซลลท์ ํา หนา้ ทรี บั ส่งโมเลกลุ ของสารเข้า-ออก โดยมีทศิ ทางการเคลือนทจี ากบริเวณทมี ีความเขม้ ข้นสูงไปยงั บรเิ วณทมี ีความเข้มข้นตาํ เช่น การลาํ เลียงสารทเี ซลลต์ บั และเซลลบ์ ผุ ิว ลาํ ไส้เลก็ หรอื การเคลอื นทีของนาํ ตาลกลูโคสเข้าสู่เซลลก์ ลา้ มเนือ เปนต้น ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

การออสโมซสิ (Osmosis) การเคลอื นทขี องสารละลายทีมีความเขม้ ข้นตาํ (นํามาก)ไปยงั บริเวณทีมีความเขม้ ขน้ ของสารละลายสูง(นาํ น้อย) โดยผา่ นเยอื เลอื กผ่านจนกระทังถึงจดุ สมดุลเมอื อัตราการ เคลอื นทีของนําผา่ นเยือเลอื กผ่านไปและกลับมคี ่าเท่า ๆ กันซึงการออสโมซิสอาจถือไดว้ า่ เปนการแพรอ่ ยา่ งหนึง การออสโมซิสจะมผี ลทําใหร้ ูปรา่ งของเซลล์เปลียนแปลง ดงั นี 1. Isotonic solution คอื ความเข้มขน้ ของสารละลายภายในเซลลแ์ ละภายนอกเซลล์เท่า กัน ทาํ ใหเ้ ซลลม์ รี ูปร่างปกติ 2. Hypertonic solution คือความเข้มข้นของสารละลายภายนอกสูงกวา่ ภายในเซลล์ นําในเซลลจ์ งึ ออสโมซิสออกจากเซลล์ เซลล์จะมสี ภาพเหยี ว เรียกกระบวนการแพร่ของนํา ออกมาจากไซโทพลาสซมึ และมผี ลทาํ ใหเ้ ซลล์มีปริมาณเล็กลงนวี า่ เอกโซสโมซิส (Exosmosis) หรือพลาสโมไลซสิ (Plasmolysis) 3. Hypotonic solution คือความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลลส์ ูงกวา่ ภายนอก เซลล์ นาํ จงึ ออสโมซิสเข้ามาในเซลล์ทาํ ให้เซลลแ์ ตกหรอื เซลลเ์ ต่งในเซลล์พืช เรียก ปรากฏการณ์นวี ่า เอนโดสโมซสิ (Endosmosis) หรือพลาสมอบไทซสิ (Plasmoptysis) ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

การแบ่งเซลล์ การแบ่งนวิ เคลยี ส แบ่งออกได้เปน 2 แบบ คอื 1.การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโทซสี ทาํ ให้เรียกการแบง่ เซลล์นีวา่ การแบง่ เซลลแ์ บบ ไมโทซสี 2.การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโอซีส ทาํ ให้เรยี กการแบ่งเซลล์นวี า่ การแบ่งเซลล์แบบ ไมโอซีส การแบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ (mitosis) เปนการแบ่งเซลล์เพือเพิมปริมาณเซลลภ์ ายในรา่ งกาย (somatic cell) ของสิงมชี ีวิต โดย ในเซลล์ร่างกายจะมีจํานวนโครโมโซมอยู่ 2 ชดุ (2n) หรอื ดิพลอยด์ (diploid) และเมอื ผ่าน กระบวนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสจนสมบูรณ์แล้ว จะไดเ้ ซลล์ใหม่ 2 เซลล์ ทมี โี ครโมโซม 2 ชุดเท่าเดมิ และมลี กั ษณะทางพันธกุ รรมเหมือนเดิมทุกประการ ทาํ ให้มีจาํ นวนเซลลใ์ น ร่างกายเพิมมากขนึ สิงมชี วี ิตจงึ เจริญเตบิ โตมากขึน ขนั ตอนการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส สามารถจําแนกได้เปน 2 ขนั ตอนใหญ่ ดังนี 1.ระยะอินเตอรเ์ ฟส (interphase) เปนระยะเตรยี มความพร้อมของเซลลใ์ นระยะนีจะมี นวิ เคลียสขนาดใหญ่ และเมือนาํ เซลลม์ ายอ้ มสีแล้วมองผ่านกล้องจุลทรรศนจ์ ะเห็นนิว คลโี อลัสภายในนิวเคลยี สไดอ้ ยา่ งชดั เจน 2.ระยะการแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส (mitotic phase หรอื M phase) เปนระยะทมี ีการ แบง่ นวิ เคลยี ส ใชร้ ะยะเวลาในการเกิดช่วงสัน ๆ แล้วจะตามด้วยการแบง่ ไซโทพลาซมึ การแบง่ นวิ เคลียสแบบไมโทซิส แบ่งไดเ้ ปน 4 ระยะ คอื 3.ระยะโพรเฟส (prophase) เปนระยะทโี ครมาทินม้วนขดตัว จนสามารถมองเห็นแท่ง โครโมโซมอยู่เปนคูย่ ึดติดกนั อยู่ทเี ซนโทรเมยี ร์ (centromere) เยอื ห้มุ นวิ เคลยี สและ นวิ คลโี อลสั หายไป 4.ระยะเทโลเฟส (telophase) เปนระยะทีโครโมโซมในแตล่ ะขัวของเซลลม์ กี ารคลายตวั เปนเส้นยาว เยอื หุม้ นิวเคลียสและเยือหมุ้ นวิ คลีโอลัสเรมิ ปรากฏใหเ้ หน็ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

การแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ (meiosis) เปนการแบง่ เซลลท์ ที าํ ใหเ้ กดิ การลดจาํ นวนโครโมโซมภายในนิวเคลียสลงเหลือเพียงชุด เดยี ว (n) เปนการแบง่ เซลล์เพือสร้างเซลลส์ ืบพันธุ์ โดยเซลล์ทที ําหนา้ ทแี บง่ เซลลแ์ บบไมโอ ซสิ นี เรียกว่า โกแนด (gonad) ในเพศหญงิ จะพบเซลล์ชนดิ นใี นรังไข่ ซึงทาํ หน้าทีสร้างไข่ (ovum) ส่วนในเพศชายจะพบเซลลช์ นิดนีในอัณฑะ (testis) ซงึ ทาํ หนา้ ทสี รา้ งตวั อสุจิ (sperm) กระบวนการแบง่ เซลล์แบบไมโอซสิ จะมกี ารแบง่ เซลลต์ อ่ เนืองกนั 2 รอบ เรียกการแบ่ง เซลลร์ อบแรกว่า ไมโอซิส 1 และเรยี กการแบ่งเซลล์รอบสองว่า ไมโอซิส 2 ซึงมีลักษณะ การแบ่งเซลล์ทีแตกตา่ งกนั ดังนี 1.) ไมโอซิส 1 เปนระยะแบง่ เซลลท์ ีทําใหไ้ ด้เปนเซลล์ใหม่ 2 เซลล์ โดยแตล่ ะเซลล์จะมี จาํ นวนโครโมโซมเพียงครงึ หนงึ ของเซลลเ์ ดิม เรียกว่า แฮพลอยด์เซลล์ (n) โดยมขี ันตอน ดงั นี 1.อินเตอรเ์ ฟส 1 เปนระยะเตรียมความพร้อมของเซลล์ เช่นเดียวกนั กบั ระยะอนิ เตอร์ เฟสในไมโทซสิ 2.โพรเฟส 1 เปนระยะทมี ีการเปลยี นแปลงหลายประการ โดยเรมิ ตังแตส่ ายโครมาทินหด ตัวพันกันหนาแนน่ กลายเปนแท่งโครโมโซม จากนันคู่โฮโมโลกสั โครโมโซมจะมาเขา้ คู่ กัน โดยในระหวา่ งการเข้าค่กู นั คโู่ ฮโมโลกสั โครโมโซมจะมกี ารเปลียนแปลงชินส่วน ของโครโมโซม ทําให้ลักษณะของสิงมีชีวติ บนโครโมโซมกี ารเปลยี นแปลง จึงเปน สาเหตุของการแปรผนั ตา่ ง ๆ ในสิงมีชีวติ 3.เมทาเฟส 1 เปนระยะทคี ู่โฮโมโลกัสโครโมโซมมาเรียงตวั กันอย่กู ลางเซลล์ จงึ ทาํ ให้ เหน็ เปนแถวโครโมโซมเรียงตวั 2 แถว คู่กัน 4.แอนาเฟส 1 เปนระยะทีคโู่ ฮโมโลกัสโครโมโซมถกู ดงึ ให้แยกตวั จากกนั ไปยังขวั ตรง ขา้ มของเซลล์ จึงเกิดเปนโครโมโซมทมี ีลักษณะเปนแฮพลอยด์ 5.เทโลเฟส 1 เปนระยะทีโครโมโซมถกู แบ่งเปน 2 กลมุ่ ทแี ต่ละขวั ของเซลล์ มกี ารสรา้ ง เยอื หุ้มนิวเคลียสและการแบง่ แยกส่วนไซโทพลาซึมจนเกิดเปนเซลล์ลกู 2 เซลล์ ซงึ มี โครโมโซมแบบแฮพลอยด์ และโครโมโซมจะมีการคลายตัวออกก่อนทจี ะเขา้ สู่ระยะไม โอซสิ 2 ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

2) ไมโอซสิ 2 เปนการแบ่งเซลลท์ ีทําใหจ้ ํานวนเซลลใ์ หม่เพิมขนึ จาก 2 เซลล์ ไปเปน 4 เซลล์ โดยจะยงั คงจํานวนชุดโครโมโซมเดิมทีเปนแฮพลอยด์ การแบ่งเซลลใ์ นขันตอนนี จะมีลกั ษณะคล้ายกบั การแบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิส เว้นแตไ่ มม่ กี ารสังเคราะหโ์ ครโมโซม ใหม่ ดงั นี 1.โพรเฟส 2 เยือหุ้มนิวเคลียสสลายไปโครโมโซม หดสันมากขึน จนทาํ ให้เห็นแท่ง โครโมโซมได้อยา่ งชัดเจน 2.เมทาเฟส 2 โครโมโซมมาเรยี งตวั ในแนวกลางของเซลล์ 3.แอนาเฟส 2 แทง่ โครโมโซมถกู ดงึ แยกจากกันกลายเปนแท่งเดียว ไปรวมกันอยู่ที แตล่ ะขวั ของเซลล์ 4.เทโลเฟส 2 โครโมโซมมารวมกนั ทีขัวเซลล์และมกี ารสรา้ งเยือหุม้ นวิ เคลียสจนได้ 4 นวิ เคลยี สแตล่ ะนวิ เคลยี สมีโครโมโซมเปนแฮพลอยด์ หลงั จากนันจงึ เกดิ การแบ่งไซ โตพลาซมึ ไดเ้ ปนเซลล์ใหม่ 4 เซลล์ โครโมโซมในนวิ เคลียสจึงเริมคลายตวั กลบั เปน สายยาว ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

เซลลเ์ ม็ดเลือด องค์ประกอบของเลือด ในร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยเลือดประมาณ 5 ลิตร หรือ 7-8 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องนํา หนกั ตัว นนั หมายถึง คนทมี ีนาํ หนกั ตัว 50 กิโลกรัม จะมีเลอื ดอยู่ 3-4 กโิ ลกรัม ส่วนประกอบของเลอื ด เลอื ดประกอบดว้ ยส่วนทีเปนของเหลว เราเรยี กว่า นําเลอื ดหรือพลาสมา (Plasma) และ ของแขง็ ซงึ เปนส่วนของเซลลเ์ ม็ดเลือดและเกล็ดเลอื ด 1. นาํ เลอื ดหรอื พลาสมา (Plasma) ในเลอื ดประกอบไปดว้ ยนําเลือดหรอื พลาสมา 55 เปอรเ์ ซ็นต์ และใน 55 เปอรเ์ ซน็ ตน์ ีก็ ประกอบไปด้วยนาํ เปนส่วนใหญ่ ส่วนทเี หลอื อนื ๆ เปนโปรตนี วิตามนิ เกลอื แร่ เอนไซม์ ฮอรโ์ มน ซงึ สิงเหลา่ นจี ะถกู ลาํ เลยี งไปยงั เซลล์และอวยั วะเปาหมาย จากนันพลาสมาจะรบั ของเสียจากเซลล์ เช่น ยูเรยี เพือนาํ ไปกาํ จดั ออกนอกร่างกายตอ่ ไป ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

2. เซลลเ์ มด็ เลือด 2.1 เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดง (Red Blood Cells, RBCs หรอื Erythrocytes) มีหน้าทขี นส่ง ออกซเิ จนจากปอดไปสู่เซลลต์ า่ ง ๆ และนําก๊าซคารบ์ อนไดออกไซดก์ ลับมาทีปอด เซลลเ์ มด็ เลือดแดงมีลกั ษณะกลมแบน แต่มรี อยบ๋มุ ตรงกลางเพือเพิมพืนทีในการขนส่งออกซเิ จน ไม่มี นิวเคลยี สและไมโทคอนเดรยี ใชพ้ ลังงานจากการหายใจแบบไมใ่ ช้ออกซเิ จน (Anaerobic Respiration) เส้นผา่ นศูนยก์ ลางของเซลล์เม็ดเลอื ดแดงมีขนาด 7 ไมครอน หนา 2.2 ไมครอน ประกอบดว้ ย ฮีโมโกลบนิ ซงึ เปนโปรตีนทมี ธี าตุเหล็กเปนองค์ประกอบ ในเลอื ดจะมี เซลล์เมด็ เลอื ดแดงอยู่ 45 เปอรเ์ ซน็ ตข์ องเลอื ดทังหมด โดยสรา้ งจากไขกระดกู และมอี ายุ 120 วัน หลังจากนนั จะถกู ส่งไปทําลายทตี ับ ม้าม และไขกระดกู 2.2 เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว (White Blood Cells, WBCs หรอื Leucocytes) เซลล์เมด็ เลอื ดขาว มีเส้นผา่ นศูนย์กลางประมาณ 8 ไมครอน มนี ิวเคลยี สขนาดใหญ่ มีอายุ 2-14 วนั ทําหนา้ ที ตอ่ สู้กบั เชือโรคด้วยวธิ ีต่าง ๆ กัน แบง่ เปน 2 กล่มุ ได้แก่ 1) เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาวทมี แี กรนูล (Granules) อย่ใู นไซโตพลาซมึ สร้างจากไขกระดกู - นิวโทรฟล (Neutrophil) เปนเซลลท์ ียอ้ มแล้วจะเหน็ เปนสีเทา ๆ มีจาํ นวน 60-70 เปอรเ์ ซ็นตข์ องเมด็ เลอื ดขาวทังหมด ทาํ หนา้ ทตี ่อสู้กบั แบคทีเรียและเชือรา โดยการกินและ ปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมาย่อยสลายแบคทีเรยี หรอื ทีเรียกว่า วธิ ฟี าโกไซโทซสิ จากนนั จะตายไป พรอ้ มกับแบคทเี รียและกลายสภาพเปนหนอง - อโี อซโิ นฟล (Eosinophil) เปนเซลล์ทยี อ้ มติดสีชมพู มหี น้าทปี องกันการแพ้พิษ และตอ่ สู้กบั ปรสิตโดยวธิ ฟี าโกไซโทซสิ เช่นเดยี วกบั นิวโทรฟล - เบโซฟล (Basophil) เปนเซลลท์ ียอ้ มติดสีนําเงิน มีหน้าทปี องกันเชือโรคโดยการหลังสารฮิส ตามีน ซึงเปนสาเหตขุ องอาการอกั เสบ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

2) เซลล์เมด็ เลือดขาวประเภททีไม่มีแกรนลู อย่ใู นไซโตพลาซมึ สรา้ งจากม้าม ตอ่ มไทมสั และตอ่ มนาํ เหลือง - ลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) มี 2 ชนิดคือ T-cell เจริญและพัฒนาทีตอ่ มไทมสั ปองกนั สิง แปลกปลอมหรอื เชอื โรคโดยการเข้าปะทะโดยตรง และ B-cell เจรญิ และพัฒนาทไี ขกระดูก ปองกนั สิงแปลกปลอมหรือเชอื โรคโดยการสรา้ งแอนติบอดขี นึ มาตอ่ ต้าน - โมโนไซต์ (Monocyte) เปนเซลล์เม็ดเลือดขาวทีมขี นาดใหญท่ ีสุด รูปรา่ งของนิวเคลียสมี ลักษณะคลา้ ยไต กาํ จัดไดท้ ังแบคทีเรยี เชือรา ไวรัส และปรสิต โดยวิธฟี าโกไซโทซิส 3. เกล็ดเลือดหรอื เพลตเลต (Platelet) มาจากเศษของ Megakaryocytes ทพี บในไขกระดูก ไม่มนี วิ เคลียส อายุของเกล็ดเลอื ด ประมาณ 5-9 วนั หลังจากนนั จะถกู ทาํ ลายทีตับและมา้ ม เกลด็ เลอื ดทําหน้าทชี ว่ ยใหเ้ ลือด แขง็ ตัว โดยการปลอ่ ยสารทรอมโบพลาสตนิ ซงึ เปนเอนไซม์ชนดิ หนึงออกมา ทรอมโบพลาสติ นจะไปกระต้นุ โพรทรอมบนิ ให้กลายเปนทรอมบิน ทรอมบนิ กระตนุ้ ไฟบรโิ นเจนใหก้ ลายเปน ไฟบริน ซึงจะรวมตวั สานกันในลักษณะตาขา่ ยเพือปดบาดแผลไว้ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

เนือเยอื เนอื เยอื บุผวิ (Epithelial tissue) เนือเยือบุ เปนเนอื เยอื ทีปกคลมุ ผวิ นอกร่างกายหรอื ผิวทอ่ อวยั วะภายใน มหี น้าทีรับความ รู้สึก เช่น ทผี ิวหนงั เกียวกบั การดูดซมึ เชน่ เยือบุผิวทางเดนิ อาหาร การสร้างสาร และ การหลงั สาร เชน่ ทีต่อมนาํ ลายและตอ่ มเหงือ เปนตน้ เซลล์เยอื บุผิวแบ่งตามลักษณะรปู ร่างออกเปน3 แบบ คอื 1. squamous epitheliumเซลลม์ ีรูปรา่ งแบนบาง 2.cuboidal epitheliumเซลลม์ ีรปู รา่ งทรงกระบอกไมส่ ูงมาก หรือคล้ายลูกบาศก์ มองทาง ดา้ นขา้ งคล้ายลูกเตา๋ แต่แท้จรงิ แล้วมรี ปู รา่ งเปนทรงแปดเหลียม 3. columnar epitheliumเซลล์คล้ายทรงกระบอก หรอื เสาเลก็ ๆ เมอื มองทางดา้ นข้าง นวิ เคลียสมักใกลฐ้ านของเซลล์ ถา้ มีซีเลยี ทีผวิ หนา้ ดา้ นทเี ปนอิสระ ทําหนา้ ทโี บกพัดสารตา่ ง ๆ ไปทศิ ทางเดียว เรยี กเปน ciliated columnar epithelium เช่น ทที างเดินหายใจของคน ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

เซลล์เยอื บุผิวแบง่ ตามจํานวนชันของเซลลอ์ อกเปน3 แบบ คือ 1. Simple ประกอบดว้ ยเซลลเ์ รยี งตวั ชนั เดยี ว 2. Stratified ประกอบด้วยเซลลเ์ รยี งตวั หลายชนั มีเซลลช์ นั ล่างสุดชนั เดียว ทตี ดิ อย่กู ับ basal lamina การจาํ แนกประเภทใหอ้ าศัยสังเกตรปู รา่ งลกั ษณะ เซลล์ทีอยดู่ ้านบน เนอื เยือนีสามารถทนต่อแรงดึงหรือกดได้มากกวา่ 3. Pseudostratified with cilia มักเปน pseudostratified columnar epithelium ลักษณะเซลล์เรียงตัวเปนชนั เดียว แต่ตาํ แหน่งของนิวเคลียสซอ้ น กันจนมองดูเหมอื นกบั วา่ เซลลม์ หี ลายชนั การระบชุ นิดเซลล์นีสามารถสังเกตได้ ว่ามซี เี ลยี (เซลลท์ เี ปนซูโดสแตรทฟิ ายดอ์ าจจะมซี เี ลีย แตเ่ ซลล์ทเี ปนสแตรทิ ฟายดจ์ ะไมม่ ีซเี ลยี ) เซลลท์ ีมีขนจะแข็งแรงกวา่ เซลลป์ กติประมาณ 10 เท่า หนา้ ทีของเนือบผุ วิ 1. การปองกนั (Protection) เชน่ เนอื บุผวิ ทีปกคลมุ ร่างกาย เพือปองกนั เชอื โรค การถกู เสียดสีทาํ ลายและการสูญเสียนําออกจากรา่ งกาย 2. การดดู ซมึ (Absorption) เชน่ เนอื บุผวิ ทีบลุ าํ ไส้เลก็ ทําหนา้ ทดี ูดซึมสารอาหารเขา้ สู่ หลอดเลอื ด 3. การหลงั สาร(Secretion) เช่น ต่อมตา่ งๆทที าํ หนา้ ทสี ร้างhormoneเพือควบคมุ การ ทํางานของรา่ งกาย 4.การขบั สาร(Excretion) เชน่ การขนส่งแกส๊ CO2 ผา่ นเยือบผุ ิวของถงุ ลมในปอดออกมา 5. การขนส่งหรือลาํ เลียง (Transportation) เช่น เนอื เยือบุผวิ ทีดัดแปลงไปทาํ หนา้ ทีเปน ท่อ เชน่ ท่อของต่อมเหงอื ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

เนอื เยือเกียวพัน (Connective tissue) เปนเนือเยือทพี บแทรกอย่ทู วั ไปในร่างกาย ทําหนา้ ที ยดึ เหนียวหรือพยุงอวัยวะ ใหค้ งรปู อย่ไู ดล้ กั ษณะของเนอื เยอื ชนดิ นี คือตัวเซลลแ์ ละเส้นใย กระจายอยู่ ในสารระหวา่ งเซลลท์ เี รยี กว่า เมทริกซ์ (matrix) ซึงเส้นใยทพี บ ได้แก่ - เส้นใยคอลลาเจน(collagen fiber) มลี ักษณะเปนเส้นเหนียวแขง็ แรง อยู่รวมกนั เปนมดั ใหญ่ - เส้นใยอิลาสติก (elastic fiber) เปนเส้นใยทมี คี วามยืดหยุ่นมาก แตกเปนแขนง ยอ่ ยส่งไปเชือมกับแขนงของเส้นอืน - เส้นใยรา่ งแห(reticular fiber) มลี ักษณะคล้ายเส้นใยคอลลาเจน แตเ่ ปนเส้น บางกวา่ กระจายอยทู่ ัวไป เส้นใยชนดิ นีจะมองไม่เหน็ ถ้ายอ้ มดว้ ยสีย้อมเนอื เยือทัวไป ต้อง ย้อมดว้ ยสี silver stain เนอื เยอื เกยี วพันแบง่ เปน 4 กล่มุ ได้แก่ 1. เนือเยอื เกียวพันสมบรู ณ์ (connective tissue proper) 2. กระดูกออ่ น (cartilage) 3. กระดูกแขง็ (bone) 4. เลอื ด (blood) 1. เนือเยือเกยี วพันสมบรู ณ์ (connective tissue proper) ลักษณะเมทริกซเ์ ปนเส้นใยกระจายอยู่แตกตา่ งกัน ทาํ ใหแ้ บ่งเนอื เยอื เกยี วพันชนิดนี เปน 2 ประเภทคอื (1) เนือเยอื เกยี วพันชนิดโปรง่ บาง (loose connective tissue) เปน เนือเยือมีเส้นใยเรยี งตัว ไม่เปนระเบยี บ ชนิดทพี บมาก ได้แกค่ อลลาเจนและ อิลาสติ ก สําหรับเส้นใยร่างแหพบเลก็ นอ้ ย เซลล์ทีพบในเนือเยือเกียวพัน ชนิดโปร่งบาง ได้แก่ - เซลล์ไฟโบรบลาสต์(fibroblast) - เซลลแ์ มโครฟาจ (macrophage) - เซลลแ์ มสต์ (mast cell) - เซลล์พลาสมา (plasma cell) - เนือเยอื เกียวพันชนิดแนน่ ทบึ (dense connective tissue) - เนือเยอื ไขมัน(adipose tissue) เซลล์ประเภทนีพบอยู่ระหวา่ งเนอื เยือชนดิ ต่างๆ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนงั

(2) เนือเยอื เกยี วพันชนดิ แนน่ ทบึ พบปรมิ าณเส้นใยมากอยตู่ ดิ กนั แนน่ ทึบ ทาํ ให้ มีช่องวา่ ง ระหวา่ งเซลล์น้อยแบง่ เปน 3 ลักษณะคือ - ชนิดเกียวพันทึบ พบตามเอน็ กลา้ มเนอื (tendon) และเอน็ ยึด (ligament) ประกอบ ด้วยเส้นใย คอลลาเจนเรียงตวั หนาแนน่ สีขาว - ชนดิ ยืดหยนุ่ (elastic connectivetissue)พบทีผนงั หลอดเลือด กลอ่ งเสียง หลอดลม และปอด ประกอบด้วยเส้นใยอลิ าสตกิ สีเหลอื ง ทําหนา้ ทีให้ความแขง็ แรงและยืดหยนุ่ ไดด้ ี - ชนดิ ร่างแห (reticularconnective tissue) ตวั เซลล์เปนเซลล์ร่างแห (reticular cell) มแี ขนง แยกออกไปติดตอ่ กบั เซลลข์ ้างเคียง 2. กระดูกอ่อน (cartilage) พบอย่ตู ามส่วนของโครงกระดกู โดยเฉพาะบรเิ วณทกี ระดูกมกี ารเสียดสีกนั ประกอบด้วย เมทรกิ ซ์ ซงึ เปนสารพวกมิว โคพอลิแซ็กคาไรด์ ชนิดคอนโดรมวิ คอยด์ (condromucoid) มลี ักษณะคลา้ ย วุ้นเซลลก์ ระดูกออ่ น เรยี กว่า คอนโดรไซต์ (chondrocyte) มรี ูปรา่ งกลมหรือ รปู ไข่ อาจพบ 1-4 เซลล์ เรยี งตวั อยูใ่ นช่องว่างทเี รยี กวา่ ลาคนู า (lacuna) กระดูกออ่ นสามารถพบไดท้ ใี บหู ฝาปดกลอ่ งเสียง (epiglottis)กลอ่ ง เสียง(trachea) กระดกู ออ่ นกนั ระหว่าง กระดกู สันหลงั แตล่ ะข้อ (intervertebral disc) เปนตน้ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

3. กระดูกแขง็ (bone) ประกอบดว้ ยเซลลก์ ระดูกทีเรยี กว่า ออสทโี อไซต์ (osteocyte) อย่ใู นช่องลาคนู า โดยเซลล์กระดกู จดั เรยี งตวั เปน วงรอบชอ่ ง ฮาเวอรเ์ ชียน (harversian canal) ทมี ี เส้นเลือดนาํ อาหารมาเลยี งเซลลก์ ระดูกและเรียกลกั ษณะ การเรยี งตวั ของ เซลลก์ ระดกู นีว่า ระบบฮารเ์ วอร์เชียน (harversian system) ช่องฮาร์เวอร์เชยี นสามารถตดิ ต่อกับ ช่องลาคู นาหรือระหว่าง ช่องลาคูนาดว้ ยกนั เองโดยผา่ นช่องเลก็ ๆ ทเี รยี กว่า คานาลิคไู ล (canaliculi) สารระหว่างเซลลก์ ระดูก ประกอบด้วยแคล เซยี มและฟอสเฟตเปนองค์ ประกอบสําคัญ 4. เลอื ด (blood) ประกอบดว้ ย นําเลือด (plasma) เซลลเ์ ม็ดเลือด ซงึ แบ่งเปน - เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง (red blood cell or erythrocyte) เซลล์เมด็ เลือดแดง มี รงควัตถุฮีโมโกลบิน (hemoglobin)ทําหนา้ ที ลาํ เลยี งออกซเิ จนและคารบ์ อนไดออกไซด์ - เซลลเ์ มด็ เลือดขาว (white blood cell or leucocyte) เซลล์เม็ดเลอื ดขาวทํา หน้าทีทําลายสิงแปลกปลอมทีเข้าสู่ร่างกาย มี 2 ประเภท คือ พวกทีมีเม็ดแกรนลู (granule) พิเศษในไซโทพลาสซมึ (granulocyte) สามารถ ยอ้ มติดสี ไดด้ ี เซลลเ์ ม็ดเลือดขาวในกลุ่มนี ไดแ้ กน่ วิ โทรฟล (neutrophil) เซลล์มี นวิ เคลียส 2-6 พู โอซโิ นฟล (eosinophil) เซลลม์ นี ิวเคลียสไมเ่ กิน 3 พู และเบโซฟล (basophil) เซลลม์ ีนวิ เคลยี สขนาดใหญ่ แยกเปนพูรปู ตวั เอส (s) หรอื รูปร่างไม่แนน่ อน ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

พวกทไี มม่ ีเมด็ แกรนลู ในไซโทพลาสซึม (agranulocyte) ได่แก่ ลมิ โฟไซต์ (lymphocyte) เซลล์มีนวิ เคลยี สกลมมี ขนาดใหญ่ ขนาดใกลเ้ คียงกบั เซลลเ์ มด็ เลือดแดง และเซลล์โมโนไซต์ (monocyt) นิวเคลยี สมีขนาดใหญ่ รูปไต หรือรปู รี เกล็ดเลอื ด (thrombocyte) เกลด็ เลอื ด เปนชินส่วนของไซโทพลาซึม (cytoplasm) ของเซลลช์ นิด หนงึ ในไขกระดูกทีแตก ออกจากกัน เขา้ มาอยูใ่ นกระแสเลือดไมม่ ีสี และไม่มีนวิ เคลยี ส ทาํ หนา้ ทเี กียวกบั การแขง็ ตวั ของเลอื ด เนือเยอื กล้ามเนอื เนอื เยือกลา้ มเนือ มหี นา้ ทีเกียวกบั การเคลอื นไหวของรา่ งกาย โดยสามารถหดตัวได้ เซลล์ กล้ามเนือ มรี ปู ร่างยาวมกั เรียกว่า ใยกล้ามเนือ (myofibril) แบง่ เปน 3 ชนดิ คือ กล้ามเนอื ลาย (skeletal or striated muscle) เปนกลา้ มเนอื ขนาดใหญอ่ ยู่ตดิ กบั กระดูก เช่น กลา้ มเนอื ทีแขนขา จงึ ทาํ หนา้ ทีเกียวกบั การเคลือนไหวของร่างกายโดยตรง มี รปู ร่างเปนทรงกระบอก เรียงตวั ขนานกนั มีลาย แตล่ ะเซลล์มี หลายนวิ เคลียสการทํางาน ของกล้ามเนอื นอี ยูภ่ ายใตอ้ าํ นาจจิตใจ กล้ามเนือเรยี บ (smooth muscle) พบทอี วยั วะภายใน เช่นทีผนังของทางเดนิ อาหาร มดลกู เส้นเลอื ด และอวัยวะภายในอนื ๆ เซลลม์ รี ปู รา่ งยาวหัวทา้ ยแหลมแตล่ ะเซลล์มี นิวเคลียส 1 อนั อยกู่ ลางเซลล์ ไม่มีลายตามขวาง กล้ามเนอื หวั ใจ (cardiac muscle) พบทีผนังหัวใจ เซลลม์ ลี ายคล้ายกล้ามเนอื ลาย พบนวิ เคลยี ส 1-2 อนั อยกู่ ลางเซลล์ และเซลล์มแี ขนงเชือมต่อกัน การทํางานของกล้ามเนือ นีอยู่ภายนอกอาํ นาจจิตใจ ระบบเซลล์ เนือเยอื และผวิ หนัง

เนอื เยือประสาท (neurous tissue) เนอื เยอื ประสาท ประกอบดว้ ย 1. เซลลป์ ระสาท (neuron) ทําหน้าทรี ับส่งกระแสประสาท 2. เซลลเ์ กยี วพันประสาท (neuroglia) มีหนา้ ทีสนับสนนุ การทาํ งานของเซลลป์ ระสาท เช่นยดึ เหนียหรอื คําจุนเซลล์ประสาท ซอ่ มแซมบาดแผลทีเกดิ ขึนกบั เซลล์ประสาท เปนตน้ เซลล์ประสาทแต่ละเซลล์ ประกอบด้วย ตวั เซลล์ ซึงอยู่ในชันสีเทา (grey matter) ของระบบประสาทไขสันหลงั และระบบประสาท ส่วนกลาง เซลล์ประสาทมีลกั ษณะกลมขนาดใหญ่ มีนิวเคลยี สอยตู่ รงกลาง แขนงประสาท แบ่งเปน 2 พวก คอื – เดนไดรต์ (dendrite) ทีเปนแขนงประสาทขนาดสันทําหนา้ ทีรับกระแสประสาท (impulse) เขา้ สู่ตัวเซลล์ – แอกซอน(axon) เปนแขนงประสาทลักษณะยาวไมม่ ีแขนงแตกออกใกล้กับตวั เซลล์ แอกซอน ทาํ หน้าทีนํา กระแสประสาทออกจากตวั เซลล์ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

ผิวหนงั ผิวหนังเปนอวยั วะห่อห้มุ ร่างกายภายนอกทวั ๆไป มีพืนทีทัวรา่ งกายประมาณ 1.17- 1.95ตารางเมตร มคี วามหนาในบรเิ วณต่างๆไม่เทา่ กนั บริเวณทีหนามากทสี ุดได้แกฝ่ ามอื และฝาเท้าผิวหนังมตี ่อมเหงือและต่อมไขมันรวมอยดู่ ว้ ย นอกจากนนั ผวิ หนงั สามารถบ่งบอก อายขุ องคนได้อีกด้วย หน้าทีของผวิ หนัง 1. ห่อหมุ้ รา่ งกายและปองกันอันตรายทจี ะเกดิ ขนึ กับอวยั วะภายใน 2. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ชว่ ยทําให้ความรอ้ นในร่างกายคงทอี ย่เู สมอโดยปองกนั ไมใ่ หค้ วามรอ้ นเสียไปเมอื อากาศหนาวและช่วยระบายความร้อนออกนอกร่างกายด้วยการ ขับเหงอื เมอื อากาศร้อน 3. ขบั ถา่ ยของเสียออกจากรา่ งกายเช่น การขบั เหงอื 4. รับความรู้สึกต่างๆ เนอื งจากมีประสาทรับความร้สู ึกอยู่ทีผิวหนัง เชน่ ความร้อน ความเย็น การสัมผัส ความเจ็บปวดเปนตน้ โครงสรา้ งของ ผวิ หนงั ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

ผวิ หนังแบง่ ออกเปน 2 ชนั คือ ชนั นอกเปนหนงั กําพรา้ ส่วนชนั ในเปนหนังแท้ดังนี 1.หนังกาํ พรา้ (Epidermis) เปนชนั นอกสุดของผวิ หนงั มีลักษณะบางมาก ประมาณ 0.04-1.60 มลิ ลิเมตร หนังกาํ พรา้ ไมม่ ีหลอดเลือดมาเลยี งแต่ไดร้ บั สารอาหารและถา่ ยเทของเสียโดยการแพรผ่ ่านหนังแท้ ประกอบดว้ ยเนอื เยอื บุผวิ ซ่อนกันอยู่ เซลล์ผวิ หนงั ในชนั นีเรยี งตวั กันเปนชันๆ เซลล์ใหมถ่ กู สร้างจากชันล่างสุดจะเคลือนตัวขึนสู่ชนั บนเรอื ย ๆ ระหวา่ งทเี คลอื นตัวขนึ สู่ชันบน จะมกี าร เปลยี นรูปรา่ งและองค์ประกอบ กลายเปนเซลล์แบนทีตายแล้วเรียงอัดกนั แนน่ ในชนั บนสุดใน ชันนีประกอบดว้ ยโปรตีนชนดิ หนึง ชอื ว่า เคราติน (Keratin)คลา้ ยคลงึ กบั ทพี บในเล็บและ ผมทาํ หน้าทีเคลือบผิวหนงั เซลลช์ ันนีจะมีการหลุดลอกออกไปเองและถกู แทนทโี ดยเซลล์ใหม่ จากชนั ล่างทีเคลอื นตวั ขนึ มาแทนทสี ่วนชนั ลา่ งสุดจะพบเซลลท์ มี หี น้าทีในการผลติ สี ผิว(Melanocyte) ซงึ จะช่วยสรา้ งสารทีทําให้เกดิ สีผวิ ทผี ิวหนัง หนังกาํ พร้าแบ่งออกเปนชนั ต่างๆ ดังนี 1.1 Stratum corneum เปนชนั บนสุดเซลล์มลี ักษณะแบน ไมม่ นี ิวเคลยี ส มคี วามหนาม มากทีสุดจะพบในผิวหนังหนา ๆ เทา่ นนั 1.2 Stratum lucidum เปนชนั ใส ๆ ประกอบด้วยชนั ของเซลลบ์ างๆ มองไมเ่ ห็น ขอบเขตของเซลล์ปกติจะพบในผิวหนงั ชนดิ หนาเท่านนั 1.3 Stratum granulosum เปนชันทีคอ่ นขา้ งบาง ประกอบด้วยเซลล์รูปรา่ งค่อนข้าง แบนเรยี งซอ่ นกนั 2-3 ชัน ขอบเขตของแตล่ ะเซลล์มองเหน็ ชัดเจน 1.4 Stratum spinosum ประกอบด้วยเซลลร์ ปู ร่างหลายเหลยี ม เรยี งตวั กันประมาณ 8แถวเปนชนั ทผี ลติ เซลล์ใหม่ออกมา 1.5 Stratum basale เปนชันลา่ งสุดอยูช่ ดิ กับหนังแท้ ประกอบดว้ ยเซลล์รปู แทง่ เรียง ตัวชนั เดียว 2. หนังแท(้ Dermis) เปนชนั ของผิวหนังทอี ยู่ใต้หนังกําพรา้ มคี วามหนามากกว่าหนงั กําพรา้ ประกอบด้วยเนือเยอื เกยี วพัน (Connective tissue) ทอดไปมาในทศิ ทางตา่ งๆ ทําใหผ้ ิวหนังมคี วามเหนยี วลด การกระแทกจากแรงดึงต่างๆ หนังแท้ยึดตดิ กบั เยือฐาน (Basement membrane)ของ หนังกาํ พร้าอย่างแน่นหนา ในชนั หนังแท้จะมีปลายประสาทรับความรูส้ ึก ต่อม เหงือ(Sweatgland) รากขน (Hair follicle) ต่อมไขมนั (Sebaceous gland)และหลอด เลอื ด(Blood vessel)หลอดเลอื ดในชนั หนงั แทม้ ีประโยชน์ในการให้อาหารมาเลียงและขับ ของเสีย ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

3. ชันใตผ้ ิวหนัง (Subcutaneous tissue) หรือ ชันไขมนั (Subcutaneous) ประกอบด้วยเซลล์ไขมนั เปนหลกั ทาํ หน้าทีใหค้ วามอบอนุ่ แกร่ ่างกาย คล้ายฉนวนกันความ ร้อนช่วยลดแรงกระทบกระแทกจากภายนอก และชันไขมนั นีจะมมี ากเฉพาะบริเวณสะโพก เอว ต้นขา ทเี รียกว่า Cellulite คอื ไขมัน ทีมีเนือเยอื คลา้ ยพังผืดแทรกอยูท่ ําให้เกิดการดึง รงั ผิวหนังเหน็ เปนลอน ๆ จากภายนอกการเกดิ Cellulite ไม่ขึนกับ ปริมาณของไขมนั ใน รา่ งกาย คนผอมกม็ ี Cellulite เล็บเปนอวัยวะทีเปลยี นแปลงมาจากหนงั กําพร้า พบไดบ้ ริเวณปลายนวิ ของคนและสัตว์ เลียงลูกด้วยนม ทําหนา้ ทีปองกนั ปลายนวิ และชว่ ยในการหยบิ จับ แกะเกาและข่วน เลบ็ มี ลักษณะแขง็ และใสมองเห็นสีของเลอื ดใต้เลบ็ เปนสีชมพู ประกอบดว้ ยส่วนตา่ งๆ ไดแ้ ก่ 1.1 ปลายเล็บ (Free edge)คอื ส่วนทียืนพ้นนิวออกไป 1.2 ตัวเลบ็ (Nail plate)คือ ส่วนของปลายเล็บทีอยปู่ ลายนวิ มลี ักษณะเปนแผนบางๆรูปตวั ย(ู U) สีชมพูออ่ น ๆ 1.3 ฐานเลบ็ (Nail bed)คือ ส่วนของผวิ หนังทอี ยู่ใตเ้ ลบ็ 1.4 รากเลบ็ (Nail root)คือ ส่วนทีอยบู่ ริเวณโคนเลบ็ อยู่ใตผ้ ิวหนงั ซึงเล็บจะงอกออกมา จากรากเล็บ ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนงั

บรรณานุกรม เซลล.์ (2560).ออนไลน์ เข้าถงึ ได้ จาก:https://sites.google.com/site/sellphuchlaeasellsatw/neux/sell- satw (วนั ทสี ืบคน้ ข้อมูล:28 กรกฎาคม 2564) การแบง่ เซลล์.(ม.ป.ป.).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้ จาก:https://pccpcell.wordpress.com/.(วนั ทีค้นขอ้ มูล:28 กรกฎาคม 2564) ส่วนประกอบของเลอื ด.(ม.ป.ป.).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้ จาก:https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/60781/- scibio-sci-.(วนั ทีสืบคน้ ขอ้ มลู :28 กรกฎาคม 2564) เนอื เยอื .(ม.ป.ป.).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้ จาก:http://www.digitalschool.club/digitalschool/health4- 6/health4_1/more/lesson1_2/1.php.(วนั ทสี ืบค้นขอ้ มลู :31 กรกฎาคม 2564) ผวิ หนัง.(2564).ออนไลน์ เขา้ ถึงไดจ้ าก:https://www.jcomfy.com/.(วนั ที สืบค้นขอ้ มูล:31 กรกฎาคม 2564) โครงสร้างเล็บ(ม.ป.ป.).ออนไลน์ เขา้ ถึงได้ จาก:https://supitchajeep.wixsite.com/nails-nourished/blank-2.(วนั ทสี ืบค้นขอ้ มลู :31 กรกฎาคม 2564) ระบบเซลล์ เนอื เยอื และผวิ หนัง

บทที3 ระบบสบื พนั ธเ์ุ พศหญิง Female Reproductive system อวัยวะสืบพันธุเ์ พศหญงิ อวัยวะเพศภายนอก ( external genitalia) mone pubis เนนิ หัวเหนา่ เปนผิวหนงั นนู อยู่บรเิ วณเหนือกระดกู หัวเหนา่ ( pubic symphysis) เมือเขา้ สู่วัยสาวจะมีขนงอกขึนทบี ริเวณนี สําหรบั ในเพศหญงิ แนวขนจะเรยี ง ตัวเปนรูปสามเหลยี มมียอดชีลงมาทางดา้ นลา่ ง labiamajora แคมใหญ่เปนผวิ หนงั ทีต่อมาจากทางด้านล่างของเนินหวั เหน่า มีลกั ษณะนนู แยกเปน 2 กลบี ลงไปบรรจบกันทางด้านหลงั ทบี ริเวณฝเยบ็ labia minora แคมเล็กเปนชนั ผิวหนังทียกตวั ขนึ เปนกลบี เลก็ ๆ สีแดง 2 กลบี ทางด้านใน ของแคมใหญ่ กลบี ของแคมเลก็ ทางดา้ นหนา้ จะแยกออกเปน 2 แฉก แฉกดา้ นบนมาจรด กันกลายเปนผิวหนังคลมุ clitoris เรียกว่า ” prepuce of clitoris” แฉกดา้ นลา่ งจรด กนั ใต้clitoris เรียกวา่ ” frenulum of clitoris “ ส่วนปลายหลงั ของแคมเลก็ จะโอบ รอบรเู ปดของช่องคลอดและทอ่ ปสสาวะแล้วมาจรดกันดา้ นหลงั เรยี กว่า ” fourchette “ แคมเลก็ ไมม่ ีขนงอก ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

clitoris มลี ักษณะเปนต่มุ เลก็ ๆ มโี ครงสร้างเปน erectile tissue เช่นกันมหี ลอดเลือด และปลายประสาทรับความร้สู ึกมาเลยี งเปนจํานวนมาก ดงั นนั หากเกิดการฉกี ขาดทบี ริเวณนี ซึงอาจเกิดขนึ ไดใ้ นขณะคลอดจะทําให้เจ็บ เสียเลือดมากและเย็บติดไดย้ าก vestibule เปนบรเิ วณทีอยู่ระหวา่ งแคมเล็กทงั สองขา้ ง ตงั แต่ clitoris ลงไปจนถงึ fourchette บรเิ วณนีมรี เู ปดของท่อตา่ งๆ ดงั นี – รูเปดของท่อปสสาวะ ( urethral orifice) จะอยูถ่ ดั จาก clitoris ราว 1 ซม. – รเู ปดของช่องคลอด ( vaginal orifice) อย่ถู ัดไปอีก มีเยอื พรหมจารยี ์ปดอยู่ – รูเปดของ Bartholin’s gland และ paraurethral gland อย่างละ 1 คู่ Bartholin’s gland (greater vestibular gland) เปนต่อมเล็กๆ ขนาดเทา่ เมล็ดถัว เขียวพบอยู่ 2 ขา้ งของรูเปดของช่องคลอด จะให้ท่อออกมาเปดทีบริเวณระหวา่ งเยอื พรหม จารียก์ บั แคมเลก็ ทําหนา้ ทีสร้างเมือกหลอ่ ลืนและมฤี ทธเิ ปนดา่ ง เพือลดความเปนกรดใน ชอ่ งคลอด hymen เยอื พรหมจารีย์ เปนเนอื เยือทียืนออกมาปดรเู ปดของช่องคลอด ตรงกลางจะมรี ู เปดเล็กๆ เยือพรหมจารยี น์ ีสามารถยดื หย่นุ ได้ ในเด็กบางคนเยือพรหมจารยี ์ไม่มรี เู ปดจึง ปดช่องคลอดไว้หมด ทําให้เลือดประจาํ เดือนไมส่ ามารถไหลออกมาได้ เรยี ก” imperferated hymen “ perineum ฝเยบ็ เปนบรเิ วณรปู สีเหลยี ( diamond-shape)โดยลากเส้นเชอื มต่อจาก กระดูกหัวเหนา่ ไปยงั ischial tuberosity 2 ข้างและกระดูกกน้ กบ แต่ถ้าลากเส้น ตรงเชือมต่อระหวา่ ง ischial tuberosity ทงั 2 ขา้ งจะแบง่ ฝเย็บออกเปนบริเวณรปู สามเหลียม 2 รปู คือดา้ นหนา้ เรยี ก urogenital triangle เปนทีตงั ของอวัยวะเพศภายนอก ทงั หมด และด้านหลงั เรียกว่า ” anal triangle “จะพบรูเปดของทวารหนักอยู่บริเวณทอี ยู่ ระหว่างชอ่ งคลอดกบั ทวารหนัก จะมกี ้อนเนอื เยอื เกียวพันทีเหนียวและแขง็ แรงอยู่ขา้ งใน เรยี กว่า” perineal body “ ซงึ มคี วามสําคญั เปนจดุ ยดึ เกาะของกล้ามเนอื ลายหลายมัด ทที าํ หน้าทรี องรับอวยั วะต่างๆ ทีอยภู่ ายในอุ้งเชิงกรานไมใ่ หเ้ คลอื นออกมา ฝเยบ็ มกั จะฉกี ขาดขณะทีทาํ การคลอด ถ้าหากไม่มกี ารเย็บซ่อม กอ็ าจจะทาํ ใหอ้ วัยวะภายในอ้งุ เชิงกราน โดยเฉพาะมดลูกเคลอื นทีออกมาทางช่องคลอด ดงั นนั การปองกนั ไม่ให้ฝเยบ็ ฉีกขาด ขณะทาํ คลอดจะต้องตดั บรเิ วณฝเยบ็ เรยี กวา่ ” episiotomy “ เพือเปดชอ่ งคลอดให้ กวา้ งขึนจะได้คลอดสะดวก เมอื ทารกคลอดออกมาแล้วค่อยทําการเยบ็ ปดกลบั ตามเดิม ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

อวัยวะเพศภายใน ( internal genitalia) ช่องคลอด(Vaginal Canal) เปนช่องอวยั วะภายในทีตังอย่รู ะหว่างช่องปสสาวะกับชอ่ ง ทวารหนัก ยาวประมาณ 7 – 8 เซนติเมตร เปนชอ่ งสําหรบั ผา่ นของตวั อสุจิเพือเขา้ ไป ปฏิสนธิกบั ไข่บรเิ วณปกมดลูกหรือทอ่ นาํ ไข่ รวมถึงเปนทางออกของทารกในขณะคลอด ผนงั ภายในของชอ่ งคลอดเปนเยอื เกือบตดิ กัน และสามารถแยกออกจากกันได้ สามารถยืด หดได้มาก และบรเิ วณปากช่องคลอดมตี ่อมขนาดเล็กทําหน้าทีขับนาํ เมอื กมาเลียงช่องคลอด เรยี กวา่ ตอ่ มบารโ์ ทลนิ (Bartholin Grand) ในภาวะปกติ ช่องคลอดจะมมี สี ภาพเปนกรด ทีมาจากการเปลยี นไกลโคเจนให้เปนกรดแลกติก (Lactic Acid)แบคทีเรยี ชนิดหนงึ จึงเปน สภาวะทีช่วยปองกนั การติดเชือจุลนิ ทรีย์ได้ และทีปากช่องคลอดเยือบางๆ เรียกวา่ เยือ พรหมจารี (Hymen) ปกคลุมอยู่ เยอื นี จะขาดไปเมือมีเพศสัมพันธ์คุ รังแรกหรอื กรณอี นื ๆ เช่น การเล่นกีฬา การทาํ งานหนกั ทีทาํ ให้เกดิ การฉกี ขาดของเยือพรหมจารี แตใ่ นบางคนอาจ จะขาดมาแล้วตังแต่กาํ เนิด ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

มดลกู (Uterus) เปนอวัยวะสืบพันธ์เพศหญิงทีมขี นาดใหญท่ สี ุด มรี ปู ร่างลกั ษณะคล้ายผล ชมพู่ ตงั อยใู่ นอุง้ เชงิ กราน และอยู่ระหวา่ งกระเพาะปสสาวะซึงอยู่ด้านหน้า และทวารหนัก ซึงอยู่ด้านหลงั มีส่วนทตี ดิ ต่อกบั ชอ่ งคลอดทเี ปนปากมดลกู เรียกวา่ เซอวิก (Cervix) ภายใน มดลกู มีลักษณะเปนโพรงแคบๆ มเี ยือบุโพรงมดลกู ทเี ปนกลา้ มเนอื หนา และมีความแขง็ แรง มีเส้นเลือดมาเลยี งจํานวนมาก และสามารถเปลยี นแปลงได้ตลอดทุกรอบเดอื นจากอิทธิพล ของฮอรโ์ มนเพศเอสโตรเจน และโปรเจสเตอรโ์ รน เยือผนังมดลกู จะหลุดลอกขณะมปี ระจํา เดือน แตเ่ มือตังครรภจ์ ะขยายตวั ใหญเ่ ปนทฝี งตัวของไข่ทีปฏสิ นธจิ ากเชืออสุจแิ ลว้ และ ค่อยๆเจรญิ เตบิ โตเปนทารกในครรภ์ หลงั การคลอดผนงั มดลกู จะกลบั คนื สู่สภาพเดิมภายใน 45 วนั มดลูกแบง่ ออกไดเ้ ปน 4 ส่วนคือ - fundus คือส่วนบนทอี ยูเ่ หนอื ท่อนาํ ไข่ เปนส่วนทกี วา้ งทีสุด - body คือส่วนทีอย่ตู ํากว่าท่อนาํ ไข่ เรยี วลงไปจนถึงส่วนแคบทเี รยี กวา่ isthmus - Isthmus เปนส่วนทีเลก็ ทสี ุด ไม่มีความสําคัญเปนแตส่ ่วนแบ่งระหว่าง Corpus กับ cervix เท่านัน - cervix คอื ส่วนล่างสุดทีอยู่ติดกับชอ่ งคลอด หรือทีเรยี กว่าปากมดลูก ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

Wall of uterus ประกอบด้วย 3 ชนั คอื 1 Perimetrium: เปน outer serous coat ประกอบดว้ ย peritoneum รองรบั ด้วยชนั บาง ๆ ของเนือเยอื เกียวกนั 2 Myometrium: เปน middle muscular coat ของ smooth muscle ทีสามารถขยายตัว ไดด้ ีคอื ขณะตังครรภ์ และมแี ขนงใหญ่ ๆ ของ blood vessels ละเส้นประสาทของมดลกู เข้า มาในชนั นี 3 Endometrium: เปน inner mucous membrane coat ทยี ดึ แน่นกบั myometrium และมี ชันนจี ะเปนทีฝงของตัวออ่ น ถา้ ไม่มกี ารตงั ครรภ์ ชนั นีจะลอกหลดุ ไปตาม menstruation period ผนังชนั นแี บง่ ออกเปน 2 ชนั คือ 3.1 functional layer หรือ functionalis อยตู่ ิดกับโพรงมดลกู ประกอบดว้ ยเยอื บุผวิ และ uterine gland และเนือเยือเกยี วพัน ( endometrium stroma) ชันนเี ปนชนั ทีมกี าร เปลยี นแปลงตลอดระยะเวลาของรอบประจาํ เดอื น และจะหลุดลอกออกไปขณะทมี ีประจาํ เดือน 3.2 basal layer หรือ basalis เปนชนั ทตี ิดกับ myometrium ชนั นีจะแบง่ เซลล์ให้ เนือเยือเจรญิ ขึนไปแทนทชี นั functionalis หลงั จากทีมกี ารหลดุ ลอกออกไปเปนเลือดประจํา เดือนแลว้ ligament ซึงทําหน้าทีคอยยดึ ตัวมดลูกให้อยู่ภายในอุง้ เชิงกราน - broad ligament เปนส่วนของเยอื บชุ ่องท้อง ( parietal peritoneum) 2 ชนั คลุม มดลกู เอาไว้ ดา้ นข้างจะแผอ่ อกเปนแผ่นกวา้ งยึดด้านขา้ งของมดลูกทัง 2 ขา้ งใหต้ ิดกบั ผนงั ด้านข้างขององุ้ เชิงกราน - round ligament เปนกอ้ นเนือเยอื เกียวพัน อยภู่ ายใน broad ligament จะเกาะที ด้านขา้ งของมดลกู บริเวณใตท้ อ่ นาํ ไข่ แลว้ ทอดเขา้ inguinal canal ไปยดึ กับแคมเล็ก round ligament เปนตวั ดงึ มดลูกให้งอพับไปทางด้านหน้า ปกติ ligament ทงั 2 ชนดิ นจี ะ หย่อนตวั อยูใ่ นอุ้งเชิงกราน จงึ ไม่คอ่ ยมีผลในการทจี ะคอยดึงหรือประคับประคองใหม้ ดลกู ลอยอยู่ในองุ้ เชงิ กรานได้ ดังนันจะต้องมีอวัยวะอนื มาช่วยยึดมดลูกเอาไวไ้ ด้แก่ 1. กลา้ มเนือ levator ani เปนกลา้ มเนอื ทียดึ จากกระดกู pubis, ischium และ ilium ไปเกาะทีกระดูก coccyx กลา้ มเนือนีทําหนา้ ทีเปนพืนรองรับอวยั วะภายในชอ่ งท้องทุกชนิด ไมใ่ ห้รว่ งหลน่ ออกมาจากชอ่ งท้อง กลา้ มเนอื นยี งั ให้เส้นใยบางส่วนไปเกาะตดิ กบั ปากมดลูก ดงั นนั จึงทําหนา้ ทยี ึดมดลกู ใหอ้ ยภู่ ายในองุ้ เชงิ กราน และใหเ้ ส้นใยไปเกาะติดกับ perineal body จึงทําให้ perineal body เปนอวยั วะอกี อันหนึงทีมีผลชว่ ยในการรองรบั มดลกู และ ช่องคลอดไวด้ ้วย ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

2. ligament ทีทาํ หน้าทียดึ มดลกู ทสี ําคญั มี 3 ligament คอื - transverse cervical ligament (Cardinal หรือ Mackenrodt's หรือ lateral cervical ligament) ตงั อยใู่ ต้ broad ligament ยดึ จากปากมดลกู ไปติดกบั ด้านขา้ งของ องุ้ เชงิ กรานทัง 2 ด้าน - pubocervical ligament ยดึ จากปากมดลูกไปเกาะทขี อบของกระดกู pubis - sacrocervical ligament (uterosacral ligament) ยึดจากปากมดลกู และขอบบน ของช่องคลอดไปเกาะทีกระดูก sacrum รังไข(่ Ovary) รงั ไข่ เปนอวัยวะขนาดเล็ก สีขาวมนั มีรปู รา่ งคลา้ ยเม็ดมะมว่ งหมิ พานต์ ขนาดเทา่ เมลด็ มะปราง มี 2 อัน อยู่บริเวณปกมดลกู ซ้าย-ขวา ทงั สองขา้ ง เชือมตดิ กบั มดลกู ดว้ ยปกมดลกู หรือทอ่ นาํ ไข่ เซลล์ไข่ (Ovum) หรอื ไขข่ องเพศหญงิ จะสุก และเคลอื นออกมาทีท่อนาํ ไข่ ทเี รียกว่า การ ตกไข่ เดอื นละ 1 ใบ โดยสุกสลับกนั จากรังไขแ่ ตล่ ะขา้ ง แตใ่ นบางครัง อาจพบการเจรญิ และสุกของไขเ่ กิดขนึ พรอ้ มกนั ทัง 2 ขา้ ง และหากมีการปฏสิ นธิพรอ้ มกนั ก็จะเกดิ เปนตวั ออ่ นทัง 2 ฟอง หรอื ทีเรยี กวา่ การตังครรภแ์ ฝด ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

รงั ไข่จะมีไข่ (Ovum) ทียงั ไมเ่ จรญิ เตม็ ทีหลายพันฟอง เมือเดก็ เตบิ โตเข้าอายุ 12 – 13 ป ไข่จะ เริมสุก เพราะเกดิ การกระต้นุ จากฮอรโ์ มนของตอ่ มพิทอู ติ ารี (Pituitary grand) ไขท่ ีสุกแล้วจะ ตกจากรังไข่เดอื นละ 1 ใบ ของแต่ละข้างสลับกนั และจะเคลือนเข้าสู่ท่อนําไข่ และหากมีการ ปฏิสนธจิ ากตวั อสุจิก็เขา้ ฝงตวั ในเยือบุมดลูก ซึงขณะทีไข่เคลอื นผา่ นท่อนาํ ไข่ ตอ่ มรังไข่จะ สรา้ งฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) กระตุน้ ใหเ้ กดิ การ เปลยี นแปลงของเยอื บมุ ดลูกเพือเตรยี มการฝงตัวของไข่ ท่อนําไข(่ Oviduct) หรือปกมดลูก (Fallopian Tube) เปนทางเชือมตอ่ ระหวา่ งรงั ไข่ทังสอง ขา้ งกับมดลูก ทําหนา้ ทีเปนทางผา่ นของไขท่ อี อกจากรงั ไข่เข้าสู่มดลูก ทอ่ นําไขเ่ ปนบริเวณทีอสุจิ จะเขา้ ปฏสิ นธิกับไข่ ส่วนตา่ งๆของ uterine tube ประกอบดว้ ย4ส่วน คอื 1. Infundibulum เปนส่วนปลายสุดของท่อซงึ บานออกเหมอื นปากแตร 2. Ampulla คอื ส่วนของท่อทีกวา้ งทีสุดและเปนส่วนทมี กี ารผสมของไข่และอสุจิ 3. Isthmus part ส่วนของทอ่ ทคี อดและแคบสุด 4. Intersitial part คือส่วนของทอ่ ทฝี งอยู่ใน uterine wall ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

เต้านม (Female breasts) เปนโครงสร้างทีประกอบด้วยต่อมสําหรับสร้างนํานมขนาดเลก็ เปนจาํ นวนมากทําหน้าทสี ร้าง นาํ นมเลียงทารก ต่อมเหล่านอี ยรู่ วมกันเปนกลมุ่ ก้อนคลา้ ยพวงองุ่น เรยกวา่ อลั วโอไล (alveoli) นํานมทีสร้างแลว้ จะถูกขบั ออกมาจากแหลง่ สร้างมายังหวั นมโดยผ่านมาตามทอ่ ขนาดเลก็ และทสี าํ คัญคือมีฮอร์โมนอย่างน้อย 4 ชนิดทําหน้าทีเกยี วกบั การเจรญของต่อม นํานม กระตุน้ การผลติ และการหลังนาํ นม ในระหวา่ งทแี ม่ตงั ครรภ์คอร์พสั ลเู ทยี มจะสร้าง ฮอร์โมน เอสโทรเจน และ โพรเจสเทอโรน ในปรมาณมาก ฮอร์โมนทัง 2ชนิดนี ทาํ หน้าที กระตนุ้ การเจรญของตอ่ มนาํ นม ในช่วงการคลอดบตุ รใหม่ๆ ต่อมนาํ นมจะผลติ นํานมทเี รยก วา่ คอรัสตรุม (colostrum) ออกมา นาํ นมชนดิ นีประกอบดว้ ยโปรตีนและนาํ ตาลแลกโตสใน ปรมาณสงู มีไขมนั นอ้ ย โดยมฮี อร์โมน โพรแลกตนิ (prolactin) กระตุ้นการผลิตนํานมและ เมือทารกดูดนมจะมผี ลกระตุ้นต่อมใตส้ มองสว่ นหลงั ใหห้ ลังฮอร์โมนออกซิโทซิน(oxytocin) ออกมา และทาํ หน้าทีกระตนุ้ การหลงั นาํ นม ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

กระบวนการปฏสิ นธิ 1. เมอื ไข่ตกจากรงั ไข่แลว้ จะเคลือนตัวไปตามทอ่ รงั ไข่ ซึงเยือบุทอ่ รงั ไข่จะมีขนชว่ ยพัดโบก และ นําพาไข่ไปจนถึงตาํ แหนง่ ทีจะพบกับอสุจิ ในขณะทีมีเพศสัมพันธจ์ นถึงจดุ สุดยอด ฝายชายจะ หลังนําอสุจิ ซึงมีสเปร์มถึง 400-500 ล้านตวั เข้าสู่ชอ่ งคลอดของฝายหญงิ 2. เมือฝายชายหลงั นาํ อสุจเิ ขา้ สู่ช่องคลอดของฝายหญงิ สเปรม์ จะผา่ นเขา้ สู่โพรงมดลูก และผ่าน ไปยงั ท่อนําไขแ่ ละปกมดลูก โดยปกตอิ สุจจิ ะเดนิ ทางด้วยอัตรา 2-3 มิลลเิ มตรตอ่ นาที แตส่ เปร์ม จะเคลือนทีช้าลงในช่องคลอดทีมสี ภาพเปนกรด และเคลือนทเี รว็ ขึนเมือผ่าน จากปากมดลกู เขา้ ไปในโพรงมดลูกทีมีความเปนด่าง ซึงกวา่ อสุจจิ ะผ่านพ้นเขา้ ไปในทอ่ รังไข่ได้นัน จาํ นวนอสุจิ 400-500 ล้านตวั ในขณะหลัง จะเหลือรอดไดเ้ พียงไมก่ รี ้อยตัวทมี ี โอกาสไปผสมไข่ ส่วนหวั ของอสุจิจะปลอ่ ยสารย่อย (Enzyme) ซงึ สามารถละลายผนงั ทีห่อหมุ้ ปกปองไขอ่ อก ได้ และจะมอี สุจิเพียงตัวเดียวทีเจาะเขา้ สู่ไข่ไดส้ ําเรจ็ อสุจิตัวอืนๆ จะไมส่ ามารถเขา้ ไปได้ อกี จาก นนั อสุจจิ ะสลดั หางและยอ่ ยส่วนหัว เพือปลดปล่อยโครโมโซมทัง 23 แทง่ ทีบรรจุ อยู่ภายในส่วน หวั เข้าสู่ไข่ เพือจับคูข่ องตัวเองกับโครโมโซมอีก 23 แทง่ ในไข่ และหลอม รวมตัวกันกลายเปน เซลล์เซลล์เดยี ว เรียกว่า เกดิ การปฏิสนธขิ ึน ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

3. หลังไขเ่ กิดการปฏสิ นธิ เซลล์จะมีการแบง่ ตวั ทวีคูณในเวลาอันรวดเร็ว จาก 1 เปน 2 จาก 2 เปน 4 จาก 4 เปน 8 จาก 8 เปน 16 ฯลฯ การแบง่ ตัวเกดิ อย่างต่อเนือง ในขณะทไี ข่ ผสมแลว้ (Embryo – ตวั ออ่ น) เคลอื นตัวอยา่ งช้าๆ และภายในเวลา 7 วนั จะเคลอื นไปถงึ ตาํ แหน่งทจี ะฝงตวั ลงใน เยอื บุโพรงมดลกู ไข่ทผี สมแล้วจะมีลักษณะกลม โดยประกอบ ดว้ ยเซลล์ประมาณ 100 เซลล์ เมอื ไข่ทผี สมแล้ว (ตวั อ่อน) ฝงตัวลงในเยอื บโุ พรงมดลูกซึง มลี กั ษณะนุ่มและหนา เมอื ยึดเกาะกนั มนั คงดี จึงจะถือไดว้ า่ การปฏิสนธเิ ปนไปอยา่ ง เรยี บรอ้ ยสมบรู ณ์ ไขท่ ีผสมแลว้ (ตัวออ่ น - Embryo) จะยืนส่วนอ่อนนมุ่ แทรกลึกลงไปในผนงั มดลูก เพือ สรา้ งทางตดิ ต่อกบั เลือดของแม่ และจะเจริญเปนรกสร้างสาย สะดอื และถุงนาํ คราํ ห่อหุ้ม ตอ่ ไป ซึงตวั อ่อน จะมี เนอื เยอื พิเศษ 3 ชนั ซงึ ตอ่ ไปแตล่ ะชันจะสร้าง เปน อวยั วะตา่ งๆ ของร่างกายทารกนอ้ ย ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง

บรรณานกุ รม ระบบสืบพันธุเ์ พศหญงิ .(2559).ออนไลน์ เข้าถึงได้ จาก:https://anatomyfivelife.wordpress.com/.(วนั ทสี ืบคน้ ข้อมลู 4 สิงหาคม 2564) การปฏิสนธ.ิ (ม.ป.ป).ออนไลน์ เข้าถงึ ได้ จาก:http://www.thaigoodview.com/library/contest1/health03/ 05/2/contents/born02.html.(วันทีสืบค้นข้อมูล 4 สิงหาคม 2564) การมีประจาํ เดอื น อวัยวะเพศหญิง และระบบสืบพันธุ์เพศหญงิ . (ม.ป.ป).ออนไลน์ เข้าถึงได้ จาก:http:https://thai.luxurysocietyasia.com/.(วันทีสืบคน้ ขอ้ มลู 5 สิงหาคม 2564) มดลูก.(ม.ป.ป).ออนไลน์ เขา้ ถงึ ได้ จาก:http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/biology4 _2/lesson5/item7.php.(วันทีสืบค้นข้อมูล 5 สิงหาคม 2564) สามารถทาํ ความเข้าใจเพิมเตมิ ไดจ้ าก (QR code) ระบบสบื พนั ธุเ์ พศหญิง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook