บทที่ 4 การทำ� งานของพนั ธบตั รปา่ ไม้ ส�ำหรับรูปแบบการออกพันธบัตรป่าไม้ประเภทท่ี 4 เป็นพันธบัตรป่าไม้ท่ีไม่มีการ จา่ ยผลตอบแทนหรอื ดอกเบยี้ ใหก้ บั ผถู้ อื พนั ธบตั รเปน็ รายงวด เนอื่ งจากพนั ธบตั รปา่ ไมป้ ระเภทน้ี มกี ำ� หนดไถถ่ อนในระยะยาว และมคี วามไมแ่ นน่ อนของผลตอบแทน เชน่ ถา้ ในอนาคตมผี ลผลติ ของปา่ ตอ่ ไรต่ ำ่� กจ็ ะทำ� ใหไ้ มท้ ไ่ี ดม้ มี ลู คา่ สงู ซงึ่ การตดั สนิ ใจวา่ จะตดั ไมใ้ นปจั จบุ นั หรอื ในอนาคต นนั้ ขน้ึ อยกู่ บั อตั ราดอกเบย้ี ในปจั จบุ นั ทงั้ นี้ จะมกี ารตดั ไมเ้ ปน็ บางสว่ นของพนื้ ท่ี และไดร้ บั รายได้ เปน็ เงนิ กอ้ นจากการขายเนื้อไม้เป็นส่วน ๆ ไป (ภาพท่ี 4.12) อย่างไรก็ตาม รูปแบบการออกพันธบัตรทั้ง 4 แบบที่มีการจัดต้ังองค์กรนิติบุคคล เฉพาะกิจในการออกพันธบัตรเหมือนกันน้ี มีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบในแต่ละรูปแบบ แตกตา่ งกนั เชน่ ถา้ ดำ� เนนิ การตามรปู แบบการออกพนั ธบตั รประเภทท่ี 1 จะไดร้ บั ผลตอบแทน ในระยะยาว แตม่ กี ารบรหิ ารจดั การในการจดั เกบ็ คา่ ธรรมเนยี มการใหส้ มั ปทานทไ่ี มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ดังรายละเอียดในตารางท่ี 4.2 4 / 4 3 2 1 (Duration) X-Ax(isMaturity dates) ภาพท่ี 4.12 รูปแบบในการออกพันธบัตรประเภทของ Forum for the Future and EnviroMarket ประเภทท่ี 4 ท่ีมา: Forum for the Future and EnviroMarket (2007) 84
พลกิ ฟน้ื ผืนปา่ ด้วยพนั ธบตั รป่าไม้ ตารางท่ี 4.2 สรุปข้อไดเ้ ปรยี บและเสยี เปรยี บของรปู แบบการออกพนั ธบตั รแต่ละประเภท รูปแบบ ประเภทการออกพนั ธบัตรปา่ ไม้ ขอ้ ได้เปรียบ ข้อเสียเปรยี บ ท่ี 1 การออกพันธบัตรโดยจัดเก็บรายได้ - สามารถประมาณการราย - มกี ารบรหิ ารจดั การ ในการ จากการให้สัมปทานของภาครัฐเพื่อ รับได้ จดั เก็บคา่ ธรรมเนียมการให้ จ่ายเปน็ ผลตอบแทนให้กับนกั ลงทุน - ได้รับผลประโยชน์ สมั ปทานทไี่ มม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ ในระยะยาวจากการจดั การ ป่าไม้อย่างย่งั ยนื 2.1 การออกพันธบัตรโดยจัดเก็บรายได้ - ลดผลกระทบจากความ - ตอ้ งมีสนิ ทรพั ย์ จากผู้ได้รับประโยชน์จากป่าทางตรง ผันผวนของราคาตลาดได้ - ไดร้ บั ผลกระทบจากการ และทางอ้อมที่มีการจัดการป่าแบบ - มกี ารเตบิ โตของอตั รา เปล่ยี นแปลงเศรษฐกิจ ย่ังยืนในระดับประเทศเพ่ือจ่ายเป็น ดอกเบ้ียตามการเตบิ โต - ตอ้ งการความมน่ั คงมากกว่า ผลตอบแทนจา่ ยใหก้ บั นกั ลงทุน ของป่าไม้ สนิ ทรพั ยท์ ีล่ งทุน - มีแรงจูงใจในการรบั สทิ ธิ์ ในพื้นที่ป่า 2.2 การออกพันธบัตรโดยจดั เก็บรายได้ - มกี ารแข่งขนั ของตลาดทุน - พ่ึงพงิ การเพิ่มประสทิ ธภิ าพ จากผไู้ ดร้ ับประโยชนจ์ ากป่าทางตรง ในตา่ งประเทศในระยะยาว ของเครดติ เพ่อื ให้นกั ลงทุน และทางอ้อมที่มีการจัดการป่าแบบ มีความปลอดภยั ยง่ั ยนื ในระดบั นานาชาติ (รายรบั จาก การสง่ ออก) เพอื่ จา่ ยเปน็ ผลตอบแทน จ่ายให้กับนักลงทุน 3 การออกพนั ธบัตรโดยจดั เกบ็ รายได้ - เปน็ แรงจงู ใจสำ� หรบั ธนาคาร - คอ่ นข้างมีความซับซ้อน จากสนิ เช่ือซ่ึงธนาคารพาณิชยใ์ ห้กับ ท้องถนิ่ ในบางประเทศ และมีตน้ ทุนการทำ� ธุรกรรม โครงการที่มีการจัดการป่าไม้แบบ - สรา้ งรปู แบบการใหก้ ้ยู มื ทดี่ ี ของธนาคารท้องถ่นิ ในการ ย่ังยืนเป็นผลตอบแทนจ่ายให้กับ น�ำไปส่กู ารเตบิ โตของ ใหก้ ยู้ มื เงิน นกั ลงทุน การกยู้ ืมเงินใหม่ 4 พันธบตั รทไี่ มม่ กี ารจ่ายผลตอบแทน - ลดผลกระทบจากความ - ต้องมสี ินทรพั ย์ หรือดอกเบยี้ ให้กบั ผู้ถอื เป็นรายงวด ผันผวนของราคาตลาดได้ - ไดร้ บั ผลกระทบจากการ - มกี ารเตบิ โตของอัตรา เปลีย่ นแปลงเศรษฐกิจ ดอกเบย้ี ตามการเตบิ โต - ต้องการความมั่นคงมากกวา่ ของปา่ ไม้ สินทรัพยท์ ่ลี งทุน - มีแรงจูงใจในการรับสทิ ธ์ิ ในพ้นื ทีป่ ่า ทม่ี า: Forum for the Future and EnviroMarket Ltd (2007) 85
บทท่ี 4 การท�ำงานของพันธบัตรปา่ ไม้ กตา่ารงปเปรระียเทบศเทียบการพัฒนากลไกพันธบัตรป่าไม้จากกรณีการศึกษา การเปรยี บเทยี บการพฒั นากลไกพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ ากกรณกี ารศกึ ษาตวั อยา่ งประเทศ คอสตารกิ า้ ประเทศเกาหลใี ต้ และประเทศไทย พบวา่ ประเทศคอสตารกิ า้ เปน็ ประเทศทป่ี ระสบ ความส�ำเร็จในการเพ่ิมพ้ืนที่ป่าโดยการส่งเสริมการปลูกป่าเศรษฐกิจจากเดิมเคยมีพื้นท่ีป่า ประมาณรอ้ ยละ 85 ของพน้ื ทป่ี ระเทศทงั้ หมด แลว้ ลดลงเหลอื เพยี งรอ้ ยละ 21 ในปี พ.ศ. 2529 โดยมีสาเหตุส�ำคัญจากการบุกรุกป่าเพ่ือตัดไม้ขาย การท�ำเกษตรในรูปแบบของการปลูกพืช เชิงเด่ยี วและการเลย้ี งววั จำ� นวนมากคล้าย ๆ กับสถานการณข์ องประเทศไทย ภาครัฐของประเทศคอสตาริก้าจึงมีนโยบายลดการอุดหนุนการเล้ียงวัว ส่งเสริม การปลูกป่าเศรษฐกิจแทนการปลูกพืชเชิงเด่ียว และน�ำหลักกลไกการจ่ายค่าตอบแทนคุณ ระบบนเิ วศ (PES) มาใช้ เพอ่ื สรา้ งแรงจงู ใจทางเศรษฐกจิ ในการอนุรกั ษ์และจดั การทรพั ยากร ปา่ ไม้ สง่ ผลให้พนื้ ทป่ี ่าเพมิ่ ขึ้นเป็นอันมากในชว่ ง 20 ปที ผ่ี ่านมา โดยในปี พ.ศ. 2555 มพี ้นื ท่ี ป่าถงึ ร้อยละ 53 ของพื้นท่ีท้ังหมด และเปน็ การปลกู ป่าโดยภาคเอกชนถึงประมาณร้อยละ 75 สว่ นกลไกในการเพม่ิ พน้ื ทป่ี า่ คอื การจดั ตง้ั กองทนุ ปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ เพอื่ ระดมทนุ สำ� หรบั การบรหิ าร จัดการกลไกพันธบัตรป่าไม้จากภาครัฐ เอกชน และประชาชน และลดภาระทางการคลัง ของรฐั บาลในการจดั เกบ็ รายได้จากภาษีน้ำ� มันและค่าธรรมเนียมการใช้น้�ำ เพ่อื น�ำเงนิ มาฟนื้ ฟู ปา่ เสอ่ื มโทรม เพมิ่ พน้ื ทปี่ า่ และการลดกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากปา่ ไม้ (ตารางที่ 4.2 ขา้ งตน้ ) ทั้งยงั ออกกฎหมายปา่ ไม้ฉบับท่ี 7575 ในปี พ.ศ. 2538 ซึง่ ให้ความสำ� คญั ตอ่ การอนุรักษ์และ การใชท้ รพั ยากรปา่ ไมต้ ามแผนการจา่ ยคา่ ตอบแทนคณุ ระบบนเิ วศ เพอ่ื รองรบั การดำ� เนนิ การ ของกองทนุ ปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ (FONAFIFO) ทม่ี บี ทบาทสำ� คญั ดงั กลา่ ว อกี ทง้ั เจา้ ของพน้ื ทท่ี ป่ี ลกู ปา่ ก็มีแรงจูงใจจากการได้ลดภาษี และสามารถสร้างรายได้จากการท่องเท่ียวให้กับคนในพื้นที่ จากการมพี ้ืนท่ีป่าไม้เพม่ิ ขึน้ ดว้ ย ส่วนประเทศเกาหลีใต้ซ่ึงในอดีตพ้ืนที่ป่าของประเทศลดลงอย่างมาก เนื่องจาก ภาวะสงครามเกาหลี และการมีประชากรเพิ่มมากข้ึนภายหลังสงคราม ท�ำให้มีการบุกรุกป่า และตัดไม้จ�ำนวนมากเพ่ือตอบสนองความต้องการด้านอาหารและพลังงานภายในประเทศ อันน�ำไปสู่การเปล่ียนแปลงการใช้ท่ีดินเพ่ือท�ำการเกษตร ความส�ำเร็จในการฟื้นฟูพ้ืนที่ป่าไม้ 86
พลิกฟื้นผนื ปา่ ดว้ ยพนั ธบตั รปา่ ไม้ ของเกาหลใี ตอ้ ยทู่ ปี่ จั จยั ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ี ไดแ้ ก่ ความจรงิ จงั ในการสนบั สนนุ การเพม่ิ พนื้ ทป่ี า่ ของ ผู้น�ำประเทศในขณะน้ัน การจัดท�ำแผนป่าไม้แห่งชาติเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มพ้ืนที่ป่า การก�ำหนด ยทุ ธศาสตรช์ าตซิ ง่ึ มงุ่ การเตบิ โตทเ่ี ปน็ มติ รตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม และการกำ� หนดเปา้ หมายการพฒั นา ประเทศทม่ี งุ่ สกู่ ารจดั การปา่ อยา่ งยงั่ ยนื (Sustainable Forest Management: SFM) นอกจากนี้ ภาครฐั ยงั มกี ารออกกฎหมายในเรอื่ งการจดั การทรพั ยากรปา่ ไม้ การจดั การทดี่ นิ ปา่ ไม้ การปอ้ งกนั และสงวนรกั ษาปา่ ไม้ และการจดั การการอยรู่ ว่ มกนั ของคนกบั ปา่ อยา่ งสมดลุ โดยมกี ารควบคมุ อยา่ งเครง่ ครดั รวมถงึ มกี ารสรา้ งจติ สำ� นกึ ในการอนรุ กั ษป์ า่ ใหก้ บั ประชาชน ทำ� ใหใ้ นปี พ.ศ. 2553 เกาหลีใตม้ พี นื้ ท่ีปา่ ถึงร้อยละ 64 ของพื้นท่ที ง้ั หมด และประมาณร้อยละ 70 เป็นการปลกู ป่า โดยภาคเอกชน (ตารางท่ี 4.3) อย่างไรก็ตาม แนวทางการเพ่ิมพ้ืนที่ป่าของเกาหลีใต้ไม่มี การจัดต้ังองค์กรในการบริหารจัดการและระดมเงินทุนเหมือนกับประเทศคอสตาริก้า แต่มี การจดั การปา่ ซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ ปา่ เอกชน สามารถปลกู ปา่ เชงิ พาณชิ ยท์ สี่ รา้ งรายไดแ้ ละสามารถ ทำ� ไม้อย่างยงั่ ยืนได้ สำ� หรบั ประเทศไทยมแี นวทางการเพมิ่ พน้ื ทปี่ า่ เศรษฐกจิ โดยสง่ เสรมิ การทำ� สวนปา่ แตพ่ น้ื ทป่ี า่ กย็ งั คงมแี นวโนม้ ลดลง สาเหตสุ ว่ นหนง่ึ เนอื่ งจากการเปลยี่ นแปลงพนื้ ทปี่ า่ ไปทำ� การ เกษตรโดยปลูกพืชเชิงเด่ียวและการลักลอบตัดไม้ขาย ทั้งน้ี พ้ืนท่ีป่าส่วนใหญ่เป็นของรัฐ มสี ดั สว่ นทเี่ ปน็ ของภาคเอกชนเพยี งรอ้ ยละ 13 ของพน้ื ทปี่ า่ ทง้ั หมด (ขอ้ มลู ปี พ.ศ. 2552) ดงั นนั้ ความเป็นไปได้ด้านกฎหมายและองค์กรเพ่ือรองรับกลไกพันธบัตรป่าไม้ที่เหมาะสมส�ำหรับ ประเทศไทยอาจกระทำ� ในรปู การจดั ตงั้ กองทนุ ปา่ ไมแ้ หง่ ชาติ เพอื่ ระดมทนุ ในการบรหิ ารจดั การ กลไกพนั ธบตั รป่าไมจ้ ากภาครฐั เอกชน และประชาชน ให้เปน็ แหลง่ เงนิ ทุนในการด�ำเนนิ การ พนั ธบตั รปา่ ไมแ้ ละลดภาระทางการคลงั ของรฐั บาล โดยมรี ปู แบบเชน่ เดยี วกบั การจดั ตง้ั กองทนุ โครงสรา้ งพน้ื ฐานเพอ่ื อนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund: TFF) ทไี่ ดร้ บั เงนิ สนบั สนนุ จากภาครฐั และการระดมทนุ จากภาคสว่ นตา่ ง ๆ ในชว่ งเรม่ิ ตน้ ของการจดั ตงั้ กองทนุ เพอื่ บรหิ าร จดั การโครงสรา้ งพนื้ ฐานของประเทศ สรุปได้ดังตารางท่ี 4.3 87
บทท่ี 4 การท�ำงานของพนั ธบตั รปา่ ไม้ ตารางที่ 4.3 การเพิม่ พน้ื ทปี่ า่ ของประเทศคอสตารกิ ้า เกาหลใี ต้ และไทย คอสตารกิ ้า เกาหลีใต้ ไทย สดั ส่วนพืน้ ที่ปา่ ร้อยละ 85-21-53 รอ้ ยละ 75-35-64 ร้อยละ 53-28-31 (ก่อน-ระหวา่ ง-หลัง) ช่วงเวลา (ปี พ.ศ.) 2528–2553 2503–2553 2513–2553 สัดส่วนพน้ื ทป่ี า่ รอ้ ยละ 25/75 ร้อยละ 30/70 ร้อยละ 87/13 ของรัฐ/พน้ื ที่ป่าเอกชน ปญั หา - การทำ� ไม้ - ภาวะสงคราม - การปลูกพชื เศรษฐกิจ - การปลกู พืชเศรษฐกิจ - ความตอ้ งการไม้ - การทำ� ไมผ้ ดิ กฏหมาย - การท�ำปศุสัตว์ เพ่ือเปน็ พลงั งาน - การว่างงาน เครอ่ื งมือ - กองทุนป่าไมแ้ หง่ ชาติ - ผู้นำ� ให้ความส�ำคญั - การกำ� หนดเป้าหมาย - ภาษีเช้อื เพลงิ ในการสนบั สนนุ สัดส่วนพ้ืนทป่ี ่า - ค่าธรรมเนยี มการใช้นำ้� เพอ่ื จดั ทำ� แผนและ ของประเทศ - การลดภาษีส�ำหรบั ผู้มี กำ� หนดเป้าหมาย รายได้จากการปลกู ปา่ / สดั ส่วนพื้นท่ีป่า รายไดจ้ ากการทอ่ งเทย่ี ว ของประเทศ - การยกเลกิ การอุดหนนุ - การจดั การปา่ การทำ� ปศุสัตว์ อยา่ งย่ังยืน (SFM) ท่มี า: ปรับปรงุ จากสันติ โอภาสปกรณ์กิจ (2560) โครงการธนาคารตน้ ไม้ของประเทศไทย ธนาคารต้นไม้เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจให้คนร่วมกันอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมผ่าน เครื่องมือทางการเงินที่ท�ำให้ต้นไม้มีมูลค่าและเป็นหลักทรัพย์ โดยเป็นการด�ำเนินการของ ภาคประชาชนและภาคเอกชนที่จะส่งเสริมให้ประชาชนหรือกลุ่มคนปลูกต้นไม้ในที่ดินของ ตนเอง จุดประสงค์ส�ำคัญคือเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อม และระบบนิเวศให้มีความ ยัง่ ยนื ตอ่ ไป ท้งั นี้ จะมกี ารขึ้นทะเบียนต้นไม้ ประเมนิ รบั รองสทิ ธิต้นไม้และสรา้ งเปน็ สินทรัพย์ รวมถึงประเมินค่าต้นไม้และค�ำนวณราคาต้นไม้ตามข้อตกลงท่ีก�ำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การด�ำเนินการธนาคารต้นไมใ้ นแต่ละพ้นื ที่จะมคี วามแตกตา่ งกนั โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี 88
พลิกฟนื้ ผนื ปา่ ด้วยพันธบัตรป่าไม้ โครงการธนาคารต้นไม้ในประเทศไทย ธนาคารต้นไม้ (Tree Bank) ในประเทศไทย เร่ิมขึน้ ตง้ั แต่ปี พ.ศ. 2549 จากความ ร่วมมือของกลุ่มองค์กรภาคประชาชนอันประกอบด้วยเครือข่ายภาคประชาชนอ�ำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ สาขาพะโต๊ะ-หลังสวน และหน่วยอนุรักษ์ และจดั การตน้ นำ้� พะโตะ๊ โดยมแี นวคดิ ทจ่ี ะสรา้ งตน้ ไมใ้ หม้ ชี วี ติ และมมี ลู คา่ แลว้ นำ� มลู คา่ ดงั กลา่ ว ไปสะสม ออม หรอื ฝากไวก้ บั สถาบนั การเงนิ แทนการออมดว้ ยเงนิ เพอื่ ใหป้ ระชาชนหรอื องคก์ ร สามารถน�ำต้นไม้ไปเป็นหลักทรัพย์ค้�ำประกันไว้กับธนาคาร เพื่อสร้างความม่ันคงและเป็น หลกั ประกนั หนส้ี นิ กบั ธนาคารผใู้ หก้ ยู้ มื โดยไมต่ อ้ งกงั วลวา่ ทด่ี นิ ทำ� กนิ จะถกู ยดึ เปน็ การชว่ ยเหลอื เกษตรกรไทยมากกว่าครึ่งที่ประสบปัญหาความยากจนและปัญหาหน้ีสิน ท�ำให้ท่ีดินท�ำกิน ตดิ จ�ำนองและถกู ยึดในทีส่ ดุ ซึ่งก่อให้เกดิ ปัญหาเกษตรกรขาดแคลนทีด่ นิ ทำ� กนิ ขณะเดียวกนั ยังเป็นกลยุทธ์หน่ึงที่ท�ำให้ต้นไม้เป็นเคร่ืองมือของความมั่นคง มั่งคั่ง สร้างแรงจูงใจให้คนเกิด ความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของต้นไม้ ท้ังรู้ว่าการปลูกและรักษาต้นไม้น้ันจะเป็นหลักทรัพย์ ค้�ำประกันในเรื่องท่ีดินท�ำกินได้ รวมถึงเป็นการสร้างกระบวนทัศน์ใหม่ในเรื่องการสร้างมูลค่า ต้นไม้ขณะที่ยังมีชีวิต จากเดิมท่ีคิดกันเพียงว่ามูลค่าต้นไม้จะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือเกิดการตัดฟัน นำ� เน้อื ไมไ้ ปขายเทา่ น้ัน โครงการธนาคารต้นไม้ ประกาศเป็นวาระแห่งชาติว่าด้วยการปลูกต้นไม้ใช้หนี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์การพ่ึงตนเองและความมั่นคงด้านท่ีอยู่อาศัย พลังงาน อาหารและยา เมอ่ื วนั ท่ี 25 พฤษภาคม 2550 และประกาศเปน็ นโยบายสำ� คญั ของรฐั บาล เมอื่ วนั ท่ี 25 มนี าคม 2552 โดยมีวตั ถปุ ระสงค์ 4 ประการ คือ 1) เพอ่ื ให้เกดิ ความมั่นคงทางด้านทอี่ ยอู่ าศยั พลงั งาน อาหารและยา โดยการปลูกต้นไม้ในระดับครอบครัว ชุมชน เครือข่าย จนถึงระดับประเทศ 2) เพ่ือฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศและพัฒนาฐานทรัพยากรธรรมชาติโดยมุ่งแก้ปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม 3) เพื่อให้สมาชิกเครือข่ายสามารถใช้ชีวิตตามแนวคิด เศรษฐกจิ พอเพยี ง แกไ้ ขปญั หาหนสี้ นิ และความยากจนของครอบครวั และชมุ ชน 4) เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ลดรายจ่ายเพ่ิมรายได้ มีเศรษฐกิจทดี่ ีอย่างยั่งยืนและพัฒนากลมุ่ วสิ าหกิจชุมชนใหเ้ ข้มแข็ง ส�ำหรับประโยชน์ของธนาคารต้นไม้คือ (1) ธนาคารต้นไม้สามารถรับรองสิทธิแก่ ต้นไม้และสร้างทรัพย์สินให้แก่สมาชิก (2) สามารถแก้ปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดิน ท�ำให้ เกษตรกรสามารถรกั ษาทด่ี นิ ทำ� กนิ ไวไ้ ด้ (3) ลดภาระการปลกู ปา่ ของภาครฐั มาเปน็ การสง่ เสรมิ ภาคประชาชน (4) แกป้ ญั หาหนส้ี ญู และการเรยี กรอ้ งใหป้ ลดหนดี้ ว้ ยวธิ กี ารเรยี กรอ้ ง (5) สรา้ ง สมดลุ ใหแ้ กพ่ นื้ ท่ี (6) เพมิ่ ปรมิ าณตน้ ไมเ้ พอื่ แกป้ ญั หาโลกรอ้ น (7) สรา้ งเครอื ขา่ ยภาคประชาชน 89
บทที่ 4 การท�ำงานของพนั ธบตั รปา่ ไม้ กับภาครัฐและธนาคาร (8) เกิดกระบวนการรักษาพันธุกรรมพืช (9) ลดการน�ำเข้าไม้จาก ตา่ งประเทศ (10) สรา้ งกระบวนการออมโดยใชต้ น้ ไมเ้ ปน็ ทรพั ย์ เปลยี่ นฐานการออมเงนิ จากเมอื ง สู่ชนบท (11) สร้างความม่ันคงให้แก่ชีวิตในระยะยาว เกิดกระบวนการพออยู่ พอกิน พอใช้ ตามแนวปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ซ่ึงเปน็ ไปตามพระราชดำ� ริการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง และ (12) เพมิ่ พนื้ ทีป่ า่ จากการปรับเปล่ียนพืน้ ท่ีเกษตรใหใ้ กลเ้ คียงกบั ป่า รูปแบบของธนาคารต้นไม้ จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องพบว่า ประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับรูปแบบ แนวทาง และมาตรการในการเสริมสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนและเอกชนมี ส่วนร่วมในการปลูกต้นไม้เพ่ือเป็นทุนระยะยาว และมีการด�ำเนินงานธนาคารต้นไม้อย่างเป็น รูปธรรมแล้วในสองรูปแบบคือ ธนาคารต้นไม้ โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารต้นไม้ โดยองค์กรภาคประชาชน อนั มีรายละเอยี ดดังนี้ โครงการศกึ ษาการสง่ เสรมิ ปลกู ตน้ ไมเ้ พอื่ เปน็ ทนุ ระยะยาว เปน็ งานวจิ ยั รว่ มกนั ของ หลายหนว่ ยงานคอื ธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณก์ ารเกษตร (ธ.ก.ส.) กรมปา่ ไม้ สำ� นกั งาน พฒั นาเศรษฐกจิ จากฐานชีวภาพ องคก์ ารมหาชน (สพภ.) องคก์ ารอตุ สาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาแนวทางและ มาตรการในการเสริมสร้างแรงจูงใจในการส่งเสริม สนับสนุนให้ชุมชนและเอกชนมีส่วนร่วม ในการปลกู ตน้ ไมเ้ พอ่ื เปน็ ทนุ ระยะยาว เนอ่ื งจากในอดตี ยงั ไมเ่ คยมกี ารประเมนิ มลู คา่ ของตน้ ไม้ ขณะทยี่ งั ยนื ตน้ และมชี วี ติ อยู่ มแี ตม่ ลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ของตน้ ไมห้ ลงั จากการตดั ฟนั ทำ� ใหค้ ณุ คา่ ตน้ ไมถ้ กู มองเหน็ ประโยชนแ์ ตเ่ พยี งดา้ นเดยี วคอื เมอื่ ตน้ ไมถ้ กู ตดั และแปรรปู เปน็ สนิ คา้ ทมี่ รี าคา มากกว่ามลู ค่าและประโยชนใ์ นด้านสิ่งแวดลอ้ มทม่ี คี ุณค่ามหาศาล ดังนั้น จึงเกิดแนวคิดการแปลงสินทรัพย์ในรูปของต้นไม้ยืนต้นให้เป็นทุน เพื่อเป็น การออมระยะยาว เป็นรายได้เสริมในการด�ำรงชีพ และเป็นการเพ่ิมพ้ืนท่ีสีเขียวเพื่อรักษา คณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ ม นอกจากนี้ เกษตรกรยงั สามารถใชต้ น้ ไมเ้ ปน็ หลกั ทรพั ยค์ ำ�้ ประกนั ทางการ 90
พลิกฟืน้ ผนื ปา่ ดว้ ยพันธบัตรป่าไม้ เงนิ กบั สถาบนั ทางการเงนิ ได้ ทงั้ นี้ การสง่ เสรมิ การปลกู ตน้ ไมเ้ พอื่ เปน็ ทนุ ระยะยาว มงุ่ เนน้ การ สรา้ งแรงจงู ใจใหเ้ ปน็ แหลง่ รายไดเ้ สรมิ จากการเกบ็ รกั ษาตน้ ไมใ้ นระยะยาว มากกวา่ รายไดห้ ลกั ดังนั้น ผู้ท่ีจะเข้าร่วมโครงการต้องมีต้นไม้ที่จะน�ำมาใช้ในการแปลงให้เป็นทุนอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนน้ั ผเู้ ขา้ รว่ มโครงการยงั ควรจะมรี ายไดจ้ ากแหลง่ อน่ื ๆ เพอื่ การดำ� รงชพี เชน่ การทำ� สวนผลไม้ การปลูกพืชควบ แรงงานรับจ้าง เป็นต้น เนื่องจากแรงจูงใจท่ีได้จากโครงการ เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะด�ำรงชีพอยู่ได้ แต่การปลูกต้นไม้ในระยะยาวนอกจาก จะเป็นการสนองความตอ้ งการการใชไ้ มภ้ ายในประเทศ เพ่ิมศักยภาพการสง่ ออก และลดการ นำ� เขา้ ไมจ้ ากตา่ งประเทศแลว้ ยงั ใหป้ ระโยชนอ์ กี มากมาย เชน่ การรกั ษาตน้ นำ้� ลำ� ธาร การเพม่ิ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และเปน็ แหล่งสะสมคารบ์ อน เปน็ ต้น การปลกู ตน้ ไมเ้ ปน็ การลงทนุ ระยะยาว ตอ้ งใชเ้ วลานานหลายปจี งึ จะไดร้ บั ผลตอบแทน ดงั นน้ั แนวคดิ ในการดำ� เนนิ งานเพอื่ สง่ เสรมิ การปลกู ตน้ ไมเ้ ปน็ ทนุ ระยะยาว จงึ เปน็ การประเมนิ มูลค่าของต้นไม้ท่ีมีชีวิตและยังยืนต้นอยู่ ซ่ึงเป็นการต่อยอดจากโครงการส่งเสริมการปลูกไม้ เศรษฐกจิ ของกรมป่าไม้ พ.ศ. 2537 ทม่ี ีความสอดคล้องกับนโยบายป่าไม้แหง่ ชาติ พ.ศ. 2528 และพระราชบญั ญตั สิ วนปา่ พ.ศ. 2535 แนวทางการดำ� เนนิ งานคอื ตอ้ งการใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโครงการ ด�ำเนินการข้ึนทะเบียนต้นไม้ของตนกับกรมป่าไม้ซึ่งท�ำหน้าท่ีเป็นนายทะเบียนจดทะเบียน (ภายใต้พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535) และตรวจสอบต้นไม้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ท่ีก�ำหนดไว้ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับใบรับรองการปลูกต้นไม้ ซึ่งสามารถน�ำไปใช้เพื่อ การประเมนิ มลู คา่ เปน็ หลกั ทรพั ยท์ ผ่ี เู้ ขา้ รว่ มโครงการครอบครองอยแู่ ละสามารถแปลงสนิ ทรพั ย์ ดงั กลา่ วเปน็ ทนุ ในรปู ของ “ใบรบั รองทางการเงนิ (Certified Note)” เพอื่ ใหผ้ เู้ ขา้ รว่ มโครงการ ได้รับเงินปันผลตอบแทนจากการถือใบรับรองทางการเงินดังกล่าว นอกจากนี้ ใบรับรองทาง การเงินยังสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้�ำประกันทางการเงินกับ ธ.ก.ส. ได้อีกด้วย ทั้งน้ี ธ.ก.ส. จะทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ องคก์ รกลางในการตรวจสอบอตั ราการเจรญิ เตบิ โตของตน้ ไมท้ เี่ ขา้ รว่ มโครงการ และด�ำเนนิ การจ่ายเงินให้กบั ผ้รู ่วมโครงการ (ภาพที่ 4.13) 91
บทที่ 4 การท�ำงานของพันธบัตรป่าไม้ ผูร้ ว่ มโครงการป ูกตน้ ไม้ ขึน้ ทอเบยยนตน้ ไม้ องค์กรก างใน (กรมป่าไม้) การบริหารจัดการ ตรวจสอบมู คา่ ของต้นไม้ (ธ.ก.ส.) ใบรับรองทางการเงนิ ะผนการสง่ เสริมใน (Certified Note) ะต่ อพน้ื ท่ย ะป งเป็นสนิ ทรัพย์ (Securitization) ภาพที่ 4.13 กรอบแนวคดิ ในการดำ� เนนิ การสง่ เสรมิ ปลูกตน้ ไมเ้ พอื่ เปน็ ทุนระยะยาว ทมี่ า: ส�ำนกั งานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชวี ภาพ (องค์การมหาชน) (2552) แนวคดิ และหลกั การของธนาคารตน้ ไม้ มี 8 ข้อ (ภาพที่ 4.14) คือ (1) ให้ภาคประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรปลูกต้นไม้เศรษฐกิจในที่ดินท�ำกินของ ตนเองแล้วสร้างมูลค่าต้นไม้เป็นทรัพย์สิน เป็นเงิน เพื่อใช้ทรัพย์สินดังกล่าวไปเป็นทุน หรือ ค้�ำประกันหน้ีสิน หรือช�ำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) หรือ ธนาคารอื่น ๆ หรือสถาบันการเงินของรัฐ ตลอดจนการใช้มูลค่าไม้เป็นหลักทรัพย์ หรือ หลกั ประกันตา่ ง ๆ ที่จะต้องท�ำระหว่างรัฐกบั ประชาชน (2) ให้ชุมชนปลูกต้นไม้ในที่ดินส่วนรวม เพื่อสร้างมูลค่าเป็นทรัพย์สินของชุมชน สว่ นรวม (3) เพิม่ พื้นที่สีเขยี วใหแ้ ผน่ ดินและมงุ่ แกป้ ัญหาโลกรอ้ น ด้วยแนวคิดสรา้ งโลก 5 ใบ บนโลกใบเดยี ว กล่าวคือสร้างสเี ขียวเพม่ิ พนู บนโลกหลายระดบั กวา่ ปกติ 5 เท่า (4) ใหเ้ กษตรกรรกั แผน่ ดนิ ทำ� กนิ และสรา้ งมลู คา่ เพมิ่ ใหแ้ กท่ ด่ี นิ ตลอดจนปอ้ งกนั การซ้อื ขายท่ดี นิ 92
พลกิ ฟ้นื ผนื ปา่ ดว้ ยพนั ธบตั รป่าไม้ แนวคดิ หลกั การ วัตถปุ ระสงค์ เป้าหมาย การใชต้ น้ ไม้เปน็ การใชต้ น้ ไม้เป็น ➢ ระบบการรับรอง เครอื่ งมอื สรา้ งมลู ค่า เคร่อื งมือรบั รองสิทธิ์ การแกป้ ญั หา ➢ สทิ ธชิ ุมชน มูลค่าตน้ ไม้ และคุณคา่ ➢ สทิ ธติ น้ ไม้ สรา้ งแรงจูงใจ เศรษฐกิจ ต้นไม้ของปจั เจกถกู ใหค้ ่า ➢ สทิ ธิทาำ กนิ ➢ เพือ่ สร้างรูปธรรม ➢ หนส้ี ินของประชาชน ตน้ ไมข้ องชมุ ชนถกู ให้ค่า การสร้างเงอื่ นไข การปลูกตน้ ไม้ ➢ เปลี่ยนฐานการออมเป็น สู่การแกป้ ญั หาโลก ใช้ตน้ ไมส้ รา้ งความเปน็ มลู คา่ /คณุ ค่า เกดิ ประโยชนต์ น ธรรม เพ่ือแกป้ ัญหาทกุ ต้นไม้ สร้างเงอ่ื นไขการ ประโยชน์ท่าน ➢ วางรากฐานทางเศรษฐกจิ รวมกลุ่มคนปลูก สทิ ธใิ นการรับรองมลู ค่า มติ ิ และการได้รับ พอเพยี งเกดิ การ ตน้ ไม้ ค่าตอบแทนจากรฐั สรา้ งความเท่าเทียม พง่ึ ตนเอง รกั ษาวิถี ให้แก่คนปลูกต้นไม้ การเกษตรชนบท ทัง้ เปน็ หนี้และไมเ่ ป็นหนี้ สังคม รักษาที่ดินทาำ กินไวไ้ ด้ ➢ หนีส้ ินของประชาชน โดยใช้ตน้ ไม้, ➢ เปลีย่ นฐานการออมเปน็ แกป้ ัญหาหนีส้ ิน ป้องกนั การถกู ยึด ตน้ ไม้ ทดี่ ิน ➢ วางรากฐานทาง สร้างป่า 3 อย่าง เศรษฐกจิ พอเพยี งเกิด ประโยชน์ 4 อย่าง การพ่งึ ตนเอง สงิ่ แวดลอ้ ม ➢ สร้างความหลากหลาย บนท่ีดนิ ทำากิน ➢ เพิ่มพน้ื ทปี่ า่ ในชาติ ➢ ลดโลกร้อน เพิ่มระดับนำา้ ใตด้ ิน การเมือง ➢ ผลกั ดนั ใหเ้ กดิ ผล ทางการเมอื งเป็น นโยบายรฐั ภาพที่ 4.14 กรอบแนวคดิ หลกั การ วตั ถุประสงค์ และเปา้ หมายของธนาคารต้นไม้ ท่ีมา: พงศา ชแู นม (2554) 93
บทที่ 4 การทำ� งานของพนั ธบตั รป่าไม้ (5) การรับรองสิทธิต้นไม้ที่ปลูกและรับรองสิทธิในที่ดินท่ีประชาชนได้ปลูกต้นไม้ สทิ ธทิ ำ� กนิ ในทด่ี นิ ดงั กลา่ วหมายถงึ สทิ ธทิ ำ� กนิ ตามทกี่ ฎหมายกำ� หนดให้ แตท่ ด่ี นิ ยงั เปน็ ของรฐั และเปน็ เสมอื นท่ีดนิ ของชุมชนและสังคมโดยรวม (6) สรา้ งจิตส�ำนกึ อนุรักษแ์ ละสร้างเครือข่ายกลุม่ คนที่ปลกู ต้นไม้ (7) การสรา้ งความพอเพยี ง ม่ังคงั่ ย่ังยนื ให้กบั มนุษย์และส่งิ แวดลอ้ ม (8) การด�ำรงวิถีการเกษตรที่มุ่งเอาภูมิปัญญาชาติพันธุ์ไทยท�ำการเกษตร ให้เกิด ความหลากหลายในพ้ืนที่ และสร้างสมดุลแก่ระบบนเิ วศ ตามแนวทางป่า 3 อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง และหลกั การ 5 ขอ้ ทกี่ ลา่ วถงึ การรบั รองสทิ ธขิ องตน้ ไมใ้ หเ้ ปน็ สทิ ธขิ องบคุ คล และสทิ ธิ ของชมุ ชนในการใชต้ น้ ไมเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื รบั รองสทิ ธแ์ิ ละสรา้ งความเทา่ เทยี มกนั โดยใชก้ ารสะสม คารบ์ อนในตน้ ไมเ้ ปน็ มูลค่ากลางแหง่ สทิ ธิอนั พึงมี การเปรียบเทียบกลไกพันธบตั รปา่ ไมก้ บั ธนาคารต้นไม้ แนวทางการด�ำเนินการของพันธบัตรป่าไม้ เป็นการด�ำเนินการในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์ ท่ีอยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ และมีหน่วยการดูแลเป็นพื้นที่ป่า แต่แนวทางของธนาคารต้นไม้ ซง่ึ เนน้ การปลกู ในพน้ื ทขี่ องตนเอง ซงึ่ อาจเปน็ พน้ื ทก่ี รรมสทิ ธช์ิ มุ ชน หรอื พน้ื ทที่ ผ่ี ใู้ ชท้ ด่ี นิ มสี ทิ ธิ การใช้ เชน่ ชมุ ชนทอี่ ยใู่ นพนื้ ทป่ี า่ ตน้ นำ้� พน้ื ทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาติ พนื้ ที่ ส.ป.ก. พนื้ ทส่ี วนปา่ พนื้ ทด่ี นิ ของตนเองทมี่ โี ฉนด หรอื พนื้ ทป่ี า่ ชมุ ชน และมหี นว่ ยการดแู ลเปน็ รายตน้ ไม้ โดยการดำ� เนนิ การ ของธนาคารตน้ ไมป้ ระกอบดว้ ยผเู้ ขา้ รว่ มโครงการ พน้ื ทดี่ นิ และตน้ ไม้ มกี ารจดั ตงั้ คณะกรรมการ ในการบริหารจัดการ มีการลงทะเบียนต้นไม้เป็นสมุดบันทึกเพ่ือบันทึกรายละเอียดของต้นไม้ เชน่ ชอื่ เจา้ ของ ขนาดพน้ื ท่ี ความสงู และรอบวงตน้ ไม้ ปรมิ าณการกกั เกบ็ คารบ์ อน การเพาะ กลา้ ไม้ การบ�ำรงุ รักษา และการตรวจสอบตน้ ไม้ท่ีเข้ารว่ มโครงการอยา่ งต่อเนอื่ ง เป็นต้น ทัง้ นี้ การด�ำเนินการธนาคารต้นไม้มกี ารกระจายในหลายพน้ื ที่ทวั่ ประเทศ อย่างไรก็ตาม แนวทางของธนาคารต้นไม้จะเน้นการปลูกไม้ 3 อย่าง คือ ไม้ผล ไม้โตเร็ว และไม้เศรษฐกิจ ในพื้นที่เพาะปลูกที่มีอยู่เดิมของเจ้าของพื้นที่ ซ่ึงท�ำให้เกิดป่าไม้ แบบผสมผสานและสร้างความสมดุลแก่ธรรมชาติอย่างย่ังยืน โดยไม้โตเร็ว และไม้เศรษฐกิจ เปน็ ไมใ้ ชส้ อยทนี่ ำ� ไปใชใ้ นการปลกู สรา้ งทอี่ ยอู่ าศยั เครอ่ื งเรอื น เครอื่ งมอื ในการเกษตร รวมทงั้ นำ� มาทำ� เปน็ เคร่ืองจกั สานตา่ ง ๆ เพ่ือน�ำไปใช้ในครัวเรอื น และจ�ำหน่ายเปน็ รายได้ของชมุ ชน 94
พลกิ ฟื้นผนื ป่าดว้ ยพนั ธบัตรปา่ ไม้ ส�ำหรับไม้ฟืน น�ำมาเป็นเช้ือเพลิงของชุมชน เนื่องจากชุมชนในชนบทต้องใช้ไม้ฟืนเพื่อการ หงุ ตม้ ถนอมอาหาร และสรา้ งความอบอนุ่ ในฤดหู นาว สว่ นไมก้ นิ ได้ ไมผ้ ล พชื สมนุ ไพร สามารถ นำ� ใบ ดอก ผล มาเปน็ อาหารและยา รวมไปถึงการลา่ สัตวป์ ่าเปน็ อาหารด้วย ท้ังนี้ การปลูกต้นไม้จะให้ประโยชน์ 4 อย่าง คือ 1) สามารถเสริมสร้างอาชีพและ ท�ำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปลูกไม้ท่ีมีความเหมาะสมและมีคุณสมบัติดีส�ำหรับการใช้สอย โดยการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ และปลูกในปริมาณ ที่มากพอ 2) ใช้ไม้เป็นวัสดุเชื้อเพลิงพื้นฐานเพื่อการหุงต้มอาหาร 3) ประหยัดค่าใช้จ่ายจาก การน�ำผลิตผลจากตน้ ไม้มาเป็นอาหารและสมุนไพร รวมทัง้ สตั ว์และแมลงท่สี ามารถเก็บหาได้ จากธรรมชาติ ทงั้ หากมปี รมิ าณเกนิ ความตอ้ งการ ยงั สามารถนำ� ไปเปน็ สนิ คา้ เสรมิ สรา้ งรายได้ อีกทางหน่ึง และ 4) ช่วยเสริมคุณค่าป่าจากพันธุ์พืชต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดความหลากหลาย ชว่ ยในการอนุรักษ์ดิน นํ้า และพน้ื ที่ต้นน้ําล�ำธารจากการขยายพ้นื ทป่ี ลูกตน้ ไม้เพิ่มขึน้ ส่วนแนวทางของพันธบัตรป่าไม้จะให้ความส�ำคัญต่อการปลูกป่าในพื้นท่ีของรัฐ ท่ีเป็นป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติท่ีมีการดูแลเป็นรายพ้ืนท่ีป่า ในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์และป่า สงวนแหง่ ชาตเิ ปน็ ปา่ เสอื่ มโทรม และในพนื้ ทท่ี ม่ี ชี มุ ชนอยกู่ บั ปา่ หรอื มกี ารบกุ รกุ ปลกู พชื เศรษฐกจิ อยู่แล้วท่ีเน้นการปลูกไม้เช่นเดียวกับธนาคารต้นไม้ ซ่ึงปลูกไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ดังกล่าวข้างต้น ส�ำหรับการบริหารจัดการต้องมีองค์กรเข้ามาบริหารจัดการเพื่อดูแลการจ่าย ผลตอบแทนให้กบั ผซู้ อ้ื พันธบตั ร ท้ังน้ี การปลูกในพื้นที่ป่าท่ีมีชุมชนอาศัยอยู่ จะส่งเสริมให้ผู้บุกรุกปรับเปลี่ยนมา ใหค้ วามรว่ มมอื ในการอนรุ กั ษป์ า่ เนอ่ื งจากการปลกู ปา่ เปน็ การสรา้ งอาชพี ใหมใ่ นการทำ� หนา้ ท่ี ปลกู และดแู ลปา่ ทมี่ รี ายไดเ้ พยี งพอส�ำหรบั การด�ำรงชวี ติ โดยไม่ตอ้ งออกจากพนื้ ท่ี ในระยะยาว คนเหล่านี้จะกลายเป็นผู้ปกป้องดูแลพื้นที่ป่า และพันธบัตรป่าไม้ยังสามารถท�ำควบคู่ไปกับ กิจกรรมปลูกป่าหรืออนุรักษ์ป่าแบบอื่น ๆ ที่ด�ำเนินการอยู่แล้ว เช่นธนาคารต้นไม้ ซึ่งเน้นให้ เกษตรกรเพมิ่ พนื้ ทปี่ า่ ในพนื้ ทที่ ำ� การเกษตรได้ ในขณะทพี่ นั ธบตั รปา่ ไมเ้ นน้ การปลกู ตน้ ไมเ้ พมิ่ ในพืน้ ทปี่ า่ ของรัฐทเี่ ป็นปา่ อนรุ กั ษ์ และปา่ สงวนแหง่ ชาติ พันธบัตรป่าไม้เป็นกลไกทางการเงินการคลังในการอนุรักษ์และฟื้นฟูพื้นท่ีป่า โดยการระดมทุนจากภาคเอกชน ดังนั้น จึงเป็นกลไกท่ีครบวงจรทางการเงินตั้งแต่ผู้ลงทุน การนำ� เงนิ ไปใช้ การมรี ายไดจ้ ากผลผลติ ทง้ั ทใ่ี ชไ้ ม้ (Timber Product) ไมใ่ ชไ้ ม้ (Non-Timber 95
บทที่ 4 การทำ� งานของพนั ธบตั รป่าไม้ forest products) และรายได้ทางอ้อมอื่น ๆ โดยอาศัยกลไกอื่น ๆ เช่น กลไกด้านกฎหมาย กลไกด้านสงั คมและการมสี ว่ นร่วม ท้ังนีก้ ารด�ำเนนิ การพันธบัตรปา่ ไมต้ ้องมพี น้ื ทีป่ า่ ไมท้ ่ีอยูใ่ น พื้นที่ของภาครัฐและเอกชน เงินทุน ผู้ซื้อพันธบัตร ผู้ปฏิบัติงานในการปลูกป่า และการเรียก เก็บเงินจากผู้ได้ประโยชน์จากป่าเพ่ือจ่ายเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ซื้อพันธบัตรป่าไม้ ดังน้ัน เรื่องของรายรับจากระบบนิเวศป่าไม้จึงมีความส�ำคัญเพราะจะน�ำไปสู่การบริหารจัดการด้าน การเงนิ และการออกพันธบัตรป่าไม้ ดังจะอธิบายรายละเอยี ดในบทถัด ๆ ไป 96
บทที่ 5 ความคุ้มคา่ การลงทนุ ในป่าเศรษฐกจิ
การวิเคราะหค์ วามคุ้มคา่ การลงทุนในป่าเศรษฐกจิ พบวา่ มี มลู คา่ ปจั จบุ นั สทุ ธทิ างเศรษฐศาสตร์ (Economic NPV) = 1,028,380 ลา้ นบาท อตั ราผลตอบแทนภายใน (Economic IRR) = 20.41% สดั ส่วนประโยชนต์ อ่ ตน้ ทุน (B/C) = 2.19 แสดงใหเ้ หน็ วา่ การลงทนุ ในการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ใหผ้ ลตอบแทนทคี่ มุ้ คา่ การลงทนุ เมอ่ื เทยี บคา่ เสียโอกาสของเงนิ ที่ดนิ คน และปัจจัยการผลติ อนื่ ๆ
พลกิ ฟนื้ ผืนป่าดว้ ยพันธบตั รปา่ ไม้ จากที่กล่าวมาแล้วในบทก่อนว่า การดูแลพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยจ�ำเป็นต้อง อาศัยงบประมาณจำ� นวนมาก ซ่ึงหากจะพ่ึงพางบประมาณแผ่นดนิ จากภาครัฐเพียงอย่างเดยี ว อาจไม่เพียงพอ แม้แต่การใชง้ บประมาณหรือทรพั ยากรของหน่วยงานเอกชนด้านการปลูกปา่ เพ่ือแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) ก็อาจท�ำได้เพียง บางพน้ื ทเ่ี ทา่ นน้ั ไมส่ ามารถครอบคลมุ พนื้ ทขี่ นาด 26 ลา้ นไรไ่ ด้ และในบางแหง่ อาจขาดทรพั ยากร ที่จะดูแลหลังการปลูกอย่างต่อเน่ือง ดังน้ัน จึงจ�ำเป็นต้องใช้กลไกพันธบัตรป่าไม้ซ่ึงสามารถ ระดมทนุ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ งและเพยี งพอสำ� หรบั ฟน้ื ฟสู ภาพปา่ ไม้ จงึ ไดท้ ำ� การศกึ ษาในเรอ่ื งศกั ยภาพ ของแหลง่ รายไดจ้ ากระบบนเิ วศทรพั ยากรปา่ ไมท้ จี่ ะมคี วามยงั่ ยนื และมขี นาดเพยี งพอเพอื่ ขจดั ขอ้ จำ� กดั ดา้ นงบประมาณจากภาครฐั เพราะระบบนเิ วศทรพั ยากรปา่ ไมน้ น้ั ใหป้ ระโยชนด์ า้ นนเิ วศ ตอ่ สงั คมเปน็ อยา่ งมากตามทกี่ ลา่ วในบทท่ี 2 และประโยชนท์ างนเิ วศเหลา่ นสี้ ามารถสรา้ งรายได้ เป็นเงินจ�ำนวนมากเพื่อน�ำมาจ่ายตอบแทนผู้ที่ลงทุนในพันธบัตรป่าไม้ แหล่งรายได้เหล่านี้ จึงเป็นกุญแจส�ำคัญท่ีจะสามารถช่วยให้กลไกพันธบัตรป่าไม้สามารถด�ำเนินการอย่างม่ันคง และยัง่ ยืน ในบทที่ 5 น้ี12 จะกล่าวถึงแหล่งรายได้จากทรัพยากรป่าไม้ท่ีมีหลากหลาย โดย ครอบคลุมประเด็นเก่ียวกับศักยภาพการจัดเก็บรายได้จากแหล่งรายรับต่าง ๆ ในพื้นที่ป่าไม้ การวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ และน�ำเสนอผลการศึกษาเร่ืองการ กำ� หนดเขตปา่ เศรษฐกจิ ของประเทศไทยที่มีศักยภาพสามารถปลูกไม้สักเชิงพาณิชย์ โดยน�ำ หลกั การการวเิ คราะหค์ วามคมุ้ คา่ ทางเศรษฐศาสตรม์ าประยกุ ตใ์ ชใ้ นการกำ� หนดเขตเศรษฐกจิ ไมส้ ักเพื่อเปน็ แนวทางส�ำหรบั ภาครัฐที่จะใหก้ ารสนบั สนุนตอ่ ไป ประโยชน์จากระบบนิเวศทรัพยากรป่าไม้ อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2558) ได้ศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของ โครงการพันธบัตรป่าไม้ จากข้อมูลการศึกษาการประเมินมูลค่ารายรับแต่ละประเภทจาก ระบบนิเวศทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งพ้ืนท่ีป่าไม้ที่ต้องปลูกเพิ่มในการศึกษาน้ีอ้างอิงพ้ืนท่ีที่ต้องมี การปลกู ปา่ เพม่ิ เพอ่ื ใหไ้ ดพ้ นื้ ทตี่ ามเปา้ หมายอกี ประมาณ 26 ลา้ นไร่ โดยคำ� นวณพนื้ ทเี่ ปา้ หมาย 12 เนื้อหาในบทน้ีอ้างอิงและสังเคราะห์มาจากผลงานวิจัยของอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2558) และปัญญาพร สำ� เร็จเฟือ่ งฟู และอดศิ ร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2564) 99
บทท่ี 5 ความคุม้ ค่าการลงทุนในป่าเศรษฐกิจ ตามที่ก�ำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ในการเพ่ิมพ้ืนท่ีป่าไม้ ให้ได้ร้อยละ 40 ของพ้ืนที่ประเทศ จากข้อมูล ณ ปี พ.ศ. 2556 ประเทศไทยมีพื้นท่ีป่าไม้ 102.1 ล้านไร่หรือคิดเป็นร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ท้ังหมด ดังน้ัน ประเทศไทยจึงจ�ำเป็นต้อง ฟน้ื ฟพู น้ื ทปี่ า่ ไมป้ ระมาณ 26 ลา้ นไร่ จงึ จะบรรลตุ ามเปา้ หมายรอ้ ยละ 40 ของพน้ื ทปี่ ระเทศไทย พน้ื ทป่ี า่ ไมม้ ศี กั ยภาพในการสรา้ งรายไดจ้ ากระบบนเิ วศทรพั ยากรปา่ ไม้ รวม 5 แหลง่ ไดแ้ ก่ 1) รายรับจากการทำ� ไม้อยา่ งยง่ั ยืน ประโยชนท์ างตรงทไ่ี ดจ้ ากปา่ ไมค้ อื การทำ� ไมเ้ ศรษฐกจิ (Timber Product) ซง่ึ เปน็ การปลกู กลา้ ไมแ้ ละตดั ไมต้ ามอายรุ อบตดั (Harvest Rotation) ใหเ้ กดิ เปน็ การปลกู ไมเ้ ศรษฐกจิ อยา่ งยงั่ ยนื เพอ่ื นำ� เนอ้ื ไมห้ รอื ผลติ ภณั ฑไ์ มม้ าใชป้ ระโยชนใ์ นอตุ สาหกรรมตา่ ง ๆ ทง้ั ในประเทศ และเพอื่ การสง่ ออก สว่ นการประเมนิ รายรบั ของปา่ ไมด้ า้ นไมเ้ ศรษฐกจิ นน้ั เปน็ การประเมนิ จาก การทำ� ประโยชนใ์ นพนื้ ทปี่ า่ ไมเ้ ศรษฐกจิ ขนาด 26 ลา้ นไร่ ซงึ่ ถกู กำ� หนดใหม้ กี ารปลกู ปา่ เพมิ่ ปลี ะ 1.3 ลา้ นไร่ เป็นเวลา 20 ปี และให้มีรอบการตัดในปีท่ี 7 ปีท่ี 15 และ ปที ี่ 20 (ดูรายละเอยี ด การคำ� นวณในภาคผนวก ก) ในการประเมินรายรับจากการขายเน้ือไม้นั้นใช้มูลค่าตลาด โดยอ้างอิงราคาไม้สัก จากการศึกษาของ มณฑาทิพย์ โสมมีชัย และคณะ (2562) ปรับให้เป็นราคาไม้สัก ณ ปีฐาน 2558 โดยไม้สกั อายุ 5 ปี มรี าคา 2,834 บาทตอ่ ลกู บาศก์เมตร จนถึงไมส้ กั อายุ 20 ปี มรี าคา 8,387 บาทต่อลูกบาศก์เมตร ในส่วนของการประเมินปริมาตรไม้การศึกษาใช้วิธีการค�ำนวณ ตามการศึกษาของ ทศพร วัชรางกูร และคณะ (2554) (ดูรายละเอียดในภาคผนวก ก) และ นำ� ปริมาตรมาคณู กบั พนื้ ท่ปี า่ ทป่ี ลูกเพิ่มปลี ะ 1.3 ล้านไร่ โดยเร่มิ ตน้ การคำ� นวณมลู คา่ รายรบั จากการทำ� ไมอ้ ย่างยัง่ ยนื ณ ปที ี่ 7 ปที ี่ 15 และปีสดุ ท้ายปีท่ี 20 (มูลค่าซาก หรอื Terminal Value) เนื่องจากเป็นปีที่ต้นไม้มีความเหมาะสมที่จะตัดเนื้อไม้ไปจ�ำหน่ายและเพื่อเพ่ิมพ้ืนที่ ใหไ้ ม้สามารถเติบโตอย่างเต็มท่ี ผลการค�ำนวณพบว่า มมี ลู ค่ารายรับจากการท�ำไมอ้ ยา่ งยงั่ ยืน ตลอด 20 ปี คิดเปน็ เงิน 3,064,959 ล้านบาท13 คิดเป็นมูลคา่ ปจั จุบัน (Present Value: PV) เทา่ กับ 1,769,097 ลา้ นบาท ดงั แสดงในตารางท่ี 5.1 13 ถึงแม้ข้อมูลราคาไม้จะเป็นข้อมูลปี พ.ศ. 2558 และข้อมูลต้นทุนก็ยังเป็นข้อมูลเก่าอยู่ แต่ถ้าข้อมูลรายรับและ ต้นทุนไม่ถูกปรับค่าเงินเฟ้อพร้อมกันทั้งคู่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อผลการค�ำนวณมูลค่าผลตอบแทนปัจจุบันสุทธิ (NPV) หรืออัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) มากนัก ท�ำให้ผลการศึกษาความคุ้มค่าน้ียังคงมีความเป็นปัจจุบัน อยูพ่ อสมควร 100
ตารางที่ 5.1 การวเิ คราะห์ความคุ้มค่าการลงทุนในการปลกู ปา่ รายการ มลู ค่าปัจจบุ นั ณ 2558 มูลคา่ ทางการเงิน ปที ี่ 1 ปีที่ 2 ปที ี่ 3 ปที ี่ 4 ปที ี่ 5 ปีที่ 6 ปที ี่ 7 ปีท่ี 8 ปีท่ี 9 ประโยชน์จากระบบนิเวศปา่ ไม้ (ล้านบาท) 1. รายรบั จากการทำ� ไมอ้ ย่างยงั่ ยืน 1,769,097 3,064,959 0 0 0 00 0 23,905 23,905 23,905 2. มลู ค่าคารบ์ อนเครดิตภาคปา่ ไม้ 18,407 27,834 0 97 198 311 498 686 799 932 1,085 3. รายรับจากผใู้ ช้น�ำ้ รายใหญ่ 12,596 16,993 847 847 847 847 847 847 847 847 847 4. ประโยชนจ์ ากการป้องกนั น้�ำท่วมและภยั แล้ง 89,265 120,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 5. รายรับจากการท่องเทย่ี วเชิงนิเวศ 2,856 3,840 192 192 192 192 192 192 192 192 192 รวมมลู ค่าประโยชน์ 1,923,274 3,284,534 7,039 7,058 7,129 7,222 7,686 7,686 31,693 31,889 32,561 ต้นทุนการด�ำเนนิ งานปา่ เศรษฐกิจ (ล้านบาท) พลกิ ฟื้นผนื ปา่ ดว้ ยพนั ธบัตรปา่ ไม้ 101 1. ต้นทุนการปลูกป่า 73,495 98,800 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 2. ต้นทนุ การดแู ลรักษาปา่ 100,602 146,860 0 1,300 2,300 3,300 4,300 5,300 5,924 6,548 7,172 3. ตน้ ทุนการทำ� ไม้ 271,026 463,691 0 0 0 0 0 0 5,870 5,870 5,870 4.ต้นทุนค่าขนส่งไม้ 260,672 445,975 0 0 0 0 0 0 5,645 5,645 5,645 5. ต้นทุนคา่ เสียโอกาสจากการใช้ทีด่ ินปลูกปา่ 158,047 194,376 18,512 17,586 16,661 15,735 14,810 13,884 12,958 11,107 11,107 รวมมลู คา่ ตน้ ทนุ 863,842 1,349,701 23,452 23,826 23,901 23,975 24,050 24,124 35,337 34,734 34,734 มูลค่าสุทธิ 1,934,833 - 16,413 - 16,769 - 16,772 - 16,753 -16,682 - 16,438 - 3,644 - 3,147 - 2,173 อัตราผลตอบแทนการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ สมมติฐาน มูลค่าปัจจุบัน (Net Present Value: NPV) 1,028,380 ลา้ นบาท ระยะเวลาการปลูก 20 ปี อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) 20.41 % ปฐี าน (Base Year) 2558 อัตราสว่ นผลตอบแทนตอ่ ต้นทุน (Benefit Cost Ratio: B/C) 2.19 อตั ราคิดลดท่ีแท้จรงิ (Real Discount Rate) 3.00 % รอบการตดั ฟัน (Harvest Rotation Period) ปีท่ี 7 ปีท่ี 15 และปที ี่ 20
ตารางที่ 5.1 การวิเคราะหค์ วามคุ้มคา่ การลงทนุ ในการปลูกปา่ (ต่อ) บทที่ 5 ความคุม้ คา่ การลงทุนในป่าเศรษฐกิจ 102 รายการ ปีที่ 10 ปีที่ 11 ปีที่ 12 ปที ่ี 13 ปีท่ี 14 ปีที่ 15 ปีที่ 16 ปีท่ี 17 ปีท่ี 18 ปีที่ 19 ปที ่ี 20 ประโยชนจ์ ากระบบนเิ วศปา่ ไม้ (ลา้ นบาท) 1. รายรบั จากการทำ� ไมอ้ ยา่ งยั่งยืน 23,905 23,905 23,905 23,905 23,905 144,416 144,416 144,416 144,416 144,416 2,151,636 2. มูลคา่ คาร์บอนเครดติ ภาคปา่ ไม้ 1,261 1,408 1,624 1,803 2,064 2,170 2,284 2,447 2,579 2,719 2,868 3. รายรบั จากผ้ใู ช้นำ้� รายใหญ่ 847 847 847 847 847 847 847 847 847 847 847 4. ประโยชน์จากการป้องกันน�้ำทว่ มและภัยแลง้ 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 6,000 5. รายรับจากการท่องเทย่ี วเชิงนเิ วศ 192 192 192 192 192 192 192 192 192 192 192 รวมมูลคา่ ประโยชน์ 32,875 33,664 34,096 35,922 36,970 158,504 159,131 160,257 160,987 162,216 2,170,269 ต้นทนุ การดำ� เนินงานปา่ เศรษฐกจิ (ล้านบาท) 1. ต้นทนุ การปลกู ปา่ 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 4,940 2. ตน้ ทุนการดแู ลรกั ษาป่า 7,796 8,420 9,044 9,668 10,292 10,916 10,916 10,916 10,916 10,916 10,916 3. ตน้ ทนุ การท�ำไม้ 5,870 5,870 5,870 5,870 5,870 22,304 22,304 22,304 22,304 22,304 305,214 4. ต้นทนุ ค่าขนส่งไม้ 5,645 5. ตน้ ทนุ คา่ เสียโอกาสจากการใชท้ ดี่ นิ ปลูกป่า 10,182 5,645 5,645 5,645 5,645 21,452 21,452 21,452 21,452 21,452 293,553 34,432 รวมมลู ค่าต้นทุน - 1,558 9,256 8,330 7,405 6,479 5,554 4,628 3,702 2,777 1,851 926 มลู คา่ สุทธิ 34,131 33,829 33,528 33,226 65,166 64,240 63,314 62,389 61,463 615,549 - 467 267 2,394 3,744 93,338 94,891 96,942 98,598 100,753 1,554,721 ทม่ี า: คำ� นวณโดยผเู้ ขยี น ปรบั ปรงุ จาก อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา (2558), อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา และคณะ (2558), มณฑาทพิ ย์ โสมมชี ยั และคณะ (2562), ทศพร วชั รางกรู และคณะ (2554), วรพรรณ หิมพานต์ และคณะ (2561) และมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ (2554)
พลกิ ฟืน้ ผืนป่าดว้ ยพันธบัตรปา่ ไม้ 2) มลู ค่าคารบ์ อนเครดิตภาคป่าไม้ ป่าไม้มีบทบาทส�ำคัญในการเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านทาง กระบวนการสงั เคราะหแ์ สงของใบ และสะสมคารบ์ อนไวใ้ นมวลชวี ภาพทง้ั ในสว่ นทอี่ ยเู่ หนอื ดนิ (ล�ำต้น ก่ิง และใบ) และส่วนท่ีอยู่ใต้ดิน (ราก) ถ้าป่าถูกท�ำลายหรือท�ำให้เสื่อมโทรม รวมถึง ถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นพื้นที่เพาะปลูกจะท�ำให้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถูกปลดปล่อยสู่ ชั้นบรรยากาศมากขึ้น จากการประเมินปริมาณการปล่อยคาร์บอนเนื่องจากการท่ีป่าของ ประเทศไทยถูกท�ำลายจนส่งผลท�ำให้พ้ืนท่ีป่าไม้ลดลงในช่วง ปี พ.ศ. 2543-2548 โดยใช้ ข้อมูลมวลชีวภาพเฉลี่ยของป่าทุกชนิดโดยไม่จ�ำแนกชนิดป่า มีปริมาณการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เท่ากับ 64.68 ล้านตันต่อปี (ลดาวัลย์ พวงจิตร และคณะ, 2553) ท้ัง ยังมีข้อมูลการศึกษายืนยันว่าป่าไม้เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนซ่ึงมีอยู่มากกว่าร้อยละ 47 ของคาร์บอนที่พบในช้ันบรรยากาศ ดังนั้น การอนุรักษ์ป่าไม้จึงเป็นการลดการปล่อยก๊าซ คาร์บอนไดออกไซดแ์ ละชะลอการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ การค�ำนวณมูลค่าการกักเก็บคาร์บอนใช้หลักการการค�ำนวณรายรับจากการขาย คาร์บอนเครดิต14 ภาคป่าไม้ โดยอ้างอิงและดัดแปลงจากการศึกษาของวรพรรณ หิมพานต์ และคณะ (2561) ท่ไี ดค้ ำ� นวณปริมาณมวลชวี ภาพสว่ นต่าง ๆ ของตน้ ไม้ ได้แก่ ลำ� ต้น ราก ก่ิง ก้าน และใบของสวนปา่ สกั ช้นั อายุต่าง ๆ โดยใช้สมการแอลโลเมตริก ซงึ่ ไมส้ ักจะดดู ซบั อากาศ ไว้ในมวลชีวภาพผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสง และกักเก็บคาร์บอนไว้ในเน้ือไม้ท้ังส่วนที่ อยเู่ หนอื พนื้ ดินทง้ั หมด ไดแ้ ก่ ล�ำตน้ กิง่ ใบ ปรมิ าณล�ำตน้ รวมเปลอื ก และในสว่ นมวลชีวภาพ ของราก โดยการค�ำนวณการกักเก็บคาร์บอนของต้นสักจากปริมาณมวลชีวภาพของต้นไม้ได้ น�ำมาค�ำนวณปริมาณคาร์บอนท่ีสะสมอยู่ในมวลชีวภาพในอัตราค่าประมาณร้อยละ 47 ของ คา่ มวลชีวภาพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2554) 14 คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีลดลงได้ และเป็นสินค้าชนิดหน่ึงท่ีมีเอกสารสิทธิรับรอง หรอื ใบอนุญาตการปลอ่ ยก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ 103
บทท่ี 5 ความคุม้ คา่ การลงทุนในปา่ เศรษฐกจิ อยา่ งไรกต็ ามการคำ� นวณการกกั เกบ็ คารบ์ อนของตน้ สกั เปน็ คำ� นวณตามนำ�้ หนกั มวล ชีวภาพส่วนตา่ ง ๆ ทเ่ี พ่มิ ข้นึ ในแต่ละปี ดังนัน้ จึงจ�ำเปน็ ต้องคำ� นวณมูลค่าการกักเก็บคารบ์ อน เฉพาะท่ีเป็นมูลค่าส่วนเพิ่มในแต่ละปีของการปลูกสักเพื่อมิให้เป็นการนับที่ซ�้ำซ้อนกับมูลค่า ของปกี อ่ น ๆ เมอ่ื ไดม้ ลู คา่ การกกั เกบ็ คารบ์ อนสว่ นเพม่ิ รายปแี ลว้ จงึ นำ� มาคณู กบั พนื้ ทปี่ ลกู รายปี โดยจะเรม่ิ คำ� นวณมลู คา่ คารบ์ อนตงั้ แตป่ ที ่ี 2 เปน็ ตน้ ไป ณ ราคาคารบ์ อนเครดติ 5 ดอลลารส์ หรฐั ต่อตันคาร์บอน อัตราแลกเปล่ียน 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ดูรายละเอียดการค�ำนวณใน ภาคผนวก ข1 และ ข2) ผลการค�ำนวณพบว่าการปลูกป่าเศรษฐกิจสามารถสร้างประโยชน์ ในรปู มลู คา่ การกกั เกบ็ คารบ์ อนตลอด 20 ปี คดิ เปน็ เงนิ 27,834 ลา้ นบาท คดิ เปน็ มลู คา่ ปจั จบุ นั (Present Value: PV) เท่ากบั 18,407 ล้านบาท ดงั แสดงในตารางท่ี 5.1 ข้างตน้ 3) รายรับจากผูใ้ ช้นำ้� รายใหญ่ ปริมาณการใช้น�้ำในภาคอุตสาหกรรมและภาคประชาชนมีแนวโน้มความต้องการ เพ่ิมมากข้ึนทุกปี ท�ำให้องค์กรผู้จัดหาน้�ำต้องการน�้ำดิบสะอาดเพ่ือน�ำมาผลิตน้�ำใช้ให้กับภาค อตุ สาหกรรมและภาคประชาชนเพ่มิ ข้ึนด้วย เน่ืองจากปา่ ไมเ้ ป็นแหล่งตน้ น�้ำลำ� ธาร ในบริเวณ ทป่ี า่ ไมม้ คี วามสมบรู ณ์ ตน้ ไมแ้ ละอนิ ทรยี วตั ถจุ ากตน้ ไมจ้ ะชว่ ยปรบั โครงสรา้ งของดนิ ใหม้ รี พู รนุ ซ่งึ สามารถเก็บกกั น้�ำไดด้ ี และนำ้� ทเ่ี ก็บกักไวน้ ้จี ะค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยสู่ชน้ั นำ�้ ใตด้ นิ ซ่งึ ทำ� ให้ ป่าไม้เปรียบเสมือนฟองน�้ำหรืออ่างเก็บน้�ำธรรมชาติที่สะสมน�้ำเอาไว้แล้วระบายลงสู่แหล่งน้�ำ ล�ำธารท�ำให้มีน้�ำไหลอย่างสม�่ำเสมอตลอดปี และสามารถท�ำให้สังคมมีน้�ำใช้ได้ทุกฤดูกาล โดยเฉพาะในฤดูแล้ง ดังนั้น แนวคิดในการน�ำรายรับจากผู้ใช้น�้ำรายใหญ่ท่ีมีปริมาณการใช้น้�ำ จ�ำนวนมากในแต่ละปีมาค�ำนวณเป็นส่วนหนึ่งของรายรับจากระบบนิเวศป่าไม้ จึงมีความ สมเหตสุ มผลตามหลกั การการจา่ ยคา่ ตอบแทนคนื คณุ ระบบนเิ วศ (Payment for Ecosystem Services: PES) ดงั ทกี่ ลา่ วในบทก่อน การค�ำนวณรายรบั จากผ้ใู ช้น�ำ้ รายใหญแ่ บ่งเป็น 2 ส่วน คอื (1) รายรับจากผู้ใช้น�้ำรายใหญ่ภาคอุตสาหกรรม จากการศึกษาโดยใช้ค่าเฉลี่ย ปริมาณการใช้น้�ำของบริษัทอีสวอเตอร์ และบริษัทประปาปทุมธานีที่ให้บริการน�้ำแก่โรงงาน อตุ สาหกรรม ซง่ึ มคี า่ เฉลย่ี ปรมิ าณการใชน้ ำ�้ เทา่ กบั 193 ลา้ นลกู บาศกเ์ มตรตอ่ ปี เมอ่ื จดั เกบ็ คา่ ดแู ลปา่ เพอื่ รกั ษาตน้ นำ�้ ทเี่ ปน็ แหลง่ นำ้� ดบิ ใหม้ ปี รมิ าณและคณุ ภาพนำ้� ทเี่ หมาะสมเทา่ กบั 2 บาท ต่อหนว่ ย จะคิดเปน็ มูลคา่ รายได้จากผใู้ ช้น�้ำภาคอตุ สาหกรรม เท่ากับ 386 ลา้ นบาทตอ่ ปี (2) รายรับจากผ้ใู ชน้ ำ�้ รายใหญ่ภาคประชาชน โดยใช้คา่ เฉล่ียจากปรมิ าณการใช้น้ำ� ของการประปาภูมิภาคและการประปานครหลวง ซึ่งมีค่าเฉล่ียเท่ากับ 2,154 ล้านลูกบาศก์ 104
พลิกฟื้นผืนป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ เมตรต่อปี เมื่อจัดเก็บค่าดูแลป่าเพ่ือรักษาต้นน�้ำท่ีเป็นแหล่งน�้ำดิบให้มีปริมาณและคุณภาพ นำ้� ท่เี หมาะสมเทา่ กบั 1 บาทตอ่ หน่วย คิดเป็นมูลคา่ รายได้จากผูใ้ ช้นำ�้ ภาคประชาชน เทา่ กับ 2,154 ลา้ นบาทตอ่ ปี ผลการค�ำนวณรายรับรวมจากผู้ใช้น�้ำรายใหญ่ท้ังภาคอุตสาหกรรมและภาค ประชาชน เทา่ กบั 2,540 ลา้ นบาทตอ่ ปี ซง่ึ ในการศกึ ษานคี้ ำ� นวณการจดั เกบ็ รายไดจ้ ากผใู้ ชน้ ำ้� รายใหญ่เฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่น้�ำมีค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจเท่านั้น (ระยะเวลา 4 เดือน) จึงคดิ เป็นมลู คา่ รายรบั จากผู้ใชน้ �้ำ เท่ากับ 847 ล้านบาทตอ่ ปี หรอื เป็นรายรับรวมตลอดระยะ เวลาของโครงการ 20 ปี เท่ากับ 16,933 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value: PV) เท่ากบั 12,596 ลา้ นบาท ดงั แสดงในตารางท่ี 5.1 ข้างต้น 4) ประโยชน์จากการปอ้ งกันปญั หาน้�ำทว่ มและภัยแลง้ ปัญหาการขาดแคลนน้�ำของประเทศไทยเกิดข้ึนในช่วงฤดูแล้ง เน่ืองจากมีจ�ำนวน อ่างเก็บน�้ำไม่เพียงพอท่ีจะเก็บกักน�้ำให้ได้ปริมาณตามความต้องการใช้น้�ำ ปริมาณน�้ำไหล เข้าอ่างน้อยกว่าปกติ รวมท้ังการใช้น�้ำท่ีขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนี้ยังมี สาเหตุจากการท่ีฝนท้ิงช่วงอีกด้วย ปัญหาภัยแล้งนี้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อความเป็นอยู่ ของประชาชนและสร้างความเสียหายต่อการเกษตร ส่วนปัญหาน�้ำท่วมและอุทกภัยก็สร้าง ความเสยี หายในแตล่ ะปเี ปน็ จำ� นวนมหาศาล และพบวา่ ความเสยี หายจากนำ้� ทว่ มและอทุ กภยั มีแนวโน้มสูงขึ้น แม้ภาครัฐจะมีแนวทางในการจัดการปัญหามาอย่างต่อเน่ือง แต่ก็ยังไม่มี การกำ� หนดมาตรการใหเ้ ปน็ แนวทางทช่ี ดั เจนในแตล่ ะปี สว่ นใหญก่ ารดำ� เนนิ การของรฐั เปน็ ไป ในรูปของการเฝา้ ระวงั การกระจายข่าวแกป่ ระชาชนท่อี ยู่ในพนื้ ท่ีเสี่ยงภัยน้�ำทว่ มน้ำ� แลง้ และ การให้ความช่วยเหลือเมื่อประชาชนได้รับผลกระทบจากน�้ำท่วมน้�ำแล้ง ซึ่งการด�ำเนินการ ดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปญั หาได้ การลดลงของพื้นที่ป่าที่มีความหลากหลายของระบบนิเวศ ส่งผลให้ความสามารถ ในการดูดซับน�้ำของป่า การคายน�้ำของต้นไม้ การระเหยของน�้ำจากดิน และความสามารถ ในการดูดซึมน�้ำของดินในป่าโดยผ่านระบบรากของต้นไม้ลดลง นอกจากนั้น การสูญเสียน้�ำ จากการระเหยในพน้ื ทป่ี า่ จะนอ้ ยกวา่ การสญู เสยี นำ้� จากการระเหยในพน้ื ทที่ ไ่ี มม่ ตี น้ ไมป้ กคลมุ ท�ำให้พ้ืนที่ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้อย่างหนาแน่น มีอิทธิพลต่อความสมดุลของวัฏจักรน�้ำ เปน็ อยา่ งมาก ดว้ ยเหตนุ ้ี การตดั ไมท้ ำ� ลายปา่ จงึ จะนำ� ไปสคู่ วามเสยี่ งทเ่ี พมิ่ ขนึ้ ของปญั หานำ�้ ทว่ ม และภัยแล้ง แต่หากมีการเพ่ิมพื้นท่ีป่าและอนุรักษ์ป่าก็จะส่งผลไปถึงการอนุรักษ์ดินและน้�ำ ซง่ึ จะสามารถชว่ ยลดผลกระทบจากปญั หานำ�้ ทว่ มและภยั แลง้ ทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความสญู เสยี ตอ่ ชวี ติ 105
บทที่ 5 ความคุ้มคา่ การลงทุนในป่าเศรษฐกจิ ทรัพย์สิน และความเสียหายภาคการเกษตรได้เป็นอย่างดี ที่ส�ำคัญคือเป็นการแก้ท่ีต้นตอ ของปญั หา ดงั นน้ั หากมกี ารจดั สรรงบประมาณแผน่ ดนิ เพอื่ สนบั สนนุ การเพม่ิ พนื้ ทปี่ า่ ไม้ การอนรุ กั ษ์ ป่าไม้และพ้ืนที่ต้นน�้ำเพ่ือให้ป่าช่วยชะลอการไหลของน้�ำแล้ว ก็จะสามารถลดความเสียหาย ท่ีเกิดจากปัญหาน้�ำท่วมและภัยแล้งและประหยัดค่าใช้จ่ายประจ�ำปีท่ีรัฐบาลต้องจ่ายเป็น ค่าชดเชยได้ จากการประเมินมูลค่ารายจ่ายของแผ่นดินด้านการป้องกันปัญหาน้�ำท่วมและ ภัยแล้ง อ้างอิงจากค่าใช้จ่ายด้านงบประมาณของภาครัฐในการป้องกันและบรรเทาปัญหา อุทกภัยในการจัดท�ำโครงการขุดลอกคูคลองและการก่อสร้างทางระบายน�้ำ จากเอกสาร งบประมาณประจ�ำปี 2550-2554 ของส�ำนักงบประมาณ พบว่ามีค่าเฉล่ียงบประมาณ ประจ�ำปีเท่ากับ 30,000 ล้านบาทต่อปี การศึกษานี้ก�ำหนดให้การเพ่ิมพื้นท่ีป่าไม้จะสามารถ ลดความเสียหายท่ีเกิดจากปัญหาน้�ำท่วมภัยแล้งและประหยัดค่าใช้จ่ายประจ�ำปีที่รัฐบาล ตอ้ งจา่ ยเปน็ คา่ ชดเชยไดป้ ระมาณรอ้ ยละ 20 ของงบประมาณปกตดิ า้ นการปอ้ งกนั และบรรเทา ปญั หานำ้� ทว่ มและภยั แลง้ คดิ เปน็ มลู คา่ ประโยชนเ์ ทา่ กบั การประหยดั งบประมาณในการปอ้ งกนั น�้ำท่วมและภัยแล้วเท่ากับ 6,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าการประหยัดงบประมาณ แผ่นดินรวม 20 ปี เท่ากับ 120,000 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value: PV) เท่ากบั 89,265 ลา้ นบาท ดังแสดงในตารางท่ี 5.1 ข้างตน้ 5) รายรบั จากการท่องเที่ยวเชงิ นเิ วศ พ้ืนท่ีป่าสามารถพัฒนาเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจได้ เน่ืองจากเป็นพื้นท่ีท่ีมี ความสงบ ร่มเย็น อากาศบรสิ ทุ ธ์ิ และมีทวิ ทศั น์สวยงามตามธรรมชาติ รฐั บาลจึงไดก้ ำ� หนดให้ พื้นท่ีป่าท่ีมีทิวทัศน์สวยงามเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจส�ำหรับประชาชน เช่น พ้ืนท่ีในเขตอุทยาน แหง่ ชาติ วนอทุ ยาน และสถานทพี่ กั ผอ่ นหยอ่ นใจในปา่ ซง่ึ นบั วนั ความสำ� คญั ของปา่ ทจี่ ะใชเ้ ปน็ สถานทพี่ กั ผอ่ นหยอ่ นใจของประชาชนกม็ มี ากขนึ้ และถอื วา่ เปน็ ประโยชนท์ างออ้ มของปา่ ไมท้ ่ี มีความสำ� คญั อย่างหนึง่ ด้วย และสามารถสร้างรายไดใ้ หภ้ าครฐั ปลี ะหลายล้านบาท ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเท่ียวในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์ สตั ว์ป่า และวนอทุ ยาน ในชว่ งปี พ.ศ. 2550-2554 ประมาณ 480 ล้านบาทตอ่ ป1ี 5 โดยจดั เกบ็ จากคา่ ธรรมเนยี ม คา่ ทพ่ี กั และคา่ บรกิ ารซงึ่ รวมถงึ คา่ เขา้ ชมอทุ ยานแหง่ ชาติ ดงั นนั้ การศกึ ษาน้ี จึงรวมรายได้จากการทอ่ งเท่ียวในพื้นทปี่ ่าไม้เปน็ ประโยชน์สำ� คัญอย่างหนึง่ ของป่าไม้ ปจั จบุ ัน 15 ค่าเฉลยี่ รายไดจ้ ากการทอ่ งเทีย่ วรายปีจากกรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธพ์ุ ชื ปี พ.ศ. 2550–2554 106
พลิกฟ้ืนผืนปา่ ด้วยพันธบตั รปา่ ไม้ พน้ื ทอ่ี นุรกั ษม์ กี ารจดั เกบ็ คา่ ธรรมเนยี มในการเขา้ พน้ื ที่ ดงั น้ันการศกึ ษานจ้ี ึงคำ� นวณประโยชน์ ด้านสันทนาการของพนื้ ทปี่ ่าไม้จากมลู ค่ารายรบั จากคา่ ธรรมเนียมเข้าพืน้ ทอ่ี ุทยาน แมว้ า่ การประเมนิ มลู คา่ รายรบั จากการทอ่ งเทย่ี วโดยอา้ งองิ รายรบั ทอี่ ทุ ยานแหง่ ชาติ จัดเก็บได้ในแต่ละปี จะมีค่าเฉลี่ยรายรับในช่วงปี พ.ศ. 2550–2554 เท่ากับ 480 ล้านบาท ตอ่ ปีกต็ าม แตก่ ารศึกษาน้คี ำ� นวณประโยชน์จากการท่องเทยี่ วในแต่ละปีเพียงรอ้ ยละ 40 ของ รายรบั รวมเทา่ นนั้ เนอ่ื งจากการคำ� นวณมลู คา่ ทางเศรษฐกจิ จำ� เปน็ ตอ้ งหกั ตน้ ทนุ การดำ� เนนิ การ และการจัดการทอ่ งเทยี่ วไปเพื่อให้ไดม้ ลู คา่ สทุ ธิ โดยประมาณการตน้ ทุนอยทู่ ีร่ ้อยละ 60 ของ รายไดท้ ง้ั หมด ดงั นน้ั มลู คา่ รายรบั จากการทอ่ งเทยี่ วเชงิ นเิ วศจงึ มคี า่ เทา่ กบั 192 ลา้ นบาทตอ่ ปี หรอื คดิ เปน็ มลู คา่ รายรบั จากการทอ่ งเทย่ี วเชงิ นเิ วศตลอดระยะเวลาของโครงการ 20 ปี เทา่ กบั 3,840 ลา้ นบาท คดิ เป็นมลู ค่าปัจจุบนั (Present Value: PV) เท่ากับ 2,856 ล้านบาท ดงั แสดง ในตารางท่ี 5.1 ขา้ งต้น ตน้ ทุนการปลกู ป่าเศรษฐกจิ การประมาณมลู คา่ ตน้ ทนุ ในการฟน้ื ฟพู น้ื ทปี่ า่ เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารรกั ษาทรพั ยากรปา่ ไม้ ใหไ้ ดต้ ามเปา้ หมายพน้ื ทป่ี า่ ไมข้ องประเทศเปน็ สว่ นหนงึ่ ของการคำ� นวณผลตอบแทนการลงทนุ ในการเพม่ิ พน้ื ทป่ี า่ ไม้ โดยการศกึ ษาผลตอบแทนการลงทนุ คำ� นงึ ถงึ ความคมุ้ คา่ ไมเ่ พยี งทางการ เงินเท่านั้น แต่การค�ำนวณต้นทุนการฟื้นฟูป่าจะค�ำนึงถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ด้วย ดงั นนั้ การค�ำนวณจะอาศยั แนวคดิ ตน้ ทนุ ทางเศรษฐศาสตร์ (Economics Cost) ที่ครอบคลุม ต้นทุนทั้งหมดอันเกิดขึ้นในการด�ำเนินการฟื้นฟูป่า ท้ังท่ีจ่ายจริงเป็นตัวเงิน และต้นทุนค่า เสียโอกาส (Opportunity Cost)16 ที่เกิดข้ึนจากการใช้ที่ดินในการปลูกและฟื้นฟูป่า ดังนั้น การคำ� นวณมลู คา่ ต้นทุนการฟ้ืนฟูป่าจงึ ประกอบด้วย 1) ต้นทนุ การปลูกป่า การลงทุนปลูกป่าเพ่ิมเพื่อให้ได้ตามเป้าหมายท่ีก�ำหนดไว้ตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยใหม้ กี ารปลกู ปา่ เพม่ิ ปลี ะ 1.3 ลา้ นไร่ รวมพนื้ ทป่ี า่ ปลกู เพม่ิ จำ� นวน 26 ลา้ นไร่ ซง่ึ มคี า่ ใชจ้ า่ ย ในการปลูกเท่ากับ 3,800 บาทต่อไร่ ผลการค�ำนวณพบว่ามีมูลค่าต้นทุนการปลูกป่าตลอด 16 ต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ ต้นทุนที่เกิดข้ึนเม่ือเลือกท�ำส่ิงใดสิ่งหน่ึงแล้วส่งผลให้ไม่สามารถ ท�ำอีกส่ิงหน่ึงได้ เช่น การน�ำที่ดินมาใช้ปลูกป่าเกิดค่าเสียโอกาสของท่ีดินจากการท่ีไม่น�ำที่ดินไปใช้ประโยชน์ ดา้ นอน่ื เชน่ ท�ำการเกษตร ที่อยู่อาศัย ฯลฯ 107
บทท่ี 5 ความคมุ้ ค่าการลงทนุ ในป่าเศรษฐกิจ ระยะเวลา 20 ปี เทา่ กบั 98,800 ลา้ นบาท คดิ เปน็ มลู คา่ ปจั จบุ นั (Present Value: PV) เทา่ กบั 73,495 ล้านบาท ดงั แสดงในตารางที่ 5.1 ข้างต้น 2) ตน้ ทนุ การดูแลรักษาป่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาป่าหลังจากการปลูกป่า เช่น ต้นทุนในการจัดสรรวัสดุ อุปกรณ์หรอื เจ้าหนา้ ที่ในการดแู ลรกั ษาป่า จนถงึ เวลาทต่ี น้ ไมม้ ีความเหมาะสมทจ่ี ะตัดเพ่ือนำ� เนอ้ื ไมไ้ ปจำ� หนา่ ย (ใชร้ ะยะเวลาประมาณ 15 ป)ี ผลการศกึ ษาพบวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการดแู ลรกั ษา ป่าหลงั จากปลูกแลว้ 1 ปี ประกอบด้วย ปีที่ 2 - 6 มีคา่ ใช้จา่ ยในการดูแลรักษา เทา่ กับ 1,000 บาทตอ่ ไรต่ อ่ ปี ปที ่ี 7 - 15 มีค่าใชจ้ ่ายในการดูแลรกั ษา เทา่ กับ 480 บาทต่อไรต่ อ่ ปี ดังน้ัน ตลอดระยะเวลาโครงการ 20 ปี จะมีต้นทุนการดูแลรักษาป่าเท่ากับ 146,860 ล้านบาท คดิ เปน็ มลู คา่ ปจั จบุ ัน (Present Value: PV) เทา่ กับ 100,602 ลา้ นบาท ดังแสดงในตารางท่ี 5.1 ขา้ งต้น 3) ต้นทนุ การทำ� ไม้ ในส่วนของต้นทุนการท�ำไม้ตลอดอายุโครงการระยะเวลา 20 โดยให้มีการปลูกป่า เพม่ิ ขึ้นปลี ะ 1.3 ล้านไร่จนครบ 26 ล้านไรใ่ นปที ี่ 20 ต้องมรี อบการตัดขยายระยะ (Harvest Rotation) ครงั้ แรกในปที ี่ 7 จำ� นวน 100 ตน้ ตอ่ ไร่ (จากทแี่ รกปลกู 200 ตน้ ตอ่ ไร)่ เพอ่ื ใหต้ น้ สักในพื้นที่ได้เจริญเติบโตเต็มที่ ลดการแก่งแย่งธาตุอาหารของไม้ คิดเป็นต้นทุนการท�ำไม้ เท่ากับ 5,870 ล้านบาทตอ่ ปี ตอ่ มาในปีที่ 15 จะมรี อบการตดั ขยายครั้งท่สี องอกี คิดเปน็ มลู ค่า 16,435 ลา้ นบาทตอ่ ปี จงึ ทำ� ใหต้ น้ ทนุ การทำ� ไมข้ องปที ่ี 15 มตี น้ ทนุ รวมเทา่ กบั 22,304 ลา้ นบาท ต่อปี และในปีที่ 20 จะมีการตัดไม้ท้ังหมดท่ีเจริญเติบโตเต็มท่ี จึงท�ำให้มีต้นทุนในปีที่ 20 (มูลค่าซาก หรือ Terminal Value) เท่ากับ 305,214 ล้านบาท การศึกษาก�ำหนดค่าใช้จ่าย ในการท�ำไม้เฉลี่ยเท่ากับ 903 บาทต่อลูกบาศก์เมตร อ้างอิงจาก ทศพร วัชรางกูร และคณะ (2558) เนอ่ื งจากเปน็ การเฉลยี่ ตน้ ทนุ การทำ� ไมต้ ลอดอายโุ ครงการ 20 ปี ผลการคำ� นวณพบวา่ ตลอดอายุโครงการปลูกไม้เศรษฐกจิ 20 ปจี ะมตี ้นทุนการทำ� ไม้รวมตลอดอายโุ ครงการเทา่ กับ 463,691 ล้านบาท คดิ เป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value: PV) เท่ากับ 271,026 ลา้ นบาท ดังแสดงในตารางที่ 5.1 ขา้ งต้น อนงึ่ ในความเป็นจรงิ เมื่อมีการปลกู ปา่ เศรษฐกิจครบปีท่ี 20 การท�ำปา่ ไมท้ ่ยี ่ังยนื จะไมม่ กี ารตดั ไมท้ งั้ หมดออกจากพนื้ ทโี่ ครงการ และยงั คงใหม้ กี ารทยอยตดั ไมต้ ามรอบการตดั 108
พลิกฟ้นื ผืนปา่ ดว้ ยพันธบตั รปา่ ไม้ ตามอายุของไม้และมีการทยอยปลูกไม้ใหม่ทดแทนอย่างต่อเน่ืองในระยะยาว แต่ส�ำหรับการ คำ� นวณมลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ของตน้ ไมท้ คี่ งเหลอื ในปสี ดุ ทา้ ยปที ่ี 20 (มลู คา่ ซาก หรอื Terminal Value) จ�ำเป็นต้องน�ำต้นทุนการท�ำไม้มาหักลบออกจากรายรับของการขายไม้ด้วยเพ่ือให้ได้ มลู คา่ สุทธิหรอื มลู ค่าทางเศรษฐกจิ ท่แี ทจ้ ริงของปรมิ าตรไม้ท่ีคงเหลอื ในปีท่ี 20 4) ต้นทุนค่าขนส่งไม้ เน่ืองจากการค�ำนวณมูลค่าประโยชน์ของเนื้อไม้จากการขายไม้การศึกษานี้ได้ใช้ ราคาไม้ท่ีมีการซ้ือขายท่ีกรุงเทพมหานคร ดังนั้น ในการค�ำนวณผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ จากการลงทนุ ปลกู ปา่ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งหกั ลบตน้ ทนุ การขนสง่ ไมจ้ ากจงั หวดั ตา่ ง ๆ มายงั จดุ ทม่ี กี าร ซอ้ื ขายไมด้ ว้ ย (กรงุ เทพมหานคร) โดยการศกึ ษาสมมตใิ หไ้ มต้ อ้ งมกี ารขนสง่ จากจงั หวดั ตา่ ง ๆ มาขายท่ีกรุงเทพมหานคร โดยต้นทุนค่าขนส่งจะค�ำนวณเมื่อมีรอบการตัดฟันไม้ในปีที่ 7 ปีท่ี 15 และปีท่ี 20 โดยการศึกษาได้ประเมินระยะทางเฉลี่ยการขนส่งไม้จาก 74 จังหวัด ถงึ กรงุ เทพมหานคร เปน็ ระยะทางเฉลย่ี 450 กโิ ลเมตร เมอื่ อา้ งองิ ราคาคา่ ขนสง่ จากการสมาคม ทางหลวงแหง่ ประเทศไทยทเ่ี ปน็ การขนสง่ โดยรถบรรทกุ 10 ลอ้ (กรณนี ำ�้ หนกั รวมไมเ่ กนิ 25 ตนั ) ภูมิประเทศเป็นผิวราบผิวทางลาดยาง การจราจรปกติ ราคาน้�ำมันเชื้อเพลิงโซล่า (ดีเซล) ท่ีอ�ำเภอเมืองอยู่ในช่วง 23.00-23.99 บาทต่อลิตร ณ พ.ศ. 2558 ท�ำให้ต้นทุนค่าขนส่งไม้ มคี า่ เท่ากับ 1.93 บาทต่อลูกบาศกเ์ มตรตอ่ กิโลเมตร ผลการคำ� นวณพบวา่ ตลอดอายุโครงการ ปลูกไม้เศรษฐกิจ 20 ปจี ะมตี ้นทุนคา่ ขนสง่ ไมเ้ ทา่ กับ 445,975 ลา้ นบาท คดิ เป็นมูลค่าปัจจุบนั (Present Value: PV) เทา่ กับ 260,672 ล้านบาท ดังแสดงในตารางท่ี 5.1 ข้างตน้ 5) ต้นทุนคา่ เสียโอกาสจากการใชท้ ีด่ นิ ปลกู ปา่ เนอื่ งจากการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ทำ� ใหป้ ระเทศไมส่ ามารถนำ� ทด่ี นิ พนื้ ทขี่ นาด 26 ลา้ นไร่ ไปใชป้ ระโยชนด์ า้ นอน่ื ได้ เชน่ การทำ� การเกษตร เปน็ ตน้ ดงั นน้ั การประเมนิ มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ของการปลูกไม้จึงต้องน�ำต้นทุนค่าท่ีดิน หรือท่ีเรียกว่าค่าเสียโอกาสของท่ีดินมาหักลบออก จากรายรับด้วย ส�ำหรับการประเมินค่าเสียโอกาสของที่ดินการศึกษานี้ใช้หลักการค่าเช่าท่ีดิน ทีใ่ ชใ้ นการปลกู ปา่ ในพ้ืนทต่ี ่าง ๆ ของประเทศไทยตลอดอายุโครงการ โดยเปรียบคา่ เชน่ ทดี่ นิ เป็นเสมือนค่าเสียโอกาสของพื้นที่ท่ีน�ำมาใช้ในการปลูกป่าแทนที่จะใช้ท่ีดินเพื่อประโยชน์ ในการอ่ืน โดยอ้างอิงดัดแปลงวิธีการค�ำนวณค่าเช่าจากการค�ำนวณมูลค่าท่ีดินจากค่าเช่าของ Rasmussen (2010) 109
บทที่ 5 ความคุ้มคา่ การลงทุนในปา่ เศรษฐกิจ Land rent = Land value × ij Land value หมายถงึ มลู ค่าของทด่ี ิน เมอ่ื Land rent หมายถงึ ค่าเชา่ ทดี่ ิน ij หมายถงึ อตั ราดอกเบี้ยตลาด ขอ้ มลู ราคาทดี่ นิ ใชร้ าคาประเมนิ ทนุ สนิ ทรพั ยท์ ดี่ นิ เปน็ มลู คา่ ของทดี่ นิ (Land Value) และใชอ้ ตั ราดอกเบยี้ เงนิ ฝาก รอ้ ยละ 3 ในการคำ� นวณคา่ เชา่ รายปขี องแตล่ ะพน้ื ที่ ซง่ึ ราคาทด่ี นิ แต่ละภูมิภาคใช้ข้อมูลจากบัญชีก�ำหนดราคาประเมินทุนทรัพย์ท่ีดินในการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์ ปี พ.ศ. 2562 สามารถน�ำมาหาค่าเช่าเฉลี่ยรายปีของ ทงั้ 3 ภาค ยกเวน้ ภาคกลาง เนอื่ งจากสภาพพนื้ ทภี่ าคกลางเนน้ การปลกู ขา้ วเปน็ หลกั (ดงั ตาราง ท่ี 5.2) จากการค�ำนวณพบว่าต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการใช้ท่ีดินในการปลูกป่า อ้างอิงจาก ค่าเช่าที่ดินเฉลี่ยมีค่าเท่ากับ 712 บาทต่อไร่ต่อปี คิดเป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการใช้ที่ดิน ในการปลกู ปา่ ตลอดโครงการเทา่ กบั 194,376 ลา้ นบาท คดิ เปน็ มลู คา่ ปจั จบุ นั (Present Value: PV) เท่ากับ 158,047 ล้านบาท (ดังแสดงในตารางท่ี 5.1 ข้างตน้ ) ตารางท่ี 5.2 ราคาประเมินเฉลย่ี และค่าเช่าเฉลี่ยรายปี ภาค จ�ำนวนเขต ราคาประเมินเฉลี่ย ราคาประเมนิ เฉลย่ี ค่าเชา่ เฉลี่ย เหนือ 1,325 (บาท/ตารางวา) (บาท/ไร)่ (บาท/ไร่) 272,687 680 818 827 ใต้ 1,074 689 275,505 491 712 ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 2,196 409 163,527 คา่ เฉล่ีย ทมี่ า: ปญั ญาพร ส�ำเร็จเฟอื่ งฟู และอดศิ ร์ อิศรางกูร ณ อยธุ ยา (2564) 110
พลกิ ฟื้นผนื ปา่ ดว้ ยพันธบตั รปา่ ไม้ การวิเคราะห์ความค้มุ คา่ ทางเศรษฐศาสตร์ การศึกษามูลค่าผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ของป่าไม้ เป็นการศึกษาเพื่อการ ตัดสินใจทางสังคมและเศรษฐกิจ ท�ำโดยการประเมินมูลค่าประโยชน์ในรูปแบบรายรับต่าง ๆ จากระบบนิเวศป่าไม้ หักลบดว้ ยตน้ ทุนการปลูก ต้นทุนการดแู ลปา่ ตน้ ทุนค่าขนสง่ ไม้ และท่ี สำ� คญั คือคา่ เสยี โอกาสของทีด่ นิ ท่ีนำ� มาปลูกป่าเศรษฐกจิ โดยก�ำหนดเงอื่ นไขการคำ� นวณ ดงั น้ี - ระยะเวลาปลกู ป่าและดูแลรักษาตลอดช่วงอายโุ ครงการ 20 ปี - มกี ารปลูกปา่ รวมทัง้ สิน้ 26 ล้านไร่ โดยกำ� หนดใหป้ ลูกปลี ะ 1.3 ลา้ นไร่ - มรี อบการตดั ฟนั ในปีที่ 7 ปีท่ี 15 และปีท่ี 20 - อัตราคดิ ลดที่แทจ้ ริง (Real Discount Rate) เทา่ กบั ร้อยละ 3.00 - ใช้ราคาคงที่ (Constant Price) โดยก�ำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีฐานของ การค�ำนวณ (100=2558) จากการค�ำนวณพบว่าการปลูกป่าเศรษฐกิจครอบคลุมพื้นที่ 26 ล้านไร่ของ ประเทศไทยเพ่ือให้ประเทศไทยมีพ้ืนท่ีป่าตามเป้าหมาย สามารถสร้างประโยชน์ในรูปมูลค่า ของรายรับจากระบบนิเวศป่าไม้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี เท่ากับ 3,233,565 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน (Present Value: PV) เท่ากับ 1,892,222 ล้านบาท มีต้นทุนรวม ตลอด 20 ปเี ทา่ กับ 1,349,701 ล้านบาท คดิ เปน็ มลู คา่ ปัจจบุ ัน (Present Value: PV) เท่ากับ 863,842 ลา้ นบาท ดงั น้นั มูลคา่ ปัจจบุ ันสุทธิทางเศรษฐศาสตร์ของการฟ้นื ฟปู า่ ไม้ขนาดพืน้ ที่ 26 ล้านไร่ ในระยะเวลา 20 ปี ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเท่ากับ 1,028,380 ล้านบาท มอี ตั ราผลตอบแทนภายในเชงิ เศรษฐศาสตร์ (Economic Internal Rate of Return: EIRR) รอ้ ยละ 20.41 ซึง่ สงู กวา่ อตั ราคดิ ลดที่แท้จรงิ (Real Discount Rate) ทีป่ ระมาณรอ้ ยละ 3.00 และมีค่า B/C เทา่ กับ 2.19 (ดังตารางท่ี 5.1 ขา้ งต้น) ซ่งึ สรปุ ไดว้ า่ การลงทนุ ฟ้นื ฟพู ้นื ทป่ี า่ ไม้ ขนาด 26 ล้านไร่ ตลอดช่วงเวลา 20 ปี ด้วยกลไกพันธบัตรป่าไม้เป็นวิธีหน่ึงท่ีมีความคุ้มค่า การลงทนุ สรา้ งประโยชนใ์ ห้กับสงั คมมากกวา่ ค่าเสียโอกาสของตน้ ทุนทงั้ หมด 111
บทที่ 5 ความคมุ้ คา่ การลงทุนในปา่ เศรษฐกจิ การก�ำหนดเขตป่าไม้เศรษฐกจิ ของประเทศไทย จากการค�ำนวณผลตอบแทนทางการเงินของการลงทุนเพิ่มพื้นท่ีป่าไม้ข้างต้น ซ่ึงแสดงถึงความคุ้มค่าทางการเงินเพื่อสนับสนุนการด�ำเนินกลไกพันธบัตรป่าไม้ที่จ�ำเป็น ต้องมีการบริหารรายรับรายจ่ายให้เพียงพอตลอดอายุการด�ำเนินงาน นอกจากการปลูกป่า เศรษฐกจิ ในพน้ื ทขี่ องรฐั เนอื้ ทปี่ ระมาณ 26 ลา้ นไร่ เพอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายการรกั ษาความสมดลุ ของระบบนเิ วศแลว้ การลงทนุ ดา้ นการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ในทดี่ นิ สว่ นบคุ คล หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ทด่ี นิ เอกสารสทิ ธกิ์ ม็ คี วามเหมาะสมเชน่ กนั เพราะการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ เปน็ กจิ กรรมหนงึ่ ทสี่ ามารถ สร้างผลตอบแทนใหเ้ จา้ ของท่ดี นิ หรือนกั ลงทนุ ได้ ในส่วนของการลงทุนปลูกป่าเศรษฐกิจนน้ั นอกจากจะเปน็ การตัดสนิ ใจสว่ นบคุ คล ของนักลงทุนหรือเจ้าของที่ดินแต่ละรายแล้ว ภาครัฐเองยังสามารถเข้ามามีบทบาทในการ สนบั สนุนการปลูกปา่ เศรษฐกิจของเอกชนได้ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การรับรองไมแ้ ละแหลง่ ท่ีมาของไม้ (Certification) ว่าเป็นไม้ท่ีปลูกเพื่อการพาณิชย์และให้สามารถน�ำไม้ไปค้าขาย ในตลาดหรอื สง่ ออกไปตา่ งประเทศได้ การอำ� นวยความสะดวกดา้ นการขนสง่ ไม้ การสนบั สนนุ ธุรกิจแปรรูปไม้ การจัดตั้งตลาดกลางเพ่ือซื้อขายไม้ เป็นต้น การด�ำเนินการของรัฐบาล ในลักษณะดังกล่าวมีความจ�ำเป็นต้องก�ำหนดพ้ืนท่ีเป้าหมายในการพัฒนาธุรกิจไม้เศรษฐกิจ ซ่ึงอาจเรียกว่าพ้ืนที่เป้าหมายน้ีว่า เขตเศรษฐกิจไม้สักของประเทศไทย เนื่องจากได้มี การก�ำหนดให้ไม้สักเป็นไม้เศรษฐกิจท่ีมีศักยภาพของประเทศไทยซ่ึงมีดินและภูมิประเทศ เหมาะสมกับการปลูกไม้ดังกล่าว ท้ังน้ีจะเห็นได้จากช่วงท่ีมีการท�ำสัมปทานป่าไม้ว่าไม้สัก ของไทยมคี ณุ ภาพสงู และเปน็ ทตี่ อ้ งการของตลาดตา่ งประเทศ ดงั นนั้ การกำ� หนดเขตเศรษฐกจิ ไม้สักจึงมีความจ�ำเป็นส�ำหรับการให้การสนับสนุนหรือการให้บริการของรัฐเพ่ือส่งเสริมธุรกิจ ไม้เศรษฐกจิ ของประเทศไทย นอกเขตปา่ ของประเทศไทยมหี ลายพ้นื ทท่ี ม่ี ศี ักยภาพสามารถปลูกไมส้ กั ได้ แตก่ าร ปลูกไม้สักเชิงพาณิชย์ยังไม่แพร่หลายมากนัก เน่ืองจากไม้สักเป็นไม้ท่ีมีรอบตัดฟันอย่างน้อย 20 ปี (Sommeechai et al., 2019) ซ่ึงเกษตรกรหรือนักลงทุนรับรู้ถึงรายได้ซึ่งก่อให้เกิด คา่ เสยี โอกาสของทด่ี นิ เมอ่ื เทยี บกบั การทำ� เกษตรกรรมชนดิ อนื่ และแมว้ า่ การปลกู ไมเ้ ศรษฐกจิ ในประเทศไทยจะสามารถด�ำเนินการได้ในแทบทุกจังหวัด แต่ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์และ คุณภาพดินท่ีแตกต่างจะส่งผลให้ไม้สักในแต่ละพื้นท่ีเติบโตในอัตราท่ีไม่เท่ากัน นอกจากนั้น ยังมีความแตกต่างในเชิงเศรษฐกิจอื่น ๆ ท่ีจะส่งผลให้ต้นทุนและความเหมาะสมในการปลูก ไม้เศรษฐกิจในแต่ละพื้นท่ีแตกต่างกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นระยะทางการขนส่งซ่ึงส่งผลให้เกิด 112
พลิกฟน้ื ผืนป่าด้วยพันธบตั รป่าไม้ ความได้เปรียบเสียเปรียบต่อต้นทุนค่าขนส่ง และที่ส�ำคัญอีกประการหน่ึงคือราคาท่ีดินซ่ึง แตกต่างกันระหว่างพ้ืนท่ีในแต่ละจังหวัด ท�ำให้ต้นทุนการปลูกป่าเศรษฐกิจแตกต่างกันไป ปจั จยั ทง้ั สามนสี้ ง่ ผลทำ� ใหพ้ น้ื ทต่ี า่ ง ๆ ในประเทศไทยมคี วามเหมาะสมในการปลกู ไมเ้ ศรษฐกจิ ไม่เหมือนกัน ด้วยเหตุนี้จึงจ�ำเป็นต้องมีการศึกษาเพ่ือน�ำไปสู่การก�ำหนดเขตป่าเศรษฐกิจของ ประเทศไทยซงึ่ จะชว่ ยดงึ ดดู นกั ลงทนุ และเปน็ แผนทนี่ ำ� ทางสำ� หรบั ภาครฐั ในการใหก้ ารสนบั สนนุ นอกจากประโยชนใ์ นรปู ของผลตอบแทนทางธรุ กจิ แลว้ การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ ในพน้ื ทส่ี ว่ นบคุ คล นอกเขตปา่ ไมข้ องรฐั ยงั สง่ ผลตอ่ การเพม่ิ ศกั ยภาพดา้ นการดดู ซบั คารบ์ อนอกี ดว้ ย เพราะตน้ สกั จะเปน็ แหลง่ กกั เกบ็ คารบ์ อนไดออกไซด์ หนงึ่ ในกา๊ ซเรอื นกระจกทส่ี ง่ ผลใหโ้ ลกรอ้ น โดยดดู ซบั คารบ์ อนไดออกไซดม์ าเกบ็ ในรปู ของมวลชวี ภาพ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ Carbon Sink ดงั นน้ั การปลกู ไม้เศรษฐกิจจึงเป็นอีกทางหน่ึงท่ีจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ คืนธาตุอาหารกลับเข้าสู่พื้นที่ และช่วยลดการชะล้างพงั ทลายของหนา้ ดิน กอ่ ให้เกดิ ประโยชน์แกส่ ิ่งแวดล้อมโดยรวม หากมีการส่งเสริมและผลักดันทางด้านนโยบายการปลูกป่าเศรษฐกิจ เกษตรกร หรือนักลงทุนซึ่งถือเป็นฝั่งอุปทานของตลาดคาร์บอนเครดิตก็จะสามารถเข้าถึงการขาย คาร์บอนเครดิตได้ ท�ำให้มีคาร์บอนเครดิตเข้าสู่ตลาดมากข้ึน และจะเกิดอุปสงค์ท่ีมาจากการ ท�ำกิจกรรมชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) โดยองค์กรต่าง ๆ ท่ีต้องการชดเชยคาร์บอน จากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรมสามารถซ้ือคาร์บอนเครดิตมาชดเชยกิจกรรมการผลิต ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งจะน�ำไปสู่การท�ำให้ประเทศไทยเข้าสู่สถานะความสมดุล ทางคาร์บอน (Carbon Neutral) หรือสถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) เนื้อหาในส่วนนี้เป็นผลจากการศึกษา “การก�ำหนดเขตเศรษฐกิจไม้สักส�ำหรับ ประเทศไทย (Economic Zoning of Teak in Thailand)” ของ ปญั ญาพร สำ� เรจ็ เฟอ่ื งฟู และ อดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา (2564) งานวจิ ยั ดงั กล่าวมีวัตถปุ ระสงคเ์ พื่อการวิเคราะหก์ ำ� หนด เขตเศรษฐกิจไม้สัก โดยศึกษาต้นทุนและผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ของการปลูกไม้สัก รายจังหวัด ภายใต้กรอบระยะเวลาของการวิเคราะห์ 20 ปี โดยใช้ราคาคงท่ี (ปีฐาน พ.ศ. 2562) อัตราคดิ ลดที่แท้จริง (Real Discount Rate) เท่ากับรอ้ ยละ 3 โดยมตี ัวชวี้ ดั ความคุ้มคา่ คือ มลู คา่ ปัจจบุ ันสทุ ธิ (NPV) อตั ราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (BCR) และอตั ราผลตอบแทน ภายใน (IRR) เพอ่ื ใช้ในการก�ำหนดเขตเศรษฐกจิ ไมส้ ักสำ� หรบั การบรหิ ารจัดการการปลูกไมส้ ัก เชงิ พาณชิ ยใ์ นภาพรวมของประเทศไทย 113
บทที่ 5 ความคุม้ คา่ การลงทุนในปา่ เศรษฐกจิ หลักการของการศกึ ษาเขตเศรษฐกิจไม้สกั สำ� หรับประเทศไทยตั้งอยู่บนหลักคดิ ว่าพ้ืนทตี่ า่ ง ๆ ของประเทศไทยมคี วามแตกตา่ งและความเหมาะสมในการปลกู ไมส้ กั เชงิ พาณชิ ยด์ ว้ ยสามปจั จยั ไดแ้ ก่ หนง่ึ คณุ สมบตั ขิ องดนิ ของแตล่ ะพน้ื ทมี่ คี วามเหมาะสมตอ่ การปลกู ไมส้ กั แตกตา่ งกนั สอง พ้นื ที่ต่าง ๆ มีระยะทางขนส่งไมส้ กั มายงั กรงุ เทพฯ แตกตา่ งกนั และ สาม พืน้ ท่ตี ่าง ๆ มตี น้ ทนุ คา่ เสยี โอกาสของทด่ี นิ (ราคาทดี่ นิ ) ทแี่ ตกตา่ งกนั ซง่ึ ความแตกตา่ งของปจั จยั ทงั้ สามนจ้ี ะสง่ ผล ใหก้ ารทำ� ธรุ กจิ ปา่ เศรษฐกจิ ของพน้ื ทตี่ า่ ง ๆ มรี ายรบั และตน้ ทนุ ทไ่ี มเ่ ทา่ กนั เกดิ ความเหมาะสม ที่แตกต่างกันตามมา การก�ำหนดเขตเศรษฐกิจไม้สักส�ำหรับประเทศไทย จึงเป็นการคัดเลือก พ้ืนท่ีหรือจัดกลุ่มพื้นที่ท่ีมีอัตราผลตอบแทนจากการปลูกไม้สักสูงสุดเพื่อน�ำไปสู่การประกาศ เป็นเขตเศรษฐกจิ ไม้สักส�ำหรับประเทศไทยต่อไป การศึกษาดังกล่าวก�ำหนดให้จังหวัดเป็นหน่วยการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) ข้อมูลท่ีใช้ในการศึกษาเป็นข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโตของไม้สัก ราคารับซ้ือ ไมส้ กั ขอ้ มลู ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การปลกู ไมส้ กั ระยะทางขนสง่ ราคาทด่ี นิ และคา่ ใชจ้ า่ ยตา่ ง ๆ ตง้ั แต่ การปลูกจนถึงอายุตัดฟันเพ่ือขายเป็นสินค้า โดยรวบรวมจากรายงานประจ�ำปี ข้อมูลสถิติ และเอกสารงานวจิ ยั จากหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง ในการวเิ คราะหค์ วามคมุ้ คา่ การลงทนุ รายงานไดใ้ ชห้ ลกั การวเิ คราะหค์ วามคมุ้ คา่ ทาง เศรษฐศาสตร์ เนอื่ งจากผลการศกึ ษาจะนำ� ไปสกู่ ารกำ� หนดเขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั ของประเทศไทย เปน็ บทบาทท่ีหนว่ ยงานภาครฐั ตอ้ งด�ำเนนิ การ ดงั นนั้ การนำ� เสนอผลการวเิ คราะหค์ วามคมุ้ คา่ การลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Cost Benefit Analysis) จึงมีความเหมาะสมกว่า การวเิ คราะหค์ วามคมุ้ คา่ การลงทนุ ทางการเงนิ (Financial Cost Benefit Analysis) โดยราคา ไม้สักท่ีใช้วิเคราะห์เป็นราคากลางท่ี Sommeechai et al. (2019) ได้มีการเผยแพร่เอกสาร โดยมีตลาดกลางไม้สักที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้ได้วิเคราะห์ต้นทุน และผล ตอบแทนรายจงั หวดั รวม 74 จงั หวดั ใชร้ าคาคารบ์ อนเครดติ เทา่ กบั 6 ดอลลารส์ หรฐั ตอ่ ตนั อัตราแลกเปล่ียน เท่ากับ 32 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ความหนาแน่นในการปลูกไม้สัก 2X4 เมตร = 200 ตน้ /ไร่ (ด�ำรง ศรีพระราม และคณะ, 2553 อ้างถงึ ใน พรเทพ เหมอื นพงษ์ และคณะ, 2560) การจ�ำแนกศักยภาพพ้ืนท่ีที่เหมาะสมตามสมรรถนะที่ดินดังภาพที่ 5.1 เป็นการ ดดั แปลงจาก ดำ� รง ศรีพระราม และคณะ (2553) เพ่อื กำ� หนดศักยภาพของท่ีดนิ ตอ่ การปลูก ไม้สักรายจังหวัด โดยระบุพื้นที่ท่ีมีศักยภาพของสมรรถนะท่ีดิน เหมาะสมมาก ปานกลาง และน้อย ตามล�ำดับ เพื่อน�ำไปใช้ในการวิเคราะห์ปริมาตรไม้ที่ได้เมื่อครบก�ำหนดโดยมิได้ พจิ ารณาพื้นทีไ่ มเ่ หมาะสมเน่อื งจากลกั ษณะภมู ิประเทศอยใู่ นแถบภูเขา 114
พลกิ ฟื้นผืนปา่ ด้วยพันธบตั รปา่ ไม้ ภาพท่ี 5.1 การจำ� แนกศกั ยภาพพน้ื ท่ที ่เี หมาะสมในการปลกู ไมส้ กั ตามสมรรถนะท่ดี นิ ทม่ี า: เพิม่ ความชดั ของแผนทโ่ี ดยดดั แปลงมาจากด�ำรง ศรีพระราม และคณะ (2553) 115
บทท่ี 5 ความคุ้มคา่ การลงทุนในป่าเศรษฐกิจ ในสว่ นของการประเมนิ ปรมิ าตรไมส้ กั ตามศกั ยภาพของพน้ื ทน่ี นั้ เนอื่ งจากศกั ยภาพ ของพน้ื ทที่ แ่ี ตกตา่ งกนั ตน้ สกั จะมกี ารเจรญิ เตบิ โตทแี่ ตกตา่ งกนั การคำ� นวณปรมิ าตรไมส้ กั ของ ต้นสกั ตามศักยภาพ ตามปริมาตรล�ำต้นของไม้สกั ตงั้ แตโ่ คนตน้ สักถึงปลายยอดสักเปน็ รายตน้ โดยใช้สมการจากงานวิจยั ของ Vacharankura et al. (2015) ดังสมการต่อไปนี้ V=0.000100712×DBH1.89445042 × H0.763796917 เมื่อ V คอื ปริมาตรทัง้ หมดของต้นสัก (ลูกบาศก์เมตร) DBH คือ เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางเพยี งอกท่รี ะดบั 1.3 เมตร (เซนติเมตร) H คือ ความสูงของตน้ สัก (เมตร) การประเมินต้นทุนของการปลกู ไมส้ ัก มรี ายละเอยี ดส�ำคัญ 3 ประการ 1) การประเมินคา่ เชา่ ที่ดินสำ� หรบั การปลูกไมส้ ัก การประเมินค่าเช่าของที่ดินแต่ละจังหวัดเปรียบเสมือนค่าเสียโอกาสของพื้นท่ี ท่ีน�ำมาใช้ในการปลูกไม้สักแทนท่ีจะใช้ท่ีดินเพื่อประโยชน์ในการอ่ืน โดยอ้างอิงดัดแปลงการ ค�ำนวณมูลค่าที่ดินจากค่าเช่าของ Rasmussen (2012) ซึ่งใช้ข้อมูลจาก บัญชีก�ำหนดราคา ประเมินทุนทรัพย์ทีด่ ินของกรมธนารักษ์ ปี พ.ศ. 2562 โดยใชร้ าคาประเมินทนุ สินทรัพย์ทีด่ นิ เปน็ มูลค่าของทีด่ ิน และ อัตราดอกเบี้ยเงนิ ฝากปี พ.ศ. 2562 ร้อยละ 3 ในการคิดค่าเชา่ เฉลยี่ รายปี (บาท/ไร)่ ของแตล่ ะพน้ื ท่ี Land rent = Land value × ij เมื่อ Land rent หมายถงึ คา่ เชา่ ทด่ี ิน (บาท) Land value หมายถงึ มลู คา่ ของทีด่ นิ (บาท) ij หมายถงึ อตั ราดอกเบ้ียตลาด 2) ขอ้ มูลตน้ ทุนคา่ ใช้จา่ ยในการปลกู และดูแล ตน้ ทนุ คา่ ใชจ้ า่ ยในการปลกู และดแู ลไดอ้ า้ งองิ ดดั แปลงจากรายงานของการปลกู และ จัดการสกั เชิงเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2553 ของ Phusudswang (2010) ดงั ตารางที่ 5.3 สามารถ โอนมลู คา่ ตน้ ทนุ คา่ ใชจ้ า่ ยในการปลกู และดแู ลมาเปน็ ปี พ.ศ. 2562 จากการปรบั คา่ ตามเงนิ เฟอ้ ดดั แปลงจาก Brander (2015) โดยใช้ Consumer Price Index (CPI) ของทงั้ สองปมี าคำ� นวณ 116
พลิกฟ้ืนผนื ป่าด้วยพนั ธบัตรป่าไม้ เพ่ือปรับมูลค่า โดย CPI ปี พ.ศ. 2553 เฉล่ียเท่ากับ 90.625 และ CPI ปี พ.ศ. 2562 เฉลี่ย เท่ากบั 102.647 ตารางท่ี 5.3 ต้นทุนการปลกู ไม้สกั ประเภทต้นทุน ตน้ ทุนเฉล่ยี ณ ราคา ต้นทุนเฉลย่ี ณ ราคา พ.ศ. 2553 (บาท/ไร่) พ.ศ. 2562 (บาท/ไร่) คา่ เตรียมท่ีดิน ค่ากลา้ ไมส้ ัก 325 368 คา่ แรงงาน 400 453 ค่าปลูกซอ่ มแซม 300 339 ค่าบ�ำรุง 150 170 ปี 1 ปี 2–3 825 934 ปี 4–5 500 566 ปี 6–20 650 736 250 283 ที่มา: ปัญญาพร ส�ำเร็จเฟ่อื งฟู และอดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยุธยา (2564) Xpt1s=Xst0s CPItp1s CPIst0s เมอ่ื Xst0s = มูลคา่ ของ study site ปีท่ี t0 (บาท) Xpt1s = มลู ค่าของ Policy site ปที ่ี t1 (บาท) CPIst0s = ดัชนรี าคาของ study site ปีท่ี t0 CPItp1s = ดัชนรี าคาของ Policy site ปีที่ t1 การประเมินคา่ ใชจ้ ่ายในการตดั ขยายระยะเฉลีย่ เท่ากบั 903.85 บาทต่อลกู บาศก์ เมตร อ้างอิงจาก Vacharankura et al. (2015) เมื่อปรับค่าเป็นปฐี าน พ.ศ. 2562 เท่ากบั 927.35 บ3า)ทกตา่อรลปูกรบะเามศนิ กต์เม้นตทรุนคา่ ขน1ส1่ง7
บทที่ 5 ความคมุ้ ค่าการลงทุนในป่าเศรษฐกิจ การประเมินค่าใช้จ่ายในการตัดขยายระยะเฉลี่ยเท่ากับ 903.85 บาทต่อลูกบาศก์ เมตร อ้างอิงจาก Vacharankura et al. (2015) เมื่อปรับค่าเป็นปีฐาน พ.ศ. 2562 เท่ากับ 927.35 บาทตอ่ ลูกบาศกเ์ มตร 3) การประเมนิ ตน้ ทนุ คา่ ขนส่ง การประเมินต้นทนุ ค่าขนส่งส�ำหรับการตัดขยายระยะไมใ้ นปีท่ี 7 ปีที่ 15 และการ ตดั ฟันไมใ้ นปีที่ 20 โดยในงานวจิ ัยชิน้ นี้จะประเมนิ ระยะทางเฉลี่ยของ 74 จังหวดั ถงึ กรงุ เทพฯ อ้างอิงจากสมาคมทางหลวงแห่งประเทศไทย ราคาน้�ำมันดีเซลเฉลี่ย ปี พ.ศ. 2562 เท่ากับ 26.44 บาทต่อลิตร เทียบกับตารางขนส่งวัสดุก่อสร้าง รถบรรทุก 10 ล้อ (กรณีน้�ำหนักรวม ไม่เกิน 25 ตัน) อ้างอิงจากหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนท่ีสุด ที่ กค 0421.5/41578 ลงวันท่ี 15 ตุลาคม 2558 สามารถค�ำนวณจากการประเมินระยะทางของพื้นท่ีกับกรุงเทพฯ และ ค่าขนสง่ ตามปริมาตร (ลบ.ม./ไร)่ การประเมินผลตอบแทนของการปลูกไม้สกั มรี ายละเอียดสำ� คัญ 3 ประการ 1) การประเมนิ ผลตอบแทนจากการขายเน้ือไม้ และการตดั ขยายระยะ จากการประมาณปริมาตรต้นสักตามศักยภาพของพ้ืนท่ีข้างต้น สามารถประเมิน มูลค่าของต้นสักต่อไร่ได้ดังตารางที่ 5.4 โดยใช้ราคาตามอายุไม้ต่อลูกบาศก์เมตรที่ได้อ้างอิง Sommeechai et al. (2019) คูณกบั จ�ำนวนตน้ สกั ในปนี ั้น กรณีของไมส้ ัก ปีท่ี 7 และปที ่ี 15 เป็นการตดั ขยายระยะของไม้สัก ส่วนปีที่ 20 เป็นการตัดฟนั ไม้สกั รอบสุดท้าย ตารางที่ 5.4 การประมาณผลผลิตไมส้ ักของพน้ื ที่ตา่ ง ๆ ตามศกั ยภาพ อายุการป ูลก (ปี) ปริมาตรไม้สกั มลู ค่าไม้สกั ราคาไ ้มสัก (ลกู บาศกเ์ มตร/ตน้ ) (บาท/ไร่) (บาท/ลูกบาศก์เมตร) ศักยภาพทด่ี ิน ศักยภาพที่ดิน �จำนวน ้ตนไม้ส�ำหรับการตัด สูง กลาง ตำ�่ สงู กลาง ตำ่� (ต้นต่อไร่) 7 3,588 100 0.08651 0.04392 0.02860 31,040 15,759 10,262 15 6,460 20 8,182 50 0.46715 0.22972 0.15482 150,889 74,198 50,008 50 0.89327 0.43602 0.29561 365,436 178,375 120,933 ท่ีมา: ปัญญาพร ส�ำเรจ็ เฟอื่ งฟู และอดศิ ร์ อิศรางกรู ณ อยุธยา (2564) 118
พลิกฟน้ื ผืนป่าดว้ ยพนั ธบตั รป่าไม้ 2) การประเมินมูลค่าการดูดซบั คาร์บอนไดออกไซด์ ตน้ สกั มกี ารกกั เกบ็ คารบ์ อนไดออกไซดไ์ วใ้ นตน้ ไมแ้ ละผลติ ภณั ฑไ์ ม้ (Carbon Sink) โดยจะดงึ อากาศเขา้ ไวใ้ นมวลชวี ภาพผา่ นกระบวนการสงั เคราะหแ์ สง อา้ งองิ จาก Viriyabancha et al. (2002) ได้มีการค�ำนวณหามวลชีวภาพ และการเพิ่มพูนของต้นสักโดยใช้สมการ แอลโลเมตริก การกักเก็บคาร์บอนของต้นสักจากปริมาณมวลชีวภาพของต้นไม้จะน�ำมา คิดปริมาณคาร์บอนที่สะสมอยู่ในมวลชีวภาพค่าประมาณร้อยละ 50 ของค่ามวลชีวภาพ การประเมินอัตราการกักเก็บคาร์บอนจากมวลชีวภาพส่วนต่าง ๆ ของต้นสัก ซึ่งน�ำมาทำ� การ ประเมินมลู คา่ รายไดท้ ี่ได้จากการชดเชยคาร์บอน (Carbon credit) โดยราคาคาร์บอนเครดติ ประเภท RGGI ปี พ.ศ. 2562 เท่ากับ 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน อัตราแลกเปล่ียน 32 บาทต่อ 1 ดอลลารส์ หรฐั จากการคำ� นวณการกกั เกบ็ คารบ์ อนสว่ นเพมิ่ ตอ่ ปขี องการปลกู ไมส้ กั เชงิ เดยี่ ว ดังตารางท่ี 5.5 3) การประเมินผลตอบแทนจากการลดการชะล้างพังทลายของหน้าดิน การลดการชะล้างพงั ทลายของหน้าดิน (Reduce soil erosion) เปน็ ผลประโยชน์ ทไ่ี มเ่ ปน็ ตวั เงนิ อนั เกดิ ขน้ึ จากการปลกู สวนสกั ใชก้ ารโอนผลประโยชนจ์ ากงานวจิ ยั ของ Pradit (2010) โดยมลู คา่ ของการลดการชะลา้ งพงั ทลายของหนา้ ดนิ ในพน้ื ทศ่ี กึ ษา ปี พ.ศ. 2553 เทา่ กบั 1,940 บาทต่อไร่ การลดการชะลา้ งพงั ทลายของหนา้ ดินปี พ.ศ. 2562 เท่ากับ 2,197.36 บาท ต่อไร่ งานวิจยั ดงั กลา่ วใชม้ ลู ค่าทค่ี �ำนวณคงท่ีจากปี พ.ศ. 2562 ต้ังแต่ปที ี่ 3-20 ผลการวเิ คราะห์ความคมุ้ คา่ ทางเศรษฐศาสตรเ์ พอื่ ก�ำหนดเขตเศรษฐกิจไม้สกั ผลการวเิ คราะห์ตน้ ทนุ และผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ของการลงทุนปลูกสรา้ ง สวนสกั แบบเชงิ เด่ยี วใน 74 จงั หวัดของประเทศไทย ภายใต้กรอบระยะเวลาของการวิเคราะห์ 20 ปี (ณ ราคาคงที่ ปีฐาน พ.ศ. 2562) อัตราคิดลดเทา่ กบั ร้อยละ 3 พบว่า 72 จงั หวดั มตี ัวชีว้ ัด ทบ่ี ง่ ชถ้ี งึ ความคมุ้ คา่ ในการลงทนุ ทางเศรษฐกจิ (รายละเอยี ดในภาคผนวก ค) สำ� หรบั เกณฑท์ ใ่ี ช้ พจิ ารณาการลงทุนคอื มูลค่าปัจจบุ นั สทุ ธิ (NPV) มากกว่า 0 บาท/ไร่ อัตราส่วนผลประโยชน์ ตอ่ ต้นทุน (BCR) มากกว่า 1 และอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) มากกวา่ อตั ราคิดลด โดยได้ มีการแจกแจงมูลค่าปัจจุบันของต้นทุน (PVC) และมูลค่าปัจจุบันของผลตอบแทน (PVB) ซ่ึง สามารถแสดงผลการศึกษา 5 อนั ดับแรกของเขตเศรษฐกิจไม้สักแต่ละกลุ่มดังตารางที่ 5.6 119
บทที่ 5 ความคุ้มค่าการลงทุนในปา่ เศรษฐกิจ ตารางท่ี 5.5 การประมาณรายได้จากคาร์บอนเครดิต อายุ (ปี) จ�ำนวนต้นสกั /ไร่ คาร์บอนกกั เกบ็ ส่วนเพ่ิม (ป)ี ตัน/ไร่ ดอลลาร์สหรฐั /ไร่ บาท/ไร่ 2 200 0.0907 0.5444 17 3 200 0.3430 2.0577 66 4 200 0.3581 2.1484 69 5 200 0.3581 2.1484 69 6 200 0.7168 4.3009 138 7 100 0.3197 1.9179 61 8 100 0.9307 5.5844 179 9 100 0.9337 5.6020 179 10 100 0.9337 5.6020 179 11 100 0.9337 5.6020 179 12 100 0.9337 5.6020 179 13 100 2.0543 12.3261 394 14 100 1.4026 8.4157 269 15 50 0.5295 3.1771 102 16 50 0.5985 3.5911 115 17 50 0.5000 2.9997 96 18 50 0.5000 2.9997 96 19 50 0.5000 2.9997 96 20 50 0.5000 2.9997 96 ทม่ี า: ดัดแปลงจากปญั ญาพร ส�ำเรจ็ เฟือ่ งฟู และอดศิ ร์ อศิ รางกรู ณ อยธุ ยา (2564) 120
พลกิ ฟน้ื ผนื ป่าดว้ ยพันธบัตรปา่ ไม้ ตารางท่ี 5.6 ความคมุ้ ค่าทางเศรษฐศาสตรจ์ ากการลงทุนปลกู ไมส้ ัก พ้ืนท่ีศกั ยภาพ ศกั ยภาพ PVC PVB NPV B/C IRR และจงั หวดั ทด่ี ิน บาท/ไร่ พื้นทศ่ี ักยภาพสูง กาญจนบรุ ี สูง 55,032 357,913 302,880 6.50 43.59% 68,769 357,913 289,144 5.20 42.74% อุทยั ธานี สงู 85,090 357,913 272,823 4.21 44.18% 88,063 357,913 269,850 4.06 43.10% พจิ ิตร สงู 88,537 357,913 269,376 4.04 40.93% ก�ำแพงเพชร สูง เพชรบูรณ์ สูง พน้ื ท่ีศักยภาพปานกลาง เชยี งราย สูง 169,864 357,913 188,049 2.11 26.28% 193,168 357,913 164,744 1.85 23.64% แม่ฮอ่ งสอน สูง 199,317 357,913 158,596 1.80 17.87% 36,621 192,692 156,071 5.26 33.80% เชียงใหม่ สูง 37,767 192,692 154,924 5.10 35.44% สพุ รรณบรุ ี กลาง สงิ ห์บรุ ี กลาง พนื้ ทศ่ี กั ยภาพตำ�่ นครปฐม กลาง 93,283 192,692 99,409 2.07 13.58% 43,349 140,891 97,543 3.25 32.04% สุรินทร์ ต�่ำ 45,222 140,891 95,669 3.12 31.19% 46,939 140,891 93,952 3.00 33.10% ขอนแก่น ต่ำ� 47,802 140,891 93,089 2.95 31.64% ยโสธร ตำ�่ กาฬสินธุ์ ต่ำ� พ้นื ทไ่ี ม่เหมาะสม สมทุ รปราการ ตำ่� 189,570 140,891 -48,679 0.74 -1.48% 374,096 140,891 -233,205 0.38 -13.71% นนทบรุ ี ต�่ำ หมายเหต:ุ ตารางที่ 5.6 น�ำเสนอเฉพาะ 5 จังหวดั ทม่ี ีอตั ราผลตอบแทนสูงสุดของแตล่ ะเขตความเหมาะสม เทา่ นน้ั สำ� หรบั ผลการศกึ ษาทง้ั หมดของจงั หวดั 74 จงั หวดั จำ� แนกตามเขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั (แสดง ในภาคผนวก ค) ที่มา: ปญั ญาพร สำ� เรจ็ เฟือ่ งฟู และอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (2564) 121
บทที่ 5 ความคมุ้ คา่ การลงทุนในปา่ เศรษฐกิจ การก�ำหนดเขตเศรษฐกิจไม้สักตามความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบการ วิเคราะห์ศักยภาพของพ้ืนท่ี มูลค่าที่ดิน (ค่าเช่าเฉล่ีย) และระยะทางระหว่างจังหวัดต้นทาง มากรุงเทพฯ (ต้นทุนค่าขนส่ง) โดยใช้มูลค่าปัจจุบันสุทธิทางเศรษฐกิจ (NPV) เป็นเกณฑ์ ในการแบง่ เขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั โดยอตั ราสว่ นผลประโยชนต์ อ่ ตน้ ทนุ (BCR) มากกวา่ 1 และอตั รา ผลตอบแทนภายในทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) มากกว่าอตั ราคดิ ลด สามารถแบง่ เขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั ไดด้ ังผลการวิเคราะห์ ซง่ึ แสดงในภาพท่ี 5.2 เขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั เหมาะสมมาก พ้นื ทีท่ ่ีมีศักยภาพของทดี่ นิ เหมาะสมมาก มูลคา่ ปัจจุบันสุทธิเศรษฐกิจ (NPV) ต้ังแต่ 200,000 บาทต่อไร่ขึ้นไป มีค่าเสียโอกาสของที่ดินต่�ำ และต้นทุนค่าขนส่งคุ้มค่า จึงเป็นพื้นท่ีที่มีความเหมาะสมต่อการเป็นเขตเศรษฐกิจไม้สัก โดยสามารถเรม่ิ ตน้ เปน็ พนื้ ทนี่ ำ� รอ่ งเพอื่ การสนบั สนนุ ใหม้ กี ารปลกู ไมส้ กั เชงิ พาณชิ ย์ จงั หวดั ทอี่ ยู่ ในเขตเศรษฐกจิ ไมส้ กั เหมาะสมมาก ไดแ้ ก่ กาญจนบรุ ี อทุ ยั ธานี พจิ ติ ร กำ� แพงเพชร เพชรบรู ณ์ พษิ ณโุ ลก สโุ ขทัย ตาก อตุ รดติ ถ์ แพร่ ลำ� ปาง ล�ำพนู นา่ น และพะเยา เขตเศรษฐกิจไม้สักเหมาะสมปานกลาง พ้ืนที่ที่มีศักยภาพของท่ีดินเหมาะสมมาก- ปานกลาง มูลค่าปัจจุบันสุทธิเศรษฐกิจ (NPV) ต้ังแต่ 100,000-199,999 บาทต่อไร่ มีค่า เสียโอกาสของที่ดินต�่ำ และต้นทุนค่าขนส่งคุ้มค่า จึงเป็นพื้นท่ีเขตเศรษฐกิจไม้สักที่ควรเป็น ท่ีได้รับพิจารณาขยายผลจากพื้นท่ีน�ำร่องเพ่ือการสนับสนุนให้มีการปลูกไม้สักเชิงพาณิชย์ จังหวัดท่ีอยู่ในเขตเศรษฐกิจไม้สักเหมาะสมปานกลาง ได้แก่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สุพรรณบรุ ี สงิ หบ์ รุ ี ราชบรุ ี อ่างทอง ชยั นาท สระแก้ว ปราจนี บรุ ี ลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ จันทบรุ ี นครนายก พระนครศรีอยุธยา ระยอง เพชรบรุ ี ฉะเชงิ เทรา ประจวบครี ขี ันธ์ รอ้ ยเอ็ด สรุ าษฎรธ์ านี บุรรี มั ย์ และชยั ภูมิ เขตเศรษฐกิจไม้สักเหมาะสมนอ้ ย พื้นทที่ ่มี ศี กั ยภาพของท่ีดินเหมาะสมปานกลาง- น้อย มูลคา่ ปัจจบุ ันสุทธิเศรษฐกิจ (NPV) ตัง้ แต่ 1-99,999 บาทต่อไร่ มคี ่าเสียโอกาสของทดี่ นิ ต่�ำ-มาก และต้นทุนค่าขนส่งสูง จึงเป็นพื้นที่ที่พิจารณาสนับสนุนให้ปลูกไม้ป่าชนิดอ่ืนเพื่อให้ เหมาะสมกบั สภาพของพน้ื ท่ี จังหวัดท่อี ยูใ่ นเขตเศรษฐกจิ ไมส้ ักเหมาะสมนอ้ ย ได้แก่ นครปฐม สรุ ินทร์ ขอนแกน่ ยโสธร กาฬสนิ ธ์ุ ศรีสะเกษ ชุมพร เลย มหาสารคาม หนองบัวล�ำภู ตราด นครราชสีมา มุกดาหาร อุบลราชธานี อุดรธานี สมุทรสงคราม สกลนคร ระนอง หนองคาย สมุทรสาคร นครพนม สงขลา ตรัง นครศรีธรรมราช พังงา บึงกาฬ พัทลุง ปทุมธานี ยะลา ปัตตานี กระบ่ี นราธวิ าส สตูล และชลบุรี 122
พลิกฟ้นื ผนื ปา่ ดว้ ยพันธบตั รปา่ ไม้ ภาพท่ี 5.2 เขตศกั ยภาพไม้สกั ของประเทศไทย ท่มี า: ปัญญาพร สำ� เรจ็ เฟือ่ งฟู และอดิศร์ อิศรางกรู ณ อยุธยา (2564) 123
บทท่ี 5 ความคุ้มค่าการลงทุนในป่าเศรษฐกจิ พื้นที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกไม้สัก พ้ืนที่ที่มีศักยภาพของท่ีดินเหมาะสมน้อย มลู คา่ ปจั จบุ นั สทุ ธเิ ศรษฐกจิ (NPV) นอ้ ยกวา่ 0 บาทตอ่ ไร่ ตน้ ทนุ คา่ ขนสง่ ตำ่� แตม่ คี า่ เสยี โอกาส ของท่ีดินสูง จึงเป็นพ้ืนท่ีท่ีไม่เหมาะสมต่อการปลูกไม้สัก ได้แก่ จังหวัดสมุทรปราการ และ นนทบุรี ดังน้ัน จึงสรุปผลจากการวิเคราะห์เพื่อก�ำหนดเขตเศรษฐกิจไม้สักในประเทศไทย ดว้ ยวธิ กี ารศกึ ษาตน้ ทนุ และผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตรข์ องการปลูกไมส้ ักรายจงั หวดั ภาย ใตก้ รอบการวเิ คราะหศ์ กั ยภาพของพน้ื ท่ี มลู คา่ ทดี่ นิ (คา่ เชา่ เฉลย่ี ) และระยะทางระหวา่ งจงั หวดั ตน้ ทางมากรงุ เทพฯ (ตน้ ทนุ คา่ ขนสง่ ) ไดว้ า่ มที ง้ั หมด 72 จงั หวดั ทต่ี วั ชวี้ ดั บง่ บอกถงึ ความคมุ้ คา่ ต่อการลงทนุ ปลูกสัก ซงึ่ จงั หวดั ทอี่ ยใู่ นเขตเศรษฐกจิ ไม้สกั เหมาะสมมาก มมี ลู คา่ ปจั จบุ ันสุทธิ เศรษฐกจิ (NPV) ตง้ั แต่ 200,000 บาทตอ่ ไรข่ นึ้ ไป ไดแ้ ก่ กาญจนบรุ ี อทุ ยั ธานี พจิ ติ ร กำ� แพงเพชร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก อุตรดิตถ์ แพร่ ล�ำปาง ล�ำพูน น่าน และพะเยา ซ่ึงพ้ืนท่ี ท่ีอยู่ในเขตเศรษฐกิจไม้สักเหมาะสมมากน้ีควรมีการพิจารณาส่งเสริม สนับสนุนให้เป็นพื้นท่ี น�ำร่องในการปลูกไม้สักเชิงพาณิชย์ สิ่งท่ีภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนประกอบด้วยการ พัฒนาโครงข่ายด้านการตลาด การจัดท�ำระบบรับรองแหล่งท่ีมาของไม้สัก การบริการขนส่ง ความสะดวกด้านกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตเพ่ือให้เกษตรกรเข้าถึง การขายคารบ์ อนเครดติ มากขึน้ แลว้ จงึ ขยายผลไปยังพื้นทีอ่ นื่ ต่อไป 124
บทที่ 6 กฎหมายและองค์กร
พ.ร.บ.ปา่ ไม้ 2484พ.รม.บตคิ .กณาะรรัฐบมรนหิ ตารีร3พหร0ะนรมาชีส้ ิ.บยาัญ.ธญ4ัตา1ปิ รา่ ไณม้ (ะฉบับพที่.8พศ).พร...ศบ2..25จ5ดั462ต8ั้งองค์กาพรรอะุตรสาชาหบกญั รญรัตมิกป�ำ่าหไนมด้ ฉไมบห้ บั วทงห่ี 6า้ มพ2.ศ5.302559 ประกาศคณะรักษาความสงบพแระ่หรงาชชาบั ิตญฉญับัิตสบวที่น1ป่า0 ิต6/พ2.5ศ.5725เ3ร่ื5องแกละฎ ี่ทหแม ้กาไยขเว่พ่ิาม้ดเวิตยมป่าไ ้ม พระราชบญั ญตั วิ ธิ กี ารงบประมาณ พ.ศ. 2502 พระราชบัญญัติอทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2562พระราชบัญญตั เิ ลื่อยโซย่ นต์ พ.ศ. 2545 พระราชกฤษ ีฎกาก�ำหนดไ ้มหวง ้หาม พ.ศ. 2530 พระราชบญั ญตั ิป่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2559
พลกิ ฟื้นผืนป่าด้วยพนั ธบัตรปา่ ไม้ ในบทที่ 5 ได้แสดงถึงความคุ้มค่าของการใช้พันธบัตรป่าไม้เพ่ือน�ำไปสู่การลงทุน ปลูกป่าเศรษฐกิจทั้งในส่วนของที่ดินรัฐและที่ดินเอกชน ซ่ึงเป็นข้อมูลสำ� คัญแสดงว่าการฟื้นฟู พน้ื ทป่ี า่ ไมใ้ หเ้ ปน็ ปา่ เศรษฐกจิ ใหป้ ระโยชนก์ บั สงั คมโดยรวมในหลากหลายรปู แบบ และเปน็ การ ใชป้ ระโยชนท์ ดี่ นิ ทคี่ มุ้ คา่ การลงทนุ ทงั้ ในแงม่ มุ ของรฐั สงั คมโดยรวม และการลงทนุ ของเอกชน นอกเหนอื จากความคมุ้ คา่ การลงทนุ แลว้ การพฒั นากลไกพนั ธบตั รปา่ ไมย้ งั ตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ ง หรอื มคี วามเปน็ ไปไดใ้ นเชงิ กฎหมายและการมอี งคก์ รหรอื หนว่ ยงานทจี่ ะเขา้ มาทำ� หนา้ ทบี่ รหิ าร จัดการพนั ธบตั รป่าไม้ดว้ ย ดังนน้ั ในบทท่ี 6 น้จี งึ เป็นการนำ� เสนอความเป็นไปไดท้ างกฎหมาย และองคก์ รควบคกู่ นั เพราะกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การดำ� เนนิ กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมแ้ ละองคก์ ร ทีจ่ ะเขา้ มาเปน็ ผู้ด�ำเนินงานมีความเก่ียวขอ้ งกันอย่างใกลช้ ิด การพิจารณาด้านความเป็นไปได้ทางกฎหมายในการน�ำกลไกพันธบัตรป่าไม้มาใช้ เพอ่ื ฟน้ื ฟพู นื้ ทป่ี า่ ไมเ้ ปน็ ความทา้ ทายและความยากลำ� บาก เพราะกฎหมายปา่ ไมข้ องประเทศไทย ไมไ่ ดถ้ กู ออกแบบมาเพอื่ การดำ� เนนิ งานในเรอ่ื งของพนั ธบตั รปา่ ไม้ ในทางตรงกนั ขา้ ม กฎหมาย ป่าไม้ไทยส่วนมากมีแนวคิดในการพิทักษ์ปกป้องป่าไม้ด้วยการห้ามมิให้มีการใช้ประโยชน์ จากป่าไม้ เช่น การประกาศไม้หวงห้าม การห้ามใช้เล่ือยยนต์ การขออนุญาต การตัดไม้ การขออนญุ าตแปรรปู ไม้ การขออนญุ าตเคลอ่ื นยา้ ย และทส่ี ำ� คญั คอื รฐั บาลยงั มกี ารหา้ มเอกชน ส่งออกไม้สักอีกด้วย ดงั นน้ั การพฒั นาบทบาทของภาคเอกชนและภาคประชาชนในการปลูก ปา่ เศรษฐกจิ ตามกลไกพนั ธบตั รปา่ ไมจ้ งึ เผชญิ กบั อปุ สรรคดา้ นกฎหมายเปน็ อยา่ งมากและจำ� เปน็ ต้องมีการพัฒนากฎหมายป่าไม้เพื่อให้การปลูกป่าเศรษฐกิจด้วยกลไกพันธบัตรป่าไม้สามารถ ดำ� เนนิ การไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ถงึ แมร้ ฐั บาลจะตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั ในการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ และไดต้ รากฎหมายสวนปา่ เพอื่ รองรบั การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ แลว้ แตก่ ฎหมายสวนปา่ กย็ งั กำ� หนด ข้ันตอนต่าง ๆ เช่น การแจ้งตัด การแจ้งขนย้าย ฯลฯ ท่ียังคงเป็นอุปสรรคในการด�ำเนินงาน ของภาคเอกชน 127
บทท่ี 6 กฎหมายและองคก์ ร ส่วนกฎหมายเศรษฐกิจต่าง ๆ ของประเทศไทยก็มิได้ถูกตราขึ้นเพื่อรองรับกลไก พนั ธบตั รปา่ ไม้ เชน่ กฎหมายวธิ กี ารทางงบประมาณหรอื กฎหมายหนส้ี าธารณะทมี่ ไิ ดใ้ หอ้ ำ� นาจ ในการออกพนั ธบตั รเพอ่ื กจิ การดา้ นทรพั ยากรธรรมชาตหิ รอื สง่ิ แวดลอ้ มโดยตรง ดงั นนั้ ในบทนี้ จะนำ� เสนอกฎหมายของประเทศไทย17 ทเ่ี กยี่ วขอ้ งในการดำ� เนนิ กลไกพนั ธบตั รปา่ ไมแ้ ละโครงสรา้ ง การบรหิ ารจดั การทเี่ หมาะสมกบั การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ รวมทงั้ องคก์ รทเี่ กย่ี วขอ้ งในการรบั ผดิ ชอบ การดำ� เนนิ การพนั ธบตั รปา่ ไม้ เพอ่ื นำ� ไปสกู่ ารฟน้ื ฟพู นื้ ทป่ี า่ เศรษฐกจิ อยา่ งยงั่ ยนื และสอดคลอ้ ง กับบริบทของประเทศไทย กฎหมายทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปา่ ไม้ กฎหมายท่เี กี่ยวข้องกบั ปา่ ไม้ การด�ำเนินการออกพันธบัตรป่าไม้ จ�ำเป็นต้องมีการพิจารณากฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง กบั ป่าไม้ในบริบทของประเทศไทย ซ่งึ กฎหมายท่สี �ำคัญดังกล่าวมี 5 ฉบบั ได้แก่ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 (พ.ร.บ.ป่าไม้ ฉบบั ที่ 8 พ.ศ. 2562) พ.ร.บ.ป่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2559 พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 พ.ร.บ.สวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม พ.ร.บ.เลื่อย โซ่ยนต์ พ.ศ. 2545 และ พ.ร.ก.กำ� หนดไมห้ วงหา้ ม พ.ศ. 2530 รวมท้งั มกี ฎระเบยี บ ประกาศ และมติคณะรฐั มนตรีต่าง ๆ เกีย่ วกับปา่ ไม้ ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี พระราชบัญญัตปิ ่าไม้ พ.ศ. 2484 พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไมฯ้ เปน็ กฎหมายพนื้ ฐานของกฎหมายเกยี่ วกบั การปา่ ไมท้ ง้ั หมด กฎหมายฉบับน้ีเก่ียวข้องกับการควบคุมการท�ำไม้ โดยการก�ำหนดไม้หวงห้าม การท�ำไม้และ เก็บหาของปา่ การแปรรปู ไม้ซึง่ ตอ้ งได้รับอนญุ าตจากพนกั งานเจ้าหน้าท่ี และต้องปฏบิ ตั ิตาม ข้อก�ำหนดในกฎกระทรวงและในการอนุญาต ค่าภาคหลวงไม้ และบทลงโทษ การน�ำไม้หรือ ของปา่ เคลอ่ื นทจี่ ากทหี่ นงึ่ ไปยงั อกี ทหี่ นง่ึ ตอ้ งขออนญุ าตจากเจา้ หนา้ ท่ี สำ� หรบั ไมส้ กั และไมย้ าง ทขี่ น้ึ ในราชอาณาจกั รกำ� หนดเปน็ ไมห้ วงหา้ มและไมว่ า่ อยใู่ นเขตปา่ หรอื ในทด่ี นิ ของเอกชนตอ้ ง ขออนญุ าตท�ำไมอ้ อก (ตัดฟัน) และในปี พ.ศ. 2557 ได้มีการแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ในส่วนไม้หวงหา้ ม 17 เน้ือหาในบทน้ีอ้างอิงและสังเคราะห์มาจากผลงานวิจัยของอดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และคณะ (2558) และ อดิศร์ อศิ รางกรู ณ อยุธยา และ ปริญญารัตน์ เล้ยี งเจรญิ (2561) 128
พลิกฟืน้ ผนื ป่าดว้ ยพันธบตั รปา่ ไม้ ข้อ 1 โดยให้ยกเลิกความในวรรคหน่ึงของมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ซ่งึ แก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิปา่ ไม้ (ฉบบั ท่ี 5) พ.ศ. 2518 และให้ใช้ความนแ้ี ทน ในมาตรา 7 คือ \"มาตรา 7 ไมส้ กั ไมย้ าง ไมช้ งิ ชนั ไมเ้ กด็ แดง ไมอ้ เี มง่ ไมพ้ ะยงุ แกลบ ไมก้ ระพ้ี ไมแ้ ดง จีน ไม้ขะยุง ไม้กระซิก ไม้กระซิบ ไม้พะยูง ไม้หมากพลูตั๊กแตน ไม้กระพ้ีเขาควาย ไม้เก็ดด�ำ ไมอ้ เี ฒา่ และไมเ้ ก็ดเขาควาย ไม่ว่าจะข้นึ อยูท่ ่ีใดในราชอาณาจกั ร เป็นไม้หวงหา้ มประเภท ก18 ไมช้ นดิ อนื่ ในปา่ จะใหเ้ ปน็ ไมห้ วงหา้ มประเภทใด ใหก้ ำ� หนดโดยพระราชกฤษฎกี า\" ในกฎหมาย ฉบับน้ีมีการควบคมุ การแปรรปู ไม้ การตั้งโรงงานแปรรูปไม้ การตั้งโรงคา้ ไมแ้ ปรรปู และการมี ไมแ้ ปรรปู ไวใ้ นครอบครอง รวมทงั้ การกำ� หนดการหา้ มแปรรปู ไมใ้ นชว่ งเวลากลางคนื ยกเวน้ ไดร้ บั อนญุ าตจากเจา้ หนา้ ท่ี และการปรบั แกไ้ ขในมาตรา 48 ตามประกาศคณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ ฉบับที่ 106/2557 สำ� หรับการท�ำไม้หวงหา้ มที่ประกาศเพิม่ เตมิ \" \"มาตรา 48 ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ห้ามมิให้ผู้ใดแปรรูปไม้ ต้ังโรงค้าไม้ แปรรปู มไี มส้ กั ไมย้ าง ไมช้ งิ ชนั ไมเ้ กด็ แดง ไมอ้ เี มง่ ไมพ้ ะยงุ แกลบ ไมก้ ระพี้ ไมแ้ ดงจนี ไมข้ ะยงุ ไมก้ ระซิก ไม้กระซิบ ไมพ้ ะยูง ไม้หมากพลตู กั๊ แตน ไม้กระพเี้ ขาควาย ไม้เกด็ ดำ� ไมอ้ เี ฒา่ และ ไมเ้ กด็ เขาควาย แปรรปู ไมว่ า่ จำ� นวนเทา่ ใดไวใ้ นครอบครอง หรอื มไี มแ้ ปรรปู ชนดิ อน่ื เปน็ จำ� นวน เกิน 0.02 ลูกบาศก์เมตร ไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ และ ต้องปฏิบตั ิตามขอ้ ก�ำหนดในกฎกระทรวงและในการอนุญาต\" พระราชบัญญัติป่าไม้ ฉบบั ท่ี 8 พ.ศ. 2562 \"มาตรา 7 ไม้ชนิดใดที่ขึ้นในป่าจะให้เป็นไม้หวงห้ามประเภทใด ให้ก�ำหนดโดย พระราชกฤษฎีกา ส�ำหรับไม้ทุกชนิดท่ีขึ้นในที่ดินท่ีมีกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองตาม ประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่เป็นไม้หวงห้าม หรือไม้ที่ปลูกขึ้นในท่ีดินที่ได้รับอนุญาตให้ท�ำ ประโยชน์ตามประเภท หนังสือแสดงสิทธิที่รัฐมนตรีประกาศก�ำหนดโดยความเห็นชอบของ คณะรฐั มนตรี ให้ถือวา่ ไมเ่ ป็นไมห้ วงห้าม\" 18 ไมห้ วงหา้ มประเภท ก เป็นไมห้ วงห้ามธรรมดา จ�ำนวน 158 ชนดิ อยูภ่ ายใต้พระราชกฤษฎีกาก�ำหนดไมห้ วงหา้ ม พ.ศ. 2530 129
บทที่ 6 กฎหมายและองคก์ ร \"มาตรา 9 บรรดาไมส้ กั ไมย้ าง ไมช้ งิ ชนั ไมเ้ กด็ แดง ไมอ้ เี มง่ ไมพ้ ะยงุ แกลบ ไมก้ ระพี้ ไมแ้ ดงจนี ไมข้ ะยุง ไม้ซิก ไม้กระซิก ไมก้ ระซบิ ไม้พะยูง ไมห้ มากพลูตกั๊ แตน ไมก้ ระพเ้ี ขาควาย ไมเ้ ก็ดดำ� ไมอ้ เี ฒ่า และไม้เกด็ เขาควาย ที่ขึ้นในป่า ให้เป็นไมห้ วงหา้ มประเภท ก.\" พระราชบญั ญตั ิปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2559 กฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองและอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากร ธรรมชาตอิ นื่ ๆ ในพนื้ ทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาตใิ หค้ งอยใู่ นสภาพสมบรู ณเ์ พอื่ ใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งยง่ั ยนื ต่อไป โดยก�ำหนดว่าไม้ทุกชนิดในป่าสงวนแห่งชาติ ผู้ตัดไม้ท่ีปลูกไว้ต้องขออนุญาตท�ำไม้ (ตัดฟัน) และการใช้ประโยชน์ในพ้ืนท่ีป่าสงวนแห่งชาติในมาตรา 11 กรณีท่ีป่าสงวนแห่งชาติ มสี ภาพเปน็ ปา่ เสอื่ มโทรมสามารถอนญุ าตใหท้ ำ� การบำ� รงุ ปา่ หรอื ปลกู สรา้ งสวนปา่ หรอื ไมย้ นื ตน้ ในเขตป่าเสื่อมโทรมได้ภายในระยะเวลาและตามเง่อื นไขท่ีกำ� หนด โดยเสียค่าตอบแทนตามที่ กำ� หนด ซง่ึ ตอ้ งขออนญุ าตและไดร้ บั ความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการพจิ ารณาการใชป้ ระโยชน์ ในเขตปา่ สงวนแห่งชาตแิ ละได้รบั อนุมัตจิ ากคณะรัฐมนตรี พระราชบญั ญตั ิอทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2562 พระราชบัญญัติน้ีประกาศใช้เพ่ือคุ้มครองรักษาทรัพยากรธรรมชาติท่ีมีอยู่ในพ้ืนที่ ป่าอนุรักษ์ เชน่ พนั ธไ์ุ ม้และของป่า สตั ว์ป่า ตลอดจนทิวทัศน์ ปา่ และภเู ขา ให้คงอยูใ่ นสภาพ ธรรมชาติเดิมไม่ให้ถูกท�ำลายหรือเปล่ียนแปลงไป กฎหมายฉบับน้ีมีบทบัญญัติว่าด้วยการ คมุ้ ครองและดแู ลรกั ษาอทุ ยานแหง่ ชาติ ซงึ่ ภายในอทุ ยานแหง่ ชาตนิ น้ั หา้ มบคุ คลใดกระทำ� การ ทเ่ี ปน็ การทำ� ลาย นำ� ออก ครอบครองทดี่ นิ หรอื สรา้ งความเสยี หายตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ ส่ิงแวดล้อมในเขตอุทยานฯ ให้เป็นอันตรายหรือท�ำให้เส่ือมสภาพ ซึ่งไม้ ยางไม้ น�้ำมันยาง น�้ำมันสน หากฝ่าฝืนต้องมีโทษจ�ำคุกหรือปรับหรือทั้งจ�ำท้ังปรับ และบรรดาอาวุธ เคร่ืองมือ เครื่องใช้และยานพาหนะใด ๆ ที่ใช้ในการกระท�ำความผิดฐานแผ้วถางหรือเผาป่า หรือฐาน ทำ� ใหเ้ ปน็ อนั ตรายหรอื ทำ� ใหเ้ สอ่ื มสภาพซง่ึ ไม้ ใหร้ บิ ทงั้ หมดโดยไมต่ อ้ งคำ� นงึ วา่ เปน็ ของผกู้ ระทำ� ความผิดและมีผถู้ กู ลงโทษตามคำ� พพิ ากษาของศาลหรือไม่ พระราชบัญญัตินี้ยังก�ำหนดให้สามารถจัดเก็บรายได้เพ่ือใช้ส�ำหรับงานอนุรักษ์ ต่าง ๆ ก�ำหนดให้ผู้กระท�ำความเสียหายต้องจ่ายค่าชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้น ก�ำหนดโทษ ส�ำหรับผู้บุกรุก ยึดครองท่ีดิน แผ้วถาง เก็บของป่า ล่าสัตว์ น�ำอุปกรณ์ล่าสัตว์เข้าอุทยาน เปลยี่ นแปลงทางนำ้� กน้ั ลำ� นำ�้ เบอ่ื ปลา ยงิ พลุ เผาปา่ ยา้ ยหลกั แนวเขตอทุ ยาน หรอื สรา้ งบา้ นพกั โดยมโี ทษท้ังโทษจำ� คกุ และโทษปรับ 130
พลิกฟ้ืนผนื ป่าด้วยพนั ธบตั รป่าไม้ พระราชบัญญตั สิ วนป่า พ.ศ. 2535 กฎหมายฉบับน้ีเกี่ยวกับการส่งเสริมการปลูกป่าเชิงพาณิชย์ในพ้ืนที่มีเอกสารสิทธ์ิ หรอื ทด่ี นิ สว่ นบคุ คลทมี่ ใี บอนญุ าตตามกฎหมายวา่ ดว้ ยปา่ ไมใ้ หท้ ำ� สวนปา่ ซงึ่ สามารถดำ� เนนิ การ ปลูกสวนป่า และสามารถตดั โค่น ท�ำไม้ โดยตอ้ งมีการขนึ้ ทะเบยี นสวนป่า และกำ� หนดรายช่ือ บัญชีต้นไม้จ�ำนวน 58 พันธุ์ ท่ีมีการท�ำส�ำรวจทางวิชาการเพ่ือขอข้ึนทะเบียนสวนป่า และ ควบคุมการท�ำสวนป่า รวมทั้งการแปรรูปไม้ในสวนป่า การค้า และการน�ำเคล่ือนที่ไม้และ ของป่าในสวนป่า การออกใบส�ำคัญรับรองการจัดการป่าไม้อย่างย่ังยืน ท้ังนี้ กฎหมายฉบับน้ี มกี ารปรบั ปรงุ จากกฎหมายฉบบั เดมิ ทม่ี อี ปุ สรรคในการสง่ เสรมิ การปลกู สรา้ งสวนปา่ โดยเฉพาะ กฎหมายที่จ�ำกัดประเภทของท่ีดินที่จะขึ้นทะเบียนสวนป่า ซ่ึงในปัจจุบันเป็นพระราชบัญญัติ สวนป่า (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2558 นอกจากนี้ ในพระราชบัญญตั สิ วนปา่ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2558 เพิ่มเตมิ ประเดน็ เรือ่ ง การสง่ ออกไมใ้ นมาตรา 8/1 ในกรณที กี่ ารสง่ ออกไมท้ ไ่ี ดม้ าจากการทำ� สวนปา่ จะตอ้ งมใี บสำ� คญั รับรองการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนจากกรมป่าไม้ตามความต้องการของประเทศปลายทาง หรอื ผทู้ ำ� สวนปา่ ผใู้ ดประสงคจ์ ะขอใหก้ รมปา่ ไมอ้ อกใบสำ� คญั รบั รองการจดั การปา่ ไมอ้ ยา่ งยงั่ ยนื ให้ย่ืนค�ำขอต่อนายทะเบียนและช�ำระค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบหรือด�ำเนินการอ่ืนใดตาม ระเบยี บทอี่ ธบิ ดกี ำ� หนด ทงั้ นี้ การยนื่ คำ� ขอ การออกใบสำ� คญั และการเพกิ ถอนใบสำ� คญั ใหเ้ ปน็ ไปตามหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร และเงื่อนไขท่ีก�ำหนดในกฎกระทรวง ทตี่ อ้ งกำ� หนดให้สอดคล้องกบั มาตรฐานระหว่างประเทศที่เปน็ การรบั รองโดยท่ัวไป โดยให้อธิบดมี อี ำ� นาจกำ� หนดให้สถาบนั หรือองคก์ รอน่ื ออกใบส�ำคญั รับรองการจดั การป่าไมอ้ ย่างย่งั ยนื แทนได้ พระราชบัญญัติเลื่อยโซย่ นต์ พ.ศ. 2545 พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ฉบับน้ีประกาศใช้เพื่อควบคุมการมีไว้ในครอบครอง และการน�ำเข้ามาในราชอาณาจักร ซ่ึงเป็นการเพ่ิมมาตรการในการป้องกันและปราบปราม การบุกรุกตัดไม้ท�ำลายป่า หากผู้ใดมี ผลิต หรือน�ำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ต้องได้รับใบอนุญาตจาก นายทะเบียนเล่ือยโซ่ยนต์และระบุพ้ืนท่ีท่ีอนุญาตให้มีหรือใช้เล่ือยโซ่ยนต์ไว้ด้วย (มาตรา 4) หากฝ่าฝืนหรือไมป่ ฏบิ ัตติ าม มโี ทษจำ� คุกไมเ่ กินห้าปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ หน่ึงแสนบาท หรือทัง้ จำ� ทั้งปรับและให้ศาลสั่งริบเลื่อยโซ่ยนต์นั้น กรณีท่ีจะเปล่ียนแปลงพ้ืนที่ให้มีหรือใช้เลื่อยโซ่ยนต์ ผ้ไู ดร้ บั ใบอนญุ าตตอ้ งย่นื ค�ำขอตอ่ นายทะเบยี นเล่ือยโซย่ นต์ก่อน (มาตรา 6) และหากประสงค์ จะน�ำหรือให้ผู้อื่นน�ำเลื่อยโซ่ยนต์ไปใช้นอกพ้ืนท่ีเป็นการช่ัวคราว ผู้ได้รับใบอนุญาตจะต้อง 131
บทที่ 6 กฎหมายและองคก์ ร ขออนญุ าตโดยระบพุ น้ื ท่ี และระยะเวลาทนี่ ำ� ไปใชต้ อ่ นายทะเบยี นเลอื่ ยโซย่ นตก์ อ่ น (มาตรา 8) หากฝา่ ฝนื หรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามมโี ทษจำ� คกุ ไมเ่ กนิ หนง่ึ ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สองหมนื่ บาท หรอื ทงั้ จำ� ท้ังปรับ และถ้ามีการน�ำเล่ือยโซ่ยนต์ไปใช้ในการกระท�ำผิดตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ให้ สันนษิ ฐานไว้ก่อนวา่ ผู้ได้รับใบอนญุ าตมสี ว่ นรว่ มในการกระท�ำผดิ นน้ั ดว้ ย พระราชกฤษฎีกาก�ำหนดไม้หวงหา้ ม พ.ศ. 2530 กฎหมายน้ีก�ำหนดให้ไม้หวงห้าม ซึ่งเป็นไม้ในป่าในราชอาณาจักรที่ระบุไว้ในบัญชี ท้ายพระราชกฤษฎีกาน้ีเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภท ก. ไมห้ วงหา้ มธรรมดา มจี ำ� นวน 158 ชนดิ ซงึ่ การทำ� ไมจ้ ะตอ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากพนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี หรอื ไดร้ บั สมั ปทานตามพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พทุ ธศกั ราช 2484 และประเภท ข ไม้หวงห้ามพิเศษ มีจ�ำนวน 13 ชนิด เป็นไม้หายากหรือไม้ท่ีควรสงวน ซ่ึงไม่ อนญุ าตใหท้ ำ� ไมเ้ วน้ แตร่ ฐั มนตรจี ะไดอ้ นญุ าตในกรณพี เิ ศษ โดยถา้ ไมห้ วงหา้ มเหลา่ นอี้ ยใู่ นพน้ื ท่ี ปา่ สงวนแหง่ ชาติ และที่ป่าตามพระราชบัญญัติปา่ ไม้ พ.ศ. 2484 ตอ้ งขออนญุ าตในการทำ� ไม้ กฎระเบียบ/ประกาศทเ่ี กย่ี วกับปา่ ไม้ ขอ้ กำ� หนดฉบบั ที่ 17 พ.ศ. 2530 ออกตามความในพระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ พทุ ธศกั ราช 2484 วา่ ดว้ ยการอนญุ าตไมส้ กั และไมย้ างในทด่ี นิ กรรมสทิ ธห์ิ รอื สทิ ธคิ รอบครองเพอ่ื การใชส้ อย ส่วนตวั และไม้นัน้ เปน็ ไมท้ ขี่ นึ้ อยเู่ ดมิ ไมร่ วมถงึ ไมท้ ี่ปลกู ขน้ึ ตามกฎกระทรวง ฉบบั ที่ 24 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ว่าด้วยการท�ำไม้หวงห้าม ก�ำหนดว่าผู้ขออนุญาตต้องเป็นเจ้าของที่ดินกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองและต้องย่ืนค�ำขอ ท�ำไม้เพ่ือการใช้สอยส่วนตัวต่อนายอ�ำเภอหรือปลัดอ�ำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจ�ำพื้นท่ี และ เจา้ หน้าท่ดี �ำเนนิ การตรวจสอบ ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 106/2557 เร่ือง แก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายว่าดว้ ยป่าไม้ เรอื่ งการกำ� หนดไม้หว้ งหา้ มเพิ่มเติม อีก 15 ชนิด เปน็ 17 ชนิด ไดแ้ ก่ ไม้สัก ไม้ยางนา ไม้ชิงชัน ไม้เก็ดแดง ไม้อีเม่ง ไม้พะยุงแกลบ ไม้กระพ้ี ไม้แดงจีน ไม้ขะยุง ไม้กระซกิ ไม้กระซบิ ไม้พะยูง ไม้หมากพลูตก๊ั แตน ไมก้ ระพเี้ ขาควาย ไม้เก็ดด�ำ ไม้อีเฒา่ และ ไมเ้ กด็ เขาควาย ไม่วา่ จะขน้ึ อยู่ทใี่ ดในราชอาณาจักร เป็นไมห้ วงหา้ มประเภท ก คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 31/2559 เร่ือง การแก้ไขเพ่ิมเติม กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ซ่ึงครอบคลุมเร่ืองการก�ำหนดไม้หวงห้ามเพ่ิมเติม และการจัดการไม้ หวงหา้ มในพน้ื ทที่ มี่ หี นงั สอื รบั รองการทาํ ประโยชนต์ ามประมวลกฎหมายทดี่ นิ การใชป้ ระโยชน์ ในท่ดี นิ ของภาคเอกชนและขอ้ ก�ำหนดด้านการสง่ ออกไม้และผลติ ภัณฑ์ไม้ 132
พลกิ ฟนื้ ผืนปา่ ดว้ ยพนั ธบตั รปา่ ไม้ หนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ด่วนท่ีสุด ท่ี นร 0203/19654 เร่ือง การ ปรับปรุงภารกิจและโครงสร้างของกรมป่าไม้และร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรม ป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... ตามท่ีคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบและอนุมัติให้ ด�ำเนินการตามที่กระทรวงเกษตรเสนอเร่ืองการปรับปรุงภารกิจและโครงสร้างของกรมป่าไม้ และร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. .... เม่ือวันท่ี 8 กันยายน พ.ศ. 2535 โดยมีเนื้อหาส�ำคัญด้านแนวทางและการด�ำเนินงานของ กรมป่าไม้ในหัวข้อ 5.3.2 ส�ำหรับการปลูกต้นไม้ในเขตป่าสงวนเส่ือมโทรมที่มีผู้ครอบครอง อยแู่ ล้วเหน็ ควรทวนมตคิ ณะรัฐมนตรี เมือ่ วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 จาก “การอนมุ ตั ิ ให้เข้าท�ำประโยชน์พื้นที่ป่าไม้เพื่อการปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชนจะระงับไว้ช่ัวคราว และ คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติมีมติให้แต่งตั้งคณะท�ำงานชุดหน่ึง เพ่ือศึกษาพิจารณา หามาตรการควบคุมเกี่ยวกับเร่ืองน้ีเพ่ือให้เกิดผลในทางปฏิบัติท่ีสอดคล้องตามแนวนโยบาย การส่งเสริมการปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชนตอ่ ไป” เปน็ “การอนมุ ตั ใิ หเ้ ขา้ ท�ำประโยชน์พ้ืนท่ี ป่าไม้เพื่อการปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชนให้ระงับการพิจารณาเว้นแต่เป็นกรณีท่ีเข้าเง่ือนไข ครบทง้ั 5 ประการ ดงั น้ี 1) เปน็ การสรา้ งสวนปา่ ตามประเภทไมท้ ก่ี ำ� หนดไวใ้ น พ.ร.บ. สวนปา่ พ.ศ. 2535 2) เป็นการด�ำเนินการโดยผู้เข้าครอบครองอยู่เดิมมาไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยมี หลักฐานยนื ยนั พสิ ูจนไ์ ด้ 3) เป็นการเปลี่ยนกิจกรรมการเกษตรจากข้าว หรือพืชไร่มาเป็นวนเกษตร หรือสวนป่า 4) ดำ� เนินการวนเกษตร หรือสวนป่าตามข้อ 3 จะตอ้ งมหี ลักฐานที่ตรวจสอบได้ ว่าได้เร่ิมดำ� เนินการในพน้ื ท่ที จ่ี ะขออนุญาตแลว้ อยา่ งชดั เจน 5) ใหข้ อเขา้ ทำ� ประโยชนใ์ นพ้ืนท่ีป่าไดค้ รอบครัวละไม่เกนิ 50 ไร่ เม่ืออนุญาตให้ใช้พื้นท่ีป่าตามเง่ือนไขดังกล่าวแล้ว ให้จดทะเบียนเป็นสวนป่าตาม พ.ร.บ. สวนป่า พ.ศ. 2535” ท้ังนี้ การก�ำหนดเงื่อนไขเพ่ือป้องกันไม่ให้นายทุนเข้าไปซ้ือหรือ สวมสิทธ์ิของเกษตรกรรายย่อย ส่งผลท�ำให้เกษตรกรรายย่อยไร้ที่ท�ำกิน เป็นการเพ่ิมปัญหา ท่ดี นิ และเพ่ิมแรงกดดนั ใหม้ ีการทำ� ลายทรพั ยากรธรรมชาตมิ ากข้นึ มตคิ ณะรฐั มนตรี วนั องั คารท่ี 11 เดอื นมกราคม พ.ศ. 2543 เรอ่ื งการขออนุญาตสง่ ไมส้ กั สวนปา่ ออกจำ� หนา่ ยตา่ งประเทศ และการขอยกเวน้ พกิ ดั อตั ราอากรขาออก คณะรฐั มนตรี มมี ตอิ นมุ ตั ใิ หอ้ งคก์ ารอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ (อ.อ.ป.) สง่ ไมส้ กั สวนปา่ ออกจำ� หนา่ ยตา่ งประเทศได้ 133
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230